วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2542

2542-03-20 พุทธสถานฉงเต๋อ อ.ทองผาภูมิ


PDF 2542-03-20-ฉงเต๋อ #1.pdf
                
 
วันเสาร์ที่ ๒๐  มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒     พุทธสถานฉงเต๋อ อ.ทองผาภูมิ
                สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

                รวมจิตใจเป็นหนึ่งเดียวจึงเกลียวกลม น่าชื่นชมพุทธะน้อยแห่งยุคขาว
สามัคคีเร่งลงแรงขยันก้าว   จะร้อนหนาวเป็นกำลังใจให้แก่กัน
                                เราคือ
                องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่พุทธสถานฉงเต๋อ   เคียมคัล
องค์มารดา                      ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
                                                ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา  ฮวา
                ในวันนี้มีบุญอยู่ร่วมสถาน    ดำเนินงานประชุมธรรมแจ้งจิตใส
ฟ้ามนุษย์ร่วมมือธรรมสู่ใจ   ความเข้าใจด้วยศึกษาอย่างจริงจัง
จงมีจิตที่เบิกบานเพื่อฟังเถิด            ดั่งบัวเกิดต้อนรับแสงอาทิตย์ส่อง
แม้จะงอกจากโคลนตมตามครรลอง   แต่ไม่ยอมเป็นผู้หลงเวียนว่ายไป
ชีวิตนี้มีค่ายิ่งกว่าสิ่งใด        จงตั้งใจเร่งบำเพ็ญแต่เนิ่นเนิ่น
อย่าได้ตื่นเมื่อตอนที่สายเกิน           น้องจะเดินทางตันหรือทางกว้างไกล
อันเวลาไม่คอยคนไม่คอยท่า           น้องจะมีเงินทองมาซื้อไม่ได้
ลาภยศฐาดั่งบุปผาร่วงโรยง่าย          น้องจงใช้เวลาให้เป็นประโยชน์
ด้วยบัดนี้เกณฑ์กำหนดสู่ยุคขาว       อย่ามัวเขลานั่งนอนเฉยมิใส่ใจ
ทุกคนนั้นต่างเป็นพุทธะและมารได้    อยู่ที่ใครใช้ปัญญาสว่างโพลง
สองวันนี้โอกาสดีได้เริ่มต้น  ย้อนมองตนเป็นอย่างไรรู้จักไหม
ชนะตนได้สักครั้งเคยหรือไม่           อย่าจนใจใฝ่บำเพ็ญไม่จนทาง
พิจารณาให้ถ้วนถี่ปวงปัญหา            ดั่งไฟมาไหม้ฟางพริบตาสูญ
เมื่อได้รู้ทางคืนกลับเร่งจรูญ พายเรือหนุนทวนกระแสแห่งโลกีย์
กฎระเบียบพุทธสถานต้องเข้มงวด     มิต้องกวดขันผู้อื่นมองตนเถิด
ขอให้ทุกทุกวันพุทธะเกิด    จิตบรรเจิดจากภายในสู่กระทำ
ขอให้อยู่ครบสองวันด้วยใจจริง        จิตต้องนิ่งอย่าลิงโลดปลาขาดน้ำ
มีโอกาสห่างโลกีย์ย้อนตนทำ           ใส่ใจจำต้นไม้ยากโตในสองวัน
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป        ยืนคุมชั้นบันทึกคะแนน
จรดวางพู่กันลง
                                                ฮวา  ฮวา  หยุด


วันเสาร์ที่ ๒๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒      พุทธสถานฉงเต๋อ อ.ทองผาภูมิ
พระโอวาทท่านแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
                ยั้งเวียนว่ายแปรปรวนกระแสโศก      เพราะรู้โลกอนิจจังฝั่งเหลียวหา
เมื่อได้รู้ความเป็นไปความเป็นมา       ไม่รอช้าจะบำเพ็ญตราบสิ้นลม
                                เราคือ
                หนึ่งในแปดเซียน หลันไฉ่เหอ         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่พุทธสถานฉงเต๋อ   แฝงกายกราบ
องค์มารดา                                  ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
                การหมุนเปลี่ยนเวียนวนแห่งวัฏจักร   เป็นประจักษ์บานบุปผาร่วงโรยผลัด
แม้สีสวยจางไปไม่ประหลาด            แจ้งถนัดตาอริยากลัวเวียนว่าย
ก่อเหตุต้นพันธนาการ ผลปลายสู่      พุทธะจึงเข้มงวดรู้ผิดแล้วแก้ไข
สำนึกจะเพียงพอให้ผิดมลาย           สุดท้ายสุขเหลือล้นพ้นแรงกรรม
กลางลำบากได้ฝึกใจกายตน            ใครงดจะอดทนร้อนใจร่ำ
ระฆังดังงามเกิดเสียงแห่งธรรม         ท่านเมธีหนึ่งชีพทำดีปรีดา
คิดจะพักจัดการง่ายสุดท้ายยาก        บ้างยากแล้วมาง่ายปวงปัญหา
หรือบ้างยากแลบ้างง่ายธรรมดา        คนสู้ปัญหาไม่หมดเวลาใจ

ลองถ้าแม้เหนื่อยยากเพราะไขว่คว้า  ไม่ควรลืมสร้างคุณค่าตามอดิศัย
เวลาไม่เคยจะคอยผู้ใด       ใจไม่เคยเที่ยงใครมีระวัง
เมธีสิ่งสำคัญต้องเป็นคนดี   ใจดุจเที่ยงใจดุจรพี สว่าง
ไม่ลำเอียงไม่ชั่งข้างรักชัง   ทุกสิ่งสร้างตรวจตราหนึ่งต้นปลาย
                                                ฮา  ฮา  หยุด


                ชีวิตเปรียบเช่นความฝัน  ร้อยรสกล่าวขาน  ยึดพลันมีแต่ร้อนใจ  เพียงหลงอัตตา  ย่อยยับด้วยความร้อนใจ  กิเลสปิดใจ  เริงความสุขจะลุ่มหลง
                น้อยครั้งจะฟื้นตื่นพ้น  ขับเคี่ยวใจตน  วกวนเฝ้ายอมแพ้ใจ  เปี่ยมล้นศรัทธา  จะทดแทนกันอย่างไร  ลองถ้าคงไว้ผ่อนในผิดมิทบทวน
*             ยับยั้งใจกันก่อนจะสาย  รุดบำเพ็ญจิตสูงล้ำ  ความจริงยิ่งศักดา  ในหนึ่งชีวาพากเพียรให้เห็นจริง
**           ต้อนรับเหล่าความดีนั้น  อ่อนน้อมเป็นฐาน  ยากลำเค็ญมาสอนใจ  จิตแท้กลับมาเป็นเช่นแสง  บนฟ้าไกล  ที่อาจว่าไกล  แต่เยือนทั่วเสมอกัน
(ซ้ำ *,**)
                                                                                เพลง : รอคอยจิตแท้กลับมา
                                                                                ทำนองเพลง : น้ำเซาะทราย


พระโอวาทท่านแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
ธรรมะที่แท้จริงขึ้นอยู่กับว่าได้มาโดยง่ายหรือยากหรือเปล่า แล้วทำไมพอพบธรรมะง่ายๆ จึงบอกว่าไม่จริงแน่ของปลอมแน่ มีใครสักกี่คนพอพบธรรมะโดยง่ายหรือพบธรรมะโดยยาก จะลองใช้ปัญญา ใช้จิตใจหรือให้เวลาตรวจสอบธรรมะที่ตนเองค้นพบแล้วหยั่งลงด้วยจิตใจอันเที่ยงธรรมดูว่า ธรรมะที่ตนเองค้นพบจริงหรือเท็จกันแน่ ไม่ใช่ใช้แค่ตา หู หรืออะไรที่เราได้ยินได้ฟังเท่านั้นใช่หรือไม่ แต่ยังต้องใช้จิตใจของเราและปัญญาของเราตรวจสอบและวัดดู คนเรายังไม่ชอบให้ใครใช้แค่ตาตัดสิน แล้วธรรมะจะชอบหรือ ถ้าธรรมะเป็นเหมือนคนๆ หนึ่งจะชอบหรือเปล่า ก็ต้องไม่ชอบใช่หรือไม่ เราก็เป็นคนๆหนึ่ง เป็นคนที่มีปัญญาด้วย เป็นคนที่มีความรู้ด้วย ฉะนั้นจะตัดสินจะวัดค่าอะไร ใช้ปัญญาเราตัดสินได้ อย่าใช้แค่ตาดูหูฟังเท่านั้นย่อมไม่เกิดประโยชน์ อย่างนั้นไม่อาจเรียกว่าผู้มีปัญญาใช่หรือไม่ ฉะนั้นการจะวัดธรรมะสักธรรมะหนึ่งหรือการจะวัดสิ่งใดสักสิ่งหนึ่ง อย่าใช้แค่ตาดูหูฟัง แต่ต้องใช้ใจและปัญญาความรู้ที่สั่งสมมาช่วยตัดสิน จึงจะเป็นผู้ที่รู้จักใช้ชีวิต ใช้ความรู้และใช้ตัวตนเองที่แท้จริงเป็น ถ้าเกิดว่ามีปากแล้วคิดอย่างไรก็ใช้ปากพูดอย่างนั้น เสรีอิสระสบายใจใช่หรือเปล่า แต่เสรีอิสระสบายใจตอนต้นแต่มาอึดอัดตอนปลายเพราะว่าอะไร (ไม่ได้คิดก่อนพูด) นั่นก็แปลว่าถึงแม้จะมีปากมีความคิดและเป็นไปตามอิสระของตน แต่ก็ต้องรู้จักยับยั้งและสกัดกั้นบ้างใช่หรือไม่ ถ้าปล่อยให้เตลิดเปิดเปิงไปก็มีแต่จะเป็นอันตรายต่อตัวตนเองใช่หรือเปล่า ท่านก็คงไม่ชอบคนที่มีปากแล้วก็พูดอยู่นั่นแหละ เจื้อยแจ้วเป็นนกแก้วนกขุนทอง ท่านก็คงไม่ชอบใช่หรือไม่ บางครั้งก็อยากจะให้เขารู้จักหยุดบ้าง รู้จักผ่อนบ้างใช่หรือเปล่า แล้วก็ต้องรู้จักว่าตอนไหนควรพูดตอนไหนไม่ควรพูด นั่นถึงจะเรียกว่ามีปากแล้วใช้ปากเป็นใช่ไหม แล้วตอนนี้ท่านรู้ไหมว่าท่านควรใช้อย่างไร
อยู่บนโลกนี้เราต้องการความสุขกันทุกๆ คนใช่หรือไม่ เราเกลียดความทุกข์ ไม่อยากพบหน้าความทุกข์ แต่ส่องกระจกทีไร เราก็พบทุกข์บนริ้วรอยทุกวันเลยใช่ไหม แล้วการบำเพ็ญธรรมเกี่ยวอะไรกับทุกข์สุขในชีวิตของเรา การบำเพ็ญธรรมก็คือการขัดเกลาตนเองให้เป็นคนดี แต่บางคนบอกว่าเป็นคนดีพอแล้ว ทำไมยังต้องบำเพ็ญอีก สิ่งใดที่จะรับรองว่าคนๆ นั้นเป็นคนดีได้ใช่ตัวเราเองกำหนดตัวเราเองว่าเป็นคนดีหรือเปล่า ถ้าเราบอกว่าเราเป็นคนดีแล้ว ทุกคนจะคิดว่าเราเป็นคนดีได้ไหม เขาต้องว่าเราว่าคนนี้หลงตนเองเหลือเกินใช่หรือเปล่า อย่างนั้นมาวันนี้ใครคิดว่าตนเองเป็นคนดีแล้วไม่เห็นจำเป็นจะต้องบำเพ็ญตน ขัดเกลาตนให้ยิ่งดีขึ้นไปอีก ทุกคนที่ไม่ตอบก็แปลว่าเริ่มรู้ว่าตนเองมีข้อบกพร่องมีข้อไม่ดีเยอะกว่าข้อดีจึงไม่กล้าบัญญัติตนเองว่าเป็นคนดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ปรบมือให้ตนเองหน่อย เพราะอะไรเราถึงให้ปรบมือให้กับตนเอง (เพราะใจกล้า)  เพราะใจกล้าและยอมรับใช่หรือไม่ (ใช่)  สังคมปัจจุบันนี้ขาดคนกล้า กล้ายอมรับว่าตนเองเป็นคนไม่ดี และกล้าที่จะลุกขึ้นสู้เพื่อกลับกลายเป็นคนดีใช่ไหม เรามักจะกล้าสิ่งแรกแต่เรามักจะไม่กล้าสิ่งหลัง เพราะเรารู้สึกว่าการเป็นคนดีถึงแม้จะดีไปแต่สังคมเลวร้ายก็ไม่มีประโยชน์เลยใช่หรือไม่ (ใช่,ไม่ใช่)  ถ้าเราเป็นคนดีแล้วคนอื่นในสังคมไม่ดีกับเราด้วยมีประโยชน์หรือเปล่า ก็มีประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหลายคนคิดแบบนี้ แต่ไม่ทำเลย อย่างนี้จะเรียกว่ารักการเป็นคนดีที่แท้จริงได้ไหม (ไม่ได้)  แค่เก็บไว้ในความคิดแต่ไม่ลงมือปฎิบัติธรรมใช่หรือไม่ ฉะนั้นตอนนี้ทุกๆ คนก็พูดกับเราแล้วว่า อยากเป็นคนดีแล้วก็อยากทำให้ถึงซึ่งความดีใช่ไหม ฉะนั้นอะไรที่ยากลำบากต้องไม่ย่อท้อ อะไรที่ส่งเสริมให้เรายิ่งเป็นคนดี เราก็ต้องเร่งรีบทำ แม้จะเล็กน้อย แม้จะไม่มีใครเห็น แม้จะปิดทองหลังพระ เราก็ต้องพร้อมที่จะทำใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเพราะอะไรเราถึงอยากเป็นคนดี นอกจากจะช่วยให้ตนเองมีความสุขในการทำดีแล้ว ยังไม่หวาดกลัวอันตรายและยังได้ความร่มเย็นแห่งจิตใจอีกใช่หรือเปล่า ผลของการกระทำยังสามารถสะท้อนหรือสะเทือนใจให้ผู้อื่นเห็นแล้ว อยากปฏิบัติตามด้วย แต่ต้องทำดีอย่างไร เราถึงจะสามารถรับรอง ยืนยันและสร้างความเชื่อมั่นให้คนรอบข้างปฏิบัติตามได้ ทำแค่หนึ่งวัน ตลอดชีวิต หรือทำแค่หนึ่งชั่วโมง (ทำตลอดชีวิต)  ทำตลอดชีวิตและหาโอกาสทำทุกๆ ช่วงเวลาใช่หรือไม่ ความดีนั้นถึงจะรับรองเราได้ว่าเราเป็นคนดีที่แท้จริง คนที่รู้จักขัดเกลาตนเองอยู่เสมอ นั่นแหละเรียกว่าผู้บำเพ็ญ อย่างนั้นการบำเพ็ญก็คงไม่ยากสำหรับทุกคนที่นั่งที่นี้ใช่หรือไม่ ความชั่วร้ายยากจะทำร้ายคนดีได้ เพราะว่า ถ้าการทำความดีของเรามีพลังรองรับอันหนักแน่นและมั่นคง เป็นการกระทำที่ทุกๆ วันแม้จะพลาดไปเพียงนิด คนทั่วโลกก็ให้อภัย แต่ถ้าทุกวันไม่เคยทำความดีพลาดเพียงนิดก็ง่ายที่จะเป็นคนไม่ดีใช่หรือเปล่า (ใช่)  มีคนมาตราหน้าเราว่า คนนี้เป็นคนไม่ดี เป็นคนโกหก ไม่รักษาสัจจะวาจา เป็นคนเบียดเบียนคนอื่น แปลว่าทุกวันเราจะต้องทำคุณธรรมทุกๆ อย่างให้เต็มเปี่ยม ใช่หรือไม่ (ใช่) ฟังดูแล้วหนักไหม เอาแค่รักษาสัจจะให้ได้
บางครั้งรู้สึกเป็นอย่างไร อึดอัดใช่หรือไม่ ยิ่งมีกรอบยิ่งอึดอัด ยิ่งตีกรอบยิ่งรู้สึกอยากจะดิ้นออกจากกรอบให้ได้ นั่นก็แปลว่าสิ่งนั้นเราสร้างกรงขังให้แก่ตัวเอง แปลว่าความดีไม่มีอยู่ในพื้นฐานจิตใจเราหรือ นั่นก็ไม่ใช่  แต่เมื่อเราคิดจะทำดีเราอย่าตีกรอบในจิตใจ มีโอกาสก็สร้าง เข้าใจความหมายตรงนี้ไหม  บ่อยครั้งเรายึดมั่นกับความดี ยึดมั่นกับคำว่ารักษาสัตย์ เราก็เลยเหมือนสร้างกรอบให้กับตนเอง แต่การทำความดีการรักษาสัตย์ต้องปล่อยให้เป็นตามธรรมชาติ เราก็จะไม่รู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ที่ใด หรือเมื่อแสดงตนกระทำสิ่งใด  นั่นก็คือการรู้จักนำธรรมมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่นำธรรมมาสร้างความอึดอัดให้กับชีวิต ฉะนั้นแปลว่าธรรมมีอยู่แล้ว อยู่ที่เราจะเลือกสร้างหรือเลือกทำให้กับชีวิตเช่นไร เราเลือกสร้างดีก็ยกให้เราสูงขึ้นได้ เราไม่สนใจเราปล่อยปละละเลยก็เท่ากับเราทิ้งฐานแห่งความดี ปล่อยให้ตนเองร่วงหล่นลงสู่พื้นใช่หรือไม่  ฉะนั้นไม่ว่าใครก็ตามจะดีหรือไม่ดีไม่ใช่อยู่ที่เราพูด ไม่ใช่อยู่ที่ท่านสร้างก่อน แต่อยู่ที่ว่าตัวท่านเองดำเนินได้อย่างอิสระ ดำเนินได้อย่างธรรมชาติหรือเปล่า
การบำเพ็ญธรรมพูดง่ายๆ  แบบนี้ฟังแล้วยากเกินไปหรือเปล่า การบำเพ็ญธรรมก็ไม่ยากเกินไปสำหรับการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นเราถามหน่อยว่าการบำเพ็ญธรรมดีกับตนเอง ดีกับสังคม แล้วอะไรเป็นสิ่งจูงใจที่ทำให้เราต้องเป็นคนบำเพ็ญธรรม เป็นคนดีในสังคม เหตุจูงใจอย่างหนึ่งในการที่เราจะทำดีไปเรื่อยๆ  นั่นก็คือทำแล้วสบายใจ ทำแล้วสักวันหนึ่งก็ต้องเปลี่ยนเป็นไม่อยากได้  จึงต้องมีเหตุจูงใจอะไรที่จะทำให้เราสามารถเดินไปได้ตลอดรอดฝั่ง และไม่มีการเปลี่ยนแปลง บ่อยครั้งที่เราคิดว่าอยากจะทำดีแต่ก็เลิกล้มกลางคัน ไปไม่ถึงจุดหมาย หรือบำเพ็ญไปไม่ตลอดรอดฝั่ง
การดำเนินชีวิตมีหลายทางเราก็ต้องเลือกทางที่ดีและประเสริฐที่สุด ชีวิตของมนุษย์ประเสริฐสุดคือการได้อะไร (รับธรรมะแล้วหลุดพ้น)  แปลว่าอย่าช้าในการหาโอกาสให้กับตน ไม่อย่างนั้นของดีๆ  ก็ตกไปอยู่กับคนอื่นหมดใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดและหนทางที่ประเสริฐสุดของการเป็นมนุษย์นั้นก็คือ การหลุดพ้น แล้วเราอยากไปทางนั้นกันหรือไม่ (อยาก)  แต่การจะประเสริฐหรือหลุดพ้นได้นั้นเริ่มแรกในการดำรงชีวิตก็คือ ต้องมีพื้นฐานแห่งการเป็นคนดีก่อนใช่หรือเปล่า และต้องมีจิตใจมุ่งมั่น  การตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวและการมีปณิธานที่มุ่งมั่น ย่อมบังเกิดพลังอันแรงกล้าที่จะทะยานไปให้ถึงซึ่งจุดหมาย แต่หากขาดการตัดสินใจหรือตัดสินใจแต่ไม่มีปณิธานก็มุ่งไปไม่ถึงใช่หรือไม่  ฉะนั้นเราจะทำความดีแล้วมุ่งไปให้ถึงจุดสุดท้ายของการทำความดีนั่นก็คือ การหลุดพ้น หรือความประเสริฐแห่งตน ต้องมีปณิธานอันเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่น มั่นคง อดทนจะไปให้ถึง  นี่แหละจะเป็นเหตุให้มนุษย์ต่างจากพุทธะก็ตรงที่ว่ามนุษย์มักจะไม่ค่อยมีปณิธานความมุ่งมั่น แต่พุทธะหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มักจะมีปณิธานความมุ่งมั่น  หรือพูดง่ายๆ  พอคนเรามีความตั้งใจ ความตั้งใจย่อมทำให้เรามีจุดหมายในการเดินและการดำรงชีวิต เหมือนเรามีชีวิตหากไม่มีจุดหมายก็เคว้งไปได้ทั้งซ้ายและขวา หรือหาอะไรที่เป็นหลักแน่แท้ของชีวิตได้ไม่เจอสักทีใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นตอนนี้เรารู้ว่านอกจากการมีชีวิตหาชื่อเสียง หาทรัพย์สมบัติ หาเกียรติยศเงินทอง  อีกอย่างหนึ่งที่เราจะหาได้แล้วทำให้เรามีความสุขด้วย นั่นก็คือ หาความเป็นสุขอันนิรันดร์ให้กับชีวิต จะหาทั้งทีต้องหาของจริง ของปลอมอย่าไปเอาเลยใช่หรือไม่  จะเป็นเพชรทั้งทีก็ต้องเป็นเพชรที่ถูกเจียระไนแล้ว ถูกชูอย่างมีคุณค่า จะเป็นเหล็กทั้งทีก็ต้องเป็นเหล็กแท้ หรือถ้าจะเป็นดอกไม้ทั้งทีอยากจะหอมก็ต้องยอมถูกไฟลนเหมือนกระดังงาใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็เฉกเช่นเดียวกัน มนุษย์เราจะเป็นคนประเสริฐได้จะเป็นคนที่แท้จริงได้เมื่อเจอความยากลำบากต้องสู้ใช่หรือไม่ เมื่อเจอความท้อแท้ก็ต้องอดทนแล้วลุกขึ้นใหม่ ถึงจะเรียกว่าเป็นผู้ที่ผ่านการทดสอบ เป็นคนดีอย่างแท้จริง
โดยปกติแล้วเราอยู่ร่วมกับคนในสังคมเราอยากให้ใครๆ ก็รักเรา ไม่อยากให้ใครเกลียดเรา  เมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่เราก็อยากให้ใครๆ  เคารพเรา นับถือเราใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วการจะทำให้คนอื่นรัก เคารพตัวเราต้องทำอย่างไรก่อน  (ต้องทำความดีก่อน)  โดยเริ่มจากเรียกร้องคนอื่นหรือเรียกร้องตนเอง (ตัวเอง)  บ่อยครั้งที่เราถามว่าทำไมเขาไม่รักเรา ทั้งที่เรารักเขาแล้ว ทำไมเขาไม่เคารพเรา ทั้งที่เราก็ให้เกียรติเขาใช่หรือเปล่า  แต่คนๆ หนึ่งจะรักคนอีกคนหนึ่งได้คนนั้นต้องทำตัวเป็นอย่างไร (น่ารัก)  พูดถึงเด็กๆ จะให้ผู้ใหญ่รักก็ต้องทำตัวให้น่ารัก  ผู้ใหญ่จะทำให้เด็กเคารพ ผู้ใหญ่ต้องเป็นอย่างไร น่าเคารพ น่านับถือ และก็เป็นที่พึ่งได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะเอาแต่เรียกร้องโดยที่ตนเองไม่เคยสร้างไม่เคยมีแบบอย่างให้เขาเคารพ ให้เขานับถือเลยก็ไม่ได้ บ่อยครั้งที่เราอยู่ในสังคมเรามักจะพูดว่าเขาไม่เห็นรักเรา เขาไม่เห็นเคารพเรา คราวนี้คงให้เหตุผลตอบได้แล้วใช่ไหม ว่าเพราะอะไรเขาไม่เคารพเรา หรือไม่ถ้าเราให้ความรักแล้ว ให้สิ่งที่น่านับถือกับเขาแล้ว แต่เขายังไม่เคารพไม่รัก ก็แปลว่าการให้ของเรานั้นยังไม่ดีพอ แล้วอย่างนี้เราล้มเลิกการให้เขาเลยดีไหม แต่บ่อยครั้งเรามักจะเห็นทุกท่านในที่นี้ยอมล้มเลิกง่ายๆ แล้วก็ทำในด้านตรงข้าม ในเมื่อไม่รักแล้ว ในเมื่อสร้างความดีให้เขาเห็นแล้ว ก็กลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทำชั่วเสียเลย ดีไหม (ไม่ดี)  ทำให้เขาเกลียดไปเลยในเมื่อไม่รักแล้วดีหรือเปล่า พอไม่รักก็ด่าเขาว่าเขา พอไม่เคารพก็นินทาเขา ยุยงใส่ร้ายป้ายสีเขา อย่างนี้คงไม่ปรากฏกับทุกท่านในที่นี้นะ
เมื่อสักครู่เราได้ฟังหัวข้อสัจธรรมชีวิต วัฏจักรชีวิตคืออะไรบ้าง (เกิด แก่ เจ็บ ตาย) แล้วภายในเกิดแก่เจ็บตาย ก็ยังมีวัฏจักรซ้อนอยู่อีก เข้าใจตรงนี้ไหม ท่ามกลางความเกิดก็คือการมีชีวิต  ชีวิตเราก็ยังพบการเกิดแก่เจ็บตาย ในเรื่องราวแต่ละเรื่องแต่ละวันไม่ซ้ำกันเลยใช่หรือเปล่า  วันนี้เกิดอยากได้ พอได้แล้วก็สมอยาก สมอยากแล้วก็หมดอยาก แล้วก็เกิดอยากขึ้นมาใหม่วนไปภายใน
วัฏจักรของชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าวัฏจักรนี้ นอกจากมีวัฏจักรของเวลาของร่างกายแล้ว เรายังมีวัฏจักรของการดำรงชีวิตอยู่ เกิดๆ ดับๆ ซ้อนกันอยู่ในเกิดดับอีกซ้อนหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)
การเกิดนำมาซึ่งอะไร (ความทุกข์, เกิดมาเพื่อทำหน้าที่)  ทุกคนเกิดมาเพื่อทำหน้าที่ แต่เราเคยถามไหมว่าหน้าที่ของเราคือการหาเงินหรือการมีชื่อเสียงเท่านั้นหรือ เคยถามหรือเปล่า แท้ที่จริงแล้วหน้าที่ที่แท้จริงของมนุษย์คืออะไร บางครั้งเรามักจะถามตนเองใช่หรือไม่ว่า แท้จริงแล้วมนุษย์เรามีหน้าที่อะไร หน้าที่ของเรามีเพียงแค่ว่าหาเงินให้ครบมีให้ครบปัจจัยสี่ จริงๆ ก็พอแล้ว ต่อไปก็มีโอกาสสร้างบุญสร้างกุศลช่วยเหลือคนอื่น อย่างนี้ก็ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางคนปัจจัยสี่ครบแล้วไม่พอต้องได้มากกว่านี้อีก ต้องมีเผื่อลูกหลาน  เมื่อปัจจัยสี่มากพอแล้ว แต่บางทีก็ไม่มีคำว่าพอเสียที จนกระทั่งหมดลมหายใจก็ยังไม่รู้สึกว่าพอใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าคุณค่าหรือหน้าที่ของการมีชีวิตของเขา ปรากฏเพียงแค่เงินทอง คุ้มไหมกับหนึ่งชีวิตที่มีหน้าที่มาเกิดเพื่อสร้างเงินทองให้ลูกหลาน ให้กับตัวเอง ดูก็เหมือนคุ้มแต่แท้ที่จริงแล้วชีวิตเราเป็นแค่เพียงเศษกระดาษใบหนึ่ง เหรียญอันหนึ่ง ดูแล้วไม่คุ้มเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  น่าจะมีค่ามากกว่านี้ น่าจะมีค่าที่ดีกว่านี้ได้
ไม่มีใครอยากเกิดมาแล้วต้องทุกข์ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ตามที่เราศึกษามา หลักธรรมที่ท่านเรียนรู้ พุทธศาสนาที่ท่านศึกษามา คนเราเกิดมาต้องทุกข์ ทุกข์ที่ต้องหาเลี้ยงชีพไม่หาไม่ได้ ทุกข์ที่ต้องหาอะไรใส่ปากใส่ท้อง  แต่ถ้าหากว่าเราหาได้พอดีรู้จักพอ เราก็มีความสุขในการหาได้ เราก็มีความสุขบนความทุกข์ได้  ฉะนั้นการเกิดมาแม้เราจะรู้ว่าคือความทุกข์ แล้วการดับไปคือความทุกข์ด้วยหรือไม่ บางทีอาจจะไม่ใช่  ชีวิตนี้เราหลีกหนีไม่พ้นการเกิดแก่เจ็บตายหรือพูดให้สั้นขึ้นมาอีกก็คือการเกิดและการดับ  ทุกคนอยากเจอการเกิดแต่ไม่อยากเจอการดับ แต่ในพุทธศาสนาสอนให้เรารู้ว่า การเกิดคือความทุกข์ การดับคือความสงบสุข อยู่ระหว่างฟ้าและดิน แต่ทุกคนกลับรักที่จะเกิดมากกว่ารักที่จะดับ  การเกิดดับในที่นี้เราไม่ได้หมายความแค่เพียงการมีชีวิตอยู่ แต่การเกิดดับในที่นี้ยังหมายถึง เกิดอยากได้เกิดอยากมี การสมหวังการไม่สมหวังก็เป็นการเกิดได้เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราเกิดอยากสมหวังขึ้นมาเราก็ต้องรู้จักคำว่าไม่สมหวังเป็น  เมื่อเราเกิดอยากมีขึ้นมาเราก็ต้องรู้จักคำว่าไม่มีให้เป็นด้วย ฉะนั้นหากเราไม่อยากรับอีกด้านหนึ่งของความรู้สึกเราก็ต้องรู้จักตัดเสียตั้งแต่ต้น ไม่มีเลย ก็คงยากใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทั้งที่เรารู้ว่าปมแห่งทุกข์นั้นก็คือการเกิด  แต่หลายคนกลับดับการเกิดไม่ได้แล้วไม่สามารถมีความสุขกับการดับได้  แต่ถ้าเมื่อไรเรามีความสุขกับการดับได้ ดับสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ดับสิ้นแม้กระทั่งความอยากในใจตน เราก็คงมีความสุขท่ามกลางฟ้าและดินผืนนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราก็ไม่ต้องกลัวปมปัญหาหรือความทุกข์อีกต่อไป เพราะเราเข้าใจแล้วว่าเรื่องราวบนโลกนี้จะหยุดได้ที่ใครถ้าไม่ใช่ตัวเราเอง  ในเมื่อเรารู้แล้วว่าเรามีชีวิตที่ต้องเจออยู่ เราหนีไม่พ้นก็คือการเกิดแก่เจ็บตาย ทำไมเราจะต้องสร้างวัฏฏะซ้อนในการเกิดแก่เจ็บตายให้ยิ่งทุกข์มากขึ้นไปอีก เกิดแก่เจ็บตายช่วงเดียวก็พอแล้วใช่ไหม (ใช่)  ทำไมยังต้องสร้างสองสามช่วงซ้อนเข้าไปในการเกิดแก่เจ็บตายอีก ในเมื่อเราไม่อยากเสื่อม เรามียศเราไม่อยากเสื่อมยศ เราทำอย่างไรดีจึงจะไม่ต้องรู้สึกว่าเสื่อม หรือสูญเสีย ก็หยุดคำว่าอยากซะ หยุดคำว่าอยากมี แล้วพึงพอใจกับตัวตนเอง หน้าที่ตนเองเท่านี้ก็พอแล้ว เราก็คงมีความสุช ใช่หรือไม่ (ใช่)   เราก็คงเป็นสุขในโลกใบนี้ ไม่ต้องถูกกระแสแห่งโลกพัดพาไปให้ต้องเวียนเกิดแก่เจ็บตาย ให้ต้องเวียนเกิดๆ ดับๆ ไม่รู้จักจบสิ้นสักที ใครๆ ก็รู้ว่าการเกิดนั้นแม้จะมีความสุขแต่ต้องรับทุกข์ขมตามมา เราก็คงไม่อยากได้  หรือว่าอยากมีชีวิตเท่านี้พอแล้ว ไม่อยากมีอีกต่อไป
ตอนนี้ยังมีลมหายใจอย่ากังวลเรื่องการเกิดดับ หากเราเข้าใจแล้วว่าเกิดดับนั้นนับต่อนี้ไปมีความหมาย และเราไม่มีทุกข์สุขมาร้อยรัด เราก็คงเป็นสุขในการเกิดดับของช่วงชีวิต อายุขัย ใช่หรือไม่ (ใช่)   แต่เมื่อไรเราทำใจกับการเกิดดับของช่วงชีวิตช่วงอายุขัยไม่ได้ เราก็ต้องเวียนว่ายต่อไปในการเกิดดับไม่รู้จักจบสิ้น ทำใจเสียตั้งแต่เนิ่นๆ เวลาเกิดอะไรขึ้นมา เวลาอะไรดับขึ้นมาเราก็รับได้ทัน   จึงมีสำนวนกล่าวไว้ว่า "เตรียมพร้อมเสียตั้งแต่เนิ่นๆ" ภัยมาก็ไม่ต้องกลัว ฝนมาก็ตั้งรับได้ทัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เตรียมใจที่รับทุกข์เสียตั้งแต่เนิ่นๆ เราก็ไม่ต้องกลัวแล้วว่าต่อไปแม้จะไม่มีอะไรเลยก็ยืนอยู่ได้ อย่าลืมว่าชีวิตของเราแม้ไม่มีอะไรเลย เราก็นับหนึ่งใหม่ก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)   หนึ่งเกิดจากศูนย์ แล้วคำว่าหนึ่งจะกลับไปศูนย์ไม่ได้หรือ ฉะนั้นเราต้องเข้าใจอย่าเลือกที่รักมักที่ชัง โลกนี้ถ้าขึ้นชื่อว่ามีก็ต้องมีคำว่าไร้อยู่ด้วย รับได้กับคำว่ามีก็ต้องรับได้กับคำว่าไม่มีเรารับได้กับการพบ กับการเจอเขาต้องรับได้กับการไม่พบไม่เจอเขาได้ด้วย เรารับได้กับการเป็นคนมีทรัพย์สิน ชื่อเสียง เราก็ต้องรับได้กับการที่เป็นคนไม่มีทรัพย์สิน ชื่อเสียง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ชีวิตขึ้นอยู่ที่ตัวเราสร้าง ขึ้นอยู่กับตัวเราเลือกเดิน  ทำไมจะต้องเอาชีวิตจิตใจไปเทียบกับคุณค่าเพียงแค่เงินทองและเกียรติยศ  อย่างนั้นช่างไร้คุณค่า ช่างเป็นคนที่เปรียบตัวเองได้ต่ำ  เปรียบตัวเองเป็นแค่กระดาษ พอไม่มีกระดาษก็หมายปลิดชีวิตอย่างนั้นน่าเสียใจ  ฉะนั้นเกิดเป็นคนต้องสร้างคุณค่าตนเองให้ดีให้ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
บางครั้งมีหน้าที่ที่ต้องทำมากมายคิดจะพักก็รู้สึกว่าพักยากเหลือเกิน  เพราะทุกคนต่างมีหน้าที่แต่หากเราไม่รู้จักแบ่งสรรเวลาตัวเองให้ดี การจะพักง่ายๆ  ก็กลับกลายเป็นยาก เดี๋ยวนี้บางคนมีหน้าที่ล้นมือ บางคนไม่มีหน้าที่อะไรในมือเลย คนที่มีหน้าที่ล้นมือกลับคิดว่าตนเองวุ่นวาย แต่คนที่ไม่มีหน้าที่อะไรในมือกลับคิดอิจฉาคนมีหน้าที่ในมือ อย่างนั้นเป็นการคิดที่ถูกหรือไม่ โลกจึงไม่ยุติธรรมเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า  ที่จริงโลกยุติธรรมแต่ใจเราวัดไม่ยุติธรรม  เวลาเห็นเขาสูงเราก็ชอบมองสูง  แต่เวลาเราตกลงที่ต่ำกลับคิดว่าทำไมถึงต่ำอย่างนี้  ไม่เห็นมีใครดูตัวอย่างว่าเราต้องสูงให้ได้อย่างเขา พอเวลาจิตใจเราตกต่ำเรากลับมองคนยิ่งต่ำไปอีก  แล้วก็บอกว่าเขายังเป็นอย่างนี้ทำไมฉันจะเป็นแบบนี้ไม่ได้ คิดอย่างนั้นถูกไหม (ไม่ถูก)  พอตัวเองเป็นแบบนี้ก็ไปโทษฟ้าโทษดินลำเอียงอย่างนั้นได้ไหม (ไม่ได้)  ใจตนเองต่างหากที่ไม่เที่ยงธรรม
มนุษย์เราอยู่ร่วมกันใครๆ  ก็มักอยากจะได้ประโยชน์  อยู่บนโลกนี้เราก็อยากสร้างประโยชน์ให้กับตัวเองมากที่สุด  แต่ถ้าคนในโลกทุกคนคำนึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตนไม่เคยคิดสร้างผลประโยชน์เพื่อส่วนรวมคนนั้นเป็นคนอย่างไร (เห็นแก่ตัว , คนไม่ดี)  นับจากนี้ไปทุกคนก็คงไม่อยากเป็นคนเห็นแก่ตัวใช่หรือเปล่า มีเวลามาห้องพระบ่อยๆ  มาทำงานอย่างผู้ปฏิบัติงานธรรมทุกๆ วันได้ไหม เห็นแก่ตัวเองอย่างเดียวไม่ได้ต้องคำนึงถึงส่วนรวมด้วย  มีเวลาต้องหาเวลาช่วยส่วนรวมด้วย แต่การบำเพ็ญธรรมวันนี้ที่ท่านมานั่งฟังไม่ใช่ให้ทั้งชีวิตคิดแต่ส่วนรวม  แต่ให้รู้จักทำอะไรนึกถึงส่วนรวม นี่ต่างหากที่สำคัญ บ่อยครั้งที่เราดำเนินชีวิตเรามักจะคิดถึงแต่ตนเองมองอยู่แค่รอบตัวเองรอบเดียว  ต่อไปนี้เป็นผู้ที่รู้จักบำเพ็ญตนรู้จักศึกษาหลักธรรมน้อมนำใส่ตนแล้วต้องรู้จักตีกรอบกว้างขึ้นไปอีก มองหลายๆ  คน ก่อนจะพูดคิดก่อน  พูดไปแล้วทำร้ายใครหรือเปล่า ทำแล้วผู้อื่นไม่ได้มีหรือเปล่า  อย่างนี้เป็นการคิดเพื่อส่วนรวม  การเสียสละแค่นี้คงทำได้ใช่หรือไม่  ถ้ามีคนสักคนหนึ่งยอมเสียสละเพื่อส่วนรวมไม่เคยคำนึงถึงส่วนตนคน คนนั้นเรียกว่าคนประเสริฐ  เรียกว่าผู้บำเพ็ญหรือผู้ก้าวย่างอย่างอริยะเมธี เป็นอริยะเมธีก็ดีไม่น้อยใช่ไหม (ใช่)  แต่ทำไมไม่เห็นมีใครเดินตาม เพราะตาชั่งส่วนตัวกับส่วนรวมมักจะให้น้ำหนักส่วนตัวมากกว่า จึงไม่ได้เป็นอริยะ ไม่เป็นพุทธะสักทีหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วอย่างนี้โลกจะยุติ  จะหายวุ่นวายได้หรือเปล่า หากทุกคนยังคิดถึงส่วนตัวเป็นหลักใหญ่ส่วนรวมเป็นหลักย่อยก็คงยาก
การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่แค่ตนเองดีแต่ดีแล้วคนอื่นต้องดีและต้องยืนบนรอยดีของเราต่อไปได้อีกด้วย อย่างเช่น ไม้ท่อนหนึ่งหากคิดว่าเราเป็นคนดีเท่านี้ก็พอแล้ว ไม่เห็นต้องคำนึงถึงประโยชน์ของคนอื่นเลยก็เป็นไม้ที่รอวันผุพัง  กับไม้ขีดก้านหนึ่งขอยอมเป็นไม้ขีดที่เหลาตนเอง มีดวงไฟดวงหนึ่งที่จุดส่องสว่างแม้จะเพียงชั่วครู่ชั่วขณะหนึ่งก็ดีกว่าตนเองผุสลายอย่างไม่มีคุณค่า แม้จะเป็นไม้ขีดก้านเล็กๆ  ก็เป็นไม้ขีดที่ทรงคุณค่าไม่เหมือนท่อนไม้ใหญ่ที่ยิ่งใหญ่เฉพาะตนใช่หรือไม่ (ใช่)  การบำเพ็ญธรรมในยุคนี้จึงไม่ใช่แค่เพื่อตนเองเท่านั้น แต่เพื่อให้สังคมเจริญงอกงามเป็นสังคมที่สงบสุขได้ด้วย  นี่คือจุดประสงค์อีกจุดประสงค์หนึ่งของการบำเพ็ญ
รักความยุติธรรมไหม (รัก)  และอยากให้สังคมเป็นสังคมที่ยุติธรรมเที่ยงธรรมไหม (อยาก)  แล้วทำอย่างไรถึงจะสมอยากได้ การกระทำของเราต้องสะเทือนใจเขาได้  ถ้าการกระทำของคนคนหนึ่งสะเทือนใจให้อีกคนหนึ่งทำตาม แล้วไปสะเทือนใจอีกต่อๆ  กันไปสังคมย่อมเกิดความยุติธรรมได้  แต่ตอนนี้ขาดแบบอย่างที่ดีหรือมีแบบอย่างก็แค่เพียงในกระดาษเท่านั้น  คนจึงคิดว่าความยุติธรรมเป็นความยุติธรรมเพียงในกระดาษไม่เคยปรากฏเป็นจริง แล้วถ้าเรายอมให้ตนเองเป็นผู้ริเริ่มทำได้ไหม  ยากตรงที่ไม่มีใครยอมง่ายๆ    เพราะอะไร ในเมื่ออยากให้สังคมดี อยากให้คนรอบข้างมีความยุติธรรม รักก็รักให้เท่ากัน แบ่งก็แบ่งให้ถูกหน่อย ตัดสินใจก็ตัดสินใจให้เที่ยงตรง ทุกวันนี้จึงเป็นแค่เพียงอยากให้บ้านเมืองสะอาด แต่ปัดขยะออกนอกบ้าน ปัดหน้าที่ให้กับคนอื่นได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  แม้ทุกคนจะไม่ทำจนเด่น แต่ถ้าทุกคนทำคนละน้อยก็ยิ่งใหญ่ได้  ฉะนั้นมีโอกาสก็ต้องทำดีหรือไม่ (ดี)  ปกติเราก็สร้างสรรค์แต่สิ่งที่ดี คิดดีทำดีแล้ว  ขอเพียงลงแรงหรือเพิ่มความสม่ำเสมอให้กับการทำดีและเพิ่มความสม่ำเสมอในการตัดสินใจก็สามารถสร้างความดีความยุติธรรมให้บังเกิดในสังคมได้ แล้วความดีความยุติธรรมนั้นมีประโยชน์อะไรกับชีวิตเราไหม ตอนนี้อาจจะไม่มีแต่ต่อไปเมื่อท่านได้รับความไม่ยุติธรรมท่านต้องเรียกร้องใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้ภัยแห่งการไม่ทำดี อาจจะไม่โดนกับท่าน ท่านก็เลยนิ่งเฉยใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่เห็นจำเป็นต้องเรียกร้องเลย ทำดีเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เมื่อไหร่เราโดนคนอื่นทำไม่ดีกับเรา ตอนนั้นเราจะเป็นอย่างไร เราก็จะเรียกร้องให้สังคมจัดการขั้นเด็ดขาดกับคนที่ทำผิด จึงมีคนเรียกร้องแค่เพียงคนที่โดน ส่วนคนที่ไม่โดนก็เอาแต่นิ่งนอนใจใช่หรือไม่ (ใช่)  สังคมจึงเป็นแบบนี้ไม่เคยดีขึ้นสักวันหนึ่ง เพราะทุกคนคิดว่าภัยยังไม่มาหาตัว ทุกข์ยังไม่มาหาเรา เรื่องอะไรเราจะต้องบำเพ็ญดี เรื่องอะไรเราจะต้องเป็นคนดีใช่หรือเปล่า (ใช่)  นี่แหละที่น่าเศร้าที่สุดของการเป็นคน คนเราไม่ถูกตีก็ไม่รู้จักเคลื่อนไหว เอาแต่นอนนิ่ง ชีวิตไม่ทุกข์ไม่ร้อนก็ไม่คิดจะใฝ่หาธรรม ความเกลียดคร้านความนิ่งเฉยต่อการที่สังคมเป็นอย่างนี้ โลกจึงไม่เคยเปลี่ยนแปลงให้สงบสุขได้สักที จิตใจของมนุษย์จึงเป็นคนดีได้ไม่เต็มที่ คิดว่าภัยของการเป็นคนไม่ดี ภัยของคนไม่ดียังไม่มาโดนตนเอง จึงไม่คิดที่จะกระทำดี ในการมุ่งมั่นปฏิบัติตนใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตอนนั้นท่านจะมาเรียกร้องความยุติธรรมจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้ เพราะตอนให้เวลาท่านไม่รู้จักทำ ไม่รู้จักดีดตนเองให้พ้นจากกรอบอันเลวร้าย พอภัยเข้าหาตัวแล้ว รอบตัวมีแต่คนเลวร้าย จะมาเรียกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยากที่จะช่วยใช่หรือเปล่า (ใช่)  แม้ตนเองจะมีคัมภีร์สูงหนาเป็นฟุต ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เพราะแต่ละวันไม่เคยหยิบความดีในคีมภีร์ออกมาใช้ แม้จะเป็นผู้ที่เคยฝึกเรียนรู้การบำเพ็ญตนเป็นคนดีมาแล้ว แต่กลับไปก็ยังดำรงชีวิตเหมือนเดิม ตอนนั้นแม้จะฝึกฝนมาอย่างเชี่ยวชาญก็ใช้ไม่ทันใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทำไมเราถึงต้องเรียกร้องให้ท่านเป็นคนดี แล้วสำแดงความดีของตนเองให้ปรากฎก็เพราะเหตุนี้ อย่าปล่อยให้ตนเองไม่มีเรี่ยวแรง อย่าปล่อยให้ตนเองไม่มีลมหายใจแล้วค่อยมาเรียกร้องความยุติธรรม ตอนนั้นก็สายเกินแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้ยังมีลมหายใจยังมีชีวิตที่จะสร้างขอให้รีบฉวยโอกาสอย่าได้รอโอกาส อย่าคิดว่าโอกาสมาถึงทำดี แต่ตัวเราเองต้องเป็นผู้พร้อมจะสร้างโอกาสในการทำดีทุกขณะลมหายใจใช่ไหม (ใช่)
ตอนนี้เรายังเป็นห่วงท่าน ท่านต้องดูแลตนเอง ทุกข์มาก็หลายรอบแล้ว หรือบางคนยังไม่รู้จักคำว่าทุกข์เลย เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า วัยคนที่นี่แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน บางคนยังไม่เคยเผชิญชีวิต ยังไม่เคยเผชิญความเป็นจริง ก็เลยยังไม่เข้าใจ แต่บางคนผ่านมาแล้วซึ่งร้อยแปดพันหนาว รู้แล้วว่าสังคมบนโลกใบนี้ คนปฏิบัติต่อคนเป็นอย่างไรเคยโดนมาแล้วทั้งหลอกลวงทั้งโกหกทั้งโป้ปดทั้งหาความจริงไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เคยโดนมาแล้วย่ำยีทั้งจิตใจ เสียดแทงแม้แต่คำพูด มีโอกาสแกล้งได้ก็แกล้งเอา ไม่เคยหยุดหย่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  คนเรามีทุกข์เป็นของตน ทุกข์นั้นเกิดจากอะไรได้บ้าง
๑.เกิดจากกรรมเวรของตนเองที่เคยสร้างมาแต่อดีต
๒.เกิดจากตนเองที่ต่อไปนี้จะสร้างขึ้นหรือว่าจะลดลง
ในส่วนที่เราแก้ไขได้เราก็ต้องรู้จักแก้ไขและทำให้ดีที่สุด ไม่เป็นคนสร้างต่อ แต่จะเป็นคนหยุดการก่อใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นชีวิตนับจากนี้ไปเวลาก้าวเดินไม่ว่าจะคิด พูด ทำ ขอให้ตรวจสอบให้รอบคอบ แล้วเราจะเป็นคนที่มีความสุขในการดำรงชีวิตดีหรือไม่ (ดี)  ขอให้เป็นสุขให้ได้ใต้ฟ้าสีครามอันนี้ อย่าเป็นทุกข์หม่นหมองไปเลย เรื่องราวบนโลกนี้ บางครั้งทำไมไม่เป็นดั่งใจ ทำไมไม่ได้ดั่งที่เราคิด หากพยายามแล้วไม่ได้ต้องปล่อยบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายเรื่องราวในโลกนี้บางครั้งก็เป็นดั่งใจ บางครั้งก็ไม่เป็นดั่งใจ อันใดพยายามสู้แล้วดิ้นรนแล้วไม่ได้ก็ปล่อย ตัดใจ ปลง ง่ายดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าไปทุกข์อย่าไปหน่วงเหนี่ยว อย่าไปดึงเลย อันไหนถ้าไม่ใช่ของเรา แม้เราจะเปลี่ยนแปลงพันรูปพันแบบ เขาก็ไม่อยู่กับเรา อันใดคือของเราแม้จะรังเกียจอย่างไรๆ ก็ต้องเป็นของเราใช่หรือเปล่า (ใช่)  โลกใบนี้จึงต้องยิ้มให้กับทุกข์บ้าง เศร้าให้กับความสุขบ้างก็คงดีไม่น้อย อย่ายิ้มเมื่อมีความสุขเสมอไป อย่าเศร้าเมื่อต้องเศร้าเสมอไป แต่ต้องรู้จักทวนกระแสแห่งอารมณ์ ทวนกระแสแห่งโลกใบนี้บ้าง เราก็จะหาความสุขบนพื้นฐานแห่งความทุกข์บนโลกใบนี้ได้จริงไหม (จริง)  ขอให้กลับไปแล้วทำให้ได้นะ อย่ากลับไปแล้วมาพบเราด้วยคราบน้ำตาเลย น่าเสียใจใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนที่สามารถปราดน้ำตาแล้วสร้างกำลังใจให้กับตนเองได้ ก็คือตัวเราเท่านั้นเอง คนที่จะปูแนวทางให้กับชีวิตราบรื่นหรือว่าขรุขระได้ก็อยู่ที่น้ำมือเราเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ตรวจตราหนึ่งต้นปลาย แผ่นดินรวมเป็นหนึ่งจึงสามารถยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ว่าจะสะอาดหรือสกปรก ไม่ว่าจะทุกข์หรือจะสุข จึงรองรับทุกสภาวะ จิตใจหากแตกแยกไม่เป็นหนึ่งก็ยากที่จะรับอะไรได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยเห็นไหมพอแผ่นดินแตกเป็นเล็กเป็นน้อยเป็นเศษเป็นส่วนรับอะไรก็รับไม่ได้เลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  มีแต่แผ่นดินรวมเป็นหนึ่งจึงสามารถรองรับทุกอย่างได้โดยไม่รังเกียจใช่ไหม (ใช่)  น้ำก็เฉกเช่นเดียวกัน พอรวมเป็นหนึ่งจึงทะลุได้ แม้สิ่งที่แข็งที่สุด จิตใจเราก็เหมือนกัน หากเรารวมเป็นหนึ่งในการทำอะไร ก็สามารถไปได้ถึงเป้าหมาย ถึงจุดหมายใช่หรือไม่ (ใช่)  อะไรเสียไปแล้วก็ไม่ต้องเศร้าใช่หรือไม่
วันนี้เราก็คงมาเท่านี้ เวลานับจากนี้ไปก็ขึ้นอยู่กับตัวท่านเองแล้วนะ ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมมาอย่างหนึ่งจะกลับไปเหมือนเดิมก็แล้วแต่ท่านแล้วนะ หรือว่าจะสร้างสรรค์ชีวิตตนเองให้ดีขึ้นกว่านี้ก็ขึ้นอยู่กับนาทีนี้ไปแล้วใช่หรือเปล่า บำเพ็ญหรือไม่บำเพ็ญ เชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่มีใครสามารถจะลบล้างออกไปจากใจท่านได้นอกจากตัวท่านเอง หรือไม่มีใครสร้างให้ตัวท่านได้นอกจากตัวท่านเอง
วันนี้เราก็มาบอกให้ท่านรู้ว่าบำเพ็ญอย่างไร บำเพ็ญไปเพื่ออะไร และบำเพ็ญมีคุณค่าเพียงไหนเท่านั้นเอง นอกจากบำเพ็ญแล้วอะไรอีกละที่มีคุณค่า ก็ชีวิตที่ขึ้นกับลมหายใจ ต่อไปนี้ลมหายใจของเราจะเปี่ยมไปด้วยคุณค่า จะเปี่ยมไปด้วยความหมายขึ้นอยู่กับการกระทำของตัวเราใช่หรือไม่
ทำความดีมาใช้คู่กับชีวิต ก็เป็นชีวิตที่มีคุณค่าและมีประโยชน์ทั้งต่อตนเองและต่อสังคม แต่ถ้าไม่นำความดีมาใช้มีชีวิตอยู่ตามอารมณ์ตามตัณหาความอยาก ก็ยากที่จะเป็นคนที่ดี ที่จะทำประโยชน์ให้กับสังคมได้ ต่อไปนี้เพิ่มคุณธรรมให้กับตนเองอีกสักนิด จะทำอะไรไตร่ตรองก่อนว่ามีคุณธรรมไหม หากทุกครั้งเวลาทำ เวลาคิด เวลาพูด คิดเสียว่าถ้าไม่ดีไม่มีมโนธรรมไม่ทำ หากทุกขณะคิดอย่างนี้ก่อนที่จะทำ ก่อนที่จะพูดก็ยากที่จะตกห้วงแห่งความเลวร้าย ยากที่จะก้าวดำเนินผิด มีคนเคยกล่าวกับท่านขงจื้อว่า ทำไมในเมื่อสังคมเลวร้ายขนาดนี้ไม่เห็นจำเป็นที่จะสร้างความดีเลย ไม่เห็นจำเป็นที่จะฟื้นฟูความดี แต่ท่านก็ยังคงทำ ทำแม้รู้ว่าทำไม่ได้ก็ยังทำ แต่ชื่อของท่านก็ยังปรากฏตราบเท่าอายุของคนที่มีอยู่ในตอนนี้ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้ว่าจะทำไม่ได้แต่ก็ยังทำ แปลว่ายังคงสร้างความดี สร้างแนวทางสว่างให้กับคนรุ่นต่อๆ ไปได้คิดดำเนินตามใช่หรือไม่ (ใช่) แต่คนที่ไม่เคยคิดจะทำเลยตอนนี้แม้แต่ชื่อก็ยังไม่เคยได้ยิน แนวทางแม้มีปรากฏแต่ก็ไม่น่าเอาเยี่ยงอย่างใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทุกครั้งก่อนที่จะดำเนินชีวิตขอย้ำอยู่อย่างเดียว หากอันใดมิใช่สิ่งที่ดี อันใดที่ทำแล้วทำให้รู้สึกว่าไม่แน่ใจ ลองคิดหลายๆ รอบ แล้วค่อยทำดีหรือไม่ ลองคิดไตร่ตรองก่อนแล้วท่านก็จะเป็นผู้ที่ยากจะถลำลึกในการกระทำผิดได้ บ่อยครั้งที่เราอยู่บนโลกนี้ ไม่ง่ายเลยที่จะทำอะไรแล้วถูกใจใครไปเสียหมดทุกคน แต่ถ้าเรามั่นใจแล้วว่าเราไตร่ตรองดูแล้วว่าสิ่งที่เราทำเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่กลั่นออกมาจากใจของเรา เราจะไปกลัวอะไรกับคำพูดคนใช่หรือไม่ (ใช่) เราจะไปท้อแท้อะไรกับการทำดี เป็นคนดี เป็นคนบำเพ็ญตน จริงหรือไม่ (จริง) กลัวแต่ว่าจะไม่บำเพ็ญตน รู้ก็เก็บไว้ข้างๆ เท่านั้นเอง น่าเสียดายเปล่าๆ
บวชทั้งทีก็ควรบวชให้ถึงใจ อย่าบวชเพียงภายนอก การบำเพ็ญยุคนี้เป็นการบวชจิตใจ เป็นการบริสุทธิ์ทั้งนอกและใน น้ำพระธรรมจะช่วยชำระล้างจิตใจให้เราได้ และน้ำพระธรรมจะช่วยให้เราพบกับความร่มเย็น ความสงบสุข
ใครที่เริ่มบำเพ็ญแล้วรู้สึกท้อแท้ ต่อไปนี้ขอให้สร้างกำลังใจให้มากๆ อย่าได้เหนื่อยล้า อย่าได้ยอมแพ้ เมื่อบำเพ็ญแล้วอย่าเผลอทำผิดอีก เมื่อบำเพ็ญแล้วระวังปากสักนิดหนึ่งดีไหม นอกจากระวังปากแล้วการกระทำก็ต้องตรวจสอบให้รอบคอบ เราจะได้เป็นผู้บำเพ็ญดีไปได้ตลอดรอดฝั่ง อยากชวนทุกๆ ท่านกลับคืนเบื้องบน แต่วันนี้คงชวนได้เท่านี้ จะไปพบกันหรือเปล่าอยู่ที่ตัวเราแล้วนะ เราคงต้องไปแล้วล่ะ

วันอาทิตย์ที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๒            พุทธสถานฉงเต๋อ อ.ทองผาภูมิ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง และ พระนาจา
                หลงเวียนว่ายวัฏสงสารมิยอมตื่น       ลองฝืนฝืนกระแสโลกีย์ที่เชี่ยวไหล
หนึ่งวันมีหนึ่งวันเพียรให้รู้ไป            สุดท้ายใครจะชนะตัวเราเอง
                                เราทั้งสอง
                จี้กงอาจารย์เจ้านำพานาจาน้อย        ร่วมรับบัญชา
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่พุทธสถานฉงเต๋อ   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว     ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า
                บำเพ็ญได้เมื่อฤทัยไม่เพียงนึก         จิตจะเอียงไม่ฝึกไกลอนุสัย
ถ้าประสงค์ไร้กิเลสจิตเป็นไท           ยุคสามวาระภัยเพียรอย่างหนัก
เวลานี้เวลาทิ้งใจเคืองคน     มากน้อยคนจะสามัคคีให้ประจักษ์
ผู้มีใจอันประเสริฐเทพพิทักษ์           ฝึกให้เที่ยงตระหนักไม่กลัวนาน
บริสุทธิ์รักษ์ทุกสิ่งใจเป็นกลาง          เหมือนยามเที่ยงผู้สว่างปราศจากกั้น
อคติหนักทุกข์บังเกิดช่างต่างกัน       อาตมัน บ้างใจคดเปรียบฟ้ามัว
ยื้อแย่งชิงเมื่อใดใจลำเค็ญ  ได้ยากเย็นเสียง่ายดายวุ่นวายทั่ว
ยิ่งก้าวยิ่งบำเพ็ญไม่เพื่อตัว  สิ่งนี้คือหัวใจแห่งพระพุทธา
                                                ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงและพระนาจา
พระนาจา : เวลาสงสัยทำไมไม่มีใครถาม มีแต่เก็บเอาไว้ในใจ เก็บไหม (ไม่เก็บ)  ไม่เก็บงั้นต้องถาม ถามดีไหม (ดี)  แต่เห็นออกไปทีไรไม่เห็นมีใครอยากจะถามเลย เห็นตั้งคำถามไว้ในใจกันตั้งหลายคน แต่พอออกไปก็กินข้าวก่อน ออกไปฉันต้องตักก่อน เดี๋ยวอยู่ข้างหลังแล้วอดกินใช่หรือเปล่า (ใช่)  สงสัยจะถามว่าเขามาอย่างไร แล้วเขาไปอย่างไรใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ทำไมเราไม่ถามตัวเราเองว่าเรานั่นแหละมาอย่างไรแล้วจะกลับอย่างไรใช่ไหม (ใช่)  หรือรู้แค่เพียงว่ามาจากจังหวัดโน้น มาจากจังหวัดนี้ มาจากบ้านใกล้ๆ โน้น แต่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วว่าตัวเองมาได้อย่างไร แล้วจะกลับไปไหนใช่ไหม (ใช่)  รู้ถึงแต่กายเนื้อนี้ แต่ไม่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริง
(พระอาจารย์เมตตาให้ร้องเพลงและทำท่าพายเรือ)
พระอาจารย์ : ใครไม่ยอมออกกำลังกายเมื่อกี้อาหารไม่ย่อย เดี๋ยวคราวหน้ากลับไปนั่งไปก็นั่งหลับใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นเอาเปรียบคนอื่น ไม่พายดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  ธรรมะเรามาศึกษาเอง เวลาปฏิบัติเราก็ต้องทำเองใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเดินหนึ่งก้าวเหมือนคนอื่นเดินหนึ่งก้าวหรือเปล่า  คนอื่นเดินหนึ่งก้าวเหมือนเราเดินหนึ่งก้าวหรือเปล่า (ไม่เหมือน)  เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะดีหรือว่าไม่ดีล้วนขึ้นอยู่ที่ตัวเราเองไม่ใช่ผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นธรรมะเมื่อศึกษาแล้วเข้าใจแล้ว การปฏิบัติให้ใครปฏิบัติ (ตัวเราเอง)  แล้วเราจะบอกว่าคนอื่นปฏิบัติอยู่ ทุกๆ วันทุกๆ ครั้งก็ต้องให้ผู้อื่นมาเรียกใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทุกๆ ครั้งเมื่อเรารู้ว่าเราควรจะทำอย่างไร อย่างเช่น เราบอกว่าน้ำหม้อนี้ร้อนมาก เราจะจับหรือเปล่า แล้วกิเลสที่เราเจออยู่ทุกวันนี้ เราจับหรือไม่จับ จับหรือเปล่า (จับ)  กิเลสเปรียบไปเหมือนของร้อนไหม (เหมือน)  แล้วถามว่าทำไมเราถึงจับ ไหนใครว่าตัวเองไม่รู้ยกมือขึ้น ยกค้างไว้ด้วย มีคนไม่รู้อยู่กี่คน ไหนอาจารย์ดู มี๒๓คนที่ไม่รู้ว่ากิเลสร้อน ไหนใครคิดว่าตัวเองรู้ว่ากิเลสร้อน แต่หักห้ามใจไม่ได้ ยกมือขึ้น หลายคนใช่หรือเปล่า (ใช่)  แสดงว่าเราทุกๆ คนเป็นเหมือนกันหมดใช่ไหม (ใช่)  มีโรคๆ เดียวกัน มีโรคาเป็นโรคเดียวกันคือโรคอะไร
ไหนหัวหน้าชั้นลองบอกอีกทีว่ามนุษย์ทุกคนเป็นโรคเดียวกันคือโรคอะไร เป็นโรคภัยชนิดหนึ่ง โรคอะไรโรคตัวนี้ (พระอาจารย์ให้นักเรียนเอามือลง)  อาจารย์จะบอกให้ เขาเรียกว่าโรคทางใจ โรคอันนี้ไม่มีปรากฎทางกายใช่ไหม (ใช่)  จะปรากฎชัดต่อเมื่อเราโกรธ จะปรากฎชัดต่อเมื่อเห็นเงินแล้วตาวาวคือความโลภใช่หรือไม่ (ใช่)  จะเกิดความรักในตัวผู้อื่นแล้วก็เสียสละไม่ได้ ทิ้งไม่ได้ เรียกว่าความรักจนหลงใช่หรือไม่ (ใช่)  เราทุกคนเป็นโรคนี้ คือโรคทางใจอันนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์จะบอกให้คนที่ไม่รู้ว่าตนเองนั้นมีกิเลสที่มันร้อนแล้วยังไปเล่นกับกิเลส ไปเล่นกับไฟ คนผู้นี้ยังต้องยากที่จะเป็นพุทธะ แต่คนส่วนใหญ่ที่เป็นศิษย์ของอาจารย์นั้นเป็นอย่างไร รู้เข้าใจว่ากิเลสร้อนแต่หักห้ามใจไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้ว่าร้อนแต่อยากจับใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นขั้นตอนการบำเพ็ญของเราจะง่ายและรวบรัดยิ่งขึ้นคืออะไร ขาดอย่างเดียว ก็คือการลงมือปัดใช่หรือไม่ (ใช่)
เรารู้ว่ามีด้ายเส้นหนึ่ง กั้นเราไว้ระหว่างปุถุชนและพุทธะถูกหรือเปล่า (ถูก)  แต่ว่าเราก็ยังไม่ใช้กรรไกรแห่งปัญญาของเราไปตัด เพราะว่าเราชอบกิเลสหรือเปล่า จริงๆ แล้วศิษย์ของอาจารย์ชอบความทุกข์ไหม (ไม่ชอบ)  แสดงว่าศิษย์ของอาจารย์ก็ไม่ได้ชอบกิเลส เพราะว่าความทุกข์เกิดมาจากกิเลสของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่มีความอยากไม่มีกิเลส ไม่มีความรัก ไม่มีความโลภไหนเลยจะมีความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ไม่ชอบทุกข์ก็ต้องไม่ชอบกิเลสด้วย รู้สึกว่าเป็นการขัดกันเองไหม  เพราะฉะนั้นทุกวันๆ จึงวุ่นวายสับสน ใช่หรือไม่ (ใช่)  การที่จะเริ่มต้นการบำเพ็ญที่ดีที่สุดก็คือการมองตนเอง มองเห็นคนที่อยู่ในกระจกต่อหน้าเราคนนี้ผิวดำไปนิดต้องไปหายามาทาให้ขาวหรือเปล่า (ไม่ใช่)  ที่เราควรจะมองเห็นตนเองนั้น ไม่ใช่มองเห็นตนเองในกระจกที่อยู่เปลือกนอกนี้ แต่ต้องมองเห็นถึงจิตใจใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนเขาบอกว่าเราตัวดำแต่เราใจขาวเราเห็นไหม (ไม่เห็น)  ตัวเราเองยังไม่เห็นตัวเราเองแล้วใครจะเห็น อย่างน้อยที่สุดศิษย์ต้องรู้ตัวเองว่าเราตัวขาวใจดำหรือเปล่า
ถ้าหากว่าทุกๆ วันเราได้พยายาม ศิษย์ว่าตัวศิษย์เองนั้นสามารถทำสิ่งใดได้สำเร็จไหม (สำเร็จ)  สำเร็จทุกสิ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอให้เรานั้นมีความพยายามจริงๆ  ทุกๆ วันนี้ที่ไม่สำเร็จเพราะไม่พยายามจริงๆ ใช่หรือเปล่า พยายามด้วยขี้เกียจด้วย พยายามด้วยเบื่อด้วย เรียกว่าไม่มีความสุขกับการบำเพ็ญ  ไม่มีความสุขกับการทำงาน และไม่มีความสุขกับชีวิตใช่ไหม เพราะฉะนั้นทำสิ่งใดก็ยากที่จะสำเร็จได้ถูกหรือเปล่า (ถูก)  หากว่าวันนี้ทำการงานในโลกได้สำเร็จลุล่วง เราก็รู้จักความสำเร็จแล้วหนึ่งชิ้น แต่ความสำเร็จสิ่งใดที่เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุด (ความสำเร็จที่สามารถเอาชนะใจตนเองได้)  ความสำเร็จแห่งการเอาชนะใจตนเองยิ่งใหญ่ แต่ความสำเร็จแห่งการเอาชนะใจผู้อื่นยิ่งใหญ่กว่าใช่ไหม เพราะว่าทุกๆ วันนี้เราชนะผู้อื่นด้วยเงินทองใช่หรือเปล่า (ใช่)  แขวนทองอยู่กี่เส้นใครรวยกว่ากัน ใครที่มีน้อยหน่อยก็ต้องฟังคนที่มีมากหน่อยใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ายิ่งใครเป็นลูกจ้างเป็นคนที่ต้องทำงานให้เขายิ่งต้องฟังเขาใหญ่เลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  ใจเราจริงๆ เคารพเขาไหม เพราะฉะนั้นการที่จะเอาชนะใจตนเองก็ยิ่งใหญ่ แต่การเอาชนะผู้อื่นได้ด้วยความดีของเรานั้นยิ่งใหญ่ยิ่งกว่า
 
ตอนนี้อาจาย์มาถึงที่นี่แล้ว ขอให้ศิษย์ทุกๆ คนไม่ว่าจะมีความสงสัยมากน้อยเท่าไหร่ ไม่ว่าจะมีความศรัทธามากน้อยเท่าไหร่ ขอให้รวมใจนี้มาอยู่ตรงกลาง ขอให้เรานั้นมีจิตใจดวงเดียวกันดีหรือไม่ (ดี)  เมื่อมีจิตใจดวงเดียวกันจึงจะสามารถฟังกันเข้าใจเหมือนคนพูดภาษาเดียวกันดีหรือเปล่า (ดี) หลายๆ คนนั้นออกไปเผชิญโลกกว้าง ทำไมคนพูดภาษาเดียวกันถึงฟังกันไม่รู้เรื่อง เป็นเพราะว่าไม่มีจิตใจที่ตรงกันใช่หรือไม่ (ใช่)  คนนี้อยากจะได้สีขาว แต่อีกคนอยากจะได้สีดำ เมื่อคุยกันแล้วคุยกันไปคุยกันมาสุดท้ายไม่รู้เรื่อง เพราะว่าสองคนนั้นมีใจคนละสี เพราะฉะนั้นในตอนนี้จึงอยากให้ศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คนควบคุมใจของตนเองดีหรือไม่ (ดี)  การมาถึงสถานธรรมนั้นเปรียบไปแล้วเหมือนอยู่บนสวรรค์เพราะว่าอะไร (เพราะความสุขทางใจ)  แล้วความสุขทางใจมีมากไหม (มาก)  ความสุขทางใจมีมากเกินไปไม่เหมือนสวรรค์
พระนาจา : อยากคว้าโอกาสใช่หรือเปล่า โอกาสที่จะได้หยิบผลไม้งามๆ  สีแดงๆ  แต่จะเอาตอนหิวหรือจะเอาก่อนหิวดี (ก่อนหิว)  ต้องเอาก่อนหิวใช่ไหม (ใช่)  ถ้าไปเอาตอนหิวบางทีอาจจะหิวจนเป็นลมตาย  ก่อนจะไปถึงใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเวลาเราต้องการจะได้หรือไขว่คว้าสิ่งใดนั้นเราต้องอย่าปล่อยให้ตัวเราหิว  แต่ต้องรู้จักเตรียมพร้อมใช่ไหม (ใช่)
พระอาจารย์ : เวลาเรามาเราต้องพยายามที่จะมา  เวลาเราจะกลับเราต้องรีบใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าเวลาเรามานั้นเรามีความตั้งใจ เวลาเรากลับออกจากที่ทำงาน ที่ที่เราออกไปเที่ยว หรือสถานธรรมก็ได้ กลับออกจากทุกที่ มีอะไรวิ่งตามเราไป (มีเงา)  มีสิ่งหนึ่งวิ่งตามเราไปคือกิเลสใช่หรือเปล่า (ใช่)  มาสถานธรรมคนนี้ไม่ดีเลยนะ ไปที่ทำงานคนนี้ก็ไม่ดีเลย อยู่ที่บ้านคนนี้ก็ไม่ดีเลย แล้วเวลาเขาไม่ดีนั้นอะไรที่อยู่กับเรา (กิเลส)  เพราะฉะนั้นสิ่งที่วิ่งตามเราก็คือกิเลส  คนที่บำเพ็ญธรรมจึงต้องรู้จักว่องไว  เดินมาเอาผลไม้ เดินมาบำเพ็ญต้องมาด้วยความเต็มใจ  อาจหาญ กล้าหาญ เปี่ยมไปด้วยปัญญา เวลาจะกลับไปต้องเป็นคนว่องไวหนีให้พ้นกิเลสในใจตนเองใช่หรือเปล่า (ใช่)
เมื่อครู่มีคนบอกว่าสิ่งที่ตามเราก็คือเงา เงาศิษย์เป็นสีดำ เพราะฉะนั้นเงากิเลสที่อยู่กับเราก็เป็นสีดำ  ยิ่งแสงแรงเท่าไหร่เงาของเรายิ่งชัด ยิ่งเราออกไปบำเพ็ญ ยิ่งเราออกไปฉุดโปรดผู้คนแสงยิ่งแรง เงายิ่งดำใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นหนีให้พ้นกิเลสในใจตน กิเลสต้องมาพร้อมกับการเป็นพุทธะแน่ เมื่อไม่มีกิเลสย่อมไม่มีพุทธะ  ในความทุกข์ย่อมมีความสุขเพราะฉะนั้นกิเลสนี้มา
ขัดเกลาพุทธะ หากว่าเรานั้นอยากจะไม่มีกิเลสแสดงว่าเราก็ไม่อยากจะเป็นพุทธะใช่ไหม  แต่ถามว่าเมื่อเรามีกิเลสแล้วเราจะต้องจัดการกับกิเลสของเราได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะกิเลสอยู่ข้างใน  สมมติว่า  หาคนหล่อๆ  หน่อยผู้หญิงจะได้มอง หาคนสวยๆ ผู้ชายจะได้ชม ถามว่ากิเลสอยู่ที่เขาหรืออยู่ที่เรา (อยู่ที่เรา)  เพราะว่าเรามองเห็นเขาสวย มองเห็นเขาหล่อ มองเห็นเงินกองโต  แต่ว่าเงินอยู่ข้างนอก เงินใช่กิเลสไหม (ใช่)  นี่คือห่ออะไรก็ไม่รู้เป็นแท่งๆ  ในห่อนี้ถ้าข้างหนึ่งเป็นเงิน ห่อนี้ข้างหนึ่งเป็นทองใช่หรือเปล่า (ใช่)  สมมติว่าเป็นเงินหนึ่งแท่ง เป็นทองหนึ่งแท่ง อยากได้ไหม (อยาก)  ถามว่ากิเลสอยู่กับเงินและทองแท่งนี้ไหม (ไม่ใช่)  กิเลสอยู่ที่ในใจของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเห็นของคนอื่น เราเห็นเงินทองของผู้อื่นไม่อยากได้ก็ทำได้  แต่จนแล้วจนรอดก็อยากจะได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราจะไปคุมเงินทองข้างนอกหรือว่าคุมใจตัวเอง ต้องคุมใจตัวเราเอง เอาให้ทองอันนี้กลายเป็นอะไร (ให้เป็นความว่าง)
เราได้แค่หนึ่ง แม้ว่าเราจะตอบได้เรากลัวคนข้างหลังไม่ได้ เราจึงไม่เอาอันนี้เป็นการควบคุมใจของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราต้องควบคุมให้ได้หรือเปล่า (ให้ได้)  ถ้าเรามีสิทธิ์ได้สองก็ควรจะเอาสอง  เหมือนกับแขนข้างซ้ายแขนข้างขวามีสิทธิ์เอากี่ข้าง ควรมีสิทธิ์เอาสองข้างไหม (ควร)  บางคนบอกว่าสองนั้นไม่ถูกเสมอไป แต่ก็ไม่เสมอไป อันนี้จึงเรียกว่าการรู้จักใช้ปัญญาในการมอง ตอนนี้จึงต้องมองทองให้เป็นทอง มองเงินให้เป็นเงินแล้วก็เป็นของคนอื่นเขา ไม่ใช่ของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นกิเลสนั้นอยู่ในใจเรา เมื่อครู่ตอนที่อาจารย์มาบอกศิษย์ว่าเรานั้นมีโรคชนิดหนึ่งคือ  โรคทางใจ แล้วมีต้นเหตุมาจากกิเลส เพราะฉะนั้นจึงต้องไประงับที่ใจของเราไม่ให้เกิดควมพิศมัยในกิเลสตัณหา  ทำได้ไหม (ทำได้)  มีโรคทางใจชนิดหนึ่งเมื่อเป็นแล้วคนภายนอกมองเห็นได้คือโรคอาการประสาททางสมองนี่เป็นโรคทางใจภายนอก  แต่มีโรคทางใจภายในที่ทุกๆ  คนเป็นอยู่และปรากฎชั่วครู่ เป็นกันทุกคนเลยใครที่มีโรคนี้จึงไม่สามารถเป็นพุทธะได้ โรคนี้เป็นโรคทางใจที่มีสาเหตุมาจากกิเลส เพราะฉะนั้นระงับที่ใด ให้ยาหรือฉีดยาที่ไหน  ให้ยาที่ใจของเรา ยาอะไรแก้ได้ ต้องตั้งใจฟังนะ  คนโง่ก็จะกลายเป็นคนฉลาด คนฉลาดก็จะกลายเป็นคนโง่ถึงจะสมดุลใช่หรือเปล่า  เวลาฉลาดก็ฉลาดทุกวัน เวลาเราโง่ก็โง่ทุกวันใช่ไหม (ใช่)  โลกนี้จึงไม่สมดุลใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราจะต้องเป็นคนโง่และฉลาดในคราวเดียวกัน  ว่าอย่างไร (ธรรมะ)  แน่ใจหรือเปล่า (แน่ใจ)  เอาอีกคนหนึ่งดีหรือเปล่า (ธรรมะในใจเราและทำให้เรารู้ที่มาที่ไปของเรา)
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับนักเรียนที่ตอบ) เอาหรือเปล่า (เอาคะ)  อันนี้คือการควบคุมตนเอง ควบคุมไม่ได้ก็เป็นกิเลส อาจารย์ถามบ่อยครั้งบอกว่าแน่ใจไหมๆ ว่าสิ่งที่รักษาโรคของเราได้ก็คือธรรมะแน่ใจไหม (แน่ใจ)  ถ้าแน่ใจต้องตอบให้หนักแน่นใช่ไหม (ใช่)  เวลาคนเขาบอกว่าไปที่สถานธรรมมีอะไรล่ะ แน่ใจหรือ พอเขาถามครั้งที่หนึ่ง ตอบแน่ใจ พอเวลาผ่านไปสามวันแน่ใจหรือเปล่า (แน่ใจ)  เราก็บอกว่าแน่ใจ แต่เสียงเบานิดนึง พอผ่านไปนานๆ เข้าและเขาถามบ่อยครั้งเราก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่)  ศิษย์ของอาจารย์เป็นแบบนี้ แม้กระทั่งคนที่บอกว่าอยู่สถานธรรมนานๆ บำเพ็ญนานๆ ก็ยังเป็นใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นคำว่า "แน่ใจไหม" ไม่ใช่ให้คนอื่นถาม แต่ศิษย์ของอาจารย์นั้นต้องถามตัวเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราแน่ใจได้ด้วยอะไร แน่ใจได้ด้วยการศึกษาให้เข้าใจเอาไปปฏิบัติ เอาไปบำเพ็ญใช่หรือเปล่า (ใช่)
(พระนาจาออกไปเมตตากับแม่ครัวและผู้ปฏิบัติงานธรรมที่อยู่ข้างนอก)
พระนาจา : อยากรู้ไหมเราไปไหนมา ไปพูดกับแม่ครัวมา ไปถามว่าทำอย่างไรกับข้าวถึงอร่อย ท่านว่าอร่อยไหม (อร่อย)  การรับประทานอาหารหรือการกินอาหารนั้น ทำให้เรารู้อย่างหนึ่งว่าเราเป็นคนรู้จักมีความโลภหรือเปล่า ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเรารู้จักคิดถึงคนอื่นหรือเปล่า ใครออกไปก่อนตักเยอะหน่อย ใครออกไปหลังทำไมไม่เหลือให้บ้างเลยใช่ไหม (ใช่)  แปลว่าเราอยู่ร่วมกันคนข้างหน้าก็เอาแต่ตักตวงผลประโยชน์ คนข้างหลังก็ได้แต่เก็บที่เหลือ อย่างนี้เป็นการเอารัดเอาเปรียบไหม (เป็น)  แล้ววันนี้มาฟังธรรมะกันแล้วทำไมยังทำนิสัยกันอย่างนี้อีก แปลว่าธรรมนั้นไม่ได้เข้าไปในจิตใจ ท่านชอบและอยากพบคนแบบนี้ไหม (ไม่อยาก)  แล้วถ้าเป็นเพื่อนท่านๆ อยากพบไหม (ไม่อยากพบ)  งั้นศิษย์พี่ตัดจากท่านแล้วนะ เราไม่รู้จักกันดีไหม (ไม่ดี)  คนที่เขารักเราจริงนั่นก็คือว่าถึงแม้เขาจะรู้เราดีไม่ดีอย่างไร ก็ยังมีใจรักเราอยู่แล้วก็ยังเป็นห่วงเราอยู่ ยังคอย
อบรมพร่ำสอนเราอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนเรามักจะเห็นประโยชน์หรือเห็นคุณค่าของสิ่งนั้นตอนที่สูญเสียไปแล้วใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้เป็นการกระทำที่ไม่ถูกใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเวลาเรามีอะไรอยู่กับตัว มีอะไรที่คอยเป็นห่วงอบรมพร่ำสอนเราตอนนั้น เราต้องรู้จักฉวยโอกาสศึกษาคุณค่าของเขาให้มากที่สุดใช่ไหม (ใช่)  อย่าปล่อยให้โอกาสหายไปแล้วค่อยมารู้จักคุณค่าอย่างนั้นก็น่าเสียดายใช่หรือเปล่า (ใช่)
เรามาพูดอีกประเด็นหนึ่ง เมื่อสักครู่ศิษย์พี่บอกว่าท่านไม่ชอบให้ใครมาเอารัดเอาเปรียบกดขี่ข่มเหงใช่ไหม (ใช่)  อยู่ๆ ถ้าเกิดเรามาตีท่านท่านชอบไหม (ไม่ชอบ)  อย่างน้อยจะตีเราก็บอกสักหน่อยหนึ่งก็ยังดีใช่ไหม  หรือไม่จะมาตีเราอย่างน้อยก็ต้องรู้จักกัน ไม่ใช่ยังไม่ทันรู้จักกันเลยก็ตี ท่านก็ไม่ชอบใช่หรือเปล่า
ศิษย์พี่มักพูดบ่อยๆ พูดง่ายๆ ก็คือเหมือนเวลาท่านกินเนื้อสัตว์ ถ้าเราบอกว่าคนใหญ่มีหน้าที่มีอำนาจมีความยิ่งใหญ่ สามารถที่จะสั่งคนเล็กได้โลกนี้ ก็ไม่ค่อยยุติธรรมใช่ไหม (ใช่)  แต่ว่าคนมีพละกำลังเหนือกว่าสามารถทำทุกอย่างได้ตามอำเภอใจ โดยที่คนเล็กไม่มีโอกาสปริปากพูดอย่างนั้นก็ไม่ใช่กฏของธรรมชาติที่ถูกต้องใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเราจะบอกว่าสัตว์เล็กเกิดมาเพื่อสัตว์ใหญ่ได้หรือเปล่า ก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ เราอยู่ร่วมกันเวลาจะทำอะไรก็ต้องเห็นอกเห็นใจกัน เข้าใจกันบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือไม่จะเอาของเราไปก็ต้องขอเราสักหน่อยหนึ่งใช่ไหม แล้วตอนนี้เราทำกับใครบ้างทำกับสัตว์ทั้งหลายที่เป็นอาหารใช่ไหม ยังไม่ทันขอเขาเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่ทันขอด้วยแถมยังสั่งฆ่าเลยทันที เด็ดขาดไหม มีเหตุผลหรือเปล่า (ไม่มี)  มนุษย์ชอบเป็นคนที่มีเหตุผลใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างน้อยเธอต้องพูดมาก่อนสิ อยู่ๆ เธอจะมาฆ่าฉันได้อย่างไร เธอยังไม่มีเหตุผลเธอยังไม่ชอบเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์น้องก็ไม่ชอบที่อยู่ๆ จะมีใครมาสั่งลงโทษศิษย์น้องโดยไม่มีเหตุผล แล้วสัตว์ล่ะ หรือว่าศิษย์พี่กำลังพูดว่าสัตว์เป็นคนที่พูดได้มีความรู้สึก มีเหตุผล เป็นอย่างนั้นไหมหรือว่าไม่จำเป็นที่ต้องแคร์ความรู้สึก จำเป็นไหม (จำเป็น)  ศิษย์น้องคิดไหมว่าทำไมสัตว์ก็มีความรู้สึกเหมือนกัน ทำไมศิษย์พี่ถึงพูดว่าสัตว์ก็มีความรู้สึก และอะไรที่เป็นสิ่งที่ทำให้รู้ว่า สัตว์ก็มีความรู้สึกมีความผูกพันธ์กัน นั่นก็คือเวลาสัตว์มีลูกขึ้นมาก็ปกป้องลูก หาอาหารให้ลูกกินใช่หรือเปล่า (ใช่)  สิ่งนี้วัดได้ว่าสัตว์ก็มีความรู้สึกรักและหวงแหนลูกของตนเองใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาใครมาทำร้ายพี่น้องของเราเรายังรู้สึกโกรธใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาใครมาฆ่าพ่อแม่เรา เรายังรู้สึกว่าแค้นนี้ต้องชำระ จำไว้นะว่ากินเข้าไปเท่าไหร่แล้ว
พระอาจารย์ : อยู่กับศิษย์พี่มีความสุขไหม (มี)  เพราะฉะนั้นสวรรค์อยู่ที่ไหน สวรรค์อยู่ที่อกนรกอยู่ที่ใจ สวรรค์เราสร้างได้สวรรค์เราทำลายได้ อยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจ)  อันนี้ไม่ได้อยู่ที่ใจแล้ว อยู่ที่เรานั้นพูดสิ่งใดออกไป ถ้าเราพูดไม่ดีก็เหมือนผีนรกมาพูดใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าเราพูดดีก็เป็นเซียนมาพูดใช่หรือเปล่า (ใช่)  อันนี้เราทำได้ไหม แม้ว่าตอนนี้ยังไม่ได้เป็นเซียน ยังไม่ได้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ก็สามารถพาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นลงมาอยู่กับเราได้ด้วยการพูดสิ่งที่ดี และทำสิ่งที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกๆ วันนี้สิ่งที่เราทำทุกสิ่งเป็นสิ่งที่ดีหรือยัง (ยัง)  เราทำทุกสิ่งก็ยังไม่ได้เป็นสิ่งที่ดีทั้งหมดใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าเราโมโหขึ้นมาก็อาจจะทำสิ่งที่ดีให้กลายเป็นสิ่งที่ไม่ดีได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ก่อนอื่นสิ่งที่ต้องดีที่สุดคืออยู่ที่ความคิดใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องเป็นคนที่คิดดี ถึงจะพูดดีและทำดีได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าเราเป็นคนที่คิดไม่ดี เราจะพูดดีและจะทำดีได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าหากว่าคิดไม่ดี แต่พูดดี ทำดี เขาเรียกว่าเสแสร้งใช่หรือไม่ (ใช่)  เสแสร้งแกล้งทำ ถามว่าใครเป็นทุกข์ กระจกบานนั้นส่องไม่ออกว่าเราเป็นคนดีหรือไม่ดี แต่ว่าใครรู้ (ตัวเราเอง)  เมื่อตัวเรารู้ ฟ้าก็รู้ ดินก็รู้ ในที่สุดแล้วความลับไม่มีในโลก เมื่อผู้อื่นรู้แล้วถามว่าเราจะเป็นเช่นไร เราก็จะเป็นคนที่ไม่มีคุณค่า ชาตินี้เกิดมามีร่างกายเป็นคนใครว่าง่าย ศิษย์ของอาจารย์นั้นอยู่ในโลกมนุษย์นี้อาจจะไม่เห็นว่าการเกิดเป็นคนนั้นยากอย่างไร แต่หากว่าศิษย์ลองคิดดูถ้าตัวเองนั้นต้องตายไป แล้วถามว่าจะกลับมาเกิดเป็นคนอีกชาติหนึ่ง ยากหรือง่าย (ยาก)  พ่อแม่คนไหนที่มีบุญสัมพันธ์กับเรา แล้วเราเกิดมาเราจะต้องมีฐานะเป็นอย่างไร เราเกิดมาจะพิกลพิการหรือเปล่า เกิดพ่อแม่กินผิดเข้าไปนิดหนึ่ง เราก็พิการใช่ไหม (ใช่)  แล้วอย่างนี้เกิดเป็นคนยากหรือไม่ยาก (ยาก)  มีร่างกายครบบริบรูณ์ยากหรือเปล่า (ยาก)  เพราะฉะนั้นชีวิตนี้ต้องสร้างชีวิตตนเองให้มีคุณค่าใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทุกๆ วันนี้เราที่อายุ ๒๐-๗๐ ปี เป็นชีวิตที่มีคุณค่าแล้วหรือยัง (ยัง)
ฟ้าดินให้กำเนิดมนุษย์เปรียบเสมือนเทียนไขหนึ่งเล่ม เริ่มเกิดก็จุดแสงสว่างขึ้น ถ้าหากว่าศิษย์รู้จักแต่ส่องแสงสว่างนี้ให้กับตนเอง และให้กับครอบครัว ก็เป็นเทียนที่เล่มเล็ก และแสงสว่างน้อยใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่หากว่ารู้จักส่องให้ผู้อื่นที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องของเรา รู้จักส่องให้เวไนยสัตว์ทั่วหล้า ศิษย์ก็เป็นเทียนเล่มใหญ่ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถามว่าเรานั้นจะต้องเป็นเทียนเล่มเล็กหรือเล่มใหญ่ (เล่มใหญ่)  แล้วคนที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่นี้ ทุกข์ยากลำบากไหม (ทุกข์)  คนที่ยิ่งใหญ่เท่าไหร่ มีปณิธานความมุ่งมั่นที่ยิ่งใหญ่เท่าไหร่ ก็จะยิ่งพบเจอความลำบากและอุปสรรคมากเท่านั้น ทุกๆ วันนี้เคยปวดท้องและเคยปวดหัวไหม (เคย)  เคยหิวหรือเปล่า เคยเจ็บป่วยได้ไข้ไหม (เคย)  ชีวิตนี้เจ็บป่วยได้ไข้ได้ ปวดหัว ปวดท้อง มีโรคภัยไข้เจ็บความไม่เป็นสุข มนุษย์ทุกคนต้องเจอเหมือนกัน ถามว่าผู้ยิ่งใหญ่ต้องเจอไหม (เจอ)  ถ้าหากว่าศิษย์ปวดท้อง ปวดหัว และรู้สึกว่าไม่อยากจะไปหาใครเลย อยากจะอยู่คนเดียว จะเป็นคนที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นความลำบากที่ทวีเป็นเท่าตัวนี้ใครต้องแบก (ตัวเราเอง)  ต้องเต็มใจแบกไหม (เต็มใจ)  ทั้งนี้เกิดจากจิตเมตตาทั้งสิ้น คนที่มีจิตเมตตาย่อมทำได้ เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ค่อยๆ ไปทำดีไหม (ดี)
“หนึ่งวันมีหนึ่งวันเพียรให้รู้ไป” หนึ่งวันที่มีก็คือหนึ่งวันที่ต้องเพียรพยายามใช่ไหม  เมื่อวานนี้เลยไปแล้วคิดถึงดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  เมื่อวานนี้เลยผ่านไปแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องคิดถึง พรุ่งนี้ยังไม่มาถึงก็ไม่จำเป็นต้องกังวลใช่ไหม (ใช่)  แต่ทุกๆ วันนี้ เรื่องเมื่อวานนี้ผ่านไปเราก็ยังกลุ้มอกกลุ้มใจอยู่ พรุ่งนี้ยังมาไม่ถึงไม่รู้ก็ไปดูหมอใช่ไหม (ใช่)  บางคนบอกว่าไม่ใช่ แต่มีคนอื่นดูมาให้เรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้ถึงเวลาหรือไม่ที่เราควรจะมองเห็นตนเองแล้ว ถึงเวลาหรือยัง (ถึงแล้ว)
เกิดแก่เจ็บตายเป็นทุกข์หรือเปล่า (เป็น)  อยากพ้นทุกข์ไหม(อยาก)  เพราะฉะนั้นอาจารย์ถามว่าบำเพ็ญคืออะไร นั่งฟังสองวันแล้วบำเพ็ญคืออะไร (การตั้งใจมุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีที่งาม ถูกต้องเหมาะสมด้วยแรงศรัทธาและความตั้งใจของเราอย่างต่อเนื่อง)  แน่ใจไหม (แน่ใจผมสละสิทธิ์ให้เพื่อนคนหลัง)  เมื่อสละก็ได้รับ น้อยครั้งที่มนุษย์จะคิดสละได้ และคิดว่าเมื่อเราสละแล้วจะได้ในสิ่งที่ดีกว่า กลัวว่าโอกาสไปแล้วไปเลย จึงไม่รู้จักที่จะเสียสละผู้อื่น เมื่อเราไม่เคยให้ผู้อื่นแล้วเราจะรับได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นจึงต้องรู้จักการให้ จึงรู้จักการรับ (นักเรียนชายว่าหน้าที่)  แล้วหน้าที่ของศิษย์คืออะไร (บำเพ็ญความดี)  แล้วทำไมต้องบำเพ็ญความดี (เป็นหน้าที่ของคนที่เกิดมาบนโลก)  น่าจะเป็นหน้าที่ของคนที่เกิดมาบนโลก คนนี้ตอบดีไหม (ดี)  ศิษย์คิดว่าที่เขาบอกว่าบำเพ็ญเป็นหน้าที่ถูกต้องไหม (ถูกต้อง)  จะบอกให้ว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องจริงๆ ดีใจไหมที่ตนเองคิดได้ถูกต้องที่สุด (ดีใจ)  ถามว่าทำไมบำเพ็ญถึงเป็นหน้าที่ ทุกๆ วันนี้ศิษย์ของอาจารย์รู้จักหน้าที่อะไรบ้าง รู้จักหน้าที่ที่จะทำให้ตนนั้นอยู่รอดได้ รู้จักที่จะทำหน้าที่ในการเป็นลูกที่ดีใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่หน้าที่การบำเพ็ญเพื่อการเป็นพุทธะนั้น ยังไม่รู้จัก เพราะฉะนั้น อาจารย์จะบอกให้ ถ้าศิษย์ถือว่าการบำเพ็ญเป็นหน้าที่ ศิษย์ก็จะเป็นพุทธะได้ เพราะคนส่วนใหญ่คิดว่าการบำเพ็ญเป็นงานอดิเรกใช่ไหม (ใช่)  หน้าที่นี้ก็หนักหน่วง วันใดที่ไม่ยอมบำเพ็ญก็คือวันนั้นได้คัดตัวเองออกจากการเป็นพุทธะ หน้าที่ของพุทธะก็หนักหน่วง ทำอะไรบ้างรู้ไหม (ทำแต่ความดี)  ทำแต่ความดีให้ผู้อื่นหรือให้ตัวเอง (ให้ทุกคน)  การที่จะทำความดีเพื่อทุกคนได้นั้น ต้องทำอะไรบ้าง ยกตัวอย่างเช่น (ทำให้คนอื่นมีความสุข)  การทำให้คนอื่นมีความสุขนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ทำให้ผู้อื่นหลุดพ้นตามเราได้เป็นสิ่งที่ดีกว่า หน้าที่ของพุทธะนั้นไม่ได้ทำให้ผู้อื่นมีความสุข แต่หน้าที่ของพุทธะก็คือทำให้ทุกๆ คนนั้นสามารถหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้ นี่เป็นภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่สุดของพุทธะ เพราะฉะนั้นศิษย์ต้องไปทำ ต้องทำอย่างที่อาจารย์ว่าก็คือหนึ่งวันมีหนึ่งวันเพียร ทำได้ไหม เพราะฉะนั้นมีหน้าที่เป็นพุทธะก็อย่าห่างจากพุทธสถานคือสถานที่ที่พุทธะอยู่ ได้หรือเปล่า (ได้)
มีหลายคนบนโลก บนหลายสถานที่ หลายมุม หลายที่ในบ้านของคนยากจน คือพุทธะลงมาเกิด แต่ไม่รู้ว่าตนเองนั้นมีหน้าที่มาทำอะไร ทุกๆ วันก็ออกไปทำมาหาเงิน กิเลสเพิ่มพูน แม้เป็นพุทธะกลับชาติมาเกิดก็ไม่สามารถจะกลับไปเป็นพุทธะได้อีก เพราะไม่ถือว่าการบำเพ็ญตนและการปฏิบัติธรรมเป็นหน้าที่ อาจารย์พูดผิดหรือเปล่า ทุกๆ วันนี้เห็นการบำเพ็ญธรรมเป็นงานอดิเรก ว่างก็มาไม่ฝืนตนเอง กิเลสมีก็ตะครุบไว้ ในที่สุดแล้วก็กลายเป็นปุถุชนในคราบของคนบำเพ็ญ ถ้าเป็นเช่นนั้นเมื่อเจอกระจกที่สามารถส่องทะลุถึงจิตใจแล้วศิษย์จะผ่านได้อย่างไร ทุกๆ วันนี้ขอให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นที่บำเพ็ญอยู่แล้ว เพิ่มขึ้นนิดหนึ่งคือความเมตตา ความศรัทธา ความมีปัญญา การรู้จักเสียสละ เพิ่มขึ้นมาให้เต็ม ให้เต็มพุทธญาณดวงนี้ น้อยลงไปอีกนิดหนึ่ง คือน้อยอัตตา น้อยอารมณ์ น้อยกิเลส ให้ทั้งสองข้างนั้นสมบูรณ์คือตัดทิ้งโดยสมบูรณ์และการเพิ่มพูนโดยสมบูรณ์ ตอนนี้หลายๆ คนนั้นก็ขาดไปนิดหนึ่ง เกินไปหน่อยหนึ่ง สมมติว่าเปรียบธรรมญาณเป็นวงกลมๆ จิตของศิษย์นั้นก็เว้าๆ แหว่งๆ ไม่เต็มไม่สมบูรณ์ ถามว่าเรานั้นจะเป็นพุทธะได้ไหม (ไม่ได้)  เสียเวลาไหมที่เราบำเพ็ญมาตั้งนาน เราก็เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ แค่เรานั้นขาดไปนิดเกินไปหน่อยใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นเมื่อลงแรงเรื่องอารมณ์ก็ลงให้เต็มที่ว่าเราจะตัดแล้ว เมื่อเพิ่มใจเมตตาก็กล้าที่จะเปิดออกแผ่กว้างเหมือนแสงสว่างที่ไปไกลไม่สิ้นสุด เมื่อศิษย์เป็นพุทธะแล้วจึงจะสามารถกลับไปเป็นพุทธะบนแดนนิพพานได้
ตอนนี้อาจารย์ถามคำถามเดิมนะการชนะสิ่งใดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ชนะใจตนเองและชนะใจผู้อื่นมันยังเล็กมากเลย  ถ้าชนะสิ่งนี้ได้จะกลายเป็นพุทธะ  ชนะวัฎสงสารและศิษย์จะอยู่เหนือวัฎฎะสงสาร  การชนะการเกิดและการตายใช่หรือไม่ (ใช่)  เกิดมาหรือตายไปเราบังคับได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นเราต้องชนะอะไร ตอนนี้เราเกิดมาแล้วเราต้องชนะอะไรได้ เมื่อศิษย์ของอาจารย์นั้นเกิดมาแล้วชนะไม่ได้ตอนนี้ก็คือความตาย  ดีไม่ดีจะตายวันไหนก็ยังไม่รู้  เพราะฉะนั้นชนะการตายชนะไม่ได้ แม้แต่พระพุทธองค์ก็ชนะไม่ได้ ไม่มีใครในโลกนี้ที่เกิดมาแล้วชนะความตายได้ แต่ศิษย์สามารถชนะได้ก็คือชนะการเกิด เมื่อเราตายไปเราจะไม่ไปเกิดใหม่เราจะสำเร็จเป็นพุทธะ  เพราะฉะนั้นจึงต้องชนะการเกิดอีกรอบหนึ่งของเราเอง  ต้องเตรียมการอย่างไรบ้าง เมื่อครู่อาจารย์ถามว่าบำเพ็ญคืออะไร เพราะว่าการบำเพ็ญนั้นสามารถทำให้เรานั้นหลุดพ้นจากวัฎสงสารได้เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์มานั่งฟังสองวันจึงต้องรู้ว่าบำเพ็ญคืออะไร ไม่ใช่ฟังคนอื่นพูดว่าบำเพ็ญๆ  พอกลับไปบ้านฉันไม่รู้ว่าบำเพ็ญคืออะไร ฉันก็ไม่บำเพ็ญดีกว่า ในที่สุดแล้วพอถึงอายุไขก็ตายใหม่ไม่รู้ว่าจะหลุดพ้นอย่างไรดี เพราะไม่รู้ว่าบำเพ็ญคืออะไร เพราะฉะนั้นบำเพ็ญคืออะไร
พระนาจา : ทำไมมนุษย์ถึงเรื่องมากก็ไม่รู้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  มีให้เลือกก็ต้องเลือกเอาที่ดีที่สุดใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วถ้าไม่มีให้เลือกจะเอาไหม ถ้าศิษย์พี่ไม่เมตตาและศิษย์พี่ใจร้ายขึ้นมาจะทำอย่างไรดี ความคิดอยู่ในใจของตนเองใช่หรือไม่ (ใช่)  อารมณ์ที่จะปรุงแต่งความคิดขึ้นมาก็อยู่ในใจของศิษย์น้อง ถ้าศิษย์พี่บอกว่ากินลูกอมแล้วหยุดความคิด แล้วศิษย์น้องจะกินไหม (กิน)  แน่ใจถ้าคิดหนึ่งครั้งต้องอมลูกอมหนึ่งเม็ดดีไหม อมแล้วจะได้ไม่คิดมากเกินไป หากไม่สบายใจมากหรือว่ามีเรื่องอัดอั้นไม่รู้จะหาใครพูดได้ เราก็กินมะนาวให้เปรี้ยว แล้วก็หันไปที่โต๊ะ แล้วเราลองมองหน้าพระศรีอาริย์หรือมองหน้าพระอาจารย์ก็ได้ คงไม่มีคนไหนทำอย่างนั้นได้ ถึงแม้ตอนนี้ศิษย์พี่หาวิธีได้วิธีหนึ่ง แต่ไม่แน่ว่าปัญญาและอารมณ์ของศิษย์น้องจะเอาชนะความคิดนี้ได้ ไม่มีใครชนะตัวเราเองได้นอกจากศิษย์น้องเอง ศิษย์น้องรู้หรือเปล่า ทุกข์ทรมานตอนนี้ยังมีกาย ยังมีคนช่วยเหลือ ยังดีกว่าไปทรมานอยู่ในคุกสวรรค์ ศิษย์น้องต้องคุมตัวเองให้ได้ ไม่ใช่เราทุกข์คนเดียว เราทุกคนต้องทุกข์ด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนรอบข้างเรารู้ว่าศิษย์น้องห่วงเขา แต่ว่าตอนนี้เขากำลังไม่ห่วงไม่รักตัวเอง ฟังธรรมอิ่มหรือยัง (ยัง)  เบื่อหรือยัง (ยัง)  การร้องเพลงทำไมถึงเป็นการร้องเพลง เมื่อก่อนนั้นจะมีการสวดมนต์หรือท่องมนต์ การสวดมนต์การท่องมนต์ในสมัยก่อนเขาจะพยายามให้มีสัมผัสคล้องจองกันเป็นจังหวะๆ  เพื่อเป็นการง่ายแก่การจำ  การท่องมนต์ก็คือให้เป็นจังหวะๆ เพื่อเป็นการง่ายในการท่องจำ แต่บทเพลงนี้คือเมื่อเราได้ยินทำนองเพลงทางโลก เราก็สามารถนึกเนื้อทางธรรมได้  นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำไมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงเอาธรรมะสอดใส่ลงไปในทำนองเพลง ก็เพื่อให้ศิษย์น้องทุกคนเมื่อได้ยินทำนองเพลงนี้ก็ทำให้หวนนึกถึงเพลงธรรมะ นึกถึงหลักธรรมะ นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำไมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงลงมาประทานให้เพลง ส่วนการให้ท่าประกอบนั้นเพื่อให้เราผ่อนคลายจากการนั่งเฉยๆ  ในการฟัง นั่งมากๆ  ก็เมื่อย ยืนมากๆ  ก็บ่น ก็ลองขยับเนื้อขยับตัวดูบ้างจะได้ไม่บ่นเมื่อย ไม่บ่นเบื่อใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำไมจะต้องมีท่าทางใส่ลงไปเพื่อเป็นการขจัดความเบื่อ ขจัดความเกียจคร้านในตัวของเราเอง คนข้างนอกเหมือนกระจกใช่หรือเปล่า (ใช่)  (ศิษย์พี่เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลง)
พระอาจารย์ : บางทีเสียงหัวเราะก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่ดีได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาที่คนอื่นเขาทำอะไรประหลาดๆ  เขาก็บอกว่าเราหัวเราะเยาะ  แต่ถ้าหากมีงานมงคลเราหัวเราะ เขาก็บอกว่าเราหัวเราะยินดี เพราะฉะนั้นการหัวเราะต้องเลือกหัวเราะ  การมองเลือกมอง การฟังเลือกฟังดีหรือไม่ (ดี)  วันนี้เรามาทำให้เป็นสวรรค์ให้ได้
พระนาจา : ถ้าคำสั่งสั่งออกไปแล้วคนไม่ทำตามในครั้งแรกแปลว่าคนสั่งสั่งไม่ดี  แต่ถ้าบอกไปสามครั้งแล้วคนนั้นทำไม่ได้  คนนั้นต้องโดนลงโทษ  นี่คือข้อปฏิบัติใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือข้อปฏิบัติของการรบ รู้หรือเปล่า
จะบินทั้งทีต้องบินให้สูงใช่หรือไม่ (ใช่)  นกเวลาบินต้องบินให้สูงเพื่อให้รอดพ้นจากอันตรายจากนายพรานหรือจากสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่กว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  เกิดมาเป็นคนทั้งทีต้องมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ให้จงได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเจอความยากลำบาก เราอยู่ในสังคมมักจะเจอความกดดันกันคนละแบบใช่ไหม  บางทีเจอคนพูด คิดมากอึดอัดใจ ทำงานร่วมกับคนอื่น คนอื่นมากดเราไม่อยากให้เราอยู่ตรงนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเรามานั่งฟังตรงนี้อากาศร้อนก็รู้สึกกดดันใจใช่ไหม เวลาเราเจอความกดดันเรารู้สึกอึดอัด เราอยากจะออกไปให้พ้นจากความกดดันนี้ แต่นิทานที่ศิษย์พี่จะเล่าให้ฟังนี้เป็นความกดดันที่มีประโยชน์ มีชาย ๒ คน เขาคิดจะแข่งกัน บอกว่าให้ถือฟางข้าว คนหนึ่งถือหาบหนึ่ง แต่อีกคนให้ถือเพียงต้นเดียว แล้วแข่งกันว่าใครจะไปได้ถึงจุดหมายปลายทางก่อน แล้วต้องถือฟางข้างนั้นไปด้วย แปลงคนที่มีมากต้องถูกกดดันมากกว่าใช่ไหม (ใช่)  เพราะว่าฟางเมื่อรวมกันแน่นๆ ก็เกิดความหนักได้ ไม่เหมือนฟางต้นเดียว แต่ว่าจิตใจเราถ้ารวมกันเป็นพลังหนึ่งเดียวก้เป็นพลังอันยิ่งใหญ่ได้ใช่ไหม ความสามัคคีในหมู่ชน หากทุกคนประสานกันเป็นหนึ่งเดียว ทำอะไรนึกถึงส่วนรวมเป็นใหญ่ก็ต้องเกิดความเป็นปึกแผ่นและสงบร่มเย็น แต่สังคมต่างคนต่างอยู่กันอย่างเห็นแก่ตน สังคมจึงวุ่นวาย สรุปแล้วคนที่หาบเยอะถึงก่อน แต่คนที่ถือแค่ต้นเดียวไปถึงแล้ว แต่ลืมไปว่าต้นเดียวของเราเอาไปวางไว้ที่ไหน จริงไหม มักจะเป็นกันอย่างนี้ใช่หรือเปล่า เพราะเรามีความกดดันมากๆ แต่คนเราในโลกนี้มักจะมีสองประเภท พอกดดันมากๆ  ก็ทิ้งกลางคัน กับอีกประเภทหนึ่งก็คือ คนไม่ยอมแพ้ชีวิตไม่ยอมแพ้อุปสรรค  คนประเภทนี้ถึงจะสามารถมีความสำเร็จได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่เหมือนคนประเภทแรกที่เจอปุ๊บก็ยอมแพ้  ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต  แต่อีกประเภทหนึ่งที่ถือต้นเดียวถ้าเขาประมาทตัวเองเกินไป เขาก็อาจจะพ่ายแพ้กับชีวิตในเรื่องง่ายๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเขาไม่ประมาทเขาก็สามารถเป็นคนที่เอาชนะชีวิตของตนเองได้  เรื่องราวในโลกนี้ก็เหมือนกันมีอยู่สองแบบ แบบหนึ่งคือเราสามารถเอาชนะได้  กับอีกแบบหนึ่งทำอย่างไรเราก็เอาชนะไม่ได้  แต่มนุษย์เรามักจะปล่อยไปตามกระแสไม่ค่อยยอมแย้งกับอารมณ์กับความรู้สึกเท่าไหร่ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นเลือกสับปะรดเพื่อนำไปให้แม่ครัว)  สับปะรดลูกไหนหวาน อาจารย์จะเลือกสับปะรดลูกหนึ่งให้แม่ครัวกิน ฉะนั้นก็จะให้ศิษย์ของอาจารย์ทั้งหมดนี้เลือก  เลือกลูกใดก็ได้ลูกหนึ่ง ถ้าลูกนั้นเปรี้ยว ใจเรายังเปรี้ยวอยู่ ถ้าสับปะรดหวาน ก็แสดงว่าเรานั้นรักแม่ครัวดีหรือไม่ (หัวหน้าชั้นได้ยกสับปะรดขึ้นมาลูกหนึ่งและบอกว่าลูกนี้หวาน)  มั่นใจว่าลูกนี้หรือเปล่า (มั่นใจว่าต้องเป็นลูกที่ดีสุด หวานที่สุด ทุกคนก็มั่นใจ)  เราไม่ลองดูก็ไม่รู้ บางทีมีความมั่นใจในตัวเรามากกว่า เรานั้นเอาลูกนี้ เสียงดังที่สุด ไม่แน่ว่าเรายกลูกที่ ๒ ขึ้นมา อาจจะมีดังกว่านี้ แต่ว่าก็เป็นจริงอย่างที่ศิษย์พูด แม้ว่าทุกๆ คนจะออกเสียงพร้อมกัน ปรบมือพร้อมกันให้ดัง แต่การนำพาคนก็ลำบากเช่นนี้ ศิษย์ที่เป็นหัวหน้าชั้น ลองคิดดูว่าผู้อาวุโสเบื้องหน้าต้องการจะนำพาเรา ก็เป็นความลำบากเช่นนี้ใช่ไหม (ใช่)  ต่างคนต่างใจ ต่างคนต่างคิด มีปัญหาอีกหลายอย่างที่ยากยิ่งกว่าการบอกว่าจะเอาสับปะรดลูกไหนดี  เพราะฉะนั้นถามว่าเราที่เป็นผู้น้อย เราควรหรือไม่ควรที่จะมีจิตหนึ่งใจเดียวกัน (ควร)  ศิษย์ของอาจารย์หัวหน้าชั้นจะพูดไม่ผิดเลย ถ้าไม่บอกว่าใจของผมเอง ก็คิดว่าลูกนี้อร่อยที่สุด  ที่อาจารย์บอกว่าเอาความเชื่อมั่นของตนเองออกมาแล้วผิดรู้ไหม เพราะว่าเราต้องการทำงานกับคนจำนวนมาก จึงต้องเก็บความรู้สึกลึกๆ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ไว้ภายใน อยากให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นเก็บเอาไปคิดเก็บไปพิจารณา  เรานั้นอาจจะเป็นคนที่อยู่ใกล้การนำพาของคนเบื้องหน้า  แต่เราก็อาจจะเป็นคนนำพาผู้อื่นอยู่อย่างน้อยที่สุดก็นำพาครอบครัวของเราเองใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่เรารู้จักทุกๆ คนจะทำอย่างไรให้เรานั้นสามัคคีกันได้มากที่สุด
"เวลานี้เวลาทิ้งใจเคืองคน" ใจที่เคืองคนควรเอาทิ้งไปได้แล้วใช่หรือเปล่า  มัวแต่เคืองคนนี้ แล้วก็เคืองคนนั้น ไม่ว่าเราจะเป็นคนบำเพ็ญธรรมหรือไม่บำเพ็ญธรรม เราก็ได้ผลกระทบที่จิตใจของเราเองใช่หรือไม่
"มากน้อยคนจะสามัคคีให้ประจักษ์"  ไม่ว่าเรานั้นจะมีมากคนจะมีน้อยคน หนึ่งคนก็ดีสองคนก็ดี ร้อยคนพันคนหรือคนทั้งโลกเราก็ต้องมีจิตใจอันเดียวกันให้ได้  ใจอันนี้เรียกว่าใจแห่งพุทธะ เพราะว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นต้องการจะเป็นพุทธะใช่หรือไม่ (ใช่)  หากไม่ต้องการเป็นพุทธะก็ไม่ต้องศึกษาธรรม ก็ไม่ต้องลำบากบำเพ็ญ แต่เมื่อมาถึงสถานธรรมควรจะรู้ว่าจิตใจของเรานั้นมีจิตใจเดียวกันคือจิตใจการเป็นพุทธะใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตใจการเป็นพุทธะนั้นแสดงออกด้วยจิตใจ วาจา และการกระทำอันสะอาดบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปว่าใคร ต่างคนต่างย้อนมองตนเอง ทุกๆ วันวันละกี่หนดี เวลาเราอาบน้ำวันหนึ่งกี่หน แปรงฟันวันหนึ่งกี่หน (สองหน) เพราะฉะนั้นการขัดเกลาจิตใจก็เป็นไปพร้อมการขัดร่างกาย วันหนึ่งกี่หนดี (สองหน)  ทำได้ไหม
พระนาจา :  ศิษย์น้องได้มาฟังวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วใช่ไหม ต่างคนก็จะแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเองเหมือนเดิมใช่หรือเปล่า (ใช่) หลักธรรมในการดำรงชีวิตในโลกนี้หากทุกคนทำหน้าที่ของตนเองเต็มหน้าที่ สมมติว่าใครมีหน้าที่เป็นพ่อ ลูก อาจารย์ นักเรียน ทำหน้าที่ของตนเองให้สมบูรณ์ที่สุด นี่แหละก็คือการปฏิบัติธรรมง่ายๆ ข้อหนึ่งในการบำเพ็ญตนใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ปัจจุบันนี้สังคมและมนุษย์กลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น คนเป็นพ่อไม่รู้จักหน้าที่ของความเป็นพ่อใช่ไหม (ใช่)  คนๆ หนึ่งไม่ใช่มีหน้าที่เดียวตลอดชีวิต แต่มีหลายหน้าที่ บางทีเป็นทั้งพ่อเป็นทั้งพี่เป็นทั้งเพื่อนเป็นทั้งน้องใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าคนๆ หนึ่งทำหน้าที่ของตนเองได้ครบบริบูรณ์ไม่ขาดตกบกพร่องในเรื่องความซื่อสัตย์ ความกตัญญู มโนธรรม และจริยธรรม คนๆ นั้นก็สามารถเป็นผู้ที่บำเพ็ญได้อย่างถูกต้องและดีงาม และเป็นหนึ่งเมล็ดพันธุ์ที่ออกไปสู่สังคมได้ดีใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อทำหน้าที่ของตนเองได้สมบูรณ์ ต้องไม่ลืมคุณธรรมง่ายๆ หนึ่งก็คือกตัญญู ความกตัญญูไม่ใช่เฉพาะแค่ตอบแทนคุณพ่อแม่ แต่กตัญญูนี้ยังหมายถึงว่ารู้จักตอบแทนคุณผู้มีพระคุณใช่หรือเปล่า (ใช่)  ศิษย์พี่เคยกล่าวไว้ว่าโลกนี้อยู่ได้ด้วยคนสองประเภท ประเภทหนึ่งคือรู้จักให้ อีกประเภทหนึ่งคือรู้จักตอบแทน ใช่หรือไม่  สังคมนี้ยังเป็นสังคมที่น่าอยู่ได้ก็เพราะว่ามีคนรู้จักให้และมีคนไม่ลืมบุญคุณคนในการให้ใช่ไหม (ใช่)  นั่นก็คือการปฏิบัติกตัญญู
สองก็คือ ความซื่อสัตย์  เราอยู่กับเพื่อน พ่อแม่ พี่น้อง เราอย่าโกหกเขา ถ้าเราไม่โกหกเขาเราก็จะเป็นคนที่ปากศักดิ์สิทธิ์ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะพูดอะไรก็ทำอย่างนั้น คนๆ นั้นก็เป็นคนที่น่าไว้ใจใช่ไหม  แล้วเวลาเราไปไหนพ่อแม่ก็วางใจ เพื่อนก็อยากทำงานร่วมกับเรา ส่วนมโนธรรม กับจริยธรรม  จริยธรรมก็คือคุณธรรมในการอยู่ร่วมกันในสังคม เราควรปฏิบัติอย่างไรกับเขา เวลาเราทำงาน เวลาเรียนหนังสือ ส่วนมโนธรรมเป็นคุณธรรมที่อยู่ภายใน หากศิษย์น้องทำหน้าที่ตนเองได้สมบูรณ์และมีคุณธรรมสี่ประการที่ศิษย์พี่พูด ศิษย์น้องก็พร้อมที่จะออกไปบำเพ็ญธรรมอยู่ข้างนอกได้ แต่เมื่อไรยังมีไม่พร้อม ยังรู้สึกว่าบำเพ็ญแล้วยังไม่เข้าใจ ไปเผชิญโลก ไปเผชิญปัญหา ยังมีปัญหาที่รู้สึกว่าค้างคาใจ ก็กลับมาศึกษาที่นี่ได้ หรือกลับไปศึกษาที่สถานธรรมใกล้ๆ ได้ หรือกลับไปค้นหาในคัมภีร์หรือหลักพุทธศาสนาที่ศิษย์น้องนับถือได้ การบำเพ็ญนับจากนี้ไป ศิษย์น้องคงมีแนวทางแล้วใช่ไหม (ใช่)  คงรู้แล้วใช่หรือเปล่าว่าจะบำเพ็ญต่อไปอย่างไร แต่ถ้าสังคมหรือคนๆ หนึ่งเอาตัวรอดแต่ไม่คิดถึงคนอื่นเราชอบไหม เราก็ไม่ชอบเราก็ไม่รักใช่หรือเปล่า (ใช่)
หน้าที่อีกหน้าที่หนึ่งที่ศิษย์พี่อยากขอร้องให้ศิษย์น้องทำได้นั่นก็คือเห็นใครไม่สามารถยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้ เห็นใครไม่สามารถมีชีวิตแล้วนำชีวิตตนเองได้ ศิษย์น้องดึงเขามาให้รู้จักนำพาชีวิตตนถือว่าเป็นการให้ที่ประเสริฐยิ่งกว่าให้ทรัพย์ ให้ความรู้ใดๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  การให้เขามีชีวิต มีแสงสว่างให้กับตนเองก็คือการชวนเขามารับธรรมะอันวิเศษสุดที่อยู่ในตัวเขาเองใช่หรือเปล่า (ใช่)
แล้วหลังจากนี้ไปพอเข้าใจไหมว่าบำเพ็ญธรรมต่อไปจะทำอย่างไร บำเพ็ญธรรมบำเพ็ญไปเพื่ออะไรคือ หนึ่งก็คือเพื่อตนเอง สองเพื่อช่วยผู้อื่น สามก็คือช่วยนำสังคมให้สันติสุขใช่ไหม (ใช่)  แล้วการบำเพ็ญธรรมใช่บอกว่าให้ศิษย์น้องนับถือศาสนาใหม่ เป็นลัทธิใหม่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  ศิษย์น้องนับถือพุทธก็ยังเป็นพุทธต่อไป นับถือคริสต์ก็ยังเป็นคริสต์ต่อไป บวชเป็นพระก็ยังต้องบวชเป็นพระต่อไปใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้ววันนี้จะมาบวชจิตก็ต้องบวชจิตต่อไป แต่ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ไม่ลืมหน้าที่ว่าตนเองกำลังยืนอยู่ตำแหน่งใด ถ้ายืนอยู่ในตำแหน่งของการเป็นพระก็ต้องบวชให้ถึงที่สุด ตั้งใจบำเพ็ญตนให้ถึงที่สุด แล้วท่านก็จะไม่หลงแนวทางของตนเองใช่ไหม (ใช่)  อย่าติดว่าศิษย์พี่เป็นผู้หญิง จริงๆ ศิษย์พี่เป็นผู้ชาย แต่แท้ที่จริงแล้วพุทธจิตธรรมญาณไม่มีแบ่งแยกหญิงชายใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อออกจากกายนี้ไปพุทธจิตก็เป็นสิ่งกลมๆ อันหนึ่งก็ได้ใช่หรือเปล่า แต่เราต้องคำนึงด้วยว่าสิ่งกลมๆ อันนี้ถ้าออกไปจากร่างกายแล้วจะต้องไปทรมานหรือเปล่า ใครรู้ไหมว่าต่อไปเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ถ้าตอนนี้ทำดีที่สุดเรารู้ไหมว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร ก็รู้ได้ คือต้องไปที่ดีสักแห่งหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  คนรักดีออกไปยังไงก็ต้องไปทางที่ดี คนไม่เคยรักดีดูง่ายๆ ถ้ารอบตัวเขามีแต่คนไม่ดีก็แปลว่าตนเองนั่นแหละไม่รักดีเหมือนกันใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเพื่อนและสิ่งแวดล้อมเราล้วนเป็นสิ่งที่ดีแปลว่าเรารักสิ่งทีดี สิ่งที่ดีถึงอยู่ใกล้เรา แต่ถ้ารอบตัวเรามีแต่สิ่งที่ไม่ดี เราก็ต้องถามตัวเราเองก่อนว่าเรานั่นแหละเป็นคนเดินไปหาใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากให้ตัวเองหอมไหม (อยาก) หอมกลิ่นอะไรดี หอมกลิ่นในการเป็นคนดีมีชีวิตที่ดีหรือเหม็นกลิ่นเหม็นๆ ของคนที่ไม่ดี  ก็ต้องหอมกลิ่นที่ดี  ไม่ใช่มาวันนี้แต่มีจิตใจคิดอีกอย่างหนึ่งไม่เอา รู้หรือเปล่า มาวันนี้ต้องมีจิตใจที่ใฝ่ดีด้วย อย่ามาเพราะว่ามีผลประโยชน์แอบแฝง อย่างนั้นไม่ใช่คนที่ตั้งใจจะมาบำเพ็ญดีใช่หรือเปล่า
(พระอาจารย์ถามนักเรียนว่าอะไรที่ได้ยากเย็นแต่เสียง่ายดาย มีนักเรียนตอบว่าธรรมะ)
พระนาจา : ได้ยากไหม เรามักจะได้แค่เปลือกง่ายๆ แต่ได้แก่นยากใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีพอได้แก่นแล้วหลงแก่นเลยใช่หรือเปล่า มนุษย์มักจะติดแต่คำพูด บางทีเราอ่านธรรมะทำไมเราไม่สามารถเข้าถึงแก่นแท้ ก็เพราะเราติดในตัวอักษรจนเกินไปจึงเข้าไม่ถึงแก่นแท้ของธรรมะใช่ไหม เดี๋ยวศิษย์พี่กลับก่อนศิษย์น้องอยู่กับพระอาจารย์ ตั้งใจศึกษาให้ดีอย่าเห็นว่าอาจารย์มานานๆ แล้วยังไม่เข้าใจนะ ศิษย์พี่ไปก่อน
พระอาจารย์ : สิ่งใดที่ได้มายากแล้วเสียไปง่าย (ธรรมะ)  ใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้มายากแล้วเสียไปง่าย คือทรัพย์สินเงินทองใช่ไหม  ถ้าดูกลอนประโยคหน้าก็รู้ว่าอาจารย์พูดถึงอะไร “ยื้อแย่งชิงมาเมื่อใดใจลำเค็ญ”  ธรรมะยื้อแย่งชิงหรือเปล่า (ไม่)  โดนศิษย์พี่หลอกแล้ว ที่นี้พอเขาบอกว่าอะไรก็ว่าตามนั้น  สิ่งใดที่ยื้อแย่งชิงแล้วใจลำเค็ญ ใช่ทรัพย์สินเงินทอง ยศถาบรรดาศักดิ์หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นได้มายากเย็นแต่ว่าเสียไปง่ายดายถูกหรือเปล่า (ถูก)
“ยิ่งก้าวยิ่งบำเพ็ญไม่เพื่อตัว”  เพราะฉะนั้นจากประโยคนี้อาจารย์ก็บอกแล้วว่ามันได้มายากแต่เสียไปง่าย เวลาที่อาจารย์พูดเช่นนี้ศิษย์ของอาจารย์ต้องรู้ว่า อาจารย์ต้องการให้ศิษย์นั้นตื่น ตื่นจากความฝันแค่หนึ่งคืนนี้ ตื่นจากทรัพย์สินเงินทอง ให้รู้ว่าเป็นสิ่งที่ได้มายากไม่ใช่สิ่งที่สมควรจะหา แต่สิ่งที่ควรจะหาคือสัจธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  ในทางตรงข้ามอาจารย์พูดถึงการบำเพ็ญธรรม การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ว่าจะได้มายากเย็น การบำเพ็ญธรรมได้มาง่าย เพียงแค่ศิษย์นั้นลงแรงเปิดใจศึกษาปฏิบัติใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นยากไม่ยาก เดินเข้ามาสถานธรรมก็มีหนังสือธรรมะอ่าน มีคนพูดธรรมะให้ฟัง ยากไม่ยาก (ไม่ยาก)  ต้องเสียสละเวลาเท่านั้นเอง ในทางตรงกันข้ามมีสิ่งหนึ่งที่อาจารย์อยากจะสอนไว้ ก็คือยิ่งก้าวยิ่งบำเพ็ญไม่เพื่อตัว เมื่อสักครู่อาจารย์พูดไว้ว่าเทียนเล่มหนึ่งถ้าส่องแค่ตัวเอง ส่องแค่คนที่เราชิดใกล้ก็เป็นเทียนเล่มเล็กใช่หรือไม่ ทำแต่เพื่อตัวเองก็ไม่เป็นพุทธะใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ถ้าศิษย์สามารถยิ่งก้าวยิ่งบำเพ็ญไม่ทำเพื่อตนเองนั่นก็เป็นหัวใจแห่งพระพุทธะดีหรือเปล่า (ดี)
เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่าบำเพ็ญธรรมะคืออะไร บำเพ็ญไปทำไม แล้วบำเพ็ญอย่างไร  อันนี้เป็นการบ้านดีไหม หากว่าศิษย์ไม่รู้ว่าธรรมะคืออะไร บำเพ็ญอย่างไร และทำไมต้องบำเพ็ญ แล้วศิษย์จะบำเพ็ญได้อย่างไรจริงไหม (จริง)  เพราะฉะนั้นขอให้เก็บไปใส่ใจคิดว่าการบำเพ็ญของเรานั้นคืออะไร (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนร่วมร้องเพลงพระโอวาท ทำนองเพลงน้ำเซาะทราย)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนออกมาวงพระโอวาท และมีนักเรียนคนหนึ่งวงคำว่า “เวลา”  พระอาจารย์ก็ได้เมตตาว่า)  เวลาของเรามีน้อย แต่เราต้องสละได้เพราะว่าคนทุกคนก็มีเวลา ๒๔ ชั่วโมงเท่ากัน คนที่ทำงานธรรมะแล้วบำเพ็ญก็มีเวลา ๒๔ ชั่วโมงเท่ากันใช่หรือเปล่า แล้วเวลาผ่านไปๆ รอคนอื่นไหม เวลาผ่านไปรอเราหรือเปล่า (ไม่รอ)  เวลาไม่เคยรอใคร ไม่ไว้หน้าใครแม้ว่าคนนั้นจะยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่ถ้าหากไม่รู้จักฉกฉวยโอกาสที่จะใช้ให้เป็นประโยชน์ก็เท่ากับว่าเรานั้นใช้เวลาได้ไม่คุ้มค่า เพราะฉะนั้นก็จงใช้เวลาให้คุ้มค่ากันทุกคน ในเมื่อรู้ว่าธรรมะมีค่าก็บำเพ็ญธรรม เวลา ๒๔ ชั่วโมงเท่ากันแบ่งให้ถูก แบ่งให้ดี ดีไหม
บางคนอยากจะบำเพ็ญธรรมแต่ก็ได้แต่นั่งคิดว่าถ้าฉันมีอารมณ์น้อยกว่านี้อีกนิด ถ้าฉันมีกิเลสน้อยกว่านี้อีกนิดจะเป็นอย่างไร ฉันคงเป็นคนที่บำเพ็ญดี แต่ฉันก็ไม่เคยทำ ในที่สุดแล้วการบำเพ็ญอยู่แค่ในความคิดไม่ออกมาเป็นรูปธรรม ไม่มีประโยชน์
"สิ่งสำคัญต้องเป็นคนมีใจเที่ยง"  ความเที่ยงนั้นสำคัญหรือไม่ จำเป็นไหมที่จะต้องเป็นคนยิ่งใหญ่ถึงจะมีใจเที่ยง เราเป็นนักศึกษาเราต้องมีใจที่เที่ยงตรงไหม เราเป็นคนทำการค้าต้องมีใจที่เที่ยงตรงหรือเปล่า ไม่ว่าเราจะเป็นเด็กหรือเป็นผู้ใหญ่จำเป็นจะต้องมีใจเที่ยงตรงไหม (จำเป็น)  ใจที่เที่ยงตรงนั้นทำอย่างไรจึงจะเกิดขึ้นได้ ใจที่เที่ยงตรงนั้นเราต้องมีเครื่องวัดใช่หรือเปล่า (ใช่)  เครื่องวัดอย่างไร อย่างเช่น แก้วน้ำใบนี้การตั้งของเขาก็เป็นการตั้งที่ลำบากเพราะว่าฐานนั้นไม่ตรง ลงมาเป็นสี่เหลี่ยม มีการคดงอ เพราะฉะนั้นการที่เราจะมองสิ่งนี้เราก็มองให้เป็นตัวอย่างว่าใจของเราไม่ตรงแล้วจะเป็นอย่างไร ถ้าแก้วน้ำวางน้ำไม่ได้เอียงหน่อยก็จะล้ม ยิ่งเราเอียงมากเท่าไรไม่ว่าจะเป็นกุศลของเราและความเป็นตัวของเราเองก็จะสูญเสียไป เช่นแก้วน้ำเมื่อตั้งตรงไม่ได้หมิ่นเหม่เต็มที่นี่คือใจเรา ทุกวันนี้เราทำให้ใจเราเที่ยงได้เหมือนกันแต่เที่ยงได้ประเดี๋ยวประด๋าว ส่วนใหญ่จะเอียงๆ จนน้ำหกใช่ไหม (ใช่)  ในที่สุดแล้วน้ำหกแล้วใครเสีย (ตัวเราเอง)  เราเป็นผู้เสีย เพราะฉะนั้นเราจะต้องประครองใจของเรานั้นให้เที่ยงตรงใช่หรือไม่ (ใช่)  การเที่ยงนั้นต้องเที่ยงตลอดวันหรือเปล่า บำเพ็ญตลอดวันไหมแล้ว เวลาเรานอนต้องเที่ยงไหม (เที่ยง)
พระอาจารย์ : วันนี้ก็จะได้กลับบ้านแล้ว จากสวรรค์ก็จะกลับไปสู่โลกที่วุ่นวายใช่ไหม เขาบอกว่าอยู่สวรรค์สบายอยากกินก็ได้กิน อยากจะได้ผ้าเย็นๆ  ก็มีคนมาส่งให้อีกใช่หรือเปล่า (ใช่)  ตอนนี้เหมือนอยู่สวรรค์หรือยัง (เหมือน)  วันหลังอยากกลับมาอยู่สวรรค์อีกไหม (อยาก)  ถ้าอยากกลับไปอยู่สวรรค์จะต้องทำอย่างไร อยากจะถามว่าคนที่เป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นตายไปถึงเป็นพุทธะหรือว่าเขานั้นอยู่ในโลกก็เป็นพุทธะแล้ว (อยู่ในโลก)  ถ้าวันนี้เราเป็นคนแต่เราทำตัวเหมือนภูติผีปีศาจเที่ยวเบียดเบียนและเที่ยวรังควานคนอื่น เราตายไปเราจะเป็นพุทธะหรือเป็นภูติผี (ภูติผี)  ถ้าวันนี้เราอยู่ในโลกเราทำตัวเหมือนพุทธะแล้วตายไปเราเป็นอะไร (เป็นพุทธะ) ถามว่าพุทธะอยู่บนโลกหรืออยู่บนนิพพาน  พุทธะต้องอยู่บนโลกก่อน คนทำดีถึงได้ไปสวรรค์ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าศิษย์อยากเป็นพุทธะต้องทำอะไร (ทำดี)  ทำดีก็ได้ไปสวรรค์เฉยๆ  ใช่หรือเปล่า แล้วอยากไปสวรรค์หรืออยากไปนิพพาน ถ้าอยู่บนสวรรค์แล้วต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดใหม่ อยากไปไหน (นิพพาน)  แล้วทำอย่างไรถึงได้ไปนิพพาน อยากไปนิพพานทำเท่าคนที่ไปสวรรค์ได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  แสดงว่าไปนิพพานนั้นยากไหม (ยาก)  แต่ว่าเราทำได้หรือเปล่า (ได้)  บางคนเขาบอกว่านิพพานไกลเราไปไม่ถึงหรอก แต่ถามว่าศิษย์เคยลองหรือเปล่า ประการแรกต้องเป็นคนที่ทำดีก่อนใช่หรือเปล่า เราต้องไปสวรรค์ก่อน แล้วเราจะไปนิพพานเราต้องทำถึงขั้นไหน ทำดีธรรมดาได้ไหม (ไม่ได้)  เราต้องการนิพพานที่เหนือสวรรค์เพราะฉะนั้นต้องทำความดีที่เหนือความดีขึ้นไปอีก ทำความดีที่เหนือความดีเป็นอย่างไร บางคนอยากทำดีพอทำดีขึ้นมาแล้วแต่ใจไม่บริสุทธิ์ ถามว่าความดีนี้มีผลไหม (ไม่มี)  ความดีนี้มีผลไม่ใช่ไม่มี คนตักข้าวใส่บาตรพระแต่ว่าไม่เต็มใจให้ได้บุญหรือเปล่า (ไม่ได้)  แน่นอนชาติหน้าเกิดมาประการแรกเกิดมาต้องมีข้าวกิน แต่ถามว่าข้าวที่กินนี้อร่อยไหม (ไม่อร่อย)  คนทำดีทุกคนได้ดี ทุกคนได้ดีแค่ไหนอยู่ที่ใจเราเวลาสร้างใช่หรือไม่ ถ้าเราจะทำดีที่เหนือดีเราก็ต้องทำดีที่ใจ อย่าลืมมาลงแรงที่ใจของเราก่อน ใจที่บริสุทธิ์เท่านั้นจึงจะได้บุญกุศลที่แท้จริง
อาจารย์อยากให้ศิษย์กลับบ้านเร็วๆ  กลับไปเพื่อทำบ้านของเราให้เป็นสวรรค์ดีหรือเปล่า (ดี)  ในสมัยก่อนนั้นการบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญเพื่อกลับไปเป็นพระอริยะนั้นยากแสนยาก โดยการออกไปอยู่ป่าอยู่เขาลำเนาไพร แสวงหาความสงบวิเวกเพื่อให้จิตของตนเองนั้นได้ใสสะอาด แต่ในตอนนี้ถ้าหากว่าเรียกศิษย์ของอาจารย์ออกไปป่าดงพงไพรได้หรือไม่ ก็ไม่อยากไปใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าให้ศิษย์นั้นเอาธรรมะกลับเข้าไปในบ้าน ทำตัวเราให้ดีให้เป็นเทพเหมือนกับเมื่อตอนที่ศิษย์พี่มาแล้วทำให้เรามีความสุขได้ เรากลับไปบ้านก็ทำให้คนในบ้านเรามีความสุขอย่างนี้ที่บ้านเราดีหรือเปล่า (ดี)  บ้านเราก็เป็นบ้านที่ดี หนึ่งคนกลับไปบ้านเราดี สองคนกลับไปบ้านเราดี ทุกๆ  คนกลับไปบ้านเราดีหรือเปล่า (ดี)  ทุกคนกลับไปบ้านเรา บ้านเราเป็นสวรรค์กันแล้ว เราก็รู้สึกว่าเรานั้นทำดีแล้วอย่างนี้เป็นหน้าที่ของคนที่จำเป็นไหม (จำเป็น)
อย่างเช่นวันนี้ตอนเช้าฟังหัวข้อธรรมะอะไรไปบ้าง ความกตัญญูใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฟังเรื่องพระคุณแห่งฟ้า ผู้อาวุโสทั้งหลาย หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าชีวิตของเรานี้เกิดมาในปฐพีนานาสรรพสิ่งโอบอุ้มเราไว้ ไม่ใช่เพียงสิ่งเดียวที่มาโอบอุ้มเรา ไม่ใช่มีแค่พ่อแม่ของเรา ไม่ใช่มีแค่ครูบาอาจารย์ของเรา มีอีกมากมายที่เราติดหนี้บุญคุณ เราจึงต้องกลับไปตอบแทนคุณสิ่งเหล่านั้น แม้ว่าเราทำดีออกไปไม่มีคนรัก ไม่มีคนชอบแล้วก็ไม่มีคนที่ดีใจในความดีของเรา เรายังต้องทำไหม เราก็ยังต้องทำความดีนั้นต่อไป เพื่อเปลี่ยนบ้านเราให้เป็นสวรรค์ เปลี่ยนสังคมและเปลี่ยนโลกนี้เป็นสวรรค์ด้วยตัวของเราเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราจะเรียกร้องให้ผู้อื่นทำดีก่อนแล้วเราค่อยทำได้ไหม (ไม่ได้)  เราเห็นเขาทำชั่วเราก็บอกว่าเขาทำชั่วยังได้ดี เราก็ไปทำชั่วด้วย ในที่สุดแล้วโลกนี้ก็จะมีแต่คนชั่ว เพราะว่าตัวเราซึ่งเป็นคนดีนั้นอยากจะเลียนแบบคนชั่วใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นเราต้องทำดีให้เป็นสิ่งที่ดี และให้คนอื่นมาเลียนแบบเราถูกหรือเปล่า (ถูก)  เพราะฉะนั้นเราลำบากกว่าคนอื่นทนได้ไหม (ได้)  ความลำบากนั้นมีขึ้นบ้างเป็นธรรมดาเหมือนกับความสุข คนมีความสุขก็ไม่ใช่ว่ามีทุกวันใช่หรือเปล่า (ใช่)  ความลำบากในการบำเพ็ญก็ไม่ได้มีทุกวัน เพียงแต่ว่าเมื่อยามที่มีแล้วไม่ว่าจะเป็นสุขหรือทุกข์ให้มีสติที่ตามทัน ให้เอาบทเรียนต่างๆ  มาสอนใจ เมื่อพลาดแล้วไม่ยอมพลาดอีกใช่หรือเปล่า (ใช่)
หลายๆ คนเป็นคนคิดมาก ศิษย์อาจารย์เป็นคนคิดมาก เวลาเราคิดมากจิตใจของเรานั้นก็จะไม่เที่ยง ไม่สามารถตั้งอยู่ตรงกลางได้ เพราะฉะนั้นควรที่จะปรับจิตใจของเราและทุกๆ  สิ่งทุกๆ  อย่างให้มาอยู่ตรงกลาง ทั้งจิตใจของเราเองทั้งการกินอาหาร ทั้งสภาพแวดล้อมและชีวิตประจำวันจะต้องปรับมาให้พอดี บางคนชอบทำเรื่องง่ายแต่ว่าไม่ชอบอยู่ง่ายๆ  ไม่ชอบกินง่ายๆ  ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถามว่าขัดกันเองไหม ขัดกันเอง เพราะฉะนั้นจงอยู่ง่ายๆ  กินง่ายๆ  แล้วความสุขก็จะมีง่ายๆ  ถ้าหากว่ากินอยู่ยากชีวิตนี้ก็ยากไปหมด แล้วความสุขจะมาง่ายหรือเปล่า (ไม่ง่าย)  รู้ว่าชีวิตนี้คือทะเลทุกข์ ชีวิตนี้เกิดมาแล้วมีความทุกข์ก็จงมอบความสุขให้กับผู้อื่น เมื่อรู้ว่าชีวิตนี้เกิดมามีความทุกข์ ศิษย์ก็จงรู้ว่าเราจะทำอย่างไรให้พ้นทุกข์ อาจารย์ถามว่าบำเพ็ญอย่างไร บำเพ็ญคืออะไร แล้วบำเพ็ญ บำเพ็ญอย่างไร สามอย่างนี้อาจารย์ให้การบ้านไปก็กลัวว่าจะไม่ยอมทำการบ้าน เดี๋ยวกลับไปแล้วก็กลับไปเลย เพราะฉะนั้นการการบำเพ็ญคืออะไร (การบำเพ็ญคือการเสียสละ,ศึกษาและลงแรงปฏิบัติ)  การบำเพ็ญก็คือการขัดเกลาจิตใจของเรา จำเป็นไหมที่ต้องไปขัดเกลาจิตใจผู้อื่น (ไม่จำเป็น)  การบำเพ็ญก็คือการซ่อมแซมและขัดเกลาจิตใจของตัวเราเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วบำเพ็ญทำไม (บำเพ็ญเพื่อการหลุดพ้น)  การบำเพ็ญก็เพื่อให้เราหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิดใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนที่ไม่บำเพ็ญประเภทเดียวก็คือคนที่ไม่อยากจะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดถึงไม่ต้องบำเพ็ญ เพราะฉะนั้นบำเพ็ญนั้นศิษย์ทุกคนควรจะทำไหม (ควร)  ถามว่าบำเพ็ญอย่างไร  จริงๆ  แล้วการบำเพ็ญธรรมนั้นพุทธะแต่ละองค์มีสิ่งที่โดดเด่นอยู่ของตนเอง บางองค์เลื่องชื่อในด้านการเสียสละ ศิษย์ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น บางองค์เลื่องชื่อในเรื่องความซื่อสัตย์ ศิษย์ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น ถามว่าใช่ไม่ใช่ว่าท่านเหล่านั้นไม่มีคุณธรรมข้ออื่น (ไม่ใช่)  เพราะฉะนั้นไม่ว่าทำสิ่งใดก็แล้วแต่ กระดาษหนึ่งแผ่นก็ย่อมจะต้องหนึ่งแผ่น ถ้าหากว่าเราทำแค่ครึ่งแผ่นม้วนไปคนกางออกมาก็ปรากฎความจริงออกมาอยู่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)
ตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คนที่อยู่ที่นี่เป็นคนใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นประการแรกของผู้บำเพ็ญธรรมก็คือทำหน้าที่ของคนให้ดีที่สุด หน้าที่ของคนเป็นอย่างไร เราเป็นลูกเราต้องทำอย่างไรกับพ่อแม่ (กตัญญู)  เราเป็นพ่อแม่ต้องทำอย่างไรกับลูก (เลี้ยงดู)  เราเป็นประชาชนต้องทำอย่างไรต่อองค์พระมหากษัตริย์ (จงรักภักดี)  เรามีชาติอยู่เราต้องทำอย่างไร (รักชาติ)  เรามีหน้าที่เป็นคนที่ทำงานหาเงินต้องทำอย่างไรกับเจ้านาย (ซื่อสัตย์)  แล้วเจ้านายต้องทำอย่างไรกับลูกน้อง (เมตตา)  สิ่งเหล่านี้ศิษย์ของอาจารย์รู้ทุกคน หน้าที่ของมนุษย์ทำให้สิ้น จึงจะไปเริ่มหน้าที่แห่งพุทธะใช่หรือเปล่า (ใช่)  หน้าที่แห่งพุทธะก็คือศึกษาธรรมะให้เข้าใจ เข้าใจแล้วต้องปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วต้องให้เกิดผล บางคนนั้นบำเพ็ญธรรมมาหลายปี แต่ไม่เป็นผลอะไรเลย เพราะว่าอะไร เพราะว่าเรานั้นยังไม่รู้จักการปฏิบัติที่สมบูรณ์ ขาดนิดขาดหน่อยก้าวไม่ถึงสักที แต่ดูๆ ภายนอกก็เหมือนถึงแล้ว  อันได้แก่การที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นเป็นอยู่ทุกวันนี้ได้ชื่อว่าคนบำเพ็ญธรรม แต่จิตใจของเรายังสะอาดไม่พอ สิ่งต่างๆ ที่อาจารย์สอนไป ละอารมณ์ก็ละแล้ว แต่ถ้าใครมาแหย่เข้าสุดๆ ก็เป็นอันระเบิด อย่างนี้จะถือว่าเป็นคนที่ไม่มีอารมณ์ ไม่มีกิเลสได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นถามว่าอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน พระองค์อนุตตรธรรมมารดาจะกล้าให้มรรคผลไหม (ไม่กล้า)  เกิดมีเวไนยคนไหนทำให้ศิษย์ตะบะแตกแล้วจะทำอย่างไรใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นการที่เรานั้นเข้าไปสู่การเป็นที่สุดของคน คือเป็นคนที่ดีที่สุดจึงจะสามารถเป็นพุทธะที่ดีที่สุดได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
พุทธะ                คน                    มาร
เราเป็นคนที่อยู่ตรงกลางพุทธะและมารใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นคนที่อยู่ตรงกลางพุทธะและมาร เพราะฉะนั้นคนนี้จะกลายไปเป็นพุทธะได้ไหม และคนนี้จะโน้มเอียงไปทางเป็นมารได้ไหม (ได้)  เพราะฉะนั้นศิษย์จะเลือกอะไร (พุทธะ)  พุทธะและมารที่แท้จริงปรากฎออกเมื่อเรานั้นสิ้นชีวิตแล้วจริงๆ สิ้นชีวิตแล้วพุทธะและมารจะปรากฎเป็นรูปเป็นร่างขึ้น ตอนนี้พุทธะและมารทั้งสอง สวรรค์และนรกทั้งสองยังอยู่ในใจของศิษย์ทุกคน ตราบจนถึงเวลาที่เราตายไปจะขึ้นสวรรค์หรือลงนรก ตอนนั้นก็ค่อยรู้กันใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นตราบเมื่อตายไปพุทธะและมารก็ปรากฎโฉมที่แท้จริง ถามว่าที่เรารู้สึกว่าเรานั้นมีความไม่ดี บางทีก็คิดออกมาไม่ดี บางทีก็คิดออกมาดี ควรไม่ควรที่จริงจังกับเขาได้แล้ว ควรที่จะขจัดเขาอย่างจริงจังหรือว่ารักษาเขาไว้ ได้หรือยัง (ได้แล้ว)  บางคนนั้นคิดดี บางครั้งก็ต้องระวังไว้หน่อย ถ้าคิดชั่วบางครั้งก็ยังพอมีโอกาสใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นสามอย่างนี้เราเป็นคนที่อยู่ตรงกลาง จึงต้องเป็นผู้เลือกใช่หรือเปล่า (ใช่)  แน่นอนทุกคนมีชะตาชีวิตเป็นของตนเอง ชะตาขึ้นหรือชะตาลงก็ขึ้นอยู่กับกฎแห่งกรรม ขึ้นอยู่กับบาปกรรมที่เคยทำมา ความดีที่เคยทำมา ความดีความชั่วที่เคยทำมาเปลี่ยนไม่ได้ แต่วันนี้เราจะเป็นคนชั่วหรือคนดีเปลี่ยนได้ไหม (ได้)  ถามว่าศิษย์นั้นก้าวผิดมาตลอดเลยสิบก้าว  แต่ก้าวที่สิบเอ็ดนี้จะก้าวดีไม่ดีอยู่ที่ใคร อยู่ที่ตัวเราเอง  ถ้าเราได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนไม่ดี แต่เราเพิ่งจะเริ่มก้าวขึ้นมาเป็นคนดีต้องอาศัยเวลาไหม (อาศัย)  ถ้าเราเป็นคนดีอยู่แล้ว เราก็ทำให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปดีหรือไม่ (ดี)  เพราะฉะนั้นชีวิตนี้ขึ้นอยู่กับศิษย์เอง แม้อาจารย์จะช่วยในการที่ถอนชื่อศิษย์ออกจากนรกหมดสิ้น แต่หากศิษย์บรรจงมือเขียนลงไปอีกรอบหนึ่ง จะมีใครถอนออกได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นดีชั่วอยู่ที่ตัวเรา ไม่ใช่อยู่ที่ผู้อื่น อย่าโทษผู้อื่นเวลาที่เราทำไม่ดี อย่าโทษตัวเราเองว่าเรานั้นโง่แล้วก็ไม่มีสติปัญญา ศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คนนั้นเป็นคนที่มีโอกาสทั้งสิ้น เหมือนกับคำสุภาษิตของจีนบทหนึ่งที่พูดไว้ว่า “คนโง่คิดสิบครั้ง อาจจะเกิดความถูกต้องขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง แต่คนฉลาดคิดสิบครั้ง อาจจะเกิดความผิดพลาดขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง” ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเป็นมนุษย์แล้วต้องอย่ามีความเชื่อมั่นมากจนกระทั่งมองไม่เห็นผู้อื่น เพราะว่าสิ่งนี้เรียกว่าอัตตา มันหนักยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ที่หนัก เราสามารถอุ้มก้อนหินที่หนักที่สุดก้อนหนึ่งขึ้นมาได้ แต่ไม่สามารถยกตัวเราขึ้นให้ลอยขึ้นมาได้ใช่หรือไม่ (ใช่)   เพราะว่าตัวเรานั้นมีอยู่สิ่งหนึ่งที่เรียกว่าอัตตานั้นเอง เข้าใจไหม (เข้าใจ)  อยากเป็นพุทธะต้องระวางอัตตาก่อน
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ประคองใจไว้ให้เที่ยงตรง)  คนฉลาดคิดสิบครั้งมีพลาดครั้งหนึ่งใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าไม่มีข้อผิดพลาดไหนเลยจะรู้ถึงว่ามันถูกเป็นอย่างไรใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นสิ่งที่สอนใจเรา ทำไมถึงต้องประคองใจไว้ให้เที่ยงตรง อาจารย์บอกแล้วว่าการที่ใจของเรานั้นเที่ยงสำคัญต่อศิษย์ทุกคน ทุกนิสัยทุกคนทุกวัยอาชีพ  ไม่ว่าศิษย์นั้นจะเป็นคนที่บำเพ็ญเป็นคนที่ไม่บำเพ็ญก็ล้วนสำคัญทั้งสิ้น คนที่จิตใจไม่เที่ยงตรงมากๆ มากไปทางด้านแย่ ก็ออกมาเป็นคนที่เห็นแก่ตน มากไปทางด้านดี เป็นคนที่ไม่มีปัญญา เพราะฉะนั้นใจของเราต้องเที่ยงไว้เสอดๆ เพื่อให้เรานั้นมองทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างเที่ยงตรง ความเที่ยงตรงไม่มีความรักไม่มีความชัง เราไม่เคยชังใครเพราะฉะนั้นเราก็จะไม่รักใครให้เกินไป
อาจารย์หวังว่าหลังจากจบสองวันนี้ ศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คนนั้น จะตั้งใจศึกษาบำเพ็ญธรรมดีหรือไม่ (ดี)  ตอนนี้รู้ว่าบำเพ็ญคืออะไรแล้ว เพราะฉะนั้นคงจะไม่งงถ้ามีคนเขาบอกว่ามาบำเพ็ญธรรมกัน งงไหมทีนี้ (ไม่งง)  เวลานั้นเป็นสิ่งที่ล่วงเลยแล้วไม่มีสิ่งใดยั้งไว้ได้ เสมือนตอนนี้อาจารย์หวังว่าศิษย์ทุกๆ คนนั้นคงจะมีความเข้มแข็งที่จะต่อสู้ทั้งปัญหาชีวิต ปัญหาอุปสรรค หวังว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกคนจะมีอนาคตที่แจ่มใส เพราะว่าเรานั้นปูอนาคตของเราไว้ดี วันหน้ามาสถานธรรมอีกไหม (มา)  ต้องให้คนอื่นไปเรียกรบเร้าไหม (ไม่ต้อง)  ธรรมะจะมีค่าถ้าศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คนได้เอาธรรมะต่างๆ มาทำ ธรรมะจะไม่มีค่าก็เพราะว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่เห็นค่าและไม่เคยทำ
ตอนนี้เภทภัยมาเยอะ เราอย่าตื่นเต้น คนดีแม้แต่ผียังคุ้มครอง กลัวอะไรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่คุ้มครองใช่ไหม (ใช่)  นอกจากว่าศิษย์ของอาจารย์จะไม่ใช่คนดีเท่านั้นถึงจะกลัวภัยใช่หรือเปล่า (ใช่)  แม้ไม่เจอภัยภายนอก ก็เจอภัยใจตนเอง แม้ไม่เจอภัยใจตนเองก็ยังต้องเจอการเกิดและการตาย อันเป็นภัยใหญ่ที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นภัยต่างๆ ที่เกิดขึ้น ตอนนี้ขาเราเริ่มเจ็บแล้ว หัวเริ่มปวดแล้ว หลังเริ่มเจ็บแล้ว ก็ควรจะรู้ว่าร่างกายบอกว่าเราแก่แล้ว เราก็ควรจะทำอะไรให้มีคุณค่ากับชีวิต ขาเราเริ่มไม่ดีแล้ว แสดงว่ามีสิ่งที่เตือนเราว่าเราควรที่จะรีบเร่งได้แล้ว ก่อนที่ขาเราจะไม่มีแรงเดินใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอให้คิดได้อย่างนี้เสมอๆ
หมดเวลาที่อาจารย์นั้นจะดึงดันอยู่ต่อไป ศิษย์ทุกๆ คนนั้นเป็นผู้มีบุญ เปรียบไปแล้วก็เป็นผู้ที่ฝึกบำเพ็ญเป็นพุทธะแล้วรู้จักตนเองให้มากหน่อยดีไหม ตั้งใจบำเพ็ญให้ดีๆ ดีหรือไม่ (ดี)  วันนี้ดูแปลกหน้าหวังว่าวันหน้าคงจะไม่เป็นเช่นนี้ เราจะเป็นคนกันเองที่สนิทสนม อาจารย์เป็นพุทธะ ศิษย์ของอาจารย์ก็เป็นพุทธะ ก้าวตามอาจารย์มาดีหรือเปล่า (ดี)  ทุกคนต่อให้มีเพชรอยู่ในมือ แต่ไม่รู้ค่าของเพชรก็เท่านั้น ธรรมะดีอยู่ในใจไม่นำออกมาปฏิบัติก็เท่านั้น  หวังว่าศิษย์ทุกๆ คนจะเข้าใจความหมาย  รักษาโอกาสของตนเองให้ดี และรักษาตนเองนั้นให้อยู่รอดปลอดภัย สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายจะไม่มากล้ำกลาย ถ้าศิษย์ของอาจารย์ไม่ไปโอบรับเข้ามา ขออวยพรให้ศิษย์ทุกคนนั้นจงเป็นคนใหม่ จงเป็นคนที่ประเสริฐ จงเป็นที่รักของฟ้าและดิน วันหน้าเจอกันใหม่ อย่าทำให้อาจารย์ผิดหวัง


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ประคองใจไว้ให้เที่ยงตรง”
                บุปผาบานประจักษ์สีถนัดตา            อริยากลัวเหตุจึงเข้มงวดตน
การรู้พอจะได้สุขเหลือล้น   ฝึกอดทนจะงดงามดังเมธี
หนึ่งชีพเกิดมาแล้วยากจะพัก           บ้างยากแลบ้างง่ายปวงปัญหา
ถ้าแม้เหนื่อยไม่ควรลืมสร้างคุณค่า    เพราะเวลาไม่เคยที่จะคอยใคร
สิ่งสำคัญต้องเป็นคนมีใจเที่ยง          ดุจตาชั่งไม่ลำเอียงข้างหนึ่งได้
เมื่อฤทัยไม่เอียงจะไร้ภัย    วาระสามฝึกจิตเพียรอย่าทิ้ง
เวลานี้น้อยคนจะตระหนัก    ที่ให้มีใจเที่ยงรักษ์ทุกสิ่ง
ผู้บังเกิดทุกข์หนักบ้างแย่งชิง           ใจคดเมื่อบำเพ็ญยิ่งก้าวยากเย็น

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา