วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2538

2538-05-05 พุทธสถานผู่ถี จ.พิษณุโลก


PDF 2538-05-05-ผู่ถี #3.pdf

#เมตตาปัญญากล้าหาญ  #ฟังธรรม  #สายทอง  #การฟังธรรม


วันศุกร์ที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘ พุทธสถานผู่ถี จ.พิษณุโลก
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
อากาศเย็นลอยต่ำสู่พิภพ ฟ้าบรรจบดินสงบยิ่งใหญ่เสมอ
ประชุมธรรมเพื่อปลุกผู้ละเมอ สงสัยเธอฉันหรือเขาเฝ้าพิจารณา
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกคนล้วนเกษมฤๅ ฮวา ฮวา
วาระใหญ่ปรกโปรดทั่วสามภพ มนุษย์ฟ้าบรรจบงานสำคัญยิ่ง
เรียกพุทธบุตรที่ยังหลงประวิง พบญาณจริงจงเร่งไปเจริญกุศล
ทั้งบาปบุญเคยสร้างโอกาสช่วย ยุคสามนี้มิงงงวยไปเวียนว่าย
จงรู้ตื่นฉับพลันแจ้งทางเดินไป ด้วยจิตใจมิสงสัยหรือลังเล
ประชุมธรรมเพื่อจิตญาณใสผุดผ่อง อภิลาสแน่มิครองให้โศกศัลย์
ระทมในโลกนี้ทุกคืนวัน ทั้งโลภหลงผูกพันปิดปัญญา
อยู่ในโลกแปดทุกข์เข็ญมาพัวพัน อุปสรรคนานานั้นพาจิตหลง
เมื่อรู้แล้วจงเร่งไปปลดปลง มิยืนงงตัดโอกาสเหล่าเมธี
ผู้บำเพ็ญควรเห็นชัดสัจธรรมชีวิต ชะตาลิขิตของตนควรแยกชัดหนา
อย่าล่องลอยปล่อยตามน้ำเสียเวลา เกิดกายมามิใช่ง่ายอย่างเข้าใจ
เมื่อนาวาลอยผงาดกลางทะเลทุกข์ สายทองฉุดเวไนยจงตื่นหนา
เหล่าพุทธาลงช่วยงานมิชักช้า จงศึกษาแจ้งปัญญาได้เดินจริง
จงเริ่มต้นคุณธรรมแห่งมนุษย์ เป็นคนจริงสมบูรณ์ให้ได้หนา
จิตอับแสงจงแข็งแรงกู้ใจฟ้า แล้วตัวข้าจะคุ้มครองให้บำเพ็ญ
มาวันนี้หน้าที่พี่จดบันทึก น้องตรองตรึกอย่าหวาดหวั่นไปเลยหนา
ผ่านทดสอบเลื่อนชั้นใกล้มารดา รู้ไหมหนาจงศึกษาให้เข้าใจ
ประชุมธรรมสามวันจงอย่าขาด บรรพชนรอโอกาสน้องฉุดช่วย
ลบหนี้กรรมที่ทับถมมานานนัก ด้วยกุศลผลประจักษ์ในชาตินี้
จงรักษาระเบียบให้เคร่งครัดจริง จิตจงนิ่งฟังธรรมาอนุตตรา
รู้บ่อเกิดชีวิตอันมีค่า จึงเปลี่ยนตนเป็นคนใหม่เข้าใจธรรม
ในวันนี้มิกล่าวความให้มากไป ภาระใหญ่พุทธบุตรอย่าลืมเสีย
เข้าประตูแห่งพระธรรมนำจิตออก แล้วพี่บอกดูแลน้องมิไปไกล
วนพู่กันจรดวาง
ฮวา ฮวา หยุด


วันศุกร์ที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘
พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง
เชิญมาร่วมสนุกสนานพร้อมกับเรา ด้วยสิ้นแล้วมัวเมามิหลงใหล
ท่านรู้ไหมว่าเรานั้นเป็นใคร แล้วทำไมเราต้องรีบวิ่งลงมา
เราคือ
เสี่ยวผีเซียนถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายกชกร
พระมารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านง่วงหรือเปล่า
สร้างรากฐานของธรรมเอาไว้ในจิต ไม่ขุ่นทึบดั่งน้ำนิ่ง หากมั่นใจ กู้ใจฟ้า แข็งแรงนำแสงยิ่งใหญ่ จะต้องตั้งจุดหมายใจตื่นด้วยกัน
เมื่อเดินกับผู้คนยิ่งขัดเกลาต้องเข้าใจ ไม่พ้นการขัดใจต้องหวนคุมแล้วรวมจิตตน ทุกข์ทนถ้าตนแพ้ใจ
* พุทธาคือชนผู้งามพร้อมเพรียง ได้รับการขัดเกลา ละจนอารมณ์ที่แรงได้เบา ไม่ตามใจเราไป
เมื่อท่านรู้เมตตาที่แท้ซึ้งจิต ชีพซึมซับเนืองนิจไม่เดินหลงทาง ปลดกรรมนั้นที่เคยสร้างสิ้นไกลห่าง จิตกลับใสอีกครั้ง เมื่อกรรมสิ้นไป
หากจิตพินิจดลให้ได้ย้อนมองเมตตา ส่งเสริมเขาให้มา จากถ้อยคำที่หนุนนำสู่ใจ หนุนนำสู่ใจพุทธา (ซ้ำ *)
เพลง : กลับใจ
ทำนองเพลง : ร้อยคน


พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง
เวลามาฟังธรรมะแล้ว ถ้าคิดว่าดีก็ควรจะเก็บเอาไปปฏิบัติ แล้วเข้าใจไหมว่าทำไมเราจึงต้องมานั่ง ๓ วัน (เพราะการที่จะเข้าถึงอนุตตรธรรมนั้นควรจะต้องมีข้อปฏิบัติในหลายๆเรื่อง) ตอนนี้เรากำลังสร้างกุศลโดยการพูดธรรมะให้คนฟัง ปฏิบัติอย่างไร (ก็คงจะต้องเริ่มที่ใจก่อน ใจนั้นจะต้องเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม และเมื่อใจคิดดีแล้ว กายก็ปฏิบัติดีตามไปด้วย) ถ้าฟังแล้วว่าดีและนำไปปฏิบัติ แสดงว่าเปิดใจฟังใช่ไหม (ใช่) แล้วทุกคนได้เปิดใจฟังกันครบถ้วนหรือยัง (ครบ)
การสร้างรากฐานของธรรมไว้ในจิตนี้สร้างได้อย่างไร คนเรามีพุทธจิตเป็นพื้นฐาน ทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ ต่างก็มีพุทธจิตเหมือนกัน เพียงแต่ก่อนที่จะลงมาเกิดทำอะไรไว้อย่างไร ผลกรรมที่ออกมาก็เป็นแบบนั้น พวกท่านที่อยู่ที่นี่เป็นผู้มีภูมิธรรม เป็นผู้ที่เคยสร้างบุญสร้างกุศลมา จึงเกิดมาทันยุคสามนี้ ถ้าหากรู้จักว่าเราควรจะบำเพ็ญอย่างไร ต่อไปก็จะมีรากฐานอันมั่นคง การสร้างฐานที่สำคัญก็คือการเจริญจิตใจเมตตา เพราะคนเราส่วนมากจะขาดจิตเมตตากัน จริงหรือเปล่า (จริง) การศึกษาธรรมะไม่จำเป็นต้องมีความรู้ก็ได้
การบำเพ็ญธรรมต้องมีผู้อาวุโสและผู้น้อย ทุกท่านเข้าใจหรือยังว่า ทำไมผู้ปฏิบัติงานธรรมถึงดีกับเรา ใส่เสื้อผ้าก็ไม่เหมือนเรา สงสัยไหม (สงสัย) เป็นเพราะว่าเขามาก่อนเรา เมื่อก่อนเขาก็ใส่เสื้อผ้าแบบนี้ จากนั้นมาเขาบำเพ็ญดีขึ้นเรื่อยๆ อาจจะไม่ดีมากมาย แต่ก็มีจิตใจเมตตา การที่จะมองว่าเขามีจิตใจเมตตา ต้องมองให้ลึกซึ้ง แล้วจะรู้ว่าเขามีจิตเมตตาอย่างไร คนมาที่นี่เพื่อบำเพ็ญธรรมให้บรรลุนิพพาน ถ้าหากบอกว่าบำเพ็ญธรรมแล้วบรรลุนิพพาน จะรู้สึกว่าไกล จริงๆแล้วไม่ไกลหรอก เมื่อก่อนนี้กว่าที่ท่านจะได้รับธรรมะนี้ก็ต้องนาน แต่บัดนี้พอมีคนไปชวน บอกว่ามาไหว้พระ ไหว้พระเสร็จแล้วได้มารับธรรมะ รู้ประตูเกิดตาย รู้สึกว่ามันง่ายไปหน่อย เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า คนสมัยก่อน พอเขารู้ว่าจุดญาณทวารคือประตูเกิดตายอยู่ที่ไหน เขาก็สามารถบรรลุได้แล้ว แต่คนสมัยนี้ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ยังงงกันอยู่เลยใช่ไหม ดังนั้นเมื่อได้รับธรรมะแล้วก็ต้องมาศึกษาทีหลัง
เวลาเจอคนไปชวนมารับธรรมะพูดเก่งๆ รู้สึกอย่างไร รู้สึกว่าเบื่อหรือเปล่า เป็นมนุษย์ต้องรู้จักการพูดให้พอดี บางคนตอนนี้เงียบๆ เหมือนฝนที่แห้งแล้ง แต่พอพูดมากเกินไปกลายเป็นฝนตกท่วมเลย เพราะฉะนั้นก็ควรรู้ว่าเวลาฝนตก ตกให้พอดีก็มีประโยชน์ ต้นกล้างอกงาม ถ้าหากฝนตกไม่ทั่วฟ้า ตกบ้างไม่ตกบ้าง เหมือนคนที่มีจิตใจเมตตาบ้าง ไม่เมตตาบ้าง อย่างนั้นก็ไม่ดีใช่ไหม
เราให้เพลงไป เข้าใจหรือเปล่า จิตที่ไม่ขุ่นทึบแล้วก็เป็นเหมือนน้ำนิ่ง เป็นอย่างไร (จิตที่ไม่ขุ่นทึบก็คือจิตบริสุทธิ์สดใส ปราศจากกิเลสครอบงำ เหมือนน้ำนิ่งก็คือไม่ว่าจะได้รับกิเลสจากภายนอกเข้ามา ก็จะวางตัวเป็นกลาง จะไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคต่างๆ และกิเลสทั้งปวง) ถ้าหากทุกๆคนทำตัวเป็นน้ำนิ่งได้ทุกวัน ก็จะไม่รู้สึกว่าตัวเรามีความผิดหวัง มีความท้อแท้ เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า “กู้ใจฟ้าแข็งแรงนำแสงยิ่งใหญ่” คำว่าใจฟ้าต้องกลับไปศึกษาดีๆ ถ้าหากว่าคนเราเหมือนเป็นแสงอาทิตย์ที่อยู่บนฟ้า แล้วเราเป็นเสมือนพระอาทิตย์ที่จะส่องนำคนอื่นได้ดีหรือเปล่า (ดี) แล้วเมื่อไรจะทำได้แบบนั้น
“เมื่อเดินกับผู้คนยิ่งขัดเกลา” ใครเคยทะเลาะกับคนอื่นบ้าง (มีนักเรียนยกมือ) เวลาทะเลาะกับเขา เราโกรธเขาหรือเปล่า (โกรธ) โกรธแล้วควรทำอย่างไร (อดทน) เวลาเราทะเลาะกับเขาก็เหมือนกับว่าเรากำลังไปกับเขา เรากำลังขัดเกลากับเขา ถ้าเวลานั้นเราไม่นำสติออกมา เราก็จะไม่รู้ว่าเราควรที่จะอภัยให้เขา คนมักจะมีอารมณ์โกรธ ซึ่งเป็นอารมณ์ที่หยาบที่สุด ซึ่งเป็นไปตามเพลงที่เราบอก เวลาโกรธใครก็ร้องเพลงนี้ดังๆ ทำได้หรือเปล่า ถ้าหากเราอยากเป็นพุทธะ พุทธจิตก็คือจิตของพุทธะ ถ้าหากเราได้รับการขัดเกลาเอาอารมณ์ทิ้งไปบ้าง เราก็จะเป็นพุทธะผู้งามเพียบพร้อมใช่ไหม (ใช่) ต่อไปใครจะอธิบาย (เมื่อเรามีจิตใจที่เมตตาอยู่ในใจแล้ว การดำเนินชีวิตต่างๆ ย่อมมีหลักการที่มั่นคง จะไม่หลงทางไปในทางที่ผิด เป็นการมุ่งตรงไปยังอนุตตรธรรม และช่วยปลดหนี้กรรมที่เคยสร้างไว้ในอดีตชาติหรือว่าในปัจจุบันนี้ เป็นการละกรรมเวรที่ปฏิบัติมา ทำให้จิตเราบริสุทธิ์ขึ้นอีกครั้ง)
คนที่จบจากชั้นนี้ไปแล้วจะต้องมีการพูดธรรมะให้คนอื่นฟัง เวลาเราพูดให้เขาฟังเราก็ต้องรู้จักพูดในสิ่งที่เป็นจริง และพูดในสิ่งที่ดีเท่านั้น เวลาเราพูดกับคนอื่นๆ สิ่งที่ไม่ดีของเขาเราจะพูดไหม (ไม่พูด) ถ้าเราไม่พูดถึงสิ่งไม่ดีของเขา แสดงว่าเรามีความเมตตา ถ้าหากว่าคนนี้เขามีความดีและไม่ดี เราจะเลือกพูดสิ่งใดของเขา (สิ่งดี) การพูดในสิ่งที่ดีจะทำให้คนนับถือเรา ผู้บำเพ็ญธรรมต้องทำตัวให้คนนับถือ แต่การทำต้องทำออกมาจากใจจริงๆ
ในชีวิตต้องรู้จักปฏิบัติดีทำดี อย่าดูถูกตัวเอง หากคิดว่าเราต้องหาเงิน หาเช้ากินค่ำ แล้วยังต้องเลี้ยงลูกด้วย อย่างนี้แล้วเราจะสำเร็จได้อย่างไร ถ้าหากว่าคิดอย่างนี้ก็ไม่มีทางสำเร็จได้ เราต้องรู้ว่าธรรมะที่เราศึกษาอยู่นี้ เป็นเพราะวาระแห่งฟ้าดินในยุคสามต้องการให้เรามีหนทางที่จะบรรลุไปได้ ถ้าไม่ใช่เพราะว่ากาลนี้คับขันคงยากที่พวกท่านจะรับรู้วิถีธรรมโดยง่าย เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าที่เราได้รับธรรมะได้ง่ายๆเช่นนี้ไม่ใช่เพราะเราไม่มีบุญ ไม่มีภูมิธรรม แล้วคิดว่าธรรมะเป็นของปลอม ถ้าคิดอย่างนี้แล้วพวกท่านคงไม่แน่ใจและก็ลังเลใจ เพราะฉะนั้นต่อแต่นี้ไปต้องตั้งใจฟังธรรม สิ่งที่เก็บไปปฏิบัติได้ก็ปฏิบัติ แล้วก็ค่อยๆศึกษาธรรมให้มากขึ้นเรื่อยๆ วันนี้เราจะไปแล้ว วันหน้าค่อยพบกันใหม่


วันเสาร์ที่ ๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘
พระโอวาทท่านแปดเซียน เฉากว๋อจิ้ว
โคลนตมยากยึดมั่นกำอยู่ ลาภยศยากเคียงคู่คงไว้
จะมากมายเพียงไรย่อมเสื่อมไป ดุจอายุขัยย่อมล่วงไปมิอาจิณ
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียน เฉากว๋อจิ้ว รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายกตัญชลี
องค์มารดา ถามปราชญ์ทุกท่านเกษมฤๅ
พุทธะถูกมายาภาพปลูกฝังสลับ ครองสุขกับชีวิตปล่อยตามปรารถนา
คำนึงตนหวาดผวาจิตพลาดอัตตา ตามลักษมี ปล่อยหาใดแท้จริง
ชีพลอยล่องปล่อยตามคลื่นกระแส นานเรื่อยแปรใจพัดกระพือไหว
กร่อนไปเช่นทรายถูกชเล ไซร้ รอลมหวนน้ำลอยใหม่พิจารณา
รู้ขมขื่นปล่อยตามใจใฝ่หา เร่งรุดหน้าเริ่มต้นบัดนี้เถิด
รู้ชีวิตเข้าใจชีวิตพุทธจิตบังเกิด พิสุทธิ์เลิศกว่าใดแล้วในโลกีย์
ฮา ฮา หยุด
หมายเหตุ : กลอนที่ขีดเส้นใต้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมแต่ง
พระโอวาทท่านแปดเซียน เฉากว๋อจิ้ว
วันนี้ที่ทุกท่านมีใจมา เพื่อมาศึกษาธรรม การศึกษาธรรมนั้น เราต้องรู้ถึงต้นรากเดิมแท้ หลักธรรมอันเดิมแท้นั้นอยู่จิตใจ ถ้าจิตใจเราเป็นได้ดังเช่นนภากว้าง จิตใจเราตอนนั้นก็มีหลักสัจธรรมอยู่ แล้วตอนนี้จิตใจของทุกคนสามารถเป็นได้ดั่งนภาที่กว้างได้ไหม ใครกล้าตอบก็แสดงว่าพร้อมที่จะรับฟังธรรมะ จริงๆแล้วทุกคนมีจิตใจที่เป็นดังเช่นท้องฟ้า แต่เป็นได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว เพราะบางครั้งความต้องการ ความชอบ ความรัก ความโกรธมาบดบัง ทำให้จิตใจของทุกๆคนต้องเอนเอียงไปบ้าง ต้องถูกห่วงทำให้ไม่สามารถมีจิตใจแจ่มใสได้อย่างท้องฟ้าใช่ไหม
ใครเคยลองจับโคลนบ้าง เมื่อเราพยายามที่จะจับโคลน โคลนนั้นก็เหลว ลื่นไหลลงไป จับเท่าไรก็จับไม่อยู่ แล้วถ้าเกิดเราเปรียบเป็นลาภยศ เงินทองที่ทุกคนใฝ่หา ทุกคนอาจจะแย้งในใจว่าเราสามารถจับมันได้อยู่ แต่ไม่สามารถจับเกียรติยศให้อยู่ได้ใช่ไหม (ใช่) ถ้าทุกคนพูดว่าจับเงินให้อยู่ได้ เราอยากทราบว่าตัวไหนล่ะที่เป็นตัวต้องการเงิน ใช่กายนี้หรือเปล่า หรือว่าจิตใจ (จิตใจ) แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าเราสามารถกำเงินให้อยู่ได้หรือเปล่า (ไม่อยู่) เมื่อรู้ว่ากำได้ไม่อยู่ ไม่สามารถยึดครองได้ตลอดเวลา แล้วสิ่งที่เราวุ่นวายกันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เราหาไว้เพื่ออะไร บางคนก็พูดว่าเพื่อเลี้ยงชีวิตและร่างกายนี้ แต่เมื่อมีมากเกินไปเราก็รู้สึกหวาดกลัว ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่เมื่อไม่มีเลยก็รู้สึกกลัวที่ใจเราต้องทุกข์ใช่ไหม (ใช่) เพราะทุกคนเห็นอำนาจของเงินว่าสามารถสร้างสรรค์สิ่งต่างๆได้มากมาย แต่เงินก็ไม่สามารถซื้อจิตใจของเราได้ จริงๆแล้วทุกคนก็รู้อยู่ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่แท้จริง สิ่งใดเป็นสิ่งที่ปลอม แต่ทุกคนก็ยังมีกิเลส ยังมีตัณหา ยังมีความทะยานอยากอยู่ ก็เลยปล่อยใจไป ทั้งที่ความสำนึกที่อยู่ภายในจิตใจลึกๆนั้นคอยเตือนคอยพร่ำบอกเราอยู่เสมอว่า เราเหนื่อยแล้วนะ เมื่อไหร่จะได้หยุดสักทีใช่ไหม (ใช่) บางคนอาจจะยังไม่รู้สึกเหนื่อย เพราะชีวิตยังไม่ถึงค่อนชีวิตเลย ยังรู้สึกสนุกสนานอยู่ ยังรู้สึกว่าชีวิตนั้นยังมีต่อๆไปใช่ไหม (ใช่) ทุกคนรู้ว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ แต่ทุกคนจะสามารถรู้ได้ไหมว่าต่อไปเราจะได้อาศัยร่างกายนี้อีกหรือเปล่า ไม่ทราบเลยใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเมื่อรู้แล้วตอนนี้สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคืออะไร เราให้ตอบแล้วคิดอยู่ภายในใจนะ เพราะทุกคนความคิดก็ต่างกันไป แต่อย่าเอาความลังเลสงสัย ความกังขามาบดบังเสียก่อน ไม่อย่างนั้นการศึกษาธรรมะก็ไม่สามารถก้าวเดินไปลึกถึงภายในจิตใจของตนได้ อย่ามองเพียงแค่รูปลักษณ์ที่เราเห็น แต่ให้มองเข้าไปลึกๆถึงภายในจิตใจดีกว่าไหม (ดี)
“พุทธะถูกมายาภาพปลูกฝังสลับ ครองสุขกับชีวิตปล่อยตามปรารถนา
คำนึงตนหวาดผวาจิตพลาดอัตตา ตามลักษมีปล่อยหาใดแท้จริง
ชีพลอยล่องปล่อยตามคลื่นกระแส นานเรื่อยแปรใจพัดกระพือไหว
กร่อนไปเช่นทรายถูกชเลไซร้ รอลมหวนน้ำลอยใหม่พิจารณา”
พอเข้าใจกลอน ๒ บทนี้ไหม (เข้าใจ) ลองให้คนพอเข้าใจอธิบายดีไหม (จิตดั้งเดิมของเราเป็นจิตที่เป็นพุทธะ เมื่อมาเกิดในโลกนี้แล้วก็โดนสิ่งต่างๆ เช่นกิเลสตัณหาครอบงำ ปล่อยไปและหลงไปชั่วขณะหนึ่ง) ทำไมเราถึงบอกว่าพุทธะเมื่อลงมาอยู่ในโลกมนุษย์แล้วถึงได้เกิดการปลูกฝัง แล้วสลับเปลี่ยนอะไรไป เพราะว่าจิตใจเราแบ่งไปตามตา หู ลิ้น จมูก ปาก ใช่หรือไม่ (ใช่) และสิ่งแวดล้อมที่แวดล้อมทุกคนอยู่ เมื่อใจเราถูกแบ่งแยก แล้วไม่สามารถรวมเป็นหนึ่งได้ก็เกิดความฟุ้งซ่าน เมื่อฟุ้งซ่านแล้วกิเลสก็ครอบงำ เมื่อกิเลสครอบงำแล้วความกระหายใคร่อยาก ความหลงผิดไปชั่วครู่ก็สามารถเข้าแทรกแซงได้ แต่ถ้าเมื่อจิตใจรวมเป็นหนึ่ง ใส กว้าง บริสุทธิ์ ไม่มีความลำเอียงแล้ว ตอนนั้นจิตเราก็เป็นหนึ่ง ความรู้สึกต่างๆก็ไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้ แต่ว่าทุกคนเมื่อลงมาก็ไม่เคยที่จะย้อนมองดูว่าพุทธจิตหรือจิตใจของเรานั้นอยู่ตรงไหน กลับไปมองในส่วนที่ใจต้องการ ใจปรารถนา ไม่ได้มองว่าใจที่เราต้องการ ใจที่เราปรารถนาอยู่ตรงไหนใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งเมื่อเราปรารถนา เราต้องการ เรากลับกลัวใจของเราเอง กลัวว่าใจจะพลาดพลั้งเผลอ ใจจะหยิบสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาไว้ในจิตใจใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าทุกท่านเข้ามาในที่นี้ ทุกๆท่านจะได้ยินว่าโลกนี้เปรียบเหมือนทะเล ทะเลที่มีแต่ความทุกข์ แต่จริงๆแล้วบางคนอาจจะแย้งอยู่ภายในใจว่า เวลาฉันเหนื่อยล้าฉันก็ไปเที่ยวทะเล มีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะทุกๆท่านไม่เคยรู้ว่าธรรมชาตินั้นได้แฝงหลักสัจธรรมไว้อย่างหนึ่งว่า ทุกสิ่งล้วนอนิจจัง เมื่อคลื่นซัดสาดขึ้นมาก็พร้อมที่จะกวาดบางสิ่งบางอย่างลงไปได้ เหมือนต้นไม้ที่เกิดมาจากดินฉันใด ก็ย่อมต้องสูญสลายลงสู่ดินฉันนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อรู้ถึงจุดๆนี้ ทะเลทุกข์ที่เป็นมายาเราก็สามารถที่จะแปรหรือผันเปลี่ยนให้ทะเลนี้สงบเงียบได้ใช่ไหม (ใช่) แล้วเราจะทำอย่างไรที่จะให้ทะเลที่วุ่นวายโหมกระหน่ำนี้สงบเงียบลงได้ (เราต้องควบคุมจิตของเราให้ได้ก่อน จึงจะสามารถควบคุมทุกอย่างได้) ถูกไหม (ถูก ต้องอดทนอดกลั้น บังคับตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมาก พวกเรากำลังทำอยู่) บางครั้งเราอยากให้ทุกท่านขอบคุณพ่อแม่ดีกว่าใช่ไหม ไม่ใช่ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าพ่อแม่ไม่ให้ร่างกายเรานี้ ถ้าพระมารดาไม่ให้จิตวิญญาณเรานี้ เราจะรู้ไหมว่าพุทธจิตที่อยู่กับเรานั้นอยู่ตรงไหน โลกใบนี้วุ่นวายเพียงใด ฉะนั้นถ้าเรานึกขอบคุณ นึกเสียใจก็ขอให้นึกย้อนไปถึงผู้ให้กำเนิดสิ่งต่างๆแก่เราจะดีไหม สิ่งบางอย่างที่แอบแฝงอยู่นั้น เราไม่สามารถมองเห็นได้ ฉะนั้นถ้าหากเราฟุ้งซ่านไป สิ่งที่แอบแฝงนั้นก็จะสามารถเข้าครอบครองใจเราได้ ใช่ไหม (ใช่) ทุกชีวิตเมื่อมีสูงก็ต้องมีตกต่ำใช่ไหม (ใช่) ขอให้ทุกคนทำใจให้สงบ เก็บจิตเก็บใจ
เราไม่สามารถล่วงรู้ว่าอดีตเราเคยสร้างสิ่งใดไว้บ้าง ปัจจุบันต่อไปเราจะเป็นอย่างไร ฉะนั้นถ้าตอนนี้พุทธจิตของทุกคนเริ่มเปิดแล้ว และพร้อมที่จะศึกษา ก็ขอให้ตั้งใจให้ดีๆ อย่าปล่อยให้พลั้งเผลอไปได้ เพราะเมื่อยิ่งพลั้งเผลอแม้เพียงชั่วครู่ สิ่งที่เราคาดไม่ถึงนั้นก็อาจจะเกิดขึ้นได้ กลัวไหม (กลัว) ถ้าใจเราตั้งมั่นเที่ยงตรงบริสุทธิ์ใจแล้ว สิ่งต่างๆก็ไม่สามารถทำร้ายเราได้ใช่ไหม (ใช่)
เมื่อสักครู่เราได้พูดว่า เราสามารถที่จะสงบคลื่นที่ซัดสาดได้ เพราะว่าใจนั้นถ้าเปรียบดั่งทะเลก็เป็นใจที่มีคลื่นมากมาย แต่ถ้าเราดับแล้ว ปิดแล้วซึ่งอายตนะต่างๆ คลื่นนั้นก็ไม่สามารถที่จะเกิดได้ใช่ไหม (ใช่) เมื่อรู้ปิดใจก็ต้องไม่ใฝ่อีกใช่หรือเปล่า (ใช่)
“รู้ขมขื่นปล่อยตามใจใฝ่หา เร่งรุดหน้าเริ่มต้นบัดนี้เถิด
รู้ชีวิตเข้าใจชีวิตพุทธจิตบังเกิด พิสุทธิ์เลิศกว่าใดแล้วในโลกีย์”
ถ้าตอนนี้ทุกคนมองเห็นแล้วว่าตัวเรามีพุทธจิตตั้งอยู่ที่ใด ขอให้มองดูว่ามีสิ่งสกปรกหรือมีสิ่งใดมาครอบคลุมหรือเปล่า เมื่อรู้ว่ามีก็เร่งรีบทำให้สะอาด ถ้าเราให้ทุกคนทำจิตใจเป็นดังเช่นกระจกใส ที่เมื่อมีสิ่งใดผ่านเข้ามาแล้วก็ให้ผ่านไป ไม่เหลือคั่งค้างไว้ดีไหม (ดี) ไม่ว่าจะผจญทุกข์หรือสุข เมื่อเข้ามาในจิตใจ จิตใจก็ไม่ต้องเหลือไว้ ให้เอาออกไปให้หมดพร้อมกับสิ่งที่ผ่านไปจะดีกว่าไหม ถ้าทุกคนสามารถทำพุทธจิตได้อย่างนี้แล้ว ทุกคนก็จะมองเห็นว่าตอนนี้เราเผลอไปแล้ว ยังมีส่วนที่คั่งค้างอยู่อีก ต้องรีบเอาออก ถ้าทุกคนหมั่นทำเป็นประจำ หมั่นฝึกตามจิตของตัวเองเป็นประจำแล้ว ก็จะสามารถรักษาจิตให้สงบนิ่งใสบริสุทธิ์ได้ใช่ไหม (ใช่) อย่าปล่อยให้ความลำเอียงเข้ามาครอบครอง อย่าให้เกิดอคติเพราะว่าเราชอบ เราชัง เราโลภหลงไป หรือเพราะว่าเรามีใจใฝ่หา ถ้าเมื่อใดที่จิตใจเราเที่ยงตรงไม่หวั่นไหวเอนเอียง เราก็สามารถที่จะควบคุมจิตใจของเราได้ทุกขณะ เมื่อสงบแล้วก็จะบริสุทธิ์ใส เมื่อบริสุทธิ์ใสแล้วพุทธจิตก็พร้อมที่จะกลับคืน การบำเพ็ญนั้นไม่ยากเลย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ให้เราตัดทุกสิ่งทุกอย่าง ตอนนี้เรายังมีสิ่งที่เป็นพันธะอยู่ก็ให้ดำเนินไป แต่ให้รู้จักความพอดี รู้จักหยุดใช่ไหม (ใช่) เมื่อรู้พอรู้หยุด ไม่มีความทะยานอยาก เราก็ไม่ต้องสูญเสีย ใครยังสงสัยเรื่องการบำเพ็ญอยู่บ้าง อย่าแฝงบางสิ่งบางอย่างกลับไป เพราะถ้าทุกคนแฝงกลับไปแล้ว ทุกคนก็ไม่สามารถหาใครช่วยขจัดข้อสงสัยได้ เพราะบางทีใจยังติดอยู่ว่าต้องให้คนที่นี่ตอบถึงจะหายสงสัยได้ใช่หรือเปล่า
การร้องเพลงนั้นถ้าจิตใจไม่ฟุ้งซ่าน ทุกๆท่านก็จะสามารถเข้าใจหลักธรรมที่กำลังร้องหรืออ่านอยู่ได้ เมื่อเข้าใจแล้ว ก็จะดับความกังขาสงสัย และสามารถไปอธิบายให้คนที่บ้านฟังได้ แต่ถ้าจิตใจของทุกคนกลับไปด้วยความไม่เข้าใจแล้ว การศึกษาหลักธรรมก็จะสูญเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่) การเข้าใจต้องเข้าใจให้กระจ่างแจ้ง ถ้าเข้าใจแบบผิวเผิน ก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงภายในใจได้ อย่าใช้คำตอบแค่เพียงคำพูด แต่ให้เป็นคำตอบที่อยู่ภายในจิตใจ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนร้องเพลงกำลังใจ) พอจะเข้าใจความหมายของเพลงไหม (พอเข้าใจ) เพลงนี้ก็เปรียบเหมือนเมื่อเรามีความเชื่อมั่นในพุทธจิตเดิมแท้ เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้ว ก็อยู่ที่ว่าทุกๆท่านพร้อมที่จะลงมือปฏิบัติหรือเปล่า (พร้อม) เราไม่ต้องการคำพูดตอนนี้ เราเพียงต้องการให้ทุกท่านมีความตั้งมั่นในจิตใจและลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง สิ่งนั้นย่อมได้กับทุกท่านเอง ไม่ได้ให้กับคนที่อยู่ข้างหน้า หรือคนที่กำลังอธิบายอยู่เลย ถ้าเราทำทุกสิ่งแล้วผลก็ต้องตกเป็นของเรา ไม่มีใครสามารถที่จะทำแล้วตกไปเป็นของคนอื่นได้ จิตสัมมาย่อมเป็นพุทธะ จิตมิจฉาย่อมเป็นมาร เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ไม่คอยเรา อยู่ที่ว่าเราจะตามเวลาหรือจะให้เวลาตามเราเท่านั้น
วันนี้เรามีความยินดีที่ได้มีโอกาสมาผูกบุญสัมพันธ์กับทุกๆท่าน ขอให้ประคองรักษาความตั้งใจไว้ให้ดีๆ มีปัญหาหรือสงสัยอะไรก็ให้ถามคนที่อยู่ข้างหน้า อย่าเก็บสิ่งที่ไม่ดีกลับไป บางสิ่งบางอย่างนั้นถ้าเรามองด้วยความบริสุทธิ์ใจแล้ว สิ่งที่ดูเลวร้ายนั้นอาจจะกลับกลายเป็นสิ่งที่ดีได้ อย่าคิดว่าสิ่งที่เลวร้ายนั้นจะทำให้จิตใจเราเลวร้ายเสมอไป แต่ให้คิดเสียว่าสิ่งที่เลวร้ายนั้นย่อมมีสิ่งสร้างสรรค์แอบแฝงหน่อแห่งสิ่งที่ดีงามเอาไว้ในจิตใจ มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันใหม่


วันอาทิตย์ที่ ๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ประเทืองปัญญาพินิจรู้ได้ประคอง เมตตาปองสาดส่องมิสับสน
นำปฏิบัติกล้าหาญยิ่งมิอับจน เกิดเป็นคนสมบูรณ์แล้วสู่อริยา
เราคือ
พระอรหันต์จี้กง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา แฝงกายกตัญชลี
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนล้วนสุขสำราญฤๅ
ศิษย์รักเอยรู้จักตนเสียบัดนี้ ทั้งชีวีใดแท้จริงเป็นแก่นสาร
ต่างมีชีพที่เวียนว่ายทรมาน พุทธญาณอยู่ดั่งละครวกเกิดตาย
ทุกเวลาทุกวินาทีพลีเพื่อชน เสมือนตนเมามัวสร่างเมตตาไสว
ทุเลาร้อนทุกข์จะผ่อนช่วยเวไนย ฤทัยในภายหลังเปรียบปานอมฤต
จิตกลับสร่างเมื่อกระจ่างในธรรมา ทางดำเนินกลับคืนหน้าพุทธาใส
อย่าจีรังใดศิษย์คิดลังเลใจ กังวลใจข้าหวังเจ้าฝ่าอุปสรรค
จิตตื่นจริงคงบรรลุปณิธานได้ หากได้ใจเข้าตำราอับจนหนา
จงรีบเร่งหมั่นบำเพ็ญอย่าได้ช้า เดี๋ยวเวลาจะสายไปน่าเสียดาย
ฮา ฮา หยุด
หมายเหตุ : กลอนที่ขีดเส้นใต้ พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมแต่ง


หากจิตปล่อยวางแล้วปลง ใจมั่นคงจะพิทักษ์ ปฏิบัติธรรมไม่คลอน ความร้าวรอนจะเลือนหาย
* ทุกข์เมื่อหลงโลกีย์ขุ่นมัว เคว้งคว้างเพราะตัวเองพลาดไป ตนแพ้ใจใฝ่ปองผูกพัน รู้ทันกลับใกล้ใจ
ประคองตนมิล้า รู้มายาย่อมลวงใจ ก้มกายน้อมใจลงเท่าใด สร้างปราการอันแข็งแรง
เหนื่อยเพียงไรมิช้า สายทองมาช่วยเวไนย ทุกข์ภาระยิ่งใหญ่
ขอให้จงช่วยกัน (ซ้ำ *)
เพลง : ใจมั่นคง
ทำนองเพลง : โบกมือลา


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ฟังธรรมะมา ๓ วันแล้ว เข้าใจมากน้อยเท่าไร บำเพ็ญธรรมะแล้วจิตส่วนดีออกมาบ้างหรือยัง (ออกมาบ้างแล้ว) ออกมาครบกันทุกคนแล้วหรือยัง (ครบ) จิตส่วนดีเหมือนกับดอกบัวกลางไฟ เหมือนกับไข่มุกในทะเล แม้จะหายากแต่ว่าจิตส่วนนี้ถ้านำออกมาได้ก็เป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่อุ้มชูให้เราปฏิบัติงานธรรมได้ตลอดรอดฝั่งใช่ไหม (ใช่)
เวลาฟังธรรมะ ฟังแล้วได้ฟื้นฟูพุทธจิตใช่ไหม คนที่บำเพ็ญธรรมะเห็นว่าคนที่นี่ล้วนแต่เป็นวัยรุ่น ล้วนแต่มีภูมิธรรมสูงส่ง คนที่บำเพ็ญธรรมะจะต้องมีหลักมีขั้นตอน รู้ไหมว่าที่เขาชวนเรามารับธรรมะแล้วเขาบอกว่าเราเป็นคนประเภทไหน (คนดี เป็นคนที่ควรสั่งสอนได้) การเป็นคนดีประกอบด้วยจิตใจที่ดีงามเป็นพื้นฐาน เมื่อมีจิตใจที่ดีงามแล้ว ตอนนี้ก็ฝ่ามาถึงขั้นการประชุมธรรม หลังจากประชุมธรรมแล้วเราควรจะทำอะไรต่อไป (เอาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน) คนที่มาศึกษาธรรมะและผ่านประชุมธรรมแล้ว ในคราวต่อไปเมื่อมีการจัดชั้นเรียน ควรจะต้องมาศึกษาให้กระจ่างยิ่งขึ้น เพราะแม้ว่าตอนนี้จะนั่งฟังธรรมะกันไปแล้ว ๓ วัน แต่ไม่ใช่ว่าจะกระจ่างชัดทั้งหมดใช่ไหม (ใช่) การมาศึกษาชั้นเรียนต่างๆ ต่อไปนั้นเป็นเรื่องหรือภาระหน้าที่ที่พวกเราจะต้องปฏิบัติ เมื่อเรารู้แล้ว เราควรมาศึกษาธรรมะให้กระจ่างยิ่งขึ้น ขั้นต่อไปก็ต้องแก้ไขปรับเปลี่ยนตัวเอง บางคนมีนิสัยที่ไม่ดี รู้ตัวเองแล้วก็ควรจะแก้ไข ใช่ไหม (ใช่) ต่อจากนี้ไปเราจึงจะสามารถชวนคนรับธรรมะได้อย่างมั่นใจ เพราะการที่เราจะมานั่งประชุมธรรมนั้น เมื่อเราออกไปเราก็ยังรู้สึกว่าเราเองก็ยังไม่รู้อะไร แล้วเราจะไปชวนคนเขามารับธรรมะได้อย่างไร เวลาชวนคนมารับธรรมะ เราก็จะต้องปฏิบัติตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดี เมื่อทำได้อย่างนี้แล้วจึงสมกับคำที่คนอื่นเขาเรียกเราว่าเป็นพุทธะ ถ้าทำได้อย่างนี้ ศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็จะไม่สับสนว่าทำไมพอจบชั้นประชุมธรรม ก็บอกให้เราชวนคนมารับธรรมะ เข้าใจไหม (เข้าใจ)
พระโอวาทนำนั้นอาจารย์ได้กล่าวอยู่ ๓ เรื่อง นั่นก็คือปัญญา เมตตาและกล้าหาญ ถ้าหากว่าปัญญาในตัวเราที่มีอยู่เดิมได้เกิดขึ้น เราก็จะรู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราค้นหาอยู่ เพราะแม้ว่าศิษย์เองจะศึกษามาพันหมื่นคัมภีร์ศาสน์ แต่ทุกๆอย่างก็เป็นปริศนาธรรมที่บอกให้รู้ประตูเกิดตาย มีใครที่จะรู้เองโดยไม่มีการชี้แนะไหม (ไม่มี) เพราะฉะนั้นตอนนี้ประตูเกิดตายของศิษย์ได้ถูกเปิดออกแล้ว เมื่อเปิดออกแล้วเราก็รู้ว่าเราเองควรที่จะมีเมตตา เมตตาในที่นี้ สิ่งง่ายๆที่เราจะกระทำได้อยู่ในกายเนื้อเราคืออะไรรู้ไหม เมื่อวานนี้หัวข้อสุดท้ายฟังเรื่องอะไร (ความหมายของการทานเจ) แล้วรู้สึกว่าเราเหมาะสมกับการกินเจหรือยัง (เหมาะ) ถ้าหากว่าใครเริ่มปฏิบัติได้ ก็ค่อยๆ เริ่ม เรื่องสุดท้ายที่จะกล่าวก็คือความกล้าหาญ ความกล้าหาญที่จะไปกระทำนี้เป็นอย่างไร (กล้าฉุดช่วยผู้อื่น) ซึ่งถ้าเราไม่สับสนแล้วก็ฉุดช่วยเขาได้อย่างแท้จริง เราก็จะรู้ว่าเราเองมีความกล้าหาญที่จะไปช่วยเขาอย่างไร เพราะถ้าเราไม่รู้จริง เราก็คงไม่กล้าที่จะไปหาเขา ถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่าเขาเป็นคนดี
คนบำเพ็ญต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน เวลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาหรือว่าเราเป็นผู้น้อยที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้อาวุโส ต้องรู้จักที่จะอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักที่จะระวังตนเสมอ เวลาที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถาม เราจะต้องรู้จักตอบ เพราะจะทำให้มีบรรยากาศธรรมที่เป็นพี่น้อง เป็นพ่อลูกกัน ถ้าเกิดว่าอยู่บ้านแล้วก็เงียบๆงันๆแบบนี้จะรู้สึกอึดอัดบ้างไหม (อึดอัด) ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วคงไม่มีใครที่เขาอยากจะมาห้องพระใช่ไหม แล้วเราก็มาเริ่มฝึกกันตั้งแต่บัดนี้ ก็คือการที่มีคนมาทักทาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาต้อนรับดีไหม (ดี) ร้องเพลงกันหน่อยดีกว่านะ (มาร้องเพลงต้อนรับพระอาจารย์กัน) ต้องเสียงดังกว่านี้อีกซักหน่อย ได้ออกเสียงดังๆแล้ว รู้สึกว่าความลังเลสงสัยที่อยู่ข้างในมันหลุดออกมาด้วยหรือเปล่า (หลุด) หลุดไม่จริงนะ อาจารย์ก็ยินดีต้อนรับศิษย์ทุกคนที่มาถึงสถานธรรมแห่งนี้
คนที่มีอารมณ์โกรธจะทำได้อย่างเดียวคือหน้าบึ้งใช่หรือเปล่า (ใช่) เวลามีอารมณ์โกรธเราควรจะทำอย่างไร บางคนพอถึงเวลาโกรธ สติก็ตามไม่ทัน แล้วก็ยิ้มไม่ออก อาจารย์จะแนะนำวิธีให้ศิษย์วิธีหนึ่งเมื่อศิษย์มีอารมณ์โกรธ คือให้เราโค้งตัวลง ถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วก็หันหน้าขึ้นมายิ้ม แต่ว่าอย่าไปทำต่อหน้าคนที่เราโกรธ เขาจะหาว่าเรากวนเขา
เวลาอยู่ที่นี่มีคนส่งผ้า ส่งน้ำไหม (มี) แล้วรู้สึกว่าดีไหม (ดี) อยู่บ้านมีหรือเปล่า (ไม่มี) จะให้ภรรยามาส่งให้ก็ไม่ได้ จะให้สามีมาส่งให้ก็ไม่ได้อีกเช่นกัน แล้วรู้ไหมว่าทำไมพวกเขาเหล่านั้นจะต้องทำแบบนั้นด้วย (เป็นหน้าที่) นอกจากว่าเป็นหน้าที่แล้วยังมีอะไรอีก (อ่อนน้อม) ฝึกตนให้อ่อนน้อมลงเป็นเรื่องที่ถูก แต่ว่าเขาต้องการให้พวกเรานั่งฟังธรรมะอย่างสบายๆ มีอาหารเจที่ดีทาน มีโอกาสเข้าใจธรรมะได้อย่างลึกซึ้งขึ้น พวกเขาจึงทำใช่ไหม (ใช่) แล้วรู้สึกขอบคุณเขาหรือเปล่า (ขอบคุณ) การขอบคุณคนนี้ถือว่าเราเองมีจิตบริสุทธิ์ขึ้น เพราะว่าเราฟังธรรมะ ๓ วันนี้ คนส่งผ้า ส่งน้ำที่นี่เป็นเด็กหรือเปล่า (ใช่) แล้วการขอบคุณเด็กนี้ทำได้หรือเปล่า (ได้) เพราะเราได้ฟื้นฟูพุทธจิตส่วนหนึ่งขึ้นมาแล้ว ถ้าหากว่าฟื้นฟูขึ้นมาจริงๆแล้ว การตอบแทนบุญคุณเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือเปล่า (ถูกต้อง) มีบุญคุณอะไรบ้าง (บุญคุณฟ้า, ดิน, พระมหากษัตริย์, บิดามารดา และครูบาอาจารย์)
การบำเพ็ญธรรมะอย่าได้ดูเบาตัวเองเป็นอันขาด เวลาที่เราบำเพ็ญธรรมะ ถ้าเอาแต่กล่าวโทษตัวเองก็จะทำให้ตัวเราไม่มีกำลังใจ หมดกำลังใจ แล้วก็ท้อแท้ถดถอยในที่สุด หลายๆคนอาจจะคิดว่าอาจารย์เอาจิตวิทยามาพูด แต่จิตวิทยาก็ศึกษามาจากความจริงในจิตมนุษย์ใช่ไหม (ใช่) แล้วคนเราก็มีส่วนนี้เป็นส่วนประกอบที่สำคัญ ถ้าหากมีหลายคนบอกว่าอาจารย์เอาจิตวิทยามาพูด แล้วจิตวิทยาเป็นความจริงที่สามารถจะอุ้มชูเอาใจของศิษย์ขึ้นมาได้ อาจารย์ก็จะเอาส่วนนี้มาพูด ไม่อย่างนั้นคงต้องเหมือนท่านตั๊กม้อที่นั่งเงียบๆ แล้วก็ลุกออกไปจากอาสน์บรรยายเฉยๆ ใช่ไหม ทำอย่างนั้นแล้วศิษย์จะรู้แจ้งหรือเปล่า (ไม่รู้) ถ้าเป็นอย่างนั้นเมื่อไรก็คงไม่ต้องมีการบรรยายธรรมะ เพราะว่าชี้ธรรมเสร็จแล้วก็กระจ่าง ไม่ต้องทำอะไรเลยใช่ไหม ทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะว่าเราเองต้องการผู้ชี้แนะ ต้องการผู้แนะนำและส่งเสริม
คนเรามี ๓ ระดับ คนอย่างแรกพอฟังธรรมะแล้วก็รู้สึกเทิดทูนบูชา อยากจะนำไปปฏิบัติ เพราะว่าได้ลดทิฐิของตนเองจนหมดสิ้นแล้ว ส่วนคนประเภทที่ ๒ พอฟังธรรมะเสร็จก็อยากที่จะอุ้มชูรักษา อยากที่จะเก็บไว้ ส่วนคนประเภทที่ ๓ พอฟังธรรมะแล้วก็หัวเราะ ข้าไม่รู้เรื่อง แล้วศิษย์คิดว่าเมื่อจบชั้นไปแล้วอยากจะเป็นคนประเภทไหน (ประเภทที่ ๑) ถ้าอยากเป็นคนประเภทที่ ๑ ก็ต้องมีความพยายามและความอดทน ไม่ใช่ว่าวันนี้เป็นคนประเภทที่ ๑ แต่อีก ๓ วันให้หลังก็หัวเราะ ข้าไม่รู้เรื่อง อย่างนี้แล้วก็ไม่ต่างไปจากการเลือกประเภทที่ ๓ ในวันแรกใช่ไหม (ใช่) แต่อาจารย์ก็หวังว่าศิษย์ทุกคนคงจะไม่เป็นคนประเภทที่ ๓ กัน เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ) ประตูแห่งปัญญานั้นเปิดแล้ว ถ้าหากว่านำไปใช้ให้ดีก็มีประโยชน์ ถ้าหากว่าไม่รู้จักนำมาใช้ แล้วปิดลงไปอีกครั้ง ทีนี้จะไปเปิดอย่างไรก็คงเปิดไม่ออก เพราะว่าคนที่เข้าใจธรรมะดีที่สุดมักจะเป็นคนที่มีทิฐิสูงที่สุดเช่นกัน เมื่อบำเพ็ญไปสักช่วงหนึ่งอาจจะลืมตัวลืมตนไปได้ การบำเพ็ญธรรมะนั้นต้องอาศัยความเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ใช่บำเพ็ญหยุดๆพักๆ หยุดๆหย่อนๆ ถ้าบำเพ็ญแบบนั้นแล้วทางที่เราเดินก็คงเป็นทางที่ไม่ราบเรียบใช่ไหม (ใช่)
ตอนนี้ผู้นำของศิษย์ทุกคนสิ้นไปแล้ว การทดสอบที่มีขึ้นตอนนี้ก็คือการทดสอบแบบกลับตาลปัตร ออกจากสถานธรรมไปอาจจะประสบกับเรื่องที่ไม่ดี หรือว่าไม่มีกำลังใจ ครอบครัวทะเลาะกันหรือว่าอะไรก็แล้วแต่ ขอให้ศิษย์เตรียมตัวรับมือและก็อดทนด้วย เข้าใจไหม การที่ทุกคนมานั่งประชุมธรรมนี้ไม่ใช่หมายความว่าตนเองไม่มีเวรกรรม แล้วก็จะสามารถบรรลุได้ แต่ว่าทุกคนยังต้องฝึกฝนอยู่ ถ้าหากว่าไม่รู้จักทำตัวเองให้มีความพยายามศึกษา ให้มีใจอดทนก็คงศึกษาได้ไม่ถึงครึ่ง ธรรมะเป็นเรื่องที่ศึกษาไม่รู้จบ ต้องรู้จักใช้ใจพินิจพิจารณา เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)
ฟังธรรมะแล้วรู้สึกว่าจิตใจค่อยหายขุ่นมัว หายลังเลหรือเปล่า บางคนก็คิดว่าไหนลองมานั่งดูอีกสักวันหนึ่ง ให้รู้ไปเลยว่าจริงหรือไม่จริง หรือว่านั่งฟังไปอย่างนั้นเอง ถ้าคิดอย่างนี้แล้วไม่มีประโยชน์ นั่งฟังให้ครบ ๓ วันหรือจะนั่งอีกสิบวันก็เหมือนกัน คนที่เขามาบรรยายธรรมทุกคนมีใจที่จะทำให้ศิษย์รักทุกคนเข้าใจธรรมะ แต่หากว่าศิษย์ไม่สนใจ นั่งฟังไปแล้วไม่เกิดความตั้งใจอย่างแท้จริง ไม่สามารถทำให้จิตเปิดออกอย่างแท้จริง ต่อไปนี้คงไม่ต้องฟังอะไรอีก เพราะว่าฟังแล้วจิตไม่ได้เปิดออก พอจะเข้าใจที่อาจารย์พูดไหม เข้าใจว่าต่อไปนี้ฟังธรรมะขอให้จิตเปิดออก สงสัยอะไรก็ให้ถามอาจารย์ที่บรรยายหัวข้อนั้น
ตอนนี้เหลือกลอนอีกสองบาท มีศิษย์ผู้กล้าคนใดจะอาสาออกมาต่อกลอนบ้าง เคยได้ยินไหมที่เขาบอกว่าคนที่ไม่มีปณิธานไม่สามารถบรรลุได้ ปณิธานหมายถึงความตั้งใจจริง พระโพธิสัตว์พระพุทธะทุกพระองค์จะบรรลุไปได้ก็ต้องมีปณิธานด้วยกันทั้งนั้น เย็นนี้จะได้ฟังเรื่องการตั้งปณิธาน ก็ควรที่จะพิจารณาด้วยจิตตัวเอง ไม่ใช่ตามเขาไป เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ) (นักเรียนได้แต่งกลอน “จงรีบเร่งหมั่นบำเพ็ญอย่าได้ช้า เดี๋ยวเวลาจะเสียไปน่าเสียดาย”) กลัวไหมเวลาที่สายไป กลัวแล้วควรจะทำอย่างไร เมื่อสักครู่อาจารย์ก็ได้พูดถึงแนวทางปฏิบัติไปแล้วใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้เพลงในทำนองโบกมือลาและสอนนักเรียนในชั้นร้องเพลง และให้ช่วยกันตั้งชื่อเพลง) (เพลงใจมั่นคง) แอปเปิ้ลที่ถืออยู่ในมือ จริงๆแล้วเราควรจะรู้ว่าเราหาอะไร หามรรคผลใช่ไหม มรรคผลในมือเป็นของจริงหรือเปล่า แล้วจะหาของจริงกันอย่างไร ไม่ต้องตอบก็ได้เพราะว่าแต่ละคนก็มีวิธีของตัวเอง อย่าลืมว่าคนเรานั้นไม่ใช่เกิดมาง่ายๆ ตายไปง่ายๆ มีชีวิตอยู่อย่างง่ายๆอย่างนี้ คนทุกคนนั้นมีชะตาชีวิตเป็นของตัวเองก็จริง แต่ชะตาอยู่ที่ชาติก่อนลิขิต อยู่ในมือเราเอง ถ้าหากว่าไม่รู้จักไตร่ตรอง ไม่รู้จักพิจารณา ไม่ปฏิบัติให้ดีแล้ว ก็จะเดินไม่ถึงแดนนิพพาน คนที่ปฏิบัติธรรมจำเป็นต้องมีความเสมอต้นเสมอปลาย ทำหน้าที่ในโลกนี้ให้สมบูรณ์ เมื่อเป็นญาติธรรมก็ขอให้อ่อนน้อมถ่อมตน เคารพผู้อาวุโส เมื่อเป็นลูกก็ขอให้กตัญญูรักพ่อแม่ เมื่อเป็นนักเรียนก็ขอให้ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองให้ดี ทำได้หรือเปล่า (ได้) นี่เป็นเรื่องที่ธรรมดาสามัญที่ทุกคนจะต้องรู้อยู่แล้ว อยู่ที่ว่าใครจะทำได้หรือไม่ก็เท่านั้น
ยุคนี้มีเวลาจำกัด ถ้าหากว่าต่อไปไม่มีการยืมร่าง การบำเพ็ญก็ได้แต่ฟังธรรมะ อาจารย์ก็ไม่สามารถมาพบกับศิษย์ได้อีก ศิษย์คิดว่าเมื่อถึงเวลานั้นแล้วจะยังมั่นคงอยู่หรือเปล่า (มั่นคง) การยืมร่างเป็นการทำให้ศิษย์สงสัยมากที่สุด แต่ถ้าวันใดไม่มีการยืมร่างอีก ศิษย์จะตื่นกันได้เองหรือเปล่า อาจารย์ไม่เคยคิดจะใช้วิธีนี้ ไม่เคยคิดว่าจะต้องทำแบบนี้ บางคนคิดว่าในเมื่ออนุตตรธรรมเป็นสิ่งที่สูงสุดแล้ว ทำไมจึงมีการทำแบบนี้ ความจริงก็คือว่าคนที่ตื่นนั้นตื่นได้หลังจากประชุมธรรม เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เพราะเราคิดว่าตัวเราไม่มีประจักษ์หลักฐาน ปฏิบัติธรรมะลังเลสงสัยได้ อาจารย์ไม่ห้าม แต่สงสัยแล้วขอให้รู้จักหยุดและวาง ไม่ใช่สงสัยเรื่องนี้แล้วไปต่อเรื่องนั้น ทำอย่างนี้แล้วศิษย์คงมีความสงสัยไม่หยุด และเมื่อสงสัยไปเรื่อยๆ ก็ทำให้ไม่ได้เริ่มบำเพ็ญธรรมเพราะว่ามัวแต่สงสัย กุศลไม่ได้สร้าง อย่างนี้เท่ากับว่าการเกิดมาชาตินี้ก็สูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์เช่นกัน
เวลาอาจารย์ก็จะหมดแล้ว เวลาในชีวิตไม่ว่าจะเหลือมากเหลือน้อย ไม่ว่าจะดีหรือจะชั่ว ศิษย์ก็ยังเป็นศิษย์ของอาจารย์ ในเส้นทางการบำเพ็ญของศิษย์ควรรู้จักพินิจพิจารณา รู้จักช่วยเหลือคนที่อยู่รอบข้างตัวเรา ขอให้ส่งเสริมกัน เป็นกำลังใจให้กัน อย่าให้คนใดคนหนึ่งล้มลงไป แล้วตัวเราก็ล้มตาม อาจารย์ก็หวังว่าศิษย์คงมีใจที่มั่นคงอย่างชื่อเพลงที่เลือกกันไว้นะ
เวลาของอาจารย์ก็หมดลงเท่านี้แล้ว อาจารย์หวังแต่ว่าศิษย์ทุกคนจะเข้าใจและตื่นได้จริง เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ) ขอให้ศิษย์ทุกคนตั้งใจบำเพ็ญธรรม อาจารย์ไม่อยากจากไป แต่ว่าร่างนี้ไม่ใช่ร่างของอาจารย์ ลาก่อนนะ

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2538

2538-04-29 พุทธสถานอิ๋งเซียน ดอนเมือง



PDF 2538-04-29-อิ๋งเซียน #2.pdf


วันเสาร์ที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๘ พุทธสถานอิ๋งเซียน ดอนเมือง

สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

กลางสังคมโลกวุ่นวายแห่งมนุษย์ ใจวิสุทธิ์ลบเลือนหายจากไกลหนา

กลับสู่บ้านสถานนี้ฟังธรรมา ร่วมศึกษาพร้อมเทพคนบนแดนดิน

เราคือ

องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน เคียมคัล

องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกท่านสราญฤๅ ฮวา ฮวา

ทอระยับแสงแห่งธรรมทั่วสถาน จิตเบิกบานหรือยังท่านน้องทั้งหลาย

ฤๅกังขายังแอบแฝงมิเปิดใจ แล้วไฉนจะเข้าใจธรรมแยบยล

ทุกทุกคนฝุ่นกินใจจนสึกกร่อน จิตใจร้อนมิอาจกระจ่างได้

หนึ่งวันอาจศึกษากระจ่างใจ สองวันไซร้กระจ่างลึกถึงจิตจริง

ต้นไม้คู่กลางพบคนจริงแท้ ท่านแน่วแน่สามนำไปทุกสิ่ง

มิผูกพันปลงลงไร้ประวิง แลละทิ้งกิเลสตามมิทันใจ

ปวงท่านหนาเมธีมีคุณงาม ทุกทุกยามจึงดำเนินกลายกุศล

มิทิ้งชื่อในนรกสิบแปดทุกข์ทน ในกมลมิหวาดกลัวกระนั้นหรือ

ธรรมกาลยุคขาวนี้ฟ้าดินมนุษย์ เปิดชี้จุดเกิดตายมิสับสน

จงศึกษาเร่งบำเพ็ญซ่อมกมล มารควบใกล้ทุกคนระวังใจ

จิตเผลอไผลขณะหนึ่งมิคงมั่น เหมยงามนั้นสู้ลมฝนทนอยู่ได้

เป็นมนุษย์ถูกทดสอบเลื่อนชั้นไป ทุกสิ่งนี้อาศัยกายไปทำดู

เมื่อเข้าใจธรรมซึ้งจิตบรรพชนปรีดา จงนำพาผองท่านมิเวียนว่าย

มิทุกข์ทนเพราะลงไปเวียนว่าย สุขประเสริฐหลุดพ้นไปนิรพาณ

หากสองวันตั้งใจจริงมีคะแนน ผลตอบแทนจงบำเพ็ญเคร่งครัดหนา

มิชักช้าใจลังเลเสียเวลา เกิดกายมาเพื่อสิ่งใดพินิจดู

โอวาทนี้ฟังง่ายกระทำยาก ในชีวิตแม้ลำบากมิท้อถอย

หากศรัทธาก้าวเดียวถึงแดนฟ้า จงสำรวมระเบียบพุทธาจงเคร่งครัด

ในวันนี้มิกล่าวความให้มากไป หยุดยืนข้างวนพู่กันจรดวาง

ฮวา ฮวา หยุด




วันเสาร์ที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๘

พระโอวาทท่านแปดเซียน จงหลีเฉวียน

สดับธรรมกล่อมธรรมญาณให้พิสุทธิ์ บริสุทธิ์กล่อมกายใจน้อมตนหนา

รอบรอบกายคือพระธรรมทรงคุณค่า อนุตตราพาจิตคืนเร่งบำเพ็ญ

เราคือ

หนึ่งในแปดเซียน จงหลีเฉวียน รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดา แฝงกายกตัญชลี

องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกทุกท่านเกษมฤๅ

หุบเขาว่างปล่อยเนิ่นนานย่อมรกร้าง คลุมปกปิดมิเห็นทางแสนอำไพ

วิสุทธิ์เผยครรลองนี้บังเกิดตรวจใจ คะนึงหวนย้อนในตนสอบสวนดู

บำเพ็ญตนมองจิตลองชิดใกล้ โพธิไซร้ชั่งครวญคิดทุกข์พินิต

ทุกข์สุขที่ใจบัญญัติกลายทิฐิ แบ่งมุติไขว่คว้าจึงใจอาดูร

ปิดอายตนะครั้นยามคลายเหตุประจักษ์ ผูกกับดักแก้แปรได้ที่ประสาน

ขณะหนึ่งหมองหากยั้งทิฐินาน กิเลสต้านเดินมิประมาทประคองตน

เมื่อวันคืนผ่านล่วงเลยหวนพินิจ ค่าชีวิตเมื่อวันวานใดนิรันดร์

วนเวียนใจเศร้ามล้าจิตจรจรัล รูปสีสันในมายามิแท้จริง

งานอริยะภาพย์๕สุขุมรู้แบ่งชัด จึงหัดเดินค่อยค่อยห่างสับสน

สมัครใจไปดำเนินจริงใช่อับจน ตั้งกมลไม่คลอนจะบำเพ็ญงาม

ฮา ฮา หยุด

______________________________

๕ภาพย์ ดีงาม, เหมาะ, ควร




พระโอวาทท่านแปดเซียน จงหลีเฉวียน

ทุกคนรู้เพียงว่าเรามีพุทธจิต พุทธจิตอยู่ที่ตัวเราใช่ไหม (ใช่) เป็นเนื้อในที่อยู่ภายในกายเนื้ออันเป็นของปลอมนี้ใช่ไหม เนื้อในนี้จะเป็นเนื้อแท้ที่ว่างเปล่าหรืออาจจะสุกใสสกาว อยู่ที่ว่าเมื่อมีโอกาสศึกษาแล้วทุกคนได้ลงมือปฏิบัติย้อนมองดูหรือเปล่า เปรียบเหมือนห้องว่างห้องหนึ่งที่ถูกปิดทิ้งไว้เนิ่นนาน หยากไย่สิ่งสกปรกก็สามารถปกคลุมได้ เหมือนจิตใจเราที่ไม่รู้ว่ามีห้องว่างอยู่หนึ่งห้อง เมื่อตอนนี้รู้และได้เปิดประตูแล้วเห็นว่าสกปรก เห็นว่าเหมาะที่จะนำมาใช้ประโยชน์ ก็ต้องเริ่มลงมือทำความสะอาดเสียก่อนใช่ไหม (ใช่) การทำความสะอาดนั้นก็คือขจัดความกังขา ขจัดอัตตาตัวตน อ่อนน้อมที่จะยอมรับและศึกษาเพิ่มเติมใช่ไหม (ใช่) ทุกวัยพร้อมที่จะศึกษาได้ อยู่ที่ใจเราพร้อมที่จะเปิดรับแล้วหรือเปล่า ตอนนี้พร้อมที่จะเปิดรับหรือยัง (พร้อม)

การดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้มีความสุขหรือความทุกข์ (มีความทุกข์, มีทั้งทุกข์และสุข) เมื่อรู้ว่าตนมีทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร การบำเพ็ญก็คือการหวนย้อนมองจิตตน เมื่อประสบสิ่งที่ยินดีก็เกิดความสุข เมื่อประสบสิ่งที่ทำให้เศร้าหมองวิตกกังวลก็เรียกว่าทุกข์ กายนี้ทุกข์เพราะใจ หรือใจนี้ทุกข์เพราะกาย ทุกอย่างล้วนเกิดจากใจทั้งสิ้น แล้วทำไมใจเราถึงทุกข์ถึงสุข จริงๆแล้วทุกคนมีปัญญาอยู่ที่ตัวเอง ปัญญานั้นก็คือปัญญาเดิมแท้หรือพุทธจิตธรรมญาณของตนเอง เมื่อเราทุกข์เราเห็นโทษแห่งทุกข์ เรารู้ว่าทุกข์ทำให้ไม่สบายใจ พาลให้ใจเจ็บป่วยด้วย จริงๆแล้วความทุกข์หรือความสุขนั้นเกิดขึ้นเพราะความนึกคิดของใจ เมื่อเราเอาใจกำหนดเป็นที่ตั้งแล้วบัญญัติให้เกิดรูปลักษณ์ ให้เกิดสัญลักษณ์ว่าสิ่งนี้เรียกว่าทุกข์ สิ่งนี้เรียกว่าสุข ใจเป็นสิ่งแยกแยะเปรียบเทียบ เมื่อได้ยินเสียงก็บอกว่าเสียงนี้ไพเราะ ไม่ไพเราะ เมื่อเห็นของงามของอัปลักษณ์ก็รู้สึกที่ใจว่าอันนี้งดงาม อันนี้อัปลักษณ์ เพราะว่าตาเราเป็นผู้มอง เมื่อลิ้มรสก็รู้ว่าสิ่งนี้อร่อย สิ่งนี้ไม่อร่อย เพราะใจเป็นตัวกำหนด ถึงแม้ทุกคนจะปิดอายตนะทั้งหมดได้ แต่ก็ไม่สามารถปิดใจของตนเองได้

หากทุกคนหลับตาแล้วก็จะไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้ ไม่ว่าคนข้างหน้ากำลังยืนอยู่หรือทำท่าจะตีเรา เราก็ไม่สามารถมองเห็นได้ แต่ถ้าหากว่าเราปิดหู ปิดตา ปิดจมูก ปิดทุกสิ่งแล้ว แต่ใจเรารู้ว่าคนนี้ไม่เคยมองเราในแง่ดี ไม่เคยทำสิ่งที่ดีให้กับเรา เราก็ไม่สามารถปิดใจได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้เข้าใจทุกข์กับสุขหรือยัง (เข้าใจ) ใจนี้สามารถทำได้อยู่สองสิ่งคือสร้างสรรค์กับทำลาย สร้างสรรค์ทุกสิ่งทุกอย่างด้วยใจปรารถนา ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างด้วยใจโมโหอาฆาต ถูกหรือเปล่า (ถูก)

ลองอธิบายกลอนบทนี้เพื่อเป็นการศึกษาร่วมกันดีหรือเปล่า (ดี) นักเรียนในชั้นนี้ภูมิปัญญาไม่เบา ถ้าเราให้ทุกคนรวมใจแล้วตอบจะสามารถตอบได้ไหม

“เมื่อวันคืนผ่านล่วงเลยหวนพินิจ” (เหมือนกับว่าพวกเราได้เติบโตมาจนถึงปัจจุบันนี้ ได้ผ่านเหตุการณ์ทั้งดีและไม่ดีมามากมาย ขอให้กลับไปคิดดูว่าได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง)

“ค่าชีวิตเมื่อวันวานใดนิรันดร์” (สิ่งที่เราทำมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีอะไรบ้างที่จะอยู่ถาวรตลอดไป)

“วนเวียนใจเศร้ามล้าจิตจรจรัล” (บางครั้งสิ่งที่ไม่ดีก็ทำให้เราคิดและจำอยู่ในใจตลอด บางทีทำให้เราท้อ และจิตเราก็ยิ่งสับสนเหมือนกับจิตวิ่งพเนจรไปเรื่อยๆ)

“รูปสีสันในมายามิแท้จริง” (ในสังคมปัจจุบันมีสิ่งยั่วยวนจิตใจให้เกิดกิเลสมากมายเหมือนโลกมายา ดาราที่ขึ้นเวทีแสดงก็จะต่างกัน ทำให้จิตเรายิ่งวกวน)

เมื่อเราเห็นดาราแสดงออกมาแล้วยั่วยวนใจ จิตใจที่แบ่งว่าดีชั่วนั้นเกิดที่ใจ เขาไม่ได้ยั่วยวน แต่ใจเรารู้สึกยั่วยวนเอง ฉะนั้นการมองทุกสิ่งก็ต้องเริ่มมองที่จิตก่อน เหมือนมองแม่น้ำก็ต้องมองต้นธาร เมื่อสร้างกับดักขึ้นมาก็ต้องรู้วิธีแก้ ไม่ใช่แก้ที่ใจ แต่แก้ที่กับดักที่เราสร้าง เมื่อใจเป็นผู้ผูกให้มีความรู้สึก ใจนั้นก็ต้องเป็นผู้แก้ให้คลายความรู้สึกนั้น ความสุขอันจริงแท้นิรันดร์ หรือพุทธจิตที่เฉกเช่นโพธิสัตว์นั้น จริงแล้วก็แฝงอยู่ในโลกแห่งมายานี้ สัจธรรมที่จริงแท้นั้นก็แฝงอยู่ในรัก โลภ โกรธ หลง แฝงอยู่ในจิตใจของเราเอง

ทุกสิ่งทุกอย่างเราอย่ามีความทะยานอยาก เมื่อจิตใจไม่ใฝ่ทะยานอยาก จิตใจก็ปลอดโปร่งเป็นอิสระ ไร้จากสิ่งพันธนาการทั้งปวง ใจเราก็จะรู้สึกว่าโลกนี้เปรียบได้กับแดนนิพพานสรวงสวรรค์ เราอยู่ในโลก เราอย่าแยกตัวเองออกจากโลก อย่าแยกตัวเองออกจากคนอื่น อย่าแยกสิ่งที่ไร้คุณค่าออกจากคุณค่า เมื่อนั้นเราก็จะอยู่ในโลกได้อย่างมีความสุข นั่นก็คือการบำเพ็ญที่จิตใจแล้วทำให้กายเบาสบาย

ตอนนี้ที่ทุกคนได้มีโอกาสศึกษาเรียนรู้ มีโอกาสได้รับฟัง เพราะเป็นวาระที่เหมาะสม ถึงแม้ว่าจะสูญเสียผู้นำไปแล้ว แต่ขอให้ยังคงปณิธานมั่นเหมือนที่ทุกคนตั้งไว้ในจิตใจ ผู้ปฏิบัติงานธรรมจะรู้และเข้าใจเรื่องนี้ดี เราเคยได้ยินว่า “โศกอันใดไม่เท่ากับความพลัดพราก” ถ้าเรามองเห็นความราบรื่นและอุปสรรคเป็นสิ่งเดียวกัน ความรู้สึกที่จะต้องสูญเสียหรือจะต้องมีก็ไม่อาจทำให้จิตใจเราหวั่นไหวได้ใช่ไหม

ผู้ปฏิบัติงานธรรมลองอธิบาย“งานอริยะ” ให้นักเรียนพอเข้าใจบ้าง (งานอริยะคืองานโปรดสามโลก ยุคนี้เป็นยุคสามยุคสุดท้าย พระอาจารย์จี้กงและพระโพธิสัตว์จันทรปัญญาได้รับบัญชามาเพื่อโปรดสามภพนี้ พระกวนอินตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ต่างก็มาร่วมช่วยงานนี้ด้วย เพื่อฉุดช่วยเหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลายให้กลับคืนสู่แดนนิพพานไปหาพระแม่องค์ธรรม) เมื่อรู้ว่างานอริยะก็คือการฉุดช่วยจิตของตน ฟื้นคืนพุทธจิตของตน ก็ขอให้มาศึกษาต่อไปว่า การจะลงแรงปฏิบัติหรือการจะฉุดช่วยคนนั้นเราจะฉุดเขาได้อย่างไรบ้าง การมาฟังก็คือการเริ่มฉุดจิตของตัวเองก่อน ที่เหลือก็คือศึกษาเพื่อจะฉุดช่วยผู้อื่นต่อไป ตอนนี้เมื่อเปิดใจศึกษาเมื่อเข้าใจแล้วก็รอเพียงว่า เมธีทุกท่านจะลงมือปฏิบัติเมื่อไร

เราอยากจะให้ทุกคนได้คิดว่า ถึงแม้ว่าไม่มีความเชื่อในสิ่งที่กำลังเห็นอยู่ หรือยังมีความกังขา เราก็ไม่ว่า แต่ขอให้ทุกคนเชื่อในจิตใจของตนเอง ว่าจิตใจของทุกคนนั้นก็คือจิตใจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่อยู่ที่ว่าพร้อมจะมีความจริงใจศึกษาจิตของตนไหม

เราอยากจะเข้าไปคุยในจิตใจของทุกๆคน แต่เราก็ไม่สามารถเข้าถึงได้ อยู่ที่ว่าทุกคนพร้อมที่จะเดินก้าวเข้ามาหาหรือไม่ เราเดินไปหาหลายคนแล้ว แต่บางคนก็ยังไม่เข้าใจในความรู้สึกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญกันใหม่




วันอาทิตย์ที่ ๓๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๘

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง และ พระนาจา

ศิษย์คล้ายคล้ายสะลึมสะลือโลเลนัก ย่องมาดูเห็นประจักษ์เป็นจริงหนา

นำพระธรรมล้างจิตเปลี่ยนชะตา ส่งเสริมกันให้ก้าวหน้าสามัคคี

เราคือ

อรหันต์วิปลาส พา ราชบุตรสามนาจา รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายอภิวาท

องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนตั้งใจฟังหรือเปล่า

กายสังขารแค่เพียงชั่วคราวอาศัย กี่สิบปีเพียงครู่ไปวัฏสงสาร

เสริมอดทนแต่งข้ามพ้นห้วงทรมาน บำเพ็ญหลอมทุกโมงยามแทนพระคุณ

นำปฏิบัติใจไม่ยอมละพยายาม ถางขวากหนามไม่ท้อซวนเซหนา

แสงจุดต่อสู้ขอเป็นชวาลา มุ่งหมายไปจนสู่ฟ้านิรพาณ

สดับธรรมรู้ธรรมได้แจ้งปัญญา สติจ้ามั่นใจด้วยกระจ่างฝัน

นิพพานโลกคงชีพฝันเพียงสะพาน ยามสะบั้นสุญตาผ่านกายเปลี่ยนไป

ศิษย์เสมือนดาวกระพริบหาแปรไม่ ปณิธานใหญ่สืบครรลองมิผันพ้น

ยุคสามได้เคี่ยวกรำต้องอดทน มากปุถุชนปลงยามวัยชราเกิน

เมื่อคิดว่าใดสุขจึงฝักใฝ่ จิตแกว่งไกวดับทุกข์ง่ายดายไฉน

ปัจจุบันรู้เริ่มจริงจากภายใน โลกสดใสเริ่มพบ ณ ที่นี้

ฮา ฮา หยุด

หมายเหตุ : กลอนที่ขีดเส้นใต้ พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันแต่ง

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงและพระนาจา

พระอาจารย์ : ฟังธรรมะหัวข้อกตัญญุตาธรรมแล้ว คิดว่าตัวเรามีความกตัญญูมากพอหรือยัง (ยัง) คนที่ยังมีพ่อมีแม่ มีคนที่มีบุญคุณต่อเรา เราจะต้องตอบแทนเขา มนุษย์นี้ก็แปลกนะ เวลาให้นั่งกลับหลับสบาย เวลาให้นอนกลับนอนไม่หลับ ทำไมถึงนอนไม่หลับ (จิตเราไม่สงบ) มนุษย์นี้ยิ่งนานวันโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมามีภาระมากมาย มีปัญหามาก ก็นอนไม่หลับใช่ไหม มีใครเคยสังเกตว่าจิตใจที่สงบที่สุดคือตอนไหน (ตอนหลับ) บางคนเวลานอนจิตใจก็สงบดี แต่ว่าช่วงที่เรากำลังจะหลับ นั่นเป็นช่วงที่จิตใจสงบที่สุด ลองไปสังเกตดูเองนะ

การที่มาอยู่ในห้องนี้ แล้วรู้จักกันไม่กี่คน เป็นเพราะว่าเราไม่ได้สามัคคีกัน เราอยู่กันไม่เหมือนญาติพี่น้อง แต่จริงๆแล้วการมาอยู่ในที่นี้ต้องรักใคร่กลมเกลียวเหมือนพี่น้อง ห้ามแบ่งเขาแบ่งเรา แบ่งชั้นวรรณะ ถ้าหากว่าทำได้เราก็จะรู้จักกัน เพราะเราจะสนิทกันเหมือนญาติพี่น้อง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เช่นนั้นแล้วคนที่เป็นหัวหน้าชั้น เมื่อจบชั้นไปแล้วก็ไม่รู้จักว่าคนที่นั่งอยู่ด้วยกันนั้นคือใคร การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ว่าตัวใครตัวมัน ตัวฉันตัวเธอ เราไม่รู้จักกันเลย อย่างนี้ได้หรือเปล่า (ไม่ได้) แล้วอย่างนี้จะสามัคคีกันได้หรือยัง

มาที่นี่มีคนที่มีความประทับใจเป็นพิเศษไหม ส่วนผู้ที่อยู่ในสถานธรรม คนที่ดูแลหรือคนที่เป็นฐันจู่ให้เก็บไว้ทั้งส่วนที่ดีและก็ไม่ดี และนำไปแก้ไขและก็ปฏิบัติ เข้าใจไหม (นักเรียนคนที่หนึ่ง : ข้าพเจ้าดีใจและภูมิใจที่ได้มาในสองวันนี้ มาด้วยความเต็มใจ ขอให้เพื่อนๆสร้างความดีด้วย เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก) (นักเรียนคนที่สอง : ขอบคุณพระอาจารย์และขอขอบคุณเพื่อนๆญาติธรรมทุกๆท่าน เพิ่งเข้ามาในสถานธรรมวันนี้เป็นวันแรก มีความปลาบปลื้มยินดีที่สุดที่ได้ก้าวเข้ามาในวงการธรรมนี้ มีความประทับใจมากที่สามารถมีโอกาสเข้ามายืนอยู่ในที่นี้พร้อมกับญาติธรรมทุกๆท่าน และมีความประทับใจมากที่ไม่เดินหลงทางผิด มาทางที่ถูกแล้ว ทางนี้เป็นทางที่จะบรรลุสู่นิพพาน) (นักเรียนคนที่สาม : ปลื้มใจที่ได้เห็นพระอาจารย์ แต่ว่าเวลาก็นานมาพอสมควรแล้ว ให้พวกเราทุกคนพยายามบำเพ็ญ แล้วอีกไม่นานก็จะสำเร็จ ทุกคนต้องตั้งใจบำเพ็ญ) นี่คือความจริงใจ เราจะหัวเราะหรือทำอะไร เราก็ต้องรู้ว่าเจตนาจริงๆของเราคือสิ่งใดใช่ไหม (ใช่)

ศิษย์รักของอาจารย์ที่เป็นผู้ปฏิบัติงานและเป็นอาจารย์บรรยายธรรม รวมทั้งฐันจู่สังเกตเห็นไหมว่า คนที่มาที่นี่ทุกคนมีความเข้าใจอันดีกลับไป แต่ว่าขาดการส่งเสริมที่แท้จริง คนที่จะไปส่งเสริมหลังจากที่พวกเขากลับไปแล้ว แน่นอนว่าจะต้องพบอุปสรรคใช่ไหม แล้วสิ่งที่เขาขาดก็คือขาดความมั่นใจในตัวเรา ไม่มีคนช่วยตอบคำถาม ไม่รู้จักสถานธรรมอย่างแท้จริง วันนี้อาจารย์พูดค่อนข้างตรง เพราะอยากจะให้ศิษย์รู้และเข้าใจว่า การส่งเสริมคนนั้นเป็นเรื่องสำคัญ เพียงแค่รับธรรมะและประชุมธรรมนั้นยังไม่เพียงพอ

คนที่ประชุมธรรมในวันนี้ ต้องรู้จักกลับไปศึกษา และพยายามปฏิบัติด้วยตัวเอง อย่าได้รอหวังพึ่งคนอื่น เพราะคนที่ประชุมธรรมแล้วเปรียบเสมือนคนที่รู้แล้วว่าเรือนั้นอยู่ทิศทางไหน และสามารถตามหาได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องให้คนมาดึงและไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคนอื่น ต้องมีความกล้าในการถามคำถาม อาจารย์บอกไว้ได้เลยว่า ทุกคนจะต้องมีคำถามแน่นอน หลังจากวันนี้ไปต้องอาศัยจิตของตัวเองที่สงบและนิ่งมาตอบคำถาม ได้หรือเปล่า (ได้) ใครสรุปให้ฟังได้บ้างว่าเมื่อสักครู่อาจารย์พูดว่าอะไร ไม่ใช่ว่าทุกๆวัน ทุกๆครั้งที่มีคนถาม เอาแต่ตอบว่าได้ ได้ ได้ แต่ไม่รู้ว่าที่เราตอบว่าได้ตัวเรานั้นฟังอะไรไปบ้าง เข้าใจไหม (เข้าใจ) (คำถามที่พระอาจารย์ได้ถามญาติธรรมนี้เป็นการชี้แนะให้พวกศิษย์ทั้งหลายได้ทราบว่า การมาฟังธรรมะจากสถานธรรมสองวันนี้ยังไม่เพียงพอ นั่นเป็นเพียงแนวทางที่จะต้องไปศึกษาต่อและปฏิบัติต่ออย่างจริงจัง)

ทุกๆอย่างไม่ว่าจะเป็นศาสนาทั้ง ๕ หรือว่าลัทธิวิถีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจริงเป็นเท็จ ขอให้ศิษย์ใช้จิตพิจารณาดูเอง เพราะว่าทุกอย่างเป็นแนวทางที่ศิษย์เลือกได้ ศิษย์เข้าใจไหมว่าศาสนากับอนุตตรธรรมต่างกันอย่างไร (ไม่เข้าใจ) (อาจารย์บรรยายธรรม : อนุตตรธรรมเป็นราก ศาสนาเป็นกิ่งก้านสาขาในลำต้นของอนุตตรธรรม ในศาสนาหลักๆไม่ว่าศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม หรือว่าศาสนาเต๋า ศาสดาของแต่ละศาสนาก็ได้สำเร็จบรรลุถึงหลักสัจธรรมซึ่งสูงสุดเหนือใดใด สัจธรรมที่ศาสดาต่างๆบรรลุถึงก็คืออนุตตรธรรม เพราะฉะนั้นในศาสนาที่กล่าวถึงจึงมีอนุตตรธรรมแฝงอยู่แต่มิได้เปิดเผย ศาสนากับอนุตตรธรรมถึงแม้จะดูว่ามีความสัมพันธ์ต่อกันก็จริง แต่มีความแตกต่างกัน อนุตตรธรรมมีมาก่อนเกิดฟ้า ดินและมนุษย์ อนุตตรธรรมมีมาก่อนอยู่แล้ว แต่ศาสนาเกิดขึ้นมาภายหลังที่มีโลกนี้ มีมนุษย์จึงมีศาสดา แล้วประกาศคำสอนศาสนา อนุตตรธรรมนี้พระอนุตตรธรรมมารดาเป็นผู้กำหนดให้มีการถ่ายทอด จะกำเนิดหรือยุติลงเมื่อใดมิใช่เป็นกำหนดของมนุษย์ แต่ว่าศาสนานี้มนุษย์ก็คือบรรดาสาวกทั้งหลายเป็นผู้ประกาศและกำหนดว่าถ้าตราบใดยังคงประกาศคำสอนอยู่ ศาสนาก็ยังคงอยู่ เพราะฉะนั้นความแตกต่างที่พูดมานี้เป็นเพียงคร่าวๆเท่านั้น หากว่าเรามีความสนใจก็มาศึกษาเพิ่มเติมดูว่า จริงๆแล้วมีความแตกต่างกันอย่างไร) เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ) มีบางคนยังไม่เข้าใจ ต้องอาศัยการศึกษาต่อๆไป เพราะต้นกล้าไม่สามารถปลูกได้ในสองวันใช่ไหม (ใช่)

ฟังธรรมะแล้วรู้ไหมว่าการบำเพ็ญนั้นเริ่มที่ไหน (ที่จิต) การเริ่มที่ตัวเองนั้นก็ต้องเริ่มต้นที่จิตใจก่อน เพราะใจเรานั้นสำคัญ การคิดดีหรือคิดไม่ดี ทุกๆอย่างอาศัยแค่สติเพียงชั่วครู่เท่านั้น คนที่เริ่มที่ใจนั้นมักจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ผู้บำเพ็ญธรรมนั้นสำคัญที่สุดคือการทำตัวให้เป็นผู้มีคุณธรรม โดยเริ่มจากภายใน เพราะว่าคนอื่นจะมองเราภายนอกดูงดงาม แต่ถ้าข้างในมิได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเลย หรือว่ามักพลั้งสติอย่างนี้แล้ว สักวันหนึ่งตัวเราเองก็จะเป็นผู้ที่ทุกข์ที่สุด แล้วคนที่มาที่นี่รู้สึกว่าอิสระไหม (อิสระ) บางคนกลัวว่ารับธรรมะไปแล้วจะโดนบังคับโน่น บังคับนี่ ที่บังคับคือการบังคับตัวเอง ศิษย์อาจจะลืมไปแล้วว่าที่เกิดมาในครั้งนี้ เราก็บังคับตัวเองให้อยู่ในกายเนื้อนี้เหมือนกับสร้างกรงขังตัวเองตั้งแต่วันแรกที่เราเกิด คนนั้นมีชีวิตก็ไม่ยั่งยืนนาน การแก้ไขตัวเองไม่สามารถแก้ไขเพียงชั่วครู่ชั่วยาม ปีหนึ่งหรือว่าสองปีเรายังไม่สามารถแก้ไขได้หมด บางคนทั้งๆที่รู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งไม่ดี เป็นสิ่งไม่ควร แต่ก็ยังกระทำลงไป ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อยากจะให้ศิษย์ทุกๆคนเริ่มปรับปรุงตัวเอง เริ่มที่จะใช้สติออกมาคิดแก้ไข ธรรมไม่ได้อยู่ที่ปาก และการพูดจา แต่อยู่ที่ใจของเราว่าเราจะเริ่มทำอย่างไรกับตัวเอง

พระนาจา : (พระนาจาให้นักเรียนทำท่าประกอบเพลงทีละแถว) ศิษย์น้องฝ่ายชายทำก่อน คนนี้เราเห็นเขาตั้งใจมาก หนักแน่นประทับใจ ส่วนคนนี้อ่อนน้อม ถ้าหากเลือกจะให้ปฏิบัติระหว่างเข้มแข็งกับอ่อนโยน เลือกแบบไหน (ทั้งเข้มแข็งและอ่อนโยน) ถ้าไม่มีคนคอยชี้แนะให้มาอยู่ตรงกลางแล้วจะรู้หรือ ต้องเป็นอย่างนี้เสมอเลยหรือ เวลาทุกคนไปดำเนินชีวิตจะมีคนคอยแนะนำไหม (ไม่มี)

(พระนาจาเมตตาประทานผลไม้แก่นักเรียน) ทุกอย่างไม่ใช่เลือกลูกท้อหรือว่าผลไม้ทิพย์ ทุกอย่างอยู่ที่จิตใจ ถ้าคิดว่ากินแล้วอร่อย กินแล้วดี ก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องคิดว่าเราก็อยากได้จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน ทุกๆอย่างนั้นก็คือของศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว เพราะฟ้าและดินเป็นผู้ให้กำเนิดสรรพสิ่ง ฉะนั้นทุกๆอย่างก็ต้องศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม (ใช่)

แค่ศิษย์พี่ยิ้ม ศิษย์น้องก็ยิ้มแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่) ยิ้มนั้นที่ประทับตราตรึงในหัวใจทุกคนใช่หรือเปล่า ถ้าลองศิษย์พี่มาแล้วหน้าบึ้งหน้าเชิดใครชอบบ้าง (ไม่ชอบ) การดำเนินชีวิตไม่ว่าพบอะไรก็ต้องยิ้มสู้ เมื่อทุกข์ก็ต้องยิ้มอย่างหน้าชื่นตาบานใช่หรือเปล่า ฟังธรรมก็เยอะพอสมควร แต่ก็มีบางคนยังมีความสงสัยอยู่

ศิษย์น้องรู้ไหมว่าศิษย์น้องมีห่วงอยู่ ๓ ห่วงคือ ๑.ห่วงบุตร ๒.ห่วงสามีภรรยา ๓.ห่วงทรัพย์ศฤงคาร นั่นก็คือกิเลสทั้ง ๓ จริงๆแล้วพุทธจิตไม่มี แต่กายเนื้อมีใช่ไหม (ใช่)

พระอาจารย์ : เมื่อสักครู่นี้อาจารย์พูดไปแล้วใช่ไหมว่าการตอบต้องเข้าใจก่อนถึงจะตอบได้ โดนเขาทำให้สับสนเหมือนกับโดนทดสอบ ถ้าเกิดว่าเขาทดสอบอะไรเรา ภายหน้าอยู่ข้างนอกเราก็โดนเขาสอบมากมาย มีอุปสรรคถ้าเราไม่รู้จักคิดว่าที่เขาว่าเรานั้นเป็นจริงหรือเปล่า ที่เขาพูดนั้นถ้าเราไม่คิด สติปัญญาเราไม่มี เราไม่สามารถตามทันว่าเขาว่าอะไรเรา และมันจริงอย่างที่เขาว่าหรือเปล่า

สมัยที่อาจารย์ดำรงชีวิตอยู่นั้น เป็นพระประเภทไหน รู้ไหม (เสื้อผ้าขาดวิ่น) แล้วนอกจากเสื้อผ้าขาดแล้ว อาจารย์ก็ยังบ้าๆบอๆอีกใช่ไหม (ไม่ใช่) การที่คนมองเราเพี้ยนๆ แต่ว่าอาจารย์เองมีจุดประสงค์ที่แน่นอนที่จะฉุดช่วยมหาชน เพราะฉะนั้นไม่ว่าคนจะว่าเรางมงายหรือว่าเราบ้าไปแล้ว เราก็ควรจะรู้ว่าจุดมุ่งหมายในชีวิตของเรานั้นคืออะไร ศิษย์คิดว่าการทำงานเพื่อมหาชนนั้นเป็นเรื่องใหญ่หรือเปล่า เมื่อคิดว่าเรามีภาระที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น เราควรจะมีอะไร การที่เราจะเป็นผู้ที่นำคนอื่น เราจะต้องมีความมั่นคงเชื่อมั่นและจริงใจ ขอให้ย้อนกลับมองตัวเองมากๆ อย่าได้มองที่คนอื่น คนอื่นไม่ใช่เรา การตัดสินใจทุกอย่างเราเป็นผู้ตัดสินเอง การที่จะบำเพ็ญธรรมหรือมานั่งฟังธรรมะ ถึงแม้ว่าผู้แนะนำรับรองจะฉุดกระชากเรามา แต่เราก็ต้องรู้ว่านั่นเป็นเพราะความหวังดีของเขา เขาหวังว่าเมื่อเราเข้าใจธรรมะแลัว เราจะสามารถนำไปปฏิบัติ ไม่เสียเวลาที่เกิดมาในชาติหนึ่ง ศิษย์รู้ว่าการที่จะเกิดมาในชาตินี้นั้นไม่ใช่ว่าเรานึกจะเกิดก็เกิดได้ เรานึกจะตายก็ตายได้ คนที่มีความทุกข์มากมายไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ตอนนี้คิดอยากจะตายก็ยังตายไม่ได้ เมื่อตอนที่จะเกิดก็เหมือนกัน ทุกคนมีกรรมที่ติดค้างกันมา เมื่อมีความทุกข์ก็ขอให้ปลอบใจตัวเอง แล้วก็สู้ต่อไป เข้าใจไหม

พระนาจา : เราเล่านิทานให้ฟังดีกว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีฤๅษีตนหนึ่งบำเพ็ญตบะอย่างแรงกล้า มีแต่คนนับถือ เขาแอบแฝงอยู่ แต่ทุกคนละแวกนั้นก็รู้ เขาไม่ได้ทำอะไรเลย วันๆเขาก็นั่งวิปัสสนากรรมฐานฝึกตน แต่ชาวบ้านในละแวกนั้นกลับยกย่องและให้เกียรติเขา เพราะว่าพอมีเขาอยู่แล้วทำให้พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ แต่เมื่อผู้บำเพ็ญรู้เข้าก็หลีกหนีจากที่ตรงนั้นไป จบแล้ว อยากถามว่าทำไมเขาถึงหลีกหนีไป ไม่คิดที่จะอยู่ต่อ เพราะว่าจิตใจของเรานั้นเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์นานาชนิดที่จะปลูกสิ่งใดก็ได้ ฤๅษีนั้นไม่ต้องการที่จะได้คำยกย่องเยินยอจากใคร และประชาชนยังต้องการฤๅษีอยู่ ถ้าฤๅษียังอยู่ความต้องการของเขาก็ยังจะมีอยู่เรื่อยๆ การมองเราต้องมองให้ลึกถึงภายใน แม้แต่ผลไม้ทุกคนยังสามารถรู้ได้ว่าเปลือกกินไม่ได้ ต้องกินเนื้อใน

(พระอาจารย์เมตตาให้นำน้ำมาแจกนักเรียน)

พระนาจา : “น้ำหกรดรินใจ แต่อย่าให้เป็นน้ำตาเอ่อไหลนอง” น้ำนั้นก็คือการเปรียบเทียบ จริงๆแล้วความรู้สึกก็มาจากใจ ตอนนี้รู้หรือยังว่าน้ำก็คือน้ำ ใจก็คือใจ ใช่ไหม

พระอาจารย์ : น้ำใจเราก็คือน้ำปัญญา คนที่บำเพ็ญธรรมะทุกคนต้องมีปัญญาจริงๆ เมื่อตรวจสอบเห็นเป็นจริง จึงบำเพ็ญได้

มาที่นี่ในวันนี้มีหน้าที่มานั่งฟัง วันหน้ามีหน้าที่มาปฏิบัติงานแล้ว ต้องเปลี่ยนในใจด้วยใช่ไหม จึงจะเป็นผู้ปฏิบัติงานที่ดี สามารถนำคนข้างหลังได้

(พระอาจารย์และพระนาจาเมตตาให้นำพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “พินิจแห่งปัญญาเดิม” มาให้นักเรียนในชั้นดู)

พระอาจารย์ : “พินิจแห่งปัญญาเดิม” ก็คือ ไม่ว่าจะพบปัญหาหรืออุปสรรค ให้นำปัญญาที่อาจารย์ชี้ให้มาพินิจพิจารณา แล้วไม่ตกเป็นเหยื่อของมาร เข้าใจไหม (เข้าใจ)

(พระอาจารย์เมตตาให้อาจารย์บรรยายธรรมนำร้องเพลงพระโอวาททำนองเพลงเก็บรัก และให้นักเรียนในชั้นร่วมกันตั้งชื่อเพลง)

พระอาจารย์ : ต่อไปนี้ศิษย์จะย้อนใจทุกๆวันใช่หรือเปล่า (ใช่) การย้อนใจ ย้อนแล้วต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน จะช่วยให้จิตเราสงบขึ้น สุขุมขึ้น แล้วการบำเพ็ญก็จะราบรื่นยิ่งขึ้น อย่ามัวแต่มองว่าชีวิตเราทำไมมีแต่ปัญหา แล้วเอาไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น ต่อให้เราบำเพ็ญในชาตินี้ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะบรรลุไม่ได้

อาจารย์ขอให้ศิษย์รักทุกๆคนรู้จักรักษาตัวเองให้ดี รู้จักที่จะหยุด และรู้จักที่จะยอม ทำให้ใจนั้นเย็นขึ้น ไม่หมกมุ่นอยู่กับความโมโหโกรธา ไม่หมกมุ่นอยู่กับตัวเองเพียงคนเดียว ฝึกฝนเมตตาจิตและนึกถึงคนอื่นให้มากๆ เมื่อเกิดความทุกข์ใจหรือความท้อใจ ขอให้ตนเองช่วยตนเองก่อน จะคิดถึงอาจารย์บ้างก็ได้ บางคนมาสถานธรรม ๑๐ วัน หลังจากนั้นก็ไม่เห็นหน้ากันอีกเลย ถ้าเป็นใจศิษย์ ศิษย์จะคิดว่า “มีลูกที่ไม่รักดีอย่างนั้นหรือ” คนที่อยู่ข้างหน้า หลังจากชั้นนี้ไปก็จะต้องเป็นผู้นำคนอื่น บางคนยังลังเลสงสัย อาจารย์อยากจะบอกย้ำว่า สงสัยตัวเองหรือว่าสงสัยอาจารย์กันแน่ ถ้าหากว่าเภทภัยไม่ถึงตัวก็ไม่รู้สึก เมื่อเภทภัยมาถึงตัวแล้วค่อยรู้สึกอย่างนั้นหรือ มองแววตาศิษย์ตอนนี้ไม่มีใครมีใจผูกพันกับอาจารย์เลย อาจารย์ไม่ขออะไรมากหรอก เพียงขอให้ศิษย์รักทุกคนหลังจากจบชั้นนี้ไปแลัวยังสนใจศึกษาธรรม ยังจะช่วยตัวเองได้ และยังจะเข้าใจธรรมะ ทำได้หรือเปล่า (ได้) ขอให้ต่อไปนี้มากันกี่หนเราก็ยังรู้จักกัน ศิษย์อาจารย์ยังได้พบหน้ากันอีก ขอเพียงเท่านี้ ไม่ใช่มาแค่ช่วงประชุมธรรม ศิษย์คิดว่าอาจารย์ไม่เห็นศิษย์ใช่ไหม การยืมร่างเป็นแค่เรื่องชั่วคราว ถ้าคิดว่าไม่เห็นกัน อย่างนี้เราคงไกลกันแน่ๆ ร้องเพลงส่งอาจารย์เถอะนะ (นักเรียนและผู้ปฏิบัติงานร่วมร้องเพลงทำนองคำสัญญา) อาจารย์บอกได้ว่าความทุกข์ใจที่อาจารย์มีอยู่นี้ หาคนเข้าใจยากนัก หวังวอนเพียงศิษย์รักทุกคนตั้งใจ อดทน อาจารย์หวังเพียงเท่านี้

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2537

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2537

วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2537

2537-11-15 พุทธสถานบ้านสกุลกล้าอาษา 1 วัน



วันอังคารที่ ๑๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๓๗              พุทธสถานบ้านสกุลกล้าอาษา
                สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

ธารไหลหลากเรือแล่นทวนชลธาร       บริบาลเวไนยด้วยเรือทองนี้
ด้วยบากบั่นวิริยะดั่งเมธี      ศิษย์รักมีเรือทองเป็นรางวัล

                เราคือ
                พระอรหันต์จี้กงอาจารย์เจ้า                            รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา                  ลงสู่พุทธสถาน      เคียมคัล
องค์มารดาถามศิษย์รักทุกคนร้อนหรือเปล่า
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง        ฮา  ฮา

                ปฏิบัติตามปณิธานที่ตั้งใจ   น่าสรรเสริญเหลือเอ่ยเมธีศิษย์
เร่งบำเพ็ญพายนาวาด้วยพินิจ            ปัญญาพิชิตมารร้ายที่แฝงกาย
ศิษย์ สมบุญ สมคิดมาพร้อมเพรียง    โซ่เกี่ยวเนื่องกันมาแต่หนหลัง
มาบัดนี้กุศลพร้อมตั้งนาวาธรรม         เร่งชำระหนี้กรรมรุดหน้าไป
อาจารย์นี้ยินดีเป็นหนักหนา                ศิษย์ทั้งสองปณิธานมาก่อนเก่า
อย่าได้ดูแคลนตนเป็นดั่งเสา                ศรัทธาเฝ้าจงอย่าโลเลรู้ไหม
อีกประสิทธิ์ ปราณีก้าวออกมา           หกหมื่นปีเวียนกายาเจ้าทราบไหม
มีเคราะห์กรรมหนี้ตามเร่งระไว            ขอร่วมมือร่วมใจเป็นสี่แรง
อาจารย์เตือนศิษย์รักจงละลด             รู้เหมาะสมเรียนรู้กฎแห่งสถาน
บรรพชนล้วนรอด้วยชื่นบาน                จงอย่าทำให้บรรพชนได้ผิดหวัง
กาลคับขันยุคสามในครานี้   อาจารย์ชี้นำทางใสสว่าง
มีอีกมากเวไนยตาเลือนลาง                ศิษย์จงนำมัชฌิมาทางสืบทอดไป
ในวันนี้ด้วยแรงศรัทธามั่น     อีกขยันอาจารย์ล้วนเห็นชัดได้
แรงกุศลขอจงอย่าติดยึดไป สำคัญในใจแท้นิพพานจริง
ต่างผู้คนมาร่วมกราบอาจารย์ชี้          ในวันนี้จงกลับไปเจริญกุศล
แลจดจำตรัยรัตน์มิหมองหม่น              มิต้องวนหากเร่งเดินตามอริยา
หากเข้าใจสัจธรรมอันแท้จริง                มิประวิงเสาะหากิเลสขัง
เร่งเสริมสร้างคุณธรรมซ่อมแซมระวัง  จิตตนยั้งหยุดสิ้นความโศกตรม
รู้บอกกล่าวญาติพี่น้องรู้จุดสถิต         แห่งชีวิตเกิดมาเพื่ออันใด
จะไม่ต้องเคว้งคว้างอีกต่อไป               แล้วกลับได้สู่บ้านเดิมวิสุทธิ์แดน
เร่งชำระหนี้กรรมแห่งตนหนา               พายนาวามิลอยล่องรู้จุดหมาย
รู้เส้นทางเผยแพร่ธรรมาไป  จงตั้งใจแม้ลำบากจงอดทน
อาจารย์ขอขอบคุณศิษย์อีกมาก         ที่ลำบากเหนื่อยร้อนในวันนี้
มาช่วยงานขอใจบรรเจิดฤดี แล้วเร่งรี่อาจารย์อวยพรเป็นกำลัง
มีหญิงชายมากมายล้วนต่างวัย          เด็กชราจงไปสำรวจหนา
แล้วรู้แท้ชีวิตสุญตา               รู้สำรวมรู้ว่าไร้จีรัง
อาจารย์กล่าวถ้อยคำยากจบสิ้น        ย้อนมองถิ่นแห่งใจจึงพบเห็น
รู้นิพพานไร้ผู้มิบำเพ็ญ          แม้ทุกข์เข็ญอาจารย์ย้ำให้อดทน
แม้ลังเลคิดว่าลวงหมั่นศึกษา               จึงรู้ว่าเท็จจริงเป็นไฉน
รู้ก้าวเดินให้มุ่งสู่นิพพานใน  จิตตนใกล้เพียรกลางศูนย์พิจารณา
ในวันนี้อาจารย์เวลาจำกัด   ขอยินดีศิษย์รักเจริญรอยหนา
อีกมากมายฝากฝังไว้ให้ศิษย์นา         อาจารย์นั้นไร้กายาไร้เรี่ยวแรง
จะจากจรขอศิษย์เร่งตนเถิด ขอมั่นคงขอสามัคคีให้มากมาก
ข้าอาลัยเหลือแสนมิอยากจาก            ขอศิษย์รักทุกคนถนอมตน
                กราบลา
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    แล้วจากลาศิษย์รัก    จงหมั่นเพียร
                ฮา  ฮา  ถอย

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา