วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2542

2542-04-17 พุทธสถานเจาหยรู จ.เชียงใหม่


PDF 2542-04-17-เจาหยรู #4.pdf

วันเสาร์ที่ ๑๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๒ พุทธสถานเจาหยรู จ.เชียงใหม่

สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ



องค์พุทธะล้วนบำเพ็ญก่อนบรรลุ ประธานคู่ในชีวิตคือจุดหมาย

คุมจิตใจคุมวาจาอีกคุมกาย สอบเมธีสอบยิ่งใหญ่เลือกคนจริง

เราคือ

องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน เคียมคัล

องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ

ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา



ใจสงบลงนิ่งเพื่อฟังธรรม สองวันทำแต่สิ่งดีคนประเสริฐ

นำชีวิตด้วยปัญญาอันล้ำเลิศ ดั่งบัวเกิดกลางโคลนตมดั่งน้องเรา

ชีวิตนี้ความจริงแท้อยู่แห่งใด อย่าใส่ใจแต่ความสุขเฉพาะหน้า

เพราะเวลาไม่คอยคนคิดได้นา คนที่ช้าย่อมพ่ายแพ้เวลาเร็ว

ดูโลกนี้เปลี่ยนไปไม่หยุดยั้ง ใดคือฝั่งอันจริงแท้ให้นั่งพัก

ลาภยศถามีเป็นพรวนลืมตระหนัก เงินทองจักซื้อทุกสิ่งได้อย่างไร

ชีวิตหนึ่งเกิดเจ็บตายใครก็รู้ แต่ว่าอยู่ที่น้องนั้นคิดได้ไหม

จงบำเพ็ญหาทางแท้ก่อนสิ้นใจ คนเดินไกลใช้คุณธรรมมานำทาง

วัตถุในโลกนี้ล้วนมีน้ำหนัก จงรู้จักตนเองกันไว้เถิด

ชีวิตหนึ่งเรื่องไม่คาดบ่อยครั้งเกิด คนประเสริฐรู้ทางแท้ไม่ปล่อยไป

ในบัดนี้ฟ้ายุคสามพุทธะโปรด ละโลภโกรธให้เบาบางจนจิตใส

วันเวลาไม่เคยจะคอยผู้ใด บำเพ็ญใจบำเพ็ญกายสมดุลกัน

เกิดเป็นคนชาตินี้มิใช่ง่าย ขอจงใช้สติไม่แปรผัน

เสมอต้นเสมอปลายการเท่าทัน กิเลสนั้นคอยบั่นทอนยากสุทธา

กระแสทุกข์มากมายทะเลกว้าง การเยื้องย่างคอยระวังเป็นที่สุด

กรรมสนองคอยเล่นงานจงเร่งรุด ทุ่มเทสุดกำลังตนฝึกเมตตา

ในสองวันมีค่าดั่งมณีแก้ว จงคลาดแคล้วความกังขาด้วยจิตใส

เปิดใจกว้างอ้ารับความศรัทธาใจ จงตั้งใจให้ดีเถิดน้องพุทธา

รักษาซึ่งพุทธระเบียบเป็นสำคัญ จบชั้นไปยังบากบั่นเร่งศึกษา

ความเข้าใจบังเกิดขึ้นจึงก้าวหน้า มีเวลาไม่ลืมที่ปฏิบัติจริง

ปฏิปทา๑ความมุ่งมั่นพาสำเร็จ จงเป็นเพชรที่ใจแกร่งไม่กลัวเข็ญ

ฝึกจิตใจใสสะอาดดั่งน้ำเย็น บำเพ็ญเป็นความอดทนไม่จนทาง

จงกล้าหาญนำจิตตนเป็นกุศล ธรรมแยบยลอยู่ที่คนผู้รักษา

ธรรมมีค่าอยู่ที่คนปฏิบัตินา การคืนฟ้าได้หรือไม่ดูวันนี้

ด้วยเวลามีจำกัดขอเตือนย้ำ ลงมือทำใจสัมมาต้องเคียงคู่

แก้ไขตนให้ถูกต้องฟ้าคอยดู การเชิดชูคุณธรรมนั้นบ่มเพาะที่ใจ

ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป หวังศิษย์น้องจะตั้งใจใจเป็นหนึ่ง

เพื่อเป็นแรงแห่งฟ้าเวไนยพึ่ง แต่นี้จึงต้องเริ่มแล้วบำเพ็ญจริง

จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน

ฮวา ฮวา หยุด




๑ ปฏิปทา ทางดำเนิน , ความประพฤติ





วันเสาร์ที่ ๑๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๒



วันเสาร์ที่ ๑๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๒

พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ



มหรรณพกว้างใหญ่รองรับทุกสิ่ง ความเหนือยิ่งใกล้ชิดด้วยธรรมชาติ

คนสำเร็จก่อนต่างเคยประมาท แต่มิอาจผิดพลาดบ่อยแล้วไม่แก้
เราคือ

หันเซียงจื่อหนึ่งในแปดเซียน รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายกราบ

องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ



ลาภยศอยู่ไม่นานก็ปะปน อารมณ์คนถูกสนองไยไม่สิ้น

เท็จคือแท้แท้คือเท็จอาจิณ หนึ่งชีวินคิดได้ก็สายไป

ชื่อเสียงล้อมดวงใจขาดควบคุม ถูกโอบอุ้มเคลิ้มหลับทางเวียนว่าย

ปุถุชนใจนั้นหลับแต่ไม่เข้าใจ การเอาแต่ใจตามประมาทเกิน

พลิกสถานการณ์ตาลปัตรกลับตื่นรู้ทาง จิตสว่างสิ่งทุกข์ผันอิสระเหิน

ปิติสุขเคว้งคว้างถ้ามากเกิน ผู้เผชิญโลกนานไปรู้ตน

กรำลำบากอยู่บนโลกปองสำเร็จ ใส่ใจเท็จละเลยจริงเลยสับสน

ดึงใจกลับตั้งสติไม่อับจน จลาจลใจยังแต่นิ่งเป็นทุน

สัตยธรรมเป็นรากหยั่งใจเที่ยงตรง คือคุมลงธรรมพิชิตโลกีย์ขุ่น

ในเวลากาลคับขันปราชญ์สร้างคุณ ปัญญาดุลจิตด่วนตื่นช่วยเวไนย

ผู้บำเพ็ญถ้าเรรวนไม่พ้นหลง ก่อบุญให้ไร้อานิสงส์เรืองไสว

เร่งศึกษาและทำความเข้าใจ เพื่อมาบำเพ็ญให้มั่นคงเท่านาน

ฮา ฮา หยุด



พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ

            มีหลายคนที่พบหน้าเราก็เกิดความประหม่าและตกใจ  หน้าคนนั้นแม้จะเปลี่ยนไปมากเพียงใด ขอเพียงอย่างเดียวให้ใจเหมือนเดิมก็พอแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่แต่จะมีใครบ้างที่จะสามารถรักษาใจดวงเดิมดวงนี้ให้เหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงได้  มีใครบ้างในโลกนี้ที่จะประคองจิตหนึ่งใจเดียวได้ตลอดชีวิต  การประคองจิตหนึ่งใจเดียวโดยไม่เปลี่ยนแปลงเลยเป็นไปได้ยาก  เมื่อเราอยู่บนโลกหรืออยู่บนสังคมนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่แต่ทุกๆ คนสามารถทำได้  และทุกๆ คนก็สามารถพบได้แต่เพราะเหตุอันใดเราถึงยากพบบุคคลเช่นนี้  เรามักจะพบคนโลเลหลายใจ โลภมาก เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา  ใจเดิมที่เคยมุ่งมั่นว่าจะทำสิ่งใดก็มักจะเปลี่ยนไป  พอสังคมกว้างขึ้น ใจเขาก็เปลี่ยนไป  พอความต้องการของเขามากขึ้นใจเดิมของเขาก็สูญหายไป ใช่หรือไม่ (ใช่หรือแม้แต่คนๆ หนึ่งมีปณิธานจะทำอะไร มีความตั้งใจจะทำสิ่งใด แต่พอเจอสังคมรูปแบบหนึ่ง พอเจอคนอีกแบบหนึ่ง ความตั้งใจและปณิธานของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปตามสังคมนั้น  การประคองจิตหนึ่งใจเดียวตั้งแต่ต้นจึงเปลี่ยนแปลงไป  คนเราจึงไม่สามารถบรรลุถึงความตั้งใจได้ เพราะว่าใจเรามักเปลี่ยนแปลงไป  มีความโลภอยู่ตลอดเวลา มักมากไม่เคยมีที่สิ้นสุด  ทุกท่านในที่นี้เป็นกันอย่างนั้นหรือเปล่า (เป็นท่านชอบคนที่หลายใจ โลเล เอาแน่นอนไม่ได้สักเรื่องไหม (ไม่ชอบไม่ชอบและไม่อยากคบหาด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่ท่านชอบอยู่ร่วมกับคนที่พูดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น  วันนี้ตั้งใจว่าจะทำอย่างนั้น ต่อไปก็ยังตั้งใจอยู่จนกว่าจะสำเร็จ ใช่หรือไม่ (ใช่แต่หลายคนเริ่มแรกมักจะดี  พอไปถึงมักจะเปลี่ยนแปลง แปลว่าคนเราตั้งใจไม่จริง แปลว่าตัวเราไม่ตั้งใจจริง หรือเพื่อนเขามีความตั้งใจไม่แน่วแน่ หรือ  เป็นเพราะว่าเรามักพ่ายแพ้กับอุปสรรค เรามักพ่ายแพ้กับสภาวะรอบข้าง ใช่หรือไม่ (ใช่อย่างเช่นสภาวะรอบข้างตอนนี้อยู่ในการศึกษาธรรม อยู่ในการอบรมธรรม  การที่ใจจะบังเกิดธรรมก็เป็นการง่าย  การที่ใจจะตั้งอยู่ในธรรม อยู่ในครรลองแห่งการทำความดี ก็เป็นการง่าย  แต่พอเราไปอยู่อีกสังคมหนึ่งซึ่งเป็นสังคมที่แก่งแย่งแข่งขันกัน ใครดีใครได้ ไม่สนใจซึ่งทำนองคลองธรรม ความตั้งใจของเราก็เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะรอบข้าง ใช่หรือไม่ (ใช่เพราะว่าสภาวะรอบข้างทำให้เราเปลี่ยนแปลงไป หรือว่าใจเราไม่มั่นคงในการกระทำกันแน่    (ใจเราไม่มั่นคงเฉกเช่นปัจจุบันนี้ คนทุกคนสามารถมีคุณธรรมได้  ไม่จำเป็นจะต้องเป็นสภาวะรอบข้างพร้อมที่จะให้ทำ  พร้อมหรือไม่พร้อมเราก็สามารถตั้งตนอยู่ในคุณธรรมได้ สามารถแสดงออกซึ่งคุณธรรมได้ และกระทำซึ่งคุณธรรมได้  แต่ทำไมคนปัจจุบันมักจะโทษว่าสภาวะรอบข้างไม่ดี เราเลยไม่ดีด้วย  สภาวะรอบข้างหรือคนรอบข้างไม่มีคุณธรรม เราเลยไม่มีคุณธรรมด้วย  มักจะเป็นเช่นนี้กัน ใช่หรือไม่ (ใช่
            คนในโลกจึงปฏิบัติธรรมได้อย่างลดน้อยถอยลงไปเป็นจำนวนมาก  เพราะว่าสภาวะไม่เอื้ออำนวยเท่านั้นเองหรือ  อย่างเช่นกล่าวว่าแม้ในวัดก็ยังหาคุณธรรมในวัดไม่ได้ แม้ในครอบครัวก็ยังหาความเมตตาจริงใจต่อกันไม่ได้ เราจึงไม่ปฏิบัติคุณธรรม เราจึงไม่แสดงออกซึ่งความเมตตาและจริงใจ  ทำไมคุณธรรมเหล่านี้ในตัวท่านจึงเบาบาง จึงจางหายกันไป  (เพราะว่าจิตใจไม่มั่นคงบางคนก็อาจจะกล่าวว่าตนเองไม่มีความกล้าพอ  บางคนก็อาจจะกล่าวว่าเป็นเรื่องของคนอื่นไม่ใช่เรื่องของเรา                                                                                              
            “มหรรณพกว้างใหญ่รองรับทุกสิ่ง”     มหรรณพ หมายถึง ทะเลใช่หรือไม่
(ใช่เราอยู่บนโลกนี้ใครๆ ก็อยากเป็นคนยิ่งใหญ่ มีชื่อเสียง เป็นที่นับหน้าถือตาของทุกๆ  คน ใช่ไหม (ใช่เราดูแม่น้ำ แม่น้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือทะเล  ทะเลเป็นที่รองรับของแม่น้ำทุกๆ สาย ความยิ่งใหญ่ของทะเลกลับเป็นสิ่งที่อยู่ต่ำที่สุด แต่มนุษย์จะมีใครบ้างที่อยากเป็นคนยิ่งใหญ่แล้ววางตนเองอยู่ต้อยต่ำ ความยิ่งใหญ่ในความคิดของทุกๆ คนก็คือการอยู่เหนือทุกคน    ไม่มีใครเหยียบย่ำรังแก ใช่หรือไม่ (ใช่แต่ความยิ่งใหญ่ที่พบในธรรมชาติเป็นความยิ่งใหญ่ที่อยู่ต่ำที่สุดของบรรดาทุกๆ สิ่ง  ในความต่ำนั้นกลับแฝงไว้ซึ่งความยิ่งใหญ่ อำนาจและพลังอันมากมาย ใช่หรือไม่ (ใช่และมีใครบ้างที่สามารถกระทำได้เช่นนี้
            มนุษย์เรานั้นหากมีความยิ่งใหญ่ขึ้นมาแล้ว เป็นความยิ่งใหญ่ที่ไม่สามารถจะเป็นได้อย่างธรรมชาติ เพราะเป็นความยิ่งใหญ่ที่เป็นชั่วครู่ ชั่วขณะ  สักวันหนึ่งก็ต้องมีคนล้มความยิ่งใหญ่ของเขา  แต่ธรรมชาติของมหาสมุทรแตกต่างจากที่เราเห็น ที่เราเข้าใจ  เป็นความยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครล้มความยิ่งใหญ่นี้ได้  เขาเรียกว่า อยู่นำแต่เหมือนตามหลัง”  แต่มนุษย์เรายากจะทำแบบนี้ได้ เพราะว่ามนุษย์เรามักจะมีทิฐิ ความยโส ความเย่อหยิ่ง ความแข็ง ใช่หรือไม่ (ใช่แต่เราก็รู้กันอีกว่าคนที่ยโส เย่อหยิ่ง แข็งกร้าวเป็นคนประเภทใด มีชีวิตหรือว่าไร้ชีวิต (ไร้ชีวิต)
            ทำไมเราจึงกล่าวว่าคนที่ยโสโอหังเปรียบเหมือนคนที่ไร้ชีวิต  คนที่ยโสโอหังหรือแข็งกร้าว มักจะทำตัวแข็งกระด้าง ใช่หรือไม่ (ใช่ความแข็งกระด้างถ้าเปรียบกับชีวิตก็คือความตาย ใช่หรือไม่ (ใช่ไม่อ่อนไหว ไม่เป็นธรรมชาติ เพราะมัวยึดติดกับทิฐิ หรือยโสโอหังในความแข็งกร้าวของตนจนเกินไป  ฉะนั้นความอ่อนน้อมบางครั้งถ้าเรามีไว้บ้างก็เป็นสิ่งที่ดี เป็นการมีชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่) หรือพูดให้ง่ายเข้าไปอีกก็คือ เวลาเราดูต้นไม้ เราดูธรรมชาติ ธรรมชาติที่มีชีวิตย่อมอ่อนไหว  ธรรมชาติที่แข็งคือธรรมชาติที่ตายหรือใกล้จะตาย ใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นมนุษย์เรา เกิดเป็นคนทั้งทีจะแข็งไปไย  หรือเรายกสำนวนง่ายๆ ให้ท่านดู  ม้าที่เป็นม้าอาชาไนย เป็นม้าที่คนนิยมชมชอบ เพราะมีคุณสมบัติของความเป็นม้าที่เพียบพร้อมสมบูรณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่แต่ถ้ามีความพยศอยู่อย่างเดียว มีใครอยากจะนำมาใช้ไหม (ไม่มีแม้เขาจะมีคุณสมบัติเพียบพร้อมดีเหมาะสมทุกประการ เราก็ไม่อยากใช้ ไม่อยากขับขี่ ขอเป็นเพียงม้าธรรมดาก็พอ แต่ควบคุมง่ายเชื่อฟัง และปฏิบัติตามเรา เราก็ชอบแล้วใช่หรือไม่ (ใช่
            คนก็เหมือนกัน แม้จะมีพรสวรรค์ มีความเก่งกล้า มีความสามารถมากมาย  แต่ถ้าเขามีความยโสโอหัง แม้เพียงประการเดียว มีใครอยากคบค้าสมาคมกับเขาบ้างไหม (ไม่มีแม้แต่ตัวท่านเองก็ไม่ชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นอยู่ร่วมกันอย่าได้เอาท่าทีหยิ่งผยองหรือมั่นใจในตนเอง มาแสดงต่อกัน แต่ควรใช้ท่าทีที่อ่อนน้อมสามารถอยู่ร่วมกับเขาได้  สามารถเปิดใจรับฟังทุกเรื่องราวได้ แม้ตนเองจะเป็นผู้รู้มามากมายเพียงใดก็ตาม  หากเรามีใจเปิดรับเรื่องราวได้  เราย่อมเป็นคนที่สามารถมีความรู้  สามารถเป็นผู้ที่อยู่ร่วมกับทุกคนได้อย่างเป็นสุข  ใช่หรือไม่ (ใช่วันนี้ในที่นี้ทุกๆ ท่าน ก็คงอยากอยู่ร่วมกับเราได้อย่างเป็นสุขตลอด จนกว่าเราจะกลับ ดีหรือไม่ (ดีแต่ทำไมช่างเอื้อนเอ่ยวาจาได้ยาก  ยังคงกลัวอะไรเราหรือเปล่า 
            หากวันนี้เรามา  แล้วเรากล่าวว่าเราก็เป็นคนๆ หนึ่งที่ไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์อะไร  ท่านคงกล้าคุยกับเราใช่หรือไม่ (ใช่หรือเราพูดว่าวันนี้เราเป็นเด็กธรรมดา     คนหนึ่งที่อยากจะมาพบหน้าท่าน อยากจะมาคุยเรื่องธรรมะกับท่าน ท่านคงกล้าขึ้นเยอะ  ใช่หรือเปล่า (ใช่แต่พอเราพูดว่าเราเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เรายกตัวเองสูงขึ้นหน่อย ท่านก็เกิดม่านกังขา ม่านแห่งความสงสัยที่ครอบคลุมจิตใจแล้ว  การจะคุยกับเราก็เลยรู้สึกว่าช่างตอบยาก ช่างเปิดใจยากใช่หรือเปล่า (ใช่) เราพูดว่าเราก็คือคนๆ หนึ่ง ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไร ไม่ใช่คนที่อวดเก่งอะไร  เพราะใครๆ ก็คงไม่ชอบ หากเดินมาแล้วบอกว่าฉันเก่งกว่าเธอ  ฉันเก่งที่สุด  ท่านก็คงไม่อยากคุยกับเราแล้วใช่หรือไม่ (ใช่
            เมื่อมาอยู่ในกายคนก็เปรียบเหมือนคนธรรมดาคนหนึ่ง จะต่างกันก็ตรงที่พุทธภาวะหรือพุทธธรรมญาณเท่านั้นเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่แต่ถ้าเรายังไม่สามารถประจักษ์ให้ท่านเห็นได้ ท่านก็คงยากที่จะยกย่องเราได้  เปรียบเหมือนคนๆ หนึ่งหากเขาไม่มีบารมีพอ  เราก็คงไม่เคารพเขา ใช่หรือไม่(ใช่วันนี้เราก็คงยังมีบารมีไม่พอ ท่านถึงยังเคารพเราไม่ลง  เราก็ไม่ว่าอะไร 
            อย่างที่กล่าวไว้ตอนต้นเราก็คือคนๆ หนึ่ง อย่าได้ยกย่องให้เป็นอะไรมากมายเลย  เราจึงจะได้คุยกันได้ เปิดใจเปิดอกพูดคุยกันต่อไปได้  หากพบหน้ากันแล้วมีแต่ความกังขาลังเลสงสัย  มาวันนี้แม้จะฟังเราทั้งชั่วโมงก็ไม่มีประโยชน์อะไร ใช่หรือไม่(ใช่อาจจะง่วงแล้วก็เบื่อและฟังไม่รู้เรื่องด้วย 
            กล่าวเริ่มต้นเรื่องธรรมะไปไม่กี่เรื่อง  แต่ถ้าถามหยั่งลึกในใจท่าน จะมีสักกี่คนที่ฟังเข้าใจ พอเห็นหน้าเราก็ตาโตกันเป็นแถว เราลองมาคุยกันเรื่องง่ายๆ ปกติธรรมดาสามัญก่อนแล้วกัน  ในโลกนี้มีใครบ้างอยากเป็นคนร่ำรวยที่สุด มีใครบ้างไม่อยากเป็นคนจน  (มี ,ไม่อยากเป็นคนจน เพราะไม่มีอะไรเลี้ยงลูก) แล้วก็ไม่มีอะไรจะเลี้ยงตนเองด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) ในโลกนี้ทุกคนไม่ชอบความจน  เราชอบมีเงินนิดหน่อย เรียกว่า ห่างจากความจนสักเล็กน้อยก็ยังดี ใช่หรือไม่ (ใช่แต่ทุกคนรู้ไหมว่า  ผู้ที่ต้องการในสิ่งที่ตนเองไม่เคยมี  จะประสบทุกข์  เคยได้ยินคำนี้ไหม เราอยากแต่เราทำอย่างไร รวยก็อยากรวย ทุกข์ก็ไม่อยากทุกข์  แต่สิ่งที่พูดกับสิ่งที่อยากมันต้องขัดแย้งกัน ใช่หรือไม่ (ใช่มีใครบ้างอยากแล้วไม่ทุกข์  มีใครบ้างอยากได้ในสิ่งที่ตนเองไม่มีแล้วไม่เกิดทุกข์  ล้วนเกิดทุกข์ทั้งนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่แต่การมีสิ่งที่ตนเองมีอยู่นั้นไม่อาจเรียกว่าร่ำรวยได้ เพราะคนเราเกิดมา มีแต่ตัวเปล่า แล้วเราก็กำหนดว่าตัวเปล่านั่นแหละคือความจน  แล้วเราจะทำอย่างไรดี ให้รวยด้วยแล้วไม่เกิดทุกข์ด้วย (ต้องรู้จักพอ เพราะถึงมีน้อยแต่เรารู้ว่าพอ ก็เป็นความร่ำรวยของเรา) นั่นก็คือว่าแม้มีน้อย แม้จะไม่รวยมากก็สามารถมีความสุขในคำว่ามีน้อยได้  ใช่หรือไม่ (ใช่
            แต่ตอนนี้คนเราต่างกัน  บางคนเกิดมาก็ร่ำรวยทันที  บางคนเกิดมาก็ไม่มีอะไรทันที แล้วจะทำอย่างไร  ก็ต้องปฏิบัติแตกต่างจากท่านที่ตอบเมื่อสักครู่ เพราะว่ามีใครบ้างที่รวยแล้วไม่เหยียดหยามคนจน ไม่หลงในโลกียสุข มีใครบ้างที่จนแล้วไม่พยายามประจบประแจงคนรวย  มีใครบ้างที่จนแล้วพยายามดีด    ตัวเองในทางที่ถูกเพื่อให้ตัวเองรวยขึ้นมา ก็คงหาได้ยาก ใช่หรือเปล่า (ใช่คนจนมักอยากจะรวยขึ้นมาแล้วทำให้เร็วที่สุด นั่นก็คือยอมทำผิดสักครั้งหนึ่งให้  ตนเองรวยขึ้นมาแล้วค่อยมาปฏิบัติดีชดเชย ใช่หรือไม่ (ใช่ ,ไม่ใช่) มีทั้งใช่และไม่ใช่  ที่ตอบว่าไม่ก็คือเขาไม่ยอมทำ ที่ตอบว่าใช่ก็คือหมายถึง คนอื่นไม่ใช่ฉัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
            ฉะนั้นการเป็นคน แล้วดำเนินชีวิตในสังคมจึงเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย แต่ถ้ามนุษย์เรารู้จักดำรงตนให้ถูกต้อง เมื่อจนแล้วพอใจแล้วมีสุขในคำว่าจน  เราก็ไม่เป็นทุกข์ไม่เดือดร้อน ใช่หรือไม่ (ใช่เมื่อร่ำรวยแล้วไม่มีการเหยียดหยามผู้อื่น ไม่หลงโลกียสุข หมั่นมองหาคุณธรรม หมั่นเพิ่มคุณธรรมให้กับตน ไม่ว่าจะจน ไม่ว่าจะรวย เขาก็มีความสุขในคำว่าจนและรวยได้ ใช่หรือไม่ (ใช่แต่มนุษย์กลับทำกลับกันกับสิ่งที่เรากล่าว คนไม่มีก็พยายามอยากจะมี  คนมีก็เพิ่มให้มีมากที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้จะหาได้ ใช่หรือไม่(ใช่เขาต้องทุกข์เพราะความอยากในสิ่งที่ตนไม่เคยมี ใช่หรือไม่(ใช่
            “ลาภยศอยู่ไม่นานก็ปะปน อารมณ์คนถูกสนองไยไม่สิ้น”  แต่จะมีสักกี่คนที่อยู่ใกล้กับลาภยศแล้วตนเองไม่เผลอคว้าลาภยศ  อยู่ข้างๆ อารมณ์ แล้วไม่ติดอารมณ์คนข้างๆ  พอเห็นเขามีลาภยศ มีใครบ้างกล้ายืนยัน กล้ารักษาใจอันคงเดิมว่าฉันไม่มีก็ไม่เป็นไร คงหาได้ยาก ใช่หรือไม่(ใช่) แม้ฉันจะแต่งตัวมอซอยืนอยู่ใกล้ๆ คนแต่งตัวเต็มเกียรติเต็มยศ ฉันก็ไม่อับอาย   มีใครกล้ากระทำเช่นนี้ (ก็เราพอใจแค่นั้น) ถ้าเราให้ท่านเปลี่ยนเป็นใส่เสื้อขาดวิ่น อยู่กับคนเสื้อไม่ขาด ท่านกล้ายืนไหม (ไม่กล้า)                 แล้วมีใครในโลกนี้
เวลาเกิดอารมณ์ขึ้นมาแล้วสามารถหยุดอารมณ์นั้นได้ และไม่มีอารมณ์นั้นเกิดขึ้นในชีวิตอีกต่อไป เรารู้จักการหยุดก็คือรู้พอ เรารู้จักการมีและการหยุด แต่การกระทำของเรามักไม่สอดคล้อง มีเป็นแต่หยุดไม่เป็น มีได้แต่พอไม่ได้ ฉะนั้นเวลามีอารมณ์หนึ่งจึงเกิดอารมณ์ที่สอง อารมณ์ที่สามตามมา เวลามีลาภยศครั้งหนึ่งก็อยากได้ตำแหน่งที่สูงขึ้นไปอีก มากขึ้นไปอีกกว่าเดิม  แล้วเราเป็นทุกข์ไหม เหนื่อยหรือเปล่ากับการไต่เต้า เหนื่อยหรือเปล่ากับการดิ้นรนแสวงหา ตอนนี้ยังไม่แสวงหาก็อาจจะยังไม่รู้สึกเหนื่อย  แต่ถ้าคนที่เคยแสวงต้องรู้แน่ว่าเหนื่อยเพียงใด ต้องต่อสู้เพียงใด ต้องดิ้นรนมากน้อยแค่ไหน แล้วจะมีใครสักกี่คนที่หยุดยั้งได้ทันก่อนที่ชีวิตจะหมดสิ้นไป หลายครั้งมาหยุดเป็นก็ต่อเมื่อใกล้จะหมดลมหายใจแล้ว หลายครั้งมารู้ตื่นก็ต่อเมื่อชีวิตนั้นใกล้จะหมดค่าแล้ว
            การปล่อยตัวเองให้มีชีวิตอย่างไร้ค่า มีชีวิตแต่มีความหมายเพื่อ    ตนเองนั้น มีคุณค่าเพียงพอไหมที่จะเรียกว่ามนุษย์คือผู้ประเสริฐ  ในการเกิดมามีชีวิตหนึ่ง แต่มีคุณค่าเพียงเพื่อตนเองและครอบครัวตนเองเท่านั้น จะเหมาะสมไหมกับการเกิดเป็นคนที่เรียกว่าผู้ประเสริฐ แล้วอย่างไรถึงจะเรียกว่าผู้ประเสริฐที่แท้จริงได้ (เอื้อเฟื้อต่อเพื่อนฝูงและมนุษย์ด้วยกัน)
            ไม้ถ้าปล่อยให้ผุพัง แกะสลักอย่างไรก็ไม่สวย  ชีวิตหากปล่อยให้แก่เฒ่าจนถึงชราจะมาฟื้นฟู จะมาปฏิบัติ จะมาสร้างคุณค่าและความหมายให้กับ ผู้อื่นทันหรือไม่ (ไม่ทันกับอีกแบบหนึ่งกำแพงที่สร้างด้วยหิน แต่ถ้าปล่อยให้ทรุดโทรมแล้ว ก็ย่อมเป็นอันตรายทั้งแก่ตนและผู้อื่น การมีชีวิตแม้มีสุขภาพแข็งแรง แม้ดำเนินชีวิตไปตามอิสระเรื่อยเปื่อย  แต่ถ้าไม่สร้างคุณค่าเราก็อาจสร้างอันตรายให้กับตนได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง  ฉะนั้นเกิดเป็นคนคุณค่าของคนอยู่ที่ใดกัน  อยู่ที่การปฏิบัติทำความดี หรือพูดง่ายๆ ก็คืออยู่ที่การปฏิบัติตนเพื่ออะไร บางคนมีชีวิตปฏิบัติตนเพียงแต่ตนเอง แต่บางคนมีชีวิตปฏิบัติตนเพื่อมหาชนและเพื่อตนได้หลุดพ้น  การดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องตามครรลองคลองธรรมและควบคุมตนให้ตนดำเนินถูกต้องอย่างเหมาะสมและถูกทาง  คนผู้นั้นย่อมเรียกได้ว่าผู้บำเพ็ญหรือผู้เหมาะสมในการขัดเกลาตน หรือพูดง่ายๆ ก็คือคนที่มีคุณค่าอยู่ในสังคม แต่คนปัจจุบันนี้จะมีสักกี่คน ที่อยู่ในโลกแล้วถือคุณธรรมเป็นหลัก ปฏิบัติตามกฎหมาย ปฏิบัติตามจริยธรรมหรือคุณธรรมได้อย่างถูกต้อง ไม่มีขาดไม่มีเกิน คงหาได้ยาก  ฉะนั้นการฟื้นฟูอบรมตน การบำเพ็ญตนขัดเกลาตนจึงมีความสำคัญเช่นนี้ เพราะมนุษย์เรามักจะง่ายในการปล่อยตัว ปล่อยจนตนเองกลายไปเป็นเหมือนไม้ที่ผุแล้ว ปล่อยตนเองไปเหมือนกำแพงที่ทรุดโทรมแล้วจะมีค่าอะไรในตอนนั้นที่จะมาฟื้นฟู แต่ตอนนี้หลายๆ ท่านที่อยู่ในชั้นนี้ ล้วนเป็นผู้ที่ยังไม่ใช่ไม้ที่เสื่อมทรุด ยังไม่ใช่หินที่ทรุดโทรม ล้วนเป็นไม้ที่สามารถนำมาแกะสลักให้เกิดคุณค่า ให้เกิดความดีได้ ล้วนเป็นหินที่สามารถสร้างความมั่นคงแข็งแกร่งให้กับชีวิต และก็ให้กับผู้อื่นได้ดำเนินได้  ฉะนั้นการที่เรามาฟังคุณธรรมวันนี้ การที่เรามาฟื้นฟูคุณธรรมหรือมาฟังธรรมในวันนี้มีประโยชน์อะไร ก็มีประโยชน์อยู่ตรงนี้ ตรงที่เรากล่าวเช่นนี้ 
          “พลิกสถานการณ์ตาลปัตรกลับตื่นรู้ทาง  จิตสว่างสิ่งทุกข์ผันอิสระเหิน
            ปิติสุขเคว้งคว้างถ้ามากเกิน                   ผู้เผชิญโลกนานไปรู้ตน
            พุทธะนั้นเมื่อรู้แล้วว่าชีวิตนี้ช่างหาสุขได้ยาก  การดำเนินชีวิตนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายหรือเป็นเรื่องล้อเล่น หรือเป็นเรื่องที่ปล่อยผ่านไปวันหนึ่งๆ  โดยที่ไม่คิดอะไร ไม่สร้างคุณค่าอะไร เมื่อท่านรู้เช่นนี้ท่านจึงขวนขวายหาทางให้กับชีวิต ทางที่แท้จริงของชีวิตไม่ใช่การดิ้นรนแสวงหาแค่ลาภยศชื่อเสียง แต่เป็นทางที่รู้จักนำพาตนเองให้รู้ตื่น  การรู้ตื่นที่แท้จริงนั้นเป็นการรู้ตื่นที่สามารถไม่หลงอยู่ในวัฏฏะเวียนว่าย ไม่หลงพ่ายแพ้ไปกับอบายมุข ไม่หลงพ่ายแพ้ไปกับอุปกิเลสหรืออารมณ์ต่างๆ ที่มาแทรกอารมณ์  สามารถดำเนินชีวิตตนเอง นำพาชีวิตตนเองได้ ไม่ปล่อยตนเองเป็นทาสอารมณ์ ไม่ปล่อยตนเองเป็นทาสแห่งเกียรติยศและชื่อเสียง  การที่รู้จักควบคุมตนและนำพาตนเองจึงย่อมสามารถพบแสงสว่างแห่งชีวิต  แม้ยังไม่พบแสงสว่าง ก็พบความร่มเย็นเป็นสุขให้กับชีวิตได้ แต่ว่าคนในโลกนี้ จะมีสักกี่คนที่ยอมทิ้งโลกียสุข วิ่งเข้าหาโลกียธรรม  ทุกคนล้วนแต่ทิ้ง      โลกียธรรมวิ่งเข้าหาโลกีย์วิสัย  เพราะอะไรเราถึงทิ้งคุณธรรมได้ง่ายดาย เราถึงสามารถปล่อยคุณธรรมความดีงามทิ้งไปได้ เพราะมนุษย์คิดว่าชีวิตต้องดิ้นรน เพราะมนุษย์คิดว่าชีวิตคือการแสวงหา แต่แสวงหาทั้งทีทำไมไม่แสวงหาให้ถูกทาง ทำไมต้องไปแสวงหาสิ่งที่ทำให้ตัวเองต้องเวียนแล้วเวียนอีก ต้องเวียนพบแล้วเวียนพราก ต้องเวียนมีแล้วเวียนสูญเสีย
            กี่คนฟังแล้วจะรู้ตื่น จะปฏิบัติตาม ทุกคนรู้แต่ขาดการลงมือกระทำ ทุกคนเข้าใจว่าโลกนี้ล้วนอนิจจัง ไม่เที่ยงแท้ ชีวิตนี้ล้วนไม่ยืนยาว แต่จะมีใครที่สามารถลุกขึ้นยืนสู้ เป็นคนหาญกล้าหยัดยืนคุณธรรม คนในโลกนี้พอให้เลือกระหว่างคุณประโยชน์กับคุณธรรม ทุกคนมักแสวงหาคุณประโยชน์มากกว่าจะดำรงรักษาคุณธรรม แล้วเราก็จะกลายเป็นคนที่เห็นแต่ประโยชน์มากกว่าเห็นคุณธรรม แล้วเราควรจะทำอย่างไร นิ่งเฉย หรือรู้แล้วก็ปล่อยตนไปเช่นนั้น พอทุกข์ค่อยมาคิดหาทาง  (เอาธรรมมาปฏิบัติ)
                     หัวหน้าชั้นตอบคำถามหน่อยว่าถ้าเรารู้อย่างนี้แล้วเราจะทำเช่นไร
ให้ท่าน   เลือกระหว่าง  คนประเภทหนึ่งนิ่งเฉย อีกคนประเภทหนึ่งรู้ตื่น     อีกคนประเภทหนึ่งลุกขึ้นยืนแล้วเอาชนะให้ได้ (ลุกขึ้นยืนแล้วเอาชนะให้ได้) ถ้าถามทุกคน ทุกคนก็คงเลือกข้อที่ 3 หรือเลือกเป็นบุคคลประเภทที่ 3 ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จริงๆ เราเป็นประเภทใดกันเป็นส่วนใหญ่  เราเปลี่ยนจากรู้ตื่นเป็นรู้แล้วเข้าใจเฉยๆ แต่ไม่ลงมือกระทำ  บางคนรู้ตื่น รู้ว่าธรรมะ รู้ว่าการมานั่งฟังธรรม การบำเพ็ญตนเป็นสิ่งที่ดี แต่ตื่นแค่เพียงลืมตาแล้วก็นอนนิ่งๆ พอมีลมเย็นพัดมาก็พร้อมจะหลับได้อีก ใช่หรือไม่ (ใช่คนที่ลุกขึ้นยืนหาญกล้าสู้เช่นนี้  ก็คงน้อย   ใช่หรือไม่ (ใช่เพราะว่ามนุษย์มักจะขีดเส้นจำกัดให้ตนเอง แล้วจะจำกัดตนเองอยู่นั้นไม่ยอมล้ำเส้นของชีวิตตนเอง  เพื่อให้ตนเองปลอดภัย เหมือนท่านนี้ขีดเส้นจำกัดว่าตนเองมีความสามารถเท่านี้  การจะดิ้นรนให้มากกว่านี้จึงไม่ยอมดิ้น  การพยายามต่อสู้เพื่อจะข้ามเส้น จึงไม่ยอมข้าม  เหมือนตอนนี้บอกว่าทุกคนบำเพ็ญได้ ทุกคนสามารถเป็นผู้ที่ยืนหยัดพิทักษ์คุณธรรม พิทักษ์ความเที่ยงธรรมในโลกนี้ได้ แต่มนุษย์มักจะกลัวแล้วขีดเส้นไว้  เพราะทุกคนคิดว่าเพื่อตนเองจะได้ปลอดภัย  จึงขีดเส้นจำกัดไว้ว่า ห้ามเกินตรงนี้ เพราะถ้าเกิดเกินขึ้นมา ตนเองจะเดือดร้อน  พอเห็นคนอื่นทำผิด จึงนิ่งเฉย พอเห็นคนอื่นเดือดร้อนจึงยากจะช่วยแก้ไข ใช่หรือไม่ (ใช่แล้วโลกเป็นอย่างไร คนรอบข้างท่านเป็นแบบไหน ตัวท่านเองกระทำต่อเขาอย่างนี้ใช่หรือไม่ (ใช่พอเห็นคนทุกข์ เราขีดเส้นจำกัด เพราะกลัวเดือดร้อน จึงไม่ยอมยื่นมือเข้าไปช่วย ใช่หรือไม่ (ใช่)
            มีใครกล้าตอบบ้างว่า เวลาเราเป็นผู้ผ่านมาเห็นรถประสบอุบัติเหตุแล้วเราจะจอดไปถามเขาหรือยื่นมือเข้าไปช่วย  หลายคนในนี้มักจะรู้สึกไม่กล้าช่วย กลัวตนเองเดือดร้อน กลัวตนเองจะติดร่างแห  จึงทำให้ตัวเรานั้นยากจะรักษาความเที่ยงธรรม ตัวเรานั้นยากจะฉายปรากฏความเมตตากรุณา  เพราะทุกคนต่างคนต่างกลัวตนเองเดือดร้อน ใช่หรือเปล่า (ใช่หรือพูดง่ายๆ คือปัดขยะให้พ้นตัว ปัดความลำบากให้พ้นกาย แล้วโลกเป็นอย่างไร คนรอบข้างเดือดร้อนแค่ไหน พอถึงท่านลำบากจริงๆ ท่านจะพูดว่าโลกนี้ไม่มีความเห็นใจกันเลย โลกนี้ไม่มีความเมตตาต่อกันเลยไม่ได้  ในเมื่อตัวท่านยังไม่เคยเริ่มต้น ยังไม่เคยกล้าหาญพอที่จะลุกขึ้นช่วยเขา  ยังไม่กล้าหาญพอที่จะพิทักษ์ความยุติธรรม 
            บ่อยครั้งที่เราอยู่ในสังคม อยู่กับเพื่อน เห็นเขาทำผิดอยู่ชัดๆ เรากลับนิ่งเฉย เห็นลูกหลานทำผิดอยู่เต็มตา เรากลับยากตักเตือน เรากลับแชเชือน เรากลับนิ่งเฉย  เห็นตัวเองผิดแต่กลับให้อภัย ไม่แก้ไข แล้วความสำเร็จจะบังเกิดได้ฉันใด ใช่หรือไม่ (ใช่คนที่สามารถประสบผลสำเร็จแล้วบรรลุถึงความดี นั่นก็คือมองเห็นตัวเองก่อนว่าตนเองผิดพลาดอย่างไร  เมื่อมองเห็นตนเองแล้ว เอาชนะความผิดพลาดตนเองนั้นให้จงได้  เขาก็จะเป็นผู้หาความสำเร็จได้ง่าย บรรลุถึงความดีได้  แต่คนในโลกนี้กลับกลับตาลปัตร ถึงรู้แต่ยากทำ ใช่หรือไม่ (ใช่เอาแต่นิ่งเฉย เอาแต่นอนนิ่ง  เราจะตีท่าน ก็คงตีไม่ได้ ได้แต่พูด ได้แต่ชี้นำ ได้แต่ปูพื้นฐานให้ท่านเดิน แต่จะมีใครสักกี่คนที่ก้าวเดินไปแล้ว สามารถไม่เปลี่ยนใจ  ไม่โลเล  เป็นอย่างนั้นได้หรือไม่ (ได้
            ถ้าท่านช่วยคนแล้วส่งเสริมคุณธรรมในตน เราดีหรือท่านดี (เราดีหากท่านดีแล้วคนในสังคมจะไม่คล้อยตามท่านหรอกหรือ ก็ต้องตาม ถ้ามีผู้นำที่ดี  ใช่หรือไม่ (ใช่แต่ตอนนี้ผู้นำคดเคี้ยว หาความตรงไม่เจอ ใช่หรือไม่ (ใช่) เป็น   ผู้นำที่ยากเข้าหาเหลือเกิน ใช่หรือเปล่า (ใช่แม้แต่อารมณ์เราเองยังนำร่างกายเราเองได้ไม่ค่อยตรงทางเลย  วันนี้ว่าหาสิ่งที่ตนเองสมปรารถนาได้แล้ว แต่พอได้มาเข้าจริงๆ กลับผิดหวังในสิ่งที่ตนเองหา ใช่หรือไม่ (ใช่วันนี้พยายามทำให้ดีที่สุดแล้ว  แต่ผลสุดท้ายกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า
            “ดึงใจกลับตั้งสติไม่อับจน จลาจลใจยังแต่นิ่งเป็นทุน”  เมื่อเราประสบความยากลำบาก ประสบปัญหาในการดำเนินชีวิต เราควรมีสติแต่มีเมื่อใจนิ่ง การจะแก้ไขปัญหาย่อมมองได้ง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่หากเจอความทุกข์ยากหรือความลำบาก เจออุปสรรคในการดำเนินชีวิต แต่ใจเราวุ่นวาย เราไม่ยอมทำใจให้ราบเรียบก่อน การแก้ปัญหาย่อมเป็นการยาก  การมองปัญหาย่อมยากที่จะมองออก  ฉะนั้นเมื่อเจอปัญหา เจอความยากลำบากในการดำเนินชีวิต ขอให้วางใจให้นิ่ง เมื่อใจนิ่งย่อมมองออกง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่ไม่เหมือนใจที่กวัดแกว่งไปมา  ซึ่งมองอะไรก็ย่อมยากจะมองชัด ตัดสินอะไรก็ย่อมยากที่จะเที่ยงตรง ใช่หรือเปล่า (ใช่
            “สัตยธรรมเป็นรากหยั่งใจเที่ยงตรง  ศีลคุมลงธรรมพิชิตโลกีย์ขุ่น”        ศีลธรรมคอยควบคุมเราไม่ให้กระทำผิด  คุณธรรมช่วยพิชิตความชั่วร้ายในจิตใจและสังคม  คนที่รู้จักบำเพ็ญตน คือคนที่รู้จักปลดเปลื้องความคิดชั่วร้ายให้ออกไปจากจิตใจให้หมดสิ้น คือคนที่รู้จักควบคุมตนเองให้มีการแสดงออกที่มีแต่ความจริงใจและน้ำใจไมตรี  คนที่รู้จักควบคุมตน บำเพ็ญตนคือคนที่รู้จักระมัดระวังการกล่าววาจาไม่ให้วาจาที่ออกมานั้นหยาบโลน ไม่ถูกต้องและ      ไม่เหมาะสม  หากมนุษย์เราดำเนินชีวิต รู้จักควบคุมชีวิต รู้จักควบคุมกาย ใจ ความคิด  ก็ย่อมยากที่จะประพฤติผิด ก็ย่อมยากที่จะมีใครรังเกียจเดียดฉันท์   ใช่หรือไม่ (ใช่แต่มักจะมีแต่อยู่ร่ำไป เรามักแต่บ่อยๆ เพราะว่ามนุษย์ไม่เป็นอย่างที่เราพูด  คนรอบข้างไม่ทำอย่างที่ท่านกล่าวหรือเรากล่าวใช่หรือไม่ (ใช่เราจึงไม่จำเป็นต้องทำดีกับเขา ไม่จำเป็นต้องควบคุมตัวเรา ได้หรือไม่ (ไม่ได้
            ผู้ที่รู้จักควบคุมตน ทำตนให้ถูกเรียกว่าคนดี แต่ผู้ที่ชอบหวังแต่ประโยชน์ส่วนตน ไม่คำนึงถึงกฎหมาย ไม่คำนึงถึงคุณธรรม  พูดง่ายๆ ก็คือคนพาล ใช่หรือไม่ (ใช่บ่อยครั้งที่เรามักจะเป็นคนพาลมากกว่าคนดี  บางครั้งก็เป็น บางครั้งก็ไม่เป็น ใช่หรือเปล่า (ใช่เพราะบางครั้งเราคิดว่าการกระทำของเรา คำพูดของเรากลั่นกรองมาแล้ว ตรวจสอบมาแล้วซึ่งความถูกต้องใช่หรือไม่ (ใช่แต่ทำไมมีทั้งรับและไม่รับ  มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย  แปลว่าการกระทำของเราย่อมเกิดผลสองฝ่าย  ฝ่ายหนึ่งสะท้อนดี กับฝ่ายหนึ่งสะท้อนไม่ดี  แต่ถ้าคนอยู่ในโลกกระทำทุกอย่างไม่มีใครสะท้อนผลไม่ดี แปลว่าการกระทำของเรานั้นดีเลิศที่สุดแล้วหรือ ก็ไม่แน่  ใช่หรือไม่ (ใช่เมื่อไรที่ยังมีสะท้อนไม่ดี หากคิดในทางที่ดี ก็แปลว่าเมื่อนั้น คนๆ นั้นเขายังหวังดีกับเรา  พร้อมที่จะตรวจสอบดูแลเรา  แต่ถ้าคิดในทางที่ร้ายก็อาจจะบอกว่า การกระทำของเขาไม่ถูกต้อง จึงเห็นเราดีไม่ขึ้น หรือพูดง่ายๆ ก็คืออิจฉาเรานั่นเอง จึงไม่เห็นคล้อยด้วย ก็อาจจะเป็นได้ แต่ใจเราห้ามคิด ไม่อย่างนั้นท่านจะอยู่กับเขาไม่มีความสุข  เพราะคิดว่าเขาอิจฉาริษยาเราอยู่ร่ำไป  เห็นเราดีไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
            บางท่านอายุยังน้อยก็ไม่ต่างจากเราเท่าไร  แต่ทำไมเราอายุเท่านี้ จึงสามารถมีใจที่อยากจะฝักใฝ่บำเพ็ญธรรม ทำไมเราจึงสามารถมายืนตรงนี้ กระทำในเรื่องคุณธรรมได้  แต่ท่านยังนั่งอยู่ตรงนี้ ยังไม่เข้าใจเรื่องคุณธรรม       ก็ไม่ใช่เป็นเพราะว่าท่านมีดีน้อยกว่าเรา  ท่านมีดีแต่ยังไม่เอาดีออกมาให้เห็น    ใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจึงไม่ได้เลือกที่วัยวุฒิ  อยู่ที่ว่าใครจะรู้ตื่น ใครจะเห็นแจ้งชีวิตได้ก่อนกัน ใครจะรู้ว่าชีวิตนี้หากเราเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว เรายังมีคุณค่า  สามารถนำพาชีวิต นำพาผองชนที่ทุกข์ยากให้เขาได้รู้ตื่น ให้เขาได้มีความสุขด้วย 
            ทุกท่านก็คงเคยหรือบ่อยครั้งที่อาจจะเอาของที่มีค่าที่สุดหรืออาจจะไม่มีค่าสำหรับท่านไปให้กับคนที่ไม่มีอะไรเลย  เขาเป็นอย่างไรกันบ้าง (เขาดีใจท่านรู้สึกว่าเขาดีใจ มีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าเกิดว่าท่านนำชีวิต นำความสว่าง นำหนทางในการดำเนินที่สามารถนำพาตัวเขาเองไปได้ตลอดรอดฝั่ง เขาจะไม่ดีใจยิ่งกว่าเดิมอีกหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่ของมีค่าก็ไม่เท่ากับชีวิต  ฉะนั้นถ้าท่านอยู่ในฐานะเรา ท่านอยากเลือกสิ่งใดให้กับเขา (ให้ชีวิตให้ชีวิตที่มีคุณค่า   มีแสงสว่าง  วันนี้เรามา เราจึงไม่ได้มาพูดว่าทำอย่างไรให้ท่านรวยยิ่งขึ้น  ทำอย่างไรให้ท่านสามารถมีคนรักได้เต็มบ้านเต็มเมือง แต่ถ้าท่านบำเพ็ญได้ ปฏิบัติเป็นคนดี เราไม่ต้องบอกวิถีทาง ท่านก็มีคนรักแล้ว ไม่มีคนรังเกียจ  เพราะว่าการปฏิบัติควบคุมตนประพฤติตนให้ถูกทางใครจะไม่รัก 
            ฉะนั้นการศึกษาธรรม หรือการมีชีวิตอยู่บนโลกนั้น  เราจะเอาแต่ใจที่  สนใจในเรื่องทรัพย์สิน ชื่อเสียง เกียรติยศอย่างเดียวไม่พอ  แต่เราต้องรู้จักสนใจชีวิตที่ถูกหนทางด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่ท่านก็รู้อยู่แล้ว มาตัวเปล่า ไปตัวเปล่า  แต่ที่กลับไปได้คือความดี ความเบาใสแห่งจิตใจ  การมีวัตถุเป็นสิ่งที่หนัก การมีลาภยศเป็นสิ่งที่ขุ่น ทำไมถึงยังเลือก  แต่การมีคุณธรรม เป็นสิ่งที่ใส เป็นสิ่งที่เบาบาง ทำไมไม่ยอมเลือกกัน  หรือว่าชีวิตนี้รู้แต่คำว่ามีก็พอ คำว่าไร้อย่าได้สนใจ  ชีวิตนี้สุขเท่านี้ก็พอ จึงไม่สนใจสุขแห่งคำว่านิรันดร์ สุขแห่งคำว่านิพพาน  หรือเป็นเพราะว่ายืนอยู่บนพื้นดิน ก็พอใจในพื้นดินนี้แล้ว  ไม่คิดอยากจะปีนขึ้นสู่ที่สูง   ในเมื่อลาภยศชื่อเสียงยังหวังอยากได้เยอะๆ ยังหวังตำแหน่งสูงๆ ยังหวังเงินทองมากๆ  ทำไมเกิดเป็นคนทั้งทีจึงไม่หวังที่จะมีชีวิตที่สูงส่งกันบ้าง ใช่หรือเปล่า (ใช่)
            ทุกท่านในที่นี้ล้วนเป็นผู้มีปัญญา  ซึ่งหากฝึกฝนคุณธรรมจะเป็นคนที่รัก  เมตตาและกรุณาคนได้ หากคนทั่วไปฝึกฝนบำเพ็ญตนให้มีคุณธรรม จริยธรรม  เขาจะเป็นคนที่ยากจะประพฤติหยาบโลน และจะเป็นคนที่อ่อนน้อมและไม่มีพิษมีภัยกับใคร  คนที่รู้จักควบคุมตน หากดำรงชีวิตในสังคม เมื่อเขาเป็นผู้นำ  เขาย่อมยากจะข่มเหงผู้ตาม  เมื่อคนฝึกฝนบำเพ็ญธรรมเป็นผู้ตาม เขายากจะเป็นคนสร้างพิษภัย ก่อความเลวร้ายให้กับผู้นำ ใช่หรือไม่ (ใช่)   หากท่านทุกคนใน  ที่นี้เป็นคนฝึกฝนบำเพ็ญธรรมให้กับตน จะกลายเป็นคนเช่นไร  (กลายเป็นคนดี มีคุณธรรมหากคนในห้องนี้ฝึกฝนตน บำเพ็ญตน ท่านก็ย่อมไม่กล้าข่มเหงเพราะว่าเมื่อเราฝึกฝนตนเอง เราย่อมรักเขา มีเมตตาต่อเขา ย่อมไม่อยากสร้างพิษภัยให้กับเขา ใช่หรือไม่ (ใช่แล้วท่านจะเป็นคนเช่นไร (เป็นคนที่มีคุณประโยชน์ต่อคนอื่นตัวเรานั้นย่อมเป็นคนที่มีคุณประโยชน์ต่อสังคม  ทางด้านไหนดี (ด้านคุณธรรมในด้านคุณธรรม ในการอยู่ร่วมกัน  หรือพูดง่ายๆ ก็คือเมื่อท่านต้องไปนำเขา ท่านต้องสามารถรับเขาได้ เมตตาเขาได้  เมื่อบางครั้งท่านไปอยู่ในสังคม ท่านต้องเป็นผู้ตามเขา ท่านก็สามารถเคารพเขาได้และจริงใจต่อเขาได้ ไม่สร้างพิษสร้างภัยให้กับผู้นำ ใช่หรือไม่ (ใช่
            ในบางครั้งเราดำเนินชีวิตเราเป็นทั้งผู้นำและผู้ตามได้เสมอ  ฉะนั้นการฝึกฝนอบรมธรรม การฝึกฝนบำเพ็ญตนจึงมีประโยชน์เช่นนี้  แต่ถ้ามองให้กว้างเข้าไปอีก หากคนฝึกฝนบำเพ็ญตนมีความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ ไม่เกียจคร้าน หวังที่จะให้สังคม ให้คนรอบข้างมีความสันติสุข มีความร่มเย็น เขาย่อมรักคนทุกคนได้ แม้คนๆ นั้นไม่ใช่ลูก ไม่ใช่พ่อแม่ของเขา  ความรักของเขาย่อมแผ่กว้างไกลออกไปได้ทั่วสารทิศ ใช่หรือไม่ (ใช่เมื่อผู้สูงอายุได้รับการรักตอบ ได้รับการรักให้ เขาย่อมมีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่คนหนุ่มสาวย่อมรู้จักปฏิบัติตนเองอยู่ในสังคม  คนที่เป็นเด็กย่อมสามารถปลูกฝังเติบโตมีการสร้างเสริมสุขภาพกาย สุขภาพจิตใจที่ดี  เพราะมีแบบนำที่ดีเป็นตัวอย่าง  คนเดือดร้อน ตกทุกข์ได้ยากย่อมมีคนช่วยสงเคราะห์ ใช่หรือเปล่า (ใช่คนทั่วโลกย่อมยากที่จะข่มเหงกัน  คนในสังคมย่อมไร้การพิพากษาเพราะว่าไม่มีเรื่องอะไรต้องทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่มีเรื่องอะไรต้องตัดสิน โลกย่อมสันติได้ ใช่หรือไม่ (ใช่แต่จะมีใครในที่นี้บ้างที่พอเข้าใจแล้วจะเป็นผู้ยืนหยัดอย่างมุ่งมั่น ก้าวไปอย่างไม่ท้อถอยและเกียจคร้านในการบำเพ็ญตน ในการปฏิบัติตน ในการสร้างเสริมคุณธรรม 
            หากท่านผู้เป็นลูกไม่มีคุณธรรม พ่อแม่ก็คงเศร้าใจ  หากท่านผู้เป็นเพื่อนไร้ซึ่งสัจวาจา เพื่อนก็ยากจะจริงใจ  หากท่านผู้เป็นบิดามารดา ไร้ซึ่งความเมตตา ลูกก็ยากจะกตัญญู ใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นตอนนี้เราจะมัวเฉยๆ เอาแต่นั่งนิ่ง    ไม่สนใจ ไม่ขยับเขยื้อน ก็คงไม่ได้แล้ว  ่อไปเมื่อพบกัน ท่านจะมาว่าเราไม่ได้  วันนี้เรามาถึงที่นี่ เรามาบอกท่านแล้ว  วิถีทางการดำเนินชีวิต วิถีทางหาความสุข ความร่มเย็นให้กับตน  ต่อไปถ้าท่านทุกข์  ไม่ใช่มาโทษเราแต่ต้องโทษตนเอง เพราะว่ารู้แล้วแต่ทำไม่ได้ รู้แล้วแต่ยังเกียจคร้าน รู้แล้วแต่อดท้อถอยไม่ได้       ใช่หรือไม่ (ใช่เหมือนวันนี้ถ้าท่านเป็นเรา เราเป็นท่าน คงเข้าใจกันมากกว่านี้  แต่ตอนนี้เราไม่ใช่ท่านแล้วท่านก็ไม่ใช่เรา  ท่านจึงไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด เราจึงต้องมายืนพูดอยู่ตรงนี้ เพราะเหตุใดเราจึงต้องมาขยายความเข้าใจให้ท่านมากกว่านี้ ใช่หรือไม่ (ใช่เหมือนผู้เป็นพ่อแม่ไม่เข้าใจหัวอกลูก  ผู้เป็นลูกไม่เข้าใจ  หัวอกพ่อแม่  เพราะต่างคนต่างปิดใจ ไม่เปิดใจเข้าหากัน  ไม่เปิดใจพร้อมจะรับฟัง ไม่เปิดใจน้อมนำใจเข้าไปดูเขา ใช่หรือไม่ (ใช่ลูกก็ยังกลัวพ่อแม่ เพราะมีม่านแห่งทิฐิ ม่านแห่งอัตตา ม่านแห่งกิเลสตัณหาขวางกั้นอยู่ จึงทำให้เรายากพบเจอกันได้ ยากเห็นกันได้อย่างแท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่
            “ก่อบุญให้ไร้อานิสงส์เรืองไสว”   คนที่สร้างบุญต้องทำอย่างไรถึงจะสามารถให้บุญหรือกุศลนั้นรุ่งเรืองสว่างไสวในพุทธจิตธรรมญาณได้ (ทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทนหรือถ้าเราพูดง่ายๆ คือทำดีโดยไม่หวังผล ทำดีโดยไม่เห็นแก่คน ใช่หรือไม่ (ใช่เราจะไปเป็นผู้นำเขาเราย่อมใจกว้าง และไม่สนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ  แม้สิ่งที่เขากระทำต่อเราจะดูไม่มีเหตุผลก็ตาม  หากเรามีใจกว้าง แล้วไปนำเขาในการปฏิบัติดี  ไม่สนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ผิดพลาดไปบ้าง คนๆ นั้นเขาย่อมตามเราไม่ว่าวันใดก็วันหนึ่ง ใช่หรือไม่(ใช่) แต่มนุษย์เราอดไม่ได้ อดยอมเขาไม่หมดอดสนใจเหตุผลเล็กๆ น้อยๆ ของเขาไม่ได้  ทำไมจึงทำกับเราเช่นนี้       ไม่เห็นมีเหตุผลอะไรเลย หรือไม่เราก็ไม่ยอมทำเพราะว่าดูเขาไม่น่าจะทำให้เลย คุณธรรมเราจึงไม่บังเกิดด้วยเพราะเหตุผลนี้ประการหนึ่งใช่หรือเปล่า (ใช่ลูกเราจึงไม่ปฏิบัติตามเราเพราะอะไร เรายังอดโมโหเขาไม่ได้ เรายังอดหวังให้ลูกตามเราไม่ได้ ฉะนั้นเราต้องปล่อยอารมณ์บ้าง ปล่อยการถือทิฐิเปิดใจให้กว้างแล้วเราจะมองเห็น 
            วันนี้เราก็คงพบท่านเวลาสั้นๆ เท่านี้  ท่านจะได้มีเวลาศึกษาหัวข้อธรรมต่อ แม้ว่าสิ่งที่เราพูดนั้นจะเป็นคำพูดสั้นๆ จะมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์นั้น ขึ้นอยู่กับว่าตอนนี้ท่านจะเลือกสิ่งใด ดังที่เรากล่าวไว้ในประโยคนี้ว่า ในเวลานี้กาลคับขันแล้ว คนทุกคนต่างเพิกเฉยคุณธรรม คนทุกคนต่างไม่สนใจที่จะใฝ่ดี หากผู้เป็นปราชญ์เมื่อโลกวุ่นวายเขาย่อมนำความดีของตนไปช่วยเหลือโลก  แต่คนที่ไม่ใช่ปราชญ์ไม่มีความสนใจในสังคม ไม่มีความสนใจในผู้อื่น เขาจะนิ่งเฉย เขาจะไม่สนใจ โลกจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ทุกท่านในที่นี้ เราคิดว่าคงอยากเป็นปราชญ์กันบ้าง ไม่มากก็น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่
            โลกวุ่นวายทุกคนต้องช่วยเหลือ แต่ถ้าโลกสงบนิ่งก็ไม่จำเป็น ท่านนอนนิ่ง เราก็ไม่ว่าท่าน ใช่หรือไม่ (ใช่ แต่ตอนนี้โลกไม่ใช่ธรรมดาแล้ว คนที่อยู่ข้างๆ ท่าน ไม่รู้วันใดเขาจะคิดเปลี่ยนใจไม่สนใจคุณธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่จะคิดเปลี่ยนใจหักหลังท่าน  ในเมื่อตอนนี้เราสามารถจะนำชีวิตที่ดีงาม และการนำชีวิตที่ดีงามของเรานั้นยังสามารถมีผลสะท้อนให้คนรอบข้างนั้นเห็นดีปฏิบัติดีตามเราได้ ทำไมเราไม่รีบแปรเปลี่ยนโลก แปรเปลี่ยนเพื่อน แปรเปลี่ยนคนรอบข้าง ช่วยยับยั้งเขาก่อนที่เขาจะก้าวผิด หรือช่วยยับยั้งตัวเราก่อนที่เราจะเผลอดำเนินชีวิตผิดพลาดใช่หรือไม่ (ใช่
            วันนี้เราไม่รู้วันพรุ่งนี้ เพราะใจเรายากรักษาคงเดิม เหมือนที่เรากล่าวตั้งแต่ต้น ทุกคนสามารถมีใจหนึ่งใจเดียวได้เพราะอะไรจึงพบได้น้อยก็เพราะว่าเรามักไม่รักษาใจ  หลายคนมักโลเลโลภมาก เปลี่ยนใจ เอาแน่เอานอนไม่ได้ ถึงแม้จะมีปณิธาน มีความตั้งใจว่าจะทำดีให้ถึงชีวิตตราบที่ชีวิตจะมีลมหายใจอยู่ แต่พอสังคมเปลี่ยนไป คนรอบข้างเปลี่ยนไป ใจเราก็อดเปลี่ยนแปลงไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่ถึงแม้วันนี้จะเห็นดี แต่ถ้าเกิดไร้ความมุ่งมั่น ไร้ความตั้งใจ  ฟังไปสองวันก็  ไร้ค่า ถึงแม้เขาจะชวนมาให้ท่านมาดูสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ดูไปก็ไม่มีทางศักดิ์สิทธิ์ เพราะใจท่านไม่เชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของตัวตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่วันนี้เรามาเราก็คงต้องไปแล้ว ขอให้มีใจบำเพ็ญต่อไป อย่าได้ท้อถอย  เราก็ขอให้ทุกคนมีใจบำเพ็ญต่อไป อย่าได้ท้อถอย อย่าได้พ่ายแพ้ต่อความชั่วร้าย  หากดำเนินชีวิตถือความดีนำความชั่วร้าย จะกลัวอะไรกับความเลวร้ายในสังคม หากชีวิตดำเนินมาแล้วซึ่งความดีมีโอกาสช่วยเหลือปวงชน มีโอกาสนำชนไปสู่ฝั่งแห่งความดี จะกลัวอะไรแม้วันพรุ่งนี้จะต้องดับสิ้นไป ใช่หรือเปล่า (ใช่
            หลายคนคงยังไม่เข้าใจ แต่เรื่องที่ควรสงสัยตอนนี้ ควรจะเป็นเรื่องชีวิตมากกว่า  ไม่ใช่เรื่องที่เรามาอย่างไร กลับอย่างไร ใช่หรือไม่ แต่ควรจะสนใจชีวิตของท่านมากกว่า อย่ามัวแต่สนใจคนอื่น เอาตัวเองให้รอด เรามาตรงนี้ รู้ทางกลับแล้ว  แต่ท่านมาวันนี้รู้ทางกลับให้กับชีวิตตนเองหรือยัง





















     วันอาทิตย์ที่ ๑๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๒
    พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
                
                                 รอรอรอรอคำตอบจากศิษย์รัก     ไม่แน่นหนักบำเพ็ญอย่างไรบรรลุผล
            ควบคุมใจของตนเองอย่าวกวน        ความอับจนไม่เกิดกับผู้ทนเป็น
                      เราคือ
    จี้กงสงฆ์วิปลาส                         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา            ลงสู่พุทธสถานเจาหยรู แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว               ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า
           
                        บำเพ็ญธรรมตัดกิเลสความอวดเบ่ง   พร่ำเตือนเร่งลดลงกลับเกียจคร้าน
     คนสำเร็จล้วนแล้วมีความขยัน                 เวลาผ่านปีตามเพิ่มรู้จักใช้
     กำหนดซึ่งชีวิตจุดหมายมีให้พร้อม            น่าอดสูด้วยยอมพ่ายไม่ขวนขวาย
     คนชนะใจตื่นพร้อมก่อนใคร                     ฝึกวิสัยหยิบยื่นเมตตาเป็นมั่นคง
     พุทธะน้อยไปทุกที่สร้างไมตรี                    นำความดีช่วยสังคมความลุ่มหลง
     อนุเคราะห์โลกซาไม่เสื่อมดีดำรง              เพราะเจ้ามีสัจจะคงในกมล
     เสียสละคนสักนิดพิชิตโศก                      เพื่อให้โลกร่มเย็นวิเศษผล
     เริ่มจากเราวันนี้พิสูจน์ตน                         ไม่ท้อบ่นลำบากที่ท่วมทวี
     ฟ้าครึ้มมัวกลัวศิษย์รักจะเปลี่ยน               เป็นดั่งเทียนไส้ขาดสว่างหนี
     หลังสองวันออกไปกระทำดี                      ใช้ธรรมะชี้ทางไม่ห่างตน
                                                                                               ฮา  ฮา  หยุด



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

            ทุกคนที่มาในวันนี้เต็มใจหรือฝืนใจมา (เต็มใจ) เต็มใจหมายความว่าตั้งใจมาใช่หรือเปล่า (ใช่ตั้งใจมาแล้วทำให้สมกับที่ตั้งใจมาหรือเปล่า (สม) เราต้องแน่ใจว่าเรานั้นเต็มใจหรือว่าฝืนใจมา เพราะว่าเรามานั่งฟังธรรมะ   ไม่ใช่มานั่งเล่น  ฟังแล้วเกิดความเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้างเป็นเรื่องธรรมดา   แต่ถามว่าถ้าไม่เข้าใจหมดเลยทั้งสองวัน เป็นเรื่องธรรมดาไหม (ไม่ธรรมดาสองวันนี้มานั่งฟังแล้วมีความเข้าใจมากขึ้นหรือเปล่า (มากขึ้น) คำว่าเต็มใจหมายความว่ามีใจเต็มๆ ใช่ไหม (ใช่)

ศิษย์รู้จักอายตนะอะไรบ้าง  หูของเราใช้ฟังเสียงแล้วต้องแยกไหมว่าเสียงนั้นดีหรือไม่ดี (แยก) ตอนนี้เราฟังเสียงที่ดีหรือไม่ดี (ดีอยู่ข้างนอกเราฟังเสียงที่ดีหรือไม่ดี (มีทั้งดีและไม่ดีตาเราเห็นในสิ่งที่ดีหรือไม่ดี (ทั้งดีและไม่ดีอยู่ที่นี่เห็นในสิ่งที่ดีหรือไม่ดี (ดี) อยู่ข้างนอกเห็นในสิ่งที่ดีหรือไม่ดี (ทั้งดีและไม่ดี) ถ้าจมูกไม่หายใจให้เราเป็นอย่างไร (ตายถามว่าเรานั้นได้กลิ่นที่ดีหรือไม่ดี (ทั้งดีและไม่ดีอยู่ที่นี่ได้กลิ่นที่ดีหรือไม่ดี (ดีอยู่ข้างนอกได้กลิ่นที่ดีหรือไม่ดี (ทั้งดีและไม่ดีลิ้นเรารับรสที่ดีหรือไม่ดี (ทั้งดีและไม่ดีอยู่ที่นี่รับรสในสิ่งที่ดีหรือไม่ (ดีอยู่ข้างนอกรับรสในสิ่งที่ดีหรือไม่ (ทั้งดีและไม่ดีอยู่บ้านกินตามใจปากยังบอกว่าไม่ดีอีกหรือ  อยู่ที่นี่กายดีหรือไม่ดี (ดี) ใจดีหรือไม่ดี (ดีแล้วถามว่าอยู่ข้างนอกดีหรือไม่ดี (ไม่ดีอยู่ที่นี่ดีกว่า      ใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นสองวันนี้มาที่นี่เปรียบไปแล้วเหมือนอยู่ในสวรรค์ไหม (เหมือนทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่างที่นี่ดีใช่หรือไม่ (ใช่เสียงที่ฟัง ตาที่เห็น กลิ่นที่ได้รส กายที่เราได้สัมผัส ใจที่เราได้เกิดขึ้นเป็นใจที่ดีใช่หรือไม่(ใช่เพราะฉะนั้นสองวันนี้มาแล้วเหมือนกับเซียนไหม (ไม่เหมือน, เหมือนทำไมไม่เหมือน (ยังไม่รู้อยากจะกินข้าวก็ไม่ต้องไปทำ เสกมาได้เลย เหมือนเซียนไหม (เหมือนผ้าเย็นๆ ก็มีคนส่งให้ดีไหม (ดี

ถามว่าเราอยู่ที่นี่เปรียบไปแล้วก็เหมือนเซียน ใจของเราสองวันนี้ก็ฝึกใจให้เป็นเซียน ให้เป็นพุทธะ เมื่อใจของเราเป็นพุทธะ เราจึงต้องรักษาใจดวงนี้ให้ดีๆ ใจแห่งความสงสัยและไม่แน่ใจ จำเป็นจะต้องมีเกิดไหม (ไม่จำเป็นแล้วถามว่าเกิดอยู่ตลอดเวลาหรือเปล่า  สองวันนี้ใครยังมีความสงสัย ใจผุดเข้าผุดออกตลอดเวลา  ใจของเราจะเป็นพุทธะหรือไม่ คนที่รู้ที่สุดนั้นคือใคร (ตัวเราเองตัวของเรารู้ตัวของเราดีที่สุด แล้วถามว่าตัวของเราควบคุมตัวเราได้ดีที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่ตั้งแต่เล็กจนโต ถามว่าเราควบคุมใจของเราบ้างหรือเปล่า (ควบคุม,ไม่ควบคุมเพราะฉะนั้นสองวันนี้มาแล้วได้อะไรบ้าง      รู้ไหมว่าโลกอันนี้ภายนอกนั้นมีทั้งดีและไม่ดี  เราต้องเลือกในสิ่งที่ดีให้เรานั้นมอง ฟัง  อย่างน้อยเกิดมาเป็นมนุษย์  สามารถที่จะละการดู การฟัง ความรู้สึกได้ ใช่หรือไม่ (ใช่แต่เราต้องควบคุมที่ภายนอกหรือตัวเราเอง (ตัวเราเอง)    เราควบคุมภายนอกหมดไหม (ไม่หมดเราควบคุมอะไรหมดได้ (ใจเรา)  “ควบคุมใจของเราเอง”  รู้ไว้คำนี้เป็นคำที่เตือนใจได้ดีทีสุด  แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ควบคุมเท่าที่ควรใช่ไหม (ใช่

สองวันนี้จะมีคุณค่าถ้าหากออกไปแล้วรู้จักควบคุมตนเอง สิ่งใดที่ยั่วยวนเรา กวักมือเรียกเราให้เราลุ่มหลง ต้องรู้จักประมาณ ต้องรู้ตน  ไม่ใช่ว่าเรานั้นมีความสามารถไม่พอที่จะหักห้ามใจของตัวเราเอง เวลาที่เราเห็น       สีแดง  แต่เราก็เดินเข้าไปหาสีแดงอันนั้น  แล้วศิษย์จะไม่ลุ่มหลงได้หรือเปล่า (ไม่ได้

พุทธสถานเปรียบเสมือนสวรรค์  สวรรค์และนรกต่างกันที่ใจของเรา  ถ้าใจของเราเป็นใจที่ชั่วร้าย  จะต่างอะไรกับผีนรก ถ้าหากว่าใจของเราดีจะต่างอะไรกับเทวดา  ทุกๆ วันทำตัวเป็นเทวดาหรือผีนรก บางทีก็เป็นเทวดา บางทีก็เป็นผี แต่การจะเป็นพุทธะนั้นยิ่งยากกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่ทุกๆ วันนี้จึงเคร่งครัด เข้มงวดตัวเอง ให้เรามาทำอะไรดี (บำเพ็ญตน, ฝึกจิตของเราให้มั่นคง, มาค้นพบทางกลับบ้านที่ถูกต้อง, เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตประจำวัน

รอรอรอรอคำตอบจากศิษย์รัก”  ถามว่ารอมากี่รอแล้ว ยังไม่ยอมจะตอบเลย  คนอื่นตอบเหมือนเราตอบไหม (ไม่เหมือนคนอื่นบำเพ็ญเหมือนเราบำเพ็ญไหม (ไม่เหมือนแล้วถามว่าคนอื่นตอบแทนแล้วให้เรานั่งเฉยๆ ได้ไหม  กุศลของใคร (ของเราสมมติให้เป็นนามธรรมว่า มีกุศลอยู่ ๑ กอง  คนหนึ่งตอบก็คนหนึ่งได้  คนที่สองตอบก็คนที่สองได้  ถ้ามีอยู่กองเดียวแล้วเราช้า เราก็ไม่ได้ เราก็อด อาจารย์เห็นมนุษย์ที่อยู่ในโลกแย่งชิงกัน ใช่หรือไม่ (ใช่ศิษย์เห็นว่าเรื่องกรรมเรื่องเวรเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ (จริงมีหลายคนคิดว่าเป็นเรื่องไม่จริง  กรรมก็คือการกระทำ เราเอื้อมไปตบหน้าเขา  เขาจะตบเราไหม (ตบ)   นี่คือการกระทำ   ธรรมะเหมือนกับสายลม  ตอนนี้เปิดแอร์อยู่ เห็นไหมว่าแอร์อยู่ตรงไหน (ไม่เห็นสายลมที่อยู่ภายนอก เวลาที่พัดอยู่ก็รู้ว่าลมพัด เวลาที่ลมหยุดก็รู้ว่าไม่มีลมแล้ว เพราะฉะนั้นธรรมะก็เปรียบเสมือนสายลม ใช่หรือเปล่า (ใช่เวลาที่เรามองออกไปข้างนอกเห็นทุกอย่างชัดเจนหรือไม่ (ชัด) เห็นชัดขนาดเอากล้องจุลทรรศน์ไปส่อง หาแล้วก็หาอีก ละเอียดแล้วละเอียดอีก ขนตาตัวเองมองเห็นไหม  (ไม่เห็นทำไมไม่เห็น (อยู่ใกล้เกินไปเพราะว่านี่คือธรรมชาติ และธรรมชาติก็คือธรรมะ เพราะฉะนั้นเวลาที่ศิษย์ทำอะไร จำเป็นไหมต้องเห็นกรรม รู้จักกรรม แล้วเชื่อกรรม ถึงจะรู้จักที่จะทำความดี จำเป็นไหมว่าที่นั่งฟังสองวันนี้จะต้องได้รับคำตอบว่า ธรรมะที่มาฟังอยู่จริงหรือไม่จริง (ไม่จำเป็น) แต่จำเป็นอยู่ที่ตัวเราต้องออกไปทำความดี  ไม่ใช่เห็นทุกคนในโลกนี้ คนนั้นก็ไม่ดี คนนี้ก็ไม่ดี แล้วเราก็ไม่ดี  เวลาที่คนอื่นมองเรา เขาก็บอกเราเป็นคนอย่างไร (ไม่ดีหรือว่าตอนนี้ศิษย์บอกว่าศิษย์เป็นคนที่ดี  อาจารย์อยากถามว่า ที่ดีอยู่นี้ดีถึงที่สุดหรือยัง  (ยัง) แล้วเมื่อไรจะดีถึงที่สุด ถ้าต้องการคนปีนภูเขาที่สูงที่สุด คนนั้นเป็นศิษย์ไหม  คนที่ขี้เกียจเดิน คนที่ขี้เกียจทำความดี  คนที่ไม่แน่ใจว่าตนเองเป็นใคร       ทำอะไรอยู่ จะเป็นคนที่ปีนภูเขาที่สูงที่สุดหรือเปล่า (ไม่ใช่ถ้าตอนนี้คนที่ฟ้าดินต้องการคนที่ปีนภูเขาได้สูงที่สุด  คนๆ นั้นเป็นศิษย์หรือเปล่า 

            “ไม่แน่นหนักบำเพ็ญอย่างไรบรรลุผลวันนี้เราไม่หนักแน่นใช่หรือไม่ (ใช่ผู้ชายเจอหญิงงามก็เกิดความหวั่นไหว ผู้หญิงเจอชายงามเราก็หวั่นไหว ใช่หรือไม่ (ใช่) นี่ก็คือความไม่แน่นหนักใช่ไหม (ใช่แต่ว่าในการบำเพ็ญธรรมมีด่านที่ยากกว่าหญิงงาม ชายงามอีก ด่านอะไรรู้ไหม (ด่านกิเลส) ด่านที่ยากไม่ใช่ด่านกิเลสแต่ด่านที่ยากคือใจของตัวเราเอง เพราะใจของเราเหมือนกับลิง ตอนนี้คิดอย่างนี้ อีก ๕ นาทีต่อไปก็คิดอีกอย่างหนึ่งแล้ว หรือวินาทีนี้คิดอย่างนี้ อีกวินาทีคิดอีกอย่างหนึ่งแล้วใช่ไหม (ใช่เพราะฉะนั้นใจของเรา เราต้องควบคุมเอง ใจของเราควบคุมยากไหม (ยากทำไมไม่บอกว่าง่าย ใจดวงนี้ที่เราจะควบคุม ใช่ใจที่เต้นอยู่ภายในหรือเปล่า (ไม่ใช่) ใจนี้อยู่ที่ไหน
ความคิดจับต้องได้หรือเปล่า (ไม่ได้ความคิดอันนี้พาให้เราสูงและพาให้เราต่ำได้และตลอดเวลาเราต้องอาศัยความคิดนี้ใช่หรือไม่ (ใช่ความคิดอันนี้ก็คือจิตของเราซึ่งอยู่ในกายของเรา หัวใจอยู่ตรงนี้  แต่จิตอยู่ข้างในอีกทีหนึ่ง  ซ่อนไว้ควบคุมตัวเรา แล้วตอนนี้เราทำตามที่จิตเราบอกไหม  จิตเราอาจจะบอกว่าเงินทองเป็นของนอกกายหาเมื่อไรก็หาได้ อย่าเพิ่งโลภมาก แต่ตอนนี้เราเชื่อจิตหรือเปล่า (ไม่เชื่อไม่เชื่อจิตของเรา ไม่เชื่อการควบคุมของหัวหน้าของกายนี้  แล้วถามว่าเรานั้นจะเป็นพุทธะได้ไหม (ไม่ได้แต่บางคนก็มีจิตมาร เงินทองกองนี้เป็นของเราใครเอาไปไม่ได้ นี่เป็นจิตมาร   ใช่หรือเปล่า (ใช่) เวลาเราเจอจิตมารเราเอาอะไรสู้ (ธรรมะ) อย่าเห็นว่า     คำตอบของเขาเป็นคำตอบธรรมดา แต่คำตอบที่ธรรมดานี้ศิษย์ของอาจารย์จะเอาไปใช้สักครั้ง ยากหรือง่าย (ง่าย,ยากการเอาธรรมะเข้าไปกำราบ ยากหรือง่าย (ยาก) ทำไมไม่บอกว่าง่าย  ศึกษาธรรมสองวันแล้ว เพราะฉะนั้นง่ายนิดนึงดีไหม (ดีไม่รู้จักเอาธรรมะไปกำราบใจของตนเอง  ครั้งหนึ่งไม่เคยเริ่ม ถามว่าครั้งที่สิบเจอไหม (ไม่เจอ) ครั้งที่ร้อยเจอไหม (ไม่เจอไม่เริ่มก้าวก้าวแรก ก้าวที่ร้อย หรือชัยชนะ ก็ไม่เจอใช่หรือไม่ (ใช่อยากชนะหรืออยากแพ้ (ชนะ)
ความอับจนไม่เกิดกับผู้ทนเป็น รู้จักความอดทนไหม (รู้จัก) ใช้ความอดทนเป็นไหม (เป็น) ใช้ความอดทนได้ ใช้ความอดทนเป็นนั้น เป็นเรื่องยาก  หลายๆ คนที่นี่มีความอดทน แต่จะทนจนทนเป็นนั้น ยังไม่แน่  อาจจะยังไม่ใช่
ศิษย์รู้จักอาจารย์ไหม (รู้จัก) การรู้จักต้องรู้จักที่ใจ ตอนนี้เรารู้จักแต่ชื่อ รู้จักแต่ว่าตอนนี้อาจารย์จี้กงกำลังใช้ร่างเด็กคนนี้อยู่ แต่ไม่สามารถรู้ว่าอาจารย์กำลังทำอะไร อาจารย์เป็นอย่างไร อาจารย์คิดอย่างไร แล้วถามว่าเรารู้จักกันใช่หรือเปล่า เดี๋ยวอาจารย์จะทำให้ศิษย์รู้จักอาจารย์ เมื่อเรารู้จักกัน  เราต้องเลียนแบบซึ่งกันและกันได้ ให้อาจารย์เลียนแบบศิษย์หรือศิษย์เลียนแบบอาจารย์ดี  (ศิษย์เลียนแบบอาจารย์ให้อาจารย์ไปเลียนแบบศิษย์ไม่ได้แน่เลย เพราะศิษย์ของอาจารย์นั้นเต็มไปด้วยกิเลส ยังเต็มไปด้วยรัก โลภ โกรธ หลง แล้วก็ยังเวียนว่ายอยู่ด้วย อยากพ้นไปจากการเวียนว่ายหรือไม่ (อยากพ้นอยากเกิดไม่อยากเกิด (ไม่อยากเกิดอยากตายไม่อยากตาย (ไม่อยากตาย ) ไม่ตายแล้วถามว่าจะไปเป็นพุทธะได้อย่างไร  จะมีร่างกายเหม็นๆ อันนี้แล้วขึ้นไปเป็นพุทธะได้หรือเปล่า (ไม่ได้ร่างกายอันนี้ต้อง   อาบน้ำทุกวันไหม (อาบใจของเรานี้ต้องขัดทุกวันไหม (ขัดแล้วตอนนี้ขัดทุกวันไหม  ตอนนี้ขัดแต่ร่างกายเหม็นๆ อันนี้ ให้มันหอมเท่านั้นเอง
เอาอะไรมารับอาจารย์ (ใจ) ใจของศิษย์เป็นใจขี้สงสัย หรือเป็นใจอันศรัทธา (ใจอันศรัทธา) แต่ก็ยังไม่แน่ใจเลย เพราะบางทีก็สงสัย บางทีก็ศรัทธา ใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้ร้องเพลงต้อนรับ)
ถึงแม้ว่าใจเราจะบอกว่าต้อนรับ ใจเราบอกว่าเราศรัทธา แต่ว่ามือเราไม่ยอมขยับ ไม่ยอมปรบมือถามว่าศรัทธาอย่างไร เพราะฉะนั้นการแสดงออกของคนสำคัญหรือเปล่า (สำคัญ) สีหน้าของคนสำคัญไหม  วาจาเราสำคัญไหม (สำคัญ ) แต่ทุกวันนี้ เราไม่ได้ให้ความสำคัญต่อการกระทำของเรา คนที่สนิทหน่อยเราก็ค่อยรักษาน้ำใจ ใช่หรือเปล่า(ใช่คนไม่สนิทเราก็ไม่รู้จักรักษาน้ำใจ ใช่หรือไม่ (ใช่ถามว่าทำอย่างนี้จะเป็นผู้บำเพ็ญที่ดี ได้หรือไม่ (ไม่ได้เพราะฉะนั้นเราจะต้องระวังทั้งคำพูด การแสดงออกและสีหน้าของเรา สิ่งเหล่านี้เราต้องพร้อมและต้องงดงาม ใช่หรือไม่ (ใช่)

            เรายิ้มบ่อยๆ ก็จะมีราศีเหมือนกับพุทธะ ถ้าเราหน้าบึ้งบ่อยๆ ถามว่าใครอยากเข้ามาคุยด้วยไหม (ไม่อยาก) แล้ววันนี้ยิ้มหรือยัง  ยิ้มให้กับตัวเองคนเดียวหรือ แล้วยิ้มให้ทุกคนด้วยหรือเปล่า เราจะเลือกยิ้มให้เฉพาะคนที่สวยงามได้หรือเปล่า  ชีวิตนี้ต้องพบเจอทั้งสิ่งที่สวยงามและขี้เหร่  แต่ใจของเราต้องมีแต่ความสวยงามไม่มีความขี้เหร่  บูดๆ เบี้ยวๆ นิดหน่อยได้ไหม  ถ้าพอดีส่วนที่เบี้ยวนั้นเป็นปลายแหลมแล้วก็ไปเที่ยวทิ่มแทงคนอื่น สักวันหนึ่งก็มีคนเอาปลายแหลมๆ มาทิ่มเราเหมือนกัน ผลก็คือเจ็บทั้งคู่ใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าไม่อยากเจ็บต้องทำอย่างไร (ไม่ทำให้คนอื่นเจ็บ) ถ้าเราทำให้คนอื่นเจ็บเราก็เจ็บเอง เจ็บที่คุณธรรมก่อน แสดงว่าเราเป็นคนที่ไร้คุณธรรม ตอนนี้มีคุณธรรมหรือยัง (มีแล้ว) มีน้อยๆ แล้วพร้อมที่จะหดหายไปทุกเมื่อๆ  อย่างนี้เป็นพุทธะที่น่ารักไหม

 ธรรมคือธรรมชาติดูจืดๆ ชืดๆ เราต้องอยู่กับความจืดชืดนี้ให้ได้ ตัวเราจึงเป็นธรรม แต่ไม่ใช่หน้าตาจืดชืดปราศจากรอยยิ้ม หน้าตาของเราต้องปรุงไปด้วยสีสันแห่งรอยยิ้ม การศึกษาธรรมไม่ใช่ศึกษาเพียงสองวันนี้  ต้องศึกษาทุกๆ วัน แล้วก็บำเพ็ญธรรมอยู่ในชีวิตของตัวเราเอง อันนี้คือรอยยิ้มในการบำเพ็ญธรรม สีสันของชีวิตทุกๆ วัน  ไม่ใช่อยู่ที่การออกไปหาเสียงเพราะๆ ฟัง ออกไปดูของสวยงาม หรือว่าศิษย์ของอาจารย์จะต้องการโลกของความบันเทิง สิ่งนั้นไม่แน่นอน ไม่ยั่งยืน ไม่ถาวร ไม่สามารถมีให้ศิษย์ตลอดไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้มาล้วนแลกมาด้วยเงินทอง เมื่อเราไม่มีเงิน เราจึงเดือดร้อน เราจึงวุ่นวาย เราจึงไม่รู้ว่าเราจะหลุดพ้นจากบ่วงแห่งพันธนา การนี้ได้อย่างไร  เพราะฉะนั้นปรุงชีวิตของเราด้วยธรรม ด้วยรอยยิ้ม ด้วยความเมตตา ความอบอุ่น ปรุงชีวิตของเราด้วยการพูดดี คิดดี ทำดี ดีไหม (ดีถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์เริ่มดีหนึ่งก้าวได้ ถามว่าการเป็นคนดีที่     ยิ่งใหญ่ทำได้ไหม (ได้) อยากเป็นคนดีที่ยิ่งใหญ่ไหม (อยาก
             การมีร่างกายนี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพียงแต่ร่างกายอันนี้ปวดเมื่อยเป็น ทุกครั้งที่ปวดเมื่อย เจ็บป่วย มีการไม่สบายเกิดขึ้นก็เป็นการเตือนสติเราว่าชีวิตนี้ไม่ใช่ของที่ถาวร ไม่ใช่สิ่งที่เที่ยง แล้วชีวิตของเรานี้มีดับได้ แต่ศิษย์ของอาจารย์กลับไม่เคยคิดสักวันว่าผมบนศีรษะจะขาวได้ ไม่เคยคิดว่าร่างกายที่เจ็บป่วยนี้รักษาหายไปแล้ว ร่างกายนี้เตือนสติเราได้ แต่เรากลับปรุงร่างกายนี้ให้สวยงาม ให้ดูดี แต่จิตใจกลับไม่ได้ดีขึ้น  การมีชีวิตอยู่บนโลกนี้จึงยัง    ไม่คุ้มค่า อยากทำชีวิตให้คุ้มค่า ต้องรู้จักใช้ชีวิตนี้ให้เป็น  
            การแสดงออกเมื่อสักครู่นี้เป็นการแสดงออกที่ดีแล้ว คือช่วยกัน    ปรบมือ  แต่การแสดงนั้นยังไม่สมบูรณ์ เพราะเราปรบมือไม่พร้อมกัน ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมบูรณ์ เมื่อเปรียบเทียบไปแล้ว เปรียบเทียบได้กับศิษย์นั้นลงมือบำเพ็ญเต็มที่แล้ว แต่ไม่ได้บำเพ็ญให้สมบูรณ์ รู้ว่าเราโลภมากเกินไปไม่ดี ศิษย์ของอาจารย์ก็โลภน้อยหน่อย แต่น้อยนี้ก็ยังมีโลภ บำเพ็ญแล้วยังบำเพ็ญได้ไม่ดี ปรบมือแล้วยังปรบมือไม่พร้อมกัน ถือว่าเรานั้นถึงที่สุดหรือยัง (ยัง) ถึงที่สุดต้องทำอย่างไร (ต้องมีความพยายาม มีความอดทน) ชีวิตนี้เกิดมาเป็นคนมีความลำบาก แต่ศิษย์ของอาจารย์ก็ยังต้องการประสบความสำเร็จ ชีวิตนี้ต้องการให้ประสบความสำเร็จ ต้องไม่กลัวความยากลำบาก  การบำเพ็ญให้สำเร็จก็ต้องไม่กลัวความลำบากเหมือนกัน  แต่ถามว่าคนที่กลัวความลำบากสำเร็จได้ไหม (ไม่ได้) ไม่ว่าทำสิ่งใดก็สำเร็จไม่ได้ เหมือนกับดอกบัวที่มีหลายชั้น คนที่ไม่กลัวความยากลำบากก็แทงยอดขึ้นไปสูง ก็โผล่พ้นน้ำไป คนที่ยังไม่กล้า กลัวความลำบาก ก็ขลุกตัวอยู่ในน้ำ  เพราะบัวอยู่ในน้ำ ศิษย์ของอาจารย์ก็เลยขลุกตัวอยู่แต่ในน้ำ แล้วถามว่าเราจะชูช่อสวยงามให้ใครเห็นได้ไหม (ไม่ได้เพราะฉะนั้นความยากลำบากไม่น่ากลัว       ในยามนี้ความกล้าหาญจึงเป็นสิ่งที่สำคัญของศิษย์ เวลาที่เรานั้นมีกำลัง มีร่างกาย เหมือนกับวัยรุ่นมีความกล้าหาญ แต่ยังมีความกล้าหาญในทางที่ผิด เช่นนี้ไม่เรียกว่าความกล้าหาญ แต่เรียกว่าความคะนองในทางที่ผิด เพราะฉะนั้นเดินต้องเดินให้ถูก มีความกล้าหาญต้องมีความกล้าหาญที่    ถูกต้อง
            เมื่อสักครู่นี้ฟังหัวข้อมหากรุณาธิคุณไป เราต้องรู้ว่าจะเอาหัวข้อนี้ไปใช้อย่างไร ถ้าหากว่าเราไม่รู้ก็ต้องนำมาคิด  ผู้ที่มีบุญคุณกับเราและใกล้ตัว  ที่สุดมีใครบ้าง (พ่อแม่) เพราะฉะนั้นเมื่อเรากลับบ้าน เวลาเราจะดื่มน้ำเรา  ไม่ถามพ่อแม่ได้ไหม (ไม่ได้การถามพ่อแม่ว่าดื่มน้ำไหม แม้ดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็ไม่ควรมองข้าม ในทางกลับกัน ศิษย์ของอาจารย์หลายๆ คนให้ความสำคัญกับชีวิตเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมาก เช่นว่าล้างหน้า อาบน้ำ กินข้าวหรือยัง แปรงฟันสะอาดหรือยัง ถามว่าให้ความสนใจกับร่างกายนี้ แต่จิตใจนั้นเราให้ความสำคัญไหม เราเคยคิดไหมว่าเวลาเราคิดจะว่าคน เรามีความคิดอย่างนี้ไม่ได้  ในเรื่องเล็กน้อยอย่างเดียวกัน ก็คือเรื่องของจิตใจ จิตใจของเรา เราก็ต้องรู้จักทำให้สะอาดเหมือนกับที่เราดูแลร่างกายของเรา  เช่นเดียวกัน  สมมุติว่าจิตใจของเราเป็นมะม่วง ถามว่ามะม่วงใบนี้มีจุดอยู่กี่จุด (หลายจุด) จุดที่สกปรกอยู่นี้ก็เหมือนกับจุดสกปรกบนจิตใจของเรา ซึ่งมีเยอะแยะมากมาย ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักที่จะทำความสะอาด สมมุติว่าจุดบนมะม่วงสามารถที่จะแกะทิ้งได้ ถามว่าจำเป็นต้องแกะทิ้งไหม (จำเป็น) ถ้าศิษย์ของอาจารย์ไม่แกะรอยดำบนผิวนี้ออกก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ศิษย์ก็ยังเป็นตัวเอง เป็นคนที่หาเช้ากินค่ำ เป็นคนที่ถูกเรียกว่าเป็นคนดีบ้างไม่ดีบ้างแต่หากว่าเราสามารถที่จะแกะรอยดำอันนี้ได้ และเราตั้งใจแกะรอยดำอันนี้ออกไปให้หมด ถามว่ามะม่วงอันนี้จะเปลี่ยนจากสีเหลืองดำเป็นเหลืองอร่ามใช่หรือเปล่า (ใช่ถึงเวลานั้นใจของเราก็เป็นใจที่สะอาด เป็นใจที่ผุดผ่อง
ตอนนี้ถ้าอาจารย์ถามกลับกันว่าจุดรอยดำบนจิตใจของศิษย์มีกี่จุด (หลายจุด) ก็มากเหมือนกับที่อยู่บนมะม่วงอันนี้ใช่ไหม(ใช่) โดยที่เราไม่เคยใส่ใจ ไม่เคยมอง แต่อยากรู้สิ่งภายนอก ว่าน้ำแข็งนั้นมีอณูเท่าไร  มีลายอย่างไร เราเอากล้องไปส่องดูน้ำแข็งได้ ถามว่าเราเคยส่องใจของเราไหม (ไม่เคย) ถึงบอกว่าคนที่มีปริญญาบนโลกทั้งหลาย มีปริญญามากมาย เป็นผู้มีความสามารถ เป็นผู้มีเกียรติ แต่ถามว่าได้ปริญญาบนโลก แล้วได้ปริญญาให้กับใจตัวเองไหม(ไม่มี) ใจของเราดวงนี้ก็มีปริญญาอยู่อันหนึ่ง ปริญญาอันนี้มอบไว้สำหรับคนที่ดีที่สุด แสดงว่าเราต้องแข่งกันเพื่อที่จะทำให้จิตใจของเราสะอาดใช่หรือไม่ (ใช่)
 เมื่อเราได้จิตใจอันสะอาดนี้มาก็เป็นผลดีต่อใคร (ตัวเราเอง) ถามว่าจะทำไหม (ทำ) จะไปส่องดูว่าจิตใจของเรานั้นมีรอยดำกี่จุด ดีหรือไม่ (ดี) จะไปดูว่าเราจะแกะรอยดำนี้ออกไปอย่างไรดีหรือไม่ (ดี) จะไปดูว่ารอยดำอันนี้เมื่อแกะไปแล้วจะกลับมาใหม่หรือเปล่า ดีหรือเปล่า (ดี) เราต้องละเอียดลออกับจิตของเราซึ่งมีความละเอียดอ่อน ต้องดูว่าจิตของเรานั้นสะอาดหรือสกปรก เหม็นหรือหอม คนไม่อาบน้ำ วันเหม็นไหม (เหม็น)ถามว่าใจอันนี้ตั้งแต่เกิดมาล้างกี่ครั้ง ล้างหรือยัง เหม็นไม่เหม็น (เหม็นมาก) เหม็นที่สุดเลยใช่หรือไม่ (ใช่) เพียงแต่มันอยู่ข้างในก็ไม่รู้ว่าเหม็นหรือหอมใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นอยากจะไปล้างใจของเราจะใช้อะไรล้าง
 อาจารย์ถามหัวหน้าชั้นว่าจำได้ไหมว่าตัวเองตอบว่าอะไร เขาบอกว่าจำได้ ทำไมอาจารย์ถึงถามอย่างนี้ เพราะเราต้องจำการกระทำของเราให้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) จำได้จึงจะแก้ไขได้ถูก ถ้าเราจำไม่ค่อยได้แล้วเราจะแก้ไขได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นการจดจำนั้นก็เป็นเรื่องสำคัญ อย่าจดจำแต่ความผิดของคนอื่น อย่าจำแต่เรื่องที่เสียของคนอื่น แต่ต้องจดจำในสิ่งที่ตัวเราทำเพื่อที่เรานั้นจะได้แก้ไขให้ถูกทาง ใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตนี้มีเรื่องต้องแก้ไขกี่เรื่อง (หลายเรื่อง) ทำไมถึงทวนคำถามกลับคำถามหลัง เพราะว่ามนุษย์นั้นหลายคนเป็นคนขี้ลืมใช่หรือไม่(ใช่) แต่ว่ามักจะลืมอะไรเป็นส่วนใหญ่ (ความผิดของตนเอง) ลืมความผิดของตนเองใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ความผิดของผู้อื่นนั้นจำได้
ตอนนี้จึงบอกว่าเราจะใช้อะไรในการที่เราจะบำเพ็ญธรรม เราจะใช้อะไรในการที่เราจะนำพาตนเอง ชีวิตนี้สั้นหรือยาว (สั้น) เมื่อรู้ว่าชีวิตนี้สั้นจึงต้องรู้จักปูทางให้กับชีวิตนั้นอย่างละครึ่ง ครึ่งแรกคือชีวิตทางโลก ปูชีวิตทางโลกใช่การหาเงินทองมากมายหรือเปล่า (ไม่ใช่) ปูชีวิตทางโลกนั้นปูด้วยอะไร ปูชีวิตทางโลกครึ่งแรกคือการรู้จักให้ชีวิตของเรานั้นอยู่เพื่อผู้อื่น รู้จักช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความเมตตา รู้จักใส่ใจพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ถ้าหากไม่มีพ่อแม่นี้ เราก็ไม่มีร่างกายเป็นคนใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าพ่อแม่ของเราเป็นสัตว์เราจะเป็นสัตว์ไหม (เป็น) เพราะฉะนั้นชาตินี้เกิดมาได้ร่างกายเป็นคนประเสริฐหรือเปล่า (ประเสริฐ) หัวของเราชี้ขึ้นหาฟ้า ขาของเราเหยียบอยู่บนดิน ถามว่าสัตว์นั้นทำอย่างนี้หรือเปล่า (ไม่ทำ) สุนัขสามารถที่จะยืดตัวขึ้นมาได้ตลอดหรือไม่ (ไม่ได้) เขาจะต้องลงกลับไปคลานสี่ขา ใช่หรือไม่ (ใช่)
เพราะฉะนั้นชีวิตของเราแม้ว่าจะสั้นแต่ก็เป็นชีวิตที่มีคุณค่า ครึ่งทางแรกรู้จักเสียสละเพื่อผู้อื่น มีความเมตตา ฝึกฝนความเมตตา รู้จักเอื้ออารี      รู้จักเกื้อกูลกัน รู้จักใช้ชีวิตอันนี้ให้สะอาดบริสุทธิ์มีคุณค่า ครึ่งทางหลังเดินทางธรรมะ เมื่อร่างกายของเรานั้นมีความชรา ร่างกายอันนี้ก็ดูเหมือนจะไม่เชื่อฟังเราแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) ผมก็ขาวขึ้น ผิวก็เหี่ยวย่นขึ้น หูที่ฟังชัดๆ ก็ไม่ค่อยได้ยินแล้ว ตาของเราที่เคยมองเห็นก็ฝ้าฟางลง ใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนก็ต้องสวมแว่นตาเพื่อเป็นเครื่องช่วยใช่หรือเปล่า (ใช่) เป็นการเตือนของร่างกายว่าชีวิตของเรานั้นอยู่ไม่ยืนยาว ครึ่งทางหลังเมื่อมีความสุขุม  จึงควร      ปูทางให้กับการบำเพ็ญธรรม ทำจิตใจให้สุขุมเยือกเย็น รู้จักที่จะช่วยเหลือ    ผู้อื่น รู้จักที่จะนำพาคนอื่น มีลูกหลานก็ดูแลลูกหลาน นำพาเขาให้เป็นคนดีรุ่นต่อไปของโลก แต่ในตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์ออกไปภายนอก ไปในสังคมอันกว้างไกลศิษย์ทำเช่นนี้ไหม คนที่ทำความดีกลับถูกมองว่าเป็นคนที่ล้าสมัย ยิ่งทำความดีมากเท่าไร เขาบอกว่าเป็นคนที่โดนคนอื่นหลอก ส่วนคนที่ทำความชั่วก็ได้รับการเชิดชู ยกย่องให้มีเกียรติ  ครึ่งทางแรกและครึ่งทางหลังนี้จึงใช้ไม่ได้  เมื่อโลกมีความเสื่อมลง สิ่งเดียวที่สามารถช่วยโลกนี้ไว้ได้ก็คือธรรมะ ถูกหรือเปล่า (ถูก) ด้วยการปลูกฝังให้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคน มีจิตใจที่มีธรรมะมากขึ้น เพื่อให้ศิษย์ที่ยังหลงเหลือเป็นคนดีในสังคมนั้นได้ดีมากขึ้น เพื่อเดินทางที่สูงไม่โดนคนชั่วเหยียบย่ำ ถามว่าควรหรือไม่ที่บัดนี้จะมีธรรมะลงสู่โลก (ควร) แล้วศิษย์ของอาจารย์เชื่อไหมว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ช่วยโลก(เชื่อ) เพราะฉะนั้นบัดนี้ฟ้าดินช่วยศิษย์ จึงเป็นหน้าที่ของศิษย์ที่ต้องช่วยคนอื่น    จำเป็นอย่างยิ่งที่เรานั้นจะต้องรู้จักที่จะช่วยผู้อื่น ไม่ว่าศิษย์ของอาจารย์จะเป็นเด็ก เป็นผู้ใหญ่ เป็นคนที่ดีบ้างไม่ดีบ้าง ก็จำเป็นที่จะต้องช่วยเหลือขึ้นมา 
เพื่อให้ศิษย์นั้นได้กลับตัวเป็นคนดี คำว่าเรานั้นดีบ้างไม่ดีบ้าง ดีบางวันไม่ดีบางวัน ดีบางนาทีไม่ดีบางนาที จึงต้องรู้จักที่จะลบล้างฟื้นฟูจิตใจของตัวเราเอง ถูกหรือไม่ (ถูก) เป็นความสำคัญอย่างยิ่ง ที่ศิษย์ของอาจารย์นั้น ต้องฟื้นฟูใจของตัวเราเอง เห็นความสำคัญหรือยัง (เห็น)
เราจะฟื้นฟูจิตใจของเราได้อย่างไร (มีธรรมะ) แล้วมีธรรมะหรือยัง ธรรมะของศิษย์นั้นเป็นธรรมะที่สมบูรณ์หรือยัง แล้วเราจะฟื้นฟูจิตของเราให้สมบูรณ์ได้อย่างไร ถ้าธรรมะของเราไม่สมบูรณ์ ก็ไม่สามารถจะฟื้นฟูจิตให้สมบูรณ์ได้ ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นทำธรรมะของศิษย์ให้สมบูรณ์ดีไหม ทำอย่างไร (หมั่นฝึกจิตใจ) ความสงสัยตัดทิ้ง เอาความศรัทธาเข้ามาดีไหม ความศรัทธาทำให้เกิดปฏิหาริย์ของการบำเพ็ญได้ สิ่งที่ยากว่ายากแล้วก็ง่ายลง เพราะฉะนั้นมีศรัทธามากๆ หน่อยดีไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับนักเรียน)
            ธรรมดาใจของศิษย์เด้งขึ้นเด้งลง เหมือนกับลูกบอล เหมือนผลไม้ที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง  ถ้าใจเรามีความมั่นคงพอจึงจับอยู่ ใช่หรือเปล่า  จะจับลิงตัวนี้ หรือผลไม้ที่เด้งขึ้นเด้งลงอันนี้ ต้องจับด้วยความมั่นคง  ถ้าเรามีความพยายามที่จะจับใจของเราเอง สักวันหนึ่งศิษย์ของอาจารย์ก็จะจับอยู่ หากว่าไม่คิดจะจับ ปล่อยให้มันเด้งขึ้นเด้งลง วิ่งเล่นไปเรื่อยๆ  เราไม่มีความสามารถในการจับ  ไม่เคยทดสอบจับมาก่อน  ถามว่าจับได้ไหม (ไม่ได้หลายอย่างพอมองดู มองง่าย  ดูเฉยๆ  บำเพ็ญง่ายๆ  ไม่มีอะไร  แต่ถามว่าในความไม่มีอะไรถ้าให้ศิษย์ไปทำเอง จะทำได้หรือเปล่า (ไม่ได้ไม่แน่ว่าศิษย์ของอาจารย์จะทำได้และคนที่ทำได้อาจจะไม่ใช่เราก็ได้  เพราะฉะนั้นก็ควรลงทุนไปจับสักหนหนึ่งดีหรือไม่  (ดี) จับกิเลสที่อยู่ในใจเราให้อยู่    จับความคิดของเราที่โลดแล่นไปเรื่อยๆ ให้อยู่ดีไหม (ดีต้องลองดู ไม่อย่างนั้นเราจะบอกว่าบำเพ็ญธรรมไม่มีอะไร ง่ายๆ แค่นี้เอง  แต่ถามว่าเคยลองหรือเปล่า ภายนอกดูง่ายไปหมด จะนั่งฟังธรรมะก็ทำง่าย แต่ถามว่าคนที่นั่งจริงๆ ถึงจะรู้ว่าความเมื่อยเป็นอย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
บำเพ็ญธรรมตัดกิเลส”  บำเพ็ญธรรมพูดง่ายๆ ก็คือการตัดกิเลสของเรานั่นเอง ไม่ใช่สิ่งอื่นใด ไม่ใช่การที่เรานั้นต้องแสวงหาอะไรที่สูงส่ง  เพราะว่าความสูงส่งนั้นอยู่ในใจของเราเอง  ใจที่สูงส่งอันนี้มีในตัวเราหรือเปล่า     ตัดกิเลสได้มากเท่าไร ใจของเราก็จะสูงขึ้นมากเท่านั้น  กิเลสอันนี้ยิ่งชิดใกล้ใจเราเท่าไร ยิ่งตัดได้ก็ยิ่งสูงส่งขึ้นเท่านั้น  กิเลสนั้นเปรียบเสมือนกับนัยน์ตาที่อยู่ในลูกตา มองไม่เห็นไม่รู้ว่ามีเขาอยู่ แต่ว่าต้องอาศัยกระจก อาศัยธรรมะสะท้อน แล้วรู้ว่ามีเขาอยู่ รู้ว่าจะให้เขาออกมาอย่างไร  หรือเปรียบไปอีกทีหนึ่ง ถ้าบอกว่ากิเลสนั้นคือนัยน์ตาเอาออกมาไม่ได้ อาจารย์ก็เปรียบเหมือนกับฝุ่นที่เข้าตาแทน  รู้สึกระคายเคืองบางครั้งเพราะมีกิเลสอยู่ แต่ไม่รู้จะเอาออกอย่างไร ต้องใช้กระจกสะท้อน ใช่หรือไม่ (ใช่กระจกอันนี้คืออะไร     (ใจตัวเราที่ย้อนกลับมามอง, การมองดูความผิดของตัวเอง, ตัวสะท้อนกิเลส, สิ่งที่สะท้อนการกระทำ, คนรอบข้างที่ตักเตือนสิ่งที่เราทำผิดในเมื่อเราไม่สามารถมองเห็นเองได้ จึงมีคนรอบข้างคอยที่จะตักเตือนเรา
ชีวิตนี้ผ่านคนตักเตือนมานับไม่ถ้วนเลย เวลาคนเขาเตือนเรา เราพอใจไหม (ไม่พอใจทำไมไม่พอใจ กระจกเบี้ยวๆ หรือใจเราเบี้ยวๆ (ใจเราใจเราเบี้ยวๆ ไม่อยากจะฟังคำที่เป็นความจริง ยิ่งพูดจริงเท่าไรก็ยิ่งขัดหู จนเขาบอกว่า ปลาหมอก็ตายเพราะปาก ใช่หรือไม่ (ใช่ถามว่าอย่างนี้มีปลาหมอเยอะดีหรือไม่ดี (ดี
อันที่จริงแล้วคนที่เขาตักเตือนเรานั้นก็ตักเตือนด้วยความหวังดี  มีคนักเตือนเราก็เป็นเรื่องที่ดี ใช่หรือเปล่า (ใช่ถ้าหากว่าเขาไม่เห็นเราสำคัญ เขาก็ไม่เตือนเรา ถูกหรือไม่ (ถูกเพราะฉะนั้นถ้าหากว่ารักจะเป็นคนบำเพ็ญธรรม  คนมาเตือนเราหนักนิดเบาหน่อยต้องรู้จักอภัยซึ่งกันและกัน  เขาบอกว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว  หากเขาเตือนเราแรงไปนิดหนึ่งแล้วเราจะถือคติทำชั่วได้ชั่วไปตอบแทนคืนเลยได้หรือไม่ (ไม่ได้ถ้าเขาไม่ดีจริงเราก็รอให้ความชั่วตอบแทนเขา ไม่ใช่เรานั้นเป็นความชั่วเสียเอง  ใช่หรือเปล่า (ใช่ทุกวันนี้  ทุกคนก็ทำตัวเป็นความชั่วเสียเอง ในที่สุดเราก็กลายเป็นคนที่ไม่ดี นานๆ   วันไปฟังก็ไม่เข้าหู ดูก็ไม่เข้าตา ในที่สุดก็ถือคติทำชั่วได้ชั่ว เขาตีเราทีหนึ่ง เราก็ไปตีเขาอีกทีหนึ่งกลายเป็นกงกรรมกงเกวียน หมุนไปๆ เป็นวงกลมไม่มีใครคิดที่จะเลิกในการให้ร้ายผู้อื่น  เพราะฉะนั้นกลมๆ หมุนไปๆ  ยิ่งหมุนยิ่งไกล ยิ่งเกิดเป็นคนหลายชาติก็ยิ่งลืม 
การที่คนอื่นมาเตือนเราจึงเป็นเรื่องที่ดี  ผู้บำเพ็ญต้องรักผู้เตือนและถือว่าเขามีความปรารถนาดีให้เรา เพียงแต่ว่าสำหรับผู้เตือนอาจารย์อยากจะเตือนศิษย์ไว้ว่าคนเรานั้นชอบรสชาติหวานเค็มไม่เหมือนกัน  บางคนชอบหวานมาก บางคนชอบเค็ม บางคนชอบเปรี้ยว  บางคนชอบที่จะพูดดีๆ ด้วย ศิษย์ก็จะต้องพูดดีๆ กับเขา  บางคนชอบพูดตรงๆ ด้วย ศิษย์ก็พูดตรงๆ กับเขา  บางคนชอบพูดอ้อมๆ ศิษย์ก็พูดอ้อมๆ หน่อย    ได้หรือไม่ (ได้)
เราก็ทำคำพูดของเรานั้นให้สามารถที่จะเข้ากับเขาได้  ไม่ใช่ว่าชอบพูดจา ตรงไปตรงมา ไม่ไว้หน้าคนอื่น  ในที่สุดแล้วคนอื่นก็ไม่ไว้หน้าเรา  แล้วถามว่า เวลาที่มีคนว่าเรา จะมีคนเห็นใจหรือจะมีคนสมน้ำหน้า (สมน้ำหน้าคนอื่นจะไม่รู้สึกสงสารเราเลย  แม้ว่าอาจารย์จะสงสารศิษย์ แต่ว่าเรื่องของคนกับคนนั้นพุทธะยุ่งด้วยไม่ได้ อย่างมากก็ได้แค่ตักเตือน ศิษย์ของอาจารย์ก็เหมือนกัน เวลาเห็นคนทะเลาะกันก็ยุ่งด้วยไม่ได้  ขอให้ทำตัวเป็นคนที่มองดูเฉยๆ และเตือนสติบ้างบางครั้ง แต่ไม่ใช่สอดมือเข้าไปยุ่งด้วย  เราจะกลายเป็นมือที่สาม  ทำให้เขาแตกแยกยิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่ในเรื่องของครอบครัวก็เหมือนกัน ศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คนเป็นคนที่มีครอบครัว เราก็ต้องรู้จักระมัดระวังการกระทำของตนเอง ไม่เข้าไปยุ่ง ไม่ทำให้เขาแตกแยกด้วยวาจาอันเล็กๆ น้อยๆ ของเรา  เพราะเวลาที่คนเกิดความรู้สึกขัดแย้งในใจ จิตใจจะฟุ้งซ่าน  ศิษย์พูดแค่คำเดียว เขาก็จะคิดไปถึงสิบคำ  เพราะฉะนั้นเมื่อทำตัวเป็นผู้หวังดี เราต้องหวังดีให้ดีๆ  ไม่ใช่หวังดีให้เสีย   เข้าใจไหม (เข้าใจ
            “กำหนดซึ่งชีวิตจุดหมายมีให้พร้อมในชีวิตของเรา สิ่งที่สำคัญที่เป็นเหมือนเข็มทิศของชีวิตคือเป้าหมายของชีวิต  หนึ่งคนต้องมีอย่างน้อยหนึ่งเป้าหมาย แต่ไม่ใช่มีถึงสิบเป้าหมาย อย่างมากมีแค่สองถึงสามเป้าหมาย    ก็พอแล้ว เป้าหมายในชีวิตเมื่อเกิดเป็นคนย่อมหวังที่จะสำเร็จในด้านการงาน  คนที่สำเร็จล้วนต้องมีความขยัน  ศิษย์ของอาจารย์มีความขยันไหม (มีหากว่าเราไม่มีความขยัน เราจะเป็นผู้ที่สำเร็จได้ไหม (ไม่ได้การงานต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าเมื่อเราเรียนจบแล้วก็นิ่งอยู่เท่านั้น ไม่ศึกษาเพิ่มเติม ไม่รู้จักขวนขวาย  คนเช่นนี้เมื่อสำเร็จได้ระดับหนึ่งก็จะไม่ประสบผลสำเร็จอีกต่อไป เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจาย์ต้องเป็นผู้ขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ  นี่เป็นเคล็ดลับความสำเร็จทางโลก  แต่ความสำเร็จทางธรรมก็มีเหมือนกัน  ความสำเร็จทางธรรมก็คือการได้เป็นพุทธะ  ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะเกิดมาร่างกายนี้หนีไม่พ้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย    ในที่สุดแล้วศิษย์ของอาจารย์ก็จะไม่มีร่างกายนี้อีกตลอดไป  แม้ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้ก็ยังต้องตาย ใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นศิษย์จะหนีพ้นความตายได้ไหม    (ไม่ได้แล้วอย่ามีความทุกข์กับการที่เรานั้นจะต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย    ขอจงมีความทุกข์เมื่อยามที่เห็นผู้อื่นทุกข์ ขอจงมีความทุกข์ที่เรานั้นไม่สามารถช่วยผู้อื่นได้  นี่คือความทุกข์ใจจริงๆ แต่ทุกวันนี้ศิษย์ของอาจารย์มีความทุกข์ เพราะว่าหวังสิ่งใดไม่ได้สมปรารถนา มีความทุกข์เพราะเราไม่รู้จักพอ   เป็นคนจนที่อยากรวย  รวยแล้วก็ยังไม่รู้ว่าความรวยอยู่ตรงไหน  อันนี้ก็คือความล้มเหลวของชีวิตในการที่เกิดมาเป็นคน
การที่เราจะบำเพ็ญเป็นพุทธะต้องยึดถือคุณธรรม ความสำเร็จเกิดได้ด้วยเป้าหมาย จุดหมาย แล้วดำเนินไปตามเป้าหมายนั้น  หากว่าเหนื่อย      ก็ให้ชลอเท้าลง เดินช้าๆ  เพราะถ้าหากว่าหยุดเดินเมื่อไร  ความเมื่อยเข้า  ครอบงำ กิเลสวิ่งเข้าหา ในที่สุดแล้วจะไม่ได้เดินอีกต่อไป  หลายๆ คนบอกว่า ฉันบำเพ็ญธรรมะเหนื่อยเหลือเกิน  คนโน้นก็พูด คนนี้ก็พูด  ฉันนั้น  ไม่อยากจะบำเพ็ญธรรมะเลย เพราะฉันไม่รู้ว่าทิศทางนั้นแท้จริงอยู่ที่ไหน  แต่อาจารย์จะบอกว่า ถ้าหากว่าเหนื่อยชลอเท้าลง อย่าหยุดเดิน  หากว่าศิษย์หยุดเดินเปรียบเสมือนคนเดินขึ้นเขา  เมื่อเมื่อยแล้วหยุดเดินแล้ว  ระยะทางเพียง     ๕ กิโลเมตรก็จะไกลเหมือน ๑๐ กิโลเมตรทีเดียว  การบำเพ็ญธรรมนั้น อาจารย์รู้ว่าทุกคนเหนื่อย เหนื่อยกับการเอาชนะใจตนเอง  แต่คนที่แพ้ใจตนเองเป็นคนที่ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เลยตลอดไป 
เป้าหมายของพุทธะอยู่ที่ไหน (การได้กลับสู่บ้านเดิม,ให้หลุดพ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ,ให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายเราต้องรู้ว่า การเป็นพุทธะก็คือการมุ่งหมายที่จะหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิด  แล้วนิพพานไกลไหม (ไกล,ไม่ไกล) ระยะทางแม้ไกลเท่าไร ขอเพียงศิษย์ขยันเดิน เดินทีละก้าว ก้าวถึงไหม (ถึงถ้าวิ่งได้ก็ยิ่งเร็วใช่ไหม (ใช่หากวิ่งไม่ได้แค่เดินไป เดินไปทีละก้าวถึงไหม (ถึง) นิพพานไกลแค่ไหน ไกลแค่ใจของตัวเราเอง ที่ไม่สามารถไปนิพพานได้เพราะว่าใจนั้นไม่ใช่พุทธะแต่เป็นใจปุถุชน ถ้าใจเปลี่ยนจากใจปุถุชนกลายเป็นพุทธะถามว่าศิษย์จะอยู่แดนปุถุชนนี้    ได้ไหม (ไม่ได้ฟ้าดินไม่ยอมให้คนที่เป็นพุทธะจมอยู่ในโลกนานเกินไป  เพราะฉะนั้นตอนนี้เป็นพุทธะหรือเป็นปุถุชน (ปุถุชน) ตอนนี้เป็นปุถุชนคนธรรมดา วันข้างหน้าเป็นพุทธะไหม (เป็น) พุทธะโดนคนอื่นตบหน้าทำ    อย่างไร (ยิ้มพุทธะถูกกระทืบเท้าทำอย่างไร (ให้อภัย ,ใจไม่โกรธ) พุทธะโดนว่า ด่าใส่ โกรธไหม (ไม่โกรธจำไว้นะ  จำเป็นต้องใช้   แต่ว่ามนุษย์ไม่ใช่คนที่โต้ตอบซึ่งหน้าเช่นนั้น มีการโต้ตอบลับหลัง เรียกว่านินทาใช่หรือเปล่า (ใช่พุทธะนินทาคน ว่าคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้) มีแต่ความเมตตา มีแต่ความปรานีมอบให้  เพราะฉะนั้น ถ้าเขาตบหน้า กระทืบเท้า แล้วด่าใส่ทีเดียวเลย ทำอย่างไร (ยิ้มรับ) ทำได้ไหม เวลาที่คนอื่นว่า เราอย่าร้องไห้  เวลาที่คนอื่นให้ร้าย เราอย่าเสียใจ ทำเป็นหรือเปล่า
              อยากให้เกิดแบบนี้ไหม  คนบำเพ็ญทุกคน  เราไม่อยากให้เกิดแต่บางทีความจริงหลีกเลี่ยงไม่ได้ บางทีคนกระทืบเท้าก็ไม่ได้กระทืบเท้าเรา แต่มากระทืบใจเรา  บางทีคนตบหน้าเรา เขาไม่ได้ตบหน้าเรา แต่เขาตบ       คุณธรรมของเรา ดูสิว่าจะสั่นคลอนเท่าไร  บางทีคนด่าใส่ เขาก็ไม่ได้ด่าใส่ แต่เขานินทาลับหลัง เจอทุกคนหรือเปล่า (เจอ) อาจารย์เพียงแต่สมมติให้เป็นเหตุการณ์เท่านั้นเอง แต่ในคำพูดของอาจารย์นั้น อาจารย์บอกได้เลยว่าศิษย์ของอาจารย์เจอทุกคน  ความอดทนจึงเป็นที่สำคัญ หากว่าศิษย์ไม่กล้าที่จะอดทนก็ไม่ต้องกลัว  มีความอดทนแล้วจะกลัวทำไมกับความยากลำบาก มีความอดทนกลัวทำไมกับระยะเวลานานของความยากลำบาก  ถ้ามีความกล้าสู้ ก็สามารถที่จะผลักประตูที่ว่าหนักอันนี้ให้พ้นไปได้  เพียงแต่กลัวว่าศิษย์ของอาจารย์ไม่มีความอดทน ไม่มีความกล้าหาญ ไม่มีความกล้าสู้ ได้แต่นั่งเฉยๆ  รอให้คนอื่นมาช่วย ใช่หรือเปล่า
            สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของคนบำเพ็ญก็คือความขี้เกียจ  เราขี้เกียจที่จะเดินไปหาคนอื่นก่อน ขี้เกียจที่จะเอาใจของเราไปเรียกคนอื่นให้ตื่น  เพราะฉะนั้นความยากของผู้บำเพ็ญมีอยู่ ๓ อย่าง คือ ๑ ความอดทน  ๒ การยอมผู้อื่น  เราเป็นคนที่ไม่รู้จักยอมคน  เราไม่อยากจะยอมใครเลย ไม่อยากจะอยู่ใต้ใคร อยากจะอยู่เหนือเขาไปหมดเลย  เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้เหนือฟ้ายังมีฟ้า แล้วคนนั้นจะอยู่เหนือใครเป็นไปได้อย่างไร  อย่างน้อยก็อยู่ใต้ฟ้า ใช่หรือไม่ (ใช่) ๓ คือการเอาความดีของตนเองนั้นแพร่ออกมา เราไม่รู้จักที่จะเอาความดีของเราเผยแพร่ออกมานำให้คนอื่นดีตามเราได้เลย  ภาษาจีนตัวแรกเรียกว่า  
(เหยริ่น) แปลว่าความอดทน   ภาษาจีนตัวที่สองเรียกว่า       (หยรั่ง) ภาษาจีนตัวที่สาม เรียกว่า            (ฮว่า)    ศิษย์รู้จักชื่อ เฉียนเหยรินของตัวเองไหม   
เฉียนเหยรินผู้ชายชื่อว่าเต๋อฮว่าเจินจวิน: ใช่หรือไม่ (ใช่) แปลว่าอะไร (อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมเมตตาอธิบาย: “อาวุโสของเราคือรองธรรมอธิการ หรือท่านเฉียนเหยริน ทั้งหมดมีสามท่าน ท่านหนึ่งเป็นเฉียนเหยรินผู้ชายแซ่หลิว  เมื่อท่านสำเร็จขึ้นไปแล้ว พระมารดาประทานอริยฐานะชื่อว่า เต๋อฮว่าเจินจวิน คำว่า เต๋อคือคุณธรรมที่อยู่ในพุทธจิตเดิมแท้ของพวกเราทุกคน  เนื่องจากว่าตลอดชีวิตของท่านได้ใช้คุณธรรมกล่อมเกลา แปรเปลี่ยนบุคคลที่อยู่รอบข้าง จนทุกคนรู้สึกว่าท่านเป็นผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่ง แล้วทุกคนก็เป็นคนดี เจริญรอยตามแบบอย่างท่าน  สามสิ่งที่ผู้บำเพ็ญธรรมจะต้องมีคือ มีความอดทน จะต้องยอมคนอื่น และจะต้องสามารถนำเอาคุณธรรมภายในซึ่งเป็นความดีออกมากล่อมเกลาแปรเปลี่ยนให้คนอื่นได้ทำตามด้วย”)
            การที่เรานั้นจะเดินตามใครสักคน เราต้องรู้ว่าเขานั้นเป็นคนเช่นไร ต้องรู้ว่าเราจะทำอะไรที่เหมือนเขา  อย่างเฉียนเหยรินก็มีความดีอันหนึ่งคือ ฮว่าเหยรินซิน  (                    )  คือการเอา เต๋อหรือคุณธรรมของตนเองนำออกไปกล่อมเกลาผู้อื่นให้เกิดความเปลี่ยนแปลงจากร้ายกลายเป็นดีได้  เฉียนเหยรินแปลว่า บุคคลที่อยู่เบื้องหน้า ศิษย์คือคนที่อยู่ข้างหลัง คิดจะเดินตามคนข้างหน้า เราต้องเดินตามในสิ่งที่เด่นของเขา คือการรู้จักที่จะไปเปลี่ยนแปรผู้อื่นจากร้ายให้กลายเป็นดีได้  บางคนเจอคนร้ายหน่อย เรารู้สึกกลัวเขา ไม่ชอบเขา รู้สึกว่าอยากจะหลีกไปไกลๆ  แล้วถามว่าพุทธะองค์ไหนจะไปโปรดคนร้ายคนนี้ให้กลายเป็นคนดีได้ ในเมื่อพุทธะเห็น ใกล้ชิด แล้วยังไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงเขา  เพราะฉะนั้นจะต้องรู้จักเปลี่ยนแปลงคนที่ร้ายเหล่านั้นให้กลายเป็นคนที่ดีด้วยคุณธรรมอันสูงส่ง แต่มีข้อแม้ว่าหากศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงเขาได้ หากพยายามจนถึงที่สุดแล้ว จงถอยออกมาเพื่อให้ผู้อื่นเข้าไปเปลี่ยนแทน ไม่เช่นนั้นศิษย์จะโดนแรงกรรมของเขาดึงไป จะโดนความร้ายของเขาดึงไป จนไม่เชื่อว่าความดีมีอยู่ในโลก แรงกรรมที่ทำให้เขาร้ายขณะนั้น ขอให้ศิษย์รู้จักประมาณตนด้วย  แต่ที่แน่ๆ ก็คือการใช้คุณธรรมลงไปเปลี่ยนแปลงผู้คน หากว่าเรามีใจ มีคุณธรรมจริงย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงผู้อื่นได้  กลัวแต่ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่ได้เป็นผู้มีคุณธรรมจริง ไม่ได้สร้างคุณธรรมไว้ให้โลกประจักษ์  ถ้าหากว่าไม่มีคุณธรรมก็จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผู้อื่นได้ ไม่มีคุณธรรมก็ไม่เกิดบารมี
บารมี คือรัศมีของคุณธรรม  มีคำกล่าวว่า มารไม่มี บารมีไม่เกิด”   ถ้าหากว่าหลีกหนีมาร หลีกหนีคนชั่วร้ายก็ไม่ได้ฝึกบารมีของตน  ฉะนั้นในตอนนี้มีชีวิตร่วมอยู่ในสังคม ในสังคมก็มีทั้งดีและไม่ดี บางคนเปรียบไปเหมือนหยกอันใสสะอาด บางคนเปรียบไปเหมือนก้อนหินที่หยาบกระด้าง แต่ว่าใครจะไปรู้ว่าในก้อนหินที่หยาบกระด้างอาจจะมีหยกแฝงอยู่ก็ได้ ถ้าเขากลับกลายเป็นคนดี เขาอาจจะดีกว่าเราก็ได้  เพราะฉะนั้นการนำพุทธะในใจตนไปกล่อมเกลาเปลี่ยนแปลงผู้อื่น เป็นภาระหน้าที่อันหนักหน่วง เป็นภาระเดียวกับอาจารย์ อาจารย์ก็มีหน้าที่มาสอนศิษย์ให้รู้ว่า ควรจะทำเช่นไรในชีวิตโลกอันวุ่นวายนี้  กลางความวุ่นวายใจต้องสงบ กลางความสงบนั้นใจต้องสงบยิ่งกว่า สิ่งที่พูดมารวมทั้งหมดนั้นเรียกว่าการอนุเคราะห์คน
อนุเคราะห์อาจารย์บอกแล้วว่าเป็นหน้าที่ของอาจารย์เช่นเดียวกัน หากว่าศิษย์ได้ทำตามก็ไม่ต่างอะไรกับการได้เดินตามอาจารย์มา  ตอนแรกอาจารย์ถามว่าศิษย์รู้จักอาจารย์ไหม ศิษย์บอกว่ารู้จัก แต่อาจารย์บอกว่าศิษย์นั้นยังไม่รู้จักอาจารย์เลย ไม่รู้ว่างานที่อาจารย์ทำอยู่นั้นคืออะไร ไม่รู้ว่าอาจารย์นั้นอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าอาจารย์นั้นมีจิตใจและความคิดเป็นเช่นไร  ถามว่าเราจะรู้จักกันได้อย่างไร เพราะฉะนั้นตอนนี้ศิษย์ได้รู้จักอาจารย์ อาจารย์มีหน้าที่อนุเคราะห์คน ถ้าศิษย์มีหน้าที่อนุเคราะห์คนเช่นเดียวกัน  ถือว่าเรานั้นได้รู้จักกันใช่หรือไม่ (ใช่
สีขาวย่อมรวมอยู่กับสีขาว สีดำย่อมรวมอยู่กับสีดำ  หากศิษย์ทำตัวเป็นสีขาวก็รวมอยู่กับอาจารย์ หากว่าทำตัวเป็นคนที่มีจิตใจสีดำก็รวมอยู่กับปุถุชนคนธรรมดา และทางของปุถุชนธรรมดาก็หนีไม่พ้นทางนรก เพราะ    คำว่าคนนั้นมีอยู่สองสิ่ง ประกอบด้วยความดีกับความชั่วสลับกันไป เพราะฉะนั้นคนที่เป็นคนธรรมดาทั้งหลายก็จะต้องไปล้างสีดำก่อนในแดนนรก และผ่านไปใช้สีขาวที่แดนสวรรค์ คนธรรมดานั้นไม่สามารถไปสู่นิพพาน มีแต่พุทธะเท่านั้น อาจารย์จึงหวังว่าศิษย์ของอาจารย์ทั้งหลายจะทำตนเป็นพุทธะ และเป็นพุทธะที่ดี เป็นพุทธะที่แท้จริง และเป็นพุทธะด้วยตนเอง ไม่ต้องให้คนอื่นเรียก
            “อนุเคราะห์โลกซาไม่เสื่อมดีดำรง”  โลกนี้มีหลายคนบอกว่าเป็นโลกที่เสื่อมแล้ว ในความจริงก็ค่อนข้างจะเสื่อมแล้ว  แต่รู้ไหมว่าถ้าศิษย์นั้นใช้ความดีเข้าไปเป็นเสา เป็นหลัก ความดีนี้จะทำให้โลกเปลี่ยนจากร้ายกลับมาเป็นดีได้
            “เพราะเจ้ามีสัจจะคงในกมล”  คำว่าสัจจะนั้น ถ้าหากเรามีอยู่ในใจ จะเป็นคนที่เที่ยงตรง  ถ้าเรามีอยู่ที่คำพูด เป็นคนที่รู้จักรักษาสัจจะ จะเป็นคนที่มีคำพูดน่าเชื่อถือ ถ้าหากศิษย์มีสัจจะที่การกระทำ จะเป็นผู้ที่ถูกไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุด เพราะฉะนั้นสัจจะสำคัญ  แล้วทุกวันนี้เวลาพูด ศิษย์รักษาสัจจะหรือเปล่า (เป็นบางครั้งถ้าครั้งไหนไม่รักษาสัจจะครั้งนั้นก็ไม่ใช่พุทธะ ในร้อยเปอร์เซ็นต์รักษาสัจจะถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ไหม  พิจารณาทบทวนตนเองให้ดี  ไต่บันได ไต่ภูเขาอันนี้ให้ขึ้นสูง  ต้องรักษาสัจจะมิฉะนั้น  แล้วจะต้องเดินคนเดียว 
            (อาจารย์ให้นักเรียนในชั้นเล่นเกมลุกขึ้นนั่งลงคนที่ช้าอาจารย์ไม่ให้เดินเป็ดจริงๆ หรอกนะ  เพียงแต่จะบอกว่าในตอนนี้ถ้าหากว่าใครช้าก็เป็นเหยื่อของความช้า ใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าเราเผลอช้ากว่าคนอื่น เราลุกไม่ทันคนอื่น  ถามว่าใครกันแน่ที่ตกรอบ (ตัวเราเองเหมือนกับ ๕ คนนี้ที่ตกรอบมา  แค่เฉียดกันนิดเดียว ใช่หรือเปล่า (ใช่เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นพุทธะก็ให้กำลังใจคนช้า ปรบมือให้เขาหน่อยดีไหม เราเป็นพี่น้องกัน เราจะเดินไปด้วยกัน   ใช่หรือไม่ (ใช่แม้ว่าจะมีการแข่งขันเกิดขึ้น แต่ว่าเราไม่ใช่แข่งเอาเป็น      เอาตายใช่หรือเปล่า (ใช่เราแข่งกันด้วยอะไร เราแข่งกันด้วยความสนุกสนาน แต่ไม่ใช่เอาเป็นเอาตาย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
            (อาจารย์เมตตามอบผลไม้ให้กับผู้เล่นเกมส์คนที่อายุมากต้องดูสองคนนี้เป็นตัวอย่างว่าเรานั้นมีกำลังมีความไวไม่เท่ากับหนุ่มๆ สาวๆ แล้ว ใช่ไหม (ใช่ผู้ชายยอมรับไหม เราต้องยอมรับว่ากำลังวังชาของเราไม่เท่ากับสมัยก่อนแล้ว  เพราะฉะนั้นเราต้องรู้จักที่จะว่องไวขึ้น ระมัดระวังขึ้น  แต่ในขณะเดียวกันเขาบอกว่าคนที่อายุมากกว่าเป็นผู้อาบน้ำร้อนมาก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่แม้ว่าคนอายุมากกว่าพูดจาไม่เข้าหู พูดจาไม่ดี กระทำไม่ดี มีความขัดใจเรา เราก็ต้องรู้จักที่จะอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักที่จะเชื่อฟังและทำตาม อย่าเห็นว่าเขานั้นด้อยความสามารถ มีกำลังน้อยกว่า เที่ยวไปมองข้อเสียของผู้ที่มีความชราตลอดเวลา  เราจึงบอกว่าคนที่ชราสู้เราไม่ได้  แต่จริงๆ แล้วเขามีความสุขุม มั่นคงมากกว่า  เพราะฉะนั้นในสถานธรรมคนที่อายุมากและคนที่
อายุน้อยก็ต้องเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เราต้องเกื้อกูลกันด้วยจิตใจอันเดียวกัน  เหมือนกับเสียงปรบมือที่สามารถปรบได้พร้อมกัน ทำได้ไหม  (พระอาจารย์เมตตาให้ทุกคนปรบมือพร้อมกันปรบมือยังไม่พร้อมกัน แล้วจะบอกว่ามีใจดวงเดียวกันได้ไหม (ไม่ได้
            เป็นการยากที่เราจะปรบมือให้พร้อมกันในหนึ่งจังหวะ  แต่ว่าทั้งนี้ต้องอาศัยการฝึกฝน  เราฝึกฝนให้ปรบมือพร้อมกันได้ เราก็ฝึกฝนอย่างอื่นได้  เวลาที่เราอยากจะทำสิ่งใดร่วมกัน ถามว่าตอนนั้นเราทะเลาะกันได้ไหม    (ไม่ได้ต้องรอให้เราปรบมือ ทำการทำงานจบแล้วจึงจะสามารถทะเลาะกันได้พูดคุยกันได้  บางคนนั้นชอบพูดคุยกันในเวลาที่ต้องการความสามัคคีร่วมมือ ถึงตอนนั้นก็จะทำอะไรไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นในเวลาที่ทำการสิ่งใดก็ตามให้รวมจิตใจเป็นหนึ่งเดียว ให้พร้อมเพรียง ไม่มีปากไม่มีเสียง  เมื่อจบแล้วจึงจะสามารถออกความเห็นได้  เมื่อต้องการนำพาไปในทิศทางใด เมื่อผู้นำบอกเช่นนี้ เราก็ทำตามเช่นนี้ไปก่อน ไม่เช่นนั้นจะเกิดความวุ่นวายระส่ำ ระสาย  เรียกว่าเป็นมังกรหลายหัว  ถ้าหากว่ามังกรสองหัวอยู่ตัวเดียวกันแต่ต้องการที่จะไปสองทาง ถ้าหากว่าฝืนมากๆ เข้า มังกรตัวนี้หัวจะขาดออกจากกันไหม (ขาดเมื่อข้างหนึ่งตายอีกข้างหนึ่งตายไหม (ตายอยากให้ตัวตายไหม (ไม่อยากอาจารย์ก็ไม่อยากให้ศิษย์ข้างใดข้างหนึ่งล้มเหลว เพราะฉะนั้นความสามัคคีเป็นสิ่งสำคัญ ความสามัคคีมาก่อนความเจริญ   รุ่งเรือง  อยากเจริญรุ่งเรืองในสิ่งใด ต้องอาศัยความสามัคคีมาก่อน  เมื่อ    ไม่สามารถที่จะตกลงใจ อาศัยวิธีทางใดกันได้ ก็ขอให้ทำตามคนใดคนหนึ่งไปก่อน  เราจะรู้ว่าผิดหรือถูกต่อเมื่อเรื่องราวนั้นเกิดความไม่ถูกต้องขึ้น  ถึงตอนนี้ก็สามารถที่จะพูดได้ว่าตรงไหนผิดตรงไหนถูก  เพราะบางทีนั้นความ ผิดและความถูกไม่สามารถแยกแยะได้ในครั้งเดียว 
            “เสียสละคนสักนิดพิชิตโศก” (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียน 4 คนยืนล้อมวงหนึ่งคนถอยออกหนึ่งก้าว วงนี้กว้างขึ้นไหม (กว้างวงแคบๆ ใครก็ไม่สามารถเดินผ่านตรงนี้ได้  แต่ตอนนี้ที่กว้างขึ้น คนเดินเข้าออกได้ด้วยการเสียสละคนละสักนิดเดียวสามารถให้สิ่งใดก็ได้มาอยู่ตรงกลาง เกิดใจกลางขึ้น นี่คือการแสดงความสามัคคีให้เกิดขึ้น  หัวหน้าชั้นถ้ามองเห็นว่าทางโน้นถอยไม่ได้ เราก็ถอยก้าวเล็กตามเขา  บางทีคนนำก็ต้องตามเมื่อเห็นคนที่ตามไม่สามารถทำได้  นี่คือการสามัคคี  การสามัคคีใช่ต้องให้ผู้น้อยตามผู้อาวุโสเสมอหรือเปล่า (ไม่ใช่ถ้าผู้อาวุโสไม่ยอมให้ผู้น้อยได้เดิน วงนี้จะขยายได้ไหม (ไม่ได้บางทีผู้น้อยต้องตามผู้อาวุโส บางทีผู้อาวุโสตามผู้น้อยบ้าง เพื่อให้เกิดความสมดุลซึ่งกันและกัน  ถ้าผู้อาวุโสสามารถที่จะยอมผู้น้อยได้บ้าง ผู้น้อยยอมให้ผู้อาวุโสบ้าง เรียกว่าการยอมคนละหนึ่งก้าว  ความกว้างเกิดขึ้น ลมไหลเข้าออกดี  สิ่งใดก็สามารถเข้ามาตรงกลางได้ จะเพาะพุทธะองค์ใหม่ท่ามกลางนี้ก็ย่อมได้
            “เพื่อให้โลกร่มเย็นวิเศษผล”  โลกนั้นร่มเย็นได้ด้วยอะไร (ธรรมะ) โลกนั้นร่มเย็นเพราะเมฆบังพระอาทิตย์บ้าง ฝนตกบ้างอันเป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างให้  การที่เราจะทำให้โลกร่มเย็นขึ้นด้วยคน ทำได้ไหม (ได้ประเทศไทยร่มเย็นด้วยอะไร (พระมหากษัตริย์, พระบารมีของพระมหากษัตริย์, เพราะมีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ, น้ำใจคน, ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ไม่รู้จักชาติก็อยู่บนชาตินี้ไม่ได้ ไม่รู้จักศาสนาก็เป็นคนดีไม่ได้ ไม่รู้จักพระมหากษัตริย์ ศิษย์เอยไม่รู้ว่าจะพูดว่าอย่างไรดี ประเทศนี้ร่มเย็นอยู่ได้เพราะศิษย์นั้นมีพระมหากษัตริย์ที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)   เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่าการทำให้ประเทศชาติบ้านเมืองร่มเย็นด้วยคนนั้นทำได้ แล้วคนที่ทำอยู่ก็คือพระมหากษัตริย์ที่เป็นที่เคารพรักของศิษย์ ศิษย์จะไม่ทำตาม กลายเป็นคนดีเหมือนท่านหรือ จะให้ท่านนั้นเหนื่อยยากโดยที่ศิษย์นั้นไม่ทำตามหรือ จะเป็นการเนรคุณ ใช่หรือไม่  อันเมื่อพ่อแม่ให้ร่างกายมา พระมหากษัตริย์ก็ให้แบบอย่างที่ดี  การทำให้ประเทศชาติร่มเย็นได้ ศิษย์นั้นต้องทำตามการเป็นคนดี การทำให้โลกร่มเย็นอย่างพระมหากษัตริย์ ถามว่าพระมหากษัตริย์ของศิษย์นั้นใช้เงินเป็นส่วนใหญ่หรือเปล่า (ไม่ใช้ท่านใช้ความเมตตา ไม่ใช่ใช้เงินเป็นส่วนใหญ่ใช่ไหม (ใช่แล้วศิษย์ทำได้ไหม ไม่ต้องใช้เงินด้วย เคยคิดจะทำไหม หรือว่าเป็นท่านเหนื่อยอยู่คนเดียว  ศิษย์ต้องทำ ใช่หรือไม่
            ในแบบอย่างของพุทธะนั้นก็มีหลายพระองค์ให้ศิษย์นั้นเดินตาม ในแบบอย่างของคนนั้น คนที่ศิษย์เคารพนับถือที่สุด อย่าเคารพนับถือท่านด้วยการเคารพกราบไหว้หรือศรัทธาในตัวท่านเฉยๆ แต่ให้รู้จักที่จะดำเนินรอยตามใช่หรือไม่ (ใช่ความเคารพที่สูงสุดคือการทำตาม  หนึ่งคนดีบ้านนั้นก็จะเป็นบ้านที่ดี หนึ่งคนดีในสังคมๆ นั้นก็จะเป็นสังคมที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่ศิษย์ในที่นี้มีหลายคน ถามศิษย์ว่าศิษย์ของอาจารย์มาอยู่ตรงนี้พร้อมๆ กัน จะทำให้สังคมนี้เป็นสังคมที่ดีได้หรือไม่ (ได้ประการแรกนั้นตัวเราจะต้องดีก่อนและต้องเป็นความดีที่ดีจริงๆ  กลัวแต่ศิษย์ของอาจารย์นั้นดีบ้างไม่ดีบ้าง  ในเรื่องความร่มเย็นของโลกนี้จึงอยากให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นไปเริ่มได้ไหม (เริ่มได้เห็นคนอื่นไม่ดีเราจะบอกว่าอย่างไร เห็นคนอื่นไม่ดีต้องเอาความดีไปจูงใจให้เขากลับตัวเป็นคนดีใช่หรือไม่ (ใช่
ชั้นนี้มีคนมีความรู้ทางโลกหลายคน ความรู้ทางโลกถึงที่สุดแล้วก็คือหลักทฤษฎี  หลักทฤษฎีนั้นก็กล่าวถึงความถูกต้อง ความถาวร เป็นนิรันดร์ ใช่หรือไม่ (ใช่ไม่มีความรู้แขนงไหนในโลกที่ถึงที่สุดแล้วกล่าวถึงความไม่ดี เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นบัณฑิตในโลกก็ต้องรู้จักทำตนให้เป็นคนดี จึงจะขึ้นชื่อว่าเข้าถึงรากแก่นของความรู้ ไม่เช่นนั้นแล้วก็กลายเป็นคนมีความรู้แต่ทำตนเป็นคนที่ไม่มีความรู้ 
            “ฟ้าครึ้มมัวกลัวศิษย์สองวันเปลี่ยน     เป็นดั่งเทียนไส้ขาดสว่างหนี”  เทียนนั้นถ้าเกิดว่าไส้ได้ขาดลงแล้วในช่วงหนึ่ง ถามว่าเทียนดวงนี้ดับหรือติด (ดับเทียนดวงนี้ก็ไม่สามารถที่จะติดต่อกันไปได้ เหมือนกับชีวิตของคน  เมื่อศิษย์ของอาจารย์นั้นเป็นคนดี อย่าได้ดีแล้วไปชั่ว ดีแล้วไปร้าย  ถ้าหากว่าดีแล้วไปร้าย ช่วงที่ขาดไปนี้จะทำให้จิตของเรานั้นดับ ขาดความสว่าง  คนที่ดีแล้วเปลี่ยนเป็นร้าย ถามว่าเขาจะเรียกคนนี้ว่าคนดีหรือคนร้าย (คนร้ายถ้าหากว่าคนร้ายเปลี่ยนมาเป็นคนดี เขาจะเรียกคนดีหรือคนร้าย (คนดีเพราะฉะนั้นตอนนี้เราก็บอกว่าเราดีอยู่ใช่หรือไม่        แล้วเราเปลี่ยนเป็นร้ายได้ไหม
(ไม่ได้ถ้าเราเปลี่ยนเป็นร้าย คนก็จะไม่เรียกเราว่าเป็นคนดีเลยศิษย์เอ๋ย 
            ชีวิตนี้ช่างสั้นนัก ขอให้รู้จักนำพาชีวิตของตัวเราเองนี้ให้ถูกทางถูกครรลองคลองธรรม อยู่ด้วยความมีเกียรติ  เกียรติที่เรานั้นได้หามา เกิดเป็นคนจึงไม่ไร้ค่าถ้าเรานั้นรู้จักทำสิ่งที่ดีไม่หยุดนิ่ง หากวันใดหยุดทำความดี แม้นมีชีวิตก็ไร้ค่า
            “หลังสองวันออกไปกระทำดี    ใช้ธรรมชี้ทางไม่ห่างตน”  ธรรมะนั้นอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา ไม่ใช่อยู่ที่สถานธรรม  ต้องใช้ธรรมะในครอบครัวของเรา  เรามีธรรมะสามีก็ไม่อยากทะเลาะกับเรา ภรรยาก็ไม่อยากทะเลาะกับเรา  เรามีธรรมะลูกเราก็จะกตัญญู เราก็จะเป็นลูกที่กตัญญูต่อพ่อแม่  สิ่งเหล่านี้ต้องทำให้ถึง  สถานธรรมมีไว้ฝึกฝนจิตใจของเราให้สว่างมากขึ้น ศึกษาธรรมะให้ถูกทาง ให้มีความก้าวหน้า ไม่มีความท้อถอย  สถานธรรมเป็นแหล่งรวมกำลังใจ  พราะฉะนั้นทั้งธรรมะ สถานธรรมและบ้านจึงเป็นสิ่งที่สำคัญทั้งสิ้น ขอให้ความสำคัญไว้เสมือนหนึ่งเป็นบ้านทั้งสองหลัง  ทำได้ไหม 
            พุทธระเบียบในสถานธรรมนั้น เป็นกฎระเบียบที่หล่อหลอมให้เราเป็นผู้ที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย มีกฎและมีความสวยงามอย่างพุทธะ  หากว่าเรานั้นเป็นคนที่ไม่มีกฎระเบียบอะไร นึกจะทำอะไรก็ได้ ถามว่าคนๆ นี้เป็นคนที่พร้อมจะเป็นพุทธะไหม (ไม่พร้อม)   ศิษย์ของอาจารย์จึงต้องเป็นคนที่มีกฎระเบียบ ตื่นนอนเป็นเวลา เข้านอนเป็นเวลา กินอาหารเป็นเวลา เป็นตัวอย่างง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน  
สามเหลี่ยม  ถ้ากลับหัวลงมาเป็นอย่างไร ปลายเล็กแต่ข้างบนใหญ่  ถามว่าปลายเล็กรองรับด้านบนที่ใหญ่อยู่ไหม (ไม่อยู่ทำให้ใหญ่ขึ้น ดีขึ้น ทำให้ดียิ่งกว่าใคร แต่ฐานล่างเล็กมันก็ล้ม พอล้มลงมาแล้วถามว่าใครจะมาช่วยเรากลับได้ ใจนี้ไม่มีใครกลับได้ ความเข้าใจไม่มีใครสร้างให้ได้ ถ้าเราไม่ทำเอง
            เป็นลูกนั้นต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่ผิดเรานั้นตักเตือนได้บ้างแต่ไม่ใช่ทุกครั้ง ตักเตือนด้วยความเคารพ คุกเข่าลงไปตักเตือนก็ยังมากไป เพราะฉะนั้นแม้ว่าผู้เป็นพ่อแม่ทำผิดอย่างไร ผู้เป็นลูกต้องมีความกตัญญู เพราะถ้าจะเป็นพุทธะแล้ว ความกตัญญูยังทำไม่ได้ก็เป็นพุทธะไม่ได้ อันว่าเกิดมาเป็นพ่อแม่ลูก ถือว่ามีบุญด้วยกันมา ผูกบุญมาดีก็ดี ผูกบุญมาไม่ดี เราก็ต้องใช้กรรมนั้นไป
            ผู้บำเพ็ญชายมีน้อยกว่าผู้บำเพ็ญหญิง ผู้หญิงต้องรู้ว่าเรามีความโชคดี คนที่บำเพ็ญร่วมกับเรานั้นมีมาก ส่วนผู้ชายนั้นมีน้อยกว่า เวลาทำความผิดหนักๆ ผู้ชายก็ทำความผิดมากกว่า เราเป็นผู้หญิงนั้นจึงต้องฝึกความอ่อนโยน นิ่มนวล อ่อนหวาน แต่ว่ามีความแข็งบ้างก็ดี ความแข็งนี้คือใจที่แข็งแรง มีความอ่อนอยู่ข้างนอก คือนิ่มนวล มีกิริยาท่าทางที่สง่างามที่งดงาม  จิตใจก็อย่าตึงเครียดมาก ต้องรู้จักผ่อนคลาย ให้จิตใจนั้นสบายเหมือนอยู่กลางสายลมเย็น  ไม่ใช่ทุกๆ วันเหมือนอยู่กลางเปลวไฟ ทำให้ร้อนไปหมด ถ้าร้อนมากๆ จะช่วยให้คนอื่นเย็นได้อย่างไร อธิบายอะไร พูดอะไรก็มีแต่ความร้อน
            “ใจนั้นหลับแต่ตาตื่นกลับตาลปัตร ไม่ประมาทรู้ทางฝันทุกสิ่งปกติคนที่ตื่นแล้วลืมตาหรือหลับตา (ลืมตา) ต้องลืมตาใช่หรือเปล่า (ใช่แต่ว่าศิษย์ของอาจารย์ส่วนมากมีใจที่หลับ แต่ตาเป็นตาที่ตื่น หมายความว่า แม้ตานั้นจะเบิกกว้าง แต่จิตใจกลับเป็นจิตใจที่หลับสนิท โดยเอากิเลสมากล่อมตัวเราเองให้หลับ แล้วก็หลับอย่างสนิทด้วย เป็นการกลับตาลปัตรกับความเป็นจริงที่ควรจะเกิดขึ้น ผู้บำเพ็ญนั้นต้องมีใจที่มีสติที่ตื่นอยู่เสมอ อันว่าตานั้นลืมขึ้นแต่ใจหลับ ควรเป็นแม้ตาหลับแต่ใจตื่นใช่หรือไม่ (ใช่แต่หลายๆ คน ใจดวงนี้บางทีก็หลับ บางทีก็ตื่น บางคนก็หลับไปเลย ไม่ยอมตื่น ควรจะเป็นตื่นขึ้นมาโดยที่ไม่ยอมหลับใช่หรือไม่ (ใช่วันนี้ตั้งใจแล้ว ทุกๆ วันก็ยัง   ตั้งใจ ชีวิตนี้มีแค่ร้อยปี ร้อยกว่าปี เพราะฉะนั้นร้อยกว่าปีนี้ ขอให้มีจิตใจที่ตื่นอยู่เสมอ ดีหรือเปล่า (ดีถ้าไม่ประมาทก็รู้ทางที่จะแปรทุกสิ่งได้ ตอนนี้เราเป็นผู้ที่ตั้งอยู่บนความประมาท  อะไรที่เคยชิน อะไรที่เคยได้สัมผัส อะไรที่เคยได้รู้ ก็ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเช่นนั้น จนไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้ใช่หรือไม่ (ใช่เหมือนกับคนที่เคยกินข้าวกับอาหารเผ็ด พอไม่ได้กินเผ็ดก็เกิดความรู้สึกทุกข์ทรมาน เคยมีเงินทองใช้ไม่ขาดมือ วันหนึ่งเงินทองขาดไปก็เกิดความทุกข์ทรมานใช่หรือไม่ (ใช่)   ความทุกข์ทรมานเหล่านี้ เป็นความทุกข์ทรมานที่ไม่จำเป็น ศิษย์ของอาจารย์ไม่จำเป็นต้องทุกข์ทรมานกับเรื่องเหล่านี้ก็ได้ เพียงแต่รู้จักพอ มีสติ ใช้ชีวิตอย่างมีสติ
ค้างบนโลกนานไปเท็จเลยจริง  สตินิ่งแต่ยังไม่หยั่งรากลง”  เราค้างอยู่บนโลกนี้นานเกินไปเท็จเลยจริง ใช่หรือเปล่า (ใช่ร่างกายนี้เท็จหรือจริง (เท็จ) ตีดูสิว่าเจ็บไหม (เจ็บเราต้องรู้ว่าร่างกายของเรานี้เป็นเท็จ ยืมใช้      ชั่วคราวแต่ต้องรักษา แม้ว่าร่างกายของเรานี้จะเป็นความเท็จ ผู้ที่ศึกษา    สัจธรรมทั้งหลายฟังไว้  หลายคนให้ความสำคัญกับเรื่องจิตใจ บอกว่าต้องบำเพ็ญธรรม แต่ร่างกายนี้ไม่ยอมรักษา ถามว่าร่างกายไม่รักษา จิตใจจะสงบได้ไหม (ไม่ได้) เมื่อเจ็บป่วยจิตใจก็ไม่สงบ  แม้ว่าธรรมะไม่มีหลากหลายสีสัน แต่ทว่าในความไม่มีสีสันเหล่านี้ก็มีความงดงามอยู่ ร่างกายนี้แม้เป็นร่างกายที่เท็จ เวลาในโลกนี้แม้จะสั้น แต่ทุกเวลาทุกนาทีต้องใช้ให้มีประโยชน์ ต้องเข้าถึงซึ่งตนเอง และใจของผู้อื่นได้ จึงจะเป็นการใช้ชีวิตนี้อย่างคุ้มค่า
            “กาลคับขันปราชญ์พิชิตใจตนด่วน”  สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนยกย่องศิษย์ของอาจารย์ทุกคนให้เป็นปราชญ์ ไม่ใช่เป็นคนธรรมดา  คำพูดที่พูดกันตลอดหลายชั่วโมงที่อาจารย์มาแล้วบอกว่าเราเป็นปุถุชนนั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนไม่เคยเห็นศิษย์ของอาจารย์เป็นปุถุชน มีแต่เห็นศิษย์เป็นอนาคตของพุทธะ ท่านไม่เคยดูถูกศิษย์ แล้วศิษย์ดูถูกตนเองทำไม  เราเป็นปราชญ์ ใจของเรามีดวงเดียว แล้วชนะใจของเราดวงนี้ได้หรือไม่ (ได้ให้ใจของเราเจอกิเลสแล้วไม่หวั่นไหว  ให้ความรัก โลภ โกรธ หลง ทำลายใจเราไม่ได้ ให้เราเป็นคนที่มีอารมณ์เบาบาง ให้เรานำพาผู้อื่นไปด้วยความเมตตา ทำสิ่งเหล่านี้ได้ไหม (ได้
            หลายคนกลับตาลปัตรจากสิ่งนี้ เวลาจะช่วยคนก็ใจร้อน เวลาไม่ถูกใจก็เกิดอารมณ์  เวลาสิ่งที่เป็นปัจจัยของความรัก โลภ โกรธ หลง มาใกล้ก็เปลี่ยนสถานะของจิตใจให้วิ่งตามเขาไป จะให้อาจารย์เอาอะไรไปลากกลับมา  ฉะนั้นชนะใครไม่เท่าชนะใจตนเอง จำเอาไว้
            “จิตเรรวนทำให้ไร้อานิสงส์”  คนที่มีความเรรวนแม้จะทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่คนธรรมดาทำไม่ได้ แต่ความที่มีจิตเรรวนนั้นก็จะไม่เกิดผลบุญใดๆ  โดยเฉพาะคนที่เฝ้ายึดติดในบุญกุศลทั้งหลาย มีจิตเป็นอุปทานฟุ้งซ่าน ผู้นั้นไม่ต่างกับผู้ที่มีความโง่เขลา
            “บำเพ็ญให้กิเลสเร่งลดลง”   การบำเพ็ญไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ใช่เรื่องไกลตัว ไม่ต้องหาเฟอร์นิเจอร์มากมาย ไม่ต้องหาศัสตราวุธใดๆ มาฆ่ากิเลส  เพราะฉะนั้นเมื่อกิเลสอยู่กับเรา เพียงแต่เรารู้จักขจัด รู้จักล้าง ตัดกิเลสเหมือนกับการอาบน้ำวันละสองหน บำรุงเลี้ยงจิตใจเหมือนกับการกินข้าววันละสามมื้อ ทำได้ไหม
            “ความมั่นคงกลับมีเพิ่มตามปี”  ใครที่บำเพ็ญมาหลายปีแล้ว ยังไม่มีความมั่นคง ไม่แน่ใจ คนที่ไม่มีความศรัทธา เชื่อมั่น จะบำเพ็ญสำเร็จได้ไหม (ไม่ได้) ศิษย์ก็รู้อยู่แล้ว  อาจารย์นั้นหวังจะให้ศิษย์สำเร็จทุกคน ความไม่    แน่ใจ ไม่เชื่อ ไม่ศรัทธาทั้งหลาย ไม่มีผลดีต่อศิษย์เลย  หากว่าคิดจะลงมือบำเพ็ญ ก็ลงมือด้วยความเชื่อมั่น ด้วยความศรัทธา แล้วความศรัทธานี้ไม่เกินไปกว่าการแก้ไขตนเอง  หลายๆครั้งที่อาจารย์บอกให้ศิษย์ทำตนเป็นคนดี เปลี่ยนแปลงตนเองเป็นคนใหม่ ตอนนี้ศิษย์หลายคนก็บำเพ็ญมาหลายปีอาจารย์ถามว่ามีสิ่งใดใหม่ขึ้นในตัวศิษย์ ถ้าไม่มีแล้วฟ้าดินจะเอาสิ่งใดเป็นสิ่งที่โดดเด่นในการคัดเลือกศิษย์นั้นเป็นพระอริยะใช่หรือไม่ (ใช่)
            “มีจุดหมายชีวิตด้วยใจตื่น            พร้อมหลับตื่นเมตตาไปทุกที่ 
สังคมเสื่อมไม่ซาสร้างความดี        คงจะมีสักวันโลกร่มเย็น
            ชีวิตนี้ต้องมีจุดหมายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และต้องมีจุดหมายกับจิตใจที่ตื่น ไม่ใช่จิตใจครึ่งหลับครึ่งตื่นโดยไม่รู้ว่าตนเองจะทำอะไร ความเมตตาเป็นสิ่งที่ทำให้โลกร่มเย็นมากที่สุด จิตใจของผู้บำเพ็ญจึงต้องปลูกฝังความเมตตา  แม้ว่าสังคมจะเสื่อมอย่างไร ใส่ความดีเข้าไป รับรองได้ว่าสังคมนี้จะได้รับการปฏิรูปใหม่ คงจะมีสักวันที่โลกร่มเย็นด้วยฝีมือของศิษย์ อาจารย์ต่อให้เก่งกว่าศิษย์ แต่ก็ไม่เก่งมากกว่าศิษย์ได้เลยเพราะอาจารย์ไม่มีร่างกายที่จะสามารถแปรผันโลกนี้ให้เป็นโลกใหม่ได้ เพราะฉะนั้นพุทธะบนแผ่นฟ้าแม้จะมีความเก่งมีอิทธิฤทธิ์สู้ศิษย์ไม่ได้
            ทุกวันนี้โลกมีวิวัฒนาการก้าวหน้า จะบอกว่าคนไม่มีอิทธิฤทธิ์หรือ เดี๋ยวนี้ขึ้นบันไดก็ไม่ต้องเดิน บันไดก็เลื่อนขึ้นไปให้ อยากจะทานอะไร วิเศษแค่ไหน จะนกบนฟ้า ปลาในน้ำ สัตว์ข้ามประเทศก็กินได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) และไม่มีอิทธิฤทธิ์ตรงไหน ก็มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ใช่หรือไม่ (ใช่จงรู้ไว้เถิดว่า ศิษย์มีความสามารถ
            (พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาท ตื่นก่อนสายเกิน”)
            คำว่าตื่นนี้ไม่ใช่ลืมตาตื่น แต่คือจิตใจอันประเสริฐได้ตื่นขึ้น  ตื่นก่อนสายจากอะไร  ถามว่าศิษย์จะมีลมหายใจเข้าออกตลอดไปไหม ตื่นที่สองคือ ตื่นจากความคุ้นเคย ความเคยชินทั้งหลายที่ปลูกฝังมาเป็นนิสัย แทบจะขัด แทบจะแก้ไม่ได้  ถ้ายิ่งนานวันเรายังไม่ยอมแก้นิสัยความเคยชินมากเท่าไร ยิ่งรู้สึกว่าชินเสียแล้ว  จะจับแก้วน้ำก็ยังต้องจับท่านี้ ชินอย่างนี้แก้ไม่หาย จะนอนต้องนอนที่นิ่มๆ  หมอนแข็งๆ ก็นอนไม่ได้ นี่คือความเคยชินไหม  ถ้าหากเคยชินมากเกินไปก็สายเกินกว่าที่จะแก้ ใช่หรือเปล่า  ความสายอย่างที่สามคือ สายจากกาลเวลาของโลก ศิษย์ลองดูไปรอบๆ ในโลกนี้เต็มไปด้วยภัยพิบัติที่เป็นน้ำมือของมนุษย์ ใช่หรือไม่  ถ้าหากเราเผลอตัวเป็นคนไม่ดี เป็นคนชั่ว ก็สายเกินไปที่เราจะตื่น ไม่ต้องพูดถึงว่า โลกนี้จะดับสูญ ร่างกายของศิษย์วันนี้อาจจะดับสูญก็ได้ ใช่หรือเปล่า
            ในหลายปีนี้วุ่นวาย แต่กลางความวุ่นวายใจต้องสงบลงให้ได้ อย่าได้บอกว่ากลางความวุ่นวายฉันยิ่งวุ่นวาย เพราะรู้สึกว่าโลกนี้จะอยู่อีกไม่กี่ปีแล้ว  หากเป็นคนวุ่นวาย เป็นกระต่ายตื่นตูมแล้ว คน ๆ นั้นจะเป็นพุทธะหรือ พุทธะที่กลัวความวุ่นวาย ฟ้าดินไม่เอาคนแบบนี้  กลางความวุ่นวายยิ่งต้องไปช่วยคน อย่าลืมช่วยตนเองก่อน
            ศิษย์ของอาจารย์ที่นี้หลายคนอายุยังน้อย ผ่านประสบการณ์ในชีวิตไม่มาก ไม่รู้ว่าชะตาชีวิตของตนในวันข้างหน้าต้องเจอสิ่งใดบ้าง  เพราะฉะนั้นอาจารย์เตือนขอให้ตื่นตั้งแต่วันนี้  ตื่นเร็วขึ้นหนึ่งวัน มีเวลาบำเพ็ญเร็วขึ้นหนึ่งวัน สร้างกุศลได้มากขึ้นหนึ่งวัน ทำงานธรรมะช่วยผู้อื่นได้มากขึ้นหนึ่งวัน ไม่ใช่เรื่องดีหรือ  จงพอใจในสิ่งที่ตนเองมี เพราะสิ่งที่ศิษย์มีเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แม้จะมีสิ่งที่ดีเกิดขึ้นมากมายแต่ถ้าไม่ใช่ของศิษย์ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีรู้ไหม
            ความสุขที่มีอยู่ในวันนี้ ไม่ใช่ของวันพรุ่งนี้ ไม่ถาวร ไม่ยั่งยืน   ชีวิตนี้ไม่ใช่ไม่มีวันดับ จงรู้ไว้ว่าคนที่ยิ่งใหญ่ก็มีความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้น  วันนี้มีความทุกข์มากหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่อย่าทุกข์เพื่อตนเอง ขอให้ทุกข์เพื่อผู้อื่น ทำจิตใจของเราให้ประเสริฐ ฝึกฝนและพยายามทุกวัน เหมือนกับการที่ได้รับผลไม้จากอาจารย์  ถ้าหากศิษย์ไม่ฝึกฝนไม่พยายาม มีหรือจะก้าวได้เร็วขึ้น มีหรือจะเดินได้ไวขึ้น

            (พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้แก่นักเรียนและผู้ปฏิบัติงานธรรม) บำเพ็ญธรรมก็มักคู่กับความท้อ หลายคนนั้นท้อ อาจารย์ก็อยากให้กำลังใจกับศิษย์ทุกคนที่อยู่ที่นี้ ขอให้สู้กับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความมีกำลังใจ  อย่าไปท้อเหมือนกับที่เหตุการณ์สร้างให้ศิษย์ท้อ  เหตุการณ์นั้นมีมากมายหลายแบบรองรับการบำเพ็ญจากศิษย์หลายอย่าง  ขอให้อยู่ด้วยกำลังใจ คนมีกำลังใจไม่ว่าเจออุปสรรคหนักเท่าไรก็ไม่ตาย

ขอเพียงไม่เกียจคร้านการงาน  มีความรู้สึกอย่างคนที่รู้จักพอ  ถ้าศิษย์อยากมีเงินใช้  อาจารย์ก็เชื่อว่าถ้าไม่เกียจคร้าน ขยันขันแข็งไม่นานก็ฟื้น  อาจารย์รู้ว่าชีวิตคนนั้นมันมีความลำบากหลายอย่าง แต่บางคนนั้นอยู่ในภาวะที่สบายกลับไม่รู้ว่าตนเองนั้นสบาย รอให้เกิดความลำบากจริงๆ แล้วจึงจะเข้าใจ
            อาจารย์นั้นแวะเวียนมาดูศิษย์ของอาจารย์หลายครั้ง แต่รู้ไหมว่าความเสื่อมถอยในใจของศิษย์นั้นทำให้อาจารย์ท้อขนาดไหน  มองกี่ที  ดูกี่ที  ก็ไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้น  เตือนกี่ครั้ง พูดกี่ครั้งก็เหมือนเดิม  ศิษย์ทั้งหลายเป็นกำลังใจทั้งหมดของอาจารย์  อย่าทำให้อาจารย์ผิดหวังแล้วผิดหวังอีก
            (ญาติธรรมท่านหนึ่งจากอเมริกา ขอให้อาจารย์ไปส่งเสริมญาติธรรมที่อเมริกา) ศิษย์และอาจารย์เราเหมือนกัน  ขอให้ศิษย์เป็นตัวแทนของอาจารย์ เป็นแบบอย่างที่ดีให้คนอื่นเห็น ตอนนั้นเห็นศิษย์ก็เหมือนเห็นอาจารย์ ช่วยงานของอาจารย์ให้ดีๆ
            ความเชื่อมั่นมีมากไหม บำเพ็ญให้ดีๆ  เป็นกำลังใจให้กันและกันอย่า ท้อแท้ อย่าท้อถอยกับความลำบากที่มันอยู่ตรงหน้าเรา เราต้องสู้อย่างคนที่กล้าสู้ เราต้องรู้ให้ทัน ใจของเรานั้นจะเปลี่ยนให้เป็นมีดหรือหอกแทงกิเลสที่อยู่แสนไกลก็ทำได้
            อาจารย์ไปแล้วทำตัวให้ดีๆ แก้ไขแล้วถ้าไม่ได้ก็แก้อีก แต่อย่าแก้ตัวเพราะไม่มีประโยชน์ ถึงเวลาแล้วความจริงก็ย่อมเป็นความจริง จงเป็นพุทธะตั้งแต่อยู่บนโลก จึงจะไปเป็นพุทธะร่วมสถานเดียวกับอาจารย์ได้ ความลำบากมากเท่าไรก็ทดสอบให้ศิษย์ยิ่งสูงมากเท่านั้น สูงเด่นไปด้วยจิตใจ     ไม่ละอายเมื่อกลับคืนแดนฟ้า ลาก่อน หวังว่าวันหน้าเราคงได้เจอกันอีก



 พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาท ตื่นก่อนสายเกิน










                       


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา