วันเสาร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2538

2538-04-29 พุทธสถานอิ๋งเซียน ดอนเมือง



PDF 2538-04-29-อิ๋งเซียน #2.pdf


วันเสาร์ที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๘ พุทธสถานอิ๋งเซียน ดอนเมือง

สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

กลางสังคมโลกวุ่นวายแห่งมนุษย์ ใจวิสุทธิ์ลบเลือนหายจากไกลหนา

กลับสู่บ้านสถานนี้ฟังธรรมา ร่วมศึกษาพร้อมเทพคนบนแดนดิน

เราคือ

องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน เคียมคัล

องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกท่านสราญฤๅ ฮวา ฮวา

ทอระยับแสงแห่งธรรมทั่วสถาน จิตเบิกบานหรือยังท่านน้องทั้งหลาย

ฤๅกังขายังแอบแฝงมิเปิดใจ แล้วไฉนจะเข้าใจธรรมแยบยล

ทุกทุกคนฝุ่นกินใจจนสึกกร่อน จิตใจร้อนมิอาจกระจ่างได้

หนึ่งวันอาจศึกษากระจ่างใจ สองวันไซร้กระจ่างลึกถึงจิตจริง

ต้นไม้คู่กลางพบคนจริงแท้ ท่านแน่วแน่สามนำไปทุกสิ่ง

มิผูกพันปลงลงไร้ประวิง แลละทิ้งกิเลสตามมิทันใจ

ปวงท่านหนาเมธีมีคุณงาม ทุกทุกยามจึงดำเนินกลายกุศล

มิทิ้งชื่อในนรกสิบแปดทุกข์ทน ในกมลมิหวาดกลัวกระนั้นหรือ

ธรรมกาลยุคขาวนี้ฟ้าดินมนุษย์ เปิดชี้จุดเกิดตายมิสับสน

จงศึกษาเร่งบำเพ็ญซ่อมกมล มารควบใกล้ทุกคนระวังใจ

จิตเผลอไผลขณะหนึ่งมิคงมั่น เหมยงามนั้นสู้ลมฝนทนอยู่ได้

เป็นมนุษย์ถูกทดสอบเลื่อนชั้นไป ทุกสิ่งนี้อาศัยกายไปทำดู

เมื่อเข้าใจธรรมซึ้งจิตบรรพชนปรีดา จงนำพาผองท่านมิเวียนว่าย

มิทุกข์ทนเพราะลงไปเวียนว่าย สุขประเสริฐหลุดพ้นไปนิรพาณ

หากสองวันตั้งใจจริงมีคะแนน ผลตอบแทนจงบำเพ็ญเคร่งครัดหนา

มิชักช้าใจลังเลเสียเวลา เกิดกายมาเพื่อสิ่งใดพินิจดู

โอวาทนี้ฟังง่ายกระทำยาก ในชีวิตแม้ลำบากมิท้อถอย

หากศรัทธาก้าวเดียวถึงแดนฟ้า จงสำรวมระเบียบพุทธาจงเคร่งครัด

ในวันนี้มิกล่าวความให้มากไป หยุดยืนข้างวนพู่กันจรดวาง

ฮวา ฮวา หยุด




วันเสาร์ที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๘

พระโอวาทท่านแปดเซียน จงหลีเฉวียน

สดับธรรมกล่อมธรรมญาณให้พิสุทธิ์ บริสุทธิ์กล่อมกายใจน้อมตนหนา

รอบรอบกายคือพระธรรมทรงคุณค่า อนุตตราพาจิตคืนเร่งบำเพ็ญ

เราคือ

หนึ่งในแปดเซียน จงหลีเฉวียน รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดา แฝงกายกตัญชลี

องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกทุกท่านเกษมฤๅ

หุบเขาว่างปล่อยเนิ่นนานย่อมรกร้าง คลุมปกปิดมิเห็นทางแสนอำไพ

วิสุทธิ์เผยครรลองนี้บังเกิดตรวจใจ คะนึงหวนย้อนในตนสอบสวนดู

บำเพ็ญตนมองจิตลองชิดใกล้ โพธิไซร้ชั่งครวญคิดทุกข์พินิต

ทุกข์สุขที่ใจบัญญัติกลายทิฐิ แบ่งมุติไขว่คว้าจึงใจอาดูร

ปิดอายตนะครั้นยามคลายเหตุประจักษ์ ผูกกับดักแก้แปรได้ที่ประสาน

ขณะหนึ่งหมองหากยั้งทิฐินาน กิเลสต้านเดินมิประมาทประคองตน

เมื่อวันคืนผ่านล่วงเลยหวนพินิจ ค่าชีวิตเมื่อวันวานใดนิรันดร์

วนเวียนใจเศร้ามล้าจิตจรจรัล รูปสีสันในมายามิแท้จริง

งานอริยะภาพย์๕สุขุมรู้แบ่งชัด จึงหัดเดินค่อยค่อยห่างสับสน

สมัครใจไปดำเนินจริงใช่อับจน ตั้งกมลไม่คลอนจะบำเพ็ญงาม

ฮา ฮา หยุด

______________________________

๕ภาพย์ ดีงาม, เหมาะ, ควร




พระโอวาทท่านแปดเซียน จงหลีเฉวียน

ทุกคนรู้เพียงว่าเรามีพุทธจิต พุทธจิตอยู่ที่ตัวเราใช่ไหม (ใช่) เป็นเนื้อในที่อยู่ภายในกายเนื้ออันเป็นของปลอมนี้ใช่ไหม เนื้อในนี้จะเป็นเนื้อแท้ที่ว่างเปล่าหรืออาจจะสุกใสสกาว อยู่ที่ว่าเมื่อมีโอกาสศึกษาแล้วทุกคนได้ลงมือปฏิบัติย้อนมองดูหรือเปล่า เปรียบเหมือนห้องว่างห้องหนึ่งที่ถูกปิดทิ้งไว้เนิ่นนาน หยากไย่สิ่งสกปรกก็สามารถปกคลุมได้ เหมือนจิตใจเราที่ไม่รู้ว่ามีห้องว่างอยู่หนึ่งห้อง เมื่อตอนนี้รู้และได้เปิดประตูแล้วเห็นว่าสกปรก เห็นว่าเหมาะที่จะนำมาใช้ประโยชน์ ก็ต้องเริ่มลงมือทำความสะอาดเสียก่อนใช่ไหม (ใช่) การทำความสะอาดนั้นก็คือขจัดความกังขา ขจัดอัตตาตัวตน อ่อนน้อมที่จะยอมรับและศึกษาเพิ่มเติมใช่ไหม (ใช่) ทุกวัยพร้อมที่จะศึกษาได้ อยู่ที่ใจเราพร้อมที่จะเปิดรับแล้วหรือเปล่า ตอนนี้พร้อมที่จะเปิดรับหรือยัง (พร้อม)

การดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้มีความสุขหรือความทุกข์ (มีความทุกข์, มีทั้งทุกข์และสุข) เมื่อรู้ว่าตนมีทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร การบำเพ็ญก็คือการหวนย้อนมองจิตตน เมื่อประสบสิ่งที่ยินดีก็เกิดความสุข เมื่อประสบสิ่งที่ทำให้เศร้าหมองวิตกกังวลก็เรียกว่าทุกข์ กายนี้ทุกข์เพราะใจ หรือใจนี้ทุกข์เพราะกาย ทุกอย่างล้วนเกิดจากใจทั้งสิ้น แล้วทำไมใจเราถึงทุกข์ถึงสุข จริงๆแล้วทุกคนมีปัญญาอยู่ที่ตัวเอง ปัญญานั้นก็คือปัญญาเดิมแท้หรือพุทธจิตธรรมญาณของตนเอง เมื่อเราทุกข์เราเห็นโทษแห่งทุกข์ เรารู้ว่าทุกข์ทำให้ไม่สบายใจ พาลให้ใจเจ็บป่วยด้วย จริงๆแล้วความทุกข์หรือความสุขนั้นเกิดขึ้นเพราะความนึกคิดของใจ เมื่อเราเอาใจกำหนดเป็นที่ตั้งแล้วบัญญัติให้เกิดรูปลักษณ์ ให้เกิดสัญลักษณ์ว่าสิ่งนี้เรียกว่าทุกข์ สิ่งนี้เรียกว่าสุข ใจเป็นสิ่งแยกแยะเปรียบเทียบ เมื่อได้ยินเสียงก็บอกว่าเสียงนี้ไพเราะ ไม่ไพเราะ เมื่อเห็นของงามของอัปลักษณ์ก็รู้สึกที่ใจว่าอันนี้งดงาม อันนี้อัปลักษณ์ เพราะว่าตาเราเป็นผู้มอง เมื่อลิ้มรสก็รู้ว่าสิ่งนี้อร่อย สิ่งนี้ไม่อร่อย เพราะใจเป็นตัวกำหนด ถึงแม้ทุกคนจะปิดอายตนะทั้งหมดได้ แต่ก็ไม่สามารถปิดใจของตนเองได้

หากทุกคนหลับตาแล้วก็จะไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้ ไม่ว่าคนข้างหน้ากำลังยืนอยู่หรือทำท่าจะตีเรา เราก็ไม่สามารถมองเห็นได้ แต่ถ้าหากว่าเราปิดหู ปิดตา ปิดจมูก ปิดทุกสิ่งแล้ว แต่ใจเรารู้ว่าคนนี้ไม่เคยมองเราในแง่ดี ไม่เคยทำสิ่งที่ดีให้กับเรา เราก็ไม่สามารถปิดใจได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้เข้าใจทุกข์กับสุขหรือยัง (เข้าใจ) ใจนี้สามารถทำได้อยู่สองสิ่งคือสร้างสรรค์กับทำลาย สร้างสรรค์ทุกสิ่งทุกอย่างด้วยใจปรารถนา ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างด้วยใจโมโหอาฆาต ถูกหรือเปล่า (ถูก)

ลองอธิบายกลอนบทนี้เพื่อเป็นการศึกษาร่วมกันดีหรือเปล่า (ดี) นักเรียนในชั้นนี้ภูมิปัญญาไม่เบา ถ้าเราให้ทุกคนรวมใจแล้วตอบจะสามารถตอบได้ไหม

“เมื่อวันคืนผ่านล่วงเลยหวนพินิจ” (เหมือนกับว่าพวกเราได้เติบโตมาจนถึงปัจจุบันนี้ ได้ผ่านเหตุการณ์ทั้งดีและไม่ดีมามากมาย ขอให้กลับไปคิดดูว่าได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง)

“ค่าชีวิตเมื่อวันวานใดนิรันดร์” (สิ่งที่เราทำมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีอะไรบ้างที่จะอยู่ถาวรตลอดไป)

“วนเวียนใจเศร้ามล้าจิตจรจรัล” (บางครั้งสิ่งที่ไม่ดีก็ทำให้เราคิดและจำอยู่ในใจตลอด บางทีทำให้เราท้อ และจิตเราก็ยิ่งสับสนเหมือนกับจิตวิ่งพเนจรไปเรื่อยๆ)

“รูปสีสันในมายามิแท้จริง” (ในสังคมปัจจุบันมีสิ่งยั่วยวนจิตใจให้เกิดกิเลสมากมายเหมือนโลกมายา ดาราที่ขึ้นเวทีแสดงก็จะต่างกัน ทำให้จิตเรายิ่งวกวน)

เมื่อเราเห็นดาราแสดงออกมาแล้วยั่วยวนใจ จิตใจที่แบ่งว่าดีชั่วนั้นเกิดที่ใจ เขาไม่ได้ยั่วยวน แต่ใจเรารู้สึกยั่วยวนเอง ฉะนั้นการมองทุกสิ่งก็ต้องเริ่มมองที่จิตก่อน เหมือนมองแม่น้ำก็ต้องมองต้นธาร เมื่อสร้างกับดักขึ้นมาก็ต้องรู้วิธีแก้ ไม่ใช่แก้ที่ใจ แต่แก้ที่กับดักที่เราสร้าง เมื่อใจเป็นผู้ผูกให้มีความรู้สึก ใจนั้นก็ต้องเป็นผู้แก้ให้คลายความรู้สึกนั้น ความสุขอันจริงแท้นิรันดร์ หรือพุทธจิตที่เฉกเช่นโพธิสัตว์นั้น จริงแล้วก็แฝงอยู่ในโลกแห่งมายานี้ สัจธรรมที่จริงแท้นั้นก็แฝงอยู่ในรัก โลภ โกรธ หลง แฝงอยู่ในจิตใจของเราเอง

ทุกสิ่งทุกอย่างเราอย่ามีความทะยานอยาก เมื่อจิตใจไม่ใฝ่ทะยานอยาก จิตใจก็ปลอดโปร่งเป็นอิสระ ไร้จากสิ่งพันธนาการทั้งปวง ใจเราก็จะรู้สึกว่าโลกนี้เปรียบได้กับแดนนิพพานสรวงสวรรค์ เราอยู่ในโลก เราอย่าแยกตัวเองออกจากโลก อย่าแยกตัวเองออกจากคนอื่น อย่าแยกสิ่งที่ไร้คุณค่าออกจากคุณค่า เมื่อนั้นเราก็จะอยู่ในโลกได้อย่างมีความสุข นั่นก็คือการบำเพ็ญที่จิตใจแล้วทำให้กายเบาสบาย

ตอนนี้ที่ทุกคนได้มีโอกาสศึกษาเรียนรู้ มีโอกาสได้รับฟัง เพราะเป็นวาระที่เหมาะสม ถึงแม้ว่าจะสูญเสียผู้นำไปแล้ว แต่ขอให้ยังคงปณิธานมั่นเหมือนที่ทุกคนตั้งไว้ในจิตใจ ผู้ปฏิบัติงานธรรมจะรู้และเข้าใจเรื่องนี้ดี เราเคยได้ยินว่า “โศกอันใดไม่เท่ากับความพลัดพราก” ถ้าเรามองเห็นความราบรื่นและอุปสรรคเป็นสิ่งเดียวกัน ความรู้สึกที่จะต้องสูญเสียหรือจะต้องมีก็ไม่อาจทำให้จิตใจเราหวั่นไหวได้ใช่ไหม

ผู้ปฏิบัติงานธรรมลองอธิบาย“งานอริยะ” ให้นักเรียนพอเข้าใจบ้าง (งานอริยะคืองานโปรดสามโลก ยุคนี้เป็นยุคสามยุคสุดท้าย พระอาจารย์จี้กงและพระโพธิสัตว์จันทรปัญญาได้รับบัญชามาเพื่อโปรดสามภพนี้ พระกวนอินตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ต่างก็มาร่วมช่วยงานนี้ด้วย เพื่อฉุดช่วยเหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลายให้กลับคืนสู่แดนนิพพานไปหาพระแม่องค์ธรรม) เมื่อรู้ว่างานอริยะก็คือการฉุดช่วยจิตของตน ฟื้นคืนพุทธจิตของตน ก็ขอให้มาศึกษาต่อไปว่า การจะลงแรงปฏิบัติหรือการจะฉุดช่วยคนนั้นเราจะฉุดเขาได้อย่างไรบ้าง การมาฟังก็คือการเริ่มฉุดจิตของตัวเองก่อน ที่เหลือก็คือศึกษาเพื่อจะฉุดช่วยผู้อื่นต่อไป ตอนนี้เมื่อเปิดใจศึกษาเมื่อเข้าใจแล้วก็รอเพียงว่า เมธีทุกท่านจะลงมือปฏิบัติเมื่อไร

เราอยากจะให้ทุกคนได้คิดว่า ถึงแม้ว่าไม่มีความเชื่อในสิ่งที่กำลังเห็นอยู่ หรือยังมีความกังขา เราก็ไม่ว่า แต่ขอให้ทุกคนเชื่อในจิตใจของตนเอง ว่าจิตใจของทุกคนนั้นก็คือจิตใจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่อยู่ที่ว่าพร้อมจะมีความจริงใจศึกษาจิตของตนไหม

เราอยากจะเข้าไปคุยในจิตใจของทุกๆคน แต่เราก็ไม่สามารถเข้าถึงได้ อยู่ที่ว่าทุกคนพร้อมที่จะเดินก้าวเข้ามาหาหรือไม่ เราเดินไปหาหลายคนแล้ว แต่บางคนก็ยังไม่เข้าใจในความรู้สึกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญกันใหม่




วันอาทิตย์ที่ ๓๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๘

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง และ พระนาจา

ศิษย์คล้ายคล้ายสะลึมสะลือโลเลนัก ย่องมาดูเห็นประจักษ์เป็นจริงหนา

นำพระธรรมล้างจิตเปลี่ยนชะตา ส่งเสริมกันให้ก้าวหน้าสามัคคี

เราคือ

อรหันต์วิปลาส พา ราชบุตรสามนาจา รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายอภิวาท

องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนตั้งใจฟังหรือเปล่า

กายสังขารแค่เพียงชั่วคราวอาศัย กี่สิบปีเพียงครู่ไปวัฏสงสาร

เสริมอดทนแต่งข้ามพ้นห้วงทรมาน บำเพ็ญหลอมทุกโมงยามแทนพระคุณ

นำปฏิบัติใจไม่ยอมละพยายาม ถางขวากหนามไม่ท้อซวนเซหนา

แสงจุดต่อสู้ขอเป็นชวาลา มุ่งหมายไปจนสู่ฟ้านิรพาณ

สดับธรรมรู้ธรรมได้แจ้งปัญญา สติจ้ามั่นใจด้วยกระจ่างฝัน

นิพพานโลกคงชีพฝันเพียงสะพาน ยามสะบั้นสุญตาผ่านกายเปลี่ยนไป

ศิษย์เสมือนดาวกระพริบหาแปรไม่ ปณิธานใหญ่สืบครรลองมิผันพ้น

ยุคสามได้เคี่ยวกรำต้องอดทน มากปุถุชนปลงยามวัยชราเกิน

เมื่อคิดว่าใดสุขจึงฝักใฝ่ จิตแกว่งไกวดับทุกข์ง่ายดายไฉน

ปัจจุบันรู้เริ่มจริงจากภายใน โลกสดใสเริ่มพบ ณ ที่นี้

ฮา ฮา หยุด

หมายเหตุ : กลอนที่ขีดเส้นใต้ พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันแต่ง

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงและพระนาจา

พระอาจารย์ : ฟังธรรมะหัวข้อกตัญญุตาธรรมแล้ว คิดว่าตัวเรามีความกตัญญูมากพอหรือยัง (ยัง) คนที่ยังมีพ่อมีแม่ มีคนที่มีบุญคุณต่อเรา เราจะต้องตอบแทนเขา มนุษย์นี้ก็แปลกนะ เวลาให้นั่งกลับหลับสบาย เวลาให้นอนกลับนอนไม่หลับ ทำไมถึงนอนไม่หลับ (จิตเราไม่สงบ) มนุษย์นี้ยิ่งนานวันโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมามีภาระมากมาย มีปัญหามาก ก็นอนไม่หลับใช่ไหม มีใครเคยสังเกตว่าจิตใจที่สงบที่สุดคือตอนไหน (ตอนหลับ) บางคนเวลานอนจิตใจก็สงบดี แต่ว่าช่วงที่เรากำลังจะหลับ นั่นเป็นช่วงที่จิตใจสงบที่สุด ลองไปสังเกตดูเองนะ

การที่มาอยู่ในห้องนี้ แล้วรู้จักกันไม่กี่คน เป็นเพราะว่าเราไม่ได้สามัคคีกัน เราอยู่กันไม่เหมือนญาติพี่น้อง แต่จริงๆแล้วการมาอยู่ในที่นี้ต้องรักใคร่กลมเกลียวเหมือนพี่น้อง ห้ามแบ่งเขาแบ่งเรา แบ่งชั้นวรรณะ ถ้าหากว่าทำได้เราก็จะรู้จักกัน เพราะเราจะสนิทกันเหมือนญาติพี่น้อง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เช่นนั้นแล้วคนที่เป็นหัวหน้าชั้น เมื่อจบชั้นไปแล้วก็ไม่รู้จักว่าคนที่นั่งอยู่ด้วยกันนั้นคือใคร การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ว่าตัวใครตัวมัน ตัวฉันตัวเธอ เราไม่รู้จักกันเลย อย่างนี้ได้หรือเปล่า (ไม่ได้) แล้วอย่างนี้จะสามัคคีกันได้หรือยัง

มาที่นี่มีคนที่มีความประทับใจเป็นพิเศษไหม ส่วนผู้ที่อยู่ในสถานธรรม คนที่ดูแลหรือคนที่เป็นฐันจู่ให้เก็บไว้ทั้งส่วนที่ดีและก็ไม่ดี และนำไปแก้ไขและก็ปฏิบัติ เข้าใจไหม (นักเรียนคนที่หนึ่ง : ข้าพเจ้าดีใจและภูมิใจที่ได้มาในสองวันนี้ มาด้วยความเต็มใจ ขอให้เพื่อนๆสร้างความดีด้วย เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก) (นักเรียนคนที่สอง : ขอบคุณพระอาจารย์และขอขอบคุณเพื่อนๆญาติธรรมทุกๆท่าน เพิ่งเข้ามาในสถานธรรมวันนี้เป็นวันแรก มีความปลาบปลื้มยินดีที่สุดที่ได้ก้าวเข้ามาในวงการธรรมนี้ มีความประทับใจมากที่สามารถมีโอกาสเข้ามายืนอยู่ในที่นี้พร้อมกับญาติธรรมทุกๆท่าน และมีความประทับใจมากที่ไม่เดินหลงทางผิด มาทางที่ถูกแล้ว ทางนี้เป็นทางที่จะบรรลุสู่นิพพาน) (นักเรียนคนที่สาม : ปลื้มใจที่ได้เห็นพระอาจารย์ แต่ว่าเวลาก็นานมาพอสมควรแล้ว ให้พวกเราทุกคนพยายามบำเพ็ญ แล้วอีกไม่นานก็จะสำเร็จ ทุกคนต้องตั้งใจบำเพ็ญ) นี่คือความจริงใจ เราจะหัวเราะหรือทำอะไร เราก็ต้องรู้ว่าเจตนาจริงๆของเราคือสิ่งใดใช่ไหม (ใช่)

ศิษย์รักของอาจารย์ที่เป็นผู้ปฏิบัติงานและเป็นอาจารย์บรรยายธรรม รวมทั้งฐันจู่สังเกตเห็นไหมว่า คนที่มาที่นี่ทุกคนมีความเข้าใจอันดีกลับไป แต่ว่าขาดการส่งเสริมที่แท้จริง คนที่จะไปส่งเสริมหลังจากที่พวกเขากลับไปแล้ว แน่นอนว่าจะต้องพบอุปสรรคใช่ไหม แล้วสิ่งที่เขาขาดก็คือขาดความมั่นใจในตัวเรา ไม่มีคนช่วยตอบคำถาม ไม่รู้จักสถานธรรมอย่างแท้จริง วันนี้อาจารย์พูดค่อนข้างตรง เพราะอยากจะให้ศิษย์รู้และเข้าใจว่า การส่งเสริมคนนั้นเป็นเรื่องสำคัญ เพียงแค่รับธรรมะและประชุมธรรมนั้นยังไม่เพียงพอ

คนที่ประชุมธรรมในวันนี้ ต้องรู้จักกลับไปศึกษา และพยายามปฏิบัติด้วยตัวเอง อย่าได้รอหวังพึ่งคนอื่น เพราะคนที่ประชุมธรรมแล้วเปรียบเสมือนคนที่รู้แล้วว่าเรือนั้นอยู่ทิศทางไหน และสามารถตามหาได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องให้คนมาดึงและไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคนอื่น ต้องมีความกล้าในการถามคำถาม อาจารย์บอกไว้ได้เลยว่า ทุกคนจะต้องมีคำถามแน่นอน หลังจากวันนี้ไปต้องอาศัยจิตของตัวเองที่สงบและนิ่งมาตอบคำถาม ได้หรือเปล่า (ได้) ใครสรุปให้ฟังได้บ้างว่าเมื่อสักครู่อาจารย์พูดว่าอะไร ไม่ใช่ว่าทุกๆวัน ทุกๆครั้งที่มีคนถาม เอาแต่ตอบว่าได้ ได้ ได้ แต่ไม่รู้ว่าที่เราตอบว่าได้ตัวเรานั้นฟังอะไรไปบ้าง เข้าใจไหม (เข้าใจ) (คำถามที่พระอาจารย์ได้ถามญาติธรรมนี้เป็นการชี้แนะให้พวกศิษย์ทั้งหลายได้ทราบว่า การมาฟังธรรมะจากสถานธรรมสองวันนี้ยังไม่เพียงพอ นั่นเป็นเพียงแนวทางที่จะต้องไปศึกษาต่อและปฏิบัติต่ออย่างจริงจัง)

ทุกๆอย่างไม่ว่าจะเป็นศาสนาทั้ง ๕ หรือว่าลัทธิวิถีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจริงเป็นเท็จ ขอให้ศิษย์ใช้จิตพิจารณาดูเอง เพราะว่าทุกอย่างเป็นแนวทางที่ศิษย์เลือกได้ ศิษย์เข้าใจไหมว่าศาสนากับอนุตตรธรรมต่างกันอย่างไร (ไม่เข้าใจ) (อาจารย์บรรยายธรรม : อนุตตรธรรมเป็นราก ศาสนาเป็นกิ่งก้านสาขาในลำต้นของอนุตตรธรรม ในศาสนาหลักๆไม่ว่าศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม หรือว่าศาสนาเต๋า ศาสดาของแต่ละศาสนาก็ได้สำเร็จบรรลุถึงหลักสัจธรรมซึ่งสูงสุดเหนือใดใด สัจธรรมที่ศาสดาต่างๆบรรลุถึงก็คืออนุตตรธรรม เพราะฉะนั้นในศาสนาที่กล่าวถึงจึงมีอนุตตรธรรมแฝงอยู่แต่มิได้เปิดเผย ศาสนากับอนุตตรธรรมถึงแม้จะดูว่ามีความสัมพันธ์ต่อกันก็จริง แต่มีความแตกต่างกัน อนุตตรธรรมมีมาก่อนเกิดฟ้า ดินและมนุษย์ อนุตตรธรรมมีมาก่อนอยู่แล้ว แต่ศาสนาเกิดขึ้นมาภายหลังที่มีโลกนี้ มีมนุษย์จึงมีศาสดา แล้วประกาศคำสอนศาสนา อนุตตรธรรมนี้พระอนุตตรธรรมมารดาเป็นผู้กำหนดให้มีการถ่ายทอด จะกำเนิดหรือยุติลงเมื่อใดมิใช่เป็นกำหนดของมนุษย์ แต่ว่าศาสนานี้มนุษย์ก็คือบรรดาสาวกทั้งหลายเป็นผู้ประกาศและกำหนดว่าถ้าตราบใดยังคงประกาศคำสอนอยู่ ศาสนาก็ยังคงอยู่ เพราะฉะนั้นความแตกต่างที่พูดมานี้เป็นเพียงคร่าวๆเท่านั้น หากว่าเรามีความสนใจก็มาศึกษาเพิ่มเติมดูว่า จริงๆแล้วมีความแตกต่างกันอย่างไร) เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ) มีบางคนยังไม่เข้าใจ ต้องอาศัยการศึกษาต่อๆไป เพราะต้นกล้าไม่สามารถปลูกได้ในสองวันใช่ไหม (ใช่)

ฟังธรรมะแล้วรู้ไหมว่าการบำเพ็ญนั้นเริ่มที่ไหน (ที่จิต) การเริ่มที่ตัวเองนั้นก็ต้องเริ่มต้นที่จิตใจก่อน เพราะใจเรานั้นสำคัญ การคิดดีหรือคิดไม่ดี ทุกๆอย่างอาศัยแค่สติเพียงชั่วครู่เท่านั้น คนที่เริ่มที่ใจนั้นมักจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ผู้บำเพ็ญธรรมนั้นสำคัญที่สุดคือการทำตัวให้เป็นผู้มีคุณธรรม โดยเริ่มจากภายใน เพราะว่าคนอื่นจะมองเราภายนอกดูงดงาม แต่ถ้าข้างในมิได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเลย หรือว่ามักพลั้งสติอย่างนี้แล้ว สักวันหนึ่งตัวเราเองก็จะเป็นผู้ที่ทุกข์ที่สุด แล้วคนที่มาที่นี่รู้สึกว่าอิสระไหม (อิสระ) บางคนกลัวว่ารับธรรมะไปแล้วจะโดนบังคับโน่น บังคับนี่ ที่บังคับคือการบังคับตัวเอง ศิษย์อาจจะลืมไปแล้วว่าที่เกิดมาในครั้งนี้ เราก็บังคับตัวเองให้อยู่ในกายเนื้อนี้เหมือนกับสร้างกรงขังตัวเองตั้งแต่วันแรกที่เราเกิด คนนั้นมีชีวิตก็ไม่ยั่งยืนนาน การแก้ไขตัวเองไม่สามารถแก้ไขเพียงชั่วครู่ชั่วยาม ปีหนึ่งหรือว่าสองปีเรายังไม่สามารถแก้ไขได้หมด บางคนทั้งๆที่รู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งไม่ดี เป็นสิ่งไม่ควร แต่ก็ยังกระทำลงไป ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อยากจะให้ศิษย์ทุกๆคนเริ่มปรับปรุงตัวเอง เริ่มที่จะใช้สติออกมาคิดแก้ไข ธรรมไม่ได้อยู่ที่ปาก และการพูดจา แต่อยู่ที่ใจของเราว่าเราจะเริ่มทำอย่างไรกับตัวเอง

พระนาจา : (พระนาจาให้นักเรียนทำท่าประกอบเพลงทีละแถว) ศิษย์น้องฝ่ายชายทำก่อน คนนี้เราเห็นเขาตั้งใจมาก หนักแน่นประทับใจ ส่วนคนนี้อ่อนน้อม ถ้าหากเลือกจะให้ปฏิบัติระหว่างเข้มแข็งกับอ่อนโยน เลือกแบบไหน (ทั้งเข้มแข็งและอ่อนโยน) ถ้าไม่มีคนคอยชี้แนะให้มาอยู่ตรงกลางแล้วจะรู้หรือ ต้องเป็นอย่างนี้เสมอเลยหรือ เวลาทุกคนไปดำเนินชีวิตจะมีคนคอยแนะนำไหม (ไม่มี)

(พระนาจาเมตตาประทานผลไม้แก่นักเรียน) ทุกอย่างไม่ใช่เลือกลูกท้อหรือว่าผลไม้ทิพย์ ทุกอย่างอยู่ที่จิตใจ ถ้าคิดว่ากินแล้วอร่อย กินแล้วดี ก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องคิดว่าเราก็อยากได้จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน ทุกๆอย่างนั้นก็คือของศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว เพราะฟ้าและดินเป็นผู้ให้กำเนิดสรรพสิ่ง ฉะนั้นทุกๆอย่างก็ต้องศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม (ใช่)

แค่ศิษย์พี่ยิ้ม ศิษย์น้องก็ยิ้มแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่) ยิ้มนั้นที่ประทับตราตรึงในหัวใจทุกคนใช่หรือเปล่า ถ้าลองศิษย์พี่มาแล้วหน้าบึ้งหน้าเชิดใครชอบบ้าง (ไม่ชอบ) การดำเนินชีวิตไม่ว่าพบอะไรก็ต้องยิ้มสู้ เมื่อทุกข์ก็ต้องยิ้มอย่างหน้าชื่นตาบานใช่หรือเปล่า ฟังธรรมก็เยอะพอสมควร แต่ก็มีบางคนยังมีความสงสัยอยู่

ศิษย์น้องรู้ไหมว่าศิษย์น้องมีห่วงอยู่ ๓ ห่วงคือ ๑.ห่วงบุตร ๒.ห่วงสามีภรรยา ๓.ห่วงทรัพย์ศฤงคาร นั่นก็คือกิเลสทั้ง ๓ จริงๆแล้วพุทธจิตไม่มี แต่กายเนื้อมีใช่ไหม (ใช่)

พระอาจารย์ : เมื่อสักครู่นี้อาจารย์พูดไปแล้วใช่ไหมว่าการตอบต้องเข้าใจก่อนถึงจะตอบได้ โดนเขาทำให้สับสนเหมือนกับโดนทดสอบ ถ้าเกิดว่าเขาทดสอบอะไรเรา ภายหน้าอยู่ข้างนอกเราก็โดนเขาสอบมากมาย มีอุปสรรคถ้าเราไม่รู้จักคิดว่าที่เขาว่าเรานั้นเป็นจริงหรือเปล่า ที่เขาพูดนั้นถ้าเราไม่คิด สติปัญญาเราไม่มี เราไม่สามารถตามทันว่าเขาว่าอะไรเรา และมันจริงอย่างที่เขาว่าหรือเปล่า

สมัยที่อาจารย์ดำรงชีวิตอยู่นั้น เป็นพระประเภทไหน รู้ไหม (เสื้อผ้าขาดวิ่น) แล้วนอกจากเสื้อผ้าขาดแล้ว อาจารย์ก็ยังบ้าๆบอๆอีกใช่ไหม (ไม่ใช่) การที่คนมองเราเพี้ยนๆ แต่ว่าอาจารย์เองมีจุดประสงค์ที่แน่นอนที่จะฉุดช่วยมหาชน เพราะฉะนั้นไม่ว่าคนจะว่าเรางมงายหรือว่าเราบ้าไปแล้ว เราก็ควรจะรู้ว่าจุดมุ่งหมายในชีวิตของเรานั้นคืออะไร ศิษย์คิดว่าการทำงานเพื่อมหาชนนั้นเป็นเรื่องใหญ่หรือเปล่า เมื่อคิดว่าเรามีภาระที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น เราควรจะมีอะไร การที่เราจะเป็นผู้ที่นำคนอื่น เราจะต้องมีความมั่นคงเชื่อมั่นและจริงใจ ขอให้ย้อนกลับมองตัวเองมากๆ อย่าได้มองที่คนอื่น คนอื่นไม่ใช่เรา การตัดสินใจทุกอย่างเราเป็นผู้ตัดสินเอง การที่จะบำเพ็ญธรรมหรือมานั่งฟังธรรมะ ถึงแม้ว่าผู้แนะนำรับรองจะฉุดกระชากเรามา แต่เราก็ต้องรู้ว่านั่นเป็นเพราะความหวังดีของเขา เขาหวังว่าเมื่อเราเข้าใจธรรมะแลัว เราจะสามารถนำไปปฏิบัติ ไม่เสียเวลาที่เกิดมาในชาติหนึ่ง ศิษย์รู้ว่าการที่จะเกิดมาในชาตินี้นั้นไม่ใช่ว่าเรานึกจะเกิดก็เกิดได้ เรานึกจะตายก็ตายได้ คนที่มีความทุกข์มากมายไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ตอนนี้คิดอยากจะตายก็ยังตายไม่ได้ เมื่อตอนที่จะเกิดก็เหมือนกัน ทุกคนมีกรรมที่ติดค้างกันมา เมื่อมีความทุกข์ก็ขอให้ปลอบใจตัวเอง แล้วก็สู้ต่อไป เข้าใจไหม

พระนาจา : เราเล่านิทานให้ฟังดีกว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีฤๅษีตนหนึ่งบำเพ็ญตบะอย่างแรงกล้า มีแต่คนนับถือ เขาแอบแฝงอยู่ แต่ทุกคนละแวกนั้นก็รู้ เขาไม่ได้ทำอะไรเลย วันๆเขาก็นั่งวิปัสสนากรรมฐานฝึกตน แต่ชาวบ้านในละแวกนั้นกลับยกย่องและให้เกียรติเขา เพราะว่าพอมีเขาอยู่แล้วทำให้พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ แต่เมื่อผู้บำเพ็ญรู้เข้าก็หลีกหนีจากที่ตรงนั้นไป จบแล้ว อยากถามว่าทำไมเขาถึงหลีกหนีไป ไม่คิดที่จะอยู่ต่อ เพราะว่าจิตใจของเรานั้นเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์นานาชนิดที่จะปลูกสิ่งใดก็ได้ ฤๅษีนั้นไม่ต้องการที่จะได้คำยกย่องเยินยอจากใคร และประชาชนยังต้องการฤๅษีอยู่ ถ้าฤๅษียังอยู่ความต้องการของเขาก็ยังจะมีอยู่เรื่อยๆ การมองเราต้องมองให้ลึกถึงภายใน แม้แต่ผลไม้ทุกคนยังสามารถรู้ได้ว่าเปลือกกินไม่ได้ ต้องกินเนื้อใน

(พระอาจารย์เมตตาให้นำน้ำมาแจกนักเรียน)

พระนาจา : “น้ำหกรดรินใจ แต่อย่าให้เป็นน้ำตาเอ่อไหลนอง” น้ำนั้นก็คือการเปรียบเทียบ จริงๆแล้วความรู้สึกก็มาจากใจ ตอนนี้รู้หรือยังว่าน้ำก็คือน้ำ ใจก็คือใจ ใช่ไหม

พระอาจารย์ : น้ำใจเราก็คือน้ำปัญญา คนที่บำเพ็ญธรรมะทุกคนต้องมีปัญญาจริงๆ เมื่อตรวจสอบเห็นเป็นจริง จึงบำเพ็ญได้

มาที่นี่ในวันนี้มีหน้าที่มานั่งฟัง วันหน้ามีหน้าที่มาปฏิบัติงานแล้ว ต้องเปลี่ยนในใจด้วยใช่ไหม จึงจะเป็นผู้ปฏิบัติงานที่ดี สามารถนำคนข้างหลังได้

(พระอาจารย์และพระนาจาเมตตาให้นำพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “พินิจแห่งปัญญาเดิม” มาให้นักเรียนในชั้นดู)

พระอาจารย์ : “พินิจแห่งปัญญาเดิม” ก็คือ ไม่ว่าจะพบปัญหาหรืออุปสรรค ให้นำปัญญาที่อาจารย์ชี้ให้มาพินิจพิจารณา แล้วไม่ตกเป็นเหยื่อของมาร เข้าใจไหม (เข้าใจ)

(พระอาจารย์เมตตาให้อาจารย์บรรยายธรรมนำร้องเพลงพระโอวาททำนองเพลงเก็บรัก และให้นักเรียนในชั้นร่วมกันตั้งชื่อเพลง)

พระอาจารย์ : ต่อไปนี้ศิษย์จะย้อนใจทุกๆวันใช่หรือเปล่า (ใช่) การย้อนใจ ย้อนแล้วต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน จะช่วยให้จิตเราสงบขึ้น สุขุมขึ้น แล้วการบำเพ็ญก็จะราบรื่นยิ่งขึ้น อย่ามัวแต่มองว่าชีวิตเราทำไมมีแต่ปัญหา แล้วเอาไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น ต่อให้เราบำเพ็ญในชาตินี้ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะบรรลุไม่ได้

อาจารย์ขอให้ศิษย์รักทุกๆคนรู้จักรักษาตัวเองให้ดี รู้จักที่จะหยุด และรู้จักที่จะยอม ทำให้ใจนั้นเย็นขึ้น ไม่หมกมุ่นอยู่กับความโมโหโกรธา ไม่หมกมุ่นอยู่กับตัวเองเพียงคนเดียว ฝึกฝนเมตตาจิตและนึกถึงคนอื่นให้มากๆ เมื่อเกิดความทุกข์ใจหรือความท้อใจ ขอให้ตนเองช่วยตนเองก่อน จะคิดถึงอาจารย์บ้างก็ได้ บางคนมาสถานธรรม ๑๐ วัน หลังจากนั้นก็ไม่เห็นหน้ากันอีกเลย ถ้าเป็นใจศิษย์ ศิษย์จะคิดว่า “มีลูกที่ไม่รักดีอย่างนั้นหรือ” คนที่อยู่ข้างหน้า หลังจากชั้นนี้ไปก็จะต้องเป็นผู้นำคนอื่น บางคนยังลังเลสงสัย อาจารย์อยากจะบอกย้ำว่า สงสัยตัวเองหรือว่าสงสัยอาจารย์กันแน่ ถ้าหากว่าเภทภัยไม่ถึงตัวก็ไม่รู้สึก เมื่อเภทภัยมาถึงตัวแล้วค่อยรู้สึกอย่างนั้นหรือ มองแววตาศิษย์ตอนนี้ไม่มีใครมีใจผูกพันกับอาจารย์เลย อาจารย์ไม่ขออะไรมากหรอก เพียงขอให้ศิษย์รักทุกคนหลังจากจบชั้นนี้ไปแลัวยังสนใจศึกษาธรรม ยังจะช่วยตัวเองได้ และยังจะเข้าใจธรรมะ ทำได้หรือเปล่า (ได้) ขอให้ต่อไปนี้มากันกี่หนเราก็ยังรู้จักกัน ศิษย์อาจารย์ยังได้พบหน้ากันอีก ขอเพียงเท่านี้ ไม่ใช่มาแค่ช่วงประชุมธรรม ศิษย์คิดว่าอาจารย์ไม่เห็นศิษย์ใช่ไหม การยืมร่างเป็นแค่เรื่องชั่วคราว ถ้าคิดว่าไม่เห็นกัน อย่างนี้เราคงไกลกันแน่ๆ ร้องเพลงส่งอาจารย์เถอะนะ (นักเรียนและผู้ปฏิบัติงานร่วมร้องเพลงทำนองคำสัญญา) อาจารย์บอกได้ว่าความทุกข์ใจที่อาจารย์มีอยู่นี้ หาคนเข้าใจยากนัก หวังวอนเพียงศิษย์รักทุกคนตั้งใจ อดทน อาจารย์หวังเพียงเท่านี้

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2537

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2537

วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2537

2537-11-15 พุทธสถานบ้านสกุลกล้าอาษา 1 วัน



วันอังคารที่ ๑๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๓๗              พุทธสถานบ้านสกุลกล้าอาษา
                สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

ธารไหลหลากเรือแล่นทวนชลธาร       บริบาลเวไนยด้วยเรือทองนี้
ด้วยบากบั่นวิริยะดั่งเมธี      ศิษย์รักมีเรือทองเป็นรางวัล

                เราคือ
                พระอรหันต์จี้กงอาจารย์เจ้า                            รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา                  ลงสู่พุทธสถาน      เคียมคัล
องค์มารดาถามศิษย์รักทุกคนร้อนหรือเปล่า
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง        ฮา  ฮา

                ปฏิบัติตามปณิธานที่ตั้งใจ   น่าสรรเสริญเหลือเอ่ยเมธีศิษย์
เร่งบำเพ็ญพายนาวาด้วยพินิจ            ปัญญาพิชิตมารร้ายที่แฝงกาย
ศิษย์ สมบุญ สมคิดมาพร้อมเพรียง    โซ่เกี่ยวเนื่องกันมาแต่หนหลัง
มาบัดนี้กุศลพร้อมตั้งนาวาธรรม         เร่งชำระหนี้กรรมรุดหน้าไป
อาจารย์นี้ยินดีเป็นหนักหนา                ศิษย์ทั้งสองปณิธานมาก่อนเก่า
อย่าได้ดูแคลนตนเป็นดั่งเสา                ศรัทธาเฝ้าจงอย่าโลเลรู้ไหม
อีกประสิทธิ์ ปราณีก้าวออกมา           หกหมื่นปีเวียนกายาเจ้าทราบไหม
มีเคราะห์กรรมหนี้ตามเร่งระไว            ขอร่วมมือร่วมใจเป็นสี่แรง
อาจารย์เตือนศิษย์รักจงละลด             รู้เหมาะสมเรียนรู้กฎแห่งสถาน
บรรพชนล้วนรอด้วยชื่นบาน                จงอย่าทำให้บรรพชนได้ผิดหวัง
กาลคับขันยุคสามในครานี้   อาจารย์ชี้นำทางใสสว่าง
มีอีกมากเวไนยตาเลือนลาง                ศิษย์จงนำมัชฌิมาทางสืบทอดไป
ในวันนี้ด้วยแรงศรัทธามั่น     อีกขยันอาจารย์ล้วนเห็นชัดได้
แรงกุศลขอจงอย่าติดยึดไป สำคัญในใจแท้นิพพานจริง
ต่างผู้คนมาร่วมกราบอาจารย์ชี้          ในวันนี้จงกลับไปเจริญกุศล
แลจดจำตรัยรัตน์มิหมองหม่น              มิต้องวนหากเร่งเดินตามอริยา
หากเข้าใจสัจธรรมอันแท้จริง                มิประวิงเสาะหากิเลสขัง
เร่งเสริมสร้างคุณธรรมซ่อมแซมระวัง  จิตตนยั้งหยุดสิ้นความโศกตรม
รู้บอกกล่าวญาติพี่น้องรู้จุดสถิต         แห่งชีวิตเกิดมาเพื่ออันใด
จะไม่ต้องเคว้งคว้างอีกต่อไป               แล้วกลับได้สู่บ้านเดิมวิสุทธิ์แดน
เร่งชำระหนี้กรรมแห่งตนหนา               พายนาวามิลอยล่องรู้จุดหมาย
รู้เส้นทางเผยแพร่ธรรมาไป  จงตั้งใจแม้ลำบากจงอดทน
อาจารย์ขอขอบคุณศิษย์อีกมาก         ที่ลำบากเหนื่อยร้อนในวันนี้
มาช่วยงานขอใจบรรเจิดฤดี แล้วเร่งรี่อาจารย์อวยพรเป็นกำลัง
มีหญิงชายมากมายล้วนต่างวัย          เด็กชราจงไปสำรวจหนา
แล้วรู้แท้ชีวิตสุญตา               รู้สำรวมรู้ว่าไร้จีรัง
อาจารย์กล่าวถ้อยคำยากจบสิ้น        ย้อนมองถิ่นแห่งใจจึงพบเห็น
รู้นิพพานไร้ผู้มิบำเพ็ญ          แม้ทุกข์เข็ญอาจารย์ย้ำให้อดทน
แม้ลังเลคิดว่าลวงหมั่นศึกษา               จึงรู้ว่าเท็จจริงเป็นไฉน
รู้ก้าวเดินให้มุ่งสู่นิพพานใน  จิตตนใกล้เพียรกลางศูนย์พิจารณา
ในวันนี้อาจารย์เวลาจำกัด   ขอยินดีศิษย์รักเจริญรอยหนา
อีกมากมายฝากฝังไว้ให้ศิษย์นา         อาจารย์นั้นไร้กายาไร้เรี่ยวแรง
จะจากจรขอศิษย์เร่งตนเถิด ขอมั่นคงขอสามัคคีให้มากมาก
ข้าอาลัยเหลือแสนมิอยากจาก            ขอศิษย์รักทุกคนถนอมตน
                กราบลา
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    แล้วจากลาศิษย์รัก    จงหมั่นเพียร
                ฮา  ฮา  ถอย

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2537

2537-11-05 พุทธสถานเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี



PDF 2537-11-05-เจิ้งซิน #11.pdf


วันเสาร์ที่ ๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๓๗          พุทธสถานเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

ผู้บำเพ็ญมิกลัวการทดสอบ                               อุปสรรคลอบตรวจตราผู้เผลอไผล
ปฏิทินหมุนเวียนกังขาใจ                                     เมธีท่านประโยชน์ไรในชีพคง
      เราคือ
     องค์ประธานคุมสอบสามภูมิรับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาลงสู่พุทธสถาน         เคียมคัล
องค์มารดาถามเมธีน้องพี่เกษมฤๅ
ขอทุนคนจิตสงบตั้งใจฟัง          ฮวา  ฮวา
      นิศาชลเหือดแห้งยามเหน็บหนาว   ประกายพราวสะท้อนแดดท่านหลงใหล
ปัจจุบันในโลกที่วุ่นวาย                          ดั่งฝันร้ายเนิ่นนานไม่รู้เลย
ต้องบำเพ็ญท้ายนอนหลับในปฐพี        แต่จากนี้จะต่อไปยังทางไหน
ต้องบากบั่นเพื่อมรรคผลที่อำไพ           ด้วยล้างใจชำระกิเลสมิเนื่องไป
ในสองวันจงรวมใจให้เป็นหนึ่ง               ศึกษาถึงแก่นธรรมเร่งศึกษา
เก้าอี้พุทธาใช่ง่ายด้วยเกณฑ์ฟ้า           โปรดสามภูมิเกี่ยวข้องโปรดพุทธญาณ
ในสามกาลปัญญาได้ตัดสิน                  ใดคือถิ่นฐานทองกลางจิตแก้ว
หากสัมฤทธิ์ศรัทธามิคลาดแคล้ว          พี่บอกน้องจงแน่แน่วหมั่นเพียรเทอญ
ในสองวันจงงดเว้นบาปกระทำ              ด้วยหนี้กรรมจดจ้องน้องมิเห็น
อย่าปล่อยมารมาดึงเดินยากเย็น          ให้เร่งเว้นมุทินขาดหายกัน
จงหมั่นเพียรอดทนอีกขยัน                     ในใจนั้นอย่าเกิดจิตสงสัย
ในใจนั้นแกร่งด้วยศรัทธาไว้                    แม้ยังใหม่แต่เสมอด้วยพุทธญาณ
ศิษย์พี่คอยควบคุมจงระวัง                    พุทธระเบียบการนั่งเดินอย่าประมาท
ด้วยเพื่อตนบรรพชนมารอคอย             จงอย่าพลาดได้ตกลงด้วยมิสงบใจ
                                                                                                    ฮวา  ฮวา  หยุด



      วันเสาร์ที่ ๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๓๗
     พระโอวาทท่านแปดเซียน หันเซียงจื่อเมตตา

ขัดเกลาจิตใช้วาจารื่นไพเราะ                             รู้พอเหมาะผู้รับได้ล้วนยินดี
ความเคยชินเร่งขจัดมิรอรี                                   ฝึกเมธีวาจาล้วนพิจารณา
      เราคือ
     หนึ่งในแปดเซียน หันเซียงจื่อ    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาลงสู่พุทธสถาน         แฝงกายกราบกตัญชลี
องค์มารดาถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

      รู้ชีวิตควรดำเนินหนึ่งจุดหมาย         หนึ่งจิตคล้ายนภาส่องประภัสสร
ครองกรัชกายบำเพ็ญอย่างชโลทร       หวนจิตย้อนส่องตนในประตู
บำเพ็ญตนดั่งอุบลแม้อยู่ในคู                 อวเคราะห์รู้คือบทเรียนสอนใจตน
กิเลสมากล้นที่รูปลักษณ์ให้สับสน        ยึดมั่นตนผู้สร้างใช่ทำลาย
หนึ่งจิตหมายบำเพ็ญคืนต้นธาร            อย่ารอนราญรุ่มร้อนในห้วงทุกข์
ตื่นจากฝันให้ตนในตนปลุก                    แล้วเร่งรุดคืนสมบัติแท้ในตน
                                                                                                         ฮา  ฮา  หยุด


          เวลาผ่านไป ล้วนต้องเจอหลากรอยเปื้อนตน  บนดวงจิตใสเพิ่มพูนมาบดบังแท้จริง  ครั้นเผชิญทุกข์สุข  กลับดำเนินยากเย็น  ไร้แนว
   *     จิตไม่เคยขุ่น   ขุ่นหมองใคร่ครวญ   สิ่งใดร้ายบ่มเพาะเป็นเพียง
ชั่วคราว  หมั่นล้างความขุ่นแห่งภาพมายา  เพื่อคืนหน้าสดใสความทุกข์ใดใดจางไป  หากแต่เพียงมิท้อไป  พ้นไกลจากหมองมัว
          เพียงมีจุดหมาย  ยั้งใคร่ครวญเปิดใจสำคัญ  ทางมุ่งหลุดพ้น  หวังทุ่มเทช่วยชนหวนใจ  หนทางดูกว้างใหญ่ หากเริ่มเพียงน้อมก้าวเดิน(ซ้ำ*)
          รู้ทางแท้ขอมิอ่อนล้า  ก้าวไปสว่าง  แม้ชีวิตสรรหาไขว่คว้าพาสับสนใจ  มั่นในหลักธรรมพิทักษ์สติไว้  เผยดวงจิตพร้อมจะประคอง  หลีกเร้นพลั้งหมู่มารวกวนทุกข์ร้าวราญ (ซ้ำ *,*)
                                                                               เพลง : ไม่เผลอใจ
                                                         ทำนองเพลง : ฟ้า ดอกไม้และเธอ



พระโอวาทท่านแปดเซียน หันเซียงจื่อเมตตา

การเป็นผู้บำเพ็ญธรรมะนั้น  สิ่งแรกที่ทุกคนต้องเรียนรู้ก็คือการกล่าววาจา  ถ้าเราขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรมจะต้องสำรวมวาจา  ไม่ใช่นึกจะพูดอะไรก็พูด  โดยไม่ได้พินิจพิจารณาไตร่ตรองก่อน  ไม่ได้ใคร่ครวญว่าผู้รับฟังจะรู้สึกอย่างไร  คำพูดนั้นมีทั้งไพเราะรื่นหูและก็มีติฉินนินทา  คำไพเราะหรือคำติฉินนินทาอะไรล่ะที่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง  สิ่งไหนที่เป็นสิ่งที่เท็จจริง  เราจะต้องพิจารณาว่าขณะที่เขาพูดนั้นจิตใจของเขามีความหวังดีที่จะพูดเพื่อจะให้เรารับรู้สิ่งที่ดีหรือว่าเขาต้องการพูดเพื่อให้เรารู้ว่าเราควรจะปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่อง  การฟังคำพูดของแต่ละคน  ขอให้มองเขาในแง่ดีเสียก่อน  อย่าเพิ่งคิดหรือมองเขาในแง่ร้าย
ตอนนี้ทุกคนก็รู้ว่าชีวิตที่เราดำเนินอยู่นั้น  สิ่งใดที่ต้องรับรู้ รับผิดชอบ  จุดหมายของทุก ๆ คนนั้นอาจจะแตกต่างกันไป  ตอนนี้ได้รับรู้จุดหมายของตัวเอง  ขอให้นึกดูว่าจุดหมายนั้นไม่มีใครสามารถกำหนดให้เราได้  อยู่ที่จิตใจของตัวเราว่าเรามีความตั้งใจ  มีจุดมุ่งหมายที่จะทำสิ่งใด  ถ้าเราดำเนินชีวิตอย่างไม่มีลู่ทาง ไม่มีจุดมุ่งหมาย  ชีวิตดำเนินไปเราก็จะไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำไปนั้นทำไปเพื่ออะไร มุ่งหวังสิ่งใด ตอนนี้ได้มีโอกาสมารับฟังธรรมะต้องรู้ว่าจุดมุ่งหมายที่เราฟังธรรมะเพื่ออะไร  เมื่อรู้จุดมุ่งหมายแล้ว ดวงจิตที่เคยมีอยู่หนึ่งเดียวก็จะเป็นได้ดั่งท้องฟ้าเบื้องบนที่ไร้พันธนาการ  ถ้าจิตเราประคองได้เป็นหนึ่งเดียวไร้พันธนาการแล้ว  ก็จะรู้สึกสบายไม่มีทุกข์กังวล  และถ้าเมื่อไหร่ที่เมธีทุกท่านเกิดความรู้สึกวิตกกังวล  จิตใจของเมธีจะเปรียบได้กับฟ้าที่สดใสไหม (ไม่ได้) จิตใจตอนนั้นก็คงเปรียบได้กับฟ้าที่มีเมฆครึ้มมาบดบังนั่นเองใช่ไหม (ใช่)
"ครองกรัชกายบำเพ็ญอย่างชโลทร"  ชโลทรนี้ก็เปรียบได้กับน้ำ  ถ้าทุกคนปฏิบัติบำเพ็ญได้อย่างน้ำซึ่งมีคุณประโยชน์กับทุก ๆ คนและสรรพสิ่ง  น้ำนั้นอุทิศตนเพื่อหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง  ถ้าทุกคนสามารถประคองจิตหนึ่งเดียวได้และยึดร่างกายนี้บำเพ็ญอย่างน้ำ  อุทิศตนยินดีสละตนช่วยเหลือสรรพสิ่ง  สรรพสิ่งในที่นี้ที่เราสามารถช่วยได้ก็คือเพื่อนมนุษย์ทุกคน  เรายินดีสละตัวช่วยเขาโดยไม่หวังผลตอบแทน  และการที่จะช่วยผู้อื่นนั้นต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน  เพราะความอ่อนน้อมถ่อมตนของน้ำจึงทำให้สามารถไหลไปได้ทุกหนทุกแห่ง  ไม่ว่าที่นั้นจะคดเคี้ยว มีหินหรือมีสิ่งต่าง ๆ มากมาย  น้ำนั้นก็ยังสามารถไหลไปได้  แต่ถ้าน้ำนั้นกลายเป็นน้ำแข็งจะยังสามารถไหลไปยังที่ต่าง ๆ ได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าน้ำกลายเป็นน้ำแข็งเมื่อเจอของแข็งเหมือนกันสิ่งที่จะเกิดขึ้นคืออะไร  ถ้ากระทบแรงก็เกิดการแตกหักได้ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ว่าแรงหรือเบาก็เกิดการกระทบกระทั่งได้  แต่ถ้าเราเป็นดั่งน้ำที่อ่อนโยน  การกระทบกระทั่งก็จะไม่รุนแรง  เพราะเรารู้จักยอมรู้จักอ่อนน้อม  ในที่ ๆ ต่ำเราสามารถยินดียินยอมพร้อมกันไป   ที่ ๆ ไม่มีใครคนไหนอยากไปแล้วเราตั้งใจไปก็เป็นการช่วยเหลือผู้คนโดยไม่คิดเกี่ยงงอนโดยไม่ยึดติดกับสิ่งใดใช่ไหม (ใช่)
"หวนจิตย้อนส่องตนในประตู"  จริง ๆ แล้วพระอาทิตย์มีความร้อนมหาศาล แต่เวลาที่ส่องลงมายังโลกมนุษย์นั้นเกิดความร้อนเพียงเล็กน้อยเพราะว่าต้องผ่านชั้นบรรยากาศต่าง ๆ   ถ้าหากเรานำแสงอาทิตย์นี้มารวมกันขึ้นอีกครั้งหนึ่ง  แสงนั้นจะทำให้เกิดประกายไฟอันลุกโชนได้  เปรียบเหมือนกับจิตใจของทุก ๆ คนถ้าฟุ้งซ่านกระจัดกระจาย  ขณะนั่งฟังธรรมะแต่จิตใจคิดไปโน่นคิดไปนี่ไม่ได้รวมอยู่ที่ประตูแห่งจิตญาณ  จิตของทุก ๆ คนก็ไม่สามารถที่จะแรงกล้าได้  ไม่สามารถที่รับฟังธรรมะได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง  ฉะนั้นเมื่อพอเข้าใจบ้างแล้วจะต้องมีจิตใจที่มีลักษณะอย่างไร (เปรียบเป็นเช่นน้ำ) เปรียบเป็นเช่นน้ำแล้วรวมจิตเป็นหนึ่งใช่ไหม (ใช่) ฟังแล้วต้องคิดตาม คิดแล้วไตร่ตรอง ไตร่ตรองแล้วปฏิบัติ
"บำเพ็ญตนดั่งอุบลแม้อยู่ในคู" คูน้ำนั้นต้องมีคราบสกปรกใช่ไหม  แต่ทำไมดอกบัวที่เติบโตในคูจึงไม่มีคราบสกปรกเกาะอยู่  นั่นเป็นเพราะว่าดอกบัวไม่หมกมุ่นอยู่ในโคลนตม ถึงแม้ว่าโคลนตมนั้นจะสกปรกสกเพียงไรก็ไม่สามารถทำให้ดอกบัวเปรอะเปื้อนไปได้  เปรียบเหมือนกับคนที่ได้ตื่นในสัจธรรมแล้วรู้จักบำเพ็ญให้หลุดพ้นจากกองกิเลสนั่นเอง
"อวเคราะห์รู้คือบทเรียนสอนใจตน  กิเลสมากล้นที่รูปลักษณ์ให้สับสน"  อวเคราะห์นี้ก็คือความทุกข์ อุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น  เกิดจากเรายึดรูปลักษณ์ใช่ไหม (ใช่) รูปลักษณ์เกิดขึ้นมาได้จากไหน (ประสาทสัมผัสทั้ง ๕) เกิดจากอายตนะใช่ไหม  อายตนะคือหน้าต่างแห่งการรับรู้โดยมีจิตใจเป็นตัวควบคุม  จริง ๆ แล้วอุปสรรคนั้นเกิดจากการมองนอก  พอเข้าใจไหมว่าการมองนอกมองอย่างไร การมองนอกก็คือมองออกทุก ๆ ครั้งที่มีเรื่องก็มองออก  แต่ไม่ได้ย้อนกลับมองภายในจิตตน  เรามองออกในที่นี้ก็คือมองออกไปในโลกภายนอก ในมายา  ที่ทุกคนคิดว่าสามารถจะแก้ปัญหาได้ สามารถจะดับเคราะห์ได้ ดับอุปสรรคได้  แต่จริง ๆ แล้วอุปสรรคและเคราะห์ต่าง ๆ เกิดจากไหน (เกิดจากจิตใจของเรา ทำให้เกิดอุปสรรค)
"ยึดมั่นตนผู้สร้างใช่ทำลาย" ตัวเรานั้นกระทำได้อยู่สองอย่างคือ  เป็นผู้สร้างและผู้ทำลาย  การจะเป็นผู้สร้างได้นั้นก็ขึ้นอยู่กับจิตใจอีกเช่นกัน  จิตใจของทุกคนถ้าใสบริสุทธิ์ความคิดก็โลดแล่น  แต่ถ้าวุ่นวายสับสนความคิดก็หมองมัว  ฉะนั้นทุกคนอยากเป็นผู้สร้างสรรค์หรือเป็นผู้ทำลายสิ่งดีงาม  เป็นผู้สร้างสรรค์สิ่งดีงามจะต้องประคองจิตให้เป็นอย่างไร (มั่นคงในคุณความดีมีธรรมะในจิตใจ) ถ้ามั่นคงในคุณธรรมความดีก็จะมีธรรมะอยู่ในจิตใจ  แต่มั่นคงแล้วต้องรู้ด้วยว่าจะต้องไม่ยึดติด  มั่นคงก็คือเที่ยงตรงในจิตใจไม่ใช่ยึดมั่น
"หนึ่งจิตหมายบำเพ็ญคืนต้นธาร  อย่ารอนราญรุ่มร้อนในห้วงทุกข์"  บำเพ็ญคืนต้นธารก็คือกลับคืนบ้านเดิมนั่นเอง
"ตื่นจากฝันให้ตนในตนปลุก" ทุกคนเวลาหลับนอนบางทีตั้งนาฬิกาปลุกหรือเรียกให้คนอื่นปลุก  ถ้าจิตใจเราไม่อยากลุกไม่ว่าอะไรจะมาเรียกกายเราก็ลุกขึ้นไม่ได้ การมาศึกษาธรรมก็เพียงให้รู้ว่ามีวิถีทางที่จะปลุกตนเอง  แต่วิถีทางนั้นก็อยู่ที่ว่าเมธีทุกท่านพร้อมที่จะลุกขึ้นหรือเปล่าด้วย  ที่นี่เป็นเหมือนเรือธรรมที่คอยฉุดช่วยคน เรือจะแล่นได้ต้องประกอบไปด้วยผู้ที่คอยควบคุมดูแลเรือและผู้ที่คอยช่วยเหลือในการพายเรือใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราอยากเป็นหนึ่งในจำนวนผู้ที่อยู่ในเรือด้วยหรือเปล่า (อยาก)  เมื่ออยากเป็นก็เรียกว่าเริ่มมีจิตใจที่รู้สึกปลุกตัวเองขึ้นมาแล้ว  ตอนนี้เราก็เพียงบอกให้ทุกท่านรู้จักปลุกตนเอง  แต่จะลุกขึ้นหรือเปล่าก็อยู่ที่ทุก ๆ คนแล้วนะ
"แล้วเร่งรุดคืนสมบัติแท้ในตน" กายนี้ให้ยึดเพื่อใช้บำเพ็ญแต่จริง ๆ แล้วสมบัติที่เที่ยงแท้ที่ให้เราใช้บำเพ็ญนั่นคือส่วนไหน (จิตใจ)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้นักเรียนผู้ปฏิบัติงานธรรมร่วมตั้งชื่อเพลงซึ่งได้ชื่อว่า "ไม่เผลอใจ") การที่เรายืมทำนองเพลงในโลกมนุษย์ก็เพื่อให้ทุกคนได้กลับไปฝึกหัดและศึกษาเพลงธรรมได้  เรามีเวลาสอนไม่มาก  อยู่ที่ท่านจะนำไปศึกษาหรือไม่ วันนี้ศึกษาอะไรไปก็ขอให้ทบทวนให้ดี ๆ หลักธรรมมีมากมายก็ไม่สามารถสู้หนึ่งคำที่ว่า "รู้แจ้งหลุดพ้น" หรอกนะ




      วันอาทิตย์ที่ ๖ พฤศจิกายน  พุทธศักราช  ๒๕๓๗
ชะเง้อมองจับต้องมิใช่ของเรา                          อย่ามัวเมางมงายให้โศกศัลย์
พิจารณาไตร่ตรองแล้วเร่งหมั่น                       สิ่งอนันต์จะไม่ยากเกินพยายาม

      เราคือ
     พระอรหันต์จี้กงวิปลาสรับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาแฝงกายเคียมคัล
องค์มารดาผู้เมตตาถามศิษย์รักทุกคนสบายดีหรือเปล่า

      อย่าดูถูกตนเองให้ลำเค็ญ            ศิษย์น้อยเป็นหยดน้ำเปี่ยมพลัง
ศิษย์บำเพ็ญเทียมเท่าคู่ควรกำลัง      น้อยไม่ต่างคือน้ำสภาวะเดียว
อ่อนน้อมลงปฏิบัติออกจากใจ            ท้นอัตตารินไหลจึงอยากช่วย
เฉกจมน้ำมหาสมุทรท่วมตนด้วย        เสื่อมไม่ซายิ่งพวยพุ่งพิจารณา
ศิษย์ต่อสู้ฤดีด้วยบากบั่นสำเร็จ         คล้ายเร่งสลัดเมล็ดแห่งมุทินแพร่
เวลานานแรมสมานมิหลงแน่              แน่วโพ้นเคลื่อนเสมือนปลงเมื่อมนสิการ
ทางเส้นหนึ่งสร้างแน่สราญมุ่ง            หมายหลุดปมพร้อมผดุงธรรมเอื้อเฟื้อ
คลายเชือกออกทิ้งผิดถลำเมื่อ           พรัดเพื่อรู้ตรีสัตย์เจริญไกล
ในแววตาขังจิตธรรมไม่ส่อง                 แก้วจิตครองด้วยทรมานอาจารย์ไข
กระจ่างธรรมวันนี้ไม่หวั่นประกาย      แฝงม่านทึบภายในมั่นพุทธญาณ
ทุกช่วงจิตกระทำตนดีเจิดจ้า               สิงขรกลางคือทิพากรอันเรืองไสว
อรุโณทัยศิษย์รักเริ่มลงมือไว              ลงแรงใจสำเร็จได้นานับประการ
                                                                                                         ฮา  ฮา  หยุด



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงเมตตา

หลาย ๆ คนในที่นี้ยังมีพ่อแม่อยู่  ความกตัญญูที่พูดถึงนั้นแม้ว่าจะพูดจบไปแล้ว  แต่ว่าเราจะต้องกระทำต่อไปเรื่อย ๆ   เพราะเป็นเรื่องไม่รู้จบใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราทำอย่างไรก็จะได้อย่างนั้น  เราเองมีลูกถ้าลูกไม่กตัญญูต่อเรา  เราจะมีความสุขหรือเปล่า (ไม่มี) ฉะนั้นตอนนี้ใครที่ยังมีพ่อแม่อยู่ก็ต้องรู้จักกตัญญูเข้าใจไหม (เข้าใจ) ถ้ามีเพียงแต่ความเสียใจในวันนี้ไม่มีประโยชน์หรอกนะ
คนที่มีอายุมากอยู่บ้าน  อยากจะให้ลูกหลานกตัญญูต้องทำอย่างไร  สมมติว่าเราอยู่บ้านเอาแต่บ่นว่าเขา  เขาจะเชื่อฟังเราไหม  แต่ถ้าเราตามใจเขาหมดแล้วเขาเสียคนไป เขาก็จะว่าเราได้เช่นกัน อย่างนี้ต้องรู้จักพอเหมาะพอควรในการตักเตือนใช่ไหม
"ศิษย์น้อยเป็นหยดน้ำเปี่ยมพลัง" หยดน้ำก็เป็นเพียงน้ำที่มีขนาดเล็กมาก  หยดน้ำที่เปี่ยมพลังเป็นอย่างไร  น้ำในมหาสมุทรประกอบด้วยหยดน้ำเล็ก ๆ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าอย่างนั้นแล้วถ้าที่นี่สามัคคีกันที่นี่ก็สำเร็จได้  แล้วความสำเร็จนั้นจะยิ่งใหญ่กว่านี้ได้หรือเปล่า (ได้) คนที่ตอบว่าได้และเป็นคนที่อยู่ที่นี่ต่อไปก็ต้องทำให้ได้จริง ๆ   พระพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ล้วนแต่มีสัจจะ  ศิษย์รักของอาจารย์ก็ต้องมีสัจจะ  ถ้ามีสัจจะแล้วทุก ๆ อย่างก็สัมฤทธิ์ผล
"ศิษย์บำเพ็ญเทียมเท่าคู่ควรกำลัง  น้อยไม่ต่างคือน้ำสภาวะเดียว" ศิษย์รักบางคนบอกว่าตัวเองไม่มีความรู้และมีฐานะต่ำต้อย  แต่ที่จริงแล้วน้ำหยดเล็กหรือหยดใหญ่ น้ำในแก้วหรือน้ำอะไรก็เป็นน้ำที่มีพลังได้ใช่ไหม  เพียงแต่ว่าขอให้ศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนบำเพ็ญเท่ากับกำลังของตัวเองที่มีอยู่  คนที่มีกำลังมากก็ต้องจุนเจือคนที่มีกำลังน้อย  คนที่มีกำลังน้อยก็ทำเท่ากับความสามารถของตนเอง  แต่ถ้าหากเรากลัว ไม่ลงมือเลยสักนิดเดียวก็จะไม่มีอะไรเลยใช่ไหม (ใช่) ไม่มีอะไรในที่นี้คือไม่มีมรรคผลเลยนะ  ถึงแม้ว่าศิษย์จะไม่หวังว่าชาตินี้จะเกิดอะไรขึ้น  ชาตินี้จะมีมรรคผลอย่างไร  หรือว่าชาตินี้จะชำระหนี้กรรมได้มากเท่าไหร่  แต่ศิษย์รักทุกคนก็ควรที่จะออกแรงบ้างเข้าใจไหม
ทำไมอาจารย์จึงต้องบอกว่า  ให้อ่อนน้อมลง  เพราะว่าการที่เราจะบำเพ็ญธรรมหรือทำงานธรรมะสักอย่างหนึ่งแต่อัตตาตัวตนอยู่เต็มไปหมด  คำว่าอัตตานั้นถ้าเกิดเรายึดติดกับมันเราก็คงเหมือนกับคนที่จมอยู่ในมหาสมุทร  ช่วยตนเองและคนอื่นไม่ได้  ถ้าเราไม่สามารถที่จะให้ความอ่อนน้อมอย่างจริงใจแล้วเราก็จะไม่มีความสุข  สมมติว่าเราอยู่บ้านเป็นคนที่
ยิ่งใหญ่  มาถึงนี่เขาให้เราไปขัดห้องน้ำ  ถ้าเราตัดอัตตาตัวตนนี้ทิ้ง  เราก็คงไม่ใช่คนที่จมอยู่ในมหาสมุทรใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าเราอยู่บ้านเป็นคนที่ต้องขัดห้องน้ำมาถึงที่นี่เขาให้ขึ้นมาบรรยายธรรม เราก็ต้องรู้ว่าห้ามหยิ่ง ห้ามผยองเข้าใจไหม   ถึงแม้ว่าเราจะต่างชนชั้น ต่างหน้าที่  แต่ศิษย์ทุกคนก็เป็นหยดน้ำของอาจารย์ใช่ไหม (ใช่) ถ้าอาจารย์ไม่มีหยดน้ำหยดนี้หล่อเลี้ยงจิตใจ  อาจารย์ก็อยู่ไม่ได้  ภาระของอาจารย์ก็คงไม่สำเร็จ
จงพิจารณาว่าสองวันที่เรามามีประโยชน์อย่างไรไหม  สองวันนี้เห็นความจริงใจของคนที่มาช่วยงานหรือเปล่า  ศิษย์รักของอาจารย์ลองตรองดูว่า  การที่เขาเสียสละมามากมายขนาดนี้เพื่ออะไรรู้หรือเปล่า  เห็นความจริงใจของเขาที่เสียสละตัวเองมาเพื่อให้เราเข้าใจ  แล้วคิดว่าเป็นความจริงใจที่เพียงพอหรือเปล่า  ถ้าเพียงพอแล้วต่อไปเราควรจะทำอย่างไร
อาจารย์จะบอกให้นะ สิ่งที่เราควรจะทำก่อนก็คือตั้งใจศึกษา พิจารณาดูว่าที่เราจะยึดถือต่อไปนี้นั้นเราพอใจหรือเปล่า  และช่วยเราได้จริง ๆ หรือเปล่า  อาจารย์ไม่ได้สอนให้ศิษย์งมงาย  แต่อาจารย์กล้าบอกว่าให้ศิษย์ทุกคนลองตั้งใจศึกษาดูนะ  อาจารย์อาวุโสที่มาที่นี่ก็ไม่ได้มาหลอกเอาเงินทองของเรา  เมื่อรู้อย่างนี้แล้วควรตั้งใจศึกษา  ถ้าคิดว่าดีขอให้ศิษย์พยายามเวลาไม่รอศิษย์นะเข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)
"คล้ายเร่งสลัดเมล็ดแห่งมุทินแพร่" ถ้าหากศิษย์บากบั่นให้สำเร็จแล้ว  เมล็ดแห่งมุทินก็คือเมล็ดแห่งตัณหากิเลสต่าง ๆ ก็คงไม่แพร่ไปทำให้ศิษย์หลงใช่ไหม  แล้วศิษย์ลองพิจารณาดูว่าตอนนี้เมล็ดมุทินชนิดไหนบ้างที่อยู่ในตัวศิษย์ก็ขอให้เร่งสลัดทิ้ง  ถึงแม้มันจะออกต้น ออกดอกและออกผลแล้ว  เราก็ต้องขุดมันทิ้ง  ยิ่งนานวันเมล็ดพันธุ์แห่งมุทินก็ยิ่งแพร่ไป  ขอเพียงความตั้งใจจริงก็จะสามารถขจัดมันทิ้งได้
บนนิพพานจะว่าสุขก็ไม่สุข  จะว่าทุกข์ก็ไม่ทุกข์  เพียงแต่ว่าไม่ต้องลงมาเวียนว่ายตายเกิด  มารับเคราะห์กรรม อยากไปไหม (อยาก) อยากไปแต่ไม่อยากตาย  ถ้ายังไม่อยากตายอีกร้อยปีถ้าไม่ตาย อยากไปแต่ไปไม่ได้แล้วจะทำอย่างไร  ตอนนั้นจะกลัวไหม  ตอนนี้ยังไม่ตายก็ต้องบำเพ็ญสะสมบุญกุศลใช่ไหม  ถ้าหากอยากไปแล้วไปไม่ได้ อยากอยู่ก็อยู่ไม่ได้  ตอนนั้นศิษย์จะทุกข์ทรมานแค่ไหน
วันนี้นักเรียนน้อยอาจารย์จะแจกผลไม้ให้ครบทุกคน ผลไม้นี้เปรียบเสมือนมรรคผลที่ศิษย์จะได้รับ  แต่ว่าศิษย์จะได้รับหรือไม่ขึ้นอยู่กับตัวของศิษย์เองว่าได้พยายามบากบั่นมากแค่ไหน ถ้าทุกคนเข้าใจธรรมะแล้วต่อไปนี้ก็ต้องลงมือลงแรงปฏิบัติ  แล้วมรรคผลก็จะเป็นของเรา  การที่จะพายเรือธรรมลำนี้  ก็ต้องอาศัยความสามัคคี ความบากบั่น  การที่จะให้สัมฤทธิ์ผลก็ต้องสามัคคีกัน  คนที่ลงแรงก็ลงแรงไปมากมาย  คนที่ไม่ลงแรงก็เพราะกลัวลำบาก ถ้าเราลงแรงเราก็จะเข้าใจในธรรมะ  ถ้าต่อแต่นี้ตั้งใจในการฉุดช่วยคนและส่งเสริมคน งานประชุมธรรมก็จะมีความหมายเข้าใจไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ดูแลสถานธรรมออกมา) คนที่ดูแลที่นี่อาจารย์เองไม่ได้ตำหนิศิษย์ที่ทำแล้วเป็นอย่างนี้  ถึงแม้ว่าจะลงแรงเพียงคนกลุ่มเดียวและขึ้นมาได้เท่านี้  แต่ถ้าเรานำพาคนไปเรื่อย ๆ ก็จะขึ้นมาได้มากกว่านี้  จะต้องตามอาจารย์ผู้เป็นผู้นำ  เชื่อฟังเขา มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ส่งเสริมคนให้ดี  คนที่อยู่ที่นี่สำคัญยิ่งกว่าอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม  เพราะว่าคนที่อยู่ที่นี่เท่านั้นจึงจะสามารถลงแรงได้เต็มที่  นักเรียนที่นี่ทุกคนเห็นความจริงใจของเขาหรือเปล่า  แล้วต่อไปนี้จะเต็มใจช่วยเขาหรือเปล่า (ช่วย) ถึงแม้ว่าตอนนี้ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะออกมาช่วยได้หรือเปล่า  ขอเพียงแต่ค่อย ๆ ที่จะช่วยเขา  ตอนนี้ไม่เข้าใจไม่เป็นไรค่อย ๆ ศึกษา  พวกเขานั้นล้วนเต็มใจที่จะลงแรงให้ศิษย์รักทุกคนเข้าใจแน่นอน  แต่ถ้าหากว่าการลงแรงหลังจากวันนี้ไปแล้ว  ไม่มีผลคืบหน้าแล้วล่ะก็ถือว่าแรงที่เขาลงไปสูญเปล่านะ  และเขาจะเสียใจยิ่งกว่านี้แน่นอน เข้าใจไหม (เข้าใจ) ผู้ชายถึงแม้มีน้อยก็ต้องร่วมมือสามัคคีกัน เข้าใจหรือเปล่า
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า "ลงมือ" "สำเร็จ") วันนี้ที่อาจารย์ไม่ได้ให้ศิษย์รักออกมาวงพระโอวาทเพราะเห็นว่าศิษย์รักอายุมากแล้วออกมาไม่สะดวก  ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญ  เวลาผ่านไปร่างกายของเราย่อมล้าลงก็เป็นอุปสรรคในการบำเพ็ญเหมือนกัน
ถ้าศิษย์ลงมือเมื่อไหร่ก็จะสำเร็จ  เมื่ออาจารย์ไปแล้วก็อธิบายโอวาทให้นักเรียนฟังด้วย  อาจารย์มีเวลาน้อยที่มาพบศิษย์รัก  กายเนื้อนี้ไม่ใช่ของอาจารย์  อาจารย์ไม่สามารถอยู่นานได้  พูดอะไรก็พูดไม่ออกทุก ๆ อย่างล้วนอยู่ในใจ  คนที่เข้าใจก็มีน้อย  หลังจากวันนี้ไปแล้วขอให้หมั่นมาที่สถานธรรม  คนที่รับผิดชอบก็รับผิดชอบให้ดี ๆ  คนที่ไม่เข้าใจขอให้เร่งศึกษา  คนที่ลังเลก็ให้ตัดความลังเลทิ้งไปจะได้บำเพ็ญธรรมอย่างมีความสุข  อายุแม้จะต่างกันแต่การบำเพ็ญธรรมไม่สำคัญเรื่องอายุ
อาจารย์ขอบคุณศิษย์รักทุกคนที่ได้เสียสละเวลามาในวันนี้  อาจารย์ลาก่อนนะ


อธิบายศัพท์
กรัชกายร่างกาย
ชโลทรแม่น้ำ , ทะเล , ห้วงน้ำ , ท้องน้ำ
อวเคราะห์          อุปสรรค , เครื่องกีดขวาง , ความเหนี่ยวรั้ง
มนสิการการกำหนดไว้ในใจ
พรัดพรากออกจากกัน
ตรีสัตย์ความจริง ๓ ประการ คือ คิดจริง พูดจริง ทำจริง

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา