วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2541

2541-10-10 พุทธสถานเซิ่งเต๋อ อ.ปราณบุรี


PDF 2541-10-10-เซิ่งเต๋อ #19.pdf

#การทำใจ #การดับทุกข์  #การบำเพ็ญภายใน  #พระคุณพ่อแม่  #มาสถานธรรม   #สามภพ  #ไตรภูมิ  #ไตรรัตน์


วันเสาร์ที่ ๑๐  ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑   พุทธสถานเซิ่งเต๋อ อ.ปราณบุรี
                                               สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

  คุมชีวิตดุจดั่งคุมบังเหียนม้า             สอบคนหน้าว่าอย่างไรบำเพ็ญผล
สามเวลาตรึกตรองพลันแยบยล          ภูมิแห่งคนประเสริฐยิ่งบำเพ็ญธรรม
                   เราคือ
  องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ   เคียมคัล
องค์มารดา                     ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
                                      ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา  ฮวา
  ในจิตใจอย่าเพิ่งซ่อนจิตสงสัย           ด้วยสิ่งนี้นำให้ใจถูกปิดสิ้น
ขอให้ใช้ใจเปิดเป็นอาจิณ                    จะได้ยินเสียงพระธรรมก้องกังวาน
สนุกสราญชีวิตนี้จีรังไหม                    ทางยาวไกลสังขารไม่ทนอยู่ยั้ง
ชีวิตหนึ่งใช้อย่างไม่ระมัดระวัง             ท้ายสู่น้ำวังวนเวียนเกิดตาย
แสวงหาลาภยศอีกเงินทอง                 รู้ว่าครองได้ร้อยปีไม่พ้นสูญ
ทุกทุกวันมีแต่บาปกรรมเพิ่มพูน           จิตจรูญกลับอับแสงสู่ทางวน
แสวงทรัพย์ดั่งว่าจะใช้พันปี                ชีพมิมีอยู่ยืนให้ดั่งประสงค์
อำนาจวาสนาใดกันอยู่ยืนยง               ขอเร่งปลงมองความจริงที่รอบกาย
เมื่อได้รู้ทางบำเพ็ญเป็นพุทธะ             ขอสละเวลามาศึกษา
ธรรมล้ำค่าอยู่ที่ใครตั้งใจมา                ขัดเกลาอุราให้สว่างสิ้นกิเลส
ผู้จะสิ้นกิเลสได้ใช้ปณิธาน                  จะคืนบ้านตนต้องมาสม่ำเสมอ
น้องต่างเป็นผู้ที่คอยจะพลั้งเผลอ        จึงยากเจอคุณธรรมแห่งจิตตน
บำเพ็ญอย่ามือถือสากปากถือศีล         เป็นมนุษย์น้ำตารินมากี่หน
ทะเลทุกข์ให้แต่ทุกข์ความอับจน          มั่งมีบนความทุกข์เขายากพุทธา
ความเจริญถึงที่สุดดิ่งลงต่ำ                หนามทิ่มตำรวยมาจนพึงสำนึก
จิตว่างว่างกายว่างว่างให้ตรองตรึก      ร้อยปีนึกทำสิ่งใดเป็นประโยชน์
สองวันนี้มาศึกษาซึ่งธรรมา                 ให้ตั้งใจไม่เสแสร้งหลอกตนเอง
บำเพ็ญธรรมมิต้องใช้ความกล้าเก่ง      มิต้องยืนเขย่งเท้าฝืนใจตน
ขอตั้งใจธรรมล้ำค่าอาจค่าไม่              ถ้าท่านไม่นำกลับไปปฏิบัติ
ในบัดนี้ฟ้าส่งทางสายลัด                   มุ่งจะคัดพุทธบุตรกลับสุทธา
มีชีวิตมีโอกาสพินิจก่อน                      ตะแกรงร่อนลาไกลผู้ยังสงสัย
สองวันนี้ตั้งใจเรียนอย่างเปิดใจ           แม้เป็นใหญ่ทางโลกมาละวางลง
วันเวลาสั้นนักเพียงสองวัน                  หากผู้ใดอยู่ครบชั้นเข้าใจร่วม
นาวาธรรมพายไกลใจสำรวม               ไม่หละหลวมต่างคนต่างเอาใจตน
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป            ขอเข้าใจชีวิตที่ดั่งน้ำค้าง
ไม่อาจอยู่ยืนยงจนรุ่งสาง                    ตื่นใจวางลาภสักการะกายโล่งเบา
ขอทุกคนตั้งใจรักษาพุทธระเบียบ         ให้เรียบร้อยงดงามครบถ้วนเทอญ
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
                                    ฮวา  ฮวา  หยุด


วันเสาร์ที่ ๑๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑ พุทธสถานเซิ่งเต๋อ อ.ปราณบุรี
พระโอวาทท่านแปดเซียนหลี่เถียไกว่  และ ท่านแปดเซียนหันเซียงจื่อ

  อัสสุธารา[1]ฟ้าหลั่งฝนคนทำชั่ว          เป็นกระชังที่ก้นรั่วสุดห้ามได้
มิรู้ตัวดำเนินทางอันตราย                    จวบจนสายเฝ้าเสียใจมิทันการ
                   เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียน หลี่เถียไกว่      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ  แฝงกายกราบเบื้องหน้า
องค์มารดาผู้เมตตา         ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

                                                    ฝนขาดเม็ดด้วยมนุษย์เพียรคุณงาม  มิยึดติดในรูปนามอันปราดเปรื่อง
ฝึกคุณธรรมฟ้าและดินสั่นสะเทือน    ทั้งดาวเดือนกลับงามสุกสกาว
ชีวิตหนึ่งสั้นนักพึงสังวร[2]                  มิทอดถอนในความชั่วอันเหน็บหนาว
บำเพ็ญธรรมมิยึดติดในตัวเรา           หมั่นขัดเกลามิหวั่นกลัวเหนื่อยยากใด
หยุดแสวงสิ่งภายนอกอันฟุ้งเฟ้อ        แสวงในมิพลั้งเผลอตามน้ำไหล
สังคมโลกกระแสโศกให้ตื่นใจ           ด้วยตั้งใจให้จริงจังให้จริงจริง
ควบคุมอารมณ์กิเลสการกระทำ        ก่อนฟ้าค่ำต้องสมบูรณ์กายใจทุกสิ่ง
เผชิญความยากลำบากจิตต้องนิ่ง      จึงเป็นที่พึ่งพิงแห่งเวไนย
แม้ว่าตนยังมีทุกข์ที่ยากแก้                  แต่แน่วแน่ช่วยผู้คนมิทิ้งหาย
นับวันกิเลสเป็นน้ำแข็งค่อยละลาย       ท่านอย่ากลายเปลี่ยนใจก่อนรู้แท้
สายลมพัดจากวันนี้เย็นยิ่งขึ้น              มิเมามึนในกิเลสใจแน่วแน่
ความมั่นคงบ่งให้ท่านมิเปลี่ยนแปร      สุดท้ายนี้อย่าได้แพ้ใจตนเอง
ในวันนี้แสนยินดีเมธีมาก                    เราขอฝากให้ทุกท่านรู้ตื่นเร่ง
อย่าเป็นคนแตกตื่นง่ายใจนักเลง          ช่วยตนเองและออกไปช่วยเวไนย
                                                                                      ฮา ฮา หยุด





[1] อัสสุธารา            น้ำตาการไหลแห่งน้ำตา
[2] สังวร                     ความระวังความเหนี่ยวรั้งความป้องกันสำรวม


   ลมผ่านพัดชายเสื้อพลิ้วสะบัดไหว       ริมสายธารปลายสายตาทัศนากว้าง
ค่อยหยัดยืนกายเหยียดตรงปลดปล่อยวาง         แสงสว่างลอดเมฆินทร์ [1] ร้ายกลายดี
                   เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียน หันเซียงจื่อ     รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ แฝงกายอัญชุลี[2]
องค์มารดา                     ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

                                                  สิ่งที่จะแปรสังคมอันวุ่นวาย    คือน้ำใจกรุณายิ่งต่อคนทุกข์
เมื่อมีชีวิตเท่าเทียมกันสันติสุข        ความผาสุกขอเบิกบานทั่วธรา[3]
ชีพหนึ่งให้ละบาปกรรมทั้งหลาย     เวลาพึงช่วงใช้อย่างรู้ค่า
คุณและค่าคุ้มครองชีพวัฒนา        ทุกเวลาไม่กล้าใดเผลอไผลญาณ
ตัณหาสิ่งทำว่างให้รู้ปล่อย             หวั่นไม่อุตส่าห์ภมร[4] น้อยเพลิดเพลินฝัน
ร่อนเริงร่าเป็นแต่เพียงเท่านั้น          อาศัยผ่านหวั่นวันหนึ่งประสบภัย
วิถีทางย่างก้าวคืนฟ้าถิ่น                ต้องบำเพ็ญพันธนาการสิ้นเป็นคนใหม่
อารมณ์เย็นพิสุทธิ์ [5] ขอมีเรื่อยไป     แม้กิเลสปวงสุดท้ายก็อย่ามี
เมธีทุกทุกด้านจิตมองย้อน             คนเมื่อเดินหน้าก่อนต้องขมันขมี
ใฝ่เจริญตั้งใจต้องงามพอดี            ขัดเกลานานใครผ่านมีภาคภูมิใจ
วิสัยลวกลวกผ่านมิใช่ปราชญ์         คนประมาทว่างเปล่าไร้กุศลใด
มือแม้แกร่งเปลื้องทุกข์ประชาไม่     พลาดพลั้งตามรังควานใจคนนานมา
ทบเก่ากรรมวิบากซ้อนมุ่งสังหาร      อีกสังขารเป็นอุปสรรคเสียดโลกหนา
การเพียรแม้เฝ้าตั้งใจสิ้นปริศนา      ในวาจาบ้างเปลี่ยนแปลงเฝ้ากล้ำกลืน
กรรมสำแดงท่านแสลงคิดอยากผละ     เป็นพุทธะกลางโลกีย์ต้องทนฝืน
ต่อสู้จิตแห่งมนุษย์อย่างกล้ำกลืน    ร้อยปียืนชีวิตขีดให้ตรง
                                                                                      ฮา ฮา หยุด




[1] เมฆินทร์              เมฆ
[2] อัญชุลี                  การประนมมือการไหว้
[3] ธรา                       แผ่นดิน
[4] ภมร                      แมลงผึ้งแมลงภู่
[5] พิสุทธิ์                  บริสุทธิ์สะอาดสุกใส



พระโอวาทท่านแปดเซียนหลี่เถียไกว่ และ ท่านแปดเซียนหันเซียงจื่อ

ท่านหันต้าเซียน : เป็นอย่างไรกันบ้าง ฟังธรรมะแล้วรู้สึกกระปรี้กระเปร่าหรือรู้สึกง่วงเหงาหาวนอน ฟังธรรมะแล้วใจต้องสงบเยือกเย็นและสุขุมใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าฟังธรรมะแล้วร่างกายอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ใจก็ง่วงเหงาหาวนอน อย่างนี้แปลว่าฟังธรรมะไป เป็นในทางบวกหรือทางลบกัน (ทางลบ)  แปลว่าของดีแต่เราใช้ผิด  จึงกลายเป็นของไม่ดีหรือเปล่า หรือว่าธรรมะไม่ใช่ของดี (ของดี)  ถ้าของดีก็ต้องเร่งรีบมาไม่ใช่ให้คนชวนแล้วชวนอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทุกท่านในที่นี้มีใครที่พอชวนมานั่งฟังธรรมะ แล้วมีใจกระปรี้กระเปร่า ตื่นตัวที่จะมาฟัง คงไม่หลอกตัวเองนะ เพราะวันนี้ไม่ใช่หลอกตัวเองอย่างเดียวแต่หลอกคนรอบข้างด้วย ฉะนั้นทำอะไรต้องคิดก่อน อย่าเป็นคนที่พูดมากกว่ากระทำ ย่อมไม่เกิดประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยู่ในโลกใบนี้ เราอยู่ร่วมกับคนในสังคม เราก็ต้องการคนหรือเพื่อนร่วมสังคมที่เป็นคนดี ต้องการสังคมที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  และสังคมดีอย่างที่เราต้องการกันหรือไม่ เป็นสังคมสับสนวุ่นวาย แก่งแย่งชิงดี มีแต่เอาเปรียบซึ่งกันและกัน แล้วท่านชอบและต้องการสังคมเช่นนี้หรือไม่ (ไม่)   สังคมจะเป็นเช่นไรขึ้นอยู่ที่สังคมหรือตัวคน (ตัวคน)  แล้วถ้าสังคมไม่ดีแปลว่าคนในสังคมทำไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมเราจึงเกลียดสังคมเช่นนี้ และทุกวันเรายังต้องเห็นสังคมเช่นนี้อยู่ แต่ว่าคนในสังคมยังทำกันอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  โดยปกติวิสัยเราแล้ว หากเราเกลียดสิ่งใดเราจะไม่ทำสิ่งนั้น หากเราปรารถนาและต้องการสิ่งใด เราก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้ทุกท่านบอกว่าเกลียดการเอาเปรียบ เกลียดการคดโกงกัน เกลียดความไม่ยุติธรรม  แต่สังคมที่ปรากฏ มนุษย์ทั่วไปกลับทำในสิ่งที่ตนเองรักหรือเกลียดกัน ล้วนเป็นสังคมที่เราต้องพบเจอแต่สิ่งที่เราไม่ชอบใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจะโทษที่ตัวสังคมหรือโทษที่ตัวบุคคลดี (ตัวบุคคล)  แล้วเวลาโทษตัวบุคคลจะโทษตัวเองหรือโทษผู้อื่น (โทษตัวเราเอง) แล้วเวลาโทษตัวเราเอง ได้แต่โทษแล้วมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงให้ดีขึ้นหรือไม่ (ก็มีบ้าง)  แต่รู้สึกว่าจะมีดีน้อยกว่าเสีย และร้ายมากกว่าดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกลียดสิ่งใดยังต้องเจอสิ่งนั้นอยู่ร่ำไป ไม่เคยหลุดพ้นสักที ใช่หรือไม่ (ใช่)  พิจารณาง่ายๆ เราเกลียดทุกข์ แต่สิ่งแรกเมื่อเรามีชีวิตแล้วเราต้องรู้จัก นั่นคือความทุกข์ แล้วเวลาที่เราจะหมดสิ้นอายุขัยไป เราก็หนีไม่ได้อยู่ดี เราต้องเจอทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจะทำอย่างไรดีกับชีวิตนี้ที่หนีไม่พ้นสักที ลืมตาขึ้นมา มีชีวิตต้องรู้จักคำว่าทุกข์เป็นคำแรกแล้ว จะหลับตาลงก็ต้องรู้จักทุกข์อีก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เป็นมนุษย์นี้ช่างยากเสียกระไร เป็นคนดีก็ยากแล้ว ดีแล้วยังต้องขจัดทุกข์ให้หมดสิ้นไป ก็ยิ่งยากไปใหญ่ 
ท่านหลี่ต้าเซียน : นั่งมาตั้งแต่เช้าจนบ่ายคล้อยแล้ว เหนื่อยหรือไม่ (ไม่เหนื่อย)  ในชีวิตมนุษย์นี้ทำสิ่งใดเหนื่อยที่สุด (ทำความดี)  ถ้าทำความดีเหนื่อยที่สุด ก็คงเป็นคนลำบากแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่ามัวแต่คิดไม่ยอมตอบ เมื่อเราคิดต้องได้พูด ต้องได้ทำ ฉะนั้นในทางกลับกัน สิ่งที่เราคิดต้องเป็นสิ่งที่ดี  ถ้าหากว่าเราคิดไม่ดีพูดออกมา ก็จะเป็นสิ่งไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วท่านเมธีทุกๆ ท่าน  คิดในสิ่งที่ดีหรือไม่ดี ความเป็นมนุษย์นั้น เมื่อบังเกิดขึ้น ทุกท่านนั้นติดอยู่ในกิเลสอันมากมาย ในปัจจุบัน กิเลสแห่งท่านเบาบางไปสักเท่าไหร่แล้ว หลังจากที่ท่านได้รับรู้วิถีธรรมนี้ ท่านคิดว่าเบาลงไปหรือไม่ (เบาแล้ว)   สิ่งที่เบาลงไปคือ
สิ่งที่ท่านตั้งใจทำหรือเปล่า แล้วตลอดมาท่านทำสิ่งนี้เหนื่อยหรือไม่ (ไม่เหนื่อย)  ฉะนั้นท่านควรจะทำไปเรื่อยๆ ทำไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ดีหรือเปล่า (ดี)  ถามทุกๆ ท่านว่าสิ่งที่เบาลงไปนั้น เป็นสิ่งที่ท่านตั้งใจทำ และท่านคิดว่าท่านทำสำเร็จแล้วหรือยัง อันว่าความสำเร็จนั้น บังเกิดขึ้นได้ในยามไหน หากว่าท่านเป็นผู้ละกิเลสสำเร็จ ผู้อื่นเป็นผู้พูดหรือตัวท่านเป็นผู้รู้ ตัวเราเองเป็นผู้รู้ ย่อมจะรู้ได้ต่อเมื่อเรานั้นวางสิ้นนิ่งเฉย ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วถามว่าเราจะรู้ได้เมื่อยามไหน ในปัจจุบันนั้นความสำเร็จแห่งการละกิเลสของท่าน ที่ละเบาบางไปได้บ้าง ยังไม่ถึงคราวสำเร็จทีเดียวใช่หรือไม่ (ใช่)  ยังต้องใช้ความพยายามอีกมากมาย 
ท่านหันต้าเซียน : มีใครบ้างสามารถยืนยันได้ว่าตนเองมีร่างกาย แต่ไม่เคยรักร่างกายตนเองเลย มีไหม (ไม่มี)  ไม่ว่าจะสวยหรือไม่สวย ไม่สมความปรารถนาหรืออย่างไร ก็ยังรักตนเอง แต่การกระทำทุกอย่าง เพื่อสิ่งที่ตนเองรัก ตนเองชอบ โดยที่ไม่สนใจแม้กระทั่งคุณธรรม ศีลธรรม และจิตใจของผู้อื่น เป็นการกระทำที่ถูกต้องหรือเปล่า (ไม่ถูกต้อง)  ย่อมไม่ถูกต้อง แต่โดยปกติแล้วมนุษย์เราเมื่อมีความต้องการ เมื่อมีความรัก เมื่อมีความชอบ ใจเราต้องใฝ่หาตามที่ใจเราต้องการ ต้องการรัก ต้องการชอบ ไปให้ถึงที่สุด โดยที่ไม่สนใจว่าการที่ได้มานั้น  เป็นอย่างไร แม้วิธีการนั้นจะผิดศีลธรรมบ้าง เล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้เป็นข้อใหญ่ ไม่ได้เป็นการเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น เราก็ยอมทำเพื่อให้ได้มาเพื่อสิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราปรารถนา แต่การกระทำอย่างนั้นทุกๆ วัน  ย่อมเป็นการสะสมในสิ่งที่ไม่ดี เพราะว่าคุณธรรมเล็กๆ น้อยๆ  เรายังเมินไป  แล้วคุณธรรมที่ยิ่งใหญ่เราจะคิด จะทำ หรือใฝ่ปองไหม ก็คงไม่  หากว่าทุกๆ คนคิดว่า นี่คือสิ่งที่ตนเองรัก นี่คือสิ่งที่ตนเองชอบ แล้วไม่สนใจแม้กระทั่งคุณธรรม ศีลธรรม หรือจิตใจของคนรอบข้างเลย  คนๆ นั้นหากอยู่บนโลกนี้ก็สร้างความแค้นเคืองเจ็บปวดให้กับคนรอบข้างเป็นอันมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้เขาจะสมหวังในสิ่งที่ตนใฝ่ปองแล้ว แต่เขาก็ยากที่จะมีชีวิตอยู่อย่างสมปรารถนาและมีความผาสุขได้อย่างปกติสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่เขาต้องการนั้น ล้วนเหยียบย่ำอยู่บนความทุกข์ยาก การ
โป้ปด การบิดเบือนทำร้าย และละเมิดศีลธรรม ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ดี ฉะนั้นเมื่อเรามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ สิ่งใดที่ได้มาซึ่งความสมปรารถนาแล้ว เราต้องพิจารณาว่าถูกต้องกับหลักศีลธรรม คุณธรรม และเบียดเบียนผู้อื่นด้วยหรือไม่ มิใช่รักตนเองแล้วก็ทำเพียงเพื่อตนเองสมปรารถนา แต่ไม่คำนึงถึงคนรอบข้าง ย่อมยากที่จะมีชีวิตเป็นสุขได้ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างเบียดบังคนอื่น ละเมิดศีลธรรม และจรรยาอันดีงาม หากคุณธรรมความดีเล็กน้อย เราไม่คิดทำ แล้วคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ จะบังเกิดได้ไหม (ไม่ได้)  ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ยังแก้ไม่ได้ แล้วปัญหาใหญ่เราจะแก้ได้ไหม ก็ย่อมยาก เริ่มต้นชีวิตยังนำพาไปไม่ถูก แล้วต่อไปชีวิตจะมีความสุขที่ถูกหนทางหรือไม่ (ไม่) ฉะนั้นเราต้องรู้ที่จะนำพาชีวิตไปให้ถูกทางด้วย 
ท่านหลี่ต้าเซียน : เมื่อสักครู่นี้ท่านได้ตอบหรือยังว่าทำสิ่งใดเหนื่อยที่สุด (ทำให้ผู้อื่นถูกใจ)  ตอบได้ดี 
ท่านหันต้าเซียน :  ทุกๆ  ท่านนั้นเคยมีชีวิตที่เหนื่อยยากมาแล้ว  แล้วอะไรทำแล้วเหนื่อยที่สุด (ทำเพื่อตัวเองเหนื่อยที่สุด) สิ่งที่เหนื่อยเหล่านี้เกิดมาจากการที่ท่านเป็นมนุษย์  เพราะฉะนั้นในชาตินี้ถามว่าทุกๆ ท่านคิดหรือไม่ว่าท่านต้องการอะไร แล้วการหลุดพ้นเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุใด  ที่จริงแล้วการเป็นมนุษย์นั้นไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ต่างเหนื่อยยากด้วยกันทั้งนั้น จะทำความดีหรือความชั่วท่านก็คิดว่าเหนื่อยใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าพูดจริงๆ แล้วใจของเรานั้นไม่สู้ในการทำสิ่งใดให้ประสบความสำเร็จ แม้ว่าเหนื่อยยากแต่ถ้าหากว่าเราทำสำเร็จได้ก็เป็นเรื่องที่สมควร ท่านรู้สึกเหนื่อยยากเพราะท่านมีกายสังขาร มีลมหายใจ กายสังขารนี้เวลาเราทำอะไรมากเกินไปก็รู้สึกว่าเหนื่อยง่าย แต่แท้ที่จริงแล้วท่านลองย้อนกลับไปดูสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า ก็คือสิ่งที่ท่านทำลงไปนั้นมีประโยชน์หรือเปล่า ในชีวิตมนุษย์นี้ เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องธรรมดาก็จริง แต่ก่อนที่ท่านจะเกิดมาท่านรู้ไหมว่าท่านเป็นใคร ในตอนนี้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วท่านได้ทำสิ่งใดอยู่ ตอนนี้เกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็มุ่งเข้าไปหาความตายทั้งสิ้น แล้วตัวเองได้ทำสิ่งที่มีประโยชน์มากเท่าไหร่ หากว่าท่านทำงานเพื่อตนเองแล้วท่านเหนื่อยยาก ทำงานเพื่อคนรอบข้างเราก็เหนื่อยยาก กับการที่ท่านทำเพื่อคนทั่วๆ ไปทำโดยไม่หวังผลตอบแทนแล้วเกิดความปิติสุขท่านเลือกทำสิ่งไหน  ถามว่าทำเพื่อผู้อื่นเหนื่อยกว่าทำเพื่อตัวเองไหม (เหนื่อยน้อยกว่า)  ท่านแน่ใจหรือเปล่า  ใจเราหากเปรียบเทียบคิดว่าเขายาก แล้วเราง่าย เราก็รู้สึกว่าทำเพื่อคนอื่นนั้นยาก
ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราไม่คิดเปรียบเทียบ เขาก็คือเรา เราก็คือเขา เรารักสุขอย่างไรคนอื่นก็รักสุขเช่นเดียวกับเรา  เราเกลียดทุกข์อย่างไรคนอื่นก็เกลียดทุกข์เช่นเดียวกับเรา หากคิดว่า การกระทำเช่นนี่ก็คงไม่ยากใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านหลี่ต้าเซียน : ท่านต้องการเป็นคนที่มีลาภยศสรรเสริญเงินทองมากมายใช่หรือไม่ เพราะว่ามีเงินทองร้อยบาท แต่บอกว่ามีพันบาทดีกว่า มีพันบาทบอกว่ามีแสนบาทเป็นคนที่รวยกว่าใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทุกๆ วันนี้ยกย่องคนรวยมากกว่าคนจน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วท่านต้องการให้คนดูถูกหรือต้องการให้คน
ยกย่อง (ให้คนยกย่อง) จึงยังต้องการความรวยใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วบอกว่า
ตัวเรานั้นไม่ชอบที่ความร่ำรวยได้อย่างไร ไม่ชอบลาภยศสักการะได้อย่างไร ต่างยังต้องการลาภยศสักการะทั้งนั้น  เมื่อเรามีลาภยศสักการะเราก็รู้สึกว่าเราหามา บางคนรู้จักพอบางคนไม่รู้จักพอ เคยได้ยินไหมว่ามีเงินทองมากมายแต่ทว่าซื้อจิตใจคนไม่ได้ หากว่าท่านเอาเงินไปช่วยคนแต่ใจของท่านนั้นไม่ได้เป็นใจแห่งความเมตตาเลย การช่วยคนครั้งนี้ลำบากไหม (ลำบาก)  สิ่งที่สำคัญจึงอยู่ที่น้ำใจไมตรีอันแท้จริง  หากในวันนี้คนเขาอยากได้ทางเดินที่เป็นทางราบเรียบเพราะว่าการเข้าไปในหมู่บ้านของเขานั้นยากลำบากมาก ท่านมีเงินอยู่สองแสนพอที่จะทำทางเส้นนี้ได้แต่ขาดช่างผู้ไปนั่งทุบหิน และผู้ไปถากถางทาง ถามว่าท่านจะยอมลงมือไปเป็นช่างหรือเปล่า (ยอม)  จะต้องไปสร้างหลังคามุงจากอยู่ข้างถนนนั้นทุกๆ วัน การทำเพื่อคนอื่นเช่นนี้ท่านทำได้หรือเปล่า (ได้)  เพราะฉะนั้นถึงมีเงินสองแสนเพื่อปูทาง ทางนี้ก็ยังไม่สำเร็จ แต่จะสำเร็จได้ย่อมอยู่ที่น้ำใจของท่าน เรื่องนี้เปรียบเทียบถึงว่าต่อให้ท่านเป็นผู้มีความมั่งคั่งร่ำรวยลาภยศสักการะเงินทองมากมาย แต่หากไม่ลงแรงบำเพ็ญธรรม ไม่ลงแรงบุกเบิกถางทางนิพพานเอง ท่านก็ไม่มีทางจะให้เดิน ในตอนนี้ขอให้ท่านรู้ว่าการบำเพ็ญธรรมไม่จำเป็นจะต้องมีเงินทองมากมาย ขอให้ทุกๆ วันไปบุกเบิกถางทางซึ่งอยู่ที่ใจของท่านอันมีกิเลสมากมาย เปรียบเสมือนหญ้าขึ้นรก  หากว่าท่านไม่หมั่นขจัดก็ไม่มีทางที่จะโล่งเตียนได้ ขวากหนามมากมายเปรียบประหนึ่งปัญหาหากว่าท่านนั้นไม่ไปทุบทิ้ง ทางนี้ย่อมยากที่จะเรียบสนิท ทางนี้ไม่ต้องเสียเวลาให้ท่านต้องไปสร้างเพิงแล้วก็อยู่อย่างแร้นแค้นจริงๆ  บางคนอยู่ในบ้านของตนเองแต่กลับไม่มีความสุข  แต่กลับมีทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเพิงนี้เปรียบไปแล้ว คือเพิงในบ้านของท่านเอง ถ้าหากว่าท่านสามารถที่จะอยู่ในบ้านของท่านเองทำการบุกเบิกถางทางนี้จนบรรลุได้ด้วยความไม่กลัวเหนื่อยยาก ท่านย่อมสามารถที่จะสำเร็จเป็นพุทธะได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ท่านหลี่ต้าเซียน : ตั้งแต่เราเข้ามาในสถานที่นี้ทุกๆ ท่านก็เฝ้ามองตามเราใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าให้ท่านมาเป็นเช่นเราและยังต้องทำงานธรรมะได้หรือเปล่า (ได้)  ผู้บำเพ็ญธรรมยังต้องถากถางทางใจของตนเองได้หรือไม่ (ได้)  ท่านจะโทษฟ้าโทษดินโทษคนด้วยกัน โทษว่าทำให้ท่านเป็นแบบนี้เป็นความโชคร้ายอย่างยิ่งหรือไม่ ฉะนั้นในวันนี้ทุกๆ ท่านเป็นผู้ที่โชคดีถูกหรือเปล่า (ถูก)  บางคนนั้นชอบตัดพ้อต่อว่ากับตนเองว่า เรานั้นช่างโชคร้ายจริงๆ  แท้จริงแล้วท่านโชคร้ายหรือโชคดี (โชคดี)  เกิดมาไม่เป็นคนพิกลพิการเกิดมามิได้กำพร้า เกิดมาตาไม่บอดหูไม่หนวกไม่เป็นใบ้นับว่าเป็นโชคดีอย่างยิ่งแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตนี้ต้องรู้ใช้อย่างคุ้มค่ามิใช่เอาชีวิตของตนใช้ตามใจของตนเอง ระบายอารมณ์ตามใจของตนเองแล้วสร้างกิเลสความไม่ตั้งใจขึ้นบ่อยๆ  คนที่ตามใจยากที่สุดคือตัวของเราเอง  เพราะว่าไม่ยอมหยุดไม่ยอมนิ่งใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทุกๆ  ท่านจึงต้องหัดควบคุมจิตใจของตนเอง ควบคุมอย่างไร ควบคุมสิ่งใดบ้าง ตอบได้หรือไม่ 
ท่านหันต้าเซียน : ต้องพิจารณาด้วยว่าตอนนี้ท่านใดหันหน้ามาหาท่านใช่หรือเปล่า แล้วตอนนี้ท่านไหนหันหลังให้กับท่านใช่ไหม  เวลาคนเราสนทนากันหากอีกฝ่ายแสดงใบหน้าบึ้งตึง เราย่อมไม่อยากสนทนาด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอีกฝ่ายแสดงใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เราย่อมอยากสนทนาด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่)  ตอนนี้ใครยิ้มแย้มแจ่มใสให้กับท่าน ท่านย่อมพึงพอใจใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนไหนทำท่าหยิ่งผยองจองหองกับท่านก็อย่าไปฟังดีหรือเปล่า  ฉะนั้นถ้าท่านส่งหน้า
ยิ้มแย้มแจ่มใสเราก็จะคุยด้วยและถ้าท่านส่งหน้าหยิ่งผยองจองหองเราจะไม่สนใจท่านเลยดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  มนุษย์เรามักจะพูดอะไรซ้ำไปซ้ำมาใช่ไหม มีสำนวนพูดให้ได้ยินบ่อยๆ ว่า "โล่กับหอกมักจะศอกกันเอง"  เข้าใจสำนวนนี้หรือไม่  หอกคมแทงอะไรก็เข้าแต่ว่า โล่แข็งแกร่งอะไรแทงก็ไม่เข้า อย่างนี้อะไรดีกว่ากันกันแน่  
ท่านหลี่ต้าเซียน : นิทานเรื่องนี้มีว่าชายผู้หนึ่งต้องการที่จะขายอาวุธของตนเอง อันได้แก่โล่และหอก เขาหยิบโล่ และหยิบหอกขึ้นมา แล้วบอกว่าหอกของเขานั้นเป็นหอกที่คมสามารถแทงสิ่งใดเข้าทั้งหมด สักครู่หนึ่งก็เปลี่ยนเอาโล่ขึ้นมาและประกาศสรรพคุณว่าโล่ของเขานี้อะไรๆ ก็แทงไม่เข้า จะฟังเป็นนิทานเฉยๆ นั้นไม่ได้ เปรียบประหนึ่งความเก่งกล้าสามารถแห่งท่าน ซึ่งเปลี่ยนเป็นหอก เพราะว่าเที่ยวทิ่มแทงคนอื่น เพราะเห็นว่าเราเก่งกว่าเขา อันว่าโล่นั้นมีไว้ป้องกันเปรียบได้กับสิ่งใดของเรา (นิสัยของเราเอง)  ถ้าหากว่าผู้อื่นทำร้ายเราแล้วเราป้องกันตนเอง แล้วก็บอกนิสัยของเราดี เราบอกว่านิสัยของเรานั้นดี ทิฐิมานะความเก่งของเราเองกั้นได้หรือไม่  เปรียบไปแล้วก็คือ คนที่บอกว่าตนเองนั้นเป็นคนเก่งและบอกว่าตนเองนั้นนิสัยดีด้วย ไม่มีข้อบกพร่องใดๆ  เลยไม่พร้อมเปิดจิตใจที่จะแก้ไขสิ่งใดแห่งตัวเราเอง ในที่สุดแล้วตัวเรานั้นเป็นทั้งคนเก่งเป็นทั้งคนนิสัยดี แต่ว่าคนอื่นนิสัยไม่ดีใช่หรือเปล่า (ใช่)  เรามักจะพูดอย่างนี้กับตัวของเราเอง ที่สุดแล้วเอานิสัยของเรากับความเก่งของเราเป็นอย่างไร สามารถส่อได้ว่าเรานั้นโกหกว่าทั้งโล่และหอกของเราเองนั้นเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งจริงๆ  แล้วโล่นั้นก็ไม่สามารถจะป้องกันได้ทุกสิ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  หอกนั้นก็ไม่สามารถจะป้องกันได้ทุกสิ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจึงควรยอมรับว่าตัวเรานั้นมีข้อบกพร่องที่ควรแก้ไข ดังนี้จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ฝึกหัดการเป็นพุทธะอย่างแท้จริง หากว่าท่านบอกว่าท่านนั้นยอมรับในสิ่งที่ผู้อื่นพูดแต่พอคนเขาพูดเข้าจริงๆ แล้วยอมรับไม่ได้ แสดงว่าเรานั้นเป็นคนที่มีนิสัยไม่ดี แล้วพอเขาบอกว่าเราไม่เก่งแล้ว เราบอกว่าเราพร้อมที่จะปรับปรุง แต่พอคนมาว่าให้จริงๆ  ว่าเราไม่เก่งแล้วเรารับไม่ได้ แสดงว่าเรานั้นเป็นคนที่เก่งไม่จริง คนเก่งจริงๆ  เป็นเช่นไร  คนเก่งจริงๆ  นั้นไม่ได้เป็นคนเก่งไปหมดทุกด้านจึงจะเรียกว่าเป็นคนเก่งจริงใช่หรือเปล่า (ใช่)  ในฟ้าดินนี้ไม่มีผู้ใดจะเก่งฉกาจไปได้ทั่ว สักวันหนึ่งจะต้องเจอเรื่องที่ตนเองนั้นทำไม่เป็นบ้างถูกหรือเปล่า แล้วพอเราทำไม่เป็นเราก็บอกว่าเราไม่เป็นจึงนับว่าเป็นคนที่เก่ง   เข้าใจหรือเปล่า
ท่านหันต้าเซียน : คนที่รู้ตัวว่ารู้ก็บอกว่ารู้ ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้นั่นเรียกว่าผู้รู้
ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่รู้ตัวว่าตัวเองเก่งอะไรแล้วก็ใช้ความเก่งได้และรู้ว่าอะไรที่ตัวเองไม่เก่งแล้วก็สามารถบอกคนอื่นได้ ก็แปลว่าคนนั้นเก่งจริงๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้ารู้เขารู้เรารบกี่ครั้งก็ชนะใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ถ้าตัวเองก็ไม่รู้แล้วอย่างนี้จะนำพาตัวเองไปได้ตลอดรอดฝั่งไหม (ไม่)  เราไม่สามารถเรียกร้องหรือแก้ไขคนในสังคมให้เป็นคนดีได้ถ้าตัวเองยังไม่ดีพอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจะเรียกร้องให้สังคมนี้ต้องมีคนดี แต่ถ้าตัวเองยังไม่ดีพอ ยังไม่เที่ยงธรรมพอแล้ว เราจะนำพาคนอื่นได้ไหม เราจะปกครองคนอื่นให้คนอื่นทำตามเราได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ยังมีคำกล่าวว่าหากตนเองเที่ยงธรรมหากตนเองเคารพตนเองแล้ว มีหรือคนอื่นจะไม่เคารพเรา มีหรือจะปกครองคนอื่นไม่ได้ ถ้าเราไม่เคารพตนเอง คนอื่นก็ไม่เคารพเราเหมือนกันใช่หรือเปล่า (ใช่)  หากเราไม่เที่ยงธรรมแล้วคนอื่นเขาจะตามเราได้ไหม (ไม่ได้)  ก็ไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  หนึ่งนิ้วชี้ว่าเขาอีกสี่นิ้วจิ้มหาตัว  ฉะนั้นการที่จะเปลี่ยนแปลงคนผู้อื่นนั้น เราต้องเริ่มต้นที่ตัวเราเองก่อน หากเรานำพาตัวเองได้ดี ถูกทางและไปตลอดรอดฝั่งแล้ว มีหรือที่จะเกิดอันตราย ก็ย่อมยากที่จะเกิด แต่ถ้าตัวเราเองพาไปถูกบ้างไม่ถูกบ้าง วันนี้รู้พรุ่งนี้ไม่รู้ วันนี้เบียดเบียนพรุ่งนี้บ่ายเบี่ยง วันนี้เป็นคนดีพรุ่งนี้เป็นคนไม่ดีแล้ว อย่างนี้ผลแห่งความดีจะตกถึงเราไหม (ไม่ถึง)  ก็ไม่ถึงเราใช่หรือเปล่า เคยดูดอกไม้ไหม เวลาเรารดน้ำ เวลาเราบ่มเพาะ เราต้องทำทุกวันใช่หรือไม่ (ใช่)  หากวันนี้เราไม่ให้น้ำไม่ให้ปุ๋ย ดอกไม้ที่กำลังจะเริ่มผลิก็หยุดผลิไปใช่หรือเปล่า (ใช่)  วันนี้เราทำความดีแต่พรุ่งนี้เราไม่ทำความดีผลที่จะได้ก็ต้องหยุดนิ่งไปใช่หรือไม่ (ใช่)  การจะตั้งใจทำสิ่งใดก็แล้วแต่ให้ได้ซึ่งผล เราก็ต้องลงแรงให้เต็มที่บางครั้งกว่าจะไปถึงผลที่เราต้องการมักจะเผชิญอย่างหนึ่งที่ทุกคนหนีไม่พ้น นั่นคืออุปสรรคและความยากลำบาก หรือไม่ก็คือความเกียจคร้าน ใช่ไหม (ใช่)  หากต้นไม้ต้นหนึ่งเราสามารถบ่มเพาะหล่อเลี้ยงจนเติบโตเป็นต้นใหญ่ แต่อีกชีวิตหนึ่งสามารถบ่มเพาะคุณธรรมความดีให้เติบโตและยิ่งใหญ่ได้  ในเมื่อเรารักความดีงามรักคุณธรรมรักความซื่อสัตย์ แต่เพราะอะไรความซื่อสัตย์ คุณธรรม ความดีงามในตัวเราถึงได้ถูกทำลายไปทีละเล็กทีละน้อย  เพราะว่า หนึ่งเราไม่สามารถเอาชนะใจตัวเองได้ สองเราไม่สามารถหักห้ามใจให้รักคนอื่นได้ เพราะเราเห็นคนอื่นดีกว่าเราไม่ได้ ใช่หรือเปล่า
ท่านหันต้าเซียน : ฉะนั้นเราอยากให้ผู้อื่นดีต่อเรา  ตัวเราต้องดีด้วยเช่นกัน คนอื่นถึงจะอยู่ร่วมกันได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  การกระทำทุกอย่างบางครั้งเราอย่ามองแค่แคบๆ หรือมองแต่คนอื่น แต่เราต้องหันมาถามตนเองก่อน เราเรียกร้องสิ่งใด เราเข้มงวดสิ่งใดก็ไม่เท่ากับเรียกร้องตนเองและเข้มงวดกับตนเอง การไปเรียกร้องผู้อื่นแต่ตนเองไม่ทำก็กระไรอยู่
ท่านหลี่ต้าเซียน : นั่งในห้องพระอย่าได้ถอดรองเท้า ในธรรมเนียมของไทยนั้นเข้าวัดต้องถอดรองเท้าใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในธรรมเนียมจีนนั้นท่านมาสถานธรรมอาจไม่ต้องถอดรองเท้าก็จริง แต่เข้ามาแล้วการไม่ถอดรองเท้าออกจึงจะถือว่าเป็นการเคารพ มานั่งที่นี่ในวันแรกนี้อาจจะมีความลำบากบ้างไม่ชินบ้าง นั่งแล้วเมื่อยนั่งแล้วง่วงนอน แต่ทว่าอันนี้เป็นความเหนื่อยยากชนิดหนึ่ง เราต้องการจะศึกษา ต้องการที่จะรู้ธรรมะแท้ เราจะต้องลงแรงบ้างนิดหน่อยนั่นคือการนั่งฟังสองวัน ไม่ใช่เข้าหูซ้ายแล้วทะลุออกหูขวาไป เราจะต้องมีความเข้าใจกระจ่างแจ้งในธรรมะที่แท้จริง หากไม่สามารถกระจ่างแจ้งในธรรมะที่แท้จริงได้ เมื่อกลับไปท่านก็จะหลับอีก หลับที่นี้คือจิตใจที่หลับ  คนเขาเรียกให้เรามาสถานธรรม ถ้าไม่ใช่ด้วยความเกรงใจด้วยความตั้งใจบ้าง ในที่สุดพอมาแล้วเราต้องตั้งใจฟัง ฟังจนสามารถเข้าใจได้ เมื่อเข้าใจจึงจะสามารถเข้าไปสู่ขั้นตอนแห่งการมีจิตที่ตื่นจริงได้ คนที่จิตตื่นกับคนที่จิตหลับนั้นต่างกันเช่นไร บางคนต้องให้คนเรียก  ถ้าไม่เรียกก็ไม่คิดอยากจะมาสถานธรรม ไม่เรียกแล้วไม่ตื่นตัวไม่รู้เอง นั่นแสดงว่าเรานั้นยังมีจิตที่ไม่รู้ตื่น แต่ถ้าหากว่ากลับไปบ้านแล้วท่านยังคงจิตเช่นนี้ได้ คือจิตที่มีความเข้าใจ จิตที่กระตือรือร้นที่จะฝึกหัดบำเพ็ญจิตของตัวเราเอง นั่นจึงเรียกว่าใจท่านตื่นแล้ว  ในสมัยโบราณบางคนสามารถบำเพ็ญจนตลอดรอดฝั่ง จากการที่คนนั้นบอกเพียงครั้งเดียวว่าให้เขาบำเพ็ญธรรมเพราะว่าชีวิตคือความทุกข์  แต่ทำไมทุกๆ ท่านที่อยู่ในที่นี้จึงไม่รู้แจ้งเช่นนั้นบ้าง เพราะว่าเราไม่ได้ลืมตาแห่งใจ เราเพียงแต่ลืมตาที่ดวงตานี้แล้วบอกว่าตอนนี้มีเด็กผู้หญิงมาเดินไปเดินมาไม่รู้จริงหรือเท็จ แต่ถ้าลืมตาแห่งปัญญาที่ดวงใจด้วย ท่านควรเก็บหลักสัจธรรมที่เราพูดนี้กลับไปคิด กลับไปพิจารณาและกลับไปปฏิบัติ ต่อให้ธรรมะมีความล้ำค่าเท่าไร หากว่าท่านไม่รู้จักนำกลับไปบำเพ็ญ ฟังแล้วย่อมเหมือนไม่ได้ฟัง  เพราะว่าเรายังไม่ถึงภาวะแห่งการรู้ตื่นอย่างแท้จริง อันว่าพุทธะนั้นไม่พูดถึงเรื่องเงินทองมากมายเท่าไร พุทธะนั้นขอพูดเพียงแต่ว่าท่านตื่นจริงหรือเปล่า ในวันนี้ท่านถามตัวท่านเองดูว่าท่านนั่งมาถึงตอนนี้แล้ว ท่านเชื่อมั่นว่าตัวเราเป็นผู้ตื่นจริงหรือไม่ กลับไปบ้านยังต้องให้คนเฝ้าเรียกเราอีกหรือเปล่า จะมีจิตใจที่ต้องการบำเพ็ญธรรมแบบสามวันดีสี่วันไข้หรือเปล่า อันว่านิพพานนั้นฟังกันมาตั้งนานบางคนบอกว่าห่างไกลใช่หรือไม่ แต่ทำไมเหล่าพุทธะถึงพูดว่านิพพานนั้นอยู่ใกล้  เพราะว่าเราได้เข้าถึงแล้ว นิพพานอยู่ใกล้เพียงแต่ท่านต้องบำเพ็ญ กลัวแต่ว่ามนุษย์ไม่ยอมสำเร็จนิพพานเพราะว่าความเกียจคร้าน ความที่บอกว่าไม่เป็นไร พรุ่งนี้ก็ทำได้ มะรืนนี้ก็ทำได้ ในที่สุดแล้วผัดไปผัดมา กลายเป็นความวุ่นวายครั้งใหญ่ที่จิตใจของเรานั้นมีแต่กิเลส
ท่านหันต้าเซียน : อย่าเดินหนึ่งก้าวแล้วถอยสิบก้าวนะ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานผลไม้แก่นักเรียนที่ตอบคำถาม)
วันนี้พรุ่งนี้ต้องช่วยกันใช่หรือเปล่า (ใช่)  ที่ผ่านมาลองพิจารณาว่าเราได้ใช้ชีวิตมีคุณค่ามากเท่าไร เราเหนื่อยยากตลอดมานั้นเพื่อผู้อื่นหรือเพื่อตัวเอง ไม่เพียงทำเพื่อครอบครัวเราเท่านั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  สองวันนี้พูดถึงเรื่องการบำเพ็ญธรรมนิพพาน ถ้าหากว่าท่านไม่สามารถคุมจิตใจของตนเองให้อยู่ที่นี้ได้ ย่อมยากยิ่งที่จะฟังธรรมะให้เข้าใจกระจ่างแจ้ง หากว่าท่านฟังแล้ว เข้าใจแล้ว ไม่กลับไปหัดปฏิบัติ แม้ว่าท่านนั้นจะมีชีวิตยืนยาวอีกร้อยปีต่อไป  ก็มีเพียงแค่ลูกหลานกราบไหว้เท่านั้น สร้างสิ่งที่มีค่าให้กับชีวิตของตนดีหรือไม่ ต้องรู้จักช่วยเหลือคนอื่น แต่ต้องช่วยตัวเองก่อน ไม่เช่นนั้นจะเข้าตำราช่วยคนอื่นอยู่รอดแต่ตัวเองยังเวียนว่ายอยู่ในทะเลทุกข์
ท่านหันต้าเซียน : “ลมผ่านพัดชายเสื้อพลิ้วสะบัดไหว ริมสายธารปลายสายตาทัศนากว้าง  ค่อยหยัดยืนกายเหยียดตรงปลดปล่อยวาง แสงสว่างลอดเมฆินทร์ร้ายกลายดี”  หลายต่อหลายครั้งที่เรามักจะหลบหนีสังคมไปอยู่กับธรรมชาติ เพราะเรารู้สึกว่าบ่อยครั้งที่เราอยู่ในสังคมแล้วคนในสังคมร้ายยิ่งกว่าเสือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  น่ากลัวยิ่งกว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกหล้าใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะเรามักจะคิดว่าเวลาคนเรานั้นร้ายขึ้นมาน่ากลัวยิ่งกว่าเสือ เวลาดีก็ดีใจหาย จนบางครั้งเราเบื่อคนที่เป็นเช่นนี้ เราเบื่อกับสภาพของใบหน้าที่เราเห็นเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เบื่อกับกาลเวลาที่ผลักเราให้ขึ้นๆ ลงๆ เอาแน่นอนไม่ได้ จึงทำให้เราคิดอยากจะไปหาที่สงบๆ พักผ่อนจิตใจ พอฟื้นคืนจิตใจขึ้นมาได้จึงกลับไปเผชิญโลกใหม่ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ว่าสังคมปัจจุบันบางครั้งก็ยากที่จะกระทำอย่างนั้นได้ทุกวัน  บางวันเราต้องเผชิญกับผู้คน บางวันเราต้องเผชิญกับสังคมที่เป็นแบบนี้ ยากที่จะมีเวลาหลบหลีกไปหาที่พักผ่อนหย่อนใจได้ ฉะนั้นมีอย่างเดียวที่เราจะทำได้ก็คือ ต้องทำใจให้ได้  การทำใจให้ได้เหมือนกับลักษณะของคน เมื่อยามท้อแท้ก็เหมือนกำลังนั่งอยู่ แล้วปลดปล่อยอารมณ์ไปตามสิ่งที่เราอยากแสวงหา แต่เมื่อเรายืนขึ้นมาได้ ลุกขึ้นมาได้แปลว่าตอนนั้นเราเริ่มคิดได้ เราเริ่มปล่อยได้วางได้ และพร้อมที่จะลุกขึ้นยืนสู้ต่อไป แต่กว่าจะถึงตอนนั้นเราต้องมีแรงฉุดอย่างมาก เหมือนคนที่นั่งอยู่ตามริมแม่น้ำหรือริมทะเล บางครั้งรู้สึกว่าอากาศร้อนอบอ้าว รู้สึกภายในใจเหนื่อยเหลือเกินอยากพักผ่อน แต่มีลมเย็นพัดผ่านมาวูบหนึ่ง ทำไมเราจึงรู้สึกว่าเราสดชื่นขึ้นมาได้ทั้งที่เป็นลมพัดผ่านเท่านั้นเอง เปรียบเหมือนว่าเวลาเราท้อแท้เหนื่อยหน่าย บางครั้งมีคำพูดเพียงคำหนึ่ง หรือบางครั้งมีเพียงบางเรื่องผ่านเข้ามาสะกิดใจเรา เรากลับคิดได้ เรื่องร้อยแปดพันอย่างที่ทุกข์มานานนับปีกลับมลายหายไปสิ้น เคยเป็นอย่างนี้บ้างไหม นั่นคือเราคิดได้ เราปลงได้ เราวางได้ แล้วสิ่งที่บอกว่าทุกข์จนกระทั่งรู้สึกว่าลุกไม่ขึ้นนั้น ก็กลับกลายเป็นเศษเสี้ยวธุลีเล็กน้อยเท่านั้นเอง เมื่อถึงเวลาก็ต้องผ่านไป ถ้าอย่างนี้เวลาเราเกิดความทุกข์ขึ้นมาในใจ เกิดความกลัดกลุ้มไม่สบายใจขึ้นมา ขอให้เราปล่อยจิตคิดตรงนี้ แล้วมองให้กว้างๆ  มีหลายครั้งยามที่เรามองแม่น้ำ หากเรามองอยู่แต่ตรงนี้เราจะเห็นเพียงเท่านี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะเห็นว่าชีวิตมีเพียงเท่านี้ทำได้เท่านี้ แต่ถ้าเราเปลี่ยนสายตา ปรับความคิดจากมองตรงนี้เปลี่ยนไปมองกว้างๆ จากมองปลายน้ำเปลี่ยนเป็นมองต้นน้ำ เรากลับรู้สึกดีขึ้นมาในทันทีใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเราเปิดใจออกกว้างไม่หมกมุ่นอยู่ในความคิดในความรู้สึกจนเกินไป เมื่อเราปล่อยความคิดและเปิดใจออกกว้าง จิตใจรู้สึกอิสระเสรี เมื่อนั้นความทุกข์ที่ทับถมมานานนับปีก็พลันมลายหายไปสิ้น เพียงแค่เราปลงได้ ปล่อยได้ แล้วเปิดใจให้กว้างๆ เหมือนกับตอนนี้ท่านเห็นเรายืนอยู่ตรงนี้และคิดว่าการมาของเราครั้งนี้เป็นเพียงการหลอกเล่นหรือเป็นเพียงละครตบตาท่าน แม้เราไปแล้ว ใจท่านยังคงต้องปฏิเสธเรื่องพวกนี้ ฉะนั้นปัดความคิดนี้ตกไป  มองอย่างเปิดใจให้กว้างๆ ท่านจะได้อะไรต่อมิอะไรมากมายยิ่งกว่าที่ท่านมัวแต่จมอยู่ก็เป็นได้ เรื่องราวในโลกนี้ก็เหมือนกัน บางครั้งผันผวนปรวนแปรไม่สิ้นสุด บางครั้งหยุดนิ่งช้าเรื่อยๆ เอื่อยๆ ไปไม่ถึงสักที เพราะว่าใจเรายากที่จะอิสระเสรี เป็นเพราะใจเรายากจะปล่อยความคิดของตนเองให้หลุดจากความคิดที่ตนกำลังผูกไว้ได้ หากคิดว่าทุกข์ ก็ยากจะสุขใช่หรือเปล่า หากทุกวันมีความสุขแล้ว จะมีใครนำความทุกข์มาให้ได้ไหม  ถ้าบอกว่าตัวท่านมีความสุขแต่สักพักหนึ่งมีคนบอกว่าพรุ่งนี้ท่านจะต้องเดินตกหลุม ท่านก็สุขไม่ได้ใช่หรือเปล่า นั่นเพราะว่าเราประคองความสุขได้ไม่นาน วันนี้ท่านอยากเป็นคนดี แต่ต่อไปทำไมเป็นคนดีอีกไม่ได้ เพราะว่าคนอื่นบอกท่านว่าไม่ดีหรือ แต่เป็นเพราะว่าท่านประคองตัวเองได้ไม่ดี ฉะนั้นอย่าว่าคนอื่นทำให้ท่านไม่ดี ตัวท่านเองนั่นแหละดีไม่เพียงพอ
ท่านหลี่ต้าเซียน : ทุกๆ สิ่งในโลกนี้ประกอบด้วยสิ่งตรงกันข้าม ดังเช่นมีขาวมีดำ มีดีมีชั่ว จิตใจของท่านเมื่อสักครู่นี้ท่านหันต้าเซียนบอกว่า ยามดีก็ดีใจหาย เราอยากจะบอกว่ายามดีย่อมดีเปรียบประหนึ่งคนบ้า ยามร้ายเปรียบประหนึ่งเสืออาละวาด โดยเฉพาะคนที่ขี้โมโห จะต้องพิจารณาในสิ่งนี้ให้มากๆ เราเลี้ยงเสือไว้ในใจหนึ่งตัว ไว้คอยให้เสืออาละวาด เวลาที่เราดี ดีประหนึ่งคนบ้า จึงต้องควบคุมอารมณ์ของตนให้อยู่ในทางสายกลาง อารมณ์ที่อยู่ในทางสายกลางนั้นไม่มีดำไม่มีขาว ไม่มีดีไม่มีชั่ว นั่นคือวางเฉย เมื่อมีสิ่งที่ดีเข้ามาหาตัวอย่าเพิ่งหลงดีใจจนเกินไป ส่วนสิ่งที่ร้ายทุกสิ่งทุกอย่างย่อมแก้ไขได้ หากทำได้ย่อมไม่กลัวว่านิพพานจะไกลเกินไป นิพพานนั้นใกล้อยู่ที่ใจ การบำเพ็ญธรรมอย่างแรกคือ รู้จักควบคุมอารมณ์ต่างๆ อารมณ์ของตนเองนั้นมีรัก โลภ โกรธ หลง แล้วมีอารมณ์อะไรเกิดขึ้นบ่อยที่สุด (โกรธ)
ท่านหลี่ต้าเซียน : ถ้ามีอารมณ์ชอบบ่อยๆ เปรียบเสมือนคนดีหรือคนบ้า ท่านมีอารมณ์อยู่เต็มเปี่ยม เหมือนน้ำที่เต็มแก้ว แค่เขย่านิดเดียวก็ล้นออกมาแล้ว ฉะนั้นอารมณ์ต้องเททิ้งเสียให้หมด แล้วอารมณ์มีสิ่งใดอีกบ้าง เมื่อสักครู่นี้ที่นักเรียนตอบไปคืออารมณ์โกรธ บำเพ็ญธรรมจำเป็นจะต้องใช้ความกล้าหาญ คือกล้าคิดและกล้าทำ คิดในสิ่งที่ดี ทำในสิ่งดี ตอนนี้แค่ตอบคำถาม ขอให้ท่านลุกขึ้นตอบด้วยความกล้าหาญ (อารมณ์หลง,อารมณ์โลภ)  (อารมณ์ดีกับอารมณ์ไม่ดี)  เมื่อสักครู่บอกไปว่าส้มนี้สีเหลืองดุจทองคำ เอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาประชุมธรรม หากว่าเป็นเศรษฐีมีเงินทองติดตัวมากเกินไปก็ระวังจะโดนปล้น ถ้ามีทองก้อนเดียวก็พอดีๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ามีทองสองก้อนก็มากเกินไป มนุษย์ในโลกนี้มีทองอยู่คนละกี่เส้น มากเกินไปหรือเปล่า ถ้าหากว่าเรามีทองมากเกินไป มีส้มมากกว่าหนึ่งลูก เพื่อนนักเรียนที่อยู่ข้างหลังก็จะไม่ได้ ถ้ามีมากเกินไปกลัวโดนปล้นไหม เพราะฉะนั้นมีทองคำคนละหนึ่งก้อน มีส้มคนละหนึ่งผลก็พอ มิฉะนั้นท่านจะโดนปล้น 
ท่านหันต้าเซียน : ถ้ากลัวโดนปล้นแปลว่าไม่ไว้ใจเพื่อนร่วมชั้นใช่หรือไม่ ว่าเขาเป็นโจร ตอนนี้เราก็เริ่มเป็นโจรก่อนเขาอย่างนี้ไม่ได้นะ ในเมื่อมาศึกษาธรรมแล้ว การอยู่ร่วมกันก็ต้องมีธรรมด้วยไม่ว่าการพูดหรือการกระทำ แล้ววันนี้มีใครบ้างที่รู้สึกว่าใครทำอะไรแล้วขัดหูขัดตาเราเหลือเกิน รู้สึกไม่ได้ดั่งใจเราเลย มีบ้างไหม วันนี้มานั่งฟังธรรมได้รับการเสียสละจากคนรอบข้าง แม้จะไม่ถูกใจเราไปเสียหมดทุกอย่าง แต่เราก็ต้องยินดีที่จะให้อภัย และขอบใจเขา แม้ว่าจะเป็นการให้ที่ดูไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย 
ท่านหลี่ต้าเซียน :  การอยู่ร่วมกัน ก็เหมือนการเอากรวดมาร่อนอยู่ด้วยกัน กรวดนั้นมีมุมมีเหลี่ยม ถ้าหากท่านมีมุมมีเหลี่ยมจึงรู้สึกขัดตาขัดใจผู้อื่นเขา เพราะฉะนั้นจะต้องขัดมุมของเราออก ไม่ใช่ขัดมุมของเขาออก การไปเรียกร้องให้ผู้อื่นทำในสิ่งที่เราชอบนั้นเป็นเรื่องยาก สู้ตัวเราเองทำสิ่งที่เราชอบก็เพียงพอแล้ว ผู้อื่นจะทำสิ่งที่เราชอบหรือไม่ชอบนั้นอย่าได้ไปใส่ใจ ไม่เช่นนั้น  วันๆ ก็จะได้แต่เรียกร้องให้ผู้อื่นขัดมุมของคนอื่นทิ้ง แล้วเราก็ไม่รู้สึกว่าเรามีมุมที่เกินไปหนึ่งมุม เช่นนี้ก็จะลำบากในการบำเพ็ญธรรม เพราะเมื่อเราทิ่มเขา เขาก็จะทิ่มแทงเรา  ถ้าหากว่าเราเรียบๆ มนๆ ไม่รู้สึกขัดหูขัดตา มีความอ่อนน้อมถ่อมตน 
มีความขยันศึกษาหาวิชา ก็จะเป็นที่รักใคร่ของผู้อื่น 
อันว่าท่านมีความสงสัยนั่นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ทว่าเมื่อสงสัยแล้วต้องยุติได้ บางคนสงสัยนี้ แล้วก็ไปสงสัยนั้น ไม่มีจบ เช่นนี้จึงเป็นเรื่องลำบากที่จะบำเพ็ญธรรม เพราะว่าการสงสัยนี้สงสัยผู้อื่นไปทั่ว ไม่เคยสงสัยตนเอง ไม่เคยสงสัยว่าเรานั้นเป็นอย่างไรบ้าง บำเพ็ญไปถึงไหน มีอะไรที่จะต้องขัดเกลาบ้างเมื่อสักครู่นี้ พูดถึงเรื่องอารมณ์ อารมณ์นั้นมีความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง  ทุกๆ ท่านนั้นติดในอารมณ์โกรธบ่อยที่สุด มากที่สุด อันว่าอารมณ์โกรธถ้ามีมากเกินไป จะมีผลเสียทั้งจิตใจและสุขภาพ เมื่อมีอยู่ในใจมากเกินไปก็จะเป็นคนที่วู่วาม มุทะลุ ถ้าอารมณ์อยู่ภายนอกก็จะสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นไปทั่ว ท่านจึงต้องรู้จักระงับอารมณ์เช่นนี้บ้าง มีคำเปรียบเทียบว่าอารมณ์โกรธเป็นประดุจไฟที่ไหม้ป่า เผาทั้งป่าให้วอดวายได้ ป่านี้ไม่ใช่ป่าไม้ ป่านี้เป็นป่าแห่งกุศล หากว่าท่านทำสิ่งใดเป็นกุศลกรรมที่มากมาย แต่จุดไฟในใจเพียงพรึ่บเดียว ไฟนี้ก็จะไหม้ไปทั้งป่า ทำให้ท่านไม่เหลือสิ่งใดเลย และการที่มนุษย์ต้องสูญเสียล้มละลายก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มีความมุทะลุมากขึ้น กระทำสิ่งใดที่เกินคาดเกินคิดไปได้ หลายๆ คนบนโลกมนุษย์นี้ปลงไม่ตกถึงกับฆ่าตัวตาย สร้างกรรมอันเป็นกรรมหนักหน่วง ที่แม้แต่จะเกิดร่างกายมาอีกก็ยังไม่ได้เลย ฉะนั้นจึงต้องมีการควบคุมอารมณ์ของตนเอง นี่เป็นสิ่งแรกที่ผู้บำเพ็ญธรรมต้องทำควบคุมสิ่งที่สอง คือควบคุมกายใจนี้ให้มีความสำรวม ใช้ชีวิตเรียบง่าย สมถะ ไม่มีฟุ้งเฟ้อตามปาก หู ลิ้น บางท่านอยากจะได้อาหารที่อร่อยที่สุด ก็ออกไปซื้อหา ต้องฆ่าปลา หมู ไก่ เพื่อลิ้นสามนิ้วของท่านเท่านั้น ทำไมท่านจึงไม่รู้จักพอใจที่จะนอนเตียงยาวแปดศอก รับประทานอาหารที่เรียบง่าย และใช้ชีวิตให้ง่ายๆ  ดับอารมณ์ให้สนิท  ถ้าท่านทำเช่นนี้ได้ ความสบายใจก็จะบังเกิดขึ้น อันความสุขนั้นไม่ได้เกิดจากการดูหนังฟังเพลง หรือการแสวงหาสิ่งภายนอกอันเป็นวิทยาการนำสมัย แต่ความสุขย่อมบังเกิดที่จิตใจของเรา พุทธศาสนาจึงให้มีการนั่งสมาธิซึ่งเป็นการควบคุมใจของท่านเอง  ขอให้ท่านหยิบใช้ในสิ่งที่ท่านเคยได้เรียนรู้มา รู้จักประมาณตน ไม่ปล่อยตนเองให้มีมากหรือน้อยเกินไป มิฉะนั้นแล้วตัวท่านเองก็จะตกอยู่ในวังวนแห่งทุกข์ที่ตัวท่านสร้างหา ใช่ผู้อื่นผู้ใดหาให้ท่านไม่ วังวนแห่งทุกข์นี้ มีความลึกจนหาที่สุดไม่ได้ มีความยาวและกว้างหาที่ประมาณมิได้ ท่านนั้นเป็นผู้หนึ่งที่ลอยคออยู่ใน ทะเลทุกข์นี้ หากว่าท่านไม่รู้จักหันหลังกลับให้กับกิเลส และอารมณ์แห่งตัวท่านเอง ท่านจะไม่พบเจอฝั่งแห่งธรรมอีกเลย ไม่เจอฝั่งแห่งความสงบสุขอีกเลย ท่านควรที่จะหันหลังกลับได้แล้ว ด้วยการรู้จักปล่อยวางในสิ่งที่ควรจะวาง ให้รู้จักพอในสิ่งที่ควรจะพอ ทำในสิ่งที่ควรจะทำ คิดในสิ่งที่ควรจะคิด พูดในสิ่งที่ควรจะพูดเท่านั้น หากว่าท่านทำไม่ได้ วันนี้ไม่มีทุกข์ พรุ่งนี้ทุกข์ก็จะมา พรุ่งนี้ไม่มีทุกข์ มะรืนนี้ทุกข์ก็จะมา ท่านต้องการหรือไม่ การที่ไปกราบไหว้พระ วอนขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองนั้นอาจจะไม่มีประโยชน์เลย ถ้าหากท่านไม่รู้จักทำตนให้เป็นคนดีเสียก่อน สิ่งศักดิ์สิทธิ์สามารถประทานสุขได้ก็ต่อเมื่อท่านมีบุญวาสนาในความสุขนั้นเท่านั้น มิใช่ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะสามารถโกยเงินทองวาสนา ความสุขสมหวังจากกลางอากาศ จะโกยได้ก็คือจากบุญวาสนาของท่านเองที่เคยสั่งสมเคยสร้างไว้ หากว่าท่านปล่อยให้บุญวาสนาของท่านหมดไปเรื่อยๆ เหมือนกับกินข้าวเย็นชามเดิม ในที่สุดแล้วข้าวเย็นชามนี้หมดไป ท่านก็ต้องกลับมาทุกข์เช่นเดิม ความมีบุญมีโชคลาภวาสนาไม่ต้องทำจนตนเองเดือดร้อน แต่ขอให้ทำตอนที่ตนเองสบายดี และทำบ่อยๆ เท่าที่จะทำได้ กลัวแต่ว่าเมธีทั้งหลายเป็นผู้เกียจคร้านในการสร้างกุศลและทำบุญ  ในที่สุดแล้ว บุญวาสนาหดหายไปเรื่อยๆ ก็มีแต่ทุกข์มารังควาน การสร้างบุญสร้างกุศล ไม่ใช่สร้างด้วยเงินทองเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีวิถีทางอื่นอีกมากมาย มิเช่นนั้นแล้วคนยากจนมากมายก็จะไม่สามารถทำบุญสร้างกุศลได้ การที่จะสร้างกุศลยังมีทางแรงกาย แรงใจ และแรงทาน ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นกุศลได้หมด แล้วจิตใจของท่านจะโปร่งขึ้น กว้างขึ้น เหมือนกับฟ้าที่ใสยามเช้า ยามรุ่งอรุณ
ต่อไปจะควบคุมอะไรอีก ควบคุมอารมณ์เป็นประการแรก ควบคุมกาย ใจ ให้เกิดความสำรวมเป็นประการต่อมา ควบคุมการกระทำหรือการแสดงออกเป็นประการต่อไป หากว่าไม่รู้จักที่จะแสดงออกในสิ่งที่ดี เป็นพุทธะแต่ว่าการแสดงออกมาเหมือนพญามาร เราจะเรียกว่าพุทธะได้อย่างไร บางคนบอกว่ามีใจ มีแต่ใจ แต่การกระทำนั้นไม่แสดงออกเลย ก็ย่อมจะไม่เป็นพุทธะ การกระทำการแสดงนั้น จะต้องดูแล้ว เป็นผู้บำเพ็ญธรรม บางคนบอกว่าตนเองนั้น เป็นผู้บำเพ็ญธรรมมาเสียนาน แต่การกระทำแต่ละอย่างนั้นยังไม่เหมือนเลย ยังไม่สามารถช่วยคนด้วยจิตใจอันเมตตา จะเอื้อมมือไปฉุดเขาขึ้นมาจากโคลนก็ยังกลัวโคลนเปื้อนมือ ถามว่าจิตใจพุทธะเป็นเช่นนี้หรือไม่ หากว่าพุทธะทุกพระองค์ที่สำเร็จไปเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วกลัวว่าโคลนจะเปื้อนมือ และจะต้องดึงท่าน ท่านคงจะไม่ได้ขึ้นมาบำเพ็ญธรรมในตอนนี้หรอก ทุกๆท่านนั้นมีความดีและไม่ดีปะปนกันไป และความไม่ดีนั้นยังมีมากกว่า ถ้าหากว่าพุทธะนั้นกลัวท่านเป็นบัวที่เปื้อนโคลน แล้วจะดึงท่านอย่างไรดี ท่านคงจะไม่ได้บำเพ็ญ หวังว่าท่านจะใช้จิตใจเช่นนี้ออกไปช่วยผู้คนเท่ากัน โดยไม่กลัวว่าตนเองนั้นจะต้องเปื้อน กลัวอย่างเดียวว่าอย่าทำให้เขาเดือดร้อนมากขึ้น ไม่ใช่ยิ่งช่วยยิ่งยุ่งเหมือนกับการแก้ปม บางคนแก้เป็นก็แก้แล้วสำเร็จ บางคนแก้ไม่เป็นยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง ท่านต้องมั่นใจว่าท่านตื่นจริง ท่านแจ้งจริง จึงจะสามารถช่วยผู้อื่นได้ หากว่าท่านไม่แน่ใจว่าตนเองนั้นแจ้งจริงตื่นจริง ท่านควรจะตรวจสอบตนเองเสียก่อน คนที่ยังมีอารมณ์ยังมีกิเลสนั้นยังไม่ใช่พุทธะ คนที่ควบคุมตนเองไม่ได้ เวลาที่คนเขายั่วเย้า กิเลสตัณหายั่วเย้า ไม่ว่าจะเป็นโทสะ ราคะใด ก็ตามมายั่วเย้า ยังเกิดอารมณ์ยังเกิดกิเลส ย่อมไม่ใช่พุทธะที่ดี ฟ้าดินนั้นมีการคัดเลือกหยกแท้จึงจะสามารถสำเร็จกลับคืนขึ้นนิพพานได้ หมายความว่าทั้งภายในและภายนอกของท่านต้องกระจ่าง งดงาม หากว่าท่านเป็นหยกที่ปะปนหินอยู่ ก็ย่อมจะพูดได้ว่าท่านไม่สามารถจะสำเร็จเป็นพุทธะได้ แต่ท่านอย่าเพิ่งหมดกำลังใจ ในเมื่อยังมีชีวิตมีลมหายใจอยู่ ท่านย่อมมีโอกาส อย่าได้ริดรอนโอกาสของตนเองด้วยคำว่า "เรานั้นทำไม่ได้ เรานั้นไม่ใช่ และเรายังทำไม่ถึง"  ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วท่านย่อมไม่สามารถเดินไปได้แม้สักหนึ่งก้าวมีทองสองก้อนท่านไม่กลัวขโมยหรือ (ไม่กลัว)  ขโมยนั้นเข้ามาไม่บอกก่อน จะโดนขโมยแล้วยังไม่รู้ตัวอีก ยังไม่รู้ตัวว่าตัวเรานั้นมีมากเกินไป เปรียบเหมือนกับมนุษย์ที่สร้างทรัพย์สินมากเกินไป และบอกว่าเราไม่โดนขโมยขึ้นบ้าน แต่ว่าเรารวยให้คนอื่นเห็น แล้วในที่สุดคนที่โดนขโมยขึ้นบ้านก็คือคนที่รวย ใช่หรือไม่
ท่านหันต้าเซียน : เวลาเราจะกระทำสิ่งใดถ้าเราไตร่ตรองเราคิดพินิจพิจารณาทั้งคุณและโทษ การกระทำที่ผิดพลาดก็คงยากจะเกิดขึ้น แต่เรามักจะคิดถึงคุณมากกว่าคิดถึงประโยชน์จนลืมนึกถึงโทษที่จะตามมา แล้วบ่อยครั้งก็ต้องมานั่งเสียใจกับสิ่งที่ตนเองทำอยู่ร่ำไป ผิดแล้วก็แก้ไม่ได้สักทีหนึ่ง ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วควรจะทำอย่างไรดี (ไตร่ตรองไว้ก่อน)  นั่นก็คือ ควรจะไตร่ตรองก่อนที่จะทำอะไร หลายต่อหลายครั้งที่ความคิดกับการกระทำไม่สอดคล้องกัน บางครั้งเราคิดได้ เรารู้ว่าสิ่งใดดี เรารู้ว่าเรามีใจพื้นฐานที่ดี แต่การกระทำเรามักจะทำดีไม่ได้ หากเปรียบเทียบเป็นผลงานขึ้นมาชิ้นหนึ่งก็คือภายในสวยงามแต่ภายนอกเว้าแหว่ง  ผลงานที่แสดงออกมาก็รู้สึกว่าเขาทำหยาบๆ ทำแบบลวกๆ ผลประโยชน์ก็ยากจะเกิดขึ้น การจะนำไปสู่ผู้ใดก็ยากจะมีผลดี เพราะไม่มีคนต้องการรับ แต่ในทางกลับกันถ้าเรามีความตั้งใจการแสดงออกที่ดี แต่ว่าภายในจิตใจของเราคิดร้ายหรือว่ามีเจตนาร้าย ผลงานที่แสดงออกมาก็คล้ายๆ กับรูปแบบภายนอกสวยงาม แต่ภายในเว้าแหว่ง ก็ย่อมไม่ดีทั้งคู่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ในการดำเนินชีวิต การแสดงออกทั้งนอกในต้องสอดคล้องกัน เมื่อสอดคล้องกันผลงานที่ออกมาย่อมสมบูรณ์แบบและสวยงามอย่างแท้จริง ทุกคนต่างมีพุทธจิตอันดีงามอยู่แล้ว แต่เรามักจะไม่ยอมแสดงออกมา เพราะว่าเรามักจะเอาชนะใจตนเองไม่ได้ และเสียสละไม่ลง แล้วถ้าเรารู้แล้วว่าการเสียสละเป็นสิ่งที่ดี เราจะคิด
นิ่งเฉยเหมือนเดิมหรือ เราคงไม่อยากให้ชีวิตของเรามีผลงานออกมาแต่ไม่สมบูรณ์และสวยงาม ใช่หรือไม่  ชีวิตเรา เราก็อยากจะสร้างสรรสิ่งที่ดีที่สุด ผลงานที่ออกมาจะต้องสวยงามที่สุด ฉะนั้นทั้งจิตใจและการแสดงออกจึงต้องสอดคล้องและออกมาได้สวยงาม เราต้องรู้ตัวอยู่ทุกขณะ เวลาจะกระทำสิ่งใดเราก็ต้องยับยั้งใจไม่ให้ทำ ยับยั้งใจไม่ให้คิดร้าย ทุกขณะหมั่นขัดเกลาตนเอง ทุกขณะหมั่นสร้างสรรสิ่งที่ดีงามให้กับชีวิตตนเอง แล้วอย่างนี้การดำเนินชีวิตก็ย่อมมีค่า เมื่อตนเองยืนหยัดเป็นคนที่ดีงามได้ก็ต้องคิดว่า คนอื่นก็ต้องยืนหยัดเป็นคนที่ดีงามได้ด้วย แต่ถ้าตนเองยืนหยัดเป็นคนดีได้ คนอื่นช่างเขาไม่สนใจ อย่างนี้แล้วโลกจะเป็นอย่างไรบ้าง ต่างคนต่างก็ไม่สนใจกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็แปลว่าทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างไม่สนใจกัน ความเมตตาและความรักไม่มีให้แก่กัน มีแต่คนที่แก่งแย่งกัน ฉันต้องดีเหนือกว่า เธอต้องต่ำกว่าฉัน เขาก็กดเราให้ต่ำกว่า เมื่อสังคมเป็นเช่นนี้เราก็ยากจะมีความผาสุกที่แท้จริงได้ แม้จะมีอยู่ในบ้านแต่ออกไปนอกบ้านเราก็ต้องพบทุกข์  หากคิดจะให้บ้านตนเองดีแล้วไยไม่คิดให้บ้านคนอื่นดีด้วย จิตใจที่เปิดออกกว้าง รักเราก็ดี รักคนอื่นก็ดี เช่นนี้แล้วเป็นจิตใจที่ประเสริฐ มนุษย์ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประเสริฐ แต่อย่าเป็นผู้ที่ประเสริฐเพียงแค่คำพูด แต่ต้องทำได้ทั้งการกระทำและการเสียสละเล็กๆ น้อยๆ 
ท่านหลี่ต้าเซียน : หลายๆ ท่านที่นั่งอยู่ในที่นี้ลองสำรวจมองย้อนเข้าไปในจิตใจของตนเอง ว่าตอนนี้ท่านได้เปิดใจทั้งหมดออกกว้างแล้วหรือยัง ได้เปิดประตูแห่งใจนั้นได้กว้างแล้วหรือไม่ ในการที่ได้เข้ามาสู่สถานธรรมไม่ใช่เรื่องง่าย ทุกๆ ท่านต่างมีบุญสัมพันธ์แห่งพุทธะทั้งสิ้น ไม่เช่นนั้นแล้วประตูพุทธะจะไม่เปิดกว้างต้อนรับท่าน
ท่านหันต้าเซียน : "ตัณหาสิ่งทำว่างให้รู้ปล่อย" ถ้าสมมติว่าตัณหาคือสิ่งของสิ่งหนึ่ง การที่เราจะทำให้ว่างไปจากใจเราได้ต้องปล่อยตัณหานั้น เหมือนยามที่เรามีกิเลสและอยากจะทำกิเลสให้ว่างไปจากใจเรา เราต้องปล่อย แต่ยังหวั่นใจว่าแม้มีตัณหา ปล่อยง่ายๆ  ก็ไม่ยอมปล่อยมัวแต่เพลิดเพลินในความฝัน พอ
เข้าใจไหม (เข้าใจ)  คนที่จะเป็นคนที่มีคุณค่าได้ แล้วคุณค่าจะคุ้มครองชีวิตของตนเองได้ นั่นคือทุกขณะที่เราทำ ทุกวันสร้างแต่สิ่งที่มีคุณและมีค่า ความของคุณและค่าก็ย่อมคุ้มครองชีวิตให้พัฒนาไปเรื่อยๆ  นั่นก็คือคนที่จะเป็นพุทธะแท้จริงนั้น ทุกขณะต้องพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากว่าคนที่ถูกเรียกว่าเป็นคนพาลหรือคนไม่ใช่ผู้ที่มีการศึกษา ไม่ได้พัฒนาตนเอง จะมีแต่ดำรงชีวิตอยู่ไปเท่านั้น
ท่านหลี่ต้าเซียน : เมื่อสักครู่นี้กล่าวไว้ อันว่าคนฉลาดมาก เรายิ่งต้องระมัดระวังสงสัยมาก ยิ่งรู้สึกปิดใจมากขึ้น ความฉลาดเช่นนี้ไม่เป็นคุณแก่ท่านแต่กลับจะเป็นโทษ  ในชีวิตของมนุษย์นั้นใช้ความฉลาดอย่างฟุ่มเฟือย การเอาเปรียบกันก็เกิดขึ้นจากคนหนึ่งเป็นคนฉลาด และอีกคนหนึ่งเป็นคนโง่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจึงอยากให้ท่านมาศึกษาในวันนี้ ทุกท่านที่มานั่งในที่นี้เปิดใจมาก
เท่าไร  การมานั่งฟังสองวันจำเป็นต้องสัมฤทธิ์ผล คือสัมฤทธิ์ผลในใจของท่านเอง ว่าท่านนั้นจะมีความเข้าใจออกไปปฏิบัติได้มากน้อยเท่าไหร่ แต่ถ้าเกิดสงสัยคลางแคลงจนไม่สามารถนั่งติดได้ ขอให้เรารู้ว่าทุกท่านนั้นต่างมีจิตใจที่แท้จริง ไม่ใช่รับรู้อยู่ทุกขณะ แต่เป็นจิตใจแห่งลิงแห่งม้าที่ไม่สามารถควบคุมได้ นาทีนี้บอกว่าเชื่อแล้ว อีกนาทีหนึ่งบอกว่าไม่แน่ใจ เป็นเช่นนี้สลับกันตลอดมาตั้งแต่เรามาถึง เป็นเช่นนี้ลำบากอย่างยิ่งที่จะบำเพ็ญ  เพราะในขณะนี้ เมื่อเราผู้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังอยู่ ท่านยังคิดได้ แต่ต่อไปปล่อยท่านอยู่บ้านคนเดียวท่านก็บอกว่าไม่รู้ จริงหรือเปล่า พอมีคนที่เขายังไม่ได้ศึกษาธรรมะเขามาบอกว่างมงายแล้ว โดนหลอกแล้ว ท่านยิ่งเกิดความระส่ำระส่ายในจิตใจใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเช่นนี้ท่านจะเดินไปสุดทางได้อย่างไร เราอยากให้ทุกท่านนั้นมีความเชื่อมั่นในธรรมะ เพราะว่าท่านนั้นได้ศึกษาเข้าใจแล้ว เมื่อเข้าใจแล้วปฏิบัติอย่างแท้จริง การปฏิบัตินั้นจึงเป็นการประจักษ์มรรคผลแห่งตัวท่านเอง เป็นการประจักษ์จิตใจอันศรัทธาแท้จริงให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เห็น หาใช่การนำเงินทองมากองหรือว่าแสดงสีหน้ายิ้มแย้ม  ความสำคัญแห่งการละกิเลสที่เราได้พูดไปนั้น ก็เพื่อให้ทุกท่านไม่มี
จิตใจที่เห็นแก่ตัวเฉกเช่นมนุษย์ปุถุชนทั้งหลายที่จมดิ่งในห้วงเหวแห่งกิเลส อันว่ากิเลสนั้นก่อเกิดจากความเห็นแก่ตัว  ทำให้มนุษย์นั้นแย่งชิงซึ่งกันและกัน อยากจะสูงที่สุดเท่าที่สูงได้ อยากจะดีที่สุดเท่าที่จะดีได้  แต่ในที่สุดก็แพ้ใจของตนเอง ไม่สามารถหลงเหลือจิตใจแห่งพุทธะได้ นับวันยิ่งเสมือนกับการที่เราเลือกเอาหินก้อนที่แข็งแกร่งที่สุด  แต่ทว่าค่อยๆ กร่อนไปเรื่อยๆ นี่คือการกร่อนไปของจิตพุทธะ ขอให้ท่านนั้นฟื้นฟูจิตใจแห่งพุทธะแห่งตนเองให้ปรากฏออกมา ดีหรือไม่ (ดี)  ปรากฏที่ความคิด ปรากฏที่การกระทำ ปรากฏที่คำพูด ปรากฏที่การไล่กิเลสออกหมดสิ้นจากใจ แล้วให้ปรากฏเป็นสิ่งที่งดงามที่สุด
ท่านหันต้าเซียน : การบำเพ็ญธรรมคือการฟื้นฟูพุทธจิตธรรมญาณที่อยู่ในตัวเรา แต่พุทธจิตธรรมญาณนั้นจะกลับคืนสว่างได้ เราต้องไล่กิเลสออกจากตัวเราก่อน ไล่สิ่งที่ไม่ดีชะล้างออกให้หมดสิ้น นั่นก็คือเราได้รู้หนทางที่จะกลับคืนแดนนิพพาน หากเราค้นพบความเป็นพุทธะในตัวเราเองได้ เราก็สามารถกลับคืนความเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือพุทธะและกลับไปบนแดนฟ้าได้ แต่ถ้าหากว่าเรารู้ว่าเรามีแต่ไม่เคยคิดถวิลหา จะมีอยู่ในตัวเราได้ไหม ยกตัวอย่างง่ายๆ  บางครั้งเรารู้สึกว่าคุณธรรมหรือพุทธจิตธรรมญาณนั้นอยู่ไกลเกินเอื้อม อยู่สูงเกินกว่ามือเราจะไขว่คว้า บ่อยครั้งที่เราคิดว่านิพพานอยู่ไกลเกินอยู่สูงเกินไป มนุษย์เราเป็นเพียงสามัญชนปุถุชนคนธรรมดาจะเป็นพุทธะได้หรือไม่ แล้วเราก็คิดว่าสิ่งที่เขาบอกมานั้นช่างไกลเกินเอื้อม ช่างสูงเกินไขว่คว้า แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากเราคิดว่าเราต้องมีคุณธรรมให้ได้เราจะมีได้ไหม (ได้)  คนเราเมื่อมีความมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค มีหรือที่เราจะไม่สัมฤทธิ์ผลใช่หรือไม่ (ใช่)  สำคัญที่ว่าเราจะมีความมุ่งมั่นได้แน่วแน่แค่ไหน แล้วเราจะมีความบากบั่นไปให้ถึงความสำเร็จได้เพียงใด แม้จะพูดว่าเป็นปุถุชนหรือเป็นพุทธะก็เท่านั้น ถ้าคนนั้นไม่มีความ
มุ่งมั่นและตั้งใจบากบั่นไปให้ถึงใช่หรือไม่ ตอนนี้แม้เราสองท่านจะมาบอกว่าท่านคือพุทธะ ท่านเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่ถ้าตัวท่านไม่เคยคิดถวิลหา ไม่เคยคิดจะไขว่คว้าแม้จะกองอยู่ตรงหน้าก็เปล่าประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้จะบอกว่าเป็นหินเป็นทองคำ ท่านก็ไม่อาจจะสามารถหยิบอะไรมาใช้ได้ แต่ต่างกันที่ว่าทองคำและหินไม่มีอยู่ข้างนอก แต่มีอยู่ในตัวเราคือฝังอยู่ที่ตัวท่านเอง อยู่ที่ว่าเมื่อไหร่ท่านจะเปิด เมื่อไรท่านจะนำมาให้กับตัวเอง แล้วมีอยู่กับตนเองไปตลอดชีวิต  พระพุทธองค์ หรือพระโพธิสัตว์ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สำเร็จไป  แต่ก่อนท่านเคยคิดไหมว่าท่านเป็นพุทธะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาจุติ ล้วนไม่มีความคิดเช่นนี้จนกระทั่งท่านบำเพ็ญเพียรภาวนาแล้วระลึกถึงแต่ละชาติได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้ว่า
ตัวเองเคยบำเพ็ญสะสมมาก่อนจึงคิดจะไปให้ถึงซึ่งจุดหมายใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วท่านเคยมีชีวิตอยู่อย่างทุกข์ยากหรือเปล่า ก็ไม่ใช่  ล้วนมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย จะยอมทิ้งความสุขสบายแสวงหาความทุกข์ยาก เพื่อค้นหาความเป็นจริงแห่งหลักสัจธรรมเพื่อกลับคืนความเป็นพุทธะใช่หรือไม่ (ใช่)  หากทุกคนสามารถคิดได้อย่างนี้แล้วทำได้อย่างนี้ คงมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เต็มไปหมดแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เป็นเพราะอะไรเราถึงไม่ยอมคิดอย่างนี้ เพราะเรามักจะดูเบาตนเองแล้วคิดว่าตนเองไม่มีทางทำได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากทุกครั้งเวลาทำงานอะไรคิดว่าตนเองทำไม่ได้แล้ว ทำอย่างนี้ก็ยากจะสำเร็จใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วจะเป็นพุทธะได้ไหม ยากจะเป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มาวันนี้ได้เรียนรู้ไปแล้วว่าชีวิตของเรายังมีอีก
หนทางหนึ่งซึ่งสามารถเป็นพุทธะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ ทำไมถึงไม่คิดที่จะลองก้าวเดินดูบ้าง  การเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคนี้ไม่ใช่ให้ทิ้งครัวเรือน ไม่ให้ทิ้งภาระหน้าที่ ไม่ใช่แบบนั้น ภาระหน้าที่ยังต้องทำอยู่แต่ต้องรู้จักขัดเกลาตนเองทั้งภายในและภายนอก สิ่งใดไม่ดีเลิกกระทำเสีย สิ่งใดดีให้รักษาและให้คงอยู่กับตน การบำเพ็ญธรรมเพียงเท่านี้คงไม่ยากเกินกว่าจะทำได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเมื่อมีโอกาสก็หมั่นช่วยเหลือผองชน  ทุกๆ ครั้งที่ช่วยเหลือคนๆ หนึ่ง  ทุกๆ ครั้งที่มีความรู้สึกทนไม่ได้เมื่อเห็นคนอื่นเป็นทุกข์ร้อน นั่นคือการฝึกจิตใจแห่งพระโพธิสัตว์แล้ว  เพราะจิตใจแห่งพระโพธิสัตว์นั่นแม้ตนเองจะเป็นสุขแต่ทนนิ่งอยู่เฉยไม่ได้ที่ผองชนยังเป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากทุกๆ คนมีจิตใจอย่างนี้เราหรือจะไม่เป็นสุขเมื่อยามมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วชีวิตนี้หรือจะไม่มีค่าใช่หรือเปล่า (ใช่)  ค่าของชีวิตมิใช่เพียงเพื่อตน แต่ค่าของชีวิตต้องมีเพื่อผองชน อย่าฟังดูว่าเป็นเรื่องไกลเกินตัวหรือเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ แต่ถ้าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่หากเราทำได้ เราก็คือคนที่ยิ่งใหญ่ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนอยู่ร้อยปีแต่เบาดุจขนนก แต่บางคนมีชีวิตอยู่แค่สิบปีแต่หนักยิ่งกว่าขุนเขา  เพราะว่าเขามีค่าเพื่อผองชน
ใช่หรือไม่ แต่ตอนนี้เรามีค่าเพียงเพื่อตนเองเท่านั้น หากก้าวอีกก้าวหนึ่ง หากเสียสละอีกเราย่อมสามารถอุทิศให้กับผองชนได้ แล้วทำไมถึงไม่ยอมทำ แล้วทำไมถึงไม่สามารถเอาชนะใจตนเองตรงนี้ได้
ท่านหลี่ต้าเซียน : การที่ท่านจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่นั้นต้องอดทนในสิ่งที่ผู้อื่นทนไม่ได้ ทำในสิ่งที่ผู้อื่นทำไม่ได้ ทำความดีในสิ่งที่ผู้อื่นทำไม่ได้ ขอให้ท่านทำสิ่งเหล่านี้ให้ได้  ในความอดทนนั้นจะต้องใช้วิจารณญาณด้วย  ความอดทนในที่นี้อดทนเพื่อสิ่งใด ขอให้ท่านตั้งจุดมุ่งหมายให้แน่นอน เหมือนการแล่นเรือไปต้องรู้ว่าฝั่งอยู่ที่ไหน มิเช่นนั้นท่านจะแล่นเรือไปโดยเสียเวลาเปล่า ในชีวิตของมนุษย์นี้หลายๆ คนไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เป็นผู้ที่มีคุณค่าในชีวิตแบบเบาดุจขนนก เพราะว่าชีวิตนี้มิได้มีจุดมุ่งหมายในสิ่งใด หากท่านมุ่งหมายเพื่อให้ครอบครัวสบาย หากท่านมุ่งหมายเพื่อให้คนในตระกูลของท่านมีชื่อเสียง เช่นนี้ก็เป็นได้เพียงผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกมนุษย์ แต่หากท่านมุ่งหมายที่จะให้เวไนยสัตว์ขึ้นสู่ฝั่ง มุ่งหมายที่จะให้ตัวท่านเป็นพุทธะและมุ่งหมายที่จะให้โลกนี้สันติสุข ท่านก็คือผู้ยิ่งใหญ่ที่ยิ่งใหญ่เหมือนกับฟ้าที่กว้าง  กว้างจนมองแล้วสูงสุดตา  แต่สิ่งเหล่านี้คือการฝึกฝน
คุณธรรม ในโลกมนุษย์นี้ผู้คนเต็มไปด้วยความสามารถ ความรอบรู้ แต่มีกี่คนที่รักษาคุณธรรมไว้ให้คงอยู่  นักปราชญ์สมัยโบราณนั้นยินยอมเพื่อคุณธรรม  รักษาคุณธรรมไว้แม้ตัวตายไม่หวั่นกลัว แต่ทว่าคนสมัยนี้กลัวตาย ไม่กลัวตนเองขาดแคลนคุณธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  อันว่าเกิดมาเป็นสุนัข เพราะตนเองขาดความซื่อสัตย์ ในที่สุดต้องเกิดมาเป็นสุนัขเพื่อฝึกฝนความซื่อสัตย์ ท่านเห็นสุนัขไหมว่าเขาเป็นเช่นไร  สุนัขนั้นเฝ้าบ้านให้เจ้าของใช่หรือไม่  เขาซื่อสัตย์ต่อเราหรือเปล่า เราตีเขาเขาก็ไม่ว่าเราใช่หรือไม่ นั่นคือสุนัขที่ซื่อสัตย์ แล้วคนที่ไม่ซื่อสัตย์ย่อมต้องเกิดมาเป็นสุนัขในวันหน้า  ฉะนั้นอีกหลายๆ ประการของคุณธรรมแห่งคนจะต้องบำเพ็ญให้สมบูรณ์ อย่าให้ขาดแคลนบกพร่องไป จึงจะนับว่าเป็นผู้ที่บำเพ็ญคุณธรรมอย่างแท้จริง บางคนบอกว่าคนนี้ไม่ซื่อสัตย์จะต้องหาเรื่องเขาจนถึงที่สุด  แท้จริงวิบากกรรมนั้นมีผลต่อเขาอยู่แล้ว  ถ้าท่านไปหาเรื่อง
รังควานเขา ท่านจะมีกรรมผูกไปกับเขาด้วย ในที่สุดแล้วถ้าเขาเกิดมาเป็นสุนัขเราอาจต้องเกิดมาเป็นเจ้าของสุนัข ฉะนั้นจงรู้จักปล่อยวางในสิ่งที่สมควรปล่อยวาง ขอให้เรานั้นมองเห็นตนเอง ไม่พร่ำเพรื่อมองเห็นผู้อื่น ขอให้เรานั้นเห็นจิตของตนเอง ขอให้เรารู้ว่ากิเลสในตัวเรานั้นสามารถกำหนดได้ว่าเราต้องการจะให้สิ้นสุดด้วยจุดหมายใด อย่าคิดว่าชีวิตนี้มีอีกยาวนาน ชีวิตนี้สั้นเหมือนกับแมลงใช่หรือไม่ (ใช่)  เพียงแค่ชั่ววันชั่วคืนชีวิตนี้อาจจะขาดหายไป บางคนบอกว่าแก่แล้วค่อยบำเพ็ญ แต่หารู้ไม่ว่าชะตาชีวิตของตนนั้นอยู่ไม่ถึงแก่ ในที่สุดแล้วไม่ได้บำเพ็ญก็ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด สร้างกรรมดีมากเป็นเทวดา สร้างกรรมดีน้อยลงมาหน่อยเป็นมนุษย์ แต่ถ้าสร้างกรรมชั่วมากหน่อยเกิดเป็นสัตว์นรก เกิดเป็นเปรต เกิดเป็นเดรัจฉาน ถ้าหากว่าผู้ใดยังไม่เชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดย่อมไม่สามารถที่จะบำเพ็ญได้ ในที่สุดแล้วความลังเลใจของตนเองจะพาให้คลื่นนั้นม้วนเอาตัวของเราจมดิ่งไปใต้มหาสมุทร  ขอให้ท่านมีจิตใจที่ตั้งมั่นและแน่วแน่อยู่เสมอๆ  ทุกๆ วัน  ทุกๆ วินาที  ทุกๆ สามเวลาของวัน อย่าได้เป็นคนที่เปลี่ยนง่าย อย่าให้เป็นคนที่ลมพัดมาทีความหูเบาของเราเบาไปกับสายลม อย่าให้ตาของเราไปจ้องมองเอากิเลสง่ายๆ  สิ่งใดที่ควรมองก็ขอให้มอง สิ่งใดไม่ควรมองก็ควรงดเว้น ไม่เช่นนั้นแล้วการตามใจตนเองจะพาให้เราเป็นคนที่ไม่ดีต่อไปในอนาคต และเป็นคนที่เวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักที่จะสิ้นสุดสักที บางคนทำบาปเวรด้วยความไม่ตั้งใจ แต่ไม่ตั้งใจหลายๆ ครั้งย่อมกลายเป็นกรรมใหญ่ กลายเป็นกรรมหนัก เหมือนกับมดที่ขนอาหารเข้ามาวางไว้ที่สุดกลายเป็นรังใช่หรือไม่ (ใช่)  การจะสร้างความดีก็ทำได้เช่นนั้น สร้างความชั่วก็ทำได้เช่นนั้น หากว่าท่านนั้นหมั่นเอากิเลสออกจากจิตใจ มีความมานะอดทนเช่นดังมด ท่านก็สามารถสำเร็จเป็นพุทธะได้ แต่หากท่านนั้นมีความชั่วร้ายในจิตใจ ขนกิเลสเข้ามาวันละนิด สร้างบาปเวรวันละหน่อยแล้วบอกว่าเราไม่ตั้งใจไม่ผิด ถ้าหากกรรมเป็นของเรา ทุกๆ ชิ้นแห่งกรรมได้ชื่อว่าเราเป็นผู้ทำ ถามว่าท่านจะไม่ผิดเช่นไร ต่อให้ท่าน
ไม่ตั้งใจ  กรรมที่ว่าหนักท่านก็คงจะต้องรับบ้างเบาๆ เล็กๆ น้อยๆ ใช่หรือเปล่า 
ตีหนักกับตีเบาถามว่าท่านเลือกตีแบบไหน (ตีเบา)  ขอให้ท่านนั้นเลือกเป็นคนที่ไม่ถูกตีเลย ไม่ถูกกิเลสเข้ามาตีเลย
ท่านหันต้าเซียน : หากเราคิดจะกระทำดีและบำเพ็ญตนเป็นคนดีแล้ว แต่สภาวะแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย เราจะทำอย่างไรดี เราก็ต้องรู้จักประคองตนเองและรักษาคุณความดีให้อยู่คู่กับตนเองไปตลอดเหมือนกับสำนวนที่ว่า “รักษาความดีเหมือนเกลือที่รักษาความเค็ม”  แต่เค็มในสิ่งที่ดีไม่ใช่เค็มในความตระหนี่ถี่เหนียวไม่ยอมให้ อย่าปล่อยให้ตนเองรู้จักคุณค่าแห่งความดีก็ต่อเมื่อสายเสียแล้ว เช่นนี้ช้าเกินไป
หากผู้ใหญ่หรือผู้นำในครอบครัวไม่คิดทำความดีแล้ว ผลกระทบย่อมเกิดขึ้นได้ และถ้าหากท้อแท้ในการทำความดียิ่งไปใหญ่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความดียิ่งยากจะบังเกิดขึ้นแม้ในตัวเอง ยิ่งยากจะบังเกิดในครอบครัวของเรา เมื่อเราคิดจะรักษาความดี เราต้องมีใจที่ชอบก่อน ไม่เช่นนั้นความดียากจะมาเยือนสู่เรา เมื่อใจเราชอบแล้ว เราต้องรู้จักใฝ่ในการกระทำด้วย ต้องรู้จักให้ด้วย เราเลือกให้เฉพาะคนที่เรารัก ไม่ให้คนที่เราไม่รักได้หรือไม่ (ไม่ได้)  คนที่ไม่รักหากเรายิ่งให้ ยิ่งเป็นการฝึกฝนจิตใจเราว่าเรามีใจเมตตาที่แท้จริง เรามีใจที่ดีจริงๆ หรือไม่ ฉะนั้นคนดีหรือไม่ดีเป็นบทเรียนที่ดีให้แก่เรา เป็นอาจารย์ที่คอยสอนเรา  ความทุกข์ความสุขในโลกนี้เช่นกัน อย่าคิดว่าเมื่อทุกข์แล้วชีวิตต้องพ่ายแพ้ ชีวิตต้องหดหู่ บางครั้งในความทุกข์ย่อมต้องมีความดี มีสิ่งที่ดีเหมือนกัน เรื่องราวบนโลกนี้อย่ามองเพียงด้านเดียว ต้องรู้จักมองหลายๆ ด้าน เราจึงจะเป็นผู้ที่อยู่บนโลกนี้ได้อย่างเข้าใจชีวิตที่แท้จริง หากรู้จักบำเพ็ญตน รู้จักนำพาตน และรู้จักบ่มเพาะจิตใจของตนแล้ว มีหรือที่ท่านจะเป็นพุทธะน้อยๆ  ไม่ได้  ฉะนั้นอย่ามองว่าการฝึกฝนบำเพ็ญตนเป็นเรื่องยาก  แต่ทำได้ง่ายๆ  โดยมีจิตใจเมตตาเป็นหลัก มี
จิตใจรักผู้อื่นเป็นอาจิณ
ท่านหลี่ต้าเซียน : ขอให้ทุกท่านมีจุดมุ่งหมายในการบำเพ็ญที่ชัดและมองเห็นได้ง่าย ไม่ใช่หลบๆ ซ่อนๆ และขอให้ท่านฝึกฝนตนเองตราบลมหายใจสุดท้าย  เราเชื่อว่าหากท่านทำเช่นนี้ได้ทุกๆ เวลา  ทุกๆ นาที  ท่านย่อมประสบใน
สิ่งที่ประสงค์ได้ และหวังว่าทุกๆ ท่านจะทำตนให้เป็นผู้ที่พลิกแพลงด้วยปัญญาอันสูงส่ง ไม่ใช่ว่าต้องการสิ่งนี้ก็ไหวเอนไปตามสิ่งที่ตนต้องการ การกระทำทุกสิ่งทุกอย่างควรมีพื้นฐานจากความเมตตา มีพื้นฐานจากสิ่งที่แท้จริงที่พบเห็นได้ ความจริงของโลก มิใช่ว่ากระทำสิ่งใดแล้วแต่ใจตน แล้วแต่อารมณ์ของตนเอง การพลิกแพลงที่พูดถึงนี้ขอให้ทุกท่านไปฝึกฝนให้ชำนาญ สิ่งใดขัดต่อความจริงแห่งโลกย่อมไม่ใช่สัจธรรม อันว่าปัญญานั้นย่อมฝึกฝนให้เกิดความชำนาญมากยิ่งขึ้น ยิ่งนานวันท่านยิ่งเห็นตนเองได้อย่างแท้จริง หวังว่าท่านจะฝึกฝนไปจนลมหายใจสุดท้าย จะได้เท่าไรนั้นท่านเป็นผู้กำหนดเอง และหวังว่าวันหลังท่านจะได้สำเร็จเป็นพุทธะและกลับคืนไปอยู่บนนิพพานด้วยกัน เราหวังอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านไม่ใช่สามวันห้าวันก็เลิกบำเพ็ญ ขอให้บำเพ็ญด้วยความตั้งใจ ฝึกความสามารถเต็มที่และเต็มใจ ทำเพื่อผู้อื่นให้เต็มที่ จิตใจของท่านนั้นจะต้องกว้างขวาง ไม่คับแคบเหมือนกับปุถุชนทั่วๆ ไป  ในวันนี้จากเส้นทางแห่งปุถุชนนี้ขอให้เบนเข็มขึ้นไปสู่อริยะ ไม่หวังผลตอบแทน ไม่แสวงหาสิ่งภายนอก ไม่ติดจมอยู่ในกิเลสอันมากมาย มนุษย์โลกมีความลำพอง มีสีสันมีมายามากมาย หวังว่าท่านจะไม่หลงไปเสียก่อน
ท่านหันต้าเซียน : การให้ที่ดีที่สุดคือการให้คุณธรรมที่เขาสามารถนำไปใช้ในการดำรงชีวิตได้
ท่านหลี่ต้าเซียน : มีโอกาสหวังว่าวันหน้าจะได้ผูกบุญสัมพันธ์กันอีก
ท่านหันต้าเซียน : ขอให้เร่งรีบเห็นคุณค่าแห่งการบำเพ็ญตนและการกระทำดี ในตอนนี้ยังมีชีวิตมีโอกาสได้กระทำ อย่าเห็นคุณค่าแห่งการทำความดีและการบำเพ็ญตนเป็นคนดีก็ต่อเมื่อหมดสิ้นร่างกาย แล้วไปยืนอยู่ปากเหวแห่งขุมนรก ถ้าถึงตอนนั้นจะมาคิดทำความดีย่อมสายเกินไป ตอนนี้มีโอกาสสร้างสรรค์ตนเองเป็นคนดี สามารถผลักดันชีวิตตนเองกลับคืนเบื้องฟ้าได้ ขอให้เร่งรีบกระทำ อย่าได้หลงเวียนว่ายในโลกนี้อีกเลย โลกนี้ต้องทุกข์ต้องสุขอีกมากมายเท่าไร และเราต้องเสียน้ำตาอีกมากมายเท่าไร ขอให้เร่งรีบเข้าใจชีวิตเข้าใจตน และค้นพบความเป็นพุทธะแห่งตนให้ได้  อย่าคิดว่าเราทั้งคู่มาหลอกลวงเลย


วันอาทิตย์ที่ ๑๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑ พุทธสถานเซิ่งเต๋อ อ.ปราณบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
มิแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน                     รู้แบ่งปันเสมอภาคจากจิตใส
บำเพ็ญธรรมเปรียบประดุจเดินทางไกล   มองผู้ใดไม่เท่ามองใจตนเอง
                   เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ   น้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว               ถามศิษย์รักทุกคนตื่นหรือยัง
                                                    ใช้ปัญญาแยกแยะซึ่งถูกผิด มิยึดติดอายตนะจนสับสน
แม้ทุกวันยังต้องเวียนดิ้นรน               แต่จงทนสร้างคุณงามคู่กันไป
ใช้กุศลรดโพธิ์จิตให้เติบโต                มิอวดโอ้การปฏิบัติเปี่ยมความหมาย
กรรมเวรที่เคยก่อเฝ้าละลาย              จะโยกย้ายศิษย์จากโลกคืนสุทธา
กุศลในขัดเกลาจิตให้สะอาด            กุศลนอกก็ไม่ขาดมุ่งเดินหน้า
ทวนกระแสแห่งน้ำดั่งฝูงปลา            ทวนโลกีย์ที่ลวงตาด้วยพระธรรม
เสียงระฆังก้องเหง่งหง่างกระทบโสต  จิตปราโมทย์ศิษย์บำเพ็ญธรรมเลิศล้ำ
ฝ่าฟันเถอะแม้ว่ามีหนามทิ่มตำ         ยิ่งขมซ้ำหวานจะยิ่งทวีคูณ
มาว่างว่างไปว่างว่างมิยึดติด             อันชีวิตผู้ยิ่งใหญ่มิสิ้นสูญ
คือวีรชนผู้งดงามจิตจรูญ                 คือเกื้อกูลผู้อื่นไม่เห็นแก่ตัว
ทะเลทุกข์ห้วงน้ำนี้เรือธรรมล่อง         จงแคล่วคล่องมิเฉื่อยแฉะกลางสลัว
หากว่าศิษย์มีเมตตามิต้องกลัว          ใต้ฟ้าทั่วแดนนี้เป็นบ้านตน
                                    ฮา  ฮา  หยุด

เกิดแก่เจ็บตายมิพ้น  หากเกิดเป็นคนต้องพบ  หากก่อเหตุจำได้ผลนั้นมา  เมื่อถูกผิดยังไม่รู้  ไม่พ้นต้องพลัดลงมา  ไม่ตัดเหตุอันผลนั้นไม่อาจจางไป
*        เพราะได้รู้ทางคืนกลับ  นำหลักธรรมใช้กำราบ  จิตโดดเด่นในความตั้งใจ  เผชิญความทุกข์อย่างหนัก  ไม่ท้อกลางคัน  จิตใจดวงนี้บากบั่น  ปณิธานไกลเผชิญความลำเค็ญ  ยากเข็ญไม่เคยต้องเศร้าใจไป  เผชิญเรื่องราวใดใด  อดทนขวนขวายบำเพ็ญ    (ซ้ำ **)
          สะดวกสบายทั้งนั้น  ไม่อาจสิ้นความฝันเพ้อ  ไม่อยากขัดเกลา  ต้องหลงไปใหญ่  ที่สุดต้องเวียนว่ายวก  เหมือนนกที่พลัดแดนไป  ตรวจสอบจิตใจมุ่งหมายไม่ผิดต่อตน    (ซ้ำ * )
**       ช่วยทั้งโลกนี้  เริ่ม ณ ตนเอง  กิเลสเร่งศิษย์รู้ดี  เลิก ละ ลดนี้  ไม่หวนคืนดี  ไม่ผัดสักนาที  ถึงตนจะดีไม่วอนใครใคร  ต้องเห็นความดีที่ทำไว้

เพลง : ขวนขวายบำเพ็ญ
ทำนองเพลง : ชีวิตใหม่


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

คนที่รู้จักอาจารย์ต้องรู้จักอาจารย์ในด้านไหนบ้าง  สิ่งที่เราเข้าใจยังเข้าใจไม่จริงไม่แจ้ง เสร็จแล้วคนอื่นเขารู้ดีกว่า ต่อให้เขาลุกขึ้นทีหลังเขาก็ตอบได้ดีกว่าใช่หรือเปล่า (ใช่) เปรียบได้เหมือนกับคนที่ศึกษาธรรมะ แต่ถ้าหากว่าศึกษาแล้วไม่เกิดความเข้าใจ ต่อให้รีบร้อน ลุกขึ้นตอบก็ไม่มีประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่เรารู้จริงแล้วทำจริง ดีกว่าหรือเปล่า (ดีจะสำเร็จหรือไม่ การบำเพ็ญจะได้หรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับว่าเรารู้จริงหรือเปล่า คนที่รู้ไม่จริงเวลาไปปฏิบัติก็ปฏิบัติไม่จริง
ใช่หรือไม่ (ใช่คนที่รู้จริงออกไปปฏิบัติจริงความสำเร็จก็ไม่ไกลเกินเอื้อมถูกหรือเปล่า (ถูกเพราะฉะนั้นเราต้องเข้าใจให้ดี เรารู้จักกัน อาจารย์รู้จักศิษย์ ศิษย์รู้จักอาจารย์ ต้องรู้จักกันที่ไหน ศิษย์จะรู้จักคนสักคนหนึ่ง ควรจะรู้จักกันที่ไหน
(ที่ใจศิษย์รู้จักเขา ควรที่รู้จักว่าเขาเป็นคนเช่นไร ใช่หรือไม่ (ใช่อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้จักอาจารย์ แต่ไม่ใช่หมายความว่ารู้จักกันเฉยๆ  แต่รู้จักอาจารย์แล้วต้องทำให้ได้เหมือนกับอาจารย์ ใช่หรือเปล่า (ใช่ตอนนี้อาจารย์เอื้อมมือลงมาช่วยศิษย์ทุกคน อยากให้ศิษย์ทุกคนหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ศิษย์ของอาจารย์ก็เช่นเดียวกัน หากว่าเรารู้จักกันจริง ศิษย์ก็ต้องทำอย่างที่อาจารย์ทำ คือการช่วยคน ใช่หรือเปล่า (ใช่ช่วยคนโดยที่ไม่กลัวว่าตนเองจะเดือดร้อน  แต่บางคนกลัวว่าตัวเองจะเดือดร้อน จนกระทั่งไม่ได้ช่วยใครเลย ชีวิตนี้ช่วยเหลือแต่ตนเอง เพราะฉะนั้นการทำเช่นนี้ก็จึงไม่เป็นพุทธะที่แท้จริง นับตั้งแต่วันนี้เราควรที่จะเริ่มให้จริงจัง ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เวลาที่เราอยู่ข้างนอกชอบซื้อหวยไหม (ชอบอยากรวยไหม (อยากรวย) อยากรวยแล้วซื้อหวยรวยไหม (ไม่รวยเอาเงินไปให้เขาแล้วเราก็นั่งแทงเลขหนึ่งถึงศูนย์ ใช่หรือเปล่า (ใช่รวยเมื่อไหร่ ใครรวย ใครจน  เราจนเจ้ามือรวย ใช่หรือเปล่า (ใช่เพราะฉะนั้นอยากรวยต้องทำอย่างไร ทำงานวันละร้อยแล้วให้เจ้ามือแทงหวยวันละเท่าไหร่ อยากรวยง่ายนิดเดียวอาจารย์มีวิธีซื้อหวยที่ดีเอาไหม (เอาสมมติว่าอันนี้เป็นกระปุกออมสิน หวยเขากี่วันออกที (สิบห้าวันวันนี้ฝันว่าออกเลขนี้เอาเงินใส่เข้าไปที่ไหน (ออมสินสองวันสามวันใส่เข้าไป พอถึงสิบห้าวันเป็นอย่างไร  หวยออกแล้วถูกหรือเปล่า  นี่ก็คือถูกหวยแล้วใช่ไหม (ใช่กลับกันกับคนที่อยากเลิกบุหรี่ ผู้ชายอยากเลิกบุหรี่ไหม ผู้ชายคนไหน
สูบบุหรี่ คนไหนกินเหล้า อยากเลิกต้องทำอย่างไรดี  พอจะออกไปซื้อเหล้าก็กินน้ำเปล่าแทนแล้วเอาเงินหยอดเข้าไปในนี้ทำได้ไหม ง่ายหรือเปล่า (ง่ายศิษย์ลองพิจารณาดูดีๆ ว่าพุทธะที่อยู่บนฟ้าสำเร็จเป็นพุทธะอริยะ  สำเร็จเป็น
สิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ถ้าหากว่าสำเร็จเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วจะกินเหล้าจะทำอย่างไร ต้องวิ่งลงไปในโลกใช่หรือไม่ เพื่อเหล้าขวดเดียวทำให้เราต้องลงมาเกิดมาเวียนว่ายตายเกิดใช่หรือเปล่า (ใช่เพื่อบุหรี่ซองเดียวที่สูบแล้วพ่นควันปุ๋ยๆ แล้วเราก็ฟอกกิเลสขึ้นไว้มากมาย  แล้วในปอดของเราก็มีแต่สีอะไร (สีดำแล้วถามว่าเราจะไม่ป่วยได้หรือเปล่า เป็นผู้บำเพ็ญแล้วต้องรักษาสุขภาพกายและสุขภาพใจ สุขภาพกายเป็นความแข็งแรงใช่หรือไม่ (ใช่แข็งแรงนี่เพื่ออะไร ไม่ใช่แข็งแรงไว้อวดชาวบ้าน แต่เราแข็งแรงไว้เพื่อให้เรามีชีวิตที่ยืนยาวกว่านี้ มีชีวิตที่ยืนยาวเพื่อจะได้ช่วยคนได้มากกว่านี้ใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นคนที่มีชีวิตยืนยาวแต่ไม่ช่วยใครเลย ถามว่าชีวิตนี้มีค่าหรือเปล่า (ไม่มีชีวิตนี้กลายเป็นชีวิตที่ไม่มีค่า รักษาสุขภาพใจ สุขภาพใจเป็นเช่นไร ตอนนี้จิตใจของเราเบิกบานหรือไม่ เบิกบานจริงๆ หรือเบิกบานเล่นๆ  (เบิกบานจริงๆ) เดี๋ยวกลับไปบ้านเจอปัญหาที่บ้าน เจอปัญหาที่ทำงาน แล้วจิตใจเรายังเบิกบานได้ไหม ถ้าเบิกบานไม่ได้ก็ไม่นับว่าเป็นความเบิกบานอันแท้จริง แต่ถ้าหากว่าทำได้ย่อมเป็นความเบิกบานที่แท้จริงใช่หรือไม่ (ใช่ปัญหาย่อมเกิดย่อมมี แต่ปัญหาก็ย่อมดับได้ใช่หรือไม่  พระพุทธองค์สอนเรื่องการเกิดและการดับใช่หรือเปล่า (ใช่เรารู้จักแต่ร่างกายของเราอันนี้เกิดๆ  ดับๆ  แต่เราเคยปลงไหม เราเคยคิดว่าร่างกายของเราจะดับไหม (เคยแล้วเชื่อไหมว่าสักวันหนึ่งเราจะตาย เราจะทำอะไรก่อนที่เราจะตาย ทำความดี เราทำมากหรือน้อย  แล้วทำความไม่ดีมากหรือน้อย พอเราบอกว่า เราทำความไม่ดี ทำความชั่วน้อยคือผู้ที่ทำความไม่ดีน้อย แล้วทำความดีมาก
ใช่หรือไม่ (ใช่ดังเช่นการเลือกคนที่จะเป็นพุทธะก็เช่นเดียวกัน ศิษย์อาจจะรู้สึกว่าเรานี้ดีแสนดี โลกนี้แทบจะไม่มีใครดีกว่าเราอีกแล้ว แต่เราอย่าลืมว่าโลกนี้ไม่ได้มีเราอยู่คนเดียว ร้อยคนจะเลือกได้สักคนหนึ่งไหมที่จะเป็นพุทธะ อาจารย์บอกว่าไม่แน่ แล้วคนคนนั้นอาจจะไม่ใช่เราด้วยใช่หรือไม่ (ใช่ทั้งนี้เพราะว่าเรายังพยายามไม่พอ เราต้องมีความพยายามอันกว้างใหญ่ไพศาลใช่หรือเปล่า (ใช่เราต้องทำดี ทำความดี ทำกุศลจนมั่นใจว่าเรานั้นดีออกจากใจ ดีมากกว่าผู้อื่น
ใช่หรือไม่ (ใช่) สมมติว่าในห้องนี้มีอยู่สองสามร้อยคน คนที่ทำดีผู้หญิงบอกมีแปด ผู้ชายมีหก หกกับแปดก็เป็นที่ไหร่ (สิบสี่สิบสี่คนนี้คือคนที่เขาบอกว่าตัวเขาดี  สิบสี่คนนี้คือคนที่บอกว่าตัวเองทำเลวน้อย ทำเลวน้อยไม่ได้หมายความว่าทำดีมากหรือทำความไม่ดีอยู่น้อยมาก สิบสี่คนนี้ถ้าต้องการคนเดียว แล้วจะใช่เราหรือเปล่าถ้าเอาตัวเราออกไปเทียบกับบุคคลที่มากมายบนโลกนี้ คนที่จะได้รับคัดเลือกเป็นพุทธะจะใช่เราไหม  สมมติว่าศิษย์เดินไปคนเดียวไม่มีคนอื่นไปด้วย เผอิญได้พบคนๆ หนึ่งกำลังถูกทรายดูดลงไปข้างล่าง แล้วถ้าหากว่าลงไปช่วยจะพลาดพลั้งตกลงไปด้วย แล้วถ้าเราไม่ช่วย เขาจะต้องตาย ถามว่าศิษย์จะช่วยคนๆ นี้หรือไม่  หากเหตุกาณ์ครั้งนี้สิ่งศักดิ์สิทธ์ต้องการทดสอบดูว่าจะเป็นพุทธะจริงไหม หรือคนที่โดนทรายดูดลงไปเป็นอาจารย์เอง ศิษย์จะช่วยอาจารย์หรือไม่  (พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้นักเรียน)
              สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในโลกนี้ทุกๆ คนเกิดมามีพ่อแม่ อันว่าร่างกายของเรานี้พ่อแม่เป็นผู้ให้ พ่อแม่เป็นผู้สร้างการรักษาร่างกายของเราให้มีชีวิตนั้นเป็นการทำความดีอย่างหนึ่ง แต่หากว่าศิษย์นั้นเสียสละเพื่อผู้อื่น ถือว่าได้ทำความดีที่ยิ่งใหญ่กว่า คำพูดที่กล่าวไว้ว่าผู้เป็นปราชญ์ ผู้เป็นเมธี ผู้เป็นอริยะทั้งหลาย ฟ้าดินเปรียบประดุจพ่อแม่จะเกิดความยิ่งใหญ่เสียยิ่งกว่า อันว่าเรานั้นเป็นลูกในบ้าน เรานั้นย่อมเป็นผู้ที่กตัญญูต่อพ่อแม่ใช่หรือไม่ (ใช่แต่หากว่าศิษย์สามารถทำความดีเสียยิ่งกว่านั้นอีก แต่ต้องมั่นใจว่าเป็นความดีที่ยิ่งใหญ่ จงพลีชีพลงไปไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ไม่เห็นแก่ความลำบากส่วนตัว และเอาตนนั้นเป็นสะพานเพื่อให้คนจำนวนมากเหยียบผ่านขึ้นไปพุทธภูมิ พ่อแม่ของศิษย์นั้นจะเป็นฟ้าและดิน อันว่าฟ้าดินให้กำเนิดจิตญาณของเรา จงภูมิใจทะนุถนอมจงตั้งใจกล่อมเกลี้ยงขัดเกลาอย่าให้มีแม้วินาทีหนึ่งที่ฝุ่นแห่งกิเลสนั้นลงไปจับแปดเปื้อน ทำได้เช่นนี้แล้วย่อมเข้าถึงความเป็นพุทธะ บางคนนั้นชอบอ้างวาจาอันคมคายไว้สำหรับปลอบตนเอง ไม่มีไว้ปลอบผู้อื่น ในโลกหล้านี้ฟ้าดินนั้นยิ่งใหญ่ หากว่าศิษย์สามารถเป็นลูกแห่งฟ้าและดินได้ ศิษย์ย่อมเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ และการที่ศิษย์จะทำเช่นนี้ได้ จะต้องมีความตั้งใจลงไปทำจริงๆ  หากศิษย์มีจิตใจที่ผิดจาก
คุณธรรมแห่งฟ้าและดินเพียงนิดเดียว ศิษย์จะไม่ใช่ลูกแห่งฟ้าดินเลย อยากเป็นลูกของฟ้าและดินไหม (อยากฟ้ามีอะไร ฟ้ามีแสงสว่างใช่หรือเปล่า (ใช่ความกว้างอันจะมองเห็นได้หมดใช่หรือไม่ (ใช่ศิษย์เป็นลูกแห่งฟ้าต้องใจกว้างเหมือนท่านใช่หรือเปล่า (ใช่ใจกว้างแล้วจะต้องมีคุณธรรม มีความเมตตาให้ฝนหลั่งลงมาจากฟ้าได้ ให้สายลมอันเย็นสบายใช่หรือไม่ (ใช่ไม่ว่าจะคนดีหรือคนชั่วไม่ว่าหญ้าต้นนั้นหรือต้นโพธิ์ต้นนั้นจะขาดน้ำหรือไม่ ก็ยังโปรยปรายลงมาอย่างทั่วถึงใช่หรือเปล่า (ใช่อย่าได้คิดว่าเขานั้นไม่เดือดร้อนเราคงไม่ต้องส่งความเมตตาปรานีไป  ส่วนคนนี้เดือดร้อนส่งไปมากๆ หน่อย ความคิดเช่นนี้ยังเป็นความคิดที่ลำเอียงไปและลำเอียงมาใช่หรือเปล่า (ใช่ขอให้ส่งความดีให้
ทั่วถึงกันเพราะว่ามนุษย์นั้นมีจิตใจที่ไม่ยอมบอกว่าตนเองเดือดร้อนหรือเปล่า บางทีไม่ยอมบอกให้คนอื่นรู้เลย เขาบอกว่าเรารวยเราก็ยังใส่หัวโขนแห่งคนรวยอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่เขาบอกว่าเราจนแต่ว่าจริงๆ แล้วเราก็ทำเป็นจนแล้วให้คนอื่นมาให้เรามากๆ มนุษย์เป็นเช่นนี้ไม่กล้าที่จะบอกว่าตนเองนั้นจนหรือรวย ไม่กล้าที่จะบอกว่าตนเองนั้นดีหรือร้าย เมื่อศิษย์เป็นลูกแห่งฟ้าต้องเป็นลูกแห่งดินด้วย ดินเป็นอย่างไร ดินมีความหนักแน่นใช่หรือเปล่า (ใช่โดนอัดเข้าไป โดนเหยียบย่ำเข้าไป โดนถ่มน้ำลายไป ดินมีเพียงแต่ความนิ่งเฉย มีความหนักแน่น ต้นหญ้าจะงอกก็ยินยอมให้งอก ต้นไม้จะงอกก็ยินยอมให้งอก ไม่ว่าสิ่งใดดินสามารถจะรองรับได้โดยที่ไม่เลือกชนชั้นวรรณะ บางคนบอกว่าคนนี้จนไปไกลๆ ไม่อยากจะยุ่ง บางคนบอกฉันไม่ชอบคนรวย เธอชอบดูถูกฉัน ฉันไม่ชอบคนรวย แต่ชอบเงินของเขา เราบอกว่าเรามีจิตใจที่แยกแยะเช่นนี้ คนนี้หน้าตาอัปลักษณ์ไปไกลๆ คนนี้หน้าตาสวยชอบอยู่ใกล้ ทำเช่นนี้ได้หรือไม่ ทำเช่นนี้นั้นศิษย์ไม่ใช่ใจแห่งดิน คนที่นิสัยชอบรบเร้าขี้ประจบเราไม่ชอบ เราชอบคนที่ซื่อๆ ตรงๆ เรียกใช้อะไรก็ทำ เรามีจิตใจเอาเปรียบเช่นนั้น ถามว่าเรามีจิตใจเป็นพุทธะหรือ (ไม่เป็นเมื่อไม่สามารถเข้าถึงจิตใจแห่งพุทธะได้ ไม่สามารถเป็นลูกแห่งฟ้าและดินได้ย่อมไม่สามารถบำเพ็ญได้ดีใช่หรือเปล่า (ใช่เพราะฉะนั้นการที่เรามานั่งศึกษาธรรมอยู่ถึงสองวัน ธรรมะไม่ได้อยู่ที่ไหนไกลเลย แต่มนุษย์นั้นไม่เคยมองว่าธรรมะอยู่ที่ใด ธรรมะอยู่ที่ตัวเรา อยู่ที่สิ่งภายนอก อยู่ที่พื้น อยู่ที่ฟ้า อยู่ที่คนอื่นด้วย ธรรมะอยู่ทุกๆ ที่ที่ดวงตาของเราจะมองออกไป ถ้าหากว่าดวงตานั้นมีนิสัยเหมือนเรา ชอบมองสวยไม่ชอบมองไม่สวย เกิดมองคนไม่สวยแล้วตาบอดสีทันที เกิดมองคนสวยแล้วตกแต่งอย่างสวยงาม ถามว่าตาของเรามีธรรมไหม (ไม่มีตาของเรานั้นไม่มีคุณธรรม เราจึงเลือกเหมือนกับเราเป็นผู้เลือกใช่หรือเปล่า (ใช่เพราะฉะนั้นถามว่าเราจะฝึกคุณธรรม ฝึกธรรมะ บำเพ็ญธรรม ไม่ต้องไปที่ไหนไกลใช่หรือไม่ (ใช่ธรรมะอยู่ที่ไหน (ตัวเรา
              อันว่าสถานธรรมนั้นเปรียบเสมือนเรือ คนข้างหน้าพายอย่างคนข้างหลังพายอย่างไม่เกิดการประสานงานสามัคคีกัน  เรือจะวนอยู่กับที่หรือเปล่า
วนไหม (วน) เพราะฉะนั้นจะต้องรู้จักการรักใคร่กลมเกลียวกันดีหรือเปล่า (ดีคนข้างหน้าดูแล้วเราจะไม่ชอบใจเลยแต่ก็ต้องไปทำความรู้จักกับเขาใช่หรือไม่ (ใช่คนข้างหลังดูแล้วเราจะไม่ชอบใจเลยเราก็ต้องทำความรู้จักด้วย ศิษย์แต่ละคนมาจากคนละที่คนละทาง  ไม่ได้มาจากบ้านเดียวกัน  จงรักษาโอกาสนี้ไว้เปรียบเสมือนรักษาโอกาสแห่งการบำเพ็ญ ชีวิตของเราอย่างมากก็ร้อยปีใช่หรือเปล่า (ใช่มากกว่านั้นก็เกิดความทุกข์ทรมานแล้วใช่หรือไม่ (ใช่ไม่ร่างกายเจ็บก็ป่วยใช่หรือเปล่า (ใช่ฉะนั้นตอนนี้มีเรี่ยวแรงมีกำลังจะทำอะไรที่มีคุณค่าก็รีบๆ ทำ อันว่าความชั่วความไม่ดีนั้นขอให้ลด ละ เลิก อย่าไปทำมันดีหรือเปล่า (ดีหากไม่เริ่มจากวันนี้มัวแต่ผัดวันประกันพรุ่งกลายเป็นดินพอกหางหมู ที่สุดแล้วชีวิตนี้เมื่อจบสิ้นลงก็หมดโอกาสแห่งการบำเพ็ญ ทำไมอาจารย์ถึงพูดอย่างนี้ อันว่าเกิดมามีร่างกายเป็นมนุษย์ เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด เคยได้ยินคำว่า สวรรค์ ไหม (เคยเคยได้ยินคำว่า นรก ไหม (เคยสวรรค์เป็นที่สำหรับคนดีไปอยู่ ใช่หรือเปล่า นรกเป็นที่ๆ คนไม่ดีไปอยู่ใช่หรือเปล่า (ใช่) วันนี้เราเป็นคนดีหรือไม่ดี (คนดีสมมติว่าอาจารย์ไม่บอกศิษย์ถึงทางกลับนิพพาน ศิษย์เป็นคนๆ หนึ่งในโลกตอนนี้ ถ้าเราตายลงในวินาทีนี้ศิษย์จะไปอยู่สวรรค์หรือนรก อยากจะไปอยู่สวรรค์ อยากจะไปแต่ไปไม่ถึงใช่หรือเปล่า (ใช่เพราะว่าจะดีก็ดีไม่จริง จะว่าร้ายก็ร้ายไม่หมดใช่หรือเปล่า (ใช่ในที่สุดแล้วเป็นอะไร
(พระอาจารย์เมตตาวาดรูปและอธิบาย)




ตรงนี้เป็นโลกมนุษย์ตรงนี้เป็นนรกใช่หรือเปล่า ตรงนี้เป็นอะไร (สวรรค์) เราบอกว่าสวรรค์อยู่สูง เพราะฉะนั้นนิพพานก็ต้องอยู่ตรงนี้ใช่หรือไม่ ตรงนี้คือเราที่เป็นมนุษย์ มนุษย์นั้นอยากจะลงต่ำก็ลงได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนกับการก้าวลงบันไดง่ายไหม (ง่าย) เราจะก้าวขึ้นบันได เหนื่อยหน่อยแต่ต้องทำไม (ทำ) เราก็ขึ้นบันไดใช่หรือไม่ (ใช่) อันว่านรกและสวรรค์นั้น มนุษย์ผู้อยู่ตรงกลางนี้เท่านั้นจึงจะเป็นผู้ที่ทำได้ หากว่าพ้นไปจากร่างกายแห่งมนุษย์นี้ ไม่ได้อยู่ระหว่างกลางนี้ จะไปที่ไหน (สวรรค์)  ขอให้ได้ไปจริงๆ แต่เทวดาเมื่อเสวยสุขที่ตนเคยกระทำไว้หมดสิ้นก็จะต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก มิได้หลุดพ้นไปที่ไหน ไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็กลับมาเกิดเป็นสิ่งต่างๆ บนโลกนี้  ถ้าเราเป็นคนดีก็ไม่ใช่ร้ายก็ไม่เชิงใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราก็อยู่ระหว่างตรงนี้และตรงนี้ใช่ไหม ในที่สุดแล้วเราจะเดินทางเป็นอย่างไร  เราก็เดินทางวนไปวนมา เพราะฉะนั้นในตอนนี้ให้ศิษย์เลือกที่จะลงก็ได้ เลือกที่จะขึ้นก็ได้ เลือกที่จะหลุดพ้นก็ได้
ร่างกายมนุษย์นี้ประเสริฐไหม (ประเสริฐ)  ประเสริฐยิ่งกว่าที่ศิษย์คิดอีกหลายเท่า เราลองพิจารณาว่าชีวิตหนึ่งของเรานั้นเราทำอะไรบ้างให้สมกับความประเสริฐนี้ ตื่นขึ้นมาก็ล้างหน้าแปรงฟันแล้วรีบๆ ออกไปทำงานใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทำงานเสร็จทำอะไรอีก  เหนื่อยแล้วก็กินข้าวอีกแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วทำอะไรอีก กลับมาบ้านเหนื่อยแล้วก็นอน เวลาที่เหลือไปทำไม เวลาที่เหลือก็ออกไปหาความสุขใช่หรือเปล่า (ใช่) ไปหาเศษหาเลยนอกบ้านใช่หรือเปล่า เราก็ใช้ชีวิตอย่างนี้ทุกวันๆ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วถามว่าพุทธะนั้นจะอยู่ที่เราได้หรือ ถ้ามาอยู่กับตัวศิษย์เหมือนเป็นพระที่ทำไม ที่คนไทยเรียกว่าพระเครื่องใช่หรือเปล่า พระที่มีความศักดิ์สิทธิ์ ถามว่าอยู่กับศิษย์ได้หรือไม่ (ไม่ได้) พระต้องอยู่กับคนดี แล้วเราทำทุกวันนี้เราบอกว่าเราดี ใน ๒๔ ชั่วโมงเราช่วยคนไปสองนาที แล้วเราบอกตัวเองดีแล้ว เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าเมื่อเราอยู่ในโลกมนุษย์การที่มีร่างกายมนุษย์เป็นความประเสริฐที่สุด ร่างกายอันนี้เป็นความประเสริฐที่สุดจนหาอะไรเปรียบเทียบไม่ได้แล้ว หากว่าศิษย์มัวใช้ชีวิตดังเช่นปุถุชน หมดชีวิตนี้ตายไปก็เป็นอะไร เป็นผีที่เป็นปุถุชนใช่หรือเปล่า แล้วในที่สุดจะกลับมาเกิดอีกทีก็ต้องกลับมาเกิดเป็นอะไร เป็นปุถุชนไม่เห็นมีคำว่าพุทธะอยู่ที่ตรงไหนใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เห็นมีคำว่านิพพานอยู่ที่ตรงไหน ดังนี้นิพพานจึงยากไปถึง หากว่าศิษย์เปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่  ตื่นเช้าขึ้นมาทำอะไร ตื่นเช้าขึ้นมาก็ขอบคุณฟ้าดินที่ให้เรานั้นมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่) เจอพ่อแม่ก็ลองไปทำไม ลงไปกราบท่านเช่นนี้จิตสำนึกจะเกิดขึ้นในตัวเราใช่หรือเปล่า เมื่อถึงเวลาทำงานไม่ใช่โกงเล็กโกงน้อย เราต้องซื่อตรงซื่อสัตย์ใช่หรือเปล่า (ใช่) เขาบอกให้เราทำงานกี่ชั่วโมงเราก็ต้องทำเท่านั้นชั่วโมง จะเอาเวลางานเอาไปเที่ยวได้หรือเปล่า (ไม่ได้)
ชีวิตนี้สั้นเหมือนกับแมลง เป็นแค่เวลาสั้นๆ ช่วงหนึ่งยังจะห่วงเที่ยวห่วงเล่น แล้วถามว่าจะเอาเวลาตรงไหนไปช่วยคนอื่น พอมุ่งตรงมาจากที่ทำงานก็ไปไหน ก็ออกไปที่เที่ยวที่เล่นเสร็จแล้วในที่สุดอยู่ที่เล่นที่เที่ยวนั้นจนกระทั่งค่ำมืดใช่หรือเปล่า (ใช่)  กลับมาบ้านก็กลับมาแผ่สองสลึงชีวิตนี้ก็ไม่มีเหลือใช่หรือเปล่า (ใช่)  อาทิตย์หนึ่งบอกว่าจะออกมาทำงานธรรมะมาช่วยคนสักสองชั่วโมง อาจารย์ว่าน้อยไปนะ วันหนึ่งถ้าเราเจียดเวลาให้กับตนเองได้สักสองชั่วโมงสามชั่วโมง แล้วเราจะเอาเวลานี้ไปทำอะไรล่ะ (บำเพ็ญธรรม)  คราวนี้ถามว่าธรรมะอยู่ที่ไหนจำเป็นไหมจะต้องมาสถานธรรม (ไม่จำเป็น)  พอนานๆ ไม่มาสถานธรรมก็เป็นไง ก็ลืม เพราะฉะนั้นสถานธรรมนั้นจำเป็นแต่ว่าไม่ใช่ให้มาทุกวัน ให้มาในเวลาที่เราว่างใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วเวลาสองชั่งโมงที่อาจารย์ให้เจียดในหนึ่งวันนี้เอาไว้ทำอะไร สองชั่วโมงที่อาจารย์ให้เจียดนี้ให้เอามาบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญธรรมที่ใจของตัวเราเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นธรรมะอยู่ที่ไหน (ใจ)  มีแขนข้างซ้ายต้องมีแขนข้างขวาไหม (ต้องมี)  เพราะฉะนั้นจิตใจเมื่อมีคุณงามความดีก็ต้องออกมาทำอะไรด้วย (เผยแพร่ความดี)  เมื่อมีแขนข้างซ้ายและมีแขนข้างขวา มนุษย์เมื่อยังอยู่ในโลกมนุษย์จำเป็นจะต้องมีของสองสิ่งคู่กัน  ในเมื่อเรานั้นมีคุณงามความดีประจำใจก็ดีแล้ว โลกมนุษย์เต็มไปด้วยคนที่ชั่วมากขึ้น มากขึ้นทุกวัน ศิษย์บอกว่าศิษย์ดีที่ใจแล้วเก็บความดีไว้ที่ใจของเราคนเดียว ในที่สุดแล้วคนที่เขาจะดีขึ้นมาเพราะเรามีหรือเปล่า (ไม่มี)  แล้วก็อยู่ที่เราแล้วเราตายไปพร้อมกับความดีของเราใช่หรือเปล่า (ใช่)  แทนที่ความดีของเราจะใหญ่โตขึ้นแต่ความดีของเรากลับเล็กลงทุกทีเพราะอะไร เพราะเราเห็นคนชั่วข้างนอกมีมากมาย แล้วเราก็บอกว่าไม่เห็นคนทำชั่วจะได้ชั่วสักที เราก็เลยทำความชั่วตามเขาไปด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  จากวันนี้เริ่มนิดหนึ่งเมื่อมีเลขที่หนึ่งก็มีเลขที่เท่าไหร่ (สอง)  เลขที่สองแล้วเลขที่เท่าไหร่ (สาม)  ในที่สุดเราก็กลายเป็นคนชั่ว อาจารย์ไม่ได้ว่าศิษย์นะ แต่อาจารย์บอกว่าเมื่อมีแขนซ้ายย่อมต้องมีแขนขวา ไม่ว่าศิษย์นั้นจะทำสิ่งใดควรอย่างยิ่งที่จะเอามือทั้งสองข้างนั้นไปช่วยคน ไม่ใช่มีความดีอยู่ที่ใจ แต่ต้องมีความดีที่คนอื่นสามารถมองเห็นได้ เรายังพูดกันไม่จบว่าธรรมะควรอยู่ที่ไหนใช่หรือเปล่า (ใช่)  จะบอกว่าอยู่ที่ใจอย่างเดียวถูกหรือเปล่า (ไม่ถูก)  ธรรมะไม่ได้อยู่ที่ใจของเราเพียงอย่างเดียว เพราะถ้าอยู่ที่ใจก็ไม่มีใครมองเห็นใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนกับตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์คิดเล็กคิดน้อย คิดโน่นคิดนี่เต็มไปหมด แล้วถามว่าใครเห็นใจของศิษย์บ้าง (ไม่มี)  เราบอกว่าเราเป็นคนดีมีความดี แต่เราดีอยู่ที่ใจ ที่สุดแล้ว ไม่มีใครเห็นว่าเราดีอย่างไรเลยใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นต้องปฏิบัติออกมาถูกหรือเปล่า แต่ธรรมะอยู่ที่ไหนล่ะให้เราปฏิบัติ สำคัญที่สุดธรรมะไม่ได้อยู่แต่ที่สถานธรรม อาจารย์นั้นกลัวเกรงที่สุดคือศิษย์ของอาจารย์ที่เข้ามาในสถานธรรมแล้วปั้นสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสคนโน้นก็ดี คนนี้ก็ดี พอกลับไปถึงบ้านก็กลายเป็นคนละคน อย่างนี้เป็นเรื่องน่ากลัวใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นธรรมะควรจะอยู่ที่การกระทำ อาจารย์จะรวบเป็นคำที่สามารถจำได้ นั่นคือธรรมะอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา อาจารย์บอกว่าตื่นขึ้นมาทำอะไรล่ะ ตื่นขึ้นมาก็ล้างหน้าแปรงฟันรีบๆ ออกไปทำงานใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมื่อเสร็จงานแล้วก็รีบๆ กลับบ้านเวลาที่เหลือก็เอาไปเที่ยวเล่น เช่นนี้ไม่ใช่วิถีชีวิตที่ถูกต้องใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าศิษย์ต้องการเป็นพุทธะศิษย์ต้องเสียสละมากกว่านั้น ธรรมะอยู่ในชีวิตประจำวันเราต้องทำอย่างไร เมื่อตื่นขึ้นมาต้องขอบคุณฟ้าดิน ต่อหน้าที่การงานมีความซื่อตรงใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อจิตใจของเราเป็นจิตใจพุทธะแล้ว ต้องขัดเกลากิเลสด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  กิเลสถ้าแจกแจงให้ลึกลงมากว่านั้นอีกก็คืออารมณ์ใช่หรือไม่ (ใช่)  กิเลสก็คืออารมณ์รัก โลภ โกรธ หลงใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราจะทำอย่างไรในชีวิตประจำวัน มีคนมายั่วโมโหเรา เราก็ต้องเฉยๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าให้ดีคือเราต้องดีตอบเขาให้ได้ แล้วอารมณ์โลภล่ะ เห็นคนอื่นเขาลืมเงินวางไว้ห้าพันบาท เงินห้าพันบาทมากหรือไม่ (มาก)  ไม่มีคนอื่นเห็นแล้วเราจะเอาหรือไม่ (ไม่เอา)  ห้าพันบาทไม่เอา ถ้าหนึ่งหมื่นบาทเอาไหม (ไม่เอา)  หนึ่งแสนบาทเอาไหม (ไม่เอา)  ไม่ว่าจะเป็นเงินสิบล้านกองอยู่ตรงหน้าก็ไม่เอาใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะเงินยิ่งมากกิเลสของเราก็ยิ่งโลภ แล้วเวลาเราทำความชั่วสักครั้งหนึ่ง ถามว่าจิตใจของเราผวาไหม ตอนกลางคืนนอนหลับหรือเปล่า (ไม่หลับ)  เพราะฉะนั้นมีรัก โลภ โกรธ หลง เมื่อสักครู่เราพูดถึงแต่ความโกรธกับความโลภแต่ยังมีความรักกับความหลงใช่หรือเปล่า (ใช่)  เรามีรักกับหลงหรือเปล่า (มี)  ถามว่าเส้นผมบนหนังศีรษะเราจะร่วงจะขาวไหม แล้วเราจะเสียดายไหม (เสียดาย)  เวลาที่ผมขาวหน่อยเราก็รีบไปหาสีมาย้อมใช่หรือเปล่า แล้วถ้าเกิดผมร่วงไปจนหมดศีรษะแล้วจะทำอย่างไร เสียดายไหม (เสียดาย)  แล้วถามว่าเรารู้ไหมว่าเส้นผมต้องร่วงลงไป (รู้)  รู้แต่เราก็ยังรักมากใช่ไหม! เมื่อรักมากก็กลายเป็นหลงใช่หรือเปล่า (ใช่)  นับประสาอะไรกับเส้นผมเส้นเล็กๆ เรายังเสียดาย แล้วถ้าหากว่าบ้านถูกยึด รถถูกยึด บริษัทถูกยึดล่ะ จะทำอย่างไร (ผูกคอตาย)  ถ้าพี่น้องเราจะผูกคอตายแล้วเราเป็นผู้บำเพ็ญธรรม เราจะช่วยอย่างไร เราทำได้เท่าที่เรานั้นควรจะทำใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ต้องทำด้วยความเต็มใจและจริงใจใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนทำดีแต่ทำแบบเสแสร้ง การทำเช่นนี้ไม่ใช่เป็นการช่วยเหลือผู้อื่นแต่กลับจะเป็นการทำร้ายเขาใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทั้งจิตใจของเราก็จะหมักหมมกิเลสอันนี้ให้ยิ่งมีมากขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นอาจารย์บอกว่าเวลาเรารักก็อย่ารักมากเกินไป ถ้าเรานั้นจะต้องสูญเสียสิ่งต่างๆ ไปก็อย่าทำให้ปณิธานความมุ่งมั่นของเรานั้นเสียตามไปด้วย ไม่มีสิ่งใดมีค่าสำคัญเท่ากับชีวิตในชีวิตหนึ่ง หากว่าเรามีชีวิตก็ย่อมเริ่มต้นใหม่ได้ แต่หากว่าเราตายไปเสียแล้ว เราจะเริ่มต้นใหม่ได้เหมือนเดิมหรือเปล่า (ไม่เหมือน)  เรานั้นแทบจะไม่มีโอกาสได้เริ่มต้นใหม่ เพราะฉะนั้นการคิด ต้องคิดอย่างผู้มีปัญญาใช่หรือไม่ (ใช่)  ผู้มีปัญญาแยกแยะสามารถแยกได้ว่าสีนี้ขาวหรือดำ สิ่งนี้เรียกว่าอะไร (ส้ม)  สิ่งนี้เรียกว่าอะไร (แอปเปิ้ล)  แล้วถามว่าถ้าส้มกับแอปเปิ้ลเปลี่ยนเป็นปัญหาของเราจะแยกปัญหาของตัวเองได้หรือไม่ (ได้)  อาจารย์ก็ขอให้แยกปัญหาของตัวเราเองได้เหมือนดังแยกแยะว่าผลไม้ชนิดหนึ่งเป็นแอปเปิ้ล ชนิดหนึ่งเป็นส้ม
เรารู้ว่าเราควรจะทำดี เราก็ต้องทำดี ไม่ใช่ว่าพอเหตุการณ์บังคับแล้วก็ทำชั่ว ถ้าทำเช่นนั้นศิษย์จะได้ชื่อว่าเป็นคนชั่วหรือคนดี (คนชั่ว)  เราก็จะได้ชื่อว่าเป็นคนชั่ว เพราะฉะนั้นอย่าได้เผลอไผลจิตใจของตนเองปล่อยให้เรานั้นมีตาที่บอดสี แยกแยะสีไม่ออก
“ใช้ปัญญาแยกแยะถูกผิด มิยึดติดอายตนะจนสับสน
แม้ทุกวันยังต้องเวียนดิ้นรน แต่จงทนสร้างคุณงามคู่กันไป
ใช้กุศลรดโพธิ์จิตให้เติบโต มิอวดโอ้การปฏิบัติเปี่ยมความหมาย
กรรมเวรที่เคยก่อเฝ้าละลาย จะโยกย้ายศิษย์จากโลกคืนสุทธา
กุศลในขัดเกลาจิตให้สะอาด กุศลนอกก็ไม่ขาดมุ่งเดินหน้า
ทวนกระแสแห่งน้ำดั่งฝูงปลา ทวนโลกีย์ที่ลวงตาด้วยพระธรรม”
อาจารย์ถามศิษย์ทุกคนว่าตื่นหรือยัง (ตื่นแล้ว)  ตื่นแล้วก็ควรจะรีบล้างหน้าล้างตาออกไปช่วยคนใช่หรือเปล่า (ใช่)  แม้กระทั่งเวลาที่เราทำงานเราก็ยังสามารถที่จะช่วยคนได้ เวลาที่เราเดินสวนกับคนอื่นเราก็สามารถช่วยคนได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาที่เราเห็นเขาเดือดร้อนเรายิ่งต้องช่วยเขาให้ได้ด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่) และเวลาที่เขามีความทุกข์ใจเรายิ่งต้องช่วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนนั้นมีความพ้นทุกข์แล้วหรือยัง (ยัง)  อันว่าความทุกข์และความสุขนั้น แยกกันที่จิตใจของเราเองใช่หรือไม่ (ใช่)  เรารู้สึกว่าเราสุขเราก็จะสุข เรารู้สึกว่าทุกข์เราก็จะทุกข์ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหตุการณ์ภายนอกที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงสิ่งที่ผลักดันให้เรานั้นมีทุกข์มากขึ้น หรือสุขมากขึ้น ในขณะที่เรานั้นมีชีวิตอยู่ ความสุขหรือความทุกข์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่ทางผ่านเท่านั้น อย่าได้หมกมุ่นกับสิ่งเหล่านี้ ถ้าหากว่าเราเจอความสุขมาก เราจะดีใจไหม (ดีใจ)  เวลาเรามีความทุกข์มากเราจะเสียใจไหม (เสียใจ)  เป็นเพราะว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คนนั้นเวลามีความสุขแล้วดีใจ เวลามีความทุกข์แล้วเสียใจแต่ถ้าหากว่าไม่สุขเกินไปกับความสุขนั้นๆ เวลาทุกข์เราก็จะไม่ทุกข์จนเกินไป เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นคนจนคนรวย คนที่สวยหรือคนที่ไม่สวย คนที่ดีหรือคนที่ไม่ดีต่างมีความทุกข์และความสุขด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าศิษย์นั้นมั่งมีหรือยากจนเท่าใด ล้วนหนีสิ่งเหล่านี้ไม่พ้น ดินแดนนี้จึงเรียกว่าทะเลแห่งทุกข์ ในที่ที่ศิษย์อยู่นี้ เราจะทำอย่างไรเราจึงจะทุกข์น้อยกว่านี้ การปล่อยวางนั้นให้ความสุขแต่ทำอย่างไรจึงจะไม่ทุกข์ (เรียนรู้จากความทุกข์เพื่อนำมาศึกษาตัวเอง เพื่อนำมาแก้ไขเปลี่ยนแปลง)
"เสียงระฆังก้องเหง่งหง่างกระทบโสต จิตปราโมทย์ศิษย์บำเพ็ญธรรมเลิศล้ำฝ่าฟันเถิดแม้ว่ามีหนามทิ่มตำ ยิ่งขมซ้ำหวานจะยิ่งทวีคูณ”
เคยกินมะระไหม เวลากินมะระแล้วขมหรือเปล่า (ขม)  แล้วพอผ่านลงคอไปเป็นอย่างไร ก็จะเกิดความชุ่มคอใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเรานั้น เราต้องขอบคุณเขาด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะว่าเรายิ่งทุกข์ เราก็ยิ่งเห็นชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าไม่เคยทุกข์เราจะเห็นชีวิตหรือเปล่า เราจะปลงกับชีวิตนี้ได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  แท้ที่จริงแล้วตั้งแต่เด็กจนโตมาเราเป็นคนที่ไม่มีอะไรเลยใช่หรือไม่ เมื่อก่อนเราก็ไม่มีอะไรเป็นของเราเอง แต่เมื่อโตขึ้นมาเรามีอะไรมากมายทั้งลาภยศสรรเสริญ ชื่อเสียงเงินทอง แล้วเราก็กลับหลงในสิ่งเหล่านี้ แทนที่เรานั้นจะย้อนรำลึกไปถึงสมัยก่อนที่เรานั้นยังไม่มีอะไรเลยก็หาไม่ นับวันก็ยิ่งหลง ยิ่งหา ยิ่งอยากได้มากขึ้นใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาที่เราร่ำรวยแล้วเรากลับไม่เคยรู้สึกว่าความร่ำรวยนี้เพียงพอสำหรับเราสักทีหนึ่งเพราะอะไร เพราะเรานั้นมีความไม่รู้จักพอ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องรู้จักที่จะพอ เมื่อสักครู่อาจารย์ถามว่ามีความทุกข์ แล้วทำอย่างไรจึงจะหมดทุกข์ การปล่อยวางคือความสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นความทุกข์นั้นเกิดจากการที่เราจดจ่อ รู้จักการจดจ่อไหม ถ้าเราอยากให้เรามีเงินมากขึ้นสามเท่า เรายิ่งหาเรายิ่งจดจ่อเรายิ่งทุกข์ ยิ่งอยากให้ลูกเป็นคนดีแต่ลูกไม่ยอมดีสักทีก็เป็นทุกข์  เพราะฉะนั้นการจดจ่อนั้นสร้างทุกข์ การปล่อยวางสร้างสุข เราเลือกอะไร เราต้องเลือกการปล่อยวางใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราปล่อยวางได้มากเท่าไร ความสุขก็ยิ่งมาเยือนเรามากเท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์นั้นมีความจดจ่ออยู่สูงมาก เรียกร้องตนเองสูงมาก ทุกวันนั้นไม่เคยพอใจในตนเอง จึงมีแต่ความทุกข์ เพราะฉะนั้นนับตั้งแต่ตอนนี้สิ่งใดปล่อยวางได้ก็ให้ค่อยๆ ปล่อย ปล่อยจากที่เบาๆ ก่อน แล้วค่อยปล่อยที่หนักๆ ลง  ไม่เช่นนั้นแล้วหลังของเราก็จะแบกแต่ความกังวล ความอัดอั้นไม่ยอมปล่อยวาง แล้วคนอื่นจะปล่อยวางแทนเราได้หรือไม่ (ไม่)  คนอื่นไม่สามารถปล่อยวางแทนเราได้ ถึงแม้ว่าเขาจะทำดีขึ้น หรือแม้ว่าลูกเราจะทำดีขึ้น แต่หากเราไม่รู้จักที่จะพอ เขาทำดีขนาดนี้เราก็เรียกร้องขึ้นไปสูงขนาดนั้น ที่สุดแล้วเรียกร้องคนอื่นนั้นไม่เท่าเรียกร้องใคร (เรียกร้องตนเอง)  เรียกร้องตัวเราเองให้รู้จักปล่อยวาง ชีวิตนี้ไม่ว่าจะเป็นญาติ ไม่ว่าจะเป็นพี่น้อง ลูกหลาน มีชีวิตอยู่ร่วมกันได้แค่ร้อยปี ไม่มากไปกว่านี้ภายในร้อยปีก็ต้องมีคนที่ตีจากเราไปอีกมากมาย เพราะฉะนั้นเราควรจะรู้ว่าความอนิจจังนั้นมีอยู่ทั่วไป  หากว่าใจของเรานั้นไม่รู้จักปล่อยไม่รู้จักวาง ความทุกข์ก็จะเกิดแก่เราเพียงผู้เดียว เมื่อเรากังวลมาก ทุกข์มากก็จะสร้างโรคภัยไข้เจ็บใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนปวดหัวบ่อยๆ เป็นโรคไมเกรนใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางคนโมโหบ่อยๆ ก็เป็นโรคหัวใจ บางคนเป็นคนที่ทุกข์กังวลเรื่องคนอื่นมาก ก็เป็นโรคผมขาว เดี๋ยวนี้ผมขาวไม่ได้ขึ้นเฉพาะคนแก่แล้วใช่ไหม เด็กๆ ก็ขึ้นด้วย มีปัญญาเฉลียวฉลาด เป็นเพราะว่าในบัดนี้นั้นโลกเกิดภาวะการเปลี่ยนไป ไม่แน่เสมอไปว่าผู้ใหญ่จะรู้มากมาย บางคนเป็นเด็กแต่รู้มากใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจึงไม่แบ่งแยก ไม่ว่าศิษย์นั้นจะเป็นคนที่อายุน้อยหรือเป็นคนที่อายุมาก การบำเพ็ญนั้นเท่าเทียมกัน หากไม่รีบบำเพ็ญรอจนกระทั่งตนเองแก่แล้วค่อยบำเพ็ญ อะไรๆ ก็ดูจะไม่ทันแล้ว ยิ่งแก่มากก็ยิ่งแบกมากใช่หรือเปล่า (ใช่)  บ่าข้างซ้ายก็แบกเรื่องที่เรากังวลอยู่ในหัว บ่าข้างขวาก็แบกบุคคลจำนวนมากไว้ แล้วศิษย์จะเอาบ่าที่ไหนมาแบกเวไนย  อาจารย์จึงบอกว่าทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่างนั้น เป็นไปตามชะตากรรม เป็นไปตามลิขิต เป็นไปตามดวง ไม่ต้องกังวลมาก ไม่ต้องทุกข์ใจมาก แต่อาจารย์ไม่ได้บอกให้ศิษย์ไปดูดวงนะ คนที่ชอบหาหมอดูหมอเดา เป็นคนที่ไม่มีความเชื่อมั่นในตนเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่สามารถยืนบนลำขาตัวเองได้ ในที่สุดแล้วก็จะห่างไกลจากจิตแห่งพุทธะใช่หรือเปล่า (ใช่)  การทำงานใดๆ ที่ผ่านมาในโลกมนุษย์นั้น ไม่อาจจะยิ่งใหญ่เท่าการทำงานช่วยเวไนยสัตว์ได้  เพราะฉะนั้นในสองวันนี้เข้ามาสู่ที่นี้ อาจารย์มีคำพูดอยู่สองสามคำที่พูดบ่อยๆ ก็คือการบำเพ็ญและคำว่าพุทธะใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่ได้พูดนอกเหนือจากนี้เลยใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ไม่พูดว่าศิษย์ดีเท่าไร เพราะอาจารย์นั้นหวังอย่างยิ่งว่าศิษย์จะแก้ไข คนไม่ดีก็ย่อมมีโอกาสที่จะดีได้ คนที่ดีอยู่แล้วย่อมมีโอกาสที่จะดีขึ้นไปยิ่งกว่า เพียงแต่ศิษย์ให้โอกาสตนเองและอย่าดูถูกตนเอง
คนที่เคยพูดว่านิพพานหรือไม่รู้อยู่ไหน ชอบพูดกันอย่างนี้ใช่ไหม บอกว่านิพพานไกลเกินเอื้อม ทำไมเราถึงบอกว่านิพพานไกลเกินเอื้อม อาจารย์จะบอกให้นะ นี่คือนิพพานและนี่คือมนุษย์ เพราะว่าเราไม่คว้า ถ้าเราคว้าศิษย์คิดว่านิพพานจะไกลเกินตัวเราหรือเปล่า (ไม่ไกล)  เพราะฉะนั้นจงเริ่มคว้า นิพพานนั้นศิษย์เคยไปแล้วแต่จำไม่ได้ ถามว่าบ้านของเราเองถ้าเราเข้าประตูไปเราคุ้นเคยกับบ้านนี้ไหม เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าศิษย์ไปถึงนิพพานก็จะรู้ว่าบ้านหลังนี้คือบ้านของศิษย์
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนวาดรูปวงกลม)
ถ้าหากยิ่งวาดวงกลมยิ่งเล็กก็จะยิ่งวาดให้กลมง่ายขึ้นใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ว่าการวาดรูปนั้นก็แสดงให้เห็นถึงลักษณะนิสัยคนเหมือนกันนะ ถ้าหากว่าเราเป็นแบบอย่างที่ดีคนต่อไปก็จะเอาตามใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่วาดวงกลมเล็กกับคนที่วาดวงกลมใหญ่ต่างกันตรงไหน คนที่วาดวงกลมเล็กวาดง่าย คนที่วาดวงกลมใหญ่วาดยากใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ถามว่าวาดง่ายๆ กับวาดยากๆ อย่างไหนดีกว่ากัน ถ้าหากเราวาดใหญ่ๆ เราย่อมมีความยากลำบากมากกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งๆ ที่ศิษย์รู้ว่าการวาดวงกลมใหญ่ๆ เป็นความยากลำบากแต่ก็ยังวาด แสดงว่ามีจิตใจที่กว้างขวาง แต่ถ้าหากว่าเราคิดเฉพาะตัวแล้วเราก็วาดเล็กๆ เพื่อที่จะให้กลมสมประสงค์ เมื่อเราวาดวงกลมใหญ่แสดงว่าเราจะเริ่มจากตรงที่ยากไปใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อเราได้ลิ้มรสสิ่งที่ยากที่สุด สิ่งที่ง่ายที่สุดจะเป็นเรื่องง่ายจนกระทั่งแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นบางคนอยากจะบำเพ็ญธรรมง่ายๆ อยากจะราบรื่น แต่คนไหนที่มีความทุกข์มาก ได้รู้ได้เห็นชีวิตมาก ก็ย่อมมีแรงแห่งการปลงตก ย่อมมีแรงแห่งการผลักดันตนเองขึ้นไปสู่ที่สูงได้มากขึ้น เปรียบประหนึ่งการที่เรานั้นเดินขึ้นบันไดพุทธะไม่ใช่เดินลงบันได ถ้าเดินลงบันไดง่ายไหม (ง่าย)  เดินขึ้นบันไดยากไหม (ยาก)  เพราะฉะนั้นการวาดวงกลมใหญ่ๆ แม้ว่าจะยากแต่ศิษย์ทั้งสองก็ยังเลือก อาจารย์หวังว่าเมื่อศิษย์บำเพ็ญธรรมจะรู้ว่า ถึงแม้ว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นยาก แต่ก็จงตั้งใจพยายามให้มากเข้า หากว่าไม่มีความตั้งใจพยายาม แม้เรื่องที่ง่ายที่สุดก็ทำไม่ได้ จิตใจของเรานั้นมีกิเลสแอบแฝงอยู่ การที่เราจะขัดเกลานั้นจะต้องขัดเกลากิเลสตัวนี้ให้หลุดออกไป มีกิเลสยังไม่พอ ยังมีตัวอื่นๆ อีกมากมาย เพราะฉะนั้นที่อาจารย์พูดถึงเรื่องจิตใจของเรา จิตใจของเรานั้นจำเป็นจะต้องขัดเกลาจนกิเลสตัวนี้จนหมดสิ้น และกลับมาสู่สภาวะที่ใส ถ้าศิษย์บอกว่านิพพานนั้นไม่เคยไปเยือน บ้านนั้นถ้าหากว่าเราได้ก้าวกลับเข้าไปก็จะรู้ทันทีว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านของเรา ของที่อยู่ภายในบ้านไม่ว่าจะตั้งไว้ตรงไหนวางไว้ตรงไหนเราก็จะรู้ อันว่าคนที่ได้บำเพ็ญแล้วจึงจะได้รู้เห็น ถ้าหากว่าไม่ยอมบำเพ็ญ ดีแต่พูด ดีแต่ปาก ใครๆ ก็พูดได้ นิพพาน สวรรค์หรือนรก อ่านหนังสือเอาก็พูดได้ แต่คนที่ทำจริงๆ จึงจะเป็นคนที่น่ายกย่องใช่หรือเปล่า (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันวงพระโอวาท)
เมื่อสักครู่นี้อาจารย์บอกว่าชีวิตเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทุกวันนี้มีความสุขสบาย ทุกวันนี้มีฐานะที่ดี แต่ทว่าชีวิตคนเหมือนกับความฝัน จงทำสิ่งที่อยู่ในชีวิตนี้ควบคู่ไปกับความล้ำค่าแห่งชีวิต ก็คือการบำเพ็ญธรรม ทำได้ไหม (ได้)
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฎิบัติงานธรรมนำน้ำดื่มมาให้นักเรียนในชั้น)
ก่อนดื่มน้ำผู้บำเพ็ญธรรมควรคิดถึงอะไร ควรคิดถึงต้นน้ำใช่หรือไม่ (ใช่)  การที่เรามีพุทธะจิตเป็นพุทธะนั้นก็เปรียบเสมือนน้ำใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถึงน้ำจะอยู่ในแก้วคนละใบ อยู่กับศิษย์คนละคน ก็มาจากที่เดียวกัน
 (อาจารย์เมตตาให้นักเรียนดื่มน้ำ)
ถ้าหากว่าศิษย์ทุกๆ คน ต่างดื่มน้ำเหลือคนละครึ่งแก้ว แล้วคนรุ่นหลังของศิษย์จะเอาน้ำที่ไหนใช้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แม้น้ำหนึ่งแก้วก็ไม่ปล่อยปละละเลยถึงจะเป็นการรักษาโชคลาภวาสนาที่ตนเองมีอยู่ไว้ 
“สะดวกสบายทั้งนั้น ไม่อาจสิ้นความฝันเพ้อ”  ลองคิดดูในชีวิตของเรานั้นมีความสะดวกสบายเอื้ออำนวยอยู่ตลอดเวลาใช่ไหม แต่เพราะความสะดวกสบายเหล่านี้ที่ทำให้เราหลงในความสบายต่างๆ หาเงินทองมาก็เพื่อความสะดวกสบายเหล่านี้ แม้กระทั่งตั้งใจบำเพ็ญก็อดที่จะสบายไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เบื้องบนไม่มีทางปูลาดยาว มีแต่ทางที่เป็นขวากหนามต้องฝ่าไป เก้าอี้พุทธะไม่มีบุนวม มีแต่อิฐหินแข็งๆ ถ้าใครที่ติดความสะดวกสบายมากเกินไป การบำเพ็ญก็จะลำบากขึ้นเป็นทวีคูณ อาจารย์พูดก่อนหน้านี้ว่าอดทนขวนขวายบำเพ็ญ ลองนึกดูว่าในชีวิตนี้เราขวนขวายทำเรื่องอะไรบ้าง เราขวนขวายทำเรื่องที่เราตั้งใจใช่หรือไม่ (ใช่)  และการบำเพ็ญถ้าหากเราคิดว่าเรานั้นมีงานรัดตัวไม่มีเวลา ศิษย์ลองถามตัวเองดูหรือยังว่าตนเองได้ขวนขวายหรือเปล่า ถ้าหากว่าวันนี้ไม่ขวนขวายที่จะบำเพ็ญตนเอง แล้ววันหน้าบอกว่าอยากจะเป็นพุทธะ 
แล้วจะไปเอาจากที่ไหน  ทุกสิ่งทุกอย่างก็คือตัวเองเป็นผู้กระทำ จะดีหรือชั่วก็อยู่ที่ตัวเอง จะเป็นปุถุชนต่อไปหรือหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิดขึ้นสู่นิพพาน ไม่ใช่อยู่ที่คำพูดไพเราะ ไม่ใช่อยู่ที่การกระทำดีจนเกินไป แต่อยู่ที่ทางสายกลางที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่าพิณสายต้องไม่ตึงไม่หย่อนใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทางนี้เป็นทางที่ทำให้ศิษย์หลุดพ้นได้ ถึงแม้ว่าทุกวันนี้ชีวิตของเราคำว่านิพพานดูห่างไกลเหลือเกิน ไม่น่าจะมาอยู่ในชีวิตประจำวันของคนหาเช้ากินค่ำอย่างเช่นเราๆ ได้ อาจารย์บอกว่าอย่าดูถูกตัวเอง คนที่เพียรไม่มีใครพ่ายแพ้ คนที่ไม่เคยจะเพียรเลยสักครั้ง จึงเป็นผู้พ่ายแพ้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าศิษย์มีความเพียรพยายามถามว่าศิษย์จะแพ้ไหม (ไม่)  อย่าดูถูกตนเอง ร่างกายนี้เป็นบ้าน เป็นที่ให้จิตใจของเราอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในบ้านของเรานี้มีพุทธะประทับอยู่องค์หนึ่ง พระองค์นี้สอนให้เราทำความดี พุทธะอยู่ในจิตใจของคนเรา เมื่อเรามีจิตอันเป็นมโนธรรมสำนึก อันเป็นจิตเดียวกับฟ้า ศิษย์นั้นไม่เชื่อฟังพุทธะในจิตใจของตนเอง ขืนกระทำความชั่วลงไปก็ไกลฟ้า ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์จะบอกว่าไตรรัตน์ได้รับไปเป็นกุญแจบ้าน ถ้าจำกุญแจบ้านไม่ได้ ทำกุญแจบ้านหาย รู้แล้วเหมือนไม่รู้ มีกุญแจบ้านก็เหมือนไม่มี ก็เข้าบ้านไม่ได้  ทีนี้ก็ลองไปคิดเอาเองว่าจะเป็นเช่นไร
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมพระสงฆ์)
ไตรรัตน์ที่เรากล่าวถึงท่านรู้ไหมว่าสำคัญตรงไหน จะบอกให้ว่าปัจจุบันยุคแห่งการบำเพ็ญได้คืบคลานเข้าสู่ยุคพระศรีอาริย์ อันว่าคำกล่าวขานที่พูดถึงนั้นใกล้จะเป็นจริง ไตรรัตน์ในที่นี้ผู้ที่เคยนั่งสมาธิย่อมรู้ว่าเป็นที่ประทับแห่งจิตตนเอง จิตของเราไม่ได้อยู่เหนือคิ้วอย่างที่คนอื่นพูด แต่อยู่ตรงจุดๆ นี้ แต่ตลอดมายังเป็นความลับสวรรค์ที่ไม่แพร่งพราย ข้าพเจ้าจี้กงในสมัยก่อนนั้นเป็น
พระสงฆ์เช่นเดียวกัน จึงหวังว่าทุกๆ ท่านจะบำเพ็ญให้ดี กวดขันตนเองยิ่งกว่าที่เคยทำมา มีจุดมุ่งหมายในการบำเพ็ญ แม้ว่าจะบำเพ็ญต่างกัน นิพพานไม่แบ่งแยกว่าเป็นพระหรือปุถุชน ขอเพียงบำเพ็ญจริงๆ ได้สร้างกุศลทั้งภายในและภายนอกให้สมบูรณ์ และช่วยคน ท่านก็จะเป็นพุทธะได้ในสักวันหนึ่ง ท่านต้องรู้จักเข้มงวดกวดขันตนเองให้มาก อันว่าบำเพ็ญในลักษณะสงฆ์นั้นตั้งแต่สมัยก่อนมีความยากลำบากนานา เมื่อท่านเลือกที่จะบำเพ็ญในทางสายนี้จึงต้องบำเพ็ญด้วยความยากลำบาก แต่ถ้าท่านรู้จักที่จะบำเพ็ญให้เข้มงวดยิ่งกว่าเข้มงวดก็จะบรรลุได้ในสักวันหนึ่ง และนี่คือจุดหมายของผู้บำเพ็ญ จุดมุ่งหมายของพระที่บวชอย่างแท้จริง หวังว่าท่านนั้นจะไม่ผิดไปจากนี้
อันว่าอาจารย์นั้นหน้าตาไม่ใช่แบบนี้ อาจารย์ไม่ใช่ผู้หญิงนะ แต่ด้วยความจำเป็นเหลือเกิน อาจารย์จะเล่าประวัติตัวเองให้ฟัง มีคำกล่าวว่าอาจารย์กินเนื้อสุนัขและดื่มเหล้าด้วย มีอยู่ช่วงหนึ่งอาจารย์บำเพ็ญเช่นคนบำเพ็ญทั่วไป แม้อาจารย์จะเป็นพุทธะมาจุติ แต่เมื่อมาเกิดบนโลกแล้วก็เป็นเช่นคนธรรมดาสามัญ เหมือนศิษย์ในตอนนี้ถึงแม้จะเคยเป็นพุทธะมาเกิด แต่เมื่อลงมาเกิดแล้วก็เป็นเรื่องใหม่ ต้องนับหนึ่งตั้งต้นใหม่เช่นเดียวกัน บางคนมีบุญญาส่งก็อย่าหลง เพราะโชคดีไม่ได้มีเสมอไป เมื่ออาจารย์มาเกิดแล้วก็บำเพ็ญเช่นเดียวกับคนทั่วๆ ไป จนในที่สุดเข้าไปบำเพ็ญในป่าในไพรแล้วกลับออกมาบวช ที่จริงขณะนั้นอาจารย์ก็สำเร็จเป็นพุทธะแล้ว แต่ด้วยอุปสรรคแห่งร่างกายนี้ไม่สามารถจะ
ฝ่าฟันร่างกายนี้ได้ ยังต้องมีชีวิตต่อไป แต่คนบำเพ็ญสมัยก่อนสามารถเหาะเหินเดินอากาศ สามารถไม่กินข้าว สามารถฝึกวิชาต่างๆ ได้ แต่คนสมัยนี้กลับติดในสิ่งเหล่านี้ แค่มีอภิญญานิดๆ หน่อยๆ ก็ติด แค่ถอดจิตญาณไปสวรรค์ได้ก็ติดในสวรรค์แล้ว จึงไม่สามารถไปนิพพาน  ฉะนั้นการบำเพ็ญสมัยนี้พระอนุตตรธรรมมารดาจึงมีโองการให้การบำเพ็ญเข้าสู่ครัวเรือน ไม่ได้หมายความว่าผู้บำเพ็ญสมัยก่อนจะบรรลุธรรมไม่ได้ เพียงแต่ว่าโองการเปลี่ยนที่แล้ว ฉะนั้นไม่ว่าจะบำเพ็ญด้วยวิธีใดก็สามารถบรรลุได้  ศิษย์ทั้งหลายจึงห้ามดูถูกดูแคลนกันเองหรือดูถูกดูแคลนผู้อื่นเป็นอันขาด อันว่าอาจารย์นั้นกินเนื้อสุนัขกินไก่ก็จริงแต่ว่าอาจารย์สามารถทำให้มันกลับมาเป็นตัวได้ ศิษย์ทำได้หรือเปล่า อาจารย์กินเหล้าก็จริงแต่สามารถทำให้กลับมาเป็นเหล้าอีก ศิษย์ทำได้ไหม ในตอนนี้บำเพ็ญแบบยุคขาวอย่ามัวมานั่งติดเหล้าติดบุหรี่ ขึ้นไปนิพพานไม่มีเหล้าบุหรี่ให้ ไม่มีเนื้อสัตว์ให้กิน ที่บ้านสบายๆ มีน้ำมีไฟมีโทรศัพท์ แต่บนนิพพานไม่มีให้ ฉะนั้นถ้าติดความสะดวกสบายเหล่านี้ย่อมไม่สามารถสำเร็จเป็นพุทธะได้ ฉะนั้นบำเพ็ญในครัวเรือนมีน้ำให้ใช้ก็ต้องใช้อย่างประหยัด มีไฟให้ใช้ก็ต้องใช้ในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่วันๆ เอาแต่นั่งดูทีวี ดูวีดีโอแล้วก็เปิดแอร์ทั้งวันทั้งคืน  เวลาเราไม่ทุกข์เราย่อมไม่รู้ว่าคนอื่นจะทุกข์อย่างไรใช่หรือเปล่า ยามเราทุกข์เวลาหันไปเห็นคนอื่นทุกข์เราจึงรู้สึกว่าเขาทุกข์  ฉะนั้นการบำเพ็ญในครัวเรือนในชีวิตประจำวันนี้จึงต้องรู้จักใช้ชีวิตให้คุ้มค่าสมกับที่ได้เกิดกายเป็นมนุษย์ ไม่เช่นนั้นตอนมามาอย่างเลอะๆ เทอะๆ ไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร ตายไปก็ไปอย่างเลอะๆ เทอะๆ ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน ในที่สุดก็เป็นเวไนยสัตว์ที่ต้องให้อาจารย์มาช่วยอีก แล้วถ้าอาจารย์ไม่ได้รับโองการให้มาฉุดช่วยอีก ถามว่าศิษย์จะต้องเวียนว่ายตายเกิดไปอีกกี่ภพกี่ชาติ ชาตินี้ชีวิตนี้เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  แล้วถ้าชาติหน้าเกิดมาเหนื่อยเหมือนเดิมอีกเอาหรือเปล่า เราต้องรู้จักเข็ดรู้จักวาง ไม่อย่างนั้นก็วนเวียนไม่จบไม่สิ้นเสียที  การที่เราจะจบสิ้นภพชาตินี้จึงต้องตั้งใจเป็นพิเศษ ไม่ว่าศิษย์นั้นจะเป็นใคร เคยทำไม่ดีหรือเคยทำดีมาขนาดไหน ก็ขอให้เรามีความตั้งใจและเริ่มต้นใหม่ ความไม่ดีที่มีอยู่ตั้งใจขจัดล้าง ความดีที่มีคงไว้และสร้างให้ได้ดียิ่งกว่าเดิม  การเปรียบเทียบความดีกับคนอื่นให้เปรียบเทียบเพื่อการพัฒนา
เวลาร่อนทรายเอาทรายหยาบหรือละเอียด ถ้าศิษย์มีจิตใจที่หยาบ เวลาร่อนศิษย์จะหล่นหรือจะให้เขาโยนทิ้ง ถ้าเราหยาบเขาก็ต้องโยนเราทิ้งใช่ไหม (ใช่)  เพราะร่อนเท่าไรก็ไม่ยอมลงมาสักที หนึ่งชาติที่ลงแรงมานี้ก็จะเสียเปล่า ฉะนั้นเมื่อตั้งใจจะทำสิ่งนี้ก็จงทำให้ดี อาจารย์ไม่ใช่บอกให้ศิษย์ไม่ต้องทำงานหาเงิน แต่หาแล้วต้องรู้จักพอ ความร่ำรวยไม่ต้องพูดถึงเพราะว่ามีเท่าไรก็ไม่รวย ความยากจนไม่ต้องพูดถึง อาหารสามมื้อมีพออิ่มก็พอแล้ว  ถ้าหากไม่รู้จักพอก็คงไม่มีวันพอตลอดชีวิต วันนี้มีพอใช้แต่พรุ่งนี้บอกว่าหาไว้ให้ลูกให้หลาน ชั่วชีวิตนี้ก็มีไม่เพียงพอใช่หรือเปล่า (ใช่)  ขอให้ห่วงคนอื่นเหมือนกับที่ห่วงตนเองและห่วงลูกหลาน
“มาว่างว่างไปว่างว่างไม่ยึดติด”  ทุกวันนี้เราติดไปเสียทุกอย่าง แต่ต่อไปนี้เราจะรู้ตัวเอง แล้วจึงจะเป็นผู้ที่แก้ไข หากว่าไม่หลงตัวก็คงแก้ไขได้ 
“อันชีวิตผู้ยิ่งใหญ่มิสิ้นสูญ  คือวีรชนผู้งดงามจิตจรูญ”
พระพุทธองค์แม้ว่าร่างกายสังขารจะดับสิ้นไปแล้ว แต่ศิษย์ก็ยังมีท่านอยู่ที่ใจ แม้พระโพธิสัตว์กวนอิมจะสิ้นสังขารไปแล้ว ศิษย์ก็ยังเคารพกราบไหว้ เป็นเพราะว่าท่านมีความดีอันยิ่งใหญ่ แม้ศิษย์เกิดหลังท่านหลายพันปีก็ยังสามารถรับรู้ได้  การที่จะเป็นวีรชนได้ก็ต้องเสียสละอย่างยิ่งใหญ่ ฉะนั้นเราบำเพ็ญธรรมแม้จะบำเพ็ญตัวเองก่อนแล้วไปช่วยผู้อื่นทีหลัง แต่หากศิษย์ทำดังที่อาจารย์กล่าวได้ก็คือชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ ชีวิตของวีรชน
"คือเกื้อกูลผู้อื่นไม่เห็นแก่ตัว"  ถ้าเห็นแก่ตัวก็จะไม่ได้เกื้อกูลผู้อื่น
"ทะเลทุกข์ห้วงน้ำนี้เรือธรรมล่อง จงแคล่วคล่องมิเฉื่อยแฉะกลางสลัว" 
ศิษย์คิดว่าตอนนี้ท้องฟ้าดูสลัวหรือสว่างไสว ท้องฟ้าสลัวขึ้นทุกๆ วัน ไม่สว่างใสเหมือนสมัยก่อน ดวงดาวบนท้องฟ้าก็แทบจะมองไม่เห็น อันนี้เปรียบเทียบว่ามนุษย์คือผู้ทำลายธรรมชาติ ไม่เพียงธรรมชาติภายนอก ยังทำลายธรรมชาติภายในจิตของตัวเองด้วย  จิตตนนั้นแทบจะไม่ใช่จิตพุทธะอยู่แล้ว ใกล้ที่จะกลายเป็นจิตพญามาร หากจิตใจของเรานั้นเปรียบเหมือนมือข้างหนึ่ง มือนี้มีหน้ามือและหลังมือ หน้ามือดูขาวสะอาดดีคือ “จิตพุทธะ” หลังมือดูไม่สะอาดเท่าไรก็คือ “จิตมาร” หากศิษย์ยกมือไปช่วยผู้อื่นแต่ใช้หลังมือก็คือจิตมาร ถ้าเอาหน้ามือไปช่วยเขาก็เป็นจิตพุทธะ จิตของเรานี้จะปล่อยให้เป็นจิตที่ตกต่ำไม่ได้ ต้องเป็นจิตที่สว่างอยู่เสมอ ถึงจะเป็นดังพระอาทิตย์ที่สาดส่องให้ผู้อื่นได้  บางคนใช้ชีวิตเรื่อยๆ ไปวันๆ ทำงานก็ลวกๆ ผ่านๆ ดูไร้ค่า จึงควรมีความฉับไวขึ้น เวลานิ่งก็ให้นิ่งเหมือนกบที่จำศีล เวลาเคลื่อนไหวก็ให้เหมือนกับหัวหน้างาน ต้องรู้ก่อนผู้อื่นและรู้ว่าจะทำอะไรด้วย
“หากว่าศิษย์มีเมตตามิต้องกลัว ใต้ฟ้าทั่วแดนนี้เป็นบ้านตน”
บางคนหาเงินมากมายเพราะกลัวว่าแก่แล้วจะไม่มีคนเลี้ยง แต่ศิษย์เคยมีความเมตตาที่จะแปรเป็นบุญคุณให้คนมาตอบแทนหรือไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ยามเราแก่ตัว แทนที่จะมีคนช่วยเกื้อหนุนเรากลับมารังแกเรา  ฉะนั้นตั้งแต่วันนี้ต้องรู้จักเมตตาผู้อื่นบ้าง ช่วยเหลือใครได้จงช่วย แล้วจะไม่ต้องห่วงเลยว่าแก่ตัวไปแล้วจะไม่มีใครมาช่วย เพราะลูกหลานสมัยนี้ก็ไม่แน่ว่าจะมาดูแลศิษย์ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นจงสั่งสมความเมตตาเป็นทุนทรัพย์ ไม่ใช่สั่งสมทรัพย์เพื่อรอวันสูญหาย เพราะเงินทองยิ่งใช้ยิ่งหมด ความเมตตาจะทำให้ทุกคนรักเราและทั่วฟ้าก็จะเป็นพี่น้องกับศิษย์อย่างแท้จริง
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ไม่ท้อถอยกลางคัน”)
หากไปบำเพ็ญแล้วเกิดความท้อถอยขึ้นในจิต จะทำให้ทางสั้นกลายเป็นทางยาว การจะก้าวออกไปสักก้าวยังรู้สึกว่าขี้เกียจ  ฉะนั้นหากว่าเราไม่ท้อถอยก็ไม่ต้องกลัวว่าทางจะยาวไกล สำหรับคนใหม่ก็คือ ต้องรู้จักเดินหน้า สำหรับคนเก่าก็อย่าได้เกิดความท้อถอยขึ้นในจิตของตัวเอง  อันว่าแม้เวไนยสัตว์ยากที่จะโปรด แต่ว่าคงไม่เกินแรงความพยายามของเรา ขอให้เรามีความจริงใจศรัทธา มีความมั่นคงเชื่อมั่นและลงมืออย่างแท้จริง อาจารย์เชื่อว่าไม่ว่าศิษย์จะทำเรื่องอะไรก็สำเร็จทั้งนั้น เพียงแต่ว่าการที่จะช่วยใครสักคนหนึ่งจำเป็นต้องช่วยให้ตลอดรอดฝั่ง ศิษย์จะเอาอารมณ์มาเป็นเหตุให้รู้สึกว่าขี้เกียจไปส่งเสริมเขาเพราะเขาเป็นคนดื้อไม่ได้ อาจารย์ว่าจริงๆ แล้วศิษย์ก็ดื้อเหมือนกัน การส่งเสริมใครต้องส่งเสริมให้ตลอดรอดฝั่ง ให้เขายืนได้เราจึงปล่อยมือ แล้วอย่าลืมใครคนหนึ่งไป ถ้าลืมไปสักคนก็เหมือนลืมบรรพบุรุษของเขาด้วย เมื่อช่วยแล้วก็ต้องรับผิดชอบช่วยให้ถึงที่สุด ไม่ใช่ช่วยแค่จะเอากุศลจากตอนที่เขารับธรรมะก็พอแล้ว ทำเช่นนั้นมีกุศลเท่าไร  สมมติมีกุศลสิบหน่วยแต่กลับมีกรรมมาร้อยหน่วย เพราะแทนที่จะไปทำให้เขาเข้าใจมากขึ้น เขากลับออกไปให้ร้ายธรรมะ ก็เพราะเราไม่ได้ส่งเสริมเขาอย่างจริงจังพอ ไม่ได้ทำให้เขาเข้าใจพอ  ศิษย์จงทำให้เต็มความสามารถจึงจะไม่ต้องกลัวว่าเขาจะเดินหน้าบำเพ็ญหรือไม่ ขอให้ศิษย์นั้นได้ทำจริง ได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะนั้นไปให้ทั่ว ก็ไม่ต้องกลัวว่าเมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะนั้นจะไม่ขึ้น เมื่อได้คำว่าไม่ท้อถอยแล้ว แสดงว่าจะต้องบำเพ็ญด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าไม่บำเพ็ญแล้วจะเอาความท้อมากจากที่ไหน วันหลังกลับมาสถานธรรมก็มาหัดกันใหม่ดีหรือเปล่า (ดี)  ต้นไม้ไม่สามารถโตได้ในสองวัน ศิษย์ไม่สามารถฟังธรรมะเข้าใจได้ถ่องแท้ทั้งหมดในสองวัน ธรรมะยังมีอีกมากมายรอศิษย์มาศึกษาไม่ใช่รอฟัง สองวันนี้รู้เรื่องไปหมดแล้ว รู้ไปหมดก็เลยเหมาเอาว่าเรารู้หมด ถ้าทำเช่นนี้เป็นผู้ประมาทเกินไป อาจารย์บอกไว้ในเพลงตอนสุดท้าย ถึงเราจะดีแต่ว่าไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเห็นความดีของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนนั้นทำความดีนิดหน่อยก็อยากจะประกาศให้คนทั้งโลกรับรู้ กุศลนั้นหายไปกับชื่อที่สลักอยู่ตามความดีของเราใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางคนอยากจะสลักชื่อไว้ที่วัดใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางคนนั้นทำบุญแต่ว่าอยากจะประกาศออกโทรโข่ง ในที่สุดความดีมันไปไหน มันลอยไปแล้ว ไม่เหลืออะไรแล้ว  เพราะฉะนั้นยิ่งศิษย์ทำความดีเท่าไร ยิ่งคนไม่เห็นเท่าไหร่ ความดีนั้นยิ่งคงอยู่  ไม่ใช่ว่าหวังจะให้ผู้อื่นเห็น ถ้าหวังให้ผู้อื่นเห็น กุศลของเราไม่ได้ไปแปะติดไว้ที่ตาของเขา เขาชมเราสองทีก็เป็นอย่างไร นานๆ เข้าก็หลงตัวเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  โลกนี้ชอบคนชมไม่ชอบคนติใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่รู้หรือเปล่าว่าคำตินั้นดีกว่าคำชม  เพราะฉะนั้นหลังจากวันนี้ถ้าหากคนอื่นเขาว่าเรา เราควรจะทำอย่างไร (ขอบคุณ)  ขอบคุณที่ช่วยตักเตือนใช่หรือเปล่า (ใช่)  อาจารย์มักจะพูดประจำว่าคนที่อายุขึ้นเลขสามไปแล้ว ในที่นี้มีหลายคนใช่หรือเปล่า (ใช่)  พอขึ้นเลขสามแล้วใครมาว่าได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่ได้ ไม่ยอมทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นหน้าไหนมากระเด็นไปหมดเพราะว่าเรานั้นอายุมากแล้ว เราถูกแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่จริงๆ แล้วถามหน่อยเถอะว่ามีใครที่ถูกตลอดเวลาไหม (ไม่มี)  แล้วศิษย์ไม่ยอมให้คนอื่นว่า แล้วเมื่อไรศิษย์จะได้แก้ไข  เพราะฉะนั้นอย่าได้ถือตนทะนงตนมากเกินไป คนยิ่งชมยิ่งต้องรู้สึกกลัวเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่ไม่พอใจหรือไม่รู้สึกอะไร คนยิ่งชมยิ่งต้องรู้สึกกลัวให้มากเข้าไว้ คนยิ่งติยิ่งมีจิตใจอันเบิกบานยินดี แสดงว่าเรามีโอกาสแล้วที่จะแก้ไขตนเอง แต่ถ้าคนเขาชมเรานี่เหมือนกับเอามีดมาจ่อหลังแล้วทำไม (สังหาร)  เพราะฉะนั้นควรยึดอย่างยิ่งที่จะวางใจของตัวเองนั้นให้มีสติ ไม่ประมาทใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนประมาทตายง่าย คนไม่ประมาทตายยาก อยากตายยากหรือตายง่าย ตายที่นี้ไม่ใช่เกิดแก่เจ็บตาย ตายในที่นี้คือจิตใจที่ตายไปแล้ว ถ้าหากเราอยู่ในคำชมอยู่ในโลกโลกีย์ อยู่ในความสุขเท่าไรก็ยิ่งเผลอเรอมากเท่านั้น เพราะฉะนั้นจงเป็นคนที่มีสติ จะได้ไม่เผลอ
ในวันนี้อาจารย์มาก็นานแล้ว ถ้าอาจารย์ไปแล้วศิษย์จะคิดถึงอาจารย์ไหม (คิดถึง)  ศิษย์รู้จักอาจารย์หรือยัง (รู้จักแล้ว)  รู้จักแล้วควรทำอย่างไร ศิษย์ควรจะปฏิบัติเหมือนกับที่อาจารย์สอนไว้ ทำเหมือนที่อาจารย์ทำ ถ้าหากว่าศิษย์ไม่ทำเหมือนที่อาจารย์ทำก็จะเป็นลูกศิษย์ที่ลืมคำสอนของอาจารย์ ในวันนี้อาศัยเวลาสั้นๆ ที่เราศิษย์อาจารย์ได้คุยกัน ตอนนี้รู้ตัวเองหรือยังว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมานั้นมีความลุ่มหลงในโลกโลกีย์มากเท่าไร รู้ตัวเองไหมว่าตัวเองนั้นหลง เมื่อรู้ตัวแล้วถามว่าจะหายหลงได้หรือยัง (ได้)  บอกอาจารย์สักคำว่าหลังจากวันนี้กลับไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะอุปสรรคเล็กหรือใหญ่ศิษย์ของอาจารย์จะพยายามที่จะบำเพ็ญธรรม พยายามที่จะฝึกฝนตน ความทุกข์ยังมีมาก ผู้มีปณิธานอันกล้าแข็งย่อมไม่กลัวการสูญเสีย ย่อมไม่กลัวอุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ ไม่เอาสิ่งที่ขัดตา ขัดหูมาเป็นตัวทำลายตัวเอง มีคนจำนวนมากที่เมื่อก่อนนี้เคยเป็นศิษย์ของอาจารย์ ต่างใช้วิธีง่ายๆ ในการทำลายตัวเอง ทำลายด้วยการปล่อยให้กิเลสนั้นพัดพาเอาตนเองไหลไปตามกระแสน้ำ บางคนนั้นทำความชั่วที่ยิ่งใหญ่มากเกินกว่าที่จะกลับมาเป็นพุทธะได้ เพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบในที่สุดแล้วคนๆ นั้นจะกลับมาบำเพ็ญต่อก็สายเกินไปแล้ว ศิษย์ลองสำรวจตัวเองจงย้อนมองตัวเองว่ากิเลสเล็กๆ น้อยๆ ที่ติดเฝ้าสั่งสมกันทุกวันนั้นกลายเป็นกิเลสที่ยิ่งใหญ่เกินแก้หรือเปล่า ศิษย์ตัวเล็กๆ เท่านี้ศิษย์คิดว่าศิษย์ทำได้หรือที่จะขจัดกิเลสเหล่านั้นให้พ้นไปจากตัวในเวลาอันสั้น หากตอนนี้ไม่เริ่มต้นไม่พยายามแล้ว วันใดจะเริ่มต้น ในเพลงวันนี้อาจารย์พูดไว้บอกว่าช่วยทั้งโลกนี้ อาจารย์ก็หวังว่าศิษย์นั้นจะช่วยตนเองให้รอด เมื่อตัวเองรอดแล้วผู้อื่นย่อมรอดใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าศิษย์ไม่รอด ไม่รอดเพราะว่าแค่หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจของตัวเองนั้นกำจัดไปไม่ได้ ควบคุมไม่ได้ ไม่เป็นการน่าเสียดายหรือที่ต้องเกิดมา ชีวิตนี้เสียดายไหม (เสียดาย)  อาจารย์ว่าอาจารย์เสียดายนะ
(พระอาจารย์เมตตาให้นำแอปเปิ้ลไปให้แม่ครัว)
เนื่องด้วยชั้นนี้มีหลายระดับอยู่ด้วยกัน การที่อาจารย์จะพูดอะไรจึงไม่ใช่เป็นสิ่งที่ศิษย์ทุกคนจะเข้าใจถึง แต่การเข้าใจในคำพูดของอาจารย์นั้น แม้ว่าจะมีความสำคัญแต่คงจะไม่สำคัญเท่ากับศิษย์ของอาจารย์นั้นเข้าใจตนเองได้อย่างถ่องแท้ การเข้าใจตนเองได้ดีนั้นดียิ่งกว่าศิษย์ของอาจารย์เข้าใจผู้อื่น จิตใจนั้นเหมือนคัมภีร์เล่มใหญ่ ขอให้เปิดอ่านจิตใจนี้เรื่อยๆ ในยามที่เราส่องมองกระจกนั้น ขอให้มองเห็นตนเอง และรู้ว่าตนเองนั้นควรจะทำอะไร ไม่ใช่มองเห็นว่าตนเองนั้นสวยพอหรือยัง ไม่ใช่มองว่าตัวเรามีจุดด่างดำแค่ไหน จะต้องมองให้ถึงจิตใจของตัวเราว่าจิตใจของเราสะอาดพอหรือยัง เกลี้ยงพอหรือยัง
ไม่ว่าจะกี่ครั้งผ่านไป อาจารย์ไม่เคยมีความรู้สึกว่าจะมีอะไรวิเศษเท่ากับความเข้าใจใทางธรรมของศิษย์ ไม่มีอะไรวิเศษเท่ากับจิตใจที่ได้ส่องความเมตตานั้นให้ผู้อื่น
ลากันวันนี้ ไม่รู้วันหน้าเราจะได้เจอกันหรือเปล่า นักเรียนในชั้นทั้งหลายตอบให้อาจารย์ชื่นใจหน่อยได้ไหม วันนี้ลากันแล้ววันหน้าเราจะเจอกันอีกหรือเปล่า (เจอ) แล้วอาจารย์จะเจอศิษย์ในสภาพไหน สภาพที่ทำให้อาจารย์นี้สบายใจมากยิ่งขึ้นได้หรือไม่ เมื่อศิษย์ของอาจารย์ได้ฝึกหัดการเป็นพุทธะไปสักช่วงหนึ่ง ย่อมเป็นธรรมดาที่จะเจอขวากหนาม แต่ต้องทำหูของเราให้หนักแน่นไว้ ทำใจของเราให้หนักแน่นขึ้นดีหรือไม่ ทุกๆ วันจะเป็นวันที่ทอแสงแห่งการบำเพ็ญพุทธะ จึงไม่มีวันไหนที่เราท้อจนล้มลงไปดีหรือเปล่า (ดี) อาจารย์เชื่อว่าวันหน้าถ้าเราเจอกันอีก ศิษย์คงเป็นผู้ที่มีความใหม่เอี่ยมมากขึ้น เป็นผู้ทีมีจิตใจอันสะอาดกลมเกลี้ยงมากขึ้น จิตใจที่กลมๆ อันนี้เหมือนกับที่อาจารย์ให้ศิษย์นั้นขึ้นไปวาด วาดได้กลมเท่าไรก็วาดเป็นวงกลมเหมือนกัน บางคนวาดไม่ยอมกลมสักที เพราะจิตใจข้างในของเราไม่กลมไม่เกลี้ยง แต่วาดเล็กๆ ถามว่าในวงกลมวงนี้จะมีที่ว่างให้เวไนยยืนได้สักกี่คน ถ้าวาดวงเล็กแค่เท้าของเราวางลงไปก็เต็มแล้ว
ศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คนที่เป็นญาติธรรมเก่าแล้วเป็นเสาหลักให้ผู้อื่น อาจารย์คิดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หวังใจเป็นอย่างยิ่ง หวังให้ศิษย์นั้นบำเพ็ญดีขึ้น ไม่เช่นนั้นแล้วทั้งชีวิตนี้ก็เสียเปล่า เช่นเดียวกับคนอื่นๆ อย่าได้เอาใบหน้าที่สวยงามมาหลอกอาจารย์ว่าศิษย์นั้นบำเพ็ญดีแล้ว คำพูดของอาจารย์จะกลายเป็นลม จะกลายเป็นฝน ถ้าหากว่าศิษย์นั้นไม่ได้นำกลับมาปฏิบัติจริงๆ อาจารย์ให้ศิษย์บำเพ็ญอย่างจริงจัง ให้บำเพ็ญให้เข้าถึงจิตใจแห่งพุทธะจริงๆ หากว่าผิดไปจากนี้ศิษย์ก็จะไม่ได้บรรลุขึ้นนิพพาน อย่าคิดว่าอาจารย์ชี้ธรรมให้ง่ายและศิษย์จะบำเพ็ญง่ายๆ  แม้ว่าเราอยู่บ้าน เราก็ต้องเอาใจกายของเราเป็นเหมือนวัด ให้ถือศีล ใจของเราต้องดีงาม กายของเราต้องสะอาด ชีวิตเขาเราอย่ากิน ความลำบากมีมากมาย แต่อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ทุกคนฝ่าฟันได้ ฝ่าฟันให้ได้ ชาตินี้จะได้เป็นชาติสุดท้ายของศิษย์จริงๆ ความทุกข์ของวันนี้ไม่ใช่พรุ่งนี้จะไม่เกิด ความสุขของวันนี้ไม่ใช่พรุ่งนี้จะไม่มี ฉะนั้นไม่ว่าจะทุกข์มากสุขมากเท่าไรอย่าได้หลง อย่าได้ให้ความทุกข์เหล่านั้นมาเป็นอุปสรรค อย่าได้เอาความสุขเหล่านั้นมาเป็นกำแพงกีดขวางทางของเราให้ไม่สามารถเข้าถึงสิ่งใดได้เลย
อาจารย์จะเฝ้าดูอยู่ข้างบน และยามใดที่ศิษย์คิดถึงอาจารย์ อาจารย์จะอยู่ข้างๆ ศิษย์ ยามใดที่ศิษย์ลงแรงได้สามส่วน สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนและอาจารย์จะช่วยถึงเจ็ดส่วน ลาก่อน ไว้วันหลังเราเจอกันใหม่


อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2541

2541-10-3 พุทธสถานหมิงฮุย อ.เมือง จ.ลพบุรี


PDF 2541-10-03-หมิงฮุย #18.pdf

#เมธี  #บัณฑิต  #คนพาล  #ปราชญ์  #ปฏิปทา  #ปณิธาน  #การเวียนว่ายตายเกิด #โรคมะเร็ง #โรคเอดส์


วันเสาร์ที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑ พุทธสถานหมิงฮุย อ.เมือง จ.ลพบุรี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ


องค์พุทธะสำเร็จไปจากกายคน ประธานใหญ่เฝ้าฝึกฝนจิตให้งาม
คุมชีวิตคุมบังเหียนตรองถึงสาม สอบรูปนามเลือกคนจริงคืนสุทธา
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงฮุย เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงสราญฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา


ด้วยเวลาเดินเร็วมิรั้งรอ ดุจไม่พอที่ทุกท่านจะได้ใช้
การบำเพ็ญต้องแบ่งเวลาด้วยตั้งใจ หากว่าใครทำได้ได้บำเพ็ญ
เมื่อชีวิตมีสุขอย่าหลงเลย เมื่อชีพเคยมีทุกข์แจ้งใจไหม
สลับเวียนอารมณ์ขุ่นอยู่ร่ำไป ขอเข้าใจสงบจิตตรวจสอบตน
รู้ไม่มีสิ่งใดที่จีรัง น้องก็ยังแสวงเอาตระการผล
ดั่งไม่รู้แต่แท้รู้ต้องเวียนวน เกิดเป็นคนเช่นนี้ช่างงมงาย
ในบัดนี้ฟ้าเปิดกว้างส่งสายทอง ให้น้องครองตนให้เที่ยงใจสะอาด
สู่ทางธรรมละทางโลกกิเลสขาด อย่าประมาทไม่แยกแยะเรื่องเท็จจริง
โลกหลอกลวงให้ใจหลงจึงผวา สู่ทางฟ้ามิลวงใจให้ขื่นขม
อันยาดีขมปากบ้างแต่มิตรม เวียนว่ายจมทะเลทุกข์ให้คืนแดน
ในวันนี้นับว่าเป็นนิมิตดี ขอใจที่ศรัทธางามแข็งขัน
ศึกษาธรรมเข้าใจตนแท้จริงนั่น มิปล่อยวันคืนผ่านอย่างไร้ความหมาย
อย่าได้มัวสงสัยปิดบังจิต ขอให้คิดในสิ่งดีกระจกใส
ขอให้รู้มาให้ครบสามวันได้ ขอให้ใช้ช่วงเวลาสั้นให้เกิดคุณ
อันเกิดมาตายไปทุกคนพบ แต่อยากจบชีพอย่างอริยะหรือปุถุชน
นาวาธรรมพายช่วยคนกลางมืดมน หากว่าพ้นกาลช่วงนี้ไม่รับคืน
ในวันนี้ขอตั้งใจให้มากมาก พี่นั้นฝากน้องรักษาวินัยสถาน
จงตั้งใจให้รู้เดินให้นาน บำเพ็ญผ่านมรสุมได้พุทธะจริง
จงรู้ว่าโอกาสนี้ยากยิ่งนัก เร่งตระหนักให้เข้าใจให้รู้ที่
ดำเนินชีวิตทางสายกลางให้พอดี กิเลสมีเร่งตัดอย่าหลงมายา
ในวันนี้มิกล่าวความให้มากไป ขอตั้งใจพี่ยืนคุมบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา หยุด







วันเสาร์ที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑ พุทธสถานหมิงฮุย อ.เมือง จ.ลพบุรี
พระโอวาทท่านแปดเซียนหลันไฉ่เหอ


ต้นไม้ใหญ่แผ่ร่มเงาคนรักษ์ไว้ คนยิ่งใหญ่ไร้คุณธรรมใครนับถือ
รักสบายเกลียดลำบากยากฝึกปรือ ปราชญ์นับถือคุณธรรมไม่ท้อใจ
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียน หลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงฮุย แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ


ใจงดงามเพราะปราศจากเหล่ากิเลส อารมณ์เจ็ด[๑] ในฤทัยไม่โหยหา
ผลจากการฝึกหนักสู่เมธา เหนื่อยไม่ว่าต้องการสว่างทั่วใจ
ฝุ่นต้องล้างการตื่นนำอนุชน[๒] แฝงใจคนช่วยพุทธะได้ไฉน
ฟ้าจะส่งให้ช่วยทำอะไร ไม่ตั้งใจขัดเกลาตนยากนำพา
ทำนุ[๓] จิตอาภา[๔] เห็นค่ำมาสาง ใสสว่างด้วยฝนฝึกนานหนา
จนบังเกิดปฏิปทาหนึ่งอันมีค่า ใจมิเอียงอันตรายกล้ากล้ำกรายฤๅ



ชอบแก่งแย่งเย็นบารมีมิสาดส่อง ทะเลาะแย่งหยุดครรลองฟ้าไร้ชื่อ
ใช้เหตุผลใจตะวันงามระบือ ใจอันเมตตาใฝ่ถือสันติแสน
บำเพ็ญธรรมอีกขัดเกลาทุกคืนวัน บ้างกล้านัยความกลัวบังเกิดแทน
ก่อนคือผยองตระหนักเมื่อถึงแก่น ปัญญาใช้ให้ตรองแทนตาเข้าใจ
ฮา ฮา หยุด








มิยังลุ่มหลงจะสาย คล้ายเหวเยือกเย็นลึกกลืนจิตดี ทุกข์มิซาโดยเดินหนี ทั่วแผ่นดินทั่วแดนฟ้าไร้บ้านเรา ลมพัดเย็นที่เป็นอยู่เช่นนี้ นานมาไม่แปร แต่ใจท่านที่แปร เปลี่ยนเวียนแลนิ่งอยู่ได้ไม่นาน
เริ่มตรองดูดอกไม้สวยงามไม่อยู่เนิ่นนาน สีนั้นเช่นความฝันแต่งแต้มชวนเพลินไป จะอยู่นานคู่ฟ้าได้เมื่อไร หลักธรรมควรเข้าใจ เวลาไม่เคยรีรอ
เพลง : อย่าเสียเวลา
ทำนองเพลง : บอกรัก





พระโอวาทท่านแปดเซียนหลันไฉ่เหอ


มีความง่วงใช่หรือไม่ ไม่มีใครพูดว่าวันนี้ฟังธรรมะแล้วตื่นจากความฝันใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วยังง่วงกันอยู่อีกหรือเปล่า (ไม่ง่วง) ไม่ง่วงแล้วใช่หรือไม่ ถ้าอย่างนั้นการพูดสนทนาต้องมีแรง มีเสียงกระปรี้กระเปร่า เหมือนคนที่ตื่นนอนแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) หรือแม้เสียงดังๆ ก็เหมือนคนที่ตื่นนอนแล้วอยากกลับไปนอนต่ออีกใช่ไหม เคยเป็นไหมที่เวลาเราตื่นจากที่นอนแล้วแราอยากกลับไปนอนต่ออีก เรารู้สึกว่าอยากกลับไปนอนอีก แล้วการตื่นนั้นเป็นการตื่นที่ไม่เต็มใจเท่าไรใช่หรือไม่ (ใช่) แล้ววันนี้จะเต็มใจตื่นหรือไม่ (เต็มใจ) เอาเป็นว่าไม่ต้องตื่นจากโลกมายา เพียงขอให้ตื่นจากความง่วงนอนแล้วตั้งใจฟังธรรมะดีหรือไม่ (ดี) แล้วตอนนี้ตื่นจากง่วงนอนกันหรือยัง (ตื่นแล้ว) ทานก็อิ่ม สบายก็สบายใช่หรือเปล่า (ใช่) ต้องทำอะไรบ้าง มีแค่มานั่งฟังอย่างเดียวแล้วก็ทาน แล้วก็ทำอะไรอีก (แล้วก็คิด) ใช้ปัญญาใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นเหมือนหุ่นยนต์เคลื่อนที่พอบอกให้นั่งก็นั่ง พอบอกให้กินก็กิน ไม่เคยคิด ไม่เคยเป็นตัวของตัวเองเลย ถ้าเช่นนั้นก็ต้องเรียกว่าถูกหลอกมา แล้วก็ถูกควบคุมถูกบังคับใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้มานั่งฟังธรรมะ ธรรมะเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่มีคุณค่าต่ออะไร (ต่อตัวเรา) หรือเรียกง่ายๆ ว่าต่อชีวิตของเราใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าหากพูดให้ลึกซึ้งขึ้นไปอีก ความสงบสุขความสันติสุขแห่งชีวิตของเรา หาได้จากตัวเราที่มีคุณธรรมความดีงามหล่อเลี้ยงจิตใจ ไม่ใช่หาได้จากวัตถุหรือจากกิเลส ถึงแม้จะได้ความสุขแต่ก็ยากจะได้ความสงบ ถึงแม้จะได้ความสงบแต่ก็เป็นความสงบที่ต้องวุ่นวายดิ้นรนและเดือดร้อนใช่หรือไม่ (ใช่)
ความสงบสุขหรือสันติสุขที่เราหาได้ในจิตใจนั้นก็คือการที่เรามีคุณธรรมความดีงามเมื่อยามดำรงชีวิต เมื่อยามมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ใช่หรือไม่ (ใช่) คุณธรรมก็คือสิ่งที่อยู่คู่กับชีวิตของเรา และเป็นสิ่งที่ทุกท่านจะละเลยไม่ได้ ทอดทิ้งไม่ได้ ฉะนั้นทุกคนมีชีวิตอยู่เพื่อทำความดีหรือเพื่อทำสิ่งเลวร้าย (ทำความดี) ชีวิตอยู่เพื่อรักษาชีวิตหรือเพื่อทำร้ายเบียดเบียนชีวิต (รักษาชีวิต) ทุกคนพูดเองว่าเรามีชีวิตอยู่เพื่อทำความดี เพื่อรักษาชีวิตไม่ทำร้ายตัวเองและผู้อื่น และมีชีวิตอยู่ทุกวันโดยการสร้างแต่คุณงามความดี เชื้อเชิญแต่คุณงามความดีมาอยู่กับตัวเอง แต่ถ้าคิดไปแล้วความเป็นจริงเราทำร้ายชีวิตหรือรักษาชีวิตกัน (ทำร้ายชีวิต) แล้วทำไมเมื่อสักครู่ถึงบอกว่าจะรักษาชีวิต จะทำความดี แสดงว่าปากกับใจไม่ตรงกัน ปากก็ตั้งอยู่ตรงกลางใบหน้าแต่ใจเอียงอยู่ข้างหนึ่งก็แสดงว่าปากต้องตรงกว่าใจใช่หรือไม่ แต่เพราะอะไรใจที่คิดกับปากที่พูดและการกระทำจึงขัดแย้งกันตลอดเวลา
ชีวิตเราจึงดำเนินอยู่อย่างเลื่อนลอย ถูกๆ ผิดๆ เอาแน่นอนไม่ได้ แล้วทำไมเมื่อสักครู่เราถึงยอมรับแต่บางคนได้แต่ยิ้มอยู่ในใจหรือไม่กล้าพูดว่าจริงๆ แล้วมีชีวิตอยู่นั้นแท้ที่จริงแล้วทำร้ายชีวิตตนเองโดยไม่รู้ตัว แท้ที่จริงแล้วสร้างแต่สิ่งที่เลวร้ายโดยไม่รู้ตัว อย่างเช่นสูบบุหรี่ นินทาว่าร้าย อย่างนั้นเป็นการสร้างความดี เป็นการรักษาชีวิตหรือเปล่า (ไม่) ล้วนเป็นการทำร้ายชีวิตไม่ของตนเองก็ของผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่) และเรื่องเบียดเบียนสัตว์ ทำร้ายสัตว์โดยตนเองที่มีความสุขเรียกว่าเป็นการทำดีบนความทุกข์ของผู้อื่นได้หรือไม่ (ได้) ยังได้อยู่อีกหรือ ต้องคิดให้ดีอย่าประมาท แม้วาจาของตัวเองที่พูดออกมา การกระทำอาจจะช้ากว่าคำพูด สิ่งที่สามารถทำให้เรามีอันตรายและนำอันตรายมาสู่เราได้ง่ายที่สุดนั่นก็คือปากใช่หรือไม่ (ใช่) การกระทำอาจจะช้าแต่ปากอาจจะไวกว่า ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่บนโลกใบนี้ เรามีใจใฝ่แล้วซึ่งความดี ฉะนั้นเวลาจะทำอะไรไม่ว่าพูด มอง ก็ต้องระวังอยู่ทุกเมื่อถึงจะเรียกว่าเป็นผู้ที่ใฝ่ดีอย่างแท้จริง เป็นมนุษย์ที่ประเสริฐและรักความดีอย่างเที่ยงธรรมใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นผู้ที่รักความดีแต่ทำความดีไม่ถึงจุดหมายใช่หรือไม่ (ใช่)
เริ่มต้นพูดง่ายๆ แบบนี้ฟังแล้วยากเกินไปหรือเปล่า ไม่ได้พูดอะไรไกลเกินชีวิตไกลเกินสิ่งที่มองเห็น เมื่อฟังหลักสัจธรรมที่เห็นกันอยู่ทุกวัน เห็นมานานนับสิบปี แต่ทำไมเราถึงปลงไม่ได้ วางไม่ลงสักที ทุกวันจะต้องมีเกิด เจ็บและตาย และก็รู้ว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ แต่พอเกิดขึ้นกับตนเอง ทำไมเราถึงทำใจไม่ทันเสียที ทั้งที่รู้อยู่ว่าเป็นความจริงของโลกใบนี้ เป็นความจริงของชีวิตใครก็หนีไม่พ้น เราไม่อยากแตะต้องเราไม่อยากเข้าไปหาแต่สักวันหนึ่งสิ่งนั้นก็ต้องเข้ามาหาเราโดยที่เราไม่เคยเชื้อเชิญใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเช่นนี้เราจะทำอย่างไรกันดี (ต้องปฏิบัติธรรม) แล้วการปฏิบัติธรรมทำอย่างไร อ่านหนังสือรู้แล้วว่าชีวิตนี้เป็นอนิจจัง แต่พอความไม่อนิจจังเข้ามาหาตัว ทำไมหนังสือก็หนังสือ ความทุกข์ก็ความทุกข์กันล่ะ บางครั้งอ่านจบไปแล้วแต่เหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้น บางครั้งเกิดทันทีหนังสือยังอยู่ในมือแต่ทำไมถึงทำไม่ได้ เพราะว่าคุณธรรมอยู่แค่หนังสือแต่ไม่ได้น้อมนำมาสู่จิตใจใช่หรือไม่ (ใช่)

“คนยิ่งใหญ่ไร้คุณธรรมใครนับถือ”
คนที่ยิ่งใหญ่แต่ไร้คุณธรรมเรานับถือไหม (ไม่) ฉะนั้นเวลาเราศึกษาเล่าเรียน เรามุ่งแต่ความสามารถอย่างเดียวโดยที่ไม่สนใจคุณธรรมก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอบว่าใช่กันหลายคนแต่การปฏิบัติไม่ทำกันเลยสักคน พอให้เลือกทำความดีกับความสามารถเรามักจะแสดงความสามารถมากกว่าที่จะทำความดี และเราก็มักจะยกย่องคนที่มีความสามารถมากกว่าคนที่มีคุณธรรมใช่หรือไม่ (ใช่) เราเป็นทุกข์กับคนที่มีคุณธรรมหรือคนที่มีความสามารถหรือว่าเป็นทั้งสองอย่างเพราะว่าเขาดีเกินไป จึงทุกข์เพราะเป็นคนดีเกินไป เป็นทุกข์กับคนประเภทไหนมากกว่ากัน (คนที่มีความสามารถ) แล้วกับคนที่มีคุณธรรมเป็นทุกข์ไหม (ไม่มี) มีหลายคนอาจจะเป็นทุกข์เพราะถ้าหากเขาบอกให้ท่านมาฟังธรรมะ ท่านต้องเป็นทุกข์แน่ถ้าท่านไม่อยากมาวันนี้ ก็เป็นทุกข์ได้เหมือนกันใช่หรือเปล่า (ใช่)
เรามักจะไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่แท้จริง มักจะจับเท็จเป็นจริง จับจริงเป็นเท็จ จนทำให้ชีวิตแยกแยะเท็จจริงไม่ถูก เมื่อชีวิตแยกไม่ถูกแล้วว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรจริง อะไรเท็จ แล้วเราจะนำพาชีวิตไปได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมก็คงยาก ฉะนั้นเวลาเราจะทำอะไรอย่าใช้เพียงตาตัดสิน หูได้ยิน มือสัมผัส แต่เราต้องใช้ปัญญาขบคิดด้วย จึงจะเป็นผู้ที่รู้จักใช้ปัญญามากกว่าสายตา และใบหูหรือมือที่สัมผัสใช่หรือไม่ (ใช่) ทำอย่างไรให้ถูกต้องและเหมาะสมก็คงยาก

ยินดีที่มีโอกาสพบท่านอีกครั้ง ถ้าให้ยืนตลอดเวลาที่เรามาก็คงเป็นการ
กลั่นแกล้งท่านมากเกินไปใช่หรือไม่ เราก็เป็นหนึ่งในผู้ที่รักการทำความดี เราก็คงไม่คิดที่จะทำร้ายท่านในวันนี้หรอก ฉะนั้นอย่าเห็นว่าแค่เพียงความคิดก็ไม่ระวัง แม้แต่ความคิดก็ต้องระวังด้วย อย่าคิดว่าเป็นสิ่งที่ผู้อื่นมองไม่เห็นแล้วจะทำผิดได้ สิ่งที่ผู้อื่นมองไม่เห็นแล้วเราทำผิดโทษยิ่งหนักแล้วเบื้องบนก็เห็นได้ชัด อย่ากระทำความผิดเลยแม้แต่ในที่ลับหรือในที่แจ้งดีหรือไม่ โดยปกติพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนล้วนรักความยุติธรรม รักการกระทำดี รักความดี คงไม่มีใครหรอกที่อยากจะให้ความไม่ดีมาเปื้อนตัวเองโดยที่ตนไม่ได้เป็นผู้กระทำ คงไม่มีใครต้องการหรืออยากอยู่ใกล้คนที่ทำไม่ดี หรือคนที่ประพฤติผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ในสมัยก่อนนั้นทำไมถึงเรียกท่านว่าเมธี เพราะว่าในสมัยก่อนนั้นผู้ที่ศึกษาใฝ่หาความรู้ประกอบคุณงามความดีจึงเรียกว่า “เมธี” แต่ในโลกนี้เรียกว่า “บัณฑิต” แต่ถึงแม้จะเป็นบัณฑิตแต่หากประกอบการในทางทุจริต ฉ้อโกง ไม่ซื่อสัตย์ เราก็เรียกว่าคนพาลใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ปัจจุบันนี้แม้สิ่งที่เรากระทำจะไม่เป็นความผิดที่ร้ายแรง ไม่ใช่เป็นการคดโกงที่ยิ่งใหญ่ แต่สิ่งที่เราทำอยู่นั้นลองไตร่ตรองลองคิดดูล้วนแต่เป็นการกระทำที่ไม่ค่อยถูกต้องไม่ค่อยดีงามเป็นส่วนใหญ่ ความดีที่มีโอกาสจะทำก็มักจะปล่อยให้พลาดหลุดมือไป แต่คนในสมัยก่อนนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นเมธีได้ผ่านการศึกษาเล่าเรียน เมื่อมีโอกาสทำความดีเขาก็จะไม่พลาดที่จะกระทำ ถึงแม้ว่าจะมีหรือไม่มีโอกาสเขาก็ไม่ละเลยนิ่งเฉย พยายามหาโอกาสให้ตนเองทำความดี แต่ปัจจุบันนี้ หลายท่านล้วนเป็นบัณฑิตล้วนเป็นผู้มีความรู้มีการศึกษา แต่การกระทำนั้นล้วนเป็นคนพาลเล็กๆ โจรน้อยๆ โจรย่อมๆ โดยไม่รู้ตัว ใช่หรือไม่ (ใช่) เช่นสิ่งใดที่หยิบได้ โอนอ่อนผ่อนตามได้ แม้เป็นเรื่องไม่ถูกต้องก็ปล่อยเลยตามเลยไม่คิดที่จะรักษาความดีความถูกต้องไว้ใช่หรือเปล่า (ใช่) สิ่งใดที่หยิบได้เขาไม่รู้เขาไม่เห็นก็หยิบโดยไม่ระวัง ไม่นึกถึงผู้อื่นว่าจะเดือดร้อนเพียงใด ฉะนั้นสิ่งที่เรากระทำกับความต้องการทางจิตใจของเราจึงขัดแย้งกันอยู่ร่ำไป ฉะนั้นเมื่อเราทำความดีผลของความดีจึงไม่สามารถที่จะส่งผลได้อย่างเต็มที่หรือผลของความดีจึงไม่สามารถสะท้อนกลับมาหาเราได้ก็เพราะเช่นนี้เอง ใช่ไหม (ใช่)
เมื่อคิดเช่นนี้แล้วเราก็คงไม่อยากที่จะเป็นคนที่เป็นบัณฑิตแล้วก็เป็นคนพาลในคนเดียวกันใช่หรือไม่ (ใช่) หรือพูดง่ายๆ คือเราไม่อยากเป็นคนพาลในคราบนักบุญ เป็นคนพาลในคราบเสื้อขาวบริสุทธิ์เราก็คงไม่ต้องการเช่นนั้น ปราชญ์เมธียังควรสำนึกไว้เสมอว่าเมื่อใดที่ตนคิดอยากจะเป็นคนดี เมื่อใดที่ตนขึ้นชื่อว่าเป็นปราชญ์บัณฑิตแล้ว สิ่งที่ต้องพึงระวังเสมอนั่นก็คือการดำรงชีวิตของตนไม่ว่าขณะใดแม้ว่าจะอันตราย เร่งรีบ เดือดร้อน แต่คุณธรรมความดียังต้องรักษาไว้ ความถูกต้องเที่ยงธรรมยังคงต้องมี แต่ปัจจุบันนี้มนุษย์เรากลับไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เวลารีบร้อนก็ไม่สนใจความถูกต้อง เวลามีอันตรายก็ไม่แยแสความดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ข้างนอกเป็นอย่างไร ใจเราก็เป็นอย่างข้างนอก อย่างนี้ตัวเราพร้อมจะแปรเปลี่ยนไปตามสถานการณ์อยู่ร่ำไปใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นมนุษย์ในโลกจึงเป็นคนที่ยากจะดีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ยากจะเป็นคนดีได้อย่างแท้จริงก็เพราะเราไม่สามารถทำได้อย่างแท้จริง และสถานการณ์ที่บังคับทำให้เราไม่มีเวลา ไม่มีโอกาสทำ และทำให้เราไม่อยากทำ
“ใจงดงามเพราะปราศจากกิเลส อารมณ์เจ็ดในฤทัยไม่โหยหา
พ้นจากการฝึกหนักสู่เมธา เหนื่อยไม่ว่าต้องการสว่างทั่วใจ”
เพราะอะไรเราถึงไม่สามารถที่จะทำความดีได้อย่างแท้จริง (สิ่งรอบข้างไม่อำนวย) แม้สิ่งรอบข้างจะมีปัญหา สิ่งรอบข้างจะไม่เอื้ออำนวย แต่หากเรายังยืนหยัดและมุ่งมั่นในการกระทำก็ย่อมสำเร็จได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วผู้ที่ฝ่าฟันความทุกข์ยากลำบากแม้รอบข้างจะไม่เอื้ออำนวยก็ล้วนสำเร็จเป็นพุทธะโพธิสัตว์ได้ทั้งสิ้น แล้วท่านจะไม่ยินยอมที่จะเดินตามบ้างหรอกหรือ บางครั้งตัวเราก็ต้องให้โอกาสในการเอื้ออำนวยด้วยเหมือนกัน
วันนี้คิดว่าการฟังเป็นสิ่งที่ดี หากเราเอื้ออำนวยในการฟังบ่อยๆ เราก็คงได้ความดีไปบ่อยๆ เหมือนกันใช่หรือไม่ (มีอุปสรรคมาคอยขัดขวาง จนทำให้เราไม่สามารถมาบำเพ็ญได้) เพราะคนที่เราจะทำล้วนเป็นคนที่เราไม่ชอบใช่หรือเปล่า เลยทำให้เราทำไม่ลง แต่ถ้าเกิดว่าเราฝ่าฟันได้แล้วเรายอมทำได้ จนสามารถทำให้เขาเปลี่ยนแปลงจิตใจ และเห็นเราเป็นคนที่ดี แล้วเราก็รักเขาได้ ย่อมเป็นสิ่งที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วยิ่งเป็นการเคี่ยวกรำฝึกเราให้รู้จักให้อภัยและมีใจเมตตาใช่หรือเปล่า (ใช่) หรือว่าชีวิตนี้ความดีก็ไม่ทำ ความชั่วขอทำนิดหน่อย (ก็ทำดีมาตลอด) ทำดีมาตลอดแล้วยังคงทำต่อไปและทำให้มากกว่าเดิมได้หรือไม่ นอกจากทำกับคนอื่นแล้วบางครั้งเราต้องทำกับตัวเองด้วย นั่นก็คือการปล่อยวางบ้างใช่หรือไม่ (เพราะเราไม่เข้มแข็ง) หรือพูดง่ายๆ ก็คือเราไม่สามารถชนะจิตใจของตนเองได้ ความดีจึงยากบังเกิด แล้วต่อไปนี้จะเอาชนะใจตนเองได้ไหม (ได้) เพราะว่าถ้าชนะตนเองไม่ได้ แล้วจะเอาชนะใครในโลกนี้ใช่ไหม (เพราะว่ากายกับใจเราต้องอยู่คู่กันตลอด ถ้าใจเราอยากทำความดี แต่กายเราไม่อำนวย เราก็ไม่สามารถทำได้) แปลว่าใจอยากทำแต่กายไม่ยอมเดินใช่หรือไม่ เช่นนี้แล้วก็คงไม่โทษสภาวะแวดล้อม แต่ตอนนี้กำลังโทษตัวเอง แล้วตอนนี้กายของท่านเป็นนายของใจหรอกหรือ (เพราะว่าเรามีชีวิตอยู่ กายจึงเป็นใหญ่กว่า) กายเป็นใหญ่กว่าใจเสียแล้ว ต่อไปมีชีวิตอยู่ใจต้องเป็นนายของกายไม่ใช่หรือ
เครื่องจักรกลเวลาเดิน เครื่องนอกเดินหรือเครื่องข้างในเดิน เพราะเครื่องข้างในเดิน แล้วมีการส่งพลังให้เครื่องข้างนอกใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นก็คือเราต้องให้อำนาจกับจิตใจ ให้อำนาจจิตใจแล้วจิตใจถึงมีแรงต่อสู้กับร่างกายนี้ (การทำความดีเป็นสิ่งที่ดี ก็คิดว่าจะทำต่อไป) และจะลงมือกระทำให้จริงจังดีหรือไม่ (ดี) (เพราะความหลงในขันธ์ ๕) ติดอยู่ในรูปลักษณ์ใช่หรือไม่ พอเห็นว่าเขาไม่ดี เราก็เลยไม่ทำ พอได้ยินเขาว่าร้าย เราก็เลยไม่อยากทำ เป็นอย่างนั้นใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วต่อไปจะปิดขันธ์ ๕ บ้างดีหรือไม่ ทำไม่รู้ไม่เห็นบ้าง แล้วเห็นเขาเหมือนๆ กัน เป็นคนดีที่เราอยากทำเหมือนกัน ได้หรือเปล่า เพราะจิตใจที่ยิ่งใหญ่ จิตใจที่สามารถโอบอุ้มคนทั่วโลกได้คือจิตใจเฉกเช่นฟ้าและดินใช่หรือไม่ ฟ้าและดินมีคุณสมบัติเด่นที่เราเห็นได้ชัด นั่นก็คือไม่เลือกที่รัก ไม่เลือกที่ชัง ไม่ว่าใครดีไม่ดีก็ทำดีตลอดใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วท่านก็จะมีชื่อและมีจิตใจเฉกเช่นฟ้าดินได้หรือไม่ หรือเป็นเพราะว่าทำดีแล้วไม่ได้รับผลประโยชน์ ทำดีแล้วคนไม่เห็นคุณค่า ทำดีแล้วเขากลับดูถูกเหยียดหยามหาว่าเป็นคนแปลกประหลาด เมื่อไรที่เราทำดีแล้วพยายามมุ่งไปให้ถึงซึ่งความดี นั่นก็คือการบำเพ็ญธรรมใช่หรือไม่ (ใช่) แต่สิ่งที่ทำให้เราไม่สามารถจะมุ่งไปให้ถึงซึ่งความดี มุ่งไปให้ถึงการบำเพ็ญธรรมก็เป็นเพราะว่ารอบข้างไม่เอื้ออำนวยอย่างที่ว่า บางครั้งไม่มีโอกาสที่จะทำ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่หากว่าเราอยู่แต่ในบ้าน แม้จะมีโอกาสเราก็ยากเห็นใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นจะพูดว่าโอกาสไม่เอื้ออำนวยก็ไม่ได้ ก็ต้องดูตามกรณีของแต่ละท่านด้วยว่าเราเปิดโอกาสให้ตัวเรามีโอกาสได้ไปสร้างบุญ เราเปิดโอกาสให้ตัวเองได้มีเวลาไปทำบุญช่วยเหลือคนหรือไม่ ใช่ไหม (ใช่)
การทำดีทุกคนสามารถทำได้ทุกวันทุกเวลา หากทุกวันเราคิดที่จะกระทำ เราก็เริ่มดำเนินรอยตามพุทธะตามปราชญ์เมธีใช่หรือไม่ (ใช่) หากเดินไปเรื่อยๆ แล้วไปถึง เราย่อมสามารถสำเร็จเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์กลับคืนเบื้องบนได้ใช่หรือไม่ (ใช่) หากพูดจนถึงจบฟังดูเหมือนใช้ระยะเวลาสั้น แต่การกระทำเมื่อคิดแล้วเป็นระยะเวลายาวใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะคนทุกคนนั้นจะขึ้นชื่อว่าเป็นคนดีได้ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเขามีความสามารถ หรือเขามีความเก่งทางโลก แต่เขาเป็นคนดีได้เพราะเขาได้กระทำอย่างไม่ย่อท้อ ไม่ท้อถอย และมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงแม้พบความยากลำบากใช่หรือไม่ (ใช่) และแม้คนนั้นจะเป็นคนที่เขาไม่รัก เขาก็ทำได้ นั่นก็คือคนที่มุ่งที่จะเดินทางไปให้ถึงซึ่งความดี ไปให้ถึงซึ่งความเป็นอริยาใช่ไหม (ใช่) แต่อย่างนี้แล้วเราจะนิ่งเฉย เราจะยืนเฉย วันๆ อยู่แต่ในบ้านไม่คิดช่วยเหลือตนเอง ไม่คิดนำความสว่างมาให้กับตนเอง อย่างนั้นก็ไม่ได้ บางครั้งเมื่อมีโอกาส ควรสละเวลาหาเวลาให้กับตนเอง อย่ารอเพียงโอกาสต้องตกมาให้เราทำความดี แต่ตัวเรานั้นต้องเป็นผู้สร้างโอกาสที่จะกระทำดีด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)
หากวันนี้โลกแปดเปื้อนไปด้วยฝุ่นธุลีแห่งความชั่วร้ายและมลทินแห่ง
ความอยุติธรรม เราจะนิ่งเฉยอยู่แต่ในบ้านไม่สนใจได้หรือไม่ (ไม่ได้) ถ้าโลกวุ่นวายโลกเดือดร้อน บ้านของเราก็ย่อมเดือดร้อนไปด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าทุกคนออกจากบ้านช่วยกันล้างฝุ่นแห่งชั่วร้ายและอยุติธรรม ความดีก็ย่อมบังเกิดขึ้นมาได้ และความวุ่นวายในโลกก็คงจะลดน้อยลง ไม่เพิ่มมากขึ้นไปกว่าเดิม ฉะนั้นเราคงไม่นอนคุดคู้อยู่ในบ้าน เราคงไม่เฉยเมยและหันหลังในการกระทำดี ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะการช่วยเหลือคนหนึ่งคน ก็คือการขัดเกลาจิตใจของตนเองอย่างหนึ่งได้ ถ้าไปเจอคนที่เรารักล่ะ เราจะขจัดความรักในตัวเราเช่นไรดี การช่วยคนก็คือช่วยขัดเกลาสิ่งที่ไม่ดีของเรา และเสริมสร้างสิ่งที่ดีของเราให้ยิ่งงอกเงยใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าถูกผู้อื่นโกรธ แต่เราสามารถให้อภัยและเอาชนะความโกรธจนเขาไม่โกรธเราได้ นั่นก็คือเราสามารถเอาชนะความโกรธในจิตใจของผู้อื่นและสามารถข่มความโกรธในจิตใจของเราด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราเจอคนน่ารัก คนดี เราจะทำอย่างไร (ให้เอาความรักที่มีอยู่ไปให้กับทุกคนในโลก) นำความรักที่เขาให้มาเผื่อแผ่ไปให้ต่อคนอื่น ไม่เก็บเอาไว้เป็นของเราคนเดียวใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะหลายครั้งที่เราพบความรัก ความดี ความน่ารัก เรามักจะอดไม่ได้ ขอเก็บไว้คนเดียวไม่คิดจะเผื่อแผ่ให้ใคร แสดงว่าเราไม่สามารถชนะความรักในจิตใจเราได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นพบความรัก ความโชคดี เรามีเวลาเผื่อแผ่แบ่งปันให้กับคนอื่น ความรักก็ยิ่งกว้างไกล แล้วเราก็มีรักที่ยิ่งใหญ่มากกว่ารักที่เขาให้เราใช่หรือไม่ (ใช่) ต้องทำให้ได้ ไม่ใช่พอเจอจริงๆ ก็สั่นผวา ทำอะไรไม่ถูก แล้วก็หมอบอยู่ตรงนั้น ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)
“ทำนุจิตอาภาเห็นค่ำมาสาง ใสสว่างด้วยฝนฝึกนานหนา”
เมื่อฝึกฝนไปนานๆ หมั่นประกอบความดี หมั่นเชื้อเชิญความดีมาอยู่ในตัวเรา สักวันหนึ่งเราย่อมเป็นคนที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้เรายิ้มให้ท่านแล้ว ดูสิท่านจะฝึกการยิ้มให้กับเราหรือเปล่านะ บางคนอยู่ในโลกนี้เป็นคนที่ยิ้มยาก คิ้วมักชนกันทุกวัน วันนี้ฝึกการคลายคิ้วดีหรือไม่ (ดี)
“จนบังเกิดปฏิปทาอันมีค่า” บางครั้งเมื่อเรามุ่งมั่นจะกระทำดีแล้ว เราจะเกิดความตั้งใจที่เป็นปณิธานหรือความมุ่งมั่นโดยไม่รู้ตัวใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกับว่าเราอยากทำดี พอเราทำดีไปเรื่อยๆ เราก็คิดต่อไปว่าทำดีแล้วต้องไปให้ถึงที่สุด ถ้าไปไม่ถึงที่สุด เราจะไม่ยอมหยุดในการกระทำดี นั่นก็คือเกิดปณิธานเกิดความมุ่งมั่นตั้งใจว่าจะต้องทำดีให้ถึงที่สุด ถ้าเกิดทุกขณะเวลาเรากระทำหรือทุกขณะเวลาที่เราดำรงชีวิต เราคิดแต่จะลบล้างกิเลสภายในจิตใจตน แล้วสร้างเสริมความดี นั่นก็คือใช้ความดีมาลบล้างความชั่วร้ายอยู่ทุกวัน ความชั่วร้ายจะสามารถมีอำนาจทำร้ายจิตใจเราได้ไหม (ไม่ได้) แล้วความดีก็ย่อมบังเกิดได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นเมื่ออยู่บนโลกเราต้องนำความดีให้มีอำนาจแรงและเหนือกว่ากิเลสและอารมณ์ ถ้าเมื่อใดที่เราอยู่บนโลกแล้วเรานำกิเลสอารมณ์วางเหนือความดี วางเหนือความถูกต้อง วางเหนือความชอบธรรม สิ่งเหล่านั้นก็ย่อมก่อให้เกิดอันตรายและน่ากลัว เพราะเรานำความไม่ดี อารมณ์ ความรัก ความชอบ วางไว้เหนือคุณธรรมความถูกต้อง เมื่อเกิดขึ้นมาเราก็ต้องแปรปรวนไปตามอารมณ์ แล้วอารมณ์ที่แปรปรวนเป็นสิ่งที่จับได้ ยึดได้หรือไม่ (ไม่ได้) เพราะขึ้นชื่อว่าอารมณ์ย่อมเปลี่ยนแปลงไปไม่สิ้นสุดเหมือนลมที่พัดไปพัดมา ใช่หรือเปล่า (ใช่) ไม่เหมือนคุณธรรม คุณธรรมเป็นความถูกต้องและดีงาม แต่อารมณ์กิเลสเป็นความชั่วร้ายและความมืดมน ใช่ไหม (ใช่)
ทุกคนสามารถเป็นคนดีและเป็นคนที่มีจิตใจดีอยู่แล้ว ปราชญ์โบราณเคยกล่าวไว้ว่า “เราสามารถหาความดี หาจิตใจที่ใฝ่ดีได้จากมนุษย์ ได้จากคน” แล้วถ้าคนเดือดร้อนล่ะ ใครจะช่วยคนได้ ไม่ว่าปราชญ์หรือพุทธะก็ล้วนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า เมื่อคนเดือดร้อนเราก็สามารถหาความช่วยเหลือได้จากคนเหมือนกัน คนเดือดร้อนเมื่อคนไม่เห็นใจคน แล้วใครจะเห็นใจคน จะให้สรรพสัตว์เห็นใจเรา จะให้สรรพสัตว์ช่วยเหลือเราหรือ ก็แปลกอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่) หากคนไม่ช่วยคนแล้วใครจะช่วยคน หากคนไม่รักซึ่งความดีแล้วโลกนี้จะอยู่ได้หรือ (ไม่ได้)
แม้มนุษย์จะเกิดมาแตกต่างกัน แต่ก็มีจิตใจพื้นฐานเหมือนกัน นั่นก็คือรักความถูกต้องรักความเที่ยงธรรม จะต่างกันก็ตรงปริมาณ บางคนน้อย บางคนมาก บางคนตอนนี้มี บางคนตอนนี้ไม่มีใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นเมื่อเรารู้ว่าเรามีแล้วตอนนี้เราได้ใช้สิ่งที่มีอยู่ได้อย่างถูกต้อง หรือได้นำพาไปสู่ความใสสว่างหรือนำพาไปสู่ความมืดมนกัน ก็ล้วนแต่นำพาไปสู่ความมืดมนและความอับจนของชีวิตทั้งนั้นใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้ดี พรุ่งนี้ร้าย แต่บ่อยครั้งร้ายมักข่มดีได้เสมอ ไม่เคยได้สว่างในความดีสักทีใช่หรือไม่ (ใช่)
ฟ้าได้ประทานชีวิตจิตใจและความคิดอันบริสุทธิ์ให้แก่เรามาแต่ดั้งแต่เดิม แต่ปัจจุบันนี้เราได้ใช้ชีวิต จิตใจ ความคิด ร่างกายไปในทางเสื่อมถอย ไปในทางมืดมน ไปในทางอับจนและไร้คุณค่าอย่างมากจนไม่สามารถกลับคืนสู่จิตใจ ความคิดหรือลักษณะอันดีงามเหมือนเดิมได้ นั่นก็คือเราใช้สิ่งที่มีอยู่ไปในทางที่ไม่ถูก อย่างเช่น ความคิดที่แต่เดิมใสบริสุทธิ์ แต่ตอนนี้ยากใสบริสุทธิ์ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) จิตใจที่แต่ก่อนเคยดีงาม ไม่ได้แปดเปื้อนไปด้วยฝุ่นกิเลส แต่ตอนนี้เปื้อนไปด้วยฝุ่นที่ไม่เคยชะล้างเลยสักวันหนึ่ง ผัดวันแล้ววันเล่าไม่เคยแก้ไขใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเพราะอะไรเราถึงใช้สิ่งที่มีอยู่ไปในทางที่ไม่ถูก (เพราะความเห็นแก่ตัว) เมื่อไรที่ตนสามารถเห็นตนได้อย่างแท้จริง คนๆ นั้นก็สามารถนำตนไปสู่ความสว่างได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นต้องนำไปให้ตลอดรอดฝั่งดีหรือเปล่า (ดี)

วันนี้เราไม่ได้คุยกันเรื่องยากเลย เราคุยกันแต่เรื่องง่ายๆ ที่ต้องทำแต่ไม่ยอมทำ ที่ทำได้แต่บอกว่าทำไม่สำเร็จใช่ไหม (ใช่)

“ใจมิเอียงอันตรายกล้ากล้ำกรายฤๅ” หากเราเป็นคนเที่ยงตรง เวลาเราจะทำอะไรก็ยากที่จะผิดพลาด หากเราเป็นคนเที่ยงธรรม เวลาจะทำอะไรก็ยากที่จะผิดทำนองคลองธรรม ผิดกับหลักธรรมใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการทำดีอีกข้อหนึ่งที่ควรจะตระหนักไว้ก็คือต้องมีใจที่ไม่ลำเอียง เวลาเราได้รับผลประโยชน์มาหนึ่งอย่าง ถึงคราวที่เราต้องแบ่งเรามักจะเอนเอียงตาชั่งใช่หรือเปล่า (ใช่) เวลาเราได้รับคำชม แต่เราไม่ได้ทำงานนั้นคนเดียว เราทำร่วมกับคนอื่น เรามักจะยิ้มใหญ่ โดยลืมบอกไปว่าคนอื่นก็ช่วยทำด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเรามีโอกาสได้รับประโยชน์เราก็ฉวยเต็มที่ โดยที่ไม่สนใจคนอื่น เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า (ไม่เป็น) นั่นก็คือต้องพยายามรักษาความเที่ยงตรง และเที่ยงธรรมให้ได้อย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง แล้วอันตรายก็ยากจะบังเกิดแก่เรา แล้วความเป็นมิตรก็จะมาสู่เราใช่หรือไม่ (ใช่) หากเราเที่ยงธรรมมีหรือที่คนข้างนอกจะไม่รักเรา จะไม่คิดมาหาเราใช่หรือไม่ โดยที่ไม่สนใจคนอื่นเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า (ไม่เป็น) นั่นก็คือต้องพยายามรักษาความเที่ยงตรงและเที่ยงธรรมให้บริสุทธิ์ผุดผ่องแล้วอันตรายก็ยากจะบังเกิดแก่เรา และความเป็นมิตรก็จะมาสู่เราใช่หรือไม่ (ใช่) หากเราเที่ยงธรรมมีหรือคนรอบข้างจะไม่รักเรา จะไม่คิดมาหาเรา แต่ถ้าเราไม่เที่ยงธรรม บางครั้งดูแค่สีหน้าก็เดาออกแล้วว่าเขาโกงเราหรือไม่โกง แต่เดี๋ยวนี้มนุษย์ช่างเก่งเหลือเกินปั้นหน้าหลอกลวงได้เก่งใช่หรือไม่ (ใช่) จงจำคำนี้ไว้ “แม้หลอกคนอื่นได้แต่หลอกฟ้าดินไม่ได้” (จิตใจและอารมณ์เกิดสับสนจึงทำให้ยากที่จะตัดสินใจ) บ่อยครั้งที่เรามีใจมุ่งมั่นที่จะกระทำดี แต่หลายครั้งที่เราตัดสินใจได้ไม่เต็มที่สักครั้งหนึ่ง มักจะเกิดใจเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือคิดทำ อีกฝ่ายหนึ่งคือไม่อยากทำ เพราะว่าใจเราถูกครอบงำด้วยวัตถุและโลกีย์วิสัยจึงเกิดใจสองฝ่ายใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างที่เราบอกแต่แรก เมื่อเราอยู่บนโลกนี้อย่ายึดติดเฉพาะหู ตา จมูก ลิ้น แต่เราต้องรู้จักว่า เมื่อเรามองเห็นเราต้องรู้จักใช้ปัญญาขบคิด ดังนั้นเราก็ยากที่จะถูกอารมณ์โลกีย์วิสัยหรือวัตถุทางโลกครอบงำจิตใจและนำพาให้เราเดินไปทางที่ผิดใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะปัญญาเรามีมโนธรรมสำนึกอันดีงามซึ่งเป็นพื้นฐานของคุณธรรมซึ่งเป็นคุณธรรมที่ทุกคนมีอยู่ ไม่ว่าคนผิวขาวหรือคนผิวดำล้วนมีสิ่งนี้อยู่ แต่อยู่ที่ว่าจะใช้ปัญญาขบคิดแล้วนำมโนธรรมนั้นมาตัดสินด้วยหรือเปล่า บ่อยครั้งที่เราเจอปัญหา เจอสิ่งที่เราอยากได้ เรามักจะปล่อยให้อารมณ์และวัตถุหรือโลกีย์วิสัยครอบงำจนลืมขบคิด ลืมใช้ปัญญาลืมใช้มโนธรรมสำนึกอันดีงามตรวจสอบว่าควรทำหรือไม่ควรทำ บ่อยครั้งเราเห็นก้อนกรวดดินทรายหรือชื่อที่ไร้รูปมีค่ากว่าชีวิตของตัวเอง
รู้ไหมว่าก้อนกรวดหรือหินดินทรายที่เราพูดนี้คืออะไรบ้าง (เพชรพลอย) นอกจากเพชรพลอยแล้วมีอะไรอีก บางครั้งเรายอมแลกชีวิตของเราเพื่อให้ได้มาซึ่งก้อนกรวดดินทราย หรือกระดาษแผ่นหนึ่ง แล้วอย่างนี้เรารักชีวิตหรือทำลายชีวิตกัน (ทำลายชีวิต) ทำลายชีวิตโดยไม่รู้ตัว ทำลายความดีโดยไม่รู้ตน ก้อนกรวดดินทรายก็คืออะไรบ้าง (ตึกพันล้าน) ตึกพันล้านที่ก่อตัวออกมาใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วกระดาษแผ่นหนึ่งล่ะคืออะไร (เงิน) กระดาษที่เราเฝ้าจับจองหวงแหนกันนักหนา (ทรัพย์สินและเงินทอง,โฉนดที่ดิน) โฉนดที่ดินหรือใบเอกสารแสดงตำแหน่งหน้าที่ของเราในบริษัท หรือนามบัตรที่มีชื่อของเราใช่หรือไม่ (ใช่) จนบางครั้งเรามีเรื่องเพราะพยายามรักษาชื่อเสียงในนามบัตรนั้นใช่หรือไม่ (ใช่) ทำให้เราหลงลืมว่าเราต้องรักษาชีวิตมากกว่ารักษาก้อนกรวดดินทราย กระดาษแผ่นหนึ่ง ชื่อที่ไร้รูปลักษณ์ หรือตัวตนที่ไร้ตัวตนใช่หรือไม่ (ใช่)
เข้าใจคำว่า “ตัวตนที่ไร้ตัวตน” ไหม ตัวตนที่ไร้ตัวตนคือตัวตนที่หาตัวตนเป็นแก่นสารไม่ได้ แล้วตัวท่านนี้เป็นตัวตนที่หาแก่นสารได้หรือไม่ ต้องหาให้ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) ตนที่แท้จริงนั้นก็คือจิตใจอันดีงามที่ใฝ่สร้างสรรค์ตนเอง ใฝ่ช่วยเหลือคนอื่น แต่ตัวตนที่ไม่แท้จริงอีกอย่างหนึ่ง ที่เราหมายถึงนั่นคือกายเนื้อที่เปลี่ยนรูปหาแก่นสารไม่ได้ นั่นก็คือของที่ไม่มีตัวตนที่แท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)
กายนี้เมื่อถึงร้อยปีเปลี่ยนไหม (เปลี่ยน) แล้วเมื่อเปลี่ยนได้เรื่อยๆ อย่างนี้จะหาแก่นสารได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นการบำเพ็ญเราจึงต้องดูว่าอะไรมีค่ามากกว่า อะไรพึงรักษาไว้อย่างหนัก อะไรพึงรักษาไว้อย่างเบา เข้าใจไหม (เข้าใจ) จึงมีสำนวนที่ใช้บ่อยๆ เมื่อยามบำเพ็ญธรรมนั่นก็คือ “ยืมกายปลอมบำเพ็ญของจริง” ยืมตัวตนนี้บำเพ็ญตัวตนที่ดูเหมือนไม่มีตัวตน สร้างชื่อโดยที่ตนเองยังมีชื่ออยู่ แต่การสร้างชื่อที่แท้จริงก็คือการสร้างชื่อที่สามารถอยู่คู่ฟ้าและดิน ถึงจะเป็นการสร้างชื่อที่แท้จริง ไม่ใช่เป็นการสร้างชื่อที่ตั้งขึ้นมาเป็นชื่อแล้วก็ออกมาเป็นนามบัตรใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วก็ยึดติดผิดๆ
เมื่อไรที่ตนเองไม่เคารพตนเอง คนอื่นก็ยากที่จะเคารพเรา แล้วถ้าเมื่อไรที่เราดำเนินชีวิตโดยที่ไม่มีคนเคารพเรา แสดงว่าเราต้องพึงตรวจสอบตนเองได้แล้วว่าเราทำตนเองให้ไม่เป็นที่น่าเคารพใช่หรือไม่ (ใช่) บ้านเมืองเกิดความแตกแยก เกิดความวุ่นวายเพราะคนในประเทศไม่รักกัน จิตใจเราวุ่นวายสับสนเป็นเพราะว่าใจเราแบ่งออกไปไม่สามารถรวมเป็นหนึ่งได้ ฉะนั้นการอยู่บนโลกนี้ ทำไมเขาไม่รักเรา ทำไมเขาไม่เคารพเรา ต้องถามและมองกลับมาที่ตัวเองด้วยว่าเราทำตัวให้น่าเคารพหรือเปล่า เราทำตัวให้น่ารักหรือเปล่า ฉะนั้นหากหวังหรือต้องการสิ่งใดจากคนอื่นก็อย่าลืมสร้างสิ่งนั้นจากตนเองเสียก่อน
“ชอบแก่งแย่งยินบารมีมิสาดส่อง ทะเลาะแย้งหยุดครรลองฟ้าไร้ชื่อ” คนที่ชอบแก่งแย่งจะมีบารมีอันร่มเย็นไหม (ไม่มี) แล้วคนที่ชอบทะเลาะเบาะแว้ง เขาสามารถเดินได้อย่างถูกครรลองคลองธรรมหรือไม่ (ไม่) เพราะยึดความคิดของตนเป็นหลัก ไม่สนใจเหตุผลและความถูกต้องของครรลองคลองธรรมใช่หรือไม่ (ใช่) ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองได้ในสิ่งที่ตนต้องการ แม้ว่าสิ่งนั้นจะไม่ถูกต้องตามหลักทำนองคลองธรรม แม้ว่าสิ่งนั้นจะทำให้เราขาดซึ่งบารมีแห่งคุณธรรม ก็ยอมทำได้แม้ว่าจะทะเลาะกับผู้อื่นหรือแก่งแย่งกับผู้อื่น
"เริ่มตรองดูดอกไม้สวยงามไม่อยู่เนิ่นนาน"
ชีวิตวันนี้เราว่าสวยดีผุดผ่อง เรามีพละกำลังแต่ต่อไปอาจจะไร้เรี่ยวแรง อาจจะไร้กำลังโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้แจกผ้าเช็ดหน้าให้กับนักเรียนในชั้น)
วันนี้คนที่ส่งผ้าเช็ดหน้าให้ท่านเป็นคนรุ่นไหน (รุ่นน้อง) เมื่อเช็ดหน้าแล้วต้องเปลี่ยนแปลงจิตใจ ต้องเปลี่ยนแปลงใบหน้าให้ดูใสเหมือนกับที่เขาส่งให้ดีหรือเปล่า (ดี) เพราะคนที่ส่งให้ท่านคือเด็ก ใช่หรือไม่ (ใช่) แปลว่าผ้าที่รับแล้วเช็ดแล้ว ต้องกลับคืนสู่ความเป็นเด็กได้ แต่เป็นเด็กที่รู้ตื่นแล้ว และเข้าใจต่อโลก พร้อมที่จะเผชิญความเป็นจริงของโลกด้วยความเที่ยงธรรมและยุติธรรม ไม่ย่อท้อ ไม่ท้อถอยแม้ความทุกข์ยากลำบาก
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาลงไปส่งเสริมผู้ร่วมฟังที่อยู่ชั้นล่าง)
การดำเนินชีวิตหลังจากฟังธรรมะแล้วได้นำหลักธรรมไปใช้ มีอะไรเปลี่ยนแปลง ที่ดีกว่าเดิมไหม หรือไม่ก้าวหน้า ไม่เคยค้นพบความสว่างไสวแห่งจิตใจสักที่ ก้าวหน้าหรือถอยหลัง (ก้าวหน้า) จุดประสงค์ของผู้บำเพ็ญธรรม ก็คือลดทอนความอยากเรื่องทางโลกไม่ฟุ้งเฟ้อ และสามารถมีใจเผื่อแผ่ผู้คนได้ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อมีคนมาชี้แนะตักเตือน เราต้องพินิจพิจารณาตรวจสอบดูว่า สิ่งที่ตนเองผิดนั้นเป็นจริงอย่างที่เขากล่าวหรือไม่ ถ้าเป็นความดีก็พึงรักษาและกระทำ ส่วนความไม่ดีที่มีอยู่ในจิตใจนั้นถ้าเรามองคนเดียวก็ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนทั้งหมด ไม่เท่ากับมีผู้อื่นมาช่วยมองหรือมีกระจกมาช่วยส่อง จะทำให้เราสามารถมองเห็นได้ชัดเจน
บ่อยครั้งที่เรารู้นิสัยของผู้อื่นได้ดีกว่ารู้นิสัยของตัวเอง ฉะนั้นเมื่อใดสามารถเห็นนิสัยของคนอื่นได้ดี เวลาคนอื่นตักเตือนเรา ให้คำชี้แนะว่ากล่าวเรา เราก็ต้องนำไปคิดพินิจพิจารณาด้วย อย่ายึดมั่นกับความคิดของตนเอง ไม่เช่นนั้นจะมองเห็นสิ่งผิดและข้อผิดพลาดของตนเองได้ไม่เต็มที่ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเมื่อรู้แล้วว่าเป็นสิ่งที่ผิดและยังมีอยู่ในตัว เราต้องเร่งรีบแก้ไข อย่าผัดวัน อย่าเหนื่อยหน่าย อย่าท้อถอยดีหรือไม่ (ดี) ความดีขอให้รักษาและกระทำอยู่ทุกวัน ความชั่วร้ายก็หมั่นชะล้างและขัดเกลา แล้วอย่างนี้จิตใจจะไม่บริสุทธิ์ได้อย่างไร แต่เพราะอะไรเมื่อเรามาบำเพ็ญธรรมแล้วเรายากจะเผชิญสู้กับความเป็นจริง เมื่อสู้แล้วต้องรับให้ได้ เมื่อรับแล้วต้องเดินต่อไปให้ได้ใช่ไหม (ใช่) เมื่อบำเพ็ญธรรมต้องพร้อมที่จะสู้และเผชิญความเป็นจริง โลกนี้เราไม่สามารถหลบหนีความเป็นจริงได้ เราต้องรู้ความเป็นจริงของโลกนี้ซึ่งมีอยู่ไม่กี่อย่าง ถ้าเราสามารถสู้ได้ อดทนได้ ฟันฝ่าได้ เรานั่นเองคือผู้ชนะ และก็คือผู้ประเสริฐที่สามารถดำรงชีวิตอยู่บนโลกนี้ โดยไม่ติดฝุ่นหรือธุลีกิเลสของโลกนี้ คือแม้เท้าจะเหยียบพื้นแต่ใจไม่สกปรกใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วทำได้ไหม (ได้) คงทำได้ไม่มากก็น้อยใช่หรือไม่(ใช่) แม้จะเดินบ้างถอยบ้างแต่คงไม่ถึงกับถอยจนไม่ยอมเดิน

เมื่อคิดจะบำเพ็ญธรรมและคิดว่าการบำเพ็ญธรรมคือสิ่งที่ดี สามารถนำพาชีวิตไปสู่แสงสว่างก็ขอให้มุ่งมั่นไปให้ถึง และยึดกุมให้ได้ อย่ายึดกุมเพียงแค่เปลือกนอก เรื่องราวในโลกนี้อย่าใช้เพียงตาตัดสิน อย่าใช้เพียงหูได้ยินแต่ต้องใช้ปัญญาคิดพินิจพิเคราะห์ด้วย เพราะหลายครั้งที่เราไม่สามารถวัดค่าของคนๆ หนึ่ง ว่าเป็นคนดีที่แท้จริงได้เพียงแค่มองเปลือกนอกใช่ไหม (ใช่) คุณธรรมก็เฉกเช่นเดียวกัน เราอย่ามองว่าดีเท่านั้น แต่ต้องได้แก่นของความดีและนำหลักของความดีไปน้อมนำชีวิต น้อมนำจิตใจของเรา แล้วนำพาชีวิตของเราไปสู่ความสว่างให้จงได้ ถ้าทำได้ท่านจะได้พบพุทธะ ท่านจะได้พบดวงจิตอันสว่างไสวที่อยู่ในตัวทุกคน เมื่อใดที่ท่านสามารถค้นพบดวงจิตอันสว่างไสวในตัวตนเองได้ เมื่อนั้นท่านก็สามารถกลับคืนเบื้องบนได้ เมื่อไรที่สามารถวางใจให้ตรง เบา ใส บริสุทธิ์ ท่านก็สามารถคืนฟ้าได้ง่ายๆ เข้าใจไหม (เข้าใจ) แต่เมื่อช่วยตนเองให้รอดพ้นแล้ว อย่าทอดทิ้งคนอื่น เพราะเราอยู่ร่วมกันในสังคม หากคนไม่รักคนแล้วใครจะรักคน ใช่ไหม (ใช่)
ขอให้มีจิตใจที่เข้มแข็งต่อสู้บำเพ็ญธรรมอย่างไม่ย่อท้อ วันนี้มาฟังวันแรกอาจจะยังไม่เข้าใจ อาจจะคิดว่ามาล้อเล่นหรือเล่นละคร การมองอะไรมองแค่เปลือกนอกยากที่จะพบแก่น ผู้ที่ติดเปลือกนอกย่อมไม่มีวันได้เห็นแก่นแท้ ขอให้จำให้ดีๆ ถ้าใจว่างจากคุณธรรมสักนิดหนึ่ง ความชั่วร้ายย่อมเข้ามาแทนที่ ใครรู้สึกท้อแท้บ้างเวลาบำเพ็ญธรรม ใครรู้สึกว่าตัวเองล้มแล้วลุกไม่ได้บ้าง บางครั้งเวลาท้อแท้ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น ขอให้ถามตัวเองด้วยว่าเราไม่ยอมลุกขึ้นจากการล้มหรือเปล่า บางครั้งเราท้อแท้เราเหนื่อยหน่ายเป็นเพราะเราสร้างกำแพงให้ตัวเราเกิดความรู้สึกเช่นนั้นหรือไม่ เมื่อใดที่เราท้อแท้ เมื่อใดที่เราเกิดความเหนื่อยหน่ายขอให้เราเปิดใจให้กว้างๆ ขอให้มองคนรอบข้างให้มากๆ บางครั้งเราจะได้กำลังใจโดยไม่รู้ตัวใช่ไหม (ใช่)
ดอกไม้ผลัดกันชมได้ไหม คงไม่เหี่ยวเฉาในจิตใจใช่หรือเปล่า แม้ดอกไม้จะเหี่ยวเฉาแต่ในจิตใจก็เบ่งบานเหมือนดอกไม้ใช่หรือไม่ (ใช่) ใครท้อใครหมดกำลังใจก็มาดูดอกไม้ในตระกร้านี้ดีไหม ถึงแม้เราจะกลับไปแล้วเราก็จะทิ้งดอกไม้ไว้ที่นี่ เพื่อเป็นกำลังใจและปลอบขวัญทุกคน
ทุกอย่างในโลกนี้ความทุกข์หรือความสุขล้วนเกิดจากตนเองเป็นคนสร้าง แม้คนอื่นจะพยายามให้ท่านมีความสุขแต่ถ้าใจท่านไม่สุขทำอย่างไรก็ไม่สุขใช่หรือไม่ (ใช่) แม้ทุกคนจะทำให้ท่านทุกข์ แต่ถ้าใจท่านปลงได้ซึ่งความทุกข์ท่านก็ไม่มีวันทุกข์ หากใจเรายังพะวงติดอยู่กับโลกแม้มาทางธรรมก็ฟังไม่รู้เรื่อง หากใจยังพะวงติดอยู่กับกระดาษใบเดียว แม้มาอยู่ตรงนี้ก็ฟังอะไรได้ไม่เข้าใจ หากตนเองปล่อยแล้วแต่ปล่อยได้ไม่จริงสักวันหนึ่งก็ต้องหวนกลับไปที่เดิม แม้วันนี้ได้กำลังใจแต่ถ้าใจของตนเองไม่สลัดให้ได้เสียจริงๆ ก็ได้เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้นเองแต่ไม่ตลอดรอดฝั่ง คนที่จะสร้างกำลังใจ คนที่จะทำให้ท่านมีความสุข คนที่จะทำให้ท่านมาถึงธรรมแล้วเข้าถึงแก่นแท้แห่งธรรมได้ก็คือตัวท่านเองขอให้เข้าใจให้ดีๆ บางครั้งควรลืมหรือสลัดความคิด ความรู้ออกไปบ้าง อย่าได้ถมอยู่ในใจจนมากเกินไป ใจนี้ถ้าหนักแน่นไปด้วยเรื่องของโลกก็ยากที่จะใส ยากที่จะบริสุทธิ์ได้ ยากที่จะหาความสงบและสันติสุขแห่งจิตใจได้
ทุกคนคงมีเรื่องราวที่ยากจะพูด ยากจะเอื้อนเอ่ยมากมาย แต่ถ้าจำสิ่งที่เราพูดเมื่อสักครู่ได้ก็คงจะมีประโยชน์ไม่น้อยใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่มีใครทำให้ท่านทุกข์หรือสุขได้ถ้าท่านรู้จักวางตัวเองให้ถูกต้อง วางตัวเองให้ถูกทางใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งเราก็ไม่แน่ใจว่ามาแล้วทำให้ท่านเกิดความอยากหรือมาแล้วจะทำให้ท่านดับความอยากกันแน่ เวลาเป็นผู้บำเพ็ญธรรมแล้วอย่าใช้เพียงคำพูดอย่างเดียว แต่ทั้งคำพูดและการกระทำต้องสอดคล้องกัน ไม่ใช่พูดได้แต่ทำไม่ได้ ฉะนั้นถ้าหากว่ากลัวทำไม่ได้ก็อย่าเพิ่งพูดจะดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะอันตรายที่เกิดขึ้นมักเกิดจากปากของเราง่ายกว่าการกระทำใช่ไหม บางครั้งความรู้ความสามารถ ความภาคภูมิใจ ความมีชื่อเสียงก็ไม่สามารถนำพาตนเองให้มีความสุขได้ตลอดชีวิตหรอกนะ ไม่เหมือนคุณธรรมและความดีใช่ไหม (ใช่)
(ผู้ร่วมฟังร่วมกันขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา)
ไม่เป็นไรหรอกนะ เพราะเราก็ต่างกันแค่เพียงรูปกายภายนอก แต่จริงๆ แล้วเราต่างมีพุทธจิตเหมือนกัน ขอเพียงเปิดใจให้กว้าง อย่าได้คิดว่าเรามาลวงหลอกเลยเท่านี้ก็พอ
(นักเรียนในชั้นร่วมกันแต่งชื่อเพลงพระโอวาท สิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงให้นักเรียนในชั้นยกมือเพื่อที่จะเลือก)
ได้ชื่อเพลงว่า “อย่าเสียเวลา” มาวันนี้ก็อย่าให้เสียเปล่า ต้องได้ความดีหรือหลักธรรมกลับไปด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาสอนนักเรียนในชั้นร้องเพลง)
วันนี้อาจจะยังร้องไม่คล่อง แต่ถ้าทุกวันหมั่นฝึกฝนย่อมคล่องแคล่ว วันนี้อาจจะไม่ได้ แต่ถ้าทุกวันหมั่นฝึกหมั่นทำก็ย่อมจะได้ วันนี้แม้ว่าความดีจะยังไม่อยู่คู่กาย แต่ถ้าต่อไปหมั่นฝึกฝนบำเพ็ญตน ไม่ช้าความดีก็สถิตมาอยู่กับตัวเรา ทุกคนต่างมีความดีอยู่แล้ว ขอให้เปิดโอกาสให้ตนเองได้สร้างความดีของตนเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แล้วตัวท่านเองจะสามารถค้นพบความดีอันยิ่งใหญ่ที่อยู่ในตัวเอง เมื่อเราพบความดีอันยิ่งใหญ่ในตัวเองแล้วรู้จักเผื่อแผ่ฉุดช่วยคน เราก็สามารถดำเนินชีวิตเฉกเช่นพระพุทธะหรือโพธิสัตว์ได้ อย่ามองข้ามความดี ปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่าเมื่อใดที่ใจท่านบอกว่าไม่ควรทำก็อย่าทำ เมื่อไรที่ใจท่านบอกว่าไม่ควรปรารถนาก็ไม่ควรปรารถนา หากทุกครั้งเวลาจะทำอะไรใจคิดว่าไม่น่าจะทำก็ควรจะใช้ปัญญาคิดก่อนที่จะลงมือกระทำ เพราะเมื่อใดที่ใจเราคิดว่าไม่แน่ใจก็แปลว่าเริ่มจะไม่ถูกต้องใช่หรือไม่ (ใช่) แม้ความดีจะเติบโตเงียบๆ แต่ขึ้นชื่อว่าความชั่วร้ายแล้ว สูญหายนานช้า อย่าได้ติดยึดรูปลักษณ์หรือสิ่งของภายนอกจนลืมแก่นแท้ความเป็นจริงของตนเองภายใน อย่ามองข้ามดูของที่ไม่มีประโยชน์แต่จริงๆ แล้วอาจจะมีประโยชน์ใช่หรือเปล่า (ใช่) บางครั้งต้องปล่อยวางบ้างถ้าเกิดว่าเราเป็นคนชอบยึดติดรูปลักษณ์ บางครั้งต้องรู้จักยึดบ้างถ้าเราเป็นคนที่ไม่เคยเห็นคุณค่าของสิ่งใดเลย หลักธรรมบางครั้งต้องรู้จักพลิกแพลง อย่ายึดตายตัว อย่ายึดมั่นถือมั่นจนเกินไป หรือแม้กระทั่งคำพูดของเรา วันนี้ว่าเป็นหลักธรรม แต่ถ้าต่อไปคนชั่วร้ายนำไปใช้ หลักธรรมนี้อาจจะคุ้มครองคนชั่วร้ายก็เป็นได้ใช่ไหม ถึงแม้ว่าจะเป็นหลักธรรมที่แท้จริงก็ขึ้นอยู่กับคนที่นำไปใช้เหมือนกัน ถ้าเป็นคนมีหลักธรรมนำหลักธรรมไปคุ้มครองตนก็สามารถจะอยู่รอดปลอดภัยและหลบหลีกอันตรายได้ แต่ถ้าคนดีไม่รู้จักนำหลักธรรมไปใช้ก็ย่อมเป็นอันตรายและยากที่จะอยู่รอดปลอดภัยได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการอยู่บนโลกนี้ต้องรู้จักตามให้ทัน อยู่ให้เหนือกิเลสและอารมณ์ของโลกนี้
วันนี้ก็คงจบแค่นี้ เมื่อมีโอกาสอีกขอให้รักษาโอกาสให้ดี วันนี้การประชุมจัดขึ้น ๓ วัน หากสามารถมาได้ครบก็ขอให้มา แต่ถ้ามีธุระจริงๆ ไม่สามารถมาได้ ต่อไปก็ขอมาให้จบให้ครบดีหรือไม่ (ดี)
วันนี้เรามาไม่ต้องการให้ท่านยกย่องเชิดชูหรือนับถือเรา แต่เรามาเพื่อให้ท่านรู้จักใช้ชีวิตให้เป็น และนำพาชีวิตไปให้ถูกทาง และอยากจะยืนยันอีกอย่างหนึ่งว่ายุคนี้เป็นยุคโปรดเวไนยและบำเพ็ญฝึกฝนตนในครัวเรือน ก็คือไม่ว่าชายหรือหญิงก็สามารถบำเพ็ญกลับคืนเบื้องฟ้าได้เหมือนกัน แล้วบำเพ็ญอยู่ที่บ้านเมื่อมีโอกาสก็ช่วยเหลือคน มีโอกาสก็รู้จักหมั่นขัดเกลาตน การบำเพ็ญตนท่ามกลางฝุ่นธุลี หากท่ามกลางฝุ่นธุลีเราสามารถบริสุทธิ์ได้ สามารถเป็นพุทธะที่แท้จริงได้ย่อมประเสริฐใช่หรือไม่ (ใช่) ย่อมเป็นการขัดเกลาที่เห็นได้ชัดว่าทนได้หรือทนไม่ได้ เป็นคนจริงหรือเป็นพุทธะปลอมใช่หรือไม่ (ใช่) ขอให้รักษาโอกาสนี้ให้ดี มีโอกาสรับธรรมะไปแล้วขอให้ศึกษาทำความเข้าใจให้ดี ไม่ใช่มีแต่ความหลงงมงายโดยที่ไม่มีความเข้าใจ ธรรมะนี้ก็มิต้องการเช่นนั้น เมื่อใดที่ยังมีการแจกแจงรายละเอียดให้ท่านฟังก็หมายความว่าธรรมะยังเปิดโอกาสให้ท่านศึกษาพินิจพิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้วนำไปใช้ให้จงได้

มีพบก็ต้องมีพรากเป็นสัจธรรม วันนี้เราคงรักษาบุญโอกาสเพียงเท่านี้ แต่วันต่อไปท่านจะมีโอกาสและเปิดโอกาสให้กับตัวเองได้มีบุญสัมพันธ์ ได้มีโอกาสศึกษาธรรมะอยู่หรือเปล่าก็ถามใจท่าน เราคงไม่เรียกร้องอะไรมากกว่านี้ ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี ขอให้พยายามศึกษาอย่างเต็มที่และตั้งใจลงแรงอย่างแท้จริง คงไม่ยากเกินไปที่จะกระทำใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตก็อยู่ในมือตัวเรา เราจะเลือกทางเดินใดให้กับชีวิต หากวันนี้มีทางหนึ่งที่สามารถกลับคืนเบื้องบนกลับคืนความสว่างและสดใสของชีวิตท่านไม่คิดไม่ไตร่ตรองที่เลือกเดินหรอกหรือ







วันอาทิตย์ที่ ๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑ พุทธสถานหมิงฮุย จ.ลพบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


นาวาธรรมงามพิสุทธิ์ใสสว่าง เชิญศิษย์ย่างเชิญศิษย์เยือนให้บ่อยบ่อย
ดวงใจนี้ขัดขัดเกลาให้เรียงร้อย ดีเล็กน้อยสู่ดีมากนะศิษย์เอย
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงฮุย แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนง่วงนอนหรือเปล่า


ถือเป็นการไตร่ตรองปัญญาถูกฝน หล่อหลอมทองไม้ผลิผลง่ายไฉน
ใจเป็นหนึ่งสร้างงานพุทธะได้ ความนึกคิดใช้อย่างระมัดระวัง
ตื่นรู้อย่างชีวิตที่มัวเมา ค่ำปราบเช้าอกุศลจิตติดฝัง
ถูกกิเลสบาปและกรรมไม่ระวัง ศิษย์อย่างนี้ใจสะท้านเศร้าวิญญา
สติได้ช่วยให้สงบพายดรี สามัคคีกันเร่งบากบั่นญาณมิล้า
ตั้งใจจะเป็นตะวันส่องโลกหล้า รุดช่วยฝ่าทางนี้ช่วยเวไนย
ชนทั่วไปในโลกล้วนลำบาก มีทุกข์ยากมากมายหลายสถาน
เร่งเรียนธรรมนำสู่ทิพย์วิมาน เป็นสถานที่สงบทุกภพภูมิ
ฮา ฮา หยุด
*** บรรทัดที่ขีดเส้นใต้คือพระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันแต่ง





พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


ร้องเพลงอีกรอบดีไหม ถ้าไม่เปิดหนังสือจะร้องเพลงได้ไหม (ไม่ได้) เราจำไม่ได้เปรียบประหนึ่งขาดความคล่องชำนาญ การคล่องชำนาญต้องทำอย่างไร (ทำบ่อยๆ) แล้วการงานจะชำนาญต้องทำอย่างไร (ฝึกบ่อยๆ) การฝึกฝนให้ชำนาญก็ต้องใช้เวลาสั้นหรือยาว (ยาว) อยากจะปฏิบัติกิจระยะยาวนี้หรือเปล่า (อยาก) กิจระยะยาวนี้หมายถึงการบำเพ็ญระยะยาว ตลอดชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)
ทำไมเราจึงต้องบำเพ็ญธรรม (เพื่อให้โลกสันติสุข) ก่อนที่โลกจะสันติสุขได้ตัวศิษย์ต้องสันติสุขก่อน บางทีเราก็คิดเองแล้วเราก็บอกว่าความคิดของเราไม่ถูกต้อง บางทีเรารู้ว่าควรจะทำอย่างนี้แต่เราก็ไม่ทำ จนกระทั่งเกิดความเดือดร้อนขึ้นใช่หรือเปล่า (ใช่) ตัวเราเป็นผู้หาความเหนื่อยยากต่างๆ เข้ามาหาตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
คำว่า “บำเพ็ญ” แปลว่าซ่อมแซม เราต้องซ่อมแซมจิตใจของเราให้เป็นจิตใจที่ถูกต้อง ถูกทำนองคลองธรรม คิดในสิ่งที่ดี ทำในสิ่งที่ดีและพูดในสิ่งที่ดี ทำอย่างนี้จึงเรียกว่าเป็นการปูทางแห่งการบำเพ็ญธรรมที่ถูกต้อง แต่เราทุกคนไม่สามารถคิดดีได้ตลอดเวลาใช่หรือเปล่า (ใช่) เราคิดดีบ้างไม่ดีบ้างปนกันไป ในวินาทีที่เราคิดไม่ดี ถ้าตัวเราตายไปก็จะกลายเป็นวิญญานที่คิดอย่างไร (คิดไม่ดี) เพราะฉะนั้นทุกขณะจิตจึงไม่ควรประมาท คำว่า “ไม่ประมาท” ฟังกันมานาน ตอนนี้ศิษย์ประมาทหรือเปล่า (ประมาท) แสดงว่าเรานั้นยังเป็นคนที่ไม่สมบูรณ์ ถ้าเรากินทิ้งกินขว้างจะเหมือนกับอะไร แม้ว่าเราจะมีร่างกายเป็นคน แต่ว่าการประพฤติปฏิบัติเหมือนไม่ใช่คนใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์ควรจะทำอย่างไร เราอย่าบอกแต่ว่าทำดีอย่างเดียวแต่ดีอย่างไรไม่รู้ กว่าจะออกมาเป็นวงกลมกว่าจะลากเส้นลง กว่าจะลากเส้นขึ้นตรงนี้ทำอย่างไร (ดีตรงที่ทำความดี, ดีตรงที่ไม่ทำให้ตัวเองเป็นที่ลำบากของคนอื่น) บางคนพูดเป็นเขียนไม่เป็น บางคนพูดได้แต่ทำความดีไม่ได้ใช่หรือเปล่า ด.เด็กเขียนอย่างไร การจะวงหัว ด.เด็ก วงอย่างไร กว่าจะลากเส้นขึ้นลงต้องทำอย่างไร ความดีไม่ใช่พูดเป็นแต่ความดี ความดีต้องทำด้วย ต้องเขียนเป็น ต้องพูดเป็น และต้องทำได้ด้วยใช่ไหม (ใช่) มนุษย์สามารถทำความดีได้แต่ทำได้ที่ไหน (ใจ) ทำได้ที่ปากกับใจ เวลาปากกับใจไม่ตรงกันก็ทะเลาะกันเอง ตัวเราทะเลาะกับตัวเราแล้วเป็นอย่างไร
อาจารย์สมมติว่าขาขวาเป็นกาย ขาซ้ายเป็นใจ ขาขวาจะไปแล้วแต่ขาซ้ายไม่ยอมก้าว หรือขาซ้ายไปแล้วแต่ขาขวาไม่ยอมก้าว การทำความดีครั้งนี้จะสำเร็จไหม (ไม่สำเร็จ) บางคนใจดีแต่ไม่ได้กระทำ บางคนพูดดีและใจดีด้วยแต่ในที่สุดแล้วก็ยังไม่ได้ทำดี บางคนพูดจาดีมีธรรมะแต่ในที่สุดก็ยังไม่ได้ลงมือทำ เพราะฉะนั้นความดีจะต้องทำที่ปาก ที่ใจ ที่กาย ทำให้ครบ ๓ อย่าง จึงเรียกว่าความดีที่ได้กระทำออกไป แล้วสิ่งที่ทำออกไปนี้ดีจริงหรือเปล่า บางครั้งทำไปแต่จิตใจเผลอ อยากจะได้ผลตอบแทนนั้นๆ เหมือนกับตักบาตรอยากได้บุญ เวลาที่เราทำเราก็อยากได้ไปต่างๆ นานา เวลาเราช่วยคนเราก็อยากให้คนอื่นช่วยเรา ในที่สุดแล้วเรียกว่า “กรรมดี” กรรมดีต้องมาตอบแทนกันไหม มีกรรมดีและกรรมชั่ว เรารู้แต่ว่ากรรมชั่วห้ามทำ แล้วกรรมดีตอบแทนไหม ตอบแทนเช่นเดียวกัน สรุปว่าไม่ต้องทำทั้งความดีและความชั่วจะได้ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดใช่หรือไม่ แล้วทำอย่างไร (ทำความดีโดยไม่หวังผลตอบแทน) ที่สุดแล้วต้องทำความดีไม่หวังผลตอบแทน ศิษย์ทำได้ไหม เราตักบาตรไปเราคิดอะไร ทำไมพุทธศาสนาจึงสอนให้ตักบาตรแล้วจึงต้องกรวดน้ำ (เผื่อแผ่) เพื่อให้เรานำบุญของเราทั้งหมดเผื่อแผ่ออกไป เหลือแต่จิตใจที่โปร่ง เบาและสบายใจ แล้วทำไมจิตใจของเราจึงเหลือคำว่า “บุญ” ไว้ เราตักบาตรก็คือการทำทาน เราได้บุญตอบแทนกลับมาแล้วเราอุทิศออกไปอีกใช่หรือเปล่า (ใช่) ในที่สุดแล้วไม่สามารถที่จะหมดสิ้น แต่จิตใจของเราจะต้องสิ้นการยึดถือบุญ ถ้าเราไม่ปล่อยวางบุญอันนี้ก็จะกลายเป็นกรรมดีใช่หรือไม่ (ใช่) ในที่สุดกรรมดีต้องตอบแทนเรา เราต้องมาเกิดอีกเพื่อที่จะได้กรรมดีนี้ เพื่อเกิดมาเป็นคนที่มีกิน เป็นคนที่ร่ำรวย เป็นคนที่มีบ้าน เป็นคนที่มีรถใช่หรือเปล่า (ใช่) ตอนนี้พวกเราทุกคนมีไหม (มี) แต่บางคนมีน้อย บางคนมีมากใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วสิ่งเหล่านี้เรายึดติดไหม (ยึดติด) ยึดติดกับอาหารอร่อยๆ ยึดติดกับบ้านสวยๆ ยึดติดกับรถสวยๆ ยึดติดกับหลานสักคน แล้วยึดติดกับเงินทองที่เรามีเป็นกองหรือไม่ (ไม่ยึดติด) ถ้าศิษย์ไม่ยึดติดก็เร่งรีบบำเพ็ญต่อไปจะได้หลุดพ้น แต่ปัญหาสำคัญก็คืออะไร ถ้าบ้านของเราครึ่งหลังหายเข้าไปอยู่ในธนาคารศิษย์จะรู้สึกอย่างไรบ้าง รถสักคันหนึ่งไม่มีจะขับ ไม่มีน้ำมันจะทำอย่างไร ลูกป่วยหลานป่วยเป็นอย่างไร (ทุกข์) แล้วเราบอกว่าไม่ยึดติด ถ้าไม่ยึดติดก็ช่างมันสิ ในที่สุดแล้วใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้บอกว่าตัวเองไม่ยึดติด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผ่านเข้ามาผ่านออกไปมีแต่ความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำไมมีแต่ความทุกข์ล่ะ บอกว่าบ้านก็ไม่ยึด รถก็ไม่ยึด เงินทองก็ไม่ยึด ลูกหลานก็ไม่ยึด สุดท้ายไม่มีสิ่งเหล่านี้ก็บอกว่าทุกข์ใจใช่หรือไม่ (ใช่) จริงๆ แล้วเราหลอกตัวเองว่าเราไม่ได้ยึดติด แต่ที่จริงเรายึดไว้ทั้งนั้นเลย ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเส้นผมสักเส้นหนึ่ง ดวงตาสักคู่หนึ่ง ผิวหนัง ผิวหน้ายึดติดไหม (ยึดติด) ผู้หญิงใส่กำไลๆ นี้ของใคร (ของเรา) ผู้ชายแขวนพระเครื่องๆ นี้ของใคร (ของเรา) ที่บอกว่าตัวเองไม่ยึดติดนั้นยังไม่จริงใช่หรือเปล่า (ใช่) อาจารย์ถึงบอกว่าทำดีทำไปก่อน เสร็จแล้วทำดีได้ดีหรือเปล่า หมายความว่าเราทำดีแล้ว ทำได้งดงาม เพรียบพร้อมสมบูรณ์ ถูกต้องหรือไม่ อย่าเพิ่งไปกังวลใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะที่เราบอกว่าเราไม่ยึดติดนั้น จริงๆ แล้วเราก็ยึดติด นี่คือการถูกกิเลสพัดพาไปใช่หรือไม่ (ใช่) เราไม่รู้เลยว่าเราถูกกิเลสพัดพาไปไกลเท่าไรแล้ว เราทุกคนได้ผ่านสิ่งต่างๆ มามากมายแล้ว ควรหรือไม่ควรที่จะละวางปล่อยวางได้แล้ว (ควร) หากวันนี้ไม่ปล่อยวางแล้ววันไหนจึงจะปล่อย ถามว่าชะตาชีวิตเกิดตายใครรู้ก่อน อะไรที่มาถึงใจให้เราคิดเราต้องเลิกคิด ความทุกข์ความกังวลเป็นเพียงหมอกบางๆ เอามือไปปัดมันทิ้งได้หรือไม่ (ไม่ได้) ถ้าไม่เคยเห็นหมอกบางๆ เคยเห็นควันบุหรี่หรือเปล่า (เคย) สามารถปัดทิ้งไปได้หรือเปล่า (ไม่ได้) ถ้าหมอกบางมากๆ ปัดทิ้งก็จางไปได้ใช่ไหม ถ้าหมอกหนักๆ ปัดทิ้งไม่ได้ ก็พาตัวเองออกมาจากที่นั่นใช่หรือไม่ (ใช่) ถึงบอกว่าสภาวะแวดล้อมมีผลสัมพันธ์ต่อการสร้างนิสัยของเรา ทำไมเราถึงอยากให้ลูกเราไปอยู่ในที่ๆ ดี ไม่อยากให้อยู่ใกล้คนชั่ว ถ้าเราทำไม่ได้ต้องทำอย่างไร เปรียบไปแล้วเราก็เหมือนคนอื่น เรามีลูกก็ไม่อยากให้ลูกอยู่ใกล้คนชั่วใช่หรือไม่ (ใช่) ก็ควรจะรีบพาลูกออกมาจากที่นั่น ตัวเราก็เหมือนกันเรา
เรานั้นมีกิเลสเป็นสภาวะแวดล้อม ถามว่ามานั่งในสถานธรรมทุกข์ เมื่อย และคิดสงสัยไหม (สงสัย) ถึงบอกว่าศิษย์ชอบมาอยู่ในที่ๆ สภาวะแวดล้อมไม่ดี ดั่งโลกมนุษย์ภายนอกที่มีแต่การแก่งแย่งชิงดี หรือว่าจะอยู่ในสถานธรรมอันบริสุทธิ์สะอาด (สถานธรรม) ถามว่าตอนนี้เรามาอยู่ในสถานธรรมแล้ว เราคิดสงสัยใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเขาพูดผิดนิดหน่อยก็ไม่ได้ เราก็บอกว่าเขาพูดผิดแล้ว ว่าคนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี ใจเราเป็นอย่างนี้ตลอดเวลาใช่หรือเปล่า (ใช่) ถึงบอกว่าเรานั้นต้องออกมาจากกระแสสังคม กระแสกิเลสแล้วจะไปสู่ที่ใด ก็คืออาจารย์บอกให้ศิษย์นั้นขยันที่จะมาสถานธรรม สถานธรรมเป็นที่ๆ บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากกิเลสใช่หรือไม่ (ใ่ช่) จะมีหลงเหลือติดมาบ้างก็คือกิเลสที่ติดมากับตัวศิษย์เอง ทุกๆ คนต้องการบำเพ็ญธรรม ต้องการขัดเกลาใช่หรือเปล่า (ใช่) ทุกคนมีผิดบ้างจึงควรอภัยถูกหรือเปล่า (ถูก) เพราะฉะนั้นสถานธรรมเป็นที่ให้ศิษย์นั้นมาประชุมธรรมหรือมากราบไหว้พระบ่อยๆ เพื่อให้หลุดพ้นจากสภาพโลกีย์วิสัย เข้าสู่สภาพแห่งวิมุติอยู่ในที่สงบร่มเย็น เริ่มฝึกตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปด้วยการทำใจให้ใสสว่างใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์มีกิเลสต้องพยายามปัดทิ้ง แต่อย่าปัดไปถูกคนอื่น เวลาที่เราปัดกิเลสนั้น เราต้องปัดทิ้ง ไม่ใช่ปัดไปหาคนอื่นใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วถ้าเราปัดไปหาคนอื่นจะเป็นอย่างไรอยากรู้ไหม (อยากรู้) เวลาศิษย์ของอาจารย์นั้นคิดว่าเขาไม่ดี สมมติว่าคนที่หนึ่งคิดว่าคนที่สองไม่ดีแล้วเขาจะบอกใคร คนที่หนึ่งจะบอกคนที่สองไหมว่าคนที่สองเป็นคนไม่ดี (ไม่บอก) เขาก็ต้องบอกคนอื่นอีกใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วทำให้คนนี้เป็นคนที่คิดไม่ดีไปด้วย แล้วในที่สุดนี้คิดไม่ดี ระหว่างสองคนนี้เรียกว่า"คำนินทา"ถูกหรือเปล่า (ถูก) ในที่สุดแล้วคนที่สามนี้กลายเป็นคนไม่ดีไปแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) ถามว่าคนที่สามเคยรู้จักกับคนที่สองไหม (ไม่เคย) คนที่สามยังไม่เคยรู้จักคนที่สองอย่างจริงๆ แต่พอเราปัดกิเลส กิเลสก็คือความคิดไม่ดีของเรา ปัดแล้วกระเด็นไปถูกคนข้างๆ ในที่สุดแล้วกิเลสก็ลุกลามรวดเร็ว คนสามคนกลายเป็นคนไม่ดีไปหมดเลยถูกหรือเปล่า (ถูก)
ในโลกมนุษย์คนข้างบ้าน คนในครอบครัว ลูกหลานเหลนก็เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาที่เราคิดไม่ดีเราก็ปัดส่ง ในที่สุดแล้วทั้งโลกไม่มีใครดีจริงใช่หรือไม่ (ใช่) จริงๆ แล้วท่ามกลางกระแสโลกีย์ จิตที่หมองมัวก็ยังมีความดีอยู่บ้าง แต่ในที่สุดเมื่อศิษย์ของอาจารย์เห็นคนอื่นไม่ดีแล้ว เขาก็ว่าเราไม่ดี พอเขาว่าหนักๆ เข้าเราก็ประชดด้วยการไปทำไม่ดีเสียเลยใช่หรือไม่ (ใช่) ทำด้วยการประชด หุนหันพลันแล่น เราก็เลยกลายเป็นคนทำไม่ดีไปเลยใช่หรือไม่ (ใช่) วันหนึ่งทำไม่ดีไปหนึ่งกอบ สองวันทำไม่ดีสองกอบ สามวันทำไม่ดีสามกอบ ในที่สุดแล้วภูเขาทั้งลูกก็คืออะไร (กรรม) ภูเขาทั้งลูกก็คือดินที่เราเอาไปกองถูกหรือเปล่า (ถูก) ทำไม่ดีทำง่ายฉะนี้ เพราะฉะนั้นการทำดีจึงเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าใช้วิธีเดียวกัน ศิษย์เอาดินมากองหนึ่งกำ ความดีเอามากองขึ้นไป สองกำความดีกองขึ้นไป ในที่สุดแล้วภูเขาแห่งความดีทั้งกองนี้มาจากไหน (ตัวเราเอง) แม้ว่าความดีทำยากแต่ขอให้กลับไปเริ่มทำให้จริงๆ จังๆ ดีหรือไม่ (ดี) ใครว่าจะกลับไปทำความดีจริงๆ จังๆ ยกมือขึ้นให้สัญญากับคนอื่นเราผิดสัญญาไปเขาไม่รู้ใช่หรือเปล่า (ใช่) ให้สัญญากับตัวเองเราผิดสัญญาไปเรารู้ไหม (รู้) ให้สัญญากับใครไม่เท่าให้สัญญากับตัวเองใช่หรือเปล่า (ใช่) ให้สัญญากับคนอื่นเราผิดสัญญาไปเขาก็ไม่รู้ แต่ให้สัญญากับตัวเองเราผิดสัญญาเรารู้ไหม (รู้) เพราะฉะนั้นเราจึงต้องรักษาสัญญากับตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนบอกว่าสัญญากับคนอื่นน่าจะเป็นเรื่องยาก แต่สัญญากับตัวเองน่าจะเป็นเรื่องง่าย เพราะเวลาตัวเราทำผิดเราก็จะอภัยให้กับตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราสัญญากับตัวเอง เราจะรู้มากที่สุดว่าเรานั้นถูกหรือผิด เพราะฉะนั้นจงรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับตนเองให้ดี
“นาวาธรรมงามพิสุทธิ์ใสสว่าง เชิญศิษย์ย่างเชิญศิษย์เยือนให้บ่อยบ่อย
ดวงใจนี้ขัดขัดเกลาให้เรียงร้อย ดีเล็กน้อยสู่ดีมากนะศิษย์เอย”
“สถานธรรมนี้งามพิสุทธิ์ใสสว่าง เชิญศิษย์ย่างเชิญศิษย์เยือนให้บ่อยๆ” แสดงว่าเรานั้นมาสถานธรรมไม่บ่อยใช่หรือเปล่า (ใช่) นานๆ เขาเชิญทีเราก็ไม่ว่าง ติดธุระ เดี๋ยวก่อนเดี๋ยวค่อยไปใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าวันนี้เรายังสุขภาพแข็งแรงดีอยู่ สามวันต่อมาติดธุระจริงๆ หรือว่าเกิดป่วยไปทำอย่างไร (ไปโรงพยาบาล) ทีนี้ก็ไม่ว่างจริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นอย่าได้โกหกตัวเองดีไหม (ดี)
เก้าอี้นี้เรียกว่าเก้าอี้อะไร (เก้าอี้เซียน) จงนั่งให้งดงามเปรียบประหนึ่งเป็นเซียนเป็นพุทธะ แล้วเราเป็นเซียนหรือยัง (ยัง) เป็นเซียนต้องเป็นอย่างไร เมื่อวานนี้มีโอกาสพบเซียนท่านหนึ่ง เรามัวแต่สงสัยว่านี่ของจริงหรือของปลอม แล้วไม่ได้ถามท่านว่าท่านสำเร็จเป็นเซียนได้อย่างไร ท่านชื่อว่าอะไร (ท่านหลันต้าเซียน)

“ถือเป็นการไตร่ตรองปัญญาถูกฝน”
ฝนนี้คือฝนทั่งให้เป็นเข็ม ตอนนี้อาจารย์กำลังฝนปัญญาของศิษย์ เปรียบประหนึ่งฝนทั่งให้เป็นเข็มยากหรือง่าย (ยาก) ทำได้ไหม (ได้) ถ้าใครทำไม่ได้ คนนั้นก็ไม่สามารถสำเร็จเป็นพุทธะได้ เพราะอาจารย์กำลังฝนทั่งแห่งปัญญา ไม่ใช่ฝนทั่งแห่งเข็ม เพราะฉะนั้นทั่งอันนี้จะต้องถูกฝนให้ใช้ได้ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นแค่ก้อนๆ หนึ่งในตัวเราเท่านั้น ในขณะนี้ต้องการฝนจนกว่าจะใช้งานได้ สมมติว่าเปรียบปัญญาเหมือนกับทั่งที่เราจะฝนให้เป็นเข็ม ทั่งนั้นยังใช้ไม่ได้จนกว่าจะฝนได้จนกระทั่งกลายเป็นเข็ม จึงจะสามารถนำไปเย็บไปชุนสิ่งที่ขาดให้เข้าหากันได้ถูกหรือเปล่า (ถูก) เพราะฉะนั้นปัญญานี้เราต้องฝนให้ได้จนเป็นเข็มที่ดี มีความคม มีความเงาจึงจะสามารถไปเย็บปะติดระหว่างการบำเพ็ญกับทางโลกปุถุชนให้เข้าหากัน จึงจะสามารถเดินขึ้นสู่นิพพานได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายถูกหรือเปล่า
ในสมัยก่อนนั้นการบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญด้วยการจะต้องละทิ้งใช่หรือไม่ (ใช่) ละทิ้งแล้วมุ่งมั่นเข้าแดนที่สามารถขจัดกิเลสให้กับเราได้ ถูกหรือเปล่า (ถูก) แดนนั้นต้องมีความสงบ ต้องมีความวิเวกและสามารถที่จะให้เรานั้นพำนักอาศัยได้ ในป่ามีต้นไม้ให้เป็นร่ม มีขอนไม้ให้หนุนนอนและมีผลไม้ป่าให้กินถูกหรือไม่ (ถูก) เพราะฉะนั้นสมัยก่อนการบำเพ็ญต้องมีการละทิ้งจริงๆ ตอนนี้ศิษย์แม้จะเทียบกับคนที่อยากบำเพ็ญในสมัยก่อนยังเทียบแทบไม่ได้เลย ถูกหรือเปล่า (ถูก) ในสมัยก่อนนั้นหากต้องการบำเพ็ญต้องตัดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างและเดินเข้าป่าไปบำเพ็ญตน คนที่เป็นเซียนนั้นก็เป็นได้เช่นนี้
คำว่า “เซียน” ในภาษาจีน?????? ตัวข้างหนึ่งเป็นคน?????? มีความหมายแทนคน ส่วนอีกข้างหนึ่งคือภูเขา?????? ดังนั้นคำว่า “เซียน” ก็คือคนที่เข้าไปบำเพ็ญตนในภูเขา ถูกหรือเปล่า (ถูก) แสดงว่าคนสมัยก่อนนั้นจะสามารถบำเพ็ญได้ต้องมีการละทิ้ง เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นเซียนได้จึงเป็นผู้ที่มีอิสระพ้นจากพันธนาการแห่งกิเลสใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นเซียนทำง่ายไหม พ้นจากพันธนาการแห่งกิเลส เป็นอิสระสง่างามเพราะว่าอยู่เหนืออายตนะทั้งปวง ยากหรือง่าย (ยาก)
อาจารย์บอกว่าศิษย์ทุกคนอยู่ในโลกที่มีแสงสีมากมาย อาจารย์ก็แค่ต้องการให้ศิษย์รู้จักควบคุมใจ ควบคุมกาย ควบคุมปากใช่หรือไม่ (ใช่) การปฏิบัติเช่นนี้จึงจะสามารถเดินเข้าสู่เส้นทางการบำเพ็ญธรรมได้ ถูกหรือเปล่า (ถูก) คนที่ขึ้นไปบำเพ็ญบนภูเขาเปรียบได้กับศิษย์ผู้บำเพ็ญในโลกซึ่งมีแสงสี แต่ผู้ที่ขึ้นไปบำเพ็ญบนภูเขา หรือตัดกิเลสให้จากพ้นพันธนาการอยู่เหนืออายตนะ ศิษย์ก็เช่นเดียวกัน ในขณะนี้อยู่ในโลกที่มีสุรา นารี พาชี กีฬาบัตร มีตัณหาและยังมีกิเลสรุมเร้า อาจารย์ขอแค่ให้ศิษย์นั้นตัดสิ่งเหล่านี้ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ การบำเพ็ญแบบไหนที่ยากง่ายกว่ากัน สิ่งที่อาจารย์พูดครั้งแรกฟังดูง่ายกว่าหรือสิ่งหลังหรือเปล่า แค่คำว่า “ภูเขา” ลูกเดียวศิษย์ก็ยอมแพ้แล้ว เราต้องไม่ยอมแพ้ใช่หรือไม่ (ใช่) ถึงแม้จะมีกิเลสมากมายยั่วตา ยั่วหู ยั่วปาก ยั่วจมูก ยั่วใจ ยั่วลิ้นของเรา เราต้องทำอย่างไร (ตัด) เราก็ต้องตัดให้หมดใช่หรือเปล่า (ใช่) เมื่อเรากินอาหารและกลืนอาหารผ่านลิ้นไปแค่สามนิ้วนี้เป็นอย่างไร (อร่อย) จะอร่อยหรือไม่อร่อยก็ยังรู้รส เพราะฉะนั้นยากหรือง่ายก็อยู่ที่ว่าใครจะทำหรือไม่ ไม่ทำก็ยากถูกหรือเปล่า (ถูก) ตอนนี้จากภูเขาเปลี่ยนเป็นสังคมโลกมนุษย์แทน ในสังคมโลกมนุษย์ต้องสามารถอยู่ด้วยกันและบำเพ็ญตนตัดกิเลสได้ สง่างามเหนือวัตถุอันยั่วยวนให้เราหลง ทุกวันนี้ในโลกมีวัตถุมากมายใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาที่เราจะใส่เสื้อผ้าก็จะต้องใส่เสื้อผ้าที่เป็นอย่างไร (สวย) เครื่องประดับก็ต้องเป็นอย่างไร (แพง) ดังนั้นเราจึงหลงในวัตถุสิ่งเหล่านี้ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นเซียนคือผู้ที่สง่างาม มีอิสระเหนือกิเลส ศิษย์ทำได้หรือไม่ (ทำได้) ทีนี้อาจารย์เปลี่ยนจากภูเขาให้เป็นสังคมแล้ว

(พระอาจารย์ให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมนำแก้วน้ำใสๆ มาหนึ่งใบเพื่อยกตัวอย่างให้เห็นถึงข้อธรรม)
เป็นภาชนะใสๆ ที่เก็บน้ำใช่หรือไม่ (ใช่) สังคมกับมนุษย์โลกศิษย์จะเปรียบเป็นสิ่งใด (ระหว่างแก้วกับน้ำ) ทั่วไปย่อมเปรียบสังคมเป็นแก้ว ล้อมรัดเราไว้ใช่หรือเปล่า (ใช่) เราเป็นมนุษย์โลกที่เปรียบไปได้ก็คือน้ำ ถ้าภาชนะสูงกว่านี้น้ำก็ขึ้นสูงกว่านี้ ถ้าภาชนะใบยาวน้ำก็ไปทางยาวใช่หรือเปล่า (ใช่) ทุกๆ วันนี้เราซึ่งเป็นมนุษย์จึงอยู่ภายใต้อะไร (ภายใต้สังคม) สมมติว่ามีน้ำที่มีสีซึ่งเปรียบเหมือนคนที่ไม่ดี น้ำใสๆ ก็เปรียบเหมือนคนดี พอน้ำที่มีสีใส่เข้าไปในน้ำที่ไม่มีสี น้ำก็เปลี่ยนเป็นน้ำที่มีสี ยิ่งใส่มากสีก็ยิ่งเปลี่ยนไปมากใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นเมื่อมีคนชั่วในสังคม เราจึงอดไม่ได้ที่จะทำอะไรตาม (ทำชั่วตาม) เพราะว่าเราบอกกับตัวเองเสมอว่าเราเป็นมนุษย์มีกิเลส ในที่สุดเราก็ยอมที่จะทำไม่ดี

(พระอาจารย์เมตตาให้นำขวดโหลขึ้นมาเพื่ออธิบาย)
อาจารย์จะพูดกลับกันว่า สมมติให้ศิษย์ซึ่งเป็นมนุษย์นั้นเป็นภาชนะนี้และให้ภายในภาชนะคือสังคม จะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะเทน้ำสีอะไรไป เราก็ยังคงที่จะหล่อหลอมพวกเขาให้เป็นคนดีเหมือนเราให้ได้ เราไม่เปลี่ยนแปลงไปตามสังคม และให้เรานั้นเป็นผู้ผลักดันสังคมให้เปลี่ยนไปตามเรา เราต้องทำตนเป็นคนดี คนอย่างนี้เป็นคนยิ่งใหญ่หรือไม่ (ยิ่งใหญ่) แล้วศิษย์เป็นคนที่ยิ่งใหญ่หรือเปล่า โดยปกติเรามักจะยอมเป็นน้ำที่อยู่ในแก้วและเราก็เปลี่ยนไปตามแก้วนั้น วันนี้ให้ทุกคนเป็นแก้วและให้สังคมเป็นน้ำ ในที่สุดแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแก้วน้ำก็ยังคงเป็นแก้วที่ดีและใส แก้วน้ำนั้นไม่เปลี่ยนรูปทรงไปคือคงความดีเสมอ ไม่ว่าใครจะเข้ามาหาศิษย์ขอให้ศิษย์อย่าได้เปลี่ยนตาม อย่าได้ชั่วตาม แต่ให้ศิษย์นั้นดีและให้ผู้อื่นนั้นดีตามเราให้ได้ ดีหรือไม่ (ดี) เหมือนกับการประคองความดีของเราไว้แล้วสั่งสอนให้ผู้อื่นทำตามได้ อย่ายอมให้ตัวเองเป็นน้ำเพราะถ้าเราเป็นน้ำแล้วมีความชั่วเข้ามาปะปน เราก็อดไม่ได้ที่จะชั่วตาม อดไม่ได้ที่จะทำไม่ดี เราอดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นในขณะนี้ผู้ยิ่งใหญ่ทำง่าย เพียงให้ศิษย์นั้นทำตัวเป็นแก้วที่มีความใส ก่อนที่เราจะทำความดีเราต้องรู้ว่าแก้วใบนี้มีอะไรบ้าง (มีน้ำใสอยู่ในแก้ว, มีความใสสะอาด, มีรูปทรง,เป็นวัตถุ) ถ้าการบำเพ็ญยากขนาดต้องวิ่งตาม ศิษย์จะกระทำหรือเปล่า

แก้วนี้แข็งไหม เปราะบางหรือเปล่า เหมือนกับใจของเราแข็งแต่ก็แตกง่ายใช่หรือเปล่า นี่คือใจของเรา แก้วคือความแข็ง อันได้แก่บำเพ็ญธรรมต้องใช้ความมั่นคง สามารถเป็นรูปเป็นร่างได้ คือความเชื่อมั่น สามารถที่จะนำพาผู้อื่นได้ คือใช้ความศรัทธา แก้วนี้เปรียบประหนึ่งจิตใจของเราต้องเป็นจิตใจอันดีงาม หากไม่ดีงามแล้วจะไม่สามารถนำพาใครไปได้เลย เมื่อตัวเองยังไม่รอดจะไม่สามารถนำผู้อื่นไปรอดได้เลย เมื่อเรายังมีกิเลสนำพาผู้อื่นก็จะไม่ได้รับความสามัคคีร่วมกัน เพราะเมื่อคนหนึ่งมีกิเลส คนต่อๆ มานั้นจะไม่สามารถสามัคคีกันได้ ในที่สุดจึงเกิดการแตกแยก เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจะต้องใช้ทั้งความศรัทธา ความจริงใจ ความเชื่อมั่น และความมั่นคงใช่หรือเปล่า (ใช่)

(พระอาจารย์เมตตาวาดรูปให้นักเรียนในชั้นดู)









ถ้าให้ศิษย์ไต่ ด้านนี้คือหน้าผา ด้านนี้ก็คือหน้าผาอีกด้านหนึ่ง ตรงนี้เรียกว่าเหว ตกลงไปตายไหม (ตาย) ศิษย์ยืนอยู่ตรงนี้และมีเชือกบางๆ หนึ่งเส้นที่ให้ศิษย์ไต่ ศิษย์คิดว่าไต่เชือกอันตรายไหม (อันตราย) อาจารย์ให้ศิษย์ไต่เชือกบางๆ เส้นนี้ข้ามไป ถ้าไต่ข้ามไปข้างนี้ได้ ซึ่งด้านนี้เรียกว่านิพพาน ถ้าศิษย์ไต่ไม่ดีก็ตกเหว ส่วนตรงนี้เรียกว่าการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าไต่ไม่ดีต้องลงไปสู่การเวียนว่ายตายเกิด ระยะทางนั้นไม่ต้องพูดถึงเป็นเพียงแค่ภาพลวง ถ้าให้ศิษย์ไต่ไปเรื่อยๆ เราต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากถูกหรือไม่ (ถูก) ถ้าเราเผลอเพียงแค่วินาทีเดียวก็ต้องตกเหว แล้วเราก็ต้องตายใช่ไหม (ใช่) เมื่อตัวของเราไต่ไปทางนี้เราจะต้องมีความมั่นคง ด้วยระยะทางที่เท่ากันก็ไปสู่การเวียนว่ายตายเกิดได้ มีอะไรบ้าง ไม่ใช่มีแค่เพียงนรก แต่มีสวรรค์ โลกมนุษย์ เปรต ต้องเกิดมาเป็นสัตว์ หรือต้องเกิดเป็นภูติผี ผู้ที่หิวโหย
มนุษย์นั้นแบ่งออกเป็นหลายระดับ มีคนจนมีคนรวย มีคนที่อดยากและคนที่ประสบภัยพิบัติ เช่นเดียวกัน ในระยะทางที่เราจะเดินไปตรงนี้ ถ้าเราไขว้เขวก็จะไม่สามารถกลับคืนนิพพานได้ นิพพานนั้นจะว่าไกลก็ไกล จะว่าใกล้ก็ใกล้ อาจารย์พูดถึงคำว่า “นิพพาน” ทุกคนก็งง เพราะศิษย์รู้สึกว่านิพพานนั้นไกลใช่หรือไม่ เมื่อสักครู่นี้อาจารย์พูดถึงการบำเพ็ญ เราต้องละทิ้งกิเลสพันธนาการใช่หรือไม่ (ใช่) ในสมัยก่อนนั้นคนที่บำเพ็ญแบบนี้จึงจะสำเร็จ แต่ในขณะนี้ถ้าหากว่าศิษย์ทำเรื่องเดียวกัน อย่างน้อยศิษย์ก็เดินทางเส้นเดียวกับคนเหล่านั้น ถ้าเดินไปเรื่อยๆ ถามว่าจะถึงที่เดียวกันหรือเปล่า (ถึง) แต่ทุกวันนี้ต่างกันที่ศิษย์นั้นไม่เคยเดินอย่างจริงจังถูกหรือเปล่า (ถูก) ในสมัยก่อนต้องออกค้นหาพระวิสุทธิอาจารย์เพื่อได้รับการชี้ประตูเกิดตาย ก็สามารถหลุดพ้นได้ แต่ต้องฝ่าความยากลำบากและต้องแสวงหาสัจธรรมที่แท้จริง แต่ในขณะนี้เปลี่ยนจากภูเขาเป็นสังคม เปลี่ยนจากการบำเพ็ญแบบภายนอกมาสู่การบำเพ็ญแบบในครัวเรือน ในชีวิตประจำวันของเรา ระยะเวลาเดินทางนั้นก็คือชีวิตประจำวันทุกวันใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าเราเผลอในชีวิตประจำวันวันไหน ในวินาทีไหนเราก็ตกหล่นลงมา การเดินทางสองเส้นนี้ อาจารย์ขอให้ศิษย์เลือกทางไปนิพพาน และในชีวิตประจำวันทุกๆ วันนั้นศิษย์จะไม่เผลอเรอ บำเพ็ญธรรมนั้นต้องใช้ความมั่นคง ศรัทธา การปฏิบัติอย่างแท้จริง การตัดกิเลสและการสิ้นพันธนาการทุกอย่าง หากว่าศิษย์ทำได้ก็จะไปสู่นิพพานได้ แต่กลับกันทางอีกเส้นหนึ่งที่ไปสู่การเวียนว่ายตายเกิด หรือเป็นชีวิตประจำวันของคนทั่วๆ ไปนั้นใช้อะไรบ้าง ความดีเล็กน้อยแก่งแย่งกัน ทรัพย์สินเงินทองจำเป็นต้องหา ภาระจำเป็นต้องแบก ความดีจำเป็นต้องทำแต่สู้ความชั่วไม่ได้ ในที่สุดแล้วศิษย์ก็เดินมาสู่ทางแห่งการเวียนว่ายตายเกิดต่อไป เพราะฉะนั้นในชีวิตประจำวันแห่งพุทธะและในชีวิตประจำวันแห่งปุถุชนนั้นต้องต่างกันไหม (ต่างกัน) ถามว่าต่างกันตรงนี้ศิษย์ของอาจารย์ทำได้ไหม (ทำได้)
(พระอาจารย์เมตตาให้หัวหน้าชั้นฝ่ายชายพูดว่าชีวิตประจำวันของพุทธะมีอะไรบ้าง และให้หัวหน้าชั้นฝ่ายหญิงขึ้นมาพูดว่าชีวิตประจำวันของปุถุชนมีอะไรบ้าง)
(หัวหน้าชั้นฝ่ายชาย : ชีวิตของพุทธะจะต้องคิดดีทำดี ช่วยเหลือสังคมทำจิตใจให้สงบ พุทธะต้องละกิเลสสิ่งยั่วยวนสิ่งไม่ดี และปฏิบัติตัวให้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม)
(หัวหน้าชั้นฝ่ายหญิง : ทำดีบ้างทำชั่วบ้าง หรือทำตามใจตัวเองเป็นส่วนมาก เอาอารมณ์ตัวเองเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีสติ ชิงดีชิงเด่น หาเงินหาทองเข้าครอบครัวโดยวิธีต่างๆ)
แล้วศิษย์รู้จักทางไหนมากกว่ากัน เรายังรู้จักทางโลกมากกว่าใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เรายังไม่รู้จักทางธรรมดีเท่าไหร่เลย ศิษย์เห็นความแตกต่างของสองทางนี้ไหม (เห็น) พุทธะเมื่ออยากจะบำเพ็ญก็ยังต้องกินข้าว ก็ยังต้องนอนเหมือนกันใช่หรือเปล่า (ใช่) นี่คือ “พุทธะเดินดิน” เพราะฉะนั้นสองทางนี้มีความแตกต่างกันหรือเหมือนกัน ขอให้ศิษย์กลับไปคิดเป็นการบ้านและปฏิบัติให้จริงจังจะได้เข้าถึงนิพพานได้ ดีหรือเปล่า (ดี) หากไม่ปฏิบัติจริงจังย่อมไม่อาจประสบความสำเร็จได้อย่างแท้จริง ในที่สุดแล้วก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดเหมือนเดิมใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นชีวิตประจำวันของเราทุกๆ วันนั้นสำคัญไหม (สำคัญ) ชีวิตประจำวันอยู่บ้านไม่เกี่ยวกับการบำเพ็ญธรรมได้หรือเปล่า (ไม่ได้) วันนี้ออกไปหาเงินแล้วกลับเข้ามาห้องพระ บอกว่าเรากำลังบำเพ็ญธรรมได้หรือเปล่า (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นมีความเกี่ยวเนื่องกันตรงที่เราเป็นผู้กระทำ หากว่าเราอยู่ข้างนอกยังไม่ขัดเกลา อยู่ข้างในจะขัดเกลานั้นย่อมไม่ประสบความสำเร็จใช่หรือไม่ (ใช่) เปรียบเหมือนกับหน้ามือและหลังมือซึ่งอยู่บนมือเดียวกัน หน้ามือบอกว่าบำเพ็ญธรรม ส่วนหลังมือบอกว่ามัวเมาทางโลก สรุปแล้วหน้ามือขาวแต่หลังมือดำสนิท แล้วถามว่าคนๆ นี้ใช่คนเดียวกันไหม (คนเดียวกัน) มือของเรา เราจึงรู้ว่าเป็นคนๆ เดียวกัน ถ้าหากว่าเอามือวางไว้แล้วไม่ให้เขาเห็นหน้า และคนๆ นี้หน้ามือขาวคือบำเพ็ญธรรมได้ดี แต่หลังมือกลับดำมาก ถ้าไปวางไว้เขาย่อมไม่รู้ว่าคนบำเพ็ญธรรมนั้นจะมีหลังมือที่ดำสนิท เขาต้องบอกว่าเป็นคนละคนกันถูกหรือเปล่า (ถูก) เพราะฉะนั้นทั้งหน้ามือและหลังมือคือทั้งทางธรรมและทางโลก ต้องประสานกัน สะอาดและบริสุทธิ์เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาลงไปส่งเสริมผู้ร่วมฟังที่อยู่ชั้นล่าง)
ถึงแม้จะอยู่ชั้นล่างแต่จิตใจเหมือนกับอยู่ชั้นบน ชั้นล่างนั้นเปรียบเสมือนกับโลกมนุษย์ใช่หรือไม่ (ใช่) ชั้นบนก็เปรียบเหมือนแดนนิพพานหรือสวรรค์ใช่หรือเปล่า (ใช่) เราจะบำเพ็ญธรรม การที่เราจะต้องก้าวขึ้นไปชั้นบนหมายความว่าอย่างไร การก้าวขึ้นบันไดกับก้าวลงบันไดอย่างไหนลำบากกว่ากัน (ก้าวขึ้น) ก้าวขึ้นบันไดนั้นมีความยากลำบากมาก การขึ้นที่สูงต้องออกแรงใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นการที่เราจะบำเพ็ญธรรมจึงเป็นเรื่องที่ยาก ยากที่เรานั้นจะต้องดึงจิตใจของเราให้สูงมากขึ้นเรื่อยๆ การที่เราบำเพ็ญธรรมในยุคนี้ ถ้าใจนั้นเปิดกว้างได้เท่าไรขอให้เปิดให้กว้างออก ขอให้เรานั้นอย่าได้เอาตัวของเราไปวัดกับการที่จะต้องประสบเคราะห์ภัย เจอบาปกรรมและวิบากกรรมที่ทำให้เราเกิดความท้อแท้และเป็นการแพ้ง่ายๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราเคยก่อกรรมทำเข็ญมากมาย มีทั้งที่ตัวเองตั้งใจและไม่ตั้งใจ เรานั้นก็ยังทำเรื่องเดือดร้อนที่เกิดจากการกระทำของเราเอง เพราะฉะนั้นในตอนนี้เราจึงเดือดร้อนเพราะคนอื่นบ้าง สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่ขอให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นสู้ต่อไปดีหรือเปล่า (ดี) เพื่อชีวิตนี้จะสามารถฝ่าฟันความเป็นปุถุชนและโลกีย์จนทำให้เรานั้นสำเร็จเป็นพุทธะได้ใช่หรือไม่ ศิษย์ทุกๆ คนของอาจารย์เป็นคนดีอยู่แล้ว แต่มักจะถูกกระแสสังคม กระแสโลก และกิเลสยั่วยวนทำให้เราเกิดความรู้สึกว่าเราดีสู้เขาไม่ได้ ศิษย์ลองย้อนคิดดูว่าเป็นการแพ้ที่ง่ายเกินไปใช่ไหม (ใช่) แค่เรารู้สึกไม่พอใจ เสียใจ ลำบากใจหรือรู้สึกว่าเราทุกข์เกินไป ขอให้ศิษย์นั้นอดทนจนวันที่ดวงตะวันนั้นส่องแสงระยิบระยับ พ้นความมืดมนในจิตใจของตนเองแล้วศิษย์จะรู้ว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่
หลายคนที่นี่เพิ่งจะประชุมธรรมผ่านไป ขอให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นหมั่นมาศึกษาให้มากๆ ในวันนี้ที่บอกว่าตัวเรารู้แล้วนั้นยังรู้น้อย ยังไม่ได้รู้อะไรที่ชัดเจน ยังไม่ได้รู้อะไรที่จริงจังมากมายนัก เวลาที่มีคนบอกเรา ขอให้เราน้อมรับการบอกกล่าวของเขา ศิษย์ลองคิดดู ในมหาสมุทรนั้นคือแม่น้ำทุกสายมารวมกันใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าเราบอกว่าเรารู้แล้ว เราก็แคบเหมือนกับแม่น้ำ แต่ถ้าเรายอมรับการสั่งสอนจากทุกคนไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร ปรารถนาดีหรือปรารถนาร้ายศิษย์นั้นก้มหน้ายอมรับ ก็เหมือนยอมรับวิชาความรู้ ยอมรับสิ่งที่ดีเข้าสู่ตน จิตใจยิ่งกว้างเท่าไรยิ่งสามารถรับผู้คนได้มากเท่านั้น เช่นนี้จึงจะเป็นมงคลที่สุด อยากได้สิ่งมงคลใช่ไหม (ใช่) การยอมรับผู้ อื่นเป็นมงคลที่สุด
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมญาติธรรมเก่าท่านหนึ่งที่ไม่ได้ร่วมวงพระโอวาทครอบเพราะคำโอวาทครอบหมดแล้ว)
โดนตัดแถวตรงเราพอดีเลยใช่หรือเปล่า ถ้าบำเพ็ญเป็นพุทธะแล้วเกิดตัดตรงศิษย์พอดีเลย ไม่ได้เป็นพุทธะแล้วศิษย์ทำอย่างไร (ก็แล้วแต่บุญวาสนา) บุญวาสนาเราเป็นคนหาใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าหากว่าจะบำเพ็ญก็ตั้งใจบำเพ็ญ ไม่อย่างนั้นเราจะโดนตัดแบบคราวนี้อีกก็จะแย่ ตอนนี้ยังมีโอกาสแก้ตัวใช่ไหม ถ้ายิ่งห่างห้องพระไปนาน ห่างสถานธรรม คนพูดธรรมะก็ฟังไม่เข้าหู นานๆ มา
สถานธรรมครั้งหนึ่ง เจ้ากรรมนายเวรก็ขัดแข้งขัดขาเป็นธรรมดา ถ้าหากมาบ่อยๆ เขาก็คิดว่าเราจะสร้างกุศลให้เขาจริง เขาก็จะเลิกรังควานเรา ไม่สังเกตหรือว่ามาสถานธรรมทีไรต้องมีเหตุการณ์ต่างๆ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ ก็เพราะว่าเราไม่ทำอะไรจริงจังให้เจ้ากรรมนายเวรเห็น เราไม่เคยแสดงให้เขาเห็นว่าเราจะสร้างกุศลจริงๆ ให้เขา เขาขัดขาเราอย่างนี้ เขาก็รู้สึกสะใจดี เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ว่าเรากำลังทำอะไร อาจารย์ให้กำลังใจศิษย์ทุกครั้ง เพราะฉะนั้นเราต้องมีจิตที่รู้ตื่นด้วยตนเองและแสดงออกมา ไม่ใช่ว่าอาจารย์ไปศิษย์ก็ไปด้วย ประชุมธรรมครั้งหนึ่งอาจารย์มาศิษย์ก็มาอย่างนี้ไม่ได้ เราบอกว่าเราชอบธรรมะ แต่เราไปแสวงหาทางโลกก็กลายเป็นบุคคลทางโลก มีความสำคัญทางโลก แต่เวลาจะเลือกพุทธะเขาก็ตัดตรงศิษย์พอดี เพราะเขาเลือกเอาคนที่จริงจัง แต่กรรมของเรายังมีอยู่อีกมาก แค่เขาขัดขา เขาเตือนเรายังไม่เข็ด บุญของเรามี ลูกของเราก็ดี แต่ถ้าเราไม่จัดการที่จะสืบสานบุญของเราต่อไปเรื่อยๆ เหมือนเราเอาหินไปขวางทางน้ำ น้ำก็ไหลช้าลง กิเลส ๑ ก้อนก็เปรียบเสมือนหิน ๑ ก้อนวางลงไป กิเลส ๒ ก้อนก็เปรียบเสมือนหิน ๒ ก้อนวางลงไป ในที่สุดแล้วน้ำแห่งกุศลของเรานั้น เราก็ใช้ในส่วนที่เราเก็บกักไว้ แต่ต่อไปที่เหลือเราจะไม่มีใช้แล้ว เข้าใจไหม
อาจารย์ไม่ได้มารักษาโรค โรคภัยไข้เจ็บเราสร้างมาเราก็ต้องรับกรรมใช่หรือไม่ (ใช่) สูบบุหรี่ก็ต้องเป็นโรค กินเหล้าก็ต้องเป็นตับแข็ง เราเป็นคนโมโหง่ายก็ต้องเป็นโรคหัวใจใช่หรือเปล่า (ใช่) ยาวิเศษที่ไหนจะสามารถทำให้ศิษย์หายจากโรคหัวใจ ถ้าหากว่ายังไม่หายโกรธ อาจารย์คงไม่ต้องการบอกศิษย์ว่า ศิษย์ทุกคนตอนนี้มีเจ้ากรรมนายเวรมาก ขอให้รู้จักชดใช้และหันหน้าไปสู้กับเขาดีหรือเปล่า (ดี) การสู้กับเจ้ากรรมนายเวร เราต้องคุกเข่าลงไปบอกว่าที่ผ่านมานั้นเราผิด ต่อไปนี้เราจะสร้างบุญสร้างกุศลชดใช้ให้ ถ้าเขายอมเราก็บำเพ็ญง่ายขึ้น มีชีวิตที่ราบเรียบราบรื่นมากขึ้น แต่การที่เรานั้นจะได้รับความราบรื่นนี้ เราต้องใช้ชีวิตอย่างสมถะ ใครที่เข้ามาในสถานธรรมแล้วหวังจะให้อาจารย์ (จี้กง) เป็นหมอดูหรือหมอรักษาโรค อาจารย์ไม่ให้สิ่งเหล่านี้ อาจารย์อยากจะรักษาอย่างเดียว คืออาจารย์อยากรักษาจิตใจของศิษย์ที่มืดบอดไปพร้อมกับกิเลส หากว่าเราเป็นคนที่มีจิตใจอันสว่างไสว แม้จะมีโรครุมเร้า แต่ถ้าจิตใจสงบลง โรคร้ายๆ ไปก็เท่านั้น ไม่ลุกลาม ศิษย์เชื่อไหม (เชื่อ) บางคนเป็นโรคร้ายแต่ตายไว บางคนเป็นโรคร้ายแล้วตายช้า ดีไม่ดีตายหลังคนที่แข็งแรงด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะว่าจิตใจนั้นนิ่งสงบ มีกำลังใจที่จะสู้ ยึดมั่นในความดี นี่คือวิธีต้านโรค ยาใดๆ ในโลกนั้นสามารถระงับได้แต่ก็ไม่เท่ายาที่มาจากใจของเราเอง ยาที่มาจากใจของเราเองนี้เรียกว่ายาทิพย์ ก็คือยาของการที่เรานั้นตั้งมั่นในความดี มีกำลังใจที่จะต่อสู้ หากว่าศิษย์เป็นโรคร้ายก็อย่าได้กลัว เพราะโรคภัยนั้นมาคู่กับมนุษย์ใช่หรือเปล่า (ใช่) ยามที่มนุษย์ทำผิดศีลธรรมก็มีโรคเกิดขึ้นได้ ตอนนี้โรคเอดส์ร้ายที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่) ในช่วงก่อนโรคอะไรร้ายที่สุด (มะเร็ง) ช่วงก่อนนี้อีกคือโรคอะไร (อหิวาตกโรค)
ทุกยุคทุกสมัยก็มีโรคร้ายเปลี่ยนไปตามนิสัยของมนุษย์ มนุษย์เป็นโรคมะเร็งเพราะไม่เคยเห็นใจผู้อื่น เห็นแต่ใจของตัวเอง โรคจึงลุกลามขึ้นเรื่อยๆ ความเห็นใจไม่มีอยู่ในหมู่มนุษย์จึงเป็นโรคมะเร็ง โรคต่อมาคือโรคเอดส์ เกิดขึ้นเพราะชีวิตนั้นไม่มีระบบไม่มีระเบียบแล้ว ในที่สุดโรคนี้ก็เกิดมาทำลายคน ถูกหรือเปล่า (ถูก) ถ้าเรานั้นกลับไปใช้ชีวิตอย่างมีระบบระเบียบถึงจะเป็นโรคนี้แล้ว แต่อาจารย์บอกให้ว่าจะไม่ลุกลามใหญ่โตไปกว่านี้ บางคนเป็นเอดส์แต่อยู่ได้เพราะว่าใจนั้นกลับมาอยู่ทางสายกลาง กลับมาสู่สิ่งที่เที่ยงตรง โรคนั้นก็ไม่สามารถกลับมาทำร้ายเราต่อไปได้ คนที่จิตใจสงบจริงๆ แล้วต่อให้ตายก็ไม่หวั่น เพราะรู้ว่าชีวิตมนุษย์ทุกวันนี้อยู่ด้วยการเกิด จึงต้องมีชีวิตจบไปด้วยการตาย หนีไม่พ้นใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นก็จงรู้ว่าตายวันตายพรุ่งนั้นไม่เป็นไร ขอให้ใช้ชีวิตที่มีอยู่ในวันนี้เป็นชีวิตที่มีคุณค่าเป็นคนที่โลกต้องการ ไม่ใช่อยู่ไปคนสาปแช่งไป ศิษย์เคยเห็นไหม (เคย) เวลาตายไปคนเขาบอกว่าตายไปได้ก็ดี ลองดูซิว่ามีคนบอกเราอย่างนั้นหรือเปล่า ถ้าเราเป็นอย่างนั้นแสดงว่าเราเป็นคนไม่ดีอย่างมากๆ อาจารย์หวังว่าศิษย์ของอาจารย์คงไม่มีใครได้ฉายาอย่างนั้น อาจารย์เมตตาตั้งชื่อเพลง “อาจารย์จะไม่ทิ้งเจ้าไป” อาจารย์ไม่ทิ้งศิษย์นะ ศิษย์อย่าทิ้งอาจารย์ก็แล้วกัน อาจารย์นั้นไม่เคยทิ้งเลย มีแต่ศิษย์ที่ทิ้งอาจารย์ใช่หรือเปล่า (ใช่) ด้วยคำว่า"ไม่ว่างติดธุระ"
(อาจารย์เมตตาสอนนักเรียนในชั้นร้องเพลง “อาจารย์จะไม่ทิ้งเจ้าไป” ทำนองเพลง “มือที่สาม” )
เพลงนี้อาจารย์ขอบอกให้ศิษย์นั้นกลับไปฝึกหัด ฝึกหัดก็คือการที่เราเริ่มจากความไม่รู้เลย จึงเรียกว่าการฝึกหัด “บำเพ็ญและแก้ไข” เมื่อบำเพ็ญแล้วรู้ว่าสิ่งใดผิดพลาด จึงเริ่มแก้ไขด้วยความเต็มใจจวบวันสิ้นลม เพราะฉะนั้นการที่เราจะบำเพ็ญธรรมนั้นไม่ใช่แค่วันสองวัน คนที่เคยเหนื่อยยาก เพราะว่าเราเคยทำงานจึงจะรู้ว่างานนั้นเป็นอย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าเราไม่เคยลงมือทำเลยก็จะไม่รู้ว่างานชนิดนั้นเป็นอย่างไร จนกระทั่งเรานั้นได้ลงมือทำจริงๆ ถูกหรือเปล่า (ถูก) มนุษย์นั้นมีประสบการณ์เรื่องมนุษย์มากมาย แต่ยังไม่มีประสบการณ์ด้านการบำเพ็ญธรรม อย่าบอกว่าเราบำเพ็ญเป็น บำเพ็ญดี เราเป็นคนดีนะ ตอนนี้ต้องลงมือทำเองจึงจะรู้ว่าการบำเพ็ญเป็นอย่างไร เสียเหงื่อบ้าง เสียน้ำตาบ้าง เสียใจบ้าง ดีใจบ้าง ทุกข์ใจบ้าง เศร้าใจบ้างจึงรู้ว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นยากหรือว่าง่ายอย่างไร ไม่ใช่บอกว่า เรานั้นรู้ว่าการบำเพ็ญธรรมบำเพ็ญอย่างไร แต่ไม่เคยลงมือกระทำ ก็จะไม่รู้ว่าการบำเพ็ญแท้จริงนั้นบำเพ็ญอย่างไร เราจะเป็นพุทธะต้องทำในสิ่งที่พุทธะทำ ต้องคิดในสิ่งที่พุทธะคิด ต้องพูดในสิ่งที่พุทธะพูดและต้องเข้าใจเหมือนกับที่พุทธะเข้าใจ จึงจะเป็นพุทธะได้ ถ้าหากว่าศิษย์นั้นไม่ทำเหมือนที่พุทธะทำ แล้วตัวเองบอกว่าเราจะเป็นพุทธะ แล้วศิษย์จะเป็นอย่างไร
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จิตใจงามสว่างไสว” )
จิตใจเรางามได้เพราะไม่มีอารมณ์ คนที่มีอารมณ์ คนที่โมโหจนตัวสั่นน่าดูหรือเปล่า (ไม่น่าดู) หลงจนไม่ลืมหูลืมตาน่าดูหรือเปล่า โลภจนกลายเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวน่าดูไหม (ไม่น่าดู) เพราะฉะนั้นนอกจากว่าเราจะไม่มีอารมณ์แล้ว ยังต้องไม่มีกิเลสอีกด้วย จิตใจจึงจะงามและสว่างไสวได้ ไม่ใช่งามเฉยๆ งามจนสง่า เราจะต้องไม่มีกิเลสใช่หรือไม่ ถ้าพระอาทิตย์ถูกเมฆบังแล้วพระอาทิตย์นี้จะสว่างไหม (ไม่สว่าง) กิเลสนั้นเปรียบเสมือนเมฆที่มาบดบังพระอาทิตย์ถูกหรือเปล่า (ถูก) เพราะฉะนั้นจิตใจจะสว่างได้ก็ต้องไม่มีกิเลส ที่สำคัญจิตใจที่งามได้คือความคิดของเราใช่หรือไม่ (ใช่) ความคิดของเรานั้นต้องเป็นความคิดที่ถูกและใช้อย่างระมัดระวัง บางคนนั้นบอกว่าความคิดของเรา เรามีสิทธิ์คิด แต่ทุกครั้งที่เราคิดออกมาเป็นสิ่งไม่ค่อยดี และคิดไปต่างๆ นานา คิดจนไม่สามารถจะควบคุมตัวเองได้ เพราะว่าความคิดนั้นคุมเรา แทนที่เราจะคุมความคิด เพราะฉะนั้นความคิดเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญ ที่ทำให้จิตใจของเรานั้นสว่างไสวออกมาหรือไม่ เดิมทีจิตของเราทุกคนนั้นเป็นพุทธะ จิตของเรานั้นมีความงามสว่างไสวอยู่ แต่ถ้าหากเราไม่รู้จักควบคุมความคิดนี้ก็จะเป็นความคิดที่มืดบอด ในที่สุดแล้วความคิดนี้เชื่อมต่อเข้ากับพุทธจิตจะทำให้พุทธจิตบอดมืดเช่นเดียวกัน อาจารย์ยังอยากให้ศิษย์นั้นทำต่อไปด้วย เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงนำโอวาทที่อาจารย์ถอดซ้อนออกมาแล้ว นำมาให้ศิษย์นั้นถอดซ้อนอีกครั้งหนึ่ง
(พระอาจารย์เมตตาให้ญาติธรรมลพบุรีที่มาสถานธรรมบ่อยๆ ออกมาวงคำในพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “จิตใจงามสว่างไสว” )
โอวาทสุดท้ายที่อาจารย์ให้วงนี้ ความหมายภายในหนักแน่น เนื้อหานั้นทำยาก เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงเรียกให้คนที่อยู่ที่นี้ คนที่นำพาที่นี้และคนที่มาห้องพระบ่อยๆ นั้นวงได้ ถ้าหากใครที่ออกมาวงแล้วยังทำไม่ถึงคำข้างในนี้ ก็ขอรู้ไว้ว่าเรานั้นต้องพัฒนาตัวเอง เปรียบเหมือนกับได้ของชนิดหนึ่ง ถ้าเราใส่สร้อยเพชรจะแต่งตัวมอซอได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นเปรียบไปแล้วเหมือนกันปณิธานอันยิ่งใหญ่ ปฏิปทาอันยิ่งใหญ่นั้นมีไว้สำหรับคนที่ต้องการจะสำเร็จจริงใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่สำเร็จจริงจึงไม่กลัวความเหนื่อยยากถูกหรือเปล่า (ถูก) ยิ่งได้รับการทดสอบ ยิ่งได้รับความเหนื่อยยาก ยิ่งตื่นใจ ยิ่งแจ้งใจ ก็ยิ่งรู้สึกว่าธรรมนี้มีค่า แต่กลับกันคนที่รู้สึกว่ายิ่งยาก ยิ่งท้อถอย ยิ่งกลัวการบำเพ็ญเช่นนี้ คนอย่างนี้ไม่มีปฏิปทาอันยิ่งใหญ่ บางครั้งศิษย์ของอาจารย์เจอความยากลำบาก เจอจนตัวเรานั้นก็ยังกลัว หากว่าศิษย์ไม่ใช่ผู้ที่พร้อมจะแบกงานอันยิ่งใหญ่แล้ว ก็ไม่ให้ศิษย์นั้นเจอความยากลำบากหรอก แต่ถ้าหากว่าศิษย์นั้นได้พบความยากลำบาก แสดงว่าเรานั้นก็มีภูมิธรรมที่ลึกซึ้ง ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่เกี่ยวข้องกับวิบากกรรมส่วนตัว วิบากกรรมส่วนตัวจะต้องไปชดใช้เอาเอง
(พระอาจารย์เมตตาประทานซ้อนพระโอวาทคำว่า “ช่วยคน” ที่ครอบออกมาจากพระโอวาท “จิตใจงามสว่างไสว” )
เนื้อหาภายในก็คือ “การช่วยคน” การช่วยคนนั้นทำให้เราเห็นตัวเองได้อย่างไร ดังเช่นว่าศิษย์ของอาจารย์ต้องการชวนคนรับธรรมะหรือต้องการไปส่งเสริมคน แต่เขาว่าเรากลับมา เราต้องใช้ความอดทนใช่หรือเปล่า (ใช่) เมื่อเราไปเรียกเขาอีกทีหนึ่งเขาบ่ายเบี่ยงอีก เราก็ต้องใช้ความพยายาม และความอดทน เมื่อเราไปเรียกเขาอีกที เขาบ่ายเบี่ยงอีก เราต้องใช้ความพยายาม การช่วยคนนั้นไม่ใช่ว่าช่วยให้เขารับธรรมะเท่านั้น เราอาจจะช่วยให้เขามีความลำบากใจน้อยลงด้วยวาจาที่ปลอบประโลม การให้กำลังใจ ก็ทำให้เขามีกำลังใจที่จะสู้ชีวิตต่อไป สิ่งนี้ก็เป็นการช่วยคน แต่การช่วยคนที่ยิ่งใหญ่ในตอนนี้ก็คือการช่วยคนให้ได้รู้ประตูเกิดตาย ให้รู้ว่าตายแล้วตัวเองจะไปไหน การช่วยคนให้เขานั้นมีกิน มีเงินใช้นั้นเป็นการช่วยเพียงชั่วคราว เป็นบุญอันเล็กน้อย แต่ถ้าศิษย์ไปช่วยใครสักคนให้ได้รับธรรมะได้ นั่นก็คือการช่วยให้คนๆ หนึ่งเป็นพุทธะได้ แต่การช่วยคนจะต้องช่วยให้ตลอดรอดฝั่ง ไม่ใช่ช่วยเพียงครึ่งทางแล้วก็ปล่อยเขาไว้
“นัยหนึ่งฝึกใจเย็น แก่กล้า”
คือฝึกความใจเย็นของเราให้เป็นคนที่ไม่มีกิเลส ให้เป็นคนที่ไม่มีอารมณ์ ให้เป็นคนที่มีนึกคิดดีสามารถควบคุมความนึกคิดของตนได้ อีกนัยหนึ่งให้เป็นการสร้างกุศล แต่อย่าไปยึดติดในกุศล
“รู้อย่างนี้อย่าช้า ช่วยได้ช่วยกัน”
เมื่อเราช่วยใครได้ อย่าได้ผัดวันประกันพรุ่ง อย่าได้เกียจคร้านจนกลายเป็นดินพอกหางหมู เมื่อเราแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่ในการโปรดคน ในการช่วยคน คนเท่านั้นจึงสามารถที่จะช่วยคนได้ หากไม่ใช่คนแล้วจะช่วยคนได้เท่ากับคนช่วยคนไหม (ไม่ได้) แม้อาจารย์จะเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ก็ยังช่วยคนได้ไม่เท่ากับที่คนช่วยคนเลย อาจารย์สามารถช่วยได้แต่ไม่สามารถที่จะช่วยได้ตลอดเวลา อาจารย์ยังเกิดความละอาย ศิษย์ของอาจารย์เกิดเป็นคนทั้งที ไม่ช่วยคนด้วยกันแล้วศิษย์จะช่วยใคร
การช่วยคนนั้นเกี่ยวข้องอะไรกับจิตใจอันสว่างไสว จิตใจงามคือจิตใจที่ไม่มีกิเลส จิตใจอันสว่างไสวคือจิตใจที่เปรียบประหนึ่งมีดวงตะวันเข้าไปอยู่ในจิตใจของเรา ใจเรากว้างพอที่จะใส่ดวงอาทิตย์ทั้งดวงไหม แค่เรานึกดวงอาทิตย์ก็อยู่ในจิตใจเราแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) ความสว่างนี้เกิดได้ด้วยปัญญา สว่างนี้เกิดจากการช่วยคน หากว่าเราช่วยคน เราจะมีจิตใจที่สว่างไสวได้ไหม (ได้) ปกติเราอยู่บ้านคนเดียวทุกวัน เราไม่เคยที่จะให้ใครมาขัดเกลาเรา ไม่เคยยอมให้ใครมาเตือนสติเรา ถามว่าที่สุดแล้วการที่เราอยู่กับบ้านเฉยๆ นี้สำเร็จเป็นพุทธะได้หรือไม่ (ได้) ในทางกลับกันการที่เราออกไปข้างนอกเพื่อช่วยคน เห็นคนไม่มีข้าวกินก็ช่วยเขา เห็นคนไม่มีธรรมะก็ช่วยเขา เห็นคนที่เขามีความทุกข์เราก็ช่วยเขา คนเช่นนี้จึงจะมีชื่อเสียง ชื่ออันหอมหวน แล้วศิษย์รู้จักใครบ้าง รู้จักพระพุทธเจ้า ถ้าพระองค์อยู่ในวังเสวยสุข ศิษย์จะรู้จักท่านไหม (ไม่รู้จัก) ทุกๆ วันพระองค์ก็เดินออกไปโปรดคน ไม่ได้นั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิ์เท่านั้น สรุปแล้วการที่เราช่วยคนนั้นเป็นการยอมให้เขาขัดเกลาเราจึงจะสามารถมีจิตใจอันสว่างไสวได้ ถ้าหากเราไม่ช่วยคน วันๆ อยู่แต่บ้าน จิตใจของเราก็เป็นจิตใจที่สว่างไม่ขึ้น อยากจะสว่างแต่ไม่ยอมจะสว่างเสียที ถ้าเราออกไปพบผู้คน ให้คนเขาติเราบ้าง เราช่วยเขาบ้างความเมตตา ความอารี ความเข้าใจเห็นอกเห็นใจคนอื่นก็จะบังเกิดขึ้นในใจ การช่วยคนจึงทำให้จิตของศิษย์สว่างไสวได้เพราะเหตุนี้เอง หากไม่มีคนพูดให้เรารู้สึกตัว เราก็ไม่สามารถแก้ไขตัวเราได้ถูก เพราะน้อยคนเหลือเกินที่จะมีจิตที่สว่างไสว ขอให้ศิษย์นั้นสงบใจนึกดูก็จะรู้ว่าเรานั้นจะมีจิตใจสว่างไสว เพราะการช่วยคนได้อย่างไร ถ้าหากไม่เข้าใจที่อาจารย์พูด หลังจากที่อาจารย์ไปแล้วลองนั่งหลับตาแล้วก็คิดว่าเรานั้นจะมีจิตใจที่สว่างไสวขึ้นมาได้หรือยัง จิตใจของเราในขณะนี้สว่างไสวพอแล้วหรือ สว่างเหมือนกับพระอาทิตย์ยามฉายแสง ไม่ใช่สว่างเหมือนกับพระอาทิตย์ตอนตกดิน
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับแม่ครัว)
อาจารย์มานานแล้ว อันว่ามีพบก็ย่อมมีพรากเป็นธรรมดาเหลือเกิน อาจารย์มาในวันนี้เป็นวันที่สองของการประชุมธรรม ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์จะฟังอาจารย์ จะเข้าใจจิตใจของอาจารย์ อาจารย์อยากจะบอกว่าการมีชีวิตเป็นมนุษย์นั้น แต่หากศิษย์ไม่ลืม บางทีเรายังรู้สึกว่าจิตใจของเรานั้นสามารถสั่งสอนตัวเราได้ใช่หรือไม่ (ใช่) จิตนั้นเป็นจิตพุทธะแต่ด้วยความเป็นมนุษย์ กลับปล่อยตัวเราเป็นน้ำในแก้ว ปล่อยให้สังคมบีบรัดเรา เราจึงเปลี่ยนไปๆ ทุกวัน ตั้งแต่วันนี้ลองให้สัญญากับตัวเอง เราเริ่มต้นใหม่ สิ่งใดเคยพลาดพลั้ง เราบอกตัวเองว่าเราจะแก้ไข อาจารย์เชื่อว่าไม่สายเกินไปสำหรับคนที่คิดว่าจะแก้ไขตัวเอง ธรรมะล้ำค่าก็เท่านั้น ถ้าหากว่าศิษย์นั้นไม่ปฏิบัติ คนข้างหน้าผู้ปฏิบัติงานธรรมจะดีเท่าไรก็เท่านั้น ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์ไม่รู้ว่าเขานั้นบำเพ็ญอย่างไร บำเพ็ญดีอย่างไร ที่ว่าดีนั้นดีอย่างไร ไม่เคยไปใส่ใจดูแลตัวเราว่าเป็นอย่างไร ดูนักธรรมอาวุโสเหมือนกับนั่งดูทีวี ดูบางคนนั้นก็ดูสนุกสนานดี บางคนนั้นก็ดูแล้วไม่สนุก เราเคยคิดไหมว่าเราจะทำอย่างเขา เคยคิดไหมว่าเราจะเดินทางเส้นเดียวกับพุทธะและในที่สุดเราจะหลุดพ้นกลับคืนขึ้นนิพพาน อาจารย์บอกแล้วคนที่คิดว่าตัวเองทำได้ก็ย่อมที่จะทำได้ พระพุทธเจ้าเมื่อก่อนนั้นก็มีร่างกายเป็นมนุษย์เช่นศิษย์ อย่าไปพูดถึงกุศลที่ท่านสร้างมานาน เพราะว่าตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่มีเวลาที่จะไปสร้างกุศลห้าร้อยชาติแล้ว ก็ย่นย่อห้าร้อยชาตินั้นให้เหลือชาติเดียวที่เรามีชีวิตอยู่ ดีกว่าปล่อยชีวิตของเรานั้นให้เปล่าประโยชน์ ร่างกายเกิดมาครบสมบูรณ์แต่กลับไม่ทำอะไรเลย วันๆ ก็ยุ่งอยู่กับชื่อเสียงเกียรติยศ วันๆ ก็อยู่แต่คนนี้รักคนนี้ เกลียดคนนั้น ชอบคนนี้ ไม่ชอบคนนี้ ของอันนี้สวยหรือว่าของอันนี้ไม่สวย สิ่งเหล่านี้ทำให้ศิษย์พ้นขึ้นนิพพาน แต่กลับจะยิ่งดึงใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นสิ่งใดวางได้ ปลงได้ให้เริ่มวันละนิด วันละหน่อย การบำเพ็ญธรรมนั้นไม่ยากสำหรับคนที่พยายาม แต่ถ้าศิษย์ไม่พยายามจริงๆ ก็ไม่สำเร็จ อย่าบอกว่าเขาให้มาบำเพ็ญธรรม เขาให้มารับธรรมะ รู้ทางนิพพานนั้นง่าย แต่จะให้ถึงนิพพานนั้นไม่ง่าย เพราะว่าที่รู้แล้วไม่ทำก็เหมือนกับไม่รู้นั่นเอง
อาจารย์บอกไว้ว่า “จวบจนสิ้นลม” นะ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ตอนสิ้นลมแล้วค่อยมาบำเพ็ญ หรือตอนแก่มากเกินไปแล้วค่อยมาบำเพ็ญอย่างนั้นก็ไม่ทันแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนที่นี่ก็อายุมากแล้ว ตอนนี้ก็ต้องเริ่มแล้ว หากว่าไม่เริ่มวันนี้จะเริ่มวันไหน มีการพบย่อมมีการพราก เราเกิดมาในชีวิตนี้ถ้าไม่ทำตัวเป็นคนดีก็ไม่มีค่า สามวันที่มานั่งฟังตรงนี้ก็เหมือนการเริ่มต้นเท่านั้นเอง







วันจันทร์ที่ ๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑ พุทธสถานหมิงฮุย อ.เมือง จ.ลพบุรี
พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวฝอถง


อย่าลืมนะมาประชุมสามวันแล้ว ต้องแน่แน่วจากจิตใจเกษมศานต์
ต้องช่วยเพื่อนพี่น้องด้วยชื่นบาน ยิ่งนานวันยิ่งมั่นคงทวีคูณ
เราคือ
???????????? (เสียวเสี่ยวฝอถง) รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงฮุย แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามทุกท่านมีความตั้งใจในเรื่องบำเพ็ญบ้างหรือยัง


ประเทศไทยแดนนี้ดีหนักหนา เกิดกายมาพึงต้องรู้ขมันขมี
อันลาภยศใช่สิ่งแท้มองให้ดี เงินทองมีใช้ให้ถูกจึงเป็นนาย
ยุคท้ายนี้ธรรมะลงพร้อมภัยแรง อย่าหน่ายแหนงบำเพ็ญเสียก่อนจะสาย
หากเกิดความเบื่อง่ายจึงเลิกไป ต้องน่าอายเพราะยังไม่ทันลำเค็ญ
พูดนั้นง่ายลงแรงจริงจึงรู้ยาก บำเพ็ญมากพูดให้น้อยมีให้เห็น
ใจดวงน้อยยิ่งบำเพ็ญสงบเย็น ศึกษาเป็นคือผู้รู้กลับไปทำ
ทำงานใหญ่กลัวลำบากเพราะทุกข์ไม่น้อย ทุกข์น้อยน้อยจึงยิ่งระสายระส่ำ
ใจสะอาดปราศจากกิเลสครอบงำ อารมณ์ต่ำดั่งหนามบ่งออกที
จะไม่ยอมอ่อนแรงช่วยงานธรรม ช่วยเวไนยขึ้นจากน้ำส่งถึงที่
จะต้นปีกลางปีหรือปลายปี ก็จะดีอย่างนี้ทุกทุกวัน
ฮิ ฮิ หยุด





พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวฝอถง


ร้องเพลงอะไรกันหนอ ร้องกันหรือเปล่าหรือปล่อยให้คนอื่นร้องฝ่ายเดียว แล้วท่านปรบมือเปาะแปะ ยิ่งสามวันคนก็ยิ่งน้อยลงใช่ไหม แล้วใจท่านน้อยลงหรือเปล่า (ไม่น้อย) ยิ่งสามวันยิ่งต้องมั่นใจขึ้นใช่ไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ผู้ร่วมฟังและผู้ปฏิบัติงานธรรมชั้นล่างขึ้นมาชั้นเรียนข้างบน)
รู้สึกอบอุ่นไหม วันที่สามแล้วทำไมคนน้อยลงหรือว่าธรรมะนี้เป็นธรรมะไม่จริงกันแน่ จริงๆแล้วธรรมะจริงแต่คนไม่จริงต่างหาก ทานข้าวอิ่มแล้วเราเล่นอะไรหน่อยดีไหม นั่งมากๆ ก็ลงพุง
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนและผู้ปฏิบัติงานธรรมร่วมกันเล่นเกม ขยับปีก ปรบเข่า ปรบมือ กระแทกเท้า)
ท่านชอบปล่อยให้ใจเผลอไปนั่นไปนี่ วันนี้ลองมาฝึกควบคุมใจตัวเองดู มนุษย์เรามีข้อบกพร่องอยู่หนึ่งอย่างคืออะไรรู้หรือไม่ ธาตุแท้เดิมของเรามีจำกัด แต่ความอยากของมนุษย์ไม่มีขีดจำกัดจึงยากที่จะควบคุม เมื่อเรามีธาตุแท้ที่มีจำนวนจำกัด แต่ความอยากมีจำนวนไม่จำกัด การต่อสู้ก็เลยเริ่มขึ้น
เหนื่อยกันมามากแล้วใช่ไหมในสามวันนี้ เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย) ถึงจะเหนื่อยอย่างไรแต่หน้าเราต้องยิ้มสู้ให้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) เรื่องราวในโลกจะมากมายเพียงใดแต่ถ้าเรายิ้มสู้ ใจเราสู้ อะไรก็ไม่สามารถทำให้เราล้มไป แต่การสู้นั้นก็ต้องดูด้วยว่าเราเลือกใช้อะไรเป็นอาวุธ เราเลือกอะไรเป็นเกราะป้องกันให้กับชีวิตและจิตใจของเรา คนเรานั้นเมื่อเจอความทุกข์ยากลำบาก คนดีจะรู้จักนำคุณธรรมมาเป็นเกราะป้องกันและเป็นอาวุธในการต่อสู้ แต่ถ้าเป็นคนพาลเมื่อเวลาต้องต่อสู้ เมื่อเวลาพบความทุกข์ยากลำบากเขาจะเอาอะไรมาเป็นเกราะป้องกันและอาวุธบ้างล่ะ อารมณ์กิเลสหรือไม่ก็ความเห็นแก่ตน หรือไม่ก็ผลประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเราเป็นผู้ที่ศึกษามาแล้วถึงสามวัน เราก็ต้องรู้ด้วยว่าเมื่อเราต้องออกไปเผชิญกับโลกภายนอก เราจะต้องต่อสู้กับเรื่องราวหลายอย่าง เราจะชนะเขาด้วยอะไร นั่นก็คือการนำคุณธรรมมาใช้ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเกิดว่าเขาโกรธมาเราโกรธตอบ เขาว่ามาเราว่าตอบ ก็เหมือนกับว่าเราต้องรบไปไม่สิ้นสุด ฉะนั้นการต่อสู้เราต้องรู้ด้วยว่าเราจะเอาอะไรไปเผชิญกับโลกภายนอก ไปเผชิญกับปัญหาหรือความยากลำบากต่างๆ ในชีวิต ถึงแม้ว่าเรามีความอยากเกิดขึ้นมาอย่างหนึ่ง แต่ถ้าเราสามารถสกัดกั้นความอยากนั้นได้ แม้จะรู้สึกสูญเสียความรู้สึกผิดชอบไปบ้าง ก็คงน้อยมาก แต่จะมีใครบ้างล่ะเมื่ออยากขึ้นมาแล้ว พอไม่สามารถดับความอยากได้ จะสามารถรักษาคุณธรรมความดีหรือความถูกต้องได้เต็มที่ เมื่อคนๆ นี้มีความอยากก็คงจะยาก ถึงจะรักษาได้ก็คงรักษาได้น้อยเหลือเกินใช่ไหม (ใช่) ไม่เหมือนกับคนที่ดับความอยากได้ถึงแม้จะสูญเสียความถูกต้องไปบ้าง แต่ก็คงสูญเสียได้น้อยมากใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเวลาเราอยู่บนโลกนี้เราต้องรู้จักตั้งรับให้ดีแล้วก็สู้ให้เป็น แล้วสู้อย่างไรที่จะไม่ต้องสู้ไปอีกตลอดชีวิต เพราะตอนนี้เรายังมีแรงสู้ แต่เราจะมีแรงสู้ไปตลอดไหม (ไม่)
ตอนเราเด็กๆ กว่าเราจะได้อะไรมา เราจะต้องใช้ความขยันถึงจะสามารถทำอะไรสำเร็จได้ทีละอย่างๆ หรือไม่ก็ต้องมีความขยันหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าความเพียร เพียรพยายามไปให้ถึงเราถึงจะสำเร็จได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าเรื่องเล็กๆ เราสามารถสำเร็จได้แล้วมีหรือเรื่องใหญ่ๆ เราจะสำเร็จไม่ได้ใช่ไหม (ใช่) เมื่อหาเงินทองมาได้แล้ว เราก็ต้องรู้จักใช้ให้เป็น อย่าเป็นทาสของเงิน อย่าเป็นทาสของวัตถุใช่หรือไม่ (ใช่) อยู่บนโลกนี้ท่านชอบไหม ใหญ่ข่มเหงเล็ก (ไม่ชอบ) แล้วเล็กก็ไปเบียดเบียนเล็กกว่า ดีหรือไม่ (ไม่ดี) ท่านก็ไม่อยากได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) นอกจากใช้ให้ถูกแล้วเราก็ต้องรู้จักเห็นใจคนอื่นด้วย เรารู้จักหาเงินมา เราก็ต้องรู้จักใช้ เมื่อเราเป็นนายของเงินแล้ว เราก็ต้องรู้จักนำเงินไปใช้ให้ถูกต้อง ไม่ใช่เอาเงินไปตีหัวคนอื่นเล่น หรือเอาเงินมาซื้อคนอื่นอย่างนี้ก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) เงินยังไม่สามารถซื้อจิตใจของท่านได้ แต่ทำไมท่านชอบควักเงินซื้อชีวิตใช่หรือเปล่า (ใช่) หากใครมาตีราคาท่าน ท่านก็คงไม่ชอบใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นไม่อยากได้สิ่งใดกลับมาหาตัวเรา ตัวเรานั้นต้องไม่ทำสิ่งนั้นกับผู้อื่นก่อน แม้แต่กับสรรพสัตว์ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเกิดว่าเราจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นแต่ยังไม่ทันพบความยาก เราก็เบื่อไปเสียก่อน คนๆ นั้นก็ยากจะเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ เพราะว่าเป็นคนเบื่อง่าย ทำอะไรก็เลยไม่สำเร็จสักอย่างใช่หรือไม่ (ใช่) หากวันนี้มาบำเพ็ญ มาศึกษาธรรม เราบอกว่าเบื่อจังเลย ต้องมานั่งฟังตั้งนานแล้วเราก็เลิกไปอย่างนี้ ชีวิตของคนนี้จะประสบผลสำเร็จได้ง่ายไหม (ไม่) แต่วันนี้ท่านยอมทนได้ถึงสามวันก็มีโอกาสประสบผลสำเร็จในชีวิตได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
เรามีนิทานเล่าให้ฟังอยู่เรื่องหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่าชายคนหนึ่งนั้นอยู่ในหมู่บ้านหนึ่ง คนที่อยู่บ้านข้างๆ เขาเป็นคนเกะกะระราน แล้ววันหนึ่งชายคนนี้ก็เก็บของ บอกว่าเขาจะไม่อยู่บ้านนี้แล้ว เขาอยากไปอยู่ที่อื่น เพื่อนบ้านที่สนิทกับเขาอีกหลังหนึ่งที่ไกลออกไปหน่อย เขาก็ถามว่าทำไมล่ะ ก็อยู่ก่อนสิคนไม่ดีอย่างนี้สักวันก็ต้องถูกตำรวจจับ ถูกข้อหาอะไรบ้าง เพราะเขาเป็นคนไม่ดี ทุกวันก็ทำแต่สิ่งที่ไม่ดีอยู่แล้ว วันใดวันหนึ่งเขาก็ต้องโดนจับจนได้ แต่ชายคนนั้นกลับตอบว่าไม่เอา เขาไม่อยากเสี่ยง เขากลัวว่าตำรวจจะมาจับคนไม่ดีก็ตอนที่เขาถูกคนไม่ดีทำร้ายแล้วเพราะเขาอยู่บ้านติดกันใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเกิดว่ารอให้ตำรวจมาจับเขาแล้วเราค่อยแก้เหตุการณ์ตอนนั้นก็ดูจะสายไป
โลกใบนี้ก็เหมือนกับเหตุการณ์ตอนนี้ โลกภายนอกวุ่นวาย เราไม่รู้ว่าภัยสิ่งใดจะเข้ามาหาเรา ภัยสิ่งไหนจะมาทำร้ายเรา หากเรานิ่งเฉย หากเราไม่รู้จักป้องกันภัยตั้งแต่ตอนแรก เราจะมีชีวิตอยู่รอดกันไหม (ไม่) ฉะนั้นเวลามีภัยที่เกิดขึ้นเราจะต้องรู้จักหาเกราะป้องกันภัยให้กับตนเองเสียก่อน แล้วอันตรายก็จะไม่เกิดขึ้น แต่ในปัจจุบันนี้ทุกท่านที่นั่งอยู่ในที่นี้เคยระวังถึงภัยที่มองไม่เห็น เคยนึกถึงอันตรายที่อยู่ข้างนอกไหม ได้แต่อ่านหนังสือทุกวันว่าน่ากลัวจังเลยๆ แล้วก็ตูมไม่มีวันได้อ่าน ว่าน่ากลัวอีกแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) หรือไม่ก็หายไปเลย แล้วพบว่าตอนนี้ทำไมวิญญาณเราลอยอยู่แล้วตัวเราหายไปไหนล่ะ ถึงตอนนั้นคิดแก้ไขก็สายเกินไปใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้โลกวุ่นวาย เราไม่สามารถเดาได้ว่าวันใดจะเป็นเคราะห์ของเราใช่ไหม (ใช่) ทุกคนปรารถนาจะได้รับสุขจะมีใครบ้างล่ะที่จะหลีกหนีเคราะห์ภัยได้ ก็คงยากที่จะพูดใช่หรือไม่ (ใช่) ถึงแม้ว่าเราจะพูดว่าเราเป็นคนดี แต่เคราะห์ภัยที่เราเคยสร้างมาก่อน เคราะห์ภัยที่เราเคยเบียดเบียนผู้อื่น เราสามารถหลบในสิ่งที่เราทำได้ไหม (ไม่ได้) แล้ววันใดล่ะจะเป็นวันตัดสินที่เราต้องถูกทำร้าย เราก็ยากที่จะรู้ ฉะนั้นสิ่งใดที่ป้องกันได้ เราก็ต้องรีบป้องกันก่อน เหมือนโลกตอนนี้ถ้าเกิดว่าโลกตอนนี้ยากจนข้นแค้น แต่ถ้าเกิดว่าเขาคนนั้นเป็นผู้ที่รู้จักใช้ทรัพย์ เป็นผู้ที่รู้จักถนอมทรัพย์ ถึงแม้ข้างนอกจะเกิดทุกข์ภัยอะไร เขาก็สามารถมีชีวิตอยู่รอดและรู้จักใช้ชีวิตเป็น เพราะแต่ก่อนเขารู้จักใช้ตั้งแต่ตอนแรกใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเมื่อก่อนเขาเป็นคนใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เคยใช้เงินจนมือเติบแล้ว พอถึงคราวยากจน พอช่วงที่มีภัย เขาจะชินกับการกระเบียดกระเสียรใช่ไหม (ไม่) ก็คงจะยากจะแก้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเกิดว่าในทางเดียวกันตัวท่านนั้นเป็นผู้ที่รู้จักการบำเพ็ญตนขัดเกลาตน ประกอบแต่สิ่งที่เป็นคุณงามความดี ถึงแม้ว่าภายนอกจะมีอันตรายเขาคนนั้นยากจะมีอันตรายได้ ในทางเดียวกัน ถ้าเกิดตัวท่านนั้นเป็นผู้ที่รู้จักบำเพ็ญตน ขัดเกลาตน ทำแต่สิ่งที่เป็นคุณงามความดี ถึงแม้ว่าภายนอกจะมีอันตราย เขาคนนั้นจะมีอันตรายได้ไหม ก็คงยากถึงจะมีถ้ามีก็คงน้อยเต็มที ใช่หรือไม่ (ใช่) ฟังอย่างนี้แล้วก็แปลว่าเราไม่ควรนิ่งเฉยกับเรื่องราวภายนอกที่วุ่นวายใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราก็นั่งเฉยๆ ไม่สนใจการอบรม บ่มเพาะขัดเกลาตน ตอนนี้เราจะนิ่งเฉยไม่ได้ เพราะว่าโลกภายนอกง่ายที่จะทำให้ตัวเราเปลี่ยนสีแปรธาตุไปกับโลกภายนอกใช่หรือไม่ (ใช่) เราอยู่กับน้ำเน่านานๆ ตัวเราจะเปลี่ยนสีบ้างไหม (เปลี่ยน) แต่คนเราไม่ใช่สิ่งของ คนเรามีปัญญา มีความคิด มีชีวิต มีลมหายใจ เรารู้ที่จะหลีกหนีได้ รู้จักวิธีแก้ได้ ฉะนั้นถึงแม้โลกภายนอกจะเป็นน้ำเน่า แต่เรื่องอะไรเราจะยอมเน่ากับน้ำด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) หากตัวเราไม่เน่าแล้ว คนอื่นเห็นว่าเราทำได้อย่างนี้เขาก็จะมาศึกษาวิธีจากเราในที่สุด การกระทำของเราย่อมสามารถโน้มน้าวคนอื่นให้ทำด้วยยิ่งเป็นเรื่องดีใหญ่ เรียกว่าช่วยตัวเองแล้วยังสามารถเป็นการช่วยคนอื่นโดยที่ไม่ต้องพูดอะไรเลย แต่การพูดที่ดีก็ไม่เท่ากับการกระทำที่ดี เพราะการพูดอาจจะหมดค่าถ้าคนนั้นทำไม่ได้เลยใช่หรือเปล่า (ใช่)
เราจะเล่าเรื่องหนึ่งให้ท่านฟัง เรื่องมีอยู่ว่าจะเรียกว่าคนก็ไม่ใช่ จะเรียกว่าสัตว์ก็ไม่เชิง เราสมมติว่าเป็นสิ่งๆ หนึ่ง เขามีอยู่อย่างเดียวคือใจจะไปไหนก็ได้ดังใจคิด จะลอยไปฟ้าก็ง่าย จะลงดินก็ง่าย ลงไปถึงไหนแล้วเขาก็สามารถกลับมาได้อย่างเดิม ไม่เหมือนท่านลงดินแล้วไม่ยอมขึ้นฟ้า แล้วเขาก็มีเพื่อนอยู่สองคน เพื่อนคนหนึ่งอยู่บนฟ้า เพื่อนคนหนึ่งอยู่บนดิน ทุกวันเขาจะต้องไปเยี่ยมบนฟ้า แล้วก็ลงไปเยี่ยมเพื่อนบนดิน จนกระทั่งเพื่อนบนฟ้าและบนดินเห็นใจเขา ก็เลยบอกว่าท่านไม่ต้องมาเยี่ยมหรอก ท่านอยู่ตรงกลางนั่นแหละ เดี๋ยวเราจะมาเยี่ยมท่านเอง เพราะว่าคนที่อยู่บนฟ้ากับบนดิน จากดินไม่สามารถจะขึ้น จากฟ้าไม่สามารถลงดินได้ เขาเลยนัดหมายกันมาเจอคนที่อยู่ตรงกลาง พอเขานัดมาเจอเขาก็รู้สึกว่าเขาสงสารเพื่อนคนนี้จังเลย หู ตา จมูก กายก็ไม่มี เขาก็เลยจะช่วยกันตกแต่งคนๆ นี้ เขาก็เลยเติมหู ตา จมูกให้เขามีกาย หู ตา จมูก ไม่มีใจดวงเดียว เพื่อนคนนี้ของเขาก็บอกว่าจะดีหรือ เขาก็บอกว่าดีซิๆ เพราะว่าท่านมักจะไม่เห็นในสิ่งที่เขาเห็น ท่านมักจะไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาได้ยิน เพราะท่านมีแต่ใจดวงเดียวที่ลอยไปไหนมาไหนเท่านั้นเอง เขาก็บอกว่าจริงๆ แล้วเขาก็มีความสุขแล้ว ทำไมต้องมาเติมหู ตาให้เขาล่ะ เพื่อนก็บอกว่าทำเถอะๆ ทำแล้วดี เขาก็เริ่มเชื่อ ทำแล้วดีหรือก็น่าลอง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่บางครั้งเราลืมว่าทำไปว่าลองไปแล้วกลับคืนมาเหมือนเดิมไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ประเภทกลับมาเหมือนเดิมไม่ได้ เราไม่รู้ว่าเราเป็นประเภทนั้นหรือเปล่า แต่ก็ทำกันทุกคนเลย และกลับมาไม่ได้สักคนเลย ใช่ไหม (ใช่) เพราะว่าเติมตา หู จมูกแล้ว แล้วก็กลับประเภทเหลือใจดวงเดียวไม่ได้ พอเติมตา หู จมูกได้แล้ว ลงดินเป็นอย่างเดียว พอเขาเจอะให้เสร็จ พอเพื่อนเติมตาให้แล้ว เขามีตาเขาก็บอกทำไมตรงนี้ถึงสวยขนาดนี้ พอลงไปข้างล่างทำไมน่ากลัวขนาดนี้ พอเขาขึ้นไปข้างบนข้างบนสวยจังเลย เขาไม่เคยเห็นก็เลยดีใจที่ได้เห็น พอเขาเติมหูอีกเขาก็บอกว่าคนนั้นพูดเพราะจังเลย ทำไมคนนี้พูดไม่เพราะเลย ทำไมคนนี้พูดเบา เขาก็ยังได้ยินอีกว่าทำไมคนนี้พูดไปมีน้ำเสียงเยาะเย้ยจังเลย แล้วพอถูกเติมให้มีร่างกาย ถูกตัดให้มีร่างกาย เขาก็ร้องว่าเจ็บ อย่าตัดแรงเขาก็ยอมเจ็บเพื่อที่จะได้มีร่างกายเหมือนคนอื่นเขา พอเขาเติมครบหมดแล้วทั้งหู ตา จมูก เพื่อนคนนี้ก็กลับ คนที่มาจากฟ้าก็กลับสู่ฟ้า เพื่อนคนที่มาจากดินก็กลับสู่ดิน ผ่านไปหนึ่งเดือนเพื่อนที่อยู่บนฟ้ากับเพื่อนที่อยู่บนดินก็งง ทำไมเขาไม่กลับไปเยี่ยมให้ทายว่าเพราะอะไร (เพราะว่ายึดติดในร่างกาย หลงกิเลส เพราะติดในรูปรสกลิ่นเสียง) เพราะเขามัวติดใจกับตาที่เขามองเห็น หูที่เขาได้ยิน ร่างกายที่เขาได้รับ แล้วพอเขามีร่างกายแล้วการจะขึ้นฟ้าลงดินนั้นก็ยาก เพราะว่ามีกายแล้วก็หนักยากที่จะเบาขึ้นไปได้ใช่หรือไม่ (ใช่) และถ้าเกิดมีกายนี้แล้วยังไม่ตายก็ยากที่จะลงดินได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วตัวท่านเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เพราะว่าพอมี หู ตา จมูก เราก็หลงอยู่กับหู ตา จมูก ลิ้น และเราก็หลงลืมใจดวงนี้ใช่หรือไม่ (ใช่) ผลสุดท้ายเพื่อนที่อยู่ข้างล่างก็มา เพื่อนที่อยู่บนฟ้าก็ลงมา ปรากฏว่าเห็นเขาตายเรียบร้อยแล้ว เพราะคนที่ไม่เคยได้มอง เวลามองก็ลืมยับยั้ง เพราะเวลาคนที่ไม่เคยได้ยิน เมื่อได้ยินก็ได้ยินเสียหมดทุกอย่าง จนลืมปิดหูก็เลยหนวกไปเลย เพราะคนที่ไม่เคยมีปากเวลามีปากก็เลยพูดๆ พอมีกายเขาก็เดินๆๆ ตรงไหนไม่เคยเที่ยวเขาก็ไปๆๆ อะไรไม่เคยกินเขาก็กินๆๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราอยากเป็นอย่างนี้ไหม
สมัยก่อนมีปราชญ์ท่านหนึ่งสามารถมองเห็นการณ์ไกลได้ เพราะว่าเพียงเห็นจักรพรรดิใช้ตะเกียบทอง ท่านก็กลัวแล้วว่าแผ่นดินที่จักรพรรดินี้ครองต้องล่มสลายแน่ เพราะอะไรเขาถึงคิดอย่างนั้น (มองเห็นว่าเป็นของใช้ยังต้องใช้ตะเกียบทองแล้วต่อไปข้างหน้าก็ต้องเป็นคนที่ฟุ้งเฟ้อ ใช้ของที่ดีๆ แล้วก็มีราคาแพง) นั่นก็คือเมื่อใช้ตะเกียบทองเขาจะใช้ชามพลาสติกได้ไหม (ไม่ได้) ก็ต้องใช้ชามที่ทำจากทอง เมื่อใช้ชามทองตะเกียบทอง ก็ต้องนั่งเก้าอี้บุทองใช่ไหม (ใช่) เมื่อนั่งเก้าอี้บุทองแล้วโต๊ะจะเป็นอะไร (ทอง) โต๊ะก็ต้องทอง เมื่อโต๊ะทอง เก้าอี้ทอง ชามทอง ตะเกียบทองแล้ว จะนั่งอยู่ในห้องธรรมดาไม่บุทองได้ไหม (ไม่ได้) เมื่อต้องใช้ทองมาก ทองที่มีอยู่ในคลังก็ต้องหมด ก็ต้องไปขอจากราษฎร ให้ราษฎรไปหาทองมาให้ ถ้าเกิดมีนางสนมก็ต้องใส่ทอง แล้วเพื่อนร่วมโต๊ะก็ต้องมีทอง ถ้าเราเป็นคนที่รักคุณธรรมคนที่ใกล้ชิดเราก็ต้องเป็นคนมีคุณธรรม คงไม่ใช่นักเลงหัวไม้หรอกนะ ตอนนี้เรามีชีวิตอยู่ใกล้กับคนดี คนร้าย หรือว่าคนน่ากลัวกันล่ะ (คนดี) มีทั้งดีและร้ายใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าตอนนี้เรานึกไปในชีวิตเรารู้สึกว่ามีแต่คนร้ายรอบข้างเลยแสดงว่าเราก็เป็นคนประเภทเดียวกันใช่ไหม (ใช่) แต่เราก็ต้องคิดด้วยว่าเรามีความคิดที่ดีหรือเปล่า บอกว่าฉันดี แต่คนอื่นไม่ได้เรื่อง อย่างนี้ก็ไม่ถูก เมื่อความคิดของตัวเองไม่เที่ยงก็เลยว่าคนอื่นไม่เที่ยงไปด้วยใช่ไหม
“ทำงานใหญ่กลัวลำบากเพราะทุกข์ไม่น้อย ทุกข์น้อยน้อยจึงยิ่งระส่ายระส่ำ”
ทำงานใหญ่พอเจอปัญหามากเราก็ไม่ทำ พอทำงานน้อยมีทุกข์เล็กน้อยเราก็ไม่ทำใช่หรือเปล่า ฉะนั้นไม่ว่าเราจะทำงานอะไร หากเรามีความตั้งใจแม้จะมีอุปสรรค ความยากลำบากเราไม่ย่อท้อเราก็สามารถเป็นผู้ที่ยึดกุมความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จะสำเร็จยิ่งใหญ่ได้เราต้องรู้จักทำงานเล็กๆ ให้เป็นเสียก่อน เป็นผู้บำเพ็ญก็ล้วนแต่ต้องยากลำบากทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเกี่ยงงอนหรือเปล่า รักแต่สบายแล้วใครจะเรียกเราเป็นปราชญ์ เป็นพุทธะก็คงยาก เพราะพุทธะทุกพระองค์ล้วนสำเร็จไปจากการฝ่าความยากลำบาก ฝ่าความทุกข์ยากนานาประการ มีความเสียสละ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะท่านฝ่าได้ ทนลำบากได้คนจึงเคารพกราบไหว้ท่าน แต่ถ้าชีวิตนี้เราไม่เคยฝ่าความลำบากเลยเอาแต่รักสบายอย่างเดียวใครจะเคารพเรา ใครจะนับถือเราก็คงยากใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นศึกษาบทเพลงพระโอวาทร่วมกัน)
ตอนนี้เราจะมาจับปูใส่กระด้ง กระด้งนี้เป็นกระด้งแห่งพุทธะที่จะร่อนพุทธะกลับคืนไปเบื้องบนใช่หรือไม่ (ใช่) ท่านอยากเป็นพุทธะที่อยู่ในกระด้งหรือตกกระด้งดีล่ะ (ในกระด้ง) อย่างนั้นปูก็อย่าดิ้นมากดีไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนที่ลุกไปจากชั้นออกไปพูดธรรมะให้นักเรียนในชั้นฟัง)
ท่านมา ๒ วันเกือบจะ ๓ วันแล้วลองพูดธรรมะให้เราฟังบ้างดีไหม (วันนี้ภูมิใจและดีใจที่ได้ฟังธรรมะจากที่ท่านสอน เพื่อจะนำไปปฏิบัติแล้วก็สอนผู้อื่น) แต่เราได้ยินมาคนเราพอมัวแต่คิดว่าจะสอนคนอื่นมากเกินไปบางทีก็ทำให้เราลืมสอนตัวเอง ต้องบอกว่าพร้อมที่จะสอนเขาได้และพร้อมที่จะรับการสอนจากเขาใช่หรือเปล่า (ใช่) ท่านจะขยันบำเพ็ญดีไหม (ดี) เมื่อขยันบำเพ็ญท่านก็ย่อมสำเร็จได้ใช่ไหม (ใช่) ขยันเหมือนตอนเด็กๆ บอกว่าอยากทำการบ้านให้เสร็จก็ต้องขยันทำ อยากคิดเลขเป็นก็ต้องขยันคิด อยากเป็นพุทธะก็ต้องขยันบำเพ็ญ
เราชอบเวลาท่านยิ้ม เราอยากเห็นท่านยิ้มมากกว่าทุกข์ ถึงแม้บางครั้งเราจะผิดพลาดหรือผิดหวัง แต่ก็เป็นเรื่องของวัตถุและรูปนามทั้งนั้นใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าใจของท่านยังมีอยู่ ชีวิตของท่านยังมีลมหายใจ มีร่างกายอยู่ ท่านก็ยังสามารถกลับตัวได้ ท่านก็ยังสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ สิ่งใดผ่านไปแล้วผิดไปแล้ว ขอให้จำเป็นบทเรียน แล้วเราจะไม่ทำผิดอีก หากว่าเราผิดไปแล้วแต่เราไม่มีชีวิตให้กลับตัวนั่นสิน่าสงสารใช่หรือไม่ (ใช่) ขณะนี้เรามีเวลาแก้ตัวใหม่มีเวลาได้เริ่มต้นใหม่ ในทุกๆ วัน เราได้เริ่มต้นวันใหม่ เราก็ต้องแก้ไขให้เป็นคนใหม่ให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกวันคือวันที่ดี แต่อยู่ที่ว่าเรา จะทำดีหรือไม่เท่านั้นเอง ไม่ได้สิ่งใดบ้าง ได้น้อยบ้างก็ไม่ต้องเสียใจ ขอเพียงพอใจในสิ่งที่เรามีก็เป็นสุขแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) อะไรที่มันเป็นไปแล้วก็ไม่ต้องกังวลกับมันมากนัก เพราะเราไม่สามารถรั้งอะไรได้แม้ชีวิตของเราเอง สิ่งของลาภยศชื่อเสียง ใครจะรั้งได้ เวลาหยิบก็หยิบได้แค่สองมือ เวลาถือก็ถือได้สองมือ ถึงแม้จะเหน็บเอวก็ได้ข้างหนึ่ง พอจะเหน็บอีกข้างหนึ่งก็รู้สึกเกะกะ ฉะนั้นอย่าไปหวังมากเลยกับโลกโลกีย์ ชีวิตที่แท้จริงที่เราควรหวังก็คือ หวังเพื่อจะให้ได้เป็นคนดีต่างหาก ไม่ใช่หวังเพื่อจะมีแต่วัตถุ มีแต่ชื่อเสียง อะไรผิดไปแล้วก็แล้วไป เดี๋ยวจะแก้ให้ได้ ไม่ใช่ช่างเถอะเดี๋ยวทำใหม่
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นจับมือต่อๆ กัน)
จับมือกันแล้วเราจะได้ไปด้วยกันดีหรือเปล่า (ดี) เราจะไปพร้อมกันดีไหม แต่ตอนนี้จะไปพร้อมกันไม่ได้ เพราะท่านยังต้องศึกษาต่อ บำเพ็ญต่อใช่หรือเปล่า (ใช่) อย่าเป็นเหมือนนิทานที่เล่าให้ฟังเมื่อสักครู่นี้นะ ไปไหนก็ไม่ได้เพราะมัวหลงกับหู ตา จมูก ลิ้น ใช่ไหม (ใช่) ขอตั้งใจบำเพ็ญให้ดีนะ





[๑] อารมณ์เจ็ด ยินดี, โกรธ, เศร้า, สุข, รัก, พยาบาท, อยาก


[๒] อนุชน คนรุ่นหลัง, คนรุ่นต่อไป


[๓] ทำนุ บำรุง, อุดหนุน


[๔] อาภา แสง, รัศมี, ความสว่าง





พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ช่วยคน”

การช่วยคนส่งให้ ตนเห็น ตนเอง

นัยหนึ่งฝึกใจเย็น แก่กล้า

อีกนัยหนึ่งให้เป็น การสร้าง กุศล

รู้อย่างนี้อย่าช้า ช่วยได้ ช่วยกัน

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา