วันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

2560-11-18 สถานธรรมถงซิน จ.ราชบุรี

西元二○一七年歲次丁酉十月初   仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐                       สถานธรรมถงซิน  จ.ราชบุรี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ

  คนคนหนึ่งถ้าได้เป็นแบบนี้             สำนึกดีมีสติสัมปชัญญะ
มีสติเห็นตามจริงไม่ลดละ                 ทุกขณะมีศีลธรรมย่อมร่มเย็น
                                เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่พุทธสถานถงซิน แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา           ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

  ในอดีตเคยรุ่งเรืองมาก่อน              ตามังกรมืดมัวเทียนไม่ดับ
เพียงแค่ความมลายเพื่อพลิกกลับ        เมื่อขยับตัวสิ้นอนธการ[1]สู่อรุณ
ชีพจรธรรมมาสู่ธารเชี่ยวกราก           พลังจากฟ้าดินดั่งวัยรุ่น
เมื่อไรโลกสิ้นธรรมย่อมหยุดหมุน         หรือยังไม่ในฝุ่นวีรบุรุษจริง
จงรักษาไม้ทองให้ผ่องใส                 ตั้งต้นย่อมคืนใจวิสุทธิ์ยิ่ง
ญาณมีรากความคิดสงบนิ่ง               สภาวะจริงจากเสียงแท้เสียงธรรมะ
ละอองธรรมฝนสบายจากเบื้องบน       ลากฉุดบ่นเบื้องแรกคนผงะ
คนช่วยคนผู้พูดมีศิลปะ                   อารยะทำบุญมีทำดีกัน
ทำได้ก็ให้ทำด้วยสติ                      อย่ารอติต้องหมุนสถานการณ์
ขึ้นไม่ได้ก็แม้เมล็ดหว่าน                  ฟ้าจะการุณย์ต้องการจริงใจ
ประดุจผืนฟ้ายืดไม่สิ้นสุด                 ทว่าตนระวังหยุ่นมากเป็นภัย
พลิกแพลงเป็นต้องมากกว่าเข้าใจ        ยืดหยุ่นพลิกแพลงได้จึงต้องรู้จริง

                                                                                                    ฮา ฮา หยุด
[1] อนธการ น. ความมืด, ความมัว, ความมืดมน; เวลาคํ่า; ความเขลา..
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ
บางครั้งการอยู่ในโลกไม่พูดอะไร ไม่มีความคิดอะไรดีที่สุด บางทีแค่คิดก็ผิดแล้ว แค่พูดก็ไม่ใช่แล้ว ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องดี เรื่องที่ถูกต้อง แต่บางครั้งเราพูดสิ่งที่ถูกต้องที่สุดก็กลับกลายเป็นทำให้คนนั้นเจ็บปวดที่สุด บางครั้งเราพูดจริงที่สุดแต่ก็ทำให้คนผิดไปโดยไม่รู้ตัว บางครั้งเราแค่เสนอความคิดเห็น แต่บางทีก็ทำให้คนรอบข้างลำบากใจได้ ยิ่งอยู่ในโลกมากเท่าไร ยิ่งเข้าใจชีวิตมากเท่าไร เราก็รู้ว่าไม่พูดอะไร นิ่งๆ ไว้ อาจจะดีกว่า เพราะว่าพูดแล้วสร้างบาป สร้างกรรม สร้างทุกข์โดยไม่รู้ตัว เพียงเพราะเราคิดว่าก็ฉันคิดว่ามันเป็นแบบนี้ ก็ฉันคิดว่ามันถูก ก็ฉันพูดเรื่องจริง แต่เคยไหมจริงถึงที่สุดก็ทำให้เจ็บถึงที่สุด ดีถึงที่สุดก็ทำให้คนทุกข์ได้ที่สุด บางครั้งพูดออกไปแล้วได้แค่ความสะใจ ได้แค่ระเบิดความอัดอั้นตันใจ ได้แค่โอ้อวดว่าเราก็เก่ง จึงมีคำกล่าวว่า “สิ่งที่พูดไปถึงจะเป็นความจริง ถึงจะเป็นความถูกต้อง ถึงจะเป็นความดีงาม แต่เมื่อสร้างผลสะท้อนกลับมาแล้ว ใครจะแก้ไขได้ ใครจะเปลี่ยนแปลงได้” จริงหรือไม่ (จริง)  
ความดีสร้างเป็นร้อยเป็นพันวัน แต่ความชั่วความผิดแค่เพียงนิดเดียวอย่างไม่ได้ตั้งใจ ความดีที่ทำมาทั้งหมดสูญหายในฉับพลันทันที อดทนได้มาตั้งนาน พอวันหนึ่งทนไม่ไหว พูดออกมาแล้ว ใครทุกข์ (ตัวเราเอง)  แล้วมีอะไรดีขึ้นไหม (ไม่มี)  เราก็เห็นรูปบ่อยๆ รูปที่เป็นอย่างไรนะ (ปิดหู ปิดตา ปิดปาก)  อย่าหวังปิดตา ปิดหู ปิดปากผู้อื่นแต่ลืมปิดตา ปิดหู ปิดปากตัวเอง
เราเรียนรู้ธรรม เราเรียนรู้ชีวิตเพื่อจะปิดไม่มีวันเปิด เพื่อจะปิดไม่ต้องรับรู้ เพื่อจะหยุดไม่ต้องพูด หรือว่ารู้จักเปิดปิดให้เป็น รู้จักฟังหูไว้หู และรู้จักพูด และรู้จักหยุด จริงๆ แล้วเราอยู่ในโลกเราปิดตาตัวเองตลอดไม่ได้ เราเอาแต่ปิดหูไม่ฟังก็ไม่ได้ และเราจะหยุดปากตัวเองตลอดก็ไม่ได้ แต่จะทำอย่างไรให้ตาเรามองเห็นอย่างแจ่มชัด ให้หูเรารู้จักฟังหูไว้หู ให้ปากเรารู้จักสำรวมระมัดระวัง ไม่พูดพร่ำเกินไป เราเคยคิดบ้างไหมหนอ จึงมีบทประพันธ์บทหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ในใจของมนุษย์มีบทประพันธ์ชั้นเลิศอยู่ แต่ถูกบดบังด้วยความคิด ความหลงผิดในตัวตนที่ขาดวิ่น” ในตัวมนุษย์มีบทเพลงแห่งสันติสุข ความสงบร่มเย็นอยู่ แต่ถูกบดบังด้วยความหลง ความเข้าใจผิด ที่เรียกว่า อัตตาตัวตนและกิเลสทั้งมวล ฉะนั้นก่อนที่จะคิดจะทำหรือพูดอะไร ลองถามว่านั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตที่เรากระทำแล้วหรือ หรือเป็นเพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบ ความหลงผิด ที่เราแสดงออกมา เป็นอย่างไรหรือ เป็นความคิดที่ไตร่ตรองว่าดีแล้ว หรือว่าเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ แล้วเคยได้ยินไหม กิเลสเพียงชั่ววูบ ความหลงผิดเพียงชั่วขณะ ทำให้มนุษย์ต้องทุกข์ ต้องทนกับวิบากกรรมที่ตัวเองสร้างไม่จบไม่สิ้น ก่อนจะหยุดคนอื่น ควรหยุดที่ตัวตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
“จงรักษาไม้ทองให้ผ่องใส”
ใจของมนุษย์มีสิ่งมีค่าและสิ่งมีค่านี้ถ้ากระทำบ่อยๆ ก็เรียกว่าคุณธรรมความดีงาม ไม้ทองก็อาจเปรียบได้กับความซื่อตรงและมโนธรรมสำนึกอันดี มนุษย์ทุกคนมีจิตใจที่ดีงาม ไม่มีใครเกิดมาอยากประพฤติผิด อยากทำผิดพลาด อยู่ข้างนอกวิ่งจนวุ่น บางทีกลับมาสู่ความช้าๆ แต่ได้สติช้าๆ แต่รู้จักคิดอย่างคนมีปัญญาก็อาจจะดีกว่าไวๆ แล้วขาดสติ ใช่หรือไม่
โดยส่วนใหญ่มนุษย์ปรารถนาความสุข มีชีวิตทำทุกอย่างเพื่อหาความสุขแต่ยิ่งหาก็ยิ่งทุกข์ใช่หรือไม่ โดยส่วนใหญ่มนุษย์ปรารถนาความสุขแต่ยิ่งแสวงหา ถึงที่สุดแล้วความสุขอยู่ที่ใด (ใจ)  พอหรือยัง ดีหรือยัง ขอบคุณบ้างได้หรือยัง แค่นี้ก็ดีบ้างได้หรือยัง ถ้าอยากหาความสุข ถามใจตัวเอง ถ้าพอได้ดีได้ก็สุขได้ แต่ถ้ายังไม่พอยังไม่ดีก็ยังไม่สุข ปรารถนาความสุขอันไกลโพ้นแต่ลืมไปว่า ถึงที่สุดคนที่กำหนดความสุขที่แท้จริงคือ ใจเราเอง ถ้าใจเราพอ ใจเราบอกขอบคุณแล้ว ดีแล้ว แค่นี้ก็สุขแล้ว ความสุขอยู่ไกลเกินเอื้อมไหม  ตอนนี้มีความสุขหรือยัง (มี)  ตอนนี้เริ่มมีแล้วใช่ไหม (ใช่)  แต่ก่อนเคยคิดว่าความสุขอยู่ไกลโพ้นแล้ววิ่งไปหาแล้วจะได้สุข ขณะที่หาก็ทุกข์ พอได้มาถึงที่สุดแทนที่จะสุขก็กลับ (ทุกข์)  จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วหยุดหาไหม (ไม่หยุด)  ก็ยังไม่พอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากพบสุข พอหรือยัง ดีหรือยัง ขอบคุณได้หรือยัง ถ้าอยากพบสุข สามคำนี้ถ้าทำได้ ก็สุขได้ ก็ดีได้ แต่ถ้าสามคำนี้ยังไม่มีในชีวิต หาเท่าไรก็ไม่สุข เพราะอะไรๆ ก็ยังไม่ดี ยังไม่พอ เหมือนกับมนุษย์เราเมื่อหาแล้วแค่นี้พอไหม ไม่ ยังหาไปอีกเรื่อยๆ เพราะคิดว่าต้องมีเยอะๆ ต้องได้เยอะๆ  แล้วเคยไหมยิ่งวิ่งวุ่นมากเท่าไร พอถึงเวลาความสงบที่เราปรารถนากลายเป็นความวุ่นวาย บางครั้งนั่งเฉยๆ อยู่นิ่งๆ แล้วก็มีแค่นี้พอแล้ว จริงไหม (จริง)  วิ่งจนเหนื่อย หาจนทั่ว แต่ถึงที่สุดก็กลับมาพอใจแค่ได้ปล่อยใจตามสบายไม่ต้องรีบ ไม่ต้องถูกบังคับ ไม่ต้องถูกกดดัน ถึงที่สุดกลับชอบสิ่งที่ธรรมดาที่สุด แล้วตอนนี้ยังกลับไปวิ่งเหมือนเดิมไหม (ไม่)  หลายคนทำงานเหนื่อยแทบแย่เพื่อจะไปพักผ่อนริมทะเล แล้วทะเลมีอะไรให้อยากได้ไหม (ไม่มี)  สิ่งที่ได้จากทะเลคือความสงบอันเป็นธรรมชาติ แล้วไม่สงสัยหรือว่า วิ่งหาแทบตาย ถึงที่สุดอยากได้ธรรมชาติ แต่จนแล้วจนรอดถึงรู้ขนาดนี้ มนุษย์ก็ยังอดวิ่งวุ่นเหมือนเดิมไม่ได้ จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดฉุกคิดขึ้นมาได้ เมื่อยามตัวเองต้องเจ็บไข้ ยามตัวเองต้องทุกข์ทน วิ่งไม่ได้แล้ว ตอนนั้นจึงมาคิดได้ว่า เงินทอง บ้าน ทรัพย์ ลูกหลาน สามีภรรยา บางครั้งหามาแทบแย่ แย่งชิงมาแทบแย่ ถึงที่สุดก็ไม่สู้อะไรมีค่าเท่ากับชีวิตและร่างกายที่เข้มแข็ง จริงไหม
เคยไหมหาเงินแทบแย่แต่ซื้อความเข้มแข็งกลับมาไม่ได้แล้ว ซื้อสุขภาพดีไม่ได้ หาแทบแย่เพียงหวังว่าสิ่งนั้นคือความสุข แต่ถึงที่สุดแล้ว สิ่งที่หากลับกลายเป็นทุกข์ไม่จบสิ้น นึกว่าจะได้ความสุขแต่ถึงที่สุดกลับกลายเป็น (ความทุกข์)  เมื่อความเจ็บไข้มาเยี่ยมเยือนแล้วถึงได้รู้ว่าแม้เราจะดูแลร่างกายดีขนาดไหน ถึงที่สุดเราก็หนีความจริงไม่พ้น นั่นคือความเจ็บป่วยและต้องลาจากโลกนี้ไป จนถึงที่สุดแล้วเคยคิดไหมว่า พยายามหาความสุขก็ไม่สู้หันมาเรียนรู้และเข้าใจความทุกข์ พยายามวิ่งหนีความทุกข์ พยายามไม่อยากมีทุกข์แต่ไม่สู้กลับมาเรียนรู้ความทุกข์และเข้าใจทุกข์ให้เป็น แล้ววิชาอะไรที่สอนให้เราเข้าใจทุกข์และดับทุกข์ได้สิ้นเชิง สอนให้เราอยู่กับทุกข์โดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ ท่านว่าคือวิชาอะไรหรือ (วิชาแห่งธรรม)  แต่มนุษย์โลกกลับไม่คิดเรียนวิชาธรรม
เหมือนที่วันนี้ท่านถามว่า ฟังธรรมทำไม การเรียนรู้ธรรมทำให้เราเข้าใจทุกข์ การเรียนรู้ธรรมทำให้เราเข้าใจชีวิตและเห็นแจ้งความเป็นจริง จนไม่มีอะไรมาลวงให้เราต้องหลงและทุกข์ได้อีกต่อไป ถามว่าถึงเวลาสนใจใคร่ที่จะเรียนธรรมไหม เราหนีไม่พ้นทุกข์ การเอาแต่วิ่งหาความสุข ไม่สู้เรียนรู้ทุกข์และเข้าใจทุกข์ และต่อไปไม่ทุกข์อีก มิใช่สุขหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าธรรมสอนให้เราเรียนรู้ทุกข์ เข้าใจทุกข์ และอยู่ร่วมกับทุกข์อย่างไม่ทุกข์ได้ ไยจึงไม่ใส่ใจ ไยจึงไม่ค้นคว้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เมื่อรู้ว่าเรียนรู้ธรรมแล้วช่วยให้เราพ้นทุกข์ แล้วทำอย่างไรที่จะทำให้เราไม่ต้องทุกข์ในโลกใบนี้  (ศึกษา)  เอาแต่ศึกษาแต่ไม่นำไปปฏิบัติก็ยังไม่พ้นทุกข์นะ
(นำธรรมะมาใช้ในชีวิตประจำวันให้ได้ แล้วเราก็จะสอบผ่าน)  สอบผ่านความทุกข์  ต้องนำสิ่งนั้นมาปฏิบัติ อย่างนั้นถ้านำสิ่งนั้นมาปฏิบัติแต่ธรรมะมีมากมาย จะปฏิบัติอย่างไร ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน ใช่หรือไม่ (ใช่)
สมมติว่าท่านคือคนหนึ่งที่เชื่อเรื่องหลักเหตุและผล ถ้าเราสร้างเหตุดี ผลจะเป็นอย่างไร (ผลดี)  ถ้ายังคิดอย่างนี้แปลว่ายังยึดติดนะ พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ถ้าสร้างเหตุที่ดีแล้ว ผลจะเป็นเช่นไร ก็สุดแล้วแต่ฟ้าจะบันดาลดลให้เป็นไป สำคัญที่จิตใจเราก็พอ โบราณจึงมีคำสอนกล่าวไว้ว่า “ถ้ามนุษย์เรื่องเล็กๆ น้อยๆ รู้จักระมัดระวังไม่ให้เสียหาย ถ้าเรื่องที่เคยทำแล้วทำให้ท้อแท้หม่นหมอง แล้วไม่ก้าวผิด ไม่ประพฤติชั่ว ถ้าเรื่องที่ทำให้อับจนแล้วยังมีความมุ่งมั่น ขยันหมั่นเพียร สู้ไม่ถอย ใฝ่ดีตลอด และถ้ามุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีแล้วยังไม่ท้อถอย แม้จะหม่นหมองแค่เพียงชั่วขณะ แต่คิดแค่เพียงว่าเราจะไม่หม่นหมองชั่วนิจนิรันดร์ ถ้าทำได้เช่นนี้ก็ถือว่าประเสริฐ”เรื่องเล็กน้อยไม่ผิดพลาด เรื่องที่ทำให้ชีวิตมืดมนไม่ก้าวผิด ไม่ผิดศีล ไม่ขาดธรรม เรื่องที่ถูกต้องดีงามรักษาไว้ตราบชั่วชีวิตเเม้จะหดหู่บ้างเป็นบางครั้งบางโอกาส ถ้าทำได้เช่นนี้เรียกว่าดีงามพร้อม แต่ในความเป็นคน เล็กๆ ก็ผิดพลาด ท้อแท้หม่นหมองก็ประพฤติชั่ว มุ่งมั่นทำความดีเเต่เมื่อหดหู่ก็ล้มเลิก ถ้าในทางกลับกันทำได้อย่างที่เราบอกก็เรียกว่าคนดีคนหนึ่ง ถ้าหากว่าเราเป็นคนรู้จักเรื่องเหตุเเละผล ถ้าเราเป็นคนไม่ยกตนข่มท่าน ไม่อวดตัวเองว่าเก่งว่ารู้ว่าฉลาด จะมีใครดูถูกดูหมิ่นเหยียดหยามไหม (ไม่มี)  จะมีใครว่าเราโง่เขลาเบาปัญญาไหมถ้าเราไม่อวดตัว (ไม่มี)  ในทางกลับกันถ้าเราเป็นคนสุภาพอ่อนน้อมรู้จักฟังความคิดเห็นของผู้อื่น มีใครจะไม่รักไหม ก็ต้องมีคนรักไม่มีคนเกลียด ถ้าเกลียดก็คงเกลียดน้อย ในอีกทางหนึ่งถ้าเราเป็นคนมีน้อยเเต่ยังมีน้ำใจให้แบ่งปันช่วยเหลือ มีน้อยเเล้วยังรู้จักเสียสละอุทิศให้ จะมีคนในโลกแล้งน้ำใจไหม (ไม่มี)  เพราะเราให้ไม่จบ มีน้อยแค่ไหนก็ยัง (ให้)  ใครจะเเล้งน้ำใจเพราะทุกคนมีน้ำใจหมดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในความเป็นจริงเราไม่เคยให้ใช่ไหม โลกเราจึงเต็มไปด้วยคนแล้งน้ำใจ จริงไหม (จริง)  เพราะเราไม่เคยให้
เราอยู่ร่วมกับคนหมู่มาก ไม่ว่าเขาจะผิดขนาดไหน ไม่ว่าเขาจะแย่ขนาดไหน เราไม่เคยเหยียบย่ำซ้ำเติม เรามีแต่เมตตา ให้อภัย เข้าใจ เห็นใจ ในโลกนี้ใครจะเคืองแค้น ใครจะผูกใจเจ็บ ใครจะก่นด่าโทษเราบ้าง มีไหม (ไม่มี)แต่เราเคยเข้าใจใครไหม เราเคยให้อภัยใครจริงๆ ไหม และเราเคยเห็นใจคนไม่ซ้ำเติมใครบ้างไหม ไม่มี ใครผิดเราก็ซ้ำเติม ใครไม่ดีเราก็ประณามต่อว่า ฉะนั้นโลกนี้จะเป็นไปอยู่ที่เราหรืออยู่ที่เขา (อยู่ที่เรา) เราคือผู้สร้างโลกที่แท้จริง อยากได้คนมีน้ำใจต้องเริ่มที่น้ำใจเราก่อน อยากได้คนดีเราต้องดีให้ถึงที่สุดก่อน แม้ความดีที่เราทำจะทำให้เราต้องหดหู่ไปบ้างในชั่วขณะแต่จงรักษาความดีนั้นตราบนิจนิรันดร์ แล้วเราจะไม่โศกาตลอด
อย่างนั้นตอนนี้ที่โลกดีไม่ดีเพราะเขาหรือเพราะเรา (เพราะเรา)  เราเป็นผู้สร้างเหตุล้วนๆ จริงไหม (จริง)  แล้วเมื่อเรามุ่งมั่นในสิ่งที่ดี ไยต้องกังวลกับผลที่จะเกิดเล่า เมื่อเราหยัดยืนในความถูกต้อง ทำไมต้องกลัวการเข้าใจผิด ฟ้ารู้ดินรู้เรารู้เอง ใช่หรือไม่ กลัวแต่เพียงอย่างเดียว ดีจริงหรือยัง
อยากได้ชีวิตร่มเย็น ถ้าตัวเองยังไม่ซื่อตรง เรียกร้องคนอื่นให้ซื่อตรง ไม่มีหรอกนะ ถ้าตัวเองยังควบคุมใจตัวเองให้เดินในทางที่ถูกต้องแล้วไม่ประพฤติผิดไม่ได้แล้วไปหวังให้คนอื่นต้องเดินถูกต้อง ห้ามประพฤติผิดก็ยากมีแต่ทำให้ตัวเองสมบูรณ์พร้อม ถ้าเราทำได้สมบูรณ์พร้อมไยต้องกลัวกับการไม่เที่ยงของโลกใบนี้ จริงหรือเปล่า (จริง)
ธรรมะคืออะไร แล้วปฏิบัติอย่างไรเรียกว่าปฏิบัติธรรม โดยส่วนใหญ่เราก็รู้ว่า เกิดเป็นคน มีศีล มีธรรม ก็เรียกว่าปฏิบัติธรรม แล้วจริงๆ การปฏิบัติธรรมและธรรมนั้นคืออะไร ธรรมคือความเป็นจริงอันเป็นสัจจะ ถ้าเมื่อไรมนุษย์เข้าใจความเป็นจริง เมื่อนั้นมนุษย์ก็พบธรรม เมื่อไรมนุษย์เห็นชัดในความเป็นจริง มนุษย์ก็จะรู้แจ้งในธรรม แล้วถ้าเมื่อไรที่มนุษย์เห็นชัดในธรรมแท้จริง มนุษย์ก็จะสิ้นทุกข์ แต่เราจะอยู่กับทุกข์อย่างไรโดยไม่ทุกข์ อยู่ในโลกอย่างไรจนเห็นความเป็นธรรม อยู่กับความวุ่นวายอย่างไรจนพบความสงบ ไม่เคยคิดเลยใช่ไหม 
โดยส่วนใหญ่เรามักจะคิดกันว่าเวลาทุกข์ไปทำบุญใส่บาตรก็หาย (ไม่หาย)เวลาทุกข์สวดมนต์นั่งสมาธิก็หาย ใช่ไหม (ไม่หาย)  เวลาทุกข์ไหว้พระเก้าวัดก็หาย หายไหม (ไม่หาย)  ที่เราทุกข์เพราะว่าทุกสิ่งไม่เป็นดั่งใจหวังหรือว่าทุกสิ่งไม่เป็นจริง (ไม่เป็นดั่งใจหวัง)  แต่มันเป็นจริง ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราอยากพบธรรมปฏิบัติธรรม เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับว่า ทุกสิ่งไม่ได้ดั่งใจหวังแต่มันเป็นความจริงถ้าเมื่อไหร่เราเลือกปฏิบัติตามจริงมากกว่าตามใจหวัง เราก็จะพบทางแห่งธรรม แต่ถ้าเมื่อไหร่เราเลือกที่จะตามใจหวังมากกว่าตามจริง เราก็จะพบทางแห่งความสนองกิเลสตัณหา
พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า “สิ่งใดที่ทำให้เราเห็นความจริงมากกว่าความชอบชัง นั่นเรียกว่า ธรรม
สิ่งใดที่ทำให้เราทำแล้วพบความจริงพบความบริสุทธิ์ยุติธรรม มากกว่าสนองกิเลสตัณหานั่นเรียกว่าการประพฤติปฏิบัติธรรม”
ไม่ใช่ประพฤติเพื่อตกเป็นทาสกิเลสตัณหา พอเห็นธรรมบ้างหรือยัง (เห็น)  ธรรมคือสิ่งที่เรียกว่าความจริง แต่ถ้ามนุษย์ไม่ยอมรับความจริงและยืนยันในสิ่งที่ตัวเองคิด อยากมี อยากเป็น นั่นเรียกว่า ตกเป็นทาสของกิเลสอยู่ร่ำไป  เมื่อไรที่มนุษย์ยังติดในชอบชังมนุษย์ก็ยังหนีไม่พ้นกิเลสบาปกรรมเเละการเวียนว่ายในโลกใบนี้ เเต่ถ้ามนุษย์ยอมรับในความจริง เกิดมาต้องทุกข์เราจะเห็นธรรมได้ และเมื่อไรที่เราเห็นความจริงมากกว่าสิ่งที่เรียกว่าชอบชังนั่นเรียกว่าธรรม ธรรมคือความเป็นธรรมดาอันเป็นเช่นนั้นมีเกิดแก่เจ็บตาย มีสุขทุกข์ มีสมหวังมีผิดหวัง สิ่งใดที่เรากระทำประพฤติปฏิบัติแล้วทำให้เราบริสุทธิ์ยุติธรรมในความเป็นจริงมากกว่าสนองกิเลสตัณหานั่นเรียกว่าการปฏิบัติ เมื่อเวลาที่เราอยู่ในโลกเเห่งความทุกข์ คนที่เข้าใจทุกข์จึงแค่รู้ทุกข์หรือเป็นทุกข์ (รู้ทุกข์)  เห็นความโกรธหรือเป็นความโกรธ (เห็นความโกรธ) 
ธรรมคือความจริงที่สอนให้เราเรียนรู้ไม่ได้ให้เราต้องเป็น ฉะนั้นต้องเข้าใจ เรียนธรรมเพื่อไม่ใช่จะไปมีไปเป็น เเต่เรียนธรรมเพื่อรู้เเล้วดับสิ้นทุกข์ ไม่ว่าอะไรมาให้เเค่รู้เเต่ไม่ต้องเป็น รู้ว่าทุกข์เป็นธรรมดา เเต่ใจไม่เป็นทุกข์เราจึงต้องศึกษา ปฏิบัติและเรียนรู้ให้มาก ถึงที่สุดของธรรมที่ท่านเรียนรู้ก็เป็นไปเพื่อดับทุกข์ทั้งมวล ไม่ได้ให้เป็นไปเพื่อเป็นทุกข์แล้วค่อยดับทุกข์ แต่เป็นไปเพื่อเรียนรู้ทุกข์ เข้าใจทุกข์และปลดปลงในความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำอย่างไรที่จะทำให้เรารู้แล้วไม่ทุกข์ (ปล่อยวาง)  ตอบได้ดีนะ เราชอบคำนี้นะ แต่คนที่จะแจ้งคำนี้จริงๆ มีสักกี่คนกันเล่า ปล่อยวาง ไม่ได้แปลว่าไม่รับผิดชอบอะไร แต่ทำจนถึงที่สุดและยอมรับทุกสิ่งที่จะเป็นไป ไม่ไปคิดควบคุม ไม่ไปคิดผูกพัน ไม่ไปคิดข้องเกี่ยว ปล่อยวางเขาจะเป็นอะไรก็เป็นไป สำคัญคือใจเรามากกว่า ธรรมสอนให้ดูแลใจ ไม่ใช่ไปควบคุมใคร
ถ้าท่านเข้าใจความทุกข์ ความทุกข์เป็นธรรมดาที่เกิดขึ้นในทุกชีวิตและจริงๆ แล้วเราต้องขอบคุณทุกข์ด้วยซ้ำไป ลองมองดีๆ อย่าเพิ่งตั้งป้อมรังเกียจ มองดีๆ อย่าเพิ่งกีดกันไม่เข้าใกล้ ลองมองดีๆ แล้วเราจะรู้ว่าในความทุกข์ทำให้เราปลดปลง ในความทุกข์ทำให้เราคลายความยึดมั่นถือมั่น และในความทุกข์ทำให้เรามองเห็นความแจ้งจริงที่เรียกว่าธรรม ซึ่งไม่ได้อยู่ภายนอกแต่อยู่ในใจ อันเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้  ขอเพียงแค่เรากล้าที่จะยอมรับความทุกข์ด้วยหัวใจเข้มแข็ง ใครบ้างไม่สูญเสีย ใครบ้างไม่ผิดพลาด ใครบ้างไม่เจ็บปวด ใครบ้างดีที่สุด ใครบ้างแย่ที่สุดไม่มีใครที่ไม่มีใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราเรียนรู้ทุกข์เพื่อเข้าใจทุกข์และมองเห็นสัจธรรม ค้นพบความสว่างในใจตน 
ชีวิตคือการเรียนรู้ ความทุกข์ทำให้เราเข้าใจความเป็นจริงของชีวิตและค้นพบสัจธรรมที่แท้จริง อย่ากลัวที่จะทุกข์ ที่ยังต้องทุกข์และเจ็บปวดก็เพราะเราเลือกที่จะยึดมั่นมากกว่าจะมองความจริง ใช่ไหม (ใช่)  ลองรักษาใจให้ปกติ ไม่แบ่งแยกไม่ยึดติด ไม่เรียกว่ารักไม่เรียกว่าชัง เมื่อไหร่ที่มนุษย์ยืนหยัดอยู่ในความจริงมากกว่าสิ่งที่เรียกว่าชอบชัง มนุษย์จะสิ้นบาปสิ้นกรรมและพ้นทุกข์ได้ด้วยใจตัวเอง มองเห็นทุกอย่างด้วยความเท่าเทียมกัน ไม่มีใครดีที่สุดไม่มีใครแย่ที่สุด แล้วจริงๆ เราก็ไม่เคยสูญเสียอะไร เพราะแต่เดิมเราก็ไม่เคยมีอะไร ใช่ไหม (ใช่)  เพราะธรรมทำให้มนุษย์สงบและเข้าใจความเป็นจริงที่เรียกว่าชีวิต   มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ อย่ากลัวธรรม อย่ากลัวความจริง แต่สิ่งที่ควรกลัวคือกิเลสอารมณ์ของใจ


วันอาทิตย์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐                   สถานธรรมถงซิน  จ.ราชบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ความดีใจอิ่มใจลำพองสุข               กลับยังปลุกตัวตนหลงอัตตาใหญ่
โดนยกหูชูหางสราญใจ                   ยิ่งติดในตัวตนหลงอัตตา
หากไม่ยึดมั่นใดในโลกแล้ว               จิตผ่องแผ้วบริสุทธิ์พิสุทธิ์หนา
หากยังหลงยึดมั่นติดอัตตา               คงต้องทุกข์จมอุราเวียนว่ายวน
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                     ถามศิษย์รักทุกคนยินดีร่วมศึกษาธรรมกับอาจารย์ไหม




    อยู่ที่เรากลับมีปัญหาคนอื่น ฟังอย่างไรใจมิกลืนจึงอาจรับใช้ ไม่จับตาไม่ฟังปัญหาเพื่อก้าวมิก่าย ศิษย์แค่ปลอบให้เขาคลาย ทุกข์แบบเบาเบา
*   อย่าแกล้งทำอ่อนแออย่าแกล้งไม่รู้ ไม่เกี่ยวแล้ว ศิษย์ช่วยตน ช่วยคนเมตตาลึกล้ำ เรื่องที่คนแข่งขันที่เป็นจุดสนใจ ศิษย์ก็แค่ปล่อยให้เขาไป มิแก่งแย่งเขา อะไรสร้างปัญหา ยังไม่รู้ตัวเอง ศิษย์จะใช้ สิ่งสิ่งไหนออกไปช่วยคน
** ถ้าหากเจ้าวันใดไม่หายไม่มา ไม่นึกถึงใคร หากชอบจะทำ ไม่ชอบไม่ทำ ได้แค่อย่างนั้น อาจารย์ขอศิษย์เองแค่เหลือบำเพ็ญ เจ้าทิ้งใครใครไม่ทิ้งตัวเองลงแรงอย่างไรอย่างไหนพ้นกรรม ดีไหม เห็นไม่ดี ขอให้ดีหากเขาว่าดีเจ้ารู้แท้จริง ยิ่งรู้ยิ่งรู้ยิ่งทุกข์กว่าเขา จิตใจที่บำเพ็ญสิ่งที่สำคัญ ไม่มีทั้งรูปและขันธ์ ดับหมดแล้ว (ซ้ำ *,**,**)
ทำนองเพลง : หมดห่วง
ชื่อเพลง : ยังห่วงอะไร


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เวลาโดนคนชมรู้สึกใจฟู เวลาโดนคนว่ารู้สึกใจห่อเหี่ยว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผู้ปฏิบัติงานธรรมเป็นอย่างนี้ไหม แปลว่าคำชมเหมือนลมที่ทำให้เราใจฟูฟ่อง คำต่อว่าเหมือนการโดนสูบลมออกไปจากใจใช่ไหม (ใช่)  จริงๆ แล้วถ้าเป็นคนที่ฝึกฝนบำเพ็ญ ถ้าโดนชมแล้วฟู โดนด่าแล้วแฟบ นี่ถือว่ายังไม่ได้ฝึกฝนอะไรเลยจริงไหม (จริง)
มีสิ่งใดหนอที่ทำให้มนุษย์อยู่ในโลกแล้วไม่ติด ไม่ยึด ยากใช่ไหม (ใช่) มีไหมที่เราข้องเกี่ยวแล้วเราไม่ติดยึด รู้จักแล้วเราไม่ผูกพัน เกี่ยวอะไรแล้วก็รู้สึกอยากยึดอยากครอบครอง รู้จักอะไรแล้วก็อยากผูกพันอยากเสน่หา พอเป็นแบบนั้นเราก็เลยหนีไม่พ้นทุกข์กันเสียทีใช่หรือไม่ (ใช่) เคยได้ยินประโยคนี้ไหมศิษย์เอย “สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความดับ” ถ้าเรายังรู้สึกว่าต้องปล่อยวาง เรายังรู้สึกห่วง เรายังรู้สึกกังวล เรายังรู้สึกไม่ดี นั่นแปลว่า เราไม่สามารถดับได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกสิ่งมีความ (เกิด ดับ)  ทันที ทุกสิ่งเกิดแล้วก็ดับ แต่เพราะอะไร มนุษย์จึงไม่สามารถเห็นความเกิดดับได้ในทันทีทุกขณะที่ศิษย์มีชีวิตศิษย์สามารถทำให้เต็มที่ที่สุด ทำให้ดีที่สุด ทำให้ถูกต้องที่สุด ศิษย์ยังต้องห่วงอะไร แต่เพราะเรายังทำไม่ถึงที่สุด เราถึงยังต้องห่วง ยังต้องกังวล ยังต้องพยายามปล่อยวาง ในเมื่อพระพุทธะล้วนสอนไว้ว่า สิ่งใดมีความเกิดสิ่งนั้นมีความดับเป็นธรรมดา ในเมื่อเกิดแล้วดับตลอดเวลาเเล้วเรายังห่วงกังวลกับอะไรจนทำให้เราไม่สามารถดับได้จริงๆ หรือบางสิ่งดับไปแล้วเเต่ใจเรายังไม่ดับ เมื่อดับไม่ได้มนุษย์จึงพยายามหาที่พึ่งทางใจ อะไรก็ได้ที่ทำให้เราสบายใจไม่ทุกข์ใจ มีใครบ้างพึ่งความถูกต้อง (พึ่ง)  ใครพึ่งพระธรรมบ้าง ใครพึ่งความดีบ้าง (นักเรียนยกมือ)  เราพึ่งความถูกต้องเพื่อดับทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  เเต่ทำไมหลายๆ คนเมื่อเจอคนไม่ถูกต้องทำไมเราจึงทุกข์ใจ นั่นเเปลว่าเรากำลังพึ่งถูกหรือพึ่งผิด (พึ่งผิด) เหมือนศิษย์พึ่งความดีเเต่เมื่อทำดีแล้วไม่ได้ดี พึ่งต่อไหม (ไม่พึ่ง)  ในเมื่อดับทุกข์ไม่ได้พึ่งต่อไหม (ไม่พึ่ง)
และบางทีเราอยากหาทางดับทุกข์ ก็เลยหาธรรมเพื่อดับทุกข์ แต่เมื่อพึ่งธรรมแล้วธรรมกลับไม่ช่วยชำระล้างใจให้เราพ้นทุกข์เลย พึ่งต่อไหม (พึ่ง) แล้วเราพึ่งเพื่อ (หาทางดับทุกข์)  แล้วทำไมสิ่งที่พึ่งมันทำให้เราทุกข์ อย่างนั้นแปลว่า ความถูกต้องผิด ธรรมะผิด ความดีผิด หรือใจเรา (ใจเรา) อาจารย์เห็นส่วนใหญ่บอกว่า ธรรมะไม่ดี คนอื่นไม่ดี พระไม่เอาแล้ว ความถูกต้องความดีไม่เอาแล้ว พึ่งแล้วไม่ได้ดี ใช่ไหม (ไม่)  ศิษย์ต้องจำไว้อย่างหนึ่งนะ ศิษย์ต้องการที่พึ่งเพื่อดับทุกข์ ถ้าพึ่งแล้วมันกลับกลายเป็นมีทุกข์ แปลว่าศิษย์ต้องมีอะไรผิดปกติ หรือว่าสิ่งที่เรากำลังศึกษาหรือนำไปปฏิบัติมันทำให้เราคิดผิดปกติ ใจปกติคือใจที่ไม่มีทุกข์ ใจผิดปกติคือใจที่มีทุกข์ ถ้ายึดมั่นกับความถูกต้อง ยึดมั่นกับความดี ยึดมั่นกับธรรม แล้วทำให้ใจผิดปกติแล้วเป็นทุกข์ แปลว่าเรากำลังยึดมั่นผิด เพราะธรรมไม่ได้ให้เรียนรู้เพื่อยึดมั่น แล้วเอาไปตรวจสอบใคร และเอาไปว่าใคร และธรรมไม่ได้ให้ ยึดมั่น ทำแล้วต้องหวังวอนขอผลบันดาลใจ ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนตอนนี้ร้อนอาจารย์หยิบพัดขึ้นมา พัดทำให้อาจารย์หายร้อน แต่ถ้าตอนนี้นั่งในห้องที่เย็นแล้ว อาจารย์จำต้องถือพัดอีกไหม (ไม่ต้อง)  ก็ไม่จำเป็นต้องถือ จะถือทำไมให้ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราทำตัวถูกต้องแล้ว เราทำตัวดีแล้ว ทำไมเรายังยึดถือสิ่งที่เราทำอีก ทำไมเรายังยึดถืออย่างไม่ปล่อยวาง ถ้ามันทำให้เราพ้นทุกข์แล้ว เหมือนเรือพาเราข้ามฝั่งไป เมื่อถึงฝั่งแล้ว เราจะแบกเรือไปไหม (ไม่แบก)  แต่อาจารย์เห็นศิษย์แบกทุกคนเลย เราถือธรรมเป็นที่พึ่งเพื่อดับทุกข์ แต่ไม่ใช่ให้เราถือธรรมเป็นที่พึ่งเพื่อยึดติดจนเป็นทุกข์ ฉะนั้นต้องเข้าใจให้ถูก ใช้ธรรมให้ถูกทาง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ธรรมทำให้เราอยู่ร่วมกับคนในสังคมโดยที่ไม่เป็นทุกข์ ธรรมไม่ได้สอนให้เราหนีคนหนีโลกหนีความจริง แต่ธรรมสอนให้เราประพฤติหน้าที่ของตัวเองให้ถูกต้อง สมบูรณ์ที่สุด ดีงามพร้อมที่สุด แล้วต่อไปจะปฏิบัติธรรมก็ไม่มีสิ่งอะไรที่ต้องห่วงกังวลอีกแล้ว ถูกไหม (ถูก)  แต่คนสมัยนี้หน้าที่ความเป็นคนยังไม่สมบูรณ์แต่อยากจะไปพ้นทุกข์ มีไหม (มี)  เยอะไหม (เยอะ)  นักเรียนในที่นี้ใช่ไหม (ใช่)
คงยินดีต้อนรับอาจารย์ไม่มากก็น้อย อย่าพึ่งอาจารย์เลยนะ พออาจารย์หายไปศิษย์ก็ไม่มีที่พึ่งแล้ว พึ่งความจริงแท้ที่เรียกว่าสัจธรรมดีกว่า เพราะยิ่งเราพึ่งสัจธรรมเราก็ยิ่งมองเห็นชัดเจนว่า แท้ที่จริงแล้วมันไม่มีอะไรให้เราพึ่งได้สักอย่างหนึ่งยิ่งเรียนรู้สัจธรรมก็ยิ่งรู้ความจริงว่า ใดๆ ในโลกนี้ศิษย์ไม่สามารถพึ่งได้เลย เพราะทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่เที่ยง ไม่มีความคงทน ไม่มีความแน่นอน และถึงที่สุดก็หาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ ถ้าศิษย์อยากมีที่พึ่งจริงๆ อาจารย์ขอให้ศิษย์รู้จักพึ่งสัจธรรมความจริงดีกว่านะ
มาฟังธรรมะเพื่อศึกษาบำเพ็ญตัวเอง หาทางให้ตัวเองพ้นทุกข์ และนำพาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ศิษย์จะต้องเริ่มทำอย่างแรกคือ ทำหน้าที่ความเป็นคนให้สมบูรณ์ก่อน เพราะถ้าศิษย์ยังทำหน้าที่ของความเป็นคนได้ไม่สมบูรณ์ นับประสาอะไรกับจะฝึกฝนบำเพ็ญตนให้เป็นพุทธะ อย่างนั้นอาจารย์ขอตรวจสอบก่อนนะ เป็นลูกกตัญญูหรือยัง เป็นสามีภรรยาซื่อตรงหรือยัง ถ้ากับพ่อแม่เรายังไม่กตัญญู เรายังสามารถนินทาว่าร้ายได้ พ่อแม่ที่ทุ่มเทให้กับเราทั้งชีวิตเรายังรักไม่ลง ในโลกนี้ศิษย์ก็จะหาคนที่รักศิษย์อย่างแท้จริงไม่ได้หรอกนะ จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นกตัญญูหรือยัง (กตัญญูแล้ว)  กตัญญูด้วยการทำอย่างไร
(จุดแรกถ้าพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องดูแลเรื่องอาหารการกิน และทำให้ท่านมีความสบายใจ แล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือมีโอกาสพาท่านไปทำบุญสร้างกุศล แล้ววันที่ท่านจากไปก็ทำบุญให้ท่าน มีโอกาสอุทิศบุญกุศลที่เราได้ทำ ฉะนั้นเวลาที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ท่านอยากทำอะไร ท่านอยากไปไหน เราเป็นลูก เราพาท่านไป นี่คือหน้าที่ของลูกกตัญญู)
ตอบได้ดีไหม (ดี)  แค่มีเวลาไปอยู่ข้างๆ ท่าน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าไม่มีเวลาไปอยู่ข้างๆ เดี๋ยวนี้มีโทรศัพท์ใช่ไหม (ใช่)  โทรหาท่านบ่อยๆ บอกท่านว่าคิดถึง บอกรักท่านบ่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คุณธรรมที่สำคัญที่สุดของความเป็นคนวันนี้ศิษย์ก็ได้ฟังมาแล้ว ฉะนั้นจะบำเพ็ญไม่ได้เลย ถ้าความเป็นคนยังไม่สมบูรณ์พร้อม ถูกหรือไม่
หนึ่งคือเมตตา สองคือความซื่อตรง สามคือความจริงใจ อยากเป็นคนอยู่ที่ไหนใครๆ ก็รัก จริงใจหรือยัง พูดอะไรจริงใจไหมทำอะไรจริงใจไหม พูดว่ากตัญญูแต่กตัญญูจริงใจไหม ซื่อตรงจริงใจไหม ถ้าศิษย์มีสามอย่างนี้พร้อมก็ถือว่าเป็นคนสมบูรณ์พร้อมหรือยัง (ยัง)  ได้แค่นี้ใช่ไหม เมตตา ซื่อตรง จริงใจ มีเมตตาไหม (มี)  เป็นคนความเห็นแก่ตัวจะหายไปได้ถ้าเรารู้จักมีเมตตา แล้วรู้จักเสียสละอุทิศให้ได้ไหม (ได้)  ไม่ใช่ทำอะไรเอาก่อน แล้วเวลามีชีวิตอยู่รับก่อนให้ทีหลัง หรือให้ก่อนรับทีหลัง (ให้ก่อน)  ที่เห็นมารับก่อนให้ทีหลังทุกทีใช่หรือไม่ ถ้าศิษย์อยากฝึกฝนเป็นคนที่ดี ลองให้ก่อน รับทีหลัง หรือให้แล้วไม่รับเลยดีที่สุด แล้วมนุษย์เราทำได้ดีที่สุดขนาดนี้หรือยัง (ยัง)  ถ้ายังไม่สมบูรณ์พร้อมศิษย์จะไปบอกใครว่า จะไปนั่งวิปัสสนา จะไปบำเพ็ญบวชชีพราหมณ์ จะไปฟังธรรม ฉะนั้นก่อนจะมาฝึกฝนบำเพ็ญถามใจตัวเองก่อนว่าทำหน้าที่ความเป็นคนสมบูรณ์พร้อมหรือยัง
ถ้าคิดว่าเราฟังธรรมเพื่อฝึกฝนบำเพ็ญเเละเพื่อดับทุกข์ให้ได้ ถามง่ายๆ ว่าถ้าโดนเขาว่านิดหนึ่งใจเราฟูหรือใจเราแฟบ ถ้าเขาว่าเราไม่ดี จริงๆ เราไม่ดีไหม ถ้าเขาบอกว่าเราดีที่หนึ่ง ลองถามใจลึกๆ ของตัวเองว่าจริงๆ เเล้วเราดีที่สุดไหม (ไม่)  เราแย่ไหม (ไม่)  ถ้าเรารู้ใจตัวเองเมื่อใครมาบอกว่าเราดี ใจเราจะฟูไหม ถ้าใครมาบอกว่าเราแย่ ใจเราจะแฟบไหม (ไม่) แปลว่าที่มนุษย์ทุกข์อยู่ทุกวันนี้เป็นเพราะว่าเรายังไม่เคยรู้จักตัวเอง เวลาที่คนชมเเล้วใจเรายังฟู เวลาที่คนมาว่าเเล้วใจเรายังเเฟบ นั่นเเปลว่าเรายังไม่เคยรู้จักตัวเอง ถ้าเราหันกลับมาถามตัวเองจริงๆ แล้วฉันดีไหม ก็ดี แต่ก็ยังดีไม่สุด เเล้วถ้าถามว่าเราแย่ไหม ก็ยังไม่เเย่สักเท่าไหร่ เมื่อไรที่เราโดนอะไรมากระทบหรือโดนอะไรมาว่าเเล้วเราสามารถรู้ชัดเห็นชัด รู้จริงเห็นแจ้งสิ่งไหนจะมาทำให้เราทุกข์ไหม (ไม่)  และอะไรจะมาลวงให้เราหลงไหม (ไม่)  ที่เราทุกข์อยู่ทุกวันนี้เพราะเราไม่รู้ชัดไม่เห็นเเจ้ง
อะไรเราก็เก่งหมด อะไรเราก็เรียนได้หมด อะไรเราก็อยากรู้ไปหมด แต่มีสิ่งเดียวที่ศิษย์ไม่เคยรู้ไม่เคยเก่งคือ เอาตัวเองให้รอด ใช่ไหม (ใช่) ฉลาดอย่างไรก็ยังทุกข์ รวยอย่างไรก็ยังทุกข์ สวยอย่างไรก็ยังทุกข์ น่าเกลียดอย่างไรก็ยังทุกข์ จนอย่างไรก็ยังทุกข์ ทุกข์หมดทุกอย่างเลยใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเรารู้จักตัวเองอย่างชัดเจน แล้วเราจะทุกข์อีกไหม เอาง่ายๆ วันนี้อาจารย์ช่วยแก้ให้ ถ้าต่อไปมีคนชมว่าศิษย์เก่งจังเลย ศิษย์จะดีใจไหม (ไม่ดีใจ)  ดีที่สุดเลยดีใจไหม (ไม่ดีใจ)  เพราะเริ่มเห็นตัวเองแล้วว่ายังไม่ดีพร้อม ถ้าโดนคนด่าเราว่าโง่ ไม่ดี จะเสียใจไหม (ไม่เสียใจ)  เมื่อไรที่เราเจอเรื่องที่ทำให้เราทุกข์ เราสามารถหยั่งรู้จนแจ่มชัด หยั่งรู้จนสมบูรณ์พร้อม แล้วไม่ยึดมั่นถือมั่นเราจะคลายทุกข์ได้ ใช่ไหม (ใช่)
ถ้าเมื่อไรสิ่งที่ศิษย์สามารถรู้ชัด รู้สมบูรณ์พร้อม สิ่งนั้นจะทำให้ศิษย์คลายทุกข์ ไม่ทุกข์ และไม่สุข เหมือนถ้าตอนนี้ศิษย์รู้ว่าศิษย์ดีไหม ก็ไม่ค่อยดี แย่ไหม ก็ยังไม่แย่ ถ้าต่อไปใครชมดีจังเลย เราก็จะบอก ยังไม่ดีพอหรอกนะ ใช่ไหม (ใช่)  พอใครว่าศิษย์แย่จังเลย ศิษย์ก็จะบอกว่า (ยังไม่แย่หรอกนะ)  ศิษย์จำไว้นะ ถ้าศิษย์อยากพ้นทุกข์ ความรู้อะไรที่มันสมบูรณ์พร้อมแล้วจะทำให้เราคลายและสิ้นทุกข์ได้ ไม่เกิดกิเลสได้ นั่นคือต้องรู้แล้วชัด รู้แล้วสมบูรณ์ทั่วพร้อม สมบูรณ์ทั่วพร้อมแล้วไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรเลย ดีไหม ก็ไม่ใช่ แย่ไหม ก็ไม่เชิง ฉะนั้นใครจะว่าดี ก็ไม่แน่ แย่ก็ไม่ใช่ ถูกไหม (ถูก)  เพราะศิษย์ไม่สามารถยึดอะไรได้ ดีจริงๆ ไหม แย่จริงๆ ไหม ความรู้ที่จะดับทุกข์ได้ คือความรู้ที่รู้แล้วไม่ยึดมั่น ไม่ว่าซ้ายไม่ว่าขวา ไม่ว่าสูงไม่ว่าต่ำ ไม่ยึดมั่นอะไรเลย นั่นคือความรู้ที่สมบูรณ์พร้อม รู้แล้วสามารถทำให้มนุษย์คลายทุกข์ได้ ไม่ทุกข์อีกต่อไปได้ ถ้าเราไม่ยึดเลย แล้วลองมองให้เห็น มองให้สมบูรณ์พร้อม เราจะทุกข์กับอะไร แต่ที่ทุกวันนี้ศิษย์ทุกข์อยู่ทุกวัน เพราะศิษย์พยายามจะมี จะเป็น แล้วบอกว่าตัวเองมี ตัวเองเป็น ใช่หรือไม่
เป็นคนสวยพอใครว่าไม่สวยทุกข์ไหม (ทุกข์)  เป็นคนเก่งพอใครว่าไม่เก่งทุกข์ไหม ใครว่าแก่ทุกข์ไหม แล้วรู้อะไรที่จะทำให้เรารู้สมบูรณ์พร้อมแล้วคลายทุกข์ได้ แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถรู้พร้อมได้คืออะไรรู้ไหมศิษย์ ยกตัวอย่างนะ
(อาจารย์เมตตาให้ตัวแทนสามคนออกมาหน้าห้อง)
สมมติว่าคนแรกคือความทุกข์ คนที่สองคือทุกข์ทุกข์ทุกข์ แต่คนที่สามคือทุกข์จนไม่รู้จะทุกข์ขนาดไหน ศิษย์อยากเลือกคนใด (ไม่เลือกเลย)  สวยขนาดนี้ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ไม่สวยขนาดนี้ทุกข์ไหม (ทุกข์)  อายุมากแล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  ถ้าศิษย์อยากมีความรู้ที่สมบูรณ์และความรู้นั้นสามารถดับทุกข์ได้ ศิษย์จงอย่าเห็นแค่สิ่งที่ศิษย์เห็นและอย่าปล่อยให้สถานการณ์บีบบังคับและลวงเราให้เห็นแค่เฉพาะที่อยากเห็น แต่จงเห็นให้ได้มากกว่านั้น มนุษย์มีปัญญาอันประเสริฐ เพราะว่าดวงตาที่สามคือปัญญา แต่ปัญญามนุษย์ฝ้าฟางไปเพราะความสำคัญมั่นหมายว่ามันทุกข์ มันทุกข์ๆ และมันก็ทุกข์มากๆ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอย่าปล่อยให้หูตาฝ้าฟางเพราะใจยึดมั่นหมายว่า มันมีแต่ทุกข์แล้วมันก็ทุกข์แล้วมันก็ทุกข์ๆๆ เพราะว่าในรูปลักษณ์ทั้งปวง ลักษณะทุกลักษณะล้วนซ่อนลักษณะที่แท้จริงไว้ จำไว้นะศิษย์ ถ้าเราไม่ถูกหลอกลวงด้วยเหตุการณ์ชั่วขณะ ไม่ถูกกระทบและมองไม่เห็นความจริง ศิษย์จะเห็นในสิ่งที่มากกว่าที่ศิษย์เห็น รู้อะไรต้องรู้ให้ชัด เห็นอะไรต้องเห็นให้จริง จนไม่สามารถทำให้ศิษย์ทุกข์อีกต่อไป และไม่ลวงให้หลงอีกต่อไป ฉะนั้นตอนนี้ทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)
ทุกข์จนถึงที่สุดมันจะพลิกกลับมาเป็นสุข ทุกข์ถ้าคิดให้ดีๆ มันก็มีสุข ในสิ่งที่มันทุกข์แท้ที่จริงมันอาจจะมีความพ้นทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอย่าหลงกับเหตุการณ์ที่มาบังคับว่าต้องทุกข์ ต้องทุกข์ๆๆ ต้องทุกข์ให้ถึงที่สุด ถ้าศิษย์อยากพ้นทุกข์ จงมีปัญญาเห็นมากกว่าที่เห็น รู้แล้วต้องรู้ให้จริง อย่าทำให้ตัวเองรู้แล้วยังหนีไม่พ้นทุกข์ แบบนั้นรู้แล้วก็เปล่าประโยชน์ ถ้าศิษย์เข้าใจศิษย์จะรู้ว่า ทุกลักษณะที่เห็น ล้วนซ่อนลักษณะที่แท้จริงไว้ภายใน และในลักษณะที่ซ่อนไว้ภายในเมื่อเรามองจนถึงที่สุด เราเห็นว่ามันสมบูรณ์ แต่ในสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดกลับมีสิ่งที่บกพร่องที่สุดจริงไหม ทุกข์จนถึงที่สุดมันจะพลิกกลับเป็นสุขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาหยิบดอกไม้สดดอกหนึ่งขึ้นมา)
อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ ในทุกลักษณะล้วนมีลักษณะที่แท้ซ่อนอยู่คิดไหมว่ามันจะเหี่ยว (คิด)  แล้วรู้ไหมว่ามันจะเหี่ยว (รู้)  และในสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดมันก็พร้อมที่จะเหี่ยว นั่นเรียกว่า ในลักษณะที่ซ่อนลักษณะมีความสมบูรณ์พร้อมและก็มีความพร่อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อดอกไม้บานจนถึงที่สุด สักวันก็ต้องร่วงโรย จึงมีคำกล่าวว่า “สิ่งที่สมบูรณ์พร้อมที่สุดก็คือสิ่งที่บกพร่องที่สุด” หล่อที่สุด สวยที่สุดแล้ว แต่ถึงที่สุดแล้วสวยจริงไหม บ้านก็พร้อม รถก็พร้อม ลูกก็พร้อม สามีก็พร้อม ภรรยาก็พร้อม หน้าที่การงานก็พร้อม ทำไมยังพร่องอยู่อีก ฉะนั้นสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดมักจะมีสิ่งที่พร่องที่สุด อย่าพยายามหาความสมบูรณ์ใดๆ ในโลกใบนี้ ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อมแม้แต่ตัวศิษย์เอง วันใดดีที่สุดวันนั้นก็บ้าได้ที่สุดใช่ไหม ดีก็ดีใจหาย ร้ายก็ร้ายเหลือเกิน เอาแต่ดีไม่เอาร้ายได้ไหม (ไม่ได้)
อาจารย์ถามง่ายๆ สมมติว่าในที่นี้มีคนชั่วร้ายอยู่ห้าคน อาจารย์ฆ่าคนชั่วร้ายทิ้ง ตอนนี้เหลือแต่คนดีทั้งหมดจริงไหม (ไม่จริง)  ก็จะเริ่มมีดีกว่าและดีน้อยกว่าใช่ไหม (ใช่)  และที่ดีน้อยกว่าก็พร้อมจะกลายเป็นคนไม่ดี  ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราไม่รู้จักอยู่ร่วมกันให้เป็นสุข ถึงแม้เราจะฆ่าสิ่งที่ไม่ดี แล้วสิ่งที่ไม่ดีจะหมดไปจากโลกไหม (ไม่หมด)  โลกก็เป็นเช่นนี้ ถ้าศิษย์เข้าใจ ศิษย์จะพบคำว่า “ธรรม” เมื่อรู้ชัดพอเจออะไรที่บกพร่องก็ให้นึกถึงสิ่งที่อาจารย์จี้กงเคยบอก
ทุกลักษณะนั้นมีลักษณะแท้ซ่อนอยู่ ถ้าเรารู้จนชัด เห็นจนแจ่มแจ้งแท้จริง อะไรจะลวงให้ศิษย์หลง ฉะนั้นใครที่หล่อๆ มาก็ไม่หล่อจริงหรอก สิ่งใดที่ดีๆ มาก็ไม่แน่ใช่ไหม ใครที่แย่ๆ มาเราจะด่าเขาไหม ไม่ด่าใช่ไหม เมื่อรู้จนชัดทุกข์จะคลาย ต้นเหตุทางมาแห่งกรรมกิเลสจะถูกตัดสิ้น เมื่อรู้ชัดเราจะหลงไหม (ไม่หลง)  อยากหลงอะไรไหม (ไม่อยาก)
อย่างนั้นอาจารย์บอกว่าถ้าใครได้ดอกไม้นี้ไปแล้วจะโชคดีที่สุดในโลกเอาไหม (ไม่เอา)ทำไมไม่เอา (ไม่หลง)  เพราะสิ่งที่ดีที่สุดก็พร้อมจะร่วงโรย ถ้าศิษย์เข้าใจแบบนี้อาจารย์ดีใจ ถ้าไปเจออะไรในโลกศิษย์ก็จะไม่โกรธไม่หลงไม่เกลียดเพราะเห็นเเจ้งชัด เเละมองเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง ที่ใดพบธรรม ที่นั่นก็พบพระพุทธะ เราจะก่อเกิดกิเลสเเล้วจะต้องไปโกรธเเล้วค่อยสันติไหม ต้องโกรธเเล้วค่อยให้อภัยไหม (ไม่)  เราจะหยุดความโกรธได้เพราะความเห็นชัดแจ้ง ใครร้ายที่สุด (ตัวเราเอง)
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง ยังห่วงอะไร ทำนองเพลง หมดห่วง)
อยากฟังธรรมต่อไหม (อยาก)  จริงๆ ถ้ารู้แค่นั้นก็น่าจะพอดับทุกข์ได้แล้วนะ บางครั้งศิษย์รู้บ่อยๆ รู้ฟังเยอะๆ แต่หนึ่งสิ่งที่รู้แล้วไม่สามารถทำให้ดับทุกข์ได้คือ ศิษย์ขาดสติและขาดการหยั่งรู้ที่แท้จริง ศิษย์แค่รู้แต่ศิษย์ไม่เคยไปหยั่งในสิ่งที่ศิษย์รู้ ถ้าเมื่อไรศิษย์ใช้สติแล้วหยั่งในสิ่งที่ศิษย์รู้ ศิษย์จะมองเห็น ใช่ไหม แต่เวลาเจออะไรกระทบ อะไรเกิดขึ้น เราไม่เคยมองเข้า แต่เรามักจะถนัดมองออก และก็ให้สถานการณ์นั้นสภาพแวดล้อมนำพาเราไปตามสภาพนั้น อย่างสมมติสถานการณ์มันไม่ดี ศิษย์ก็รู้สึกไม่ดี สถานการณ์มันดี ศิษย์ก็รู้สึกดี ศิษย์เคยมองไปไกลกว่าสถานการณ์ที่ศิษย์เห็นบ้างไหม ถ้ามองไม่เห็นแปลว่าเรายังขาดสติ ขาดการหยั่งรู้ที่แท้จริง
อาจารย์บอกว่า ในลักษณะภายนอกยังมีลักษณะที่แท้ซ่อนอยู่ และในสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดมีความบกพร่องอยู่พิจารณาความจริงจนบังเกิดปัญญาเห็นแจ้ง เเล้วความจริงอะไรที่หมั่นพิจารณาเนื่องๆ เเล้วทำให้เราเห็นโลกเเห่งความเป็นจริงชัดเจนเเละสามารถบังเกิดธรรมได้ในตัวเรา
มีใครตอบอาจารย์ได้ อะไรที่ทำให้อาจารย์เห็นชัดว่าในโลกใบนี้มีลักษณะที่แท้ซ่อนอยู่ในลักษณะที่เราเห็น เเละอะไรที่ทำให้อาจารย์เห็นชัดว่าในทุกสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดมีบกพร่องที่สุด อะไรที่ทำให้คนเข้าใจโลกชัดขึ้นไปอีก เเละสามารถเอามาบอกศิษย์ได้ ธรรมอะไรถ้าเราพิจารณาบ่อยๆ เเล้ว เราจะเห็นโลกชัดเจน (ความจริง)  ธรรมอะไรที่พิจารณาเนืองๆ เเล้วทำให้เราเกิดปัญญาเห็นความจริงจนเห็นธรรม (สัจธรรมชีวิต)  สัจธรรมอะไรที่พิจารณาบ่อยๆ เเล้วทำให้เรามองเห็นคนชัด (ไตรลักษณ์ อนิจจัง  ทุกขัง อนัตตา)  โลกนี้เที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  เเล้วมีทุกข์ไหม (มี)  เมื่อมีทุกข์เเล้วเราควรยึดมั่นถือมั่นไหม (ไม่)  เราควรโลภโกรธหลงไหม (ไม่)  เเล้วที่ทุกวันนี้โลภโกรธหลงเเล้วเรายึดมั่นอยู่เพราะอะไร (ตัวเราเองไม่ปล่อย)เพราะมนุษย์ยังมีกิเลส กิเลสมีตัวตนไหม (ไม่)  แล้วเราให้มาอยู่ในตัวเราทำไม รู้ไหมว่าถ้าอยู่นานๆ ไปจะสร้างปัญหาเเล้วทำให้เราต้องเวียนว่ายไม่จบสิ้น เมื่อเราพิจารณาชัดๆ ว่าทุกข์เเล้วศิษย์เอาไหม (ไม่เอา)  เเต่ชีวิตจริงเอาไหม (เอา)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจะอยู่ร่วมอย่างไรแล้วไม่ทุกข์
(อภัยให้กัน)  ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์ใช้คำว่าอภัยแปลว่า เธอมันเลว ฉันถึงต้องอภัยและอดทนอยู่กับเธอ ฉะนั้นถ้าศิษย์ใช้กับใครแล้วบอกว่า ฉันต้องอดทน แปลว่าเธอหาดีไม่เจอ ฉันถึงต้องใช้คำว่าอดทนอยู่ร่วมกับเธอ ใช่ไหม (ใช่)  ยังตอบว่าใช่อีกนะศิษย์เอย
เมื่อสักครู่อาจารย์ก็บอกไปแล้วว่า ในทุกเรื่องราวมันมีลักษณะที่ซ้อนกันอยู่ต่อให้มีความสมบูรณ์ที่สุดมันก็มีความบกพร่องที่สุด เหมือนใจศิษย์ ดีที่สุดไหม ไม่ดี แย่ที่สุดไหม ไม่แย่ ฉะนั้นเขาดีที่สุดไหม (ไม่)  แย่ที่สุดไหม (ไม่)  แล้วควรต้องอภัยเขาไหม (ไม่)  ถ้าศิษย์เห็นจนชัดแล้วจะไปอภัยทำไม มันจะกลายเป็นความเข้าใจว่า เธอเป็นแบบนี้ ฉันก็เป็นแบบนี้ไม่ต่างกันเลย แล้วยังต้องเกลียดมันไหม ไม่เกลียด เธอเป็นอย่างไร ฉันก็อย่างนั้น เธอเลวอย่างไร ฉันก็อาจจะเลวได้อย่างนั้น ใช่ไหม (ใช่)  เห็นไม่ชัดหรือ เห็นไหม (เห็น)  ฉะนั้นศิษย์จะไม่มีวันเห็น ถ้าหากศิษย์ไม่หยั่งในสิ่งที่ศิษย์รู้ ศิษย์จะเอาแต่รู้ไม่ได้ การเรียนรู้ธรรมอะไรก็ตาม จะแค่รู้ไม่ได้ ต้องหยั่งในสิ่งที่ศิษย์รู้ จนเห็นกระจ่างชัดจนทะลุทะลวง มีความผอมซ่อนอยู่ในความอ้วน มีความขาวซ่อนอยู่ในความมืดมน มีความน่าเกลียดซ่อนอยู่ในความน่ารัก ถ้าศิษย์มองเห็นอย่างนี้ ศิษย์จะไม่อยากได้อะไรในโลกนี้ เพราะได้มาศิษย์สามารถรู้ไหมว่ามันจะทุกข์หรือมันจะสุข ศิษย์สามารถรู้ไหมว่ามันจะดีหรือมันจะร้าย แล้วศิษย์ยังอยากยึดไหม (ไม่อยาก)  อยากเอาไหม (ไม่เอา)อยากเกลียดไหม (ไม่อยาก)  ศิษย์รู้ไหมถ้าศิษย์ยังเห็นไม่ชัด มันจึงก่อเกิดเป็นวิบากกรรม ถ้าชอบก็เรียกว่าทำบุญมาดี แต่ถ้าไม่ชอบก็กรรมอะไรหนอ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเห็นชัด มันจะมีแค่บุญ แล้วมันจะมีบาปไหม มองต่อแล้วนะศิษย์ เมื่อศิษย์ยังไม่สามารถรู้ชัด มันจึงก่อเกิดคำเรียกว่า กรรม เรียกว่ากรรมดี ที่ศิษย์รู้สึกชอบ แล้วก่อเกิดกรรมชั่ว ที่ศิษย์รู้สึกไม่ชอบแล้วรังเกียจ เมื่อสร้างกรรมชั่วเยอะๆ เข้า ศิษย์ก็เลยพยายามหากรรมดีเพื่อไปชดเชยกรรมชั่ว มันไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าจะหยุดกรรมดีกรรมชั่วมันก็ต้องเห็นตั้งแต่แรกแล้วว่า มันก็ไม่ได้ดี มันก็ไม่ได้ชั่ว เมื่อนั้นแหละเรียกว่า พ้นจากเวรกรรม แต่มนุษย์ไม่ใช่ เมื่อมนุษย์ยังมองไม่เห็นชัด มนุษย์ก็เลยลื่นไหลหลงไปกับสิ่งที่ชอบ แล้วก็บอกว่าอันนี้ฉันชอบ อะไรที่ตรงข้ามกับ อ้วน เตี้ย ดำ ฉันเกลียดหมด
แต่ถ้าเราเห็นชัด กระแสกรรมจะถูกตัด ศิษย์จะมีชีวิตอยู่เพื่อใช้กรรมเก่า แต่กรรมใหม่ศิษย์จะไม่สร้าง เพราะศิษย์มองเห็นแล้วว่า อะไรก็ไม่น่าเอา เพราะถ้าเอาแล้วยึดก็ทุกข์ แล้วทุกข์หาที่สิ้นสุดไม่ได้จนกว่าศิษย์จะปล่อย ทั้งที่จริงแล้วมันก็เป็นไปตามทางของมัน แต่ใจเราไม่เคยปล่อย แล้วก็สามารถหยั่งรู้ได้ชัดด้วยแต่เราก็ไม่เคยหยั่งลงไปรู้ เราเห็นแค่เพียงฉันชอบฉันเกลียด เมื่อเห็นแค่นี้ ก็เลยหนีไม่พ้นกระแสของดีร้ายได้เสีย ก่อเกิดเป็นวิบากกรรมที่เรียกว่าบุญบาป
ฉะนั้นอยากรู้ไหมว่าตัวตนเกิดมาจากไหน ศิษย์ไม่เคยเรียนวิชารู้ตัวเองเลย รู้คนอื่นหมด ตัวเองมาอย่างไรไม่รู้ จริงๆ แล้ว ตัวตนเดิมเมื่อถึงที่สุดก็ต้องกลับไปสู่ธาตุดินน้ำลมไฟ ฉะนั้นตัวเรามาจากความว่าง ในเมื่อตัวเรามาจากความว่าง แต่เราไม่เคยพอใจในความว่าง เราจึงพยายามวิ่งวุ่นไปหาความมี และถ้ามีอะไรที่เรารู้สึกเกิดอารมณ์ชอบ อารมณ์นั้นก็เป็นใหญ่ และกลายเป็นนายควบคุมเรา และถ้าอารมณ์นั้นมีบ่อยๆ ก็กลายเป็นนิสัยความเคยชินที่เรียกว่า อัตตาตัวตนของเรา ฉะนั้น ตัวเราจึงเกิดจากการปรุงแต่งที่ไม่ยอมรับความว่าง แล้วอยากจะมีแบบนั้นมีแบบนี้ พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า เมื่อตัวตนเกิด จึงก่อเกิดเป็นภพ ชาติ ชรา มรณา เกิดกี่ทีก็ทุกข์ทุกที
ฉะนั้นมนุษย์ไม่ใช่เกิดแค่การเกิดเป็นสังขาร แต่เรายังเกิดใจที่บดบังจิตเดิมแท้ ใจตัวนี้เป็นใจที่ไม่อยากมีความว่าง อยากมีแบบนั้น อยากมีแบบนี้ และแบบนั้นจะเป็นนายเราก็ต่อเมื่ออารมณ์นั้นมาแรงที่สุด อย่างเช่นเดินๆ อยู่ตัวเราอาจจะไม่มี แต่ถ้าเดินๆ อยู่ เกิดเจอคนนั้นสวย อารมณ์ที่ชอบครอบงำเรา กลายเป็นอารมณ์ที่หลงความสวย แล้วมนุษย์เราเริ่มเป็นตัวตนเพราะเมื่อดำเนินชีวิตอยู่ หนูชอบแบบนั้น หนูไม่ชอบแบบนี้ หนูได้เรียนรู้ว่าคนอย่างนั้นดี คนอย่างนี้ไม่ดี ก็เริ่มสะสมๆ จนกลายเป็นคำว่าตัวตน ฉะนั้นถ้าตัวตนของศิษย์ ชอบที่จะโกรธบ่อยๆ และมีใจที่โกรธบ่อยๆ ชอบเอาปากโกรธบ่อยๆ ก็สามารถกำหนดภพภูมิได้เลยว่า ตายไปแล้วจะไม่จบแค่นั้น กลายเป็นตัวตนที่ยึดติดในความหลง ศิษย์เคยเห็นไหม เพื่อนบางคนทำอะไรก็ตาม ขอกินเป็นเรื่องแรก ใช่ไหมต้องกินอร่อย ต้องกินดี ไกลแค่ไหนขอให้ได้กิน นั่นคือการกำหนดชีวิตชะตากรรมว่าจะไปทางไหน คนบางคนเรื่องกินไว้ทีหลัง ขอดูก่อน ขอชมก่อนว่าสวยไหม ชะตาชีวิตกำหนดเลยว่า วิบากกรรมหรือภพภูมิของเราถูกกำหนดว่า เราหลงไปทางตา เราชอบอะไรก็จะเป็นตัวกำหนดภพภูมิ ทำให้เราเกิดกรรมเเล้วสร้างกรรมเเละเกิดวัฏฏะเวียนว่ายไม่จบสิ้น พระพุทธะเคยสอนว่า ในเมื่อเราสร้างกรรมไว้แล้วก็ให้รักษาศีล มีทานมากๆ อย่างที่ศิษย์รู้กัน ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์ไปสนองกิเลสมาเต็มที่เเล้ว ศิษย์ค่อยมาบำเพ็ญ ทานจะช่วยได้ไหม ชะล้างกันได้ไหม แก้กันได้ไหม สมมติว่าวันนี้อาจารย์เดินมาแล้วก็ชมทุกคน เเต่อีกวันหนึ่งอาจารย์ก็ด่าทุกคน ศิษย์คิดว่าอาจารย์ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  วันนี้อารมณ์ดี ศิษย์ก็ทำดีหมดทุกคน เวลาศิษย์อารมณ์ร้าย ศิษย์ก็อารมณ์เสียกับทุกคน เเล้วศิษย์ดีหรือไม่ดี เเล้วเราจะหมุนวิบากกรรมหรือเราจะหยุดยั้งการสร้างกรรม ศิษย์เคยได้ยินที่พระพุทธองค์กล่าวไว้ไหมว่า“จงดำเนินชีวิตให้อยู่ในทางสายกลาง ดีก็ไม่ยึด ชั่วก็ไม่เอา กลับสู่ความเป็นกลาง” ยากไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นเจออะไร มองให้ดี ถ้าเห็นชัดอย่าหลง อย่าเกลียด อย่าสร้างวิบากกรรมมาเต็มที่แล้วค่อยมาทำดีจะช้าไป สู้หยุดตั้งเเต่ตอนนี้ไม่ดีกว่าหรือ ศิษย์ทำดีมาตลอด ตอนนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่รัก ไม่หลง มองเห็นชัดหยั่งรู้เเท้จริง แล้วเราจะก่อเกิดกรรมอีกไหม (ไม่)  เราจะผูกกรรมอีกไหม (ไม่ผูก)  ถ้ามีใครมาด่าเรา จงดีใจเเละขอบคุณ เพราะได้ใช้กรรมเก่า เมื่อใครมาทำเราเจ็บปวดก็ขอบคุณ จะได้หมดเวรหมดกรรมกับเขาสักที ถ้าอยากขอบคุณจริงๆ จงขอบคุณที่ทำให้เราเห็นกรรมชัด ขอบคุณที่ทำให้เราได้ชำระล้างใจ
เราเกิดมาพร้อมกับกรรม และเรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นทายาท และเราคือผลผลิตของกรรม แล้วศิษย์ยังอยากจะสร้างกรรมเพื่อรับกรรมอีกหรือ
ยังห่วงอะไรนะ โดยส่วนใหญ่มนุษย์มักจะทำดีแล้วยึดมั่นถือมั่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์อาจจะถามอาจารย์ว่า เมื่อทำดีแล้วทำไมไม่ให้ยึด ถ้าทำแล้วยึด แปลว่าศิษย์อยากมีตัวตนเพื่อไปรองรับผลแห่งกรรมนั้นอีก แล้วศิษย์อยากจะเกิดเพื่อไปรับผลกรรมนั้นอีกไหม (ไม่อยาก)  อย่างนั้นแปลว่าทำบุญเมื่อไร ศิษย์จะขอไหม ถ้าขอเมื่อไร แปลว่าศิษย์ยังอยากจะมีตัวตนไปแบกรับบุญนั้นอีก แล้วอย่าลืมนะว่าคนเราเกิดมา เมื่อมีบุญได้ก็ต้องมีกรรมได้ ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่า “ทำดีอย่ายึดมั่นหมาย ทำดีอย่าหวังวอนขอผล จงทำดีแล้วปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน จะประเสริฐที่สุด” ดีไหม (ดี)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ธรรมกับชีวิต”)
ในคำว่า “ธรรมกับชีวิต” ที่อาจารย์ให้วงยังมีความหมายนะ
(พระอาจารย์เมตตาอธิบายกลอนในพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
  มังกรแค่ขยับตัว       ความมืดมัวมลายสิ้น
จากฟ้ามาสู่ดิน           ยังไม่สิ้นธรรมในคน
ต้นไม้ย่อมมีราก         ความจริงจากเสียงสายฝน
ธรรมแท้จากเบื้องบน    ฉุดช่วยคนผู้มีบุญ
ทำได้ก็ให้ทำ             ทำไม่ได้ก็ต้องหมุน
แม้ฟ้าจะการุณย์        ต้องยืดหยุ่นระวังตน
ศิษย์เอ๋ย ในตัวศิษย์มีมังกรอยู่ มังกรมาจากฟ้าลงสู่ดิน และมังกรนั้นก็ไม่ใช่มังกรที่เลวร้ายจะไปคอยกัดใคร แต่เป็นมังกรที่พร้อมจะกลับคืนสู่ฟ้า กลับคืนสู่สภาวธรรม มนุษย์ทุกคนมีสภาวธรรมเดิมแท้ที่อยู่ในตัวเองอันทรงคุณค่า แต่น่าเสียดายที่บดบังไปเพราะคิดว่าตัวเองคงไม่ดีถึงขนาดนั้นหรอก ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ศรัทธาในตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ช่างน่าเสียดายนะ อาจารย์ยังมีเวลาอยู่กับศิษย์ไหม (มี)  อยากได้ผลไม้จากอาจารย์ไหม (อยาก)  แล้วถ้าผลไม้นั้นเป็นผลไม้แห่งความทุกข์ เอาไหม (เอา, ไม่เอา) เอาแล้วเก็บไว้เองหรือเอาแล้วให้คนอื่นต่อ (เอาไว้เอง)  อย่างนั้นถ้าอาจารย์บอกว่าวันนี้อาจารย์จะแจกผลไม้แห่งความทุกข์ แปลว่ามีศิษย์เอาใช่ไหม (เอา)
อย่างที่อาจารย์บอกนะศิษย์เอย เรียนรู้ให้ชัด มองเห็นให้แจ้งจริง ความรู้ที่เราสามารถหยั่งจนมองเห็นชัด จะไม่ทำให้ศิษย์ทุกข์และถูกหลอกลวงในโลกใบนี้อีกต่อไป ฉะนั้นอย่าเอาแค่รู้ แต่จงเอามาปฏิบัติและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วยการทำจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยู่ในโลกก็เหมือนกัน มองให้เกิดประโยชน์ที่มีคุณค่า ถ้าทำแล้วให้เราทุกข์จงอย่าทำ ถ้าคิดแล้วทำให้เราทุกข์ก็จงอย่าคิด จงอยู่กับสติ เวลาฝึกบำเพ็ญ ทำอย่างไรที่จะห้ามไม่ให้เรามีความคิดร้าย ไม่ต้องห้าม ไม่ต้องไปบังคับ ไม่ต้องกดไว้ อยากคิดก็คิดไป แล้วก็นั่งมอง เรามีจิตเดิมแท้ที่เรียกว่าพุทธะ และมีใจที่หลงไปตามกิเลส ทำไมไม่นำจิตเดิมแท้มาเรียนรู้ใจที่เป็นมนุษย์ อยากคิดก็คิดไป อยากด่า แต่อย่าด่าออกเสียง เพราะด่าออกไปแล้วจะสร้างกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เก็บไว้ในใจก่อน สิ่งที่จะช่วยยับยั้งให้เราไม่สร้างกรรมได้ก็คือ สติที่รู้เท่าทันใจ รู้เท่าทันความคิด ฉะนั้นถ้าศิษย์จะฝึกฝนบำเพ็ญอย่างแท้จริง อย่าเอาแต่ปฏิบัติภายนอก เป็นลูกศิษย์พระอาจารย์จี้กงต้องมองให้เห็นชัด ฉะนั้นถ้าเรารู้ชัดเห็นแจ้งแล้ว ฉันจะไม่สร้างวิบากกรรมอีกต่อไป เมื่อไรที่ศิษย์หวังจะไปยึด เมื่อนั้นวิบากกรรมเริ่มเกิดขึ้นทันที เมื่อไรที่ศิษย์เกิดอัตตาตัวตนว่าชอบชัง เมื่อนั้นเกิดกรรมที่เรียกว่าบุญบาป ดีร้าย ได้เสีย หนีไม่พ้นเวรกรรมแน่ ฉะนั้นจะหยุดได้ก็ต่อเมื่อกลับคืนสู่ความว่างที่มนุษย์ชอบหนีกัน ต้นเหตุแห่งตัวตนมาจากความคิดที่ไม่ยอมรับความว่าง ศิษย์รู้ไหม สิ่งที่ว่างที่สุดมีพลังอันหาที่สุดไม่ได้ ว่างจากตัวตนที่ยึดถือ อยากเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ต้องวางตัวตนออก แล้วความคิดสร้างสรรค์จะเกิดแล้วจะมีพลังมหาศาลเรียกว่าไม่มีที่สิ้นสุด แต่มนุษย์พอมีความเป็นตัวตนครอบทำอะไรก็จะติดขัด แต่ถ้าเรากลับคืนสู่ความว่าง หาที่สุดไม่ได้เมื่อโดนอะไรก็ไม่กระทบ โดนอะไรก็ไม่เจ็บ เมื่อไหร่ศิษย์จะหยั่งรู้แท้จริง
(พระอาจารย์เมตตาประทานแอปเปิลให้นักเรียน)
ฉะนั้นอยู่ในโลก จงแปรเปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นสุข ด้วยความเข้าใจ ได้ไหม และรู้จักระมัดระวังควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ดีด้วย อย่าตกเป็นทาสอารมณ์บ่อยๆ อย่างนั้นวันนี้อาจารย์กลับได้หรือยัง 
ฉะนั้นรู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ดี รู้จักศึกษาบำเพ็ญให้ดี ทำให้ได้ อย่าแค่ฟังอย่างเดียวต้องไปทำด้วย จงมีสติ ทำอะไรต้องรู้จักใช้สติอย่าปล่อยให้ใจเลื่อนลอย ไม่อย่างนั้นจะถูกแกว่งเมื่อเจออะไรเข้า ตั้งใจศึกษาให้ดีอย่าแค่ฟังแล้วปล่อยผ่าน จงเป็นแอปเปิลที่นำพาให้จิตมีแต่ความเบิกบาน
ศิษย์เอยสิ่งที่สำคัญไม่ได้อยู่ที่แอปเปิล แต่สิ่งสำคัญคืออยู่ที่ใจของเรา ทำสิ่งที่ถูกต้องมีศีลมีธรรมอะไรก็ศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าทำตัวไม่มีศีลไม่มีธรรม พูดแล้วไม่รักษาคำพูด ทำอะไรคนก็ไม่เคารพไม่เชื่อถือ ทำอะไรมีเมตตา มีความกรุณา มีใจที่รู้จักอุทิศให้ ไปอยู่ที่ไหนใครก็รัก แต่ถ้าไปอยู่ไหนเเล้วมีแต่จะเอา อยู่ไหนก็ไม่มีใครรัก อาจารย์อยากเห็นศิษย์เป็นผู้ที่ให้มากกว่าได้รับ สละให้มากกว่ายึดมั่นถือมั่น ถ้าทำได้เช่นนั้นเรียกว่าศิษย์ของพระพุทธะ คนที่มีแต่ให้จนไม่ยึดถืออะไรจึงเรียกว่าจิตที่ประเสริฐ เพราะจิตที่ยึดมั่นถือมั่นล้วนนำพาให้ต้องทุกข์ ถ้าศิษย์เข้าใจความเป็นจริงแห่งธรรมรู้ว่าใดๆ ในโลกนี้ไม่ยึดมั่นถือมั่น คือหนทางที่บริสุทธิ์เเละประเสริฐที่สุด อะไรก็ไม่ต้องการเพราะทำถึงที่สุดแล้ว ใครรชมหรือไม่ชมก็ไม่เอาแล้ว รู้ตัวเองดีที่สุดพอแล้ว 
เพราะถ้ายังเอายังยึดอยู่ก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมแล้ว ยังอยากยังยึดอีกหรือ คิดให้ดีๆ พ้นกรรมแล้วบางคนก็ยังอยากเกี่ยวกรรม พ้นทุกข์แล้วคนก็อยากหาเรื่องทุกข์ เพียงเพราะคิดไม่ได้ วางไม่ลง ปลงไม่ตก ทั้งที่ถึงเวลาจริงๆ แล้วไม่มีใครไปกับเราได้สักคน ถึงเวลาวางก็ต้องวางให้ได้ อย่าไปสร้างกรรมแล้วค่อยมาวาง ช้าไปนะศิษย์เอย จริงไหม ชีวิตหนึ่งทำดีจนรู้สึกว่าเต็มที่แล้ว คุ้มแล้ว สะใจแล้ว ตายวันตายพรุ่งไม่กลัว สั้นยาวไม่กลัว เจ็บปวดก็ไม่กลัว เพราะว่าเต็มที่แล้ว แต่ถ้ายังไม่เต็มที่จะตายวันตายพรุ่งยังกลัวอยู่ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อไรที่เจอความเจ็บไข้แค่กายป่วยตรงนี้แล้วอย่าป่วยทั้งตัว เราไม่เคยป่วยทั้งตัว เราไม่เคยเจ็บทั้งตัว บางทีเราเจ็บแค่ตรงนั้นตรงนี้ แต่เราทุกข์ทั้งตัวเลย ใช่ไหม คิดอย่างนั้นโง่นะศิษย์ เราเป็นมะเร็งเราเป็นโรคนั้นเราเป็นโรคนี้ ทำไมปล่อยให้โรคนี้ฆ่าเราทั้งตัว เราเจ็บแค่อันเดียวแต่ฆ่าเราทั้งชีวิตเลยหรือ ฉะนั้นตราบยังมีลมหายใจจงสู้ ตราบยังมีปัญญา มองให้เห็นชัด โรคภัยมาให้เราปลดปลง สังขารไม่ใช่ของฉัน แต่ใจฉันจะกลับคืนสู่ธรรมอย่างเดียว ฉันจะไม่ทุกข์กับมันอีกแล้ว ทำไมไม่นำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ให้ได้ จะทุกข์ทำไม ขอให้หยั่งรู้ที่แท้จริงนะศิษย์เอย อย่าแค่รู้แต่จงหยั่งให้รู้จนเห็นชัด ไม่มีอะไรทำให้ศิษย์ทุกข์อีกต่อไปแล้ว นั่นแหละคือปัญญาที่ประเสริฐที่สุด
อาจารย์คงต้องไปแล้วนะ มีโอกาสสักนิด แม้จะเป็นความหวังสักนิดก็หวังว่าศิษย์คงจะตั้งใจบำเพ็ญกันให้ถึงที่สุด แม้ความหวังของอาจารย์จะเพียงเล็กน้อยแต่ขอหวัง หวังจากใจศิษย์ทำให้ถึงที่สุดให้ได้นะ อย่าให้เกิดมาแล้วเสียชาติเกิดเลยนะ มนุษย์เราที่ดีที่สุดคือความเป็นพุทธะ ลองดูสักตั้ง ไม่ยากแต่เอาชนะใจตัวเองให้ได้ ที่เราแพ้ก็เพราะว่าแพ้แค่นี้ แพ้ใจตัวเอง ลองมองให้กว้าง มองให้ชัด เรากำลังยึดอะไรถึงทำให้เราแพ้ เรากำลังยึดอะไรถึงทำให้เราทุกข์ เรากำลังยึดอะไรถึงทำให้เราอ่อนแอ และในความอ่อนแอนั้น ในความทุกข์นั้นมันไม่มีที่สิ้นทุกข์หรือ มันไม่มีคำว่าเข้มแข็งหรือ มันต้องมีสิ หาให้เจอแล้วไปให้ถึง ได้ไหมศิษย์ (ได้)

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ธรรมกับชีวิต”
มังกรแค่ขยับตัว    ความมืดมัวมลายสิ้น
จากฟ้ามาสู่ดิน     ยังไม่สิ้นธรรมในคน
ต้นไม้ย่อมมีราก   ความจริงจากเสียงสายฝน
ธรรมแท้จากเบื้องบน     ฉุดช่วยคนผู้มีบุญ
ทําได้ก็ให้ทํา       ทําไม่ได้ก็ต้องหมุน
แม้ฟ้าจะการุณย์    ต้องยืดหยุ่นระวังตน



พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาท สถานธรรมอิ๋งเซียน วันที่ ๒๘-๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
          กลอนพระอาจารย์หน้า ๑๓ บรรทัดที่ ๓
เดิม     ความจนฟุ้งยึดมั่นจนหลงมากมาย รู้ต้องทุกข์แต่ทำไมยังทำซ้ำ
แก้เป็น คิดจนฟุ้งยึดมั่นจนหลงมากมาย รู้ต้องทุกข์แต่ทำไมยังทำซ้ำ

สถานธรรมจื้อเจวี๋ย วันที่ ๑๑-๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐
แก้เพลงพระโอวาทศิษย์พี่นาจา หน้า ๑๙
เดิม   ความคิดคนไม่อาจลุล่วง แต่จะท้วงว่าแง่ลบหรือไม่ เรื่องความคิดขัดหัวใจไม่ได้ เลยคิดไปตามใจชอบ ทั้งคิดนานสั้นยาวและปลง ไม่จบลงที่ความคิดหรอก เครียดไปทุกข์ไป จิตใจจะแสนช้ำชอก ความคิดหลอกตัวเอง
    ความคิดคน ไม่ขาดทิ้งช่วง กลับหลอกลวง ซึ่งคนคิดเอง กวาดจิตเข้าเจ้าโกยทิ้งไปหลายเข่ง การคิดจึงไม่ใช่ ความคิดคนอาจถูกรบกวน อาจไปสวนกับความคิดใคร ห้ามใจไม่ฟุ้งซ่านแล้วสบายใจหรือไม่ อะไรก็ดีทั้งหมด
                             ชื่อเพลง : อย่าคิดมาก
ทำนองเพลง : เธอรักใคร

แก้เป็น        ความคิดคนไม่อาจลุล่วง แต่จะท้วงว่าลบหรือไม่ เรื่องความคิดขัดหัวมิได้ เลยคิดไปตามใจชอบ ทั้งคิดนานสั้นยาวและปลง ไม่จบลงที่ความคิดหรอก เครียดไปทุกข์ไป จิตใจจะแสนช้ำชอก ลืมใจไว้นอกตัวเอง
    ความคิดคน ไม่ขาดทิ้งช่วง กับหลอกลวง ซึ่งคนคิดเอง กวาดจิตเข้าได้โกยทิ้งไปหลายเข่ง การคิดจึงไม่ใช่ ความคิดคนอาจถูกรบกวน อาจไปสวนกับความคิดใคร ห้ามใจไม่ฟุ้งซ่านแล้วสบายใจหรือไม่ อะไรก็ดีทั้งหมด
ชื่อเพลง : อย่าคิดมาก
ทำนองเพลง : เธอรักใคร

อ่านต่อ...

วันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

2560-11-12 สถานธรรมจื้อเจวี๋ย จังหวัดสงขลา

西元二○一七年歲次丁酉九月二十四日     仙佛慈悲訓
วันอาทิตย์ที่ ๑๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๐     สถานธรรมจื้อเจวี๋ย  จังหวัดสงขลา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  บำเพ็ญธรรมด้วยศรัทธาไม่งมงาย    ศึกษาให้เกิดปัญญาไม่สิ้นสุด
หลักธรรมมีมากมายดั่งมหาสมุทร      จิตบริสุทธิ์จึงได้เป็นหนึ่งเดียว
                   เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่แดนโลก  แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามศิษย์รักทุกคน ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม

  มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ของใจ                เมื่อใจไม่ตามอาการจึงชัดแจ้ง
อารมณ์ตนคล้อยไปข้องเห็นปรุงแต่ง      กรรมสำแดงเที่ยงกว่ามากหนีไม่ทัน
ความไม่เที่ยงตนก็รู้ธรรมดาไซร้             ยึดมั่นไว้ถือยึดเท่าใดก็ผัน
มีหรือไม่ความทันในไม่ทัน                   ความมุ่งมั่นของใจคนคือกุญแจ
โลกธรรมเกิดตั้งดับเช่นนั้นไป               คนแบบใดลักษณะพิจารณาปมย่อมแก้
ไม่เที่ยงเป็นลักษณะแท้ที่เที่ยงแท้         เตือนตนแลในความไม่ประมาทไป
คำต่อว่าที่รู้สึกดีไม่ดี                           แยกแยะมีเป็นสามัญคนดีได้
ความเป็นอยู่นั้นลักษณะอาจจำใจ          ธรรมเหนือใจนามรูปไม่ผูกพัน
กลิ่นรสรูปหน้าแห่งความจริงอันตรธาน[1] โลกปัจจุบันล้วนสมมติถูกผิดทั้งนั้น
หมายบำรุงปรุงแต่งตามใจตามทัน         ลืมสำคัญคือวางอัตตาวางรูปนาม
สอนไม่ยึดมั่นหนาคือโลกีย์แล้ว            ความผ่องแผ้วธรรมโลกุตระ[2]ไกลฟากสนาม
การบำเพ็ญต้องย้อนมองต้องติดตาม      แค่กินกามห้ามไม่ได้เมื่อไหร่คืน
                                                                                    ฮา ฮา หยุด


[1]           อันตรธาน  ก.  สูญหายไป ลับไป
[2]           ธรรมโลกุตระ  น. ธรรมที่พ้นวิสัยของโลก  ธรรมอันประเสริฐ นิพพาน อรหัตผล

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ส่วนใหญ่มนุษย์เกิดมาพร้อมกับการแสวงหา มีชีวิตต้องหาให้ได้มากที่สุด หนึ่งชีวิตหาได้เท่าไรก็หาให้เต็มที่ เพราะว่าความสุขคือการได้ (ครอบครอง)  เพราะคิดว่ายิ่งแสวงหา ยิ่งทำให้เรามี พอมีแล้วมันคือความสุข เพราะฉะนั้นการแสวงหาคือความสุข ถูกไหม แต่ทำไมหนอยิ่งหากลับยิ่งทุกข์ เคยคิดว่าการไม่มีคือความทุกข์ การมีคือความสุข แต่ทำไมยิ่งมีมันกลับไม่เคยสิ้นทุกข์เลย บางคนยังค้านอาจารย์จะจริงหรือ อาจารย์ถามง่ายๆ เมื่อก่อนไม่มีเงินแล้วมีสุขไหม (มี)  มีเงินแล้วสุขไหม (สุข)  มันสุกๆ ดิบๆ มันจะสุขทันทีมันก็ไม่สุข มันออกสุกๆ  ดิบๆ แล้วก็คิดว่ายิ่งมีเยอะๆ แล้วจะได้สุขเยอะๆ แล้วสุขไหม นึกว่ามันจะทำให้เราสิ้นทุกข์ มันกลับไม่สิ้นทุกข์ เคยคิดว่าการได้มีมันจะทำให้เราสุข แต่ทำไมยิ่งมีมันกลับไม่เคยสิ้นความทุกข์ ถูกไหม เราเคยคิดว่าการไม่มีอะไรเลย ไม่ได้ครอบครองอะไรเลย เป็นเรื่องที่น่าเศร้า แต่พอเราได้ครอบครอง ได้มี ทำไมมันยิ่งเศร้า
อาจารย์ถามให้ศิษย์คิด บางทีเราคิดว่าการที่เราไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรเป็นของเราเลย รู้สึกไม่มีความสุขเลย มันต้องมีอะไรสักอย่างที่เป็นของฉัน ฉันจะมีความสุข ใช่ไหม (ใช่)  แต่พอได้มีจริงๆ สุขหรือทุกข์ (อยู่ที่ใจ)  อยู่ที่ใจใช่ไหม คิดได้คิดเป็นมันก็สุข คิดไม่เป็นมันก็ทุกข์ ที่อาจารย์ถามแบบนี้เพราะอาจารย์อยากรู้ว่าบางครั้งถึงที่สุดแล้วศิษย์จะรู้ว่าการอยู่เฉยๆ แล้วรู้จักพอ มันอาจจะสุขมากกว่าการวิ่งให้เราเหนื่อยเต็มที่ วิ่งไปแย่งกับคนอื่นเต็มที่ แล้วมันคือความสุข การอยู่เฉยๆ แล้วรู้จักพอ อยู่นิ่งๆ แล้วพอเป็นบ้าง มันอาจจะสุขกว่าการพยายามวิ่งหาแล้วมีสุขก็เป็นได้ จริงไหม (จริง)  ศิษย์มักคิดว่าการครอบครองคือการมีความสุข แต่ศิษย์เคยไหมเหนื่อยกับคน เหนื่อยกับโลก แต่พอวันหนึ่งนั่งเฉยๆ แล้วลองมองดูฟ้า ดูทะเล แล้วเรามองว่า ทะเลก็สวยดีนะ การไม่มีอะไรบ้างมันก็ดี การที่เราไม่ได้ครอบครองอะไร แต่เราได้ชื่นชมอะไรสักอย่างหนึ่งก็กลับมีความสุขไม่ใช่หรือ แต่ชีวิตมนุษย์รู้แต่เพียงว่าต้องครอบครองถึงจะมีความสุข เราลืมไปหรือเปล่าว่ามีอีกฝั่งหนึ่งที่ไม่ต้องครอบครองอะไร ไม่ต้องเป็นเจ้าของอะไร แต่รู้จักชื่นชมยินดีในสิ่งที่คนอื่นเขามี เขาเป็น เราก็สุขได้ แล้วเป็นสุขที่เราก็ยินดีแล้วปลื้มปิติได้จริงไหม (จริง)  แต่มนุษย์ไม่ใช่ ต้องมีต้องครอบครอง ต้องได้ ต้องวิ่งวุ่น เราลืมไปหรือเปล่าว่าบางทีการอยู่เฉยๆ และชื่นชมในสิ่งที่ตัวเองมีว่าแค่นี้ก็ดีแล้ว แค่นี้ก็สุขแล้ว จะเอาอะไรนักหนาใช่ไหม (ใช่)  เราไปหาสุขตั้งไกลลืมสุขตรงนี้หรือเปล่า เรามัวแต่ทุกข์ตรงนี้แต่บางทีจริงๆ ทุกข์ตรงนี้ถ้าคิดให้ดีก็เป็นสุขได้ไม่ใช่หรือ ทำไมไม่ลองแปลงสิ่งต่างๆ ที่ศิษย์ไม่เคยชื่นชมเปลี่ยนมาเป็นชื่นชม
อาจารย์ถามหน่อย ท้องฟ้า พระจันทร์ พระอาทิตย์ใครเป็นเจ้าของ (ไม่มี)  แต่ถ้าวันนี้เรารู้จักชื่นชมเราก็ได้เป็นเจ้าของฟ้าชั่วขณะหนึ่ง ต้องไปแย่งใครไหม (ไม่ต้อง)  ต้องไปขโมยไปทำบาปอะไรไหม (ไม่)  ฉะนั้นเหมือนกันถ้ามีคนหนึ่งเขาทำดี แล้วเราทำดีไม่ได้ เรารู้สึกว่าเขาสุดยอดเลย ดีจริงๆ เลย เรารู้สึกสุขไหม (สุข)  กับอีกอย่างหนึ่งเธอมันหลอกลวง เธอมันโกหก จริงๆ ไม่ดีหรอก อย่างไหนทุกข์ การคิดร้ายเป็นทุกข์ แต่การชื่นชมยินดีคือหนทางอันประเสริฐ เป็นจิตอันกุศล แต่มนุษย์กลับไม่ชอบบุญที่ทำได้ง่ายๆ แบบนี้ กลับชอบคลางแคลงใจ สงสัย จ้องจับผิดใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์รู้ไหมจิตที่คอยจ้องจับผิด คอยตำหนิต่อว่าคน เป็นรากเหง้าของอกุศลและบาปทั้งมวล ไม่เหมือนจิตที่ชื่นชมยินดี อนุโมทนาบุญ มันเป็นรากเหง้าของใจอันประเสริฐ เป็นบุญกุศลที่ทำได้ง่าย และเป็นความสุขที่เราสามารถหาได้ง่ายในโลกนี้ แต่มนุษย์กลับชอบหาเรื่องยากๆ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าคิดร้ายมันก็มอง (ร้าย)  คิดดีมันก็มอง (ดี)  แล้วตอนนี้คิดร้ายหรือคิดดี (คิดดี)
หลายคนมักจะถามว่า “อาจารย์ เราอยู่ในโลกนี้เป็นคนดีก็พอแล้ว การเป็นคนดีก็ยากเกินไปแล้ว ยังจะต้องศึกษาอะไรเยอะแยะ จะมาฟังแล้วมาศึกษาอะไร เอาแค่เป็นคนดี ศิษย์ยังไม่รอดเลย” ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามว่า คนดีที่พยายามทำดีแล้วสิ้นทุกข์หรือยัง (ยัง)  แล้วไหนบอกว่าเป็นคนดีพอแล้ว ที่บอกว่าเป็นคนดีแล้วนี่เอาตัวรอดหรือยัง (ยัง)  แล้วทำไมต้องศึกษาต้องมานั่งฟัง อะไรๆ ก็รู้หมดแล้ว อะไรๆ ก็ได้ยินมาหมดแล้ว แค่เป็นคนดีก็พอแล้ว ก็รอดแล้ว แต่ว่าคนที่พยายามเป็นคนดีรอดหรือยัง (ยัง)  ทำดีแล้วสิ้นทุกข์หรือยัง (ยัง)  แล้วทำไมล่ะ แล้วศิษย์เคยได้ยินคำพูดพุทธะพูดคำหนึ่งไหม “ละชั่ว บำเพ็ญบุญ เข้าถึงหัวใจอันบริสุทธิ์ ฉะนั้นศิษย์แค่บอกว่าศิษย์เป็นคนดีก็พอแล้ว ศิษย์ยังได้แค่เปลือก เพราะการเข้าถึงหัวใจแห่งธรรมคือหัวใจที่บริสุทธิ์ แค่ศีล สมาธิ ยังไม่ทำให้ศิษย์สิ้นทุกข์ได้ จนกว่าศิษย์จะมีปัญญาเข้าถึงความบริสุทธิ์” นั่นแหละศิษย์ถึงจะสิ้นทุกข์ พ้นทุกข์ได้ ไหนศิษย์บอกว่าศิษย์เป็นคนดี ศิษย์ก็ประเสริฐแล้ว แต่ถ้าคนดียังละชั่วไม่ได้ ศิษย์ก็ยังไม่มีวันพ้นทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  คนดียังตัดกิเลสไม่ได้ ศิษย์ก็ยังไม่มีวันหมดทุกข์ คนดียังมองไม่เห็นแจ้งความเป็นจริงจนแจ่มชัด ศิษย์ก็ยังไม่สามารถที่จะพ้นทุกข์ได้ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ศิษย์พอจะเข้าใจหรือยัง ทำไมจึงต้องศึกษาเพิ่ม (เข้าใจ)  เพราะว่าแค่คนดีมันไม่พอ ศิษย์อาจจะบอกอาจารย์ว่าศิษย์ก็ดีนะ และศิษย์ก็ยังมุ่งมั่นทำดี ไม่ทำชั่วแล้ว ศิษย์ว่าคนแบบนี้พ้นทุกข์ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ทำไมล่ะ (หัวใจยังไม่บริสุทธิ์)  ในเมื่อชั่วเราก็ละแล้ว ดีก็พยายามเป็นคนดีแล้วนะ แต่ทำไมยังไม่พ้นทุกข์ ศิษย์เคยเห็นคนดีมากๆ ไหม เหมือนตัวศิษย์เองเคยตั้งตัวเป็นคนดีมากๆ แล้วก็ตั้งมาตรฐานของความดี ความถูกต้องไว้ในใจ
ฉะนั้นถ้าใครผิดมาตรฐาน ใครทำอะไรไม่ถูกมาตรฐานเป็นอย่างไร ศิษย์รู้สึกว่ายังไม่ใช่ ฉันก็ดีแล้ว ชั่วฉันก็ละแล้ว ทำไมเธอยังทำอย่างนี้ ทำไมยังพูดอย่างนี้ ไม่ใช่แล้ว ศิษย์รู้ไหมเรียกว่ายังดีไม่ถึงที่สุด ถ้าศิษย์เข้าใจความหมายของความดี และเข้าไปถึงหัวใจบริสุทธิ์ ศิษย์จะไม่มีคำว่าทำไม แต่ส่วนใหญ่ เป็นคนดีจะตั้งมาตรฐานทุกคนจะต้องดีให้ได้แบบนี้ ควรจะต้องเป็นแบบนี้จึงจะเรียกว่าดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอใครผิดมาตรฐานของความดี เป็นอย่างไร โกรธ เกลียด รับไม่ได้ ด่าทอเลย อย่างนี้เรียกว่าคนดี ใช่หรือ คนดีก็ต้องเฉยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์เอ๋ยอาจารย์อยากจะบอกว่านี่แหละเหตุผลหนึ่งที่ศิษย์ต้องศึกษาเพิ่มเติม การเรียนรู้ธรรมไม่ใช่แค่เป็นคนดีแล้วเกลียดคนชั่ว การเรียนรู้ธรรมไม่ใช่ตั้งตัวเองเป็นคนดี แล้วคอยเอาความดีไปจับผิดคนไม่ดี การเรียนรู้ธรรมไม่ใช่เข้มงวดคนอื่น ผ่อนปรนตัวเอง แต่เป็นการเข้มงวดตนเอง ผ่อนปรนผู้อื่น ทำตัวให้ถูกต้อง คนอื่นเป็นอย่างไรไม่ใช่หน้าที่ของเรา เราคิดแบบนี้ไหม (คิด)
ศิษย์จำไว้นะ การศึกษาบำเพ็ญธรรม เรื่องความถูกต้องเป็นเรื่องของทางโลก แต่การรักษาจิตให้เป็นปกติ เป็นเรื่องการบำรุงรักษาตัวเรา ฝึกใจเรา นี่ถึงจะถูกต้อง แต่มนุษย์ไม่ใช่  ชอบเอาความถูกต้องของตัวเองไปคอยวัดค่าตีค่าของผู้อื่น จนทำให้จิตของตัวเองผิดปกติ แล้วไม่สามารถบริสุทธิ์ได้อย่างแท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีการอยู่ในโลกนี้ ความสุขก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหา แค่รู้จักพูดดีๆ ต่อกัน ก็เป็นบทเพลงที่สร้างความสุขได้ แค่รู้จักปฏิบัติต่อกันด้วยความเคารพให้เกียรติ ก็เป็นสะพานที่เชื่อมให้กัน รู้จักกัน และอยู่ร่วมกันได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เดี๋ยวนี้เราเลือกทำสิ่งใดล่ะ พูดเพราะหรือพูดกระโชกโฮกฮาก (พูดเพราะ)  บางทีเราพยายามหาเงินหาทองมากมาย แต่ถึงที่สุดศิษย์อยากได้คืออะไร ความเข้าใจกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์มีเงินมีทองมากมาย แต่ไม่มีใครเข้าใจศิษย์สักคนหนึ่ง ศิษย์มีสุขไหม (ไม่มี)  ศิษย์มีเงินมีทองตั้งมากมาย แต่ไม่มีใครให้อภัยศิษย์ ศิษย์มีสุขไหม (ไม่มี)  ศิษย์มีเงินมีทองมากมาย แต่ศิษย์ไม่รู้จักปฏิบัติดีกับคน ศิษย์จะมีสุขไหม (ไม่มี)  แล้วถึงเวลาเราเลือกปฏิบัติเช่นไร เราเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง ถูกหรือเปล่า ใครเป็นอย่างไรฉันไม่สนใจ แต่ตอนนี้ฉันโมโห ถ้าตอนนี้อาจารย์เอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง อาจารย์ให้ศิษย์ยืนหมดเลย ดีไหม (ดี, ไม่ดี)  มีคนตอบว่าดี แสดงว่าเขายินดียืนเป็นเพื่อนอาจารย์ใช่ไหม (ใช่)  ก็อาจารย์บอกไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว ชีวิตจะเป็นอย่างไรนั้น บางทีศิษย์มักจะบอกว่า ปัญหามันอยู่ที่คนอื่น แต่ถ้าอาจารย์ถามจริงๆ ปัญหามันอยู่ที่คนอื่น หรือปัญหามันอยู่ที่ใจของเรา (ใจของเรา)  ก็รู้นี่นะ ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า “ถ้าใจกว้างพอ ไม่มีใครหรอกที่แล้งน้ำใจ หรือใจดำต่อเรา” ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าใจเรามีมิตรภาพ มีความร่มเย็นพอ ไม่มีใครหรอกที่จะทำร้ายจิตใจเราได้ กลัวอยู่อย่างเดียว ใจไม่กว้างพอ จึงว่าคนอื่นมีจิตใจที่คับแคบ ใจไม่ดีพอและโหดร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นใครเป็นอย่างไรก็แปลว่าเราก็เป็นอย่างนั้น เคยได้ยินคำว่าผีเห็นผีไหม อาจารย์ว่าศิษย์ใจกว้าง ฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ก็ใจกว้างใช่ไหม อาจารย์ให้ศิษย์ยืน อาจารย์ก็ใจกว้างนะ คำว่าผีเห็นผี คือการที่เราว่าคนอื่นเป็นอย่างไรก็แปลว่าใจเราก็เป็น (อย่างนั้น)  ฉะนั้นเมื่อศิษย์ว่าอาจารย์โกหก หลอกลวง ถามว่าศิษย์ไปโกหกหลอกลวงใครหรือเปล่านะ ไปว่าคนอื่นเขาเลว ไม่ดี ก็แปลว่าเราก็เคยเลว เคยไม่ดีมาก็เลยรู้ว่าแบบนี้มันเลว ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นอาจารย์ถึงบอกว่าถ้าเราเข้าใจหลักธรรม เราจะอยู่กับคนได้อย่างมีความสุข โลกจะพลิกไปขนาดไหน ก็ไม่มีอะไรมาลวงให้เราหลงและเจ็บปวดได้อีกต่อไป แล้วไยมนุษย์ในโลกจึงไม่อยากเข้าใจธรรม ไม่อยากศึกษาธรรมกันเล่า
การเรียนรู้ธรรมจะทำให้เราเข้าใจความเป็นคน เข้าใจสรรพสิ่ง แล้วไม่ทำให้เราถูกหลอกลวงจนกลายเป็นทุกข์ แต่ศิษย์แม้จะพยายามศึกษาธรรมะมามาก แต่ก็ยังหนีทุกข์ไม่พ้น เพราะโดยส่วนใหญ่เวลาที่เราเรียนรู้ธรรม เรามักจะเอาธรรมนั้นไปตรวจสอบ ไปวัดคน แต่เราไม่เคยเอาธรรมนั้นไปย้อนมองส่องตน ถูกไหม (ถูก)  ถ้าเราเอาธรรมนั้นมาย้อนมองส่องตน ศิษย์จะได้รู้อย่างหนึ่งว่าคนเรามีอะไรเหมือนๆ กัน ถ้าเราเข้าใจความเป็นคน เราจะเข้าใจความเป็นธรรมดาของคน ในชั้นนี้มีใครชอบโดนด่า มีใครชอบเป็นผู้แพ้บ้าง ยกมือขึ้น (มีนักเรียนในชั้นยกมือ)  แน่ใจหรือ อย่างนั้นห้ามซื้อลอตเตอรี่ ห้ามเล่นชนวัว ห้ามเล่นแข่งนก หรือแข่งอะไรนะ
โดยส่วนใหญ่ ไม่มีใครชอบเป็นคนผิด ไม่มีใครชอบโดนว่า ไม่มีใครอยากเป็นผู้แพ้ ไม่มีใครอยากเป็นคนโง่ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเรารู้แบบนี้เราจะว่าใครไหม (ไม่ว่า)  เราจะทำให้ใครเป็นคนขี้แพ้ไหม (ไม่)  เราจะตำหนิต่อว่าใครให้เสียๆ หายๆ ไหม (ไม่)  แล้วเรารู้ไหม (รู้)  ฉะนั้นถ้าเรารู้อยู่แก่ใจ เราจะทำสิ่งนั้นกับผู้อื่นไหม เราจะว่าใครให้เจ็บปวดไหม (ไม่)  เราจะใส่ความให้ใครคนใดคนหนึ่งเป็นคนผิดไหม (ไม่)  อาจารย์ถามหน่อย แล้วเวลาเราเป็นคนผิด เราโดนคนว่า เราอยากได้คนซ้ำเติม หรืออยากได้คนเห็นใจ (เห็นใจ)  เราอยากให้คนให้อภัย หรืออยากให้คนด่าเราอีก (ให้อภัย)  แล้วถึงเวลาเขาผิดเราด่าเขาอีก หรือเราให้อภัย (ให้อภัย) 
ถ้าศิษย์เข้าใจพื้นฐานของความเป็นคน เราจะไม่เข้าใจความเป็นธรรมดาของผู้คนหรือ จริงไหม (จริง)  พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า เมื่อใดที่มนุษย์สลัดการจ้องจับผิดผู้คนได้ เมื่อนั้นมนุษย์ก็สามารถตัดทางมาแห่งบาปทั้งมวลได้ด้วยใจเราเอง แล้วตอนนั้นใจเราจะไม่บริสุทธิ์หรือ ใจเราจะไม่กว้างหรือ ใจเราจะไม่เย็นหรือ ในเมื่อในโลกนี้เราไม่คิดว่าใคร เราไม่คิดเหยียบย่ำทำร้ายใคร และเราไม่ผลักดันให้ใครเป็นคนแพ้แล้วตัวเองชนะ ไม่ทำให้ใครเสียหาย จริงไหม แล้วเราทำเช่นนั้นไหม (ไม่ทำ)  บางคนคิดว่าก็ง่ายหรอกที่อาจารย์ว่า “ศิษย์ไม่ทำเขาก็ได้ แต่เวลาเขามาว่าศิษย์ล่ะ เขามาด่าศิษย์ล่ะ ศิษย์จะทำอย่างไรดีอาจารย์” ทำอย่างไรดี (เฉย)  ถ้าเขาด่าเราว่าไอ้โง่ ไอ้บ้า (เฉย)  จริงหรือ โดยส่วนใหญ่ก็พูดง่ายนะ แต่พอถึงเวลาจริงๆ ทำง่ายไหม เขายังไม่ได้ด่าเราคำที่สอง แต่คำแรกเราก็ด่ากลับไปแล้วใช่ไหมถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย เราอยู่ในโลก อย่าทำเวรให้ยืดเยื้อ อย่าทำเรื่องสั้นให้เป็นเรื่องยาว แต่ถ้าใครร้ายมาเราร้ายกลับ ใครด่ามาเราก็ด่ากลับ ใครแรงมาเราก็แรงกลับ นี่แหละอาจารย์ถึงบอกว่าศิษย์ของอาจารย์เป็นคนดี แต่บาปละไม่ได้ กิเลสลดไม่ได้ คนดีจึงไม่สิ้นทุกข์สักที ถ้าอย่างนั้นทำอย่างไร ถ้าไม่อยากทำเวรให้ยืดเยื้อ ศิษย์ก็ต้องทำใจเย็นเสีย ต้องรู้จักนิ่ง ขอเพียงมีเมตตาต่อกันเพียงนิด ช่วยบ่มเพาะคุณธรรมในจิตใจ ช่วยสร้างสมบารมีให้กับชะตาชีวิต ถ้าเรามีเมตตาต่อกัน แต่ถึงเวลาเราเลือกไหม  เอาอารมณ์ก่อน ศิษย์เคยได้ยินไหม ถ้าเรารู้จักอดทนอดกลั้นเพียงนิด ความอดทนอดกลั้นเป็นเนื้อนาบุญที่ยิ่งใหญ่ และเป็นรากเหง้าของคุณธรรมทั้งปวง  ถ้าเกิดเป็นคนไม่มีเมตตาต่อกัน คุณธรรมทั้งหลายก็ไม่สามารถบังเกิดได้ รู้แบบนี้ยังอดใจได้ไหม มันก็ไม่ได้ ก็เขาด่าผม เขาเป็นชู้ เอาของเราไป แล้วเราทำใจอย่างไร
ศิษย์เคยได้ยินไหม มนุษย์เราเมื่อเจอเรื่องใดก็ตาม เรามักจะมองผ่านความคิด มองผ่านใจ มองผ่านสติปัญญา หรือมองอย่างคนที่ใช้คุณธรรม (ใช้สติ) สติเตลิดปัญญาไม่มา ใช่ไหม แล้วสติมาหรือเปล่า ส่วนใหญ่เราจะมองผ่านความคิด และมองผ่านใจที่รู้สึก แล้วค่อยมาที่สติค่อยมาที่คุณธรรม ใช่หรือไม่ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์บอกไว้อย่างหนึ่งนะศิษย์ เวลาที่เราโมโห เราใช้ความคิด ยิ่งคิดก็เหมือนยิ่งราดน้ำมันลงในกองเพลิง มันยิ่งลุก ทำไมจึงด่าผม ทำไมทำอย่างนี้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเวลาเจอเรื่องอะไร เราควรใช้ความคิด, ใช้ใจ, ใช้สติหรือควรใช้คุณธรรม (คุณธรรม, ใจเย็นๆ)  หลายคนบอกว่าสติ  ศิษย์รู้ไหมว่า สติเป็นคุณธรรมอันหนึ่งและเป็นรากฐานของธรรมทั้งมวล สติไม่ใช่แปลว่าคิดออก แต่สติ แปลว่า คุณธรรมที่คอยยับยั้งให้เราระลึกรู้ในสิ่งที่ตัวเองกระทำ และแปรเปลี่ยนอารมณ์ให้กลายเป็นกลางและดับสลายลงในที่สุด แต่มนุษย์มักไม่ใช้สติ ทำอะไรชอบใช้ความคิด ใช้ใจ ซึ่งความคิดมันง่ายที่จะไหลไปตามกิเลส อารมณ์ที่ปรุงแต่งถูกไหม (ถูก)  
(พระอาจารย์เมตตาให้หัวหน้าชั้นออกมายืนหน้าชั้น)
ถ้าสมมติว่ามีคนมาว่า “ไอ้โง่”  เราใช้ความคิดหรือเราใช้สติ (ใช้สติ,ใช้ความคิดก่อนแล้วใช้สติยับยั้ง)  คิดจนฟุ้งแล้วค่อยใช้สติยับยั้งได้จริงๆ หรือ (พอเรามีสติแล้วเราก็จะแก้ปัญหาได้หมดทุกอย่าง)
(พระอาจารย์เมตตาใช้ด้ามพัดตีหัวหน้าชั้น)
ถ้าอาจารย์ตีศิษย์ จะใช้ความคิด ใช้สติหรือใช้อารมณ์ดี (ใช้สติ)  หลังจากที่ใช้สติแล้ว ทำอย่างไรเราถึงจะปลดเปลื้องทุกข์ได้ สติคอยยับยั้งให้เรากลับมาสู่ความเป็นกลางและมองเห็นความจริง แต่ทำอย่างไรในเมื่อสติกับความคิดมันชอบดึงกันคนละข้างใช่ไหม (ใช่)  แล้วทำอย่างไรที่จะทำให้เรากลับมาสู่ความเป็นกลาง ศิษย์เคยได้ยินไหมว่าในตัวเรานั้นมีสิ่งที่ประเสริฐที่สุดคือหัวใจอันบริสุทธิ์ แต่หัวใจอันนี้มักจะถูกแปดเปื้อนไปเพราะความอยาก พออยากก็เห็นแก่ตัว พอเห็นแก่ตัวก็ใจไม่เที่ยง พอใจไม่เที่ยงก็ง่ายที่จะหวั่นไหวไปตามกิเลสครอบงำ เมื่อใจไม่เที่ยง การกระทำจะเที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  การกระทำไม่เที่ยงแล้วชีวิตนี้จะเป็นสุขไหม (ไม่สุข)  แล้วอะไรที่จะช่วยทัดทานพอที่จะให้เรามีสติและหัวใจกลับคืนมาสู่ความบริสุทธิ์ (ลองมองทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นธรรมชาติ)  โดนตีก็เป็น (ธรรมชาติ)  โดนด่าไอ้ควายก็เป็นอะไร (ยิ้มครับยิ้ม ไอ้ควายก็ยิ้ม ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ก็คือเป็นการสมมติทั้งนั้นจริงๆ  ตัวตนก็ไม่ใช่ชองเรา)  สิ่งหนึ่งที่อาจารย์จะย้อนให้ศิษย์กลับมาคิดได้ก็คือ พิจารณาให้ถึงธรรม แล้วธรรมนั้นจะทำให้เรากลับสู่ความปกติอันบริสุทธิ์ จริงไหม (จริง)  มีสติแล้วพิจารณาให้ถึงธรรมอยู่เนืองๆ แล้วธรรมอะไรที่จะทำให้เราพิจารณาเนืองๆ แล้วใจเรากลับมาเป็นปกติและรับความเป็นธรรมดาในโลกได้ (สังคหวัตถุ 4  อิทธิบาท 4  งานก็จะสำเร็จและสิ่งที่เป็นปัญหาก็จะสะท้อนกลับก็จะสบาย)  ศิษย์เอย อาจารย์จะบอกให้นะ ง่ายๆ ถ้าโดนกระทบ ถ้าคิดดีก็ขึ้นสวรรค์ คิดชั่วก็ตกนรก  แต่ถ้าพ้นจากความคิด นั่นแหละเรียกสงบเย็น พ้นจากความคิดไม่คิดอะไรเลย ที่ศิษย์ตอบอาจารย์ว่า วางเฉย แต่มนุษย์เราอดไม่ได้ที่จะต้องคิด โดนกี่ครั้งก็ต้องคิด ไม่โดนก็คิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสติจึงเป็นรากฐานแห่งธรรม แต่หลังจากที่เรามีสติแล้ว เราต้องหมั่นพิจารณาธรรมอะไร ที่จะทำให้เรามาสู่ความเป็นปกติ ความเป็นกลางไม่สร้างบาป ไม่สร้างกรรม ศิษย์เคยได้ยินประโยคหนึ่งไหมว่า สิ่งใดที่เราไปยึดมั่นถือมั่นแล้วไม่มีทุกข์ไม่มีโทษ ไม่มีในโลก สิ่งใดที่มนุษย์เข้าไปยึดมั่นถือมั่นแล้วไม่มีทุกข์ ไม่มีโทษ ไม่มีในโลก เมื่อใดที่จิตคิดไปยึดมั่นสิ่งใด จิตย่อมสร้างวิบากกรรมให้ตัวตนต้องไปแบกรับเสมอ ฉะนั้นถ้าไม่ยึดมั่นอะไรในโลกเลย เราจะทุกข์ไหม  แต่จะทำอย่างไรดีล่ะอาจารย์ อันนี้ก็ยึด  อันนี้ก็ยาก อันนี้ก็ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วที่เราต้องทุกข์ ต้องเจ็บปวด ต้องท้อ เพราะอะไร เพราะเรายึดทั้งนั้นเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นที่พึ่งที่ดีที่สุดของจิตใจ ที่พุทธะเคยกล่าวไว้ว่า ถ้ามนุษย์อยากหาที่พึ่งให้กับใจ ความไม่กังวล ความไม่ยึดมั่น คือที่พึ่งที่ประเสริฐที่สุดในโลกใบนี้ แต่มนุษย์ไม่ใช่ ชอบหาที่พึ่งหาใครสักคนหนึ่งเป็นที่พึ่ง ช่วยให้ฉันได้อบอุ่นใจ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่เมื่อยึดสิ่งใดแล้ว มีสิ่งใดบ้างที่ยึดแล้วไม่ทุกข์ มีใครบ้างที่เราห่วงหาอาทร มีแล้วไม่เจ็บปวด มีไหม (ไม่มี)  แม้กระทั่งยึดมั่นถือมั่นในตัวเองก็ยังเจ็บ ยังทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วธรรมอะไรล่ะ ที่จะทำให้เราปลดเปลื้องความยึดมั่นถือมั่น แล้วมองเห็นโลกอย่างแจ่มชัด ไม่ถูกหลอกลวงอีกต่อไป (ปล่อยวาง) 
ศิษย์หลายคนมักจะตอบอาจารย์ว่า “อาจารย์ก็ปล่อยมันไปเลยสิ ห่วงมากก็ทุกข์มาก ศิษย์ไม่เอาแล้ว จะได้จบไปเลย” สองวันนี้ศิษย์มาฟังธรรม ศิษย์ต้องได้ธรรมที่กลับไปแล้วทำให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้ ไม่มากก็น้อย ใช่ไหม (ใช่)  แล้วธรรมอะไรล่ะที่จะทำให้เราพ้นทุกข์ได้ไม่มากก็น้อย พิจารณาบ่อยๆ พิจารณาอยู่เนืองๆ แล้วมันจะทำให้ศิษย์พ้นทุกข์และปลงได้ แล้วก้าวข้ามวัฏสงสารได้ ไม่ต้องสร้างเวรสร้างกรรมอีก คิดได้ไหม ตอบได้ไหม ตอบผิดอาจารย์ขอแอปเปิลคืนนะ (ได้ครับ เราต้องเรียนรู้ตลอดเวลา แล้วนำความรู้หลักธรรมที่ได้จากพระอาจารย์นี้มาวิเคราะห์ แล้วเราก็สามารถที่จะทำใจให้ว่าง แล้วชีวิตเราก็จะมีความสุข)  ถูกไหม (ถูก)  อาจารย์เพิ่งเคยได้ยิน ถามเองตอบเอง ถามว่าถูกไหม ถูกสิอาจารย์ นี่ล่ะนะ ความเป็นคนไม่ยอมรับว่าตัวเองผิด มันยังไม่เป็นกลางพอนะ อะไรล่ะที่มันเป็นกลางที่ทุกคนสามารถเอาไปใช้ได้ แล้วเมื่อพิจารณาเนืองๆ แล้วเราจะมองเห็นความเป็นจริงของโลก แล้วปลดปลงโลกได้อย่างแท้จริง ใครชมเรา เราก็ไม่เหลิง ใครด่าเรา เราก็ไม่ทุกข์ (การไม่ยึดติด)  การไม่ยึดติด ใช่ไหม ทำอย่างไรล่ะ เมื่อเวลาเห็นใครดี เราก็อยากจะอยู่ใกล้เขา เห็นใครไม่ดี เราก็อยากจะเขี่ยไปไกลๆ (ไม่ยึดติดถือมั่นว่าเป็นของเรา เราก็ไม่เป็นทุกข์)  ความไม่ยึดติดใช่ไหม ทำอย่างไรเราถึงจะเห็นชัดจนไม่ยึดติดล่ะ ความไม่ยึดติดเริ่มจากที่เราต้องเห็นชัดก่อน ถูกไหม (ความเป็นธรรมชาติ)  อันนั้นแหละที่อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้าถึง แล้วศิษย์จะไม่ยึดติดมันเลย คืออะไร (ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง)  ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ทำได้จริงๆ หรือ ถ้าอย่างนั้นตอบอาจารย์ แต่ห้ามเอาแอปเปิลนะ
(สัจธรรม)  สัจธรรมเกี่ยวกับเรื่องอะไร (ทำให้เราเข้าใจชีวิต)  สัจธรรมทำให้เราเข้าใจชีวิต สัจธรรมอะไรหรือ วันนี้ศิษย์มานั่งฟังตั้งนาน ศิษย์ได้ธรรมะอะไรที่ทำให้ศิษย์ปลดปลงและไม่ทุกข์ แล้วเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้ ถ้าศิษย์ตอบอาจารย์ได้ อาจารย์ก็ไม่ต้องมาแล้ว แต่ถ้าศิษย์ยังตอบไม่ได้สงสัยอาจารย์ก็ต้องมาบ่อยๆ นะ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วมันคืออะไรล่ะ ตอบได้ไหม วันนี้มาก็ให้ถึงธรรม ให้ได้ธรรมสักหน่อยสิ แล้วธรรมอะไรที่ช่วยให้เราไม่โกรธได้ ไม่หลงได้ ไม่โลภได้ ว่าไงนะ (อนุตตรธรรม)  อนุตตรธรรมเป็นชื่อที่เอาไว้เรียกสำหรับนามคำว่าธรรมแค่นั้น แต่หลักธรรมที่จะนำไปปฏิบัติคืออะไร ตอบได้ไหม ศิษย์เอ๋ยศึกษาธรรมตั้งเยอะ แต่ทำไมไปไม่ถึงธรรม ไม่เห็นธรรมสักที เราควรเอาธรรมหรือเอาแค่ความดี
(ความเมตตา)  ความเมตตาคือคุณธรรมในการปฏิบัติต่อกัน ถ้าเราอยากอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยความสุข สามัคคี และความดีงาม เราต้องปฏิบัติด้วยการเริ่มจากเมตตาเป็นพื้นฐาน แต่จะทำให้เราสามารถปลดปลงและมองโลกอย่างแจ่มชัดเจนอะไรมาลวงให้เราทุกข์ไม่ได้อีกนั่นแหละ ศิษย์ต้องหาให้เจอ (ทำใจให้บริสุทธิ์)  ทำใจให้บริสุทธิ์แล้วใจมันบริสุทธิ์ไหมหนอ ในเมื่อยังมีความโลภ ความโกรธ ความหลงอยู่นะ ถ้าอย่างนั้นคนบริสุทธิ์เอาแอปเปิลไหม (เอาค่ะ อยากได้จากอาจารย์)  ความอยากนิดหนึ่งก็เป็นกิเลสนะ เข้าใจไหม (การไร้อัตตาตัวตน)  ทำได้อย่างนั้นจริงๆ หรือ มนุษย์เรายังอดติดอยู่ในรูปนามไม่ได้ ทำอย่างไรเราถึงจะสามารถมีเหมือนไม่มี เห็นแล้วเหมือนไม่เห็น (ทำจิตใจให้มีคุณธรรม)  ทำจิตใจให้มีคุณธรรมหรือ การทำตัวเองให้มีคุณธรรมคือการประพฤติปฏิบัติเพื่อไม่ให้ใจเราใฝ่ไปทางชั่ว เราจึงต้องพยายามทำดีเข้าใว้ เพราะว่าถ้าเราไม่ทำดี ไม่ใฝ่ดี ใจมันง่ายจะไหลลงต่ำไปคิดชั่ว ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นต้องแยกให้ออกนะ (ใครว่าก็ทำเฉย ใครชมก็เฉย)  ใครว่าก็ทำเฉย ใครชมก็เฉย จริงนะ ไม่แอบยิ้มแน่นะ (เมื่อทุกคนมีพื้นฐานจิตใจที่ดีงาม คิดดี พูดดี ทำดี แล้วจะมีใครมากล่าวมาว่าเราด้วยคำที่หยาบคาย)  ให้คิดดีเข้าไว้ ใครจะมาว่าร้ายอย่างไรก็ให้อภัยใช่ไหม แต่แปลกนะถ้ามุ่งมั่นในความดี ทำไมจึงหวั่นไหวง่ายเวลาโดนคนว่า
วันนี้ศิษย์อย่าเพิ่งรำคาญอาจารย์นะ อาจารย์ขอให้ศิษย์ตอบก่อน เพราะถ้าอาจารย์ตอบก่อน อาจารย์ก็ได้ ศิษย์ก็ไม่เคยได้สักที จริงไหม อาจารย์อยากจะเค้นให้ถึงที่สุด ให้ศิษย์ตอบได้เอง แล้วมันจะเกิดจากความรู้แจ้งเองในตัวเรา (ต้องเตือนตัวเองว่าทุกคนเกิดมา เกิด แก่ เจ็บ ตายแล้วก็ทุกข์ขัง อนัตตา คือความว่างเปล่า ปล่อยวางทุกอย่าง)  ใช่ไหม (ใช่) 
ศิษย์เอ๋ยถ้าศิษย์หมั่นพิจารณาธรรมอยู่เนืองๆ ว่าโลกนี้มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ และถึงที่สุดมันก็ว่างเปล่าจากรูปนามที่แท้จริง เราจะดีใจเมื่อได้อะไรมาไหม เราจะเสียใจเมื่อเราสูญเสียอะไรไหม (ไม่เสียใจ)  เพราะอะไรล่ะ เพราะเราพิจารณาบ่อยๆ ว่าโลกนี้มันไม่ (เที่ยง)  เป็น (ทุกข์)  แล้วถึงที่สุดก็ว่างเปล่าจากตัวตนที่แท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราพิจารณาบ่อยๆ  มันยิ่งกว่าปลดปลง ยิ่งกว่าปล่อยวาง แล้วเราจะโกรธใครไหม รักใครไหม ทำไมล่ะ เพราะว่ามันไม่เที่ยง  ฉะนั้นวันนี้เขารักเรา พรุ่งนี้เขาไม่รักเรา ก็คิดว่ามันไม่เที่ยง วันนี้เขาชมเรา พรุ่งนี้เขาด่า เราจะเสียใจไหม (ไม่เสียใจ)  วันนี้เราได้พรุ่งนี้เราเสีย เราจะเสียใจไหม (ไม่)  ถ้าเราคิดแบบนี้อยู่เนืองๆ พิจารณาธรรมอยู่เนืองๆ เราจะปลดปลง ปล่อยวางได้ไหม เราจะยึดติดอะไรไหม ถ้ายึดติดแสดงว่าศิษย์ยังอยากมีความทุกข์ ยังอยากไม่สิ้นทุกข์ เพราะโลกนี้มันไม่เที่ยง
ฉะนั้นคาถาที่อยากให้ศิษย์เอาไปใช้ เวลาอยู่ในโลกนี้คือ “ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง” วันนี้ศิษย์เห็นอาจารย์ อีกสิบนาที ยี่สิบนาที ศิษย์จะเห็นอาจารย์ไหม (ไม่เห็น)  วันนี้อาจารย์เห็นศิษย์ อีกสักชั่วโมง สองชั่วโมงจะเห็นศิษย์ไหม (ไม่เห็น)  วันนี้ศิษย์เห็นสามี พรุ่งนี้ศิษย์จะเห็นเขาอีกไหม (ไม่แน่)  ถูกไหม วันนี้ศิษย์ว่าศิษย์ได้แต่อีกกี่นาทีอาจจะไม่ได้ ถูกหรือไม่ ถ้าศิษย์พิจารณาเรื่อยๆ มองธรรมะอันนี้เรื่อยๆ ศิษย์จะทุกข์กับอะไร
ฉะนั้นพระพุทธะได้กล่าวประโยคหนึ่งว่า “ที่ใดที่มีความเกิด ที่นั้นย่อมมีความดับ เป็นธรรมดาแล” แล้วเราจะไปดับอะไร ในเมื่อทุกสิ่งมันก็ต้องดับอยู่แล้ว  ศิษย์จะพยายามไปปล่อยมันทำไม ถึงเวลามันก็ต้องปล่อย จะไปเกลียดเขาทำไม เพราะถึงเวลามันก็ต้อง (ไป)  ใช่ไหม  ถ้ามนุษย์กลับสู่ความเป็นธรรม อะไรมันจะทำให้เราหลง ฉะนั้นจึงมีคำกล่าวคำหนึ่งว่า “เมื่อใดที่ศิษย์สามารถวางจิตให้ตรงเที่ยงต่อสัจธรรม เมื่อนั้นดีร้ายได้เสียไม่มีในโลก บาปกรรมไม่ก่อเกิดอีกแล้วศิษย์ก็จะสามารถมีแต่ความเป็นกลาง กลับคืนสู่ความบริสุทธิ์สิ้นบาปกรรม เมื่อยามมีชีวิตอยู่ได้ในทันที” ก็ในเมื่ออะไรดีที่สุดละ คนนี้ดี ก็มีคนที่ชั่ว คนนี้แย่ก็ยังมีคนที่ (แย่กว่า)  แล้วคนที่แย่กว่าก็ยังมีคนที่ (แย่กว่าอีก)  ใครแย่สุด ศิษย์บอกว่าศิษย์สูญเสีย ใครสูญเสียสุด (ไม่มี)  ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่ศิษย์สามารถดำรงจิตให้ตรงเที่ยงต่อความเป็นจริงต่อหลักสัจธรรม เมื่อนั้นบาปกรรมศิษย์จะสิ้นสุดได้ในชาตินี้ ศิษย์จะมีแต่ชีวิตที่ใช้กรรมเก่า กรรมใหม่ศิษย์ไม่สร้าง เพราะอะไรที่ทำให้หลง ให้เกลียด ไม่มี เพราะศิษย์พิจารณาอยู่เนืองๆ ในความเป็นจริงว่า โลกไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า ควรหรือที่เราจะยึดมั่นถือมั่น แม้ตัวเองก็ยังยึดไม่ได้ หน้าตาตัวเองคือหน้าตานี้ไหม เปลี่ยนไหม และถึงที่สุดก็ดับ แก่ เจ็บ แล้วกลัวไหม (ไม่กลัว)  จำไว้นะศิษย์ เกิดแล้วไม่ตายทรมานจริงๆ เกิดแล้วไม่เจ็บก็ทรมาน แต่เกิดแล้วได้เจ็บ ได้แก่ ได้ตาย นั่นคือความเป็นจริงแห่งสัจธรรม แต่มนุษย์กลับไม่ยอมรับธรรม กลับเอาแต่ความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ศิษย์ต้องเป็นแบบนี้ ศิษย์ต้องได้อย่างนั้นอย่างนี้ ถึงที่สุดใครที่ทุกข์ (ตัวเรา)  เพราะเราไม่ยอมรับความจริง ฉะนั้นธรรมที่แท้จริงจึงมีแค่เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ เท่านี้เรียกว่าธรรม แต่หลังจากนี้ถ้าเอามาคิด กลายเป็นกิเลส เป็นความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนทั้งมวลสิ้น สิ่งใดที่เกิดเรียกว่าธรรม แต่เรายอมรับธรรมตรงนี้ไหม เมื่อเราไม่ยอมรับธรรม เราก็เลยก่อเกิดเป็นกิเลส ความคิด ความชอบ ความชังที่เรียกว่า กรรมดี กรรมชั่ว แต่เมื่อไรเราจบแค่ตรงนี้ เขามาอย่างนี้ ก็อย่างนี้ ก็แค่นี้ ก็จบก็เท่านี้ กรรมสิ้น แต่มนุษย์ไม่ใช่ เขามาแบบนี้ ทำไมเป็นแบบนี้ ทำไมไม่เป็นแบบนั้น ทำไมไม่เป็นอย่างนั้น เกิดกรรมต่อที่เรียกว่าวิบากกรรมใช่หรือไม่ (ใช่) 
วันนี้สิ่งที่อาจารย์พูดเป็นหลักธรรมที่เป็นกลาง ไม่ได้ให้ศิษย์มาเปลี่ยนศาสนา ไม่ได้เป็นลัทธิอะไร แต่เป็นธรรมที่ศึกษาเพื่อนำพาให้เรากลับคืนสู่ความจริงแท้ที่เรียกว่าหัวใจอันบริสุทธิ์ มนุษย์ทุกคนอยู่ในโลก มีทุกข์มากแล้ว เมื่อเรามีทุกข์ ใครล่ะจะปลดเปลื้องทุกข์จากใจเราได้ (ตัวเราเอง)  ศิษย์มักจะพูดว่าตัวเราเอง แล้วเราจะทำอย่างไรที่จะทำให้ตัวเองปลดทุกข์ รู้จักมีปัญญา มีสติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์พูดเรื่องหลักธรรมเพื่อนำพาไปใช้ในการดำเนินชีวิต เพื่อนำพาให้มองเห็นชีวิตชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะธรรมคือรากฐานของความเป็นจริงที่เราต้องเจอในชีวิต ฉะนั้นเมื่อไรที่เราเจอทุกข์ การพิจารณาธรรมเนืองๆ จะช่วยให้เราปลดทุกข์ในใจได้ แล้วพอจำได้ไหม ธรรมที่อาจารย์บอกให้พิจารณาเนืองๆ คือ อาจารย์พูดว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์และว่างเปล่าจากตัวตนที่แท้จริง ใช่หรือไม่ ศิษย์ต้องรู้ให้หมด อย่าบอกว่าว่างเปล่า ถ้าศิษย์คิดว่าว่างเปล่า ศิษย์ก็ไปทำเลวทำร้ายได้ ใช่ไหม ไหนใครเชื่อว่าโลกนี้ไม่มีบาปไม่มีกรรม เชื่อเรื่องบุญบาป ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เชื่อไหม (เชื่อ)
ในโลกนี้มีทุกข์อยู่สองอย่าง หนึ่งคือทุกข์แห่งความจริงอันเป็นธรรมดาของโลก สองคือทุกข์แห่งกรรมที่ศิษย์ไปก่อไว้ ถ้าศิษย์อยากอยู่ในโลกไม่โดนใครเบียดเบียน ไม่โดนใครทำร้าย ศิษย์ก็อย่าไป (เบียดเบียน)  ถูกไหม ถ้าเราไม่อยากโดนใครเบียดเบียน เราก็อย่าไปเบียดเบียนเขา ถ้าเราอยากมีของรักแล้วของรักอยู่กับเราไม่หายไป เราก็อย่าไปอยากได้ของรักของ (คนอื่น)  แล้วเราอยากได้ของรักของคนอื่นไหม (ไม่อยาก)  แปลว่าศิษย์ไม่เคยอยากได้เงินของใครเลย ใช่ไหม (ใช่) 
ทำไมเรารักษาเงินแล้วเงินถึงไม่เคยอยู่กับเรา เพราะศิษย์มักอยากจะได้เงินของคนอื่นมาเป็นของเราแล้ว เรียกว่า ความสุข ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากมีเงินแล้วอย่าอยากได้ของใครมาเป็นของเรา แต่จงคิดว่าทุกครั้งที่เราทำอะไรเพราะแลกเปลี่ยนสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเขา ไม่ว่าค้าขาย ไม่ว่าทำงาน จงแปรบาปให้เป็นบุญ แปรกิเลสให้เป็นกุศล ได้หรือไม่ (ได้)  ยากหรือไม่ (ไม่ยาก)
ส่วนใหญ่มนุษย์เรามีทุกข์นะ ทุกข์อะไรบ้าง (ความเจ็บไข้ไม่สบาย)  ทุกข์จากการเจ็บไข้ไม่สบาย เป็นความเป็นจริงที่เป็นทุกข์ แล้วแต่มันเป็นธรรมดาหรือไม่ ฉะนั้นเวลาเราเจ็บป่วยมาเป็นธรรมดาหรือทุกข์ (ธรรมดา)  ศิษย์มักจะเป็นทุกข์จากความเจ็บป่วย เรามีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา ฉะนั้นเมื่อเวลาความเจ็บป่วยมาเราควรทุกข์หรือมองมันเป็นธรรมดา (ธรรมดา)  รู้อยู่แก่ใจว่าคนเราเกิดมาไม่มีใครไม่แก่ ไม่มีใครไม่เจ็บ ไม่มีใครไม่ตาย ฉะนั้นเวลาเราเจ็บเราทุกข์ไหม (ทุกข์)  ถ้าอย่างนั้นศิษย์จำที่อาจารย์พูดได้หรือไม่ เมื่อใดที่ศิษย์ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีที่จะไม่ทุกข์ ไม่มีที่จะไม่ให้โทษ ไม่มีในโลกนี้ใช่ไหม (ใช่)  ยึดเมื่อไรต้องทุกข์เมื่อนั้น แต่ถ้าเรามองเห็นความเป็นจริงว่า การเจ็บมันทำให้เรา (ทุกข์)  ศิษย์เอ๋ย อาจารย์บอกว่าให้พิจารณาจนเห็นธรรม ไม่เที่ยง เห็นทุกข์ถึงที่สุด ว่างเปล่าจากตัวตน ทำไมก้าวไม่ข้าม แล้วจะจมกับความทุกข์ ความเจ็บ จมกับความปวด โง่ไม่โง่ (โง่)
อาจารย์ถามหน่อย เกิดมาไม่เจ็บเลย อยู่ยันค้ำฟ้า ทรมานไหม (ทรมาน)  เจ็บหน่อยก็ดีนะ เขาตายกันหมด เหลือศิษย์อยู่คนเดียวเอาไหม (ไม่เอา)  ศิษย์ชอบบ่นว่าเงินก็ไม่มี ตาก็มองไม่เห็น หูก็ตึง อะไรก็ ยา ยา ยา ยา วันหนึ่งศิษย์จะบอกว่าอาจารย์เจ็บเถอะ ตายเถอะ ฉะนั้นความเป็นจริงแห่งธรรม สอนเพื่อให้เราปลดปลง ไม่ยึดมั่น สอนให้เรามีปัญญา และก้าวข้ามความทุกข์ แล้วนำพาให้ตนเองพ้นทุกข์ ไม่ใช่ทำให้เราซ้ำเติมกับความทุกข์ ถูกไหม (ถูก)  เรามีกรรมแค่สังขาร แต่เราไม่มีกรรมที่ใจ สังขารเราหนีไม่พ้นกรรมที่มันเป็นไปตามธรรมดาหรือธรรมชาติ ศิษย์เกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่หัวใจเราสู้ไหว “สู้โว้ย” แต่หลายคนพอเจ็บป่วย รู้ว่าตัวเองจะตายแล้วเป็นอย่างไร จะตายแล้วอาจารย์ ไม่ไหวแล้ว มันยังไม่ตายเลยแต่ใจตายก่อนแล้ว ตายเพราะอะไร ตายเพราะความคิดที่ไม่ยอมรับความทุกข์ ต้องยอมรับว่ามันเป็นแค่ทุกข์ของกาย ไม่ใช่ทุกข์ของใจ มันเป็นธรรมดาของโลก ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ถามจริงๆ เวลาศิษย์โดนด่า ทำใจได้ไหม (ได้)  อาจารย์ไม่เคยเห็นใครทำได้จริงๆ โดนด่าทีไรใจมันก็คิดอยู่นั่นแหละ จมอยู่กับความคิดว่า ทำไมต้องด่าศิษย์ ดีกว่าศิษย์นักหนาหรือฉะนั้นศิษย์เอ๋ย ลองให้เห็นชัดในสิ่งที่เขาด่า เราเอาแต่ความคิดเราเป็นหลัก เราชอบมองอะไรตามเหตุผล มนุษย์ชอบมีเหตุผล แล้วเหตุผลนั้นก็ต้องยืนอยู่บนความคิดของตัวเองที่ตัวเองคิดว่าถูกต้อง เมื่อใดที่เหตุผลนั้นไม่ถูกต้องตรงกับความคิดของตัวเองมันไม่ใช่ ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย มีใครไม่โดนด่าในโลก (ไม่มี)  แล้วเวลาเราโดนด่าทำไมเราทำใจไม่ได้ เพราะเรามักจะมองตัวเองเป็นหลัก แล้วก็ชอบบอกว่ามันไม่มีเหตุผล เขาด่าไม่มีเหตุผล โลกแห่งเหตุผล อะไรคือที่สิ้นสุดของความจริง เหตุผลคือที่สิ้นสุดของความจริงไหม (ไม่)  ศิษย์ตัดสินว่าเขาถูก ศิษย์ตัดสินว่าเขาผิด ถึงที่สุดเขาผิดจริงไหม เขาถูกจริงไหม ฉะนั้นเหตุผลคือที่สุดของความจริงไหม (ไม่)  อย่างนั้นความคิดของเราคือที่สุดของความจริงใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วอะไรคือที่สุดของความจริง มันไม่มีอะไรแน่แท้ เผลอยึดเมื่อใดก็ทุกข์เมื่อนั้น เผลอยึดเมื่อใดก็สร้างวิบากกรรมให้เราต้องไปตามแก้เมื่อนั้น ใช่ไหม (ใช่)  พอโดนเขาด่าก็ต้องหาวิบากกรรม ทำอย่างไรให้ฉันสบายใจดี ทำอย่างไรให้ฉันมีความสุขดี ไปไกลๆ มันดีกว่า ไม่ชอบขี้หน้า ด่ามันเลย นี้คือการสร้างวิบากกรรมต่อ ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าเรามองความเป็นจริง เราเข้าใจเราปลดปลง เราวางได้มันจบไหม (จบ)  สงบไหม (สงบ)  วางไหม(วาง)  หยุดไหม (หยุด) 
ฉะนั้นถ้าเรามีสติพิจารณาธรรมอยู่เนืองๆ มีหรือจะไม่เข้าใจความเป็นจริงของโลก มีหรือจะปลดเปลื้องทุกข์ในใจไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  แต่กลัวอย่างเดียวคือคิดไม่ทัน อารมณ์มันไปก่อน ใช่ไหม (ใช่)  นั่นล่ะที่อาจารย์กังวลแล้วเป็นห่วงที่สุด ฟังอาจารย์แบบนี้ง่ายไหม (ง่าย)  แล้วจำได้ไหม (ได้)  ใจศิษย์มักจะบอกว่ามันยากนะ อาจารย์ไม่ใช่ให้ศิษย์ไม่รู้สึกไม่รู้สา แต่บางครั้งความรู้สึกมันก็ยังไม่เที่ยง จริงไหม (จริง)  วันนี้รู้สึกดี พรุ่งนี้ก็ไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)  ฟังอาจารย์มาเรื่อยๆ ใครสามารถตอบคำถามอาจารย์ได้อย่างหนึ่งว่า ปัญหาทุกปัญหาควรแก้ที่เขาหรือแก้ที่เรา (แก้ที่เรา)  เขาเป็นปัญหาหรือเราเป็นปัญหา (เรา)  ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ยกตัวอย่าง เหล้าบุหรี่ ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  ทำไมไม่ดี (ทำให้เสียสติ)  อาจารย์ถามฝ่ายชายผู้หญิงดีหรือไม่ดี (ดี)  อาจารย์ถามฝ่ายหญิงผู้ชายดีหรือไม่ดี (ดี)  ศิษย์เอ๋ยถ้าอยากอยู่ในโลกนี้อย่างไม่ทุกข์ อะไรๆ ศิษย์ก็มั่นใจไม่ได้หรอกนะ ว่ามันดีหรือไม่ดี มองเขาว่าดีถึงเวลาเขาไม่ดีก็รับไม่ได้ มองเขาไม่ดีถึงเวลาเขาดีก็ใจหาย มันดีได้ขนาดนั้นเลยหรือ ฉะนั้นดีไม่ดีไม่สามารถสรุปได้ จะสรุปได้ก็ต่อเมื่อถามใจศิษย์เอง ถ้าศิษย์เข้าใจศิษย์จะรู้ว่าเหล้า บุหรี่ ผู้หญิง ผู้ชาย ดีไม่ดีไม่มีทางรู้ จนกว่าสิ่งนั้นมันจะมากระทบใจ  ถ้ามันมากระทบใจ ใจศิษย์ไม่มีเหล้า ไม่มีบุหรี่ มันจะทำร้ายศิษย์ได้ไหม (ไม่ได้)  ศิษย์จะเปรี้ยวปากไหม (ไม่)  ศิษย์เปรี้ยวปากเพราะมันมีเหล้า มีบุหรี่ ใช่ไหมแต่คนที่ไม่กินเหล้าหรือสูบบุหรี่ มันจะทำร้ายเราได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าศิษย์ไม่มีผู้ชายอยู่ในใจ เขาจะมาทำร้ายศิษย์ได้ไหม ฉะนั้นถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใด สิ่งใดจะทำให้เราทุกข์ใจล่ะศิษย์ ใช่ไหม วันนี้เปลี่ยนจากฟังธรรมอาจารย์มากๆ แล้ว ลองมาพูดให้อาจารย์ฟังได้ไหม (ได้)  แล้วเราจะปฏิบัติอย่างไรล่ะ ที่จะทำให้เราเรียกว่าฝึกฝนแล้วเข้าสู่สภาวธรรม ไม่ทำให้เราประพฤติผิด ประพฤติชั่ว
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนแต่ละแถวร่วมกันแต่งประโยคธรรม)
(เมตตาธรรมค้ำจุนโลก, ทำใจให้เป็นกลาง, สติมาปัญญาเกิด, แต่ก่อนไม่รู้มุ่งสู่ธรรมะ, เรียนรู้ไร้ตัวตน)  ศิษย์เอ๋ย ภาวะไร้ตัวตนก็มีอยู่แล้ว แต่เราลืมเลือนมันไปแค่นั้นเอง ความไร้ตัวตนมันมีอยู่เดิมแล้ว เหมือนธรรมมีอยู่เดิมแล้ว แต่เราไม่เคยพิจารณาจนเข้าถึงธรรม เราเอาแต่มองออก แต่เราไม่เคยย้อนมองเข้า ในความเป็นจริง เรามองแต่หา จนลืมไปว่าบางครั้ง การหยุดหาก็คือความสุข การรู้พอ ก็คือความสุข การสงบเย็นก็คือความสุข สงบเย็นแปลว่าจบทุกเรื่องราว ถ้าไม่ยอมจบมันก็ไม่มีความสงบ (พูดดี ทำดี มีเมตตากรุณาปรานี)  ทำให้ได้อย่างนั้น พูดให้ดีเข้าไว้ นึกถึงความเมตตาเข้าไว้ ให้เรามีเมตตาอยู่ตลอด เราจะไม่พูดร้าย ถ้าเรามีใจปรานีตลอด เราจะไม่ทำร้ายใคร (สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ)  เคยเห็นสวรรค์นรกทันทีไหม เคยเจอทันทีไหม (เจอประจำ)  สวรรค์ในอก นรกในใจ (ก้าวข้ามความทุกข์ใจ ทุกข์ที่เกิดขึ้นในตัวเราเอง ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ที่ว่าเกิดขึ้นเองหรือว่าเกิดจากตัวเราหรือความทุกข์ที่จากธรรมชาติเกิดขึ้นต้องก้าวผ่านไปให้ได้)  ถ้ามันเป็นกรรมก็แค่ยอมรับความจริง (ไม่ว่าอะไรก็ไม่เที่ยงกับตัวเรา)  คิดให้ได้อย่างนั้นตลอด (ธรรมะคือธรรมชาติ)  ธรรมะคือธรรมชาติแห่งความจริงที่เราหนีไม่พ้น แต่ถ้าเราเข้าใจเราจะประจักษ์แจ้งตัวตนที่แท้จริงว่าบริสุทธิ์และว่างเปล่า ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์ต้องหมั่นพิจารณาธรรมบ่อยๆ เราจะได้ใช้ธรรมมากกว่าใช้อารมณ์ เพราะทุกครั้งที่เวลาเรามอง ทุกครั้งที่เวลาเราคิด เรามักจะปล่อยไปตามอารมณ์มากกว่ามีธรรม ใช่หรือไม่ (อภัยให้กันเป็นสุขไม่ทุกข์เพราะใจปล่อยวาง)  รู้จักให้อภัยกันเข้าใจกันมันก็เป็นสุขได้ แต่คนปัจจุบันนี้มักจะพยายามเอาใจตัวเองเป็นหลักไม่ยอมเข้าใจกัน (ความจริงเป็นสิ่งไม่เที่ยง)  ความจริงเป็นสิ่งไม่เที่ยง ความเที่ยง เป็นสิ่งไม่จริง ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ (นิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว)  คิดได้ดีนะ ถึงเวลา นิ่งสงบได้จริงหรือเปล่า ถ้าเจอเรื่องราวอะไรใช้สติ สติจะทำให้เรารู้จักนิ่ง แต่มนุษย์ไม่ใช่ เวลาเจอเรื่องอะไรกระทบมาก็กระแทกกระเทือน แล้วต่อด้วยทำร้ายเลย ฉะนั้นไม่ว่าเจออะไร ขอให้นิ่งไว้ก่อน นิ่งแล้วใช้สติแล้วอย่าใช้ความคิด เพราะความคิดมันง่ายที่จะฟุ้งซ่านเข้าข้างตัวเอง แต่สติจะทำให้เราเข้าสู่ความเป็นกลางแล้วระลึกรู้ว่ากำลังเป็นอะไรอยู่ จำคำอาจารย์ให้ได้นะ ใช้สติให้มากกว่าความคิด และอารมณ์  คิดได้ดีทำให้ได้ด้วยนะ
(ความไม่เที่ยงเป็นสัจธรรม)  ศิษย์เอ๋ยรู้ไหม ทำไมอาจารย์ให้ศิษย์แต่งประโยคเป็นธรรมะ เพราะมนุษย์ไม่ค่อยคิดอะไรเป็นธรรม มักคิดอะไรตามกิเลส ตามอารมณ์ ฉะนั้นเวลามีเรื่องอะไรกระทบมันก็เลยไปตามกิเลส อารมณ์ มากกว่าความเป็นจริงแห่งธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  (กำหนดจิตใจให้ว่าง วางให้ลง ปลงให้ตก)  จิตใจนั้นว่างอยู่แล้ว แต่เพราะความหลงทำให้เราไปเผลอยึดมั่นถือมั่นเลยปลงไม่ตกคิดไม่ได้ อาจารย์ให้แอปเปิล เพราะอยากให้ศิษย์เอาไปสร้างบุญต่อ ไม่ใช่เอาแอปเปิลไปเก็บไว้กับตัว คิดถึงแต่ตัว มันก็เห็นแก่ตัวง่าย ลองเอาแอปเปิลไปผูกบุญสร้างบุญต่อ (ควรละอายต่อการทำบาป)  ปรบมือหน่อยนะ สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราละอายต่อความบาปได้คือมโนธรรมสำนึกที่ดีงาม ถ้ามนุษย์ทิ้งมโนธรรมสำนึกก็ไม่มีอะไรที่น่ากลัวที่สุดแล้ว เพราะว่าบาปทุกอย่างเขาก็ทำได้หมด ใช่หรือเปล่า (สติเป็นรากเหง้าของกุศลธรรมทั้งมวล)  ใช้ได้นี่ ใครเป็นคนคิดประโยคนี้ สติเป็นรากเหง้าของกุศลธรรมทั้งมวล สติคือธรรมชนิดหนึ่ง ถ้าไม่มีสติ คุณธรรมต่างๆ ก็ไม่บังเกิด ตอบได้ดีนะ (ทานเจเพื่อละกรรมบาป,ผู้หญิงสวยด้วยคุณธรรม)  จริงหรือศิษย์เอ๋ย คนจะงามงามที่ใจใช่ใบหน้า คนจะสวยสวยที่วาจาใช่ตาหวาน แปลว่าความดีงามที่แท้จริงต้องออกมาจากใจ ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอก ศิษย์ใจเย็นๆ ศิษย์ไม่ต้องแย่งกันตอบนะ การรู้จักยอมก็เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง ยอมให้เขาแล้วเราทีหลัง ก็เป็นธรรมะ ได้ตอบทุกคนนะ (ตั้งสติ ซื่อสัตย์ ยึดมั่นในคุณธรรมความดี, ตั้งมั่นในความดีงาม, มีคุณธรรม)  คิดดีทำแต่สิ่งที่ดี แต่ถ้าไม่ละชั่วมันไม่ดีนะ (อย่าโลภ, รู้จักพอ)(อดทนอดกลั้นเนืองเนืองอยู่เป็นนิจ, ตั้งสติให้มั่นละโลภโกรธหลง, ทำดีได้ดี, คิดดีพูดดี)  ศิษย์มาศึกษาธรรมตอนอายุมากทันไหมหนอ ตาก็ไม่ชัด หูก็ไม่ได้ยิน ฟังก็ไม่รู้เรื่อง ฉะนั้นตอนนี้หูยังได้ยิน ตายังมองเห็น รีบมาเรียนรู้ธรรม ก็ดีกว่าตอนที่อายุมากแล้ว หูก็ไม่ได้ยิน ตาก็มองไม่เห็น ฟังก็ไม่รู้เรื่องด้วย (รู้เรื่อง ว่าอาจารย์พูดดี ให้คิดดี, ละบาปบำเพ็ญบุญ, สร้างกุศลดีด้วยใจบริสุทธิ์, ความดีและความชั่วอยู่ที่ตัวเรา)  อยู่ที่ตัวเราคิดอย่างไร (ละบาปบำเพ็ญบุญเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน)  เป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ ยินดีที่จะให้(จิตใจบริสุทธิ์หนึ่งเดียว)  จิตใจบริสุทธิ์เป็นหนึ่งเดียวกันใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางครั้งความอยากก็กางกั้นทำให้เรามองไม่เห็นความบริสุทธิ์ในใจใช่ไหม (ใช่)  จริงๆ อาจารย์สามารถให้แอปเปิลศิษย์ได้เลย แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์ได้รู้จักช่วยตัวเอง อย่าเอาแต่ร้องวอนขอโดยที่ตัวเองไม่ทำอะไรเลย มนุษย์เราเกิดมาชอบเอาแต่วอนขอ โดยที่ตัวเองไม่ทำอะไรเลยถูกไหม (ไม่ถูก)  เราต้องทำเต็มที่ก่อน ส่วนผลลัพธ์จะได้หรือไม่ได้แล้วแต่ฟ้าดิน ฉะนั้นถ้าทำแล้ว เต็มที่แล้ว ได้บ้างไม่ได้บ้างก็ไม่ทุกข์ใจเพราะเป็นเรื่องธรรมดา ขอแค่เพียงศิษย์ทำให้ดี ทำให้ถึงที่สุด เพราะหากทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องแล้ว จะหวังผลดีเป็นไปไม่ได้หรอก ถูกหรือเปล่า (ถูก)
ศิษย์เอ๋ยอาจารย์บอกอย่างหนึ่งว่า ความเป็นจริงแห่งธรรมในตัวตนนั้นเป็นสภาวะที่ไร้รูปนาม เป็นสภาวะที่ไม่มีรูปที่แท้จริง แต่มนุษย์ชอบยึดมั่นถือมั่นว่าตัวเองเป็นแบบนั้น เป็นแบบนี้ แล้วก็ตีกรอบความเป็นตัวเองให้คับแคบ เมื่อคับแคบเวลาเจออะไรก็เป็นง่ายที่จะถูกกระทบ แต่สภาวธรรมสอนให้เรามองให้ถึงความเป็นจริงว่า ตัวตนที่แท้จริงนั้นว่างเปล่าจากรูปนาม ว่างเปล่าจากการยึดถือ ว่างเปล่าจากตัวตนที่ต้องการเจ้าของ เพราะสิ่งนั้นเป็นธรรมชาติเดิมแท้ที่ไม่ได้ต้องการอะไร  แต่มนุษย์มักจะไปไม่ถึง เพราะมนุษย์มักติดอยู่แต่ความรู้สึก ความมีตัวมีตน เมื่อมีตัวมีตนก็หนีไม่พ้นความทุกข์ ความเจ็บปวด
ฉะนั้นเราเกิดมาเพื่อแค่ทุกข์หรือเราเกิดเพื่อเรียนรู้ เข้าใจแล้วพ้นทุกข์ (เรียนรู้เข้าใจแล้วพ้นทุกข์)  แต่จะมีสักกี่คนในที่นี้ ปฏิบัติได้อย่างที่อาจารย์พูด เพราะสิ่งที่อาจารย์พูดไม่สามารถสำเร็จได้ ถ้าศิษย์ไม่ลงมือปฏิบัติและเห็นแจ้งจริงด้วยตัวเอง อาจารย์เป็นแค่คนชี้ ถ้าศิษย์มัวแต่สนใจมือที่ชี้ แล้วไม่ยอมมองไปถึงที่สุด ศิษย์ก็จะมองไม่เห็นความจริง ทำไมศิษย์ไม่มุ่งตรงไปสู่ธรรม ธรรมที่นำพาให้เราพ้นทุกข์  ศิษย์รู้หรือไม่ว่าเวลาจะหมดไปเมื่อไร (ไม่รู้)  แล้วทำไมวันนี้ไม่ทำให้ถึงที่สุด ทำไมต้องรอผัดวันประกันพรุ่ง  ทำไมไม่ศรัทธาในตัวเอง ในเมื่อศรัทธาคนอื่นเป็น เชื่อมั่นคนอื่นได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ในนี้ไม่มีเลยคือ ไม่เคยเชื่อมั่นและศรัทธาในความดี ความบริสุทธิ์ของตัวเองเลยช่างน่าเสียดาย เอาแต่หวังพึ่งอาจารย์ พึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พึ่งคนโน้นพึ่งคนนี้  พึ่งคนอื่นมีวันเปลี่ยนแปลงนะศิษย์ แต่พึ่งความจริงแห่งธรรมที่สอนให้พ้นทุกข์ไม่มีเปลี่ยนแปลง ร่างกายมีวันเน่าสลาย แต่การเข้าถึงความจริงทำให้เราสิ้นทุกข์และหลุดพ้นการเวียนว่ายไยจึงไม่สนใจ ช่างน่าเสียดายนัก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าศิษย์เข้าถึงความจริง ศิษย์จะรู้ว่าสภาวธรรมของความเป็นตัวตน เป็นสภาวะที่หาค่าประมาณมิได้ เก่งถึงที่สุด แจ้งธรรมได้ถึงที่สุด แต่เพียงเพราะคิดคำว่า ทำไม่เป็น ทำไม่ได้ ไม่ใช่ เราเลยไปไม่ถึงธรรมสักที ใช่ไหม ฉะนั้นอาจารย์มาเพื่อให้ศิษย์กลับคืนสู่สภาวธรรมในตัวตน อาจารย์มาเพื่อต้องการให้ศิษย์ประจักษ์แจ้งว่าศิษย์มีธรรมที่บริสุทธิ์ และมีค่ายิ่งกว่ากิเลสอารมณ์ที่ศิษย์หลงยึดถือ แล้วก่อเกิดเป็นวิบากกรรมและวัฏฏะเวียนว่ายอีกนะ นั่นคือธรรมที่บริสุทธิ์ หัวใจที่ดีงาม หัวใจที่มองเห็นความเป็นจริง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่สำคัญ สำคัญคือใจปกติหรือไม่ปกติ ใจบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ ใครเป็นอะไรก็ไม่สำคัญ สำคัญที่ตัวเราวางตนได้อย่างเป็นกลางไหม เข้าถึงความจริงไหม ถ้าเข้าถึงความจริงวางได้ โลกนี้ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวแล้ว จริงไหม ลองพิจารณาดูนะ ว่าสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้มันหลอกเราจริงไหม หรือสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้มันทำแล้วศิษย์เห็นแจ้งจริงไหม ลองไตร่ตรองดู ลองพิจารณาดูนะ เป็นคนมีโอกาสมาก แต่กลับไม่ยอมทำมันน่าเสียดายนะ ฉะนั้นพิจารณาให้ดี ธรรมที่อาจารย์ให้ในวันนี้พิจารณาแล้วมันทำให้ศิษย์ถึงธรรมจริงไหม อาจารย์จริงไม่จริงไม่รู้อยู่ที่ตัวศิษย์เองแหละ เพราะเหตุผลว่ากันไปถึงที่สุดมันก็หาความจริงแท้ไม่ได้ มีแต่ความจริงที่เรียกว่าธรรมเท่านั้นคือจริงแท้แน่นอน พิจารณาให้ดีนะ เผื่อมีโอกาสจะได้กลับมาผูกบุญกันอีกดีหรือไม่ (ดี)  ผูกบุญกับพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผูกบุญกับพุทธะที่เป็นพุทธะด้วยกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นเขาเป็นพุทธะ เราก็คือพุทธะ เห็นเขาเป็นปีศาจพญามาร ใจเราก็มีปีศาจพญามาร เห็นเขาจริง เราก็จริงแท้แน่นอน แต่เห็นเขาหลอกลวง เราก็คือคนที่หลอกลวงคนอื่นนั่นแหละ ใช่ไหม (ใช่)  ไตร่ตรองให้ดีนะ ว่าวันนี้อาจารย์มาจริงหรือไม่จริง

วันจันทร์ที่ ๑๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๐       สถานธรรมจื้อเจวี๋ย  จังหวัดสงขลา
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา

  ชีวิตต้องกว้างทางไกล                 เข้าใจก็ไม่เป็นทุกข์
ทุกครั้งที่ล้มแล้วลุก                     ปัญหามาปลุกจิตใจ
ทองแท้ไม่กลัวไฟหลอม                 ไม่พร้อมสู้ไฟไม่ไหว
ทนได้ไม่สู้รู้ไฟ                           แจ้งใจไฟไม่ร้อนเลย
                   เราคือ
  ศิษย์พี่นาจา               รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสุ่พุทธสถาน  แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา                  ถามศิษย์น้องทุกคน มาร่วมกันเต้นเป็ดดีไหม

    ความคิดคนไม่อาจลุล่วง แต่จะท้วงว่าลบหรือไม่ เรื่องความคิดขัดหัวใจมิได้ เลยคิดไปตามใจชอบ ทั้งคิดนานสั้นยาวและปลง ไม่จบลงที่ความคิดหรอก เครียดไปทุกข์ไป จิตใจจะแสนช้ำชอก ความคิดหลอกตัวเอง
    ความคิดคน ไม่ขาดทิ้งช่วง กลับหลอกลวง ซึ่งคนคิดเอง กวาดจิตเข้าเจ้าโกยทิ้งไปหลายเข่ง การคิดจึงไม่ใช่ ความคิดคนอาจถูกรบกวน อาจไปสวนกับความคิดใคร ห้ามใจไม่ฟุ้งซ่านแล้วสบายใจหรือไม่ อะไรก็ดีทั้งหมด
                                                                       ชื่อเพลง : อย่าคิดมาก
ทำนองเพลง : เธอรักใคร

พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
โดยส่วนใหญ่เราอยู่ในโลกนี้เราอยู่กันด้วยความกลัว กลัวอะไร (กลัวไม่มีกิน)  ถ้ากลัวไม่มีกินก็ถามตัวเองว่าขยันขึ้นหรือยัง ถ้าขี้เกียจก็อดตาย มนุษย์อยู่กันด้วยความกลัว กลัวตายไหม (กลัว, ไม่กลัว)  โดยส่วนใหญ่มนุษย์อยู่ด้วยความกลัว กลัวโน่น กลัวนี่ กลัวทุกข์ กลัวพลัดพราก กลัวสูญเสียสิ่งที่รัก กลัวโดนคนหลอก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ก่อนจะกลัวคนอื่น กลัวตัวเองก่อนดีไหม (ดี)  ทำไมถึงบอกว่าให้กลัวตัวเอง ท่านเคยได้ยินไหมว่า ภัยภายนอก ไม่สู้ภัยภายใน คนอื่นหาภัยมาให้ ไม่สู้เรา (เป็นภัยเอง)  ฉะนั้นภัยภายนอกยังแก้ได้ แต่ไม่น่ากลัวเท่ากับภัยภายในที่แก้ไม่ได้ ฉะนั้นถ้าเรากลัวคนภายนอก จริงๆ เราน่าจะกลัวใจตัวเองก่อนจริงไหม (จริง)  เพราะใจเราเป็นต้นเหตุของภัยพิบัติทั้งมวล ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วจริงหรือที่เราเป็นต้นเหตุของภัย เราถามง่ายๆ เวลาอารมณ์ดี ใครด่าเราก็ (ดี)  แต่ถ้าเวลาเราอารมณ์ไม่ดี  ใครชมเราก็ว่าเขาเสแสร้งหลอกลวง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้น  ภัยภายนอก  ไม่น่ากลัวเท่ากับภัยภายในใจที่ไม่รู้จักควบคุมตน    ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นก่อนที่ว่าคนอื่นหาภัยให้เรา คนอื่นทำร้ายเรา พรุ่งนี้เราจะโชคดีโชคร้ายไหม ถามตัวท่านก่อน ทำดีที่สุดหรือยัง กลัวว่าจะตายวันตายพรุ่ง กลัวว่าจะอายุสั้น กลัวจะแก่ กลัวจะเจ็บ กลัวจะตาย  ในทางกลับกัน ถ้าเราทำทุกอย่าง รับผิดชอบหน้าที่ เต็มที่ที่สุด ซื่อตรงที่สุด จริงใจที่สุด มีน้ำใจที่สุด เป็นคนดีที่สุด ชีวิตจะสั้นจะยาว น่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  แต่คนที่กลัวตายแปลว่ายังทำอะไรไม่ถึงที่สุด ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นก่อนที่จะว่าคนอื่นทำร้ายเรา เราถามตัวเราเองก่อน เราเป็นต้นเหตุที่หาภัยมาใส่ตัวหรือไม่ เหมือนถามท่านว่า คนโน้นไม่มีน้ำใจ คนนี้ใจดำ คนโน้นปากเสีย เราชอบว่าคนอื่นเต็มไปหมดเลย แต่ถามตัวเอง เราปากเสียไหม เราใจดำหรือเปล่า เราชื่อตรงไหม ว่าเขาก็เหมือนว่าเรา จริงไหม (จริง)  แล้วเคยได้ยินไหมว่า คนที่อยู่ร่วมกับเรา ไม่มากก็น้อยก็ต้องมีนิสัยไม่ต่างจากเรา จึงได้อยู่ใกล้กัน  ฉะนั้นเธอว่าสามีเป็นยังไง ก็แปลว่าเธอก็ต้องชอบนิสัยอย่างนั้นของสามี เธอว่าลูกไม่ดีอย่างไร ก็แปลว่าลูกต้องมีนิสัยอะไรเหมือนแม่เหมือนพ่อ เธอคบเพื่อนอย่างไร เพื่อนไม่ดีแบบไหนแล้วทำร้ายเรา ก็แปลว่ามีนิสัยเหมือนเราใช่ไหม (ใช่)  มีใช่ไหม เพราะว่าอะไร คนเราถ้าไม่เป็นแบบไหนก็ไม่ได้เพื่อนแบบนั้นใช่ไหม (ใช่)  ถ้าใจเราไม่ชอบอะไร เราก็จะไม่ได้แฟนแบบนั้นใช่ไหม ด่าเขามากๆ ลองถามซิว่าตัวเองดีไหม (ดี)  ฉะนั้นถ้าเราเรียกร้องให้ทุกคนทำดีกับเราถามหน่อยเราดีหรือยัง ก่อนจะกลัวและเอาแต่ขอให้พระคุ้มครอง ร่มเย็น ครอบครัวเป็นสุข ถ้าพระพูดได้ พระก็จะบอกว่าขอตัวเองก่อนเถอะ จริงไหม (จริง)  ตัวเองทำตัวให้น่าร่มเย็นไหม อ้าปากทีก็มีแต่ว่าคนอื่น ตัวเองทำให้บ้านสงบไหม ไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นก่อนจะพูดเรื่องศึกษาบำเพ็ญธรรม ถ้าความเป็นคน ท่านยังทำไม่ดี อย่าพูดเลยเรื่องบำเพ็ญ ถูกไหม (ถูก)  ก่อนจะเรียกให้คนอื่นได้ดี ถามตัวเองก่อน ดีหรือยัง ถ้าตัวเองยังไม่ดีอย่าไปชี้หน้าว่าคนอื่นไม่ดี เพราะตัวเองยังไม่ดีพอ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นก่อนจะกลัวว่าชีวิตจะสั้นยาว น่ากลัวไหม ไม่ต้องกลัว ถ้าทำดีที่สุดแล้ว เต็มที่ที่สุดแล้ว ซื่อตรงที่สุดแล้ว จริงใจที่สุดแล้ว เป็นคนมีน้ำใจมากที่สุดแล้ว กลัวอะไรกับการจะตายวันตายพรุ่ง เพราะตอนนี้เต็มที่แล้ว
(ศิษย์พี่พระนาจาเมตตากับนักเรียนตำรวจ)
ถ้าท่านทำหน้าที่ได้สมกับเป็นลูกผู้ชาย เป็นคนของแผ่นดิน ตายก็ไม่เสียดายชีวิต แต่กลัวว่าทำหน้าที่เต็มที่หรือยัง รับผิดชอบหรือเปล่า หรือไม่ใช่ถึงเวลาทำงานก็ไม่เต็มที่ ฉะนั้นไม่ต้องวอนขอใคร ไม่ต้องกลัวอะไร วอนขอตัวเอง กลัวใจตัวเองดีกว่าไหม อยากเป็นคนดี ถามหน่อยซื่อตรงหรือยัง ชีวิตนี้ถ้าไม่ซื่อตรงท่านจะปฏิบัติบำเพ็ญธรรมก็ทำไม่ได้นะ ใช่ไหม (ใช่)  ซื่อตรงหรือยัง (ซื่อแล้ว)  รู้สึกว่าหน้าซื่อแต่ใจมันคดนะ ซื่อตรงหรือยัง จริงใจหรือยัง ที่ไม่พูดนี่แปลว่าไม่ค่อยจริงใจใช่ไหม รับผิดชอบต่อหน้าที่ได้ดีที่สุดหรือยัง อู้งานได้เป็นอู้ เอาเปรียบได้เป็นเอาเปรียบ กินแรงได้เป็นกินแรง เหนื่อยมากๆ ก็ว่าคนที่ไม่ช่วย ใช่หรือไม่ อย่างนี้จะเรียกว่าดีที่แท้จริงได้อย่างไร หนึ่งชีวิตนะ ศีลไม่ขาด คุณธรรมความเป็นคนไม่พร่อง เกิดมาแล้วก็เรียกว่ามนุษย์ประเสริฐที่สุดแล้ว แต่ถ้าเกิดมาเป็นคน ศีลก็ยังไม่ครบ คุณธรรมความเป็นคนยังไม่มี อย่าเพิ่งตายนะ เพราะตายไปก็เสียดายชีวิตที่ได้เกิดมาเป็นคน ซื่อตรง จริงใจ รับผิดชอบใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือคุณธรรมพื้นฐานของความเป็นคน ถ้าเกิดเป็นคน ท่านยังไม่ซื่อตรงจะไปหาความเที่ยงตรงจากไหนบนโลกนี้ได้ ดีนะที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ถ้าศิษย์เกิดเป็นเป็ดตัวผู้ศิษย์น้องถูกฆ่าหมด เพื่อเอาไปปั่นเป็นอาหารสัตว์ ถ้าเป็นเป็ดตัวเมียจะเก็บไว้ออกไข่
(ศิษย์พี่พระนาจาเมตตาให้อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมฝ่ายชายนำเต้นเป็ด ส่วนนักเรียนที่มาสายร่วมเต้นตาม)
การทำให้คนอื่นมีความสุขเป็นสิ่งที่ดีนะ การทำให้คนอื่นเบิกบานใจก็เป็นสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าทำให้คนอื่นมีความสุขทำไมต้องละอาย แต่ทำให้คนอื่นทุกข์ ทำให้คนอื่นแย่นั้นควรละอาย จริงหรือไม่ (จริง)  การไม่รู้จักผูกมิตร ไม่รู้จักให้เกียรติ ไม่รู้จักช่วยเหลือ เรียกว่าคนดีไหม (ไม่ดี)  เราดีเฉพาะคนได้ไหม (ไม่ได้)  ความดียิ่งทำยิ่งอิ่มใจ แต่ความชั่วยิ่งทำยิ่งกัดกร่อนใจ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วมนุษย์มีทางเลือกที่จะทำดีหรือไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเรานั้นเป็นคนดี ที่รู้จักทำบุญสุนทาน แต่ไม่รู้จักผูกมิตรให้เกียรติ ทำความสุขให้กับผู้คน จะเรียกว่าคนดีที่แท้จริงหรือ เวลาเขามีน้ำใจ เราก็ไปแค่ช่วยเหลือ แต่ถึงเวลาอยู่ปกติเราแล้งน้ำใจเราไม่ช่วยเหลือ อย่างนี้เรียกว่าคนดีไหม เราดีเฉพาะคนบางกลุ่ม อีกกลุ่มหนึ่งเราไม่ดี เรียกว่าดีแท้ไหม (ไม่แท้)  อยากไปอยู่ที่ไหนใครก็รัก ใครก็เคารพให้เกียรติและเป็นที่รักของทุกคน มันต้องเริ่มที่ตัวเรา จริงไหม (จริง)  กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้องออกมา ไยต้องหวั่นเกรง ไยต้องละอาย ถ้าทำแล้วทำให้คนมีสุข ทำไมไม่รีบทำ ความดีทำง่ายๆ ทำบ่อยๆ ยิ่งทำยิ่งอิ่มใจยิ่งสุขใจ แต่ความชั่วไม่ควรทำเลยสักนิด เพราะทำแล้วมันก็กัดกินใจ แล้วมันก็สะท้อนสะเทือนใจว่าฉันยังทำผิดอยู่นะ ยังโกหก ยังไม่จริงใจ แล้วในเมื่อมนุษย์มีทางเลือก ทำไมดีไม่เลือกแต่เลือกทำไม่ดี จริงไหม (จริง)  อย่ากลัวภัยพิบัติเลย ควรกลัวใจตัวเองดีกว่า สิ่งที่ไม่ควรทำ กลับดื้อรั้นที่จะทำ ที่ควรทำกลับไม่ทำ นั่นแหละเรียกภัยพิบัติมาสู่เรา ไม่ต้องไปเรียกร้องใคร เรียกร้องตัวเอง ไม่ต้องไปกลัวอะไร ถามตัวเองก่อน เพราะต้นเหตุของเรื่องราวทุกอย่างในโลกใบนี้ ล้วนเริ่มต้นที่เราเป็นสาเหตุ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาง่ายๆ ถ้าศิษย์น้องไม่โลภ ใครจะหลอกให้หลงไหม (ไม่)  ถ้าเราไม่โลภใครจะมาลวงเราให้หลงได้  แล้วเราจะอยู่อย่างไร ที่ทำให้เราสามารถมีดวงตาที่แจ่มชัด มองได้เห็นถึงความเป็นจริง ไม่ถูกหลอกลวง นั่นก็คือ ศิษย์น้องเคยได้ยินไหมว่า การอยู่ในโลกบางครั้งมีบางอย่าง ทำให้เรามองเห็นชัด แต่บางอย่างทำให้เรามองเห็นไม่ชัด บางอย่างทำให้เราหูตากว้างไกล แต่บางอย่างมันทำให้เราเหมือนคนหน้ามืดตามัว ฉะนั้นอะไรที่ทำให้เราหน้ามืดตามัว เราควรจะเข้าไปหาบ่อยๆ ไหม (ไม่ควร)  อะไรที่ทำให้เรามองเห็นชัดซึ่งความเป็นจริง เราควรจะชิดใกล้บ่อยๆ ไหม (ควร)  ศิษย์พี่ขอถามนะว่า กิเลส โลภ โกรธ หลง มันมีรูปร่างไหม (ไม่มี)  แต่เราชอบไปอยู่ใกล้ชิดใช่ไหม (ใช่)  ส่วนธรรมะก็ไม่มีรูปร่าง แต่ทำให้เราเกิดความสว่างในชีวิต แล้วทำให้เรามีปัญญารู้ชัดในความเป็นจริง ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อถึงเวลาเราเลือกธรรมะ หรือเราเลือกกิเลส (ธรรมะ)  เวลากิน กินเพื่ออยู่ หรือกินตามใจปาก (กินเพื่ออยู่)  สวมเสื้อผ้าเพื่อปิดบังความน่าเกลียดหรือสวมเพื่อสวยงามรูปหล่อ (ปิดบังความน่าเกลียด)  จริงหรือ โกหกนั้นยังไม่ตายก็ตกนรกนะ แล้วยิ่งโกหกบ่อยๆ ยิ่งตกนรก ตกลงเราไปตามธรรมะหรือไปตามอารมณ์ (ไปตามอารมณ์)  ถามจริงๆ เวลาเราไปตามธรรมะ ธรรมะทำให้เรามองเห็นชีวิตและความเป็นจริงอย่างแจ่มชัด ยิ่งเรียนรู้ธรรมยิ่งเกิดปัญญาพอกพูน ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์พี่ถามง่ายๆ เวลาเรามีอารมณ์ชอบ อารมณ์รัก ตามันใสไหม (ใส)  ใจมันบอดไหม (บอด)  เพิ่งเคยเห็นนะตามันใสปิ๊ง แต่ใจบอดมืดสนิทเลย จริงไหม (จริง)  เวลาเราโกรธสมองเราโปร่งไหม (ไม่)  ใจเราสบายไหม (ไม่สบาย)  แล้วเราชอบไปไหม (ไม่ชอบ)  ในเมื่อรู้ว่าทางนั้นเดินไปแล้วมันทำให้ตาเราบอด หูเราหนวก ใจเหมือนไฟไหม้ ไปไหม (ไม่ไป)  ไม่จริง บางคนคิดไปนรกก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยก้าวขึ้นไปสวรรค์ จริงไหม ฉะนั้นศิษย์พี่ถามตรงๆ ถ้าเรารู้จักมีสติยั้งคิดสักนิด เวลาเจออะไรแตะเบรกก็ได้ศิษย์น้อง ไม่ใช่มีอะไรก็พุ่งชน คนใต้เป็นคนสู้ เจออะไรสู้หมด แต่บางครั้งตั้งสตินิ่งๆ สักครู่หนึ่งก่อนพุ่งชน ดีไหม (ดี)  ตลอดชีวิตมาตั้งแต่คบ ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเคยทำให้สบายใจบ้างไหม คบกับความโลภ โกรธ หลง ได้ดีไหม (ไม่ได้)  แล้วยังคบไหม (ไม่คบ)  แล้วรู้ไหมว่าที่สุดแห่งความโกรธมันคือไฟนรก ที่สุดแห่งความโลภหลงมันคืออบายภูมิ และความทุกข์ทั้งหลายทั้งมวลที่เวียนไม่จบสิ้น ทุกข์ของการเกิดเป็นคนว่าทรมานแล้ว แต่ทุกข์ของการต้องกลับไปใช้เวรใช้กรรมที่ศิษย์น้องก่อ มันไม่มีวันจบสิ้น ฉะนั้นก่อนจะพุ่งไปตามความโลภ ความโกรธ ความหลง ก่อนจะปากไวนินทาคน ยั้งคิดสักนิด ดีไหม (ดี)  ก่อนจะกลายเป็นวิบากกรรมให้ศิษย์น้องต้องเวียนกลับมารับ แล้วก็ต้องมานั่งทำบุญเพื่อจะได้หนีเวรหนีกรรม คุ้มไหม (ไม่คุ้ม)  มนุษย์กลัวทุกข์ กลัวภัยพิบัติ กลัวเคราะห์กรรมแต่รู้ไหมว่า ทุกข์ เคราะห์กรรม ภัยพิบัติ ล้วนออกมาจาก (ใจเราเอง)  แล้วใจที่ไปตามทางความมืดบอดแห่งโลภ โกรธ หลง และความคิดที่หลงเข้าข้างตัวเองว่า ฉันถูกเธอผิด ฉันดีเธอไม่ดี เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น ทุกคนก็เลยทำแบบนี้ แล้วทุกคนก็เลยกลัวตาย เพราะยังไม่ดีพอจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าชีวิตนี้ศีลเราครบ คุณธรรมความเป็นคนเราไม่ด่างพร้อย รู้จักรับผิดชอบหน้าที่ได้ดีที่สุดจะกลัวอะไร แล้วยังต้องวอนขออะไร ชีวิตสั้นยาวไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวแล้วใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นต่อไปยังอยากมีโลภ โกรธ หลงอีกไหม (ไม่มี)  แปลว่าจะโกรธให้น้อยลง โลภให้น้อยลง ศิษย์พี่นึกถึงขโมย ศิษย์พี่เคยจับขโมยได้ ขโมยบอกศิษย์พี่ว่าจะขโมยให้น้อยลง เหมือนกันเลยกับที่ศิษย์น้องบอกว่าจะโกรธให้น้อยลงเป็นคำตอบที่ถูกต้องไหม (ไม่ถูก)  ควรจะ (ไม่โกรธ, ไม่โลภ, ไม่หลง)  ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นจำไว้นะถ้าบอกว่าจะโกรธให้น้อยลง โลภให้น้อยลง ก็เหมือนกับขี้ขโมยแล้วบอกจะขโมยให้น้อยลงเหมือนกันเลยใช่ไหม (ใช่)  ถ้าไม่ดีแล้วยังไงก็เรียกว่าไม่ดี ฉะนั้นควรจะมีไหม (ไม่มี)  ไม่เป็นไรศิษย์พี่วันนี้ไม่ดี พรุ่งนี้ค่อยไปดี ดีไหม (ไม่ดี)  ค่อยไปทำบุญชดเชยเอา ถ้าสมมติศิษย์พี่มาแล้วศิษย์พี่ด่าศิษย์น้องทุกคน ไม่เว้นหัวดำ หัวขาว ด่าหมดเลย แล้วมาอีกวันหนึ่งศิษย์พี่บอก ชม โอยดีจังเลย มีแต่คนน่ารักที่สุดเลย ใครจะเชื่อไหมว่าศิษย์พี่ดี (ไม่เชื่อ)  ทำไมหรือศิษย์น้อง ศิษย์พี่เป็นคนดีนะ ก็อย่างวันนี้ศิษย์พี่ชมศิษย์น้อง น่ารักทั้งนั้นเลย แต่เมื่อวานไม่ใช่ โคตรน่าเกลียดเลย แล้วเขาจะเชื่อไหมว่าศิษย์พี่ดี (ไม่เชื่อ)  ไม่เสมอต้นเสมอปลาย ทำดีอีกวันหนึ่ง อีกวันไม่ดีใช่ไหม (ใช่)  เหมือนกันศิษย์น้องก็เหมือนกัน อารมณ์ดีก็ทำบุญ อารมณ์ไม่ดีก็ด่ากราด แล้วก็บอกว่า ทำดีไม่เห็นได้ดีเลยใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นเริ่มต้นความเป็นคนยังไม่ถูกต้อง อย่าพูดว่าจะเริ่มต้นการบำเพ็ญธรรมให้ดีงาม ถ้าเป็นความมนุษย์ยังไม่สมบูรณ์ อย่าพูดเลยว่าอยากจะเป็นพระพุทธะบนแดนดินใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นต้องถามก่อน ศีลใครพร้อมแล้ว ไม่เคยโกหกเลย มีไหม
เมื่อวานพระอาจารย์ให้พระโอวาทครอบไว้แต่ยังไม่เห็นใช่ไหม (ใช่)  บางคนยังไม่เห็นนะ ได้คำว่า รู้ทันอารมณ์ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์น้องรู้เท่าทันอารมณ์ ศิษย์น้องจะตกเป็นทาสของอารมณ์ไหม (ไม่)  ศิษย์น้องก็จะยังมีสติ มีธรรมยั้งคิด ใช่หรือไม่ มนุษย์ทุกคนมีสิ่งหนึ่งที่ดีงามนั่นคือคุณธรรมที่ทำให้คนเป็นคนประเสริฐ ซึ่งคุณธรรมนั้นมีอยู่ในใจของทุกคน ศิษย์พี่ถามง่ายๆ ถ้าสมมติว่าศิษย์พี่เจอศิษย์น้อง แล้วศิษย์พี่ดูถูกดูแคลนกดขี่ข่มเหง ศิษย์น้องว่าดีไหม (ไม่ดี)  ทำไมล่ะ ก็พี่เป็นพี่ กดขี่ข่มเหงน้อง เธอไม่ดี เธอไม่ได้เรื่อง ได้ไหม (ไม่ได้)  ทำไมล่ะ เดี๋ยวหวิบเหรอ  อย่าคิดว่าเราหวิบเป็นคนเดียวนะ คนอื่นเขาก็หวิบเป็นเหมือนกันนะ ใช่ไหม (ใช่)  โดยพื้นฐานของจิตใจของทุกคนไม่ชอบให้ใครดูถูก ไม่ชอบให้ใครกดขี่ ไม่ชอบให้ใครมาเอาเปรียบ แล้วก็ไม่ชอบให้ใครมากินแรงใช่ไหม ทุกคนพูดจริงทำจริง นั่นเป็นพื้นฐานของจิตใจของทุกคนใช่หรือไม่ แต่ถึงเวลาเรากดขี่คนอื่นไหม ถึงเวลาใช้งาน ใช้งานคนเก่งหรือใช้งานคนโง่ ใช้งานคนที่พูดได้หรือใช้งานคนที่พูดไม่ได้ (พูดได้)  จริงเหรอ ใจของมนุษย์โดยพื้นฐานโดยส่วนใหญ่แล้วไม่ชอบให้คนดูถูก ชอบคนเคารพให้เกียรติ ชอบให้คนรัก ชอบคนจริงใจเอาใจใส่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเอาแต่เรียกร้องแต่ตัวเองไม่เคยทำ ก็เท่ากับว่าเราไม่ยุติธรรมกับผู้คน แล้วเราล่ะทำอย่างนั้นไหม ไหนใครกล้าบอกกับศิษย์พี่ว่าตั้งแต่เกิดมาศิษย์ไม่เกิดดูถูกคน ยกมือขึ้น เวลาเจอคนไม่ดี ไม่เคยด่าเขาเลยใช่ไหม ไม่เคยนินทาเลยใช่ไหม คนดีจริงจะไม่ว่าใคร จะมีแต่ความเข้าใจกัน ใช่หรือไม่
เมื่อสักครู่เราไปเรื่องฝั่งกิเลสที่มันทำให้เรามืดมนแล้ว เราลองไปฝั่งธรรมะที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตได้แจ่มชัด และเกิดปัญญาที่กว้างไกล แล้วเราเคยไปฝั่งธรรมะบ้างไหม (เคย, ไม่เคย)  โดยส่วนใหญ่ไปน้อย เวลาคิดอะไรก็ชอบคิดก่อน สติมาทีหลัง ศิษย์น้องจำไว้นะ ความคิดเป็นรากเหง้าของกิเลส อัตตา ความยึดมั่นถือมั่น ฉะนั้นเมื่อทำอะไรเอาแต่คิด ก็เลยง่ายที่จะตกเป็นทาสของกิเลสเข้าข้างตัวตนและก็ลำเอียง ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นไม่ว่าทำอะไรขอให้ใช้สติ อย่าใช้ความคิด เพราะสติเป็นรากฐานของคุณธรรมทั้งมวล แล้วเมื่อวานพระอาจารย์พูดเรื่องหลักธรรมอะไรให้พิจารณาบ่อยๆ แล้วเราจะเกิดปัญญาแล้วมองเห็นชีวิตชัดเจน ถ้าตอบได้ศิษย์พี่ให้รางวัล (ไม่เที่ยง, เป็นทุกข์, ว่างเปล่า)  ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่าจากตัวตนที่แท้จริง
ฉะนั้นถ้าเราพิจารณาธรรมเนืองๆ จะทำให้เรามองเห็นธรรมและมองเห็นโลกความเป็นจริงได้แจ่มชัด และเกิดปัญญากระจ่างแจ้งในความเป็นจริงของโลกใบนี้ ความไม่เที่ยงจะทำให้เรามองเห็นว่าในโลกใบนี้ ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ เมื่อเจอใครที่ไม่สมบูรณ์แบบ เมื่อเจอใครที่ไม่ดีพร้อม เมื่อเจอใครที่บกพร่อง ศิษย์น้องก็จะจำได้ว่า พระอาจารย์เคยสอนไว้แล้วว่า โลกไม่เที่ยง เมื่อเราเห็นว่ามันไม่เที่ยง เราก็เลยมองเห็นชัดแล้วว่าคนในโลกมันไม่สมบูรณ์แบบ ฉะนั้นถ้าเราเจอคนที่มันขาดไปบ้าง พร่องไปบ้าง หรือเกินล้นไปบ้าง ศิษย์น้องก็จะเข้าใจว่าโลกไม่เที่ยง แต่สิ่งที่สำคัญสำหรับศิษย์น้องก็คือเข้าใจว่า เราต้องรักษาใจให้เที่ยง เพราะถ้าเรารักษาใจให้เที่ยงแล้วเราก็จะไม่ไปกระวีกระวาดไปถล่มทลายใครที่เขาเกินเลยไป จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเวลาที่ใครเกินเลยไป เราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  เวลาใครที่ขาดหายไป เราจะด่าเขาโง่ไหม (ไม่) 
ถ้ากลับบ้านไป บ้านมันไม่อยู่จะเศร้าใจไหม (เศร้าใจ)  กลับบ้านไปลูกไม่อยู่ สามีไม่รัก เศร้าไหม (เศร้า)  ถ้าอย่างนั้นศิษย์พี่จะบอกต่อนะ ศิษย์น้องเอ๋ย ในเมื่อเราเข้าใจว่าโลกนี้มันไม่มีความสมบูรณ์แบบ ศิษย์น้องก็ต้องเข้าใจ ก้าวต่อไปคือโลกนี้มันมีความทุกข์ ในเมื่อเราเจอทุกข์แล้ว เราอย่าลืมกลับไปมองความจริง ทุกข์สอนให้เรามองความจริง ศิษย์พี่ถามหน่อยนะว่า ใครบ้างเกิดมาควงสามีมาตั้งแต่เกิด ใครเกิดมาควงบ้าน ควงต้นยางมาตั้งแต่เกิด มีไหม (ไม่มี)  แล้วใครเกิดมาข้างหนึ่งสามี ข้างหนึ่งลูก อีกข้างหนึ่งบ้าน อีกข้างหนึ่งรถ เกิดมาพร้อมสิ่งนั้นเลย มีไหม (ไม่มี)  ก็รู้นี่ ถ้าอย่างนั้นแปลว่าจริงๆ แล้วเรามาพร้อมกับความ (ว่างเปล่า)  ฉะนั้นเราได้กลับไปสู่ความ (ว่างเปล่า)  แล้วเราจะกลัวอะไรล่ะ เพราะถึงที่สุดเราก็ต้องกลับไปสู่ความ (ว่างเปล่า)  ฉะนั้นดีแล้วที่ฉันได้กลับสู่ธรรมชาติที่แท้จริงอีกครั้งหนึ่ง กลับสู่ความเป็นจริงอีกครั้งหนึ่ง ฉันได้ปลดปลงอีกครั้งหนึ่ง ยังไม่ตาย ยังไม่หมดปัญญาก็หาใหม่ได้ไม่ใช่หรือ ยังไหวอยู่ก็หาใหม่ได้ไม่ใช่หรือ แต่ถามจริงๆ ยังอยากจะทุกข์อีกหรือ เขาไปก็ดีแล้ว ดีกว่าอยู่แล้วต้องมานั่งท่อง มันไม่สมบูรณ์ พระอาจารย์บอกไว้แล้วมันไม่สมบูรณ์แบบ ก็บอกมาตั้งแต่ต้นแล้ว แต่ก็ยังเลือกเพราะคิดแล้วว่ามันสมบูรณ์แบบ แต่จริงๆ แล้วมันไม่เคยสมบูรณ์แบบเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์น้อง แม้ว่าศิษย์น้องคิดว่าจะหาดีที่สุด เลือกสิ่งที่ดีที่สุด แต่ถึงที่สุด มันก็ไม่เคยมีอะไรสมบูรณ์แบบ แม้กระทั่งตัวเราเอง จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเมื่อเราต้องเจอกับความไม่สมบูรณ์แบบ ก็จงจำไว้ว่าเราได้แค่กลับสู่ทางสายเก่า ทางเดิมที่เรามาจากธรรมชาติ เราก็กลับคืนสู่ธรรมชาติ เมื่อใช้จนถึงที่สุดแล้ว จะไปเอาอะไรกลับมาด้วยให้มันเกี่ยวกรรม ไป-มาโล่งๆ ก็กลับโล่งๆ มาเปล่าๆ ก็กลับเปล่าๆ แล้วจะเกี่ยวกรรมให้ทุกข์ทำไม แล้วจะสร้างวิบากกรรมให้เวียนว่ายตายเกิดทำไม จริงไหม (จริง)  แล้วยังจะเอาอีกไหม (เอา)  ก็มันเหงาล่ะอาจารย์ มันเหงาล่ะศิษย์พี่ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นเมื่อมันเหงา  ศิษย์น้องเคยได้ยินไหม โลกนี้เป็นโลกแห่งภาวะคู่ มันมีผู้ชายก็ต้องมี (ผู้หญิง)  มันมีคนดีก็ต้องมีคน (ชั่ว)  เหมือนกันถ้าวันใดมันมีทุกข์ ศิษย์น้องลองถามสิ มันเป็นโลกแห่งความเป็นคู่ มันจะไม่มีวันสิ้นทุกข์หรือ ใช่ไหม (ใช่)  มันมีเจ็บ มันจะมีวันไม่เจ็บได้หรือไม่ (ได้)  มันมีตาย มันจะมีวันไม่ตายได้ไหม (ได้)  โลกนี้ศิษย์น้องจำไว้นะ โลกนี้เป็นโลกแห่งภาวะคู่ มีขาวต้องมีดำจึงจะเรียกว่าสมดุล มีสูงมันก็ต้องมีต่ำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์น้องรักษาความเป็นกลาง เราก็อยู่บนโลกได้เรียกว่าธรรมชาติที่แท้จริง ฉะนั้นศิษย์น้องต้องจำไว้นะ ในโลกแห่งความเป็นจริง จำไว้ ในร่างกายเรามันหนีไม่พ้น แก่ เจ็บ ตาย แต่จำไว้อย่างหนึ่งนะ จำไว้ให้แม่นเลย ในความแก่มันมีไม่แก่อยู่ ลองมองด้วยปัญญา อะไรมันแก่ อะไรมันไม่แก่ ในความเจ็บ มันมีความไม่เจ็บอยู่ และอะไรมันเจ็บ อะไรมันไม่เจ็บ และอันนี้แหละสุดยอดเลย ในความตาย มันมีความไม่ตายอยู่ในนี้ และตัวที่ไม่ตายนี่แหละ ที่จะทำให้เรากลับสู่พุทธภาวะที่แท้จริง ในความเจ็บ มันมีไม่เจ็บ มันเจ็บแค่ตัว มันเจ็บแค่สังขาร มันตายแค่สังขาร แต่มีสิ่งหนึ่งที่มันไม่ตาย มันอยู่นิจนิรันดร์ และมันไม่ต้องการเจ้าของ ถ้าเข้าถึงศิษย์น้องจะพบตายโดยไม่ตาย นั่นแหละเรียกว่าธรรมแท้จริงได้ไหม มีโอกาสมาผูกบุญสัมพันธ์กันอีกนะ มาผูกบุญกันอีกดีไหม ไม่เอาผูกกรรมนะ
ศิษย์พี่ให้เพลงไว้หนึ่งเพลง ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์น้อง เมื่อยามที่ทุกข์มากๆ ลองหาสิอะไรมันทุกข์ และอะไรมันจะพ้นทุกข์ เมื่อยามที่เจ็บมากๆ ลองถามสิมันเจ็บแค่ตัว แต่ใจเดิมแท้มันไม่เคยเจ็บ เมื่อถึงวันหนึ่งที่เราต้องตาย เราตายแค่สังขารแต่จิตญาณเดิมแท้พ้นเกิดตายแล้วนะ แต่เพราะความหลงยึดมั่นเราจึงมองไม่เห็นจิตเดิมแท้ อย่าลืมนะศิษย์น้องมีสิ่งที่ประเสริฐและดีงามที่สุด ที่สามารถนำพาให้มนุษย์พ้นเวียนว่ายตายเกิดได้ นั้นคือธรรมะที่กลับคืนสู่สภาวธรรม แต่มันจะไม่ได้ด้วยการแค่ฝันแต่ศิษย์น้องต้องไปประจักษ์แจ้งด้วยใจตัวเอง ในเกิดมันมีดับอยู่ทุกขณะ แต่ในดับมันมีไม่ดับอยู่ แล้วอะไรที่มันดับ อะไรที่มันไม่ดับ จงไปหาตัวนั้น แล้วตัวนั้นล่ะคือหนทางที่จะกลับคืนสู่พุทธภูมิที่แท้จริง พ้นเวียนว่ายทุกข์ในโลกใบนี้ ลองไปพิจารณาดูนะ ได้ไหม (ได้)  จำไว้นะกิเลสที่คิดเพียงชั่ววูบมันมักจะพาให้มนุษย์ไหลลงต่ำ แต่สติที่ยั้งคิดได้แล้วรู้จักทำใจ แล้วประกอบไปด้วยคุณธรรม จะนำพาให้มนุษย์ขึ้นสู่ที่สูง และพบทางอันประเสริฐที่สว่างไสว ฉะนั้นศิษย์น้องอยากไหลลงต่ำ หรือกลับสู่ความสว่าง อยู่ที่ตัวศิษย์น้องเลือก อย่าบอกศิษย์พี่ว่าชีวิตไม่มีทางเลือก เราเลือกได้แต่ขอให้รู้จักยั้งคิดสักนิดหนึ่ง ก่อนที่จะปล่อยให้ตัวเองไหลไปตามโทรศัพท์ เพราะเดี๋ยวตามไปก็เป็นผีเฝ้าโทรศัพท์ น่าเสียดายนะ
ศิษย์น้องที่อยู่ด้านล่างเป็นผู้ร่วมฟังอย่าน้อยใจนะ มุ่งมั่นตั้งใจบำเพ็ญ ศิษย์น้องทุกคนที่อยู่ข้างๆ ก็ขอให้เข้มแข็ง เจออุปสรรคอะไรก็ขออย่าได้หวาดหวั่น คิดเสียว่าอุปสรรคต่างๆ คือตัวขัดเกลาจิตใจ ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญ กลับมาอีกนะ มุ่งมั่นบำเพ็ญ อย่ากลัวปัญหา อย่ากลัวคำต่อว่า อย่ากลัวคำนินทา อย่ากลัวมารทดสอบ เพราะสิ่งสำคัญปัญหาไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่ยอมแพ้ จงมุ่งมั่นสู้ให้ถึงที่สุด ชีวิตตราบใดที่ยังไม่หมดลมหายใจอย่ายอมแพ้ อย่าก้าวผิด อย่าทำชั่ว เพราะไม่มีใครรับกรรมชั่ว นอกจากคนที่ทำกรรมชั่ว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจงเลือกทางที่ดีแล้วไปสู่ความสว่างนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “รู้ทันอารมณ์”
     ไม่คล้อยไปตามอาการของใจตน              จึงเห็นมากกว่าที่ตนยึดถือไว้
รู้เท่าทันความไม่ตั้งมั่นของใจ                      ลักษณะใดเป็นลักษณะแท้พิจารณา
ความรู้สึกที่ว่ามีอยู่นั้น                               เป็นสามัญลักษณะแห่งรูปนามหนา
ล้วนสมมติถูกปรุงแต่งตามอัตตา                   วางคือธรรมยึดมั่นหนาคือโลกีย์

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา