วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541

2541-11-28 พุทธสถานสกุลหง (อิ๋งเต๋อ) จ.ชัยนาท


PDF 2541-11-28-อิ๋งเต๋อ #25.pdf

#บำเพ็ญภายนอก  #บำเพ็ญกาย  #บำเพ็ญวาจา  #บำเพ็ญใจ  #ปฏิบัติธรรม


วันเสาร์ที่ ๒๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๑ พุทธสถานสกุลหง จ.ชัยนาท


สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ


ชนกลุ่มใดไร้ธรรมะย่อมตกต่ำ ใส่ใจจำฝึกคุณธรรมออกจากจิต


อันอัตตารู้ละวางมิยึดติด อันความคิดต้องกว้างไกลดั่งฟ้างาม


เราคือ


องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก


พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล


องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ


ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา


ด้วยวันนี้เป็นฤกษ์ดีลงเสาหลัก ขอให้รักษ์หลักในกายอันล้ำค่า


นอกกายล้วนสิ่งสมมติภาพลวงตา อันคุณค่าแท้จริงอยู่ภายใน


จิตเป็นหลักแห่งกายนี้สร้างคุณงาม ไม่เดินตามเหล่ากิเลสอวิชชา


จงรู้แท้รู้เท็จรอบกายา หนึ่งชีวาสร้างคุณค่าเต็มกำลัง


ชีพโลดแล่นดั่งลูกคลื่นมิหยุดหย่อน หยุดคิดก่อนก้าวขึ้นเรือคืนสู่ฝั่ง


นับจากอดีตมิมีใครชีพอยู่ยั้ง ก่อนผุพังรู้ทางกลับนับว่าประเสริฐ


ในยุคขาวให้บำเพ็ญดั่งสามัญ จงขยันย้อนมองจิตแลแก้ไข


ขอให้มีหนึ่งใจในหนึ่งกาย รักสบายให้แต่ทุกข์เดินทางวน


จงเห็นแท้ชีวิตนี้ต้องแก่เฒ่า ก่อนจะก้าวจนสุดสายเร่งเถิดหนา


ร้อยปีผ่านกลับคืนบ้านทันเวลา อย่าเวียนว่ายวัฏสงสารนาต้องช้ำใจ


บำเพ็ญธรรมฟื้นฟูจิตญาณเดิมแท้ รู้เปลี่ยนแปรผิดเป็นถูกอย่างแน่ใจ


ยุคสามนี้ศึกษาธรรมต้องเปิดใจ แลตั้งใจปฏิบัติจริงสร้างผลงาน


ในวันนี้สู่สถานฟังธรรมะ ตั้งสัจจะขอให้จบสองวันถ้วน


กลับออกไปปฏิบัติมิเรรวน อย่างสมควรกิริยางามผู้บำเพ็ญ


ขอชาตินี้บำเพ็ญให้คืนกลับ รู้จักรับความคิดเห็นคนส่วนใหญ่


คุณธรรมเป็นสิ่งที่ออกจากใจ ลงแรงได้ที่ใจตนให้เพียงพอ


ขอตั้งใจพี่คุมชั้นบันทึกคะแนน จงรักษาพุทธระเบียบเคร่งครัดเทอญ





ฮวา ฮวา หยุด










วันเสาร์ที่ ๒๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๑


พระโอวาทท่านไคลู่เซียนฟง


ยินสำเนียงเสียงนานารายรอบกาย มิยินเสียงลมหายใจแห่งตนนี้


เพียงหันมาฟังสำเนียงแห่งชีวี ทุกนาทีลมหายใจสร้างคุณงาม


เราคือ


ไคลู่เซียนฟง ( ) รับบัญชาจาก


พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ แฝงกายกราบ


พระอนุตตรธรรมมารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านสบายดีไหม


มีจุดหมายความสำเร็จเกิดขึ้นจริง หนึ่งในสิ่งสำคัญการบรรลุข้าม


คือการขัดเกลาคือบำเพ็ญยิ่งงดงาม อุปสรรคถามบ้างยิ่งเพียรเบาทวี


ฝึกเมตตาตนเริ่มเพราะกำหนดได้ บ้างขุ่นบ้างใสใจตนนี้


การอภัยนับวันขาดจากโลกีย์ ฤทัยที่ขุ่นหนักเพราะไปทรุดโทรม


คุมกายใจให้ทำทุกเวลา ใจรักษามั่นคงฝ่าคลื่นถาโถม


ผู้เคยล้มตื่นก้าวสุทธาชม ไม่ระทมมรสุมชีวิตข้ามเย็นใจ


บำเพ็ญจนโลกีย์สิ้นพ้นคืนบ้าน เมื่อต้องการไม่ลุ่มหลงต้องขวนขวาย


อารมณ์เราเกิดโดยกายควบคุมใจ ประมาทตั้งข้องจิตใจร้อนชีวา


ฮิ ฮิ หยุด






เมื่อก่อนเก่าคนมีน้ำใจ แต่ยามนี้ไยเจอแต่ในฝัน เมาอำนาจสูงนั้นกลางจิตญาณเจ็บจนระบม สร้างปวงเหตุจำทุกข์ใจ จิตเดิมหายไป กินสุกกลายขม ใช้พินิจคลายระบม มิเศร้ามิตรม ทุกข์ช่างสอนใจ


ดอกไม้แสนสวยมิทน สังขารมิพ้นคดงอเพ้อหน่าย ถึงเหนื่อยจนอย่างไร ใจมิท้อเลย วันหนึ่งหนึ่ง ถูกโลกพัดเชย ต่างชินและเคยเฝ้าวาดคาดหวัง บำเพ็ญสิ้นภวังค์ รู้ก่อนรู้หลังตั้งจิตของตน


เพลง : รู้ก่อนรู้หลัง


ทำนองเพลง : ฝันรัก


















พระโอวาทท่านไคลู่เซียนฟง


ถ้าผู้อื่นมีเรื่องน่ายินดี มีความสุข เราควรมีใจร่วมยินดีด้วย แต่ถ้ามีเรื่องทุกข์แล้วเราเอาตัวรอดก็ถือว่าเป็นคนใจร้าย การอยู่ร่วมกันเราก็ต้องมีน้ำใจต่อกัน เรื่องยินดีเรายังอยากจะไปร่วมยินดีกับเขา เรื่องทุกข์เราก็ต้องพร้อมที่จะไปช่วยกันแก้ไขปรับทุกข์ให้กันใช่หรือไม่ (ใช่)


เราจะนั่งฟังอะไรให้รู้เรื่องได้นั้นเราต้องตั้งใจหรือใจเราต้องสงบนิ่ง ถ้าใจเราสงบนิ่งเราก็มองเห็นพัดลมได้ว่าพัดลมที่กำลังหมุนนี้มีกี่ใบพัด หาความสงบสุขท่ามกลางความวุ่นวายได้ นอกจากใจเราสงบนิ่งแล้วมนุษย์เรายังต้องใช้ปัญญาให้เป็นด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นวันนี้อยากฟังรู้เรื่อง ใจเราต้องสงบก่อน แล้วก็ตามมาด้วยปัญญาที่รู้จักคิดและแยกแยะเป็นถึงจะฟังรู้เรื่องและก็เข้าใจได้ แต่ถ้าวันนี้เราฟังไม่รู้เรื่องก็ต้องถามตัวเราก่อนว่าใจสงบหรือมัวคิดถึงข้างนอก คิดถึงลูกหรือกังวลเรื่องงานหรือเปล่า


"ยินสำเนียงเสียงนานารายรอบกาย มิยินเสียงลมหายใจแห่งตนนี้" ถ้าใจเรามัวแต่จดจ่อฟังแต่เสียงข้างนอก เราเคยได้ยินเสียงลมหายใจเราไหม ก็ไม่เคยได้ยินใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเมื่อไรใจเราสงบนิ่งแม้ลมหายใจเข้าออกเพียงนิดเราก็ได้ยิน แต่ถ้าตอนนี้ท่านนั่งอยู่ที่นี่ แต่ใจไม่ได้ยินเสียงแม้ลมหายใจเข้าออกก็แปลว่าใจเราไม่ได้อยู่กับตัวของเราใช่หรือไม่ (ใช่)


ปกติเราอยู่บนโลกนั้น หู ตา จมูก ปาก แล้วก็ตัวเรามักได้ยินและก็รับเรื่องแต่โลกภายนอก ถ้าโลกภายนอกขึ้นใจท่านก็ขึ้น โลกภายนอกลงท่านก็ตกตาม แต่น้อยคนนักที่จะหันกลับมามองตัวตนเองแล้วถามตนเองว่า ตั้งแต่มีชีวิตมาเคยสร้างคุณค่าหรือสิ่งดีงามให้กับตนเองบ้างหรือยัง ทุกวันนี้เรามักจะเบนไปตามกระแสโลก โลกเป็นอย่างไรฉันก็เป็นตามโลก โลกเราตอนนี้ยาบ้ากำลังเยอะ ฉันก็บ้าไปตามโลกด้วยหรือเปล่า (เปล่า) อย่าเป็นเลยคนบ้า มีเรื่องดีใจก็หัวเราะ มีเรื่องเสียใจก็ร้องไห้ คนที่หัวเราะหรือร้องไห้จนเกินไป ทำใจไม่ได้ก็เรียกว่าคนบ้า ซึ่งตัวเรามักเป็นบ่อยๆ เพราะทำใจไม่ค่อยได้กันสักที


สิงโตในความหมายของคนจีนแปลว่าเป็นสิ่งที่มงคล เวลาเราอยู่กับใครเราก็อยากได้ของมงคล แล้วเราก็อยากเป็นคนที่เป็นมงคลแก่คนอื่น ไม่มีใครอยากให้เขาบอกว่าเราอัปมงคล ใช่หรือเปล่า (ใช่) อยากเป็นคนที่ดีและก็นำแต่สิ่งที่ดีมาให้คนอื่น


ทุกคนชอบผู้ที่มีคุณธรรม มีธรรมะ แต่ต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน ความเมตตา ความเห็นใจผู้อื่น รู้จักทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ และดีที่สุดด้วย แต่คนปัจจุบันนั้นหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ คนๆ หนึ่งเวลาเขาอยู่ในครอบครัวก็ไม่ค่อยจะสนใจพ่อแม่ พอมาอยู่ข้างนอกเจอคนที่สูงกว่า เขาก็บอกว่าสวัสดี ถ้าเจอคนที่อยู่น้อยกว่าเขาจะมีความรักไหม (ไม่มี) ปัจจุบันคนส่วนมากจะเป็นเช่นนี้ คุณธรรมมักจะไม่ค่อยสนใจแม้จะไม่ทำให้สังคมเดือดร้อนวุ่นวายแต่เขาไปอยู่กับใครเขาก็ไม่มีความสุขและคนอื่นก็ไม่มีความสุขเมื่ออยู่กับเขา เป็นเพราะเขาขาดอะไร (ขาดคุณธรรม) ขาดคุณธรรมที่ดีที่ควรจะนำไปใช้ในชีวิต ถ้าคนทุกๆ คนรู้จักนำคุณธรรมมาใช้ในชีวิต ในการอยู่ร่วมกับคนอื่น แม้จะไม่ทำความวุ่นวายให้กับใคร แต่ก็ย่อมนำความผาสุกและความร่มเย็นมาสู่คนนั้นได้ เหมือนท่านมีของสิ่งหนึ่งตั้งอยู่บนบ้าน สิ่งนี้ไม่มีประโยชน์แล้วก็ไม่มีโทษ ท่านจะทำอย่างไรกับของสิ่งนี้ (วางไว้เฉยๆ ) ถ้ามีที่ให้วางท่านก็คงวางไว้เฉยๆ แต่ถ้าของนั้นตั้งอยู่นานๆ บ้างก็ให้คนอื่นเสีย เผื่อจะมีประโยชน์กับเขา บางคนก็ปัดทิ้งหรือโยนลงถังขยะ เราก็ไม่อยากเป็นแบบนั้นใช่หรือไม่ (ใช่) เราก็ไม่อยากเป็นของจุกจิกไม่มีคุณค่าในตนเอง เพราะมนุษย์ทุกคนมีความรู้ความสามารถและมีประโยชน์ต่างกัน สร้างคุณธรรมและประโยชน์ต่อสังคมแม้เพียงน้อยนิดแต่ถ้าทำได้ก็ควรจะทำ ของบางอย่างดูเหมือนไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าเติมประโยชน์ให้เขานิดหนึ่งก็กลายเป็นของที่มีประโยชน์ และควรจะตั้งอยู่ได้ตลอดไป ฉะนั้นเป็นมนุษย์อย่ามีประโยชน์เพียงแค่ตนเอง แต่ยังต้องมีประโยชน์เพื่อคนอื่นด้วย ถึงจะสามารถตั้งอยู่ได้ทุกๆ ที่ ไม่ใช่ตั้งอยู่ในบ้านตนเองได้บ้านเดียวแต่ตั้งบ้านอื่นไม่ได้ อย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งใดล่ะทำให้เรามีประโยชน์ ก็คือคุณธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)


หากเรามีจุดมุ่งหมายที่จะทำ มีหรือความสำเร็จจะไม่เกิดขึ้น หากเรามีความตั้งใจว่าจะมีคุณธรรม มีหรือคุณธรรมจะไม่มีในตัวเรา ขอเพียงว่าตนเองมีความตั้งใจและมุ่งมั่น แต่บางครั้งความตั้งใจกับความมุ่งมั่นก็อาจไม่เกิดผลสำเร็จถ้าขาดความอดทน เมื่อคนเรามีความตั้งใจเกิดขึ้นหรือมุ่งมั่นจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เป็นธรรมดาที่จะต้องเจออุปสรรค เจอความยากลำบาก แต่ก็มีสำนวนของอุปสรรคกล่าวไว้ว่า "คนเรามีชีวิต ถ้าอุปสรรคไม่มี บารมีย่อมไม่เกิด" คนที่ผ่านอุปสรรคผ่านความยากลำบากได้ล้วนเป็นที่นับหน้าถือตาของคนอื่น ส่วนคนที่สบายมาตลอดชีวิต ไม่มีใครนับถือเขา ไม่มีใครอยากนำแบบอย่างของเขามาเป็นที่ยกย่อง แต่คนที่ผ่านมาแล้วร้อยแปดพันหนาว กลับเป็นแบบอย่างที่ดี น่ายกย่องด้วยซ้ำไป ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าผ่านมาร้อยแปดพันหนาว แต่ล้มลุกคลุกคลานแล้วก็ทำในทางที่ไม่ถูก ก็ไม่น่ายกย่อง แต่ยังต้องมีกรอบ กรอบในการเดินป่าของการเป็นคนดีผ่านอุปสรรคนานา นั่นก็คือคุณธรรมและความอดทน แล้วยังมีอะไรอีก ซึ่งจะทำให้เราเดินไปถึงจุดหมายโดยไม่ผิดจากการเป็นคนมุ่งมั่นในการทำความดี (ความวิริยะ อุตสาหะ) นอกจากความวิริยะอุตสาหะแล้ว ก็ต้องรู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักละอายและรู้จักว่าอะไรถูกอะไรผิด รู้จักศีลธรรม และรู้จักแบบแผนจารีตอันดีงามของสังคม เขาก็จะสามารถเดินไปได้โดยไม่กระทบกระทั่งใคร ไม่เบียดบังใคร ไม่ทำร้ายใคร และความตั้งใจในจุดมุ่งหมายของเขาย่อมประสบผลสำเร็จ แล้วเดินไปได้อย่างเที่ยงธรรมและเที่ยงตรง ฟังแล้วง่ายไหม (ง่าย)


แต่มนุษย์มักไม่ชอบปูทางเรียบให้กับตน มนุษย์ชอบลุ่มๆ ดอนๆ ชอบเดินทางเบี่ยง ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลานกบินต้องบินสูงแล้วก็ตรง มีนกที่ไหนบ้างบินต่ำๆ แล้วก็คดไปเคี้ยวมามีไหม (ไม่มี) นกบินสูงแล้วก็ตรง เป็นจุดมุ่งหมายที่ดีในการเดินทาง แต่คนเรามีชีวิตอยู่บนบก แต่กลับตกต่ำแล้วก็คดงอ คนที่ดำรงชีวิตได้อย่างสูงส่ง เที่ยงธรรมและเที่ยงตรง หาได้ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกคนต่างมีจุดมุ่งหมายและความตั้งใจที่แตกต่างกันออกไป แต่มีน้อยคนที่จะไปให้ถึงจุดมุ่งหมายที่สูงส่ง เที่ยงตรงและเที่ยงธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) จึงบอกว่าสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ แต่วีรบุรุษก็สามารถสร้างสถานการณ์ได้ บางคนบอกว่าเราไม่มีโอกาสที่จะเป็นคนดีได้ แต่จริงๆ แล้วเราสามารถสร้างคุณค่าความดีของตนให้คนอื่นเห็นได้ อยู่ที่ว่าเรามีใจสละไหม เรายอมเขาได้หรือเปล่า บางคนสละได้แต่ยอมไม่ลง บางคนสละยาก และก็ยอมยาก จึงไปไม่ถึงซึ่งการกระทำเป็นคนดี ไปไม่ถึงความสูงส่งแล้วก็เที่ยงธรรม ใช่ไหม (ใช่)


วันนี้มาฟังธรรมะทำให้ท่านได้รู้อีกว่า ตัวเรานั้นมีความเป็นพุทธะอยู่ในตนเอง มีความเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตนเอง แต่เรามักจะไม่ค่อยเชื่อใช่ไหม เราคิดว่าตัวเรานั้นหรือจะมีความเป็นพุทธะ จะมีสิ่งล้ำค่าที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านเคยเห็นทุเรียนไหม ถ้าไม่มีคนบอกท่านว่าในทุเรียนนั้นมีเนื้ออันเหลืองและหอมและหวาน เราก็ไม่อยากจับ เพราะจับตรงไหนก็เจ็บและก็ได้แผล แต่ถ้ามีคนบอกท่านว่าในทุเรียนมีเนื้อที่หอมและน่ากินเราจะเชื่อเขาได้ก็ต้องแกะออกดู ใช่หรือไม่ (ใช่)


มีคำกล่าวไว้ว่า "น้ำทะเลนั้นดูมากมายมหาศาล ยากจะเอาถ้วยตวงมาวัด หรือเอาเครื่องมาชั่งได้” บุคคลคนหนึ่งเรายากที่จะรู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไร ถ้าเรามองเพียงภายนอก เราก็ยากจะรู้ถึงแก่นแท้ภายในว่าเขาเป็นคนเช่นไร เรื่องราวในโลกนี้ก็เฉกเช่นเดียวกัน เราจะใช้สายตาของเรามองแค่เพียงเปลือกนอกแล้ววัดคุณค่าของคน หรือของเรื่องราวในโลกนี้ไม่ได้ แต่เราต้องใช้สายตาและปัญญาอันฉลาดหลักแหลมของตัวเรามองทะลุถึงเปลือกนอกอันจอมปลอมนี้ แล้วมองให้เห็นเนื้อในที่แท้จริงถึงจะรู้ว่าจริงๆ แล้ว ของสิ่งนั้น หรือเรื่องราวนั้น มีแก่นแท้ความเป็นจริงเช่นไร


เรื่องราวในโลกนี้หรือสิ่งที่ท่านได้ฟังวันนี้ก็เฉกเช่นเดียวกัน อย่ามองเพียงแค่ตัวเราเองเท่านั้น แต่เราต้องมองให้ลึกๆ ถึงความเป็นจริง และใช้ปัญญาที่เราเคยได้เรียนรู้ ประสบการณ์ที่ได้ศึกษามา พระพุทธองค์ก็เป็นคนที่ธรรมดาคนหนึ่งเหมือนกัน แต่ท่านทำอย่างไร ท่านถึงสามารถเป็นพุทธะ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ ที่เหมือนกับเราก็คือ ท่านก็เป็นคนๆ หนึ่ง พระโพธิสัตว์กวนอิน ก็คือคนๆ หนึ่ง ท่านเว่ยหลางก็เป็นคนสามัญคนหนึ่ง ทั้งยังไม่มีความรู้ในการอ่านหนังสือ ทำไมถึงบรรลุได้ อยู่ที่ว่าเราจะเปิดจะลองค้นคว้าดูหรือไม่ ใช่หรือไม่ (ใช่) การจะเปิดใจแล้วจะค้นคว้าเพื่อจะค้นหาความเป็นจริงหรือความเป็นพุทธะในตนได้ ต้องรู้จักนำคุณธรรมมาใช้ ขัดเกลา และบ่มเพาะจิตใจของเรา ให้ฟื้นฟูความเป็นพุทธะให้จงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นทุกท่านก็เป็นได้ และอยู่ที่ว่าอย่ามองเพียงแค่ติดเปลือกภายนอก


บางคนก็พูดว่า การฝึกฝนเป็นพุทธะและการดำเนินชีวิตแบบพุทธะเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ ตัวเราเล็กเหมือนมดจะทำอะไรได้ แต่ท่านเคยเห็นมดไหม มดแบกอาหารชิ้นใหญ่กว่าตัวเองตั้งเท่าหรือสองเท่า พอลมพัดมาทีก็โยกที แต่เขามีความมุ่งมั่นที่จะแบกและก็กลับไปให้ถึงรังได้ ในเมื่อมดยังทำได้คนตัวนิดเดียวมีหรือจะทำไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)


มนุษย์ทุกคนมีความสามารถแตกต่างกันออกไป ขอเพียงมีจุดมุ่งหมาย มีความมุ่งมั่นและตั้งใจจริง อดทนฟันฝ่าไปให้จนได้ มีหรือเรื่องใหญ่ๆ เราจะทำไม่ได้ มือเราสามารถสร้างสรรค์ สามารถซื้อบ้านได้หนึ่งหลัง สามารถมีเงินมีทองมากเกินจะแบก แล้วนับประสาอะไรกับการฝึกฝนเป็นพุทธะ นำความเป็นพุทธะมาสู่ตัวเรา ซึ่งเป็นเรื่องนิดเดียวเองก็ย่อมทำได้ อยู่ที่ว่าเรามุ่งมั่นไหม เราตั้งใจไหม การเป็นคนดีแล้วไปให้ถึงซึ่งความดี แล้วหมั่นขัดเกลาตนเอง ถ้าเกิดตนเองมีสิ่งใดที่ผิดพลาด รู้จักแก้ไข รู้จักขัดเกลา คนนั้นก็คือผู้บำเพ็ญและฝึกฝนเป็นพุทธะ มีเวลาทำได้หรือเปล่า (ได้) แค่นี้หนักเกินไปหรือไม่ (ไม่หนัก) ถ้าใครบอกว่าหนัก ก็สู้ไม่ได้แม้แต่มดตัวเล็กๆ เราไม่ได้ว่าท่านแต่เราต้องให้ธรรมชาติมาสอนท่าน เพราะหลายๆ ครั้งถ้าเรารู้จักมองให้ดี ธรรมชาติก็สอนชีวิตเราได้ แต่มนุษย์มักจะทำลายความเป็นธรรมชาติ เพื่อให้ได้มาซึ่งชีวิต อย่างนั้นก็ไม่ถูกใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเราทำลายธรรมชาติ ชีวิตของเรายากจะสมบูรณ์ และยากจะเจอในสิ่งดีงาม


ความเป็นพุทธะไม่มีแบ่งแยกชายหญิง และแท้จริงจิตญาณของเราก็ไม่มีแบ่งแยกว่าแก่เฒ่า ดีหรือรวย คนที่แบ่งแยกและคนที่รู้สึกว่าตนเองแก่เฒ่า ก็คือตัวเราต่างหาก จริงๆ แล้วพุทธจิตธรรมญาณไม่มีคำว่าแก่ ฉะนั้นอยากเข้าให้ถึงพุทธะแล้วตัวเองจะได้ไม่แก่ก็ต้องรีบหน่อยดีไหม (ดี) สาวสองพันปีหรือหนุ่มห้าพันปีก็ขึ้นอยู่ที่จิตใจเขา แม้คนอื่นจะบอกว่าเขาแก่ แต่จิตใจของเขาไม่เคยแก่ บางคนบอกว่าดูเธอช่างอ่อนแอแต่ใจเราเข้มแข็ง กายก็ไม่มีผลต่อใจเรา ถ้าอยากให้เรามีชีวิตที่เข้มแข็งมีชีวิตที่ดีงามก็ขึ้นอยู่ที่ใจตรงนี้จะนำพาตนเองไปทิศทางใด ใช่หรือไม่ (ใช่)


เวลามีสถานการณ์อะไรเราจะต้องรู้จักตั้งรับให้ดีๆ เตรียมพร้อมอยู่ทุกโอกาสทุกสถานการณ์ เวลามีเรื่องราวใดมาเราก็ตั้งรับได้ทัน แต่บางครั้งถ้ามีเรื่องราวใดมา ก่อนที่จะไปโทษคนอื่นเราต้องสำรวจตัวเองก่อนว่าเราเป็นผู้สร้างเหตุการณ์ให้เกิดขึ้นหรือไม่ เรื่องราวในโลกนี้บางครั้งทำไมเราต้องเจออุปสรรคบ่อยๆ ทำไมเราต้องเจอสิ่งที่ขัดใจบ่อยๆ เราต้องย้อนถามตนเองว่าตัวเราทำอะไรผิดหรือเปล่า มีข้อบกพร่องอะไรหรือไม่ จึงเจอเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แก้ไม่ได้สักทีใช่ไหม (ใช่) มนุษย์ทุกคนไม่มีใครดีโดยไม่มีข้อผิดพลาด แล้วก็ไม่มีใครมีแต่ข้อผิดพลาดโดยปราศจากดี แต่เราก็ต้องรู้ด้วยว่าถ้าเรามีข้อผิดพลาดเยอะ หากเราเป็นผู้มีปัญญา เราก็ต้องรู้จักนำข้อดีของคนอื่นมาเสริมข้อบกพร่องให้กับตนเอง นั่นก็คือนำแบบอย่างที่ดีของคนอื่นมาน้อมนำแล้วประพฤติตาม และสิ่งใดที่เป็นข้อผิดพลาดของตนเองก็ต้องรีบแก้ไข ใช่หรือเปล่า (ใช่) คำที่เราพูดไปเมื่อสักครู่ก็สามารถเอาไปใช้เมื่ออยู่ร่วมกับคนอื่น เพราะบ่อยครั้งที่เราอยู่ร่วมกับคนอื่นจะว่าเขาไม่มีดีเลยก็เป็นไปไม่ได้ คนหนึ่งคนต้องมีทั้งดีและไม่ดี ฉะนั้นอยู่ร่วมกับคนอื่นก็ใช้คำๆ นี้สอนใจเราว่าเป็นธรรมดา ตัวเรายังดีบ้างไม่ดีบ้าง เขาก็เหมือนกัน คือมีดีบ้างไม่ดีบ้างใช่หรือไม่ ดอกไม้ยังมีแมลงมารบกวน ต้นไม้สูงใหญ่เพียงใดก็มีเถาวัลย์ลดเลี้ยวไปรังควานได้ หินแม้จะแข็งแกร่งเพียงใดยังมีตะไคร่ แล้วนับประสาอะไรกับคนจะมีข้อบกพร่องบ้าง จะมีข้อผิดพลาดบ้างใช่หรือไม่ (ใช่) หากเรารู้จักให้อภัยเราก็อยู่ร่วมกับเขาได้ แต่เราต้องไม่ให้อภัยตนเอง เมื่อไรที่เรามีข้อผิดพลาดเราต้องรีบแก้ไข เพราะข้อผิดพลาดของเราอาจทำร้ายคนอื่นโดยไม่รู้ตัวใช่ไหม (ใช่)


มีอีกคำหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า “เราต้องเข้มงวดตนเอง ผ่อนปรนผู้อื่น” ถึงจะเป็นการอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้อย่างเป็นสุข ไม่ใช่เข้มงวดกับผู้อื่น แต่ไม่ได้เข้มงวดตนเอง ถ้าเราไม่เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนอื่น เขาก็ไม่เชื่อฟังเราใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นวันไหนลูกหลานไม่เชื่อฟังเราให้ถามตัวเองว่าเราไม่ดีพอหรือ เขาจะได้ไม่ว่าเราบ่นมาก บ่นน้อยๆ แต่มีคุณค่าย่อมดีกว่าบ่นมากๆ แล้วไร้สาระใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าคิดว่าวันนี้เรามาสอน ให้คิดเสียว่าเรามาพูดคุยกัน เพราะเมื่อไรท่านเป็นลูกศิษย์อาจารย์จี้กง เราสองคนหรือเราทุกๆ คนก็คือพี่น้องกัน พี่ย่อมมอบแต่สิ่งที่ดีให้กับน้อง แม้ศิษย์พี่จะอายุน้อยกว่าน้อง แต่ถ้านับตามกัปกาลแล้วพี่นั้นอายุมากกว่าน้องอีกใช่หรือไม่ (ใช่) ต่างกันตรงที่ว่าศิษย์พี่เคยเกิดแล้ว แล้วก็พ้นแล้ว แต่ศิษย์น้องเกิดกี่รอบก็ไม่เคยพ้นไปสักที ฉะนั้นแบบอย่างที่ดีทำไมไม่รีบทำตาม หรือว่าแบบอย่างที่ดีไม่มาให้เห็นบ่อยๆ ศิษย์พี่ก็มาบ่อยๆ แต่น้องไม่ค่อยมาให้พี่เห็นต่างหาก ฉะนั้นอย่าเพิ่งโทษศิษย์พี่ต้องโทษศิษย์น้องก่อน


วันนี้งานที่นี่จะเกิดขึ้นได้ก็อาศัยความร่วมมือของทุกๆ ฝ่าย แต่ความร่วมมือจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยคนๆ หนึ่งที่ตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะให้บังเกิดขึ้น หากเขาตั้งใจมุ่งมั่นจะสร้างสิ่งที่ดีๆ คนที่อยู่รอบข้างเมื่อเขาเห็นว่าเป็นการดี เขาก็ต้องมาร่วมช่วยเหลือ มาร่วมสร้างสรรค์ มาร่วมงานบุญใช่หรือไม่ (ใช่) และบุคคลคนนี้จะเกิดได้ไม่ใช่มีแค่เขาคนเดียวแต่ศิษย์น้องที่นั่งอยู่ที่นี่ทุกคนก็สามารถทำให้เกิดได้ ขึ้นอยู่ว่าเรามีใจมุ่งมั่นและเสียสละหรือเปล่า โลกปัจจุบันนี้ขาดซึ่งการเสียสละการให้และการเปิดจิตใจให้กว้างใช่หรือไม่ เราอยู่ร่วมกันแต่มักจะต่างคนต่างเอาตัวรอด ต่างคนต่างช่วยเหลือตนเอง ไม่มีใครยื่นมือไปช่วยเหลือใครใช่หรือไม่ (ใช่) จริงๆ แล้วเราก็ไม่ต้องการสังคมแบบนี้ แต่สังคมต่างๆ จะเกิดขึ้นได้นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่ต้องเป็นเพราะทุกๆ คนจึงจะทำให้เกิดขึ้นได้ คนๆ หนึ่งจะสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมให้กลับมาดีได้ โดยการที่เราตั้งต้นมุ่งมั่นและเป็นแบบอย่างที่ดี จะต้องมีคนเลียนแบบเราแน่ แต่ถ้าเกิดเรายืนบ้างล้มบ้าง เราจะเป็นแบบอย่างที่ดีและนำคนได้ไหม (ไม่ได้) เหมือนงานนี้ ถ้าคนตั้งใจลำบาก เดี๋ยววันนี้ตั้งใจใหม่ แต่พรุ่งนี้ล้มอีก แล้วงานนี้จะเกิดได้ไหม (ไม่ได้) แต่ว่าคนๆ นั้นต้องตั้งใจมุ่งมั่นและอดทน ถึงจะเกิดงานนี้ได้ ก็เฉกเช่นเดียวกัน สังคมจะกลับมาดีงาม สงบสันติไม่วุ่นวาย ไม่แก่งแย่งกัน ไม่เห็นแก่ตนก็ขึ้นอยู่กับว่าจะมีคนๆ หนึ่ง หรือจะมีหลายๆ คน ร่วมกันตั้งใจมุ่งมั่นและอดทนทำให้เป็นจริงได้หรือไม่ต่างหาก แล้วเราทำได้ไหม (ได้) ถ้าวันนี้ทำได้แต่พรุ่งนี้ขอนอน อย่างนี้ได้หรือเปล่า (ไม่ได้) เหนื่อยอย่างไรเราก็ต้องยอมทำ คนอื่นทำไม่ได้เราต้องทำได้ นี่จึงเรียกว่าผู้บำเพ็ญ คนอื่นอดทนไม่ได้ ฉันต้องอดทนได้ นี่คือผู้บำเพ็ญ ผู้ที่จะนำความดีมาสู่สังคม ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าคนอื่นทำไม่ได้เรื่องอะไรฉันจะทำ คนอื่นนอนฉันก็นอน อย่างนี้จะดีไหม ก็รู้กันอยู่ แล้วทำไมไม่เสียเวลา ปลีกเวลานิดหนึ่ง อย่ามัวแต่หาเงินจนเต็มกระเป๋า แบกชีวิตก็หนักแล้ว ทำไมยังต้องแบกของที่เต็มหลังอีก ชีวิตคนเดียวก็แบกหนักแล้ว แต่ก็อดเกี่ยวไม่ได้ เมื่อผ้าไม่ยอมอยู่กับเราก็ต้องมัดคอไว้ เวลาเงินไม่อยู่กับเรา เราก็มัดเสียให้แน่นเลย หรือกลัวจะหายก็เขียนชื่ออีก เมื่อพลัดตกไปที่ไหนเขาจะได้เห็นว่ามีชื่อ อย่าไปเอา ใช่ไหม


ของในโลกนี้ก็เหมือนกันชอบหล่น ยิ่งรัดก็ยิ่งหล่น ยิ่งห่วงยิ่งผุกร่อนไว ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่บางครั้งปล่อยบ้างก็ดี มาตัวเปล่าๆ ทำไมต้องแบกเอาไปด้วย มาก็ตัวเปล่า เดี๋ยวกลับก็ตัวเปล่า ยังอดห่วง อดแขวนไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ลูกหลานเขามีชีวิตของเขาอยู่แล้ว บางครั้งก็ห่วงจนเกินไป แล้วคนที่เป็นทุกข์ก็คือคนห่วงลูกหลานไม่สนใจหรอก ใช่หรือเปล่า (ใช่)


เราเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมที่บอกว่า "สอนโดยไม่ต้องพูด แต่ทำให้เขาดู" ถ้าเราสอนโดยไม่พูดแต่ทำให้เขาดู มีหรือเขาจะไม่เดินตาม เคยเห็นปูไหมมันไม่พูดเลย แต่ทำไมลูกปูเดินเป็น มนุษย์เราก็เหมือนกันต้องเอาแบบอย่าง คือ ไม่ต้องพูดแต่ทำท่าให้ดูเลย ปฏิบัติให้ดูเลยมีหรือเขาจะเดินไม่เป็นหรือจะเป็นคนดีไม่ได้ ศิษย์น้องทุกคนก็มีปัญญา แต่ไม่ยอมคิด ทำเหมือนคนมืดบอดไม่สนใจ ไม่ยอมเปิดใจและก็ไม่ยอมแก้ไขตนเอง และก็ไม่ยอมรับความเป็นตัวของตนเอง ใช่หรือไม่ เป็นผู้บำเพ็ญแล้ว สิ่งดีก็รักษาไว้ สิ่งไม่ดีก็รีบแก้ไข แต่ต้องยอมรับด้วยว่าบางครั้งเป็นได้ทั้งคนดีและคนไม่ดี บางครั้งเรามีจิตใจใส บางครั้งเราก็มีจิตใจขุ่นมัวได้เหมือนกัน ฉะนั้นเราจะทำอย่างไรที่จะเอาใสล้างขุ่น ไม่ใช่ขุ่นแล้วก็ขุ่นเข้าไปอีก เราต้องรู้จักนำสิ่งที่ดีล้างสิ่งที่ไม่ดี โดยที่ให้อำนาจสิ่งดีมากหน่อย อย่าไปให้อำนาจกิเลส ความไม่ดี ความใฝ่ต่ำ อารมณ์ มาอยู่เหนือความดี ถ้าเมื่อไรทั้งอำนาจสิ่งไม่ดีมีมากกว่าอำนาจสิ่งดี ตัวเราก็ยากจะเป็นคนดีได้ ใช่หรือไม่


บางคนเวลาบำเพ็ญธรรมกลับล้มลุกคลุกคลาน มีความทุกข์ยากในการบำเพ็ญ ก็ต้องฟันฝ่าความทุกข์ยากไปให้ได้ถึงหนทางที่ถูกต้อง หลายๆ คนเวลาอยู่คนเดียวและกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น เราจะต้องรับทั้งผิดและชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่) คนๆ หนึ่งสามารถสร้างงานต่างๆ ให้เกิดขึ้นได้ แต่เมื่อสร้างแล้วเราต้องพร้อมที่จะรับทั้งผิดและชอบ เพราะฉะนั้นก่อนที่จะสร้างอะไร เราจึงต้องใช้ปัญญาพินิจไตร่ตรองด้วยความสุขุมและรอบคอบงานก็ยากจะผิดพลาด เราก็จะสามารถรับได้แต่ชอบ ไม่ต้องรับผิด ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ขึ้นชื่อว่าคำพูด ก็ย่อมที่จะมีผิดบ้าง แม้จะพูดร้อยประโยคและขัดเกลาให้งดงามทั้งร้อยประโยค ย่อมมีผิดบ้าง มีขัดหูบ้าง เพราะคนเราก็นานาจิตตัง และเรื่องราวก็นานาชื่นชอบกัน แต่เมื่อเราต้องอยู่ร่วมกันหลายๆ คน แล้วเวลาเราทำงานเราจะไม่สนใจและปัดความรับผิดชอบให้กับฝูงชนได้หรือไม่ (ไม่) ไม่ว่าเราทำงานคนเดียวหรือหลายคนทำงานร่วมกัน เราก็ต้องพร้อมจะรับทั้งผิดและชอบ แต่เมื่อเราอยู่ในสังคมก็ต้องขาดไม่ได้ซึ่งความระมัดระวังเช่นเดียวกัน เมื่อเวลาอยู่กับตนเองก็รู้จักควบคุมตนเองให้ถูกแบบแผน ให้ถูกประเพณี ให้ถูกทำนองคลองธรรม เขาผู้นั้นย่อมเรียกว่ามีกัลยาณธรรม และคนใดที่มุ่งมั่นออกไปข้างนอกแต่ยังมีการรู้จักควบคุมตนเอง ไม่ให้ตนเองทำผิด ให้ตนเองตั้งอยู่ในแบบแผนที่เขาผู้นั้นก็ย่อมเรียกว่าเป็นผู้มีกัลยาณธรรมเช่นกัน ก็แปลว่าคนๆ หนึ่งจะเป็นคนที่มีธรรมได้ จะเรียกว่ากัลยาณธรรมได้ จะขึ้นอยู่ที่ข้างนอกหรือขึ้นอยู่ที่ตัวเรา (ตัวเรา) แปลว่าเรื่องต่างๆ จะเกิดขึ้นได้ จะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับตัวเรา ไม่มีใครสามารถทำให้ตัวเราประเสริฐได้ ถ้าตัวเราไม่ขยับเขยื้อนที่จะทำ และไม่มีจิตใจมุ่งมั่นที่จะก้าวเดิน


วันนี้มาศึกษาธรรมท่านจะเป็นพุทธะได้หรือเปล่า ท่านจะมีเนื้อในที่เป็นทุเรียนอันหอมหวานได้หรือเปล่า ก็อยู่ที่ว่าตัวท่านจะไปฟื้นฟู จะไปค้นหาให้พบได้หรือไม่ ใช่หรือเปล่า (ใช่) (พิธีกรดำเนินรายการได้กล่าวนำนักเรียน ขอให้พระนาจาสอนเล่นเกมส์) ทำไมต้องมีคนนำท่านจึงจะทำ ทำเองไม่ได้หรือ อย่าลืมว่าบางครั้งสายเกินไปก็เรียกกลับไม่ได้แล้ว ถ้าตอนนี้ศิษย์พี่ยังอยู่ก็ขอได้ แต่ถ้าต่อไปก็ไม่มีโอกาสแล้ว เมื่อสิ่งใดที่คนข้างหน้าทำอะไรขอให้ใช้ปัญญาพิจารณาสักหน่อย ทำตามได้และมีความสุขก็ทำไป ชีวิตของมนุษย์ไม่ใช่มีเก้าชีวิต แต่มีชีวิตเดียว ใช่หรือไม่ แต่บางครั้งที่ทำผิดมาตลอดชีวิตได้นั้นไม่ใช่เรียกว่าโชคดี บางครั้งอาจคิดว่าโชค แต่คนทำผิดสักวันหนึ่งย่อมได้รับผล เพราะฉะนั้นคนมีคุณธรรมจึงไม่หวาดกลัวแม้จะฟ้าถล่มหรือดินทลายก็เพราะว่าตนเองตั้งอยู่ในธรรมแล้ว เป็นคนดีแล้ว แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์น้องอยู่บนโลกนี้ยังมีความหวาดกลัว หวาดระแวงก็แปลว่าตนเองยังมีธรรมไม่เพียงพอ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นอยู่บนโลกนี้ อยากมีความสุข ไปที่ไหนก็ไม่หวาดกลัวอะไร ตัวเรานั้นต้องมีคุณธรรมที่ดีให้ได้ วันนี้จะตายก็ไม่เป็นไร เพราะมีคุณธรรมมาแล้วตลอดชีวิต แต่วันนี้จะตายศิษย์น้องก็ไม่เอา เพราะว่ายังไม่พอเลย ยังเต็มไปด้วยกิเลส ใช่หรือไม่ (ใช่) การเป็นคนจึงไม่ยากอะไรเลย หากมีชีวิตจะกลัวอะไรกับการตายใช่หรือไม่ แต่เพราะอะไรเราจึงกลัว ก็เพราะว่าเรายังเป็นคนดีไม่พอ


"รู้ก่อนรู้หลัง" ก็คือรู้จักดำเนินชีวิตว่าอะไรควรทำก่อน อะไรควรทำทีหลัง


"มิเศร้ามิตรม" บางครั้งอยู่บนโลกนี้เราคิดว่าเหมือนมีความสุข แต่ที่จริงแล้ว ขึ้นชื่อว่าชีวิตย่อมมีทุกข์เป็นพื้นฐาน แต่สิ่งที่เราได้หรือสิ่งที่เราเผชิญคือ ต้องการรู้ว่าทำอย่างไรให้ตนเองทุกข์น้อยลง จริงๆ แล้วในโลกนี้ไม่มีสุข มีแต่ทุกข์มากหรือน้อยเท่านั้น บางครั้งความสุขที่เราได้จึงคล้ายๆ กับกินหวานแล้วขมตามมา แต่ถ้าเรารู้จักดำเนินชีวิตใช้ปัญญาพินิจพิจารณา แม้มีความทุกข์หรือความสุขเข้ามาเราก็สามารถรู้ได้ว่าเป็นธรรมดาของชีวิต มีลมเย็นบ้างลมร้อนบ้าง เราก็จะมิเศร้ามิตรมใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ปัจจุบันนี้มนุษย์เรามักจะมีอารมณ์ปรวนแปรไปตามเรื่องราวที่มากระทบจิตใจ ถ้าเป็นเรื่องรักก็มีความสุข ถ้าเป็นเรื่องที่เกลียดหรือไม่ชอบก็มีความทุกข์ เพราะฉะนั้นเราก็แก้ที่เหตุโดยไม่ต้องกำหนดว่าเรามีสิ่งที่รักหรือเกลียด เรารักหมดทุกอย่าง ฉะนั้นถ้ามีเรื่องมากระทบเราก็มิเศร้ามิตรม


"ทุกข์ช่างสอนใจ" ความทุกข์สามารถทำให้คนเป็นพุทธะและพญามารได้ อยู่ที่ว่าเมื่อเผชิญกับทุกข์แล้วจะแก้และฝ่าทุกข์ไปอย่างไร


ขอให้พรุ่งนี้มาให้ครบ อย่ามองศิษย์พี่เพียงรูปร่างภายนอก แต่มองให้เห็นแก่นแท้ความเป็นจริงว่าวันนี้ไม่ได้มาเพื่อให้เห็นหรือเชื่อในการยืมร่าง แต่เพื่อพิสูจน์ให้ศิษย์น้องรู้ว่า ศิษย์น้องทุกคนเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้โดยการนำธรรมะมาขัดเกลา อบรมและฟื้นฟูจิตใจของตน เมื่อใดที่เราค้นพบ การเริ่มต้นเราก็อิ่มเอิบใจในการทำความดี บั้นปลายก็คือการสำเร็จเป็นพุทธะ ขอให้อดทนให้ได้ ฟันฝ่าไปให้ได้ เรื่องราวในโลกจะดีหรือร้าย จะผ่านไปได้รอดพ้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับตัวศิษย์น้องว่านับจากวันนี้จะใช้ชีวิตให้เป็น นำธรรมะไปสู่หนทางที่ถูกได้


นกต้องบินสูงและตรง คนก็เหมือนกันต้องก้าวให้สู่ที่สูง อย่าลงต่ำ และขอให้มีความเที่ยงธรรมให้กับชีวิต และเที่ยงธรรมเมื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่น เราก็จะมีความสุข เพราะเรามีชีวิตเราไม่เคยสร้างศัตรู จากวันนี้เราอยากมีศัตรูหรือมิตรก็ขึ้นอยู่กับตัวเรา อยู่ร่วมกันอย่าทำร้ายเขา ไม่ว่าทางวาจาหรือการกระทำ คนดีรู้จักส่งเสริม แนะนำสิ่งดีให้แก่กัน แต่คนชั่วมีแต่ชี้นำและว่ากล่าวคน ใช่หรือไม่





ถ้าศิษย์พี่จะให้พร ก็ขอให้ศิษย์น้องเป็นคนดี และมีความสุขในการทำดี พุทธะเคยกล่าวไว้ว่า สิ่งที่ให้แก่กัน ไม่ใช่สิ่งของที่มีค่า แต่สิ่งที่มีค่าที่สุดคือให้ธรรมะที่สามารถทำให้เขานำชีวิตและใช้ชีวิตไปในทางที่ถูกได้ การช่วยคนก็เช่นเดียวกัน ช่วยให้เขามีชีวิตที่ดีงามและอยู่รอด และเขาสามารถช่วยคนอื่นต่อไปได้ จึงเป็นการช่วยเหลือที่ประเสริฐที่สุด ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญให้ดีๆ














วันอาทิตย์ที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๑


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


ในวันนี้แสนยินดีพบศิษย์รัก รู้ตระหนักกตัญญูและทำงานฟ้า


ศิษย์รักเอยไม่ยากนักเป็นพุทธา ทุกเวลาเตือนใจตนไม่เผอเรอ


เราคือ


จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก


พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนบูรพา แฝงกายกราบ


องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีหรือเปล่า


ปฏิบัติยึดการตรงให้เป็นเงา รู้เขาไม่รู้เราเร้าปัญหา


ดำเนินก้าวปลงบ่งการบวชวิญญา ศิษย์ศึกษาเข้าใจเท่าไรไกลใกล้ญาณ


ธรรมลงเคาะประตูบ้านกระชั้นแรง ตื่นทันกาลพุทธาแห่งสุทธาสถาน


แทนคุณฟ้าแทนคุณคนบริบาล ด้วยปณิธานส่งเสริมบำเพ็ญตั้งในธรรม


บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ใจต้องงาม สู่ยุคสามช่วยเวไนยไม่ถลำ


คืนฐานะพุทธาเดิมก็ด้วยทำ ความดีทำความชั่วเว้นพิจารณา


สูงเสียดฟ้าดวงอาทิตย์ประกายส่อง ธรรมครรลองส่องสู่โลกไปทั่วหล้า


ศิษย์เอ๋ยศิษย์สว่างไสวจิตเถิดนา เร่งบำเพ็ญสู้ยิบตาไม่ถอยเลย


ไม่รู้แพ้จะชนะได้อย่างไร ไม่แก้ไขคนใหม่อยู่ไหนเล่าเจ้าศิษย์เอ๋ย


ไม่เปลี่ยนแปลงสิ้นอย่างไรความชินเคย หากละเลยวันนี้แล้ววันหน้าจม


อดทนเถิดสิ่งยากทนศิษย์อาจารย์ สักวันผ่านศิษย์จะไม่รู้สึกขม


แม้เหนื่อยนักอย่าทำลายความเกลียวกลม เพราะเรือจมเพียงแค่ขาดความสามัคคี


ใจดวงน้อยที่พลอยทุกข์จากกิเลส ฝึกหัดให้เป็นใจเพชรสง่าศรี


มีเมตตารู้จักซึ่งความพอดี วอนศิษย์มีอาจารย์นี้กลางจิตใจ


ยามข้าเตือนไร้คนฟังช้ำใจนัก เป็นศิษย์รักที่ยังเฝ้าแต่หลงใหล


รู้ทั้งรู้ไม่เคยแก้ปล่อยเรื่อยไป บาปกินใจปุถุชนยากเป็นพุทธา


ใครจะรู้อวยพรศิษย์อยู่ทุกวัน เจ้าดื้อรั้นพรข้าให้ไม่รักษา


หันหลังให้กับอาจารย์ดั่งแกล้งข้า โอ้ศิษย์รักรู้เพียรหนาคืนแดนเดิม


ฮา ฮา หยุด


















พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง






การบุกเบิกย่อมเหนื่อยเป็นธรรมดา การบำเพ็ญกับความยากลำบากเป็นของคู่กัน ถ้ายากลำบากก็ไม่มีสบาย อยากลำบากหรือสบาย ถ้าชอบสบายมากๆ ก็ไม่รู้จักความยากลำบาก เมื่อพบความยากลำบากก็รับไม่ไหว เมื่อวันหน้าสบาย บำเพ็ญทุกวันก็สบาย สักวันถ้าเจอความยากลำบากจะทนได้ไหม ไม่มีใครสบายตลอดหรือลำบากตลอด ถ้าสุขสบายต้องไม่หลงตนเอง ถ้าลำบากอยู่ต้องคิดว่าอยากสบายเพราะอะไร แท้จริงแล้วความสบายเป็นสิ่งสมมติขึ้นอย่างหนึ่ง นอนสบายคือนอนแล้วไม่มีใจกังวล นั่งสบายคือได้นั่งที่นิ่มๆ บำเพ็ญสบายคือบำเพ็ญแล้วราบเรียบ ราบรื่น แต่ว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราทนความลำบากไม่ได้ ศิษย์มีความลำบากอยู่กันทุกคน ความยากลำบากที่ได้รับตอนนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราเป็นคนเต็มคน และเป็นคนที่รู้จักสู้ ไม่ยอมแพ้ เพราะฉะนั้นอย่านึกว่าตอนนี้เราลำบาก วันหน้าเราสบายแล้วจะดี เพราะว่าคนที่สบายมากเกินไปมักจะเผอเรอทำในสิ่งที่นึกไม่ถึง เพราะฉะนั้นตอนนี้สิ่งที่มีอยู่ต้องรู้จักรักษา ไม่ว่าจะเป็นโชคลาภ วาสนา สิ่งใดที่เข้ามาใกล้ตัวเราต้องรู้จักรักษาให้ดีและรู้จักพอดีและเพียงพอ ไม่ใช่ว่ามีหนึ่งจะเอาร้อย มีร้อยจะเอาพัน อย่างนี้คนไหนรวย มีมากกว่านี้ก็ไม่รวยถ้าเราไม่รู้จักพอ


วันนี้มีคนมากมาอยู่ด้วยกันตรงนี้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกๆ คนจะบำเพ็ญธรรมได้อยู่ในขั้นเดียวกัน บางคนเป็นคนที่บำเพ็ญจนจิตใจสูงส่งแล้ว บางคนจิตใจยังไม่ได้รับการพัฒนาไปไหนเลย ยังไม่ยอมให้ตัวเองได้รับการขัดเกลา ถูกว่ากระทบนิดหน่อยก็ไม่ได้ ความยากลำบากต่างๆ นานา ก็รับไม่ไหว อย่างนี้แล้วจะดีต่อตัวเราหรือไม่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดก็คือ หัดขัดเกลาจิตใจของตัวเอง เริ่มปฏิบัติได้ทุกๆ วัน แล้วปฏิบัติอย่างจริงจัง ใช่ไหม ไม่เช่นนั้นเวลาเราเดินไปด้วยกันแต่อาจจะไม่ถึงที่เดียวกันเพราะใจเรากับใจเขาคนละใจ ใจเขาดีแล้วเราไม่ดีเหมือนเขา เราก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเพราะฉะนั้นคนที่ต้องมีคนมาลากไป เขาลากเราไปแล้วเราต้องไปเริ่มบำเพ็ญเอง เขาลากเราไปแล้วแต่เราไม่ยอมเดินจะให้เขาอุ้มไปทุกๆ วัน หรือจิตใจของเราก็ระมัดระวังไม่ให้อะไรมากระทบเลย จนสุดท้ายไม่ได้บำเพ็ญจริงจัง ไม่สร้างผลงาน ไม่สร้างมรรคผลจริงจัง สุดท้ายแล้วอาจารย์ถามว่าเดินไปด้วยกันจะเดินไปถึงที่เดียวกันหรือเปล่า


ในที่นี้หลายคนบำเพ็ญมาหลายปี บางคนเพิ่งเริ่มต้น บางคนก็ยังยืนมองอยู่เฉยๆ การบำเพ็ญนั้นถึงแม้ว่าจะอยู่รวมกัน แต่ว่าเรื่องจิตใจเป็นเรื่องเฉพาะตัว จิตใจของเราดีเราไม่ต้องสนใจว่าคนอื่นไม่ดี ขอเพียงจิตใจเราดีกว่าเขา ใช่หรือไม่ แต่ว่าดีตรงนี้เกิดจากการเปรียบเทียบหรือเปล่า จิตใจของเราดีคนที่ดีที่สุดคือคนที่ยอมน้อมลงต่ำที่สุดใช่หรือไม่ คนที่เป็นสะพานหรือเป็นแผ่นดินที่ยอมให้คนเหยียบย่ำไป คนๆ นั้นจึงมีจิตใจที่กว้างขวางที่สุด จิตใจเราตอนนี้เป็นจิตใจที่กว้างขวางหรือคับแคบ เขาบอกว่ามนุษย์เห็นแก่ตัว แล้วเราเห็นแก่ตัวหรือเปล่า ถ้าเราเห็นแก่ตัวอยู่อย่างนี้ วันไหนเราจะเลิกเห็นแก่ตัว วันไหนจะได้ปฏิบัติดีๆ บำเพ็ญดีๆ แล้ววันไหนจะเป็นพุทธะที่ดี


อาจารย์จะชี้แนะให้ศิษย์อย่างหนึ่ง คนที่อยู่ตรงนี้ คนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่บำเพ็ญธรรมแล้วจงฟังไว้ การบำเพ็ญธรรมต้องเก็บไปขัดเกลาถ้าหากว่าไม่ขัดเกลาแล้วต่อให้ภายนอกจะดูดีทั้งหมด ใบหน้าจะยิ้มแย้ม แต่ถ้าหัวใจเป็นยักษ์ เป็นมาร คนนั้นจะเป็นพุทธะได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าหากว่าความประพฤติเราไม่ดี แต่ว่าคนอื่นมองไม่เห็น คนนั้นเป็นพุทธะได้หรือเปล่า เพราะฉะนั้นทุกๆ อย่างคือ เรามองตัวเอง เวลาที่คนอื่นเขาว่าเรา เราต้องระงับอารมณ์ของตนเอง อารมณ์ที่เห็นบ่อยที่สุดก็คือความโกรธ และก็เป็นบ่อย แต่ถ้ามีความโกรธหนึ่งครั้งก็จะมีครั้งที่สอง ที่สาม เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจะบอกว่าง่ายก็ง่าย จะบอกว่ายากก็ยาก ง่ายเพราะว่าเราปฏิบัติ วันนี้ก้าวหนึ่งก้าว พรุ่งนี้ก้าวหนึ่งก้าว มะรืนเราก้าวอีกหนึ่งก้าวก็จะถึง แต่ถ้าวันนี้ พรุ่งนี้ หรือมะรืนนี้นั่งเฉยๆ ก็ไม่ถึง อารมณ์ ความรู้สึก นิสัยต่างๆ ที่เก็บสะสมมาเป็นสิบๆ ปี ถ้าหากว่าไม่ขจัดวันนี้แล้วจะขจัด วันไหน ถ้าผัดวันประกันพรุ่ง ผัดตัวเอง ก็กลายเป็นดินพอกหางหมู จนสุดท้ายจะไม่ได้อะไรเลย อยากจะได้อะไรก็ต้องไปหามาเอง


ปกติใครที่ไม่ชอบมาสถานธรรม ไม่ชอบมาไหว้พระ ถ้าไม่อยากเข้ามาหรืออยู่ใกล้สถานธรรม ศิษย์จะบำเพ็ญเป็นพุทธะได้ไหม ถ้านิพพานไม่ชอบอยู่ สถานธรรมไม่ชอบมาแล้วจะเป็นพุทธะได้อย่างไร เวลาจะมีได้ก็คือตัวเองต้องสละ ความสุขจะมีได้ก็คือตนเองทำใจให้ว่าง และกว้างความทุกข์ที่มีเกิดเพราะว่าอะไร ทุกๆ คนไปหาสาเหตุเอาเองดีไหม ทุกข์ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน มีไหมที่บอกว่าทุกข์ของฉันน้อยทุกข์ของเธอมาก มีแต่จะบอกว่าทุกข์ฉันมาก ทุกข์เธอน้อย ถึงฉันจะมีน้อยกว่าฉันก็บอกว่าฉันมีมาก จริงๆ แล้วไม่มีใครทุกข์มากหรือน้อยกว่าใคร แต่ทุกๆ คนก็ทุกข์เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเห็นใจกัน ช่วยเหลือกัน เป็นพี่น้องกันดี ถามว่าเราเป็นพี่น้องกับคนข้างๆ เราไหม เรารักเขาหรือเปล่า ถ้าเรารักกันเราก็เป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน


ต่อไปที่นี่จะสร้างสถานธรรมอีกแห่งหนึ่ง นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี หลายๆ คนโอบอุ้ม แต่จิตที่ไม่ดีงาม จิตใจที่แอบซ่อนความชั่วร้ายอยู่ข้างในลึกๆ จนบางทีเราคิดว่าเราไม่ชั่วร้าย แต่จริงๆ เราชั่วร้ายหรือเปล่าต้องถามตัวเองดู เพราะฉะนั้นวันนี้เรื่องน่ายินดีก็ปรบมือให้กับตนเอง ปรบมือให้กับสถานธรรมใหม่ที่จะสร้าง และปรบมือให้กับการกตัญญูของผู้ที่จะสร้างสถานธรรมขึ้นมา


ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ที่เป็นสิ่งที่ดี ทำได้ดีกว่าไม่ทำ สำเร็จดีกว่าทำได้ และเรามีความสำเร็จแล้ว สิ่งหนึ่งที่ดีกว่าความสำเร็จก็คือการสืบเสถียร สืบเสถียรก็คือ เมื่อสร้างที่นี่สำเร็จแล้ว การสืบต่อไปให้มั่นคงด้วยคุณธรรมของเรานั้นเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า หากสิ่งๆ หนึ่งสร้างสำเร็จขึ้นมาแต่เมื่อสำเร็จแล้วไม่มีใครมาดูแลรักษา บ้านถ้าไม่มีคนอยู่จะยิ่งร้างยิ่งกว่าเก่า เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญกว่าความสำเร็จเบื้องหน้านี้ก็คือการสืบเสถียรต่อไป อยากจะสร้างสถานที่นี้เพื่อเป็นเกียรติ เพื่อการสืบความกตัญญูนั้นจะต้องทำอย่างจริงใจ ทุกๆ คนต้องรักษาจิตใจของตนเองให้ดี ให้คงเส้นคงวา สิ่งหนึ่งที่คงมั่นกว่าอายุคนเพียงร้อยปีก็คืออุดมการณ์ความตั้งใจ ตอนนี้แม้ว่าแม่จะสิ้นไปแล้ว แต่ว่าลูกๆ ได้สืบทอดอุดมการณ์ต่อไปนี่คือสิ่งที่มั่นคงยิ่งกว่าอายุคน เพราะฉะนั้นเมื่อสร้างที่นี่ก็ต้องตั้งใจดีๆ จิตใจต้องรักษาให้คงเส้นคงวา มีไว้เสมอต้นเสมอปลาย วันนี้ตั้งใจแล้ว วันหน้าก็ยังต้องตั้งใจต่อไป ขอให้ประสบความสำเร็จทุกคน หวังว่าทุกคนจะตั้งใจบำเพ็ญให้ดี


การบำเพ็ญธรรมนั้นคือเรื่องที่ต้องไขว่คว้าเอาเอง ต้นไม้ออกลูกเป็นผลไม้ ผลไม้ลูกนี้ก็คือผลของการบำเพ็ญของเรา ถ้าหากว่าเราไม่ไขว่คว้าเอาเองจะได้ผลนี้ไหม การบำเพ็ญเป็นเรื่องของตัวเราเอง วันนี้แม้จะมีคนมีพูดให้ฟังว่าบำเพ็ญอย่างนี้ และอนุตตรธรรมก็เป็นอย่างนี้ แต่หากว่าเราไม่ไขว่คว้าเอาเองจะได้ไหม ทุกๆ วันก็อยากนอนอยู่กับบ้าน ทำการค้าของตัวเอง เลี้ยงดูลูกหลานของตัวเองแล้วพอตายไปก็เป็นบรรพบุรุษ


(นักเรียนกล่าวตอนรับพระอาจารย์) เอาส่วนไหนมาต้อนรับอาจารย์ จิตใจหรือความคิด (จิตใจ) จิตใจของศิษย์บริสุทธิ์ดีไหม (ดี) จิตใจของเรานั้นต้องเป็นจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ตลอดเวลา หากว่าจิตใจของเราดำขุ่น คิดร้ายต่อผู้อื่น เราก็เป็นทุกข์เอง เพราะฉะนั้นในวันนี้จึงจำเป็นที่จิตใจของเราต้องสะอาดบริสุทธิ์ ซึ่งจะทำให้การบำเพ็ญนั้นได้ผล หากว่าจิตใจดำขุ่น ไม่มีความกระฉับกระเฉง เซื่องซึม เหงาหงอย จิตใจนี้จะบำเพ็ญแล้วไม่ได้ผลอะไรเลย


ยืนเดี๋ยวเดียวเมื่อยไหม (ไม่เมื่อย) ยืนนานๆ เมื่อยไหม (เมื่อย) เพราะฉะนั้นการมีสังขาร ก็มีความยากลำบาก แล้วเรานั้นจะพ้นจากสังขารนี้ไปได้อย่างไร (บำเพ็ญธรรม)


อันแรกเรียกว่ามรรคผล แต่ถ้ามีมรรคผลสองอันเหมือนจับปลาสองมือ ในที่สุดแล้ว ปลาข้างหนึ่งก็หลุดไป แล้วปลาอีกข้างหนึ่งจะหลุดไหม (หลุดไป) จับปลาเป็นบาปไหม (บาป) บางคนอยากจะได้มากๆ จิตใจที่อยากจะได้ของสิ่งหนึ่งแล้ว ไม่พอ เกิดอยากจะได้ของสิ่งที่สองขึ้นมา เรียกว่าเป็นกิเลสหรือเปล่า (เป็น) ทั้งๆ ที่รู้ว่าของสิ่งนั้นมีข้อเสีย และมีผลไม่ดี ขอให้เราหักห้ามใจตนเอง เราหักห้ามใจตนเองไม่ได้จะให้คนอื่นมาหักได้ไหม (ไม่ได้) แล้วใครจะเป็นคนที่หัก (หักเอง)


มนุษย์นั้นอยากที่จะสมหวังอยู่ตลอดเวลา หวังสิ่งใดก็อยากสมหวัง ชีวิตนี้เคยหวังสิบครั้ง แล้วสมหวังมาเก้าครั้ง มีครั้งหนึ่งไม่สมหวัง จะเกิดอะไรขึ้น (เกิดทุกข์) เกิดความทุกข์ เกิดความเสียใจเป็นขั้นต่ำ ขั้นที่หนักกว่านั้นคือทำร้ายตนเอง แล้วขั้นสูงสุดคือทำร้ายผู้อื่น เพราะฉะนั้นสมควรที่จะมีความสมหวังทั้งเก้าครั้งไหม (ไม่สมควร) บางคนผิดหวังสิบครั้งด้วยซ้ำทำไมเราจึงสมหวังน้อยกว่าคนอื่น ทำไมเรื่องที่เราอยากได้ถึงไม่สมหวัง (คิดว่าเป็นกรรมเก่า) คนนั้นแตกต่างกันด้วยบุญและกรรม หลายๆ คนรู้แต่ไม่ยอมรับ บอกว่ากรรมมองไม่เห็น แล้วก็บอกว่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าเราตีหัวเขา เขาจะตีหัวเราไหม (ตี) อันนี้กรรมหรือเปล่า (กรรม) กรรมแปลว่าการกระทำ เพราะฉะนั้นถ้าทำดี ก็ย่อมต้องได้ (ดี) ทำชั่วต้องย่อมได (ชั่ว) ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้ บางคนบอกว่า กรรมดีทำยากเหลือเกิน กรรมชั่วก็ไม่ทำ ท่านก็เลยไม่ทำอะไรเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉันก็เกิดมาเป็นคนที่จน ก็ถามตัวเองว่าทำไมต้องจน ก็เพราะว่ากรรมนั้นไม่ใช่เกิดจากชาตินี้ แต่เป็นชาติที่แล้ว ดังนั้นตอนนี้เราเกิดเป็นคนจน ยิ่งจนก็ยิ่งต้องทำความดี เพราะฉะนั้นคนรวยประมาทได้ไหม (ไม่ได้) แต่แท้จริงแล้วไม่ว่าคนจนหรือคนรวย ก็เป็นคนเหมือนกัน ขึ้นชื่อว่าคนก็เป็นพุทธะได้ เพราะว่าพุทธะก็สำเร็จไปจากคน ตอนนี้เราเป็นคน เพราะฉะนั้นเราเป็นพุทธะได้เหมือนกัน อยู่ที่เราจะทำหรือไม่ทำ เราทำมากได้เท่าไหร่ (ได้มาก) เราทำน้อยได้เท่าไหร่ (ได้น้อย) ถ้าเราไม่ทำ (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นตอนนี้จะทำหรือไม่ทำก็อยู่ที่เรา คนอื่นบังคับเราไปทำได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าเราทำแล้วฝืนใจมีกุศลไหม (ไม่มี) สิ่งนี้เป็นสิ่งที่รู้อยู่แล้ว กรรมและบุญนั้นเห็นทันตา แต่ว่าคนไม่เชื่อ แล้วก็บอกตัวเองว่าไม่ใช่ ก็ถือว่าเป็นการหลอกตัวเอง บางคนก็หลอกคนอื่นง่าย หลอกตัวเองยาก บางคนหลอกตัวเอง ยาก หลอกผู้อื่นง่าย เพราะฉะนั้นต้องไม่หลอกใครทั้งนั้น ถ้าเราหลอกคนอื่น คนอื่นก็หลอกเรา ถ้าเราหลอกตัวเองก็ไม่รู้จักตัวเองสักที ใช่หรือไม่


ทุกๆ วันนี้รู้จักตนเองไหม (รู้จัก) รู้จักดีหรือเปล่า เรายังไม่รู้ว่าความทุกข์ของเรานั้นเกิดมาจากตรงไหน ไม่รู้ว่าความสุขของเรานั้น เราจะพอใจที่ตรงไหน ไม่รู้ว่าทำอย่างไรตนเองถึงจะพอใจและก็ไม่รู้ว่าเราจะเป็นอย่างไรต่อไป ทั้งที่เรานั้นลงมือทำอยู่ทุกวัน ถ้าวันนี้มั่นใจว่าตัวเองทำดี วันหน้าก็ได้ผลดี ถ้าวันนี้มั่นใจว่าตนเองทำชั่ว วันหน้าต้องได้ในผลชั่วแน่นอน ถ้าหากว่าศิษย์เดินไปในที่มืด ย่อมสะดุดล้ม เป็นธรรมดา ถ้าเดินไปในทางที่สว่างย่อมไม่มีการสะดุดล้ม ทุกวันนี้เราชอบเดินในที่มืดหรือที่สว่าง (สว่าง) แล้วใจของเราเดินที่มืดหรือที่สว่าง (สว่าง) จริงๆ แล้วใจชอบเดินทางขมุกขมัว จะว่ามีแสงก็ไม่ใช่ จะว่ามืดก็ไม่เชิง ทุกๆ วันนี้ใจของเราเดินไปทางไหนเรายังไม่รู้เลย เพราะเราไม่รู้จักอยู่คนหนึ่งคือตัวเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่) รู้แต่ว่าตัวเราชื่ออะไร พ่อแม่ชื่ออะไร ชอบสีอะไร ชอบกินอะไร เสร็จแล้วก็บอกว่าตัวเองหน้าตาเป็นอย่างไร สวยหรือเปล่า ต้องทำอย่างไรถึงจะสวยกว่านี้ ดีกว่านี้ เราก็รู้จักตัวเราเองแค่นี้ เพราะฉะนั้นที่เรารู้จักตัวเราเองทุกวันนี้ ใช่ตัวเราหรือเปล่า (ไม่ใช่) เรารู้จักเพียงร่างกายของเรา แต่เรายังไม่รู้จักใจของเราอย่างแท้จริง เราควรที่จะเริ่มรู้จักใจตนเองไหม (ควร) ถ้าเราได้รู้จักใจตนเองเราก็จะรู้ว่าความทุกข์งอกมาได้อย่างไร เหมือนกับเห็นว่าเรานั้นได้ลงเมล็ดแห่งความทุกข์ไปตรงนี้ ต้นไม้ก็จะงอกขึ้น เพราะเราไปทำคนอื่นเดือดร้อน ความเดือดร้อนภัยพิบัติก็จะมาทางไหน (ทางนี้) เพราะฉะนั้นถ้าเราได้ช่วยเหลือผู้อื่นทางไหน ลมแห่งมงคลก็จะพัดมาทางทิศนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นตอนนี้ให้รู้จักใจตัวเอง หลังจากวันนี้ต้องไปทำความรู้จักใจของเราเอง คนๆ หนึ่งที่เราอยู่มาด้วยเป็นสิบๆ ปีแล้วไม่เคยรู้จักเลยก็คือตัวของเราเอง


วันนี้มาอยู่ที่นี่เรารู้ตัวแล้วว่าเราจะปฏิบัติสิ่งใด เราควรที่จะทำความดี แต่ว่าความดีของแต่ละคนนั้นสามารถเอามาเทียบวัดกันได้ไหม ความดีของเรานั้นเป็นความดีที่สูงส่งหรือยัง บริสุทธิ์หรือยัง บางคนทำดีไม่หวังผล แต่บางคนนั้นทำความดีโดยที่ว่าไม่รู้ว่าเรานั้นควรที่จะทำอะไรก่อนหรือหลัง เพราะฉะนั้นจึงต้องมีปัญญาควบคู่ไปด้วย ต้องทำความดีที่อยู่เหนือความดีขึ้นไปอีก ไม่ได้ทำความดีเช่นคนทั่วๆ ไปทำ ความดีที่เราทำนั้นมีอะไรบ้าง ช่วยเหลือผู้อื่น (ช่วยเหลือพ่อแม่) ความดีที่เหนือกว่าการช่วยเหลือพ่อแม่ก็คือทำให้พ่อแม่สบายใจ ถ้าหากว่าเราช่วยเหลือพ่อแม่ ดูแลพ่อแม่ แต่ว่าทุกๆ วันไม่เคยทำให้ท่านสบายใจเลย ก็เหมือนกับการที่เรานั้นทำร้ายท่านใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นความดีที่เหนือความดีก็คือ การที่เราดูแลจิตใจของท่านด้วย ไม่ดูแลเพียงร่างกายหรือสิ่งที่เป็นวัตถุภายนอก คนอื่นทำความดีอะไรอีกบ้าง (ช่วยเหลือสัตว์ที่ป่วย , ช่วยเหลือผู้ที่ยากไร้กว่าเรา) การที่ทำความดีเหนือความดีอันนี้เป็นการช่วยเหลือเพียงกาย ทำให้เขาอิ่มสามมื้อ แต่ว่าถ้าเราช่วยเหลือทางใจเขา คือให้เขารู้ทางเกิดตาย หลุดพ้นชั่วนิรันดร์ อะไรดีกว่ากัน (รู้ทางหลุดพ้นไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด) ไม่ต้องมีร่างกายเป็นกายเนื้ออันนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราทำความดีอะไรอีก (พาคนป่วยไปหาหมอ , ให้อภัยผู้อื่นเสมอ) ให้อภัยสู้ไม่โกรธเลยดีกว่า (ถือศีลโดยการกินเจ , ไม่ทำความชั่ว) ไม่ทำความชั่วก็ยังเป็นความดีเฉยๆ ถ้าดีเหนือดีต้องทำดีตลอดเวลา (ความเมตตา) เมื่อสักครู่นี้มีคนบอกว่ากินเจ ในที่นี้คนที่ยืนรายรอบนี้ส่วนใหญ่จะกินเจแล้ว อาจารย์อยากจะถามคนรอบข้างว่าดีเหนือดีคืออะไร (การปฏิบัติธรรม)


(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้สำหรับผู้ที่ตอบคำถามครั้งที่สอง)


อาจารย์มักพูดว่าลูกที่สองนั้นเป็นกิเลสของศิษย์ ถ้าเอาไปก็คือการจับปลาสองมือ แต่ไม่มีใครบอกว่าไม่เอา ทุกคนก็ยังเอาทั้งๆ ที่อาจารย์บอกว่าเป็นกิเลส กิเลสไว้กับตัวนั้นก็ไม่ดี เพราะฉะนั้นถ้าอยู่ที่เราสองลูก ลูกแรกเป็นมรรคผล ลูกที่สองเป็นกิเลส มรรคผลกับกิเลสไปกันได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นคนบำเพ็ญธรรมควรที่จะตัดอะไร (กิเลส) ตัดได้ไหม (ได้) มีบางคนบอกว่าพยายามตัด ตัดกิเลสนั้นต้องตัดให้ขาดทันที ใช่หรือไม่ (ใช่) กิเลสอยู่ข้างนอกหรือข้างใน (ข้างใน) กิเลสอยู่ข้างในใจเรา วัตถุสวยงามภายนอกหรือสิ่งที่เป็นรูปลักษณ์ภายนอกอันสวยงาม มีอะไรสวยงามบ้าง


(พระอาจารย์เมตตานำดอกไม้ขึ้นมาเพื่อเปรียบเสมือนทอง) สมมติดอกไม้นี้ให้เป็นทอง ศิษย์อยากได้ไหม (อยาก) เช่นนี้กิเลสอยู่ที่ดอกไม้หรืออยู่ที่ใจ (อยู่ที่ใจ) เพราะความอยากอยู่ข้างในเวลาตัดกิเลสจะตัดดอกไม้หรือตัดใจเรา (ตัดใจเรา) ไม่ใช่ไปตัดดอกไม้ ใช่หรือเปล่า ถ้าเรามองสิ่งนี้แล้วเราไม่เกิดความรู้สึก อันนี้ก็ไม่เรียกกิเลส เพราะฉะนั้นดอกไม้นี้ก็เป็นปลายของกิเลส ถูกหรือไม่ (ถูก) ต้นของกิเลสอยู่ที่ไหน (ใจ) เพราะฉะนั้นดอกไม้ไม่ต้องตัด ตัดที่ต้นเหตุก็คือใจเรา ปลายก็คือดอกไม้ เพราะฉะนั้นสำหรับผู้บำเพ็ญดอกไม้มีความสำคัญแค่เป็นกิเลสต่างๆ ที่ยืมมาฝึกใจของเราให้ได้รับการขัดเกลา แต่ไม่ต้องจงใจเดินเข้าไปในดงกิเลสแล้วก็บอกว่าไปฝึกตัดใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ศิษย์หลายคนชอบบอกว่าเดี๋ยวไปหัดตัดใจตรงนั้นหน่อย เสร็จแล้วก็ไปติดใจ ไม่ใช่ตัดใจ เสร็จแล้วต้นของกิเลสก็งอกงามเพราะว่าเราเดินไปรดน้ำ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการฝึกกิเลสนั้นก็คือสิ่งที่ธรรมดาสามัญที่อยู่รอบๆ ข้างเรานั้น ให้เรายืมมาตัดต้นของกิเลสก็อยู่ที่ใจ ไม่ใช่อยู่ที่ภายนอก บางคนบอกว่า เสื้อผ้าสวยๆ บ้านหลังงามๆ รถคันหรูๆ พวกนี้กิเลสทั้งนั้นเลย จริงๆ แล้วต้องโทษตัวเราที่เอาใจไปผูก ต้นกิเลสอันนี้จึงงอกออกไปเป็นรถ งอกออกไปเป็นบ้าน และงอกออกไปเป็นเสื้อผ้าสวยๆ ใช่หรือไม่ เอาหรือไม่เอากิเลสนี้ เดี๋ยวถ้าเอากลับไปบ้านมีทองสามบาทจะเอาไหม (ไม่เอา) ไม่มีเงินทองที่ไหนจะลอยมาจากฟ้าได้ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นถ้าอยากได้ก็ต้องหา ถ้าหาก็เป็นปุถุชน ไม่หาก็เป็นอย่างไร (เป็นทุกข์)


"ธรรมลงเคาะประตูบ้าน" หมายความว่า ในยามนี้ศิษย์ของอาจารย์นั่งอยู่บ้านเฉยๆ ก็มีคนชวนไปรับธรรมะ ถือว่าเป็นธรรมะลงเคาะประตูบ้าน เคาะแล้วเราจะออกมาไหม (ออก) ตอนนี้เคาะประตูของการบำเพ็ญ เราจะออกมาบำเพ็ญไหม และบำเพ็ญทำอย่างไรบ้าง ถ้ากลับไปบ้านแล้วนั่งอยู่เฉยๆ ถือว่าเป็นการบำเพ็ญไหม (ไม่) และถ้าทุกๆ วันเรายังทำผิดอยู่เรื่อยๆ ถือเป็นการบำเพ็ญหรือเปล่า (ไม่) และต้องทำอย่างไรบ้าง (ทำจิตใจให้สบาย , ต้องรีบไขว่คว้า, ชวนคนรับธรรมะ, ทำจิตใจให้สะอาด, เร่งรีบปฏิบัติธรรมตั้งแต่วันนี้) คนนี้ตอบได้ถูกใจอาจารย์ที่สุดเพราะว่าธรรมะก็มีอยู่อย่างเดียวก็คือการปฏิบัติ ส่วนการปฏิบัติมีอะไรบ้างนั้น อาจารย์จะแยกแยะให้ฟัง การที่เราทำกรรมนั้นทำได้สามทาง คือ กาย วาจา และใจ เพราะฉะนั้น การปฏิบัติก็มีสามทางเช่นเดียวกันก็คือ กาย วาจา และใจ การปฏิบัติกายก็คือ การไม่อยู่นิ่งๆ กายนั้นคือสิ่งที่สร้างมาเพื่อการเคลื่อนไหว เพราะฉะนั้นเราต้องปฏิบัติทางกาย ก็คือ ลงมือทำความดี ทำในสิ่งที่ถูกต้อง มองให้ถูกต้องและพิจารณาแล้วว่าเป็นสิ่งที่ดีก็ลงมือทำ ไม่เอามือไขว้หลังอยู่นิ่งๆ ไม่เอาเท้ายืนชิดกันไม่ก้าวไปไหน สายตาของเรานั้นแม้จะมองออกไปเห็นก็ให้เหมือนไม่เห็น เพราะฉะนั้นเวลาที่เรามองผู้อื่นเราก็จะรู้สึกว่าเขาทำผิด แต่เรายังไม่ได้มองตนเอง ถ้าหากว่าหูของเราไปฟังในสิ่งที่คนอื่นพูดนินทากันเราก็จะรู้สึกว่าคนอื่นทำไม่ดี เช่นนี้ใจของเราสะอาดหรือยัง เพราะว่าหู ตา จมูก ปาก ลิ้น เชื่อมโยงอยู่กับใจ เพราะฉะนั้นอายตนะต่างๆ จึงต้องปิดให้สนิท มองก็เหมือนไม่มอง ฟังก็เหมือนไม่ฟัง ทำได้ไหม (ได้) นี่คือการบำเพ็ญกาย การบำเพ็ญวาจาทำอย่างไร (พูดในสิ่งดี) นี่เป็นการบำเพ็ญวาจาหรือเปล่า (บรรยายธรรมให้ผู้อื่นฟัง) การบำเพ็ญธรรมด้วยวาจาก็คือการบรรยายธรรมให้กับผู้อื่นเท่านั้นหรือเปล่า แล้วถ้าหากว่าไม่มาสถานธรรมแล้วจะเอาอะไรมาบรรยาย เพราะฉะนั้นต้องมาสถานธรรมก่อน ถึงจะไปบำเพ็ญวาจาได้ถูกหรือเปล่า (ไม่นินทาผู้อื่น) ชีวิตนี้ใครเคยไม่นินทาคนอื่นเลยบ้าง หลังจากรับธรรมะแล้วยังนินทาคนอื่นอีกหรือเปล่า รับธรรมะและบำเพ็ญแล้วยังนินทาผู้อื่นอยู่หรือเปล่า (ยังมีอยู่) ตอนนี้บำเพ็ญแล้ว เป็นอาจารย์บรรยายธรรมแล้ว เป็นฐันจู่แล้วยังนินทาคนอื่นอยู่หรือเปล่า ตอนนี้เป็นอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมแล้ว เป็นผู้ที่อยู่หน้าผู้อื่นแล้ว ยังนินทาผู้อื่นอยู่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นควรที่จะบอกตนเองว่าการบำเพ็ญธรรม วาจาก็คือสิ่งที่จะพูดออกก็คือไม่นินทาใช่หรือไม่ (ใช่) สิ่งที่พูดออกไปก็คือวาจา สิ่งที่จะนำเข้ามาก็คือการกินถูกหรือเปล่า เพราะฉะนั้นทางปากอันนี้ เข้าต้องกินเจที่สะอาดบริสุทธิ์ ที่สำคัญคือใจต้องเจด้วย ออกคือการพูด ไม่พูดนินทาว่าร้ายคนอื่นแล้ว ต้องมีหน้าที่ในการที่จะบุกเบิกแพร่ธรรมแทนฟ้ายิ่งต้องระมัดระวังควบคุมเป็นพิเศษ จะมัวบอกว่าก็รู้สึกว่าจะทนไม่ไหว แสดงว่าความอดทนเรามีน้อยใช่หรือไม่ (ใช่) ความอดทนของผู้บำเพ็ญต้องมาก ทนในสิ่งที่ผู้อื่นทนไม่ได้ต้องเราต้องทนให้ได้ ถ้าหากว่าเราไม่อดทนแล้ว ถามว่าอาจารย์จะไปหาศิษย์ที่อดทนได้ที่ไหนใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์ทุกคนก็ไม่อยากจะอดทนแล้วจะให้ใครเขาอดทนให้อาจารย์อดทนไปก่อนใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นตอนนี้นอกจากพูดออกเป็นคำนินทาแล้ว พูดออกเป็นอะไรอีก พูดออกไม่นินทา พูดออกในสิ่งที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่) พูดออกในสิ่งที่ดีอันนี้เราจะพูดธรรมะไปต้องศึกษาธรรมะก่อนใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นก็จะไม่มีอะไรให้พูด ถ้าหากเราไม่มีอะไรพูด พูดไปเหมือนคนเพ้อเจ้อ พูดไปเหมือนคนพูดตั้งนานเป็นชั่วโมงแต่ไม่ได้อะไรเลยใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเราไม่อยากจะเป็นเช่นนี้ต้องศึกษาธรรมะและพูดให้เป็นถูกหรือเปล่า (ถูก) มีอะไรอีก กายแล้ว วาจาแล้วใจต้องทำอย่างไร บำเพ็ญใจต้องทำใจให้เยือกเย็นนิ่งเสมอ ใจต้องเที่ยงตรง ใจต้องเป็นสมาธิ (แนะนำสิ่งที่ดีให้กับผู้อื่น) จะบำเพ็ญต้องหัดก้าวออกมาใช่หรือไม่ (ใช่) ต้องรอให้คนอื่นเรียกไหม ไม่ต้องรอ มีความกล้าหาญทำในสิ่งที่ดีหรือเปล่า สิ่งที่ไม่ดีขอให้มีความรู้สึกอย่าทำดีไหม การบำเพ็ญทางใจทำอย่างไร ใจของเรามีกี่ดวง (ดวงเดียว) เวลาเราคิดเราคิดได้กี่ครั้ง (หลายครั้ง) แล้วใจเรามีกี่ดวง (ดวงเดียว) ใจมีดวงเดียวแล้วทำไมคิดได้หลายครั้ง จริงๆ แล้วใจดวงเดียวก็คือการพิจารณาสิ่งใด ก็พิจารณาเป็นอย่างๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) จะบอกว่าหนึ่งนาทีคิดได้หกสิบเรื่อง ถามว่าคนๆ นี้เป็นใจของคนพร้อมที่บำเพ็ญใหม (ไม่) ใจของคนนี้ไม่พร้อมที่จะบำเพ็ญธรรมเพราะว่ามีความฟุ้งซ่านสูง ใจไม่สงบใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการที่จะบำเพ็ญธรรมก็คือ ต้องเตรียมจิตใจของเราให้พร้อม ให้จิตใจหนึ่งเดียวนั้นเป็นหนึ่งเดียวจริงๆ จิตใจของเรานั้นมีอะไรบ้าง ตอนนี้กิเลสอยู่ที่ไหน (ใจ) บำเพ็ญธรรมต้องทำอย่างไรกับกิเลส ตอนนี้ต้องรู้จักตัดกิเลสใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักตัดกิเลสแล้ว จะให้คนอื่นตัดให้ได้ไหม (ไม่ได้) บำเพ็ญใจของเรา ตอนนี้ใจของเราต้องมีสมาธิ ต้องมีความสำรวม ต้องมีความสุขุม เวลาคนอื่นว่าเรา เราจะโมโหดีไหม (ไม่ดี) เวลาที่เราเห็นคนอื่นจะรักจะหลงดีไหม (ไม่ดี) เวลาเราเห็นเงินทองคนอื่นแล้วเราจะโลภดีหรือเปล่า (ไม่ดี) เวลาที่เจ้าของไม่อยู่โต๊ะของอันนี้สวยมาก เราจะเหล่ตามองดีไหม (ไม่ดี) แล้วเหล่หรือเปล่า ต้องควบคุมจิตใจของเราเองใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาไม่มีคนเห็นต้องระวังใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ทุกๆ วันนี้เวลาคนไม่เห็นทำหรือไม่ทำ (ทำ) ทุกๆ วันนี้เวลาทำอะไรก็แอบไปทำใช่ไหม ใช่หรือเปล่า (ใช่) รอให้เรื่องไร้ทางเยียวยา แล้วก็กลับมาแก้ไขใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการกระทำเช่นนี้สมควรไม่สมควรเป็นของผู้บำเพ็ญ (ไม่สมควร) ไม่สมควรเป็นของผู้บำเพ็ญอย่างยิ่ง เวลาที่เราจะทำสิ่งที่ผิดนั้น ขอให้เราระลึกไว้ให้ดี ยิ่งไม่มีคนเห็นให้รู้ไว้ว่า ฟ้าทั้งฟ้า ดินทั้งดิน ยิ่งจับจ้อง จับจ้องแทนมนุษย์เพราะมนุษย์มองไม่เห็นฟ้าที่อยู่บนฟ้า ดินที่อยู่บนพื้น ขอให้สิ่งสองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เตือนใจของเราเอง ถ้าหากว่าเรานั้นแอบไปทำความผิด ผู้ชายถ้าเก็บกามอารมณ์ไม่ได้ แอบไปมีภรรยานอกบ้าน ถามว่าใครเห็น (ฟ้าดิน) ใครบอกว่าฟ้าดิน ฟ้าดินยังไม่อยากจะมองใช่หรือไม่ (ใช่) แต่คนที่เห็นชัดๆ ก็คือ (เราเอง) เวลาที่เราแอบไปทำความผิด ไปฆ่าคน ไปวางเพลิง แต่ศิษย์ของอาจารย์ไม่ทำใช่ไหม (ใช่) ใครทำสิ่งเหล่านี้ก็ทำกันเวลากลางคืนใช่หรือเปล่า (ใช่) มนุษย์ตื่นตอนเช้านอนตอนค่ำใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำนั้นต้องกล้าสู้ฟ้าได้ กล้าสู้ดินได้ ทำในที่โล่งแจ้งและไม่ละอายใจตนเอง สิ่งเหล่านี้จึงเป็นการกระทำที่ถูกต้องดีหรือเปล่า (ดี) การกระทำนั้นสิ่งที่เราทำต้องเป็นสิ่งที่ไม่ละอายใจตนเองถูกต้องเสมอๆ


เมื่อสักครู่นี้อาจารย์พูดถึงการบำเพ็ญใจใช่หรือเปล่า (ใช่) ใจของเราทั้งดวงอันนี้เป็นอย่างไรบ้าง พื้นถ้าไม่ได้ขัดนาน ถ้าไม่ได้เช็ดไม่ได้ถู สกปรกไหม ใจของเราเคยล้างหรือเปล่า เคยไหม (ไม่เคย) ถามว่าใจของเราสะอาดไหม (ไม่สะอาด) สมมติว่าซอกกำแพงในบ้านที่ปลูกเป็นหิน ไม่ใช่บ้านไม้แต่ปลูกเป็นหินไว้ คราบที่ตกตะกอนติดอยู่เป็นคราบๆ ที่ฝาผนังอันนั้นถามว่า ถ้าหากว่าวันหนึ่งทำหกเลอะเทอะไม่เช็ด วันที่สอง วันที่สามยิ่งเป็นเช่นไร ยิ่งเลอะเทอะมากขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นใจของเรา แม้ว่าเราเผลอไปทำสิ่งไม่ดีก็ต้องรีบเช็ดทันทีใช่หรือไม่ (ใช่) ใจของเรานั้นต้องสะอาดอยู่เสมอๆ ใจสะอาดด้วยอะไร ใจสะอาดด้วยปราศจากกิเลส ใจสะอาดด้วยปราศจากอารมณ์ ใจสะอาดด้วยรู้ว่าไม่แก้ตัวแทนตัวเอง บางคนนั้นชอบแก้ตัวใช่หรือเปล่า (ใช่) แก้ที่ไหนชอบแก้ตัวของตัวเอง ไม่เคยคิดไปแก้ใจใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นในวันนี้เมื่อเราทำผิดไม่แก้ตัวแต่แก้ที่ไหน (ใจ) แก้ที่ใจของเรา อยากกลับบ้านเร็วๆ ไหม


มีคนบอกว่าเห็นอาจารย์แล้วไม่อยากกลับ อาจารย์บอกว่าถ้าอาจารย์อยู่ แล้วทำให้ศิษย์ยึดติดรูปลักษณ์ อาจารย์กลับดีกว่าใช่ไหม ตอนนี้อาจารย์มาในลักษณะนี้การยืมร่างไม่ใช่ต้องการให้ศิษย์นั้นมายึดติดรูปของอาจารย์ เพราะว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่อาจารย์ อาจารย์ไปแล้วในสิ่งที่ศิษย์เห็นอยู่นี้ ก็ไม่ใช่ของๆ อาจารย์ใช่หรือเปล่า (ใช่) เหมือนๆ กันกับชีวิตของศิษย์ ทุกๆ วันนี้ร่างกายที่ศิษย์ใช้อันนี้อยู่กับศิษย์ตลอดไปไหม (ไม่) พอถึงเวลาเราตายแล้วร่างนี้ก็ทอดยาวใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นตอนนี้รอบๆ ตัวของศิษย์นั้นมีแต่สิ่งปลอม แม้กระทั่งร่างกายของเรานี้สักวันก็กลายเป็นของปลอมใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้ทั้งตีทั้งหยิกก็ยังเจ็บใช่หรือเปล่า (ใช่) สักวันหนึ่งร่างกายอันนี้ทั้งตีทั้งหยิกก็ไม่เจ็บใช่หรือเปล่า (ใช่) บ้านเรือนที่เราเคยอยู่สักวันหนึ่งก็มีวันที่จะผุพัง ร่างกายที่เราอาศัยอยู่นี้ เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวยงามนี้ สักวันก็หายไปใช่หรือเปล่า (ใช่) มนุษย์นั้นชอบสรรหาสิ่งที่ถาวร สร้อยทองที่คนชอบใส่อันนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ลดค่าตนเองและก็อยู่ได้นาน คนจึงนิยมใส่ทองใช่หรือไม่ (ใช่) แต่อายุของเรานั้นไม่ยืนยาวเท่าทองคำใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการที่มนุษย์นั้นไม่รู้จักยอมรับความจริง กลับหาสิ่งมีค่าที่มากกว่าตัวเองไปอีก ทองคำมีอายุมากกว่าเราหรือเปล่า แทนที่เรานั้นหันหน้ามาสู้ความจริงว่าตัวของเรานั้นมีอายุอยู่แค่นี้ ความผิดบาปที่เราทำทั้งหมดนั้นต้องรีบเร่งแก้ไข กับมิใช่หาสิ่งที่ถาวรมากกว่าตัวเองมาบำรุงบำเรอ ในที่สุดแล้วเมื่อเราจะจากไปโดยที่ไม่ได้เรียนรู้สิ่งที่อยู่รอบข้างเราเลย ทองแม้จะมีค่า ค่านั้นอยู่ที่ไหน อยู่ที่การไม่สูญไปกับกาลเวลา ตัวเรามีค่า มีค่าที่ไหน (ใจ) ใจของศิษย์มีค่าหรือ คนมีค่าที่ความดีใช่หรือไม่ (ใช่) ทองมีค่าที่อายุ คนมีค่าที่ความดี หากว่าศิษย์นั้นไม่ทำความดีไม่เลียนแบบทอง แต่ว่ากลับเอาทองมาประดับจะมีค่าไหม ไม่มีค่า เพราะฉะนั้นคนมีค่าที่ความดี ศิษย์จึงต้องทำความดีเนืองนิจใช่หรือไม่ (ใช่) จะตามความชั่วไหม (ไม่) จะเผอเรอบอกว่าตัวเองนั้นลืมไปได้หรือเปล่า(ไม่ได้) เพราะว่าความผิดเล็กๆ นั้นเป็นบ่อเกิดของความผิดที่ยิ่งใหญ่ วันนี้ทำความผิดเล็กๆ ได้ ก็เหมือนเด็กๆ นั้นที่วันนี้แอบไปเที่ยวได้ วันหน้าเขาก็กลายเป็นคนที่นักเที่ยวใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้หัดสูบบุหรี่ วันหน้าก็เป็นสิงห์บุหรี่ใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้เริ่มซื้อหวยวันละบาทสองบาท วันหน้าก็กลายเป็นเจ้ามือหวยใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นสิ่งที่เล็กๆ ก็เป็นบ่อเกิดของสิ่งที่ใหญ่ๆ การที่จะหักห้ามได้ก็คือควบคุมตัวของเราเอง เห็นทองก็เห็นไปถึงค่าของทองไม่ใช่บอกว่าทองหนักกี่บาท บางคนบอกว่าทองหนักสิบบาททองหนักสิบห้าบาทแต่จริงๆ แล้วน้ำหนักมันอยู่ที่ไหน น้ำหนักอยู่ที่อายุที่สามารถมากกว่าเรา


"ปฏิบัติยึดการตรงให้เป็นเงา" ความตรงเป็นเช่นไร ตรงก็คือไม่คดไม่งอใช่หรือไม่ (ใช่) เหล็กแท่งหนึ่งตั้งขึ้นมาตรงๆ อย่างเช่นตะเกียงอันนี้มีความตรงใช่หรือไม่ (ใช่) จิตใจของเรานั้นก็ต้องเป็นจิตใจที่ตรง ไม่คดในข้องอในกระดูก กายของเรานั้นก็ต้องเหยียดตรงแบบพุทธะสง่างาม การกระทำของเราก็ต้องทำอะไรที่ตรงไปตรงมาไม่มีการหลบหลีกเล็กน้อยแอบซ่อน แต่ว่าคำพูดจะตรงไปตรงมาต้องพิจารณาก่อน เพราะว่าคำไทยคนไทยบอกว่าปลาหมอตายเพราะปากใช่หรือไม่ อันนี้สิ่งที่คนอื่นพูดมาจะต้องฟังบ้าง บางคนเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมาแต่จิตใจคดงอ คำพูดจึงไม่เป็นที่เชื่อถือของผู้อื่น ถ้าหากว่าคำพูดของศิษย์ตรง การกระทำตรง กายตรง ใจตรง ถามว่าถ้าหากศิษย์พูดไปตรงๆ มีคนฟังไหม เสียแต่ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่สามารถจะตรงได้ตลอด ชอบคดๆ งอๆ เอียงๆ โย้ๆ หลบๆ หลีกๆ เลี่ยงๆ ตรงไปตรงมาแต่คำพูดอย่างเดียว ชอบพูดตรง การกระทำไม่ตรง ใจไม่ตรง มีภัยมาหาตัวไหม (มี) เพราะฉะนั้นถ้าวันไหนศิษย์ทำใจของตนเองได้ตรง การกระทำของตนเองได้ตรงจึงจะสามารถพูดตรงๆ ได้ พูดตรงๆ ต้องมีความจริงใจ อาจารย์บอกว่า ยึดการตรงให้เป็นเงา เงาห่างจากกายเราไหม (ไม่ห่าง) มีแต่ว่าชัดหรือไม่ชัดใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการที่เราจะตรงจึงต้องตรงอยู่ทุกๆ ขณะ ถ้าหากว่าเราไม่ตรงการกระทำของเราไม่เที่ยงตรง ทุกขณะจิต เป็นการทำลายตนเอง


"รู้เขาไม่รู้เรา" หมายความว่าอย่างไร รู้แต่เขาเป็นอย่างไร ไม่รู้ตัวของเราเองใช่หรือไม่ คนประเภทนี้จะประสบความสำเร็จได้ไหม (ไม่ได้) อาจารย์บอกว่าการรู้ก็คือต้องรู้เขารู้เรา ถ้ารู้เขารู้เราทำสิ่งใดก็ย่อมที่จะประสบความสำเร็จ แต่หากว่ารู้เขาไม่รู้เราก็แพ้แน่ๆ ถ้ารู้เราไม่รู้เขาก็แพ้ชนะคนละครึ่ง เพราะฉะนั้นการที่เราจะรู้ รู้ใครสำคัญที่สุด รู้ตัวของเราเอง


"ดำเนินก้าวปลงบ่มการบวชวิญญา" ตอนนี้อาจารย์อยากให้ศิษย์บวชก็คือบวชที่วิญญาณของตนเองก็คือบวชที่ใจ ตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์จะบำเพ็ญ จะว่าสบายก็สบาย จะว่าลำบากก็ลำบาก ต้องยอมให้ตนเองได้รับความลำบากบ้างจึงรู้จักความสบายที่แท้จริง มนุษย์สมัยนี้รู้จักความสบาย รู้จักแต่เก้าอี้นิ่มๆ เตียงนิ่มๆ อาหารอร่อยๆ แต่เรื่องความสบาย สบายกายสบายใจอันไหนดีกว่ากัน สบายใจนั้นดียิ่งกว่าสบายกายอีกใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นคำว่าดำเนินก้าวก็คือการบำเพ็ญ ปลงบ่มการบวชวิญญา ตอนนี้การที่เรานั้นจะบวชใจของตัวเราเอง เราต้องรู้ว่าเรานั้นปลงได้มากเท่าไหร่ บางคนบอกว่าใจของเรานั้นเป็นใจที่กว้างๆ แล้ว บำเพ็ญมาตั้งนานแล้ว ไม่มีเรื่องอะไรขุ่นข้องหมองใจ แต่พอมาเจอใหญ่ๆ ก็ปลงไม่ได้ ทำใจไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ถามว่าการปลงนั้นแสดงออกถึงผู้บำเพ็ญหรือเปล่า การรู้จักปลงนั้นแสดงออกถึงผู้บำเพ็ญ ยิ่งใครปลงได้เท่าไหร่ยิ่งเป็นผู้มีระดับจิตสูงมากขึ้นเท่านั้น แต่ไม่ใช่ปลงให้คนอื่นเห็น ปลงนี้ปลงให้ใครเห็น (ตัวเราเอง) ปลงนี้ปลงให้ตัวเราเองเห็นก็พอ บางคนปลงได้แต่ปลงให้คนอื่นเห็น แต่จริงๆ แล้วตนเองปลงไม่ลงเลย บำเพ็ญให้ผู้อื่นเห็นว่าบำเพ็ญแล้ว แต่ยังไม่ได้บำเพ็ญอะไรเลย ในที่สุดแล้วถามว่าสมมติมีตาชั่งอยู่เครื่องหนึ่ง ให้ศิษย์เดินขึ้นไปชั่ง คนที่หนักดึงเอาคนที่เบาก็เอาออกไป หากว่าเรานั้นไม่ได้หนักจริง ไม่ได้หนักแน่นจริงจะอยู่ได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นตอนนี้ตาชั่งวัดขึ้นมาเรานั้นจะชั่งอะไร ควักใจออกไปชั่ง ควักใจดวงนี้ของเราออกไปชั่งว่าใจของเรานั้นหนักหรือเบา ถ้าใจหนักแน่นก็เป็นพุทธะ ถ้าใจเบา ไม่มีแก่นสารก็เป็นอย่างไร อยู่ไม่ได้ ถามว่าคนตัวใหญ่ใจต้องใหญ่ไหม คนตัวใหญ่อาจจะใจเล็ก คนตัวเล็กอาจจะมีใจที่หนักแน่นกว่า เพราะฉะนั้นตรงนี้มองที่ภายนอกได้หรือไม่ (ไม่ได้) ศิษย์ของอาจารย์บางคนนั้นเป็นคนตัวใหญ่แต่ขี้ใจน้อย บางคนเป็นคนตัวเล็กแต่ว่ารู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่เอาอาการอารมณ์ต่างๆ มาตึงตัง เพราะฉะนั้นการที่เราจะบำเพ็ญ คนที่มองเห็นตัวเราดีที่สุดก็คือตัวเราเอง อาจารย์ไม่อยากจะบอกว่าคนไหนที่บำเพ็ญได้ดีกว่ากัน คนไหนที่ระดับจิตนั้นสูงยิ่งกว่า รู้ได้ ศิษย์ก็มองออกได้ ตอนที่ศิษย์นั้นเจอปัญหา เจอความทุกข์ เจอการทดสอบนั่นแหละจึงจะมองเห็นชัดว่าคนไหนเป็นคนที่บำเพ็ญได้ดี เพราะฉะนั้นเวลาเจอการทดสอบ อุปสรรค เจอความยากลำบาก อย่าเพิ่งท้อกัน หากว่าไม่ได้ตอบบ้างก็จะไม่รู้ว่าอยู่ขั้นไหน หากไม่ได้รับความลำบากบ้างก็จะไม่รู้ว่าเป็นพุทธะอย่างไร จะมีความเมตตาได้อย่างไรใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนบอกว่าตนเองเมตตาแล้ว บอกว่ากินเจ


เมื่อสักครู่อาจารย์ถามผู้ปฏิบัติงานธรรมบอกว่ากินเจเป็นความดี แต่เหนือดีขึ้นมาอีกทำอย่างไร กินเจกินอยู่ที่ปากแต่ความเมตตาต้องเกิดอยู่ที่ใจใช่หรือไม่ (ใช่) ความดีจึงเป็นดีที่เหนือดีได้ บางคนกินเจแต่ว่าจิตใจไม่มีความเมตตาเอาเสียเลย ถามว่ากินเจไปใจเจไหม ใจนี้ยังไม่เจ,ยังไม่มีความเมตตาเลย เพราะฉะนั้นหลอกคนอื่นหลอกได้ หลอกตัวเองเป็นอย่างไร


ตอนนี้อาจารย์จะให้พรแต่เดี๋ยวอาจารย์ขอศิษย์บ้างได้ไหม ชอบขอสิ่งศักดิ์สิทธ์ใช่ไหม เวลาที่เราขอทุกๆ คน สมหวังหรือไม่ เราขอร้อยครั้งสมหวังกี่ครั้ง มีพุทธะองค์หนึ่งศักด์สิทธิ์มาก ขออะไรก็ได้ทุกที ไม่มีอะไรที่ขอแล้วไม่ได้พระองค์นั้นก็คือตัวเราเอง พระองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์มากไม่เคยขัดใจเราเลย ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเราอยากแข็งแรง ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเข้าออกในร่างกายของเราต้องดี ทางอาหารต้องทานเจให้ได้ ไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้า ถ้าทำได้เช่นนี้สุขภาพเราก็จะแข็งแรง ถ้าใจเราอยากแข็งแรงก็ต้องทำใจให้กว้างๆ คนที่โมโหบ่อยๆ ไม่พอใจคนอื่น คนนี้จิตใจแข็งแรงไหม คนที่ชอบโมโหคนอื่นเหมือนกับเอาไฟไปเผาใจ ใจเป็นจุลไหม เพราะฉะนั้นถ้าอยากให้ใจแข็งแรงก็ต้องรู้จักรักษาใจของเราให้อยู่ในภาวะปกติที่สุด ถ้าเราอยากจะมีเงิน พระองค์นี้ก็ตามใจเราอีกคือเราก็ต้องรู้จักทำมาหากิน ถ้าเราเกียจคร้านอยู่กับบ้านจะมีเงินไหม และในเวลาที่เราใช้จ่ายฟุ่มเฟือย พระองค์นี้ก็ต้องคอยบอกให้เรารู้จักประหยัด เพียงแต่เราไม่เคยฟังเลยใช่ไหม เพราะฉะนั้นเราจึงกลายเป็นคนที่จน ดังนั้นอยากได้สิ่งใดก็ต้องขอกับพระตนเอง เพราะว่าพระองค์นี้ให้เราได้ทุกอย่างเพียงแต่เราทำตามท่าน เวลาที่เราทำผิดเราเคยรู้สึกว่ามีคนเตือนเราว่าทำสิ่งนี้ไม่ถูก ใช่ไหม (ใช่) เวลาที่เราโมโหก็บอกเราไม่ให้โมโห แต่เราฟังไหม (ไม่ฟัง) สิ่งที่บอกเราก็คือ มโนธรรมสำนึกที่เราไม่เคยฟังเขา และเราก็มาขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ข้างนอกให้เรามีสุขภาพแข็งแรง พอกลับบ้านก็ไปกินเหล้า เช่นนี้จะแข็งแรงไหม (ไม่)


คนที่จะได้พรจากพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือคนที่รู้จักเข็ด รู้จักจำ และรู้จักแก้ไขแล้ว มีการสร้างบุญสร้างกุศลจริง ปาฏิหารย์จึงมีจริง แต่คนที่ไม่รู้จักรักษาตนเองเลย ให้พุทธะช่วย แต่ให้ไปช่วยทำบาปอีก ได้หรือไ่ม่ (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นอยากจะรู้ว่าพุทธะคิดอย่างไร ศิษย์ก็ลองคิดดูโดยไม่เอาความเห็นแก่ตัว ไม่เอาใจที่เข้าข้างตนเองมาคิด ใจของศิษย์ก็จะเป็นใจพุทธะเช่นเดียวกัน


ในวันนี้มีคนพูดเรื่องการบำเพ็ญ อาจารย์ก็พูดเรื่องการบำเพ็ญ เพราะอยากให้ศิษย์ของอาจารย์บำเพ็ญ อาจารย์ไม่รักษาร่างกายของศิษย์ที่ใช้อยู่นี้ แต่อาจารย์รักษาจิตใจของศิษย์ให้แข็งแรงและหลุดพ้น เพราะถ้าจิตใจหลุดพ้น ร่างกายนี้ก็ไม่สำคัญ แต่หากจิตใจยังหลุดพ้นไม่ได้ ร่างกายก็สำคัญ เพราะฉะนั้นตอนนี้อาจารย์จึงอยากให้บำเพ็ญจิตใจของตนเอง บำเพ็ญใจตนเองไม่ยาก แต่อย่าตามใจตนเอง นิสัยที่ศิษย์หรือนิสัยมนุษย์ทั้งหลาย ก็เป็นนิสัยของเด็กๆ ทั้งนั้น เป็นนิสัยเด็กที่พัฒนามาเป็นผู้ใหญ่ ความเผอเรอขี้ลืม การเอาแต่ใจตนเอง หรือการขี้เกียจที่จะทำในสิ่งที่ดี เป็นนิสัยของเด็กทั้งนั้น ตอนนี้เราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ขอให้เป็นผู้ใหญ่ที่ใจด้วย เมื่อตัวเราดีแล้ว เราจึงสามารถนำพาคนรอบข้างให้ดีได้ หากว่าศิษย์ของอาจารย์ไม่ดีแล้วจะไปนำพาใครได้


เวลาที่เราเจอกันนี้เป็นเวลาที่ล้ำค่า เงินทองหาซื้อไม่ได้ ไม่รู้ว่าศิษย์จะคิดเหมือนอาจารย์หรือเปล่า อาจารย์ถามว่าการที่เราได้พบกันวันนี้ถือเป็นโอกาสพิเศษ อาจารย์รู้สึกว่าเป็นความล้ำค่า ก็ไม่รู้ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นจะรู้สึกเหมือนกันหรือไม่ เวลาเป็นสิ่งที่เงินทองซื้อไม่ได้ การพบกันของเราในวันนี้ก็เช่นเดียวกัน อาจารย์นั้นอยากให้ศิษย์รักษาเวลานี้ทุกๆ วินาทีนี้ อาจารย์อยากให้ศิษย์รักษาทุกๆ นาที ทุกๆ วินาทีของชีวิตด้วย เพราะว่าเรานั้นสามารถที่จะแก่เฒ่าลงได้ทุกวัน เวลาในวัยเด็กก็ไม่กลับมาใช่หรือไม่ (ใช่) คนเมื่อทำผิดไปแล้วอยากให้เวลาย้อนกลับมาเพื่อแก้ไขความผิดนั้นเป็นไปไม่ได้ บุคคลนั้นทุกๆ เวลา ทุกๆ วินาทีของชีวิต จึงต้องรู้จักที่จะรักษาให้ดี ทำแต่ในสิ่งที่ดี แล้วรู้ว่าเราควรที่จะทำอะไร ก่อนที่เวลาจะคืบคลานเข้าไปถึงเวลานั้น หากว่าเราไม่รู้ ไม่รู้ว่าอีกห้านาทีเราควรทำอะไร ไม่รู้อีกสิบนาทีหรืออีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้าเราควรจะทำอะไร แล้ววินาทีนั้นมาถึงสิ่งที่เราทำก็คือสิ่งที่เราทำไปโดยไม่รู้ตัว อาจารย์ไม่ได้สอนให้ศิษย์รู้อนาคตไปดูหมอ เดาโชคชะตาของตัวเอง แต่อาจารย์สอนให้ศิษย์นั้นรู้แล้วก็ประมาณ รู้จักหน้าที่ของตนเอง รู้จักประมาณตน เมื่อถึงเวลาต่างๆ ของวินาทีของชั่วโมงจึงจะไม่ทำในสิ่งที่ผิดพลาด เพราะว่าความผิดพลาดนั้นอาจจะแก้ไขไม่ได้ทุกครั้ง หลังจากสองวันนี้ ขยันมาสถานธรรมได้ไหม (ได้) จำเป็นต้องให้คนอื่นไปเรียกไหม (ไม่) มาบำเพ็ญแล้วต้องได้ผลประโยชน์อะไรหรือเปล่า บางคนมาสถานธรรมแล้วมีผลประโยชน์ อาจารย์บอกให้ถ้าศิษย์ยังได้ประโยชน์ ก็ยังต้องมีคนที่เอาประโยชน์นั้นมายื่นให้ศิษย์ เขายังต้องเอาประโยชน์ของเขามาให้ศิษย์อยู่ดี ในที่สุดแล้วศิษย์ได้มาก แต่คนที่ได้มากก็ยิ่งหนัก ไม่เบา ไม่ลอย ในที่สุดคนจิตหนักก็ต้องอยู่กับที่ คนจิตเบาก็ไปก่อน จิตหนักภาษาปราชญ์ก็คือหนักใจ เรื่องมากหนักใจใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นใครบอกว่าโง่ บอกว่าเราไม่ดีก็ต้องยิ้มรับ ต้องพอใจ ต้องดีใจ เพราะว่าเรานั้นไม่ดี เรารู้ตัวเราว่าไม่ดีตรงไหนเราก็พร้อมจะแก้ไขที่ตรงนั้น แต่คนที่ไม่รู้ตัวเองว่าไม่ดี ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองไม่ดีตรงไหน และจะแก้ไขได้อย่างไรใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นตอนนี้เมื่อมีคนบอกว่าเราไม่ดีเราต้องรู้สึกพอใจ ถ้าเราได้รู้ว่าตัวเราไม่ดีตรงไหน แล้วเราจะแก้ไขได้ ผิดกับคนที่เขามาว่าเราเขาอาจจะยังไม่รู้ แต่ศิษย์จะไปเหมาคนที่ว่าเรานั้นว่าเขาไม่รู้ทุกคนได้หรือเปล่า (ไม่ได้) เขาอาจจะเตือนเราใช่หรือไม่ (ใช่) เขาบอกว่าคนที่ดีเป็นอย่างไร คำที่ดีเราชอบฟัง เวลาคนชมเราก็ชอบฟังแต่ เวลาคนเขาว่าเราไม่ชอบ ดังนั้นคำว่าหรือคำชมมีประโยชน์มากกว่ากัน คำว่ามีประโยชน์แต่คนไทยมักจะสับสนระหว่างคำว่ากับคำด่า ถ้าหากคนเขาด่าเราจึงบอกว่าไม่มีประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่) เขาว่าเราต้องบอกว่าเขาเป็นครูของเรา มีความปรารถนาดีอย่างยิ่งใช่ไหม (ใช่)


เข้าสู่ประตูพุทธะ ประตูพุทธะก็คือประตูของจิตใจของเรานั่นเอง ประตูพุทธะนั้นไม่สามารถจะปรากฎองค์ให้ศิษย์เห็นได้ พุทธะที่อยู่ในตัวเราไม่อาจ

ปรากฎให้เห็นได้ แต่ทุกๆ วันนี้ศิษย์ของอาจารย์นอกจากจะได้เข้าประตูพุทธะแล้ว ยังเข้าไปสู่ประตูมารบ่อยๆ ด้วยใช่หรือไม่





อาจารย์อยากให้ทุกๆ คนบำเพ็ญให้ดี ใจต้องดี วาจาต้องดี การกระทำก็ต้องดี เราจึงจะสามารถนำผู้อื่นได้ เพราะฉะนั้นการเข้าประตูต่างๆ อย่ารู้จักแต่ประตูที่บ้าน ต้องรู้จักประตูที่ใจของเราด้วย เพราะเราจะเป็นพุทธะต้องรู้จักว่าประตูพุทธะเป็นเช่นไร


ขออย่างเดียว ก่อนอาจารย์จะกลับ ศิษย์ทุกคนอย่าทิ้งอาจารย์ดีหรือเปล่า (ดี) และอาจารย์ก็จะไม่ทิ้งศิษย์ ถ้าหากว่าศิษย์นั้นไม่ทิ้งอาจารย์ไปก่อน เราจากกันเพื่อวันหน้าจะได้พบกันใหม่ ขอให้ศิษย์ทุกๆ คนตั้งใจบำเพ็ญให้ดีๆ นี่คือความหวังดีเพียงอย่างเดียวที่อาจารย์สามารถมอบให้ได้ เพราะถ้าหากศิษย์ไม่บำเพ็ญแล้ว อันว่าเวรกรรมตามหาอาจารย์ก็ช่วยไม่ได้ คงเป็นความทุกข์ใจอย่างมากของอาจารย์ อาจารย์ไม่ได้อยากให้ศิษย์นั้นสุขสบายทางกาย แต่อาจารย์นั้นต้องการให้ศิษย์สบายทางใจ อาจารย์ไม่ได้หวังให้ศิษย์มีชีวิตที่รุ่งเรืองอะไร แต่กลับหวังให้ศิษย์ได้สร้างทางพุทธะอันรุ่งเรือง อันว่ากายนี้หมดสิ้นไปแล้ว วันหน้ากลับไปเป็นพุทธะก็ไม่ต้องลงมาเวียนว่ายตายเกิด ไม่ต้องเกิดมาเป็นมนุษย์ ความทุกข์นั้นอย่าได้พบเห็น เป็นพุทธะแล้วจะไม่มีทุกข์ นอกจากว่าศิษย์นั้นจะมีสุขอย่างที่อาจารย์มี นอกจากว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นจะมีจิตที่ไม่รักการบำเพ็ญ ทุกคนตั้งใจบำเพ็ญให้ดี เวลาใดๆ กระชั้นชิดไม่เท่าเวลาของใจเรา อันว่ากิเลสเกาะหนาหากไม่เร่งแก้ไข หรือแก้ไขไม่ได้แล้ว ต่อให้วันหน้าแก้ไขเท่าไหร่ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิด รู้ไหม (รู้) อาจารย์ไม่เคยคิดจะพูดประโยคนี้ เพราะกลัวว่าจะเป็นการบั่นทอนกำลังใจ แต่อาจารย์อยากจะบอกว่าแก้ไขเถิด แก้ไขวันนี้ วันหน้าสะสมมากมายเกาะแน่นขัดไม่ออกแล้ว ศิษย์จะเป็นพุทธะได้อย่างไร ในเมื่อวันนี้บอกว่าทำไม่ได้ และวันหน้าจะทำได้หรือ เชื่ออาจารย์




พระโอวาทซ้อนพระโอวาท   เข้าสู่ประตูพุทธา
      สิ่งสำคัญการบำเพ็ญคือขัดเกลา                   บ้างยิ่งเพียรยิ่งเบาเพราะใจใส
บ้างนับวันขุ่นหนักเพราะขาดไป                            จากอภัยที่ทำให้ใจมั่นคง
ฝ่าคลื่นลมมรสุมชีวิตตน                                         ก้าวข้ามพ้นโลกีย์โดยไม่ลุ่มหลง
กายในจิตของเราตั้งให้ตรง                                     การรู้ปลงบ่งการก้าวไกลเท่าไร
เข้าประตูแห่งพุทธา                                                 การฟ้าส่งเสริมยิ่งใหญ่
บำเพ็ญแทนคุณตั้งใจ                                             เวไนยก็เดิมพุทธา

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541

2541-11-21 พุทธสถานเหยรินเต๋อ จ.ลำปาง



PDF 2541-11-21-เหยินเต๋อ #24.pdf

#หนันไห่กู่ฝอ  #ความเมตตา  #จิต  #สายทอง  #ช่วยคนช่วยตน  #เมตตาปัญญากล้าหาญ  





วันเสาร์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๑ พุทธสถานเหยรินเต๋อ จ.ลำปาง

สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

จิตมนุษย์เนรมิตมิหยุดหย่อน มิอาจผ่อนเหล่ากิเลสอันรายล้อม

ทั้งชีวิตคอยดิ้นรนมิยินยอม ใช้กายปลอมแสวงหากรรมตามมา

เราคือ

องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา เคียมคัล

องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ

ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮา ฮา



ในจิตใจเฝ้ากังขาบ้างหรือไม่ เปิดออกให้ความมงคลวิ่งสู่จิต

อย่าทำบาปเพราะชอบใช้เหล่าความคิด อันความผิดเกิดจากคิดสู่กระทำ

ควบคุมใจแห่งมนุษย์อันดำขาว ชีพนี้เบาร้อยปีผ่านสู่หนไหน

ยามทำผิดมีหรือไม่ใจละอาย หากตั้งใจเป็นพุทธะพินิจตน

เริ่มตั้งแต่วันนี้ไม่มีสาย บางคนใช้เวลานานมรรคขาดผล

ไม่มีใครสามารถแก้เราได้หมด มีแต่ตนจึงแก้ตนได้ผลดี

ในครานี้มาประชุมซึ่งธรรมา เป็นฤกษ์ดีจิตสง่าเดินทางแท้

ในวันนี้จึงต้องคิดผิดจะแก้ ฝ่าปรวนแปรด้วยหันหน้าสู้ความจริง

เวียนว่ายมากี่ภพชาติแล้วรู้ไหม ชาตินี้ใช้ความอดทนอันที่สุด

เพื่อบำเพ็ญตนควานหาซึ่งวิมุตติ๑ ดิ้นให้หลุดจากกิเลสพันธนาการ

หน้าเดิมแท้แห่งพุทธะย่อมปรากฏ ผู้รู้ลดละอัตตาจึงก้าวหน้า

รู้ว่ายไปทวนกระแสเช่นฝูงปลา จะเกี่ยวกล้าต้องใช้เคียวโดยมั่นคง

ในวันนี้น้องชายหญิงมีบุญนัก ขอตระหนักเมื่อโอกาสมาตรงหน้า

ขอรู้ใช้ชีวิตนี้ถูกต้องนา สร้างคุณค่าชีวิตตนเกิดขึ้นจริง

อันลาภยศเงินทองสิ่งจอมปลอม แม้รายล้อมต้องรู้มองด้วยจิตใส

อันความผิดมิรู้แก้สู่ทางใด ความเข้าใจต่อธรรมแท้ด้วยศึกษา

ชีพดั่งฝันอย่ายึดถือให้เป็นจริง ทุกทุกสิ่งแก้ไขได้ลงมือหนา

อันชีวิตแสนสั้นแต่มากค่า รู้จักใช้ทุกเวลาสติครอง

สามวันนี้ขอตั้งใจเรียนให้จบ หัวข้อธรรมฟังให้ครบปฏิบัติได้

หากสงสัยไม่เข้าใจให้ถามไถ่ เมื่อเข้าใจจึงรู้ว่าควรลงมือ

พุทธระเบียบจงรักษาให้เคร่งครัด ชั้นเรียนจัดสะเทือนไปทั่วสามภพ

บัดนี้คนมุ่งหมายแต่รารบ พุทธะพบแต่เมตตาในจิตตน

ในวันนี้มิกล่าวความให้มากไป สามวันนี้พี่จะยืนคุมสถาน

ขอศิษย์น้องตั้งใจฟังด้วยชื่นบาน มิง่วงเหงาหย่อนยานความตั้งใจ

จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน

ฮวา ฮวา หยุด




…………………………………………………………………..

๑ วิมุตติ หมายถึง ความพ้น, ความหลุดพ้น, พระนิพพาน





วันเสาร์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๑

พระโอวาทพระโพธิสัตว์กวนอิน



ลมวิ่งเฉียดใบไม้พลิ้วแกว่งใบไหว ลมวิ่งกลับใบไม้ร่วงลงสู่พื้น

ฤดูกาลผันเปลี่ยนยามค่ำคืน เศร้าสะอื้นผู้จากก่อนกาลอันควร

เราคือ


(หนันไห่กู่ฝอ) รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถานเหยรินเต๋อ แฝงกายอัญชุลี

องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ



หยดน้ำค้างไร้แรงร่วงหล่น บนถนนคลาคล่ำคนกลายกลับไร้

โลกมนุษย์นับวันยิ่งแปรเปลี่ยนไป เป็นสนามรบอันกว้างไกลไปสุดตา

แสงอาทิตย์เรืองสู้แสงไฟไม่ได้ ผู้เป็นใหญ่คุณธรรมมิรักษา

ดอกไม้สวยร่วงโรยไปก่อนเวลา อันปักษามิรู้บินกลับรวงรัง

น้ำตาร่วงสงสารปวงเหล่าเวไนย บุญกุศลมิช่วยให้ใจรู้ยั้ง

ฟ้าดินเป็นประธานบำเพ็ญให้ระวัง จากนี้ตั้งปณิธานญาณบำเพ็ญเพียร

พุทธะเกิดขึ้นท่ามกลางกลียุค ขอท่านลุกจากความฝันอย่างเสถียร

แบ่งเวลาให้ถูกเพื่อบำเพ็ญเพียร หยุดเบียดเบียนกันเถิดประเสริฐคุณ

ท่านต่างมีบุญสัมพันธ์กับพุทธะ ที่ชนะตนเองเพราะเมตตาหนุน

จิตกระจ่างตอบแทนถ้วนเบญจคุณ๑ มารดาอุ่นใจเมื่อท่านคืนบ้านเดิม

ฮา ฮา หยุด

…………………………………………

๑ เบญจคุณ หมายถึง บุญคุณ ๕ ประการ ได้แก่ ๑.ฟ้า ๒.ดิน ๓.ปราชญ์ ศาสดา และพระมหากษัตริย์ ๔.พ่อแม่และบรรพชน ๕.อาจารย์

พระโอวาทพระโพธิสัตว์กวนอิน



เป็นอย่างไรกันบ้าง สบายดีทุกคนหรือไม่ บางคนอาจจะยังสงสัยว่าเราเป็นใคร แต่วันนี้เรามาพบหน้ากัน มีโอกาสมาผูกบุญสัมพันธ์กัน ลองเปิดใจรับฟัง รับรู้กันบ้าง ดีหรือไม่ (ดี) หากใจไม่เปิดออก ไม่รับรู้โลกภายนอก เรื่องราวเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็ไม่สนใจ อย่างนี้ก็เท่ากับขังตนเองอยู่ในห้วงจิต ห้วงความคิด ทรมานตนเองเปล่า ๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)

สัตว์หนึ่งตัวโดนขังอยู่ในกรง กับสัตว์อีกหนึ่งตัวสามารถวิ่ง เดินเหิน เริงร่า ไปไหนต่อไหนได้ตามจินตนาการ ตามใจคิด ตามใจต้องการ ท่านคิดว่าสัตว์ตนไหนมีอิสระเสรี มีความสุขปรีดามากกว่ากัน ก็ต้องเป็นสัตว์ตนหลัง สัตว์ที่ไม่ถูกพันธนาการ ไม่ถูกอะไรร้อยรัด ไม่ถูกอะไรยื้อยุด สามารถมีชีวิตอิสระ กระทำสิ่งใดก็ได้ตามต้องการ จิตใจของท่านก็เฉกเช่นเดียวกัน คงไม่อยากถูกเกราะกำบังหรือถูก คุมขัง อยากมีจิตใจที่อิสระเสรี ทำอะไรก็ได้ตามที่ตนเองคิด ตนเองต้องการ แต่ในความเป็นจริง การอยู่บนโลกใบนี้ การทำอะไรที่ตนเองคิด และต้องการ โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง คุณธรรม ความดีงาม ย่อมง่ายที่จะเบียดเบียนผู้อื่น ทำร้ายผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว ใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกคนต่างมีความต้องการ แต่หากความต้องการนั้นไม่ถูกควบคุม ไม่ถูกจำกัด ไม่ระมัดระวัง ก็ง่ายที่จะทำผิด ง่ายที่จะเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)

ทุกชีวิตต่างรักชีวิต อยากมีความสุข อยากไปให้ถึงที่สุดแห่งความสุข แต่การจะไปให้ถึงนั้นต้องถามตนเองก่อนว่าทำถูกไหม เบียดเบียนผู้อื่นหรือเปล่า ทำร้ายตนเองทางอ้อมหรือไม่ ทุกคนก็รักตนเอง ไม่อยากให้ใครมาทำร้ายตนเอง แม้กระทั่งจิตใจที่อยู่ภายในก็ไม่อยากให้ใครมาทำร้าย มาทำให้ต้องเจ็บปวด ฉะนั้นเวลาทำอะไรอยู่บนโลกนี้ขอให้คิดไตร่ตรองดูสักนิด แล้วเราก็จะเป็นผู้หนึ่งที่ไม่ทำร้ายตนเอง และไม่ทำร้ายผู้อื่น เราก็จะมีความสุขได้ สงบได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)

ฟังธรรมะมาตั้งนาน เบื่อหรือยัง (ไม่เบื่อ) ธรรมะสอนให้รู้จักชีวิต ใช่หรือเปล่า (ใช่) สอนให้รู้จักทั้งชีวิตที่ลวงหลอกตาและชีวิตที่เป็นจริง ตอนนี้เราอยู่บนโลกใบนี้ เราไม่รู้ว่าอะไรคือความเป็นจริง อะไรคือลวงหลอกตา แยกไม่ออกว่าเท็จหรือจริงแบ่งแยกกันอยู่ ตรงไหน เรามักจะหลงว่าความเป็นจริงคือสิ่งที่ต้องพิสูจน์ได้ สัมผัสได้ จับต้องได้ สิ่งที่ลวงหลอกตาคือสิ่งที่หาแก่นสารอะไรไม่ได้ พิสูจน์หรือจับต้องไม่ได้ แต่เรื่องราวในโลกนี้ บ่อยครั้งสิ่งที่ว่าเราเห็นว่ามี เห็นว่าคือรูปลักษณ์ก็กลายเป็นไม่มี และบางครั้งสิ่งที่ว่าไม่น่าจะมี แต่ก็กลับกลายเป็นมี เราเลยไม่รู้แน่ว่าอะไรจริงหรือเท็จ อะไรลวงหรือไม่ลวง เหมือนกับอากาศ ถ้าท่านพูดว่ามีอากาศ ก็จะมีให้เห็นได้ ขึ้นอยู่กับว่าคนนั้นจะเปิดใจมองเห็นหรือเปล่า แต่ถ้าเกิดบอกว่ามองไม่เห็น ก็มองไม่เห็นได้เหมือนกัน

บางครั้งหู ตา จมูก ลิ้น กายและใจเราสัมผัสเรื่องราวบนโลกนี้ คิดว่าสิ่งที่ตาเห็นคือสิ่งที่แท้จริง สิ่งที่ตามองไม่เห็นคือสิ่งที่ลวงหลอก การคิดแบบนี้เท่ากับปิดกั้นตนเองทางอ้อม เพราะหลายครั้งที่เราเห็นเรื่องราวบนโลกใบนี้ เราบอกว่าพื้นดินเป็นเส้นระนาบ เส้นตรง แต่ความเป็นจริงแล้ว พื้นดินใช่เส้นระนาบหรือเปล่า (ไม่ใช่) โลกที่เราคิดว่าเป็นพื้นดินราบเรียบเป็นระนาบ แท้ที่จริงแล้วกลับเป็นวงกลม อากาศที่เราคิดว่ามีแต่แท้ที่จริงแล้วเรากลับสัมผัสไม่ได้ มองเท่าไรก็ ไม่เห็น ธรรมะที่เรากำลังมานั่งศึกษา เราบอกว่าไม่เห็นมีรูปร่าง จับต้องไม่ได้ ก็ต้องเป็นของปลอม อย่างนี้ก็ไม่ใช่ สิ่งที่เห็นบางครั้งอาจจะไม่มีรูปร่างก็ได้ สิ่งที่ไม่มีรูปร่างบางครั้งอาจจะมีก็เป็นได้ ฉะนั้นไม่ว่า หู ตา จมูก กายและใจเราสัมผัสสิ่งใด อย่าได้ปักใจ อย่าได้ยึดมั่นว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นเสมอไป เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นเรื่องราวภายในโลกใบนี้แล้วย่อมเป็นมายา เป็นภาพลวงที่เปลี่ยนแปลงไปไม่สิ้นสุด

คนที่รู้จักชีวิต และตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง เขาย่อมสามารถยืนอยู่ได้ถาวร แต่คนที่ไม่ยอมรับความเป็นจริง เห็นทุกอย่างเป็นมายา เป็นภาพลวง เขาก็จะต้องวนเวียนปรวนแปร ฉะนั้นการมาศึกษาธรรมะ เราได้รู้ว่าอะไรจริงอะไรปลอมน่าจะเป็นสิ่งดีที่เราต้องไขว่คว้าและเรียนรู้ ดังนั้นอย่าได้เพิกเฉย ละเลย หรือเบื่อหน่ายกับการศึกษาธรรมะ เบื่อหน่ายกับการเรียนรู้ชีวิตและความเป็นจริง เมื่อไรที่เรามีชีวิตอยู่บนความเป็นจริง เราก็ยากที่จะปรวนแปรไปกับมายาและความเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้ แต่ถ้าเมื่อไรเราไม่ยอมรับความเป็นจริง ปกปิดใจไม่อยากรับรู้ความเป็นจริงของโลก ความเป็นจริงของชีวิต เท่ากับเรากำลังพาตนเองตกสู่ห้วงมายาและภาพลวง

ทุกคนในโลกนี้ รู้วันเกิดของตนเอง ทุกคนรู้ว่าตนเองเกิดมาเมื่อใด เวลาใด แต่ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ว่าตนเองจะไปวันไหน เวลาไหน การบำเพ็ญธรรม การฝึกฝนขัดเกลาตน การเรียนรู้ความเป็นจริงแห่งชีวิต และนำพาชีวิตไปให้ถูกทาง จะช่วยทำให้เรารู้จักการดับ รู้จักชีวิตที่นำพาไปสู่การดับ เราอยู่บนโลกนี้ เรามักชอบความเกิด เกิดมี เกิดอยากได้ เกิดต้องการ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้จักการดับ ดับความมี ความอยาก ดับลาภยศชื่อเสียง เรารู้จักคำว่ามี แต่ไม่มีใครรู้จักคำว่าพอ รู้จักคำว่าอยากได้แต่ไม่รู้จักคำว่าอยากหยุด ถึงแม้รู้ก็ไม่ยอมทำ ไม่ยอมรับ ไม่อยากกระทำแบบนั้น เพราะคิดว่าโลกใบนี้สวยงามอยู่ ยังมีสิ่ง น่ารื่นรมย์ น่าปรารถนาอยู่ แต่แท้ที่จริงแล้วชีวิตก็คือความทุกข์ที่หาความสิ้นสุดไม่เคยเจอ จนกว่าเราจะหมดกายสังขาร หมดลมหายใจ เราจึงรู้ว่าเราต้องดับ ถึงรู้จักคำว่าหยุดทุกข์ แต่รู้ตอนนั้นสายหรือเปล่า (สาย) บางคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ยังมีชีวิตอยู่ ก็คงไม่คิดว่าสาย แต่ถ้าเกิดหมดสิ้นร่างกายแล้ว เขาไม่รู้อะไรเลย ยังดับอะไรไม่ได้เลย ยังตัดความพันผูกจากโลกใบนี้ จากมายาใบนี้ไม่ได้ เขาก็ต้องบอกว่าสายไปเสียแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) อยากจะยื้อยุดกลับมามีร่างกาย มีชีวิต มีลมหายใจ ก็คงไม่ได้แล้ว แต่ตอนนี้ท่านยังมีชีวิต มีร่างกาย มีเวลาทำไมไม่หาทางที่ถูกให้กับชีวิต ไม่หาทางที่ดีที่สุดให้กับตนเอง ทำไมต้องปล่อยให้ตนเองจมอยู่กับห้วงทุกข์ ความทรมาน ความเจ็บปวด และคราบน้ำตา ที่วนเวียนไม่เคยสิ้นสุด เราก็ไม่ต้องการความทุกข์ยากนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)

ทุกคนอยู่บนโลก อยากได้ความสุข อยากพบความเป็นจริง อยากมีความสว่างให้กับชีวิต แต่จะมีสักกี่คน ที่ไม่ว่าจะเงยหน้า จะหันไปทางซ้ายหรือขวาก็พบแสงสว่างของชีวิต ทุกคนไม่ว่าจะหันไปทางทิศใด ล้วนพบแต่ความมืดมน ความทุกข์ยาก และความไม่รู้ ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้ตนเองจะเป็นเช่นไร ตนเองจะมีแรงต่อไปหรือไม่ อยู่กับความไม่รู้และภาพลวง ทรมานหรือไม่ วันนี้อาจจะยังไม่รู้ หรืออาจจะรับรู้แล้วแต่ไม่จำ อย่างนี้จะให้ใครช่วยได้

“หหยดน้ำค้างไร้แรงร่วงหล่น บนถนนคลาคล่ำคนกลายกลับไร้

โลกมนุษย์นับวันยิ่งแปรเปลี่ยนไป เป็นสนามรบอันกว้างไกลไปสุดตา”



เหตุการณ์ในปัจจุบันนี้ ชีวิตของทุกคนเหมือนน้ำค้างที่อยากจะร่วงหล่น อยากจะหายไปจากโลกใบนี้ มิอยากยืนอยู่แล้ว หมดเรี่ยวแรง หมดกำลัง หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างที่จะมีแรงไปต่อสู้ ไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ อยากจะดับไปกับโลกใบนี้ก็ดับไม่ได้ มีแรงก็เหมือนไร้แรง มีร่างกายก็เหมือนอยากจะให้กายนี้ดับสูญสิ้นไป คนไม่เคยเผชิญความทุกข์ก็ไม่รู้หรอกว่า ทุกข์บนโลกนี้เจ็บปวดแค่ไหน คนไม่เคยเจออุปสรรค ความยากลำบาก ก็ไม่รู้หรอกว่าชีวิตมีค่าเพียงใด ทำไมต้องรอให้ตนเองทุกข์ เจ็บปวด หมดแรง หมดกำลัง จึงค่อยหาทาง ค่อยคิดศึกษาหลักธรรม ตอนนั้นจะมาตัด จะมาบำเพ็ญก็คงทำใจยาก วางใจลำบาก ห่วงหน้าพะวงหลัง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ตอนนี้คนที่โชคดี ไม่เผชิญกับเหตุการณ์ยุ่งยากลำบาก มีเวลา มีร่างกาย และมีโอกาส ไยไม่รีบศึกษา ค้นหาความเป็นจริงแห่งชีวิต ค้นหาทางที่แท้แห่งตนเพื่อกลับคืนสู่ความเป็นพุทธะ กลับคืนสู่ความบริสุทธิ์ใสกัน ทำไมยังปล่อยให้ตนเองตกอยู่ในห้วงแห่งโลกีย์ มายา และฝุ่นธุลีอันมากมายในโลกใบนี้

ในโลกนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย แต่จะมีสักกี่คนที่มีใจศึกษา ตั้งใจบำเพ็ญตนค้นหาทางที่แท้จริงให้กับชีวิต เวลาและยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถรักษาจิตใจอันบริสุทธิ์เหมือนเดิมได้ เวลาเปลี่ยนไปเท่าใด ใจท่านก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลาเท่านั้น โลกโหดร้ายเท่าใด ใจท่านก็โหดร้ายตามเท่านั้น

ทุกคนต่างมีจิตใจดั้งเดิมที่บริสุทธิ์ เมตตา ใสสงบ แต่เพราะการศึกษา การเรียนรู้และสภาพแวดล้อม ทำให้คนค่อย ๆ แตกต่างกันไป ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงหน้าตาอันเดิมแท้ของตนไป ลืมหมดสิ้นซึ่งความเป็นพุทธจิต ลืมหมดสิ้นซึ่งดวงจิตอันบริสุทธิ์สดใส แปดเปื้อนไปด้วยฝุ่นธุลี โคลนตม ภาพหลอกลวง และความไม่จริงใจต่อกัน

วันนี้เราได้ศึกษาเพื่อจะฟื้นฟูจิตใจอันนี้ให้กลับคืนขึ้นมาสู่ชีวิต สู่แนวทางอันดีงาม มีใครบ้างอยากจะเป็นคนร้าย อยากจะทำไม่ดี มีใครบ้างที่เกิดมาแล้วอยากจะพาตนเองร่วงลงสู่นรกหรือนรกานต์ ก็คงไม่มี ใคร ๆ ก็อยากให้ตนเองพบสิ่งที่ดี เดินไปสู่หนทางที่สะดวกสบาย ไม่อยากต้องทุกข์ ไม่อยากต้องลำบาก แต่หากตนเองไม่รู้จักนำพาตน ไม่รู้จักบ่มเพาะตนเอง ไม่รู้จักแก้ไขตนเอง ไม่รู้จักเลือกสรรสิ่งที่ดีให้กับตนเอง ทุกวันสร้างแต่สิ่งเลวร้ายผิดทำนองคลองธรรม หลักธรรมอันดีงามกลับเพิกเฉยไม่สนใจ แล้วอย่างนี้จะเป็นคนดี ได้อย่างไร ชีวิตจะร่มเย็นได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นคุณธรรมต้องสนใจ ต้องนำมาปฏิบัติ ฝึกฝน หากทุกวันทำได้ ไม่เคยกระทำผิดหรือไม่เคยมีชีวิตนอกลู่นอกทาง กระทำตนถูกทำนองคลองธรรม ถูกศีลธรรม จะกลัวอะไรกับความยากลำบาก หากตนเองเป็นคนที่ดี เที่ยงและบริสุทธิ์แล้ว จะกลัวอะไรกับคำให้ร้าย คำว่าร้าย คำด่าทอ หรือความทุกข์ยาก แต่หากเมื่อไรเรายังกลัว ยังระแวงภัย แปลว่าเราวางตนเองไม่ดี ยังนำพาตนเองไปไม่ถูกทาง ใช่หรือไม่ (ใช่)

“แแสงอาทิตย์เรืองสู้แสงไฟไม่ได้”



ในความหมายของกลอนวรรคนี้ก็เปรียบเทียบได้ว่า คุณธรรมสู้โลกใบนี้ไม่ได้ สู้มายาอันลวงหลอกที่ชักจูงท่านไม่เคยได้ ก็เพราะ ตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) คุณธรรมนั้นอยู่เฉย แต่คนสามารถทำให้ คุณธรรมมานำพาตนเองให้เป็นคนประเสริฐได้ แต่ถ้าเมื่อไรเราไม่ทำ ไม่นำธรรมไปปฏิบัติ ไปศึกษา หรือไปน้อมนำชีวิต เราก็ยากที่จะเป็นคนที่ดำเนินถูกทาง และคนที่ประเสริฐได้อย่างแท้จริง

คุณธรรมอย่างง่าย ๆ ที่ทุกคนทำได้นั่นก็คือ ความเมตตา ความเมตตานั้นนอกจากจะเห็นผู้อื่นตกทุกข์ได้ยากแล้วเราทนไม่ได้แล้ว ยังมีอีกความหมายหนึ่งก็คือ ไม่ว่าเราจะดำเนินชีวิตอย่างไร หากเรายืนอยู่ในการดำเนินชีวิตนั้นได้ คนอื่นก็ต้องอยู่ได้ นั่นก็คือสิ่งที่เราปฏิบัติ สิ่งที่เราดำเนินชีวิต ไม่ไปกระทบหรือเดือดร้อนใคร ไม่ใช่ ตนเองอยู่รอดแต่คนอื่นลำบาก อย่างนี้ก็แปลว่าการมีชีวิตของเรา เบียดบังและทำร้ายผู้อื่น ไม่ใช่จิตใจที่เมตตา ใช่หรือไม่ (ใช่) ตนเองสามารถเดินสู่หนทางนี้ได้อย่างสะดวกสบาย คนอื่นก็ต้องสามารถเดินสู่หนทางนี้ได้อย่างสะดวกสบายเช่นกัน มีจิตใจที่ช่วยตนเองได้แล้ว หนทางที่ตนเองเลือกเดิน แนวทางที่ตนเองเลือกปฏิบัติยังสามารถเป็นแนวทางให้ผู้อื่นเจริญรอยตามได้ นั่นก็คือจิตใจเมตตา

การกระทำของเรานั้น บางครั้งเราอาจจะพูดว่า ไม่เคย เบียดเบียนใคร ไม่เคยทำร้ายใคร แต่ถ้าถามถึงก้นลึกแห่งความเมตตาในจิตใจของทุก ๆ ท่าน ลองย้อนมองตรวจสอบดูว่าตั้งแต่ที่เราเกิดมาจนกระทั่งมีชีวิตอยู่ตรงนี้ ที่เราพูดว่าไม่เคยทำร้ายใคร เราทำร้ายไปเท่าไรแล้ว ถามวาจาอันไพเราะเพราะพริ้งว่าเสียดแทงทิ่มแทงคนไปมากน้อยเท่าไรแล้ว ถามการกระทำที่บอกว่าดีงามเป็นกุศล แท้ที่จริงแล้วเหยียบย่ำอยู่บนความทุกข์ของใครหรือเปล่า อย่าบอกว่าเรามีชีวิต เราไม่เคยทำร้ายใคร เป็นไปไม่ได้

ทุกวันนี้เรายากกลับคืนไม่ใช่เพราะว่าเราไม่มีโอกาสกลับคืน เรากลับคืนได้ แต่เราทนเห็นท่านทุกข์กันไม่ได้

“ผผู้เป็นใหญ่คุณธรรมมิรักษา”ค

ทุกคนในโลกนี้ มีฐานะ ตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่แตกต่างกันออกไป บางคนเป็นคนยิ่งใหญ่ในบ้านตน บางคนเป็นคนยิ่งใหญ่ในการงาน บางคนเป็นคนยิ่งใหญ่ของตัวตนเอง หากทุกคนเป็นคนยิ่งใหญ่ แต่ผู้ยิ่งใหญ่แต่ละคน ไม่เคยรักษาคุณธรรม ความดีไม่เคยทำ ทุกวันต่างทำร้ายจิตใจของตนเอง ต่างมีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ โดยไม่สนใจการสร้างความดี ไม่สนใจการแก้ไขสิ่งไม่ดีของตนเอง อย่างนี้ก็เท่ากับทำร้ายตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ความดีไม่เคยสร้าง สิ่งเลวร้ายไม่เคยขจัดทิ้ง แล้วเราจะเริ่มแก้อย่างไร

ธรรมะนี้สอนให้เราดำเนินชีวิตอย่างไร ธรรมะนี้สอนให้รู้จักดวงจิตที่สำคัญ ที่เป็นตัวควบคุมร่างกาย สั่งให้กายเคลื่อนไหวหรือปฏิบัติ การจะเริ่มต้นสิ่งใดเราต้องรู้ก่อนว่าตัวใดเป็นตัวกลไกสำคัญที่คอยขับเคลื่อนร่างกาย ขับเคลื่อนความประพฤติหรือขับเคลื่อนจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) ใจคิดอย่างไรกายก็ขับเคลื่อนไปตามที่ใจคิด กายขับเคลื่อนอย่างไร ก็ส่งผลให้พฤติกรรมการปฏิบัติเป็นไปตามที่กายต้องการ กายและใจจึงเป็นส่วนที่สัมพันธ์สอดคล้องกัน หากใจคิดปรุงแต่ง กายก็ขับเคลื่อนไปตามที่ใจต้องการ หากกายรับรู้ จิตใจก็ปรุงแต่งไปตามสิ่งที่กายรับรู้ ก็เสมือนกับเมล็ดให้กำเนิดพฤกษา พฤกษาก็ให้กำเนิดเมล็ด ฉะนั้นชีวิตจะเดินทางไปสู่ทางที่ถูกได้ ต้องอยู่ที่ใจเรานำพา ตนเอง รู้จักคิด รู้จักที่จะนำพาจิตใจนี้ถูกทางหรือไม่ หากใจคิดด้วยความรอบคอบ คิดอย่างผู้มีธรรม อย่างผู้ละอายเกรงกลัวต่อบาป การกระทำก็คงยากผิดพลาด

ถ้ากายรับรู้เรื่องราวภายนอก แต่ใจไม่ปรุงแต่ง นั่นก็คือกายรับรู้แต่ใจไม่เป็นไปตามด้วย เรื่องกายกับเรื่องใจเป็นเรื่องที่สัมพันธ์และสอดคล้องกัน หากเราจะหยุดเรื่องราวภายนอกมิให้มาทำร้ายจิตใจเราได้ เราต้องปิดกั้นกายมิให้รับรู้เรื่องราวภายนอกที่ไม่ดี ที่เลวร้ายให้ได้ก่อน หากกายเรารับรู้น้อยลง ใจเราก็ไม่สามารถที่จะปรุงแต่งได้มากมาย แต่ถ้าทุกวันกายเรารับรู้และใจเราปรุงแต่ง อย่างนี้ผลก็ต้องออกมาไม่ดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)

เรื่องราวในโลกนั้นมีทั้งดำและขาว มีทั้งดีและไม่ดี มีทั้งถูกต้องและไม่ถูกต้อง เราจึงต้องเลือกรับ ก็คือเลือกเปิดใจรับรู้ เลือกเปิดใจรับฟัง สิ่งใดดีขอให้ใจพินิจให้ถี่ถ้วนก่อน แล้วค่อยปฏิบัติ ถ้าสิ่งใด ไม่ดีก็ขอให้เอาใจเอามาคิดเหมือนกัน เอามาเป็นแบบเรียนว่า เราอย่าได้เผลอ เราอย่าได้พลั้งไปทำตาม ไปทำผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)

บ่อยครั้งที่เราบอกว่าสรรพสิ่งในโลกนี้เหมือนมายา วาจาเหมือนสิ่งสมมติ ทำไมจึงกล่าวว่าเป็นมายา เป็นภาพลวง แล้วทำไมจึงกล่าวว่าชีวิตนี้เปรียบเหมือนความฝัน เราเคยได้ขบคิดกันบ้าง หรือไม่ ทุกวันเราฝัน บางทีฝันไม่เคยซ้ำ หรือบางทีก็ฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใช่หรือเปล่า (ใช่) ตอนเด็กเราฝันอยากเป็นผู้ใหญ่ที่เติบโตมีอาชีพ มีงานการ มีครอบครัวเป็นหลักเป็นฐาน แต่พอเราเติบโตเป็น ผู้ใหญ่จริง ๆ เรากลับฝันอยากเป็นเด็กที่บริสุทธิ์ไม่ต้องรับรู้ ไม่ต้อง มีภาระ ไม่ต้องมีงานการที่ทำให้ตนเองหนักหรือเป็นห่วง ใช่หรือไม่ (ใช่) เราเคยคิดหรือไม่ว่าตอนเด็กฝันเป็นผู้ใหญ่หรือตอนผู้ใหญ่ฝันเป็นเด็ก อะไรคือความจริง อะไรคือความฝัน อะไรคือภาพลวงกันแน่ ตอนนี้ท่านอาจจะกำลังฝันอยู่ก็ได้ ฝันว่ามีชีวิตเป็นผู้ใหญ่ กำลังเผชิญความทุกข์ยากลำบากอยู่ แต่เมื่อไหร่เราตื่นจากฝันเราก็จะได้พบความเป็นจริงที่ทำให้เรารู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว ชีวิตจะทุกข์หรือสุข จะฝันดีหรือฝันร้าย ขึ้นอยู่กับตัวเราเองเป็นผู้กำหนด ตัวเราเองเป็น ผู้เลือกทางเดิน

ตอนนี้มีหนทางหนึ่งที่นำพาไปสู่ชีวิตอันประเสริฐ อันบริสุทธิ์เที่ยงแท้ ไปสู่หนทางกลับคืนบ้านเดิม ขอให้ลองศึกษาและเปิดใจรับรู้ดู มีโอกาสให้เวลาตนได้เรียนรู้หนทางนี้ดูบ้าง ให้รับรู้ความเป็นจริงของหนทางนี้บ้าง อย่าเพิ่งปิดกั้นตนเพียงเพราะว่าตนเองไม่มีเวลา อย่าเพิ่งปิดกั้นโอกาสแห่งการฟื้นฟูพุทธจิตเพียงเพราะว่าตนเอง ไม่ต้องการ

“หหยุดเบียดเบียนกันเถิดประเสริฐคุณ”ย

ใครพอจะตรวจสอบจิตใจตนเอง ตรวจสอบชีวิตของตนเองได้บ้างว่าตั้งแต่ที่เราเกิดและมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ เราได้เบียดเบียนสิ่งใดหรือทำร้ายชีวิตใครไปบ้าง (บิดา มารดา) บางครั้งเราอาจจะ พูดว่าเป็นหน้าที่ของท่าน เราให้ท่านทำหน้าที่ แต่ท่านก็มีสิทธิ์ไม่ทำได้เหมือนกัน แต่แม้เราจะปฏิบัติตอบกับท่านดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ท่านก็ยังคงทำดีต่อเรา ก็เพราะความรัก ความเมตตา ความห่วงหาอาวรณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่) หากจิตใจของพ่อแม่เกิดขึ้นกับทุกคน และทุกคนนำจิตใจนี้ไปปฏิบัติต่อทุก ๆ คน โลกนี้ก็คงสันติสุขนี้ ก็คงอยู่กันฉันท์พี่น้อง ไม่มีใครทำร้ายใคร เพราะเราก็รักเขาเหมือนพี่ เหมือนน้อง ใครเป็น ผู้ใหญ่ เราก็บูชาเขาเหมือนบิดา มารดา ใครที่อายุน้อยกว่า เราก็รักเขาเหมือนลูกเหมือนหลาน ใช่หรือไม่ (ใช่) หากทุกคนมอบแต่สิ่งที่ดี มอบแต่ความเมตตากัน ดังเช่นพ่อแม่มอบความรักความเมตตา และสิ่งที่ดีให้กับลูกอย่างไม่มีวันแหนงหน่าย อย่างนั้นก็เป็นการบำเพ็ญที่ดี เป็นการปฏิบัติที่ดี

นอกจากนี้เรายังเบียดเบียนสิ่งใดอีก (เบียดเบียนสัตว์) เคยเบียดเบียนทำร้ายสัตว์หรือเคยได้ยินเสียงร้องของสัตว์บ้างไหม เจ็บหรือเปล่า (เจ็บ) เขาเจ็บแต่เราไม่เคยรู้สึกเจ็บเหมือนกับเขา ใช่หรือไม่ แล้วเวลาที่เราโดนมีดเฉือนทีหนึ่งเราเจ็บไหม เราเจ็บเพียงน้อยแต่เขาเจ็บถึงชีวิต เราสุขเพียงน้อยแต่เขาเจ็บปวดถึงชีวิต ทำไมไอเมฆหมอกแห่งความมืดดำ ยังปรากฏอยู่บนโลกใบนี้ ก็เพราะว่าคนยังเบียดเบียนทำร้ายกัน เพียงเพื่อความสุขอันสั้น ๆ เพียงเพื่อได้ ลิ้มรสอันหอมหวาน ใช่หรือไม่ หากหยุดได้ก็หยุดเถอะ อย่าได้เบียดเบียนทำร้ายหรือพรากชีวิตเขาเลย

เวลาเรามีคนรัก ใครพรากคนที่เรารักไปเราก็เจ็บปวด เราก็เศร้าเสียใจ แต่นี่เราพรากชีวิตเขา ถ้านับกองกระดูกเทียบกับอายุ ของเรา กองกระดูกที่เราพรากชีวิตเขาไป ก็คงมีความสูงกว่าตัวตน ของเรา หรือมากกว่าชีวิตของเราอีก ไม่อยากได้ยินเสียงกรีดร้อง ไม่อยากได้ยินเสียงแห่งความทุกข์ยาก เราต้องหยุดความทุกข์ยากจากปากของเราก่อน หยุดเสียงที่พรากทำร้ายจากปากเราก่อน หากท่านรู้ตัวได้และยอมรับได้ก็เป็นสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ เราถามเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะต้องการจะว่า แต่อยากให้ท่านรู้ว่าเรามีชีวิต เราเคยตรวจสอบชีวิตเราไหมว่าเราทำร้ายเขาหรือเปล่า แม้แต่คนใกล้ ๆ ตัวเรา ปากบอกว่ารักเขา เราเคยทำร้ายเขาไปหรือไม่

นอกจากเราจะเบียดเบียนทำร้ายสรรพสัตว์ เพียงเพื่อเราต้องการลิ้มรส หรือเบียดเบียนทำร้ายคนที่เรารักแล้ว กับเพื่อนฝูง คนที่อยู่รอบข้าง คนที่อยู่ในโลกนี้ เราก็สามารถทำร้ายเขาได้โดย ไม่รู้ตัว ตอนนี้มีโอกาสได้รู้แล้วว่าชีวิตของเราไม่ว่าจะย่างก้าวไป ทางใด ขอให้คิดไตร่ตรอง ยืนอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง และมีจิตใจอันเมตตา เรายืนอยู่ได้เขาก็ต้องยืนอยู่ได้ ไม่ใช่เรายืนอยู่บนความทุกข์ยากของคนอื่น เช่นนี้ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญ

ผู้บำเพ็ญไม่ใช่จะมีแต่ความสะดวกสบาย ไม่มีความทุกข์ แต่ผู้บำเพ็ญคือผู้รู้จักและเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิตว่าทุกชีวิตต้องทุกข์ เราจะทำอย่างไร ให้เป็นผู้ที่อยู่เหนือทุกข์ และเห็นทุกข์ได้อย่างแท้จริง เห็นทุกข์เป็นเหมือนเพื่อน เป็นเหมือนชีวิตที่สอนให้เราค้นพบความเป็นจริง ทุกข์นั้นไม่ใช่แต่ความเจ็บปวดอย่างเดียว แต่ความทุกข์ยังสามารถทำให้ท่านตรัสรู้ รู้ตื่น หลุดพ้นจากโลกใบนี้ได้ อยู่ที่ว่าเมื่อเราเจอทุกข์เราปฏิบัติต่อทุกข์เช่นไร เราอยู่เหนือทุกข์ได้หรือเปล่า หรือจมอยู่ในทุกข์เหมือนเดิม

เวลาเราอยู่บนน้ำ เราสามารถมองเห็นว่าสายน้ำไหลไปทางใด คดเคี้ยวเลี้ยวลดมากเท่าใด แต่ถ้าเมื่อใดเราตกอยู่ในห้วงน้ำ เราไม่สามารถมองเห็นได้ว่าน้ำเป็นอย่างไร ทางข้างหน้าของน้ำจะ คดเคี้ยวหรือน่ากลัวมากเท่าใด เราจะรู้จักโลกใบนี้ได้ก็ต่อเมื่อ เราเข้าใจและวางตนเองอยู่เหนือโลก หากเมื่อใดเราวางตนเองอยู่เหนือโลกนี้ได้เราก็จะสามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าทางใดที่จะนำพาไปสู่ความยากลำบาก ทางใดที่จะนำพาไปสู่ความสงบ ความหลุดพ้น แต่ปกติแล้ว เรายืนอยู่บนโลก สายตาเราก็อยู่เหนือโลก ตัวเราไม่ได้จมอยู่กับโลก แต่เราไม่สามารถวางจิตใจอยู่เหนือโลกได้ เพราะว่าใจเราพันผูกอยู่กับความรู้ สิ่งที่เราเรียนรู้ หรือสิ่งที่แวดล้อมเรา แล้วยากที่จะทำใจให้อยู่เหนือภาวะการณ์หรือเหตุการณ์ที่มากระทบจิตใจได้ แต่ถ้าเมื่อใดเราวางจิตใจ ให้อยู่ห่าง ให้อยู่เหนือ เราก็ย่อมสามารถ เห็นได้ชัดเจน และตรวจสอบได้ละเอียด ยกตัวอย่างง่าย ๆ เข่น นก ที่อยู่บนฟ้า ย่อมยากจะเห็นว่าฟ้าที่แท้จริงเป็นเช่นไร ปลาที่อยู่ในน้ำย่อมไม่รู้ว่าตนเองนั้นอยู่ในน้ำ แต่มนุษย์เราประเสริฐยิ่งกว่านก มีปัญญา มีสติ มีคุณธรรมที่สามารถตัดกิเลส ตัดตัณหา นำไปสู่ความหลุดพ้นได้ด้วยปัญญา ด้วยสติ ด้วยธรรมญาณอันนี้ที่ได้รับรู้ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะรู้จักนำไปใช้ให้ทันเหตุการณ์หรือเปล่า ไม่ใช่ตกอยู่ในเหตุการณ์แล้วพ่ายแพ้ แม้จะมีสติ มีคุณธรรม มีปัญญาก็ใช้ อะไรไม่ได้ อย่างนั้นก็ไม่มีประโยชน์

“ทท่านต่างมีบุญสัมพันธ์กับพุทธะ ที่ชนะตนเองเพราะเมตตาหนุน”



วันนี้มีโอกาสได้มาผูกบุญสัมพันธ์กัน มีโอกาสได้มาพบหน้ากัน และมีโอกาสได้รับรู้ถึงพุทธจิตธรรมญาณที่แฝงอยู่ในตนนี้ ก็เพราะว่าเราสามารถเอาชนะจิตใจ และสามารถสละเวลาของตนเอง

“มมารดาอุ่นใจเมื่อท่านคืนบ้านเดิม”



ทุกชีวิตต่างมีที่มาและที่ไปของตน กายก็มีบ้านของกาย จิตญาณดวงนี้ที่แฝงอยู่ในกาย ก็มีบ้านของจิตญาณ วันนี้เรารู้ว่าตนเองมาได้อย่างไร แต่ต่อไปจะมีใครรู้ได้ว่า ตนเองจะกลับไปเช่นไร หากคนที่ทำดี รู้แล้วซึ่งหนทางแห่งการกระทำดี บำเพ็ญดี และขัดเกลา ตนเองเพื่อสิ่งที่ดี เขาก็ย่อมกลับไปในทางที่ดีได้ แต่ถ้าทุกวันไม่เคยได้ฝึกฝนตน ไม่เคยได้สนใจศึกษาธรรม มีชีวิตอยู่กับลาภยศ เงินทอง ชื่อเสียง เขาก็ยากที่จะกลับไปได้ เพราะเขาไม่รู้หนทางของตน ทางของตนและทางของชีวิตมีแต่คำว่าเงินทอง การเรียนรู้ มีแต่การพัฒนาเพียงร่างกายแต่ขาดซึ่งการพัฒนาที่จิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)

วันนี้เรามาศึกษา มาเรียนรู้หลักธรรม ธรรมนี้ไม่ใช่อื่นไกล ไม่ใช่เป็นการปรุงแต่งเสริมเติมขึ้นมา แต่เป็นธรรมที่มีอยู่เดิม แต่ต้องการให้ท่านค้นพบ หาให้เจอและทำความเข้าใจให้จงได้ แล้วนำไปใช้ นำไปปฏิบัติให้สอดคล้องกับชีวิตแล้วนำพาชีวิตไปให้ถูกทาง ทางมีอยู่แล้วขอให้ท่านมาศึกษาแล้วรีบเดินแล้วนำพาตนเอง ความเป็นพุทธะ ความมีจิตใจอันดีงามมีอยู่แล้วในตัวของท่าน ขอให้ค้นให้พบ

หากทุกวันหมั่นนำแต่สิ่งที่ดีงามออกมาใช้ มาปฏิบัติต่อกัน ความดีงามย่อมยากจะเลือนหาย ความชั่วร้ายย่อมหมดสิ้นไปได้ แต่ถ้าทุกวันคุณธรรมไม่สนใจ ความชั่วร้ายย่อมง่ายที่จะมาแทรกแซง ง่ายที่จะมานำพาจิตใจ นำพาชีวิตของตัวเรา

ทุกคนเป็นพุทธะได้ เป็นคนดีที่แท้จริงได้ และเป็นคนที่ไปให้ถึงซึ่งความดีได้ อยู่ที่ว่าเขามีความมุ่งมั่น มีความตั้งใจจริงหรือเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่) หากเราตั้งใจจริงจะบำเพ็ญตนให้เป็นคนดีให้จงได้ มีหรือที่ท่านจะเป็นคนดีไม่ได้ เป็นพุทธะหนึ่งคนไม่ได้ ขอเพียงอยู่ที่ว่าเราจะเลือกเดินทางใด

คุณธรรมสามารถทำให้ท่านมีชื่อเสียง มีลาภยศได้ แต่คนที่มีลาภยศ มีชื่อเสียงบางครั้งสร้างคุณธรรมให้กับตนเองไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราสามารถหาความสุขอันสงบได้จากการศึกษาธรรม จากการเรียนรู้หนทางแห่งธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเรามีเงิน มีทองเราซื้อความสุขได้ไหม (ไม่ได้) อาจจะได้ แต่ก็เพียงน้อยนิด ชั่วครู่ ชั่วครั้ง แล้วก็เปลี่ยนไปไม่จบสิ้น ไม่เหมือนความสุขสงบในธรรม ความสุขสงบในการบำเพ็ญตน

วันนี้มีโอกาสได้เรียนรู้หนทางหนึ่งให้กับชีวิตของตนเอง หากทำได้ปฏิบัติได้ ท่านก็เป็นคนดีที่แท้จริง เป็นคนที่มีเมตตาไม่เบียดเบียน ไม่ทำร้ายใครได้ มีโอกาสขอให้ทำ อย่ารั้งรอ ทำดีไปเถิด ให้ไปเถิดไม่เสียหายอะไร ผู้ที่รู้จักให้ย่อมเป็นสุขในคำว่าให้ แต่ผู้ที่วอนขอย่อมยากจะมีความสุขได้ เพราะเขาไม่รู้จักสุขในตนเอง เอาแต่ขออยู่ร่ำไป ใช่หรือไม่ (ใช่)

วันนี้เรามีโอกาสมาผูกบุญสัมพันธ์กับท่าน ต่อไปขอให้นำพาชีวิตของตนเองให้ดี การสวดมนต์ ท่องมนต์ ท่องบ่นชื่อนามแห่งเรานั้น จะไม่มีประโยชน์เลย ถ้าปากท่องแต่ใจไม่ได้ทำตาม นามของเรามีความหมายว่าอะไร รู้ไหม การเรียนหนังสือถ้าเอาแต่ท่องก็ไม่มีความหมาย ต้องเข้าใจถึงสิ่งที่ท่อง เมื่อเข้าใจแล้วต้องปฏิบัติได้ถึงสิ่งที่ตนเองท่อง ถึงจะเกิดประโยชน์ การเอาแต่ร้องเรียกนามแห่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ตนเองไม่ได้ปฏิบัติ ไม่ได้ทำความเข้าใจ พูดได้แต่ทำ ไม่ได้ย่อมไม่เกิดประโยชน์ ใช่หรือไม่

นามของเราหมายความว่าอะไร (เมตตา) จิตใจเมตตานั้นจะเกิดขึ้นได้ต้องไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ต้องรักทุกคนได้ เรารักลูกเช่นไร เราก็ต้องรักคนอื่นได้เช่นรักลูกเรา นี่ถึงจะเป็นความเมตตาและความรักที่แท้จริง บริสุทธิ์ ยุติธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)

(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมอธิบายความหมายของพระนามของท่าน : นามของท่านคือ ““กวนอินผูซ่า”ว หมายถึง พระโพธิสัตว์ผู้ซึ่งเพ่งพินิจฟังเสียงร้องทุกข์ของสรรพสัตว์ แล้วมาฉุดช่วยเวไนยสัตว์ในโลกนี้)

วันนี้เป็นโอกาสอันดีที่เราได้กลับมาพบกันอีกครั้งหนึ่ง ขอให้ต่อไป เสียงที่เราได้ยินจากท่านเป็นเสียงที่พ้นแล้วจากความเป็นทุกข์ เป็นเสียงที่เบิกบานและมีความสุขกันทุกคน ความทุกข์อะไรที่ตอนนี้ต้องเผชิญ และยังฝ่าไม่ได้ขอให้ยอมรับและอดทนฝ่าสู้ไปให้ได้ อย่าได้ยอมแพ้ ทุกคนต่างมีกรรมเป็นของตน จะหลบหนีแล้วบอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เห็นใจ ไม่ช่วยเหลือ เราก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร เพราะว่าความเมตตา และความยุติธรรมก็ต้องมีเท่าเทียมกัน จะมีเมตตาแต่ ไม่ยุติธรรมก็เป็นไปไม่ได้ เราก็รักทุกท่าน แต่สรรพสัตว์ที่เขามา ทวงถาม มาทวงหนี้จากท่าน เราก็ต้องรักเขาเหมือนกัน แม้เขาจะมาด้วยท่าทีอันโหดร้าย รุนแรง มาทวงถามเอาจากท่าน หากเรารักท่านแต่ไม่รักเขา เราก็ไม่ใช่ผู้สดับรับฟังเสียงแห่งทุกข์ ความยุติธรรมก็ต้องหายไปจากตัวเรา แล้วก็หายไปจากใจท่านเหมือนกัน

หากเราไม่อยากต้องเผชิญทุกข์ ไม่อยากให้ใครมาทำร้าย ตัวท่านก็อย่าได้ทำร้ายตนเอง ทางใดที่เป็นทางที่ดีงาม ทางอันประเสริฐขอจงรีบเดินไป รีบปฏิบัติ ชีวิตเราอยู่ที่เท้าเรา อยู่ที่ใจเราว่า จะเลือกเดินทางใด ตอนนี้มีทางที่ดีแล้ว คือทางที่ไม่ต้องเบียดเบียน ทำร้ายใคร เป็นทางที่ประเสริฐ ทางที่แท้จริง เป็นธรรมะที่ทำให้เรารู้จักจิตญาณที่แท้จริง รีบ ๆ ศึกษา ทำความเข้าใจ โลกใบนี้ที่ว่าสวยงามแท้จริงแล้วเราต้องมองให้เห็นซึ่งความเป็นจริง อะไรคือความจริง อะไรคือลวงหลอก จิตญาณอันดีงามนี้ขอให้รักษาให้คงอยู่ อย่าปล่อยให้กิเลส อารมณ์ ความคิด ความถือมั่น และความเป็นตัวของตัวเองมาพรากไป มาทำร้ายให้หม่นหมอง ใครก็ทำร้ายเราไม่เจ็บปวดเท่าตัวเราเอง ทำร้ายตนเอง ใครก็ไม่นำพาตนเองให้ไปสู่ทางประเสริฐได้เท่ากับ ตนเองได้รู้แจ้ง ได้รู้แล้วถึงความเป็นตัวตนที่แท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)

คนทุกคนไม่ได้แตกต่างกันเลย แตกต่างกันเพียงรูปร่างภายนอก อุปนิสัยภายนอก แต่แท้ที่จริงแล้วทุกคนมีแก่นแท้ความเป็นจริงที่เหมือนกัน คือความบริสุทธิ์ ความดีงาม ค้นหาให้เจอแล้วฟื้นฟู ให้จงได้ เปิดออกแล้วนำสู่ปวงชน ช่วยเหลือคน ช่วยเหลือตน เมื่อไร ที่เราพบความบริสุทธิ์ที่แท้จริงในตนได้ เมื่อนั้นเราก็เป็นพุทธะ เป็นผู้ประเสริฐได้ เห็นใครทุกข์ยาก เห็นใครเดือดร้อนมีใจช่วยเหลือ มีใจนำพาเขาไปให้ถูกหนทาง ให้เขารู้จักนำพาชีวิตของเขาให้จงได้ นั่นเป็นการช่วยที่ประเสริฐยิ่งกว่าให้ทรัพย์สิน เงินทองเสียอีก ใช่หรือไม่ (ใช่) การที่เขารู้จักชีวิต และนำพาชีวิตตนเองให้เป็น ให้ถูกทาง ให้ยืนหยัดสู้และมีใจไปช่วยเหลือคนอื่นได้ เป็นการช่วยที่ดี ที่ประเสริฐยิ่งแล้วของการเป็นพุทธะ ของการฝึกฝนบำเพ็ญตน ใช่หรือไม่ (ใช่)

ใครล้ม ใครท้อ ใครเหนื่อย ส่งมาให้เราก็ได้ เจ็บปวดมาก เท่าไรเอามาให้เราก็ได้ แต่ให้เราแล้วต้องมีแรงต่อสู้ต่อไป ต้องมีแรงบำเพ็ญตนต่อไป เป็นคนดีให้จงได้ อย่ายอมแพ้ในการทำความดี อย่าอ่อนแอกับความชั่วร้าย

ทุกคนต่างมีทิฐิ ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนเอง ขอให้ละลายออกบ้าง บางครั้งความเป็นตัวของตัวเองนั้นไม่เคยให้คุณกับ ตัวเราเลย ทำร้ายตัวเราเปล่า ๆ ยอมเขาได้ก็ยอมไปเถอะ ให้เขาได้ก็ ให้ไปเถอะ การให้เป็นสิ่งที่ดีงามไม่ใช่หรือ เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ ไม่ใช่หรือ ทำไมถึงไม่รู้จักให้ ทำไมต้องเอาแต่ว่าเขา ทำร้ายเขาโดย ไม่รู้ตัวตนเอง ทำไปก็ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ให้อภัยได้ก็ให้อภัย แล้วสู้ชีวิตต่อไปให้จงได้ อย่าได้เบียดเบียนทำร้ายกันอีกเลย ไม่คุ้มหรอกกับชีวิตหนึ่ง ที่เกิดมาแล้ว ความดีไม่เคยทำ แต่ความชั่วร้ายทำอยู่ทุกวัน จะมีประโยชน์อะไร

เป็นคนสวยแต่ภายนอก ดีแต่ภายนอกแต่จิตใจคอยห้ำหั่น ทำร้ายเขา ไม่เคยช่วยเขา แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าเมตตาก็เรียกไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) จะเรียกว่าคนดี คนบำเพ็ญธรรม ก็ไม่มีใครกล้าเรียกเราหรอก จริงไหม

คนที่อายุยังน้อย มีโอกาสได้มาศึกษาธรรมวันนี้ อย่าคิดว่าเรามาหลอกลวง ขอให้เอาไปคิดให้ดี บ่อยครั้งที่ดอกไม้อันสวยงามก็ถูกเด็ดทิ้ง ปลิดทิ้งก่อนดอกไม้ที่ใกล้จะร่วงโรยอีก ก็เปรียบเหมือนชีวิตคน อย่าคิดว่าผมตนเองยังดำ วัยตนเองยังแข็งแกร่ง แต่ต่อไปจะรู้หรือ บ่อยครั้งที่คนผมดำไปก่อนผมขาว ใช่หรือเปล่า (ใช่)

ขอให้รักษาบุญ รักษาโอกาส ของตนเองให้ดี วันนี้มีโอกาส ได้มาศึกษาขอให้มานั่งศึกษาให้ครบ



























วันอาทิตย์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๑

พระโอวาทท่านแปดเซียน หลันไฉ่เหอ



ลมพัดเบาเย็นไม่เท่าลมพัดแรง แต่ลมแรงกลับพัดน้ำกระเพื่อมไหว

คนใกล้เรากลับไม่ดีเท่าคนไกล แต่เสมอต้นปลายมิขาดตอน

เราคือ

หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเหยรินเต๋อ แฝงกายกราบ

องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ



ทำดีมีความสุขปลอบฤทัย คนจริงใจได้เปรียบไร้กังขา

ควรฝึกการสละจากตื่นมา ผ่านเวลาไปไม่อาลัยเพราะระวัง

ความสะดวกที่แฝงทุกข์อันขื่นขม หลงชื่นชมสบายเข็ญภายหลัง

ฝึกตนไม่กอปรเมตตาเป็นทาง ที่สุดร้างใจเยือกเย็นยากสงบ

ทรมานในรักโลภและโกรธหลง ชีพดำรงชัดเห็นยิ่งการพบ

กว่ารู้สึกผ่านไปเมื่อหลายจบ เถ้าถ่านกลบควันกลับอยู่ยากอำพราง

ต้องเน้นหนักการบำเพ็ญให้บริสุทธิ์ และควรหยุดเรื่องอารมณ์ความบาดหมาง

จะเดินต่อพยายามให้ถูกทาง เพ่งกำลังความกล้ามากใช่น้อย

สังคมถิ่นบิ่นบ้าเกินเพิ่มมายา หากปัญญาน้อยเกินเก่งกล้าด้อย

เหตุแห่งมิสิ้นขัดสนเกียจคร้านบ่อย ยศเงินน้อยไม่อับจนบำเพ็ญไป

สิ่งที่คู่เคียงอดทนคือเวลา โอกาสจะผลักคุณค่าเกิดขึ้นได้

ฉะนั้นจงมุ่งทางทิศที่ตั้งใจ ด้วยหนึ่งใจผลักดันปราศจากปลอม

ผู้บำเพ็ญขาดเชื่อมั่นย่อมลำบาก ยามเจออุปสรรคหวั่นไม่เคยพร้อม

ซ้ำเคราะห์กรรมหากไม่สิ้นทวีล้อม ขณะเผลอเวลาพร้อมไปไม่ทัน



คนประมาทเดินหน้าไม่อาจสำเร็จ เสมือนเกร็ดแห่งชีวิตคนคือขยัน

ถือหลักการถอยหนึ่งก้าวฝ่าภยัน การอภัยคือของขวัญแห่งชีวิตตน



ฮา ฮา หยุด





พระโอวาทท่านแปดเซียน หลันไฉ่เหอ

“ลลมพัดเบาเย็นไม่เท่าลมพัดแรง

แต่ลมแรงกลับพัดน้ำกระเพื่อมไหว”_

ตัวเรานั้นมักไม่ค่อยพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ พอมี อย่างหนึ่งก็อยากได้ดีกว่าหรือมากกว่า แต่ถ้าคนเราพอใจ มีความสุขกับสิ่งที่ตนเองมี ก็คงเป็นสุขไม่น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่) พอมีหนึ่งแล้วอยากมีสอง มีสองแล้วก็อยากมีสาม แต่พอมีสามแล้วมีใครอยากกลับมาเป็นมีหนึ่งบ้าง บ่อยครั้งที่พอเรามีหนึ่งแล้วก็อยากมีสอง มีสาม แต่พอมีสอง สาม เราก็อยากกลับไปมีหนึ่งใหม่ เป็นอย่างนั้นไหม เหมือนกลอนที่เราให้ พอลมพัดเบา ๆ เราก็รู้สึกว่าเย็นดี แต่น่าจะพัดแรงหน่อย แต่พอลมพัดแรง เสื้อผ้า ผมเผ้าที่อุตส่าห์ทำเสียสวยก็กระจัดกระจายยุ่งเหยิง แล้วก็มาคิดใหม่ว่าลมพัดเบา ๆ นั่นแหละดีแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนี้จะโทษคนหรือฟ้าที่ไม่ยอมตามใจเรา (โทษตัวเอง)

มีนิทานเรื่องหนึ่งเล่าว่า มีคน ๆ หนึ่งเขาทำความดี ฟ้าจึงให้โอกาสเขาขออะไรก็ได้หนึ่งครั้ง เขาก็เลยขอเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็รังแก เขาไม่ได้ พอเป็นอย่างหนึ่งแล้วเขาก็อยากเปลี่ยนแปลงเป็นอีกอย่างหนึ่ง เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนไม่รู้จะเป็นอะไรดีแล้ว เขาก็บอกว่าขอ กลับเป็นคนแบบเดิมนั่นแหละดีที่สุด แต่กว่าเขาจะคิดได้ก็สายไป เสียแล้ว เพราะเขาขอได้เพียงครั้งเดียว ใช่หรือเปล่า (ใช่) มนุษย์เราขอได้กี่ครั้ง แก้ได้กี่หน บางครั้งเดินหน้าแล้วเราถอยกลับไม่ได้ หรือบางครั้งถอยหลังแล้วเราอยากเดินหน้าจะได้ไหม เวลาเรา ถอยหลังแล้วเดินหน้าย่อมง่ายกว่าเดินหน้าแล้วถอยหลัง ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นบางครั้งมีน้อย ๆ หรือแทบจะไม่มีก็มีความสุขได้ อยู่ที่ว่าเราทำใจได้หรือเปล่า ใจเราติดในความยึดมั่นอะไรจนเกินไปหรือไม่ เช่นนี้ความสุขก็จะหาได้ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ ความทุกข์ก็ยากที่จะเดินเข้ามาหาชีวิตเราได้

“คคนใกล้เรากลับไม่ดีเท่าคนไกล”



คนอยู่ใกล้ ๆ เรา เราไม่เคยชอบเขาเลย กลับบอกว่าคนอยู่ไกลดีกว่าอีก แต่หากบ้านเราหรือคนที่อยู่ใกล้เรา เรายังไม่สามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข แล้วเราจะไปอยู่กับใครได้มีความสุข จริงหรือไม่ (จริง) เพราะคนที่อยู่ข้าง ๆ เรายังรักเขาไม่ได้ แล้วเราจะไปรักคนที่เราบอกว่าเขานิสัยดีกว่าคนใกล้ตัวได้หรือไม่ ตอนนี้อาจจะพูดว่าได้ แต่ถ้าถึงคราวไปอยู่ใกล้เขาจริง ๆ เราอาจจะรู้สึกว่าอยู่ไม่ได้เลยก็ได้

เวลาเราอยู่กับคนในบ้าน เรามักจะไม่ชอบเขา เรามักจะชอบคนข้างนอกบ้าน แล้วยกย่องคนข้างนอกบ้านว่าดีกว่าคนในบ้านเรา แต่พอเราไปมีชีวิตอยู่ร่วมกับเขา เราก็มานั่งนึกเสียใจว่า จริง ๆ ทั้ง คนนอกบ้านและในบ้าน ไม่ต่างกันเลย ไม่ดีพอ ๆ กันเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วอย่างนี้เราจะโทษตัวคนในบ้านหรือนอกบ้านดี (ต้องโทษ ตัวเอง) ต้องโทษใจเราต่างหากที่มีปัญหา ไปอยู่กับใครก็ไม่รอด จะไปโทษคนข้างนอกหรือคนในบ้านไม่ได้ ฉะนั้นอย่าได้เป็นผู้ที่พลาดโอกาสหรือผิดหวังไปแล้ว ถึงจะเห็นคุณค่าของสิ่งที่ตนเองมี สิ่งที่ ตนเองได้รับ หรือรู้ประโยชน์ของคนที่อยู่ใกล้ ถึงตอนนั้นก็สายไป เสียแล้ว เมื่อเรามีชีวิตอยู่ขอให้พินิจพิจารณาให้ดีว่า สิ่งที่เราบอกว่าชอบหรือไม่ชอบ ดีหรือไม่ดีนั้นแท้ที่จริงแล้ว มีอะไรที่ลึกซึ้ง มีอะไร มากมายกว่าคำที่เราคิดหรือเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)

ตัวคน ๆ หนึ่ง หรือสิ่งของสิ่งหนึ่ง เราไม่ควรที่จะมองรูปร่างลักษณะเพียงด้านเดียว ทุก ๆ อย่างในโลกนี้ หรือแม้แต่ใจของเราเองยังมีหลายแง่มุม หลายด้าน หลายทิศ ใช่หรือไม่ (ใช่) จะมองสิ่งใด ไม่ว่าตัวคน หรือสิ่งของ ต้องรู้จักมองหลายด้าน แต่ที่สำคัญก็ต้องถามใจเราด้วยว่าพร้อมจะเปิดกว้าง พร้อมจะยอมรับทุกด้าน ทุกมุมในเรื่องราวความเป็นจริงของคน หรือสิ่งที่เข้ามาในชีวิตเราหรือไม่ หากเรายอมรับได้ก็ไม่มีปัญหา ชีวิตก็มีความสุขได้

มีความสุขกันหรือเปล่า (มี) ถ้านั่งตรงนี้ยังมีความทุกข์อยู่ ออกไปก็คงยากที่จะหาความสุขได้ สุขจากอะไร (จากที่เรามืดมน ทำให้เราสว่างขึ้น, ชำระจิตใจให้ใจมีความสุข, ทำให้จิตใจผ่องใสบริสุทธิ์ที่ได้ทานอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์, ได้ขัดเกลาจิตใจให้ผ่องใสขึ้น) แต่พอกลับบ้านไปเจอเรื่องที่ไม่ถูกใจก็ขุ่นเหมือนเดิม ใช่หรือไม่

การทำดีแล้วมีความสุขกับการทำชั่วแล้วมีความสุข กระหยิ่มยิ้มย่องใจเห็นคนอื่นเป็นทุกข์ อย่างไหนมีความสุขมากกว่ากัน (อย่างแรก) เวลาคนที่เราเกลียดเป็นทุกข์เราก็ไม่ควรรู้สึกมีความสุข ยินดีในใจเรา เพราะผู้ที่มีความแค้น ความโกรธเคืองแล้วก็ผูกความแค้น ความโกรธเคืองต่ออีก ก็เท่ากับเราต้องผูกปมไปไม่รู้เท่าไร ฉะนั้นเราอยากหยุดแค้น หยุดปมนั้น เราก็ต้องรู้จักคลายปมออก มีแค้นมาต้องไม่รู้จักแค้นตอบ นั่นคือการเปิดใจเมตตา เสียสละและ ยอมเขา ใช่หรือเปล่า (ใช่)

มนุษย์เราเกิดมาเพื่ออะไร (เพื่อชดใช้หนี้กรรม,เพื่อบำเพ็ญสร้างกุศล) เราเคยถามตัวเองไหมว่าตั้งแต่เราเล็กจนเติบใหญ่ เราเกิดมาเพื่ออะไร บางคนคิดว่าเราเกิดมาเพื่ออยู่ไปวัน ๆ มีงานการ มี ครอบครัวที่เป็นสุข (เกิดมาเพื่อช่วยเพื่อนร่วมโลก,เพื่อตอบแทนผู้มีพระคุณ,เกิดมาเพราะว่าบัญชาของสวรรค์หรือนรกก็ไม่ทราบ) เป็น คำตอบที่แปลกพอสมควร แต่ก็ทำให้เราได้รู้ว่า เรายังไม่รู้ว่าเรามาจากไหน ฉะนั้นถึงแม้ว่าเราไม่รู้ว่ามาจากไหน แต่เราสามารถกำหนดทิศทางที่เราจะกลับได้ แม้เราไม่รู้ว่าอดีตเรามาจากไหน แต่ต่อไปเราต้องสามารถกำหนด และมุ่งหมายที่จะไปให้ถึงตรงนั้นได้ หากตอนนี้เราไม่รู้ แล้วเราก็กลัวว่าเราจะมาจากเบื้องล่างมากกว่าเบื้องบน ตอนที่เรามีชีวิตอยู่เราต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตนเองไม่กลับไปยังเบื้องล่าง ให้ตนเองมุ่งไปสู่เบื้องบนให้จงได้

มีคำกล่าวไว้ว่ามนุษย์นั้นเกิดมาเพื่อความชอบธรรม หากวันใดวันหนึ่งเราสูญเสียความชอบธรรมไป แม้เราจะมีชีวิตรอดก็เป็นเพียงความโชคดีเท่านั้น เพราะหากมนุษย์เราเกิดมา แต่มีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ โดยไม่สนใจคุณธรรมความดี เขาจะเป็นคนดีได้หรือไม่ คนดีเท่านั้นถึงจะเป็นคนที่มีประโยชน์ต่อสังคม เป็นที่ต้องการของสังคม และคนดีเท่านั้นถึงจะเชิดชูประเทศ เมือง ครอบครัว หรือตัวตน ให้มีความผาสุกร่มเย็นได้

หากเรามีชีวิตอยู่โดยไม่เคยคำนึงถึงความชอบธรรม แม้จะรอดพ้นไปได้ก็เป็นความโชคดีเพียงชั่วครู่เท่านั้น บนโลกใบนี้คนที่ โชคดีบ่อย ๆ มีน้อยมาก ใช่หรือไม่ (ใช่) โชคมักจะมาน้อยครั้ง แต่เคราะห์กรรมและความทุกข์ยากมักจะมาบ่อยครั้ง หากทุกวันเราปฏิบัติดี กระทำแต่สิ่งที่ดี แม้จะมีโชคร้ายไปบ้างเราก็ไม่กลัว เพราะเราทำดีมาตลอดชีวิต กลับไปเราก็ต้องได้ดีแน่นอน แต่ถ้าเรามีชีวิตอยู่ เราไม่เคยคำนึงถึงความดี เวลาทำอะไรก็ไม่เคยสนใจเรื่องความดี จะกลับไปก็ต้องหวาดผวาและหวาดกลัว ฉะนั้นเวลาเราเกิดมาเราต้องรู้ด้วยว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร ไม่ใช่เพื่อแค่มีชีวิตอยู่ไปวันหนึ่ง หรือเพียงเพื่อมีครอบครัวเท่านั้น เราต้องสามารถมีชีวิตอยู่แล้วสามารถที่จะ มุ่งไปสู่อนาคตที่แจ่มใสและสว่างไสวได้ด้วย

ในที่นี้ทุกคนชอบที่จะกระทำความดี แต่การทำความดีที่แท้จริงต้องไม่ขึ้นอยู่กับความพอใจ หรือมาตรการใดของสังคม ความดี ที่แท้จริงนั้นขึ้นอยู่กับกฎแห่งสัจธรรม ซึ่งไม่ผันแปรไปตามบุคคลหรือสถานการณ์ใด คนทำดีที่แท้จริงต้องทำดีเพราะตนเองต้องการที่จะทำ และยืนหยัดที่จะรักษาความดีนี้ให้คงอยู่กับโลก ไม่ใช่ทำเพราะว่าใจเราพึงพอใจ ใจเราอยากจะทำ แต่ต้องทำเพราะว่าเราต้องการรักษาความดีไว้ให้อยู่เคียงคู่กับโลกนี้นิจนิรันดร์

ผู้ที่รักษาความดีได้ เวลาไปอยู่ที่ใดความดีก็จะต้องแวดล้อม ผู้นั้น เสมือนกับว่าการถนอมใจคนนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าถนอมใจ คนหนึ่งแล้วต้องบิดเบือนความเป็นจริงแห่งสัจธรรม อย่างนั้นเรา ไม่ควรทำ เพราะว่าการบิดเบือนความเป็นจริงแห่งคุณธรรม เท่ากับว่าเราต้องการรักษาอัตตา ความยึดมั่นถือมั่น ความเอาใจเขาโดยไม่เห็นความถูกต้องเป็นหลักใหญ่มากกว่าความถูกต้องแห่งหลักสัจธรรม ซึ่งเป็นการทำที่ไม่ถูก เพราะว่าการถนอมใจคนเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้า ถนอมใจแล้ว ต้องบิดเบือนความเป็นจริง บิดเบือนหลักสัจธรรมเรา ไม่ควรทำ เพราะว่าการทำลายอัตตา ความยึดมั่นถือมั่น หรือ การเอาใจเขา ย่อมประเสริฐกว่าทำลายสัจธรรมความเป็นจริงแห่งชีวิต

หากเรามีชีวิตอยู่ เราทำความดีเพราะว่าต้องการรักษาหน้า ต้องการเอาใจเขา อย่างนี้ย่อมไม่ได้ผลดี เพราะว่าเราทำไม่ใช่เพื่อ ยึดมั่นในสัจธรรมของโลก แต่เราทำเพราะต้องการเอาใจเขา เป็นการทำความดีที่ไม่ถูกต้อง คนที่ทำความดีต้องทำเพราะต้องการธำรงซึ่งสัจธรรมความเป็นจริงที่ว่า “ททำดีย่อมได้รับผลดี” ทำดีเพราะเห็นเขาเดือดร้อน เป็นทุกข์ ไม่ใช่เพราะว่าเอาหน้าหรือเอาใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)

คนที่ทำดีแล้วย่อมไม่หวาดกลัวว่าคนอื่นจะว่าเขาไม่ดี เพราะไม่ว่าเขาจะไปอยู่ที่ไหนความดีย่อมฉายปรากฏ ไม่ว่ามองมุมใดก็ย่อมเห็นความดีของเขาได้ ไม่เหมือนคนที่ไม่เคยทำความดี เขาจะต้องทน ไม่ได้ที่คนอื่นว่าเขาเป็นคนไม่ดี ไม่ได้เรื่อง พอเขาทำดีได้ครั้งหนึ่ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะอวด ที่จะสำแดง ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นคนดี ที่แท้จริงต้องไม่กลัว ไม่อวดตน ถ้ามองเมื่อใดก็เห็นความดีเขาได้ เมื่อนั้น เขาก็เป็นคนที่สามารถสร้างความดีได้ทุก ๆ โอกาส ทุก ๆ สถานการณ์

การทำความดีเราย่อมได้รับผลดี แต่บางครั้งเราแสดงความเป็นเจ้าของความดีนั้นไม่ได้ เหมือนเวลาเราจุดตะเกียงให้แสงสว่างแก่ผู้มืดมน เราไม่สามารถครอบครองแสงสว่างเป็นของเราได้ หรือเวลาเรามีน้ำใจลุกให้คนอื่นนั่ง แม้ตนเองจะต้องยืน หรือเรามีเงิน เพียงเล็กน้อย แต่เขาทุกข์ยากกว่า เรายินดียอมสละให้ บางครั้งเรา ไม่สามารถครอบครองและแสดงความเป็นเจ้าของขณะที่สละได้ แต่ทุกครั้งที่เราได้ทำเราก็รู้สึกสบายใจ อิ่มเอิบและเป็นสุขใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเมื่อมีโอกาสเราก็ทำดีไปเถิด อย่าทำเพราะว่าตามใจหรือต้องการรักษาหน้า แต่ทำเพราะว่าต้องการธำรงความดีให้อยู่คู่กับโลกและความเป็นจริงบนโลกนี้นิจนิรันดร์ หากทุกขณะเราทำเช่นนี้เราก็ไม่หวาดกลัว แม้ดีนั้นจะออกมาผลร้ายหรือเสียก็ตาม เพราะทำแล้วเราไม่ได้ครอบครองเป็นเจ้าของ เราจึงไม่หวาดกลัวผลที่ตามมา ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ทำดีแล้วต้องตั้งใจทำอย่างจริง ๆ จัง ๆ ไม่ใช่ ทำอย่างไม่ค่อยเต็มเม็ดเต็มหน่วย อย่างนี้ผลก็ยากที่จะดีได้อย่าง แท้จริง จึงมีคำกล่าวว่า “กการหมั่นสร้างความดีก็เหมือนการจุด แสง จุดโคมไฟอันสว่างไสว อันทรงคุณค่าให้กับผู้อื่น” คนที่ จุดแสงย่อมได้รับความอิ่มเอิบใจและความสว่างไสวแห่งแสงของ การให้นั้น หากทุก ๆ วันเราหมั่นทำ จิตใจของเรา ก็ย่อมสว่างไสว ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการทำความดีก็เหมือนจุดแสงสว่างในใจของเรา ให้จิตใจเราเบิกบาน สดชื่นและแจ่มใส หากมีโอกาสขอให้รีบทำ ไม่เสียหลายอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)

“คความสะดวกที่แฝงทุกข์อันขื่นขม หลงชื่นชมสบายเข็ญภายหลัง”



มนุษย์เรามักจะติดอยู่กับความสบายมากกว่าความลำบาก ถ้าบอกว่ามานั่งฟังแล้วต้องทนความลำบาก ใคร ๆ ก็ไม่ค่อยอยากจะมานั่ง แต่ถ้าบอกว่ามานั่งฟังแล้วเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะให้ของดีก็เปลี่ยนใจทันที เพราะมีผลได้ มนุษย์เรายอมแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ตนเองต้องการก็ต่อเมื่อตนเองมีผลประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราอยู่บนโลกเราจึงอยู่ด้วยกันอย่างมีผลประโยชน์ต่อกัน ไม่ใช่อยู่อย่างมีน้ำใจและจริงใจต่อกัน แต่ต้องดูด้วยว่าเราหวัง ผลประโยชน์มากเกินไปหรือเปล่า หากหวังผลประโยชน์แต่ตนโดย ไม่คิดที่จะสละให้คนอื่น อย่างนี้ก็ไม่เหมาะสม เขาเรียกกันว่า คนเห็นแก่ตัว ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วท่านต้องการคนประเภทนี้หรือ ใจประเภทนี้ไหม (ไม่ต้องการ) ฉะนั้นการอยู่ร่วมกับคนอื่นเพราะว่า ผลประโยชน์เป็นหลัก ก็ไม่เหมาะสม วันนี้มานั่งฟังเพราะผลประโยชน์เป็นหลักก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไร ใช่หรือเปล่า (ใช่) การอยู่ร่วมกับใคร เราย่อมเสียประโยชน์บ้าง ต้องการแต่ได้อย่างเดียวก็ไม่ถูก เพราะว่าความสบายนั้นบางครั้งก็ขม ความทุกข์ยากที่เราว่าขม บางทีก็ให้ แง่คิดและความสบายได้เหมือนกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะอะไร เราถึงคิดเช่นนี้ เราพูดกลับตาลปัตรหรือ

“คความทุกข์ยากบางทีให้ความหวาน แต่ความสบายบางทีให้ความขม” เข้าใจประโยคนี้ไหม ถ้าเกิดว่าคน ๆ หนึ่งมีชีวิตอยู่อย่างสะดวกสบายมาตลอด อยากได้อะไรก็ได้สมหวัง ต่อไปเขาจะเป็น เช่นไร แต่คนอีกประเภทหนึ่งเป็นคนที่ไม่ได้อะไรมาโดยง่าย จะต้องฝ่าความยากลำบาก ต้องฝ่าความเจ็บปวดนานัปการถึงจะได้มา สักอย่างหนึ่ง คนที่ชีวิตเขาจะมีอนาคตที่รุ่งโรจน์กว่าก็ต้องเป็น คนที่สอง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เรารู้อย่างนี้แล้วทำไมเราถึงเลือก ความสบายมากกว่าความลำบาก แท้ที่จริงแล้วคนที่ยอมลำบากตลอดชีวิตกลับมีบั้นปลายชีวิตที่เป็นสุขมากกว่าคนที่สบายมา ตลอดชีวิตแต่มีบั้นปลายที่เป็นทุกข์ อยู่ที่ว่าใจเราเอาชนะความ เป็นจริงและยอมรับความเป็นจริงของเรื่องราวบนโลกนี้ได้หรือไม่ ถ้าเอาชนะได้แล้วเรายอมทน ยอมฝ่าความลำบากไปได้ ตัวเรา นั่นแหละที่จะค้นพบความเป็นจริง ที่แท้ ที่สงบสุขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เพราะเราเอาชนะใจดวงที่ชอบกำหนดอย่างนั้น อย่างนี้ไม่ได้ รู้ทั้งรู้แต่ก็ทำไม่ได้สักที ใช่หรือไม่ (ใช่)

การดำรงชีวิตเรานอกจากต้องระวังทุกฝีก้าวแล้ว ต้องระวังเรื่องการมีความรักและความชอบอีก เพราะว่านอกจากจะนำตัวตนเองแล้ว บางครั้งตำแหน่งและโอกาสทำให้เราต้องรู้จักนำผู้อื่นให้เป็นด้วย ท่านเคยได้ยินไหมว่าผู้บังคับบัญชาว่าอย่างไร ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องว่าตามนั้น เพราะฉะนั้นใจเราคิดอย่างไรการกระทำของเราก็ต้องเป็นไปตามนั้น เราจึงไม่ควรระวังแค่ทุกฝีก้าว แต่เราต้องระวังเรื่องความรักและความชอบด้วย หากจิตใจเรารักเรื่องทางโลก รักเรื่องโลกีย์ ไม่สนใจเรื่องทางธรรม ท่านก็ไม่คิดจะเดินเข้ามาศึกษา หลักธรรม แล้ววันนี้ก็คงไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้

เรื่องการรักและการชอบเราจึงต้องระวัง เพราะว่านอกจากเราจะนำตัวเราเองแล้วยังต้องนำผู้อื่น หากเราชอบสิ่งใดคนที่อยู่ใต้ บังคับบัญชาเรา หรือลูกหลานที่อยู่ในครอบครัวเดียวกับเราก็ต้องชอบสิ่งนั้นตามเราด้วย ไม่มากก็น้อย หรือบางทีก็ติดนิสัยเราไปโดยไม่รู้ตัว ฉะนั้นเวลาที่เรามีชีวิตอยู่เราจึงต้องระวังที่จะรักจะชอบสิ่งใด หากไม่เหมาะสม ก็ต้องเลิกทำ หากไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมเราก็ควรแก้ไขทันทีทันใด เราต้องระวังแม้ความรักและความชอบของเราเพียงน้อยนิด และจากครอบครัวหนึ่งที่มีความสุภาพ อ่อนน้อม อาจทำให้เมือง ๆ หนึ่งสุภาพอ่อนน้อมตามครอบครัวนั้นได้ จากครอบครัวหนึ่งที่ร่มเย็นมีความสุข เมือง ๆ หนึ่งก็อาจจะมีความสุขเช่นครอบครัวนั้นได้เช่นกัน

คน ๆ หนึ่งหากมีความทะเยอทะยาน ไม่สนใจเรื่อง ความชอบธรรม ไม่สนใจเรื่องศีลธรรมและการบำเพ็ญตน การทำความดีแล้ว เขาก็ย่อมจะมีผลกระทบต่อครอบครัวและบ้านเมือง ไม่มากก็น้อย คนก็คือรากฐานของครอบครัวแล้วครอบครัวก็คือ รากฐานของสังคม หากคนคิดผิดแล้วดำเนินชีวิตผิด อย่าพูดว่าตนเองไม่มีผลกระทบต่อครอบครัวและสังคม จริง ๆ แล้วย่อมมีไม่มากก็น้อย จึงมีคำกล่าวว่า “ธธรรมชาตินั้นมีอิทธิพลต่อตัวเราไม่มากก็น้อย” และสอดคล้องกับประโยคหนึ่งที่กล่าวว่า “กกิจการหนึ่งจะล่มจมหรือหายนะ ก็ขึ้นอยู่กับคำพูดเพียงประโยคเดียว คน ๆ หนึ่งจะทำให้บ้านเมืองเป็นสุขหรือวุ่นวาย ขึ้นอยู่กับว่าจิตใจของเขาชั่วขณะหนึ่งคิดจะทำอย่างไร”

ดังนั้นคนเรานอกจากจะมีผลต่อตนเอง ต่อครอบครัวแล้ว ยังมีผลต่อประเทศชาติด้วย ฉะนั้นเราอยากเรียกร้องให้คนอื่นเป็นคนดี เราต้องเริ่มที่ตัวเอง เราอยากเรียกร้องให้บ้านเมืองมีความสุขร่มเย็นควรเรียกร้องที่ครอบครัว แล้วครอบครัวจะเริ่มต้นจากใคร (ตัวเอง )

อากาศเปลี่ยนแปลงทำให้สภาพร่างกายของเราที่ไม่เข้มแข็งอ่อนแอลงได้ สภาพข้างนอกจึงมีผลต่อจิตใจเหมือนกัน ถ้าจิตใจของเราไม่เข้มแข็งและมุ่งมั่นพอ เราจะสามารถเปลี่ยนแปลงไปตาม สภาวะแวดล้อมได้ ธรรมชาติสอนให้เรารู้จักคิดและสอนให้เรามีชีวิตให้ถูกต้อง ข้างนอกโหดร้ายเพียงใด แต่ใจบางคนไม่โหดร้ายตาม ทำไมเขายังรักษาความดีได้ ก็เพราะว่าจิตใจของเขาตอนนั้นเข้มแข็ง ถ้าสภาวะแวดล้อมอ่อนแอแล้วใจอ่อนแอ ก็ต้องปรวนแปรไปตามสภาวะแวดล้อม แต่ถ้าจิตใจเรามุ่งมั่นในการที่จะรักษาความดี สภาวะแวดล้อมข้างนอกก็ยากจะมีผลต่อจิตใจเราได้ ฉะนั้นอย่าโทษแต่เพียงผู้อื่น แต่เราต้องถามตัวเองก่อนว่าเราอ่อนแอหรือเปล่า จิตใจเราง่ายต่อการผันแปรไปตามข้างนอกหรือไม่ ทำไมข้างนอกปรวนแปรแต่ใจเรายังนิ่งได้ ทำไมข้างนอกสงบนิ่งแต่ใจเรากลับปรวนแปร บางครั้งเราต้องถามตัวเอง ไม่ใช่โทษฟ้าดินหรือคนอื่น แต่ต้องถาม ตัวเองแล้วแก้ไขที่ตัวเอง นี่คือจุดเริ่มต้นของการมีชีวิตที่ถูกต้อง

คนดีจะดำรงชีวิตอยู่บนโลกอย่างไรดี (ศึกษาธรรมะ) แต่บางครั้งเมื่อเราเจอโอกาสแล้ว เรามัวแต่กางหนังสือดูจะแก้ สถานการณ์นั้นได้หรือไม่ (ไม่ได้) ศึกษาแล้วเราต้องรู้จักน้อมนำใส่ใจ เพราะเมื่อเราเผชิญสถานการณ์นั้น เราไม่สามารถพกคัมภีร์ได้เป็นเล่ม ๆ แต่เราต้องพกปัญญาที่รู้จักพลิกแพลง ถ้าพกแต่สมองกลวง ๆ ก็แก้ไม่ทัน ใช่หรือไม่ (ใช่) ศึกษาแล้วต้องรู้จักน้อมนำใส่ใจแล้วก็ พลิกแพลงเอาไปใช้ได้ทันเหตุการณ์

คนดีจะดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร (ต้องมีความรักความเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลก) แต่ต้องรักให้ถูกต้องไม่ใช่รักแล้วหลง เพราะว่าบางครั้งเวลาเรามีอารมณ์ต่อคน ๆ หนึ่ง เรามักจะมองไม่เห็นความเป็นจริงของเขา ใช่หรือไม่ (ใช่) เรารักทุกคนได้แต่เราก็ต้อง แยกแยะให้ถูกด้วยว่าอะไรถูกอะไรควร อะไรควรรักหรือไม่รัก (ต้องรู้จักเสียสละบ้างตามโอกาสและอัตตภาพของเรา) ปรบมือให้ เขาหน่อย เพราะอะไรเราถึงให้ปรบมือ (ให้รางวัล, ให้รู้จัก การเสียสละ) เพราะว่าโลกใบนี้ขาดแคลนคนเสียสละและคนที่รู้จักให้ มนุษย์เรารู้จักแต่ที่จะเรียกร้องความสุข แต่ลืมเรียกร้องความสุขจากตนเอง มัวแต่เรียกร้องผู้อื่น แล้วก็ด่าทอผู้อื่นว่าทำให้เราทุกข์ แต่แท้จริงแล้วสาเหตุที่เกิดจากทุกข์นั้นก็มักจะเป็นที่ตนเองไม่พอใจในสิ่งตัวเองได้รับ แล้วก็ไม่พอใจในคนที่อยู่รอบข้าง ใช่หรือเปล่า (ใช่)

หากเรามีความสุข แม้จะไม่เป็นสุขที่เราพอใจมากนักแต่ยอมเสียสละ ได้เท่านี้ก็พอแล้ว เป็นสุขแล้ว หากเรารู้จักเสียสละ รับเท่านี้ เป็นสุขเท่านี้ คนอื่นก็ยากที่จะเดือดร้อนกับเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)

นอกจากเราจะรู้จักดำเนินชีวิตให้กับตนเองให้เป็นแล้ว เราต้องรู้จักที่จะดำเนินชีวิตร่วมกับผู้อื่นให้เป็นด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) การอยู่ร่วมกับคนอื่นให้เป็น เราก็ต้องมีแนวทางของตนเองที่ถูกต้อง ไม่ใช่คนนำจะนำอย่างไรก็ตามไปอย่างนั้น โดยที่ไม่มีความคิดเป็นของตนเอง อย่างนี้ก็ไม่ถูก ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราควรจะมีแนวทางอย่างไรให้กับตนเองดี (บำเพ็ญตนให้เป็นคนดี) ใครว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้นไม่เคยขัดใจเขา ตามใจเขาตลอด อย่างนี้เรียกว่าคนดี แต่ดีเฉพาะกับคนนั้นคนเดียว แต่เป็นโทษต่อคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)

การอยู่ร่วมกับคนอื่นเราต้องรู้จักอะไร (รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา) รักเขาได้เหมือนรักตัวเราเอง เช่นนี้เราก็ยากจะทำให้เขาเดือดร้อน ใช่หรือเปล่า (ใช่) นั่นก็คือเวลาเรามีชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่น เราต้อง รู้จักที่จะไม่นำพาตนเองลงไปที่ต่ำ สิ่งใดที่ไม่เหมาะสมเราก็ไม่ควรทำ เราต้องมีแนวทางที่ถูกต้องให้กับตนเอง หากเขาบอกว่าดี แต่ถ้านำพาไปในทางที่ไม่เหมาะสม หรือไม่ถูกต้อง เราก็ไม่ควรที่จะตามเขาไป ใช่หรือไม่ (ใช่) รู้จักวางตนเองให้เป็นกลาง ไม่ใช่เอนเอียงหรือยึดมั่นในความคิดเห็นของตนเองจนเกินไป แล้วที่ใดที่ทำให้ตนเอง ไม่สามารถเป็นตัวตนเองได้อย่างถูกต้อง หรือทำให้ตนเองไม่สามารถรักษาทำนองคลองธรรม เราก็ไม่ควรจะไป ดังนั้นสิ่งใดที่ไม่ควรจะทำเราจะทำหรือไม่ (ขึ้นอยู่กับสถานการณ์) ยังขึ้นอยู่กับสถานการณ์ อีกหรือ ถ้าเกิดว่าไม่ควรทำแต่ใจท่านชอบ ระหว่างความชอบธรรมกับอารมณ์ท่านจะเลือกสิ่งใด (ขึ้นกับว่าอยู่ในสถานการณ์แบบไหน ในสังคมเลว สิ่งที่ผิดเขาถือว่าเป็นความชอบธรรม ถ้าเราอยู่ในหมู่โจรที่มีการปล้นจี้ ถ้าเราไม่ร่วมทำกับเขา เราก็คือคนนอกคอก สังคมพวกติดยาเสพติด ความชอบของเขาคือการเสพยาเสพติด แต่ในสังคมคนดีมองสิ่งพวกนี้คือสิ่งชั่วร้าย ทุกวันนี้ยังหาเส้นแบ่งระหว่างความดีกับความเลวไม่ได้ คนชั่วที่ค้ายาเสพติด เขาได้เงินแล้วนำไปบริจาคให้วัดตามต่างจังหวัด ให้เด็กตามชนบท นำเงินมาเลี้ยงดูบุพการีที่บ้าน อย่างนี้ทางโลกเรียกเขาว่า อาชญากร เป็นคนเลวของสังคม แต่ในทางธรรมผมยังหาคำตอบไม่ได้ว่าเหล่านี้คือสิ่งผิดหรือถูก ขึ้นกับอยู่ในสถานการณ์ใด และสังคมแบบใด)

เราจะสรุปคำถามของท่านนี้ให้ฟัง เขาบอกว่า มีคน ๆ หนึ่ง อยากจะเลี้ยงดูบุพการี แต่เขาหาเงินโดยการทำทุจริต และเอาเงินนั้นมาเลี้ยงบุพการี อย่างนี้จะเรียกว่าคนดี หรือคนไม่ดีกันแน่ เราก็ต้องตอบว่าพูดยาก บางทีตอนนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องใช้คำว่าดีหรือไม่ดี มาตัดสิน ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าตลอดชีวิตเราต้องมาหาเส้นกลางการแบ่ง เราก็ต้องเหนื่อยกับการหา ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่สิ่งที่เรารู้อยู่อย่างหนึ่ง ก็คือถ้ามีเหตุที่จะต้องทำให้เราตกต่ำ การดีดตัวเองจากความตกต่ำโดยการประพฤติมิชอบนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และไม่ควรที่จะกระทำ ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่การดีดตนเองจากสิ่งที่ตกต่ำเพื่อช่วยเหลือ ครอบครัว หรือช่วยเหลือตนเองนั้น เราสามารถหาทางได้แต่ช้าหน่อย น้อยหน่อย ใช่หรือไม่ (ใช่) ถึงจะช้าและน้อยแต่ก็มีความสุขแล้วไม่ต้องรับผลอันน่ากลัว ย่อมดีกว่าได้ความสุขมาไวแต่ต้องหวาดกลัว แล้วก็ไม่ใช่เราหวาดกลัวคนเดียวแต่กลับต้องทำให้พ่อแม่หวาดกลัวไปด้วย

ตอนนี้ท่านคิดว่าสิ่งที่เขาทำนั้น ถูกหรือผิด (ผิด)

มีคำกล่าวว่าคนที่ประเสริฐนั้น ถ้าเขามีฐานะที่สูงส่ง เขาจะไม่เหยียดหยามคนต่ำต้อย เพราะเขารู้ว่าทุกคนเมื่อสูงได้ก็ต่ำได้ เวลาเขาสูง เขาต้องรู้จักแบ่งปันให้กับคนอื่นเป็น เขาจึงไม่มีวันจะต่ำต้อย แต่คนที่ต่ำจะดีดตนเองจากการเป็นคนต่ำต้อยโดยการประพฤติมิชอบ แล้วมาทำดีทีหลังย่อมไม่มีผลดีเท่าไร สู้ยอมรับสิ่งที่ตนเองต่ำต้อย แล้วค่อย ๆ ทำดีสั่งสมไป ค่อย ๆ ดีดตัวเองทีละน้อย ช้าหน่อยแต่ ถูกทำนองคลองธรรมดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) บ่อยครั้งที่คนในโลกนี้ยอมดีดตนเองจากความต่ำต้อยแล้วมาทำดีทีหลัง อย่างนี้จะมีผลอะไร พอสังคมตัดสิน ฟ้าดินตัดสิน เขาก็บอกว่าไม่ยุติธรรมได้หรือเปล่า ตอนแรกที่เขามีความสุขในสิ่งที่ทำนั่นคือผลของการกระทำดีของเขา แต่ต่อไปเขาต้องได้รับโทษนั่นคือผลของการทำผิดของเขา

เราพูดเท่านี้พอจะหาเส้นแบ่งได้หรือไม่ แต่ถ้าเราเลือกเกิด ไม่ได้ เรามีชีวิตอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่โหดร้าย เราจำเป็นต้องโหดร้ายตามไหม (ไม่จำเป็น) พอรู้เรื่องแล้วว่าอะไรถูกอะไรผิด เราก็สามารถออกจากที่นั้นได้

ปราชญ์โบราณเคยกล่าวไว้ว่า หากพ่อแม่ทำผิด ลูกสามารถค่อย ๆ พูดตักเตือน ค่อย ๆ เกลี้ยกล่อมทีละน้อยได้ ไม่ใช่พอพ่อแม่ ทำผิด เราก็พลอยทำผิดตาม อย่างนี้ก็ไม่ใช่ลูกที่กตัญญู ใช่หรือเปล่า ถ้าหากสังคมในปัจจุบันนี้เลวร้าย และท่านก็ไม่สามารถยืนหยัดในการเป็นคนดีได้ อย่างนี้โลกไม่ยิ่งเลวร้ายไปใหญ่หรือ แล้วคุณธรรมจะมีไว้ทำไม ความดี ความชอบและความยุติธรรมจะอยู่ที่ไหนถ้าทุกคนปฏิบัติตามสังคมกันไปเสียหมด ทำไมเราไม่คิดว่าตัวเราสามารถเป็นผู้เกลี้ยกล่อมเปลี่ยนแปลงได้บ้าง เมื่อสักครู่เราก็กล่าวไว้ว่า แม้โลกจะเลวร้ายแต่ถ้าท่านดี ท่านจะสามารถเปลี่ยนแปลงเขาได้ แต่ต้องดีให้เพียงพอ ให้หนักแน่น ให้เห็นชัด เขาถึงจะคล้อยตามท่านได้ แต่ถ้าท่านดีไม่หนักแน่น ไม่เห็นชัด เขาก็จะคล้อยตามท่านไม่ได้

เหมือนอย่างที่เราเคยกล่าวไว้ว่า ไม่ใช่ธรรมะไม่สามารถชนะอธรรม แต่เพราะว่าธรรมะมีน้อยเกินไป จึงไม่สามารถชนะอธรรมได้ ไม่ใช่ว่าฝนชะล้างสิ่งสกปรกไม่ได้ แต่เพราะว่าฝนตกน้อยเกินไป ไม่ใช่ว่าน้ำดับไฟไม่ได้ แต่น้ำแค่ขันเดียวจะดับไฟกองพะเนินก็ไม่ได้ ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นถ้าสถานการณ์เลวร้าย ท่านก็ยังเลวร้าย แล้วโลกจะหาคนดีและความยุติธรรมได้จากไหนล่ะ จริงหรือไม่ ( จริง)

ขอให้ไตร่ตรองให้ดี คำถามนี้เป็นคำถามที่ดีและมีประโยชน์ต่อทุก ๆ ท่าน บ่อยครั้งที่เพื่อนฝูงชวนเราไปในทางที่ไม่ดี ถ้าเราจิตใจไม่เที่ยงตรง ไม่มั่นคงในการทำความดี เราก็ย่อมง่ายที่จะเอนเอียงตามเขา อย่างนี้ความดีจะปรากฏอยู่ในใจท่านก็ไม่ได้ หรือท่านจะไปเปลี่ยนแปลงเพื่อนท่านก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่ ) ทำไมเสือที่ดุร้าย ท่านยังสามารถเอามาเลี้ยงได้ ท่านจะเปลี่ยนแปลงความไม่ดีที่อยู่ในสังคมได้ ก็ต้องรู้จักวิธี มนุษย์มีปัญญา มีโอกาสได้เรียนรู้ มีประวัติศาสตร์ ที่คอยสอนให้รู้ว่าควรทำอย่างไร ทำไมเราไม่รู้จักเอามาใช้และพลิกแพลงใช้ให้ถูกกาล ปัญญาเราก็มี ความดีเราก็หาได้ อยู่ที่ว่าเราใช้แล้วเด็ดขาดหรือเปล่า เรามุ่งมั่นที่จะกระทำหรือไม่ ไม่ใช่ตามเขาไปหมด แล้วจะหาดี ได้อย่างไร

“เเหตุแห่งมิสิ้นขัดสนเกียจคร้านบ่อย”



เราต้องมีความขยันหมั่นเพียรที่จะกระทำ มิใช่พอทำดีแล้ว วันนี้ขอพักผ่อนก่อน อย่างนี้ก็ยากที่จะปลูกต้นความดีให้เบ่งบานได้ ถ้าเกิดวันที่ท่านพักผ่อนแล้วเขามาดูท่านท่านกลับกลายเป็นคนไม่ดี ไปเสียแล้ว อย่างนี้เขาจะเปลี่ยนแปลงตามท่านได้หรือไม่ (ไม่ได้ )

“ยยศเงินน้อยไม่อับจนบำเพ็ญไป”

ขอเพียงเรารับสภาพได้ว่า ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม ยอมลำบากหน่อยเพื่อจะพื้นฟูความดีให้ปรากฏ ก็ไม่เสียหลาย แต่มนุษย์มักจะ ทนความลำบากไม่ได้ ถ้าบอกว่าลำบากหน่อยก็ไม่ยอมทำ บอกว่าทนหน่อยเพื่อจะได้ฟื้นฟูและยึดมั่นอยู่กับความดีนี้ให้ปรากฏให้จงได้ บางคนก็ทนไม่ไหว ยอมแพ้ไปเสียก่อน

ทุกคนมีอวัยวะต่าง ๆ แตกต่างกันออกไป แต่ก็เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือมีครบทุกส่วน ร่างกายของเรานี้เปรียบเหมือนตะกร้าใบหนึ่ง ถ้าท่านมีโอกาสได้ใช้ ท่านจะใช้แค่ตักตวงเงินทอง หรือใช้เพื่อเอาไปช่วยเหลือชีวิตคน (ช่วยเหลือคน) ตอนนี้ก็พูดว่าช่วยเหลือชีวิต แต่พอหมดสามวันนี้ไปก็ขอไปตักตวงเงินทองก่อน

“สสิ่งที่คู่เคียงอดทนคือเวลา โอกาสจะผลักคุณค่าเกิดขึ้นได้”



เรามีเวลาแห่งชีวิต แห่งลมหายใจ บางคนเวลาแห่งลมหายใจคือการฉุดช่วยคน บางคนคือการเบียดเบียนและทำร้ายคน บางคนคือเอาเงินทองเข้ากระเป๋า แล้วเวลาแห่งลมหายใจที่เราได้เรียนรู้ตอนนี้ เราจะเลือกทางใด (ฉุดช่วยคน) ถ้าเราบอกว่าทั้งชีวิตให้ท่านช่วย คนตลอด ก็เป็นการทำร้ายท่านทางอ้อม แต่การบำเพ็ญยุคสามนี้ก็คือรู้จักแบ่งเวลาให้เป็น เอาเวลาว่างจากการไปเที่ยวสนุกสนานมาช่วยเหลือคน มีโอกาสเห็นคนตกทุกข์ได้ยากก็เอื้อมมือไปช่วยเหลือ ตอนนี้เรามีเรี่ยวแรง มีโอกาสแล้วเราก็สามารถมีเวลาได้ แต่คนบางคนเหลือเพียงใจที่ต้องการจะบำเพ็ญ แต่ไม่มีเรี่ยวแรงและโอกาส ก็น่าเสียดาย แม้ตอนนั้นจะมีใจก็สายเสียแล้ว ฉะนั้นตอนนี้ตัวเองมีทั้งใจ กาย เรี่ยวแรงและโอกาส ขอให้สละมาช่วยเหลือตนเองและ ผู้คน หากบางส่วนที่มาศึกษาวันนี้ยังมีความไม่เข้าใจ มีข้อสงสัยก็ ขอให้มาศึกษาเพิ่มเติม ไม่ใช่ว่ามาสามวันแล้วก็จบกัน แล้วออกไปบำเพ็ญ บางทีก็ยังไม่สามารถเข้าใจและบำเพ็ญได้ถูกต้อง เพราะยังมีข้อกังขาและข้อสงสัยอยู่ในใจของท่านไม่มากก็น้อย

สงสัยอะไรบ้าง (สายทองมีหลายสาย เราสามารถรับได้ทุกสายหรือไม่) จริง ๆ แล้วมีเพียงเส้นเดียวเท่านั้น แต่การฉุดช่วยคนต้องแตกไปหลายสายถึงจะช่วยคนได้ทั่วโลก การรับต้องรับเพียงครั้งเดียว (รับเพียงครั้งเดียวแต่สามารถไปได้ทุกสายหรือไม่) แต่ละสายมีวิธีการบำเพ็ญและการช่วยแตกต่างกันออกไป หากวันนี้ท่านเรียนสี่วิธีแต่ให้ท่านใช้เพียงวิธีเดียว ท่านสับสนไหม (สับสน) ฉะนั้นท่านต้องเลือกวิธีใดวิธีหนึ่ง กว่าท่านจะเลือกได้ก็ต้องชั่งใจตั้งนาน ถ้าเวลาของชีวิต ไม่สามารถให้โอกาสท่านชั่งใจได้นาน ท่านจึงไม่สามารถที่จะทำได้ สักวิธี พอไม่สามารถทำได้สักวิธีหนึ่ง ท่านก็อดบำเพ็ญไปเสียแล้ว ใช่หรือไม่

การแบ่งเป็นหลายสายและมีหลายวิธี ก็แล้วแต่ผู้นำ เพราะว่าผู้นำแต่ละคนก็มีการนำพาคนแตกต่างกันออกไป ถ้าเกิดเรายึด กลุ่มหนึ่ง ศึกษาวิธีหนึ่งให้ชัดเจนและเรียนรู้ให้ได้ เราย่อมสำเร็จ มากกว่ายึดสี่วิธีแล้วทำไม่ได้สักวิธี (ถ้าศึกษาสายทองสายนี้ แต่ฉุดให้ผู้อื่นไปรับอีกสายหนึ่งได้ไหม) แล้วท่านจะสอนหรือแนะนำเขาได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งที่ท่านและเขาเรียนรู้นั้นเป็นคนละแบบกัน เวลาท่านจะสอนเขาก็ต้องไม่เหมือนกัน ถ้าท่านเอาแบบที่นี่ไปสอนที่นั่น เอาการเดินแบบที่นี่ไปสอนเขา เขาก็จะเดินไม่ได้ และก็จะเป็นคนแปลกของสายเขา แล้วท่านจะดึงเขาทางไหนจึงจะช่วยเขาได้

การช่วยคนนั้นก็มีหลายแบบ หลายวิธี แต่การจะช่วยคน ๆ หนึ่งให้ตลอดรอดฝั่งต้องอาศัยความอดทนของจิตใจเราไม่มากก็น้อย เพราะแต่ละคนก็มีลักษณะบุคลิกแตกต่างกันออกไป การช่วย คน ๆ หนึ่งจึงเป็นการฝึกฝนจิตใจของเราระดับหนึ่ง คน ๆ หนึ่งก็มีอารมณ์แบบหนึ่งที่เขายังขัดไม่ได้ แก้ไม่ได้ ถ้าเราช่วยสิบคน ก็จะเจออารมณ์สิบแบบในการขัดตัวเรา และถ้าเราเจอคนร้อยคนแล้วเราช่วยได้ร้อยคน เราก็สามารถขัดอารมณ์ของเราได้ร้อยอย่าง จริงหรือไม่ (จริง) การช่วยคน ๆ หนึ่งก็มีประโยชน์ตรงนี้ อย่าคิดว่าการช่วย คน ๆ หนึ่งทำให้เรารู้สึกขัดใจ ลำบากใจ เราเลยไม่ช่วยเขา อย่างนั้นก็แปลว่าเราไม่ยอมขัด อารมณ์ตรงนั้น มิใช่เขาคนเดียวที่ไม่ยอมขัด แต่ตัวเราเองก็ไม่ยอมขัดสิ่งที่เขามีเหมือนกับที่เรามี ใช่หรือเปล่า (ใช่)

มนุษย์เราเวลามีชีวิตอยู่ เราต้องตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท เพราะว่าเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ที่เข้ามาในชีวิตเรา เข้ามากระทบจิตใจเรามักจะไม่เคยซ้ำแบบ หากเรารู้จักเตรียมพร้อมรับอยู่เสมอย่อมไม่เสียหลายอะไร อย่าปล่อยจิตใจพลั้งเผลอไป เพราะจะทำให้ทำผิดโดยไม่รู้ตัว ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นนอกจากเราจะรู้จักระมัดระวังในเรื่องที่รัก เรื่องที่ชอบแล้ว เรายังต้องรู้จักระมัดระวัง ในการก้าวเดินด้วยความไม่ประมาทด้วย เพราะหลายครั้งที่อุปสรรคมาแล้ว เราไม่พร้อมที่จะรับ พอใจไม่พร้อมที่จะรับ เราก็พ่ายแพ้ไปครึ่งทางแล้ว ฉะนั้นใจเราต้องพร้อมรับทุกเรื่องราว รวมทั้ง ความเป็นจริงของโลกใบนี้ด้วย ถ้าเรารับได้ ก็เป็นสุขได้ แล้วเราก็รู้จักที่จะแก้ไขและหาวิถีทางที่จะทำ ที่จะฟันฝ่าไปให้ได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)





“ถถือหลักการถอยหนึ่งก้าวฝ่าภยัน”

ถ้าเกิดว่าเราจะต้องเจออุปสรรคความยากลำบาก หรือเรื่องที่ใจเรารับไม่ได้ กลอนบทนี้สอนให้รู้จักถอยหนึ่งก้าว การถอยหนึ่งก้าวทำให้เราสามารถมองเห็นเหตุการณ์ได้ชัดเจน ถ้าเกิดเราก้าวเดิน เข้าไปเราจะสามารถมองได้ชัดเจนไหม (ไม่ชัดเจน) เราต้องยอมถอยหนึ่งก้าวแล้วค่อย ๆ ตรวจสอบให้ชัดเจน มองให้รอบและตรวจสอบให้เที่ยงธรรมแล้วเราถึงจะฟันฝ่าอุปสรรคนั้นไปได้ เหมือนกับเวลามี เมฆหมอกควันดำเกิดขึ้นอยู่ข้างหน้า หากท่านเดินเข้าไปข้างใน ท่านจะมองเห็นเมฆหมอกในนั้นได้ชัดเจนไหม (ไม่ชัดเจน) ท่านต้องถอยออกมาก่อนแล้วมองดูเมฆหมอกนั้นว่ามีมากเพียงใด ในนั้นมี ฝุ่นธุลีหรืออันตรายไหม พอเราถอยออกมา เราจะมองเห็นอุปสรรคและความยากลำบากที่เราเผชิญได้ชัด แล้วเราย่อมหาวิธีตั้งรับและแก้ไขได้ทันการ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เวลาเหตุการณ์หรือความยากลำบากเกิดขึ้น มนุษย์มักจะเกิดจิตใจอย่างหนึ่งคือ โทษผู้อื่นหรือไม่ก็โทษฟ้าดิน พอโทษเสร็จก็นั่งจมอยู่ตรงนั้นไม่ยอมแก้ไขและไม่ยอม ฟันฝ่า เหตุการณ์ก็เลยยากจะผ่านไปได้

ฉะนั้นเวลาเราเจอความทุกข์ยากลำบากอะไร ลองถอยออกแล้วมองดูให้ชัดเจน แล้วถามจิตใจที่เที่ยงธรรมว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเกิดเพราะอะไร ใครเป็นผู้ทำ และสาเหตุมาจากไหน ย้อนมองหาต้นเหตุให้ชัดแล้วแก้ที่ต้นเหตุ เราก็จะสามารถฝ่าฟันความยากลำบาก และอุปสรรคต่าง ๆ ในโลกใบนี้ได้ ขอเพียงจิตใจต้องเที่ยงธรรม ยอมรับและพร้อมที่จะแก้ไขตน ความยากลำบากที่เข้ามาก็ย่อมแก้ได้ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ ใช่ไหม (ใช่)

รู้สึกว่าการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ง่ายไหม (ไม่ง่าย) ฉะนั้นใจเราต้องรู้จักระมัดระวังในการก้าวเดินแต่ละก้าว เพราะว่าถ้าเราเจ็บ ทุกข์ หรือปวดไปแล้ว เราจะถอนได้หรือไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้วิถี ทางใด หากใช้วิถีทางที่ถูกเราก็เป็นสุขในการที่จะดำเนินและฟันฝ่า ไปได้ แต่ถ้าเลือกทางที่ผิด แม้ตอนนี้จะสุขแต่ผลสุดท้ายก็ต้อง รับความขื่นขมและเจ็บปวด

เรื่องราวทางโลกหากคิดให้ดี ๆ ใช้ปัญญา สติและคุณธรรมน้อมนำ ย่อมแก้ไขได้ง่าย แต่ถ้าเราไม่ยอมแก้ไข ไม่ยอมอดทน ฟันฝ่า ก็ย่อมยากที่จะฝ่าไปได้

สิ่งที่เราพูดกับท่านวันนี้ก็มากมาย จะมีประโยชน์หรือไม่ก็อยู่ที่ว่าท่านรู้จักนำไปพลิกแพลงใช้หรือเปล่า ธรรมะมีค่าตรงที่เรารู้จักใช้ให้ถูก หากใช้แบบเจ้าเล่ห์เพทุบาย ธรรมะนั้นก็กลายเป็นเกราะป้องกันตัวให้กับโจรในคราบนักบวช ใช่หรือไม่ (ใช่) ธรรมะมีค่าและสามารถทำให้คนเป็นคนประเสริฐได้ อยู่ที่ว่าเรารู้จักใช้อย่างถูกต้องหรือไม่ และธรรมะจะมีประโยชน์หรือเปล่า ก็อยู่ที่ว่าออกไปจากการฟังสามวันนี้ได้รู้จักนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์หรือไม่



วันนี้อาจจะพูดว่ามีประโยชน์แต่ถ้าออกไป ท่านไม่ได้หยิบ ไปใช้ ไม่ได้น้อมนำไปใส่ใจก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรใช่หรือไม่ (ใช่) การมาของเราวันนี้ ไม่ใช่มาเพื่อให้ท่านยึดถือการยืมร่าง แต่มาเพื่อ ยืนยันหลักสัจธรรมที่เราปฏิบัติได้ แล้วถ้าทำได้ก็มีผลดี สามารถ นำพาชีวิตไปสู่ความสงบและความร่มเย็นได้

ขอให้นำธรรมะไปใช้เถิด ธรรมะใช้ไปก็ไม่เสียเงิน ไม่มีใครมาทวงลิขสิทธิ์ ไม่มีใครสามารถตีตราจองธรรมะนี้ได้ว่าเป็นของฉัน คนเดียว คนอื่นห้ามใช้ ทุกคนสามารถใช้ได้โดยไม่ต้องเสียเงิน อยู่บนโลกนี้ใช้อะไรต้องเสียเงิน เสียค่าลิขสิทธิ์ ค่าลงแรง แต่ธรรมะ ไม่ต้องสูญเสียอะไรเลย ทำไมไม่รู้จักนำไปใช้ ทำไมทำใจยอมรับกัน ไม่ได้ แม้ธรรมะจะอยู่ไกลเป็นพันลี้ ขอเพียงใจชอบก็สามารถอยู่ใกล้เพียงแค่ขนตา ขอเพียงใจเรารักที่จะศึกษาใฝ่หาความรู้ รักที่จะบำเพ็ญตนเป็นคนดี ธรรมะก็ไม่เคยหายไปไหน ธรรมะอยู่กับใจเรา แต่ถ้าเมื่อไรใจเราคิดถึงเรื่องอารมณ์ ความชอบ ความเกลียดมาก เกินไปจนไม่มีคุณธรรม ไม่มีความถูกต้อง ธรรมะก็ย่อมยากที่จะ ช่วยเหลือท่านได้

วันนี้มีโอกาสผูกบุญสัมพันธ์เพียงเท่านี้ จากกันด้วยรอยยิ้มที่ดี จากกันเพื่อจะไปพบกันอีกในวันข้างหน้า วันข้างหน้าไม่ขอเจอกันตรงภพนี้ แต่ไปเจอกันที่เบื้องบนดีไหม (ดี) มีโอกาสผูกบุญสัมพันธ์กันในวันนี้ แล้วขอให้เรามีโอกาสไปผูกบุญสัมพันธ์กันยังเบื้องบนด้วย ไปให้ถึงให้ได้ โดยใช้คุณธรรมและความเชื่อมั่นในตัวตนเองเป็นตัวดีดและพาตัวเราไปให้ถึงเบื้องบน ถ้าทุกคนเป็นคนดีได้ก็สามารถเป็นพุทธะได้ เมื่อไรที่เรามีความดีเมื่อนั้นเราก็เป็นพุทธะได้เหมือนกัน




วันจันทร์ที่ ๒๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๑

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง



ความสุขจริงมาจากใจอันวิเศษ ละกิเลสเหล่ามายาไม่ถวิล

ใจดวงนี้อิสระดั่งโบยบิน อยู่แดนดินใจสถิตแดนพุทธา

เราคือ

จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน เหยรินเต๋อ แฝงกายกราบเบื้องหน้า

องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนทานอาหารอิ่มหรือเปล่า



ในวันนี้มาพาศิษย์มองตนเอง ไม่กลัวเกรงกิเลสที่ตนสั่งสม

เอาธรรมะเป็นเครื่องปลอบคล้ายน้ำพรม ไม่มัวจมทะเลทุกข์คลื่นปรวนแปร

เปลี่ยนแปลงตนทีละนิดปิดอายตนะ รู้สละความสุขที่เป็นร่างแห

ขอให้ศิษย์เป็นผู้ผิดแล้วรู้แก้ ใจแน่วแน่มีใจเดียวคืนสุทธา

สลายบาปด้วยกุศลมิกลัวยาก ตักเข้าปากพินิจก่อนชีวิตหนา

ขอศิษย์รักฝึกเถิดความเมตตา รู้นำพาตนจึงสามารถนำเวไนย

เสมอต้นเสมอปลายนำชีวิต ดวงลิขิตอันกำหนดไร้ความหมาย

ชนะตนยิ่งใหญ่เหนือสิ่งใด ชนะใครไหนจะสู้ชนะตน



ฮา ฮา หยุด





ล้มแล้วลุกด้วยใจ อย่าพ่ายแล้วใจขม ลุกแล้วพ้นโศกตรม ดั่งเส้นผมบังเขา ช้ำแสนลึกศิษย์เรา ตื่นเสียคราวนี้เลย

ฟ้าเหนือฟ้าเฝ้ารอ ผู้ไม่ท้อมาถึง รักหลงนั้นแกล้งดึง เริ่มมีทุกข์จึงหลง วอนขอตนให้ปลง ชีพบรรจงทุกก้าว

* ตามหามวลศิษย์ให้ครบ ดังพบคนหลงใหลฝัน วันนี้ยังหุนหันเผอเรอ คนสนใจมิมีและคนตั้งใจมิเจอ มีฟ้างามมิมีศิษย์รู้ใจ

บนหนทางกว้างไกล อีกนานไหมไปถึง ใจนี้ยังดื้อดึง หวั่นศิษย์รักต้องล้ม ดังเหมือนเรือดิ่งจม เร่งฟื้นฟูแล้วเอย (ซ้ำ *)



ทำนองเพลง : รักหนอรัก

ชื่อเพลง : ล้มแล้วลุกขึ้นมา



















ม้วนที่ 1

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง



การที่เราจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็แล้ว เราต้องลงมือทำกี่ครั้งถึงจะนับว่าเป็นคนตั้งใจจริง (หลายครั้ง) ถ้าเราบอกว่าตั้งใจแต่เราทำแค่ครั้งเดียว หรือสองครั้ง จะเรียกว่าตั้งใจไหม (ไม่) มาฟังธรรมะวันนี้ เป็นวันที่เท่าไร (วันที่สาม) ถ้าหากเราบอกว่าเราตั้งใจฟัง แต่ฟังวันเดียว ก็เท่ากับเป็นคนไม่ตั้งใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)

มาสามวันนี้มีคนพูดถึงเรื่องการบำเพ็ญธรรม อยากบำเพ็ญธรรมไหม (อยาก) การจะแสดงออกว่าเราตั้งใจจริง เราต้องใช้เวลากี่ปี ใครว่าสิบปีหรือตลอดชีวิต ยกมือขึ้น เวลายกมือยกแค่ศีรษะตนเองแล้วอีกครึ่งหนึ่งให้อาจารย์ไปเดาเอาเองว่าจะไปให้ถึงที่สุดหรือเปล่า เวลาที่เราทำอะไรก็แล้วแต่ ก่อนที่เราจะตั้งใจต้องมีความเชื่อมั่นก่อน ถ้าหากเราบอกว่าเชื่อมั่น แต่เรายกมือแค่ครึ่งหนึ่งจะเรียกว่าเชื่อมั่นไหม (ไม่) เพราะฉะนั้นบำเพ็ญธรรมก็ต้องบำเพ็ญตลอดชีวิตแล้ว แต่ก่อนที่จะมาลงมือบำเพ็ญตลอดชีวิตนี้ควรต้องเชื่อมั่นก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)

ก่อนที่จะเชื่อมั่นในธรรมะต้องเชื่อมั่นในตัวเราเองก่อน สมมติเขาบอกว่ามีคนหนึ่งจะต้องสำเร็จเป็นพุทธะ แต่ไม่รู้ว่าคน ๆ นี้ใช่เราหรือเปล่า อาจารย์อยากให้ทุกคนตอบว่าใช่ การบำเพ็ญธรรมไม่ต้องแข่งกัน แต่ว่าทุกคนต้องเป็นคนที่ดี และการบำเพ็ญธรรมก็ไม่ต้องแย่งกัน แต่ว่าต้องเร็ว ยกตัวอย่างเช่น มีคนจมน้ำ เวลาเราจะไปช่วยเขาต้องเร็วไหม (เร็ว) ถ้าช้าเขาตายหรือเปล่า (ตาย) ถ้ามีชามยังไม่ได้ล้างตั้งทิ้งไว้ เราจะไปล้างชาม แต่เราคิดว่าเดี๋ยวก่อน เดินกลับไปกลับมาหลายครั้งก็เห็นว่าชามยังไม่ล้าง จึงคิดว่าไหน ๆ ก็ไม่มีคนล้าง เราล้างก็แล้วกัน อย่างนี้จะมีกุศล มีความดีหรือเปล่า (ไม่มี) เราดีจริงไหม (ไม่จริง) เราดีไม่จริงเพราะเรารอเวลา ประวิงเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นบำเพ็ญธรรม จำเป็นต้องไวไหม (จำเป็น) แล้วเราไวไหม (ยังไม่ไว)

ทำความดีกับไปหาเงิน อย่างไหนไวกว่ากัน ไปหาเงินไวกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นต่อไปนี้เอาอะไรไวดี (ความดี) เวลาทำความดีทำให้ไว เวลาคนเขาเอาเงินมาให้ หรือว่ามีงานการมาให้เราทำ เราต้องคิดก่อนว่างานนั้นเป็นงานที่คนดีทำหรือเปล่า ถ้าเป็นงานที่ไม่ดี ทุก ๆ คนก็ทำงานชิ้นนี้ได้แล้วก็ได้เงินเหมือนกัน แต่ว่าทำแล้วกลายเป็นคนไม่ดี ควรที่จะทำไหม (ไม่ควร) ถ้าหากว่าเราทำงานของคนไม่ดี เราก็กลายเป็นคนไม่ดีแล้ว เราจะบอกว่าเราเป็นคนดีได้หรือเปล่า (ไม่ได้)

เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมอย่างแรกก็คือเชื่อมั่นในธรรมะ แต่ก่อนจะเชื่อมั่นในธรรมะ ต้องเชื่อมั่นในตนเองก่อน เชื่อมั่นในตนเองว่า ตนเองเป็นคนดี ทุก ๆ คนเชื่อมั่นไหมว่าตนเองเป็นคนดี เราเชื่อมั่นไหมว่าเราเป็นคนดีร้อยเปอร์เซ็นต์

คนดีมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่มี การที่เราบอกว่าเราเป็นคนดี จะวัดกันได้อย่างไร เพราะทุก ๆ คนก็เป็นคนดี ถ้าเราเป็นคนดี เราก็จะมองเขาว่าเป็นคนดีถ้าเราไม่ดี เราก็จะมองเขาว่าไม่ดี ตอนนี้เรายังมองใครเป็นคนไม่ดีหรือเปล่า เรามองคนข้าง ๆ มองคนในสังคมทุกคนเป็นคนดีหรือเปล่า ถ้าเรายังมองเขาว่าไม่ดี แสดงว่าเรายังไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)

ตอนนี้อาจารย์เชื่อว่าทุกคนยังมองคนในสังคมว่าไม่ดีอยู่ ฉะนั้นตนเองจึงยังเป็นคนที่ไม่ดีเท่าไหร่ ถ้าหากว่าเราเป็นคนดี เราก็จะมองคนอื่นด้วยสายตาของคนดีและมองเห็นแต่สิ่งที่ดี พาตนไปสู่สิ่งที่ดี และมีแต่สิ่งที่ดีถ้าเรามองเห็นสิ่งไม่ดี แสดงว่าเราพาตนเข้าไปสู่สิ่งที่ไม่ดี คนในสังคมที่เราอาศัยอยู่จึงเป็นสิ่งที่ไม่ดี ใช่ไหม

บางคนเป็นคนคิดมาก และยังชอบวิตกกังวลแล้วก็ทำให้เป็นโรคปวดหัว หรือเปล่า ปวดหัวเราไม่ดี เพราะว่าเราไม่ดี เราชอบมองแต่สิ่งที่ไม่ดี แล้วก็ว่าเขา แล้วก็เอามาคิด แล้วกลายเป็นโรคปวดหัว ใช่หรือเปล่า (ใช่)

ถ้าหากเรารู้ว่าคนอื่นเขาเอาเปรียบเรา เราจะทำอย่างไรดี เราก็ต้องไม่เอาเปรียบใคร ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราถูกเขาเอาเปรียบแสดงว่าผลประโยชน์นั้นอาจจะตกอยู่กับตัวเรา อาจจะตกไกล ๆ เรา หรืออาจจะไปตกอยู่ที่คนอื่น ใช่หรือเปล่า (ใช่) สร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่น ดีหรือเปล่า (ดี) เราถูกเอาเปรียบ เราก็ทำเป็นโง่ ๆ มองไม่เห็น แล้วเราก็มีความสุข ทุก ๆ วัน อย่างนี้อยากได้ความสุขหรือความทุกข์ (ความสุข)

ทุก ๆ วันกราบไหว้พระเราขอความสุขหรือความทุกข์ (ความสุข) ใครเป็นคนหาทุกข์ให้เรา (ตัวเราเอง) ต่อไปนี้ก็มีความสุขทุก ๆ วันได้ เพราะว่าความสุขนั้นเกิดจากใจ ต่อให้ภายนอกมีโซ่ตรวนมาพันธนาการร่างกายของเรา แต่จิตใจเราเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ความสุขนี้ก็ไม่มี คนอื่นแย่งไปได้ แล้วความสุขก็จะอยู่กับเราทุก ๆ วัน การไปกราบพระ พระส่งความสุขมาหรือเปล่า (ไม่ส่ง) ต่อให้พระส่งความสุขมาให้ทั้งก้อน แต่เราปิดใจ เราก็รับไม่ได้ จิตใจเราเป็นจิตใจที่อมทุกข์ จะรับสุขได้หรือเปล่า (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นทุก ๆ วันแม้ว่าจะมีความวุ่นวายอยู่รอบข้างตัวเรา แต่จิตใจของเราต้องเป็นจิตใจที่มีความสุข



ม้วนที่ 2 อิ้ง

เป็นจิตใจของพุทธะ อย่าบอกว่าทำไม่ได้ แต่ไม่ได้ทำต่างหาก การอยู่เป็นมนุษย์แล้วมีความสุขได้ เราต้องเป็นผู้คุมบังคับจิตใจของเราเอง แล้วมีความสุขได้

ตอนนี้ศิษย์ทุก ๆ คนอยู่ในโลกมนุษย์อันกว้างใหญ่ไพศาล แต่จริง ๆ แล้ว ความทุกข์ความสุขอยู่นอกใจ ถ้าหากว่าเราทำตัวเรา ทำใจเราให้มีความสุข ก็จะมีความสุขอยู่ทุกวัน แต่หากว่าเราเขี่ยความสุขทิ้ง เอาความทุกข์เข้ามา ความทุกข์ก็จะเป็นของเรา ดังนั้นนับตั้งแต่วันนี้เขี่ยความทุกข์ทิ้ง แล้วเอาความสุขมาเป็นของเราดีหรือเปล่า (ดี) เมื่อเรามีสุขแล้วเราต้องให้ผู้อื่นมีสุขด้วย บางคนรู้จักหาความสุขใส่ตัว แต่ไม่เคยเผื่อแผ่ความสุขให้คนอื่น เพราะฉะนั้นวาสนาบารมีต่าง ๆ จึงไม่อยู่กับเราชั่วนิจนิรันดร์

ศิษย์ใช้อะไรรับอาจารย์ (ความตั้งใจ) ทุกคนมีความตั้งใจหรือเปล่า (มี) หลายคนใช้ใจรับอาจารย์ ไม่รู้ว่าใจของศิษย์เป็นสีอะไร มนุษย์ชอบกำหนดสี ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนทานอาหารต้องปรุงเครื่องหรือเปล่า (ปรุง) ปรุงน้ำส้มสีอะไร (สีแดง) ปรุงซีอิ๊วสีอะไร (สีดำ) ปรุงน้ำตาลสีอะไร (สีขาว) ปรุงพริกสีอะไร (สีแดง) เราชอบกำหนดสีแต่ใจของเรามีสีหรือเปล่า (ไม่มี) จิตใจจริง ๆ ต้องไม่มีสีสัน ต้องเป็นจิตใจที่สะอาด แล้วตอนนี้จิตใจของเราสะอาดบริสุทธิ์หรือยัง (ยัง) มีใครสะอาดหมดจดแล้วบ้าง

ในจิตใจของเรานั้น ถ้าจะบอกว่าไม่มีสีก็ใช่ จะบอกว่ามีสีก็ใช่ เพราะจิตใจของเรานั้นรวดเร็ว หนึ่งนาทีเราก็คิดไปหลายเรื่อง สิ่งที่เราคิดนั้นเปรียบประหนึ่งสีที่แต่งแต้มจิตใจของเราให้ไม่สะอาด เพราะฉะนั้นควรที่จะคุมความคิดของตนเองให้คิดแต่เรื่องดี ๆ อาหารหนึ่งชาม ก็เปรียบเสมือนจิตใจของเรา เราเอาสีแดง สีส้ม สีขาวกับสีดำลงไปใจจิตใจของเรา ฉะนั้นจิตใจของเราจึงเป็นจิตใจที่มีกิเลส ถูกหรือไม่ (ถูก) คนปรุงมากก็ใส่สีมาก คนปรุงน้อยก็ใส่สีน้อย คนไม่ปรุงก็ไม่ใส่สีเลย ก็เป็นจิตใจที่รักษาความเป็นจิตเดิมแท้ได้สูง

ในตัวเรามีกิเลสมากเท่าไร กิเลสเกิดจากภายในหรือภายนอก (ภายใน) บ้านหลังสวย เสื้อตัวงาม ๆ ความที่อยากสวย อยากงามเป็นกิเลสหรือเปล่า (เป็น) แล้วสิ่งนี้อยู่ข้างในหรืออยู่ข้างนอก (ข้างใน) ทำอย่างไรถึงจะเอากิเลสออกได้ ถ้ามีคราบสกปรก ๆ อยู่บนพื้นเราก็ต้องลงแรงไปขัด จิตใจของเราสกปรก คนอื่นมองไม่เห็น เราก็ต้องบอกตัวเราเองให้ขัด คนอื่นบอกเราไม่ยอมฟัง เพราะมนุษย์มีคำว่าอัตตา อัตตาของเราสูง ทิฐิของเราสูงจึงไม่ยอมฟังคนอื่น ใช่หรือเปล่า คนที่บอกเรา เขาจะเก่งกว่าเราหรือไม่นั้นสำคัญหรือเปล่า (ไม่สำคัญ) อายุน้อยหรือมากกว่าเราสำคัญไหม (ไม่สำคัญ) สำคัญที่ว่าเขาได้อ่อนน้อมมาบอกเรา แล้วเราน้อมรับที่จะแก้ไขหรือเปล่า เขาบอกเรา แต่กิเลสอันนี้เราต้องเป็นคนลงแรงขัดเอง ทุก ๆ วันต้องตรวจสอบและขัดเกลาตนเอง ถ้าเอาน้ำที่เป็นคราบสกปรกหยดลงไปบนพื้น ถ้าขัดภายในหนึ่งวัน ก็ขัดทิ้งง่าย แต่ถ้าทิ้งไว้สองวัน สามวันหรือหนึ่งปีแล้วขัดยากไหม (ยาก)

ตอนนี้ตนเองมีอายุเท่าไรแล้ว กิเลสนั้นอยู่กับเรามาเท่าอายุของเรา และเพิ่มความรุนแรงขึ้นทุกปี ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นก็ต้องไม่ท้อถอย เริ่มตั้งแต่วันนี้ ธรรมะ หลักการและการปฏิบัตินั้น ช่วยให้เราได้รู้ชัดเจนยิ่งขึ้น ให้เรากำจัดกิเลสง่ายยิ่งขึ้น แต่ถ้าเราไม่เป็นผู้ลงมือกำจัดเองก็ไม่สามารถกำจัดได้ ทุก ๆ สิ่ง ทุก ๆ อย่างก็ไม่เกินตัวเราเอง

กิเลสอยู่ข้างในหรือข้างนอก (ข้างใน) เพราะฉะนั้นบ้านหลังสวย ๆ หรือเสื้อตัวหนึ่งเป็นกิเลสหรือเปล่า สมมุติว่าเสื้อตัวนี้สวยมาก ๆ แล้วเราเอาตาไปมองจึงเกิดกิเลส แต่จิตใจของเราถ้าไม่มีกิเลสแล้ว เสื้อตัวนี้จะสวยไหม (ไม่) ถึงแม้ว่าเสื้อตัวนี้จะสวย แต่ถ้าจิตใจเราไม่มีความอยากได้ เสื้อตัวนี้จะเป็นกิเลสไหม (ไม่) ถึงบอกว่ามนุษย์ชอบโทษวัตถุภายนอก ที่จริงแล้วกิเลสอยู่ที่ใจ ถ้าเราเฝ้าตามกระแสสังคมไป เขามีอะไรก็อยากมีบ้าง ถามว่าใครมีกิเลส (ตัวเอง) เพราะฉะนั้นสิ่งที่กิเลสอาศัยอยู่ได้ ก็คือจิตใจของเรา ถ้าหากว่าเราไม่อยากให้จิตใจของเรานั้นถูกอาศัย ต้องทำอย่างไร

ใครชอบทองบ้าง กิเลสอยู่ที่ทองหรืออยู่ที่เรา (ที่เรา)



ม้วน3 อ้อ C3

เขาบอกว่าเป็นอรหันต์ต้องตัดกิเลส เป็นพุทธะต้องปราศจากกิเลส ถ้าเป็นอรหันต์เป็นพุทธะ เป็นนางฟ้า เป็นเทพบุตรพอเห็นคนมีทองเยอะๆแล้วไปขโมยทองของคนอื่นได้หรือเปล่า (ไม่ได้ ) กิเลสอยู่ที่ใจของเราเอง ทองนี้จะจริงหรือปลอมก็อยู่ที่ใจเรา ตั้งแต่โบราณนิยมทอง เราจึงเห็นว่าทองเป็นสิ่งที่มีค่า ใช้เงินเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนเราจึงถือเงินเป็นพระเจ้า ทั้งที่จริงแล้วมีสิ่งหนึ่งมีค่ากว่าสิ่งอื่นใดคือใจของเรา ใจของเราเป็นอย่างไรเคยเอาออกมาดูไหม (ไม่เคย) ทำอย่างไรจึงจะเห็นว่าตอนนี้ใจของเรามีสีอะไร คนที่ตอบคำถามนี้ได้ย่อมเป็นผู้ที่มีสายตาที่ยาวไกล ไม่มืดบอด เพราะว่าคนทั่วโลกมักมองไม่เห็นตัวเอง แต่ว่าเขามองเห็น เราจะมองใจของตนเองอย่างไร ( ถอยออกมาก้าวหนึ่งแล้วมองตัวเราเอง )

(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้แก่นักเรียนที่ตอบคำถาม)

ผลไม้น้อยหรือเยอะไม่ได้อยู่ที่สิ่งของ แต่ถ้าจิตใจของเราแบ่งเป็นสอง ใจที่สองคือใจที่มีกิเลส เพราะใจมีหนึ่งเดียว การที่จะมองเห็นตนเองก็ด้วยการมองจากอะไร (มองเห็นจากการกระทำ) ปกติเรารู้จักอายตนะทั้งหก ตามองข้างนอก หูฟังเสียง ลิ้นไว้กิน เราก็มีอายตนะไว้รับของภายนอกเข้ามา ความสามารถของตาคือการมอง แต่ความจริงแล้วตาไม่จำเป็นต้องไว้มองภายนอกเสมอไป แต่การมองให้เห็นใจของตนเองก็ใช้ตานี้ได้ เรียกว่าตาแห่งปัญญา ผู้ที่มีปัญญาเป็นผู้ที่สามารถฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลายได้ เวลามีอุปสรรคแล้วถ้าเรายืนติดกำแพง และไม่รู้จักปีนข้ามกำแพง ไม่ยอมขยับตัวทำอะไรเลย ก็จะยืนจมอยู่กับปัญหา เป็นคนจนมุม ใช่หรือเปล่า (ใช่) มีนักเรียนตอบว่าถอยออกมาหนึ่งก้าวมองกำแพงอันนี้แล้วคิดว่าจะปีนข้ามกำแพงอย่างไร เช่นนี้ใช้อะไรมอง (ใช้ตามอง) แต่ถ้าเราจะปีนข้ามกำแพงนี้ใช้อะไรมอง (ใช้ปัญญา) จึงต้องใช้ตาแห่งปัญญา ชีวิตนี้ผ่านร้อนผ่านหนาวที่สุดมาหลายครั้งแต่เคยแก้ปัญหาโดยวิธีนี้ไหม บางคนมีสามีไม่ซื่อสัตย์ มีภรรยาไม่ซื่อสัตย์ มีคนที่ไม่ซื่อสัตย์อยู่ใกล้ตัว มีเหตุการณ์ต่างๆ วนเวียนอยู่รอบข้างเรา ถ้าเราแก้ปัญหาโดยการใช้กำลังหรือการใช้ความคิด การทำร้ายตนเองจะคุ้มไหม (ไม่คุ้ม) ฉะนั้นตอนนี้ไม่ได้ใช้ตามองกำแพงเฉย ๆ แต่ต้องใช้ปัญญาคิดด้วยแล้วปีนข้ามผ่านขึ้นไป ในที่สุดแล้วใครเป็นผู้ชนะปัญหา (ตัวเราเอง) หากมานั่งปลงไม่ตก กินไม่ได้นอนไม่หลับจะคุ้มไหม (ไม่คุ้ม) แล้วเช่นนี้ ใครจะเป็นคนที่สุขภาพและใจอ่อนแอ (ตัวเราเอง)

วันนี้อาจารย์มาเพื่อให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นมองเห็นตนเอง ไม่ใช่มองเห็นรูปร่างภายนอกของเราที่งามหรือไม่งาม หล่อหรือไม่หล่อ ดีหรือไม่ดี มองเห็นตนเองคือมองด้วยอะไร

( มองเห็นด้วยสายตา,มองเห็นด้วยใจ,ด้วยปัญญา )

สมมุติว่าเราบำเพ็ญธรรมทั้งชาติเพื่อหามรรคผล มรรคผลคือทางและผลของพุทธะต่าง ๆ ดังเช่น พระศรีอาริย์ และพระโพธิสัตว์จันทรปัญญามีฐานบัวนั่ง พระกวนอูทรงเมฆ และอาจารย์ก็นั่งหิน ถ้าเราไม่มีฐานบัวขึ้นไปเบื้องบนก็ต้องยืน แล้วยืนก็ยืนไม่อยู่เพราะคิดถึงแต่ในโลก คิดถึงแต่ทีวี คิดถึงลูก เพราะฉะนั้นต้องหามรรคผลให้กับตนเอง ชั่วชีวิตสร้างมรรคผลได้หนึ่งอัน ฉะนั้นเราจะต้องสร้างให้ดีๆ ไม่ว่าศิษย์จะได้นั่งสิ่งไหนก็แล้วแต่ ขอให้มีที่นั่ง ไม่อย่างนั้นขึ้นไปนอกจากยืนเฉย ๆ ก็ยังยืนไม่ได้ เพราะจิตใจมัวพะว้าพะวงคิดถึงแต่กิเลสที่อยู่ข้างล่าง คิดถึงลูกอยากให้ลูกขึ้นไปด้วยก็ให้พาลูก,พ่อแม่ , พี่น้องมาบำเพ็ญด้วย ต่อไปก็กลับไปด้วยกัน ถ้าหากว่าไม่บำเพ็ญจะได้ผลไหม (ไม่ได้) ไม่ปลูกต้นไม้ก็ไม่ได้ผล



คนอื่นปลูกคนอื่นได้กิน เราปลูกเราได้กินและยังอาจเผื่อแผ่ให้ผู้อื่นได้ด้วย การมองตนเองมองได้ด้วยอะไรบ้าง ( มองด้วยการกระทำ, สายตาของผู้อื่น ) ปกติเรามองตนเองด้วยกระจก เราไม่สวยแต่กระจกบอกว่าเราสวยหรือ เราใส่ชุดสีแดงแล้วกระจกบอกว่าเราใส่ชุดสีดำหรือเปล่า (เปล่า) อาจารย์หมายความว่าจิตใจของเราต้องไม่เป็นจิตใจที่ลำเอียง


            พระโอวาทซ้อนพระโอวาท ปัญญา
            (ให้ไว้ ณ พุทธสถาน ฮุ่ยซิน จ.บุรีรัมย์  วันที่ ๑๔๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๑)
                            แยกแยะด้วยดวงปัญญา                         เมตตาเคียงคู่ยิ่งใหญ่           
                    ปัญหาไม่ว่าอะไร                                              แก้ไปด้วยใจเป็นกลาง         
                    เจริญรอยพระพุทธา                                         กิเลสเร่งมายับยั้ง
                    ชนะอัตตากระด้าง                                            พลังจากได้บำเพ็ญ
พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท เมตตา กล้าหาญ
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท เมตตา
                            มีความสุขจากการได้สละไป                   ไม่อาลัยสบายที่แฝงทุกข์เข็ญ
                    เมตตากอปรไม่โลภใจเยือกเย็น                       แลยิ่งเห็นชัดเมื่ออยู่กับคน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท กล้าหาญ

                            ความกล้ามากเกินบ้าบิ่น                         น้อยเกินมิสิ้นขัดสน
                    เก่งกล้าเกียจคร้านอับจน                                 อดทนเคียงคู่เกิดค่า
                    ผลักดันทิศทางมุ่งมั่น                                        ไม่หวั่นอุปสรรคหา
                    ไม่สิ้นไปพร้อมเวลา                                           เดินหน้าไม่เผลอประมาท

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา