วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2561

2561-06-30 สถานธรรมฉือเหริน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช

西元二○一八年歲次戊戌五月十七日                                                                                      仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑               สถานธรรมฉือเหริน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา

  เรื่องในหัวธรรมในใจสารพัน           เท็จจริงเป็นตามอำนาจแห่งคติ
คนในโลกล้วนมากมีคติ                          รู้เช่นนี้ต้องรีบกำราบใจ
                                เราคือ                                                                             
  ศิษย์พี่นาจา                          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา                      ถามศิษย์น้องทุกคนหายง่วงหรือยัง

  ทบทวนตนมากกว่าโทษใครผิด         คนรู้ผิดปัญหาจึงแก้ได้
คนแกล้วกล้าหน้าที่คือวินัย              ยอมแก้ไขจึงก้าวหน้าชี้ที่พลาด
ข้อบกพร่องให้เตือนตนพัฒนาดู          ไขทุกข้อรู้รู้ไม่ประมาท
ยอมให้สอนทุกข์เตือนมิตรปรามาส[1]     คนฉลาดดูแต่สิ่งมีคุณ
การมองที่ย้อนไปได้อะไร                 เพื่อเข้าใจว่าชีวิตต้องยืดหยุ่น
เมื่อสนิทไม่รู้เกรงใจกลายวุ่น             มีความห่างอาจสมดุลสัมพันธ์ดี
คนรู้คนจริงอะไรอะไรจริง                รู้จักจริงรู้จักตนเรียนเรื่องนี้
บำเพ็ญไม่หยุดนิ่งการทำดี                หมู่คนดีอยู่รู้เคารพกัน
ธรรมพร้อมไหนเที่ยวทุกข์และสับสน        งดฝึกฝนยิ่งทุกข์หลายสถาน
บัณฑิตงามหลงตนยิ่งน่าสงสาร          อย่ายิ่งทุกข์พลาดสวรรค์ชีวิตจริง
                                                                                                 ฮิ ฮิ หยุด



[1] ปรามาส : ดูถูก, ดูหมิ่น

พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
ท่านมาฟังธรรมหรือมาปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมคือต้องมีสติ รู้เท่าทันความคิด และสามารถนำพาชีวิตให้ก่อเกิดปัญญาและเข้าถึงความบริสุทธิ์ นั่นแหละเรียกว่าฟังธรรมด้วยปฏิบัติธรรมด้วย แต่เราฟังอย่างเดียวใช่ไหม (ใช่)  ปฏิบัติธรรมคือมีสติ รู้เท่าทันความคิดและสามารถยับยั้งอารมณ์นิสัยตน จนก่อเกิดปัญญาเห็นแจ้ง เข้าถึงความบริสุทธิ์สงบเย็นใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอย่ามองว่าการปฏิบัติธรรมคือต้องนั่งสมาธิอย่างเดียว หรือต้องเดินจงกลม หรือแค่ใส่บาตรทำบุญถวายสังฆทาน แต่เราสามารถปฏิบัติธรรมได้ทุกที่ ถ้าทุกขณะที่เราทำงาน เรามีสติ เรามีความบริสุทธิ์ใจ เรามีความแจ่มชัด เราไม่มีอารมณ์หรือนิสัยความเคยชินเป็นใหญ่ อยู่ที่ไหนเราก็ปฏิบัติธรรมได้ จริงไหม (จริง)
เราอยู่ร่วมกับคนเราปฏิบัติธรรม หรือปฏิบัติต่อกันด้วยนิสัยและอารมณ์ ถ้าอยู่กับเขาด้วยคุณธรรม ปฏิบัติต่อเขาด้วยการมีธรรม ปฏิบัติต่อเขาด้วยการให้ธรรม นั่นคือ อยู่ที่ไหนเราก็ปฏิบัติธรรมได้ อยู่กับใครเราก็สร้างบุญให้ธรรมได้ แล้วเราเป็นประเภทไหน เราเป็นประเภทปฏิบัติธรรมหรือปฏิบัติตามอารมณ์ตามใจ ถ้าเราปฏิบัติตามอารมณ์ตามใจ สิ่งที่เราได้คือนิสัยความเป็นตัวตน แต่ถ้าเราปฏิบัติธรรม สิ่งที่เราได้ก็คือธรรมและธรรม นั่นก็คือความสงบและร่มเย็นใจ แต่ทำไมปฏิบัติกับใครแล้วมีแต่ความร้อน ไม่เย็นเลย เหมือนเราถามผู้ปฏิบัติงานธรรม มาทำงานธรรมหรือมาปฏิบัติธรรม (ปฏิบัติธรรม)  มาทำอะไรตามใจตัวเองหรือมาขัดเกลาใจตัวเอง (ขัดเกลาใจตัวเอง)  ปฏิบัติธรรมคือการลดละนิสัย กิเลส อัตตา ความเคยชินให้เบาบาง ถูกไหม แต่ถ้ายังนั่งแล้วนิสัยยังพอกพูน เหนื่อยแล้ว ไม่ไหวแล้ว อยากกลับ อย่างนี้แปลว่าไม่ได้ปฏิบัติเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าฟังแล้วเข้าใจ ใจเย็น สงบ ขอบคุณ อนุโมทนาบุญ นั่นคือการปฏิบัติธรรม
ท่านชอบทำบุญไม่ใช่หรือ ใครพูดดีแล้วเราอนุโมทนาบุญด้วยก็เป็นบุญถูกไหม (ถูก)  ถ้าช่วงที่อนุโมทนาบุญยังรู้จักอุทิศบุญ ขอให้บุญแห่งการเข้าใจธรรมนี้แผ่ไปยังทุกคน แผ่ไปยังวิญญาณทั้งหลาย แผ่ไปยังสรรพสิ่งทั้งหลาย ขอให้เขามีใจที่สงบเย็นเหมือนข้าพเจ้าตอนนี้ ฉะนั้นทุกที่ทุกขณะเราสร้างบุญได้ ทุกที่ทุกคนเราปฏิบัติธรรมได้ แล้วท่านชอบคนลำเอียงไหม (ไม่ชอบ)  ชอบคนปากว่าตาขยิบไหม (ไม่)  ชอบคนปากหวานก้นเปรี้ยวไหม (ไม่)  ชอบคนที่ดีจริงๆ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นเราเป็นคนที่ทำดีกับพระ แต่กับคนเราไม่ทำใช่ไหม (ไม่ใช่)  เราทำบุญแต่กับพระแต่กับคนเราไม่ให้บุญเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)
ฉะนั้นต้องเข้าใจการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เป็นการแสดงออกเพียงภายนอก แต่การปฏิบัติธรรมต้องมีทั้งภายนอกและภายใน ภายนอกปฏิบัติ ภายในก็มีสติรู้เท่าทัน และเห็นแจ้งในความเป็นจริงจนเกิดปัญญา นำพาชีวิตพบความสงบ ถูกไหม (ถูก)  เคยได้ยินบ้างไหม เพราะจุดใหญ่ของการปฏิบัติคือพบความสงบเย็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  สุดท้ายคือทุกขณะที่ทำมีความสงบเย็นและถึงที่สุดก็พบความสงบเย็น หลักในการปฏิบัติธรรมก็มีแค่นี้ คือทำอะไรก็ตามทำแล้วให้เรามีความสงบเย็น ฉะนั้นถ้าเราสามารถปฏิบัติธรรมด้วยการฟังไปอย่างมีสติรู้เท่าทัน เกิดปัญญามองเห็นความจริง และนำพาชีวิตกลับคืนความบริสุทธิ์สงบเย็น นั่นก็คือฟังธรรมด้วยปฏิบัติธรรมลงแรงที่ใจด้วย  ยากไหม (ไม่ยาก)  ทำได้ไหม (ทำได้)
ใจเป็นต้นธารของความรู้ เมื่อเรามีใจบริสุทธิ์ ความรู้ก็แจ่มชัด  และความรู้ก็เป็นหลักสำคัญหนึ่งของหัวใจ  ถ้ารู้อย่างแจ่มชัดแล้วไร้อคติ หัวใจก็จะสงบ หรือพูดง่ายๆ ตามที่มนุษย์พูดกันคือเราเป็นตามสิ่งที่เราคิด เราเป็นตามสิ่งที่เราเชื่อ และเราก็ต้องได้รับผลของสิ่งที่เรากระทำ ฉะนั้นตัวคนจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่ที่ว่าเราคิดเราเชื่อและเรารู้สึกอย่างไร เหมือนตอนนี้ เราบอกว่าเราไม่ชอบท่าน เมื่อคิดไม่ชอบ มองยังไงก็ไม่ชอบ ปัญหาอยู่ที่ท่านหรืออยู่ที่เรา ฉะนั้นไม่ว่าท่านจะยิ้มสวยงามขนาดไหน ยิ้มน่ารักขนาดไหน ถ้าใจเราไม่ชอบ ยังไงก็ไม่ชอบใช่ไหม (ใช่)  ยังไงก็ (ไม่ดี)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนกัน ถ้าตอนนี้ใจเรากำลังสบายใจเรากำลังรู้สึกดี มองอะไรมันก็ (ดี)  ใช่หรือไม่ ฉะนั้นที่เขาไม่ดีเพราะใจเราไม่ดีหรือเขาไม่ดี (ใจเราไม่ดี)  จริงหรือ เห็นถึงเวลาโทษเขาไม่โทษใจเรา ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าใจเราบริสุทธิ์ เหมือนเราตอนนี้ ถ้าใจท่านสบายใจ มองอะไรมันก็ดูสบายไปหมด ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าตอนนี้ท่านอารมณ์ไม่ดี  ใครพูดอะไรก็ไม่ดีหมด แต่ถ้าตอนนี้ท่านสบายใจ เขาพูดไม่ดีท่านก็ยังรู้สึก (ดี) ไม่เป็นไร ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าท่านรู้สึกไม่ดี แล้วใครพูดดี ท่านก็บอกมีอะไรหรือเปล่า จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นโลกจะเป็นอย่างไร ชีวิตเราจะเป็นอย่างไรอย่าได้โทษฟ้า อย่าได้โทษดิน อย่าได้ก่นว่าผู้คน จงหันกลับมาถามใจตนว่าคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร จึงว่าเขาเป็นเช่นนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้นั่งสบายหรือไม่สบาย (สบาย)  รีบพูดทันทีเลย กลัวบอกว่าไม่สบายเพราะใจท่านมีปัญหา ใช่หรือไม่ (ใช่)
การแต่งตัวก็มีอิทธิพลต่อจิตใจนะ จริงไหม (จริง)  ลองแต่งตัวแบบใส่ชุดทหารสิ ใจมันรู้สึกฮึกเหิม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผู้ชายลองแอบใส่กระโปรงสิ ใจมันรู้สึกตุ้งติ้งทันทีเลย ฉะนั้นอย่าพูดว่าการแต่งตัวไม่มีผลต่อจิตใจ ก็มีผลเหมือนกัน ถูกหรือไม่ (ถูก)  เราแต่งตัวสุภาพก็มองดูสุภาพน่าเคารพ เราแต่งตัวล่อแหลมก็มองดูไม่น่าดู ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าจิตบริสุทธิ์ความรู้ก็แจ่มชัดใช่หรือไม่ (ใช่)  ความรู้ก็เป็นหลักสำคัญของหัวใจ ถ้ารู้อย่างชัดเจนไร้อคติ ใจนั้นก็จะสงบสุขถูกหรือไม่ (ถูก)  หรือที่พูดง่ายๆ ว่าเราเป็นไปตามสิ่งที่เราคิด และเราต้องรับสิ่งที่เราทำ เพราะเราเป็นคนสร้างใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือเราเป็นไปตามสิ่งที่เราเชื่อ เราคิดเราเชื่ออย่างไร เราก็เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นชีวิตของเรา หนึ่งมาจากพ่อแม่ แต่อีกหนึ่งที่จะเป็นไป และเป็นอย่างไร ล้วนเกิดมาจากความรู้ ความคิด ความเข้าใจแห่งตัวตนถูกหรือไม่ (ถูก)  ตัวตนเป็นอย่างไร ก็ดูที่ความคิด ชีวิตเราจะเป็นอย่างไร ก็อยู่ที่วันนี้เราทำอะไรใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า “อยากรู้ว่าเมื่อก่อนทำอะไร ให้ดูปัจจุบัน อยากรู้ว่าอนาคตเป็นอย่างไร ให้ดูการกระทำปัจจุบัน”  ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากรู้อดีตเราทำอะไรมา ให้ดูผลของปัจจุบันที่เราได้รับใช่หรือไม่ (ใช่)  และอยากรู้ว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ก็ดูวันนี้เราทำเช่นไรใช่หรือเปล่า (ใช่)
มนุษย์ทุกคนอยากทุกข์หรือเปล่า (ไม่อยาก)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ถ้าไม่อยากทุกข์ก็จงอย่าทำบาปทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง เพราะบาปมีผลคือความทุกข์ และน่ากลัวที่สุดยิ่งกว่าทุกข์ก็คือ การเวียนว่ายรับผลแห่งการกระทำของตน ที่เรียกว่า วัฏสงสาร ถ้าเราไม่อยากรับทุกข์ เราก็อย่าทำบาปและรากเหง้าของบาปคือ โลภ โกรธ หลง การยึดติดตัวตน ตัณหา อบายมุข ราคะ กิเลสทั้งหลาย
ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์จงอย่าสร้าง (บาป) ถ้าไม่อยากทุกข์ก็อย่าตกเป็นทาสของกิเลส อารมณ์ ความยึดติดตัวตนใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ตัวท่านเอง อย่างที่เราบอกตั้งแต่ต้น ใครทำอะไรก็ต้องได้อย่างนั้น เพราะโลกนี้เป็นโลกของเหตุและผล ถ้าเราไม่สร้างเหตุ เราจะได้รับผลไหม (ไม่)  ถ้าเราไม่ทำผิด เราจะได้รับทุกข์ไหม (ไม่)
ในโลกนี้สิ่งที่เราเชื่อมักเป็นอย่างที่เราคิดเสมอไหม (ไม่)  คนไม่ดี ไม่ดีตลอดใช่ไหม (ไม่ใช่)  คนดี ดีตลอดใช่ไหม (ไม่ใช่)  ฉะนั้นเวลาเจอคนไม่ดีเราควรโกรธไหม (ไม่ควร)  ควรด่าไหม (ไม่ควร)  แล้วเวลาเจอคนดี เราควรหลงไหม (ไม่หลง)  ถ้าเราคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอย่างที่เราคิด การดำเนินชีวิตก็อาจจะผิดพลาดได้เพราะหลายครั้งสิ่งที่เห็นอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราเข้าใจ ถูกไหม เหมือนวันนี้เราชนะ พรุ่งนี้เราชนะไหม หรือต่อไปเราจะชนะไหม (ไม่)  มีชนะก็มีแพ้ มีดีก็มีไม่ดี ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจว่าในโลกของความเป็นจริงนั้นเปลี่ยนแปลงได้ เรารู้ว่าในคนไม่ดี อาจจะดีได้ เราจะเกลียดไหม (ไม่เกลียด)  เมื่อไม่เกลียดเราจะบาปไหม (ไม่บาป)  เมื่อไม่บาปเราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  แล้วตอนนี้เราเกลียด เราบาป เราทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ท่านต้องระวังก็คือ เมื่อศึกษาธรรมอย่าให้ความคิดความเข้าใจมาบดบังความจริงเพราะความจริงทำให้เราเห็นธรรมและพ้นทุกข์ แต่ถ้าเราเอาแต่ความคิดจนไม่มองความจริง จะทำให้เราไม่มีวันพบธรรมและพ้นทุกข์ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นทำอย่างไรที่เราจะสามารถมองเห็นความจริงมากกว่าสิ่งที่เราคิดและเข้าใจ ถูกไหม (ถูก)  ก่อนจะโทษคนอื่นต้องหัดมามองดูตัวเรา ทำอย่างไรที่จะไม่ปล่อยให้ความคิดมาครอบงำเราจนลืมมองความเป็นจริง เพราะส่วนใหญ่มนุษย์มักจะยึดติดความคิดความเข้าใจ จนทำให้เรามองไม่เห็นความเป็นจริงที่เรียกว่าธรรมะ ถ้าอย่างนั้นเรามาดูกันว่าอะไรมาบดบังจนทำให้เรามองไม่เห็น
ถามลึกๆ  ในตัวตนคนมีความเป็นจริงที่เหมือนๆ กันอยู่ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นในโลกก็เหมือนกัน ดูอาจจะร้าย แต่ดี ดูเหมือนดีจริงๆ แอบร้าย ใช่ไหม (ใช่)  เรานี่แหละเป็นเลยจริงไหม
ถ้าอย่างนั้นเรามาดูว่าอะไรบดบังจนทำให้เราไม่สามารถมองเห็นความจริงและตื่นรู้ในความจริงจนเกิดปัญญาแจ่มแจ้งได้ วิสัยของมนุษย์ที่เหมือนๆ กัน

ข้อแรก ว่าไม่ได้ ผิดไม่ได้ จริงไหม ลองโดนว่าซิ เธอนะไม่ดี รับไหม ไม่รับเสียงสูงเลยใช่ไหม ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ขวางกั้นทำให้เรามองไม่เห็นความจริงคือผิดไม่เป็น ว่าไม่ได้ ร้ายไม่ได้ ใช่ไหม
อย่างที่สอง ยอมไม่เป็น ถ้าคนที่เราบอกว่าเขาไม่ดี มันไม่ดี แต่จริงๆ แล้วเขามีดีอยู่ แต่ถึงเวลาพอเขาไม่ดีกับเรา เรายอมไหม (ไม่ยอม)  เมื่อไม่ยอมเราก็เลยไม่สามารถปฏิบัติกับเขาด้วยธรรมได้ นี่แหละยอมไม่เป็น  เมื่อยอมไม่เป็น ให้ก่อนเป็นไหม (ไม่เป็น )
ข้อสาม ให้ก่อนไม่ได้ เธอไม่ดีกับฉันก่อนแล้วทำไมฉันต้องดีกับเธอก่อน เธอไม่เคยให้อะไรฉันเลยทำไมฉันต้องให้เธอก่อน ถูกไหม (ถูก)  แล้วเราเป็นอย่างนั้นใช่ไหม แล้วเมื่อเป็นอย่างนั้นเราจะสามารถทำดีกับใครได้ไหม แล้วเราจะปฏิบัติธรรมได้ไหม แล้วเราจะมองเห็นความจริงไหม
ฉะนั้นสิ่งเลวร้ายที่ขวางกั้นทำให้มนุษย์ไม่สามารถเข้าถึงความจริงและมองเห็นธรรมะได้ คือ นิสัยความเป็นคนของเราที่ง่ายที่จะไหลลงต่ำ คือ ว่าไม่ได้ ผิดไม่ได้ ยอมไม่ได้ ให้ไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อเราทำตรงนี้ไม่ได้ จะปฏิบัติธรรมกับใครไม่ได้ เมื่อเราปฏิบัติธรรมกับใครไม่ได้ แล้วจะมองเห็นความเป็นจริงในโลกได้หรือ ถ้าว่าได้ ผิดได้ ก็ดีขึ้นได้ แต่ถ้าว่าไม่ได้ ผิดไม่ได้ ก็ไม่มีวันเป็นคนดีได้ ใช่หรือไม่ ทะเลยิ่งใหญ่เพราะกล้ารองรับทุกสรรพสิ่ง น้ำเล็กกระจ้อยร่อยเพราะไม่เคยคิดรองรับสิ่งใด ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่ปิดกั้นตนไม่เคยรับฟังคำพูดใครและไม่เคยเปลี่ยนแปลงนิสัยใจตน สักวันหนึ่งจะต้องกลายเป็นน้ำเน่าที่ไร้ใครอยากใกล้ชิด และรากฐานของการเป็นคนที่ดีและสามารถปฏิบัติธรรมได้ก็คือต้องยอมให้เป็น และต้องให้ก่อนให้ได้ เขาด่าเราแต่เราอดทน เรายอม เราให้ความเมตตากลับ อยู่ในโลกนี้เราไปเอาก่อนแล้วค่อยให้หรือให้ก่อนแล้วค่อยเอา ไปทำร้ายเขาแล้วค่อยมาทำดีตอบ แก้กันได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าเป็นอย่างนั้นสู้ไปเอามาน้อยๆ แล้วให้เยอะๆ อย่างไหนดีกว่ากัน หรือไม่เอาเลย คนดีจริงต้องให้ก่อน และเมื่อให้จนถึงที่สุดมีหรือจะไม่ได้ มีแต่ไปเอาจนถึงที่สุด แล้ววันไหนจะได้ ฉะนั้นถ้าเกิดท่านไม่สามารถเอาชนะใจที่ไหลลงต่ำอย่างนี้ได้ ท่านก็ไม่มีวันเป็นคนดี และเข้าถึงธรรมได้ จริงไหม (จริง)  ทำได้ไหม (ได้)  เมื่อท่านยังปล่อยตัวเองเป็นแบบนี้ท่านก็เลยอดตัดพ้อต่อว่าไม่ได้ว่า ทำไมเขาไม่เมตตาฉัน
พื้นฐานของความเป็นจริงของคน
อันดับที่ ๑ มีเมตตา ทำไมเขาไม่เมตตา แต่เราลืมเมตตากับเขา และลืมเมตตากับตัวเอง 
อันดับที่ ๒ มีมโนธรรม ทำไมเขาไม่มีมโนธรรมสำนึกเลย ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเลย แล้วตัวเราเองล่ะ
อันดับที่ ๓ มีจริยธรรม ทำไมทำตัวไม่น่ารักเลย แล้วตัวเองน่ารักไหม เป็นผู้ใหญ่เสียเปล่า พูดได้แต่ทำ (ไม่ได้)
อันดับที่ ๔ มีสัตยธรรม  พูดแล้วได้อย่างที่พูดไหม พูดแล้วไม่เห็นทำได้เลย ขี้โม้เสียเปล่า และเมื่อถึงที่สุด
อันดับที่ ๕ มีปัญญา แต่ถ้าเมื่อไรท่านว่าได้ ท่านผิดได้ ท่านยอมได้ ท่านให้ได้ทั้งเมตตาธรรม มโนธรรม จริยธรรม สัตยธรรม และปัญญาธรรม สิ่งเหล่านี้ก็จะมาโดยไม่ต้องมีการบังคับเลยจริงไหม (จริง)  ให้ได้ก็เมตตาได้ ยอมได้ก็มีมโนธรรมได้ ผิดได้ก็มีสัตยธรรมได้ ยอมได้ ผิดได้ ให้ได้ก็มีปัญญาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้ายอมไม่ได้ ผิดไม่ได้ ให้ไม่ได้ ว่าไม่ได้ แบบนี้เรียกว่าไม่มีสิ่งเหล่านั้นเลย เข้าใจไหม ฉะนั้นอยากละบาป โลภ โกรธ หลง ยังเป็นกิเลสอย่างหยาบ แต่บาปที่เกิดจากการยอมไม่ได้ ผิดไม่ได้ ให้ไม่ได้ ว่าไม่ได้ แล้วหวังว่าทุกสิ่งต้องเป็นอย่างใจ นั่นแหละที่เป็นกิเลสที่เป็นแก่นแท้ในใจของเรา แก่นแท้ของเรามันมีอยู่ ๒ แก่น หนึ่ง คือแก่นที่ไม่ดี กับ สอง คือแก่นที่ดี ลึกๆ ชอบคนเมตตาไหม (ชอบ)  ชอบคนที่เคารพให้เกียรติไหม (ชอบ)  ชอบคนพูดได้ทำได้ไหม (ชอบ)  ชอบคนมีปัญญาดีไหม (ชอบ)  แล้วเรามีชีวิตอยู่ อยู่กับคนโง่หรือคนฉลาด (ฉลาด)  อย่างนั้นหรือ เห็นเลือกคนโง่ เพื่อที่จะกดขี่ และว่าได้ ใช่ไหม คนที่เลือกเพื่อนโง่กว่า นั่นแหละเรียกว่าคนโง่ที่สุดแล้ว จริงไหม (จริง)  ถ้าอย่างนั้นลองหันกลับไปดูนะ ว่าเราโง่หรือเราฉลาด ดูที่เพื่อนเรา
(ศิษย์พี่พระนาจาเมตตาให้เขียนบนกระดานว่า)
สิ่งที่ควรละ  { ละบาป }   ได้แก่
1. ผิดไม่ได้ ว่าไม่ได้
2. ยอมไม่เป็น
3. ให้ก่อนไม่ได้                   
4. ตามใจ ตามอารมณ์
สิ่งที่ควรมี  { บำเพ็ญบุญ  }   ได้แก่
1. ต้องมีเมตตาธรรม
2. ต้องมีมโนธรรม
3. ต้องมีจริยธรรม
4. ต้องมีสัตยธรรม
5. ต้องมีปัญญาธรรม

ถ้าสิ่งนี้ท่านละได้ สิ่งนี้ท่านก็มีได้ ถ้าสิ่งนี้ท่านทำได้สิ่งนี้ท่านก็ไม่ต้องพยายาม มันก็มีขึ้นเอง จริงไหม (จริง) แล้วเราเป็นแบบนี้ไหม ดังที่พระพุทธะสอนไว้ ท่านเป็นคนนับถือศาสนาพุทธถูกไหม “ละบาปก็บำเพ็ญบุญ”  เมื่อละบาปบำเพ็ญบุญ ก็สามารถเข้าถึงความบริสุทธิ์ มันยังมีแก่นธรรมของความเป็นจริงอีกแก่นหนึ่งคือ นอกจากเห็นสิ่งที่ต้องละและสิ่งที่ต้องปรากฏให้มี ยังมีอีกอย่างหนึ่งคือ ถ้าทำสองสิ่งนี้ได้ และเข้าใจความจริงแห่งโลกอีกสิ่งหนึ่ง จะสามารถเกิดปัญญา และเข้าถึงความบริสุทธิ์ที่เรียกว่า “สภาวธรรม” ยากไหม (ไม่ยาก)  ถ้าอย่างนั้นตั้งใจฟังก่อนนะ หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมเราถึงต้องศึกษา ปฏิบัติบำเพ็ญธรรมใช่ไหม (ใช่)  แค่นี้ก็เอาตัวไม่รอดแล้วใช่ไหม แค่นี้ก็ทุกข์แล้วใช่หรือไม่ แต่การเลือกทำในสิ่งที่ถูก ผลจะนำพามาให้ทุกขณะที่ทำมีความสุข แต่ถ้าเราเลือกทำสิ่งที่เรียกว่า กิเลส อารมณ์ ผลที่ตามมาคือจุดไฟเผาตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขึ้นชื่อว่าธรรมคือชื่อแห่งความสงบสุข ขึ้นชื่อว่ากิเลส คือชื่อของความทุกข์และความเผาร้อนจิตใจตนใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าทำไมต้องเป็นคนดี เป็นคนดีเหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  ทำดีโดยไม่หวังผล เข้าใจจุดประสงค์ของการทำดีไม่มีวันเหนื่อย แต่ถ้าทำดีแบบยึดติดว่า ไม่ยอม ไม่ได้ ฉันต้องได้ ฉันต้องอย่างนี้ ทำไปแล้วจะเหนื่อยใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนนั่งฟังไปแล้วเหนื่อยใช่ไหม (ไม่ใช่)
เมื่อสามารถทำได้แบบนี้ รู้ไหมว่าการทำได้แบบนี้ ยังเป็นสาเหตุของการสร้างเหตุที่ดี เมื่อเรามีเมตตา ไม่เคยเบียดเบียนใคร จะถูกใครเบียดเบียนไหม (ไม่)  เมื่อเรารู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่เคยอยากได้ของใครมาเป็นของเรา ใครจะมาเอาอะไรจากเราไหม (ไม่)  เพราะเราไม่เคยอยากได้ของใครมาก่อนถูกไหม (ถูก)  ถ้าเกิดว่าท่านอยากได้เมตตา ถามซิว่าท่านเคยเมตตาใครไหม ถ้าท่านเมตตามากๆ ก็จะอายุยืน คนมีมโนธรรมสำนึกดีก็จะเป็นที่รัก ที่น่าเคารพนับถือ  คนที่พูดจริงทำจริง ก็จะศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นอยากสร้างเหตุที่ดี ถามซิว่าเรามีเหตุอันนี้ที่ครบหรือไม่ อยากได้ครอบครัวร่มเย็นก็ถามว่าเรามีมโนธรรมสำนึกไหม เราเคยให้เกียรติคนในครอบครัวไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือรากฐานของความเป็นคนที่ทุกคนควรมี
แต่จิตใจมักง่ายที่จะไหลลงต่ำ มากกว่าขึ้นสูง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราฝืนได้เราก็จะพบธรรมได้ และเมื่อเราพบธรรมได้ เราก็จะเกิดปัญญาเห็นแจ่มแจ้งได้ ที่เรียกว่าความเป็นจริงอันเป็นหนึ่งเดียวกันเรียกว่า (นิพพาน)  นิพพานคือความสงบเย็น สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราไม่พ้นทุกข์แม้เราจะดีขนาดไหน แม้จะละบาป บำเพ็ญบุญ  ละบาปเพื่อสร้างคุณธรรม ซึ่งทำได้แค่นี้ก็คือคนที่ประเสริฐในโลก ดังพระพุทธะบนแดนดิน แต่ยังไม่พ้นทุกข์นะ จริงไหม (จริง)
เมื่อไรที่ใจเราเที่ยงตรงจะได้รับความเคารพจากผู้อื่น
เมื่อไรที่เรามีใจเมตตา เราจะได้ใจที่สงบร่มเย็นกับทุกคน และกับตัวเรา
เมื่อไรที่เราสามารถใจกว้างเราจึงสามารถรักษาความสมดุลระหว่างดี ร้าย ได้ เสียได้
แต่ถ้าเมื่อไรที่ใจเรากระจ่างแจ่มชัดความเป็นจริง เมื่อนั้นแหละใจเราจะเป็นอิสระ และกลับคืนสู่สภาวธรรม แต่ไปไม่ถึงเลยใช่ไหม ฉะนั้นถ้าท่านทำได้อย่างที่เราพูด  เราก็จะบอกต่ออีกอย่างหนึ่งว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้ทุกสิ่งเหมือนกันนั่นก็คือ “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” นั่นคือความเป็นจริงอีกอันหนึ่งที่ท่านพิจารณาอยู่เนืองๆ จะบังเกิดธรรมและปลดปล่อยความผิดทั้งหลายให้เบาบางลงได้ ความจริงแห่งธรรมอีกอันหนึ่งที่ทำให้ทุกสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกันและกลับคืนสู่ความเป็นจริงก็คือ “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา”
ศิษย์พี่ถามหน่อยนะ ในความเป็นจริงแห่งคน ถ้าเราหมั่นเตือนตนอยู่เสมอว่าโลกนี้มันไม่เที่ยง คนมีวันเปลี่ยนแปลง เราจะโกรธจะเกลียดใครไหม (ไม่)  เราจะหลงใครไหม (ไม่)  ถ้าลึกๆ เรารู้เสมอว่ามันไม่เคยมีอะไรจริง แล้วเราหลงไหมตอนนี้ หลงไม่หลง (ไม่หลง)  ไม่เข้าใจใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นค่อยๆ พูดทีละเรื่องนะ ถามหน่อยเรามีวันแก่ไหม (แก่)  เรามีวันเหี่ยวไหม (เหี่ยว)  เรามีวันตายไหม (ตาย)  ถ้าอย่างนั้นเราน่ารักหรือน่าเกลียด (น่ารัก)  ไม่แน่ ก็เมื่อสักครู่ท่านยังบอกเลยว่าเรามีวันเหี่ยว เรามีวันตาย ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นเราน่ารักหรือน่าเกลียด (ไม่แน่)  ถูกไหม เราถามหน่อย เราดีไหม เราร้ายไหม ใช่หรือไม่
(ศิษย์พี่เมตตา ให้นักเรียนชายท่านหนึ่งยืนให้นักเรียนในชั้นดูหน้าตา) ท่านนี้ยืนดูหน้าตาหน่อยนะ หันมาโชว์ให้เขาดูหน่อย หน้าตาร้ายไหม ร้ายไหม ไม่แน่นะ ถ้าไม่แน่เราสามารถมั่นใจได้ไหมว่าเขาไม่ดี เราสามารถหลงได้ไหมว่าเขาดี (ไม่ได้)  ใช่หรือไม่ เมื่อไม่ได้แล้วเราจะเกลียดเขาไหม (ไม่)  เมื่อไม่แน่ใจว่าเขาจะดีหรือเปล่าเราจะรักเขาไหม (ไม่)  ถ้าอย่างนั้นเราถามจริงๆ คนที่ท่านบอกว่ารัก คนที่ท่านบอกว่าเกลียด เขาดีจริงๆ ไหม เขาน่ารักจริงๆ ไหม (ไม่แน่)  เมื่อไม่แน่แล้วเราควรรักไหม (ไม่ควร)  ใช่หรือไม่ ถ้าท่านเข้าใจความเป็นจริงแห่งสัจธรรม ท่านจะไม่ทุกข์กับคนในโลก และไม่ก่อเกิดโลภ โกรธ หลงและไม่มีอะไรในโลกที่ทำให้ใจทุกข์เลย จริงหรือไม่ (จริง)
เมื่อเราเข้าใจความเป็นจริงอันเป็นแก่นแท้ที่ทำให้ทุกสิ่งเป็นหนึ่งเดียว โลภ โกรธ หลงจะไม่บังเกิด เพราะมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ และมันก็ว่างเปล่า ฉะนั้นถ้าตามใจตามอารมณ์ ธรรมจึงไม่เกิด ปัญญาจึงไม่มี ความเห็นแจ้งในโลกความเป็นจริงจึงไม่เคยชัด ทุกวันนี้สิ่งที่เราทำคือ ตามใจตามอารมณ์ ใช่ไหม จึงหนีไม่พ้นวัฏฏะแห่งความทุกข์ ทำไมเขาต้องทำให้ฉันเจ็บ ทำไมเขาต้องพูดแบบนี้ ทำไมเขาต้องลวงฉันอย่างนี้ แต่ถ้าท่านเข้าใจความเป็นจริงและทำสิ่งที่ถูกต้อง เราจะไม่ถามว่าทำไม แต่เราจะเข้าใจเพราะเราก็เคยเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยด่าเขาไหม เคยโกงเขาไหม เคยหลอกเขาไหม เคยผิดคำพูดกับเขาไหม ใช่หรือไม่ แล้วตัวเองให้อภัยตัวเองไหม แล้วเคยว่าตัวเองแล้วแก้ไขไหม ฉะนั้นถ้าแก้ไขไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์

สิ่งที่เราพูดคือแก่นความเป็นจริงของคนใช่หรือไม่ (ใช่)  มีคำกล่าวสอนไว้ว่า เมื่อไรที่เราเข้าใจความเป็นคนในตัวเรา เราจะเข้าใจความเป็นคนในผู้คน เมื่อไรเข้าใจนิสัยของความเป็นคนอันแท้จริง เราจะเข้าใจนิสัยของความเป็นคนในโลกได้ เมื่อไรที่เราเห็นชัดในตัวตน เราจะสามารถเห็นชัดในผู้คน ดังคำกล่าวว่า ไม่ต้องออกนอกบ้าน ถ้าเข้าใจตนก็เข้าใจในมวลสรรพสิ่งในชีวิต แต่ถ้ายังไม่เข้าใจตนก็ยากที่จะเข้าใจผู้คนได้ เหมือนที่มนุษย์ชอบเป็นกันคือ เอาแต่รอว่าใครจะมารักฉัน เอาแต่รอว่าใครหนอจะเคารพฉัน แล้วก็รอว่าใครหนอจะทำให้ฉันมีความสุข ถูกไหม แต่ผู้ที่เข้าใจธรรม ทำตัวเองให้น่าเคารพ ทำตัวเองให้น่ารัก และรู้จักรักคนอื่นให้เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาแต่รอคนมารักสู้รู้จักรักตัวเองให้เป็นและรักคนอื่นให้เป็นดีกว่าแล้วจะเหงาไหม (ไม่เหงา)  รู้จักเคารพให้เกียรติตัวเองและเคารพให้เกียรติผู้อื่น ใครจะมาดูถูกเราไหม (ไม่)  รู้จักมีสุขไม่ต้องรอสุขในอนาคต เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)
ฉะนั้นอย่ามัวรอจงเริ่มทำที่ตัวเราเองก่อน วันนี้เราก็มาแค่นี้ ขอทวนหน่อยนะ ทำอะไรต้องรู้จักมีสติ มีธรรมยั้งคิดนะดีหรือไม่ (ดี)  ฉะนั้นอย่าดูเบาตัวเองว่าสิ่งที่เราพูดไกลเกินเอื้อม อย่าดูเบาตัวเองว่าสิ่งที่เราพูดท่านทำไม่ได้ ไม่ลองจะรู้หรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สุขทุกข์ไม่ได้อยู่ที่ใครเป็นคนกำหนด แต่อยู่ที่เราสร้าง ขอเพียงเราเข้าใจและเห็นแจ้งความเป็นจริงในตัวเอง ธรรมะไม่ได้อยู่ข้างนอก ธรรมะไม่ได้อยู่ในหนังสือ แต่ธรรมะต้องค้นหาที่ใจเรา และเริ่มทำออกจากใจเรา เพราะถ้าเราสงบคนอื่นก็เป็นสุข ถ้าเราทุกข์คนอื่นก็เป็นทุกข์จริงหรือไม่ (จริง)  ยากไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นลองไปดูนะสิ่งที่เราพูดไม่ใช่เรื่องยากไกลเกินเอื้อมใช่ไหม (ใช่)
เวลาทำอะไรถามตัวเองก่อนนะ อยากปฏิบัติธรรมและพ้นทุกข์จริงไหม ถ้าไม่อยากปฏิบัติก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่ถ้าอยากปฏิบัติแล้วพ้นทุกข์ พบธรรม ลองไตร่ตรองสิ่งที่เราพูดวันนี้ว่า สิ่งที่ท่านทำ สิ่งที่ท่านคิด สิ่งที่ท่านพูดยอมให้ใครไหม ให้ไหม สิ่งที่ยอมให้มีธรรมบ้างไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากพบธรรมในผู้คน ต้องเริ่มจากพบธรรมในใจตน อยากมีธรรมในผู้คน ก็ต้องเริ่มมีธรรมในใจตน ใครไม่มีเรื่องของเขา เราจะมี ใครไม่เป็นเรื่องของเขา เราจะเป็นธรรมที่ถูกต้องและดีงามให้ได้ คนปัจจุบันนี้ขาดคนดีจริงนะ โลกปัจจุบันขาดคนมุ่งมั่นปฏิบัติจริง เก่งแต่พูดแต่ไม่เก่งกระทำใช่ไหม (ใช่)  ดีแต่ปากไม่เอา อยากให้ดีที่การกระทำ และขอเป็นคนดีจริง ดีที่สุด ดีจนลมหายใจสุดท้าย แล้วท่านจะรู้ว่าชีวิตมันมีค่า ทุกเวลาประมาทไม่ได้ เพราะผิดกับเขาไปแล้ว ทำดีอย่างไรก็แก้ไม่ทันจริงไหม (จริง)  ถามใจท่านดู ใครว่าเราผิดใจนิดหนึ่ง ขอโทษหายไหม (ไม่หาย)  ฉะนั้นยอมก่อนไม่ดีกว่าหรือ สร้างธรรมให้บังเกิด อย่าเป็นทุกข์แล้วค่อยมีธรรม จงมีธรรมเพื่อไม่ต้องมีทุกข์ อย่ามีทุกข์แล้วค่อยมีธรรม จงมีธรรมเพื่อจะได้ไม่สร้างทุกข์ ขอให้มีสติ ทำอะไรยั้งคิด ไปแล้วนะ

วันอาทิตย์ที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ สถานธรรมฉือเหริน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  อิงมองตามจริงโลกอยู่ลำบาก              เจออุปสรรคต้องเข้าใจชีวิตยิ่ง
หอบสติไปข้างนอกได้พึ่งพิง                   คาถาเรียกใจนิ่งไม่จ่ายแพง
สติตรองครองใจใช้เป็นประจำ                 คิดพูดทำเป็นธรรมบารมีแกร่ง
ฟังได้กลางกลางกำราบมารจำแลง           ตื่นใจแจ้งในโลกสร้างบารมี
                        เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา         ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                 ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม

อยู่ไปอยู่มาชีวิตไม่เป็นของเรา  เกิดแต่เรื่องเหนือคาดเดา กำกับเราคือนิสัยตน  ปัญหาซ้ำซ้ำเป็นตัวเองง่ายง่ายกลับสับสน  ขาดธรรมในเรื่องตน (อึดอัดในเรื่องของใคร)
บำเพ็ญหมดแล้วเรื่องทุกข์ก็ยังไม่เบา ไม่มีวันเว้นศุกร์เสาร์ดูฌานเราบำเพ็ญถึงไหน ได้เห็นว่าทุกข์ก็พบว่าธรรมมีที่หัวใจ ธรรมะสมบูรณ์จิตใจ สุขทุกข์กลายช่วยให้กระจ่าง
* คนบำเพ็ญหัวร้อนรับกันไม่ไหว รู้มากไปถึงรับแบกให้เป็นปัญหาตัว ติดใจสงสัยกันแล้ววุ่นวายหนักหัว ตระหนักรักตัวต่างคนบำเพ็ญจิตให้มากพอ
** ผู้บำเพ็ญนั้นสติอยู่พร้อมเหมือนเพื่อน เสียงที่ไม่ตักเตือนแม้แค่ฟังก็เจอทางพ้น โลกไม่พ้นทางคิดถึงปัญหาตกตกหล่นหล่น เสียงคือเสียงบ่นชีวิตไม่เพียรไม่ใช่ของเรา      ซ้ำ (*, **,      )

ทำนองเพลง : เธอเป็นแฟนฉันแล้ว
ชื่อเพลง : ชีวิตไม่เพียรไม่เป็นของเรา


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

มาแล้วยังดีกว่ามาช้า มาช้ายังดีกว่า (ไม่มา)  ตกลงมาช้าดี หรือมาช้าไม่ดี  ดีกว่าไม่มาเลยใช่หรือไม่ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ไม่มาดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าอย่างนั้นก็ต้องอยู่ที่ตัวศิษย์แล้วนะ ถ้าตั้งใจคุยกันเราก็อยู่กันนานๆ แต่ถ้าไม่ตั้งใจคุยกัน  มาสักครู่ก็หายไปดีไหม (ไม่ดี)  อะไรก็ดีอยู่ในโลกนี้จะได้ไม่ทุกข์จริงไหม ถ้าเลือกที่รักมักที่ชังเราก็จะมีความทุกข์ แต่ถ้าคิดว่าอะไรมันก็ดี เขาด่าก็ดี เขาชมก็ (ดี)  เขาเอาเงินไปไม่คืนก็ (ดี)  ให้พูดได้อย่างนี้ตลอดๆ นะ สามีไปไม่กลับบ้านก็ (ดี)  จริงหรือ  แต่ผลสุดท้ายก็มานั่งเสียใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เก่งจริงนี่นา
อยู่ในโลกนี้อยู่ยากไหม (อยู่ยาก)  บางคนบอกยาก บางคนบอกไม่ยาก ถ้าอยู่แล้วใส่ใจ กังวลทุกคนมันก็ยากนะ แต่ถ้าอยู่แล้วเป็นตัวของตัวเอง ไม่สนใจใครมันก็ง่ายใช่ไหม (ใช่)  ใช่หรือ แล้วศิษย์เป็นประเภทไหน

อาจารย์ว่าบางทีอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงนี้บางทีก็อยู่ยาก เพราะในโลกคนส่วนใหญ่มักจะสอนว่า ต้องเป็นคนเก่ง ต้องเป็นคนดี และต้องมีแต่ได้ ใช่ไหม (ใช่)
เรามักจะถูกสอนว่าอยู่ในโลกนี้ต้องเป็นคนเก่ง ต้องให้ดี ต้องให้ได้ ต้องให้เด่นให้ดัง ใช่ไหม (ใช่)  สอนลูกว่าต้องเก่ง ลูกต้องดี ทำอะไรก็ต้องได้ และต้องดังใช่ไหม ถ้าลูกไม่ดีไม่เด่นไม่ดัง ไม่เอาใช่ไหม (เอา)  เราถูกสอนมาเป็นแบบนี้ แต่ธรรมะกลับสอนในด้านตรงกันข้าม ไม่จำเป็นต้องเก่ง ไม่ดีก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ธรรมดาก็ดี เราเคยสอนลูกแบบนี้ไหม เราเคยบอกตัวเองให้เป็นแบบนี้บ้างไหม เราบอกแค่เพียงว่าลูกต้องเก่ง ถ้าลูกไม่เก่งจะยืนบนโลกนี้ไม่ได้ จริงไหม (ไม่จริง)  แล้วเราสอนอย่างไร เราสอนเราบอกตัวเราเองเสมอ ฉันต้องเก่ง ต้องได้ ต้องดี แต่เมื่อเราอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงเราเริ่มรู้แล้วว่า บางครั้งไม่จำเป็นต้องเก่ง บางครั้งยอมไม่ดีบ้าง เพื่อให้คนอื่นได้ดีไม่เป็นไร บางครั้งยอมเสียสละ ยอมที่จะไม่ได้บ้าง เพื่อให้ผู้อื่นได้ เพื่อให้มีสุข บางครั้งไม่ต้องเด่นไม่ต้องดัง อยู่ธรรมดาเรียบๆ ง่ายๆ ก็อยู่กับใครได้ เป็นสุขมากกว่าถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วทำไมเวลาใช้ชีวิตเวลาเจอความจริง เราถึงไม่บอกกับลูก บอกกับหลาน บอกกับคนที่เรารัก บอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไร แต่กลับยัดเยียดให้กับลูกว่า ลูกต้องเป็น ลูกต้องได้ ต้องดี จริงไหม (จริง)  แล้วเราเคยสอนเขาแบบนั้นไหม ไม่เก่ง แม่ก็รัก พ่อก็รัก ไม่ดีไม่เป็นไร เดี๋ยวกลับมาดีได้ แม่ก็ให้อภัย พ่อก็รัก เคยบอกกันอย่างนี้ไหม (ไม่เคย)
ขอบใจนะที่กล้ายอมรับ เพราะอาจารย์ว่าอาจารย์ก็ไม่เคยเห็นใครพูดแบบนี้เลย น้อยมาก ส่วนใหญ่รอให้เขาไปผิดพลาดมาแล้วถึงค่อยบอก ถ้าเกิดลูกเขาพูดได้เขาคงบอกว่าทำไมแม่ไม่บอกผมตั้งแต่แรก ทำไมพี่ไม่บอกหนูตั้งแต่แรก ทำไมเพื่อนไม่บอกฉันตั้งแต่แรกว่าฉันเป็นแบบนี้ก็ได้ เคยบอกไหมว่าแกไม่ต้องดีที่สุดแต่ขอแกจริงใจกับฉันก็พอ ใช่ไหม (ใช่)  แกไม่ต้องเก่งที่สุดแต่ขอแกเข้าใจฉันเวลาฉันแย่ก็พอ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นสิ่งที่เราต้องการเวลาเราอยู่ร่วมกันคืออะไร ความจริงใจ ความเข้าใจ กำลังใจ และการเห็นใจ เวลาเราอยู่ในโลกเราเคยเข้าใจใครไหม เราเคยเห็นใจใครจริงๆ ไหม และเราเคยทำได้บ้างไหม เรามักจะตรงกันข้ามใช่ไหม (ใช่)  แกต้องเก่งแกไม่เก่งไม่ใช่เพื่อนฉัน แกไม่ใช่ลูกฉัน เธอไม่ใช่สามีฉัน ไม่ได้เรื่อง ใช่ไหม แต่จริงๆ แล้วชีวิตเรา เราต้องการคนที่เข้าใจเวลาเราแย่ที่สุด คนที่รับเราได้เวลาที่เราไม่เหลืออะไรและไม่มีอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยู่ในโลกนี้ความสุขหาง่ายขอเพียงเห็นใจบ้างหรือยัง เข้าใจบ้างหรือยัง จริงใจหรือยัง และรับเขาได้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ไหม ถ้ารับได้ เข้าใจได้ เห็นใจได้ และทนได้ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ความสุขก็จะเกิดขึ้นในชีวิต ฉะนั้นถ้าเราอยากได้สังคมที่ร่มเย็น ครอบครัวที่อบอุ่น เพื่อนที่น่ารัก ลูกที่น่ารัก สามีที่ดี ถามตัวเราเองก่อน เห็นใจเขาบ้างไหม จริงใจกับเขาแค่ไหน แล้วชีวิตที่ร่มเย็น ชีวิตที่เป็นสุขก็ไม่ไกลเกินเอื้อม แต่อยู่ที่ตัวเราพร้อมจะเรียนรู้และเข้าใจคนรอบข้างอย่างจริงใจหรือไม่
อาจารย์ให้กลอนนำ มีคาถาเรียกใจที่ทำให้ใจนิ่งและไม่ต้องจ่ายแพง นั่นคืออะไร (ต้องมีสติ,มีสติสัมปชัญญะในการดำเนินชีวิต)  มีสติสัมปชัญญะในการดำเนินชีวิตใช่ไหม (ใช่)  เป็นคาถาเรียกใจที่เราไม่ต้องจ่ายเลยใช่ไหม (ใช่)  เวลาอารมณ์ร้อนใช้สติ สติจะช่วยยับยั้งให้เราใจเย็นคิดได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลารู้สึกแย่ รู้สึกไม่ดี จงมีสติ สติจะดึงใจให้เรากลับมาให้เราเป็นปกติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสติเป็นสิ่งที่ดี แต่เรามีสติไหม (ไม่มี)  ถ้าทำอะไรขาดสติบ่อยๆ ก็ง่ายจะตกเป็นทาสอารมณ์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนที่ปล่อยตัวไปตามอารมณ์คือคนที่ไม่เคยมีสติอยู่กับตัวถูกไหม (ถูก)  แต่คนที่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ และยั้งตัวเองได้แปลว่ารู้จักมีสติใช้กับตัวใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นสติจึงเป็นสิ่งที่มีค่าไม่ต้องเสียเงินเลยด้วยซ้ำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาไปใช้บ่อยๆ เวลาไปอยู่กับใคร หรือต้องเผชิญกับสิ่งใด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอบถูกไหม (ถูก)  แปลว่าอาจารย์ต้องอยู่ต่อหรือกลับ (อยู่ต่อ)  นึกว่ากลับ ถ้าตอบถูก แล้วตอบได้ แล้วตอบเป็น อาจารย์ก็ไม่ต้องสอนอะไรแล้วจริงไหม (ไม่จริง)  ก็รู้แล้วไม่ต้องบอกอะไรแล้ว จริงไหม (ไม่จริง)  ในโลกใบนี้สิ่งที่จริงก็ไม่จริงได้ใช่หรือไม่ (ใช่)   แล้วสิ่งที่ไม่จริงก็จริงได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
พูดเอง ก็ต้องรับผิดชอบกับผลที่ตัวเองพูด นั่งก็ (ดี)  ไม่นั่งก็ (ดี)  ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่ายืนเป็นเพื่อนอาจารย์ก็ (ดี)  ถ้าอย่างนั้นก็ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ต่อไป ได้ไหม (ได้)  ศิษย์เอยถ้าเราอยู่ในโลกอย่าผลักดันให้ใครทุกข์ อย่าผลักดันให้ใครเจ็บปวด แม้ศิษย์บอกว่ามันเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา แต่ศิษย์จงจำไว้อย่างหนึ่ง ถ้าศิษย์ทำเขาเจ็บ เขาจะทำเราเจ็บยิ่งกว่า ถ้าศิษย์ทำเขาทุกข์ เขาจะกลับทำเราทุกข์ยิ่งกว่า อาจารย์ถามก่อนถ้าเรามีชีวิตแล้วขอได้หนึ่งอย่าง เราอยากขออะไรให้กับชีวิตก่อนจะนั่งดีไหม (ดี)  ขออะไรให้กับชีวิต ขอได้อย่างเดียวและขออีกไม่ได้แล้ว และถ้าตอบแล้วถอนคำพูดไม่ได้แล้วนะ ระหว่างขอให้รวย ขอให้แข็งแรง และขอให้มีปัญญา ตอบแล้วถอนคำพูดไม่ได้แล้วนะ ไหนใครอยากขอให้รวยยกมือขึ้น ในใจก็อยากยกแต่ไม่มีใครยกมือเลย พูดมาตามตรงเถอะอาจารย์ไม่ว่า ยกมือไหม ไม่ยกหรือ ขอแล้วขออีกไม่ได้แล้วนะ ใครขอให้แข็งแรงยกมือขึ้น ยกได้ครั้งเดียว แล้วยกไม่ได้แล้วนะ อยากได้แข็งแรงเอามือลง ใครอยากขอให้มีปัญญา ยกมือขึ้น อย่ายกซ้ำนะศิษย์เอย เอามือลง ถ้าใครขอให้มีปัญญาอาจารย์อยู่คุยต่อ แต่ถ้าใครขอแข็งแรงและรวย อาจารย์จะกลับศิษย์ไปหาเอาเองดีไหม (ไม่ดี)  อาจารย์พูดตรงๆ  ทำไมอาจารย์อยากให้ศิษย์เลือกปัญญารู้ไหม มีเงินแต่ไร้ปัญญา มันก็จนได้ ใช่ไหม (ใช่)  ไม่มีเงินแต่มีปัญญาก็รวยได้จริงไหม (จริง)  แล้วทำไมถึงเลือกอยากรวยก่อนแล้วถึงเลือกมีปัญญา ปัญญาเกิดได้จากการศึกษาเรียนรู้ แล้วยิ่งเรียนวิชาธรรมะด้วย กลับไม่เคยคิดอยากเอา แล้วจะได้ปัญญาไหม ถูกไหม (ถูก)  แล้วศิษย์เอารวยหรือเอาปัญญา (ปัญญา)
ไหนใครบอกเอาแข็งแรง อาจารย์จะบอกเอาแข็งแรงแต่ถ้าไม่มีปัญญาสู้กับความอ่อนแอ แข็งแรงมันก็กลับไปอ่อนแอได้ จริงไหม (จริง)  แต่คนมีปัญญาเมื่ออ่อนแอเขาจะทำตัวเองให้เข้มแข็งจงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคน ควรเลือกเมื่อจะดำเนินชีวิต เราจะก้าวไปตรงไหนเราต้องถามจุดเริ่มต้นเรา ถ้าเราเริ่มต้นผิดชีวิตมันก็เดินผิดทาง แต่ถ้าเราเริ่มต้นถูก ชีวิตมันก็เดินไปได้ มันก็สู้ได้ตลอดทาง แล้วมันมีทางออกตลอดทาง จริงไหม (จริง)  ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามจริงๆ ชีวิตศิษย์เอาเงินก่อนเอาปัญญา ใช่ไหม เงินก่อนปัญญาไว้ที่หลัง ใช่ไหม  เหมือนวันนี้เขาบอกให้มาฟังธรรม 3 วัน เดี๋ยวนะค้าขายดีขายก่อน ใช่หรือไม่ จริงๆ นะศิษย์เอยถ้าเราอยู่ในโลกนี้ไม่อยากเจอคนคับแคบ อย่าตีใจคับแคบ ถ้าอยากอยู่บนโลกกว้างจงเปิดใจกว้าง อะไรก็ได้ อะไรก็ดี เราก็จะมองเห็นโลกกว้าง แต่ถ้าเราตีตนคับแคบ มันต้องอย่างนั้นมันต้องอย่างนี้ เราก็จะเจอแต่คนคับแคบโลกคับแคบ จริงไหม
ถ้าศิษย์เกิดอยากมีปัญญา ศิษย์ก็ต้องรู้จักหมั่นเรียนรู้ แต่บางครั้งการยึดติดยึดมั่นทำให้เราขาดปัญญา และทำให้ไม่สามารถทำอะไรด้วยปัญญาที่แจ่มชัดได้ เหมือนเวลาเรายึดความคิดของเรา เราว่าความคิดของเราถูกต้อง เราก็จะไม่สามารถมีปัญญามองเห็นอะไรแจ่มชัด เหมือนเราคิดว่าคนนี้เป็นคนผิด เราจะมองให้เขาถูกมันก็ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะความคิดของเรามันบดบังปัญญา ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวก็คือ อยากมีปัญญาจงอย่ายึดถือความคิดตนเป็นเด็ดขาด เพราะถ้ายึดถือความคิดตน ปัญญาจะบกพร่องทันที เข้าใจนะ (เข้าใจ)
ถ้าอย่างนั้นเรามาคุยกันต่อ หลายคนอาจสงสัยว่า ธรรมะที่ฟังไปในวันนี้ มันแตกต่างกับสิ่งที่ผมหรือหนูเคยเรียนรู้เคยเรียนรู้กันมา ต่างไหม (ไม่ต่าง)  เรามาตกลงกันก่อนนะ อาจารย์ไม่ได้ให้ศิษย์เปลี่ยนศาสนา อาจารย์แค่พูดเรื่องธรรมะ ที่เราจะเอาไปใช้ในการดำเนินชีวิต และที่สุดของการปฏิบัติธรรม ก็คืออยู่กับทุกข์ เข้าใจทุกข์ และสามารถไม่เป็นทุกข์ได้ นั่นคือจุดประสงค์หลักของการศึกษาและเรียนรู้ธรรม แต่โดยส่วนใหญ่เราศึกษาและเรียนรู้ธรรม เรามักจะเข้าใจว่าจุดประสงค์หลักของการปฏิบัติธรรมคือการทำบุญ ทำทาน และเป็นคนดี
(พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียนในชั้นเรียนว่าใครชอบทำบุญบ้าง)
ที่บอกว่าชอบนี่ทำบ่อยๆ หรือนานๆ ที (บ่อย)  คนทำบุญติดบุญไหม ขอบุญไหม หลงบุญไหม จุดประสงค์หลักของการศึกษาธรรมหรือการปฏิบัติธรรมอย่างแรก ศิษย์คิดว่าถ้าจะปฏิบัติธรรมต้องทำบุญเยอะๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จุดประสงค์ส่วนใหญ่ในการทำบุญของเราคือ เราทำบุญเพื่อให้ใจสบาย เพื่อสละ เพื่อความโล่งเบา โปร่งเบาในจิตใจ ใช่หรือไม่ ทำบุญเพื่อให้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำไมเวลาทำบุญเสร็จ ขอๆๆ อย่างนี้เรียกว่าให้หรือขอ ตกลงว่าทำบุญหรือขอบุญ (ขอบุญ)  จุดประสงค์หลักของการทำบุญคือ ทำบุญเพื่อสละความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน สละความโลภหลงในทรัพย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าไปทำแล้วยังขอ เรียกว่าสละหรือกลับไปยึดเหมือนเดิม ฉะนั้นไม่ได้อยู่ที่เงินเป็นสำคัญแต่อยู่ที่ใจใช่หรือไม่ เราทำเพื่อความสละไม่ยึดมั่นถือมั่น ที่แล้วมาทำเพื่อให้หรือทำเพื่อเอา ฉะนั้นถ้าศิษย์จะเริ่มต้นศิษย์ก็ต้องเริ่มต้นให้ถูก หลักของการปฏิบัติธรรมคือ ทำบุญเพื่อให้ ทำบุญเพื่อสละ ทำบุญเพื่อไม่ยึดถือ ทำสิบบาทขอร้อยบาทถูกไหม (ไม่ถูก)  ถ้าทำเพื่อยึดจะกลายเป็นทำแล้วยังมีกิเลสแอบแฝง ยังมีเจตนามุ่งหวังไม่บริสุทธิ์ ทำบุญแบบนี้ไม่ได้ไปสวรรค์ ใช่ไหม (ใช่)  จะขอต้องขอที่ตัวเอง ขอพระคุณเจ้าให้ร่มเย็นเป็นสุข แต่ทุกวันด่าๆ จะร่มเย็นเป็นสุขไหม (ไม่)  ทุกวันเอาแต่จับเข่านินทา เล่นหวย เล่นพนัน จะมีความสุขไหม (ไม่)  ฉะนั้นอยากขอให้ตัวเองมีความสุข ทำไมไม่ถามที่ตัวเราเอง เพราะจุดประสงค์หลักของการศึกษาธรรมคือทำเพื่อให้ ทำเพื่อละ ใช่หรือไม่
เป็นคนดีที่ชอบเอาความดีว่าตัวเองดี แล้วไปข่มคนอื่นถูกไหม (ไม่ถูก)  เราเป็นคนดีที่ชอบวิพากวิจารณ์ คนนั้นไม่ดีใช่ไหม (ไม่ใช่)  เราเป็นคนดีที่ชอบเอาความดีของเราไปตัดสินว่า คนนั้นแย่ใช่ไหม (ไม่ใช่)  เราเป็นคนดีที่ไม่เคยวิพากวิจารณ์ใคร ไม่เคยไปตัดสินใคร ไม่เคยเรียกร้อง ไม่เคยบีบบังคับใครใช่ไหม (ใช่)  เราทำดีจุดประสงค์หลักของการทำดีคือ ไม่ประพฤติชั่ว เราทำดีเพื่อกางกั้นใจของตัวเองไม่ให้ทำผิด เราทำบุญทำทานเพื่อป้องกันให้ใจไม่หลงยึดติด ฉะนั้นศิษย์ต้องเข้าใจให้ได้ก่อน เพราะถ้าศิษย์ไม่เข้าใจกลายเป็นว่าทำบุญแล้วก็ยังไปหลงยึดเหมือนเดิม อย่างนี้ก็ไม่ได้ละอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำดีแล้วยังไปทำบาปอีกอย่างนี้ก็ไม่ได้เรียกว่าดี ทำดีเท่าไรก็ไม่เคยได้ดีใช่ไหม (ใช่)  เหมือนเวลาเราดีแล้วใครไม่ดีว่าไหม (ว่า)  อาจารย์ ศิษย์ไม่ว่าเลย แต่แช่งมันให้ตายจมดินเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหยียบให้ตายเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ถามหน่อย คนดีแล้วมีสิทธิ์ไหมที่บังคับให้ทุกคนต้องดีกับตัวเอง (ไม่มี)  เรียกร้องให้ทุกคนต้องดี คนนั้นไม่ดี ไม่ได้เรื่อง ฉันดีอยู่คนเดียวเอง เหนื่อย เป็นแบบนี้ไหม (ไม่, เมื่อก่อนเป็นแต่เดี๋ยวนี้ไม่เป็น)  หลังจากอาจารย์พูดอยากไม่เป็นทันทีเลยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์ต้องเข้าใจ ถ้าศิษย์ศึกษาปฏิบัติธรรม บุญยังไม่เข้าใจ การเป็นคนดียังไม่เข้าใจ ศิษย์ก็ยังก้าวต่อไปไม่ได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)
หลักสำคัญอันที่สองของการเป็นคนดีก็คือ ทำดีเพื่อให้ตัวเองไม่ประพฤติชั่ว แต่ไม่ใช่ทำดีแล้วเอาชั่วไปให้คนอื่น ไม่ใช่ทำดีแล้วเพื่อบอกว่าคนนั้นชั่ว แล้วตัวเองดี๊ดีถูกไหม (ไม่ถูก)  ฉะนั้นคนดีจริงยังไงก็ไม่ต้องไปว่าคนไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เชื่อไหม ถ้าศิษย์เป็นคนดี ศิษย์ยืนเฉยๆ ให้เขาชั่วไปเถอะ ยิ่งเขาชั่วเท่าไร เรายิ่งสุกใสสว่างปิ๊งปั๊งจริงไหม (จริง)  ไม่ต้องไปด่าเขาเลย ยิ่งเขาชั่วเท่าไร ฉันสะอาดโดยไม่ต้องทำอะไรเลยจริงไหม (จริง)  แล้วจะไปด่าทำไมให้ตัวเองสกปรกตามใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถามตัวเอง     ถ้าศิษย์อยากเป็นคนหนึ่งที่ปฏิบัติแล้วไม่อยากชั่ว ไม่อยากเลว ไม่อยากร้าย ถ้าจะเป็นคนดีก็อย่าเอาความดีของตัวเองไปวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น แล้วอย่าไปคิดว่าตัวเองดีนักหนาถึงได้สามารถตัดสินคนอื่นได้ว่า คนนั้นไม่ดี คนนั้นแย่ แน่ใจหรือว่าตัวเองดีจริงๆ (ไม่แน่ใจ)  ไม่แน่ใจแล้วเรามีสิทธิ์ว่าใครไหม (ไม่มี)  จำไว้นะ อย่าว่านะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะถ้าว่าเมื่อไร ศิษย์ก็เกี่ยวกรรมกับคนเมื่อนั้น ไม่ว่าศิษย์จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่เมื่อว่าแล้วอย่าบอกว่าไม่ตั้งใจ ตั้งใจทั้งนั้นแหละใช่ไหม (ใช่)  อย่าบอกว่าไม่เจตนา เจตนาทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่เจตนาจะว่าไม่ออกหรอกจริงไหม (จริง)  แล้วคนส่วนใหญ่ชอบมาคิดว่าที่ว่าคนอื่นได้ มักคิดว่าตัวเองดีเลิศ ประเสริฐศรีใช่ไหม (ใช่)  ถึงคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์จะว่าคนนั้นมันไม่ดี คนนี้มันไม่ดี แต่อาจารย์ถามจริงๆ คนที่เขารู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนดี แต่ยังดีไม่พอ เขาจะว่าใครไหม     (ไม่ว่า)  เขาจะวิพากษ์วิจารณ์ใครไหม (ไม่)  ถ้าเขารู้ตัวเองว่า จริงๆ แล้วตัวเองก็ยังไม่ได้ดีจริง เขาจะว่าใครไหม (ไม่ว่า)  เขารู้ว่าตัวเองดีหรือยัง (ยัง)  ที่เขานินทา เราเคยนินทาไหม (เคย)  ที่เขาทำผิด เราเคยทำผิดไหม (เคย)  ที่เขายักยอกของๆ คนอื่น ฉ้อฉล โกง ทุจริต เราไม่เคยโกงเลยหรือ (ไม่เคย)  ถามจริงๆ ตอนเด็กๆ ใครบ้างพูดได้เลยไม่เคยขโมยเงินพ่อแม่ (หยิบไม่บอก) หยิบไม่บอกเรียกว่าขโมย อย่าพูดว่าไม่ขโมย บางทีเห็นดอกไม้ข้างๆ ทาง เห็นไม่มีเจ้าของเด็ดมาดมเฉยเลย แล้วก็ถือกลับบ้าน อย่างนี้เขาเรียกว่าขโมย สิ่งที่ไม่ควรมองเราก็ไปแอบมอง ไปแอบรู้ นั่นแหละเขาเรียกว่าขโมย อย่าบอกว่าตัวเองไม่ขโมย ฉะนั้นถ้าเราตรวจสอบจริงๆ เราจะไม่เห็นใจ คนไม่ดีหรือ เราจะว่าคนไม่ดีได้หรือ เพราะตัวเองดีหรือยัง (ยัง)  ฉะนั้นเมื่อตัวเองดีไม่พอ จึงพยามยามทำดีเพื่อไม่ทำชั่ว ใช่หรือไม่ ฉะนั้นคนที่พยายามยกว่าตัวเองว่าดี จริงๆ นั้นดีไหม (ไม่ดี)  แล้วคนที่ว่าคนอื่นไม่ดี ตัวเองดีไหม (ไม่ดี)  แล้วตอนนี้ตัวเองดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  ดีไหม ดีหรือยัง ตัวเองดีไหม ไหนใครกล้าบอกว่าตัวเองไม่ดียกมือขึ้น (นักเรียนทั้งห้องยกมือ)
อาจารย์ทั้งดีใจและเสียใจ เพราะไม่ดีเต็มห้องเลย แต่อีกอันหนึ่งก็ดีใจว่า คนที่กล้ายอมรับว่าตัวเองไม่ดี  คนนั้นแหละพร้อมจะเป็นคนดี ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นมาคุยต่อ สิ่งที่อยากคุยคือ จุดประสงค์ใหญ่ในการศึกษาธรรมนอกจากเรารู้จักทำบุญเป็นคนดีแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือ ศึกษาธรรมเพื่อจะได้ทำให้เรารู้ทุกข์ เข้าใจทุกข์ และไม่ต้องทำให้เราทุกข์กับโลกใบนี้ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามให้ศิษย์ตอบแล้วมีรางวัลให้ แต่รางวัลนั้นอาจารย์อยากจะบอกว่า กินแล้วทุกข์เหลือเกิน กินแล้วเจ็บจี๊ด เข้าไปถึงใจ เอาไหม (เอา)  นี่แหละสาเหตุหนึ่งของความทุกข์  รู้แล้วว่ามีแล้วทุกข์ ก็อยากมี รู้ว่ามีแล้วว่าเจ็บจิ๊ด ไปถึงใจก็อยากเอา จริงไหม (จริง)  สามีแต่ก่อนมีไหม    (ไม่มี)  ก่อนเคยมีไหม (ไม่มี)  แล้วมีไหม เป็นอย่างไรล่ะ เจ็บจิ๊ดไหม ทุกข์ไหม เอาไหม เอาไปแล้วถอนตัวไม่ได้ รอแต่เพียงเขาไม่เอาเรา ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นต้นเหตุอย่างแรกที่มนุษย์ทุกคนในโลกล้วนหนีไม่พ้นทุกข์ก็คือ หนูอยู่ในโลกคนเดียวไม่เป็น อยู่ว่างๆ ไม่ได้ แล้วจะได้รู้ว่าขึ้นสวรรค์แล้วลงนรกอย่างไร ถูกไหม (ถูก)  ไม่ต้องถามผู้หญิงถามผู้ชายก็ได้ ถ้าอยากรู้ว่าสวรรค์นั้นอยู่ตรงไหน ก็ลองมีสักคนหนึ่ง บุญพาวาสนาส่งใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าอยู่นานไปนานมา กรรมอะไรของฉัน
สิ่งแรกที่ทำให้มนุษย์ทุกข์ก็คือ ความไม่พอใจกับความไม่มี ไม่พอใจกับความว่างเปล่า ไม่พอใจกับความโดดเดี่ยว ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกชีวิตล้วนต้องกลับคืนสู่ความว่างเปล่า โดดเดี่ยว และไม่มี ฉะนั้นถึงศิษย์จะพยายามหาแค่ไหน ศิษย์ก็ต้องวางมันลง มีมันแค่ไหน ศิษย์ก็ต้องเรียนรู้และเข้าใจ แล้วก็ต้องวางลงให้ได้ เพราะไม่เช่นนั้นคนที่จะต้องเจ็บก็คือ (เรา)  คนที่ต้องเจ็บและต้องทุกข์ก็คือคนที่พยายามอยากจะเอา อยากจะมี และอยากจะยึดให้มากที่สุด แล้วผลสุดท้ายถึงเวลา ศิษย์ก็แบกมันไปไม่เคยได้ เราต้องอยู่กับคำว่า (ว่างเปล่า)  ใช่ไหม
ฉะนั้นอาจารย์ถามนะศิษย์ ถ้าไม่มีแล้วอยากมีจนมันเจ็บ แล้วค่อยเรียนรู้การวางให้ได้ หรือไม่ต้องมีก็อยู่ได้ หรือมีแต่อยู่ให้ได้วางให้เป็น (อยู่ให้ได้วางให้เป็น)  แต่ละคนเจอไม่เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์จึงได้ถามศิษย์ว่า เมื่อศิษย์จะเลือกดำเนินชีวิต มีอะไรบ้างในโลก มีแล้วไม่ทุกข์ (ไม่มี)  มีแล้วไม่เคยเจ็บ (ไม่มี)  มีแล้วไม่เคยผิดพลาด (ไม่มี)  มีแล้วไม่ต้องพลัดพรากสูญเสีย (ไม่มี)  ฉะนั้นถ้ามันไม่มีศิษย์อยากจะเจอมันอีกไหม    ในตัวของเราก็หนีไม่พ้นแล้วใช่ไหม (ใช่)  เอาอีกตัวหนึ่งดีไหม (ดี)  แน่ใจหรือ ถ้าอยากจะมีอีกตัว ศิษย์ก็ต้องเรียนรู้ทุกข์อีกรอบหนึ่ง เจ็บอีกรอบหนึ่ง เหนื่อยอีกรอบหนึ่ง ช้ำอีกรอบหนึ่ง เสียใจอีกรอบหนึ่ง แล้วมันใช่รอบเดียวไหม (ไม่ใช่)  มันอาจจะมารอบแล้วรอบเล่า เมื่อไรจะหมดกรรมต่อกันสักที มันอาจจะมาแล้วมาอีก อาจารย์จึงบอกว่าหลักสำคัญในการบำเพ็ญธรรมคือ อยู่กับทุกข์ เข้าใจทุกข์ เห็นทุกข์ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์ ยากไหม (ไม่ยาก)  เหมือนเวลาลูกบอลมันมา  ถ้ามันมาแล้วมันเจ็บ  เอาไม่เอา  (ไม่เอา)  แล้วเวลาเมื่อมันมาแล้วมันทุกข์ รับไม่รับ (ไม่รับ)  แต่ชีวิตจริงรับแล้วเอาใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์เคยได้ยินคำหนึ่งไหม ที่มนุษย์บอกว่าเขาจะทำอะไร แย่ขนาดไหน มันไม่เคยอยู่ในสายตาฉันเลย มันจะเจ็บไหม (ไม่เจ็บ)  เขาจะทำอะไร เขาจะแย่ขนาดไหน ฉันไม่เคยเอาเขามาใส่ใจฉันเลย ฉันจะทุกข์ไหม      (ไม่ทุกข์)  นั่นแหละทำได้ไหมถ้ามันเกิดขึ้นมาแล้วมันทุกข์ รับมันมาแล้วมันเจ็บ มีแล้ว คิดแล้ว มันก็ช้ำ แล้วทำไมโง่เอามันมา สู้เอาไป (ทิ้ง)  ไม่ต้องทิ้งหรอก เดี๋ยวเขาก็ไปตามทางของเขา โลกใบนี้ไม่เขาจากเราไป เราก็จากเขาไป ฉะนั้นเหตุการณ์จบแล้วเราควรวางมันจากใจดีไหม เหมือนที่อาจารย์บอก สิ่งที่เขาทำออกจากปากเราเรียกว่าขี้ปาก ออกจากตาของเราก็เรียกว่าขี้ตา สิ่งที่เขาทำแล้วมันก็เหมือนขี้ แล้วเราจะเก็บขี้มาไว้ในใจไหม (ไม่เก็บ)  แล้วเราเผลอเอาขี้มาเล่นไหม (ไม่)  ทำไมเขาด่าหนู ทำไมเขาว่าหนู ทำไมเขาทำแบบนี้กับหนู แล้วเราก็เอาขี้ไปแบ่งให้คนอื่น ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจเราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ถ้ามันทุกข์ อย่าใส่ใจ ถ้ามันเจ็บ อย่าเก็บไว้ในใจ เราเกิดมาเพื่อเรียนรู้ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์ เราเกิดมาเพื่อเห็นทุกข์ แต่ไม่ต้องเอาทุกข์มาทำร้ายใจ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นธรรมะสอนให้เราแค่รู้แต่ไม่ต้องไปเป็น แค่เห็นแต่ไม่คิดอยากจะเอา ยากไหม (ไม่ยาก)
(พระอาจารย์เมตตาให้เพลงพระโอวาท ทำนองเพลงเธอเป็นแฟนฉันแล้ว)
ดูสิมีใครจะร้องเพลงได้บ้าง เพลงนี้อาจารย์ให้ประจำชั้นนักเรียนชั้นนี้นะ นิสัยขี้ตู่เราชอบเป็นไหม เราเป็นคนขี้ตู่ไหม เห็นเขายิ้ม คิดไปเองว่าเขาต้องชอบฉันแน่เลย เคยเป็นไหม เห็นเขาส่งตาหวาน   คิดไปเองว่าเขามีใจให้ฉัน เราเป็นแบบนั้นไหม มันขี้ตู่ชัดๆ เลย ถูกไหม คิดไปเองว่าเขาเป็นแฟนเรา แล้วค่อยมาถามว่า แล้วเมื่อไหร่ฉันจะได้เป็นแฟนของเธอ ใช่ไหม ศิษย์ก็เป็นไหม (เป็น)  เราทุกข์ในโลกก็เพราะเราขี้ตู่ชอบไปเอาสิ่งที่ไม่ใช่ของเรามาเป็นของเรา ถูกหรือไม่ อาจารย์ถามจริงๆ สังขารนี้ของเราใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วทำไมหลงได้หลงดี ถึงเวลามันก็กลับคืนสู่ ดิน น้ำ ลม ไฟ      ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อรู้ว่ามันเป็นธรรมชาติแล้วเราหลงมันไหม (ไม่หลง)
อาจารย์ถามจริงๆ  ศิษย์รักเป็นศิษย์ขี้ตู่ไหม เงินมาจากธรรมชาติไหม เสื้อผ้ามาจากธรรมชาติไหม (ใช่)  เราทุกข์เพราะเรารักธรรมชาติใช่ไหม แต่ถึงที่สุดเราเอาอะไรไปได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราต้องงกไหม (ไม่)  แล้วผลสุดท้ายเราต้องทุกข์เพราะความงก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเรายังงกอีกไหม ยอมรับมาตรงๆ  ฉะนั้นเราเข้าใจแล้วว่าทุกสิ่งต้องคืนธรรมชาติ เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  อาจารย์เป็นห่วงนะ อยากหลังตรงอยากแข็งแรง ก็ต้องนั่งหลังตรง พออาจารย์พูดก็นั่งตรง แล้วศิษย์ในนี้ทุกข์เพราะอะไรอยากให้อาจารย์ช่วยแก้ บอกมา ศิษย์รู้ไหม ถ้าเรารู้เราเห็นทุกข์ ถ้าเราไม่ยึดมั่นกับทุกข์เราก็จะพบทางออกของทุกข์ ถ้าเราสามารถอยู่ในโลกเราเห็นทุกข์ชัดแล้วไม่ยึดมั่นกับความทุกข์ เราจะเห็นทางของความพ้นทุกข์ เมื่อเราทุกข์ เปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยน จากที่คิดว่าทำไมต้องทำกับฉัน เปลี่ยนเป็นไม่เป็นไร อยากเอาไปก็เอาไปเลย จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)
ฉะนั้นถ้าอยากไม่ทุกข์จะต้องรู้จักเปลี่ยนความคิด ถ้าคิดแบบนี้แล้วมันเจ็บ ทำไมไม่เปลี่ยนความคิดไปอีกด้านหนึ่ง ถ้ามองเห็นชัดแล้วพบทางออก ทำไมไม่ปล่อยวางแล้วมองให้ชัด ทุกข์อะไร ถ้าอยากพ้นทุกข์จะยังยืนยันเอาความคิดของตัวเอง หรือจะยอมรับความจริง ห้ามแก่ เจ็บ ตาย ห้ามได้ไหม (ไม่ได้)  ทุกข์ไหม แก่ เจ็บ ใจก็สู้ไม่ถอยนะ แปลว่าอย่างน้อยชีวิตนี้ตายแล้วไม่อายฟ้า ไม่อายดิน ไม่ผิดต่อผู้คน ไม่เห็นต้องกลัวตายเลยใช่ไหม แต่ถ้าทำแล้วยังอายฟ้า อายดิน ไม่ถูกกับผู้คน อย่าเพิ่งตายเดี๋ยวจะตกนรก ใช่ไหม (ใช่)  คนที่ตอบอาจารย์อยากได้แอปเปิลเพิ่มความทุกข์เอาไหม ในเมื่อตัวเองมีปัญญาแล้ว แม้เจอทุกข์ก็จงแปลทุกข์ ให้ใช้เป็นทางพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่  ศิษย์มีปัญญาอย่าดูเบาปัญญาคนอื่น ชีวิตไม่ใช่อาจารย์กำหนด ไม่ใช่ใครกำหนด แต่เรากำหนดตัวเองได้ ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกแอปเปิลกินแล้วทุกข์ แต่ถ้าศิษย์จะมีสุขก็เป็นเรื่องของศิษย์ ใช่ไหม (ใช่)  กลัวไหมกับแอปเปิลทุกข์ (ไม่กลัว, ทุกข์เพราะไม่ยอมปล่อยวาง)  แล้วคราวนี้จะปล่อยไหม ทำให้เต็มที่ก่อน ถ้าทำเต็มที่แล้วเราก็ต้องยอมรับ อะไรจะเกิดก็ต้องกล้ารับ ถ้ายังไม่เต็มที่อย่าเพิ่งปล่อย ไม่อย่างนั้นเขาจะว่าเราไม่รับผิดชอบ (ทุกข์เพราะยึดติด)  แล้วคราวนี้จะยังยึดติดอีกไหม ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เรายึดติดได้ ยิ่งยึดติดปัญญาก็ไม่เกิด ทุกข์ก็จะเจ็บ เวลายึดติดมากๆ หันกลับมามองที่มือ เมื่อไรที่มือมันยึดนั่นคือมือเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต แต่ชีวิตคือสิ่งที่ยืดหยุ่นพลิกแพลงได้ ถ้ายึดมันก็คือป่วย มันก็คือทุกข์ มันก็คือเจ็บจริงไหม (จริง, ทุกข์เพราะคิดมาก)  คิดแล้วได้อะไร คิดแล้วดีขึ้นไหม   สู้แปลความคิดเป็นกล้ารับความจริงดีกว่าไหม แล้วบางทีคิดไปก็กลายเป็นแช่งคนรอบข้าง ถ้าเกิดจะคิด สมมติลูกไปรบ ลูกไปทำงาน ลูกขับรถออกไป ก็ขอให้เขาปลอดภัย คิดแบบนี้ดีกว่า แล้วอะไรจะเกิดก็ต้องกล้ารับให้ไหว
(ทุกข์เพราะความเป็นห่วง)  ห่วงไปมันไม่ทำให้อะไรมันดีขึ้นสู้อวยพรให้เขาปลอดภัยดีกว่า มองในแง่ดีมันก็ทำให้เขาไปดีกว่า ยิ่งถ้าเป็นพ่อแม่คนแล้ว รู้ใช่ไหม พ่อแม่คือสิ่งที่เป็นพุทธะบนบ้าน ถ้าพุทธะคิดว่าลูกจะรอดไหมๆ ลูกไม่รอดแน่ มีใครจะตอบอีก ตอบว่า (เมื่อเวลาเป็นทุกข์ทำไมถึงวางยากจัง)  ตกลงถามหรือตอบอาจารย์ (ถามอาจารย์)  ถามว่าทำไมวางยาก วางยากเพราะว่าใจเราไม่ยอมปล่อย ใจเราไม่กล้ารับความจริง  ถ้าใจเรากล้ารับความจริง มันจะไม่ต้องวาง ทุกสิ่งมันเกิดมาจากจิตทุกขณะ จริงไหม เหมือนเขาว่าเราจบหรือยัง ถ้าจบแล้ว เรื่องที่เราทำจบหรือยัง จบแล้ว เราแก้ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  สิ่งที่ทำได้คือ สู้กับความเป็นจริง ยังไม่ต้องปล่อย แค่สู้กับความจริงให้ได้ เปลี่ยนจากความหวาดกลัวเป็นหัวใจที่สู้ แล้วจะไม่ทุกข์ อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิดแล้ว ล้มได้ก็ลุกขึ้นมาได้ ผิดได้ก็ต้องแก้ใหม่ได้
ฉะนั้นเมื่อไรจะเลิกบุหรี่ (ทุกข์เพราะระแวง)  ระแวงไม่ดีนะ สู้ระวังตัวเองดีกว่า เพราะระแวงมันอยู่กับใครก็ไม่มีความสุข อยู่กับแฟนก็ไม่มีความสุข ขอเพียงแค่เราทำดีพร้อม เขาจะเป็นอย่างไรก็ต้องยอมรับ ศิษย์จำไว้นะ ทุกสิ่งในโลกนี้ ถ้ามันเป็นของเราอย่างไรมันก็เป็นของเรา แต่ถ้าไม่ได้เป็นของเรา อย่างไรมันก็ต้องไป จริงไหม (จริง)  แล้วจะไปรั้งทำไมให้เจ็บ แล้วจะไประแวงทำไมให้ทุกข์ อยากไปไปเลย ถูกไหม (ถูก)  เพราะถึงที่สุดเขาตายกับเราไหม (ไม่)  เขาเจ็บกับเราไหม (ไม่)  เขาไปกับเราไหม (ไม่ไป)  อย่ารักคนอื่นจนลืมรักตัวเอง
(ยังไม่มีเรื่องก็ทุกข์แล้ว)  ยังไม่มีเรื่องก็คิดไปแล้ว  เอ๊ะ! มันจะมีเรื่องไหม ศิษย์เป็นไหม (เป็น)  ฉะนั้นต่อไป (ทำให้ดีที่สุด)  ทำให้ดีที่สุด รับผิดชอบให้ดีที่สุด และกล้าที่จะสู้กับความจริง ธรรมะสอนให้เรามีภูมิคุ้มกัน ยอมรับความจริงให้ได้นะ
(ทุกข์เพราะอยากครอบครอง)  ฉะนั้นลองหันไปดูมือ เราครอบครองอะไรได้ เรายึดอะไรได้ ถึงที่สุดเราก็มาตัวเปล่า แล้วก็ไปตัวเปล่า ฉะนั้นไม่เคยมีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริงนะ
(ห่วงลูกห่วงหลาน)  แก้ไม่ได้นะสิ่งนี้ อย่างที่อาจารย์บอกว่า ห่วงได้ แต่ห่วงอย่างให้กำลังใจ ห่วงอย่างเข้าใจ และห่วงอย่างรัก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้ารักเขาเต็มที่ดูแลเขาเต็มที่ ถึงเวลาศิษย์ต้องยอมรับ คนทุกคนมีหนทาง ศิษย์ไปห่วงเขาตลอดไม่ได้ ถึงเวลาเราก็ต้องปล่อยให้เขาเป็นไป จริงไหม (จริง)  เข้มแข็งนะ 
(ทุกข์เพราะมีความห่วง)  อายุปูนนี้แล้วก็ไม่ต้องห่วงเขาแล้ว ห่วงตัวเองดีกว่า เพราะเขาไปถึงไหนแล้วไม่เคยกลับมาดูแลเราเลยใช่ไหม (อยากได้)  ศิษย์เอยไม่มีใครในโลกที่มีความอยากแล้วไม่อยากทำผิดมีน้อยมาก แล้วพยายามอยากน้อยที่สุดเพื่อให้ไม่ผิดเลยก็ไม่มี ใช่หรือไม่ ฉะนั้นควรพอใจในสิ่งที่มีบ้าง ไม่อย่างนั้นความอยากจะทำให้เราเจ็บ แล้วก็เจ็บ ฉะนั้นรู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี
(ไม่ยอมปล่อยวาง)  แล้วตอนนี้รู้จักปล่อยได้หรือยัง ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ เกิด ดับอยู่ตลอดเวลาไม่ต้องพยายามไปปล่อยมันหรอก พอถึงเวลามันก็ต้องไปตามทางของมัน ขอเพียงเราเข้าใจหลักของความเป็นจริง เราไม่ต้องพยายามบังคับใจให้ปล่อย แต่มันจะตื่นรู้ด้วยตัวเองว่าสิ่งที่เกิดมันก็จบอยู่ทุกขณะ จงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน
(คำพูดคน)  คำพูดคนก็เหมือนขี้ปาก ใช่ไหม เก็บมาก็เหมือนเก็บขี้มาไว้ในตัว แล้วเอามาคิดก็เหมือนเล่นขี้ แล้วเอาไปเล่าคนอื่นก็เอาขี้ไปป้ายคนอื่นอีกใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นยังสนขี้ปากคนอีกไหม (ไม่สน)  แต่บางทีก็เอามาพิจารณาเขาพูดจริงไหม พูดจริงเราก็เอามาแก้ไข พูดไม่จริงก็ปล่อยมันไป อย่าเก็บขี้เอาไว้ในใจ (กลัวในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง)
(กลัวในสิ่งที่มาไม่ถึง)  อายุเท่าไหร่แล้วศิษย์ ตัวใหญ่ๆ  กลัวอะไร กลัวแพ้ พ่าย ผิด แต่อาจารย์ถามหน่อยคนในโลกใครไม่แพ้ ไม่พ่าย ไม่ผิด (ไม่มี)  เมื่อรู้ว่าไม่มี จงเข้มแข็งเมื่อยามแพ้ จงมุ่งมั่นเมื่อยามเจ็บ และจงอดทนเมื่อยามทุกข์ท้อ ดีหรือไม่ (ดี)  อายุเท่าไหร่แล้วเรา
มีใครตอบอีก (คิดมาก)  แล้วคิดดีไหม ความคิดมันง่ายที่จะไหลลงต่ำ ง่ายที่จะฟุ้งซ่าน คิดร้ายมากกว่าคิดดี ฉะนั้นเวลาความคิดมา จงใช้สติ สติจะดึงความคิดมาสู่ความเป็นกลาง และมองเห็นความจริง ฉะนั้นเราคิดมีสติ เวลาคิดได้มีสติ เวลาแย่มีสติ ทำให้ได้นะ
(จะถามอาจารย์หนูมีความทุกข์มากเลยแต่ว่าไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะว่าหนูอยากมาอบรมมาเรียนให้ครบทั้ง 3 วันแต่พรุ่งนี้หนูมาไม่ได้เพราะมีความจำเป็น หนูจะถามอาจารย์ว่าถ้าหนูสะสมไว้ 2 วันแล้วค่อยไปอบรมใหม่อีกวันเป็น 3 วันได้ไหม ทุกข์มากเลยอาจารย์)  เดี๋ยวก่อนนะ ไม่ต้องทุกข์ๆ เดี๋ยวคราวหน้ามีอบรมอีก มาซ้ำอีกรอบ รับรองยิ่งจำแม่นแน่นอนเลย ไม่ทุกข์ด้วย ดีไหม (ดี)  ยิ่งฟังยิ่งได้ปัญญาแม้จะเข้าใจไม่เข้าใจแต่ปัญญาธรรมสั่งสมไว้ สักวันหนึ่งมันจะปิ๊งออกมาทันทีเลย ฉะนั้นอย่ากลัวการฟังธรรมะนะ ไม่ต้องทุกข์ ดีใจออกได้ฟังอีกรอบหนึ่ง ไม่เป็นไร คราวหน้ามีโอกาสก็มาให้ครบนะ ได้ไหม (ได้)  ได้ตอบไหม (แต่ว่าต้องเป็นวันหยุดอีก)  อ่อ ตกลงว่ามันเป็นปัญหาของอาจารย์ใช่ไหมนี่ ว่าอาจารย์จะยอมให้เขาจบหรือไม่ยอมให้เขาจบใช่ไหม มันต้องมีสักครั้งหนึ่งนะที่มันจะครบทั้ง 3 วันและเป็นวันหยุด เอานะไม่ลองดูจะรู้หรือ ใช่ไหม แล้วถ้าสู้ไม่ถอยมีหรือเขาจะไม่ยอมให้จบ ใช่ไหม ไม่ต้องทุกข์ศิษย์เอ๋ย เรื่องเล็กๆ
(ยอมให้คนอื่นเก่งบ้าง)  แต่มันทำได้ไหม บางครั้งสิ่งที่ดีก็คือเราต้องให้โอกาสคนได้เก่งบ้างอย่าเก่งคนเดียว เก่งคนเดียวมันเหนื่อยให้คนอื่นเก่งแล้วเรายอมไม่เก่งบ้างนั่นแหละเราจึงอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ ใช่ไหม  ตั้งใจดีก็ดีแล้ว
(อยากปลดห่วงแต่ปลดไม่ได้)  เมื่อปลดไม่ได้ก็ต้องอยู่กับสิ่งที่มีให้เข้าใจ คนบางคนมีร้ายมากกว่าดีหรือคนบางคนมีร้ายแค่หนึ่งแต่มีดีเป็นร้อยมันอยู่ที่ศิษย์จะเห็นร้ายแล้วจ้องจับผิดหรือจะเอาความดีมากลบความร้าย ใช่ไหม แล้วศิษย์ก็จะได้ไม่ต้องห่วงไม่ต้องกังวลอีก ถ้าเรายอมรับนะ
เราทุกข์เพราะว่าอะไรหรือ มีความสุขดีอยู่กันสองคนไม่ค่อยทุกข์อะไร ใช่ไหม (ลูกอยู่กรุงเทพฯหมด)  ไม่ค่อยทุกข์อะไรใช่ไหม ฉะนั้นโชคดีฉะนั้นเลยไม่อยาก
ศิษย์ไม่มีทุกข์อะไรใช่ไหม ดีแล้วนะ ยินดีด้วย เขาบอกเขามีความสุขดีไม่ทุกข์อะไร โชคดีนะ ใช่ไหม หันมายิ้มหน่อยนะศิษย์ ฉะนั้นศิษย์พูดว่ามีความสุขดีไม่ทุกข์อะไร ไม่เคยทุกข์อะไร ใช่ไหม (อยู่กันสองคน คนหนึ่ง 81 อีกคน 80)  นี่ 80 นะนี่ แข็งแรงดี สบายดี ใช่ไหม (ลูกสามคน)  ถ้าวันหนึ่งต้องสูญเสียก็จงยังสุขอยู่นะ เข้าใจที่อาจารย์พูดนะ
(เราพูดแล้วลูกไม่เชื่อฟัง)  เราพูดรู้เรื่องไหม เราพูดแต่สิ่งที่เราคิด แล้วเราเคยฟังที่ลูกเป็นบ้างไหม ฉะนั้นถ้าอยากไม่มีปัญหากับลูก ลูกจะเป็นอย่างไรไม่ต้องเรียกร้อง บอกกับลูกว่าลูกจะเป็นอย่างไรแม่ก็รัก แต่ขออย่างเดียวลูกโตแล้วนะถึงเวลาแม่ก็เลี้ยงดูลูกไม่ไหวแล้ว
(ทุกข์เพราะความคิด)  ทุกข์เพราะความคิดความรู้ เพราะคิดว่าตัวเองรู้และเข้าใจ แต่จริงๆ บางทีอาจจะไม่รู้และไม่เข้าใจ ฉะนั้นต้องรู้จักเปิดใจกว้างบ้าง และรับฟังเรื่องราวของคนให้มากๆ
(ทุกข์กับคนรอบข้าง)  ถ้ามีเพียงคนเดียวที่ศิษย์พูดกับเขาแล้วไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่ความผิดเรา แต่ถ้าทุกคน ศิษย์พูดกับเขาไม่รู้เรื่อง แบบนี้ความผิดศิษย์แล้วนะ เราต้องถามตัวเราเองว่าเราเคยฟังใครบ้างไหม ทุกคนมีแนวความคิดของตัวเอง ทุกคนมีทางเดินของตัวเอง ขอแค่เพียงเราทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่ต้องไปเรียกร้องอะไร
(ทุกข์เพราะยึดติดความผิดของตนเอง)  ถ้าศิษย์ไม่อยากทุกข์อย่ามัวจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เราต้องกล้าที่จะมองความจริงที่เกิดขึ้นกับเราตอนนี้ ถ้ากล้ายอมรับเราก็ไม่ทุกข์ใช่หรือเปล่า
(ทุกข์เพราะไม่เป็นตัวของตัวเอง)  เลียนแบบคนอื่นไม่ได้ทำให้เราดีขึ้น ค้นหาตัวเองให้เจอและรักษาความดีของตัวเองให้ได้ เป็นหญิงจำคำพูดของอาจารย์ไว้ อย่าทำตัวเป็นของสาธารณะ
(ทุกข์เพราะว่าเป็นห่วงแม่)  เราทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด ดูแลตัวเองให้เข้มแข็งสมบูรณ์ที่สุด แบบนี้แม่ก็หายห่วง ว่างๆ โทรไปบอกว่าผมสบายดี ว่างๆ โทรไปบอกว่าผมรักแม่ ผมคิดถึงแม่ แค่นี้ก็ดีแล้ว ดูแลตัวเองให้ดีให้เข้มแข็งให้รอดปลอดภัย
(ทุกข์เพราะเป็นห่วงลูก)  ถึงเวลาต้องปล่อยเขาและยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น
(ทุกข์เพราะการกระทำ)  ทำอะไรไปไม่คิด ใจร้อน เอาแต่ใจ วิ่งไปหาความรัก จนลืมรักตัวเองใช่ไหม (ใช่)  เข้มแข็งนะ รักตัวเองให้มาก อย่ารักคนอื่นจนทำร้ายตัวเองเข้าใจไหมสาวๆ
(ทุกข์เพราะครอบครัว)  ทุกข์เพราะครอบครัวใช่ไหม แล้วทำอย่างไร แก้อะไรไม่ได้ เปลี่ยนอะไรไม่ได้ เข้มแข็งอดทนรักษาความดีไว้เข้าใจไหม (เข้าใจ)
(อยากให้ลูกมาบำเพ็ญด้วย)  อยากให้ลูกมาบำเพ็ญ สิ่งสำคัญคือ เราต้องทำตัวเองให้ถูกต้องดีงาม แล้วเขาจะเดินตามมาโดยที่เราไม่ต้องเรียกหรือบังคับเลยจริงไหม (จริง)  ทำตัวเราให้กว้างที่สุด ให้เย็นที่สุด ให้นิ่งที่สุด ไม่ว่าลูกจะเป็นยังไง รับเขาให้ได้มากที่สุด
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนร้องเพลงพระโอวาท)
อยากได้รางวัลไหม (ไม่อยากได้)  ศิษย์ยังไม่ได้อะไร เขาได้แล้วอาจารย์ไม่ให้นะ เอาไหม (ไม่เอา)  เอานะ ชีวิตจะได้รู้จักทุกข์เป็นอย่างไร
ในเนื้อเพลงอาจารย์ถามคำถามนะ เสียงที่ไม่ตักเตือน แม้แค่ฟังก็เจอทางพ้น ศิษย์ว่า เสียงที่ไม่ตักเตือน แม้แค่ฟังก็เจอทางพ้น คือเสียงของอะไร ใครตอบอาจารย์ได้บ้าง (สติ)  เพราะสติเป็นเสียงที่ไม่มีเสียงถูกไหม (ถูก)  ถ้าเรานิ่งฟังจะเตือนเราให้พบทางออกว่า อย่าใจร้อน ใจเย็นๆ เป็นเสียงที่รอเราฟังอยู่ เมื่อไรที่เราเจอปัญหาจงนิ่ง แล้วสติจะมา เมื่อสติมาปัญญาจะเกิด อย่าเอาแต่คิดฟุ้งซ่าน เพราะเสียงที่บ่นอยู่คือเสียงของความคิดที่ไม่รับความจริง แต่สติเป็นเสียงที่ไม่มีเสียง จะบอกเราว่าหยุดเถอะ พอแล้วมองความจริงใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถึงเวลาต้องรู้จักมีสตินะใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทำอะไรอย่าใช้อารมณ์เป็นใหญ่
ตอนนี้มีใครอยากตอบคำถามอาจารย์อีกไหม สักครู่อาจารย์เล่นเกมส่งแอปเปิลดีกว่า แอปเปิลไปตกที่ใครต้องตอบคำถามอาจารย์ดีไหม (ดี)  เพราะอย่างไรเราอยู่บนโลกใบนี้ เราก็เป็นเพื่อนร่วมทุกข์กันใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ให้ทุกข์ดีกว่าทำให้ตัวเองทุกข์นะดีไหม
(นักเรียนในชั้นขอกอดพระอาจารย์)  ทำไมหรือ (คิดถึงพ่อ)  เข้มแข็งๆ ตอนมีชีวิตอยู่ไม่ทำให้ดี ตอนไปแล้วมาเสียใจ มันน่าตีไหม ตั้งใจทำสิ่งที่ดีงามถูกต้องเพื่อเป็นบุญกุศลให้กับพ่อแม่ที่ล่วงลับ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนเล่นเกม โดยเปลี่ยนจากแอปเปิลเป็นสับปะรด)
อาจารย์ถามคำถามเดียวอะไรที่ทำให้ทุกข์บ่อยที่สุด ไม่ต้องส่งสับปะรดก็ตอบเลยนะ (ใจ)  แน่ใจนะ เพราะทำอะไรก็เอาแต่อารมณ์  จริงๆ แล้วในทุกข์มีทางพ้นทุกข์ผู้มีปัญญาย่อมพบทางออกในความทุกข์ ดั่งที่เขาเรียกว่ากิเลสมาปัญญาเกิด วางดาบพลันก็พลันเห็นพุทธะ ฉะนั้นอย่ากลัวการตอบอาจารย์ เพราะอาจารย์อยากร่วมบุญกับศิษย์
(พระอาจารย์เมตตาผู้ร่วมฟัง)  อาจารย์ดีใจและปลื้มใจที่คนทางใต้น่ารัก และมีใจใฝ่ธรรมะ และมีใจอุทิศเสียสละ และมีใจที่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะหวั่นไหวอะไรไปบ้างก็ตาม หลักสำคัญในการศึกษาธรรม คือเรียนรู้เข้าใจความทุกข์ และอยู่กับทุกข์อย่างคนไม่ทุกข์ เพราะชีวิตเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็เป็นทุกข์  และสาเหตุเกิดแก่เจ็บตายก็เป็นทุกข์ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ทั้งที่จริงๆ แล้วถึงที่สุด แม้ตัวเราก็ยึดไม่ได้ ฉะนั้นสิ่งที่ต้องเข้าใจก็คือ
เรารู้ว่าเนื้อตัวเรายึดไม่ได้ แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะเรียกว่าบำเพ็ญแล้วไม่ยึด ไม่เผลอหลงยึดตัวเองไปสร้างวิบากกรรม สิ่งแรกก็คือหมั่นทำอะไรโดยใช้คุณธรรมเป็นหลัก อย่าทำอะไรเอาแต่ใจเอาแต่อารมณ์ เพราะถ้าทำอะไรเอาแต่ใจเอาแต่อารมณ์ หนีไม่พ้นกรรมชั่ว แต่ถ้าทำอะไรปฏิบัติกับใครด้วยคุณธรรม ด้วยความเมตตา ด้วยความซื่อตรง ด้วยความเห็นใจ ด้วยธรรม สิ่งที่ได้ก็คือธรรม ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าศิษย์ทำอะไรด้วยตัวเอง เพราะตัวเองชอบ เพราะตัวเองคิดแบบนี้ เพราะตัวเองอยากได้แบบนี้ ผลสุดท้ายสิ่งที่ได้ก็คือความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน และหนีไม่พ้นกรรมดีกรรมชั่ว แต่บำเพ็ญธรรมสอนให้เราถือคุณธรรมเป็นหลัก เพื่อยับยั้งการหลงยึดมั่นถือมั่นและเผลอตามใจตัวเอง   ฉะนั้นปฏิบัติกับเขาเคารพไหม     ปฏิบัติกับเขาเมตตาไหม ปฏิบัติกับเขาจริงใจไหม ปฏิบัติกับเขาไม่ยึดมั่นถือมั่นหรือไม่ ถ้าปฏิบัติกับเขาทุกวันมีแต่ให้ธรรม สิ่งที่ได้ก็คือธรรม    แต่ถ้าทุกวันศิษย์อยากกินอะไร ชอบอะไร อยากได้อะไร จะทำอะไร ทุกวันที่ได้ก็คืออัตตาตัวตน ซึ่งทำให้เราไม่สามารถกลับคืนสู่สภาวะธรรมได้ แต่กลายเป็นว่าเรายึดติดตัวตนใช่ไหม อาจารย์ถามว่า เรากินเพื่ออยู่ หรืออยู่เพื่อกิน ใส่เพื่ออุ่นหรือใส่เพื่อสวยงาม ฉะนั้นเรามีชีวิตอยู่เพื่อกลับคืนสู่ธรรม หรือเพื่อเป็นตัวของตน ถ้ากลับคืนสู่ธรรมทุกขณะเราต้องมีธรรม แบบนี้เรียกว่าปฏิบัติธรรมเป็นทาน แต่ถ้าทุกขณะ ฉันอยากได้แบบนี้ ฉันเป็นแบบนั้น เป็นแบบนี้ ทำไมเขาพูดแบบนั้น ทำไมเขาพูดแบบนี้ นั่นคือการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน และหนีไม่พ้นกรรมดีกรรมชั่ว ถึงที่สุดก็ต้องเวียนว่ายตายเกิด ฉะนั้นยิ่งศิษย์ยังไม่ได้กินเจด้วย บางคนกรรมก็ไม่ถูกตัด กรรมเก่าก็ยังไม่หมด กรรมใหม่ก็สร้างอีก แล้วแบบนี้จะพ้นทุกข์ไหม (ไม่พ้น)  แล้วเรียกอาจารย์ช่วยได้ไหม เพราะตัวศิษย์เองยังไม่คิดช่วยตัวเอง ยังตามใจลิ้น กินแล้วสร้างบาป กินแล้วเกี่ยวกรรม อยากกินอีกเหรอ ละได้ก็ต้องละ บาปที่ตัดได้ง่ายที่สุดคือบาปที่ละออกจากปาก ไม่เอาภัยเข้าสู่ตัว และไม่เอาภัยออกจากปาก ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากบำเพ็ญไปให้ถึง เราต้องละวางตัวตนและถือธรรมเป็นหลักในการปฏิบัติ ฉะนั้นถ้าใจเราเย็นอยู่ที่ไหนก็เย็น ถ้าใจเราร้อนแม้อยู่ที่เย็นก็ร้อน ใช่ไหม ฉะนั้นขอให้ทำอะไรไตร่ตรองในธรรมให้หนัก ถือธรรมเป็นที่พึ่ง อย่าถือนิสัยตนเป็นอารมณ์เพราะไม่อย่างนั้นศิษย์จะไม่มีวันพบคำว่า ธรรมของตน ฉะนั้นปฏิบัติกับใครถือธรรมเป็นหลัก เมตตาไว้ จริงใจไว้ ให้เกียรติเคารพไว้ มีธรรมไว้ ซื่อตรงไว้ ไม่ใช่เรื่องยากถูกไหม (ถูก)  แต่ตามใจตัวเอง เอาแต่ใจตัวเองมีแต่ทุกข์และมีแต่กรรมใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจงถือธรรมเป็นที่พึ่ง รักษาความดีงามในใจของตนให้ได้นะ
(พระอาจารย์เมตตาผู้ร่วมฟัง)
อาจารย์อยากเห็นศิษย์อยู่ในโลก แต่ไม่ทุกข์กับโลก อยู่ในโลกไม่ทุกข์เพราะคำพูดคน อยู่ในโลกไม่เจ็บเพราะการกระทำของคน แต่เข้าใจความเป็นจริง ใครจะเป็นอย่างไรไม่ใช่หน้าที่เราจะไปแก้ไข สิ่งที่เราทำได้คือรักษาจิตให้ปกติและดีงามมีธรรมอยู่เสมอเท่านั้นเป็นพอใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์อยากโอบกอดศิษย์ทุกคน อยากให้กำลังใจศิษย์ทุกคน มุ่งมั่นบำเพ็ญไปให้ถึงที่สุด อย่าล้า อย่าท้อ อย่ายอมแพ้ใจตัวเองนะได้ไหม (ได้)  ให้ได้จริงๆ นะ มีโอกาสกลับมาศึกษา เรียนรู้ เข้าใจตัวเองให้มากๆ นะศิษย์ได้ไหม เข้มแข็ง อดทน กล้าหาญ ก้าวหน้า เดินทางธรรมให้ถึงที่สุดนะได้ไหม (ได้)  ไม่รู้จะพูดอะไร มันตื้นตันใจไปหมด แค่เห็นศิษย์กลับมาก็ดีใจแล้ว แต่จะดีใจมากกว่านี้ ถ้ามุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีอย่างคนดีแท้จริง มุ่งมั่นปฏิบัติธรรมอย่างคนมีธรรมแท้จริงใช่ไหม (ใช่)
ไม่ต้องขอบคุณอาจารย์หรอกนะ อาจารย์รอวันศิษย์เดินได้และปฏิบัติได้จริง และกลับไปหาอาจารย์อย่างคนที่ทำถึงธรรม ทำเข้าถึงธรรมนะ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  พระอาจารย์ไปแล้วนะ รู้จักคิด รู้จักพูด รู้จักทำ อย่าเป็นเด็กดื้อของอาจารย์ เข้มแข็ง นำพาคนให้ได้ด้วยหัวใจที่เด็ดเดี่ยว สู้ไม่ถอยนะ
ใครที่ตอบแล้ว นั่งลงก็ได้นะ ใครที่ยังไม่ตอบ ยืนตอบอาจารย์ใช่ไหม อะไรที่ทำให้เราทุกข์  ความดื้อหรือเปล่านะ (ความคิด)  ตอบได้ดีนะ ฉะนั้นถ้าคิดแล้วคิดไม่ถูก จงใช้สติยั้งคิด (ความไม่มีสติ ใช้แต่อารมณ์)  อายุเท่านี้แล้วนะ ต้องอารมณ์เย็นขึ้น ใจเย็นขึ้น ใช้ธรรมกำกับความคิดนะ                  (ไม่รักดี)  ชอบดื้อใช่ไหม (จิตใจ)  จิตใจเป็นอย่างไร ใจร้ายมากกว่าใจดี (ใจร้าย)  จริงหรือ คนแบบนี้ใจร้ายไหมศิษย์ ดูไม่ร้ายนะ ใจดีออกใช่หรือไม่ ฉะนั้นพยายามใจดี อย่าใจนักเลง แล้วรู้จักมีศีลมีธรรมได้ไหม (ได้)  อายุเท่านี้แล้วโรคภัยก็เยอะแล้วนะ ไม่รักตัวเองหรือ อยากตกนรกไหม (ไม่)  กลัวตายไหม (กลัว)  แล้วทำดีหรือยัง (ทำ)  ทำอะไร ศีลห้าครบไหม (ไม่ครบ)  ศีลห้ายังไม่ครบเลย
(มีสติทุกขณะที่คิด พูด ทำ)  รู้จักเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องก็พอแล้วนะศิษย์ อะไรที่มันผิดรีบแก้ไขก่อนที่มันจะก่อภัยก่อทุกข์ อาจารย์เตือนได้แค่นี้นะ
(ใครร้ายร้ายตอบ ใครแรงมาแรงตอบ)  เจ๊งแน่ๆ นะศิษย์ ต่อไปยอมได้ยอมนะศิษย์ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวชีวิตมันจะสั้นจริงไหม (จริง)
(สติความคิด)  ทุกข์เพราะการกระทำของตนที่ไม่มีสติยั้งคิดใช่ไหม (ใช่)  ชอบกินเหล้า ชอบดูดบุหรี่ ชอบไปดูแข่งนก ชอบดูชนวัว ใช่ไหม (ใช่)  ควรทำอีกไหม (ไม่)  ควรเข้าวัดเข้าวาบ้างนะ อายุปูนนี้แล้ว อบายมุขนำไปสู่นรก เปรตและเดรัจฉานนะศิษย์  มีลมหายใจจงเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องก่อนที่หมดลมหายใจแล้วแก้อะไรไม่ได้นะศิษย์
(ดื้อ)  ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ ขี้เกียจ ต่อไปต้องขยัน กล้ารับผิดชอบ อย่าอู้ มีน้ำใจช่วยเหลือพ่อแม่ พูดดังๆ ว่าผมจะ (ขยัน)  และจะรัก (พ่อ แม่)  ดังๆ  เรื่องดีเราต้องกล้า เรื่องไม่ดี เราต้องหด ต้องทำให้ได้นะ วาจาบางทีก็ไม่สำคัญเท่าการกระทำนะศิษย์
(การมีทิฐิมานะของตน, ไม่รู้)  รู้ก็ทุกข์ ไม่รู้ก็ทุกข์ แต่สิ่งที่สำคัญคือไม่รู้คนอื่นไม่เป็นไร ขอให้ศิษย์รู้และเท่าทันใจตนเอง อย่าตกเป็นทาสอารมณ์ แล้วต่อไปนี้ อย่ามองแต่ตัวเอง ถ้าสงสารตัวเองมาก เราจะไม่สงสารใคร ถ้าคิดถึงตัวเองมากเราจะลืมคิดถึงคนอื่น มีเราได้ทุกวันนี้ ก็จะต้องมีอีกคนที่เหนื่อยเพราะเรา ฉะนั้นอย่าลืมคนที่เขาห่วงเรา รักคนที่เขารักเราด้วย อย่ามัวแต่รักตัวเอง
(อารมณ์ร้อน)  ถ้าอย่างนั้นใจเย็นนะ (พูดไม่ค่อยคิด)  ตอบได้ดี
รู้จักมีความสุขตลอดยิ้มได้ในทุกเรื่อง ทุกข์มันก็ไม่มี จริงไหม
(ทุกข์เพราะว่าโลภ โกรธ หลง)  โลภ โกรธ หลงยังตัดไม่ได้สักทีนะ อายุเท่านี้แล้วนะ โลภยังตัดไม่ได้ ยังโลภอยู่อีกหรือ ยังโกรธอยู่อีกหรือ หลงหลาน โมโหหลาน แล้วก็โกรธหลาน ช่างเขาเราดูแลก็พอ อย่าไปทุกข์ใจเลย ทุกข์ใจก็เปล่าประโยชน์ ไม่อย่างนั้นก็เลี้ยงเองเลย เขาจะได้ไม่ด่า ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องไปทุกข์ ทำให้ดีที่สุดเพราะว่าสุดมือแล้วเราก็ควบคุมอะไรไม่ได้ จริงไหม เราเปลี่ยนโลกให้เป็นดั่งใจไม่ได้ เปลี่ยนคนให้เป็นดั่งคิดไม่ได้ ขอแค่เพียงตัวเราทำตัวเองให้ดี ใครจะเป็นอย่างไรเราห้ามไม่ได้ จริงไหม
(อยู่คนเดียว)  อดไม่ได้ที่ฟุ้งซ่าน เหงาไหม ไม่เหงาใช่ไหม อาจารย์อุตส่าห์ดีใจนึกว่าอยู่คนเดียวนี่คือไม่เหงาแล้วอยู่คนเดียวได้ ศิษย์เอ๋ย ถึงที่สุดศิษย์ไม่เคยพลัดพราก ศิษย์ไม่เคยมีคู่ เวลาคนที่เขามีคู่แล้วเขาพลัดพรากมันเจ็บ แล้วการที่เคยอยู่กับคู่มาตลอดแล้ววันหนึ่งต้องอยู่คนเดียวไม่มีคู่ อาจารย์ไม่เคยเห็นใครเข้มแข็งสักที แต่ศิษย์เข้มแข็งได้ ขอแค่เพียงยอมรับ อย่าฟุ้งซ่าน เมื่อไรที่ฟุ้งซ่านจงมองด้วยสติ อยู่มาตั้งยี่สิบกว่าปี อยู่มาตั้งสี่สิบปี ทำไมอยู่ไม่ได้ พรุ่งนี้ฉันจำเป็นจะต้องมีหรือ ไม่มีฉันจะอยู่ให้ได้ ฟุ้งซ่านเมื่อไร สวดมนต์ ฟุ้งซ่านเมื่อไรไปทำบุญใส่บาตร ฟุ้งซ่านเมื่อไรนั่งสมาธิ มันอยากฟุ้งๆ ไปแต่ฉันจะสงบ ฉันจะเด็ดเดี่ยว ทำให้ได้นะ
(เป็นห่วงลูก)  ศิษย์เอ๋ย คนเป็นลูกนี่ทำไมไม่ทำตัวให้น่ารักนะ แต่อาจารย์ถามจริงๆ อยากให้ลูกเป็นดังใจ หรือยอมรับให้ลูกเป็นอย่างที่เขาเป็นอย่างไหนสุขกว่ากัน เห็นเขาดีกว่าไม่เห็นเขา ถ้าแม่เอาแต่บ่น แม่เอาแต่ว่า ไม่มีประโยชน์ ถ้าเขาหนีไปเราก็ช้ำใจ ฉะนั้นรับให้ได้ลูกจะเป็นอย่างไรบอกคำเดียวว่าแม่ก็รักหนูตลอด ไม่ว่าหนูจะถูกจะผิดแม่ก็รัก ไม่ต้องบ่นไม่มีประโยชน์ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น เพราะเด็กดื้อเหลือเกิน ถ้าพูดถึงคนโบราณจะกล่าวไว้ว่า ตำแหน่งจะมีได้ก็ต่อเมื่อมีคุณธรรมบารมีถึงพร้อม แต่ถ้าคุณธรรมบารมีไม่ถึงพร้อมก็ไม่สามารถเป็นจ้าคนนายคนได้ ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญอยู่ที่ตัวเรา แล้วถ้าเขาเป็นเจ้าคนนายคนแล้วเขาโดนกดดัน โดนด่า โดนยัดเยียด ถึงตอนนั้นศิษย์จะบอกว่าให้เขาเป็นคนธรรมดาพอแล้ว
(ชอบคิดกังวล)  ถ้าทำให้ดีที่สุดทำไมต้องคิดกังวล ทำเต็มที่ที่สุดทำไมต้องหวาดกลัว เต็มที่หรือยัง ใช่หรือไม่ (ทุกข์เพราะเป็นห่วงแม่)  ตัวเองดูแลตัวเองให้ดี ถ้าเราเข้มแข็งเราก็มีแรงดูแลแม่ได้ แต่ถ้าเราไม่เข้มแข็งเรายอมแพ้เราบ่น แม่ก็เฉาใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นขอแค่เพียงมุ่งมั่นเข้มเเข็งสิ่งที่ดีเราก็ช่วยแม่แล้ว (ไม่ทุกข์เพราะพยายามมีศีลประจำใจ)  ยุงมา เราไม่ตบ เราแค่ขยี้เฉยๆ คนมีศีลประจำใจ ความเมตตาจะทำให้เรามีอายุยืน (ทุกข์เพราะคิดมากสับสน)  เมื่อวานศิษย์พี่นาจาเมตตาว่าความคิดง่ายที่จะไหลลงที่ต่ำมากกว่าขึ้นสูง คิดร้ายง่ายกว่าคิดดี ใช่หรือไม่
(อยากให้แม่แข็งแรง)  ชีวิตนี้หนีไม่พ้นความแก่ ความเจ็บ และความตายใช่ไหม ฉะนั้นเราเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ หน้าที่ของเราคือทำให้ดีที่สุด เราห้ามความแก่ ความเจ็บ ความตายไม่ได้ แต่ขอให้มีปัญญาสู้กับความแก่ ความเจ็บ ความตาย ด้วยการดำรงชีวิตอย่างถูกต้องมีธรรม แม้ตายก็ไม่น่ากลัว แม้เจ็บก็ไม่ใช่เรื่องที่โหดร้าย แต่ทำให้เรารู้จักปลดปลงสังขารลงได้ด้วยการไม่ยึดติด และกลับคืนสู่สภาวธรรมที่เราจากมา แต่การยึดมั่นถือมั่นและการห่วงอันนั้นห่วงอันนี้ คิดอย่างนั้นคิดอย่างนี้วางไม่ลง นั่นคือการนำพาให้ตัวเองทุกข์ และเวียนว่ายในกรรมที่เราสร้างร่วมกับผู้คน
(สติมาปัญญาเกิด)  สติเตลิด (จะเกิดปัญหา)  ฉะนั้นขอให้ทำอะไรมีสติ ศิษย์เอ๋ย ปัญหา ความทุกข์ ความผิดพลาด ทำให้เรารู้จักตน สิ่งที่เราคิดว่าเราเข้มแข็ง สิ่งที่เราคิดว่าเรารู้ แต่เมื่อเจอปัญหา เราจึงได้เห็นชัดว่า เราไม่เคยเข้มแข็ง เราไม่เคยรู้ และเราไม่เคยเข้าใจอะไรจริงๆ
ฉะนั้นมนุษย์กลัวปัญหา กลัวความผิด กลัวความทุกข์ แต่พุทธะไม่เคยกลัวปัญหา ไม่เคยกลัวความผิด ไม่เคยกลัวความทุกข์ เพราะปัญหา ความผิด และความทุกข์ ทำให้เรามองเห็นใจเราชัดเจนขึ้น ว่าจริงๆ เราเข้มแข็ง หรือจริงๆ เราไม่ได้เข้มแข็ง จริงๆ เรารู้หรือจริงๆ เราไม่รู้ เหมือนเราฟังธรรมเข้าใจว่า อดทน ให้อภัย มีเมตตา แต่ถึงเวลาอดทนไหม เมตตาไหม เข้าใจคนอื่นหรือไม่ ทำไม่ได้เลยต่างหาก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ลองเอาไปศึกษาดูนะศิษย์ สิ่งที่อาจารย์ให้คือกลอนสามบทนี้ ถ้าเรามีบุญกันอยู่ เราคงได้เจอกันอีกดีไหม (ดี)  จำไว้นะศิษย์ อยู่ในโลกสร้างบุญ อย่าสร้างบาป อยู่กับใคร จงอยู่อย่างคนมีบุญร่วมกัน อย่าอยู่อย่างมีบาปกรรมร่วมกันเลย  บุญ คือสิ่งที่ให้ไปแล้วทำให้จิตเบา จิตว่าง จิตโปร่ง จิตใส แต่ บาป คืออยู่ด้วยกันแล้วมีแต่หนัก มีแต่ทุกข์ มีแต่เจ็บ แล้วศิษย์อยากอยู่กับคนบนโลกด้วยบุญหรือด้วยบาป (ด้วยบุญ)  แล้วเราให้บุญหรือเราให้บาป (ให้บุญ)  ถ้าให้ความทุกข์ ให้ความเจ็บปวด ก็ให้บาป แต่ถ้าให้ความเมตตา ให้ความจริงใจ ให้ความซื่อตรง ให้ความเข้าใจ นั่นก็คือการให้บุญ ปฏิบัติธรรมเริ่มที่ตัวเรา เอาธรรมออกจากใจ เอาธรรมยื่นให้ผู้คน อยู่อย่างคนมีธรรมและให้ธรรม เราก็จะกลับคืนสู่ธรรมได้ แต่ถ้าอยู่อย่างคนมีอัตตาตัวตน ศิษย์ก็หนีไม่พ้นกรรมดี กรรมชั่ว และหนีไม่พ้นวิบากกรรมที่เรียกว่า นรก สวรรค์ และอบายภูมิ ถามตัวเองนะ วันนี้ที่เราทำพ้นเวียนว่ายตายเกิดไหม วันนี้ที่เราทำพ้นทุกข์มีธรรมหรือไม่ อย่าประมาทการดำเนินชีวิต ตายเกิดแล้วไม่จบ ถ้ายังยึดมั่นไม่ปล่อยวาง ตายแล้วไม่มีวันหมด ถ้ายังมีกรรมและไม่ชำระสะสางให้สิ้นกรรม ฉะนั้นจงอยู่อย่างคนไม่สร้างกรรมใหม่ ใช้กรรมเก่าโดยการมีธรรม ไม่มีกรรม ปฏิบัติธรรมไม่สร้างกรรม แล้วทำอย่างไรล่ะ ก็แค่ทำด้วยธรรม อย่าทำด้วยอารมณ์ความเป็นตัวตน เพราะจะกลายเป็นกรรม ยากไหม (ไม่ยาก)  พอเข้าใจสิ่งที่อาจารย์พูดนะ
อาจารย์คงต้องกลับแล้วนะ ถึงเวลาเป็นเรื่องปกตินะ มีพบก็มีพราก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าทุกวันศิษย์ทำดีที่สุดแล้ว เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ปฏิบัติต่อผู้คนไม่ขาดซึ่งคุณธรรมความเป็นคน เจ็บก็ไม่ต้องกลัว ตายก็ไม่เสียดาย เพราะเต็มที่ที่สุดแล้ว แล้วศิษย์ล่ะเต็มที่หรือยัง ดีแบบคนพ้นกรรมไหม หรือยังอยากเวียนว่ายตายเกิดในทุกข์ไม่จบสิ้น ถ้าไม่อยากลองเอาธรรมที่อาจารย์พูดไปปฏิบัติ ยากไหม (ไม่ยาก)  ถือคุณธรรมเป็นหลัก ไม่ถือตัวเองเป็นหลัก ถือความเมตตาเป็นหลัก ไม่ถืออารมณ์นิสัยเป็นหลัก ทำอะไรด้วยสติยั้งคิด ได้ไหม (ได้)  ลองตรองดูสิ่งที่ทำ มีเมตตาไหม จริงใจไหม เห็นใจไหม รู้จักเข้าใจคนอื่นไหม ไม่ยากเลยนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตั้งใจนะ ตั้งใจทำในสิ่งที่ดีงาม รู้คุณค่าของตัวเอง อย่าดูถูกคุณค่าของตัวเอง รู้จักรักชีวิตตัวเองนะ ทำให้ได้นะ บุญรักษา ความดีนำพา เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง อาจารย์คงต้องไปแล้วนะ รักษาบุญรักษาโอกาส ดูแลตัวเองให้ได้ เข้มแข็งให้เป็น อย่าดื้อดึง ทำให้ได้ อย่าดื้อมาก รู้จักรักตัวเอง อย่าหลงคำพูดคน จนลืมความมุ่งมั่นของตัวเอง ในสิ่งที่ถูกต้องและดีงามนะ บุญรักษา นำพาให้ชีวิตร่มเย็น ลำบากไหม เมื่อยไหม เหนื่อยไหม รู้เรื่องหรือเปล่า กินผักนะ ชีวิตจะเป็นอะไรไม่สำคัญ สำคัญที่ชีวิตต้องมุ่งมั่นสู้ มีโอกาสมาฟังอีกนะ ได้ไหม อาจารย์ต้องให้กำลังใจอะไรอีกไหม ไม่ต้องแล้วใช่ไหม เจอเรื่องราวอะไร ขอให้ผ่านไปได้ด้วยหัวใจที่เข้มแข็งนะ รักษาความถูกต้องดีงามด้วยหัวใจที่ตื่นรู้ด้วยความเป็นจริง ชีวิตจะเป็นอย่างไร ผ่านให้ได้นะ
ต่อไปเดินหน้าสู้ ระวังคำพูด ศิษย์ก็คือคนสำคัญ แต่คำพูดเราก็สำคัญ อย่าให้คำพูดเราทำร้ายใคร ศิษย์ต้องเข้มแข็ง มุ่งมั่น เชื่อมั่น อย่ายอมแพ้ อย่าให้อาจารย์ต้องห่วงอีก หนทางธรรมไม่ยาก สิ่งที่ยากคือหัวใจที่ชอบไม่ยอม หนทางธรรมไม่เคยยาก แต่ที่ยากคือหัวใจที่ดื้อรั้นและไม่ยอมฟังอะไรง่ายๆ อะไรจะเกิดก็เกิด ขอแค่เพียงเราเข้าใจและมองเห็นความเป็นจริง มุ่งมั่นแล้ว ไปให้ถึง ดีแล้วดีให้สุด อย่ายอมแพ้ ร่วมมือกันนำพากันให้ถูกทาง ไม่แข่งกัน ก้าวไปพร้อมกันได้ไหม แม้จะลำบากก็ฟันฝ่าให้ได้ แม้จะทุกข์ก็อย่าท้อ แม้จะล้าก็ไม่มีวันถอย เข้มแข็งได้จริงๆ ไหม มีโอกาสมาฟังธรรมให้เข้าใจ ศิษย์ล้วนมีบุญนะ อย่าดูเบาบุญของตัวเอง เดินหน้าแล้วไปให้ถึงที่สุด อย่าปล่อยให้ความร้ายมาทำร้ายความดีในใจตนเอง ศิษย์ตั้งใจบำเพ็ญด้วยหัวใจที่มุ่งมั่น ไม่ใช่หวั่นไหวอะไรนิดหน่อยก็ยอมแพ้แบบนี้ไม่ไหวนะ ไปให้ถึงที่สุดได้ด้วยหัวใจเด็ดเดี่ยว เข้มแข็ง เลือกทำแต่สิ่งที่ถูกต้องก่อนที่จะสายเกินแก้ ความดีของตัวเองคืออะไร คือความมั่นใจและรู้คุณค่าของตัวเอง ศิษย์มีคุณค่าแต่ศิษย์ชอบดูเบาคุณค่าตัวเอง รู้จักรักตัวเองนะศิษย์ อย่าทำร้ายตัวเองในสิ่งที่ผิดเลย
เมื่อไรจะทำให้อาจารย์หายห่วง เมื่อไรจะเข้มแข็งมุ่งมั่นแล้วทำให้อาจารย์มั่นใจว่าข้างหน้าอาจารย์ไม่ต้องห่วงศิษย์แล้ว ถามใจตัวเอง ถึงที่สุดหรือยัง ถ้ายังไม่ที่สุด ลงมือให้ที่สุด ถ้ายังไม่ที่สุด ทำให้ที่สุด
กลับแล้วนะ มุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องดีงามไปให้ถึงที่สุด เต็มกำลังที่สุดในชีวิตหนึ่งที่ศิษย์จะทำได้ แล้วศิษย์จะไม่มีวันเสียดายเลยที่เกิดมา แม้จะต้องตายไปในวันนี้ เชื่ออาจารย์เถิดนะ แล้วเราจะรู้ว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร เกิดมาเพื่อกลับสู่ความเป็นจริงและยอมรับความเป็นจริงที่เรียกว่า “ธรรมะ” ธรรมะที่นำพาไปสู่ความว่าง สงบ เย็น ไม่ยึดมั่นถือมั่น   


          พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สติมาปัญญาเกิด”
    รู้ผิดกล้าแก้ไขจึงก้าวหน้า              ปัญหาชี้ข้อบกพร่องให้ตนรู้
ทุกข์สอนให้ตนรู้ตนย้อนมองดู             ที่เข้าใจว่ารู้อาจห่างความจริง
คนรู้จริงไม่หยุดนิ่งการเรียนรู้              คนดีอยู่ที่ไหนพร้อมฝึกฝนยิ่ง
ธรรมงดงามหลงตนพลาดทุกข์ยิ่ง          มองตามจริงอย่าอิงเข้าข้างไป

    สติเรียกใจนิ่งตรอง                      ครองใจเป็นกลางลงได้
ใช้ธรรมกำราบหัวใจ         แจ้งในธรรมตามเป็นจริง


 แก้ไขเพลงพระโอวาทที่ท่านเสี่ยวผีเซียนถง เมตตาให้ไว้ ณ สถานธรรมจินจง เมื่อวันที่ 16-18 มิถุนายน 2561    

จากเดิม  เมื่อยังไม่ถาม เจ้าลืมหรือเปล่า
แก้เป็น  เมื่อยังไม่ถาม ท่านลืมหรือเปล่า

เดือนดาวจ้องมองดูเรา ไกลเท่าเข้าใจแนบชิด ใต้แสงแห่งธรรมฉายส่อง ท่านต้องบำเพ็ญให้มั่นใจ
ไม่มีสุขทุกข์ใด...ยั่งยืน ตื่นเถิดใจนี้ รักษาทุกวันให้ดี จงอย่าได้ไร้ปัญญา
* ที่มองที่เห็น ที่เป็นทุกอย่าง อะไรที่ทำทุกข์ใจ ไม่ปลงไม่พ้น รีบปลงไม่สาย ปัญหาหามาถือไว้เอง
เมื่อยังไม่ถาม ท่านลืมหรือเปล่า ความคิดอย่าได้แค่คิด ทบทวนด้วยใจ กันด้วยธรรม เห็นด้วยธรรม สุขที่ใจ คล้ายวิมาน
ทำนองเพลง หนึ่งคำที่ล้นใจ
ชื่อเพลง ไกลเท่าเข้าใจแนบชิด


อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2561

2561-06-17 สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร

西元二○一八年歲次戊戌五月初四日                                          仙佛慈悲訓

วันอาทิตย์ที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑                         สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  แม้สวดมนต์ใส่บาตรฟังธรรมะ          แต่ไม่ลดละเคยชินและนิสัย
เที่ยวว่าเขาเข้าข้างตัวเอาแต่ใจ           ยากเข้าถึงหัวใจแห่งธรรมะจริง
                                เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่พุทธสถานจินจง  แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม

  แจ้งโลกธาตุ[1]อย่างไรในเมื่อหนึ่งเดียวไม่รู้  ผู้เฝ้าดูดวงจิตเป็นกับไม่เป็น
ปลงไม่เป็นยังปรุงแต่งสิ่งที่เห็น               วางไม่เป็นยึดสัจจะสร้างตัวสร้างตน
ฝันที่พังมลายจะกรรมหรือความประมาท    ผู้เพียรตัดขาดอัตตาสิ้นด้วยฝึกฝน
ผู้มีธรรมในจะอยู่ก็เหมือนพ้น                อย่าเวียนวนมลทินซึ่งไร้ความเมตตาปรานี
ทำกายใจให้ว่างว่างไม่ต้องฝืน                คนเดิมคืนถิ่นคืนธรรมในความดี
ทำดีมีธรรมอยู่ทั่วไปความดี                  ทำดีละชั่วสัจจะทำความเป็นจริง
ควบคุมตนอยู่คงมีแต่ดีขึ้น                    ตามใจตนเมามึนไปได้ทุกสิ่ง
ค้นใจตนขณะที่หาที่ความจริง                คำว่าจริงจะเที่ยงแท้ไม่เคยมี
    ต่อให้ชัดเจนก็ชัดสุดแค่นั้น                   แม้แต่ขันธ์ต้องว่างไร้จึงเต็มที่
มีไม่เที่ยงในไม่เที่ยงคือไม่มี                   ลอกกระพี้[2]ชี้แก่นจริงใครก็ต้องการ
ไม่อยากใช้ธรรมแท้อยากใช้มักคุ้น            ทุกวันวุ่นโลภทุกข์อยากอยู่อย่างนั้น
รู้ตัวว่าหลงเป็นปลงไม่ปล่อยผ่าน            หากดื้อรั้นยากเปล่าในพ้นทุกข์ไกล
ยิ่งลดละยิ่งว่างตัวเองให้หมด                 แจ้งในกฎแห่งสามกาล[3]เป็นคนใหม่
น้ำใสใจจริงสิ่งตระหนักเดินทางไกล         ไกลแค่ไหนแก่นแท้สัจธรรมมานำทาง
                                                                         ฮา ฮา หยุด




[1] โลกธาตุ : แผ่นดิน
[2]กระพี้ : ส่วนของเนื้อไม้ที่หุ้มแก่น,  เนื้อไม้ที่อยู่ระหว่างเปลือกกับแก่น
[3] สามกาล : 三心 จิตที่ผูกพันกับอดีต ปัจจุบัน อนาคต

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ฟังมาเกือบวันครึ่งบางทีเราก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ตรงนี้ปฏิบัติธรรมกันอย่างไร เพราะว่าปกติเราก็ปฏิบัติธรรมกันมาบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  สวดมนต์ไหม (สวด)  ตักบาตรไหม (ตัก)  ทำบุญไหม (ทำ)  ทำบ่อยไหม (บ่อย, ไม่บ่อย)  นานๆ ทีหรือนานๆ ถี่ (นานๆ ที)  แปลว่าเราก็มีการทำบุญ สวดมนต์ มีไหว้พระมาบ้างใช่หรือไม่ เรียกว่าเราปฏิบัติธรรมถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าเราปฏิบัติธรรม ทำบุญ ใส่บาตร สวดมนต์แล้ว เราเหมาตัวเองว่าเป็นคนดีได้หรือไม่ (ไม่ได้)  เมื่อเหมาตนเองว่าเป็นคนดีไม่ได้ อย่างนั้นเรามีสิทธิ์ว่าใคร โกรธใครได้หรือไม่ (ไม่ได้)  แต่อาจารย์เห็นบางคนไม่ใช่แบบนั้นนะ บางทีพอทำบุญใส่บาตร พยายามมีศีลมีธรรม แล้วก็เหมาว่าตนเองเป็นคนดี มีสิทธิ์ด่าใครที่ไม่ดีได้ มีสิทธิ์ตัดสินคนอื่นว่าไม่ดีได้และก็มีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ว่าคนอื่นชั่วร้ายได้ อย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เราเป็นอย่างนั้นเป็นบางครั้งหรือเกือบทุกครั้งกันล่ะ ถ้าเรามั่นใจว่าเราปฏิบัติดี แปลว่าอยู่ทุกที่เราก็ต้องปฏิบัติดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  และคนที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติแค่ที่วัดหรือทุกๆ ที่ (ทุกที่)  ฉะนั้นถ้าท่านเป็นผู้หนึ่งที่มุ่งมั่นอยากเป็นคนดีและมุ่งมั่นอยากปฏิบัติดี การปฏิบัติดีที่แท้จริงจึงไม่ใช่เอาความดีไปข่มคนอื่น การปฏิบัติดีที่แท้จริงคือทุกที่ก็สามารถปฏิบัติดีได้ การปฏิบัติดีที่แท้จริงไม่ใช่ปฏิบัติดีแต่กับพระ แต่เราต้องสามารถทำเหมือนทุกคนเป็นพระในทุกที่ เพราะเขากำลังมาโปรดเรา ให้เราเห็นพระแล้วเราจะได้เป็นพระ แต่เราทำได้อย่างนั้นไหม (ไม่ได้)
เราถามท่านง่ายๆ ถ้าพูดถึงธรรม ธรรมน่าจะแปลว่าความสงบ เย็น สบาย ถ้าอยากมีธรรม อยากพ้นทุกข์จึงต้องเข้าใจความหมายของธรรมให้แท้จริง และต้องเข้าใจการปฏิบัติธรรมให้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นเดินแล้วจะหลงทาง กลายเป็นการปฏิบัติตามใจตัวเอง ดังนั้นถ้าเราปฏิบัติกับใครแล้วเกิดความสงบ เย็น สบายใจ นั่นคือการปฏิบัติธรรม อยู่กับเขาแล้วทำให้เขาร่มเย็นเป็นสุข นั่นคือการปฏิบัติธรรม ฉะนั้นอย่ามองการปฏิบัติธรรมอย่างคับแคบตีกรอบ อย่ามองธรรมอย่างคับแคบจดจ่อ แต่จงมองแล้วเปิดให้กว้าง แล้วเราจะเห็นว่าเราก็ปฏิบัติธรรมได้จริงในทุกที่กับทุกคนจริงหรือไม่ (จริง)
ที่สุดของการปฏิบัติธรรมคือการดับทุกข์ แล้วศิษย์ปฏิบัติธรรมทุกที่หรือไม่เคยปฏิบัติเลยสักที่ คนที่ปฏิบัติดีจะไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ที่ไหนก็ต้องปฏิบัติดีจึงจะเรียกว่าเป็นนักปฏิบัติดีตัวจริง แต่ศิษย์เป็นนักปฏิบัติไม่จริง เพราะเลือกที่จะปฏิบัติกับบางคนเท่านั้น ศิษย์เป็นเช่นนั้นไหม
ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม ถือว่ามาร่วมผูกบุญสัมพันธ์กัน แต่จะเป็นบุญหรือเป็นกรรมต่อกัน มนุษย์นั้นแปลก อยู่กับใครมักบอกมีบุญได้เจอกัน แต่พออยู่นานๆ รู้จักนิสัยใจคอ ก็จะบอกว่าเหมือนมีกรรม โดยเฉพาะสามีหรือภรรยา บุญนำพาหรือกรรมนำส่ง (กรรมนำส่ง)  แต่ตอนที่แต่งงานกันใหม่ๆ ไม่เห็นบอกว่าเป็นกรรม ให้มองเป็นบุญดีกว่า ถ้ามองเป็นกรรมก็ต้องก้มหน้ารับกรรมต่อไป ถ้ามองเป็นบุญก็มีแต่ความสบายใจสุขใจ แต่ถ้ามองเป็นกรรม เมื่อต้องมาเจอกันก็มีแต่ทุกข์ใจจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นกรรมหรือบุญที่ได้มาเจอกัน (บุญ)  ไม่อาจหยั่งได้ จนกว่าเราจะได้เรียนรู้ใจซึ่งกันและกันและดำเนินชีวิตร่วมกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
ตอนนี้อยากยืนหรืออยากนั่ง (นั่ง)  ถ้าอาจารย์ไม่ให้นั่งแปลว่าบุญหรือกรรม (กรรม)  จะบุญหรือกรรมอยู่ที่ใจเราคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าไม่ได้นั่งคือกรรมจริงๆ หรือ (ถ้ายืนทำให้มองไม่เห็นอาจารย์)  จิตนิ่งอยู่ที่ไหนก็สามารถเห็นอาจารย์ได้ ถึงตอนนี้ตาจะมองเห็นอาจารย์ แต่ถ้าใจไม่นิ่งเห็นก็เหมือนไม่เห็น จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นยืนหรือนั่งดี (นั่ง)  ให้อาจารย์นั่ง แล้วให้ศิษย์ยืนใช่ไหม (ใช่)  ยืนไหวไหม เวลาศิษย์ยืนเชียร์บอลยังยืนได้เป็นชั่วโมงๆ เลย เวลาไปจ่ายตลาดยังเดินได้นานไม่เห็นเมื่อยเลย ก็คิดว่าตอนนี้มาจ่ายตลาด มาเชียร์บอลกับอาจารย์ จะได้ไม่เมื่อยได้ไหม (ได้)
อาจารย์ถามศิษย์หน่อยนะ ในโลกนี้สิ่งใดร้ายที่สุด (ใจตัวเอง)  ใจแบบไหนที่เรียกว่าร้าย (คิดไม่ดีต่อคนอื่น)  คิดไม่ดีบ่อยไหม ถ้าคิดไม่ดีบ่อยจะได้บอกให้คนอื่นๆ อยู่ห่างๆ ศิษย์ไว้ เพราะว่าไม่ว่าจะทำดีอย่างไรศิษย์ก็คิดไม่ดี
ใจคือสิ่งที่น่ากลัวและร้ายที่สุด เพราะใจคนมีทั้งดีร้าย ที่ดีก็ดีใจหาย ที่ร้ายก็ร้ายน่ากลัว ฉะนั้นคนที่ยอมรับว่าตัวเองร้ายก็ยังพอที่จะควบคุมจัดการได้ คนที่บอกว่าตัวเองร้าย อะไรบ้างที่ทำให้เราร้าย แล้วคนที่คิดว่าตัวเองดีจะร้ายได้ไหม (ได้)  แปลว่าเริ่มรู้ตัวแล้ว เพราะคิดว่าตัวเองดีใครว่าไม่ได้ เราเป็นแบบนั้นไหม (เป็น)  บางครั้งก็คิดว่าตัวเองดีมีสิทธิ์ว่าคนอื่นได้ บ้างก็คิดว่าตัวเองดีทุกคนต้องดีกับฉัน อย่างนี้เรียกว่าร้าย
ฉะนั้นสิ่งที่เราต้องระมัดระวังในการศึกษาปฏิบัติธรรมคือ นอกจากปฏิบัติให้ดีแล้ว ต้องมีสติรู้เท่าทันใจตัวเองด้วย เพราะไม่ว่าจะดีหรือร้าย เราก็พร้อมเป็นคนที่น่ากลัวได้เสมอ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วคนที่ชอบสงสารตัวเอง ร้ายได้ไหม (ได้)  อาจารย์ถามหน่อย “ฉันเหนื่อย ฉันไม่ไหว ไม่เอา แกทำไป” ร้ายไหม (ร้าย)  เมื่อไรที่เห็นแก่ตัวเอง สงสารตัวเองมากเท่าไร เราก็พร้อมที่จะเอาเปรียบและร้ายกับคนอื่นโดยไม่ตั้งใจ แต่จริงๆ ก็แอบมีเจตนาเล็กๆ ถูกไหม (ถูก)  เพราะเมื่อไรที่เราเห็นใจตัวเอง เราจะเห็นใจผู้อื่นน้อยลง เมื่อไรที่เราสงสารตัวเองมาก เราจะสงสารผู้อื่นได้น้อยลง ฉะนั้นอย่าคิดว่า คำว่าสงสารจะไม่น่ากลัว ศิษย์คิดว่า “ฉันเหนื่อยแล้ว ไม่ไหวแล้ว แย่แล้ว” แล้วศิษย์เคยมองเห็นไหมว่า คนอื่นที่เขาก้มหน้าก้มตาทำ เขาก็เกือบจะตายอยู่แล้ว
เมื่อไรที่ศิษย์มีกินโดยที่ไม่ต้องทำอะไร เมื่อไรที่ศิษย์มีโอกาสได้โดยที่ยังไม่ได้สร้างผลงาน จำไว้ว่าต้องมีอีกคนหนึ่งที่เขาต้องเหนื่อยมากกว่าเราเป็นหนึ่งเท่า เพื่อทำให้เราได้กิน ได้ผลงาน ฉะนั้นอย่าสงสารตัวเองจนลืมสงสารผู้อื่น อย่าเห็นแก่ตัวจนลืมเห็นใจคนอื่น เพราะความสงสารตัวเองก็จะทำให้เราสร้างพิษร้ายกับคนอื่นได้เหมือนกัน เพราะทำอะไรทำเพื่อตนเอง คนอื่นไม่สนใจ ร้ายไหม (ร้าย)  เมื่อไรที่ทำอะไรถือตนเองเป็นจุดศูนย์กลาง ทำอะไรเพื่อตนเองเป็นที่ตั้ง คือหนีไม่พ้นเหตุแห่งบาปและความหลง พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า เมื่อไรที่เราเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ หนีไม่พ้นทางบาปหนีไม่พ้นความทุกข์ ไม่มีภัยพิบัติใดในโลกน่ากลัวเท่ากับการสนองความอยากของตนโดยเบียดบังชีวิตผู้อื่น ไม่มีภัยใดน่ากลัวเท่ากับสนองความอยากของตนแล้วผลาญทรัพยากรในโลกเพื่อความต้องการของคนๆ เดียว แล้วเราใช่หรือไม่ใช่คนเช่นนั้น ทำอะไรก็ได้ตามใจอยาก โดยที่ไม่สนใจผิดชอบชั่วดีและถูกต้องในศีลธรรม
มีคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า ถ้ามนุษย์ปรารถนาความสงบสุขเมื่อยามมีชีวิต จงอย่าเบียดเบียนผู้อื่นเพื่อชีวิตตน ผู้ใดทำความยากลำบากให้ผู้อื่น ผู้นั้นจะต้องพบความยากลำบากในชีวิต ผู้ใดรู้จักช่วยเหลือผู้อื่น ผู้นั้นก็จะเท่ากับช่วยเหลือชีวิตตน ผู้ใดเบียดเบียนผู้อื่นแม้กรรมนั้นจะแล่นไปไกลขนาดไหน แต่สักวันหนึ่งกรรมนั้นก็จะกลับมาหาผู้กระทำนั้นอย่างไม่บิดพลิ้ว
ฉะนั้นเกิดเป็นคน อย่าให้ความอยากของตนไปเบียดเบียนชีวิตคนอื่น หรือผิดศีลขาดธรรม เพราะเมื่อกรรมตกผล ต่อให้ศิษย์หนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว ต่อให้ศิษย์พ้นจากชะตากรรมในสังขารนี้ ไม่ว่าจะเกิดกี่ภพกี่ชาติกรรมนั้นก็จะติดตามไปอย่างหลีกหนีไม่พ้น พระพุทธะจึงกล่าวต่ออีกว่า “กิเลสอารมณ์ดุจไฟบรรลัยกัลป์” ถ้าใครคิดอยากจะลองเล่นกับกิเลสอารมณ์ก็หนีไม่พ้นไฟนรก ตัณหาความอยากได้อยากมีเปรียบเหมือนทะเลทุกข์ ถ้าศิษย์ยังหยุดความอยากไม่ได้ ศิษย์ก็หนีไม่พ้นวัฏฏะแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ฉะนั้นแปรความคิดให้กลายเป็นจิตบริสุทธิ์แปรไฟร้อนให้กลายเป็นน้ำเย็น แปรจิตทำบาปทำชั่วเป็นละอายเกรงกลัวต่อบาปกรรม นาวาก็แล่นคืนสู่ฝั่ง เหมือนดังคำกล่าวว่า “เพชรฆาตวางดาบลงก็กลายเป็นพุทธะ” มนุษย์สำนึกได้ ไม่ทำผิด ไม่ก่อบาป เขาก็กลายเป็นพุทธะบนแดนดิน ที่อาจารย์กล่าวยาวมาทั้งหมดนั้นก็มีแค่เพียงจุดประสงค์เดียวคือ เกิดเป็นคนอย่าผิดศีลอย่าขาดธรรมเพียงเพราะความอยากในใจตน
ศิษย์รู้ไหมว่าต้นเหตุของความทุกข์ล้วนมาจากความโลภ โกรธ หลงและการตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาอารมณ์ ฉะนั้นถ้าไม่อยากมีทุกข์ เราต้องหยุดกิเลสอารมณ์ให้ได้ แม้ยากแต่จะพยายามทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์จะบอกวิธีทำให้เราไม่กลายเป็นคนโลภโกรธหลง สมมติว่าศิษย์ไปมีเรื่องกับเขามาแล้วค่อยมาใช้ธรรมะข่มใจ เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  ศิษย์เคยสงสัยไหมว่าทำไมเขาด่าเรา แปลว่าเราต้องไปทำอะไรเขา ทำไมเขาโกงเรา แปลว่าเราต้องเคยไปโกงหรือไปเบียดเบียนอะไรเขามา ฉะนั้นระหว่างการที่เจอปัญหาแล้วจึงค่อยใช้ธรรมะดับทุกข์ กับการที่พยายามใช้ธรรมะก่อนเพื่อไม่สร้างปัญหาอะไรดีกว่ากัน ส่วนใหญ่ก็บอกได้ว่าใช้ธรรมดับเพื่อไม่สร้างปัญหาใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วระหว่างให้ก่อนแล้วค่อยเอาหรือเอาก่อนแล้วค่อยให้ ศิษย์เลือกอะไร (ให้ก่อนแล้วค่อยเอา)  แล้วชีวิตจริงๆ ศิษย์รับมาก่อนแล้วค่อยให้ หรือให้ก่อนแล้วค่อยรับ (รับก่อนแล้วค่อยให้)  ปัจจุบันนี้เราเจอปัญหาเราพยายามใช้ธรรมะข่ม พยายามใช้ธรรมะดับใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มีใครบ้างที่ใช้ธรรมะก่อนที่ปัญหาจะเกิด (ไม่มี)  เพราะสาเหตุง่ายๆ คือเราไปรับก่อนแล้วค่อยให้ สร้างปัญหาเสร็จแล้วก็ค่อยมาแก้ปัญหาด้วย ขันติ อดทน เมตตา แต่ไปทำไม่ดีกับเขามาเต็มที่แล้วค่อยมาขันติ แผ่ส่วนบุญส่วนกุศลใช่หรือไม่ ศิษย์ไปเบียดเบียนเขาก่อน ศิษย์ไปโป้ปดกับเขาก่อน ศิษย์ไปแก่งแย่งกับเขาก่อน ศิษย์ไปร้ายกับเขาก่อน เขาจะร้ายกับเราไหม (ร้าย)  อยู่ๆ เขาไม่มาร้ายกับเราถ้าเราไม่เคยไปร้ายกับเขาก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นตอนนี้การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือหยุดยั้งก่อนที่จะสร้างเหตุให้เกิดทุกข์ แล้วพยายามใช้ธรรมดับทุกข์ ให้ก่อนรับทีหลัง ถ้าทำได้ศิษย์ก็สามารถแก้ปัญหาได้ แต่ถ้าศิษย์ทำไม่ได้ ก็เป็นเรื่องยากที่ศิษย์ต้องตามมาแก้ทีหลังถูกหรือไม่ (ถูก)  อาจารย์ถามนะ ผ้าที่ไม่เคยสกปรกซักอย่างไรก็ขาว จิตไม่เคยแปดเปื้อนทำอย่างไรก็สะอาด ถูกหรือไม่ (ถูก) แต่ในทางกลับกัน ศิษย์ของอาจารย์เอาผ้าไปเปื้อนก่อนแล้วค่อยมาซักให้ขาว เหนื่อยไหม (เหนื่อย)
ศิษย์รักบุญ ชอบทำบุญ ชอบคนมีเมตตา อย่างนั้นยอดของบุญ ยอดของคนมีเมตตาคือ ไม่ทำผิดไม่ทำบาปคือสุดยอดบุญแล้ว จริงหรือไม่ (จริง) ไม่ใช่ไปทำบุญที่หนึ่งแล้วไปด่าอีกที่หนึ่ง ไปเบียดเบียนอีกที่หนึ่ง แล้วค่อยไปทำบุญอีกที่หนึ่ง อย่างนี้เรียกว่าบุญหรือไม่ (ไม่ใช่)  ฉะนั้นยอดของบุญที่แท้คือการไม่ทำบาปเลยนั่นคือสุดยอดบุญแล้ว ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วทำบุญขอหรือไม่ (ขอ)ศิษย์เอยถ้าอยากได้บุญอยากได้มหากุศล ทำบุญแล้วอย่าขอ บุญนั้นจะกลายเป็นมหากุศล เพราะถ้าขอ แปลว่าศิษย์ยังอยากกลับมารับผลบุญ ศิษย์อยากจะกลับมาเจอสิ่งนั้นอีกหรือ แล้วแน่ใจหรือว่าจะได้เจอสิ่งที่ดี ฉะนั้นทำแล้วอย่าขอ บุญจะกลายเป็นกุศลตามมา ไม่ขอ ไม่ยึดติด สละได้ทั้งตัวตนและความยึดถือว่า ใครจะด่า ใครจะแช่งที่ฉันทำบุญก็ไม่สนใจ บุญนั้นจะกลายเป็นมหากุศล บุญคือเครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ กุศลคือตัดรากเหง้าแห่งตัวตนไม่มีที่ให้ทุกข์อีกต่อไป ฉะนั้นทำไมไม่ก้าวให้ถึงที่สุด ทำไมดีครึ่งไม่ดีครึ่ง เมื่อจะดีก็ดีให้เต็มร้อย
  “ควบคุมตนอยู่คงมีแต่ดีขึ้น           ตามใจตนเมามึนไปได้ทุกสิ่ง
ค้นใจตนขณะที่หาที่ความจริง          คำว่าจริงจะเที่ยงแท้ไม่เคยมี
ต่อให้ชัดเจนก็ชัดสุดแค่นั้น             แม้แต่ขันธ์ต้องว่างไร้จึงเต็มที่
มีไม่เที่ยงในไม่เที่ยงคือไม่มี              ลอกกระพี้ชี้แก่นจริงใครก็ต้องการ
แล้วศิษย์จะควบคุมความอยาก กิเลส อารมณ์ตัวเองได้อย่างไร รู้ว่ามีโกรธ โลภ โมโหร้าย อารมณ์ไม่ดี ขี้บ่น งก ใจแคบ ขี้น้อยใจ มีแต่ขี้เต็มตัวเลย แล้วเคยทำให้มันเบาบาง เคยหยุดได้ไหม ผู้ปฏิบัติงานธรรมหยุดได้ไหม ตั้งแต่เริ่มบำเพ็ญมา โลภ โกรธ หลง เบาบางลงเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนไหม มนุษย์มีทุกข์เป็นธรรมดา เป็นทุกข์แห่งสัจธรรม แต่ทุกข์หนึ่งที่น่ากลัวที่สุดและทำให้เราหนีไม่พ้น นั่นคือทุกข์แห่งโลภ โกรธ หลง ที่ทำให้เราหนีไม่พ้นวัฏสงสาร
ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์ยังตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง ศิษย์ก็หนีไม่พ้นอบายภูมิทั้งหก ถ้าศึกษาให้ลึกๆ จะรู้ว่า วิธีที่จะควบคุมความโลภ ความโกรธ ความหลงนั้นง่ายลองฝึกดู เมื่อไรที่เราจะโกรธ โลภ หลง ขอให้เอาสิ่งนี้มาเป็นตัวกรอง หนึ่งคือลองใจเย็นๆ นิ่งก่อน ใครว่ามานิ่ง เห็นอะไรสวยก็นิ่ง เห็นเงินตกก็นิ่ง เห็นล็อตเตอรี่ตกมาก็นิ่ง ไม่ว่าเจออะไรขอให้นิ่งไว้ก่อน เพราะสิ่งที่ร้ายไม่ใช่เงินทอง ไม่ใช่คนแต่งตัวเซ็กซี่ ถ้าศิษย์บอกว่าโลภ โกรธ หลงน่ากลัว คนที่แต่งตัวเซ็กซี่ก็น่ากลัว ผู้ชายที่ดูดีก็น่ากลัวจริงไหม (จริง)
ก่อนที่เราจะมาควบคุมโลภโกรธหลง เราต้องรู้จักโลภโกรธหลงก่อน โลภโกรธหลงน่ากลัวไหม (น่ากลัว)  อาจารย์ขอถามว่า เหล้าน่ากลัวไหม (น่ากลัว)  ร้ายไหม (ร้าย)  แต่ถ้าเหล้าไม่อยู่ในใจเห็นอย่างไรก็ไม่อยาก ที่เห็นแล้วเปรี้ยวปากเพราะเคยกิน ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์ลองไปถามคนที่ไม่กินเหล้า เห็นแล้วเขารู้สึกไหม เขาก็ไม่เห็นว่าเหล้าร้ายเลย ที่ศิษย์เห็นว่าร้ายเพราะใจศิษย์มีสิ่งนั้นอยู่ ถ้าบอกว่าผู้หญิงแต่งกายไม่มิดชิดเป็นคนที่เลวร้าย แปลว่าใจศิษย์มีสิ่งนั้นอยู่ ถ้าเห็นผู้ชายแล้วรู้สึกว่าเขาแต่งตัวดูดีแปลว่าใจศิษย์หวั่นไหวแอบหลงเขาอยู่ โลภโกรธหลง นั้นไม่ได้ร้าย แต่ที่ร้ายเพราะใจเราแอบยอมเป็นทาสมันอยู่ มากี่ทีเราก็ยอมตกเป็นทาสมันทุกที ทั้งที่จริงแล้วโลภโกรธหลงไม่มีตัวตน แต่มันชอบอิงอาศัยคนที่ยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตน อาจารย์เปรียบเทียบง่ายๆ ถ้าเงินน่ากลัว เงินทำให้เราโลภ ฉะนั้นเงินมีอำนาจ บังคับให้ศิษย์ทำจนหัวหกก้นขวิด ศิษย์เหนื่อยมากแต่ก็ยังทำเพื่อเงิน นั่นคือเงินร้ายหรือเราร้าย เงินไม่มีอำนาจ เงินอยู่ของมันดีๆ แต่เราต่างหากที่ถึงเวลาอยากจะมีเงิน แล้วมีไม่เป็น มีเงินแล้วเอามันมาเฆี่ยนตัวเองให้ตาย โลภโกรธหลงมันไม่ได้น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือใจที่คิดจะโลภ ใจที่คิดจะโกรธ และใจที่คิดอยากจะหลง ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวก็คือการใช้ความหลงที่ผิดทาง การยึดในโกรธแล้วก็ไปพาลโทษว่า ตำหนิคน อันเป็นต้นเหตุให้ฉันหวั่นไหว ทำให้ฉันทำผิด มองเห็นเหล้าถ้าเหล้าไม่อยู่ในใจเรา เราจะกินเหล้าไหม ถ้าเราไม่มีความโลภหลงอยู่ในใจ เราจะเอาอะไรมาเป็นของเราไหม เมื่อใจสะอาด ทุกอย่างก็บริสุทธิ์ แต่ถ้าเมื่อไรที่ใจไม่บริสุทธิ์ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูแปดเปื้อน ฉันใดฉันนั้น อารมณ์ดีมองอะไรมันก็ดี อารมณ์ร้ายมองอะไรก็มีแต่ตำหนิติเตียน ในเมื่อใจมันโกรธมองอย่างไรมันก็โกรธ
ในเมื่อใจมันอยากได้ มองเห็นอะไรก็หลง ฉะนั้นไม่ใช่แก้ที่ข้างนอกแต่ต้องแก้ที่ใจ ไม่ได้ดับที่ข้างนอกแต่ต้องดับที่ข้างใน แล้วสิ่งใดที่ช่วยดับยับยั้งใจ (หยุดคิดปรุงแต่ง, รู้จักมีสติ, ศีล สมาธิ และปัญญา, รู้จักใช้สติปัญญา, ใช้ธรรมะ, ใช้ขันติ)  ใครโกรธมาก็อดทนหรือ จริงๆ เมื่อไรที่ศิษย์ยังใช้ขันติ แปลว่าลึกๆ ศิษย์แอบหวั่นไหว
(การที่จะยับยั้งใจตัวเอง มีสติปัญญา สัพพัญญู ความอดทน ความเข้มแข็ง สติต้องคิดอยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่คืออะไร แล้วเราจะสามารถผ่านไปได้ด้วยดี)  สติกับความคิดไม่เหมือนกัน สติคือความระลึกได้ สติช่วยให้เราระลึกถึงความถูกต้องและเป็นกลาง ความคิดคือสิ่งที่ง่ายที่จะไหลไปตามอารมณ์ เพราะความคิดเกิดจากความรู้ ความจำได้หมายรู้ในตัวตน ฉะนั้นต้องแยกให้ดีนะ เพราะถ้าเอาแต่คิดความคิดจะพาเราฟุ้งซ่าน ฉะนั้นใช้สติหรือความคิด (สติ)
(สติควบคุม ข่มใจตัวเอง)  สิ่งที่อาจารย์อยากบอกคือ “พอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้” เห็นอะไรจะโลภอยากหลงอีกไหม (ไม่)  แต่เราเคยพอไหม (ไม่พอ)  (ใจเย็นใจต้องนิ่ง)  แต่ถึงเวลาเจอแล้วนิ่งหรือหวั่นไหว (หวั่นไหว)
(จิตคือศูนย์รวม)  ฉะนั้นต้องรู้จักควบคุม ควบคุมก็ไม่เท่ารู้ใจตัวเอง
(ธรรมะในใจทำให้ยั้งคิด มีสติไตร่ตรองพิจารณา)  ธรรมะที่ทำให้เรายั้งคิด คือ มโนธรรมสำนึก รู้ละอายเกรงกลัวต่อบาป ไม่อยากได้ของใคร
(รู้จักปล่อยวางทุกอย่าง)  ยิ่งว่าง ปล่อยวาง ตัวตนให้หมด แปลว่า กลับถึงบ้านก็ไม่เอาใครๆ แล้วใช่ไหม (ตัวเองก็ไม่เอา)  แน่ใจหรือ กลับบ้านไปแล้วน้ำก็ไม่ต้องอาบ ข้าวก็ไม่ต้องกินใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ดูแลตัวเองให้ดี การดูแลตัวเองให้ดีคือรับผิดชอบต่อหน้าที่ตัวเองให้ถูกต้องและดีงามที่สุด ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แต่คนปัจจุบันนี้แค่ทำตัวเองให้รอดยังไม่รอด แล้วชอบไปพึ่งคนอื่น ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ขอแค่เพียงศิษย์ทำหน้าที่ของความเป็นคนให้สมบูรณ์พร้อม มีหรือจะทำใครทุกข์ กลัวก็แต่เพียงซื่อตรงก็ไม่ซื่อตรง ขยันก็ไม่ขยันใช่ไหม
(อดทน อดกลั้น)  อดทนอดกลั้นให้ได้จริงๆ เถิด
(รู้จักปฏิบัติอดทน)  อย่างนั้นถ้าไม่ได้อะไรเลยก็อดทนนะ
(ต้องมีสติและมีสมาธิ)  สมาธิที่ดีคือ เห็นแล้วไม่หวั่นไหว เห็นแล้วไม่อยากได้
(จิตเมตตา)  ศิษย์เอยคำตอบนี้เป็นคำตอบที่ดี อาจารย์ถามหน่อยว่าถ้าเราเมตตาเราจะด่าใครไหม เราจะโมโหหรือเบียดเบียนทำร้ายใครไหม ถ้าเราเมตตาเราจะทำอะไรไม่ดีไหม (ไม่)  แต่ถึงเวลาจริงๆ ศิษย์อยากก่อนแล้วค่อยเมตตาทีหลัง ถ้าเราเมตตาเราก็ไม่คดโกงใคร ไม่เอาเปรียบใคร ไม่อยากได้ของใคร
(มีสติรู้เท่าทัน)  มีสติรู้เท่าทัน รู้ยั้งคิด
(อยากจะถามอาจารย์ว่าจะทำอย่างไร ยายถึงจะเลิกตกปลาได้สักที ลูกก็บ่น แต่ก็ตกปลาไม่ค่อยได้หรอก)  อาจาย์มีวิธี ใช้เบ็ดที่มีแต่สายเบ็ดไม่มีตะขอ ไม่มีอาหารที่เบ็ด รับรองตกกี่ปีก็ไม่บาป ศิษย์รู้แต่ไม่ทำ ถ้าห้ามใจไม่อยู่ก็ต้องใช้วิธีแบบนี้
(วางเฉย)  เราวางเฉยได้ทุกเรื่องหรือไม่ (พยายามทำให้ได้ดีที่สุด)  สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ก่อนจะวางเฉย เราต้องเห็นให้ชัดก่อน ถึงแม้การว่าผู้อื่นนั้นไม่ดี แต่หากศิษย์ถูกว่าแล้วนำมาพิจารณา ทำให้ศิษย์ได้ยั้งคิด และได้มองเห็นตัวตนของศิษย์ ศิษย์จะวางเฉยกับคำตำหนินั้นอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องนำมาตรวจสอบตัวเราด้วย ถูกหรือไม่ แม้วางเฉยคือทางสายกลาง แต่บางอย่างต้องพิจารณาก่อน มีประโยชน์ก็เอามาสอนใจ มีโทษก็ยั้งใจ ทำให้ได้นะ วางเฉยให้ได้จริงๆ นะ
(ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ใช้สติปัญญาของตัวเอง)  พยายามไม่เบียดเบียนผู้อื่น ทำอะไรก็ได้ที่ซื่อตรงต่อหน้าที่ ทำตัวให้ถูกต้อง รับผิดชอบหน้าที่ให้ดีที่สุด จะขายของก็ขอเป็นการแลกเปลี่ยนสินค้าที่ดีที่สุด ไม่ได้ขายของเพราะอยากเอาเงินของเขามาใส่กระเป๋าเราแล้วไปโกหกกลายเป็นผิดบาป
(ปฏิบัติธรรมให้ใจเย็นขึ้น)  ทำอย่างไรให้ใจเย็น มันใจร้อนตลอดเวลาที่มีความอยาก (นั่งสมาธิ)  แล้วมีเวลานั่งหรือเปล่า (วันพระ)  แต่เวลาลืมตาสมาธิก็กระเจิง
อาจารย์จะบอกให้ เวลาที่เราเกิดโลภ โกรธ หลง สิ่งง่ายๆ ศิษย์ลองเอาศีลทั้งห้ามาตรวจสอบ เมื่อเกิดโลภแล้วอยากแล้วเบียดเบียนเขาเพื่อตัวเราเองไหม หลงแล้วไปเอาของเขามาเป็นของตนเองจนขาดคุณธรรมไหม พูดอะไรแล้วโกหกตระบัดสัตย์ไหม ทำอะไรแล้วทำอย่างผู้มีปัญญาหรือผู้โง่เขลา ถ้าหมั่นทำแบบนี้ทุกขณะศีลก็ได้ตรวจสอบ คุณธรรมก็ได้มี ผิดบาปก็ได้ชะล้าง แต่มนุษย์เราไม่เคยลงมือทำ มีเมตตาไหม ซื่อตรงไหม ทำด้วยปัญญาไหมหรือทำแบบอารมณ์ชั่ววูบล้วนๆ ถ้าทุกขณะศิษย์เอาศีลมาตรวจสอบแล้ว ธรรมยังสอนต่อว่ามีศีลแล้ว จงมีสมาธิเมื่อตรวจสอบ แล้วมั่นคงไหม ถ้าอยากได้แล้วต้องโกหกต้องไร้คุณธรรมความเป็นคน ถ้าอยากได้แล้วต้องตระบัดสัตย์เสียมิตรเสียเพื่อนไม่อยากดีกว่าไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเรียกว่ามีศีลแล้วยังมีสมาธิมั่นคงไม่หวั่นไหว จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งแล้ววางความโลภความโกรธความหลงได้ในชั่วขณะที่ศิษย์อยาก ฉะนั้นศีลสมาธิไม่ได้ปฏิบัติที่วัดแต่ปฏิบัติเพื่อหยุดยั้งความโลภโกรธหลง เพื่อไม่ให้ศิษย์ประพฤติชั่วทำผิดศีล ฉะนั้นถ้าศิษย์ประคองศีลได้ดีศิษย์จะไม่ประพฤติชั่ว แต่คนปัจจุบันนี้ศีลก็ไม่มี ดีก็ทำ แต่ชั่วก็ไม่ละ
แล้วจะบอกว่าอยากหนีเคราะห์กรรม อยากหนีภัยพิบัติ ก็ตัวเองเป็นคนสร้างกรรมทั้งนั้น ชีวิตเราเกิดมาพร้อมกับกรรม กรรมเป็นสิ่งปรุงแต่งให้เราเป็นไปในอนาคต และแม้แต่ในปัจจุบันจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับในอดีตที่ศิษย์สร้าง แล้วตอนนี้ศิษย์สร้างบุญหรือสร้างบาป มือหนึ่งก็บุญอีกมือหนึ่งก็บาป ฉะนั้นอย่าบอกว่าทำดีแทบตายแล้วไม่ได้ดีเลย ก็ในเมื่ออีกด้านหนึ่งยังหยุดไม่ได้ในการทำบาป ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่า “ยอดของศีล ยอดของบุญ คือการไม่ทำบาปเลย” ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(การวางเฉย)  ถ้าทำได้ก็ดี ก่อนจะวางเฉยศิษย์พิจารณาดูว่าสิ่งที่เขาเบียดเบียนเรา สิ่งที่เขาทำร้ายเรา สิ่งที่เขาว่าเรา ใช่หรือไม่ใช่สิ่งที่เราเคยทำกับเขามาก่อน ถ้าใช่ก็ต้องขอโทษและกล้ายอมรับ อย่าเอาแต่นิ่งเฉย เพราะคนโกรธอยู่ ศิษย์นิ่งเขาไม่หายโกรธ ที่จะหายโกรธได้คือ การขอโทษจากใจ ใช่ไหม (ใช่)  เวลาศิษย์โกรธ แล้วเขาคุกเข่าขอโทษ ยอมรับความผิดอย่างจริงใจ จะไม่หายโกรธหรือ ศิษย์ต้องจำไว้ว่าญาติพี่น้องยังพออภัยให้ได้ แต่คนที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องของเรา ถ้าเขาโกรธเราแล้วอย่างไรก็ไม่อภัยให้เรา แล้วควรหรือที่จะไปทำให้เขาโกรธแล้วไปตามแก้ไม่จบไม่สิ้น ถ้าศิษย์ไปตีเขา แล้วศิษย์บอกว่าขอโทษ แม้เขาก็อยากให้อภัย แต่เจอหน้าเราทีไร เขายังเจ็บใจลึกๆ ใช่หรือไม่
ฉะนั้นจุดประสงค์ที่แท้จริงของการปฏิบัติธรรมไม่ใช่ทุกข์แล้วค่อยดับด้วยธรรม แต่ “จุดประสงค์ที่แท้จริงของการปฏิบัติธรรมคือ ดับด้วยธรรมก่อนจะเกิดทุกข์ หยุดก่อนจะเป็นเหตุให้ศิษย์ทุกข์ไม่จบสิ้น” เพราะลึกๆ ในใจศิษย์ทุกคนใครดีจำไม่ได้ แต่ใครไม่ดีศิษย์จำได้แม่น ให้เขายิ้มอีกสิบวัน ศิษย์ก็ยังไม่หาย ให้เขาเอาของมาปลอบใจ ศิษย์ก็ยังไม่หาย ฉะนั้นเหมือนกันศิษย์ “อกเขาอกเรา ใจเขาใจเรา” ทำไมไปเบียดเบียนเขาก่อน แล้วค่อยมาปฏิบัติธรรม ทำไมไม่รู้จักปฏิบัติธรรมเสียก่อน ด้วยการปฏิบัติต่อเขาด้วยการมีธรรม กับใครศิษย์ก็เมตตา กับใครศิษย์ก็ซื่อตรง กับใครก็จริงใจ ไม่อยากได้ของเขามาเป็นของเรา ใครในโลกจะไม่เมตตากลับกับศิษย์บ้าง ใครในโลกจะทำกับศิษย์ได้ ในเมื่อศิษย์ทำเต็มที่แล้ว มีแต่ศิษย์ใช้กรรมเก่า แต่กรรมใหม่ในข้างหน้าไม่มีอีกแล้ว
ถ้ารู้ว่ามันยังทำใจไม่ได้ให้ใจเย็นเข้าไว้ ความนิ่งความใจเย็นจะทำให้ใจเราแข็งแกร่ง ความนิ่งจะสะท้อนทุกสิ่งอย่างเป็นจริงไม่บิดพลิ้ว ความนิ่งจะก่อเกิดความเข้าใจและประจักษ์แจ้งในใจเราและใจเขา เขาด่าเราแล้วลองนั่งคิดว่าเราไม่ดีตรงไหน ทำไมเขาด่าเรา เป็นเพราะรักมากจึงด่ามาก ถ้าไม่เห็นอยู่ในสายตาจะด่าทำไมให้เหนื่อย ถ้าเราไม่รักเขาเราจะไปด่าหรือเดินไปสอนเขาไหม รักแต่พูดรักไม่เป็นขอด่าไว้ก่อน อย่างน้อยถ้าเรานิ่งจึงจะมองเห็นว่าคนที่ด่า เขาก็น่ารักเหมือนกันนะ ตอนที่ปากไม่ขยับน่ารักมากเลย เจออะไรให้นิ่ง แล้วเอาศีลมาไตร่ตรอง ทำแล้วเบียดเบียนคนอื่นไหม ทำแล้วอยากได้ของคนอื่นจนลืมนึกถึงหัวอกเขาไหม ทำแล้วโกหกไหม ทำแล้วผิดศีลขาดธรรม มโนธรรม จริยธรรมในใจไหม ถ้าตรองอย่างนี้ทุกวันมันจะหยุดไม่ได้หรือศิษย์ เมื่อตรองแล้วนิ่งจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งแล้วปล่อยวาง ศีล สมาธิ ปัญญามันอยู่ตรงที่เวลาเราเห็นอะไรแล้วหยุดยั้งได้มันก็จบแล้ว เป็นพระที่นี่ไม่ต้องเป็นพระที่วัด ทำตรงนี้ ไม่ต้องไปรอที่วัด ทำที่ภายในอย่าไปรอคนอื่น ไม่ต้องไปเรียกคนอื่น เอาตัวเองก่อน
(ต้องใช้สมาธิและความนิ่งมาไตร่ตรอง)  (ทำใจเย็น มีสติ แต่พอเวลามีใครพูดไม่ถูกใจ จะโมโหขึ้นมาทันที)
(พูดไม่เข้าหูก็ขึ้นเลย)  อาจารย์จะบอกให้เวลาอารมณ์ขึ้นหุบปากไว้ แล้วอยู่กับลมหายใจ ฉะนั้นถ้าเกิดใครพูดแล้วอารมณ์ขึ้นบอกเขาเลยว่า อย่าพูด เธอหยุดตรงนั้นเลย เพราะถ้าเธอพูดมากกว่านี้เดี๋ยวฉันองค์ลง แล้วไม่รู้องค์อะไรลงด้วย บอกเขาไปจะได้ใจเย็น และยอมรับไปตรงๆ เธออย่าทำอย่างนี้ ฉันไม่อยากหวั่นไหว เธออย่าดีกับฉันมากเลยเดี๋ยวฉันไม่ไหว พยายามตอกย้ำตัวเองว่าฉันมีลูกมีเมียมีผัวแล้ว ให้นำศีลธรรมมาครองใจ ศิษย์เอยโลกปัจจุบันนี้ที่วุ่นวายเพราะทุกคนต่างไม่รับผิดชอบ ไม่ซื่อตรง ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าลืมนะศิษย์เขาโมโหกับศิษย์โมโหไม่เท่ากัน เราโมโหเรายังรู้จักยับยั้ง แต่บางคนโมโหแล้วมีปืนก็ยิงเลย ชีวิตเราก็รักไม่อยากตาย ฉะนั้นต้องควบคุมตนเองให้อยู่ในศีลในธรรม ถ้าเราผ่านด่านการฝึกฝนบำเพ็ญสิ่งสำคัญคือ ละบาปบำเพ็ญบุญ ถ้าบาปยังละไม่ได้ ศิษย์จะเดินสายบุญก็เป็นไปไม่ได้ การละบาปเราเริ่มละได้หรือยัง ถ้ายังละไม่ได้เราต้องมาใช้ธรรมเพื่อมายับยั้งใจ ธรรมอีกอันหนึ่งคือ ธรรมแห่งความเป็นจริงที่ถ้าหมั่นพิจารณาเนืองๆ จะช่วยยับยั้งลดโลภ โกรธ หลง และลดความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมชายและนักเรียนหญิงออกมาหน้าชั้น)  อาจารย์ถามศิษย์ว่า สิ่งนี้ที่ศิษย์มีแล้วมันไม่เปลี่ยนแปลงมีไหม (ไม่มี)  เขามีวันเปลี่ยนใจมีวันแก่มีวันป่วยและมีวันทำให้ศิษย์เจ็บยังจะเอาหรือไม่ อยากแต่จะเอาๆ เคยดูตัวเองบ้างหรือไม่ว่าสังขารตัวเองรอดหรือไม่ ในบรรดาสรรพสิ่งในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นคน สิ่งของหรืออาหาร มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อมันต้องเปลี่ยนยังอยากได้หรือไม่ หรือมีแล้วจะทำให้ศิษย์มีแต่สุข ไม่มีทุกข์ (ไม่มี)  แล้วในสิ่งที่เรียกว่า คน สิ่งของ หรือของกิน มีไหมที่ศิษย์ครอบครองเขาได้ (ไม่ได้)  แล้วอยากได้หรือไม่ (ไม่อยากได้)  นี่แหละธรรมะ ธรรมะสอนให้ศิษย์รู้ว่า ไม่มีสิ่งใดเที่ยง ไม่มีสิ่งใดเป็นของเราจริง และไม่มีสิ่งใดที่มีแล้วไม่ทุกข์ มีแล้วไม่เจ็บ แล้วสิ่งที่ศิษย์มีนั้นมีแล้วเป็นดังใจไหม (ไม่)  แล้วยังอยากมีไหม (ไม่อยาก)
ถ้าเราประจักษ์แจ้งในสัจจะความเป็นจริง ใดๆ ในโลกศิษย์ก็ไม่สามารถครอบครองได้ เพราะทุกสิ่งมีสุขก็มีทุกข์ถนัด มีคงอยู่ก็มีดับไป มีสมหวังก็ผิดหวังได้ มีได้ก็มีเสีย สิ่งนี้ศิษย์รู้อยู่เต็มอก มีใครบ้างที่เป็นดั่งหวัง มีใครบ้างที่ศิษย์ครอบครองแล้วทำให้ศิษย์สุข มีสิ่งใดบ้างที่ศิษย์มีแล้วไม่ทุกข์ มีสิ่งใดบ้างที่ศิษย์มีแล้วไม่เจ็บปวดใจ แล้วมีสิ่งใดบ้างที่มีแล้วจะคงอยู่กับศิษย์จริงๆ ไม่เคยหายไปไหน มันไม่มี ธรรมสอนศิษย์อยู่เนื่องๆ ในใจ แต่เราเคยเอาธรรมมาย้อนมอง แล้วปลดปลง พิจารณาจนเห็นแจ้ง เข้าถึงความจริงบ้างไหม เราเคยเอาธรรมมาย้อนมอง แล้วเห็นชัดว่า สิ่งที่เราหลงภายนอก แท้จริงมันมีแก่นแท้ที่เหมือนกันอยู่ในทุกๆ สิ่ง คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า หวังไม่ได้ สุขไม่เคยนาน ทุกข์ไม่เคยจริง แล้วเรายังอยากอีกใช่ไหม สิ่งที่มนุษย์มองข้าม พุทธะเอามาพิจารณาจนเกิดการปลดปลงและเข้าถึงภาวะธรรมที่เรียกว่า แก่นแท้แห่งสรรพสิ่ง และพบธรรมในใจตน ซึ่งมันเป็นแก่นอันเดียวกันหมดเลยคือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า และคงอยู่แค่ชั่วขณะหนึ่ง มีหรือไม่ที่สวยแล้วไม่เหี่ยว มีไหมขาวแล้วไม่ดำ มีไหมหุ่นดีแล้วไม่อ้วน สามีจะดีตลอดไหม ภรรยาจะขี้บ่นตลอดไหม เราอยู่ในโลกไม่ใช่เกิดมาเพื่อทุกข์แล้วทุกข์อีก แต่เราอยู่ในโลกเพื่อเรียนรู้ทุกข์ ฝึกอยู่กับทุกข์จนไม่ทุกข์และพบธรรม นี่แหละคือเป้าหมายของชีวิตที่ศิษย์ควรเกิดมา แต่มนุษย์เกิดมาเพื่อ กิน อยู่ นอน มีครอบครัว แล้วก็เวียนว่ายในทุกข์ไม่จบสิ้น หวังพึ่งเขาก็ไม่เท่ากับพึ่งตนเอง แต่พอพึ่งตนเองจนถึงที่สุด เราจึงเข้าใจว่า แม้แต่ตัวเองก็พึ่งไม่ได้ สิ่งที่พึ่งได้คือ ความจริงแห่งสัจธรรม
สิ่งที่มาจากธรรมก็ต้องกลับคืนสู่ธรรม แล้วจะยึดมั่นตัวตนเพื่อหลงแล้วมีกรรมทำไม ศิษย์ต้องเข้าใจความหมายของการมีชีวิต การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เพื่อแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ หรือเพื่ออยู่เหนือคนอื่น ศิษย์เคยได้ยินคำว่า “สูงสุดคืนสู่สามัญ”  ไหม ดังนั้นการปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือ กลับสู่ธรรม ธรรมที่เราจากมา ธรรมที่ทุกชีวิตต้องเดินกลับไป แล้วเราจะยึดตัวตนนี้เพื่อมีกรรมดี กรรมชั่วทำไม เพราะถึงที่สุดตัวตนก็ต้องกลับคืนสู่ภาวะธรรม ฉะนั้นยศตำแหน่งสูงขนาดไหนก็ต้องกลับมาเหมือนกันคือธรรมดา มีเงินมากแค่ไหนเราก็ต้องกลับมาเดินดินเหมือนกัน เก่งแค่ไหนเราก็ต้องอยู่กับคนให้ได้ เพราะทุกชีวิตหนีไม่พ้นกล่องสี่เหลี่ยมที่เรียกว่าโลงศพ ฉะนั้นทำดีไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่จริงๆ แล้วทำดีเพื่อละความชั่ว ปฏิบัติธรรมเพื่อกลับคืนสู่ธรรมที่แท้จริง อย่าหลงในกิเลส ในอำนาจ เพราะมันไม่มีอะไรถาวรเท่ากับความดีและคุณธรรมในใจเรา ไม่เชื่อ ไม่ศรัทธาอาจารย์ ไม่มีปัญหา แต่ปัญหาที่น่ากลัวคือศิษย์เชื่อในความดีตัวเองไหม ศิษย์ศรัทธาธรรมในตัวเองไหม บำเพ็ญธรรมไม่ใช่เพื่อความสมบูรณ์ในลาภยศ แต่บำเพ็ญธรรมเพื่อค้นหาความสมบูรณ์ที่แท้จริงในใจตน ค้นหาความสมบูรณ์ที่งดงามในตัวตนที่มีอยู่แล้ว แต่เราไม่เคยมุ่งมั่นทำให้ถึงที่สุด เหมือนอาจารย์ถาม ศิษย์ชอบคนใจดำอำมหิตหรือคนมีเมตตามีน้ำใจ (เมตตา)  แล้วเราเอาแต่รอหรือเราเป็นผู้กระทำ ลึกๆ ศิษย์ชอบคนซื่อตรงหรือคนตระบัดสัตย์
แล้วศิษย์ซื่อตรงหรือตระบัดสัตย์ แค่ศิษย์กลับคืนสู่ความเมตตาในใจ เมตตาให้ถึงที่สุด ซื่อตรงให้ถึงที่สุด เมื่อเราทำดีให้ถึงที่สุด พรุ่งนี้หรือวันนี้เดินออกไปฟ้าผ่าตายอาจารย์ก็ไม่กลัว เพราะอาจารย์ทำถึงที่สุดแล้ว แต่ทำไมในใจลึกๆ ศิษย์กลัวตาย เพราะศิษย์ยังไม่ดีพอ เพราะกลัวว่าตายแล้วตกนรก แต่นรกอาจารย์ก็ไม่กลัว เพราะอาจารย์ทำดีถึงที่สุดแล้ว และกล้ารับผิดรับชอบ แต่เรานั้นนรกก็กลัวสวรรค์ก็ขึ้นไม่ได้จริงไหม (จริง)
อายุก็ไม่น้อยแล้วยังอยากจะทำบาป เป็นผีพนันบอล เล่นหวยไฮโลอีกหรือ ยังอยากจะโลภโกรธหลงอีกหรือ ตายไปเอาไปไม่ได้ แล้วทำไมจึงไม่ทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม
พอเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พูดไหม แล้วพอเข้าใจหนทางในการปฏิบัติธรรมบ้างหรือยัง (พอเข้าใจ)  ไม่ได้ยากเกินที่เราจะทำ แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องระมัดระวังมากที่สุดคือทำอย่างไรเราจะสามารถควบคุมใจเราให้อยู่ในธรรมได้ตลอดเวลา ฉะนั้นการมีสติการรู้เท่าทันความคิดจึงเป็นสิ่งที่เราต้องพยายามพึงมีไว้
ฉะนั้นถ้าเรามีสติรู้เท่าทันความคิดอยู่ตลอดเวลา การจะทำอะไรก็ไม่ใช่เรื่องยากใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามว่าอะไรที่ทำให้เรายังคงทุกข์อยู่ไม่จบสิ้น
(กิเลส ความโลภ ความอยาก ความไม่รู้จักพอ ความไม่รู้จักปล่อยวาง โลภ โกรธ หลง มีสติระลึกรู้อยู่ภายใน)  รู้คนอื่นไม่สู้รู้เท่าทันใจตน

(ความอยากได้อยากมี มีแล้วไม่รู้จักพอ)  เป็นกันทุกคนเลย มนุษย์จะหยุดโลภ หยุดวุ่นวายได้ ถ้าเรารู้จักพอ แต่คำว่า “พอ” ไม่ใช่ว่าให้ศิษย์ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ไม่ทำอะไร แต่เมื่อทำแล้วได้หรือไม่ได้ไม่เป็นไร เพราะพอใจในสิ่งที่มีแล้ว บางคนตีความหมายผิดว่า พอแล้วคือไม่ต้องทำอะไรนั้นไม่ใช่ ถ้าเรามีความสุขในสิ่งที่เราเป็น ได้หรือไม่ได้ก็ไม่ทุกข์ แต่คนในปัจจุบันมักไม่ค่อยพอใจ เมื่อได้มาอีกก็ยังไม่พอ จึงทุกข์ไม่จบสิ้น
วิธีหนึ่งที่จะทำให้ศิษย์สามารถปฏิบัติธรรมและเข้าถึงธรรมได้อย่างแรกคือ หนึ่งละบาป เพราะบาปเป็นเหตุแห่งทุกข์ โดยส่วนใหญ่ธรรมะสอนให้เรารู้จักให้ เวลาเราปฏิบัติธรรมศิษย์มักจะตรงข้ามกันคือไปเอามาก่อนแล้วค่อยให้ ซึ่งถ้าศิษย์จะปฏิบัติธรรมจำไว้เลยต้องให้มากกว่าเอา เพราะการให้จึงสามารถทำให้ศิษย์สร้างศีลสร้างคุณธรรมได้ แต่ถ้าศิษย์ไปเอามาก่อนแล้วค่อยให้มันจะสร้างอะไรได้ยาก
แต่ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นในทุกขณะที่ศิษย์ทำ สมมติว่า ถ้าศิษย์ได้ผลไม้จากอาจารย์มาแล้ว เป็นการสนองกิเลส เป็นความสะใจ เป็นความดีใจ อาจารย์ให้แล้วต้องรักษาโรคได้แน่เลย นี่คือการยึดติดผลบุญ มันไม่เป็นกุศล ถ้าเราได้มา เราสามารถสละออกได้ทันที เราให้โดยไม่รู้สึกเสียดาย นั่นแหละเป็นการกระทำด้วยการปฏิบัติธรรม แต่ถ้าเอามาแล้วกลายเป็นการยึดติดตัวตน เพื่อเรา ของเรา ก็ยังหนีไม่พ้นทุกข์ เพราะว่าถึงที่สุดแล้ว แม้แต่ตัวตนเราก็ยึดไม่ได้ ฉะนั้นเมื่อศิษย์ยัง “ให้” ไม่ได้ก็เลยก่อเกิดจากที่จะกลับกลายเป็นธรรมก็จะกลายเป็นกรรมแทน นั่นเป็นเพียงแค่ “ขณะหนึ่ง” เองศิษย์ สมมติเมื่อศิษย์ซื้อแอปเปิลมา แม่ค้าบอกว่า อร่อย หวาน ซื้อหรือไม่ (ซื้อ)  แล้วถ้ากินแล้วไม่หวาน ไม่อร่อย โกรธหรือไม่ (โกรธ)  ตอนนี้นั่นแหละที่ศิษย์อยากให้เป็นธรรมหรือเป็นกรรม ถ้ากินแล้วไม่หวานไม่อร่อย ศิษย์ก็คิดว่าช่างมันเถอะ มันเป็นธรรมดา จากกรรมจะกลายเป็นธรรม แต่ถ้าคิดว่าเดี๋ยวเจอหน้าแม่ค้าจะกลับไปด่า กรรมก็เลยก่อเกิดเป็นวิบากกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากกินแล้วหวานอร่อยแล้วอยากอีก ไปซื้ออีก ก็ก่อเกิดเป็นกรรมเหมือนกัน แต่เรียกว่ากรรมดีที่ก่อเกิดเป็นวิบากกรรมที่อยากจะกินแอปเปิลอีก เมื่อสร้างกรรมมากๆ บางครั้งก็เรียกว่ากรรมดีบางครั้งก็เรียกว่ากรรมชั่ว เมื่อสร้างกรรมไม่ดีมากๆ ศิษย์ก็รู้สึกว่าอยากสร้างบุญ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อสร้างบุญเสร็จศิษย์ก็หนีไม่พ้น บุญนั้นอิงแอบไปด้วยหวังผล
แต่ถ้ากินเพื่ออยู่ อร่อยหรือไม่อร่อยไม่เป็นไรแค่นั้นจบ เจอหน้าก็ไม่ว่าแม่ค้า จะกลายเป็นกรรมไหม (ไม่)  แต่ทุกครั้งที่ศิษย์ได้อะไรมา อดจะยึดติดไม่ได้นะ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าศิษย์ได้อะไรมาแล้วไม่ตกมาเป็นกรรมที่ยึดติดแล้ววิบากกรรมที่ต้องแบกรับก็จะจบสิ้น สมมติอาจารย์ตีศิษย์ตอนนี้ ศิษย์จบไหม (ไม่จบ)  ง่ายๆ คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วลงนรก พ้นจากความคิดนั่นคือแก่นแท้แห่งธรรม เหมือนอาจารย์ตี ศิษย์คิดว่าจะได้หายเจ็บหายป่วยก็ยังเป็นการยึดติดในตัวตน ยังไม่พ้นทุกข์ แต่ถ้าอาจารย์ตีแล้ว ดีก็ไม่คิดชั่วก็ไม่คิด นั่นจึงเรียกว่าสภาวธรรม ว่างจากตัวตนที่ยึดติด ว่างจากตัวตนที่ปรุงแต่ง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจบในตัว ไม่มีกรรมต่อ แต่เราไม่ใช่ อยากได้อันนี้เพื่ออันนั้น ทำอันนี้เป็นอันนั้น มีอันนั้นเพื่อเป็นอันโน้น เกี่ยวกรรมกันไปเกี่ยวกรรมกันมา พอมีกรรมแล้วก็ต้องมานั่งสร้างบุญ แล้วบุญก็หนีไม่พ้นบาป แต่ถ้าทุกขณะที่ศิษย์ทำหน้าที่ถึงที่สุด ไม่ยึดติดไม่หวังผล วางลงจบลงทุกขณะ ทำอะไรจบเสร็จ แต่ถ้าไม่จบ ก็อย่างน้อยทำเต็มที่แล้วดีที่สุดแล้ว จะมีอะไรต่อไหม
ทุกขณะที่ศิษย์เจอ ศิษย์จะให้มันเป็นกรรมหรือเป็นธรรม เรากินเพื่ออยู่ หรือเราอยู่เพื่อกิน เรากินตามใจอยาก หรือเรากินเพื่อให้เรามีชีวิตอยู่ ความหมายมันต่างกัน ถ้ากินตามใจอยาก ศิษย์ก็ยังสร้างกรรมเพื่ออยากกลับมากินอีก ทุกขณะมันเป็นตัวบ่งบอกเลยว่า เรากำลังสร้างกรรมเป็นชีวิต หรือสร้างชีวิตเพื่อพ้นกรรม แต่ปัจจุบันนี้เราสร้างกรรมเป็นชีวิตและเราก็มีชีวิตเพื่อใช้กรรม หนทางธรรมคือสร้างชีวิตเพื่อเข้าสู่ธรรมและลดละกรรม เข้าใจไหม ยากไหม
 (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันร้องเพลงพระโอวาท “ทำตนสายกลาง”)
เก่งเกินไปก็เหนื่อยใช่ไหม (ใช่)  แต่ว่าทำตัวไม่เก่งเลย แล้วปล่อยตัวเองเรื่อยเปื่อยก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าศิษย์ปล่อยให้ตัวเองเรื่อยๆ ไม่ตั้งใจจะรับผิดชอบอะไร ไม่ตั้งใจที่จะมุ่งมั่นทำอะไร หรือไม่กล้าที่จะยืนหยัดทำอะไรได้แท้จริง แม้ศิษย์จะเดินอยู่ในงานธรรมะ เหมือนจะบำเพ็ญ แต่ศิษย์ก็ไม่ได้อะไรเข้าใจไหม เมื่อตั้งใจบำเพ็ญต้องกล้าแบกรับ เมื่อตั้งใจจะมุ่งมั่นฉุดช่วยคน ต้องกล้ายืนหยัดที่จะต่อสู้ ไม่ใช่โน่นก็ไม่กล้าทำนี่ก็ไม่กล้าทำ ที่สุดก็เลยไม่มีอะไรเป็นหลักที่เราจะทำได้สักอย่าง ศิษย์มาบำเพ็ญแต่ศิษย์กลายเป็นคนที่ไม่กล้ารับผิดชอบอะไรเลยก็ไม่ได้นะ เก่งเกินไปจะเหนื่อย รับผิดชอบเกินไปงานจะเยอะ ศิษย์กำลังใช้ชีวิตเพื่ออะไร กินอยู่หลับนอนแล้วก็สร้างกรรม หรือศิษย์ใช้ชีวิตเพื่อเข้าถึงธรรมและสิ้นกรรม ทุกวันนี้ศิษย์ทำและสะสมกรรมเพื่อเป็นชีวิตหรือศิษย์ทำเพื่อมีธรรมให้กับชีวิต ธรรมไม่ใช่อยู่ข้างนอก แต่แค่ศิษย์กลับคืนสู่ธรรมที่สมบูรณ์แล้วในใจ มีเมตตาในใจไหม ทำแล้วมีน้ำใจไหม เคยเห็นใจคนอื่นไหม ปฏิบัติหน้าที่เพื่อเงินเดือนหรือปฏิบัติหน้าที่เพื่อรับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดีที่สุด
ความหมายนั้นต่างกัน ทำเพื่อเงินเดือนก็ทำสักแต่ว่าทำ ทำแบบขอไปที แต่ทำเพื่อทำหน้าที่ให้ดีที่สุดจะให้ความหมาย ให้ชีวิต เราทำด้วยความสุข ทำเต็มที่ ด้วยความซื่อตรง ด้วยความเต็มใจ คุณค่าก็กลายเป็นธรรมะ หากสักแต่ทำเพื่อรับเงินเดือน แล้วจะได้เอาเงินไปเที่ยวมันเป็นกรรม มันเป็นการสนองกิเลสนั่นไม่ใช่ธรรมะ ความหมายจึงต่างกัน เราเกิดมาก็เพื่อมาใช้กรรมแล้วนะ แล้วเรายังจะสร้างกรรมอีกหรือ ลองถามตัวเองดูให้ดี ถ้ายังยึดติดดีร้ายก็หนีไม่พ้นกรรมดีกรรมชั่ว แต่ถ้าอะไรก็ไม่ตัดสิน มันก็คือความเป็นกลาง อาจารย์ถามจริงๆ คนที่ศิษย์เกลียดนักหนา แล้วบอกว่าเขาไม่ดีนั้น เขาไม่ดีจริงๆ ไหม คนที่ศิษย์หลงนักหนาว่าเขาดีนั้น เขาดีที่สุดไหม ไม่แน่นอนว่าใครสมบูรณ์ที่สุด ทำไมต้องเข้าใจธรรม เพราะเข้าใจธรรมเราจะไม่หลงใคร เพราะถึงที่สุดเขาก็เปลี่ยน
ฉะนั้นถ้าเรายึดหลักสัจธรรมความเป็นจริง จะมองเห็นทุกคน แล้วเราจะสามารถปลงตกคิดได้ โดยปกติของชีวิตเมื่อเราเกิดขึ้นเราต้องตาย เป็นความเป็นจริงที่เราหนีไม่พ้น ฉะนั้นเมื่อถึงที่สุดแล้วความเป็นจริงยังสอนอีกว่า เรามาคนเดียวเราก็ไปคนเดียว เรามาตัวเปล่าเราก็ไปตัวเปล่า เรามาจากความไม่มีเราก็กลับสู่ความไม่มี จริงๆ ชะตาชีวิตน่าจะเป็นแบบนั้น แต่ทำไมคนเราถึงไม่เป็นแบบนั้น เพราะว่าตัวของศิษย์นั้นยังยึดติดความมีตัวตน หนูเป็นแบบนั้น ผมเป็นแบบนี้ ผมชอบแบบนั้น ผมชอบแบบนี้ ผมเคยดีแบบนั้น ผมเคยดีแบบนี้ มันก็เลยก่อเกิดเป็นกรรมที่เกิดเป็นคำว่า “ตัวตน” เป็นผู้สร้าง มันก็เลยกลายเป็นว่าทั้งที่ชีวิตควรจะเดินไปตามความเป็นจริงแห่งสัจจะคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แต่มันไม่เป็นแบบนั้น ที่มันไม่เป็นแบบนั้นเพราะเรายึดว่า มีตัวผม มีตัวฉัน
และในตัวผมตัวฉันที่ศิษย์สร้าง ศิษย์ก็ยึดติดกับคำว่า ชอบ กับคำว่า ไม่ชอบ แล้วในตัวฉันก็มีคำว่า “ศิษย์ดีกับศิษย์ไม่ดี”  แล้วก็มีสิ่งที่เรียกว่าสุขกับทุกข์ถูกหรือไม่ ที่เรียกว่าความคิด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ความคิดนี้สร้างตัวเราขึ้นมา แล้วตัวเราก็มาจากความคิด ความคิดนี้ก็แตกออกเป็นสองอันคือ คิดดีกับคิดไม่ไดี คิดดีก็ขึ้นสวรรค์ คิดชั่วก็ลงนรก ฉะนั้นคิดดีจึงเรียกว่ากรรมดี คิดชั่วจึงเรียกว่ากรรมชั่ว ทั้งที่จริงๆ แล้วชะตาชีวิตของเราถ้าเราสามารถเข้าถึงแก่นแท้ ความเป็นจริง แล้วไม่ยึดมั่นถือมั่นในคำว่าดีร้ายได้เสีย ไม่ตัดสินโลกว่าสุขหรือทุกข์ มองเห็นว่าเป็นธรรมเดียวกัน มันจะจบตั้งแต่ตรงนี้ แต่มนุษย์ไม่ใช่ มนุษย์เห็นอะไรชอบตัดสิน เห็นอะไรชอบยึดติด เห็นอะไรชอบปรุงแต่ง เราอดปรุงแต่งไม่ได้ว่า อันนั้นสวย อันนั้นไม่สวย อันนั้นดี อันนั้นไม่ดี จึงก่อเกิดเป็นกรรมดีกับกรรมชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำดีขึ้นสวรรค์ ทำชั่วตกนรก แต่ถ้ามีทั้งดีและชั่วผสมกันก็จะขึ้นสวรรค์เสร็จแล้วลงมาใช้กรรมในนรกต่อ แล้วถ้ายังไม่สามารถลดตัวตนได้ ยังยึดติดใน สัญญา ความจำได้หมายรู้ ตัวตนนี้มีเมื่อใช้ผลของกรรมดีกรรมชั่วเสร็จก็ยังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก เพราะว่ายังไม่กลับคืนสู่ธรรม ฉะนั้นเราจะละยึดติดได้ก็ต่อเมื่อเราประจักษ์แจ้งในตัวตนว่า ตัวตนเราก็ไม่จริง เขาก็ไม่จริง
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมที่มีลักษณะต่างกันสองท่านมายืนด้านหน้าชั้นกับท่าน)
อาจารย์ตัวใหญ่หรือตัวเล็ก (ตัวเล็ก)  อยู่กับคนนี้อาจารย์ตัวใหญ่หรือตัวเล็ก (ตัวใหญ่)  นี่แหล่ะอาจารย์กำลังชี้ให้ศิษย์เห็นธรรมนะ เราพูดว่าเราอยู่ตรงนี้เราตัวเล็กกว่าเขาเยอะเลย เราสุข คนนี้อ้วน คนนี้ผอม ฉะนั้นถ้าศิษย์ยึดติดว่าศิษย์ตัวเล็ก จริงๆ ศิษย์เล็กไหม (ไม่เล็ก)  ฉันสุขฉันตัวเล็ก แต่พอไปอยู่ในอีกเหตุการณ์หนึ่งเราตัวเล็กไหม (ไม่เล็ก)  ฉันทุกข์ที่ตัวฉันใหญ่ แต่ถึงที่สุดแล้วธรรมะสอนว่า ทุกสิ่งล้วนเป็นกลาง ไม่ดีไม่ร้าย ที่ร้ายเพราะความคิดยึดติด
ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความจริงใครคือคนที่เราควรดีใจ ใครคือคนที่เราควรโกรธหรือเสียใจ อะไรที่ควรทำให้เราดีใจหรือเสียใจ
(พระอาจารย์เมตตาเปรียบเทียบผู้ปฏิบัติงานธรรมสองท่าน ที่มีรูปร่างแตกต่างกัน)
คนนี้ตัวอ้วนไหม แล้วมีคนที่อ้วนกว่านี้ไหม เขาคือคนที่อ้วนที่สุดและเขาควรทุกข์กับความอ้วนไหม ไม่ทุกข์ถ้ายังไม่มีโรคใช่ไหม ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจแก่นแท้ความเป็นจริงมันจะไม่ก่อเกิดกรรม มันจะไม่ก่อเกิดการยึดติดว่าสิ่งใดที่เราควรโกรธ สิ่งใดที่เราควรเกลียด สิ่งใดที่เราควรรัก เพราะทุกสิ่งล้วนคือความจริงที่ไม่มีความสมบูรณ์แท้ แต่ในความเป็นจริงนั้นมีความเป็นกลางอยู่ เหมือนเงยหน้าขึ้นไปมีคนใหญ่กว่าเราไหม ก้มหน้าลงไปมีคนเล็กกว่าเราไหม ทุกคนคือความเป็นกลางอันเป็นธรรมดา แต่มนุษย์เอาแต่มองบนจึงคิดแต่ว่าตนเองแย่ ถ้าเอาแต่มองล่างจึงคิดว่าตัวเองดี จริงๆ แล้วเราดีหรือเราแย่ เหมือนกับที่เราเกลียดเขา เรามองแค่เขาหรือเรามองทั่วไป ถ้ามองทั่วไปเขาอาจจะไม่ได้แย่ใช่หรือไม่ เมื่อไรที่เราประจักษ์แจ้งในสัจธรรม ดำเนินชีวิตเที่ยงตรงไม่ก่อบาปแล้ว ถ้าประจักษ์แจ้งในสัจธรรมมีหรือที่ศิษย์จะไม่พ้นทุกข์ แต่มันยากเพราะศิษย์ไม่เคยพิจารณาสิ่งใดให้ถึงแก่นแท้ มองอะไรก็มองผิวเผิน ทำอะไรก็มองอยู่แค่สิ่งที่ตัวเองชอบ สิ่งที่ตัวเองชัง แท้ที่จริงแล้วชอบชังมันไม่มีใช่ไหม
ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องรู้ได้ด้วยตัวเอง ตื่นได้ด้วยตัวเองและประจักษ์ชัดด้วยตัวเองสิ่งที่อาจารย์พูดในวันนี้ไม่สามารถทำให้ศิษย์ตื่นได้ เป็นแค่เพียงแนวทาง แต่ศิษย์จะปฏิบัติแล้วไปให้ถึงความสว่างไหมขึ้นอยู่กับตัวศิษย์เอง อาจารย์จะบอกว่าทุกก้าวคือการปฏิบัติธรรม เห็นแล้วจะเลือกกิเลสหรือเลือกธรรมะ เห็นแล้วจะมีกรรมหรือจะสิ้นกรรม เห็นแล้วจะมีธรรมหรือมีกรรม ถ้ามีกรรมก็ตัดสินดีหรือไม่ดี ชอบหรือไม่ชอบ อยากได้ไม่อยากได้ แต่ถ้าเห็นแล้วทำหน้าที่ได้ดีที่สุดหรือยังอายฟ้าดินไหม อายผู้คนไหม ถ้าไม่อายฟ้าไม่อายดินไม่อายผู้คนทำดีที่สุดแล้ว อะไรจะเกิดก็เกิดไม่ยึดติดนั่นคือการสิ้นกรรมตรงนี้ แต่มนุษย์ไม่ใช่ห่วงสิ่งนั้นห่วงสิ่งนี้ห่วงกังวล ห่วงถึงที่สุดแล้วเขาจะเปลี่ยนแปลงตามเราไหม
มีแต่ทำตัวเองให้ดีที่สุด ถึงเวลาเราก็ดูแลเขาไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงเวลาเราก็เปลี่ยนใครไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นตื่นรู้ในใจตน และมองเห็นความจริงที่เรียกว่าสัจธรรม มนุษย์จะพ้นทุกข์ได้บนโลกใบนี้ ไม่ต้องรอตื่นรู้ในชาติหน้า มันตื่นได้ในทุกขณะ เขาด่าเรา จะเอากรรมหรือเอาธรรม เขาโกงเรา จะสร้างกรรมหรือจะชดใช้กรรมแล้วมีธรรม เขารักเราแล้วอยากผูกกรรมหรืออยากสิ้นกรรม ฉะนั้นการเรียนรู้ชีวิตคือการเรียนรู้ความจริงแห่งธรรม

(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จิตหนึ่งสัจธรรม”)
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จิตหนึ่งสัจธรรม
  เมื่อดวงจิตเป็นหนึ่งเดียวกับสัจจะ      ยังปรุงแต่งสร้างกรรมจะมลายสิ้น
อัตตาขาดจะว่างไร้ซึ่งมลทิน             ธรรมคืนถิ่นสัจธรรมอยู่ทั่วไป
  ในความมีคงอยู่ชั่วขณะ                ที่จะเที่ยงแท้หาไม่
ที่สุดก็ต้องว่างไร้                          ชัดในแก่นธรรมแท้จริง
ไม่เที่ยงใครอยากโลภหลง                เป็นทุกข์ยากปลงยากยิ่ง
ว่างเปล่าในตัวตนจริง                    สามสิ่งแก่นแท้สัจธรรม
วันนี้อาจารย์คงต้องกลับแล้วนะ ได้คำว่าอะไร “จิตหนึ่งสัจธรรม” จิตหนึ่งนั้นก็คือสัจธรรม สัจธรรมนั้นก็คือจิตหนึ่ง เมื่อดวงจิตเป็นหนึ่งเดียวกับสัจจะ เมื่อไรที่จิตตรงเที่ยงกับความเป็นจริง บาปกรรมมันจะไม่มี เมื่อไหร่ที่จิตยังเอนเอียงไปสู่ความอยากได้ใคร่มี ดีร้าย ได้เสีย เมื่อนั้นศิษย์จะไม่มีวันพบ
สัจธรรม ศิษย์จะยังหนีไม่พ้นเวรกรรม

ในคำที่ศิษย์วง จะมีคำว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า คือแก่นแท้ของความจริง สามสิ่งนี้คือแก่นแท้ของสัจธรรม ชีวิตนี้เที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  เป็นทุกข์ไหม (เป็นทุกข์)  ว่างเปล่าไหม (ว่างเปล่า)  แล้วควรหรือที่จะยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเราและของเรา (ไม่ควร)  แล้วมีอะไรเป็นของเรา (ไม่มี)  มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ติดกันมากก็คือ กรรม แต่ถ้ายังไม่เข้าถึงธรรม ก็หนีไม่พ้นกรรม เอาไปพิจารณานะ อย่าปล่อยให้ชีวิตผ่านไปวันหนึ่งๆ ลองเอาทุกข์มาเป็นบันไดคืนสู่ธรรม
อันนี้เป็นปริญญาบัตรที่ศิษย์ในชั้นนี้ร่วมกับอาจารย์ทำดีหรือไม่ (ดี)  ฉะนั้นจิตหนึ่งก็คือสัจธรรม ทุกสิ่งล้วนมีจิตหนึ่งเดียวกัน นั่นคือความเป็นจริงอันหนีไม่พ้น ฉะนั้นเป็นศิษย์อาจารย์จี้กง อย่ากลัวตาย อย่ากลัวเจ็บ
แต่กลัวเวรกรรมที่ศิษย์สร้างแล้วศิษย์หนีไม่พ้นต่างหากจริงไหม เพราะมันจะทำให้ศิษย์ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น ฉะนั้นก่อนทำอะไรไตร่ตรองในศีลในธรรม อย่าผิดบาป อย่าสร้างบาป อย่าตกเป็นทาสอบายมุขและบาปกรรมในโลกนี้เลย ฉะนั้นมีสติรู้ตื่นให้เท่าทันใจตนเองจะได้เข้าใจชีวิตแห่งธรรมะ ถ้าวันนี้เข้าใจก็จบในวันนี้ได้ ลองไตร่ตรองดูนะ เราไม่ใช่ปฏิบัติธรรมแค่ทำบุญใส่บาตร สวดมนต์ฟังธรรม แต่ต้องเอามาปฏิบัติแล้วตื่นรู้ในใจตนเองให้แท้จริง เพราะธรรมแท้จริงไม่ได้อยู่ที่ภายนอกแต่อยู่ที่ภายใน เริ่มต้นจากการปฏิบัติเป็นคนให้สมบูรณ์ ปฏิบัติต่อเพื่อนต่อพ่อแม่ต่อพี่น้องให้สมบูรณ์ แล้วการรู้แจ้งธรรมก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่กลัวอย่างเดียว อดใจไม่ไหว ห้ามใจไม่อยู่ ผลสุดท้ายคนที่ต้องรับผลของการอดใจไม่ไหว ห้ามใจไม่อยู่ไม่ใช่ใครแต่คือตัวศิษย์เอง กรรมไม่ว่าจะเดินทางไปไกลแค่ไหนมักจะย้อนกลับมาหาผู้กระทำเสมอ ไม่เคยบิดพลิ้ว ไม่เคยผิดเพี้ยน ฉะนั้นเมื่อไรที่ต้องเจอในสิ่งที่คาดไม่ถึงก้มหน้ายินดีขอบคุณที่ได้ใช้กรรม และจะไม่สร้างกรรมอีก ด้วยจิตใจที่รู้ผิดชอบชั่วดีได้หรือไม่ (ได้)  พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรยากหยั่งรู้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่เสียทีที่เกิดมา มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก บุญรักษา ธรรมรักษานะศิษย์เอย บุญรักษา ความดีรักษานะ
ทำให้ได้นะ ตั้งใจนะ รักษาบุญ บุญรักษานะ ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ รู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเอง มีศีลมีธรรม ตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้องนะ กำลังใจอาจารย์มีให้เต็มเปี่ยม แต่ศิษย์ของอาจารย์กำลังใจเต็มเปี่ยมหรือเปล่า เข้มแข็งไหม มุ่งมั่นถึงที่สุดหรือยัง ศิษย์เอยป่วยก็ต้องรักษา กล้าหาญรับความจริงแค่นั้นเอง เข้มแข็ง เป็นลูกศิษย์อาจารย์อย่าอ่อนแอ เราแค่ทำให้ดีที่สุดเพราะบางอย่างเราห้ามไม่ได้ ขอเพียงแค่ศิษย์เข้มแข็ง แค่ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดแล้วยอมรับความจริงในสิ่งที่มันเกิด หมั่นกราบพระ เผื่อจะทำให้บุญนี้ส่งให้เขาเกิดการเปลี่ยนแปลง สู้นะ อารมณ์ควบคุมได้หรือยัง ยังขี้โมโห ยังเอาแต่ใจไหม ควบคุมตัวเองให้ดีระวังอารมณ์ ระวังความหลง ฟังรู้เรื่องนะ ทำให้ได้นะ ถ้ามีโอกาสมาอุทิศเสียสละช่วยเหลือผู้คน
รู้เรื่องหรือเปล่า รักษาชีวิตให้ดี ระมัดระวังความคิดและอารมณ์นะ บุญรักษา ความดีคุ้มครอง มีโอกาสตั้งใจบำเพ็ญ เสียสละตนเองฉุดช่วยผู้คน อย่าปล่อยให้ชีวิตเปล่าไร้นะ เข้มแข็งนะ มุ่งมั่นนะ ไปให้ถึงที่สุด เรามีธรรมเป็นที่พึ่ง เรามีธรรมเป็นหนทางแห่งความสว่าง พึ่งธรรมดีกว่าพึ่งตัวตนนะ เพราะตัวตนมันหลอกเราให้เราเจ็บปวดให้เราทุกข์ แต่ธรรมคือความเป็นจริงมันย้ำเตือนเสมอว่าอะไรก็ถือไม่ได้ อะไรก็ยึดไม่ได้ มีแต่สภาวธรรมที่ว่างไร้เท่านั้นที่จะทำให้เรากลับคืนสู่ความสงบ ลองคิดไตร่ตรองให้ดี ทำอะไรไตร่ตรองให้ดีให้จงหนัก ชีวิตมีทางเลือก เลือกในสิ่งที่ถูกต้องที่สุดก่อนที่จะไร้ทางเลือกและต้องจำใจอยู่กับสิ่งที่ตัวเองสร้างมันขึ้นมา ลองคิดดูให้ดีนะศิษย์เอย


วันจันทร์ที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑                           สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง

  ศรัทธาในความถูกต้องอันดีงาม        จึงจะนำสู่หนทางบุญกุศล
แต่หากไร้ศรัทธาธรรมในตน             ย่อมนำตนสู่อบายทุคติไป
ศรัทธาแต่อย่าไร้ซึ่งปัญญา               หมั่นศึกษาเพียรอุตส่าห์รู้นำใช้
สักวันย่อมประจักษ์แจ้งตื่นรู้ใจ           เกิดความเย็นสงบในชีวิตตน
                                เราคือ
  เสี่ยวผีเซียนถง                    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามเมธีทุกท่าน สบายดีไหม

เดือนดาวจ้องมองดูเรา ไกลเท่าเข้าใจแนบชิด ใต้แสงแห่งธรรมฉายส่อง ท่านต้องบำเพ็ญให้มั่นใจ
ไม่มีสุขทุกข์ใด...ยั่งยืน ตื่นเถิดใจนี้ รักษาทุกวันให้ดี จงอย่าได้ไร้ปัญญา
* ที่มองที่เห็น ที่เป็นทุกอย่าง อะไรที่ทำทุกข์ใจ ไม่ปลงไม่พ้น รีบปลงไม่สาย ปัญหาหามาถือไว้เอง
เมื่อยังไม่ถาม เจ้าท่านลืมหรือเปล่า ความคิดอย่าได้แค่คิด ทบทวนด้วยใจ กันด้วยธรรม เห็นด้วยธรรม สุขที่ใจ คล้ายวิมาน

ทำนองเพลง: หนึ่งคำที่ล้นใจ
ชื่อเพลง : ไกลเท่าเข้าใจแนบชิด

พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง
ชีวิตบางทีอย่าไปคิดอะไรยุ่งยาก อย่าไปทำอะไรซับซ้อน ง่ายๆ แล้วมีความสุขดีกว่า ถือตัวถือตนยึดนั่นยึดนี่คนที่ทุกข์ก็คือเรา คนที่ทุกข์ก็คือคนรอบข้าง แต่ถ้าเราวางได้บ้าง ปล่อยได้บ้าง ง่ายๆ แต่มีสุข ย่อมดีกว่ายากแล้วมีแต่ทุกข์ใจ เหมือนถามท่านลึกๆ ท่านชอบคนใจกว้างหรือคนใจแคบ ท่านชอบคนใจดีหรือคนใจร้าย ท่านชอบคนเห็นแก่ผู้อื่นหรือเห็นแก่ตนเอง (เห็นแก่ผู้อื่น)  ท่านชอบคนมีน้ำใจหรือแล้งน้ำใจ (มีน้ำใจ)  แล้วสิ่งที่ท่านทำเป็นอย่างไร ชีวิตก็เหมือนกับการขว้างบอล ท่านเคยเล่นบอลไหม ขว้างแรงบอลก็เด้งกลับมาแรง แต่ถ้าเราขว้างเบาก็เด้งกลับมาเบาๆ หรือแทบจะไม่มีแรงกลับมา เหมือนกันถ้าท่านขว้างสิ่งที่ดีไป จะไม่มีสิ่งที่ดีตอบกลับมาหรือ เราถามใจเราเองอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ว่าเราขว้างให้เขาไปดีจากใจเราที่สุดแล้วใช่ไหม เราให้เขาเต็มที่จริงๆ ใช่ไหม เราทำโดยไม่หวังผลเรียกร้องใช่ไหม
ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวในมนุษย์ไม่ใช่โลภ โกรธ หลง แต่สิ่งที่น่ากลัวในมนุษย์คือ ความยึดติดในตัวตน ความยึดติดในตัวตนที่ทำให้เราทำดีไม่ค่อยขึ้นนั่นก็คือ ยอมไม่ค่อยเป็น แพ้ไม่ค่อยได้ เสียไม่ค่อยมี เรื่องอะไรฉันต้องยอมก่อน เรื่องอะไรฉันต้องให้ เรื่องอะไรฉันต้องดีก่อน เธอยังไม่ดีเลย แต่ถ้าเกิดว่าในโลกมีแต่คนแบบนี้เต็มไปหมด แล้วเมื่อไรในบ้านเรา ในสังคมเราจะมีคนดีที่กล้าทำดีอย่างไม่หวั่นไหว ถ้าคนดีขาดความกล้าหาญ คนดีขาดความยืนหยัดทะนงตนในความดี แล้วเราจะมีคนดีในโลกที่แท้จริงไหม
บางอย่างบางเรื่องบางที มันไม่เหมาะไม่ใช่ แต่ถ้าไม่ลำบากเกินไป ถ้าเรายอมอดทนได้ แล้วทำให้ทุกคนมีความสุข บางทีก็ต้องยอมบ้าง ถ้าตามใจตัวเองแล้วทำให้คนที่เขาเตรียมและตั้งใจให้เรามา แล้วเราไม่ชอบ ทำให้เขาไม่สบายใจ สู้เราฝืนใจตนเองแล้วทำให้คนตรงข้ามมีความสุขได้ มันก็ไม่เสียหายอะไร ฉะนั้นสุขทุกข์มันอยู่ที่ว่า ยอมหรือไม่ยอม ยอมเพื่อคนอื่นบ้าง ยอมถอยเพื่อให้คนอื่นได้บ้าง ยอมถอยเพื่อให้คนอื่นมีสุขบ้าง ยอมเสียเพื่อให้คนอื่นได้บ้าง ถ้าทำแบบนี้ได้ คนเช่นนี้จะมีใครไม่รักบ้าง คนเช่นนี้ถ้าทำจนถึงที่สุด เขาจะไม่มีคุณธรรมในใจหรือ ยอมได้ก็ยอม ให้ได้ก็ให้ ให้เขากินอิ่มเรากินน้อยหน่อยไม่เป็นไร เขาได้หัวเราะเราก็ได้หัวเราะตามที่เขาหัวเราะ เราก็ไม่เป็นไร แต่สังคมปัจจุบันนี้ หรือแม้แต่ตัวเราทุกวันนี้ยอมไหม หนทางยอมดีกว่าหนทางไม่ยอม เพราะจิตมักจะไหลลงต่ำ และจิตที่ไหลลงต่ำ แล้วบอกว่าไม่ยอม ไม่อยากเสีย ไม่อยากให้ มันก่อผลเป็นกิเลส อารมณ์ และความยึดติดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ใจที่รู้จักยอม ใจที่รู้จักให้ ใจที่รู้จักไม่เคืองโกรธ ใจที่รู้จักอดทนในสิ่งที่ยากทน เรากลับพบหนทางสว่าง หนทางแห่งการเปิดใจกว้าง หนทางแห่งความเย็น หนทางแห่งความสงบ ถ้าบอกว่าไม่ยอม เหมือนท่านมาฟังธรรมวันนี้ ในใจเราจะไม่ทำแล้ว จะกลับแล้ว แข็งไปดื้อไปเราก็เจ็บ คนที่พามาเขาก็เจ็บทั้งที่เขาก็รักเรานะ อยากให้เราได้ดี
ฉะนั้นถ้ามีคนแข็ง แต่อีกคนหนึ่งยอม โลกก็สมดุล แต่ถ้าต่างคนต่างแข็งก็มีแต่ชนกันเจ็บ ฉะนั้นชีวิตก่อนจะทำอะไร คิดอย่างหนึ่ง เราแนะนำง่ายๆ ถามตัวเองง่ายๆ มันกำลังไหลลงต่ำหรือมันกำลังไหลขึ้นสูง ถ้าสิ่งที่ทำไหลลงต่ำแล้วกลายเป็นความเคยชิน กลายเป็นนิสัย กลายเป็นอารมณ์ มันดีหรือไม่ (ไม่ดี)  แต่ถ้ายอมแล้วกลายเป็นความเบิกบาน กลายเป็นความเมตตา กลายเป็นคนอภัย กลายเป็นความสันติ กลายเป็นความร่มเย็น กลายเป็นความสมัครสมาน ยอมหรือไม่ (ยอม)  อดทนสักนิดหนึ่ง เหมือนพระพุทธะกล่าวว่า ถ้าทำดีแล้ว ถึงขนาดต้องน้ำตานองหน้า ถึงขนาดต้องเจ็บนิดๆ ในใจ ท่านบอกให้ฝืนทำเถอะ เพราะสุดท้าย ที่สุดของคนทำดีคือความสงบเย็น แต่คนที่ดื้อดึงดันทุรัง เอาแต่ชนเอาแต่แข็ง ไม่ยอม ผลสุดท้ายคือความโดดเดี่ยว ไม่มีใครรัก ไม่มีใครสนใจ จริงหรือไม่ (จริง)  เลือกเอานะ อยากมีสวรรค์บนดินหรืออยากมีนรกบนดิน แล้วทุกวันนี้ทำสวรรค์หรือทำนรกในบ้าน แค่ไม่ยอมก็จุดไฟเผาตัวเอง แต่ถ้ายอมเราก็เปลี่ยนไฟเป็นน้ำเย็นดื่มชื่นใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ถ้าอยากมีความสุข ท่านต้องเข้าใจว่า ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าสุขแท้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามาศึกษาธรรมปฏิบัติธรรมแล้ว จะต้องถูกล็อตเตอรี่ อุบัติเหตุไม่มี เจ็บป่วยไม่มี เป็นไปไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายคนคิดว่าไหว้พระ ทำบุญ ทำดีต้องไม่เจอเรื่องอัปมงคล เป็นไปได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ธรรมะสอนเรื่องความเป็นจริงและเรียนรู้ที่จะอยู่กับความจริงด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง ธรรมะสอนให้เราเรียนรู้เข้าใจความเป็นจริง และมีภูมิต้านทานความจริงที่ยากเกินรับมือ ธรรมะสอนให้เราเข้าใจทุกข์และอยู่กับทุกข์โดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ ฉะนั้นต้องเข้าใจให้ถูก ความจริงที่แท้คือ ในโลกนี้ไม่เคยมีสุข มีแต่ทุกข์ แต่จะทุกข์มากหรือทุกข์น้อย หรือไม่มีทุกข์เท่านั้นเอง
พระพุทธะกล่าวไว้ว่า “อย่าถือท่านเป็นสรณะ แต่ให้ถือธรรมแห่งความเป็นจริงเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง” เพราะคำว่าตัวคนหรือตัวบุคคล มีวันเปลี่ยนแปลง มีวันสูญสลาย แต่ความเป็นจริงแห่งโลกอยู่ค้ำฟ้าดิน ไม่ว่าคนจะเปลี่ยนไปกี่ยุคกี่สมัย ความจริงนั้นก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นผู้ที่ยึดถือความเป็นจริงเป็นที่พึ่งย่อมพบทางสว่าง พบทางที่แท้จริง เหมือนเราถามท่านว่า ท่านเคยสูญเสีย เคยเจ็บปวด เคยทุกข์ไหม (เคย)  แล้วยังจำสิ่งที่ไม่ดีของคนอื่นที่ทำร้ายตัวเองอยู่อีกไหม
ถ้ายังจำได้แปลว่ายังอยากเจอเขาอีก แต่ถ้าไม่จำแล้วแปลว่าจบกันแล้ว ไม่เจอกันอีก ฉะนั้นควรจำหรือควรลืม (ควรลืม) เพราะยิ่งจำเราก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งยึดเราก็ยิ่งเจ็บ แล้วเราควรจำหรือควรยึดไหม (ไม่ควรยึด) ในเมื่อผ่านไปแล้ว โลกนี้ผ่านแล้วก็ผ่านไป เราจะยึดทำไมให้เจ็บปวด แล้วเราเคยผ่านแล้วผ่านไปไหม
เราถามท่านนะ ธรรมแห่งความเป็นจริงอะไรที่ช่วยทำให้เราพอจะดับทุกข์ในใจเราได้บ้าง (ขันติ, อุเบกขา, มโนธรรม, ความสุข, ความเมตตา, อดทนและอดกลั้น, ให้อภัย, วางเฉย) แปลว่าท่านยังไม่เข้าถึงความจริงแห่งธรรมนั้น ถ้าท่านทำด้วยใจอันเต็มร้อย ทำด้วยความเข้าใจอันเต็มเปี่ยม จะก้าวผ่านความทุกข์นั้นไปได้อย่างแท้จริง
เวลาเราโดนด่า โดนว่า เคยวางใจเป็นกลางได้จริงๆ ไหม เวลาโดนว่าจริงๆ เราสามารถเมตตาเขาได้ไหม เราสามารถให้อภัยเขาได้ไหม เราไม่เคยทำได้ ถ้าคิดไม่ยอมก็โกรธแล้วก็ด่าในใจ หรือมีโอกาสก็แอบไปนินทา แล้วก็จบลงที่ความทุกข์ กับอีกทางหนึ่ง ย้อนกลับไปคิดว่า เขาว่าถูกไหม ถ้าว่าถูกก็ขอบคุณ เราผิดจริงไหม ถ้าผิดจริงเจอหน้าใหม่ก็ขอโทษ ว่ากันด้วยเหตุผลและความเป็นจริง แต่ถ้ายังหาความจริงไม่ได้ เราก็ควรคิดว่าตามใจตัวเองไม่ดี ตามธรรมะดีกว่า เพราะธรรมะเป็นที่พึ่งที่สงบเย็นที่สุด และคิดว่าเขาเป็นเพื่อน เป็นเพื่อนกันต้องการความจริงใจ ถ้าเขาเป็นผู้ใหญ่กว่าเรายังเคารพให้เกียรติเขาไหม ถ้าเขาอ่อนวัยกว่าเรายังเมตตารักเขาได้ไหม ถ้าเขาเป็นน้องแต่เขาว่าเรา ถ้าเรายังรักษาธรรมได้ เราก็ผ่านด่านได้ เราก็พบความสุขได้ นั่นคือข้อหนึ่ง แต่เมื่อผ่านด่านมาได้เรื่องหนึ่ง มันก็ยังไม่สามารถล้างใจเราได้ ถ้าท่านเข้าใจธรรมะ ธรรมะจะสอนว่า ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์พร้อม สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดก็พร้อมที่จะพร่องที่สุด สิ่งที่ดีที่สุดก็พร้อมที่จะมีโอกาสพร่องได้เหมือนกัน ถ้าเราเอาธรรมะนี้มาคิด ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม แม้แต่เราก็ไม่พร้อม เขาก็ไม่พร้อม หรือไม่มีใครดีที่สุด คิดได้เช่นนี้ยังต้องพยายามอดทนไหม
อย่าใช้แค่อารมณ์ อย่าใช้แค่ความรู้สึก เพราะอารมณ์ความรู้สึกไม่เที่ยง แต่เอาความจริงมาใช้ ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม ไม่มีใครดีจริง ไม่มีใครร้ายจริง ลองนำมาใช้จะช่วยขจัดปัดเป่าแล้วเกิดความปล่อยวางและปลดปลงได้ เราถามจริงๆ ใครสมบูรณ์พร้อม ใครดีที่สุด หรือพูดง่ายๆ มีใครในโลกไม่เคยโดนด่ายกมือขึ้น มีใครในโลกไม่เคยโดนนินทายกมือขึ้น ฉะนั้นมันเป็นความจริงอันเป็นธรรมดาของโลก เมื่อไรที่เราเอาตัวเราเข้าไปยึด เข้าไปเกาะกุม เราจึงมองไม่เห็นความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาของโลก อย่างนั้นเมื่อถึงเวลาโดนด่าก็ให้เราหัวเราะว่า โดนด่าบ้างแล้ว ได้ไหม แล้วห้ามไม่ให้โดนด่าได้ไหม (ไม่ได้) อายุมากขนาดนี้ยังโดนด่า โดนนินทาได้เลยจริงไหม แล้วถ้าเราเข้าใจว่า เป็นธรรมดา เป็นเช่นนั้นเองเราจะทุกข์ไหม แล้วทำไมต้องมองเป็นทุกข์เรื่อยเลย เมื่อมีโดนด่าแล้วมีใครไม่เคยโดนชมไหม (ไม่มี) ทั้งโดนชมและโดนด่าก็เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเราเข้าใจความเป็นธรรมดาของโลกเราจะทุกข์ไหม เพราะความทุกข์ไม่ได้แปลว่า เศร้า เหงา ซึม ตาย แต่ความทุกข์คือสิ่งที่ทำให้เราทนได้ยากและต้องแปรเปลี่ยนไป ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่ความทุกข์สอนให้เรารู้ว่า สรรพสิ่งล้วนต้องแปรเปลี่ยนไป ถ้าเกิดถึงเวลาเราสูญเสียทุกข์ไหม ถ้าท่านมองธรรมดาได้ท่านก็ปลดทุกข์ได้เยอะเลย เพราะเป็นธรรมดาที่เป็นความจริงของโลก หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสัจธรรม หรือเรียกให้สูงขึ้นมาหน่อยก็คือ โลกธรรม[๑]ทั้งแปด เรารู้แล้วว่ามันเป็นธรรมดา แล้วทำไมเราถึงไม่ยอมธรรมดา ฉะนั้นสิ่งที่ทุกข์ไม่ใช่คำโดนว่า แต่สิ่งที่ทำให้ทุกข์คือ ใจที่ไม่ยอมรับความเป็นธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าเกิดท่านไม่อยากทุกข์ ท่านต้องยอมรับความเป็นธรรมดาให้ได้ก่อน ถ้ายอมรับได้ ความทุกข์ก็ปลดปลงไปได้เยอะเลย จริงหรือไม่ (จริง) อย่าวิ่งไปตามความรู้สึก ดึงความรู้สึกขึ้นมาแล้วมองตามธรรมะ เพราะความรู้สึกนั้นง่ายที่จะไหลลงต่ำ และง่ายที่จะดึงให้ใจเราแย่มากกว่าที่จะดึงให้ใจเราสูงขึ้น เมื่อมีความทุกข์แล้วรู้สึกเศร้า เหมือนตัวคนเดียว รู้สึกหดหู่ใช่หรือไม่ (ใช่) แย่ไหม (แย่) มีอะไรดีขึ้น (ไม่มี) แล้วอยากจมอยู่ในนั้นหรือไม่ (ไม่อยาก) แล้วทำไมชอบคิดให้ทุกข์ (มันเป็นธรรมดา) มันไม่ธรรมดา เพราะไม่มีธรรมะไหนที่บอกว่า การคิดให้ตัวเองทุกข์นั้นมันเป็นธรรมดา มีพระธรรมบทไหนบอกบ้างว่า การคิดให้ตนเองทุกข์ แล้วจมอยู่ในความทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา มีหรือไม่ (ไม่มี) มีแต่ว่า การโดนว่า มีสุขมีทุกข์ มีได้มีเสียเป็นธรรมดา ถูกหรือไม่ (ถูก)
เราสูญเสียเราทุกข์ไหม มีบ้านไหนไม่เคยสูญเสียบ้าง (ไม่มี) ไม่ว่าจะเสียลูก เสียเงิน เสียสามีหรือภรรยา เสียพ่อแม่หรือคนที่เรารัก เราทุกคนเคยสูญเสียทั้งนั้นใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ก่อนมาเราเคยมีใครหรือไม่ (ไม่มี) ดังนั้นแค่กำลังกลับไปสู่ความไม่มี เราแค่กลับไปสู่ที่เดิม ถูกหรือไม่ (ถูก) เมื่อก่อนเราเคยมีญาติ มีพ่อแม่หรือไม่ (ไม่มี) แล้วมีอะไรในโลกที่ได้มาแล้วไม่เสียไป (ไม่มี) ถ้ามีความรู้สึกแล้วทำให้ทุกข์ ทำให้เราแย่ ทำไมไม่ลองมีธรรมะมาทำให้เราคิด แล้วทำให้เราพ้นทุกข์ ระหว่างมีความรู้สึกกับมีธรรมะ ท่านว่ามีอะไรดีกว่า (ธรรมะ) ชีวิตเราเหมือนมีดาบสองอัน อันหนึ่งคือความรู้สึก แล้วกลายเป็นกิเลสอารมณ์ อีกอันหนึ่งคือธรรมะความเป็นจริง แล้วกลายเป็นพ้นทุกข์
เราเคยดึงธรรมะด้านนี้ออกมาบ้างไหม ทำไมไม่ลองดึงออกมาและพิจารณาจนแจ่มแจ้งพ้นทุกข์ เรามาตัวคนเดียว เรามาจากความว่างเปล่า เราแค่กลับไปสู่ความว่างเปล่าเหมือนเดิม ซึ่งเราไม่ได้เสียอะไร แต่เราแค่กำลังกลับไปเหมือนเดิม ความว่างคือที่สุดของความจริง ความมีคือการมีแค่ชั่วขณะหนึ่ง หาใช่มีแท้จริงไม่ เพราะถึงที่สุดทุกสิ่งก็คือว่าง ฉะนั้นเรากำลังเสียใจอะไร เรากำลังเสียอะไร เราไม่เคยเสียเพราะเราไม่เคยมี ความมีแค่ชั่วคราว และถ้าเกิดเราเสียไป ขออย่างเดียวอย่าเสียศูนย์ที่ใจของเรา ถ้าอยากพบความสงบในใจลองนำธรรมะมาใช้บ้าง ดีหรือไม่ (ดี)
ถามจริงๆ นะท่านมาฟังธรรมะเพื่อแค่ฟัง หรือท่านมาฟังธรรมเพื่ออยากมีธรรมบ้าง ถ้าคนอยากมีธรรมจริงๆ ต้องกระตือรือร้นที่จะใช้ธรรมะ แต่พอเราพูดเรื่องธรรมะท่านก็ไม่เข้าใจ เพราะเราถูกปลูกฝังมาว่า ถ้าอยากปฏิบัติธรรมอยากมีธรรมะก็แค่ทำบุญ สวดมนต์ไหว้พระแค่นั้นใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จริงๆ แล้วแก่นธรรมไม่ได้อยู่ที่ภายนอก แต่แก่นแท้ของธรรมอยู่ที่ภายใน เราถามท่านลึกๆ นะ ว่าท่านชอบคนดูถูกไหม (ไม่ชอบ) ชอบคนใจร้ายไหม (ไม่ชอบ) แล้วทำไมเราไม่มีเมตตา แล้วทำไมเราไม่รู้จักเคารพให้เกียรติ แล้วทำไมเราไม่รู้จักซื่อตรงจริงใจ แล้วทำไมเราไม่รู้จักมีน้ำใจไมตรี แล้วทำไมเราไม่รู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาปใช่หรือไม่ (ใช่)
จงยั้งคิดก่อนจะทำสิ่งใดว่า สิ่งที่ตัดสินใจนั้น สิ่งที่พูดออกไปนั้น สิ่งที่คิดที่ทำนั้น ตามอารมณ์ตามใจ หรือตามคุณธรรมความถูกต้อง ความหมายจะต่างกัน ชีวิตจะต่างกันเลย คนหนึ่งมุ่งมั่นทำแต่ความถูกต้อง มีความเมตตา ความซื่อตรงเป็นหลัก รู้จักให้เกียรติเคารพผู้อื่น แต่อีกคนหนึ่งเอาแต่ใจเอาแต่อารมณ์เอาแต่นิสัยตัวเอง ความหมายมันต่างกัน จริงหรือไม่ (จริง) วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ท่านต้องถามตัวเองว่า อยากจะกลับไปเดินเหมือนเดิมหรือจะเดินสู่ทางที่ถูกต้องที่แท้จริงให้กับชีวิต เรามีความงามเรามีความดีอยู่ในใจ แล้วเราเคยเอาความดีความงามนั้นออกมาจากใจแล้วใช้มันอย่างเต็มที่บ้างหรือยัง เมตตาอย่างสุดจิตสุดใจ จริงใจอย่างสุดจิตสุดใจ เคารพผู้อื่นอย่างสุดจิตสุดใจ ไม่เคยโกรธเคืองใครอย่างสุดจิตสุดใจ เพราะเข้าใจความเป็นจริงว่าในโลกไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม
ไม่มีใครดีที่สุด เอาแค่นี้ไม่ต้องยาก แล้วเราจะโกรธใครไหม หรือพูดง่ายๆ คือใจเขาใจเรา เราเคยร้ายไหม เราเคยด่าคนไหม เราเคยโกงคนไหม ถ้าเราเคยร้าย เราเคยด่า เราเคยโกง เราไม่เข้าใจคนเคยร้าย เคยด่า เคยโกงหรือ มันเป็นธรรมดาของมนุษย์ เมื่อเขายังไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว เขามีสิ่งที่ดีที่สุด ไยจึงเลือกสิ่งที่ไม่ดี
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง หนึ่งคำที่ล้นใจ ชื่อเพลง ไกลเท่าเข้าใจแนบชิด)
เรามองเหมือนธรรมะไกล แต่เมื่อไรที่เราเข้าใจธรรมะ ธรรมะนั่นแหละคือจิตเดิมแท้ในใจเรา ธรรมะไม่เคยห่างไปจากใจ แต่อยู่ที่ว่าเมื่อไรตัวท่านจะคิดเอาธรรมะมาเป็นตัวเอง เอาแต่อารมณ์เอาแต่นิสัย มันก็ได้แต่ความทุกข์ วิบากกรรม และสังสารวัฏ แต่ถ้าเอาธรรมมาเป็นตัวเป็นตน ท่านก็จะกลับคืนสู่ธรรม พ้นทุกนิรันดร์ ถามใจท่านเองว่าจะเลือกธรรมะหรือนิสัยอารมณ์
ชีวิตนี้ไม่มีอะไรยาก ถ้าใจเราสู้และตั้งใจจริง ธรรมะไม่ใช่เรื่องยากที่จะปฏิบัติ ขอเพียงอุทิศเสียสละตัวเอง ลดความยึดมั่นถือมั่นและตั้งใจจริง ลดความเคยชิน ลดการตามใจตัว และเอาธรรมะออกมาใช้ให้กับผู้คน เราอยากได้เพื่อนแท้ เราอยากได้มิตรแท้ เราอยากได้คนรอบข้างน่ารัก แล้วทำไมจึงไม่เอาธรรมะให้เขา เอาอารมณ์ใส่กันก็มีแต่เจ็บ เอาจิตใจเด็กๆ ใส่เข้าไปในใจบ้าง มันจะได้ใส
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาห้องผู้ร่วมฟัง)
ไหว้เราไม่มีประโยชน์ สู้นำสิ่งที่เราบอกไปประพฤติปฏิบัติจะดีกว่า ฝึกจิตใจให้สะอาด ฝึกความคิดให้บริสุทธิ์ เมื่อใจสะอาด ความคิดบริสุทธิ์ กิเลสตัณหาก็จะกลายเป็นธารน้ำอันใสเย็น แต่ถ้าเมื่อไรความคิดยังไม่สะอาด ยังไม่บริสุทธิ์ กิเลสตัณหาก็คุกรุ่นทำร้ายใจเราได้ แม้นไม่มีเรื่องแต่ถ้าเราคิดร้ายก็กลายเป็นเรื่อง แม้นมีเรื่องแต่ถ้าเรารู้จักคิดให้ดี คิดให้เป็น คิดตามความเป็นจริง เรื่องก็สามารถสลายได้ แต่คิดอย่างไรถึงจะทำให้เราเป็นสุข นั่นคือคิดอย่างคนมองตามความเป็นจริง โดนด่าได้ โดนโกงได้ เจ็บได้ สูญเสียได้ แต่สิ่งสำคัญคือ เราต้องเข้าใจธรรม ว่าในใจเราไม่เคยมีอะไรสูญเสีย ไม่เคยมีอะไรเจ็บ เพราะใจเราเข้าถึงความว่าง ถ้าโดนว่ายังเจ็บแปลว่าเรายังยึด เมื่อยึดก็หนีไม่พ้นทุกข์ แต่ถ้าโดนว่าแล้วยังยิ้มได้ ไม่เจ็บ แล้วเข้าใจ แล้วขอบคุณ แล้วขอโทษ นั่นคือสุดยอดของการบำเพ็ญธรรม เพราะอายุก็หลายแล้ว ถ้าป่านนี้ยังปลงไม่ได้ก็ไม่รู้จะปลงตอนไหนแล้วจริงไหม (จริง)
ไม่มีสิ่งใดทำเราทุกข์และเจ็บนอกจากใจเราที่ไม่ยอมรับความจริง แล้วบีบให้ตัวเองยิ่งเจ็บ ทุกข์มาเยอะแล้ว เจ็บมาก็เยอะแล้ว เสียก็เยอะแล้ว แต่ความเป็นจริงของธรรมะสอนให้เรารู้ว่า แท้จริงเราไม่เคยเสียอะไร ไม่เคยเจ็บอะไร เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนคือความว่าง คนที่ยึดคือคนที่อยากทุกข์ แต่คนที่เข้าถึงธรรมและเข้าถึงความว่างคือคนที่อยากพ้นทุกข์ ฉะนั้นบำเพ็ญแล้วอย่ากลัวเจ็บ อย่ากลัวตาย อย่ากลัวทุกข์ อย่ากลัวสูญเสียเพราะเราไม่เคยมีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เมื่อไม่มีแล้วเราจะเจ็บอะไร เมื่อว่างแล้วเรากำลังทุกข์อะไร เราทุกข์เพราะความหลงผิดที่เรายึด แล้วอะไรในโลกที่ยึดได้บ้างใช่หรือไม่ (ใช่) บอกว่าอย่าแก่ก็แก่ บอกว่าอย่าเจ็บก็เจ็บ แล้วเราควรจะทุกข์กับสิ่งนั้นไหม (ไม่ทุกข์) ทำให้ได้นะ เพราะสิ่งที่สำคัญนอกเหนือจากสังขารนั่นคือ จิตเดิมแท้ว่างจากตัวตนผู้ยึดถือ ว่างจากเจ้าของ ไม่ต้องการเจ้าของ ต้องการแค่ธรรมะ ทุกชีวิตล้วนกลับสู่ธรรมะ ฉะนั้นนำธรรมเป็นตัวตน อย่าเอาตัวตนเป็นอารมณ์เป็นนิสัยมันมีแต่ทุกข์ แล้วเมื่อเข้าใจแล้วจงนำธรรมะนี้ส่งต่อให้ผู้คน ให้เขาได้ตื่น ให้เขาได้รู้ รับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดี และเอาเวลาที่หลังจากรับผิดชอบหน้าที่ได้ดีแล้วไปช่วยคน ชีวิตจะได้มีค่ามีความหมายมากยิ่งขึ้น ไม่ได้เกิดมามีลมหายใจเพื่อตัวเอง แต่ยังมีลมหายใจเพื่อช่วยคน ได้หรือไม่ (ได้) มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกัน
(มีนักเรียนในชั้นลุกขึ้นถามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระทีปังกรพุทธเจ้ามาจากไหน เพราะคำสอนมาจากพระศากยมุนีพุทธเจ้า)
พระทีปังกรคือก่อนพระศากยมุนีพุทธเจ้า พระพุทธองค์ท่านตื่นรู้ในคำสอนอันเดียวกับท่านทีปังกรพุทธเจ้า การตื่นรู้ธรรมไม่ใช่ตื่นรู้ที่ท่านมาชี้ แต่ท่านแค่มาสืบต่อและก็รับช่วงต่อในธรรมนั้น ท่านถึงบอกว่า “อย่าถือตัวท่านเป็นสรณะ แต่ให้ถือธรรมแห่งความเป็นจริงเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ” ไม่ต้องสงสัยเยอะเพราะสงสัยแบบนั้นไม่ทำให้ท่านพ้นทุกข์ สิ่งที่จะทำให้ท่านพ้นทุกข์คือปฏิบัติหน้าที่ได้ดีหรือยัง ปฏิบัติต่อผู้คนได้ดีหรือยัง และเข้าถึงความเป็นจริงได้ดีหรือยัง สงสัยผู้อื่นไม่ช่วยอะไร ไม่สามารถทำให้ท่านพ้นทุกข์ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถทำให้พ้นทุกข์ได้คือในจิตของเราเป็นเนื้อนาบุญ ถ้าหมั่นหย่อนเมล็ดพันธุ์ธรรม สักวันถ้าจิตนิ่งพอธรรมนั้นจะก่อเกิดคำตอบขึ้นมาเองด้วยใจ เหมือนที่พระพุทธองค์ได้รู้คำตอบด้วยตัวเอง อย่าเอาแต่ถามผู้อื่นเพราะธรรมแท้ต้องค้นหาในใจ
มั่นใจๆ รักษาตัวเองให้ดีนะ ขอให้บุญรักษา ขอให้ธรรมรักษา แต่อย่าให้อารมณ์ทำร้ายชีวิต ไตร่ตรองให้ดีอย่าให้อารมณ์ชั่ววูบทำร้ายตัวเองนะ สู้ๆ วันนี้เราถือโอกาสสั้นๆ มาผูกบุญสัมพันธ์กับท่าน ย้ำในความเข้าใจแห่งการปฏิบัติธรรมว่า จงเลือกธรรมนำชีวิตแต่อย่าเลือกอารมณ์และความคิดต่ำนำพาชีวิตเลย ฉะนั้นก่อนจะทำอะไรไตร่ตรองให้ดีว่ามีเมตตาธรรมไหม ดูถูกผู้อื่นหรือเปล่า เบียดเบียนผู้อื่นหรือไม่ ซื่อตรงจริงใจหรือเปล่า คนอื่นทำเราไม่ต้องไปสนใจ แต่ขอตัวเราปฏิบัติต่อเขาอย่างจริงใจ เพราะในโลกนี้เป็นโลกแห่งเหตุและผล ถ้าเราสร้างเหตุดีไม่ต้องกลัวว่าผลจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าเราสร้างเหตุไม่ดีนั่นสิต้องมานั่งทุกข์ใจ เพราะเราต้องรับผลกรรมที่ตัวเองสร้าง ฉะนั้นเลือกปฏิบัติให้ถูกธรรมอย่าถูกใจ เพราะบางครั้งถูกใจตามมาด้วยกิเลสและอารมณ์ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน แต่ถ้าถูกธรรมจะตามมาด้วยความแจ่มแจ้งชัดเจนและพบทางสว่างที่มีแต่ให้โดยไม่เรียกร้องหวังผลใดๆ นั่นแหละเรียกว่าบุญแท้กุศลจริง ปฏิบัติได้ในทุกคนและทุกขณะ ดีกว่ารอแค่ที่วัดกับพระ กับใครก็ให้ได้ ให้ด้วยความจริงใจ ให้ด้วยความเมตตา ให้ด้วยความเคารพ ให้ด้วยความรักและจริงใจ
อารมณ์นิสัยเบาๆ บ้างนะ บางคนอายุก็ไม่น้อยแล้ว เหมือนที่มนุษย์เรารู้ ในโลกนี้มีอยู่สองขั้ว ขั้วหนึ่งมืดอีกขั้วหนึ่งสว่าง แต่ในความมืดก็มีข้อดี ในความสว่างบางทีก็มีข้อร้าย แต่เราเป็นผู้อยู่ระหว่างมืดและสว่าง ในโลกก็เหมือนกันมีทั้งคนดีและร้าย เราอยู่ระหว่างกลางเราจึงต้องรักษาใจตัวเองให้มั่นคง และอยู่ร่วมกับเขาให้สันติสุขให้ได้ ร้ายก็ไม่เกลียด ดีก็ไม่หลงรัก เมื่อนั้นแหละคือความเป็นกลาง ใช่หรือไม่ (ใช่) ธรรมะแท้คือเดินสายกลาง อะไรก็ไม่เกลียด อะไรก็ไม่รัก มีแต่ความเข้าใจ และก็เข้าใจ และก็เข้าใจ เมื่อใจไม่ยึดติด ดีร้าย ได้เสีย ไม่แบ่งแยก เราก็จะพบความจริงอันเป็นกลางที่เรียกว่า “ธรรมะ”
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก รักษาโอกาส ฟังธรรมะเยอะๆ เพื่อจะได้เกิดปัญญา เรียนวิชาอื่นตายไปแล้วก็ลืม แต่เรียนวิชาธรรมะ ไม่ว่าต้องตายกี่ภพกี่ชาติ ปัญญาแห่งการตื่นรู้จะนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้ในทุกภพทุกชาติ

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จิตหนึ่งสัจธรรม”
    เมื่อดวงจิตเป็นหนึ่งเดียวกับสัจจะ      ยังปรุงแต่งสร้างกรรมจะมลายสิ้น
อัตตาขาดจะว่างไร้ซึ่งมลทิน                ธรรมคืนถิ่นสัจธรรมอยู่ทั่วไป
    ในความมีคงอยู่ชั่วขณะ                 ที่จะเที่ยงแท้หาไม่
ที่สุดก็ต้องว่างไร้                            ชัดในแก่นธรรมแท้จริง
ไม่เที่ยงใครอยากโลภหลง                  เป็นทุกข์ยากปลงยากยิ่ง
ว่างเปล่าในตัวตนจริง                      สามสิ่งแก่นแท้สัจธรรม


แก้ไขเพลงพระโอวาทที่พระอาจารย์เมตตาให้ไว้ ณ สถานธรรมไท่อิน เมื่อวันที่ ๒-๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑   

จากเดิม หัดโง่ไว้แล้วจะทำให้สบาย แก้เป็น หัดโง่แล้วจะทำให้สบาย
จากเดิม เก่งแค่ไหนไม่มีสุขเท่านั้น แก้เป็น เก่งแค่ไหนไม่มีสุขก็เท่านั้น
จากเดิม กอบกรรมบำเพ็ญ แก้เป็น กอบกำบำเพ็ญ
จากเดิม ศิษย์ต้องรู้ชีวิตทำอะไร แก้เป็น ศิษย์ต้องใช้ชีวิตทำอะไร
จากเดิม แก้ไขคิดทันรวดเดียว แก้เป็น แก้ไขคิดทำพรวดเดียว

การเป็นคนที่เก่งอยู่อย่างนั้น อาจกลายเป็นคนที่เหนื่อยจับขั้วหัวใจ หัดโง่แล้วจะทำให้สบาย เก่งแค่ไหนไม่มีสุขก็เท่านั้น
* ไม่กลายเป็นคนเรื่อยเปื่อยอยู่อย่างนั้น กอบกำบำเพ็ญทั้งหอบกอบธรรมหายไป ศิษย์ต้องใช้ชีวิตทำอะไร ต้องเข้าใจต้องรู้เรื่องจริงที่แท้นั้นคือ
** เจ้าไม่ต้องเก่งแต่รู้จักทำ กุศลต้องสร้างประจำเสกสรรด้วยมือ ห้ามไม่ค่อยอยู่เหตุผลนั้นคือ ศิษย์ต่างก็ถือความคิดตนด้านเดียว (ซ้ำ * / **)
ศิษย์ต้องใช้ชีวิตทำอะไร ต้องเข้าใจต้องรู้เรื่องจริงที่แท้นั้นคือ (ซ้ำ ** / **)
ศิษย์เหนื่อยบ้างไหม แก้ไขคิดทำพรวดเดียว
ทำนองเพลง พูดไม่ค่อยเก่ง
ชื่อเพลง ทำตนสายกลาง



[๑] โลกธรรม : ธรรมที่มีประจำโลก, ธรรมดาของโลก มี ๘ อย่าง คือ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ
เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา