PDF 2541-08-22-อิ๋งเซิ่ง #13.pdf
วันเสาร์ที่
๒๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑ พุทธสถาน อิ๋งเซิ่ง
จ.อุตรดิตถ์
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
ชีวิตนี้มีสิ่งใดที่ยั่งยืน ไยไม่ตื่นจากฝันร้ายอันนี้หนา
ในครานี้ฟ้าส่งสายทองมา หวังรุดหน้าบำเพ็ญกลับนิพพาน
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซิ่ง เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงสราญฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา
ฮวา
ในครานี้มีบุญร่วมสถาน หวังน้องท่านตั้งใจศึกษาซึ่งวิถี
ธรรมแยบยลแจ้งในตนภายนอกไม่มี ขอน้องพี่รู้แล้วไม่ทำนิ่งเสีย
ด้วยสามชาติมีบุญเป็นอย่างน้อย ขอน้องค่อยค่อยศึกษาอย่างถ้วนถี่
ขอจิตใจเปิดกว้างให้พอดี โพธิ์ต้นใหญ่หยั่งรากพลีซึ่งร่มเงา
ภัยใกล้ตัวยังไม่รู้ถึงภัยหนัก ขอตระหนักให้ดีดีไหมหนา
สังคมร้ายภัยจากคนทุกเวลา ขอน้องมาแปรจิตตนกลับสกาว
ด้วยชีวิตใช่ว่าจะถาวรไป ยุคสามใจอย่ากังขาให้เหน็บหนาว
ขอให้ใช้เวลานี้ประโยชน์เข้า ให้ยืนยาวด้วยคุณธรรมบารมี
อาจมีทุกข์อยู่รอบยากดิ้นหลุด แต่ที่สุดมีสุขบ้างอย่าได้หลง
วนเวียนว่ายเกิดตายใดมั่นคง ได้ทางตรงขอเดินหน้าให้สุดตัว
จงรอบคอบชอบกิเลสมีทุกข์หนัก โลภโกรธรักหลงทวียากบรรลุ
เรียนพุทธะต้องตั้งใจใช่ปะทุ ใจรุดรู้รุดแก้ไขให้ดีงาม
ในชาตินี้มีโอกาสอย่างดีแล้ว ใจเพริศแพร้วกายสมบูรณ์จงก้าวหน้า
ขอให้รู้จักตนเองได้คืนฟ้า เรือธรรมาใกล้ออกแล้วน้องเร่งเพียร
สองวันนี้ขอตั้งใจมาให้ครบ กลับออกไปฝึกฝนจบได้คืนฟ้า
ฝึกพุทธะยากกว่าการฝึกนานา คนชักช้าไม่รับผิดยากเดินถึง
อย่าว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นแสนยาก แม้ลำบากกะเทาะกิเลสที่สั่งสม
ตลอดทางต้องปล่อยวางจึงน่าชม อารมณ์คมยิ่งกว่ากริชพึงระวัง
ในวันนี้รักษาระเบียบให้เคร่งครัด จิตวางจัดให้โปร่งเบาให้เหมาะสม
เป็นดอกบัวที่แม้ขึ้นจากโคลนตม ปัญญาคมไม่เปรอะเปื้อนตามขึ้นมา
ขอจงรู้ว่าโชคดีกว่ารวยทรัพย์ ถ้าได้กลับสู่นิพพานได้หลุดพ้น
จงรู้ใช้ชาตินี้มีกายคน ตนทุกข์ทนแต่อย่าเมินเหล่าเวไนย
แล้วพี่นั้นยืนคุมข้างบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา
หยุด
วันเสาร์ที่
๒๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑ พุทธสถาน อิ๋งเซิ่ง
จ.อุตรดิตถ์
พระโอวาทท่านแปดเซียนหันเซียงจื่อ
ในการจะบำเพ็ญธรรมนำชีวิต ไม่ติดแม้อัตตาแลกังขา
ยากสำเร็จบรรลุผลแห่งมรรคา ทุกเวลาซ่อมจิตตนฝึกชีวี
หากแม้หมั่นขัดเกลาจิตให้สะอาด ย่อมไม่พลาดทางไกลได้สุขี
หากแม้ปล่อยตามใจตนย่อมยากดี ทางวิถีแม้ย่นสั้นก็ยากคืน
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซิ่ง แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
ความอ่อนน้อมคือคุณสมบัติของผู้บำเพ็ญ จะร้อนเย็นมีสติไม่โผงผาง
วันเวลาได้ผ่านสอนทุกอย่าง อหังการ[1]อย่างรวดเร็วขอบไรหรือยากแก้
กิเลสพาไปหุบเหวไม่พบฝั่ง รู้แล้วห่างยืนยันการบำเพ็ญแท้
คนมากหน้าก้าวย่างอย่างอ่อนแอ กิเลสเท่าไรในจิตแก่สุกงอม
มีหรือยังจิตอดทนดลสว่าง ตระหนักบ้างขัดเกลาใจให้งามพร้อม
ภาวะการณ์คับขันยุควัตถุรายล้อม ต้องเคี่ยวเข็ญตนละปลอมบำเพ็ญจริง
ล้อขับเร็วพลิกพลิ้วย่อมอันตราย ชีพพลาดง่ายพ่ายเมื่อไหร่ต้องผวา
เห็นใบไม้ตื่นภัยร่วงลงมา เตือนเมธาชีพมีค่ารู้จักใช้
ฮา ฮา หยุด
คำสื่อความหมายข้างในจิตใจนั้น คำชมคำหวานซ่อนขื่นขม คำจริงขัดหู
หากทำตามงามสม
ขับขานคำควรพอดี
ดูแลการคิดพูดทำงามเพียบพร้อม ชนควรถนอมไม่แบ่งสี
สู่การบำเพ็ญแล้ว ให้จงสวัสดี
มิเห็นกงจักรเป็นดอกบัว
* สว่างไสวดั่งเช่นแสง
ไม่หน่ายแหนงการส่องไฟ ถึงมีเวไนยคืนมา ทั่วโลกต้องร้อนโดยเภทภัย อย่าหลงเพลินปล่อยใจ
ตามความก้าวไกลของโลกพัดพา
มีใจศึกษาเปิดปัญญามาใช้ แปรความงมงายโดยหลักธรรม
บำเพ็ญกลางยุค วุ่นวายกลางขวากหนาม
ทุกวันเฝ้าปรามจิตให้ตรง
(
ซ้ำ *
/ * )
เพลง
: คิดก่อนพูด
ฟังพึงคิด
ทำนองเพลง :
เพียงใจคงเดิม
พระโอวาทท่านแปดเซียน
หันเซียงจื่อ
เมื่อสักครู่นี้ร้องเพลงไปทำท่าไปมีความสุขหรือเปล่า
(มี) ถ้าตัวเรามีความทุกข์
เอาทุกข์ที่มีอยู่ในจิตใจออกแล้วหยิบความสุขมาใส่ไว้ในใจแทน
ความสุขก็จะบังเกิดได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้ความสุขจะอยู่ข้างหน้า
อยู่ใกล้ตัวเรา แต่ถ้าเราไม่สามารถลืมความทุกข์ได้
ความสุขอื่นใดก็ไม่สามารถเกิดขึ้นในชีวิตได้
ฉะนั้นชีวิตแม้จะทุกข์เช่นไร ถ้าเรารู้จักควบคุมดำเนินชีวิต
รู้จักนำทางชีวิตตนแล้ว ก็ไม่ยากเกินไปที่จะหาความสุขในโลกนี้ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วถ้าบอกว่าชีวิตนี้จริงๆ
แล้วมีทุกข์ อยู่ที่ตัวเราจะเดินไปหาความทุกข์แล้วหยิบความทุกข์ใส่ตนหรือไม่ต่างหากใช่หรือไม่
(ใช่)
“หากแม้หมั่นขัดเกลาจิตให้สะอาด”
หากทุกวันหมั่นชะล้างสิ่งสกปรก
ความสกปรกก็ยากจะเกิดใช่หรือไม่ (ใช่) หากทุกวันหมั่นทำความดี
ความชั่วร้ายก็ยากจะบังเกิดใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ในความเป็นจริงทุกท่านในที่นี้ชะล้างทำความสะอาดกันก็แต่เพียงร่างกาย
ด้วยสิ่งที่มองเห็นเปลือกนอกเท่านั้น
แต่ภายในจิตใจมองไม่เห็น ก็ไม่ยอมรับรู้ แล้วก็ไม่ว่าที่มองไม่เห็น
ที่ไม่รับรู้นั้นไม่เป็นไร
ท่านจะทำอย่างนั้นไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) อารมณ์ที่เรามองไม่เห็น
ยังมีอำนาจต่อตัวเราได้
ฉะนั้นสิ่งที่เรามองไม่เห็น เรายิ่งต้องระมัดระวัง
ยิ่งต้องควบคุมดูแลให้ใกล้ชิด
เพราะว่ายิ่งเราประมาทยิ่งเราพลาด สิ่งที่คาดไม่ถึงนั้นอาจจะเกิดขึ้นกับเราได้เสมอใช่หรือไม่
(ใช่) ฉะนั้นยิ่งมองไม่เห็นยิ่งยากจะจับกุม ดังนั้นเรายิ่งต้องระมัดระวังและดูแลเอาใจใส่
ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าถามว่าเมื่อสักครู่เรามีความสุขไหม ก็ต้องตอบว่ามีใช่หรือเปล่า แต่ชีวิตที่ผ่านมามีความสุขไหม ทุกคนก็คงจะตอบว่า (สุขบ้างทุกข์บ้าง) แต่ถ้าประเมินแล้วทุกข์มากกว่าสุขใช่หรือไม่
(ใช่) เพราะอะไรกันล่ะ เพราะใจนี้มักจะติดความทุกข์มากกว่าติดความสุขใช่หรือเปล่า ใจท่านอยากจะพบสุขแต่ทำไมไม่ได้พบสุขสักที (ใช่)
การอยู่ร่วมกันของคนในสังคมนั้น
เราไม่อยากให้เขาหลอกลวงเราใช่หรือไม่ เราอยากให้คนที่เราอยู่ด้วยเป็นคนที่จริงใจ
และเป็นคนที่รักเราจริงใช่หรือเปล่า (ใช่) ความจริงใจและการรักเราจริงนั้น
ขึ้นอยู่กับผู้อื่นหรือตัวเรา (ตัวเรา) ขึ้นอยู่กับตัวเราเองว่าเรามีท่าทีกับคนๆ
นั้นเช่นไร ถ้าเรามีท่าทีด้วยความจริงใจ
ความศรัทธาและอยากคบเขาเป็นมิตร
แม้วันนี้เขายังไม่เชื่อมั่นในตัวเรา แต่ถ้าเราหมั่นทำอย่างนี้ทุกๆ ครั้งที่เจอเขา
ความเปลี่ยนแปลงในตัวเขาก็บังเกิดขึ้นได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการอยู่ร่วมกันของคนในสังคมนั้น
สิ่งแรกก็คือความจริงใจต่อกัน
นอกจากความจริงใจ เรายังต้องมีความศรัทธาต่อกัน หากเราพบกับเขา ความศรัทธาก็ไม่มี
ความจริงใจก็ไม่มี ความเป็นมิตรก็ย่อมยากที่จะบังเกิด
จะกลับกลายเป็นศัตรูแทนใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วท่าทีที่เราจะเดินไปหาเขาหรือท่าทีในการอยู่ร่วมกับคนในสังคมควรเป็นเช่นไร
(อ่อนน้อมถ่อมตน) ความอ่อนน้อมเป็นจุดเริ่มต้นของการวางตัวที่เหมาะสม
หากเรารู้จักความอ่อนน้อม เวลาเราจะไปอยู่กับใคร เขาก็ต้องยินดีรับเราเป็นมิตรและยินดีรับเราเข้ากลุ่มกับเขาด้วย
ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเราต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่นแต่ถ้าเราใช้ท่าทีที่หยิ่งผยองอยู่เหนือเขา
เราก็ไม่สามารถอยู่ร่วมกับกลุ่มคนในสังคมนั้นได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ชีวิตสอนให้เรารู้จักว่าเวลาเราทำอะไรนั้นเราต้องคิด
เมื่อคิดแล้วก็ต้องกระทำอย่างรอบคอบ
ไม่ใช่ปล่อยตัวเองไปตามอารมณ์ตามเจตนารมณ์อย่างอิสระเสรี บางครั้งเราทำตามใจตนโดยที่ไม่คำนึงถึงสังคม
ไม่คำนึงถึงคนรอบข้างนั้นไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) เมื่อขึ้นชื่อว่าสังคม
เราก็ต้องวางตัวให้เหมาะสมกับคนที่อยู่แวดล้อม ดังที่สำนวนไทยกล่าวไว้ว่า “เข้าเมืองตาหลิวต้องหลิ่วตาตาม” แต่ถ้าเขาสกปรกเราจะสกปรกตามหรือไม่ (ไม่) ถ้าเขาวุ่นวายท่านจะยังคงวุ่นวายหรือสงบนิ่ง
(สงบนิ่ง) ก็ต้องสงบนิ่งใช่หรือไม่
(ใช่) โดยปกติพื้นฐานแล้ว
หากเราไม่มีความมุ่งมั่นในสิ่งที่เราทำ
ไม่ช้าไม่นานเราก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามภาวะแวดล้อมได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเวลาเราจะทำอะไรเมื่อรู้เขารู้เรา
เราก็ต้องมีความมุ่งมั่นอดทนไปให้ถึง ไม่ใช่ตอนแรกรู้เขารู้เราแล้ว แต่พอนานๆ
กลับกลายเป็นเขาไปเสีย อย่างนี้เขาเรียกว่าไปไม่ตลอดรอดฝั่ง ดีต้นตอนปลายล้มเหลว
คนที่เป็นเช่นนี้จะหาความสำเร็จในชีวิตได้หรือไม่ (ไม่) ฉะนั้นรู้เขารู้เราแล้ว
เราก็ต้องมีความอดทนไม่หวั่นไหวต่อภาวะแวดล้อมด้วย
สิ่งที่เราพูดมาทั้งหมดเกี่ยวข้องอย่างไรกับการศึกษาธรรม
เพราะภาวะแวดล้อมชักชวนเราให้อ่อนไหวและอ่อนแอ
ความอ่อนแอสอนให้เราเป็นคนเข้มแข็งได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่กล้าหาญไม่กล้าฝ่าฟัน
แต่กลับสอนให้เรารู้จักเข้มแข็งอดทนและมั่นคงในสิ่งที่ทำได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้มาศึกษาหลักธรรม เมื่อรู้ว่าหลักธรรมเป็นสิ่งที่ดีน่าจะนำไปใช้ในชีวิต
แล้วเราก็รู้อีกว่าสังคมนั้นเป็นสังคมที่วุ่นวาย
เป็นสังคมที่ต่างคนต่างแย่งชิงกันใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นวันนี้มาศึกษาโดยพื้นฐานเรารู้กันว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ดี
ธรรมะนำความร่มเย็นมาสู่จิตใจของเรา
ชีวิตคือความทุกข์ความเดือดร้อน หากเรารู้จักนำธรรมะไปใช้ในชีวิต
ชีวิตเราก็จะเป็นสุขได้ร่มเย็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเรานำธรรมะไปใช้ในชีวิตได้ไม่ตลอดรอดฝั่งก็ยากจะพาตนเองไปถึงจุดหมายได้
ไม่ช้าไม่นานก็ต้องกลับกลายเป็นเหมือนเดิม เหมือนกับไม่ได้ศึกษาอะไรเลย
เหมือนกับไม่เคยมีธรรมเลยด้วยซ้ำ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นหากรู้ว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ดี
เป็นสิ่งที่นำพาจิตใจของเรา นำพาชีวิตของเราไปสู่ความร่มเย็น
เราจะต้องยึดกุมให้มั่น ทำความเข้าใจให้แจ่มชัด นำไปให้ตลอดรอดฝั่ง
เราก็จะสามารถมีธรรมได้จนอายุขัยจะหมดสิ้น
วันนี้ฟังธรรมะที่เราพูดไปนั้น ธรรมะมีข้อดีอย่างไรกับชีวิต พอรู้แล้วใช่ไหม
(ใช่)
“จะร้อนเย็นมีสติไม่โผงผาง”
มนุษย์นั้นใจร้อน อยากจะได้ต้องให้ได้มาใช่หรือไม่ (ใช่) ความใจร้อนมักนำพาไปสู่ความหายนะ
แต่เราก็อดใจร้อนไม่ได้ทุกทีไป แล้วเราจะแก้ไขนิสัยนี้อย่างไรดี ท่ามกลางชีวิตที่เราต้องประสบพบเจอนั้น
เป็นความผันผวนแปรปรวนที่ไม่หยุดนิ่ง หากเรามองภายนอกก็หมุนไปเรื่อยๆ
ไม่หยุดนิ่งสักที ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน
สิ่งของหรือแม้กระทั่งร่างกายเราเองใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราจะทำอย่างไรดี
เมื่อเราต้องประสบพบเจอกับสิ่งที่แปรเปลี่ยนอย่างนี้เรื่อยๆ ไป
จนเรามักถามตัวเองอยู่เสมอว่าทำไมชีวิตของเราจึงเป็นเช่นนี้
ทำไมเราไม่เป็นเช่นนั้นบ้าง เราเกิดมาเหมือนกัน
แต่ทำไมเขารวยกว่าฉัน เขาสวยกว่าฉัน
แล้วเราก็จนกับคำถามที่ตนเองตั้งขึ้นมาใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเราประสบก็ทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตนี้ดูมืดบอด
ไม่มีทางเดินให้กับชีวิตเลย ชีวิตช่างหาความสุขยากเหลือเกิน
เป็นทุกข์อยู่เนืองนิจใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ถ้าเรากล่าวง่ายๆ
ก็คือที่เหตุการณ์ต้องเป็นเช่นนี้ก็เพราะมันต้องเป็นอย่างนี้
ที่เหตุการณ์เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น
ที่เขาต้องเป็นอย่างนั้นก็เพราะมันต้องเป็นอย่างนั้น ที่เขาไม่เป็นอย่างนั้นก็เพราะมันต้องไม่เป็นอย่างนั้น ถ้าคิดให้ดีๆ
ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตนี้ บางครั้งเราเหนี่ยวรั้งไม่ให้เกิดไม่ได้
บางครั้งเรายื้อยุดไม่ให้มันไม่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วเราจะทำเช่นไรต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตนี้ บางคนก็พยายามจะก้าวผ่านให้ได้ เพราะว่าสิ่งนี้ทำให้เราไม่สมอารมณ์
ไม่เป็นอิสระ ไม่มีความสุข
แต่หลายคนพอฝืนผ่านไปได้กลับต้องมาเริ่มต้นใหม่
พอผ่านไปแล้วก็เหมือนดันทุรัง แทนที่จะดีขึ้นกลับยิ่งแย่ลง เหมือนครั้งหนึ่งเราอยากจะมีความสุข
ความสุขของเราคือการได้ประสบผลสำเร็จ แต่พอไม่ประสบผลสำเร็จ
เราก็บอกตัวเองว่าฉันนี่แหละประสบผลสำเร็จ
แล้วก็ฝืนหลอกตัวเองว่าตัวเองเป็นผู้ประสบผลสำเร็จ แม้จะหลอกได้
แต่ผลสุดท้ายก็ต้องกลับมายืนอยู่จุดเดิมที่ตนเองเป็นผู้พ่ายแพ้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราจะทำเช่นไรต่อเหตุการณ์ที่ไม่สมดั่งใจของเรา นั่นคือการเปิดใจกว้างแล้วหันมายอมรับความเป็นจริง ฟังแล้วทำง่ายไหม ถ้าเป็นเรื่องที่ขัดใจ
เป็นเรื่องที่ไม่ตามอารมณ์ไม่ตามใจ เราก็ต้องตอบว่ายาก แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่ขัดใจ
เป็นเรื่องของคนอื่น ท่านก็บอกว่าง่ายใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นถ้าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกใจก็คิดเสียว่าเป็นของคนอื่น
จะได้ปล่อยได้บ้างใช่หรือเปล่า (ใช่) บางเรื่องนั้นเมื่อเราแก้ไขไม่ได้
เราก็ต้องรู้จักปล่อยไปตามความเหมาะสม
เหมือนเหตุการณ์ตอนนี้ คนตกงานเยอะ คนหาเงินลำบาก เราก็ต้องปล่อยไปตามสถานการณ์บ้าง ต้องรู้จักละความยึดมั่นในตัวตนที่อยากจะให้เป็นอย่างนั้น
ที่อยากจะให้เป็นอย่างนี้ แค่นี้ก็จะมีความสุขกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ฟังแล้วง่ายไหม (ง่าย) ง่ายก็ต้องทำให้ได้นะ อย่าเป็นประเภทโล่กับหอกศอกกันเอง รู้แล้วปฏิบัติไม่ได้ก็ไม่มีคุณค่า
ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นเมื่อเจอเรื่องราวอะไรที่ไม่สมหวัง
ไม่สมดั่งอารมณ์ ต้องใจเย็นๆ อย่าได้วู่วาม
ต้องคิดไตร่ตรองให้รอบคอบแล้วค่อยๆ แก้ ดีหรือไม่ (ดี)
นอกจากธรรมะทำให้เรามีจิตใจที่ร่มเย็นแล้ว
ธรรมะยังสอนให้เรารู้จักวิถีทางแห่งการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องและเหมาะสม ใช่หรือไม่
(ใช่) ธรรมะสอนให้เรารู้จักอะไรบ้าง
(ทำใจให้เย็น,
มีสติ,
มีปัญญา) บางท่านรู้ว่าธรรมะนำพาชีวิตไปให้ถูกต้อง
แต่บางครั้งเจอเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่จะต้องแก้ไข ที่จะต้องใช้ธรรมะ
เรากลับหยิบออกมาใช้ไม่ทันใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะว่าอะไร (ขาดสติ) แต่บางครั้งมีสติแล้วก็ขาดอะไรอีก
(ขาดปัญญา) แต่ถ้ามีสติ
มีปัญญาแล้วก็ยังแก้ไม่ได้ นั่นเป็นเพราะขาดสัจธรรมหรือขาดธรรมะใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะว่ามีธรรมอยู่แค่ในหนังสือ
มีธรรมอยู่แค่ที่วัดวาอาราม อยู่แค่ในพุทธสถานใช่หรือเปล่า พอมาถึงที่พุทธสถานก็รู้ว่าต้องใจเย็น ต้องมีสติ
ต้องมีปัญญา
แต่พอไปเจอเหตุการณ์ที่จะต้องแก้ไขก็ใจร้อน ใช้อารมณ์ใช่หรือไม่ (ใช่) ธรรมะเลยต้องอยู่ในพุทธสถาน
อยู่ที่ข้างนอกหมด นั่นเป็นเพราะขาดสติ มีสติแต่ก็ยังควบคุมไม่ได้
มีธรรมแต่กลับสับสนปนเปใช่หรือไม่ (ใช่)
ชีวิตนอกจากสอนให้เราต้องอดทน
มีความเพียรพยายามแล้ว ยังสอนให้เรารู้จักเข้มแข็งอย่าอ่อนแอ
เมื่อตั้งใจจะทำอะไรแล้วต้องอดทนและมุ่งมั่นไปให้ถึง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่บางครั้งเวลาที่เราต้องเข็มแข็ง
เรามักใช้ท่าทีที่ผิด
เรากลับแข็งกร้าว
เมื่อถึงคราวที่เราต้องฉลาดตามให้ทัน เรากลับกลายเป็นคนโง่ ดังคำกล่าวที่ว่า “แข็งแกร่งก็มีแต่แตกหักง่าย”
ไม่เหมือนความอ่อนน้อมที่จะมีแต่ความคงทนสมบูรณ์นิจนิรันดร์ ใช่หรือเปล่า (ใช่) คนฉลาดที่แท้จริงต้องยอมทำตัวเหมือนคนโง่
เพราะยิ่งเราโง่เท่าไร คนอื่นยิ่งอยากเดินเข้ามา แล้วนำความรู้ความดีมาให้กับเรา
ใช่หรือเปล่า หากเราบอกว่าฉันรู้
ฉันเก่ง การมาศึกษา มาฟังธรรม ฉันรู้หมดแล้ว
อย่างนี้จะได้ความรู้เพิ่มเติมไหม (ไม่ได้) เขาเรียกว่าทำตัวฉลาด
แต่จริงๆ แล้วเป็นอย่างไร (โง่) เราไม่ได้มาว่ากล่าวท่าน เราก็เคยโง่มาก่อน แต่โง่แล้วเราจะไม่โง่อีกต่อไป
ใครๆ
ก็อยากเป็นคนดี อยากเป็นคนที่คนอื่นรัก คนอื่นอยากอยู่ใกล้ ตัวเราเองก็เหมือนกันใช่หรือเปล่า (ใช่) อยากให้คนอื่นรักเราเคารพเรา
ตัวเรานั้นก็ต้องไม่ลืมที่จะรักเขาให้ได้ก่อน เคารพเขาได้ก่อน คนอื่นเขาถึงจะรักเราและเคารพเราได้ใช่หรือไม่ (ใช่) เราอยากจะเป็นคนดี เราต้องรักความดีก่อน เราไม่รักความดี ความดีจะมาหาเราไหม (ไม่) หากวันนี้ยอมแพ้ความดี
คิดว่าไม่ทำแล้ว ใจคิดร้ายดีกว่า
อย่างนี้ความดีก็ย่อมไม่อยากอยู่กับตัวเรา
เพราะเราเอาความชั่วร้ายมาบดบังแทนใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเมื่อคิดจะกระทำสิ่งใดจะต้องอดทน
และมุ่งมั่นไปให้ถึงโดยไม่ย่อท้อแม้ก้าวเดียว เราก็จะสำเร็จและเป็นคนดีได้ ฟังดูแล้วเป็นการก้าวเดินที่ไม่ยาก
แต่ต้องมั่นคงและเข้าใจอย่างแจ่มชัด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ในโลกนี้สิ่งใดบ้างที่เป็นของปลอม
(ร่างกาย) หลักธรรมได้เคยกล่าวไว้ว่า
“ทุกสิ่งในโลกนั้นมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปตามกฎเกณฑ์และขั้นตอน”
มีการเริ่มต้น เติบโต เสื่อมทรุดและดับสูญ
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วย่อมหาความเป็นตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อหาความเป็นตัวตนที่แท้จริงไม่ได้
ก็ย่อมเป็นของปลอมใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นก็คือรูปนามในโลกนี้ล้วนเป็นของปลอมทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย วัตถุ ลาภยศและชื่อเสียง ใช่หรือไม่ (ใช่) ยุคสามนี้มีการปรกโปรดให้เรารู้หนทางกลับคืนบ้าน
โดยการยืมของปลอมบำเพ็ญตัวตนที่แท้จริง นั่นก็คือยืมของปลอมนั้นมาใช้ เมื่อถึงคราวคืนก็สามารถคืนได้ด้วยจิตใจ
ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มที่เป็นสุขได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) ดังที่ปราชญ์กล่าวไว้ว่าแผ่นดินนี้เป็นของคนที่มาก่อนเรา
และต่อไปจะเป็นของคนที่มาหลังเราอย่างแน่นอน
สิ่งของที่เราถืออยู่นี้หรือสิ่งของที่ท่านครอบครองอยู่นี้ก็เช่นเดียวกัน
ก่อนที่จะมาเป็นของท่าน ก็ย่อมเคยตกมาเป็นของคนอื่นก่อน แม้วันนี้จะเป็นของเรา
แต่ต่อไปอาจจะเป็นของลูกหลานเรา หรือเป็นของคนอื่นก็เป็นได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเมื่อรู้อย่างนี้แล้ว
อะไรที่ไม่ได้ดั่งใจอะไรที่ไม่มาดั่งหวังเราก็ต้องรู้จักปล่อยวาง
เมื่ออะไรไม่ได้เป็นไปดั่งใจที่เราคิดก็ต้องละตัวตนบ้าง ใช่หรือไม่ เมื่อขึ้นชื่อว่ามีตัวตน คนๆ
นั้นก็ย่อมมีที่ให้ทุกข์อาศัยอยู่
แต่หากเราไม่มีตัวตนแล้วทุกข์ก็ไม่มีที่อยู่
แล้วทุกข์จะมาจากที่ใดทุกข์จะมาอยู่กับเราได้อย่างไร ใช่ไหม (ใช่)
“ล้อขับเร็วพลิกพลิ้วย่อมอันตราย
ชีพพลาดง่ายพ่ายเมื่อไหร่ต้องผวา”
วันนี้ยืนๆ
อยู่หากเราไม่ประมาทไม่วู่วาม เราก็ยากจะเป็นคนที่ล้มไปได้ง่ายๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) หากวันนี้เราประคองชีวิตและจิตใจให้ดี
มีความสุขได้ในความสงบสุขแห่งจิตใจ ไม่ใช่มีความสุขได้เพราะวัตถุ
เราก็ไม่ต้องแปรปรวนไปตามความสุขที่เกิดจากวัตถุใช่หรือไม่ (ใช่) ความสุขที่หาได้ทางจิตใจก็คือความสุขอันสงบ
อย่ากำหนดความสุขของเราเป็นความสุขที่ต้องมีรูปลักษณ์ มีวัตถุและมีคนครอบครอง
ถ้าเรากำหนดให้เป็นไปตามวัตถุหรือตามของปลอม
เราก็ต้องเวียนว่ายและต้องเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ไม่เหมือนกับความสุขที่เกิดขึ้นในจิตใจของเรา
หากเรากำหนดขึ้นมาและมีความสุขในจิตใจที่สุขสงบแล้ว
เราก็ไม่ต้องกลัวที่จะตกไปในวัฏฏะแห่งการเวียนว่าย ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อมีเกิดมีดับแต่เราต้องประคองจิตใจนั้นให้ดีๆ
อย่าให้จิตใจหวั่นไหวและเคลื่อนไหวไปง่ายๆ แล้วท่านก็จะเป็นคนที่สุขง่ายทุกข์ยาก
เพราะโดยพื้นฐานแห่งจิตใจเราไม่ชอบคนทุกข์อยู่แล้ว
ใช่หรือไม่ (ใช่)
การกระทำของชีวิตเมื่อยามเรามีลมหายใจ
ย่อมสามารถส่งผลให้เราขึ้นฟ้าหรือลงนรกได้ และเป็นการกระทำที่เกิดจากวันนี้
ขณะนี้และต่อๆ ไปว่าเราจะทำตัวขึ้นเบื้องฟ้าหรือจะทำตัวลงนรก ใช่หรือเปล่า (ใช่) แม้วันนี้เราทำผิดพลาดไปและเรารู้สึกดีใจที่เราไม่ต้องรับผล
แต่ต่อไปใครจะหยั่งรู้ได้ว่าผลจะหวนกลับมาทำร้ายเราเมื่อไร
วันนี้เรายืนอยู่แต่พรุ่งนี้เราอาจจะล้มไปก็เป็นได้ใช่หรือเปล่า
(ใช่) ทุกวันเราเห็นการเกิดและการดับ
เราต้องหันมามองและย้อนถามตัวเองว่าสิ่งที่เราเห็นทุกวันสิ่งไหนจะกลายเป็นตัวเรา
เราไม่รู้ใช่หรือเปล่า
(ใช่) ฉะนั้นถ้าตลอดเวลาเราทำแต่สิ่งที่ดี
หากวันนี้เราจะต้องดับไปเราก็ไม่รู้สึกเสียใจเลย
แต่หากวันนี้เราต้องดับไป
เราย่อมเสียใจเป็นแน่แท้เพราะว่าไม่ได้ทำความดี ไม่ได้ซ่อมจิตใจที่ไม่ดี
ไม่ได้ชะล้างจิตใจที่ไม่ดีของเราให้หมดสิ้นเลย
ใช่หรือไม่ (ใช่) การหมั่นทำความดี
เห็นใครตกทุกข์ได้ยากมีใจช่วยเหลือ นั่นก็คือการบำเพ็ญตน
เห็นตัวเองเป็นคนไม่ดีแล้วรู้สึกสำนึกนั่นก็คือมีจิตใจทีอยากจะบำเพ็ญตนแล้ว
การบำเพ็ญตนนั้นอย่ามองเห็นว่าเป็นเรื่องยาก จริงๆ แล้วเป็นเรื่องง่าย หากเรารู้จักผิดชอบชั่วดี
รู้จักละอายในการกระทำผิด
นั่นก็คือการมีใจที่คิดจะบำเพ็ญแล้ว ยากหรือไม่ (ไม่ยาก) ฉะนั้นตอนนี้ท่านยังมีร่างกายที่แข็งแรง
มีชีวิตที่สมบูรณ์
ขอให้เร่งรีบหมั่นสร้างสมคุณงามความดี มีโอกาสก็ช่วยเหลือคนอื่นดีหรือไม่ (ดี) ปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า
“เมื่อเราเห็นสรรพสัตว์ที่มีชีวิตเราทนไม่ได้ที่เห็นเขาต้องตาย” เมื่อเขาร้อง เราทนเห็นเขาเจ็บปวดไม่ได้
แล้วเราทนไม่ได้ที่จะไปกินเนื้อเขา การกระทำเช่นนี้ย่อมสื่อให้เห็นว่าโดยพื้นฐานแห่งจิตใจของมนุษย์เป็นจิตใจที่เมตตา
ใช่หรือไม่ (ใช่) หรือเทียบกับคนใกล้ตัว
เมื่อเราเห็นเขายังอยู่ เราก็ทนไม่ได้ที่จะต้องพลัดพรากจากเขา เมื่อเห็นเขายังมีความสุขเดินทางไปในทางที่ถูก
เราก็ทนไม่ได้ที่จะเห็นเขาเดินผิดทางหรือหลงทางไปใช่หรือเปล่า (ใช่) จิตใจเมตตานี้แม้จะมีแต่ก็ต้องกระทำให้ได้
อย่าเป็นคนที่พูดได้แต่กระทำไม่ได้ เช่นนั้นก็เป็นเมตตาแค่เพียงวาจาฉะนั้นหากโดยปกติเมื่อเราได้ยินเสียงสัตว์ร้องคร่ำครวญ
เราทนได้ไหม (ไม่ได้) ทนไม่ได้แล้วทำไมถึงกินเขาลงได้
แม้แต่เพื่อนเราหรือญาติเราเอง
เวลาเราเห็นเขามีชีวิตเราก็มีความสุข แต่ถ้าเมื่อไรเราต้องพลัดพรากจากเขาเราก็ทนไม่ได้ที่เห็นเขาต้องตายไปหรือเดินทางผิดไป ฉะนั้นถ้ารู้อย่างนี้แล้วก็ต้องกระทำให้ได้ด้วย
ดีหรือไม่ (ดี) ไม่ใช่พูดว่าไม่เห็นเขา
ไม่ได้ยินเสียงเขาก็กินเขา
อย่างนั้นถูกไหม (ไม่ถูก) ให้คนอื่นได้ยินเสียงเห็นชีวิตเขาแทนเรียกว่ายืมมือเขาฆ่าถูกไหม
(ไม่ถูก) ใจร้ายยิ่งกว่าใช่หรือไม่
(ใช่) ท่านคงไม่เป็นคนยืมมีดฆ่าคนอื่น
มนุษย์หรือเมธีที่นั่งอยู่ที่นี้มักชอบฟังคำหวานๆ
มักชอบฟังเรื่องไพเราะใช่หรือเปล่า
(ใช่) แต่ว่าการฟังคำหวานๆ
คำไพเราะ ในความเป็นจริงแล้วเป็นอย่างไร
เป็นโทษกับตัวเอง เป็นการหลอกลวงนั้นแปลว่าการที่คนอื่นเขาหลอกลวงหรือเปล่า
“ภาษาสื่อความคิด” ภาษานั้นมีอิทธิพลต่อความคิดของคนเรา
มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของเราด้วยใช่หรือเปล่า
(ใช่) ฉะนั้นเวลาเราจะพูดอะไรต้องคิดให้รอบคอบ
“คำจริงขัดหูหากทำตามงามสม ขับขานคำควรพอดี”
โสตสำเนียงเสียงขัดหูอยู่เป็นนิจ
จิตใจข้องขัดเป็นอาจิณ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกท่านในที่นี้ต่างก็มีปัญญา
ใช่หรือเปล่า (ใช่) ภาษานั้นเป็นสิ่งที่สื่อทำให้คนเราเข้าใจ
ทำให้คนเรารู้จักกัน แต่ภาษามักจะเล่นตลกกับเราได้เสมอ ถ้าเราไม่รู้จักตนเอง
ขาดความมั่นใจในตนเอง ภาษาก็อาจจะหลอกลวงทำให้เราหัวปั่นได้เหมือนกัน มีนิทานเรื่องหนึ่ง
ชายคนหนึ่งปลูกต้นไม้ไว้หน้าบ้าน แต่ใบไม้ได้ร่วงหล่นไปหมดแล้ว
เขาก็ปล่อยทิ้งไว้
แล้วเขาก็คิดว่าแปลกไปอีกแบบหนึ่ง จนกระทั่งมีเพื่อนข้างบ้านเดินมาบอกว่า ต้นไม้นี้ไม่น่าจะเอาไว้
อยู่แล้วเกะกะทำให้บ้านไม่มีสง่าราศี เขาก็เริ่มลังเลใจว่าจะทำอย่างไร
ต่อมามีเพื่อนบ้านอีกคนหนึ่งมาบอกว่าต้นไม้นี้ปล่อยไว้เถอะ
ต่อไปเดี๋ยวก็แตกใบ ออกดอกออกผลให้ได้กิน
คราวนี้เขายิ่งคิดหนักใหญ่เลยว่าจะเอาอย่างไรดี
และมีอีกคนหนึ่งกลับพูดว่า ต้องปลูกอีกต้นหนึ่ง
จะได้เป็นคู่ดูแล้วเหมาะสมไม่โดดเดี่ยว
คราวนี้เขายิ่งเริ่มคิดมาก
ตอนแรกมีหนึ่งต้นก็ยังพอตัดสินใจได้ว่าจะเลือกต้นไหนดี แต่คราวนี้มีถึงสามต้น เขาจึงตัดไปครึ่งหนึ่งแล้วปลูกเพิ่มอีกครึ่ง จนมีเพื่อนบ้านข้างๆ เดินเข้ามาบอกว่า
เธอเป็นบ้าไปแล้วหรือ ทำไมถึงปลูกอะไรไว้อย่างนี้ ตอนแรกๆ ก็ดีอยู่แล้ว
ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ ฟังดูแล้วเป็นเพราะอะไร ไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง
ดังนั้นภาษาก็มีอิทธิพลต่อตัวเราด้วยใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเวลาเราจะฟังอะไร
เราต้องคิดไตร่ตรองก่อน
นอกจากฟังแล้วยังต้องคิด เวลาพูดก็ต้องคิดด้วย คิดอย่างเหมาะสมใช่หรือไม่ (ใช่) คิดมากเกินก็ไม่ดี คิดมากๆ บางครั้งก็แก้ไม่ทันเหตุการณ์
ทำไมฟังและพูดเราต้องคิดด้วย เพราะว่าเมื่อเราพูดผิดไปแล้ว
ต่อให้เป็นอาชาไนยที่ฝีเท้ายอดเยี่ยมก็ตามเอากลับคืนมาไม่ได้ ต่อให้เราเคยสั่งสมความดีมา
แต่เมื่อพูดผิดพลาดไปก็อาจเป็นคนไม่ดีได้
จากที่จะสร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ก็อาจจะกลายเป็นศัตรูกันไปก็ได้
เพราะการพูดของเราเพียงคำเดียว ฉะนั้นไม่ว่าจะพูดหรือจะฟังก็ต้องคิดให้รอบคอบ
ไตร่ตรองให้เหมาะสมใช่ไหม (ใช่)
อย่าเห็นว่าการมาฟังธรรมะ
อย่าเห็นว่าการเข้าใจแล้ว แล้วคิดว่าไปบำเพ็ญธรรมเป็นสิ่งหลอกลวง หากคิดว่ามาบำเพ็ญแล้วเป็นสิ่งที่ดี
ก็อย่าปล่อยพลาดไปปล่อยทิ้งไป ไม่เช่นนั้นจะเห็นกงจักรเป็นดอกบัว หากเราเข้าใจธรรมะ
แล้วรู้จักบำเพ็ญตนก็เหมือนจุดประทีปแสงสว่างให้กับชีวิต ยากที่จะเดินหลงผิด
ยากที่จะมืดมนได้ แต่เมื่อเราเข้าใจแล้วว่าการบำเพ็ญเป็นสิ่งดี
ก็ต้องเข้าใจให้แจ่มชัดและถูกต้อง ไม่ใช่เป็นการเข้าใจแต่เพียงเปลือกนอกเท่านั้น
อย่างนั้นก็อาจจะทำให้เราหลงได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมานำร้องเพลง "คิดก่อนพูด ฟังพึงคิด")
นักเรียนในชั้นมีใครร้องได้บ้าง ไม่ต้องอาย กล้าในสิ่งที่ถูก
ก็ไม่ผิดอะไรใช่หรือไม่ กล้าแล้วพร้อมจะนำพาผู้อื่นไปในทางที่ถูกด้วย
ยิ่งเป็นข้อดี หลายต่อหลายคน พอเห็นเป็นความกล้าก็อาย
พอเห็นเป็นความดีก็อายใช่หรือไม่ (ใช่) ก็เลยไม่ได้เป็นคนดีสักที
อากาศข้างนอกร้อนไหม
(ร้อน) ถึงร้อนก็มีสุขได้ เพราะว่าใจยอมรับในความร้อน อย่าไปกำหนดว่าอากาศเย็นถึงมีความสุข
แต่บางครั้งอากาศที่ร้อนก็มีสุขได้
เพราะใจเรายอมเปิดกว้าง เหมือนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น
บางครั้งลูกหลานไม่เป็นไปอย่างที่ใจคิด แต่ถ้าเราเปิดใจยอมรับ
ไปทุกข์กังวลก็ไม่มีประโยชน์
แทนที่จะมีความสุขเป็นร่มโพธิ์อันร่มเย็นให้กับบ้านให้กับลูกหลาน แต่กลับกลายเป็นร่มโพธิ์ที่มีความทุกข์
แม้จะร้องไม่ได้ก็พยายามร้องกันไปจนจบ
ขอให้บำเพ็ญเช่นนี้ได้หรือไม่ แม้จะไม่มั่นใจ
แม้จะรู้สึกหวั่นไหวบ้าง แต่ก็ขอให้พยายามไปให้ถึงที่สุดให้จงได้
ดีหรือไม่ (ดี) แต่ถ้าเมื่อไรที่ไม่เข้าใจหรือเข้าใจไม่กระจ่างชัดต้องมาศึกษาเพิ่มเติม
อย่าปล่อยให้เจอปัญหาแล้วก็ทิ้งปัญหาไว้ ไม่กลับมาสนใจอีกเลย
อย่างนั้นก็น่าเสียดายใช่หรือไม่ (ใช่) พระวิสุทธิอาจารย์ได้ชี้หนึ่งจุดให้กับเราแล้ว
เราต้องไม่ลืมหนึ่งจุดที่ได้รับชี้นี้ แล้วเร่งรีบไปลงมือกระทำ
ไปลงแรงดูว่าสิ่งที่ได้รับไปนั้นมีคุณค่าและมีประโยชน์เช่นไรต่อชีวิตของเรา เมื่อยามมีร่างกายนี้
แล้วมีคุณค่าในการบำเพ็ญอย่างไร ดีหรือไม่ (ดี) วันนี้ภาษาของเราที่สื่อให้ท่านได้ยิน
ได้ฟังว่าธรรมะเป็นเช่นไร อาจจะไม่สามารถสื่อให้ครบหรือเข้าใจแจ่มแจ้งได้
เพราะภาษาก็มีข้อจำกัด ไม่เหมือนกับการลงแรงขวนขวายฝึกฝนค้นหาด้วยตนเอง
เราจะเข้าใจยิ่งกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้ก็คงมาพูดคุยกับท่านเป็นเวลาสั้นๆ
เท่านี้ ต่อไปขอให้ตั้งใจศึกษาให้ดี
แม้เราจะอายุมากเพียงไร แม้เราจะมีความรู้มากเพียงใด
แต่การที่จะเป็นผู้รู้ที่แท้จริงได้ต้องมีความอ่อนน้อม หากเราอ่อนน้อมและไม่เลือกว่าคนนั้นเป็นผู้ใหญ่คนนั้นเป็นเด็ก
เราก็จะเป็นผู้มีความรู้รอบด้านใช่หรือไม่ (ใช่) ขอให้จำไว้อย่างหนึ่งว่าชีวิตนั้นมีค่า
ค่าของชีวิตขึ้นอยู่กับว่าเราจะนำพาตนไปเช่นไร หากเรานำพาตนไปในทางที่ดี
บำเพ็ญตนหมั่นชะล้างหมั่นขัดเกลา ท่านก็สามารถจะมีจิตที่สว่างไสวและกลับคืนเบื้องบนได้
ใช่หรือไม่ (ใช่) บำเพ็ญมาก็นานแล้วต้องมีความก้าวหน้าขึ้น
ตรงไหนช่วยได้ก็ช่วย ดีหรือไม่ (ดี)
มีโอกาสได้รู้หนทางที่แท้จริงแห่งชีวิตแล้ว
เห็นใครเป็นทุกข์เห็นใครยังมืดมนกับชีวิต ขอให้เร่งรีบไปฉุดช่วยเขาดีหรือไม่ ทุกคนยังทุกข์ยังเจ็บปวด
ท่ามกลางคนที่กำลังทุกข์ร้อน เราจะมีความสุขได้หรือ หากเรามีความสุขแล้ว สังคมก็เป็นสุขด้วย
อย่างนั้นยิ่งน่าปรีดายิ่งกว่าใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นตอนนี้ถ้ารู้และเข้าใจว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ดี
ธรรมะนำพาชีวิตไปสู่ความสว่าง
หวังว่าคงไม่รอช้าที่จะฉุดช่วยเพื่อนพี่น้องให้รู้จักหนทางนี้เหมือนกัน
ดีหรือไม่ (ดี) เป็นธรรมดาของชีวิต
ถ้าเห็นกันอยู่ก็ทนไม่ได้ที่จะต้องพลัดพรากจากกันใช่หรือไม่ (ใช่) หากมีโอกาสเราคงจะได้มาผูกบุญสัมพันธ์กับทุกท่านใหม่
วันนี้คงไม่เป็นวันแรกและวันสุดท้ายที่จะมาศึกษาธรรมนะ
วันอาทิตย์ที่
๒๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
คนตักเตือนไฉนฟังดังขวางหู นกน้อยกู่ชีพใกล้ดับเสียงเศร้าสร้อย
คนใกล้ตายคำของเขาคุณค่าใช่น้อย ศิษย์ค่อยค่อยพิจารณาพบวิเศษ
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซิ่ง แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า
ทานไอติมอร่อยหรือเปล่า
ชีวิตปลิวสู่พื้นคลื่นซัดฝั่ง ศิษย์ระวังตนดังอาจารย์ตักเตือนไหม
ทางเบื้องล่างแค่นเห็นน้ำตาไหล รู้ทางชัดเจนไม่นึกคืนอนิจจา
เมื่อศิษย์นึกรั้งพกเพ้อจิตเจริญ เมื่อเราเดินเคียงพุทธะต้องศึกษา
อย่างเต็มใจภาระมากเต็มไหล่บ่า ฉุดเวไนยฉุดข้ามมาพร้อมเพรียงกัน
ต่างถือสาสาละวนพี่น้องซ้อนปฏิปักษ์[2] จากนิดหนักเข้าอักโขกลายหุนหัน
ลองอภัยให้หน่อยพลอยชื่นบาน ปะทะกันหนักเบาย่อมเจ็บมี
สู้เอาทั้งสู้โลกีย์สู้ตระหนัก แน่นหนักเอาเบาปฏิปทา[3]ขณะนี้
เป็นฝูงปลาอาศัยซึ่งสายวารี ยามน้ำน้อยมีทุกข์เป็นธรรมดา
ฮา ฮา หยุด
ศิษย์รู้ทั้งรู้มิยอมเปลี่ยน มีบทเรียนนับครั้งมิคิดจำ ยังคงเต็มใจจะยอมถลำ ยังคงทำตามความชอบของตน บำเพ็ญมิสายใครตั้งใจอยู่ นำผิดมาเป็นครูยังนึกชม อารมณ์กิเลสตัดจึงเหมาะสม สายตาคมตื่นใจมิหวนพ่าย
* อย่าลอยเลื่อนยุคปลาย ผลกระจ่างเกิดจากศึกษา รู้ทั้งรู้แล้วยังร้างรา ศิษย์เอยฉลาดหรือไร
หากทำได้คิดทำ ไร้โอกาสเก็บจิตมิฝืน เพราะทุกข์ร้อนย้อนเยือนเหมือนคลื่น ถูกเวลากลืน ประคองชีวา อย่านึกกลัว
( ซ้ำ *
)
ทำนองเพลง :
อยากให้รู้ใจ
ชื่อเพลง :
รู้ทั้งรู้
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
พายเรือกันสนุกไหม
พายแล้วลืมความทุกข์กันได้บ้างหรือเปล่า
ใครคิดว่าตัวเองมีความทุกข์มาก ใครคิดว่าตัวเองมีความทุกข์น้อย
ถามว่าเราเอาอะไรมาตัดสินความมากน้อยนี้ (ใจ) ใจก็เป็นแค่ความรู้สึกหนึ่งใช่หรือไม่
(ใช่) ใจของเรานั้นกว้างเก็บความทุกข์ได้มาก
ความทุกข์มีมากจริงแต่ใจเรากว้างกว่าความทุกข์
เวลาใส่ความทุกข์เข้าไปก็เลยดูน้อยใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าใจเราแคบแทบจะไม่มีที่ให้ยืน
เมื่อใส่ความทุกข์ลงไป แม้ความทุกข์เล็กนิดเดียวก็แบกไม่ไหวใช่หรือเปล่า (ใช่) ทุกวันนี้ศิษย์ของอาจารย์นั้นมีความทุกข์อยู่
ความทุกข์นี้เราคิดว่ามากหรือน้อย แล้วเราเคยคิดไหมว่าทุกข์ของคนที่อยู่ข้างๆ เรา
ที่เขาบอกว่าน้อยอาจจะมากกว่าทุกข์ของเราก็ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้บอกว่าน้อย
วันหน้าอาจจะมากกว่านี้ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์ชอบทุกข์น้อยหรือชอบทุกข์มาก
(ทุกข์น้อย)
แล้วถ้ามีเงินอยากมีมากหรือมีน้อย (มีมาก)
ทำไมกลับกันล่ะ
ถ้าหากว่าคนสามารถมีความทุกข์น้อยได้ก็คงเป็นคนที่ไม่มีภาระรับผิดชอบมากใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นคนที่รับผิดชอบน้อยภารกิการงานน้อยก็ควรที่จะจนหน่อย
ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วศิษย์อยากจะจนหรืออยากจะรวย (อยากรวย) อยากทำงานน้อย
มีความทุกข์น้อยแต่รวยมากๆ หาได้ที่ไหน
เพราะฉะนั้นตอนนี้เรามีความทุกข์มากจากการงานก็แสดงว่าเรานั้นใกล้จะรวยแล้วใช่ไหม
(ใช่)
ชีวิตมนุษย์นั้นเปรียบประดุจการเดินทางใช่หรือไม่ เราเกิดมาตั้งแต่เป็นเด็กก็เดินทางตลอด (ใช่) จนกระทั่งตอนนี้ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็กำลังเดินทางอยู่ใช่หรือไม่
(ใช่) การเดินทางของเราจนถึงจุดจบของชีวิต
เราได้ตั้งจุดหมายอะไรไว้บ้าง (ตั้งความหวัง) เพื่ออะไร (ช่วยพ่อแม่ญาติพี่น้อง) ชีวิตของคนๆ
หนึ่งไม่สามารถจะมีทุกอย่างได้ อยากได้สิบอาจจะได้แค่สอง
อยากได้สักร้อยอาจจะได้แค่สิบใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตคนก็เป็นเช่นนี้ไม่สามารถที่จะเพียบพร้อมได้
เพราะฉะนั้นจะต้องเผื่อใจให้กับความผิดหวังใช่หรือเปล่า (ใช่) ศิษย์ทุกคนที่อยู่ในที่นี้มีการเผื่อใจให้กับความผิดหวังเท่าไหร่
โดยปกตินั้นประสบการณ์ที่ผ่านมาตั้งแต่เล็กจนโตผิดหวังมากหรือสมหวังมาก (ผิดหวังมาก) เราผิดหวังมากกว่าสมหวังอีกใช่หรือไม่
(ใช่) นับตั้งแต่วันนี้จึงจำเป็นต้องหันหน้าเข้าหาความจริงแห่งชีวิตของเรา
ว่าชีวิตของเรานั้นเป็นชีวิตที่สมควรที่จะได้รับความสมหวังเท่าไหร่
หากยังไม่เคยพยายามทำสิ่งใดเลย พยายามให้อภัยตนเองหรือพยายามเข้าข้างแต่ตนเอง
ความสำเร็จก็จะไม่บังเกิดอย่างแท้จริงใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าอยากเป็นคนร่ำรวยก็ต้องขยันทำมาหากิน ถ้าหากว่าเป็นคนทุจริต
แม้ว่าจะมีเงินมากมายจิตใจก็หวาดผวาอยู่เสมอใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นจึงต้องหันหน้าเข้าหาความจริง
ในวันนี้ชีวิตของเรานั้นมีเพียบพร้อมทุกอย่าง
ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นได้จากจิตใจของเรา
ถ้าหากว่าเป็นคนจนแต่จิตใจรวย จะรวยอะไรได้ (รวยความมีน้ำใจ)
แม้ว่าทรัพย์สินของเราน้อยแต่ใจของเรากว้างใช่ไหม ถ้าเรานั้นอยากจะประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่เราเป็นคนที่ไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่และถูกดูถูกเป็นประจำ
เรานั้นจะประสบความสำเร็จในด้านใดได้
จิตใจของเรานั้นปลูกฝังมโนธรรมสำนึก เวลาทำผิดก็รู้สึกเกิดความละอาย
เวลาทำถูกต้องก็ต้องเกิดความรู้สึกขอบคุณ ขอบคุณคนที่ช่วยเราให้ประสบความสำเร็จ
ขอบคุณแม้กระทั่งเก้าอี้ที่เรานั่งทำงานจนเราสามารถประสบผลสำเร็จได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
หรือขอบคุณแม้กระทั่งสิ่งที่เรารู้สึกว่าไกลตัวมาก หลายๆ คนออกจากบ้านเพื่อที่จะทำงาน
ไม่ได้กลับไปหาพ่อแม่เลย เวลาที่เราขอบคุณนั้นเราจะต้องขอบคุณไปถึงพ่อแม่ด้วย
ใช่หรือเปล่า (ใช่) นี่เป็นตัวอย่างของความไกล
พ่อแม่ไกลเรา พ่อแม่ไม่มีชีวิตอยู่แล้วก็ยังต้องขอบคุณท่านใช่หรือไม่ (ใช่) หากท่านไม่ส่งเสียให้เรียนหนังสือจะมีวิชาความรู้ไปทำงานไหม
หากท่านไม่เลี้ยงดูเราให้ดี ถ้าเราเกิดพิการไปจะมีความสำเร็จไหม ศิษย์จะต้องรู้จักพอใจในชีวิตของตนเองว่าชีวิตของเราในขณะนี้นั้นดีประเสริฐแล้ว
อย่าได้ไขว่คว้าให้เกินตัว อย่าได้วาดหวังในสิ่งที่ตัวเองไม่สามารถจะทำได้
ความผิดหวังก็จะน้อยลงใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าคนยากจนอยากจะเป็นเศรษฐี
ซื้อล๊อตเตอรี่ใบเดียวอยากจะได้รางวัลที่หนึ่ง ถามว่าจะเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)
"คำตักเตือนไฉนฟังดังขวางหู"
เวลาผู้อื่นเตือนเรา
ถ้าเขาเตือนเราดีๆ เราก็พอจะฟังใช่ไหม ถ้าหากว่าเขาเตือนไม่ดีเราจะรู้สึกอย่างไร (ไม่พอใจ)
เขาเตือนเราได้
เราจะต้องผิดจริงใช่หรือเปล่า
เขามาเตือนเราเหมือนกับเขาฝ่ากระสุนมาเป็นกองทัพใช่หรือไม่ (ใช่) ถามว่าเขาเตือนเราดีหรือไม่ดี
(ดี) เพราะฉะนั้นเราจะต้องตระหนักใคร่ครวญพิจารณาด้วยปัญญาที่มีอยู่ของเรา
จึงจะเห็นว่าเรานั้นควรจะแก้ไขอย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่) หากว่าชีวิตนี้ทั้งชีวิตไม่มีการแก้ไขปรับปรุง
เป็นผู้ใหญ่แล้วนิสัยก็เหมือนเด็กไม่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน
ใครที่ไหนอยากจะให้เรานั้นอยู่เคียงข้างใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นการที่บอกว่าคำตักเตือนนั้นจึงเป็นคำที่ดีที่สุดไพเราะที่สุด
และเป็นคำที่ดีกว่าการเปิดหนังสืออ่านทั้งเล่มใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อมีคนมาเตือนเรา
สักคำหนึ่งเราก็ต้องทำอย่างไร (ขอบคุณ) คู่กับคำขอบคุณคืออะไร
ศิษย์เคยเตือนใครแล้วเขาขอบคุณแต่ไม่ทำไหม
เพราะฉะนั้นนอกจากขอบคุณแล้วยังต้องแก้ไขใช่หรือไม่ (ใช่) ทำไมอาจารย์จึงเอาเรื่องคำตักเตือนมาพูด ในขณะที่ไม่มีประชุมธรรมเป็นเวลาไม่นานใช่ไหม
เหมือนกับนอนหลับตื่นหนึ่ง หลับไปเพียง ๕-๑๐ นาทีเท่านั้น
ศิษย์ของอาจารย์ก็เกิดมีความท้อถอย ถดถอยในทางธรรมใช่ไหม (ใช่)
เป็นเช่นนี้กันถ้วนหน้า
สักวันหนึ่งข้างหน้าหากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถที่จะลงมากล่าวตักเตือนดังเช่นนี้แล้ว ศิษย์เอ๋ยตอนนั้นต้องพึ่งพาตนเอง รู้จักการพึ่งพาตนเองไหม
ลูกที่ไม่มีพ่อแม่แล้วย่อมรู้จักคำนี้ได้ดียิ่งกว่าใคร
เวลาที่พ่อแม่อยู่เราก็ได้รับความสะดวกสบาย ดียิ่งกว่าการมากราบพระขอพร แค่บ่นๆ
ข้างหูพ่อแม่ก็รีบหามาให้ใช่หรือเปล่า (ใช่) เวลาที่ผ่านไปเป็นการทดสอบตนเองได้อย่างดีเยี่ยม
จิตใจของเรานั้นไม่ได้มีจิตหนึ่งใจเดียวใช่หรือเปล่า (ใช่)
จิตใจของเรานั้นสามนาทีคิดไปสามร้อยอย่าง อาจารย์จึงบอกว่าคำตักเตือนนั้นเปรียบไปแล้ว
ถ้าเป็นคำตักเตือนที่ดีก็เปรียบเสมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นได้กล่าวตักเตือนเช่นกัน คำพูดบางคำเป็นคำพูดที่ดีไม่ขวางหู
คำบางคำเป็นคำพูดที่ไม่ดีขวางหู
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้นไม้ถึงแม้ภายนอกเปลือกจะไม่สวยแต่มีแกนที่แข็งแรงได้ใช่หรือไม่
ทำไมจึงไม่มองให้ลึกซึ้งไปถึงแกนของต้นไม้ แก่นของคำพูด เพราะฉะนั้นทุกๆ
ขณะจึงต้องรู้จักที่จะประมาณในสิ่งที่คนอื่นพูดมา
ไม่สบประมาทในสิ่งที่เขาพูดมาใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อศิษย์ค่อยๆ
พิจารณาก็จะเห็นสิ่งที่วิเศษที่สุด
แน่ถ้าศิษย์แก้นิดหนึ่งก็จะพบกับความเจริญได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์แก้นิดหนึ่ง
อยากจะเป็นอะไรก็อาจจะได้อย่างนั้น
เมื่อสักครู่ศิษย์ของอาจารย์ได้พายเรือใช่หรือไม่
(ใช่) การพายเรือคือการลงแรง
ถ้าเราอยากได้สิ่งใดก็ต้องลงแรงให้ได้สิ่งนั้นมาใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราลงแรงมาก
สิ่งนั้นก็ย่อมบังเกิดผลมาก
การที่เราจะอยู่ร่วมกันอย่างปลอดภัยนั้นจะต้องมีความสามัคคีใช่หรือไม่ ในชีวิตนี้ตั้งแต่เกิดมาจนโต เมื่อเราลืมตาดูโลกก็เปรียบประหนึ่งการเดินทาง การเดินทางจะสั้นหรือยาวนั้น ไม่ได้กำหนดที่ดวงชะตาหรือโชคชะตาลิขิต หลายคนทำไมชอบดูดวง ชอบเสี่ยงโชค สิ่งนี้ไม่ได้ช่วยศิษย์เลย
สิ่งที่จะช่วยเราได้ก็คือการลงแรงใช่หรือไม่ (ใช่) การเดินทางจากจุดหนึ่งจนสุดปลายทางนั้น
การเดินทางนี้เรียกว่าการเดินทางของชีวิต
ชีวิตของเราจะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับอะไร (ตัวเราเอง)
คนเรามักเกิดความลังเลที่จะตอบคำถามใช่หรือไม่
(ใช่) เวลามีผู้ถามว่าเรามาธรรมะอะไร เราก็ตอบคำถามที่ธรรมดาเรียบง่าย
ตอบในสิ่งที่เราพบในสิ่งที่เราเห็น ไม่จำเป็นต้องคิดคำตอบให้วิเศษวิโส แต่หากว่าเราลังเลไม่ตอบสักคำ
กว่าจะตอบออกมาก็เป็นคำตอบที่ออกมาด้วยความลังเลใช่หรือเปล่า เวลาที่มีคนมาชวนเรา
เขาก็พูดด้วยคำพูดที่ธรรมดาแล้วเราก็มา ใช่ไหม (ใช่) แต่จะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้นเป็นเรื่องของการพิจารณา
เป็นเรื่องของภูมิธรรม เป็นเรื่องของปัญญา ไม่ใช่ว่าเดินเข้ามาแล้วศิษย์ของอาจารย์ก็เชื่อใช่ไหม แต่ถ้ามีสิ่งที่ศิษย์ของอาจารย์เต็มใจจะเชื่อ
แต่ศิษย์ฟังแล้วก็ยังขัดหู ขัดปัญญาและขัดใจของตัวเองให้ไม่เชื่อต่อไป
อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นคนที่ไม่มีปัญญาอย่างแท้จริงใช่หรือไม่ (ใช่)
“นกน้อยกู่ชีพใกล้ดับเสียงเศร้าสร้อย”
นกน้อยส่งเสียงร้องเศร้าสร้อยในเวลาที่ชีวิตนั้นใกล้จะดับลง เสียงของมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน ชีวิตของคนเรานั้นเวลาใกล้ดับ
คำพูดสุดท้ายที่เราจะพูดออกมาต้องเป็นคำที่มีคุณค่า เป็นการฝากฝังครั้งสุดท้ายกับลูกหลาน ที่อาจารย์พูดไปว่าคำตักเตือนของคนที่จะพูดตักเตือนในหนึ่งครั้งล้วนแต่ฝ่าดงกระสุน เพราะฉะนั้นเมื่อเขาพูดไปแล้ว คนๆ
นั้นเวลาที่ตักเตือนไป พูดไปด้วยเสียงอันแหบเเห้ง ไม่แน่ใจ กังวลใจใช่หรือไม่
(ใช่) ฟังไปแล้วคำพูดของเขาก็เหมือนกับคนใกล้ตายคือพูดด้วยจิตใจอันอ่อนล้าเต็มที
เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าไม่ว่าใครจะตักเตือน จะเด็กกว่าหรือผู้ใหญ่กว่า
จะเป็นคนโง่หรือคนฉลาด คนรวยหรือคนจน ล้วนแล้วแต่ฟังได้ ฟังให้รื่นหูไพเราะ
เป็นสิ่งวิเศษที่ไม่อาจพบได้ในคนที่ไม่จริงใจต่อเราใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเมื่อเวลาศิษย์ต้องการเตือนผู้อื่น
จงเตือนด้วยคำพูดที่ดีงาม ด้วยสัจธรรมไม่แฝงอารมณ์ ถ้าเขาฟังก็ดี ถ้าเขาไม่ฟังศิษย์เอ๋ยหยุดเถิด
หยุดแล้วรอดูต่อไปด้วยความเป็นห่วง เมื่อเขาหันหลังกลับมาก็พบเรา เพราะเราไม่เคยทอดทิ้งกันใช่หรือเปล่า (ใช่) สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่อาจารย์ต้องการบอก หลายๆ ครั้ง หลายๆ คนเตือนด้วยอารมณ์ส่วนตัว
จึงไม่เกิดคุณงามความดี จึงไม่เกิดผลในคำพูดเหล่านั้นได้
ในการเดินทางของชีวิตยังพบเรื่องราวอีกมากมาย
เรายังต้องเดินเคียงกันไปอีกนานแสนนาน
ปราชญ์เมธีนั้นจึงมีกิริยาท่าทางประดุจผู้ที่สง่างาม ใครพบเห็นก็เกิดความสุขใจ
สีหน้าแววตาเหมือนดังพระศรีอาริย์
คำพูดนั้นเป็นคำพูดที่จริงใจ ไพเราะและยิ่งคิดยิ่งได้ประโยชน์
เวลาที่เราพูดคุยกับใคร เคยรู้สึกไหมว่าเรายิ่งพูดเขายิ่งไม่อยากฟัง (เคย) เพราะฉะนั้นเราก็ยังไกลจากลักษณะของปราชญ์เมธีใช่หรือไม่
(ใช่) ในวันนี้ที่อาจารย์พูดว่าชีวิตคือการเดินทาง
เดินทางแล้วจุดหมายของศิษย์ตั้งแต่เกิดมาหวังสิ่งใดบ้าง
หวังเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต หวังเป็นคนที่มีความรุ่งเรือง
มีความร่ำรวยใช่หรือเปล่า (ใช่) ชีวิตนี้มีความสุข สุขแล้วหวังให้สุขอีกใช่หรือเปล่า (ใช่) นี่ก็คือการเดินทางของชีวิตแห่งปุถุชน
ขณะนี้ศิษย์ของอาจารย์ล้วนได้รับการถ่ายทอดจุดญาณทวารแล้ว
จึงควรมีจุดหมายที่ชัดเจนยิ่งกว่านั้นอีกใช่หรือไม่ (ใช่) จุดหมายที่ชัดเจนเป็นอย่างไร
(พระอาจารย์เมตตาให้หัวหน้าชั้น
(ชาย)
และรองหัวหน้าชั้น
(หญิง)
ออกมาแสดงเพื่อเปรียบเทียบให้เห็นถึงผลที่ได้รับระหว่างทางโลกกับทางธรรม
โดยที่ฝ่ายหนึ่งมีเป้าหมายอยู่ที่เก้าอี้พุทธะ (มรรคผลทางธรรม)
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งมีเป้าหมายอยู่ที่ห่อลูกอม
(ความสำเร็จทางโลก) ทั้ง
๒ เริ่มออกเดินพร้อมกันแล้วก็ถึงพร้อมกัน แต่ผลที่ได้รับนั้นแตกต่างกัน
เหมือนกับตัวเรา หากเลือกหนทางพุทธะก็เป็นพุทธะ
ถ้าเลือกหนทางปุถุชนสุดท้ายก็เป็นเวไนย)
สมมติอาจารย์ให้หัวหน้าชั้นทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งเป็นตัวแทนของพระอริยะ
อีกคนหนึ่งเป็นตัวแทนของปุถุชน เก้าอี้ที่ศิษย์นั่งเรียกว่าเก้าอี้อะไร (เก้าอี้เซียน) เก้าอี้เซียนก็คือมรรคผลซึ่งเป็นสิ่งที่ถ้ายิ่งไขว่คว้าก็จะยิ่งไกลห่าง ถ้ายิ่งสำรวม ยิ่งอ่อนน้อม
ยิ่งบำเพ็ญจะยิ่งเข้าใกล้มรรคผล
ถ้าขยันหาเงินทองจะยิ่งรวยใช่ไหม (ใช่) ถ้าไม่ขยันหาก็จะยากจน ถ้าศิษย์จะบำเพ็ญเป็นพุทธะ
แต่เราสร้างกุศลแล้วยึดติดจะเป็นอย่างไร
ถ้าเราทำบุญแล้วเราบอกว่าเราทำบุญไปบุญนี้เป็นของเรา
บุญเราเป็นอย่างนี้แล้วเราต้องได้อย่างนี้ ถามว่าบุญเรานั้นมีผลไหม (ไม่มี) บุญนั้นให้แต่ให้ในสิ่งที่ศิษย์อยากได้ในรูปลักษณ์ แต่หากว่าศิษย์นั้นไม่หวังผลตอบแทน
เมื่อเราทำบุญนั้นๆ ไปก็เหมือนเป็นน้ำที่จะรดต้นไม้ให้เจริญเติบโต
เป็นใบบัวที่ต่อดอกบัวออกไปให้ผลิบาน
บางคนปลูกต้นไม้ขึ้นมาแล้วต้นไม้ก็กลายพันธุ์ บางคนปลูกต้นไม้ขึ้นมาต้นไม้ก็ยังคงดีอยู่
เพราะฉะนั้นเราจึงต้องไม่มีจิตใจแอบแฝงโลภในมรรคผลนั้นๆ
หัวหน้าชั้นสองคนลองก้าวเดินขึ้นมาให้ถึงจุดหมาย
คนหนึ่งได้นั่งเก้าอี้กับอีกคนหนึ่งได้ท๊อฟฟี่สีแดงหนึ่งห่อ เปรียบเสมือนได้บ้านสักหนึ่งหลัง
หรือได้ความร่ำรวยเจริญรุ่งเรืองในชีวิตสักครั้งหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นสองคนนี้ใช้ความพยายามเท่ากันไหม (ไม่เท่า) ทำไมถึงไม่เท่าเขาก็ก้าวเดินไปพร้อมๆ
กัน ในที่สุดแล้วคนหนึ่งถึงฝั่งนิพพาน
อีกคนหนึ่งได้ฝั่งโลกีย์ที่เอาสีแดงนั้นมาแต้มใส่ตน
สีแดงก็เป็นสิ่งที่ทำให้สวยงามขึ้น
แต่ท้ายที่สุดเมื่อแกะท๊อฟฟี่กินหมดแล้วก็หมดไปใช่หรือเปล่า
เพราะฉะนั้นในขณะที่ศิษย์ของอาจารย์มีชีวิตเกิดมา
ในคราที่เรายังไม่ได้รับรู้วิถีธรรมนั้น เราบอกว่าชีวิตนี้เป้าหมายของเราคือความรุ่งเรือง
และประสบความสำเร็จในชีวิตสักครั้งหนึ่ง
แต่ในที่สุดแล้วสู้ศิษย์ลงแรงในการบำเพ็ญเพื่อหลุดพ้นกลับขึ้นนิพพานดีกว่าหรือไม่
(ดีกว่า) ศิษย์ของอาจารย์ทำได้ไหม
(ได้) ท๊อฟฟี่เวลายิ่งอมยิ่งหวานคอใช่ไหม แสดงว่าเรากินเข้าไปหวานก็ต้องพูดหวานๆ
แล้วศิษย์พูดหวานหรือเปล่า เวลาพูดกับตัวเองไม่มีดุ ไม่มีว่าตัวเอง เรานี้ไม่เคยทำผิดเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) เอากระจกมาวางไว้ข้างหน้าแล้วบอกคนนี้ไม่เคยทำผิดเลยใช่ไหม
(ใช่) แล้วตัวเองเคยว่าตัวเองไหม
(ไม่เคย) แล้วกับคนอื่นเคยไหม
(เคย)
ไม่มีนิดก็มีหน่อย
ไม่มีน้อยก็มากไปเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ไปเมื่อศิษย์เห็นลูกอมก็ต้องพูดหวานๆ
ใช่ไหม (ใช่) ลูกอมเห็นง่ายและเห็นเยอะด้วยใช่ไหม
(ใช่)
(หลังจากหัวหน้าชั้น
(ชาย)
ออกไปแสดงการเลือกหนทางพุทธะแล้ว
พระอาจารย์เมตตาถามว่าอยากได้อะไร)
ในเมื่อไม่อยากได้สิ่งใด
อาจารย์ให้ดอกไม้ไว้ดอกหนึ่ง ดอกไม้หมายถึงอะไร
ในการบำเพ็ญธรรมมีคำพูดว่า "ผลิดอกออกผล"
เมื่อผลิดอกไปแล้วก็ต้องออกผลตามใช่หรือเปล่า (ใช่) ผลนั้นเป็นคำที่อาจารย์จะใช้แทนคำว่า
"มรรคผล" ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนทำได้หรือเปล่า
(ได้) ส่วนใบนั้นมีไว้ป้องกันอุปสรรคนานา
แต่ใบนั้นไม่สามารถกันอุปสรรคได้ทั้งหมดใช่หรือไม่ (ใช่) สมมติว่าใบอยู่ข้างขวาแล้วภัยเกิดมาข้างซ้ายจะรอดไหม
(ไม่รอด) ตั้งแต่ศิษย์รับธรรมะมาอาจารย์นั้นแบกหนี้กรรมให้พวกศิษย์ไว้
ซึ่งหมายความว่าผ่อนหนักให้เป็นเบา ไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นป้องกันให้ได้หมด เมื่ออาจารย์กันให้ข้างขวา
ข้างซ้ายภัยมาต้องทำอย่างไร (ช่วยตัวเอง) ถ้าภัยมาก็ต้องสู้ใช่ไหม (ใช่) ถ้าอาจารย์กันให้ข้างขวาแต่ภัยมาข้างหน้าต้องทำอย่างไร
(สู้) ถ้ากันให้ข้างขวาภัยมาข้างหลังจะทำอย่างไร
(สู้) ถามว่าศิษย์ของอาจารย์เอาอะไรไปสู้
บางคนเอาใจสู้ ใจนั้นคือความศรัทธา บางคนเอาแรงสู้ บางคนเอาปัญหาสู้
บางคนเอาความอ่อนแอสู้
เพราะฉะนั้นเมื่อภัยมาแบบไหน ควรจะเอาสิ่งนั้นๆ
ที่สามารถสู้ได้เอาไปสู้ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ในความเป็นจริงแล้ว
ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนนั้นมักจะเกิดความอ่อนแอทำให้กิเลสไหวตัวทัน
กิเลสนั้นเหมือนกับปรอทวิ่งเร็วแล้วก็ไม่เกรงใจเราด้วย
หากเราสู้ไม่ได้เขาก็ทำลายเราใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าศิษย์อยากจะสู้กิเลสตัณหาทุกๆ
อย่าง ขอให้ศิษย์นั้นเป็นคนที่รู้จักตนเอง ทุกวันนี้เรารู้จักตนเองได้ถ่องแท้ดีแล้วหรือยัง
(ยัง)
เมื่อเรารู้จักตนเองไม่ถ่องแท้จึงไม่สามารถช่วยผู้อื่นได้
ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะนำใครก็ให้นำตนเองก่อนดีหรือไม่
(ดี) เขาจะบำเพ็ญดีหรือไม่ดี
เขาจะเป็นคนแบบไหน สถานธรรมเราจะเล็กหรือใหญ่ก็ไม่เป็นไรใช่หรือไม่ ขอให้เรานั้นก้าวไปด้วยจิตหนึ่งใจเดียวกันดีไหม
(ดี) ธรรมะมีความล้ำค่าทำให้ศิษย์ของอาจารย์สามารถเดินจากปุถุชนไปเป็นพุทธะได้
อาจารย์ไม่ได้พูดโกหก ไม่ได้พูดแล้วฟังไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นขอให้ศิษย์ฟังให้รู้ ฟังให้ชัดเจน
ถ้าหากจะเชื่อก็จงศึกษาให้เข้าใจแล้วเชื่อโดยที่ไม่มีความสงสัย
ถ้าจะไม่เชื่อก็ขอให้เรานั้นเปิดใจให้กว้าง มองให้ชัด
อย่าได้เฝ้ามองน้ำที่เป็นประกาย เพราะประกายน้ำอยู่ข้างนอก
ขอให้มองให้เห็นถึงน้ำจริงๆ
เวลามองไปบนผิวน้ำเราเห็นอะไรก่อน (ประกายน้ำ) ผิวน้ำกระทบกับแดดทำให้เกิดภาพลวงตาใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าหากเรายิ่งมองไปบนความระยิบระยับของประกายน้ำ
ศิษย์จะยิ่งฟุ้งซ่านไปไกลใช่ไหม (ใช่) จริงๆ
แล้วถ้าเราต้องการมองน้ำก็จงมองให้เห็นน้ำ อย่ามองเห็นภาพลวงตานานา
เมื่อเราเป็นญาติธรรมเก่า
เราก็ต้องรู้ว่าควรเก่าอย่างไรดี
อย่าให้เก่าแล้วรับธรรมะมาตั้งนานหลายปีก็ปล่อยให้คนรุ่นใหม่แซงขึ้นไปหมด
อาจารย์จะบอกให้ว่าเบื้องบนนั้นมีมรรคผลแต่มีจำนวนจำกัด
ใครเร็วได้ก็ต้องเร็ว ถ้าเหนื่อยแล้ว จะล้มแล้ว
เมื่อพักแล้วก็ต้องฟื้นตัวให้เร็วใช่หรือเปล่า
ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์สามารถวิ่งได้จงวิ่ง
ถ้าหากวิ่งไม่ได้จงเดินอย่างมั่นคงและมีจังหวะ ดีหรือไม่ (ดี) เพราะว่าสิ่งที่ศิษย์กำลังบำเพ็ญอยู่นี้จำกัดทั้งเวลาและจำกัดทั้งอายุของตัวเราเอง ปีนี้กับปีที่แล้ว และกับปีก่อนๆ
มาร่างกายของเราอ่อนแอลงไหม
เพราะฉะนั้นนี่เป็นคำเตือนจากสังขารอันร่วงโรยใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าปล่อยให้เขาเตือนหลายๆ
ครั้งแล้วเรายังไม่รู้สึกอีกต่อไปจะเป็นอย่างไร ศิษย์เคยปวดหลัง เคยปวดหัวไหม (เคย) ตาเราเคยพร่ามัวไหม
หูเราฟังได้ยินชัดหรือเปล่า ตอนนี้อะไรๆ
ก็พลอยร่วงโรยไปหมดแล้ว เปรียบเหมือนกับดอกไม้ที่ร่วงโรยไปทุกที ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
หากรู้สึกว่าเรายังช้าอยู่ก็เดินไวหน่อยดีไหม
ถ้าหากว่าเรานั้นยังไม่ได้เดินเลยก็ต้องมีก้าวแรกขึ้นสักที
มีก้าวแรกก็จะมีก้าวที่สอง
มีก้าวที่สองก็ต้องมีก้าวต่อไปใช่ไหม
ถ้าเราเริ่มก้าวแล้วเราก็จะเคยชินกับการบำเพ็ญ เคยชินกับการตัดทิ้งดีหรือเปล่า (ดี) ถ้าหากว่าศิษย์คนไหนยังทานเนื้อสัตว์เอาเขาเข้าปากเรา
เราก็ต้องรู้จักตัดแล้วเข้าใจไหม (เข้าใจ)
“ศิษย์รู้ทั้งรู้มิยอมเปลี่ยน”
เปลี่ยนในที่นี้คือเปลี่ยนอะไร (ใจ, ความเคยชิน) เปลี่ยนใจเห็นเปลี่ยนทุกๆ
วินาที ใช่หรือเปล่า
ความกตัญญูสามารถที่จะปฏิบัติได้
เราปฏิบัติอะไรต่อพ่อแม่ได้บ้าง (ตอบแทนพระคุณพ่อแม่ ,ทำความดีทดแทนพ่อแม่ ,ทำในสิ่งที่พ่อแม่ต้องการเพื่อหวังให้ลูกได้ดี
,ดูแลเอาใจใส่ยามเจ็บไข้) เอาใจใส่อย่างไรดี
(ทำสิ่งที่ดี) (เลี้ยงดูพ่อแม่ตั้งแต่เล็ก) ใครเล็ก
พ่อแม่เล็กหรือเราเล็ก (เราเล็ก) ถ้าหากคนที่ทำไม่ได้ก็ไม่เรียกว่าคนกตัญญูสินะ (ก็ไม่มีทางเดิน) มีคนตอบไปตั้งเยอะตั้งแยะ
อาจารย์ถูกใจคำตอบหนึ่ง (ดูแลยามเจ็บไข้) เวลาที่มนุษย์เราพบสิ่งที่ยั่วยวนใจคิดให้กว้างๆ
อย่าคิดแคบๆ
สิ่งที่ยั่วยวนใจหมายถึงสิ่งที่ต้องใจเรา
มีอะไรบ้าง (รูปลักษณ์สังขาร, กิเลสตัณหา) มนุษย์มีหนึ่งอยากได้สอง
ถ้าหากเราบอกว่าเราไม่เอาก็ได้ เราก็เป็นผู้เสียสละ พุทธะต้องเสียสละไหม (ต้อง) เราเพิ่งจะทำหนึ่งในร้อยอย่างที่พุทธะทำใช่หรือเปล่า
(ใช่) เพราะฉะนั้นหากว่าเราจะทำในสิ่งที่ดีก็ต้องทำออกมาให้เห็น
เราฟังเฉยๆ ไม่กระทำตาม สิ่งที่ได้ฟังมาก็ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องคิดได้
พูดได้และทำได้
สักครู่นี้สิ่งที่ยั่วยวนใจเป็นแอปเปิ้ล เหมือนกับคนเอาอามิสสินจ้างมาให้
ถ้าหากเราทำไม่ดีพอ สมควรจะได้รับอามิสสินจ้างไหม
ถ้าหากเขามายื่นเงินใต้โต๊ะมาให้เรา เราควรจะเอาไหม (ไม่ควร) เงินเดือนก็ได้แล้ว
เวลาที่คนเขามาติดสินบนเราก็เหมือนกับแอปเปิ้ลลูกที่สอง เราควรจะเอาไหม (ไม่ควร) แต่เขาเต็มใจให้เรามากกว่าเงินเดือนสองเท่านะ
(ไม่เอา) เราต้องยืนยันได้ใช่หรือเปล่า
การฝึกพุทธะไม่ใช่งดงามได้เฉพาะตอนอยู่ในสถานธรรม แต่ต้องงดงามทุกๆ ขณะจิต
และทุกๆ สถานที่ ทุกๆ เวลาที่เราลืมตาตื่น
เพราะฉะนั้นสิ่งที่ยั่วยวนเหล่านี้อย่าได้คิดแค่สุรานารีพาชีกีฬาบัตร
คิดไปให้ไกลกว่านั้นคิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างได้หรือไม่
เมื่อสักครู่นี้มีคนตอบว่า
เวลาที่พ่อแม่เจ็บป่วยเราต้องดูแลรักษา
การดูแลปฏิบัติพ่อแม่ อย่างเช่นถ้าพ่อแม่หนาวเราต้องห่มผ้า
ถ้าพ่อแม่ร้อนเราต้องพัดให้ ถ้าพ่อแม่เมื่อยเราต้องนวดให้ ถ้าพ่อแม่อยู่ไกลเราต้อง
(ไปหา)
ถ้าพ่อแม่อยู่ไกลต้องคิดถึง เราต้องทำในสิ่งที่พ่อแม่ปรารถนา
ถ้าพ่อแม่ทำผิดเราควรจะบอกท่านด้วยความเคารพรัก บางคนนั้นสามารถที่จะดูแลพ่อแม่ได้ สามารถที่จะเลี้ยงดูในยามเจ็บป่วย แต่ไม่มีความเคารพรัก
ดังนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับที่เราได้ดูแลสัตว์เลี้ยงใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ก็จงคิดดูดีๆ การที่บอกว่าพ่อแม่ร้อนเราต้องพัดให้
ร้อนนี้ไม่ได้หมายถึงร้อนกายอย่างเดียว ร้อนนี้ร้อนที่ไหน (ร้อนใจ) ปวดเมื่อย
ไม่สบาย ถามว่าไม่สบายที่ไหน (ที่จิตใจ) เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดที่เราควรจะเอาใจใส่พ่อแม่ก็คือที่ใจ เวลาที่เรายากจนข้นแค้น
พ่อแม่ก็ไม่ได้หวังว่าเรานั้นจะต้องให้ท่านร่ำรวย
ดีไม่ดีท่านยังช่วยเราประหยัดอีกใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นผู้เป็นลูกหลานควรต้องตั้งตนอยู่ในความดี เมื่อมีสิ่งยั่วยวนมาอยู่ข้างหน้า
เราจำเป็นจะต้องใช้ธรรมะเข้าข่มจิตใจของเรา แต่ถ้าหากว่ามีสิ่งที่เป็นมิจฉา เป็นสิ่งที่เป็นความชั่ว
เราจะต้องเห็นสิ่งเหล่านั้นเป็นเสมือนน้ำกรด น้ำร้อน ถูกต้องไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) เราบอกว่าชั่วนิดหน่อยไม่เป็นไร แล้ววันหน้าจะมีมากกว่านี้ไหม (มี) วันหน้า
เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ต้องเห็นความชั่วเหมือนกับน้ำกรด
น้ำร้อนถูกต้องไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดๆ
ทั้งสิ้น จะต้องทำให้จิตใจของเรานั้นบริสุทธิ์สะอาดให้ได้
ทุกวันนี้เราใจอ่อนให้กับสังคม
เราใจอ่อนให้กับสิ่งยั่วยวน เราใจอ่อนให้กับกิเลสและความเคยชินของเราใช่หรือเปล่า (ใช่) เราลองนับดูสิว่าวันหนึ่ง
เราเคยชินกี่เรื่อง (นับไม่ถ้วน) เพราะฉะนั้นผู้บำเพ็ญจะลำบาก
ประการแรกก็คือลำบากในการที่เรานั้นจะขัดเกลาจิตใจของตนเอง
ถามว่าวันนี้เราตั้งใจจะเป็นพุทธะไหม (ตั้งใจ) เวลาที่เรานั่งเรือ
ถ้าอยากให้เรือแล่นไป เราต้องลงแรงใช่ไหม (ใช่) คำนี้ศิษย์พูดเองบอกว่าต้องลงแรง เราอยากจะเดินไปถึงจุดหมาย ไม่ว่าจะอุปสรรคจะเล็กหรือใหญ่
ไม่ว่าปัญหาด้านไหนก็ต้องสู้ อดทนไว้ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์จะคอยดูศิษย์ทั้งหลายอย่าให้เป็นเพียงแค่คำพูดปากเปล่า
เราต้องใช้การกระทำเป็นสัญญา เราจะรู้ว่าเราเดินถึงหรือไม่
ก็ต่อเมื่อถึงวันที่เรานั้นสิ้นลมหายใจ
เราจึงรู้ว่าเรานัได้บำเพ็ญแล้วบรรลุผลได้ขั้นไหน
และศิษย์ของอาจารย์นั้นเป็นพุทธะเดินดินหรือเปล่า
แม้บางคนศึกษามานาน รู้และเข้าใจแต่ว่ายังทำไม่ได้ แม้ว่าวันนี้เราจะเริ่มช้าไปหน่อย
ขอเพียงแต่ให้ศิษย์เริ่มก็ไม่มีคำว่าสายใช่หรือไม่ (ใช่) บางทีบุญเก่าหนุนช่วย
ศิษย์อาจจะได้บำเพ็ญเพียงนิดเดียว พบอุปสรรคเพียงนิดเดียว บางคนกรรมเก่าซัด ศิษย์อาจจะต้องเจอความลำบาก
เจออุปสรรคและการทดสอบมากมาย ขอเพียงแค่เรานั้นไม่หาอุปสรรคใส่ตัว บางคนชอบหาความเดือดร้อนใส่ตัวด้วยความโลภ
ความโกรธ ความหลงและความไม่รู้จักพอของตนเอง
จึงต้องพบกรรมเก่าและกรรมใหม่จากการกระทำของตนเอง
“บำเพ็ญมิสายใครตั้งใจอยู่
นำผิดมาเป็นครูใครนึกชม”
ชมอันนี้อาจารย์ชมนะ อาจารย์นี้ยกย่องที่สุดคือคนที่รู้จักนำความผิดมาเป็นครู บางคนนั้นมีความผิดแต่ไม่รู้ว่าตนผิด
มีความผิดแต่ไม่ยอมรับว่าตนผิด
คนเช่นนี้จึงแก้ไขไม่สำเร็จ
“สายตาคมตื่นใจมิหวนพ่าย”
ตอนนี้สายตาของเราคมหรือเปล่า
(ไม่คม) อาจารย์ไม่ได้บอกว่าคนแก่ชราสายตาไม่คม
คนหนุ่มสาวสายตาคมกว่า สายตาอันนี้คือสายตาของปัญญาประดุจสายตาของนกเหยี่ยว คนแก่อาบน้ำร้อนมาก่อน บางทีจึงต้องให้การณ์ต่างๆ
กับผู้อื่นและสอนตนเองด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) สายตาคมอันนี้คือสายตาของปัญญา ปัญญาหาใช่ความโง่หรือฉลาดไม่
ปัญญานี้หมายถึงการตัดสินใจใคร่ครวญพิจารณา ไม่ใช่ว่าเด็กๆ จะไม่มี คนที่เป็นเด็ก
คนวัยรุ่นหรือคนชราต่างก็มีด้วยกันทั้งนั้น
บางคนดูเหมือนเขาโง่ๆ แต่เขาก็มีปัญญามาก
ถ้าหากคนโง่บอกว่าต้องดำเนินชีวิตด้วยความซื่อตรง แต่คนฉลาดบอกว่าซื่อตรงไปก็อดตาย
ต้องโกงบ้างเล็กน้อย
ถามว่าคนไหนกรรมมากกว่ากัน (คนฉลาด) คนฉลาดจึงมีกรรมมาก
คนโง่จึงมีกรรมน้อย
ศิษย์อยากจะเป็นคนฉลาดหรือเป็นคนโง่ (ทั้งคนโง่และฉลาด) การอยากเป็นทั้งคนโง่และคนฉลาดรวมกันเรียกว่าเป็นคนงกเพราะจะเอาทั้งสองอย่าง ถ้าหากว่าฉลาดจงฉลาดด้วยความดี ถ้าเป็นคนโง่จงโง่ด้วยความสุขใจ กลัวโดนเอาเปรียบใช่หรือเปล่า ไม่ว่าคนเขาจะเอาเปรียบเท่าไร
เราก็มีความสุขใจ
คนที่เขาเอาเปรียบเราเขากลับมีความทุกข์ใช่ไหม แต่เรากลับมีความสบายใจใช่หรือเปล่า (ใช่) เราก็ไม่ต้องคิดว่าเราเสียเปรียบเขาเท่าไหร่ คิดแต่ว่าใจของเราเป็นสุขก็พอ
“หากทำได้คิดทำ
ไร้โอกาสเก็บจิตมิฝืน”
ศิษย์รู้จักการเก็บจิตไหม
(ไม่รู้จัก) โดยปกติแล้วมนุษย์ดำเนินชีวิต
เรามองเห็นได้ ได้ยิน พูดออกเสียงได้และกทำสิ่งต่างๆ
ด้วยกายอันนี้ของเราใช่หรือเปล่า (ใช่) อาจารย์จึงอยากบอกว่าเป็นมนุษย์นั้นยิ่งเดินทางโลกีย์ยิ่งเปรอะเปื้อน
ไม่สามารถสะอาดได้ เพราะอายตนะของเราส่งออกภายนอก
ไม่ได้ถูกเก็บ หากว่าศิษย์ทำได้
อาจารย์อยากให้ศิษย์ทำสี่อย่างนี้
สิ่งใดที่ไม่มีมารยาท ไม่ตั้งอยู่ในครรลองครองธรรม จงอย่าใช้สายตาของเรามอง
จงอย่าฟัง จงอย่าพูดและจงอย่าทำ
เมื่อเกิดเป็นมนุษย์นั้นมองเห็นได้ด้วยตา ฟังได้ด้วยหู
สื่อสารได้ด้วยปากและกระทำได้ด้วยกายจึงมีปัญหามาก การบำเพ็ญธรรมนั้นคือขัดเกลาสิ่งเหล่านี้ เวลาที่เราใช้ตา หู ปาก เราต้องใช้ด้วยความมีสติ ไม่ว่า ไม่นินทาผู้อื่น
ไม่ฟังคนเขานินทากัน
สายตานั้นไม่คอยจับผิดผู้อื่น
สิ่งใดที่ไม่ดีก็ไม่ควรกระทำ ไม่ว่าจะเอาอะไรมาบังคับก็ไม่ทำ ดังนี้จึงจะเรียกว่าเป็นผู้ที่ได้เริ่มบำเพ็ญแล้ว
เป็นผู้ที่พร้อมมีก้าวของการเตรียมที่จะบำเพ็ญแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่) โดยส่วนใหญ่มนุษย์นั้น
เมื่ออยู่ร่วมกันมีปัญหากันมากมาย เพราะว่าเราเบียดเบียนกัน
ทำไมศิษย์ไม่ปล่อยจิตใจของเราให้โล่งและกว้าง แล้วก็หัดที่จะปิดตาของตนเองบ้าง
หัดที่จะปิดหูของตนเองบ้าง
หัดที่จะปิดการกระทำของตนเองบ้างในสิ่งที่ไม่จำเป็น นี่เรียกว่าการเก็บจิต ศิษย์พอจะเก็บจิตได้ไหม
สมมติว่าศิษย์เงินหายไปหนึ่งพันบาท
และสงสัยว่าศิษย์ของอาจารย์อีกคนหนึ่งเอาไป ถามว่าเงินเราหายไปหนึ่งพันบาท แล้วเราคิดว่าเขาเอาไป
หนึ่งวันผ่านไปไม่กล้าถาม
สองวันผ่านไปยิ่งหน้าตาเหมือนขโมย
สามวันผ่านไปเสียงก็ยิ่งเหมือนขโมย ไม่ว่าเขาจะเดินเหินไปไหนดูมีพิรุธไปหมด
ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นจึงบอกว่านี่คือการที่มนุษย์นั้นไม่รู้จักที่จะคิดพิจารณา
ไม่รู้จักที่จะเก็บจิตใช่หรือไม่ (ใช่) เงินหายไปทำอย่างไรดี (ปล่อยวาง) ศิษย์ทำได้ไหม ถ้าเราคิดว่าเขาขโมยไป
มองกี่ครั้งเขาก็หน้าตาเหมือนขโมยใช่หรือเปล่า
ต่อมามีคนนำเงินมาคืนให้ บอกว่าศิษย์ไปลืมวางไว้ที่นี่แล้วเขาไม่มีเวลานำมาคืน ต่อไปเราจะมองเขาเหมือนขโมยไหม (ไม่เหมือน) ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นเพราะใจของเราไม่ได้เก็บเลย
ใช่หรือเปล่า (ใช่) จ้องจับผิดเขาอยู่ตลอดเวลา ศิษย์เคยเป็นอย่างนี้หรือเปล่า (เคย) เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าผู้บำเพ็ญธรรม แม้ศีลธรรมเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ควรมองข้าม จำเป็นจะต้องฝึกฝนทุกขณะจิต หากว่าเงินหายไปก็ลองหาดู หาไม่ได้ก็ลองปล่อยวาง
ไม่เช่นนั้นแล้วคำที่ศิษย์บอกว่าไม่อยากจะมีทุกข์ก็จะมีทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) เงินทองหาใหม่ได้ แต่ถามว่าจิตใจถ้าเสื่อมโทรมไปแล้วหาใหม่ได้ไหม
(ไม่ได้) วันถ้านี้เราตื่นมาตอนเช้าไม่มีใครคิดว่าเราตื่นมาแล้วจะมีเรื่อง
แต่พอเลยไปกลางวันถึงเย็นเรื่องราวหนักสมองยิ่งมากขึ้นทุกทีๆ สมมติเกิดเหตุการณ์อย่างเมื่อครู่นี้ตอนสาย
แต่คนเดินมาบอกตอนเย็น จิตใจของเราก็มีพิรุธจับผิดไปแล้ว เราจัดการลบทิ้ง
ลบสะอาดไหม (ไม่สะอาด) เราไม่สามารถลบได้สะอาดจึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะเกิดความคิดที่เป็นอธรรมขึ้น ถ้าเราไม่คิดเราก็ไม่ทุกข์ใช่หรือเปล่า (ใช่) ความทุกข์ที่มาจากภายนอกดับไปเสียเท่าไหร่
(ดับไปเสียมากแล้ว)
อย่าบอกว่าดับหมดนะ
หากวันนี้ดับหมด วันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร พรุ่งนี้ดับหมด มะรืนนี้ก็เกิดอีกใช่ไหม
เกิดขึ้นจากไหน (จากใจ) เขาบอกว่าถ่านเก่ามันคุ
ใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าจะทำสิ่งใดแม้ขัดเกลาไม่สะอาด
จงดับและไม่ปล่อยให้สิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นมา
ศิษย์ประคองชีวิตของตนเองเป็นไหม
เวลาที่เราล้มเราก็ควรประคองชีวิตของตนเองให้ลุกได้ใช่หรือไม่ อย่าได้คิดสั้น
เวลาที่จิตใจของเราเอนเอียงเราก็ควรจะประคองให้ตรง
ถ้าหากเวลาชีวิตของเราไม่สมหวังเราควรจะทำควรปล่อยวาง
"ประคองชีวาอย่านึกกลัว"
ประคองชีวิตอย่างกล้าหาญ
เพราะทุกข์ร้อนย้อนเยือนเหมือนคลื่น เหมือนคลื่นตรงไหน
เวลาที่คลื่นถอยหลังลงสายน้ำลงมหาสมุทรไปแล้วตีกลับไหม (ตีกลับ) ตีกลับแรงกว่าเดิมหรือเปล่า
แล้วแต่สถานการณ์ใช่ไหม บางทีลงไปแล้วเราคิดว่าหมด แต่ก็กลับตีขึ้นมาใหม่ใชไหม (ใช่) อาจารย์บอกว่าความทุกข์ร้อนย้อนเยือนเหมือนกับคลื่น
เรานั้นใช้ชีวิตถูกเวลากลืนไปใช่หรือเปล่า
วันนี้เราตั้งชีวิตอยู่บนเวลา ผ่านไปหนึ่งวัน ดูๆ
แล้วผมที่ไม่น่าขาวแต่ก็ขาว เด็กไม่น่าโตก็โต กิเลสเราดูไม่เท่าไหร่แต่ก็เยอะ
เราไม่ใช่คนอารมณ์ร้อนเท่าไหร่แต่ก็คุมไม่อยู่ใช่ไหม
ทุกอย่างที่อาจารย์พูดมาศิษย์สามารถคิดเองได้
พุทธะต่างกับมนุษย์อย่างไร อาจารย์ก็ไม่ได้แสดงอภินิหาร แต่ต่างกันที่มนุนย์ทุกวันนี้รู้
แต่ไม่สามารถจะตั้งตนเองให้อยู่บนความดีได้ อาจารย์ไม่ได้ให้ศิษย์เชื่อในร่างที่อาจารย์มายืมคนนี้
ไม่ได้ให้ศิษย์เชื่อในสิ่งที่ศิษย์เห็นในตอนนี้
แต่ให้ศิษย์เชื่อในสิ่งที่อาจารย์พูดอยู่ในเวลานี้
อยากให้ศิษย์เชื่อว่าธรรมะนั้นสามารถบำเพ็ญแล้วหลุดพ้นได้
นี่คือสิ่งที่อาจารย์อยากให้ที่สุด และอาจารย์อยากให้ศิษย์ทำตนเป็นคนดี
อย่าได้กลัวสิ่งต่างๆ สังคม
คนรอบข้างจะเอารัดเอาเปรียบจนเรานั้นจะต้องไม่ดีตามเขา
ขอให้เรานั้นตั้งตนเป็นคนดีได้ไหม
เราเป็นหนึ่งคนที่ดี คนข้างๆ ลูกหลาน ญาติพี่น้องหรือคนข้างบ้านเห็นเราเป็นคนดีเขาก็ดีตามใช่ไหม
ในที่สุดแล้วไม่ต่างกับลมที่พัดลู่ไปตามโคนหญ้า
ต้นหญ้าเรียงกันทึบลมก็สามารถพัดลู่ไปได้
สังคมมีความชั่วร้ายมากเปรียบเสมือนต้นหญ้าที่ขึ้นมาหลายๆต้นติดกัน
แต่น้ำใจความดีของเราลู่ไปเหมือนกับลม แทรกไปกับความชั่วร้ายต่างๆ และในที่สุดก็สามารถพ้นผ่านต้นหญ้าเหล่านี้ไปได้
ศิษย์ของอาจารย์ก็สามารถแปรจิตใจของตนเองที่ชั่วร้ายให้กลับกลายเป็นดีได้เช่นเดียวกัน
จงมั่นใจในตนเองว่าเรานั้นมีโอกาสในชาตินี้ เกิดมาไม่พิการชาตินี้เป็นผู้มีปัญญา
ชาตินี้มีคนมาชวนรับวิถีธรรม เพราะฉะนั้นชาตินี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดใช่หรือเปล่า (ใช่) อาจารย์จึงบอกไว้ในเพลงว่า
"หากทำได้คิดทำ" หากทำได้จงคิดแล้วก็ไปทำ
ถ้าไร้โอกาสก็เก็บจิตไม่ฝืน แต่ตอนนี้ศิษย์เป็นผู้ไร้โอกาสหรือเปล่า
ศิษย์เป็นผู้มีโอกาสที่ดีอย่างยิ่งใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นศิษย์เอ๋ยคิดแล้วทำ
อย่าคิดแล้วไม่กระทำ ศิษย์ต้องกระทำให้เหมือนผู้ที่เป็นปราชญ์
คิดรู้สิ่งที่ดีที่สุด หากไม่แสดงออกก็ไม่มีประโยชน์อันใดต่อสังคมโลก
หรือแม้กระทั่งตนเอง
โอกาสในการพบเจอของเรา
ศิษย์อาจารย์นั้นก็เป็นเวลาไม่กี่ชั่วโมงในการประชุมธรรมนี้
และไม่สามารถจะพบกันได้ทุกๆ วัน อาจารย์ไม่สามารถจะตักเตือนศิษย์ทุกวินาที
แต่อาจารย์นั้นรู้ว่าศิษย์รู้ตัวเองดีอยู่แล้ว
เพียงแต่ว่าจะยอมแพ้ให้กับกิเลสหรือเปล่า
ขณะที่อาจารย์นั้นตักเตือนศิษย์ไม่ได้ อาจารย์นั้นกระวนกระวายใจเป็นที่สุด
เพราะการที่ศิษย์ของอาจารย์จะเป็นพุทธะ หรือการที่ศิษย์ของอาจารย์จะเวียนว่ายต่อไป
บางครั้งขึ้นอยู่กับเวลาเพียงชั่วครู่ขณะเดียว
ศิษย์บางคนเมื่อทำผิดไปแล้ว อย่าคิดว่าตนเองจะได้แก้ตัว
ไม่มีเวลาจะให้ศิษย์แก้ตัวแล้ว เพราะฉะนั้นจงประคองตนเองให้ดีที่สุด
มีเวลาจงมาสถานธรรมบำเพ็ญตน
ไม่มีเวลาก็จงขัดเกลาจิตของตนเอง
ย้อนมองจิตของตนเองมากๆ อย่าได้หาอุปสรรคมาใส่ตน
ขอให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นก้าวหน้าด้วยความสมควรที่จะก้าวหน้า
อันหมายความว่าลงแรงแล้ว พยายามแล้ว
อย่างที่อาจารย์พูดไว้มรรคผลที่เบื้องบนจะว่ามีมากมายก็มีมากมาย จะว่ามีจำกัดก็มีจำกัด
แล้วศิษย์คนไหนในชั้นนี้ที่จะเป็นเจ้าของ อาจารย์ไม่สามารถตอบได้
จนกว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นจะบำเพ็ญจนถึงวาระสุดท้ายจึงจะเป็นการตัดสิน
แม้ว่าจะเป็นพุทธะหรือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงมาเกิด
เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ก็ลุ่มหลงได้เหมือนกัน หากว่าปล่อยให้ตนเองนั้นถลำลึกลงไป
ก็ไม่มีวันที่เรานั้นจะได้โผล่พ้นน้ำมาเห็นแสงตะวันอีก
เพราะฉะนั้นจงรักษาตนเองให้อยู่รอดปลอดภัยจายภัยอันตรายแห่งกิเลส ในขณะนี้ทั่วโลกร้อนเป็นไฟใช่หรือเปล่า
ขอให้ศิษย์ของอาจารย์จงมองไปรอบๆ ข้าง ไม่ใช่เราที่ทุกข์คนเดียว
คนอื่นก็ทุกข์เหมือนกัน ทุกๆ คนก็มีความทุกข์เหมือนกัน บางคนทุกข์มาก บางคนทุกข์น้อย บางคนไม่มีทุกข์
บางคนมีความสุขแต่ไม่พอใจ
อาจารย์จะแนะนำให้อย่างหนึ่ง ในตอนนี้ข้างนอกใครๆ
ก็บอกว่าเศรษฐกิจไม่ดีใช่ไหม (ใช่) จิตใจของศิษย์นั้นก็ไม่สามารถที่จะคล่องแคล่วเหมือนกับสมัยก่อน
เพราะว่าเรานั้นใช้ชีวิตผูกติดกับเงินตรามากเกินไปจึงเดือดร้อน
จิตใจจึงไม่ได้พักผ่อน จิตจึงแข็งกระด้างขึ้น
ถามว่าศิษย์นั้นเห็นเงินตราสำคัญที่สุดใช่ไหม ศิษย์ก็คงจะตอบว่าเปล่า
ไม่ได้เห็นเงินสำคัญที่สุด จริงๆ
แล้วถ้ามองให้ลึกลงไป ศิษย์ใช้ชีวิตนี้ผูกติดกับเงินมากเกินไป อาจารย์ก็อยากจะบอกว่าเพียงแค่ศิษย์นั้นอย่าจ่ายให้เกินจากกับรายรับที่ตนเองได้หามา
ศิษย์ก็จะไม่เดือดร้อน
นี่เป็นการแก้ปัญหาง่ายๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ในหลวงของศิษย์นั้นเป็นผู้ที่ทรงทศพิศราชธรรมมากและเป็นผู้ที่คุณธรรมสูง
ศิษย์จึงได้อยู่ใต้ร่มโพธิ์
นับว่าเป็นวาสนาท่ามกลางความทุกข์และจงอยู่อย่างคนที่มีวาสนา อย่ามัวแต่นั่งอมทุกข์ไว้ ใจอมทุกข์ก็ดึงขึ้นมา หน้าตาอมทุกข์ก็เอารอยยิ้มปะเข้าไป จะได้มีความสุขบ้าง ดีหรือไม่ (ดี)
“เจนโลกด้วยอายุอันชรา
แต่ไม่ชัดเจนด้วยสายตาอันพร่ามัว”
ใครเป็นเช่นนี้ต้องรีบๆ
บำเพ็ญ ถูกเตือนด้วยอายุที่ชราขึ้น คนเจนโลกจะหนาวจะร้อนจะเย็นก็ผ่านมาหมดแล้ว
แต่ไม่ชัดเจนด้วยสายตาที่พร่ามัวลงทุกวันๆ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าหากยิ่งอายุมากยิ่งติดในกิเลส
ก็ยิ่งติดในลูกหลานและเงินทองที่ที่จะเก็บไว้ให้ผู้อื่นแล้ว ถึงแม้ว่าเราจะเก็บไว้ให้ผู้อื่นแต่ก็เป็นกิเลสของเราถูกหรือเปล่า
(ถูก) เราอยู่ด้วยกัน
นั่งฟังธรรมมะมาสองวันแล้ว เรารู้จักคนที่นั่งอยู่ข้างๆ
เราต้องมีการพูดคุยทำความรู้จัก
เราเป็นพี่น้องกัน บางคนกลัวว่าบั้นปลายของชีวิตจะไม่มีคนเลี้ยงดู
เก็บเงินไว้เยอะๆ แก่แล้วได้มีใช้ ศิษย์กลัวอนาคตใช่ไหม (ใช่) เรานั่งอยู่ที่นี่เปรียบเสมือนพี่น้องกัน
ถ้าศิษย์เป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตนก็จะมีคนรัก
ถ้าเป็นคนที่ซื่อตรงจริงใจ กลัวไหมว่าจะไม่มีคนที่เป็นพี่น้องเรา (ไม่กลัว) เดี๋ยวนี้พี่น้องกันฆ่ากันตายยังมีเลย
คนนอกบ้านมีน้ำใจมากกว่าใช่หรือเปล่า
แล้วศิษย์จะหาสาระอะไรกับการที่ศิษย์นั้นมีลูกหลาน แล้วลูกหลานต้องเลี้ยงเรา
ตั้งความหวังไว้เขาไม่ทำก็เท่านั้น ใช่หรือเปล่า (ใช่) ในวันนี้ถ้าหากศิษย์เป็นคนมีคุณธรรม
ศิษย์ได้เลี้ยงพ่อแม่ให้ลูกหลานดู ลูกหลานก็ต้องเลี้ยงเราใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะว่าเขาสอนเราไว้อย่างนั้น เพราะในที่นี้ทุกๆ คนเป็นพี่น้องกัน เราอยู่บนเรือลำเดียวกัน ถ้าหากว่าศิษย์มีความซื่อตรง พูดอย่างที่ใจคิด
ไม่พูดปากอย่างใจอย่างก็ไม่ต้องกลัวว่าใครนั้นจะรังเกียจเรา เวลาที่พ่อแม่มีลูก
เขาบอกว่ามีลูกเพิ่มอีกหนึ่งคน
ถ้ากินข้าวน้อยไปคำหนึ่งลูกก็โตใช่ไหม (ใช่) เราเป็นพี่น้องกัน
ถ้าเรานอนเบียดกันนิดก็จะนอนไปได้อีกหนึ่งคนใช่หรือเปล่า (ใช่) กินข้าวก็กินข้าวหม้อเดียวกันต้องรักกัน พี่กินนิด น้องกินหน่อยก็เป็นอย่างไร (อิ่มแล้ว) เพราะฉะนั้นก็อย่าคาดหวังอะไรให้มาก ชีวิตเหมือนกับความฝัน เมื่อคืนเราฝันว่าเราเป็นคนที่อยู่ในฝัน มีทั้งฝันดีและฝันร้าย ชีวิตนี้ก็มีดีและมีร้ายไม่ต่างกับความฝัน สิบปีที่ผ่านมาก็เป็นเรื่องเหมือนกับความฝัน
เราก็รู้สึกว่าเรื่องที่หนักหนาในตอนนั้นกลายเป็นเรื่องที่ไม่หนักหนาแล้ว
ใช่หรือไม่ (ใช่) ขอให้ศิษย์ใช้ชีวิตนี้ให้มีประโยชน์และคุ้มค่าที่สุด ชีวิตคือการเดินทาง ศิษย์จะเดินไปทางไหน แม้จะเดินทางแห่งอริยะ เดินทางแห่งพุทธะ
แต่ถ้าเดินไม่ตรงทางเดินเลี้ยวไปมาแล้วจะเป็นอย่างไร (หลงทาง) ไม่แน่ว่าตอนที่ศิษย์หลงทางคนอื่นอาจจะถึงเส้นชัยพอดี
แต่ศิษย์นั้นตกอยู่ในภูมิของปุถุชนคนธรรมดา
หรือว่าสัตว์ที่จะต้องออกหากินก็ได้ใช่หรือไม่
อาจารย์ขอให้เดินให้ตรง
ใจเราต้องตรงจึงเห็นทางตรง ตาเราต้องมองตรงจึงมองเห็นทางที่เที่ยงตรงใช่หรือไม่ (ใช่)
คนที่ชอบแวะอาจจะพลาดพลั้งได้ หากศิษย์นั้นเดินไปในทางแห่งปุถุชน ขณะที่คนอื่นอาจจะเดินไปถึงแล้วในก้าวเดียวกันกับศิษย์ก็ได้
แล้วที่เหลือศิษย์จะทำอย่างไร
ในความจริงแล้วการที่จะให้ศิษย์เกิดความศรัทธาเชื่อมั่น
ก่อนวันที่มาประชุมธรรมนั้นเป็นเรื่องยากมาก อาจารย์จึงหวังว่าศิษย์นั้นสามารถที่จะเดินได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย
หากยามใดเกิดความสงสัย
ก็ไม่ว่างเว้นที่จะศึกษาเพื่อทำความเข้าใจ
หากยามใดเกิดจิตเมตตาขอให้ออกไปช่วยผู้อื่น
ขอให้นำความเมตตานี้ออกมาให้เวไนยได้รับรู้จึงจะเป็นสิ่งมีประโยชน์
ดังที่อาจารย์บอกไปอาจารย์นั้นเฝ้ามองศิษย์ทุกคน ใครมีความเปลี่ยนแปลงด้านไหนในเวลาไม่นานนี้ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ได้
ศิษย์นั้นจะปล่อยให้กิเลสฝ่ายต่ำ รัก โลภ โกรธ หลงดึงชักลงไปข้างล่าง
หรือว่าจะเอาธรรมะเชิดชูใจของตนเองให้สูงส่งขึ้น
ผู้มีความสูงส่งไม่ใช่คนตัวสูง
หรือไม่ใช่มองเห็นอะไรมากกว่าใครจึงเป็นผู้มีความสูงส่ง
ส่วนผู้มีความสูงส่งในด้านคุณธรรม คุณธรรมนั้นไม่ใช่สิ่งที่คิดก็มีได้ทันที
แต่คุณธรรมเป็นสิ่งที่อาศัยเวลาในการเพิ่มเติม
ศิษย์คิดว่าตอนนี้ตัวเราได้เพิ่มอะไรในจิตใจของเราเองบ้าง
อาจารย์ไม่วอนขอให้ศิษย์เป็นผู้ที่บำเพ็ญได้ดีเลิศ เพียงแต่บำเพ็ญได้ดีบ้าง
อาจารย์ไม่วอนขอให้ศิษย์เก่งเหนือใคร แต่ขอให้ชนะกิเลสบ้าง ค่อยๆ ฝึกฝน ค่อยๆ
ปฏิบัติ ทยอยเริ่มต้น เราเริ่มต้นดีผู้อื่นจึงเริ่ม อย่าเป็นคนที่พูดแล้วทำไม่ได้
อย่าไปมองคนอื่นว่าคนอื่นนั้นเขาทำไม่ได้ให้มองแต่ตนเองก็พอ พี่น้องบ้านเดียวกัน บางคนเป็นคนนิสัยดี บางคนเป็นคนนิสัยไม่ดี
แต่ศิษย์จะไปสนใจกับนิสัยของเขาทำไม ขอให้สนใจตัวเรา การขัดเกลาของเรา
การฝึกเป็นพุทธะของเราให้สำเร็จในเร็ววัน
นับตั้งแต่วันนี้ไปเริ่มต้นเดินหน้าดีไหม (ดี) ทางสั้นที่อาจารย์ให้ศิษย์เห็นเมื่อสักครู่นี้
แท้จริงแล้วยาวมาก ทางของการบำเพ็ญก็เท่ากับเวลาในชีวิตของศิษย์ ถ้าศิษย์มีอายุ ๕๐
ปี ทางแห่งการบำเพ็ญของศิษย์ก็ยาว ๕๐ ปี ถ้าอายุ ๑๐๐ ปี ทางแห่งการบำเพ็ญก็ยาว ๑๐๐
ปีใช่หรือเปล่า (ใช่) อาจารย์ไม่ว่าอะไร
ถ้าวันนี้ศิษย์ของอาจารย์มีใจถดถอยท้อถอย
อาจารย์ไม่มีสิทธิ์เรียกร้อง
อาจารย์มีสิทธิ์เพียงแต่หวัง หวังให้ศิษย์ของอาจารย์เป็นพุทธะได้ หวังไว้ว่าศิษย์ของอาจารย์จะเป็นผู้ตัดกิเลสได้
จำไว้ว่าศิษย์ของอาจารย์เดินตามหลังของอาจารย์
ถ้าอาจารย์หันไปเมื่อไหร่ก็ยังคงเห็นศิษย์นั้นเดินตามมาติดๆ
อย่าปล่อยให้อาจารย์เดินไปข้างหน้า แต่ศิษย์มัวเที่ยวเล่นเพลิน
ภาวะการณ์ในโลกนั้นวุ่นวายมาก หากศิษย์ของอาจารย์ไม่สามารถแก้ไขปรับปรุงตนเองเลย ยังคงมีความชั่วแฝงอยู่ในจิตใจ
ไม่นานนักสีดำอันนี้ก็จะดึงศิษย์เข้าไปในกลุ่มของคนชั่วทั้งหลาย แล้วสีดำนี้ก็จะกลืนใจที่เป็นสีขาวของศิษย์ให้หายไปหมด เพราะฉะนั้นเมตตาสิ่งใดก็เมตตาได้ เมตตากิเลสความชั่วในจิตใจของตัวเองนั้นห้ามเมตตา
อย่าหลงไหลได้ปลื้มกับสิ่งที่ได้มาเพียงชั่วขณะ
ศิษย์ที่เป็นนักเรียนก็ต้องเป็นผู้ที่เริ่มตั้งแต่วันนี้ ผู้ที่เคยเป็นนักเรียนมาก่อนเมื่อหลายปีที่แล้วก็เริ่มมานานแล้ว
พิจารณาตัวเองดูสิว่าเราได้รุดหน้าไปถึงไหน
ไม่มีใครดี ไม่มีใครเลวในสายตาอาจารย์
อาจารย์เข้าใจทุกคนเป็นปุถุชน ทุกคนเป็นคนธรรมดา แต่ขอได้ไหม
ขอให้ศิษย์นั้นมีปณิธานที่ไม่ธรรมดาได้หรือเปล่า (ได้)
“เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ขอบหุบเหวยืนห่างแล้วหรือไม่”
เมื่อวานนี้มีอาจารย์บรรยายธรรมบอกว่ามีนักปราชญ์ได้พูดไว้ว่า
“เหวข้างนี้กับเหวข้างโน้น เหวข้างนี้คือการเกิด
เหวข้างโน้นคือสุสานตรงกลางมีเชือกพาดเส้นหนึ่ง
คนแก่เดินไปถือไม้เท้ายิ่งเดินยิ่งแก่ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่อาจารย์บอกว่าศิษย์เอยจริงๆ
แล้วศิษย์ไม่ได้ยืนห่างจากเหวนี้สักเท่าไหร่
หากยิ่งยืนใกล้เท่าไหร่ก็ยิ่งมีโอกาสพลาดพลั้งตกลงไปในเหวมากขึ้นเท่านั้นใช่หรือเปล่า
(ใช่) แต่ความจริงศิษย์นั้นหล่นลงไปอยู่ในเหวแล้วดีที่ยังมีไม้กิ่งหนึ่งฉุดช่วยไว้อยู่ที่ว่าจะยอมปีนขึ้นมาหรือเปล่า
ตกลงไปนั้นตกง่าย ปีนขึ้นลำบากยิ่ง
ถ้าศิษย์อยากจะตกลงไปก็ง่าย เหมือนเอาตัวเข้าไปอยู่ในสายน้ำที่แรงเชี่ยว
แค่เอาตัวลงไปก็สามารถลื่นไหลลงไปตามน้ำ ไม่มีอุปสรรคใดๆ ทั้งสิ้น แต่จะขึ้นมาทวนกระแสน้ำเป็นเรื่องยากยิ่ง
คนที่กลัวความลำบากก็จะไม่พบแสงสว่างเลย หุบเหวนี้มืดมากเรียกว่า “นรก”
เราเคยกล้ายืนยันไหมว่าเราเป็นคนดี
(ไม่กล้า)
แล้วเราคิดว่าเหวนี้
เราจะตกลงไปไหม (ไม่ตก) อย่าหลอกตนเองนะ ถ้าไม่เป็นคนที่เรียกตนเองว่าดีแล้ว
ก็ไม่สามารถจะพ้นเหวที่เรียกว่านรกนี้ได้
เป็นคนดีขึ้นสวรรค์แล้วก็ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกเหมือนกัน
มีทางเดียวคือนิพพานหรือการหลุดพ้น
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า
“เคียงบ่า เคียงไหล่”)
โอวาทที่ซ้อนออกมาคือสิ่งที่อาจารย์ต้องการพูดกับศิษย์
อาจารย์เชื่อว่าศิษย์อ่านแล้วเข้าใจ เชื่อว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ
คนเป็นคนฉลาดรอบรู้ เป็นคนมีปัญญา
เคียงบ่าเคียงไหล่เป็นพี่น้องกันต้องอยู่ร่วมกัน หากใครผิดก็ต้องอภัย
หากเขาถูกก็ต้องชมเชย จะตักเตือนเขา รานั้นต้องไม่มีอคติแฝงเร้นจึงจะเป็นการตักเตือนที่ดีได้
อาจารย์อยากให้คนที่อุตรดิตถ์นี้สามัคคีกันเข้าไว้
หนักนิดเบาหน่อยให้อภัยได้ก็ให้อภัยกัน
การที่เราจะอยู่ร่วมกันได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย บางคนมีนิสัยเป็นสีขาว
บางคนมีนิสัยเป็นสีดำ บางคนมีนิสัยสีเหลือง สีต่างๆ หมายความว่าอะไร ลองไปคิดดู
สีทุกสีจะอยู่รวมกันอย่างสวยงามได้นั้นก็คือสิ่งที่ศิษย์ของอาจารย์ต้องทำ
จะอยู่รวมกันเมื่อไหร่ ขัดเกลากันเหมือนกับก้อนกรวดที่อยู่ด้วยกัน มุมต่อมุมขัดกัน
ขัดไปขัดมาก็กลมใช่หรือเปล่า (ใช่) เมื่อถึงเวลานั้นก็สมบูรณ์พอที่จะเป็นพุทธะได้แล้ว
อย่าบอกว่าเขาไม่ดีเราดี เราไม่ดีเขาดีไม่ได้ทั้งสิ้น “อยู่ที่นี่ไกลห่าง” ไกลห่างจากอะไร
อาจารย์หวังเป็นอย่างยิ่งว่าไกลห่างนั้น ไกลห่างจากความมีอคติ การยึดอัตตาตัวตน
ความคิดผิดๆ ทั้งหลาย
ขอให้เรานั้นรู้จักแบ่งเวลาให้กันและกัน สามัคคีซึ่งกันและกันเท่านี้เรือลำนี้ก็สามารถแล่นไปได้แล้วใช่ไหม
อาจารย์พูดไว้ในโอวาทว่า “เคียงไหล่ข้าฉุดเวไนย เคียงไหล่พี่น้องซ้อนเรียงไหล่” เคียงไหล่พี่น้องต้องถืออิสระใช่หรือเปล่า
ไหล่ซ้อนไหล่ก็คือการเอาไหล่ชนกัน ถ้าหากว่าเจอลมมรสุมแรงๆ ถ้าตั้งกำแพงขึ้นมาก็ไม่ต้องกลัวแพ้ใช่หรือไม่ (ใช่) เรานั้นจะเรียงไหล่พร้อมกันไป
ใครที่หมดกำลังใจแล้วต้องรู้จักที่จะให้กำลังใจกันดีไหม (ดี) อย่าปล่อยให้จิตใจลงต่ำเหมือนที่ผ่านมานี้ดีหรือเปล่า
(ดี) บำเพ็ญธรรมแล้ว
เป็นญาติธรรมเก่าแล้ว ลัญจกรยังพนมไม่ถูกจะไปผ่านด่านได้อย่างไร อาจารย์พูดไปแล้ว ถึงดึงดื้ออาจารย์ก็ไม่ทิ้งต่อให้นานแสนนานชั่วฟ้าดินสลาย
อาจารย์ก็จะคอยศิษย์ ขอให้เดินอย่างมีความมั่นคงด้วยจังหวะของสติปัญญา ทุกๆ
ก้าวมีสติไม่ว่าจะทำอะไรไปก็แล้วแต่
อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นต้องกลับไปเคียงบ่าเคียงไหล่กับอาจารย์ได้แน่นอน
ลาก่อน
[1]
อหังการ การถือตัว,
ความเย่อหยิ่ง,
ความทะนงตัว
[2]
ปฏิปักษ์ ฝ่ายตรงข้าม,
ข้าศึก,
ศัตรู
[3]
ปฏิปทา ทางดำเนิน,
ความประพฤติ
เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ขอบหุบเหวยืนห่างแล้วหรือไม่
การบำเพ็ญก้าวหน้ามากเท่าไร ในจิตใจขัดเกลาบ้างหรือยัง
ยุคคับขันการเคี่ยวขับเร็วพลิกพลิ้ว พ่ายภัยตนใบไม้ปลิวสู่พื้นล่าง
ระวังตนดังคนไม่เจนทาง อาจารย์เห็นนกคืนรังนึกศิษย์เรา
เดินเคียงข้าฉุดเวไนยเต็มใจภาระ ถือสละพี่น้องซ้อนเรียงไหล่
เข้าหนักนิดเบาหน่อยให้อภัย เอาทั้งหนักเอาเบาสู้ปฏิปทา