วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2559

2559-10-29 สถานธรรมถงซิน จ.ราชบุรี

西元二○一六年歲次丙申九月二十九日                                   仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙                            สถานธรรมถงซิน  จ.ราชบุรี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ

  ทำอะไรไม่ลำบากนั้นไม่มี                 ยิ่งความดียิ่งทำยากลำบากใหญ่
จะบำเพ็ญเพื่อพ้นทุกข์อีกต่อไป          จึงต้องใช้ความพากเพียรและอดทน
                                เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานถงซิน แฝงกายประณตน้อมอัญชุลี
องค์มารดา                            ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

  เรียนรู้ธรรมนำใช้บังเกิดคุณ            อย่างยืดหยุ่นพลิกแพลงแลประสาน
ปัจจุบันให้นำธรรมเกิดงามตระการ      ฟังธรรมสานต่อยอดคุณประโยชน์
ใจว่างกระจ่างเมื่อเป็นอสังขต[๑]ยิ่ง        ทบทวนสิ่งใดนั้นคุณนั้นประโยชน์
ธรรมหนุนเกื้อขอบำเพ็ญสู่นิโรธ[๒]        หวังพากเพียรวิริยะโดดข้ามปรวนแปร
กลัวบำเพ็ญด้วยฝึกเกินจะเหนื่อย        กลัวเหน็ดเหนื่อยเมื่อยชนะคนแน่วแน่
คนมุ่งมั่นทนล้าความท้อแท้              ไม่เอามานะอย่างอ่อนแอเป็นประจำ
มองเห็นตนเองกว่าเห็นใคร               ย่อมไม่ทำผู้ใดต้องถลำ
ปัญญาของตนเองใช้เช้าค่ำ               ปฏิบัติธรรมมงคลชีวิตย่อมนำสุข
มีขันติสิริ[๓]ปราการ[๔]เป็นป้อมชีวิต        ประสามิตรแห่งทางที่ไม่ผูก
เรื่องถูกผิดไม่พูดเป็นสนุก                 ข้อตกลงไม่อาจปลูกจิตสำนึก
ทำเรื่องยากคนต้องสู้พยายาม            อยากจะงามคนต้องขยันฝึก
ปัญหาชีวิตมองเห็นธรรมตกผลึก         มีสติดังแก้วสารพัดนึกดลบันดาล
                                                                                                    ฮา ฮา หยุด



[๑] อสังขต น. ไม่มีอะไรปรุงแต่ง
[๒] นิโรธ น. ความดับทุกข์
[๓] สิริ น. มิ่งขวัญ มงคล
[๔] ปราการ น. กำแพงสำหรับป้องกันข้าศึก


พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ

ถ้าวันนี้ให้ฟังธรรมต่ออีกยังพอไหวไหม (ไหว)  เขาบอกว่ามาฟังธรรมแล้วดี ยากไหม (ไม่ยาก)  ยากที่ต้องเอาชนะใจตัวเอง
มีบางคนที่ไม่กล้าพูด ถือว่าเรามาสนทนาธรรมแลกเปลี่ยนข้อธรรมกันดีหรือไม่ (ดี)  มนุษย์ทุกคนในใจจริงลึกๆ ทุกคนล้วนรักความดี แต่บางทีพอทำดีจริงๆ ก็อดถามในใจตัวเองไม่ได้ว่าทำดีเพื่ออะไร ทำแล้วต้องเหนื่อยขนาดนี้ ทำแล้วต้องลำบากขนาดนี้ ทำแล้วต้องโดนว่าขนาดนี้ ทำทำไม ใช่ไหม (ใช่)  ก่อนที่จะรอคำตอบจากเรา ถ้าเราถามท่านว่า ถ้ามีคนหนึ่งพยายามทำความดีโดยหาที่สุดแห่งฟากฝั่งความดีไม่เจอ แต่ก็ยังคงทำไปเรื่อยๆ พากเพียรไปเรื่อยๆ อย่างไม่ท้อ อย่างไม่หน่าย และไม่เคยเรียกใครต้องทำความดี เรียกแต่ตัวเองต้องทำให้ได้ แม้ไม่รู้ว่าที่สิ้นสุดของความดีนั้นอยู่ตรงไหน ก็ยังทำไปเรื่อยๆ ท่านว่าคนเช่นนี้ถือว่าสุดยอดไหม (สุดยอด)  ท่านว่าคนที่ทำดีคนนี้เป็นคนที่เข้าใจความดีจริงๆ ไหม (จริง)  แต่บางครั้งเราเองพอทำดีไปสักพักหนึ่ง เรามักจะถามตัวเองว่า ต้องถึงที่สุดเมื่อไร เมื่อไรจะจบความดีสักที ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราถามว่าถ้ามีคนหนึ่งทำความดีเเบบหาฟากฝั่งที่สุดไม่เจอ แต่ก็ยังทำไปเรื่อยๆ และไม่เคยเรียกร้องใคร เรียกร้องเเต่ตนเองว่าได้ทำหรือยัง ได้ช่วยหรือยัง ถ้าคนทำดีได้เช่นนี้แปลว่าเขาเข้าใจความดีและเข้าถึงความดีที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)เเล้วเราล่ะ เป็นคนหนึ่งที่ชอบความดี เป็นคนหนึ่งที่รักความดี เเละเป็นคนหนึ่งที่เรียกร้องอยากให้ทุกคนทำดี เเต่เราเข้าใจความดีหรือยัง เรารู้หรือยังว่าทำดีเพื่ออะไร ถ้าท่านตอบคำถามนี้ได้ ท่านจะทำความดีอย่างไม่กลัวว่าที่สิ้นสุดของความดีอยู่ที่ไหน ท่านจะทำไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ต้องเรียกร้องว่าใครจะดีตอบหรือไม่ จริงไหม (จริง)  คนที่ตอบว่าจริงได้เเปลว่าต้องเข้าใจ ท่านเคยได้ยินไหมว่า ความดีเวลาอยู่ในตัวเรา เเล้วเราหยิบยื่นให้คนอื่น เขายิ้มรับกับสิ่งที่เราหยิบยื่นให้ เราได้อะไร (ความสบายใจ)  ได้ความสุขใจ ฉะนั้นถ้าเราบอกว่า ที่เราทำดีเพราะว่าความดีเป็นชื่อเเห่งการมีความสุข หรือความดีเป็นชื่อของความสุข เราจะทำได้เรื่อยๆ เเละยิ่งความดีนั้นไม่ได้มีเเก่ตนเอง เเต่เรายิ่งหยิบยื่นให้คนอื่น เราก็ยิ่ง (สุข)  หรือง่ายๆ ถ้ามีใครหยิบยื่นความดีให้เรา ดีจังเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นความดีคือที่เเห่งความสุข รู้หรือยังว่าทำไมต้องทำดี ทำไมต้องหยิบยื่นความดีให้เเก่กัน เพราะยิ้มคนเดียวมันไม่สุขเท่ากับยิ้มด้วยกัน ใช่ไหม (ใช่)  เเล้วความดี มีความหมายว่าความสุขอย่างเดียวไหม อย่างนั้นเราถามนะกินอาหารยังมีวันอิ่ม แล้วก็ยังกลับไปหิว แต่ทำความดีมันอิ่มอกอิ่มใจ ยิ่งนึกถึงยิ่งอิ่ม เห็นแล้วอิ่มทันทีเลย ฉะนั้นความดีจึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่ง คือ ชื่อความอิ่มเอมใจ ได้กี่ความหมายแล้ว (สองความหมาย)  พอไหม (ยังไม่พอ)  แล้วรู้อีกไหมว่า ความดียังเป็นชื่อที่ทำคนธรรมดาๆ ให้กลายเป็นคนยิ่งใหญ่ ทำคนที่ดูไม่มีค่า ได้กลายเป็นคนที่รู้คุณค่าชีวิต ทำคนธรรมดาที่ไม่เข้าใจว่า ความหมายชีวิตคืออะไร พอได้ทำดีหรือพอเห็นคนทำดี เข้าใจเลยว่า ชีวิตเขามีค่า มีความหมายยิ่งนัก นั่นคือชื่อของคนทำดี ฉะนั้นความดีเป็นชื่อของคุณค่า เป็นชื่อที่ทำให้เราเข้าใจคุณค่าและความหมายของคนกับคนที่อยู่ร่วมกัน เรารู้ว่าตัวเองมีคุณค่าก็ต่อเมื่อ ทำไมเธอช่างดีเช่นนี้ รู้สึกมีค่าขึ้นมาทันที จากคนที่ไม่เคยมีใครสนใจ แต่พอเราได้ทำสิ่งที่ดีงามได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง และเขาเห็นค่าเห็นความหมาย ไม่ลืมเลือนเรา เรารู้สึกว่าเรามีที่ยืนบนโลก เหมือนคนที่ยังมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ ฉะนั้นชื่อของความดี คือชื่อแห่งคุณค่าและความหมาย
ถ้าการทำดีทำให้คนลำบากใจ คนดีก็พร้อมจะจากไปดีกว่า ถ้าเราทำดีเเต่เขารู้สึกลำบากใจ คนดีก็ต้องยอมถอยให้เป็น คิดให้ดีๆ ถ้าทำดีเเล้วทำให้เขาลำบากใจ รำคาญใจเเล้วไม่มีสุข คนดีบางทีก็ต้องรู้จักสละหลีกถอยและน้อมยอมตน ฉะนั้นชื่อของความดียังเป็นชื่อที่ทำให้เราเรียนรู้ที่จะเข้าใจชีวิต จนกลับไปสู่หนทางอันประเสริฐที่เรียกว่า “พุทธะ” ชื่อของความดียังมีอีกความหมายหนึ่งคือ รากฐานของการเป็นพุทธะ ถ้าได้ฟังความหมายของความดีเยอะขนาดนี้เเล้ว ถ้าต้องทำดีจนหาที่สุดไม่ได้ยังจะทำต่อไหม (ทำ)  ไม่ใช่คำตอบที่ท่านต้องให้เรา เเต่ต้องเป็นการปฏิบัติที่ทำด้วยตนเอง เพราะมีหลายคนที่พูดได้เเต่ถึงที่สุดทำไม่รอด ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างนั้นรู้ไหมว่าถ้าทำความดีแล้วความดีนั้นช่วยชะล้างใจให้บริสุทธิ์ วันนี้ถ้ามาฟังธรรมแล้วและเขาบอกว่ามาฟังธรรมะเถอะเป็นความดีอย่างหนึ่ง แล้วรู้ไหมว่าการทำความดีอะไรก็ตามที่ทำแล้วสามารถชะล้างใจให้บริสุทธิ์ได้ ความดีนั้นเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “บุญ” เห็นไหมว่าความดีมีชื่อเรียกมากมาย แล้วมีความหมายยิ่งนัก ความดีนั้นถ้าสามารถชำระความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ชำระกิเลสจนหมดสิ้นได้ ความดียังมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า “กุศล” แล้วถ้าความดีที่ทำแล้วแตกหน่อเป็นเมตตา เสียสละมีน้ำใจ ซื่อตรง ความดีนั้นยังเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “คุณธรรม” ทำดีมีน้ำใจบ่อยๆ คนที่มีน้ำใจบ่อยๆ เรียกคนนั้นว่ามีเมตตาแล้ว ต่อไปจะถามเราอีกไหมว่า ทำไมต้องทำดี แล้วจะท้อไหมว่า เมื่อไรจะสิ้นสุดการทำดี ถ้าเมื่อไรใจยังอยากสุขก็ยังต้อง (ทำดี)  ถ้าเมื่อไรอยากได้ความรักจากผู้อื่นก็ต้องทำ (ความดี)  เพราะความดีเป็นที่รักของ (ทุกคน)
เราถามกลับนะว่าคนทำดี เอาความดีมาทำร้ายผู้อื่นได้ไหม คนที่เคยพูดกับเราว่าตัวเองเป็นคนดี ถามว่าคนดีทำร้ายผู้อื่น เอาความดีมาทำร้ายผู้อื่นได้ไหม (ไม่ได้)
(ก็เพราะว่าการทำความดี มันคือความสุข และจะทำให้คนที่ได้รับและคนที่เราไปทำดีกับเขาต้องมีความสุขแน่นอนค่ะ คิดว่าความดี ไม่สามารถที่จะทำร้ายจิตใจคนอื่นได้)  เราถามรองหัวหน้านะ คนทำดีที่ชอบอ้างตัวเองว่า หวังดีและบีบบังคับให้คนอื่นทำตามที่ตัวเองหวังดี เรียกว่ากำลังเอาความดีนั้นทำให้คนอื่นเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ (เป็นทุกข์)  หลายต่อหลายคนมักจะพูดว่า เราทำดีแล้ว และในความดีที่เราทำ ก็หวังอยากให้คนอื่น (ทำดี)  แต่พอเขาไม่ทำดีอย่างที่เราหวังเป็นอย่างไร เราทุกข์ แล้วเขาทุกข์ไหม เราทุกข์เพราะเขาไม่เป็นอย่างที่เราคิด เขาทุกข์เพราะรับรู้ความหวังดีของเราแล้วเขาทำไม่ได้ อย่างนั้นความดีแบบนี้ ถูกไหม (ไม่ถูก)  แต่คนที่ทำดีมักจะบอกว่า “ถูก” แล้วก็บอกว่า ทำดีเหนื่อยจังเลย แล้วก็บอกว่า ทำดีไม่เห็นได้ดี อย่างนั้นทำดีอย่างไรหนอ
(อธิบายให้เขาฟังว่า อย่างไหนถูกอย่างไหนผิด)  การอธิบายให้เขาฟังว่า สิ่งที่เราบอกเป็นความหวังดีนั้น เป็นความหวังดีจริงๆ ในความหวังดีนั้นท่านต้องเผื่อใจไว้อย่างหนึ่งว่า “แค่บอกแต่ไม่ใช่บังคับ แค่ให้รู้แต่ไม่ใช่ต้องเป็นแบบนั้น แค่เป็นทางเลือก” แต่ถึงเวลาเราพูดแบบนั้นหรือไม่อย่างไรก็มีเหตุผลว่าแค่บอก เเต่บอกซ้ำๆ ก็กลายเป็นเหมือนบังคับ มีคำกล่าวคำหนึ่งว่า “ความดีถ้าเข้มงวดเกินไปก็จะกลายเป็นโทษ เป็นบาปเป็นกรรม เเล้วถึงที่สุดก็กลายเป็นทุกข์” ความเข้มงวดกวดขัน ถ้ามีมากเกินไปก็กลายเป็นเวรเป็นกรรม เเละความเคืองเเค้นอิดหนาระอาใจ ท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งที่เขาเปรียบเทียบไหม เหมือนเราจะตีมีดขึ้นมาอันหนึ่งถ้าไฟไม่พอ มีดยังไม่ทันหลอมละลาย ตีอย่างไรก็ไม่ขึ้นรูป ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าเราทำดีเเล้วหวังดีกับคนนั้นจริงๆ เเต่ถ้าไฟสุขุมเราไม่มากพอ บ่มเขาไม่ได้ ยังเกิดการสูญเสียความเคารพในจิตใจเขาด้วย จากที่เขาจะรักเรา กลายเป็นเขาจะ (เกลียดเรา)  เกลียดเลยหรือ อย่างมากก็แค่กลัวขยาด ใช่หรือไม่ พ่อ แม่ พี่น้อง ภรรยาจะพูดอีกไหม เริ่มกลัวแล้วจะพูดเหมือนเดิมอีกไหม แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม ฉะนั้นหวังดีแล้วเข้มงวดกวดขันเกินไป ก็หนีไม่พ้นเวรกรรมทุกข์โทษและเจ็บปวด จึงมีคำพูดว่า มนุษย์ทุกคนห่วงความดี แต่ถ้าห่วงความดีจนลืมหยิบยื่นความดีให้กับผู้อื่น การห่วงความดีก็อาจจะเผลอทำร้ายคนที่ตัวเองรักที่สุดก็เป็นได้ จริงไหม เราห่วงความดีจนเราลืมหยิบยื่นความดีให้เขาแต่สิ่งที่เราหยิบยื่นเป็นการ บังคับเกินไปหรือเปล่า เป็นการเรียกร้องเกินไปหรือเปล่า เหมือนเราถามท่านว่า คนดีในโลกนี้ทำร้ายคนอื่นได้ไหม (ได้)  แต่ถูกไหม ไม่ถูกแต่ทำไหม (ทำ)  เหมือนเราถามท่านว่า เรารักลูกไหม (รัก)  เวลาลูกไม่เป็นดั่งใจ เคยโมโหแล้วตีเขาไหม (ตี)  ใครเจ็บ (เราเจ็บ)  เขาเจ็บตัวแต่เราปวดใจ เหมือนเรารักสามีไหม พอเขาไม่เป็นดั่งใจ ด่าเขา ปวดใจไหม (ปวดใจ)  ฉะนั้นอย่าห่วงดีจนลืมหยิบยื่นความดี ความเห็นใจกัน ความเข้าใจกัน ความให้อภัยกัน การยอมซึ่งกันและกันบ้าง เพราะคนทำดีมีอยู่สองแบบ แบบหนึ่งคือทำตามอารมณ์นิสัย คนที่ทำตามอารมณ์นิสัยจะทำความดีได้ชั่วขณะ ไม่ค่อยยั่งยืน แต่ถ้าคนทำความดีด้วยคุณธรรมที่ออกมาจากใจ ความดีนั้นจะอยู่นิจนิรันดร์และยั่งยืนกว่า เหมือนเราทำดีกับเขาเพราะเรารักความเมตตา เราขี้สงสาร ฉะนั้นให้เราทำความดีด้วยความสงสาร เราทำได้เรื่อยๆ ทำความดีเพราะเราอยากเสียสละ เพราะเราอยากเคารพให้เกียรติ เราทำได้เรื่อยๆ แต่ทำความดีเพราะอารมณ์อยากทำดี พอหมดอารมณ์อยากทำดี ความดีก็ (หาย)  ฉะนั้นทำความดีต้องทำด้วยคุณธรรม อย่าทำด้วยอารมณ์ความรู้สึกจะไม่ยั่งยืน ถูกหรือไม่
ปัญหาของโลกใบนี้ที่มนุษย์ทะเลาะกัน ที่มนุษย์ทำร้ายกัน พอรู้ไหมเพราะอะไร เพราะว่าเขาไม่ดีหรือเปล่า ไม่น่าใช่เนอะ เขาก็หวังดีแต่เขาลืมเคารพให้เกียรติ ถ้าหวังดีแต่ลืมเคารพให้เกียรติจะด่ากันไหม (ไม่ด่า)  ถ้าหวังดีเคารพให้เกียรติจะนินทากันและจะแอบทำร้ายกันไหม (ไม่)  ฉะนั้นถ้ามนุษย์มองเห็นปัญหาชัดเจนเราจะรักษาความดีได้ตลอดรอดฝั่ง ที่มนุษย์เรามีปัญหาชอบทำร้ายกันนั่นเพราะว่าเขารักดีและลืมเมตตาต่อกัน ถูกหรือไม่ (ถูก)  เราถามให้ท่านไตร่ตรองสักครู่ คนชมเราเรียกว่า (คนดี)  คนด่าเราเรียกว่าคน (นินทา)  อย่างนั้นความดีของเราขึ้นอยู่กับคำชมหรือคำด่า
เราเป็นอย่างนั้นหรือไม่ ส่วนใหญ่จะเป็น เวลาใครชมเรา เราก็ว่าคนนั้นดี เวลาใครว่าเรา เราก็ว่าคนนั้นไม่ดี แปลว่า ความดีของเรานั้นมีข้อจำกัด ต้องยกยอ ต้องพูดดี ถ้าเกิดด่าทอเราเรียกว่าไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)  โดยส่วนใหญ่มนุษย์มีมาตรฐานความดีไม่เท่ากัน คนบางคนทำนิดหน่อยก็เรียกว่าดี แต่คนบางคนต้องทำเยอะๆ ถึงจะเรียกว่าดี
ฉะนั้นเราทุกคนล้วนมีเหตุผล เคยเถียงกับผู้อื่นเรื่องความดีไหม (เคย)  เขาก็ดีเราก็ดีไม่ได้ น่าแปลกนะ แล้วดีทั้งสองคนได้ไหม (ไม่ได้)  ต้องมีคนหนึ่งถูกคนหนึ่งผิด เขาก็ถูกเราก็ถูกไม่ได้หรือ ถ้าเขาผิดเราก็ผิด ได้ไหม (ได้)  แต่ไม่ค่อยมี ท่านบอกว่า เราก็มีเหตุผล เขาก็มีเหตุผล อย่างนั้นความดีขึ้นอยู่กับเหตุผลได้ไหมทุกคนต่างมีเหตุผลของตัวเองไม่เท่ากัน ถ้าเอาเหตุผลเราไปวัดเหตุผลคนอื่นก็จะมีที่เรียกว่าถูกและผิด ที่เรียกว่าดีและไม่ดี ทำดีเอาเหตุผลวัดไม่ได้ และทำดีเอาความคิดตัวเองเป็นหลักได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วทำไมชอบคิดเข้าข้างตัวเอง ฉันถูก เธอผิด ฉันดีเธอ (ไม่ดี)  ฉะนั้นการทำดีจะนำเหตุผลและความคิดมาวัดไม่ได้ เพราะเหตุผลและความคิดมี   มูลฐานมาจากประสบการณ์ของตัวเองที่เรียนรู้และชอบชังไม่เหมือนกัน เพราะประสบการณ์การเรียนรู้ที่ชอบชังไม่เหมือนกัน ฉะนั้นพอชอบเราก็ต้องมองว่าแบบนี้ ถ้าเราไม่ชอบแบบนี้ก็ (ไม่ดี)  แล้วความชอบชังทุกคนเท่ากันไหม (ไม่เท่า)  บางคนชอบขาวไม่ชอบดำ ฉะนั้นก็บอกคนขาวดี คนดำ (ไม่ดี)  ถูกไหม (ไม่ถูก)  แต่เรามักชอบคิดเข้าข้างตัวเอง แล้วก็ตัดสินผู้อื่นอย่างผิดๆ แล้วก็บอกว่า ทำดีไม่ได้ดี ฉะนั้นความดีอย่าเผลอใช้เหตุผล ความดีอย่าคิดเข้าข้างตน มิเช่นนั้นแล้วความดีที่อิงอาศัยตัวตนจะทำดีได้ไม่ตลอด แต่ถ้าความดีใช้คุณธรรมเป็นรากฐาน ใช้คุณธรรมในการประพฤติปฏิบัติ ท่านจะทำดีได้ยั่งยืนนาน
เงินอยู่ในโลกท่านรู้ว่าจะทำอย่างไรจึงหาเงินมาได้ อย่างนั้นท่านรู้ไหมว่าทำอย่างไรให้เป็นคนดีเเล้วพ้นทุกข์ ท่านรู้จักหรือยัง เเล้วท่านเคยให้เวลากับตนเองศึกษาเรื่องนี้บ้างหรือไม่ เคยให้เวลาเเต่กับเรื่องเงินกับการท่องเที่ยว เเล้วเงินทำให้หนีทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้)  ท่องเที่ยวทำให้พ้นทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้)  เเฟนทำให้พ้นทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้)  เเล้วเคยให้เวลาศึกษาธรรมเพื่อพ้นทุกข์บ้างไหม (ไม่)
ขอให้เปิดใจกว้างๆ ว่าการศึกษาธรรมเพื่อหาทางพ้นทุกข์ไม่ใช่มีทางนี้ทางเดียว ไม่ใช่มีแบบนี้แบบเดียว ผู้ที่เข้าถึงธรรมปฏิบัติธรรมเขาไม่แยกว่าไทยหรือจีนขอให้เข้าถึงธรรมเเล้วพ้นทุกข์ ไม่ว่าจีนหรือไทยก็เอา เเต่ถ้าผู้ที่ยึดมั่นถือมั่นว่าต้องเป็นแบบนั้นต้องเป็นแบบนี้เขาก็คิดอย่างคนที่มีทุกข์ เเต่ผู้ที่พ้นทุกข์เเล้วคือไม่ยึดมั่น ทุกข์เกิดจากความยึดติด ฉะนั้นเเม้ศึกษาธรรมยังยึดติดรูปลักษณ์เเล้วจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร ใช่ไหม
ถ้าเราถามท่านว่าแล้วเป็นคนดีจะพ้นทุกข์ได้เช่นไร เราเพิ่งพาท่านก้าวไปแค่หนึ่งสองสามยังไม่ถึงที่สุด ท่านก็หมดแรงแล้ว อย่าเพิ่งวัดคุณค่ากันแค่มอง อย่าเพิ่งตีค่าเราแค่เพียงเปลือกนอก มองต้องมองให้ลึกถึงแก่นแท้ ท่านยังไม่ชอบให้ใครมาดูถูกกันที่เปลือกนอก อยากให้ดูถึงใจ ดูถึงเนื้อใน ฉะนั้นเราคุยกับท่านเพียงแค่เปลือกยังไปไม่ถึงเนื้อในท่านก็ยอมแพ้แล้ว อย่างนั้นเป็นคนดีแล้วทำเช่นไรที่จะพ้นทุกข์
(ต้องทำให้ถูกต้องตามกาลเทศะ ดูเวลา ต้องทำด้วยจิตใจบริสุทธิ์ไม่คิดหวังสิ่งตอบแทน)  ทำดีโดยไม่หวังผล ทำดีโดยเหมาะสมและถูกกับกาลเทศะ
ถ้าอยากทำดีจนสามารถพ้นทุกข์ได้ ความดีของการทำดีก็คือ รู้กาย รู้ใจ รู้ตน และยอมรับความจริง ถ้าทำได้เช่นนี้เข้าถึงธรรมพ้นทุกข์แน่นอน ยอมรับความจริงแล้วเข้าถึงธรรม คำนี้ยากนะ ยอมรับความจริงคือ รู้กายรู้ใจ และอะไรเรียกว่า ยอมรับความจริงจนเข้าถึงธรรม คือ รู้กายรู้ใจ และรักษากายใจนี้เป็นกลาง เย็น สงบ จบ วาง อย่างนี้เรียกว่า ยอมรับความจริงด้วยใจเป็นกลาง เข้าถึงธรรมพ้นทุกข์ แต่มนุษย์ไม่ใช่ เจออะไรดีชอบ เจออะไรไม่ดีไม่ชอบ เจออะไรดีชม เจออะไรไม่ดีด่า ความดีความชั่วความชอบความชัง เป็นต้นเหตุที่ทำให้มนุษย์เวียนว่ายอยู่บนโลกไม่จบสิ้น ความชอบความชังก่อเกิดเป็นรัก โลภ โกรธ หลง ซึ่งเรียกอีกอย่างว่า “กิเลส” เป็นที่มาแห่งบาป ทุกข์และการเวียนว่าย แต่ถ้าเราเจออะไรแล้วให้เป็นกลาง เย็น วาง สงบ จบ เป็นธรรมะ ไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรร้าย ไม่มีอะไรชอบ ไม่มีอะไรชัง ทุกอย่างคือธรรม จบไหม พ้นทุกข์ไหม แต่มนุษย์เห็นแล้วอดไม่ได้ เห็นแล้วยอมไม่ได้ เห็นแล้วอยาก เห็นแล้วโกรธ เห็นแล้วหลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความโกรธ ความอยาก ความโลภ ความหลงจึงเป็นจิตใจที่ไม่เป็นกลาง เป็นจิตใจที่ไม่สงบ ไม่จบ เป็นจิตใจที่ไม่วางและเป็นจิตใจที่ไม่เห็นถึงธรรมแล้วยอมรับความจริง ฉะนั้นถ้าอยากเป็นคนดีจงรู้กาย รู้ใจ รู้จิต รู้ตน เเละยอมรับความจริงอย่างเป็นกลาง สงบ วาง จบ เย็น ถ้าทำได้ความดีจะนำพาให้ท่านพบความเป็นพุทธะในตัวตน ความเป็นกลางเรียกว่าความปกติ ถ้าเราเป็นกลางปกติ ไม่ต้องรักษาศีลเราก็มีศีล เมื่อเจออะไรสงบ จบ ไม่ต้องนั่งสมาธิเราก็มีสมาธิ เมื่อเราเห็นอะไรรู้เเจ้งเเจ่มชัด ปกติสงบวางเย็น นั่นคือมีภาวนาปัญญาเข้าถึง ยากไหม
ฉะนั้นคำว่าเป็นพุทธะ จึงมีคำว่า เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ เท่านั้นเอง ถ้าทำได้ก็จบ จบกรรมด้วย สิ้นทุกข์ด้วย ที่เหลือมีชีวิตต่อไปคือเเค่ใช้กรรมเก่า ไม่สร้างกรรมใหม่ เเต่มนุษย์ปัจจุบันไม่ใช่ เจออะไรอยากดีเเล้วก็หวังคนอื่นอยากดี แต่ความหวังอยากดีนั้นกลายเป็นโลภ กลายเป็นเกลียด กลายเป็นยึดมั่น ผลที่สุดก็หนีไม่พ้นทุกข์ การเวียนว่าย การต่อล้อต่อเถียง เหมือนเราจะกล่าวสุดท้ายว่าถ้าความสุขของเราคือการทำร้ายคุณธรรมผู้อื่น คือการเบียดบังความสุขของผู้อื่น เเละจับผิดผู้อื่นอยู่ร่ำไป นั่นไม่ใช่หนทางความสุขเเล้วไม่สามารถเรียกตนเองว่าคนดี คนที่ดียอมรับทุกสิ่ง เหมือนนิ้วยังไม่เท่ากัน แล้วชีวิตจะเท่ากันหรือ เเล้วคนจะเท่ากันหรือ เเล้วความไม่เท่ากันนั้นคือธรรมใช่ไหม
ยอมรับได้ วางใจได้ เย็นได้ เป็นกลางได้ สงบได้ จบ ศีลสมาธิปัญญาอยู่ที่ตัวเรา ฉะนั้นปฏิบัติธรรมตรงไหน ที่ตัวเรานี้และทุกที่ก็ปฏิบัติธรรม และทุกคนก็สอนให้เราปฏิบัติธรรม ไม่เรียกร้องใคร ทำที่ตัวเรานี้ ดังคำกล่าวว่า จิตใจเป็นรากฐานของชีวิต ถ้าใจซื่อตรง ใจดีงาม ชีวิตก็ซื่อตรงดีงาม แต่ถ้าใจเต็มไปด้วยความยึดมั่นถือมั่น โลภ โกรธ หลง ชีวิตก็หนีไม่พ้น เวรกรรมและการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ฉะนั้นเรากำลังแค่บอกทางอีกทางหนึ่งที่ท่านตอนแรกไม่อยากจะเอา แต่จริงๆ เป็นทางที่ง่ายที่สุดที่ท่านน่าจะเอา จริงไหม (จริง)  ไม่ต้องขอบคุณเราแต่เราควรจะขอบคุณท่าน ที่ทำให้เราได้มีโอกาสมาผูกบุญสัมพันธ์กับทุกท่าน
อย่าดูถูกคุณค่าตัวเอง เริ่มต้นจากความดี ความดีมีคุณค่า มีพลังอันดีงามมหาศาล แต่อยู่ที่ว่า เข้าใจความดีและมุ่งมั่นทำดีหรือยัง เพราะความดีเป็นรากฐานของบุญกุศล คุณธรรมและหนทางแห่งความเป็นพุทธะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก ไม่เชื่อเราไม่เป็นไร แต่เชื่อในความดีของตัวท่านเอง ว่าความดีนั้นยิ่งใหญ่ได้ ขอแค่เพียงท่านไม่ดูถูกคุณค่าตัวเอง และหลงไปทำผิดตามกิเลสอารมณ์ตัวเอง มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก




วันอาทิตย์ที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙                        สถานธรรมถงซิน  จ.ราชบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ปราชญ์ไม่กลัวว่าตนผิดรู้แก้ไข         มีสิ่งใดก็กล้ามองย้อนดูตัว
ถูกหรือผิดก็เห็นชัดไม่พันพัว              ยิ่งรู้ตัวก็ยิ่งกล้าแก้ไขไว
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานถงซิน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว            ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคน
                                      อยากให้อาจารย์อยู่ร่วมผูกบุญสัมพันธ์ไหม

  เดินทางผิดยิ่งเดินก็ยิ่งเหนื่อย           เดินจนเมื่อยก็ยังไปไม่ถึง
ทั้งทิฐิมานะฉุดรั้งดึง                      เอ็นขาตึงจบไม่แจ้งทางเบื้องบน
ตรวจสอบตนก้าวย่างเส้นทางไหน       ทำอะไรคือใครบนถนน
รู้จักตัวไม่ต้องกลัวจะอับจน              รู้จักตนว่าผิดรีบแก้ไขตัว
ยากลำบากเป็นเรื่องปกติ                 มีสติมีปัญญาคอยคุ้มหัว
มีหิริโอตัปปะไม่ต้องกลัว                  กิเลสยั่วสังคมยุกดไม่ลง
เดินทางธรรมทำหน้าที่ตนให้ดี           ชีวิตมีเป้าหมายไม่เดินหลง
บำเพ็ญธรรมด้วยใจที่มั่นคง              เมื่อมุ่งตรงจงพากเพียรในทุกกาล
จงศึกษาธรรมะให้ต่อเนื่อง               ให้ฟูเฟื่องให้ดวงจิตให้ห้าวหาญ
เพื่อฟื้นฟูพุทธจิตธรรมญาณ              ด้วยเบิกบานเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน
                                                                        ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

จะเล่นก่อนหรือจะคุยธรรมะก่อนดีระหว่างเลขหนึ่งกับเลขสามอะไรมีค่า มากกว่ากัน ไหนใครว่าเลขหนึ่งยกมือขึ้น ไหนใครว่าเลขสามยกมือขึ้น คนที่มีเลขสามรู้สึกจะน้อยกว่าเลขหนึ่งนะ
อย่างนั้นให้คนข้างหน้าช่วยตอบดีกว่าว่าจะถูกใจอาจารย์ไหม เมื่อสักครู่ศิษย์เลือกเลข 1 หรือเลข 3 (เลขสาม)  ทำไมถึงมั่นใจว่าเลข 3 มีค่ามากกว่าเลข 1 ปกติ 3 ต้องมีค่ามากกว่า 1 ใช่ไหม แต่ทำไมบางคนกลับบอกว่าฉันต้องเป็นที่ 1 ไม่ใช่ที่ 3 ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่าบางครั้งถ้าศิษย์อยู่ในโลก อย่าให้ปรากฏการณ์ที่มีอยู่เเค่คิดได้จำกัดจำเขี่ย เเล้วบอกว่ามันมีคุณค่าเเค่จำกัดจำเขี่ยที่ตนเองคิดได้ ถูกไหม (ถูก)  ที่หนึ่งไม่ได้ได้ที่สาม ทำไมฉันไม่เป็นที่หนึ่ง เเต่ถ้าเกิดให้แอปเปิลหนึ่งลูกกับให้แอปเปิลสามลูกชอบอันไหนมากกว่ากัน (สามลูก)  เเต่ถ้าเกิดสมมติว่าเขาเดินมาเเล้วอาจารย์หยิบผลไม้มาให้เขาเป็นคนที่หนึ่ง เเต่เราได้เป็นคนที่สาม เราพอใจไหม (พอใจ)  ใช่หรือ ทำไมไม่ให้ฉันก่อน บางทีได้หนึ่งเหมือนกันเเต่ทำไมฉันได้ทีหลัง แต่เขาได้ก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า เเท้จริงเเล้วหนึ่งหรือสามอะไรมีค่ามากกว่ากัน ถ้ามนุษย์คิดได้อย่างนี้ตลอดก็คงไม่ถูกเหตุการณ์ในโลกปั่นหัวจนต้องเป็น ทุกข์ จริงไหม (จริง)  บางครั้งเรายืนตำเเหน่งหนึ่งหรือยืนตำเเหน่งสามมันก็ไม่ทำให้เราทุกข์ได้ ถ้าเรามองออกคิดได้ จริงไหม (จริง)  เเต่บางคนรับไม่ได้ ทำไมฉันต้องเป็นที่สาม ทำไมฉันไม่เป็นที่หนึ่ง หรือทนไม่ได้ทำไมฉันได้เเค่หนึ่งเเต่เขาได้สาม ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจว่าเเท้จริงเเล้วไม่มีอะไรมากกว่าอะไร เเต่อยู่ที่ว่าตอนนั้นอะไรเกิดขึ้นเเล้วทำให้เรารู้สึกว่าอะไรมากหรือน้อยไป เท่านั้นเองจริงไหม (จริง) เหมือนตอนนี้ดูเหมือนว่าในห้องนี้อาจารย์ดูเหมือนใหญ่ที่สุด แต่พอผ่านเวลาไปอาจารย์หรือตัวศิษย์ไม่มีใครสูงไม่มีใครต่ำ ฉะนั้นเมื่อมนุษย์เรามองได้เช่นนี้และมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีคุณค่า เท่ากัน อาจารย์ถามว่าความทุกข์ความสุขมันจะบีบใจเราได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าเรารู้จักมองให้มันกว้างๆ อย่ามองอย่างตายตัว อย่ามองแต่แค่ตามความรู้ที่เขาเล่าสืบๆ ต่อกันมาหรือสิ่งที่เข้าใจตามๆ กันมา ศิษย์เชื่อคนง่ายไหม ขนาดคนในบ้านพูดอะไรเชื่อไหม (ไม่เชื่อ)  แต่อาจารย์แปลกใจ หมอดูไม่รู้ว่ามีวิชาหรือเปล่า แต่เชื่อ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ความทุกข์ของมนุษย์อีกอย่างคือชอบเดาใจคนอื่น อย่างนั้นถ้าอาจารย์บอกว่าไม่ถูกใจ
ศิษย์ของอาจารย์ในที่นี้เคยยอมรับผิดบ้างไหม (เคย, เคยเป็นบางอย่าง)  เคยเป็นบางอย่าง แต่กว่าจะยอมรับผิดได้นี่นานเลยใช่ไหม  มีคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า มนุษย์กลัวแก่ กลัวเจ็บ กลัวตาย แต่พุทธะไม่กลัวแก่ กลัวเจ็บ กลัวตาย แต่ท่านกลัวการเกิด สิ่งที่น่าเศร้ามากที่สุดของมนุษย์ที่พระพุทธะมองเห็นก็คือ มนุษย์โดยส่วนใหญ่ไม่ค่อยกล้ายอมรับผิด และอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่ชอบเป็นผู้แพ้ และอีกอย่างหนึ่งที่น่าเศร้าก็คือ ไม่ค่อยชอบยอมก้มหัวให้ใคร จึงทำให้เรื่องบางเรื่องจากที่ง่ายๆ ก็กลายเป็นเรื่องยาก เพราะว่าผิดไม่ได้ แพ้ไม่มี ยอมไม่เป็น แต่ถ้าเราอยากก้าวหน้าขึ้น เราอยากเรียนรู้มากขึ้น เราอยากเข้มแข็งมากขึ้น เราต้องกล้าผิด กล้ายอม กล้าแก้ไข แต่ศิษย์สังเกตดูได้ คนในโลกผิดไม่ได้ ยอมไม่เป็น แพ้ไม่มี สังเกตว่าคนพวกนี้อยู่ในโลกแล้วเป็นอย่างไร เป็นคนที่ไปอยู่ไหนก็ไม่มีใครเอา ไม่มีใครรัก เพราะแพ้ไม่เป็น ผิดไม่ได้ ยอมไม่ได้ อย่างนั้นตัวเราเป็นแบบนี้บ้างไหม (ไม่เป็น, เป็นบางที)  เป็นไหม (เป็น)  กล้ายอมรับก็ดี แต่มักจะยอมรับตอนไหน ตอนที่เสียใจไปแล้ว ไม่น่าทำเลยศิษย์ บางคนมักจะถามอาจารย์ว่า เราอยู่ในโลกเป็นคนดีก็พอแล้ว จะต้องปฏิบัติธรรมอะไรนักหนา เป็นคนดีก็พอแล้ว จะปฏิบัติธรรมอะไรเยอะแยะ บุญก็ทำ แล้วยังต้องปฏิบัติธรรมฟังธรรมอะไรอีกเยอะแยะ ไม่ไหวแล้วแค่นี้ชีวิตก็ยุ่งแล้ว แล้วอาจารย์ถามหน่อยคนดีทั้งหลายเอ๋ย ศิษย์เคยเห็นคนดีบางคนไหมที่ประเภทแบบว่า ถ้าคนนี้ชอบกลุ่มนี้ชอบ  ดีใจหายเลย แต่ถ้ากลุ่มนี้ไม่ชอบเป็นยังไง (ไม่ชอบ)  เคยไหมคนดีบางคนเวลารู้สึกดี เขาก็ทำดีได้ที่หนึ่งเลย แต่คนดีถ้าบางทีรู้สึกแย่หรือเกลียดใคร คนดีนั้นก็พร้อมที่จะทำร้ายได้เป็นที่หนึ่งเหมือนกัน ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าจิตใจดีศิษย์ก็ทำดีกับคนๆ นั้นได้เต็มที่ถูกไหม แต่ถ้าจิตใจแย่ศิษย์ ก็เกลียดคนนั้นได้เต็มที่ อาจารย์ถามง่ายๆ สมมติว่าคนดีประเภทหนึ่งที่อาจารย์เคยเจอเคยเห็น อย่างเช่นตอนนี้มีคนบอกว่า มีซองกฐินมาอยากทำบุญไหม มีเงินทำก็ดีนะ หนูก็ดีนะอาจารย์แต่ช่วงที่ดีก็แบบว่า มาอีกแล้วหรือ ตอนนี้ก็ร่อยหรอเต็มที่แล้วนะ ยังมาอีกแล้วหรือ แล้วบางทีอ้าวเขาใส่ซองกันไม่ใส่หรือ เขาใส่กัน เริ่มหงุดหงิด แล้วก็ควักออกมาใส่อย่างเกรงๆ เอาไปยี่สิบเต็มที่แล้วนะ ถามว่าดีไหม จริงๆ เขาก็ดี แต่อาจารย์จะบอกให้ทำไมอาจารย์ถึงยกตัวอย่างแบบนี้ ทำไมอาจารย์ถึงอยากให้ศิษย์ศึกษาและปฏิบัติธรรม เพราะการศึกษาและปฏิบัติธรรมสอนให้เรารู้จักฝึกจิต เพราะจิตที่ยิ่งฝึกมาดีแล้ว เมื่อเจอความเป็นจริงในโลกมันจะไม่ทุกข์ แล้วก่อเกิดเป็นกิเลสหรือก่อเกิดเป็นคนดี อันธพาลฟาดหัวฟาดหางใคร เพราะจิตที่ฝึกมาดีแล้ว จิตที่ฝึกธรรมมาดีแล้ว จิตที่อบรมธรรมมาเข้าใจแล้ว มันจะทำให้เราพอเจอความเป็นจริงของโลก ไม่ก่อเกิดเป็นกิเลส ไม่ก่อเกิดเป็นบาป ไม่ก่อเกิดเป็นทุกข์และทำร้ายใคร
อย่างนั้นพอเข้าใจหรือยังว่าทำไมต้องอบรมธรรม เพราะการอบรมธรรมก็คืออบรมจิต ให้รู้แล้วยิ่งรู้ยิ่งขึ้น ให้ตระหนักชัดแล้วให้กระจ่างถ่องแท้ขึ้น ในโลกใบนี้ ทุกสิ่งที่เราอยู่ล้วนมีธรรมชาติ และในธรรมชาตินั้นมี   สัจธรรมอยู่ ฉะนั้นสัจจะคือแกนคือใจความสำคัญของธรรมชาติของทุกชีวิต ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจแกนหลัก ถ้าเราเข้าใจในหลักของธรรมชาติของชีวิต เราก็จะสามารถนำพาชีวิตได้ถูกต้อง นอกจากนำพาชีวิตได้ถูกต้อง เราก็จะมีชีวิตอยู่ร่วมกับชีวิตอื่นได้อย่างสดชื่นแจ่มใส
ฉะนั้นการศึกษาหลักธรรมก็คือทำให้เรามองเห็นว่า ในทุกสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติมีสัจธรรม ถ้าผู้ใดเห็นแจ้งในสัจธรรม ผู้นั้นจะกล้ายอมรับความเป็นจริงของโลกใบนี้ แล้วไม่ทุกข์ อาจารย์ถามง่ายๆ ในตัวเรามีแก่นไหม ในตัวเรามีใจหลักไหม (มี)  มีใจ ฉะนั้นในแก่นใจนี้ ถ้าเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าธรรม และในทุกสิ่งก็มีแก่นที่ใจเหมือนกันคือธรรมเหมือนกัน ถูกไหม (ถูก)  ในเก้าอี้ ในโต๊ะ ในผลไม้ ก็มีแก่นที่เป็นธรรมอยู่เหมือนกัน และธรรมนี้ที่ทำให้เราสามารถ ถ้าเข้าใจหนึ่งก็จะรู้ถึงสรรพสิ่ง ฉะนั้นถ้าเมื่อไหร่เราเรียนรู้ศึกษาธรรมแล้วเข้าใจแก่นแห่งหลักสัจธรรม เราก็จะเข้าใจชีวิตทุกชีวิต และเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต ฉะนั้นเมื่อความเป็นจริงมาถึงเราก็จะไม่ทุกข์ ถ้าอาจารย์ถามว่า แล้วอะไรคือแก่นหลักสัจธรรมที่ถ้าเราเข้าใจแล้วเราจะอยู่บนโลกแล้วไม่ทุกข์ (การปล่อยวาง การทำใจเป็นกลาง)  ระหว่างปล่อยวางกับทำใจเป็นกลางอันไหนใช่ ศิษย์เอยใครที่ตอบปล่อยวางคิดให้ดีๆ เพราะสัจธรรมชีวิต ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า สิ่งใดมีความเกิดสิ่งนั้นมีความดับ ถ้าเราปล่อยวางเเปลว่าเรากำลังยึดไม่ยอมรับความจริง ไม่เข้าใจ      สัจธรรม อย่างนั้นคำว่าปล่อยวางกับเป็นกลางอะไรถูกกว่ากัน (เป็นกลาง)
ฉะนั้นศิษย์จำไว้ธรรมะ อยากหาทางพ้นทุกข์ ไม่ใช่เเสวงหาจากภายนอก ไม่ใช่คิดเอาเเต่พึ่งคนอื่นเเต่ต้องเเก้จากภายในเเละพึ่งที่ตนเอง เพราะความทุกข์เกิดขึ้นในความคิด ใครจะหยุดความคิดเราได้นอกจากเข้าใจ เหมือนศิษย์คิดเลขหนึ่งบวกหนึ่ง ศิษย์ตอบได้ทันที ไม่ต้องคิดเพราะว่าเข้าใจจนกระจ่าง เเต่ถ้าหนึ่งบวกสี่ลบห้าหารหกหารเจ็ดหารแปดหารเก้า เป็นเท่าไหร่ ถ้าต้องคิดเเปลว่าเราไม่เข้าใจ ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจ ทำไมต้องคิด ถ้ายังคิดเเปลว่าไม่เข้าใจ ฉะนั้นถ้าเข้าใจเเล้วเราจะคิดให้ทุกข์ไหม (ไม่) 
มีใครตอบอาจารย์ได้อีกเรื่องสัจธรรมชีวิตที่จะทำให้เรายอมรับความเป็นจริงในโลกนี้ได้เเล้วไม่เป็นทุกข์คืออะไร 
การยอมรับหรือ การฝึกจิต การเดินทางสายกลาง ทำใจเป็นกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา)  มัชฌิมาปฏิปทา แล้วตอนนี้เราเดินกลางหรือเราเดินเอียง
เมื่อสักครู่ศิษย์ตอบว่าทางสายกลางใช่ไหม แล้วศิษย์ว่าการเดินทางสายกลางบนโลกใบนี้ยากไหม (ยาก, ไม่ยาก)  ส่วนใหญ่เราจะรักลำเอียงกัน โลกใบนี้มีสองด้านเสมอ จะให้ศิษย์เป็นกลางมันยาก ใช่ไหม (ใช่)  มีหน้ามือก็มีหลังมือ มีด้านหน้าก็มีด้านหลัง ถ้าอาจารย์ถามว่า ถ้ามนุษย์ปกติไม่ทำอะไร เป็นกลางไหม (ไม่กลาง)  ที่บอกว่าไม่กลางเพราะยึด กำลังยึดติดอดีตอยู่เพราะอดีตไม่ค่อยกลาง แต่ถ้าอาจารย์บอกว่าเดี๋ยวนี้ตรงนี้ เรากลางไหม (กลาง)  เราเป็นกลางระหว่างหน้ากับหลัง เราเป็นกลางระหว่างขุ่นกับใส เราเป็นกลางระหว่างนอกกับใน เราเป็นกลางระหว่างเธอกับฉัน ใช่หรือไม่ จริงๆ ถ้าเราไม่มีอารมณ์ ไม่มีกิเลส ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ทุกคนเป็นกลางอยู่แล้ว แต่เมื่อไรที่เอาตัวเองเข้าไปใส่แล้วเกิดการเปรียบเทียบ เริ่มไม่กลาง ใช่ไหม (ใช่)  เช่นนั้นเราจะมัวมีชีวิตจมอยู่กับตรงนี้หรือจะเลือกมองให้กว้างๆ (มองให้กว้าง)  เราจะมัวจมอยู่กับความคิดความรู้สึก ฉันผอมกว่า หุ่นดีกว่า ฉันมีสุขกว่า หรือเราควรจะมองแค่ตรงนี้ ชีวิตก็เหมือนกันศิษย์ จริงๆ เรามีความเป็นกลางอยู่ทุกขณะ แต่บางครั้งสถานการณ์มันหลอกเรา หลอกเราให้เราหลงว่า นี่คือสุข นี่คือทุกข์ แต่ถ้าศิษย์มองความเป็นจริงที่เรียกว่า “สัจธรรม” สัจธรรมสอนว่า ไม่มีใครสูงกว่าใคร ไม่มีใครต่ำกว่าใคร แต่ที่เรารู้สึกสูงต่ำเพราะเราเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่จนไม่มองความจริง เหมือนตอนเราอยู่กับสามีเราทุกข์ แต่เมื่อใดเราออกไปอยู่กับเพื่อนได้ไปเที่ยว มีความสุข อยู่กับแม่มีความทุกข์ แต่พอไปอยู่กับเพื่อนมีความสุข ฉะนั้นเมื่อไรที่จิตยังกวัดแกว่งไปตามสถานการณ์แล้วเกิดได้ เรียกว่า เกิดยินดียินร้าย เกิดสุขทุกข์ นั่นเรียกว่าห่างไกลจากสภาวธรรมความเป็นจริง และหลงใหลไปตามกิเลสที่เรียกว่า ชอบ ชัง ดี ร้าย ได้ เสีย ทุกข์ สุข เริ่มมาเต็มไปหมดเลย แต่ถ้าเราเข้าใจสภาวธรรม เราก็จะมองว่า เท่านั้น แค่นั้น จิตก็เป็นกลาง แต่มนุษย์อดไม่ได้ ชอบเอาตัวเองไปใส่ เมื่อเอาตัวเองไปใส่ที่ดวงตา ก็เริ่มบอกแล้วว่าอันไหนสวย อันไหนไม่สวย เมื่อเอาตัวเองไปใส่ในหู เกิดอันไหนเพราะ อันไหนไม่เพราะ เมื่อเอาตนเองไปอยู่กับปาก เกิดมีอะไรอร่อย ไม่อร่อย เเต่ลองถอดตนเองเเล้วมองตามจริง ถอดตนเองออกจากหูเเล้วฟังตามความเป็นจริง อะไรคือคำชื่นชมอะไรคือนินทา เเล้วชื่นชมดีกว่านินทาหรือ หรือนินทาเเย่กว่าชื่นชมไหม ถูกไหม (ถูก) 

(พระอาจารย์เมตตาให้นำกระดาษเเล้วจุดสีดำกลางกระดาษ) 


  

เห็นอะไร (จุด,กระดาษ)  มนุษย์ชอบเป็นบ่อยๆ เวลามองเห็นอะไร ส่วนใหญ่สิ่งที่เห็นที่สุดคือเห็นจุดดำตรงกลางกระดาษ เเต่เราลืมสีขาวที่เหลือข้างๆ จุดดำไหม เหมือนกับบางคนเจอทุกข์เเล้วทนไม่ได้เขาทิ้งหนูเขาทำร้ายหนูเขาด่าหนูหนูจะตาย ใช่ไหม เรามัวเเต่เห็นจุดดำจนลืมคุณค่าความขาวที่เราเหลืออยู่ในชีวิตหรือไม่ เรามัวเเต่หลงกับสถานการณ์ที่ผ่านเเล้วจบไปแล้ว และยังจมอยู่กับความทุกข์ เหมือนตอนนี้อาจารย์ถามว่าสุขหรือทุกข์ ถ้าจมอยู่กับอดีตก็จะบอกทั้งสุขทั้งทุกข์ เเต่รู้สึกจะทุกข์มากกว่าสุข เเต่ถ้าเราเข้าใจสัจธรรมว่า น้ำไหลผ่านจึงก่อเกิดบริสุทธิ์ เเต่ถ้าน้ำเอาเเต่ขังไว้ย่อมเน่าเหม็น ชีวิตเมื่อล่วงผ่านไปแล้วจะเก็บไว้ให้เน่าเหม็นหรือเรียนรู้เข้าใจ (เรียนรู้)  จริงหรือ แล้วศิษย์รู้ไหมว่าการเก็บความดีของคนอื่นไว้   จนลืมนึกถึง แล้วเอาความไม่ดีมาด่าเอามาบ่นเอามาว่า มันคือการจองเวรจองกรรม เกี่ยวกรรมไม่จบสิ้น เราอยากเป็นอย่างนั้นหรือ (ไม่อยาก)  ไม่อยากแล้วเราเป็นไหม (เป็น)  เวรคือการกระทำที่ยืดเยื้อ บุญคือการชำระล้างเพื่อกลับคืนสู่ความบริสุทธิ์ กุศลคือเครื่องชำระล้างกิเลสจนไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ ฉะนั้นที่ผ่านมาเรากำลังแบกบุญหรือแบกบาป เรากำลังแบกกรรมหรือแบกเวร ไม่อยากเกี่ยวกรรมแต่ทุกวันที่กระทำอยู่คือเกี่ยวกรรม ฉะนั้นมือหนึ่งเราสร้างดี แต่หนึ่งเราก็เกี่ยวกรรมบาป ฉะนั้นจะบอกว่าคนดีไม่มีบาปไม่ได้
(พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียนกินลูกแอปเปิลหรือสาลี่)
ถามว่ากินแล้วมีทุกข์เหมือนกัน กินไหม (ไม่กิน) เอาไหม (ไม่เอา)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจแก่นแท้ของความเป็นจริงในโลก เราก็คงแค่เห็นแล้วก็แค่นั้นแล้วก็ไม่ยุ่ง เพราะรู้อยู่ว่าถ้าไปจับไปยุ่งกับมัน มันจะเป็น (ทุกข์)  อย่างนั้นถ้าเราเข้าใจแก่นแท้ความเป็นจริงที่เรียกว่าสัจธรรม ศิษย์เอ๋ยสิ่งที่เรียกว่าทุกข์ ถามว่าในตัวเราถ้ามันเป็นทุกข์เอาไหม (ไม่เอา)  ยึดไหม (ไม่)  รักไหม (ไม่รัก)  หวงไหม (ไม่หวง)  โม้ทั้งเพ จริงไหม อาจารย์บอกให้ว่าเอาเถอะ กินแล้วมันมีทุกข์ แต่ศิษย์อย่าลืมนะ พระพุทธะบอกว่า ที่ใดที่มีทุกข์ที่นั่นมีทางดับทุกข์ ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นมีทางพ้นทุกข์ ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่าใจคือที่ที่มีทุกข์ แต่ใจก็คือที่ที่พ้นทุกข์ อย่างนั้นตอนนี้ถ้าใจศิษย์ทุกข์งั้นใจศิษย์ก็คือทาง (พ้นทุกข์)  ถ้าใจศิษย์กำลังเจ็บใจศิษย์ก็คือทางออกของความทุกข์ ถูกไหม แต่ศิษย์ต้องแยกให้ออกว่า เป็นทุกข์แห่งความเป็นจริงของสังขาร หรือเป็นทุกข์ของความรู้สึก ทุกข์ของความคิดที่ไม่มองความจริง เหมือนตอนนี้ถ้าโดนอาจารย์ตีดังโป๊ะ ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทุกข์ตรงไหน อย่างนั้นถ้าเรามองออก มองความเป็นจริง ศิษย์ต้องมองความเป็นจริงก่อนว่า ในตัวนี้มีอยู่สองส่วน หนึ่งสังขาร สองจิตเดิมแท้ สังขารหนีไม่พ้นสัจจะความเป็นจริงคือ (เกิด แก่ เจ็บ ตาย)  รู้นี่ เป็นเพียงสังขาร ฉะนั้นเราหนีความแก่ได้ไหม (ไม่ได้)  เราหนีความเจ็บได้ไหม (ไม่ได้)  เราหนีความตายได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นเมื่อความทุกข์ของความแก่เจ็บตาย ทุกข์คือสิ่งที่ทนได้ยาก ต้องแปรเปลี่ยนไปคือส่วนหนึ่งของชีวิต ฉะนั้นถ้าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตแปลว่าสังขารเราต้องเจ็บ สังขารต้องตายเป็นเรื่อง (ธรรมดา)  สังขารต้องแก่เป็นเรื่อง (ธรรมดา)  แต่ถึงเวลาธรรมดาไหม (ไม่)  ฉะนั้น ถ้าอาจารย์บอกว่าศิษย์ลองเอาตัวเองออกมามองสังขารสิ เจ็บเป็นเรื่อง (ธรรมดา)  ตายเป็นเรื่อง (ธรรมดา)  แต่เมื่อใดที่เราเริ่มเอาตัวไปยึดสังขาร เจ็บมันเริ่มไม่ธรรมดา ตายมันเริ่มไม่ธรรมดา แล้วถึงที่สุดเราหนีความเจ็บความตายได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อไม่ได้แล้วเราจะเจ็บใจซ้ำไหม (ไม่)  ถ้าอย่างนั้นเราควรจะเจ็บแค่กายแต่อย่าเจ็บใจ แก่แค่กายแต่ใจอย่าแก่ กายแก่แต่ใจยังสาวอยู่ แต่ทำไมเวลาความเจ็บมาไม่คิดแบบนี้บ้าง กายหนูเจ็บ แต่ใจหนู (ไม่เจ็บ)  ได้ไหมมันยากอาจารย์ มันอยู่ติดมาตั้งนานแล้ว
อาจารย์บอกให้ว่า จริงๆ แล้วพระพุทธะกล่าวว่า สมมติว่าจิตหรือที่ศิษย์เรียกว่าวิญญาณนี้ มันออกจากร่างกายไป เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าศพ หรือเรียกให้เพราะๆ คือ สังขารที่ไร้วิญญาณ หรือเรียกตามธรรมะคือ กองทุกข์ ฉะนั้นเมื่อจิตออกไป ร่างกายนี้จะโดนคนเผา เจ็บไหม (ไม่เจ็บ)  จะโดนคนตีเจ็บไหม (ไม่เจ็บ)  จะโดนคนทำร้ายปวดไหม (ไม่ปวด)  แต่เมื่อไรเอาจิตญาณใส่เข้าไป เริ่มเจ็บ เริ่มปวด เริ่มรู้สึกสุขทุกข์ ถูกไหม (ถูก)  แล้วศิษย์รู้ไหมว่าจิตญาณนี้ ท่านยังสอนให้เรารู้อีกอย่างหนึ่งว่า นอกจากเรียกว่าความรู้สึก ยังเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าจิตญาณ แล้วศิษย์รู้ไหมว่าจิตญาณนี้มีความพิเศษอย่างหนึ่งเรียกว่า ธาตุรู้ รู้ที่เป็นรู้ตัวเดียวกับรู้ที่เรียกว่าพระพุทธะ พุทธะคือผู้รู้ตื่น รู้เบิกบาน อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้ว่า ศิษย์เอ๋ยจงดีใจนะว่าจิตญาณที่อยู่ในสังขารนี้ นั้นมีธาตุรู้อยู่ แล้วธาตุรู้ตัวนี้ที่จะนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์บนโลกใบนี้ได้ แล้วรู้อย่างไรล่ะถึงจะพ้นทุกข์ ง่ายนิดเดียวศิษย์ รู้ซื่อๆ รู้ตรงกลาง ไม่เพิ่ม ไม่แต่ง อะไรมา ซื่อๆ ตรงๆ ไม่เพิ่ม ไม่แต่ง ไม่ให้ค่า ไม่รัก ไม่ยินดี ไม่ผลักไส ความโกรธมาก็รู้ว่ามี โกรธมา เดี๋ยวโกรธก็ไป มีอยากมา เเล้วอยากก็ไป อย่างนี้แหละ ธาตุนี้แหละ ถ้าเมื่อใดที่รู้ทุกขณะที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แล้วไม่กลายเป็นกิเลส ไม่กลายเป็นโลภ ไม่กลายเป็นโกรธ ไม่กลายเป็นหลง ไม่กลายเป็นตัวตนที่ยึดถือ ทำไม รู้แบบกลางๆ ที่ศิษย์ตอบนี้ รู้แบบซื่อๆ รู้แบบตรงๆ จบรู้แบบเย็นสบาย แต่มนุษย์ไม่ใช่ ต้องโกรธ ต้องอยาก อาจารย์ถามว่าวิ่งไปตามความโกรธ ตามความอยาก ตามความเจ็บเพื่อตัวตนที่ถึงที่สุดเเล้วมันก็ไม่ใช่ของเรา เพราะถึงที่สุดสังขารก็ต้องทิ้งไว้ในโลกนี้ เหลือเเต่จิตญาณ เเล้วเรากำลังจะหาเพื่ออะไร อาจารย์ ศิษย์ยังมีห่วงอยู่ หาเพื่อลูกหลาน หาเเทบตายถ้าลูกหลานไม่ขยัน ก็ถูกหลอกไป เเต่มนุษย์ก็ยังอดไม่ได้ เเล้วเราทำได้แบบนั้นไหม ฉะนั้นถ้าเรามีธาตุรู้อยู่ในตัวเราเเล้วเรารู้ความจริงของโลกใบนี้อย่างแจ่มชัด โลกนี้ไม่มีทางลวงให้เราหลงได้ เเละใครก็ไม่มีทางลวงหลอกใจเราได้ เพราะเรามีตัวรู้ ตัวรู้ยังเเยกออกไปอีก ถ้าระลึกได้เรียกว่าสติ ถ้ามองเห็นเเจ่มชัดนี้เรียกว่าปัญญา  เเต่เรารู้ถึงขั้นนั้นไหม (ไม่)  เเล้วตอนนี้พอรู้บ้างหรือยัง (รู้แล้ว) 
สิ่งที่อาจารย์พูดยากเกินเข้าใจหรือเปล่า ยากไหม แต่ถ้าอาจารย์พูดว่าทำอย่างไรให้รวย คงสนใจมากกว่า แต่อาจารย์ไม่พูดเรื่องนี้เพราะสิ่งนั้นมันก็ยังทำให้ทุกข์และหนีไม่พ้นทุกข์ ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมก็คือนอกจากมองเห็นความเป็นจริงในโลกใบนี้แล้ว เราต้องรู้จักควบคุมและรู้เท่าทันกายใจของตนด้วย ถ้ารู้เท่าทันกายใจของตนทุกขณะที่คิด ทุกขณะที่เกิด เราก็จะสามารถควบคุมกิเลสได้ บางทีเราก็รู้ตัวเอง แต่คนบางคนมันก็ไม่ไหว คนบางคนดีก็ดี แต่ถ้าคนบางคนแย่ทำอย่างไร เหมือนกับเวลาเรามองคนแย่ เราเอาแต่มองจุดดำหรือมองกระดาษขาว ทุกวันเราเกลียดคนไหน เราก็เห็นแต่จุดดำตรงนั้น เราเคยเห็นกระดาษขาวเขาบ้างไหม ส่วนคนที่ชอบก็เห็นแต่กระดาษขาว เคยเห็นจุดดำเขาบ้างไหม (ไม่เคย)  แล้วใครที่ทำเราเจ็บปวดมากกว่า กระดาษขาวที่เราลืมเห็นจุดดำ  ส่วนจุดดำเราเกลียดอยู่แล้ว มันไม่เจ็บแล้วมันชาชินแล้ว
ถ้าอาจารย์พูดว่า “ยิ้ม” ศิษย์ก็ยิ้ม อาจารย์พูดว่า “ผงกหัว” ศิษย์ก็ผงกหัวได้ไหม เอาอย่างนี้ลองดูนะ หนึ่งสองสาม ยิ้ม หนึ่งสองสาม ผงกหัว โอ้ว่าง่ายเนอะอย่างนั้นอาจารย์ถามจริงๆ เถอะ คนในโลกมันว่าง่ายอย่างนี้ไหม (ไม่)  แล้วการเอาแต่จงเกลียดจงชัง แล้วพอเจอหน้าเกลียดมันเข้าไส้เลยอาจารย์ อย่าให้เห็นเลย ใช่ไหม การผูกความเกลียดมันทำให้เราเป็นสุขไหม (ไม่)  เขาไม่เปลี่ยน อาจารย์ถามว่า เมื่อเขาไม่เปลี่ยน เปลี่ยนเราดีไหม (ดี)  เมื่อเขาไม่แก้ แก้เราดีไหม (ดี)  แก้ด้วยการยังมุ่งจับผิดเขาหรือว่ามุ่งเลิกมองเขาดี (ไม่มอง)  ไม่มองไม่แคร์ ช่างหัวมันใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายสองคน ที่มีคนอ้วนเเละคนผอมออกมายืน)
ช่วยกันหน่อย เอามายืน เห็นชัดดี ถ้าเป็นอย่างนี้ ชอบใครเกลียดใครดี ชอบใคร ชอบคนนี้ เกลียดคนนี้ดีไหม (ไม่ดี)  งั้นเกลียดคนนี้ดีไหม (ไม่ดี)  งั้นอาจารย์ถามหน่อย ที่ศิษย์บอกว่าศิษย์เกลียด ศิษย์กำลังเอาเขาไปเปรียบกับอะไร ที่ศิษย์บอกว่าศิษย์ไม่ชอบ ศิษย์กำลังมองแค่ความอ้วนผอมตรงนี้ใช่ไหม หรือที่ศิษย์กำลังบอกว่าเกลียดมันจังเลย เพราะศิษย์กำลังเปรียบอะไร ศิษย์กำลังยึดอะไรในใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราเปลี่ยนเขาได้ไหม (ไม่ได้)  เธอผอมเกินไปแล้วนะ อ้วนหน่อยเถอะ เธอผอมหน่อยเถอะ เยอะไปแล้วใช่ไหม ตอนนี้เรากำลังยึดติดอะไรในใจ เเต่ถ้าเราไม่เป็นไร อันนี้ก็ดี จะมีใครเกลียดไหม (ไม่เกลียด)  จะเกลียดใครไหม (ไม่เกลียด)  จะรำคาญใครไหม (ไม่รำคาญ)  น่าจะรำคาญตนเองมากกว่า ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นที่ศิษย์บอกว่าศิษย์เกลียด ที่ศิษย์บอกว่าเขาไม่ชอบ ถามใจตนเองว่าเขาไม่เกลียดเพราะว่าเราไม่มองความจริง เเล้วเรามัวเเต่ยึดติดเเต่ความรู้สึกความคาดหวังของเราหรือเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งที่จริงๆ เเล้วน่าเกลียดไหม (ไม่)  เเล้วเราก็จะรู้ว่าในเมื่อเขาก็ไม่ได้น่าเกลียด เขาก็มีดี เเล้วเราจะทุกข์กับอะไร เเละอะไรคือสิ่งที่ยินดี อะไรคือสิ่งที่ยินร้าย อะไรคือทุกข์ อะไรคือสุข ปัญหาทุกข์ทั้งมวลไม่ได้เเก้ที่เขา ไม่ได้เปลี่ยนที่เขา ไม่ได้ไปจับผิดเขา ยิ่งจับผิดก็ยิ่งหาเหตุให้ตนเองทุกข์ยิ่งมองร้ายก็ยิ่งคิดให้เป็นทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  เขาทำให้ทุกข์เเล้วคิดอย่างไร เกลียด เกลียดเสร็จก็ด่าเเล้วก็ชิงชังเเล้วก็จองเวร ทำไมเพิ่มทุกข์ให้กับตนเอง จากทุกข์ก็กลายเป็นเวรกรรม ฉะนั้นแบบนี้ก็ (ดี)  แบบนี้ก็ (ดี)  ดีทั้งหมด ฉะนั้นจะบ่นไหมว่าอ้วนเกิน (ไม่บ่น)  จะบ่นไหมว่าผอมไป (ไม่บ่น) 
ฉะนั้นการเรียนรู้ศึกษาธรรมเพื่อฝึกจิตให้ยอมรับความเป็นจริง โดยไม่เอาตนเองเป็นศูนย์กลางของทุกเรื่อง เเต่มนุษย์ไปอยู่ที่ไหนชอบเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง เอาตนเองเป็นมาตรฐาน เอาตนเองเป็นแกนวัด อันนี้ไม่ไหว อันนี้ก็ไม่ไหว ฉันดีสุด จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นพอเห็นใครก็จับผิดๆ เเล้วผลสุดท้ายใครทุกข์ ตนเองทุกข์ เเล้วเราเป็นแบบนั้นไหม (เป็น)
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากอยู่ในโลกแล้วไม่ทุกข์ จงกล้าที่จะเรียนรู้ความเป็นจริงแม้ความจริงนั้นจะเกินไปหน่อยก็ตาม หรือแม้ความเป็นจริงนั้นมันจะขาดไปหน่อยก็ตาม เพราะนั่นก็คือความจริง แต่ถ้าเมื่อไรเผลอยึดมั่นก็คือทุกข์ เผลอเกาะเกี่ยวคาดหวังก็คือทุกข์
ฉะนั้นทุกข์ก็คือสิ่งที่หมุนเปลี่ยนไป เปิดใจให้กว้างแล้วมองให้กว้างแล้วมันจะไม่มีอะไรในโลกมาบีบใจศิษย์ให้ทุกข์ ได้แต่ศิษย์จะเห็น มันก็แค่นั้น เท่านั้น ใครด่ามา เสียใจไปแล้วได้อะไร เหมือนทำให้ตัวเองทุกข์ซ้ำ น่าจะยิ้มกับมันนะ ก็ถ้ารู้ว่ามันเป็นทุกข์เหมือนที่อาจารย์บอก ถ้าเป็นทุกข์แบบนี้ คำนินทาก็เหมือนเค้าปามา เราจะเอาใจไปรับแล้วเก็บเอาไว้ให้เน่าใจหรือปล่อยไปแค่นั้น เท่านั้น จบกัน ด้วยสติที่รู้ทัน ศิษย์เอ๋ยต้องมีปัญญาคำด่านี่ บางทีถ้าหลบได้ก็หลบแต่ถ้าหลบไม่ได้ก็แค่นั้น เท่านั้นจบ ทำไมต้องให้เจ็บก่อนแล้วค่อยจบล่ะ (ประสบการณ์ครับ)  มนุษย์ก็เป็นแบบนี้จริงๆ นะ ตอนนี้ใช่เจ็บแค่กายแต่บางอย่างมันซึมลึกถึงใจ
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากอยู่ในโลกแล้วไม่ทุกข์ จงกล้าที่จะเรียนรู้ความเป็นจริงแม้ความจริงนั้นจะเกินไปหน่อยก็ตาม หรือแม้ความเป็นจริงนั้นมันจะขาดไปหน่อยก็ตาม เพราะนั่นก็คือความจริงแต่ถ้าเมื่อไรเผลอยึดมั่นก็คือทุกข์ เผลอเกาะเกี่ยวคาดหวังก็คือทุกข์
ฉะนั้นทุกข์ก็คือสิ่งที่หมุนเปลี่ยนไป เปิดใจให้กว้างแล้วมองให้กว้างแล้วมันจะไม่มีอะไรในโลกมาบีบใจศิษย์ให้ทุกข์ ได้แต่ศิษย์จะเห็น มันก็แค่นั้น เท่านั้น ใครด่ามา เสียใจไปแล้วได้อะไร เหมือนทำให้ตัวเองทุกข์ซ้ำ น่าจะยิ้มกับมันนะ ก็ถ้ารู้ว่ามันเป็นทุกข์เหมือนที่อาจารย์บอก ถ้าเป็นทุกข์แบบนี้ คำนินทาก็เหมือนเค้าปามา เราจะเอาใจไปรับแล้วเก็บเอาไว้ให้เน่าใจหรือปล่อยไปแค่นั้น เท่านั้น จบกัน ด้วยสติที่รู้ทัน ศิษย์เอ๋ยต้องมีปัญญาคำด่านี่ บางทีถ้าหลบได้ก็หลบแต่ถ้าหลบไม่ได้ก็แค่นั้น เท่านั้นจบ ทำไมต้องให้เจ็บก่อนแล้วค่อยจบล่ะ (ประสบการณ์ครับ)  มนุษย์ก็เป็นแบบนี้จริงๆ นะ ตอนนี้ใช่เจ็บแค่กายแต่บางอย่างมันซึมลึกถึงใจ
ศิษย์เอ๋ยบางครั้งถ้ามันเป็นทุกข์แล้วเลี่ยงไม่ได้ หลบไม่ได้ ก็จงรู้จักรับมือและยอมรับความจริง อยู่กับทุกข์โดยไม่ทุกข์ไม่ได้หรือ เหมือนเราถามว่า เราหนีแก่ได้ไหม (ไม่ได้)  หนีเจ็บได้ไหม (ไม่ได้)  หนีตายได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นเมื่อหนีไม่พ้นก็รับความจริงแล้วสุขกับมัน ฉันแก่แล้วดีอาจารย์ หนูได้เจ็บแล้ว อาจารย์พูดจริงๆ เมื่อความตายมาถึง บางครั้งศิษย์จะรู้ว่า ความตายที่มนุษย์กลัวกันนักกันหนา พระพุทธะกลับสอนว่า มันกำลังจะทำให้ศิษย์เป็นอิสระ และไร้ซึ่งพันธนาการใดๆ ในโลกอีกต่อไปแล้ว ทำไมเรามองไม่เห็นนะ มันทำให้เราเป็นอิสระ ปลดเปลื้องจากพันธนาการที่เรากลัว บางครั้งความตายไม่น่ากลัว แต่ความตายคือความสุขอันสงบ สำหรับคนที่ปลดปลงและปล่อยวางได้อย่างแท้จริง แต่การยึดติดแล้วห่วงหาอาทร นั่นคือความทุกข์ที่ไม่จบสิ้น ในเมื่อสังขารมันไม่ใช่ของเรา เหลือแต่จิตญาณ แล้วจิตญาณมันมีตัวตนไหม (ไม่มี)  เมื่อไม่มีตัวตนให้ยึดถือ แล้วเรากำลังจะหาอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์ถามว่า ศิษย์เอ๋ยอะไรคือหลักจริงแท้แห่งสัจธรรมที่มนุษย์เข้าใจแล้วจะทำให้เราไม่ต้องทุกข์ มีอะไรบ้าง (ไม่มีกิเลส กฎของไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)
(ความไม่ยึดติดในตัวตนทั้งๆ ที่ยังไม่ได้มองว่าสิ่งนั้นมีตัวตนหรือเปล่า)  ถ้าศิษย์เข้าใจหลักสัจธรรมทุกสิ่งล้วนอนิจจังทุกข์ขังอนัตตา ไม่ต้องพยายามมอง ไม่มีตัวตน มันก็ไม่มีตัวตนอยู่เเล้ว เเต่เรายึดติดว่ารูปมันเป็นรูป เเต่พุทธะบอกว่า “เเท้จริงรูปมีความไร้รูปอยู่” หรือพูดง่ายๆ ในความเกิดมีความตาย
มีใครตอบอาจารย์ได้อีก (รู้จักปล่อยวาง)  เพราะความเป็นจริงแห่งธรรมสอนเราว่า “สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความดับเป็นธรรมดา” เเต่เมื่อไรที่เรารู้สึกว่าเราต้องปล่อย เเปลว่าเราพยายามยึดมันอยู่ ฉะนั้นมันเกิดเเล้วมันก็ดับจบอยู่ทุกขณะ จบเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสงบ เเต่ถ้าไม่จบมันก็วุ่นวาย
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนหยิบผลไม้ในเสื้อพระอาจารย์ แต่นักเรียนหาผลไม้ไม่เจอ)
หาไม่เจอเลยหรือ (ว่างเปล่าเลย)  บางทีสิ่งที่ศิษย์ไขว่คว้าถึงที่สุดเเล้วก็คือความว่างเปล่า เราเหมือนจับได้ เเต่จริงๆ เราจับอะไรไม่ได้ เราเหมือนครอบครอง เเต่จริงๆ เราไม่เคยครอบครองอะไร เพราะทุกสิ่งพร้อมจะเปลี่ยนไปเสมอ เหมือนมีเเต่จริงๆ มันไม่มี เหมือนได้เเต่จริงๆ มันไม่ได้ บางทีศิษย์รู้เรื่องแก่นสัจธรรมแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ยังไม่ถ่องแท้คือ รู้เท่าทันใจตน ใช่ไหม ธรรมะเรารู้เยอะแต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่รู้คือ ไม่เคยรู้ทันใจตัวเอง
(ต้องปฏิบัติ)  ไม่ต้องปฏิบัติ แต่ทำตอนนี้เลย นั่นก็คือ ทำตอนที่โดนกระทบ ไม่ว่าจะกระทบทางตา กระทบทางกาย หรือกระทบทางใจ เราเอาธรรมมาปฏิบัติได้ไหม มันจบแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ตีจบแล้ว ถูกไหม อาจารย์ตีจบแล้ว แต่ศิษย์จบไหม (ไม่จบ)
ฉะนั้นปฏิบัติธรรมสิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความดับ แต่ที่มันดับไม่ลงจบไม่ได้เพราะว่า ใจเรายังยึดถือ พอยึดถือก็หนีไม่พ้นทุกข์ ทั้งที่จะจบกรรมกัน แต่ไม่จบเกี่ยวกรรมกันต่อไปอีก
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ขันติ วิริยะ”)
อาจารย์จึงอยากให้ศิษย์ลองเอาธรรมะแห่งความเป็นจริงอันนี้ไปใช้ในชีวิตบ้าง ง่ายๆ สั้นๆ เอาไว้เตือนเอาไว้ย้ำจิตใจตัวเองดีไหม ถือเป็นมงคลชีวิตแล้วกัน และเป็นสิ่งคอยเตือนย้ำสติเรา จะได้ไม่เผลอหลงไปกับโลกใบนี้ ดีไหม “ไม่มีสิ่งใดในโลกเป็นของเรา” มาตัวเปล่าใช่ไหม (ใช่)  ต้องทำดี เพราะทำดีมันทำให้เราได้อะไร แต่ศิษย์รู้ไหมว่าถ้าทำดีแล้วหวังผล คนที่มาตัวเปล่ายังต้องกลับไปเกิดเวียนวนเพื่อรับผลบุญที่ตัวเองทำ
แต่ถ้าทำบุญไม่หวังผล คนนั้นมาตัวเปล่ากลับตัวเปล่าอย่างแท้จริงไม่ต้องเวียนวนอีกต่อไป ความหมายไม่เหมือนกันนะ ทำเพื่อเอาบุญ หรือทำไม่เอาบุญไม่เอากุศล ถ้าเอาบุญเอากุศลคือการยึดติดตัวตนเพื่อกลับไปรับบุญกรรมที่ตัวเองสร้าง และยิ่งถ้าเกิดว่าศิษย์ยังไม่สามารถชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ ผลที่รับก็จะไม่มาแค่บุญ แต่จะมาทั้งบุญและกรรม แต่ถ้าเราทำจนถึงไม่มีกรรมแล้ว สิ้นกรรมแล้ว ฉะนั้นที่เหลือก็คือการชดใช้กรรมเก่า พูดง่ายแต่ทำจริงๆ ยาก เพราะมนุษย์มักจะหลงลืมสติ เอาตัวเองไปครอบงำทุกอย่างที่ตัวเองมีตัวเองเป็น ทั้งที่จริงๆ ในโลกใบนี้เราไม่เคยมีและไม่เคยเป็นอะไร จริงไหม (จริง)
ไม่มีใครหนีพ้นความแก่ ความเจ็บ ความตาย แต่เมื่อถึงเวลาแล้วเรารับได้จริงๆ หรือ ฉะนั้นถ้าศิษย์ไม่ฝึกมันไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่รู้จักปล่อยวางบ้าง ศิษย์จะทำใจได้หรือ ถ้าเกิดเรื่องที่ศิษย์ต้องพลัดพราก สูญเสีย ไปเดินเก้าวัดสิบวัดก็ไม่มีใครเยียวยาใจศิษย์ได้ นอกจากตัวรู้ ตัวรู้ในตัวเองแล้วยอมรับความจริง ทุกข์ไป เจ็บไป มันก็แค่สังขาร โกรธไป แค้นไป มันก็คือเวรกรรม แล้วเราจะเกี่ยวสังขารเกี่ยวเวรกรรมอีกนานเท่าไร เราไม่ได้เกิดมาเพื่อจบหรือ หรือเกิดมาเพื่อเวียนไม่จบ ถามตัวศิษย์เอง เราอยู่กับเขาอยากจบดีหรือจบไม่ดี เราทุกคนก็อยากจบดี ใช่ไหม แล้วชีวิตที่เราทำอยู่นี่ มันคือการจบดีหรือจบไม่ดี มันคือการสร้างเวรสร้างกรรมหรือจบเวรจบกรรม ศิษย์ก็รักตัวเอง อาจารย์ก็รักศิษย์ แล้วมันมีทางหนึ่งที่ทำให้ศิษย์พ้นทุกข์ ถ้าคนนี้รู้แล้วไม่บอกคนอื่นให้รู้ก็ใจดำไปใช่ไหม ถ้าอาจารย์รู้ชัดแล้วอาจารย์ไม่บอกให้ศิษย์รู้ชัด อาจารย์เป็นอาจารย์ได้หรือ อาจารย์เป็นพุทธะได้ไหม ถ้าความจริงคืออะไร แต่ไม่มีคนลงไปบอกให้ศิษย์รู้ ศิษย์ก็คงแค่เป็นคนดีคนหนึ่ง ศึกษาไปทำไม แต่ศึกษาแล้วมันทำให้จิตได้ฝึกฝน ได้เข้มแข็ง ได้รับความจริงให้ได้ แต่ที่เราเจ็บปวดอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะเรามัวยึดกับสังขาร ยึดกับสิ่งที่มันไม่เที่ยง ทั้งที่จริงๆ มันไม่มีอะไรเป็นของเราเลย ถูกหรือไม่ ทุกข์มาเยอะแล้วนะ เจ็บมาก็เยอะแล้ว ไม่หน่าย ไม่เบื่อ ไม่หาทางแก้หรือ ไม่มีใครดึงศิษย์ขึ้นจากความทุกข์ได้ นอกจากตัวรู้ของศิษย์เอง



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ขันติ วิริยะ”
    เมื่อกระจ่างว่าสิ่งใดนั้นเป็นคุณ             ขอเกื้อหนุนด้วยพากเพียรวิริยะ
ทนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอย่างมานะ           เอาชนะความอ่อนแอของตนเอง
    ผู้ใดใช้ธรรมขันติ                              สิริมงคลชีวิต
การยอมเป็นทางแห่งมิตร                        ถูกผิดไม่อาจตกลง

ฉะนั้นกลอนนี้อาจจะไม่มีสัมผัสเชื่อมเพราะว่าคนละความหมาย ลองไปอ่านดูเเล้วเดาใจอาจารย์ได้ไหมว่ากลอนไหนคือคำว่าขันติ กลอนไหนคือคำว่าวิริยะ ถ้ามีโอกาสก็ลองมาตอบอาจารย์ คำที่ศิษย์ช่วยอาจารย์วงนั้นได้เป็นกลอน อันบนเป็นกลอนแปด อีกอันหนึ่งเป็นกลอนหก ฉะนั้นความหมายจะคนละความหมายจึงไม่มีสัมผัสเชื่อม
ไม่ว่าศิษย์เจออะไรจงใช้คำนี้ “ขันติ วิริยะ” ให้เยอะๆ อย่าใจร้อน อย่าวู่วาม นิ่งสักนิดหนึ่งก่อนจะไหลหมุนไปตามอารมณ์ ถ้าหมุนไปตามอารมณ์เเล้วก่อเกิดเป็นกิเลสเป็นทุกข์ หยุดดีไหม เเละพากเพียรทำสิ่งที่ถูกต้องให้กับชีวิตตนเอง เเสงสว่างในใจไม่มีใครจุดได้ ไม่มีใครจุดให้ศิษย์ได้นอกจากตัวรู้ที่เเท้จริงที่เกิดจากสติปัญญาของตัวศิษย์เอง เเล้วตัวรู้ไหนล่ะไม่ใช่รู้เรื่องภายนอกเเต่รู้เท่าทันใจตนเองเเละหยุดที่ตนเองได้ จบที่ตนเองได้ เมื่อเราเย็นทุกคนก็เย็น เมื่อเราสงบทุกคนก็สันติ เมื่อเราเป็นสุขทุกคนก็ เบิกบาน เเต่เมื่อเราไม่เย็นทุกคนก็รุ่มร้อน เมื่อเราเป็นทุกข์ทุกคนก็วุ่นวาย เมื่อเราเจ็บปวดทุกคนก็ทุกข์ทน จริงหรือไม่ ฉะนั้นธรรมจึงสอนให้เราเริ่มที่ตนเอง เเก้ที่ตนเอง รู้ให้ทันด้วยตนเอง วันนี้อาจารย์ไม่ได้พูดเรื่องยาก เรื่องง่ายๆ เเต่ทำได้ก็เป็นมงคลกับชีวิตศิษย์ ถูกหรือไม่
ฉะนั้นวันนี้คงมีโอกาสได้ผูกบุญกับศิษย์เเค่นี้ถึงเวลาอาจารย์ก็คงต้อง จากไปแล้วนะ อาจารย์อยากถามว่าอยากจับมือลาอาจารย์ไหม (อยาก)  อาจารย์ไม่แน่ใจว่าอยากจับมืออาจารย์ไหม เลยต้องถามก่อน อยากจับมือลากันไหม รักษาโอกาสให้ดี เวลาชีวิตของคนเราไม่เท่ากัน ฉะนั้นทำอะไรจงทำด้วยสติปัญญาที่ไตร่ตรองแล้วถูกไหม สังขารที่เหลือแต่สังขาร ไร้จิตญาณคือเย็น มีโอกาสกลับมาอีกนะ ลองกลับมาศึกษาเพิ่มเติมดูสิ อาจารย์ชวนศิษย์พ้นทุกข์ อาจารย์ชวนศิษย์กลับคืนฟ้า แต่ศิษย์อาจารย์กลับไม่อยากกลับ การกลับคืนฟ้าเบื้องบนสู่ภาวะแห่งความบริสุทธิ์อันนิจนิรันดร ไม่ต้องทุกข์ทนอีก ไม่เอาหรือ เป็นเรื่องเล่นหรือ ชีวิตไม่ใช่เรื่องเล่น จะทุกข์แล้วทุกข์อีกหรือว่าทุกข์เพื่อพ้นทุกข์ อยู่ที่ตัวศิษย์แล้วนะ ใช่หรือไม่ อาจารย์รู้ว่าบางคนยังไม่อยากได้ ยังไม่อยากยุ่ง แต่ก่อนจะทิ้งตรงนี้ คิดอีกสักทีหนึ่ง ว่าสิ่งที่อาจารย์พูด จริงหรือเท็จ สิ่งที่อาจารย์ให้ไปนั้น มันเป็นหลักธรรมไหม ถ้ามันเป็นหลักธรรม ไม่กลับมาอีกก็จงรู้ปฏิบัติตัวเองให้ดี ทำหน้าที่ตัวเองให้ดี อย่าปล่อยให้กิเลสมันเกาะกุมใจจนหลงลืมจิตเดิมแท้ในตัวเอง จิตเดิมแท้ของมนุษย์สะอาดบริสุทธิ์ และเข้มแข็ง แม้จะเจอทุกข์กี่ร้อยกี่พันก็ยังเข้มแข็งและกลับมาสะอาดบริสุทธิ์ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องให้ใครชะล้าง ล้างด้วยตัวเอง รู้ด้วยตัวเอง อดีตก็คืออดีต ทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็เพียงพอ ใช่ไหม เพราะไม่ว่าจะผ่านไปกี่วัน มันก็มีแค่วันนี้ จริงไหม (จริง)

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ขันติ วิริยะ”
     เมื่อกระจ่างว่าสิ่งใดนั้นเป็นคุณ               ขอเกื้อหนุนด้วยพากเพียรวิริยะ
ทนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอย่างมานะ              เอาชนะความอ่อนแอของตนเอง

     ผู้ใดใช้ธรรมขันติ                                สิริมงคลชีวิต
การยอมเป็นทางแห่งมิตร                          ถูกผิดไม่อาจตกลง



แก้ไขเพลงพระโอวาท
ประชุมธรรมสถานธรรมหงหยัง  จ.เชียงใหม่ 
วันที่ ๒๘-๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๙
หน้า ๑๓  ย่อหน้าที่สาม  เพลงพระโอวาท
เดิม มุ่งสู่ทางหลุดพ้นจะดีไหม      แก้ไขเป็น มุ่งสู่ทางหลุดพ้นดีไหม


แก้ไขพระโอวาทซ้อนพระโอวาท
ประชุมธรรมสถานธรรมฮุ่ยอวี้  จ.ขอนแก่น
วันที่ ๒๒-๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๙
เดิม  ยืม  “ที่”  จาก  “เทียน”    แก้ไขเป็น ยืม  “ที”  จาก  “เทียน”

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2559

2559-10-22 สถานธรรมฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น

西元二〇一六年嵗次丙申九月廿二日                    仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙    สถานธรรมฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ

   เมื่อฟืนสิ้นไฟยังลุกโชติช่วง                 ความงดงามดั่งดวงจันทร์เฉิดฉาย
แม้เมฆหมอกไม่อาจบดบังกำจาย[๑]          เงาสะท้อนภาพจันทร์ฉายให้คำนึง
                                เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ     รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยอวี้ แฝงกายกตัญชุลี
องค์มารดา                     ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
   ฟากฟ้าสีหม่นคล้ำดั่งยามราตรี             ใจทุกข์เป็นคลื่นนทีโถมและทับ
เวลาห้วงพรากพลัดที่ยากยอมรับ           สามารถดับลงเพราะเวลาทำหัวใจ
ยอมรับยอมใจยอมจะเป็นทุกข์              แลแปรทุกข์กลายเป็นแรงครั้งใหม่
ใช้ชีวิตจงอย่าเฝ้าเอาแต่ใจ                     ฝึกตามธรรมเป็นไทอยู่เรื่อยมา
ไม่ระดับลำดับไปในเหล่าความเพียร        กลับดับเทียนแสงเดียวที่ตรงหน้า
แสงสว่างกลางใจนั้นไซร้คือปัญญา          การสละเมตตาคนหนาคือหัวใจ
ทุกอย่างแบบเป็นแบบอย่างจิตมานะ       วิริยะไม่หยุดพักเป็นเพราะขวนขวาย
ความรักเมตตาเย็นสบายเพราะรู้อภัย      น้ำฝนสายดุจขอฝึกเนืองนิตย์
ปลุกเสกพระในตนฝนทั้งนั้น                  อยากรังสรรค์ปราศจากความเห็นแก่เรื่องผิด
ฝึกพิเคราะห์รอยตามหาแก่นความคิด      ดีจงทำต่อไม่ติดอคติใด
                                                                                          ฮา  ฮา  หยุด


[๑] กำจาย  กระจาย


พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ

เมื่อจิตไม่ลื่นไหลไปตามกิเลสอารมณ์และความเคยชินแห่งตัวตน ความยึดติดแห่งตัวตน ความสงบในจิตใจก็เกิดขึ้นได้ ความอิสระในตัวตนก็บังเกิดมีได้ แต่ใจของมนุษย์เคยชินกับการตามกิเลส อารมณ์ ตามความอยาก สนองตา สนองหู ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอไม่ได้ดูหงุดหงิดไหม (หงุดหงิด)  พอไม่ได้ฟังในสิ่งที่อยากฟังเบื่อไหม (เบื่อ)
ฉะนั้นความสงบที่แท้จริงไม่ใช่การนั่งหลับตาหรอก แต่คือการไม่ปล่อยจิตปล่อยใจไปตามความอยาก ความโลภความโกรธความหลง และความยึดติดแห่งตัวตน มนุษย์ก็สามารถพบความสงบได้ทันที
มนุษย์ทุกคนในโลกปรารถนาคนดี แต่มีน้อยคนที่จะทำดีใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราอยากได้ดีเราก็ต้อง (ทำดี)  เพราะโลกใบนี้เป็นโลกแห่งเหตุผล ไม่มีเรื่องบังเอิญ  ถ้าอยากดีก็ต้องทำดี ถ้าอยากได้ความดีก็ต้องปฏิบัติ (ดี)
เมื่อเราเห็นอะไรดีเรารู้สึกดีเราก็อยากให้เพื่อนได้ดีด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นการที่เขาเรียกให้เรามาฟังธรรมเป็นสิ่งดีไหม (ดี)  แล้วคนที่ปริปากบ่นคนที่ชวนเพราะอะไรหรือ เพราะไม่เห็นคุณค่าความดีของเขา ไม่เห็นคุณค่าสิ่งที่เขาจะยื่นให้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำไมทำดีไม่เห็นได้ดี นั่นเพราะว่าบางคนรู้สึกไวบางคนรู้สึกช้า ฉะนั้นถ้าเราทำดีแล้วเจอเพื่อนรู้สึกช้าจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  แล้วจะโกรธไหมว่าทำดีไม่ได้ดี (ไม่โกรธ)  แล้วจะท้อการทำดีไหม (ไม่ท้อ)
เราอยู่ในโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาคนดี เรื่องดีๆ ฉะนั้นก็ต้องรู้จักหมั่นเพียรกระทำสิ่งที่ดี แต่บางครั้งทำดีแล้วจะได้ผลดีหรือเปล่า ชักไม่ค่อยมั่นใจใช่หรือไม่ เหมือนเรายกตัวอย่างผู้ปฏิบัติงานธรรมหลายท่าน พยายามจะชวนเรามาฟังธรรมเพราะการฟังธรรมก่อเกิดปัญญา และนำพาสู่สิ่งที่ดีงาม แต่ขณะที่ชวนก็ต้องเจอคนที่ตัดพ้อต่อว่า บ่นอื้ออึงไม่ชอบใจไม่เอาบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเกิดคนที่ชวนยึดมั่นในความดีที่ตัวเองทำ และหวังผลในความดีนั้น ความดีนั้นก็หนีไม่พ้นต้องบังเกิดเป็นความทุกข์ในที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์ทุกข์เพราะความยึดถือ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แม้สิ่งที่เรียกว่าการบอกบุญให้เขามาฟังธรรม จะเป็นการสร้างบุญอีกอย่างหนึ่ง แต่ถ้าบุญนั้นทำแล้วหวังผลยึดมั่นถือมั่นในตัวตน บุญนั้นก็หนีไม่พ้นความทุกข์ เหมือนกับวันนี้ท่านมานั่งฟังธรรม แต่มาฟังแล้วเกิดความยึดมั่นถือมั่นว่าต้องเป็นเช่นนั้น ต้องเป็นเช่นนี้ ทำไมไม่เป็นแบบนั้น ไม่เป็นแบบนี้ บุญแห่งการฟังธรรมก็จะบังเกิดความทุกข์ ไม่สามารถก่อเกิดเป็นความสุขอันร่มเย็นได้ แต่ถ้าการมาฟังธรรม การบอกบุญ แล้วเราไม่ยึดมั่นไม่หวังผล ได้ก็ได้ ไม่ได้เราก็ทำเต็มที่แล้ว แถมยิ่งเขาพูดอย่างไรเราก็ไม่ยึด เราก็ปล่อยวาง เราก็เข้าใจ ชำระความเป็นตัวตนได้ บุญนั้นจะก่อเกิดเป็นความร่มเย็นและกลายเป็นกุศลในฉับพลันที่เรากำลังพูดชวนเขา ดีไหม (ดี)
เหมือนตอนเรานั่งฟัง ไม่ยึด ฟังก็ดี พูดก็ดี ยิ่งฟังยิ่งเข้าใจดี ไม่เหนื่อย ไม่เมื่อย ไม่หวังวอนขอ ไม่เรียกร้อง บุญที่ได้ฟังได้ชำระจิต ได้ปล่อยวางความยึดมั่น ไม่คาดหวัง บุญที่ฟังก็ก่อเกิดเป็นความสงบเย็นและกลายเป็นกุศล  เราเคยพิจารณาจนถึงขนาดนี้บ้างไหม ไม่เคยเลยใช่ไหม เรียกเขาจนถึงที่สุด พอเขาไม่มาก็เสียใจ พอเขาไม่อยู่ไม่เอาก็ท้อใจ อย่างนี้กำลังหลงติดบุญ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มาฟังแล้วไม่เป็นอย่างที่คิด มาฟังแล้วไม่เห็นเป็นอย่างที่หวัง นั่นก็คือหลงยึดบุญ ถูกไหม (ถูก)  ต้นเหตุแห่งความทุกข์ก็มาจากความยึดติดในตัวตน
ฉะนั้นบุญที่แท้ก็ต้องเป็นบุญที่สามารถชำระล้างกิเลส ชำระล้างตัวตน และก่อเกิดเป็นความสงบเย็น นั่นถึงจะเรียกว่าชวนเขาก็ได้บุญ เขามาฟังก็บังเกิดบุญ ชวนเขามาไม่มา โดนว่าไม่ว่า ก็เป็นบุญเป็นกุศล
อยากให้เขารักเราก็ต้อง (รักเขาก่อน)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไมหนอรักเขาเท่าไร เขาไม่รักเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไหนธรรมะสอนว่ายิ่งให้ต้องยิ่งได้รับ ยิ่งเสียสละยิ่งต้องได้รับ แต่ทำไมหนอให้เขาดีก็แล้ว เขากลับไม่เห็นเราดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนั้นแปลว่าเรากำลังปฏิบัติผิดหรือธรรมะผิด เราปฏิบัติผิดหรือธรรมะหลอกลวง (เราปฏิบัติผิด)  ถ้าสมมติว่าเรารักท่าน เราให้ดอกไม้ท่านด้วยความรัก รับไหม (รับ)  แต่เราให้ดอกไม้แค่หนึ่งช่อ แล้วเราบอกว่าท่านต้องอย่างนั้น ท่านต้องอย่างนี้ ท่านต้องเป็นแบบนั้น ท่านต้องเป็นแบบนี้ อยากคืนดอกไม้เราเลยไหม 
ความรักและความดีที่มนุษย์ยื่นให้ผู้อื่น บางครั้งก็เหมือนช่อดอกไม้เล็กๆ แต่ให้แล้วเต็มไปด้วยคำเรียกร้อง  จนบางครั้งถึงแม้ว่าคุณจะดีแค่ไหนช่อดอกไม้จะงามเพียงใด บางครั้งเราก็อยากจะบอกว่า เอาคืนไปเถอะ ถูกไหม (ถูก)  นี่คือความดีที่มนุษย์มอบให้แก่กันใช่หรือไม่ (ใช่)  หนึ่งความดีแต่เต็มไปด้วยการเรียกร้องแล้วพอโดนเขาว่ากลับ ก็บอกว่า “ผิดตรงไหนที่ฉันหวังดี” ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วพอหวังดีทำไม่ได้ดีก็เกิดโมโหโกรธาแล้วก็ตบตี ฉะนั้นถึงจะเป็นความดีงาม แต่ถ้าเข้มงวดกับเขาจนเกินไปแล้วก่อเกิดเป็นการทำร้าย สิ่งที่ดีงามนั้นก็เป็นโทษ ถึงจะหวังดีแต่ความหวังดีนั้น ถ้าก่อเกิดเป็นความรับไม่ได้ แล้วทำร้ายผู้อื่น ความดีนั้นก็ไม่อาจเรียกว่าความดีที่แท้จริง แต่กลับกลายเป็นโทษ หวังดีแล้วเอาแต่เรียกร้องไม่มีความเห็นใจและเข้าใจ การเรียกร้องนั้นก็กลายเป็นความหวังดีที่ขาดซึ่งคุณธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเรายังอาจเรียกได้ว่าความดีไหม (ไม่)
ท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม “ยิ่งตัวเองสูง คนยิ่งกดให้ต่ำ ยิ่งยอมให้ตัวเองต่ำและกล้ารับผิดแทนผู้อื่น คนจะยิ่งผลักดันให้เขาสูงขึ้น” แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม ผิดไม่ยอมรับผิด เอาแต่โทษคนอื่น คนก็ยิ่งอยากกดให้เราผิด แต่ถ้าผิดแล้วกล้ายอมรับ กล้าเรียนรู้แก้ไข คนจะยิ่งดันให้เราสูงส่ง แต่มนุษย์หาเป็นเช่นนั้นไม่ ยอมหักไม่ยอมงอ น่าเสียดายนะ
ฉะนั้นถ้าอยากจะทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า
จงเริ่มที่ตัวเอง อย่าไปเริ่มที่ผู้อื่น จงเรียกร้องที่ตัวเอง อย่าเผลอไผลไปเรียกร้องผู้อื่น ไม่เช่นนั้นแม้จะดีงามขนาดไหน ความดีที่เอาแต่เรียกร้องผู้อื่นนั้นก็จะบังเกิดทุกข์ได้  ทำได้หรือเปล่า เริ่มปฏิบัติด้วยตัวเองไม่เรียกร้องใครได้หรือเปล่า (ได้)  คงจะยากสักหน่อย เพราะคนที่บอกว่าได้นั้น พอเวลาตัวเองทำไม่สำเร็จก็อดคาดหวังให้คนรอบข้างต้องดีได้ดั่งใจไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเมื่อคนรอบข้างไม่ดีได้ดั่งใจเรา ก็เลยกลายเป็นทุกข์

ทำได้ดีทำได้เหมาะสมก็บังเกิดบุญใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าทำได้ดีทำได้เหมาะสมและไม่ทำให้ใครเดือดร้อน บุญนั้นก็ยังสามารถชะล้างเวรกรรมและก่อเกิดเป็นกุศล  แต่ถ้าเกิดว่าเราทำดีแล้วเราเอาแต่เรียกร้อง บุญนั้นก็ไม่อาจจะเรียกว่าบุญที่บริสุทธิ์
แล้วอย่างไรล่ะ เรียกว่าทำดี เราถามท่านหน่อยนะ พ่อแม่อยากให้ลูกได้ดีแต่เผอิญลูกทำผิด พ่อแม่ก็เลยโมโหและเฆี่ยนตี ถามว่าพ่อแม่ทำดีหรือไม่ดี (ทำดี)  เราบอกให้ เหมือนจะดีแต่ไม่งาม ใจเป็นนายของกาย  ถ้าใจไม่สะอาด กายจะบริสุทธิ์ไหม  ถ้าใจไม่เที่ยงตรง การประพฤติจะบริสุทธิ์ยุติธรรมไหม แม้พระพุทธะก็กล่าวไว้ว่า การทำดีสำคัญที่เจตนา ถามว่าพ่อแม่ตีลูกดีไหม หวังดีแต่ไม่งาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนบางคนทำงามแต่ใจไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้ารักความดีต้องมองดีให้ออก ปฏิบัติดีให้ถูก แล้วอย่างไรเรียกว่าปฏิบัติดีให้ถูก ท่านสอนบอกว่า การถือหัวใจแห่งความเมตตาเป็นหลัก ถือจริยะรู้จักอ่อนน้อม รู้จักถ่อมตน รู้จักให้เกียรติ ไม่จับผิด ไม่คิดร้าย ถ้อยทีถ้อยอาศัย เป็นคุณธรรมในการอยู่ร่วมกับผู้คน และถือคุณธรรมเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ถ้าทำได้เช่นนี้เรียกว่า “ดี
ถ้าพ่อแม่ตีด้วยความรัก แต่ผิดตรงที่ความเข้มงวดที่เต็มไปด้วยความรัก แล้วลงโทษ มันก่อเกิดความไม่พอใจ แล้วเคืองแค้นใจในที่สุด  ก่อเกิดเป็นบาปให้กับลูก พ่อแม่ควรจะตีไหม
จำไว้นะ พ่อแม่ซื่อตรงก็ได้ลูกซื่อตรง พ่อแม่กตัญญูรู้คุณ ลูกก็เรียนรู้กตัญญูรู้คุณ พ่อแม่ขยันหมั่นเพียร ลูกก็ขยันหมั่นเพียรใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เพราะอะไรเราพยายามขยันหมั่นเพียรแต่ลูกกลับมองไม่เห็น เพราะบางครั้งเราให้ลูกเห็นเงินมากกว่าความดีในใจที่ควรสอนลูก ถูกไหม (ถูก)  เราเลี้ยงลูกด้วยเงินมากกว่าความดีที่เราควรมีให้กับลูก ถามว่า ท่านให้เงินบ่อย แต่ท่านเคยเข้าใจลูกสักครั้งหนึ่งไหม ท่านให้เงินภรรยา แต่ท่านเคยให้ความรักความเข้าใจและเวลาภรรยาไหม
แล้วอย่างไรล่ะที่เรียกว่าทั้งดีทั้งงาม  นอกจากดีงามแล้วยังสามารถเป็นปราชญ์แห่งยุคและเทพบนแดนโลกได้ด้วยนะ เพียงแค่ปฏิบัติดีให้ถูกต้อง
เราเจอใครสักคนหนึ่ง เขามีคุณค่าให้เราประทับใจตราตรึง นิสัยน่ารัก นิสัยถูกใจ เรารู้สึกเรียกว่าดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีคุณค่าให้กล่าวถึงให้รู้สึกชอบพอเรียกว่า ดี ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนไม่รู้จักแต่อยู่ๆ ได้รู้จัก พอเขาได้ปฏิบัติอะไรให้เราเห็นแล้ว เรานึกขึ้นได้เราจะรู้สึกว่า ทำถูกใจ ทำดีจัง รู้สึกชอบใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วพอยิ่งเรียนรู้กันไป คุณค่านั้นเป็นคุณค่าที่กล่าวถึงแล้วเราชอบแล้ว นิสัยยังดีจริงๆ ทำดีจริงๆ มีดีจริงๆ นั่นเรียกว่า ดีจริง  แล้วในคุณค่าของความดีจริงนั้นยังปฏิบัติรักษาไว้ไม่เคยเสื่อมคลาย ไม่เคยหายไปจากใจ ดีนั้นจริง แล้วยังเรียกว่า งดงาม ถูกไหม (ถูก)  แล้วถ้าเกิดว่าปฏิบัติไม่เสื่อมคลายแล้วยังสามารถแสดงต่อผู้อื่นได้อย่างรุ่งโรจน์ ท่านเรียกว่า ความดีที่ยิ่งใหญ่
นี่แหละผลของความดีที่ทำอย่างไม่ย่อท้อ ปฏิบัติดีได้อย่างรุ่งโรจน์แล้ว ยังสามารถมองเห็นความเป็นจริงของความดีความร้ายและความเป็นคนได้อย่างทะลุทะลวง นี่แหละเรียกว่า ปราชญ์เมธีแห่งยุค แล้วเช่นไรล่ะถึงเรียกว่า เทพไทบนแดนดิน ตอบได้ไหม คือความดีนั้นก่อเกิดเป็นคุณธรรมอันหาค่าประมาณไม่ได้ หาที่สิ้นสุดของความดีงามนั้นไม่เจอ เขายังมีได้เรื่อยๆ ยังมีให้ไม่หยุดหย่อน เป็นความดีที่เข้าใจผู้คน เป็นความดีที่ให้ไม่เสื่อมคลาย เป็นความดีที่ให้อย่างไม่ย่อท้อ เป็นความดีที่ทำโดยไม่หวังผล นั่นแหละเรียกว่า เทพเทวาบนแดนโลก แล้วไยต้องรอให้ตัวเองตายแล้วถึงจะเป็นเทพเทวา ไยไม่ทำตั้งแต่ปัจจุบันนี้ ถูกหรือไม่ (ถูก)
ความดีไม่ใช่สิ่งยาก แต่ยากตรงที่คนไม่ค่อยประพฤติปฏิบัติดีให้ถึงที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความเมตตาคือที่พักแห่งใจ วิริยะคือถ้อยทีถ้อยอาศัย รู้จักเห็นใจให้อภัย นั่นก็คือการมีคุณธรรมอยู่ร่วมกัน และถือคุณธรรมแห่งความถูกต้องเป็นหนทางในการดำเนินชีวิต  เช่นนี้จะปฏิบัติให้ถึงคำว่าดีไม่ได้เชียวหรือ แต่มนุษย์เสียอย่างเดียว รักเงินจนทำลายความเมตตา รักตัวเองจนทำลายคุณธรรม ห่วงสบายจนดูถูกดูแคลนทำร้ายผู้อื่นจริงไหม (จริง)  เราถามท่านนะ เงินหนึ่งร้อยบาทซื้อคุณธรรมในใจท่านได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วได้เงินหนึ่งร้อยบาทแล้วสูญเสียคุณธรรมในใจคนได้หรือไม่ (ได้)  จริงไหม (จริง)  ถ้าสมมติว่าดอกไม้นี้จริงๆ เป็นดอกไม้เก่า พอคนมาถามเราว่าดอกไม้ใหม่หรือดอกไม้เก่า ถ้าเราบอกว่าดอกไม้ใหม่จะขายได้ในราคาหนึ่งร้อยบาท ตอนนี้เรากำลังเอาคุณธรรมแลกเงินหนึ่งร้อยบาทใช่หรือไม่ หนึ่งร้อยบาทสามารถซื้อคุณธรรมในใจได้ไหม (ไม่ได้)  แต่เพื่อเงินหนึ่งร้อยบาทท่านสามารถสูญเสียธรรมในใจได้ จริงไหม (จริง)
เราถามท่านนะ เมตตาในจิตใจของมนุษย์ควรที่จะรักษาไว้ไหม (ควร)  แต่บางครั้งกินอาหารหนึ่งมื้อ ก็อาจทำให้เราไร้ซึ่งเมตตาในจิตใจได้ เราเป็นแบบนั้นไหม (ไม่)  คนเราต้องถ้อยทีถ้อยอาศัย อย่าจับผิดกัน อย่าดูถูกกัน ใจเขาใจเรา เราไม่ชอบให้ใครมาว่า มาจับผิด มาดูถูกเรา ฉะนั้นตัวเราอย่าขาดคุณธรรมในการปฏิบัติร่วมกันกับผู้อื่น อยู่ในโลก ถ้าขาดเมตตาในจิตใจ พระพุทธะเรียกว่า “โจร”  อยู่ในโลกถ้าขาดคุณธรรมในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น พระพุทธะเรียกว่า “อำมหิต” แรงไหม (แรง)  คำพูดนี้
เป็นความจริง ลองคิดง่ายๆ เห็นแก่ตัวไม่เห็นแก่เขา เห็นแก่เราไม่เห็นแก่ผู้อื่น ใจดำไหม (ใจดำ)  อยากกินไก่แล้วฆ่าไก่ โหดร้ายไหม (โหดร้าย)  ไม่ชอบใจ เขาไม่ฟังเรา เขาไม่ชอบเรา เลยตบตีเขา ต่อว่าเขา ถูกต้องไหม (ไม่ถูก)  ฉะนั้นความดีไม่ใช่มีไว้เพื่อเรียกร้องใคร แต่ความดีมีไว้เพื่อรักษาคุณธรรมในใจ

มีคุณค่าให้กล่าวถึง เรียกว่า “ดี”
มีดีอยู่จริงๆ เรียกว่า “ดีจริง”
รักษาดีไว้ไม่เสื่อมคลาย เรียกว่า “ความดีที่งดงาม”
รักษาความดีไว้ไม่เสื่อมคลาย แล้วยังสามารถแสดงต่อผู้อื่น เอาความดีนั้นแสดงออกอย่างรุ่งโรจน์กว้างใหญ่ เรียกว่า “ความดีที่ยิ่งใหญ่
เอาความดีมาแสดงอย่างรุ่งโรจน์แล้ว ยังสามารถให้ความดีนั้นมองเห็นโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เรียกว่า “ปราชญ์เมธีแห่งยุค”
ความดีนั้นก่อเกิดเป็นคุณธรรมที่มีคุณค่าอันคณานับยากหาที่สุดได้อย่างอัศจรรย์ เรียกว่า “เทพเทวาบนแดนโลก” เหมือนใครบางคนที่ท่านหวนคิดถึงแต่จากไปแล้ว (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙)
ยากไหม ไม่ยากเลยนะ แต่อยู่ที่ว่า ทำหรือไม่ทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราแค่อยากให้ท่านเห็นว่า เริ่มต้นด้วยการทำสิ่งที่ดีงามถูกต้อง การเป็นพุทธะบนแดนโลก การเป็นคนยิ่งใหญ่บนแดนโลก และการเป็นปราชญ์เมธีแห่งยุค ไม่ใช่เรื่องยาก แต่อยู่ที่ว่าท่านเห็นคุณค่าความดีที่อยู่ในใจตัวเองไหม หรือท่านเอาแต่ดูถูกว่าตัวเองดีได้แค่นี้ ช่างน่าเสียดายนะ ทั้งที่ความดีของตัวท่านมีอยู่ แต่ท่านลืมคุณค่าในความดีนั้นไปเท่านั้นเอง แล้วก็แสดงออกอย่างไม่มีจริยะ ก็เลยกลายเป็นคนที่ดีแต่ไม่งาม
ฉะนั้นศึกษา บำเพ็ญ กราบไหว้พระ ชอบทำบุญ ใส่บาตร สวดมนต์เก่ง  แต่ถ้ายังปฏิบัติดีและทำดีได้ไม่ถึงที่สุด ก็เป็นคนที่เก่งแค่การกระทำภายนอก แต่หาได้ลงแรงกระทำภายในไม่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเราก็คาดหวังว่า การมาศึกษา การมาสนทนาธรรมกับท่านในครั้งนี้ คงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย และหวังว่าการมาศึกษาสนทนาธรรมในครั้งนี้ จะช่วยปลุกความดีงามให้สถิตอยู่ในใจอย่างไม่เสื่อมคลาย ได้หรือไม่ (ได้)  แต่อย่าขอเป็นแค่ดี แต่จงเป็นดีที่ยิ่งใหญ่ ดีที่มองทะลุทะลวง เป็นปราชญ์ เทพไทในแดนโลกนี้ ดีกว่าไหม (ดีกว่า)  เพราะพุทธะที่แท้จริงช่วยคน จนหลงลืมความมีตัวตน แต่คนบางคนยึดติดดี ทำดีช่วยคนแต่ยังหวังผล ดีนั้นก็ไม่อาจทำให้เราประสบความเย็นและความสุขได้
พอเข้าใจไม่มากก็น้อย ถ้ามีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก ดีหรือเปล่า
การขอบคุณไม่มีประโยชน์ มิสู้การนำสิ่งที่ท่านฟังวันนี้ลองไปประพฤติปฏิบัติ ใครไม่ดี เราจะดี ใครไม่จริง เราจะจริง ใครไม่ปฏิบัติ เรานั่นแหละจะปฏิบัติ ใครไม่เริ่ม เรานี่แหละจะเริ่ม ขอให้เป็นหนึ่งความดีงาม ที่สามารถทำแล้วสะท้อนสะเทือนใจให้คนคิดอยากทำตาม โดยที่ไม่จำเป็นต้องพูด เช่นนี้ถือว่าท่านบรรลุมรรคผลของความดี  แต่ถ้ายังต้องพูด ยังต้องเรียกร้อง ถือว่าเรายังปฏิบัติไม่ถูกต้องนะ
เอาตัวเราเป็นธรรมให้เขาประจักษ์ เอาตัวเราเป็นความดีให้เขาเห็น ถ้าโลกนี้ไม่มีใครดี ฉันนี้จะดีให้ได้ ถ้าโลกนี้ไม่มีใครยอมดีจริง ฉันนี้จะดีจริงให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ


วันอาทิตย์ที่ ๒๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙             สถานธรรมฮุ่ยอวี้ จ.ขอนแก่น
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  มีเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป                    เป็นความจริงทุกสิ่งไปยากหลีกพ้น
ได้เล็งเห็นสัจธรรมสุขทุกข์ปน                ทุกแห่งหนความจริงแท้อยู่ไม่ไกล
คนเข้มแข็งกล้ายอมรับความจริง            คนอ่อนแอหวาดกลัวยิ่งทุกข์ทนใหญ่
ความทุกข์นั้นใช่ทุกข์ทนแต่อย่างใด         แต่ทุกข์สอนให้เข้าใจชีวิตจริง
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                                        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา                     ถามศิษย์รักทุกคนเป็นเด็กดีของอาจารย์หรือยัง

   เมื่อคิดถึงราชาอันเป็นที่เคารพรัก         เริ่มจากเดินสรรเสริญสานงานค้างไว้
ทุกจุดหยุดด้วยธรรมออกจากใจ             ใดที่ท่านปณิธานไว้อย่าลืมเลือน
บุญอนันต์เรื่องความที่เกิดเป็นไทย          บุญแรงกล้าดีใจไม่ลอยเลื่อน
บำเพ็ญไม่เวลาไทยรู้มักลางเลือน            ใจมีห้วงทั้งเหมือนตื่นเหมือนงง
สิ่งละอันพันละน้อยค่อยศึกษา               ใจเป็นหนึ่งหล้าทั้งหล้าไม่ประสงค์
ปลายอันเดียวกันมุ่งสู่ทางสายตรง          กุศลส่งหนทางนี้สู่เบื้องบน
                                                                                          ฮา  ฮา  หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อาจารย์ถามหน่อยศิษย์เอย ถ้าศิษย์เป็นคนหนึ่งที่ใฝ่ในการปฏิบัติธรรม รักในการปฏิบัติธรรม ทุกขณะถ้าเราทำแล้วจิตเบิกบาน จิตปลอดโปร่ง จิตสะอาด จิตบริสุทธิ์ การกระทำนั้นก็เป็นบุญถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าหากทุกขณะที่เราทำไม่ว่าเราจะนั่งฟังหรือนั่งทำงาน ถ้าเราหม่นหมองเราอมทุกข์ สิ่งที่เราทำในขณะนั้นมันก็กลายเป็นบาปแก่ใจใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์มีวิชาหนึ่งที่สอนให้ศิษย์ปฏิบัติธรรมได้ทุกขณะเลย เอาไหม (เอา)
แต่ศิษย์ต้องพยายามรู้เท่าทันใจให้ดี อย่าเผลอให้ใจมันเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวตก เหมือนที่มนุษย์บอกว่า เวลาใจดีก็เหมือนขึ้น (สวรรค์)  เวลาใจร้ายก็เหมือนลง (นรก)  ฉะนั้นถ้าเวลานั่งฟังธรรมแล้วรู้สึกดีก็เหมือน (ขึ้นสวรรค์)  รู้สึกแย่ก็เหมือน (ตกนรก)  อย่างนั้นตลอดสองวันนี้ ขึ้นสวรรค์หรือตกนรก (สวรรค์)
ฉะนั้นไม่ว่าเราทำงาน ไม่ว่าเราคุยกับเพื่อน ไม่ว่าเราเรียนหนังสือ ไม่ว่าเราจะออกไปข้างนอก ถ้าเราทำด้วยความสบายใจ ทำด้วยความเบิกบานใจ ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทำด้วยความซื่อตรงหัวใจ ทุกขณะก็คือ ธรรม แล้วเราจะรอให้ใครมาทำให้เราตกนรกไหม (ไม่)  ดั่งคำพูดว่า “ถ้าข้างในมันมีสุข ข้างนอกมันจะวุ่นวายอย่างไร เราก็สุขได้” ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าข้างในบริสุทธิ์ ข้างนอกมันจะทุกข์จะทนอย่างไร เราก็สามารถแปรความทุกข์ทนของคนให้เป็นความบริสุทธิ์และสุขใจได้ ฉะนั้นศิษย์ต้องรู้ การที่เราเรียนรู้ธรรมะมาเยอะ เข้าวัดมาก็เยอะ ฟังธรรมมาก็มาก ธรรมก็สอนให้เราเอาบุญ อย่าเอาบาป เอาดี อย่าเอา (ชั่ว)  แล้วถึงเวลาเอาบุญหรือเอาบาป (เอาบุญ)  ถึงเวลาเอาดีเอาชั่ว (เอาดี)  แต่พอเวลาโมโห ไม่เอามันแล้ว วางไว้ก่อน ตอนนี้ขอโมโหด่ามันก่อน แล้วพอกลับมาคิด ก็คิดว่าไม่น่าทำไปแบบนั้นเลย
ถ้าทุกขณะที่เกิดขึ้นเรามีสติรู้ทัน เราสามารถควบคุมใจได้ เห็นเขาไม่ดีอย่างนี้ แล้วเรารู้ทันว่า “ไม่เอาๆ เขาต้องไม่ทำให้ใจเราหม่นหมอง เดี๋ยวมันจะเป็นบาป เราจะไม่ทำ เราจะไม่เอา เขาจะไม่ทำให้เราเกิดกิเลส เขาจะไม่ทำให้เราโกรธ เดี๋ยวมันจะกลายเป็นกรรมเป็นทุกข์ แล้วจะเวียนว่ายกันไม่จบสิ้น” ถ้าเราคิดได้ขนาดนี้ เวรกรรมจะเกิดไหม (ไม่เกิด)  บาปจะเกิดไหม (ไม่เกิด)  อย่างนั้นทุกขณะชีวิตก็คือการจบกรรม ทุกขณะชีวิตก็คือการหมดทุกข์ แต่ถ้าหากว่าเกลียดมัน ไม่ชอบ รำคาญ เบื่อ อะไรหนักหนาก็ไม่รู้ชีวิตนี้ อย่างนี้เรียกว่า เป็นกรรม เป็นเวร เป็นทุกข์ไหม (เป็น) เขาทำหรือเราทำ (เรา)  ถึงเวลาเช่นนี้แล้วเป็นทุกข์ก็บอกว่า “หลวงพ่อช่วยล้างให้สะอาดหน่อยเถอะมันทุกข์เหลือเกิน” มันช้าไปหรือเปล่า ในเมื่อมนุษย์ทุกคนล้วนกลัวบาปกรรมล้วนกลัวทุกข์ แล้วถ้าหากรู้ว่าทำแล้วมันจะกลายเป็นทุกข์ เป็นบาป เป็นกรรม แล้วทำไมไม่หยุดเสียตั้งแต่ตอนนี้ ทำไมรอไปสร้างเหตุปัจจัยแล้วค่อยหยุด ทันไหม จะหยุดก่อนปัญหาเกิดหรือมีชีวิตเพื่อแก้ปัญหาที่ตัวเองสร้างขึ้น ชีวิตที่ผ่านมาคือใครด่ามาเราด่ากลับ มันน่าเกลียดมาน่าเกลียดกลับ อย่างนี้เรียกว่า ก่อบาป ก่อทุกข์ ก่อกรรม ก่อเวร
เราบอกว่าไม่อยากมีเวรมีกรรม ถ้าอย่างนั้นเขาด่ามาก็ให้คิดว่าดีแล้วได้ละลายกรรม ดีแล้วได้ชะล้างกิเลส ดีแล้วได้ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น ทุกขณะที่เขาทำอะไรมาคือดี มันมีแต่ความสุข ใช่ไหม ลองดูซิว่าพอเขาด่ามา เราก็บอกว่าสนุกดี เขาจะด่าต่อไหม (ไม่ด่า) เพราะเขาจะบอกว่าเราบ้า แล้วเรายอมบ้าเกินไหมล่ะ บางครั้งถ้ามันแบกรับมาแล้วมีแต่ทุกข์ มีแต่เจ็บปวดทุกข์ทน บางครั้งก็ยอมบ้ากับความเป็นจริงของโลกบ้างก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ใช่ไหม (ใช่)  เพราะชีวิตปัจจุบันนี้ก็พร้อมที่จะทำให้คนที่ขาดสติ คนที่ขาดธรรมเป็นบ้าได้ตลอดเวลา จริงไหม (จริง)  เหมือนอยู่ๆ เราต้องรับรู้การสูญเสีย การพลัดพราก เราต้องพบกับความไม่มี ถ้าเราขาดสติ ถ้าเราขาดธรรม ไม่ยอมรับความเป็นจริง เราจะยังเป็นคนที่ยืนอยู่บนโลกนี้ไหวหรือ
ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม (ยินดี)  ใจที่มีสุข ใบหน้าย่อมยิ้มแย้ม แต่ใจที่มีทุกข์ ใบหน้าย่อมหวานอมขมกลืน ใช่หรือเปล่า (ใช่) ไม่ว่าธรรมเล็กธรรมน้อยก็คือ ธรรม แต่ทำให้เกิดกรรมดีหรือทำให้เกิดกรรมไม่ดี ขึ้นอยู่กับใจของศิษย์ไปทางไหน ถ้ารู้สึกทำแล้วเบาบาง ทำแล้วมีความสุข มันก็เป็นบุญเป็นกุศล แต่ถ้าทำแล้วหวานอมขมกลืน ทำแล้วแอบมีความโกรธ ความยึดติด ความไม่พึงใจไม่ชอบใจ มันก็กลายเป็นบาป เป็นกิเลส เป็นทุกข์ จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเราอยู่กับใครเราก็สามารถสร้างบุญได้ อยู่กับใครเราก็สามารถเจริญธรรม ปฏิบัติธรรมได้ แต่ส่วนใหญ่ศิษย์ของอาจารย์ชอบเป็นคนดีแค่อยู่ในวัด ชอบทำบุญให้คนในวัดแค่นั้น กับคนข้างนอกทำบาปหมดเลย ใช่ไหม พระพุทธะสอนไว้ว่า ถ้าเราจะปฏิบัติธรรมเราต้องรู้จักดำเนินทางสายกลาง  สมมติว่า ถ้าชีวิตมันเป็นแบบนิ้วโป้งชูขึ้นดีไหม (ดี)  แล้วเป็นแบบนิ้วโป้งชี้ลง (ไม่ดี) 
ทางสายกลางคือการยอมรับความเป็นจริง เพราะไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไรมันก็คือกลาง นี่แหละเรียกว่าปฏิบัติธรรม พระพุทธะสอนไว้ว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” เราปฏิบัติธรรมได้ทุกขณะ ไม่มีใครบีบคั้นเราให้ทุกข์ทน นอกจากตัวเราเอง ไม่ว่านิ้วโป้งจะชี้ขึ้นหรือลงเราก็ต้องยอมรับว่ามันคือความเป็นกลาง เหมือนเขาชมเรา ดีไหม (ดี)  แล้วเขาด่าเราล่ะ (ไม่ดี)  จงกลางไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะถ้าเมื่อไรศิษย์รู้สึกไม่ดี หม่นหมอง หม่นหมองเสร็จยังรู้สึกว่า มันด่าฉันทำไม ทำไมมันทำแบบนี้ ทำไมเป็นแบบนั้น เริ่มเกลียดเขาแล้ว เริ่มไม่เข้าใจแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วยังบอกว่า มันด่าฉัน ฉันต้องด่ามันกลับ เริ่มยึดมั่น เริ่มเป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าขณะที่เป็นแบบนี้ คิดว่ามันก็เป็นกลาง เราเรียนรู้ธรรมเพื่อยอมรับความจริงอันเป็นปกติ และรักษาความเป็นกลางนี้ให้ปกติ ดีไหม (ดี)  เพราะถ้าใจผิดปกติก็เรียกว่า ผิดศีล ศีลคือความปกติ สมาธิคือความสงบ ภาวนาคือการเห็นแจ้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทันทีที่ถ้าเขาทำอย่างนี้ก็รักษาปกติไว้ สงบไว้ มองเห็นแจ้งว่า มันเป็นกลาง ศีล สมาธิ ปัญญา ได้ทันที ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าอยากด่าใคร เกลียดใคร โกรธใคร ก็กลายเป็นก่อเกิดกิเลส เวรกรรม การจองเวรจองกรรม การเกี่ยวกรรมและการก่อเกิดทุกข์ทนในใจ ศิษย์ก็รู้นี่ไม่มีใครบีบใจให้ศิษย์ทุกข์ได้ นอกจากศิษย์บีบใจตัวเอง ไม่มีใครด่าศิษย์ให้เจ็บ เท่ากับศิษย์ด่าตัวเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนอาจารย์ถาม เขาด่าศิษย์กี่ครั้ง (ครั้งเดียว)  จบไปหรือยัง (จบแล้ว)  แต่คนที่รื้อฟื้น ฟื้นฝอยหาตะเข็บอยู่เรื่อยก็คือ (ตัวเราเอง)  เอามาด่าแล้วด่าอีก ใช่ไหม (ใช่)  ทั้งที่เขาด่าจบไปแล้วใช่ไหม (ใช่)
นี่แหละศีล สมาธิ ปัญญาก็อยู่ตรงนี้ การสร้างบุญการปฏิบัติธรรมก็อยู่ตรงนี้ ทำไมต้องรอไปที่วัดใช่หรือไม่ (ใช่)  แบบนี้เราก็ไม่ต้องกังวลแล้ว ทุกข์ก็เป็นสิ่งไม่น่ากลัวแล้วใช่ไหม เราสามารถแก้ทุกข์ได้ทันทีใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะว่าถ้าเป็นแบบนี้ โดนคนด่าก็เฉยๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  โดนคนเอาเปรียบก็ (เฉยๆ)  โดนคนแย่งสามีไปก็ (...)  เจอเรื่องอย่างนี้ทีไรเจ็บทุกที ของของใครใครก็หวง  ถ้าถามฝั่งสามีว่า ถ้าวันหนึ่งภรรยาอยากจากเราไปได้บ่ได้ เงียบเลยเห็นไหม
ฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกว่า เวลาเราศึกษาธรรมศิษย์ต้องมองให้มันกว้าง มองให้มันลึก เพราะธรรมคือความจริง สิ่งใดที่เป็นความจริงแล้วทำให้ใจเราสามารถปกติได้ นั่นคือเราเห็นธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าตอนนี้เขาจะไปแล้วศิษย์บอกว่า บ่ได้ๆ ใจมันปกติไหม (ไม่ปกติ)  ฉะนั้นไม่ปกติมันเป็นธรรมไหม (ไม่)  ไม่ปกติ แล้วถ้าเขายังจะไป โกรธเขาไหม เกลียดไหม ด่าเขาไหม เกิดเป็นกรรมไหม (เป็น)  เขาไปก็ดีแล้วจริงไหม คิดให้ดีๆ นะ ศิษย์เอย เรารู้ตั้งแต่เกิดแล้วว่า “เรามา (คนเดียว)  กลับก็ต้องกลับ (คนเดียว)”  มาก็มาตัว (เปล่า)  ไปก็ไป (ตัวเปล่า)  เอาไปได้ไหม งกไว้ทำไมใช่ไหม
แล้วถึงที่สุดเขาตายกับเราไหม (ไม่) เขาเจ็บกับเราไหม (ไม่) เขาทุกข์กับเราไหม (ไม่)  อาจารย์แค่พูดตามความเป็นจริงนะ เพราะถึงเวลาศิษย์ก็ต้องไม่เอา เอาไปมันก็กลายเป็นเกี่ยวกรรมเอาไปแล้วศิษย์ดูแลเขาได้ไหม แล้วถ้าเขาไม่ได้ดั่งใจศิษย์ทนได้ไหม ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นนั่งลง)
นั่งหรือไม่นั่ง (นั่ง) จริงๆ อาจารย์อยากสอนธรรมนะว่า ยืนแล้วเมื่อยก็คิดเสียว่าเป็นธรรม คนเรามันก็มีเมื่อยบ้างไม่เมื่อยบ้าง ถ้ายึดติดแล้วบอกอาจารย์ว่าไม่ให้เมื่อย อย่างนี้ก็เรียกว่า ไม่ยอมรับความจริง คิดแบบนี้ก็มีแต่ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
สมมติเวลาเราทำงาน เวลาเราไปเรียนหนังสือ เวลาเราออกไปข้างนอก เราเจอผู้คน ย่อมมีคนหลากหลายแบบ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(อาจารย์เมตตาให้นักเรียนฝ่ายชายที่ตัวสูงกว่า)
บางทีเราเจอคนสูง บางทีเราเจอคนเตี้ย ไม่ว่าเราจะเจอคนแบบไหน หรือคนแบบไหนจะปฏิบัติอย่างไรต่อเรา เราก็สามารถเอาสิ่งนั้นมาเป็นการประจักษ์ธรรมและปฏิบัติธรรมได้ เพราะทุกชีวิตล้วนคือธรรม ใช่ไหม (ใช่)  ชีวิตอาจารย์ก็เป็นธรรม ชีวิตเขาก็เป็นธรรม แต่เราจะเห็นธรรมในตัวเขา หรือเราจะเห็นกิเลสในตัวเขา เราจะเห็นบุญในตัวเขา หรือเราจะเห็นบาปในตัวเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเดินไปไหน ถ้าทุกคนก็พูดว่า “ไอ้เตี้ยกับไอ้สูง” แล้วเราถือสา เราโกรธ เราไม่ชอบ เราจะเห็นธรรมไหม (ไม่เห็น)  เราจะยังมีธรรมกับเพื่อนไหม เราจะเดินกับเขาต่อไหม เราจะมีความสุขไหม (ไม่)  ทำไมล่ะ เดินต่อแล้วเสียงมันชักหนาหู เขาแอบหัวเราะเรา ใจเราเริ่มฟุ้งไป ใจเราเริ่มปรุงแต่งไป ใจเราเริ่มถือสาหาความ ใจเราเริ่มไม่มองความจริง
ถ้าเราอยากอยู่กับผู้อื่นอย่างมีสุข เราอย่าเห็นว่าเราเป็นข้อบกพร่อง หรืออย่าเห็นว่าเราแย่ บางครั้งในแย่มันก็มีดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ในเตี้ยมันก็ยังมี (สูง)  เพราะฉันเตี้ยมากๆ เธอถึงได้สูง ต้องขอบคุณฉันนะใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้เราอยู่กับใครเราก็จะไม่เป็นทุกข์ แต่มนุษย์เราชอบคิดไปเอง เขามองอย่างนั้นเขาหัวเราะเรา เขามองอย่างนั้นเขาแอบว่าเรา ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นไม่ใช่แค่รู้ธรรม แต่ธรรมยังสอนอีกว่าต้องมีสติระลึกรู้เท่าทันใจ ไม่ใช่ทันเขาด่า แต่ทันใจเราว่ายอมรับความจริงไหม ใช่ไหม (ใช่)  ถ้ายอมรับความจริงเราก็เห็นธรรม และไม่โกรธเขา เราก็มีสุขกับเขาได้
(พระอาจารย์เมตตากับนักเรียนฝ่ายหญิง)
แล้วถ้ากลับไปคราวนี้เปลี่ยนบ้าง รู้จักถาม ร้อนไหมแม่ เป็นอย่างไร ก็มีคนเริ่มชมว่าเด็กคนนี้น่ารักจังรู้จักดูแลเอาใจแม่ ใช่ไหม แต่ถ้าบอกแม่ๆ ไปทำอย่างนั้นให้หน่อย เดี๋ยวหนูจะได้ไปนั่งพัก คนเขาจะมองอย่างไร (ไม่ดี)  เพราะอะไร เราใช้แม่ใช่ไหม เราน่าจะทำเองใช่ไหม ฉะนั้นการปฏิบัติธรรม การอยู่ร่วมกับคนอื่นนอกจากเราจะมองเห็นธรรมแล้วเราต้องรู้จักประพฤติธรรมด้วย ถูกไหม (ถูก)
(พระอาจารย์เมตตาสมมติตัวท่านเป็นลูกและนักเรียนฝ่ายหญิงที่สูงวัยเป็นแม่ แล้วแสดงสาธิตให้ทุกคนในชั้นดูโดยท่านพูดว่า “แม่ไปทำทำไมเล่า เดี๋ยวหนูทำเอง แม่นั่งๆ” แล้วก็พูดกับนักเรียนที่นั่งอยู่ท่านหนึ่งเพื่อยกตัวอย่างต่อว่า “ให้แม่ฉันนั่งเดี๋ยวนี้ แกเป็นใคร”)  อย่างนี้ได้ไหม ไม่ได้นะ รักแม่จนทำร้ายคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อเรารู้จักมองเห็นธรรม รักษาธรรมในตัวเราแล้ว เราก็ต้องปฏิบัติธรรมต่อพ่อแม่ ดูแลพ่อแม่แต่ไม่ใช่ไป
ข่มเหงคนอื่น มันไม่ถูกใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นทุกขณะเราสามารถทำได้ แต่ขอให้ศิษย์มีธรรมเป็นที่พึ่ง ถ้ามีธรรมเป็นที่พึ่งและมีสติคอยรักษาใจและดำรงธรรมอยู่ตลอดเวลา ศิษย์ไปไหนคนมองก็ชื่นใจ ศิษย์ทำอะไรคนเห็นก็ดีใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)

ถ้าเราไปอยู่ที่ไหนมีแต่คนรัก เราก็ชอบ ใช่ไหม (ใช่)  ไปอยู่ที่ไหนมีแต่คนดูถูก เราก็ไม่ชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนอื่นเขาจะดูถูกเราได้อย่างไร ถ้าเราไม่ดูถูกคุณค่าตัวเราเองก่อน ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นไม่ว่าเราจะอยู่กับใคร ไปกับใคร จงรู้จักปฏิบัติธรรมให้สอดคล้องและดำเนินชีวิตอยู่ในคลองธรรม ไปทำอะไรมันก็น่ารัก น่าดู น่าชม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำยากไหม (ไม่ยาก)  แต่เราต้องรู้จักพิจารณาให้เกิดธรรม ทำให้เกิดธรรมจริงๆ ด้วย อย่าดีแต่พูด ถึงเวลาไม่ทำ ใช่ไหม (ใช่) 
อย่างที่พระพุทธองค์เคยกล่าวไว้ว่า มนุษย์หวาดกลัวเรื่องความทุกข์ เราทุกคนไม่อยากมีทุกข์  แล้วเราจะดับทุกข์ได้อย่างไร เราก็บอกว่า เข้าวัดเดี๋ยวก็ดับทุกข์ได้แล้ว จริงไหม (ไม่จริง)  แล้วเราจะดับทุกข์ได้อย่างไร พระพุทธะสอนไว้ว่า ที่ไหนที่เป็นทุกข์ ในที่นั้นก็เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ และก็เป็นความดับทุกข์ และก็เป็นหนทางดับทุกข์ ซึ่งท่านบอกว่าอยู่ที่ไหน อยู่ในกายอันยาวไม่เกินวานี้ แล้วมันจะดับทุกข์ได้ตอนไหน ตอนที่ยังมีสัญญาและใจนี้ แต่มนุษย์บอกว่า อาจารย์ เดี๋ยวตายทุกข์ทั้งหลายมันก็ดับหมดแล้ว ขอไปเที่ยวเล่นให้สบายใจก่อนเถอะอาจารย์ เดี๋ยวพอตายแล้วมันก็จบๆ กัน ทุกข์มันก็สิ้นกันแล้ว จริงไหม (ไม่จริง)  ศิษย์เคยได้ยินไหม มันตายไปแล้ว แต่คนบางคนยังเผาพริกเผาขิงด่าแช่งมัน ขอให้มันไม่ไปสู่สุขคติ เคยได้ยินไหม (เคย)  แล้วพอตายแล้วจะจบกันไหม (ไม่จบ) 
แล้วเราเคยทำกับใครแบบนี้ไหม (ไม่เคย) ถ้าเคยทำแบบนี้เขาเรียกว่า คนจองเวรนะ
ฉะนั้นที่ใดเป็นที่เกิดทุกข์ที่นั่นก็สามารถเป็นที่ดับทุกข์ได้ อาจารย์แล้วมันจะดับทุกข์ได้อย่างไรล่ะ ก็เราเป็นคนเห็นเองว่าทุกข์มันเกิดจากไหน เรารู้เองว่าทุกข์มันมาได้อย่างไร ฉะนั้นเราจะจัดการทุกข์เองไม่ได้หรือ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเมื่อไรเราเห็นเองว่าทุกข์เกิดจากไหน เรารู้เองว่าทุกข์มาได้อย่างไร แล้วเราจัดการเองแก้ไขเอง ท่านบอกว่าคนที่ทำได้แบบนี้คือ คนที่เข้าใจทุกข์แล้วยังก่อเกิดปัญญาอันมหาศาลด้วย ทำได้ไหม (ได้)  ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมจึงไม่ได้ก่อให้เกิดการปฏิบัติภายนอก แต่การปฏิบัติธรรมยังสอนเข้าไปอีกว่า เราจะสามารถกระทำแล้วดับทุกข์ได้ต้องหันกลับมาดูแล้วแก้ที่ตัวเรา เหมือนดั่งคำพูดที่ว่า ถ้าภายในมันสงบ ภายนอกวุ่นวายก็จัดการได้ แต่ถ้าภายในวุ่นวาย แม้ภายนอกจะสงบ เรานั่นแหละที่จะทำให้ภายนอกป่วนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเรื่องธรรมคือเรื่องที่เราต้องมาจัดการกับใจของเราก่อนที่จะแสดงออก ถ้าเราไม่จัดการแล้วเราข่มมันไว้ หน้ามันก็บอกนะ จริงไหม (จริง) ฉะนั้นเวลาเจออะไรไม่ได้ดั่งใจ เริ่มต้นง่ายๆ อดทน นิ่ง ได้ไหม (ได้)  เขาด่ามา อดทน ได้ไหม (ได้)  นิ่งแล้วพิจารณาธรรม อาจารย์บอกว่ามันเป็นกลางอันเป็นธรรม ไม่ใช่เป็นกลางของเขาแต่เป็นกลางของเรา จำไว้ว่าจงรักษาความเป็นกลาง เพราะธรรมคือจิตพอดีอันเป็นปกติ ธรรมคือการยอมรับความจริงและรักษาจิตให้พอดีและเป็นปกติ ยากไหม (ไม่ยาก)  ถ้ารักษาได้เราก็มีศีลใช่ไหม (ใช่)  แต่เรารักษาไม่ได้ แล้วเราเบียดเบียนมันเลย ด่ามันเลย นี่แหละเราก็เริ่มไม่มีศีล ไม่มีความสงบ ไม่มีปัญญาเห็นแจ้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเขาว่าอะไรมา เขาทำอะไรมา นิ่ง มีสติ มองให้เห็นธรรม มันจบเลยนะ ใช่ไหม (ใช่)
กรรมมันสิ้นแล้ว ทุกข์มันไม่มีแล้ว วันนี้มันจบแล้ว
ฉะนั้นพระพุทธะจึงบอกว่า อดีต อนาคตไม่มี ท่านมีแต่ตอนนี้ แต่ทำไมมนุษย์ยังมีห่วงอดีต ห่วงอนาคต ก็เพราะมนุษย์ไม่เคยจบในวันนี้ ใช่ไหม (ใช่)  “อาจารย์ หนูยังต้องห่วงคนนั้น หนูยังต้องดูแลคนนี้ จะให้หนูได้อย่างไรล่ะ” ใช่ไหม “หนูยังต้องไปสอบพรุ่งนี้” แต่ถ้าวันนี้ศิษย์อ่านเต็มที่ อ่านจนตีสอง ตีสาม ตีสี่ ตีห้า ถ้าอ่านแล้วมันไม่ยอมจบสักที พรุ่งนี้จะสอบรอดไหมล่ะ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วถ้าวันนี้ทำได้ไม่ดี ดูแลได้ไม่ดี แล้วพรุ่งนี้จะรอดไหมล่ะ (ไม่รอด)  วันนี้สามีบอกว่า “จะออกไปข้างนอกนะ” ตีหนึ่งก็แล้ว ตีสองก็แล้ว ทำไมยังไม่กลับมา ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เราก็คิดในใจ สามีจะรถคว่ำไหม จะเป็นอะไรไหมแทนที่จะคิดดี กลับยิ่งคิดแช่งเขาอีกนะ แล้ววิตกกังวลอย่างนั้นจะได้อะไร (ไม่ได้)  แล้วยังสร้างบาปให้กับตัวเองใช่ไหม
ฉะนั้นถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว ธรรมจะสอนให้เรารู้ ว่าการยอมรับความจริง และรักษาความปกติของใจให้มันพอดี เมื่อเราอยู่กับใคร เราก็จะไม่ทุกข์ ในความเกินไปบ้าง ขาดไปบ้างของคน เพราะเราเป็นกลางแล้ว แต่บางทีที่เรารับไม่ได้ เราบอกว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ก็เพราะเรายึดติด จึงอาจไม่รักษาความเป็นกลางได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยากไหม ฟังธรรมอาจารย์ ไม่ยากนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์ตั้งคำถาม “ระหว่างเกิด แก่ เจ็บ ตาย อะไรคือทุกข์ที่น่ากลัวที่สุด”
(การเกิดเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด)  ศิษย์ว่าใช่ไหม อาจารย์ดีใจนะ ที่คนแรกตอบก็ตอบได้ดีนะ เพราะถ้ารู้สึกว่าเรามีความเกิดเมื่อไร เกิดในที่นี้ไม่ใช่เกิดออกมาเป็นตัวเป็นตนนะ เกิดตัวตนที่ยึดว่าเจ็บ ตาย ถ้าคิดแบบนี้ไม่ว่าเจ็บไม่ว่าตายมันก็มีแต่ทุกข์ แต่ถ้าเรามองเห็นตามธรรมแล้วไม่เกิดตัวตนเข้าไปยึดถือ ความเจ็บแค่นั้น ความตายช่างมัน ความแก่ไม่เป็นไร ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ตอบได้ดีอาจารย์มีรางวัลนะ
(พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียนที่ตอบคำถามเมื่อสักครู่)
ฉะนั้นความตายน่ากลัวไหม (น่ากลัว)  ศิษย์เอ๋ยถ้าความเกิดมันน่ากลัวความตายก็ไม่น่ากลัวแล้ว เพราะมันคือความจริงอันเป็นกลาง อาจารย์ถามหน่อยถ้าตอนนี้เพื่อนตายหมดแล้วเหลือเราอยู่คนเดียว ทำอย่างไรก็ไม่ตายเสียที อยากตายไหม จิตของเราแท้จริงมันไม่มีการเกิดดับ แต่สังขารมันต้องมีวันดับถูกไหม จำไว้นะศิษย์จิตเดิมแท้ของมนุษย์ทุกคนหรือของศิษย์ทุกคนไม่มีวันเกิดดับ มันเป็นแค่การเปลี่ยนภพเปลี่ยนที่เปลี่ยนสถานะเท่านั้นเอง ฉะนั้นถ้าเราเข้าสู่สภาวะธรรม ธรรมนั้นแหละก็จะผลักดันให้เรากลับคืนสู่ธรรม แต่ถ้าจิตของเรายังยึดติดความมีตัวตน ต้องเป็นแบบนั้น ต้องเป็นแบบนี้ ถึงแม้จะสิ้นสังขารแล้วคำว่า “ตัวตน” นี่แหละจะทำให้ศิษย์กลับไปภพชาติที่เป็นไปตามกรรมที่ศิษย์ยึดติดและสร้างสมไว้พอเข้าใจที่อาจารย์พูดไหม
ฉะนั้นถ้าศิษย์บอกว่า กลัวตาย ถ้าเราไม่ยึดถือในตัวตน เรามองเห็นธรรมอันเป็นจริงแท้ในตัวเราแล้ว ความตายไม่น่ากลัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วยังกลัวอะไรอีกไหม (ไม่กลัว)  ตอนนี้น่าจะกลัวเผลอไปยึดกับความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาแอปเปิลไหม แอปเปิลนี้กินแล้วตาย เอาไหม (เอา ไม่กลัวความตาย)  เพราะอะไร (เพราะตอนนี้ยังไม่มีเกิด)  ศิษย์เอ๋ย เพราะตอนนี้ถึงจะกินไม่กินแอปเปิลอย่างไรก็ต้องตาย จริงไหม (จริง)  คุยกับอาจารย์อยู่นี้ ศิษย์ก็กำลังตายอยู่นะ ใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์เรากำลังตายอยู่ทุกขณะนะ มีบางอย่างกำลังเจ็บอยู่ทุกขณะ มีบางอย่างกำลังตายอยู่ทุกขณะ ฉะนั้นถ้าเราไม่ยึดติด มันจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ฉะนั้นกินแอปเปิลแล้วตาย เอาไหม (เอา)  เพราะอย่างไรมันก็ต้องตาย เอาไม่เอาก็ต้อง (ตาย)  แต่พอกินแอปเปิลแล้วอย่าทุกข์นะ
มีใครอยากได้แอปเปิลไหม เอาเพื่อตัวเองหรือเอาเพื่อคนอื่น
(ตัวเอง,คนอื่น)  ถ้าเมื่อไหร่เอาไปเพื่อตัวเอง แปลว่าการเอานั้นจะก่อเกิดทุกข์ เพราะว่าเกิดความอยาก ใช่หรือไม่ แต่ถ้าเราเอาไปเพื่อคนอื่น คือการได้สร้างบุญและรู้จักให้ ซึ่งอาจารย์อยากให้ศิษย์เป็นแบบนั้น ชีวิตศิษย์ทำเพื่อตัวเองมาเยอะแล้ว เปลี่ยนเป็นลองทำให้คนอื่นโดยที่ไม่ต้องหวังผลให้ตัวเองบ้างไม่ดีหรือ ใช่ไหม (ใช่) 

ให้แล้วรู้จักเอาไปให้ต่อ ไม่เก็บไว้แต่ตัวเองนะ อาจารย์ให้เพราะอยากให้ศิษย์รู้จักให้ต่อนะ อาจารย์ถามนะ ถ้าตอนนี้อาจารย์ให้ไปแล้วมีคนขอเลย ศิษย์จะให้เขาไหม (ให้)  แม้ตัวเองจะไม่ได้นะ แน่ใจนะ (แน่ใจ)  ถ้าไม่ได้เอาไปให้กับคนที่เราอยากให้ ให้เขาไหม (ให้)  อย่างนั้นศิษย์ก็ไม่ได้นะ เพราะอาจารย์บอกว่าถ้ามีคนมาขอคืน แล้วไม่ได้ให้กับคนที่ศิษย์อยากจะให้ แต่เป็นอาจารย์มาเอาคืน เท่ากับจริงๆ แล้วเราเหมือนไม่ได้อะไร ถูกไหม ทำใจได้ไหม (ทำใจได้)  อาจารย์พูดธรรมให้ศิษย์ฟัง อาจารย์ก็อยากให้ศิษย์ได้ปฏิบัติธรรมทันที ถูกไหม
ที่อาจารย์สอนไว้ว่าอย่าก่อเกิดความเกิด เมื่อเกิดมีตัวตนเราหนีไม่พ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทุกข์นั้นยังสอนให้เราเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่จบไม่สิ้น ไม่ว่าจะเป็นการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในเรื่องการได้แอปเปิลหรือไม่ได้แอปเปิล เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่าใครออกมาอาจารย์จะให้แอปเปิล แต่แอปเปิลนี้อาจารย์บอกว่าไม่ให้เก็บไว้กับตัวแต่รู้จักให้ผู้อื่น ถ้าอาจารย์ไม่ให้ก็ถือว่าศิษย์กำลังให้ผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เอ๋ย บางครั้งความเป็นจริงในโลกนี้เหมือนเราได้แต่จริงๆ ไม่ได้ เหมือนเรามีแต่จริงๆ มันไม่เคยมี แต่มนุษย์ก็ขออดจับมันสักนิด คว้ามันสักหน่อย แล้วก่อนมันจะไปหาใครก็ขอให้ทำใจก่อน ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นขอให้จับก่อนนะแล้วจะขอคืน
ในโลกความเป็นจริงใบนี้เราเหมือนเราคว้ามาได้ เราเหมือนเราครอบครองอะไรได้แต่จริงๆ แล้วถามลึกๆ มีอะไรที่เป็นของเราจริง มีอะไรที่เราถือได้จริง มีอะไรที่ตลอดชีวิตมันอยู่กับเราไม่ไปไหน (ความดี)  ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์แค่ให้ศิษย์นึก ศิษย์พยายามหาความรัก ศิษย์พยายามหาเงิน  ศิษย์พยายามหาเกียรติยศ แต่สิ่งที่ศิษย์หามาทำให้ศิษย์กำลังสูญเสียคุณธรรม สูญเสียความดี แล้วสิ่งที่ศิษย์ได้มานั้นมันคุ้มค่ากับคุณธรรมความดีในจิตใจที่ศิษย์สูญเสียไหม แต่ถ้าวันนี้เราเข้าใจธรรม ได้น้อยหน่อย มีน้อยหน่อย แต่ธรรมยังอยู่ในใจ แล้วได้ใจคนอื่น ไม่เบียดเบียนคนอื่น ยอมบ้างไหม (ยอม) ยอมหรือ มาด้วยกันมันได้หน้า เราไม่ได้ เราเหนื่อยอยู่คนเดียวยอมไหม (ยอม)  เอาไหมแอปเปิล (เอา) กลับไปนั่งนะเดี๋ยวขอคืน ให้คืนไหม (ให้)  อาจารย์จะบอกให้นะศิษย์ บางอย่างถ้าถึงเวลาเขามาขอคืนก่อนที่เราจะทำใจ บางทีอาจารย์ก็อยากจะบอกว่ายอมได้ สละได้ ให้ไปเถอะ อย่ารอจนกระทั่งมันถึงเวลาแล้วมันจากไปบางทีมันเจ็บปวดกว่านะ เพราะเพิ่งรู้จักมันไม่นานก็เสียแล้ว บางทียังรู้สึกดีกว่า รู้จักมานานแล้วครอบครองมันมานานแล้วนะอาจารย์ อาจารย์จะเอามันไปหรืออาจารย์
ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าบางทีแค่เรียนรู้ แต่ไม่ต้องครอบครอง ไม่ต้องไขว่คว้า บางทีมันทำเราเจ็บปวดน้อยกว่า จริงไหม (จริง)  เหมือนสิ่งที่ศิษย์พยายามคว้า ไม่ว่าเงิน ไม่ว่าความรัก ไม่ว่าชื่อเสียง ไม่ว่าความสุขสบาย เราหวังว่าจะได้มี หวังว่าจะได้มา แต่ถึงเวลาที่สุด พอกำลังจะสบาย ทำไมทุกข์ พอกำลังจะมี ทำไมเสีย ใช่ไหม เหมือนกับแอปเปิลที่เมื่อครู่เหมือนจะได้ อ้าว! ไม่ได้แล้วหรืออาจารย์ ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนที่ออกมาท่านหนึ่ง) เอาไหม (เอา)  อย่างนั้นอาจารย์ขออย่างหนึ่ง เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบได้ไหม แล้วเดี๋ยวอาจารย์ให้ไปนั่งเลย ให้แอปเปิลด้วย แถมรักษาด้วย ตัวเองตัดสินใจเอง ศิษย์เอย เหล้าบุหรี่มันทำให้ปากม่วง หน้าคล้ำ ตัวดำแล้วนะ ถ้าตอนนี้รับไปยังแก้ทัน ถ้าตอนนี้ไม่รับไป เป็นอะไรอย่ามาเรียกอาจารย์จี้กงให้ช่วยนะ พูดขนาดนี้แล้วยังไม่เอา เอาไหม (เอา)  อย่าเผลอไปกินนะ เพื่อนชวนสักเป๊กสองเป๊กก็ไม่เอานะ เบียร์ก็ไม่กินนะ มนุษย์มักจะบอกว่า อาจารย์ เหล้ามันเป็นยา กินนิดกินหน่อยมันกระชุ่มกระชวยดีนะอาจารย์ ใช่หรือเปล่า เหมือนศิษย์ไปเล่นหวยใต้ดิน นิดๆ หน่อยๆ อาจารย์ พอนิดๆ หน่อยๆ ทำไมตอนนี้มันเริ่มเยอะ เริ่มเยอะแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเอาก็ไปนั่ง เอานี่แปลว่าต้องทำได้ ไม่กินตลอดชีวิต ไม่ทำมันตลอดชีวิตนะ ทำได้ไหมศิษย์ (ทำได้)  ทำได้ก็ไปนั่ง อายุปูนนี้ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ไหวแล้วนะ ใช่ไหม ทำได้ไหม (ทำได้)  ทำได้คือ (ไม่กิน)  ไม่กินอะไร (ไม่กินเหล้า)  เหล้าขาวก็ไม่กินนะ ยาดองเหล้าก็ไม่กินนะ เบียร์ก็ไม่กินนะ เอาไหม (เอา)
อาจารย์อุตส่าห์เชื่อมั่นในตัวศิษย์แล้วนะ ทำไมศิษย์ไม่เชื่อมั่นในตัวเองล่ะใช่ไหม ทุกคนให้กำลังใจทำได้ไหม (ทำได้)  มั่นใจไหม (มั่นใจ)  เชื่อเขาไหม (เชื่อ)  ปรบมือดังๆ หน่อย ยังไม่ต้องหักดิบก็ได้ อาจารย์ให้ค่อยๆ ลดได้ไหม จากปกติ วันละขวด วันละซอง ให้เหลือเป็นเดือนละซอง ค่อยๆ นะเพื่อตัวศิษย์เองนะ
ความเกิดเป็นตัวเป็นตนนี่น่ากลัวนะ ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนเกิดอยากตามรสชาติที่ตัวเองเคยจำได้ นั่นก็เรียกว่าการเกิด ถูกหรือไม่ (ถูก)  เหมือนเกิดอยากสวย ปรุงแต่งตัวเอง นั่นก็คือการเกิดเป็นตัวตน ฉะนั้นเกิดกี่ที ก็ต้องทุกข์ทุกที เพราะทุกข์ต้องวิ่งไปตามอยากที่สนองตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราลองคิดแค่เพียงว่า แต่งสวยไปก็ (ตาย)  แต่งหล่อไปก็ (ตาย)  ให้มันจริงเถอะ ศิษย์รู้ไหมว่าอาจารย์เคยบอกไว้ว่าเสื้อผ้ามันก็เหมือนเอามาปิดถุงขี้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนที่อาจารย์เคยพูดว่า ออกจากตาเรียกว่าขี้ตา ออกจากปากเรียกว่าขี้ปาก ออกจากมือเรียกว่าขี้มือ ฉะนั้นในตัวเรานี้เรียกว่าถุงขี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราชอบถุงขี้ไหม เรากำลังแต่งตาให้กับถุงขี้ เรากำลังแต่งหล่อให้กับถุงขี้ และเรากำลังหลงถุงขี้ แล้วเราก็ไปหาถุงขี้มาเพิ่มอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราก็ยังผลิตถุงขี้เพิ่มอีก ฉะนั้นทุกอย่างที่ออกมาจากเราก็เป็นขี้ อาจารย์พูดผิดไหม (ไม่ผิด)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงบอกว่า สังขารเราก็เพียงแค่ยืมใช้ แต่ถ้ายึดติดถึงขนาดก่อบาปก่อกรรมก็ไม่ถูกต้องแล้ว ถ้ายึดติดแล้วทำให้ทำลายคุณธรรมในจิตใจก็เรียกว่าไม่ถูกต้อง ไม่ดีงามแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
เรามาเล่นอะไรกันหน่อยดีไหม การเล่นของอาจารย์ก็คือส่งแอปเปิล แอปเปิลอยู่ที่ตัวศิษย์หลายคนแล้วใช่ไหม อาจารย์จะให้แอปเปิลได้ผ่านหลายๆ มือ ดีไหม (ดี)  ของบางอย่างบางทีมันอยู่กับเราแต่บางครั้งมันก็ไม่อยู่กับเรา ของบางอย่างบางทีมันเหมือนเป็นของเราแต่จริงๆ แล้วบางทีมันไม่ใช่ของเรา ฉะนั้นอาจารย์อยากให้คนที่ได้รับรู้จักการพลัดพรากบ้าง คนที่มีให้รู้จักให้คนอื่นแล้วไม่มีบ้างได้ไหม (ได้)  ได้นะถ้าอาจารย์บอกว่าหยุดแล้วแอปเปิลอยู่ที่ใคร ไม่ได้กลับมาคืนศิษย์ ศิษย์พร้อมจะให้คนคนนั้นไหม ศิษย์เอ๋ยเราอยู่ในโลกนี้ไม่วันนี้ก็วันหน้าไม่ให้ก็ต้องให้ใช่ไหม (ใช่)  ถามจริงๆ หาเงินมาแทบตาย ถึงเวลาตายไปใครใช้เงินเรา (ลูกหลาน)  บางทีเป็นลูกหลาน แต่บางทีไม่ใช่อาจจะเป็นเจ้าหนี้ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์เอย สิ่งที่ศิษย์หาแล้วศิษย์ว่ามันมี มันเป็นของเรา จริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรเป็นของเรา แล้วถ้าศิษย์เข้าใจธรรม ศิษย์จะรู้ว่าในตัวเราก็ไม่เคยสูญเสียอะไร เพราะมันไม่มีตั้งแต่ต้น แต่เราไปหลงเอาว่ามันเป็นของเราจริงไหม (จริง)  ส่งไหม (ส่ง)  อย่างนั้นนับหนึ่งถึงสิบดีไหม (ดี)  พอแอปเปิลไปอยู่ที่มือใครเดี๋ยวอาจารย์ก็จะให้แอปเปิลนั้นต่อ แล้วคนนั้นก็ส่งต่อไปอีกดีไหม (ดี)  คราวนี้แอปเปิลนี้จะได้ทุกคนเลยใช่หรือไม่ แล้วทุกคนจะได้มีแอปเปิลใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนหลับตา)  บางครั้งการเห็นมากก็ทำให้เรายึดติดใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าแอปเปิลมันผ่านมาก็จับให้มันดีๆ แล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไปนะ ถ้าถึงสิบแล้วมันไม่ได้ลงที่เราก็ถือว่าโชคมันผ่านไปแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ใช่หรือ
(พระอาจารย์เมตตาให้พี่เลี้ยงและผู้ปฏิบัติงานธรรม เล่นเกมส่งสับปะรดพร้อมนักเรียนโดยให้หลับตา)
อยู่ด้วยกันต้องรับความแหลมคมของคนอื่น และก็ของตัวเองให้ได้นะ ตอนนี้ทุกคนหลับตานะ พร้อมหรือยัง นับหนึ่งถึงสิบนะ ถ้าแอปเปิลและสับปะรดไปอยู่ที่ใคร ก็ออกมารับจากอาจารย์เพิ่ม ดีไหม (ดี)
ลืมตาเลย ใครได้แอปเปิลออกมารับเพิ่ม โชคดีนะยังกลับมาเจอคนเดิมอีกนะ อาจารย์จะให้อีกดีไหม อาจารย์จะให้เพิ่ม แต่รู้จักให้ต่อนะ เอาไปให้ใครบ้าง (ให้น้อง)  ลูกที่เพิ่งได้ใหม่คือของศิษย์นะ แต่ลูกที่ศิษย์เพิ่งเล่นคือส่งต่อนะ
(พระอาจารย์เมตตากับผู้ปฏิบัติงานธรรมที่ได้สับปะรด)
จะเอาไว้หรือจะส่งต่อ (ส่งต่อ)  สับปะรดอยู่ที่ตัวแปลว่าอะไรรู้ไหม (ต้องมีใจพร้อมรับกับทุกสิ่งได้)  แต่เราต้องอย่าสร้างปัญหาเองนะ จริงๆ สับปะรดตามความหมายทางธรรมมีอีกอันหนึ่ง คือ บุกเบิก ฉะนั้นได้ไป ถ้ามีโอกาสก็ไปบุกเบิก เก็บไว้นะ เพราะอาจารย์อยากให้ไปบุกเบิก พร้อมกันอยู่แล้ว ลูกก็ไม่ต้องห่วงแล้ว
(พระอาจารย์เมตตาให้ส่งผลไม้ไปข้างหลัง ให้ผู้ร่วมฟังเล่นเกมด้วย)
แอปเปิลอยู่ที่ใคร ผู้ร่วมฟังยืนขึ้น โชคดีนะได้สองลูกเลยหรือ ศิษย์ไม่ต้องตกใจ ดีแล้ว เก็บไว้เป็นมงคลกับตัวเองนะ และมงคลนั้นต้องรู้จักส่งต่อให้ผู้อื่นด้วยนะ ได้ไหม (ได้)  หิวข้าวหรือยัง (ยัง)  ยืนเมื่อยไหม (ไม่เมื่อย)  อาจารย์จะต่ออีกสักนิดไหวไหม (ไหว)  หรือจะลงไปกินข้าวก่อน (ไม่ลง)
เราคุยกันไปจนถึงเรื่องอะไรบ้าง พอจำได้ไหม อาจารย์พูดไปหลายเรื่อง เรื่องแรกคือการปฏิบัติธรรมเพื่อดำเนินชีวิต ใช่ไหม (ใช่)  เราสามารถปฏิบัติได้ทุกขณะ แต่เราต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า มนุษย์ทุกคนมีความจริงที่หนีไม่พ้น และความจริงที่หนีไม่พ้นนั่นก็คือความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ซึ่งในความเกิด แก่ เจ็บ ตายนั้น ก็มีอยู่ในทุกผู้คนและก็เป็นส่วนหนึ่งในตัวเรา หรือเรียกอีกหนึ่งว่า ธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรม อันทำให้ทุกคนเสมอกัน ธรรม อันทำให้ไม่ว่าคนยากดีมีจนก็ต้องเจอเรื่องนี้เหมือนกัน ฉะนั้นพระพุทธะจึงบอกไว้ว่า “มนุษย์เป็นเพื่อนร่วมทุกข์เหมือนกัน จะโกรธเกลียดกันไปทำไม” เพราะถ้าเราไม่โกรธเกลียด บาปกรรมก็ไม่เกิด ใช่หรือไม่ (ใช่)
คุยกันมาตั้งเยอะแล้ว ศิษย์พอรู้ไหมว่าบาปกรรม มันเกิดจากการที่เราทำอย่างไรหรือ ใครตอบอาจารย์ได้บ้าง (ทำชั่ว)  ทำชั่วคือไม่ดี ไม่ดีคือ (ทำชั่ว)  สมมุติอาจารย์ให้แอปเปิลศิษย์ไป แต่อาจารย์บอกว่าเอากระเป๋าศิษย์มาอย่างนี้เรียกดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  ให้จริงๆ นะ แล้วให้ไหม (ให้)  แน่ใจนะ ถ้าทำอย่างนี้ได้จริงๆ อย่างนี้ก็ดีนะ ศิษย์จำไว้นะถ้าชีวิตมันต้องเจอเรื่องที่มันสุดแก้ได้ อับจนหนทาง ขอเพียงใจเราสู้ คนเรานี้ก่อนมาเราไม่มีมัน แล้วจะบอกเราสูญเสียมันหรือ ไม่ใช่นะเราไม่เคยสูญเสียอะไร แต่ความยึดมั่นทำให้เรารู้จักสูญเสีย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าใจศิษย์ไม่ท้อชีวิตศิษย์ไม่ยอมแพ้มัน ไม่มีก็หาใหม่ได้ จึงมีคำพูดคำหนึ่งว่า “ของเสียได้แต่ใจอย่าเสีย คนจากไปได้แต่ใจอย่าสูญหาย” ความชั่วก็คือ จิตใจที่เบียดเบียนอยากได้ของผู้อื่นมาเป็นของเราโดยไม่คิดคำนึงถึงคุณธรรมและความเมตตาในจิตใจ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์แค่อยากให้เขาเห็นว่าชั่วมันคืออะไร ถึงจะดีอย่างไรแต่ถ้าอยากได้ของผู้อื่นแล้วเบียดบังน้ำพักน้ำแรงของคนอื่นจะดีอย่างไรก็ไม่เรียกว่าดีหรอก ใช่ไหม (ใช่)
นอกจากไม่ดี มันมีอะไรอีกที่สามารถชักชวนทำให้เราหลงผิดทางได้ ความโกรธ ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อเวลาความโกรธมันมา เราหยุดได้ไหม (ได้)  หยุดได้โดยการ ศิษย์เอย เวลาเจอคนไม่ได้ดั่งใจ บางทีมันไม่ไหว มันกลั้นไม่อยู่แล้ว ทำไมมันเป็นแบบนี้นะ นี่คือความโกรธ ถูกไหม (ถูก)  สิ่งที่โกรธเวลาเกิดขึ้น แล้วจะทำอย่างไร ก็เข้าใจนะ โกรธมันก็คือธรรมชาติอย่างหนึ่ง ทำไมอาจารย์ไม่ให้หนูโกรธ มันต้องปล่อยออกมา ถ้าไม่ปล่อยออกมามันจะอกแตก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้น เวลาโกรธทำอย่างไร วิธีง่ายๆ นะศิษย์ อาจารย์ถามจริงๆ มีใครในโลกสมบูรณ์แบบ ไม่ผิดผลาด เราคาดไว้แล้วไม่ผิดคาดเลย มีไหม (ไม่มี)  เราว่าอย่างไร เขาว่าอย่างนั้น เราชมอย่างไร เขารู้จักทำอย่างนั้น เราพูดหนึ่ง เขารู้จักสอง สาม สี่ ห้า เขารู้ใจไปหมดเลย มีไหม (ไม่มี)  ตลอดชีวิตห้าสิบปีที่ผ่านมาเจอคนแบบนี้บ้างไหม (ไม่เจอ)  มีแต่บอกหนึ่ง เขาไปสอง บอกซ้ายเขาไปขวา แบบนี้เจอเยอะกว่า ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราจำไว้ในใจ เราจะเจอคนที่ผิดคาด เราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  เราจะไม่โกรธ อาจารย์จี้กงเคยบอกแล้วไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบในโลกหรอก และก็ไม่มีอะไรเป็นได้ดั่งใจหรอก จริงไหม (จริง)  คนที่เราบอกหนึ่งเขาก็หนึ่ง บอกสองเขาก็สอง ดูดีๆ นะ เขาอาจจะแอบขออะไรเรา แต่คนที่บอกหนึ่งแล้วไปสอง บอกสองแล้วไปสาม บางทีดูดีๆ นะ อย่าเพิ่งโกรธ มันอาจจะให้สติเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าศิษย์มองให้ชัด ก่อนจะโกรธ ก่อนจะเกลียด ก่อนจะด่าเขา เขาพูดจริงไหม ถ้าเขาพูดจริง อย่างที่อาจารย์บอก อดทนก่อน นิ่งก่อน แล้วมองดู รักษาใจให้เป็นกลาง อย่าปล่อยความโกรธออกไป อย่าปล่อยความเกลียดออกไป อย่าก่อกรรมบาป อย่าก่อเวรกรรม อย่าก่อทุกข์ ถ้าเราหยุดยั้งได้ ความโกรธก็ทำอะไรเราไม่ได้
เหมือนเราเล่นกับใจตัวเอง เรารู้จักเล่นเกมใช่ไหม (ใช่)  อะไรเราก็จัดการได้ ไม่รู้วิธีเล่น ไม่อ่านคู่มือ แถมมั่วๆ ยังไปได้ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์อาจารย์น่ะเก่งนะ แล้วอย่างนี้ความโกรธมาจากไหน มันก็มาจากใจเราเอง แล้วทำไมเราจัดการมันไม่ได้ล่ะ เราสร้างมันขึ้นมามันจะอยู่ในอาณัติเราไม่ได้หรือ มันจะฟังเราไม่ได้หรือ แล้วเราจะหยุดมันไม่ได้หรือใช่ไหม (ใช่)  แล้วใครเกิดมาโกรธมาตั้งแต่แรกเกิดเลย ไม่มีใช่ไหม (ใช่)  แล้วใครอยากมีโกรธไปตลอดชีวิต (ไม่เอา)  แล้วจะเลี้ยงมันไว้ไหม (ไม่เลี้ยง)  ฉะนั้นเจอคนขัดใจ มันเป็นธรรมดาไม่มีใครสมบูรณ์แบบ เรายังไม่ได้เรื่องเลยเขาก็คงเป็นอย่างนั้นแหละ ในเมื่อเรายังจัดการอะไรได้เยอะแยะ ศิษย์บางคนเรียนก็เก่ง หาเงินหาทองก็เก่ง แต่จริงๆ ตัวเองไม่เก่ง ฉะนั้นเมื่อมีความโกรธมา เราเป็นนายมัน มันไม่ใช่นายเราถูกไหม บอกมันเลย ช่างหัวแก อย่าให้มันครอบงำ เพราะถ้าเมื่อไรครอบงำแล้วก่อเกิดเป็นบาป ก่อเกิดเป็นการเบียดเบียน ก่อเกิดเป็นการชิงชังเคียดแค้นแล้ว มันก็ไม่มีความสุข ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นที่อาจารย์พร่ำพูดมาตั้งเยอะแยะ ไม่ได้ยากเลยในการปฏิบัติธรรม แต่อยู่ที่ว่าอย่าไปคิดควบคุมใคร ให้ควบคุมใจ ถ้าพูดแล้วมันจะกลายเป็นบาปกรรม ไม่พูดดีไหม (ดี)  ถึงสิ่งที่พูดนั้นเป็นจริงแต่ถ้าจริงแล้วมันทำให้คนอื่นไม่ดี อย่าออกจากปากเราดีไหม (ดี)  ดีคือทำไม่ทำ (ทำ)  ทำนั่นคือพยายามไม่พูดใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ถามง่ายๆ สมมติวันนี้อาจารย์ไปเจอคนนี้แล้วไม่ดี อาจารย์ก็ข่มไว้ในใจ จะไม่พูดจะไม่ก่อกรรมกับเขานะ แต่พอเจอเพื่อน มันไม่ไหวน่ะ พูดหน่อยเถอะ พอพูดเสร็จแล้ว เพื่อน
เห็นด้วย เพื่อนรักเรา ก็บอกว่าเขาแย่ กลายเป็นว่า เรากำลังร่วมสังฆกรรม แล้วก็ร่วมกันก่อกรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วศิษย์ทำแบบนั้นไหม

จำไว้นะอย่าเผลอ เพราะถ้าเกิดทุกเวลาทุกขณะที่ศิษย์มีชีวิตนี้ แล้วจบกรรมทุกขณะ ชาติหน้าก็ไม่มีแล้ว เพราะมันสิ้นทุกข์แล้ว มันสิ้นกิเลสแล้ว แต่จะทำไม่ทำ ถึงเวลาขอให้มีสติรู้เท่าทันและมองเห็นธรรมนะศิษย์ แม้มันจะอย่างไหนมันก็คือธรรม ที่เราต้องรักษาความเป็นกลางในใจ แล้วศิษย์จะพบพระพุทธะที่อยู่ตรงนี้ ไม่ต้องรอมาที่วัดก็ได้ ไม่ต้องรอมาเจอพระก็ได้ แต่เราจะเป็นพระบนโลกใบนี้ ที่ไปที่ไหนก็ทำให้คนเห็นธรรมและร่มเย็นในธรรม ดีกว่าไหม (ดี)  ประเสริฐไหม (ประเสริฐ)  ไปไหม (ไป)
อาจารย์ก็ได้แต่ส่งใจอวยพร ขอให้ศิษย์ไปให้ถึงธรรมอันนั้น ธรรมที่ไม่ได้อยู่ในใจอาจารย์ แต่มันอยู่ในใจศิษย์ทุกคน ธรรมที่ไม่ได้เกิดจากอาจารย์พยายามยัดเยียดให้ศิษย์ แต่มันเกิดจากศิษย์ที่รู้ตื่น คิดได้ เห็นได้ ขณะที่กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ทุกคนคือธรรมนะ ทุกเมล็ดพันธุ์คือธรรม แต่อยู่ที่ว่าศิษย์จะเลือกเมตตาธรรม กรุณาธรรม จริยธรรม สัตยธรรม หรือเลือกโกรธ เกลียด โลภ หลง เอาแต่ใจ เห็นแก่ได้กัน จำไว้นะศิษย์ ชีวิตมีทางให้เลือกเดิน แต่อยู่ที่ว่าศิษย์จะเลือกทางไหน ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “เห็นทุกข์เป็นธรรม”)
ช่วงเวลาแห่งความทุกข์ของศิษย์ทั้งหลายคือช่วงเวลาที่ศิษย์ได้เห็นธรรมในความทุกข์นั้น ใช่ไหม (ใช่)  สิ่งที่ศิษย์กำลังสูญเสียคือเป็นสิ่งที่ทำให้เราเห็นธรรม ธรรมที่มีเยอะมาก ธรรมที่มีจนบรรยายไม่หมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่ศิษย์กำลังสูญเสียคือบุคคลที่ศิษย์รู้สึกรักใคร่ บุคคลที่ศิษย์รู้สึกรักได้จากศิษย์ไป แต่สิ่งที่เขาจากไป เขาทิ้งธรรมอันมหาศาลให้ศิษย์ได้รับรู้ แล้วเราจะแค่รู้หรือเอาไปปฏิบัติ เราจะแค่เห็น ซึ้ง น้ำตาไหล ถึงเวลานิสัยเราก็เหมือนเดิม ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)
ฉะนั้นกลอนที่ศิษย์ช่วยอาจารย์วงยังเป็นกลอนที่ได้กล่าวถึงบุคคลอันเป็นที่เคารพรักได้จากไปแต่ได้ทิ้งธรรมให้ศิษย์ได้ระลึกถึงได้คิดถึง
“ฟ้าสีหม่นคนเป็นทุกข์เพราะพลัดพราก              ห้วงเวลาที่ยากทำใจยอมรับ
จงแปรทุกข์กลายเป็นธรรมตามลำดับ   แสงที่ดับกลับสว่างกลางใจคน
เมตตาสละเป็นแบบอย่างไม่หยุดพัก     เป็นเพราะรักเมตตาเย็นดุจสายฝน
เสกรังสรรค์ปราศจากความเห็นแก่ตน  ขอฝึกฝนตามรอยพระราชา
จงทำต่อจากจุดที่ท่านหยุดเดิน            สรรเสริญด้วยปณิธานอันแรงกล้า
เรื่องความดีไม่มีห้วงเวลา                    ไทยทั้งหล้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน”
สิ่งที่อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้มากที่สุดคือ คนที่มีโอกาสสบายที่สุดแต่ยอมลำบาก หัวใจนั้นยิ่งใหญ่ คนที่มีโอกาสสบายที่สุดแต่รู้จักสละตัวเองเห็นแก่ผู้อื่นนั้นคือหัวใจแห่งพระ ถ้าสรรเสริญท่านก็จงนำปณิธานของท่านนั้นมาประพฤติปฏิบัติให้ดี เพราะว่าเรื่องความดีไม่เคยสูญหายไปจากใจคน ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ก็อยากจบ แล้วจากศิษย์ด้วยความสุขและความปิติใจ ฉะนั้นขอให้ศิษย์ดำเนินชีวิต รู้จักนำพาชีวิตตัวเองไปให้ถูกทางและมีธรรมประจำใจนะ
อย่าให้อาจารย์ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ห่วงซ้ายกังวลขวาเลยนะ จงเป็นพระที่พึ่งให้กับตัวเอง และจงเป็นพระที่พึ่งให้กับผู้อื่น จงมีความร่มเย็นให้กับตัวเองและจงเอาความร่มเย็นนั้นเผื่อแผ่ให้ผู้อื่น ถ้าทำได้เช่นนี้ก็เรียกว่าปฏิบัติธรรมได้อย่างงดงามและถูกต้อง ใครไม่ดีอย่างไรช่างมันเถอะนะ ตัวเองดีหรือยัง ฉะนั้นลูกศิษย์ของอาจารย์มีแต่แก้ไขตัวเอง ไม่แก้ไขใคร เปลี่ยนชะตาตัวเองด้วยมือเราเองนะ อย่าปล่อยให้ความเป็นตัวตนมันจำกัด เป็นศิษย์อาจารย์แล้ว ความเป็นตัวตนต้องยิ่งใหญ่เหนือคำจำกัด นั่นแหละถึงจะเรียกว่าพบธรรม ใช่หรือไม่ ทำให้ได้นะศิษย์เอ๋ย อาจารย์พบแล้ว อาจารย์เจอแล้ว แล้วศิษย์ก็เคยได้ให้คำสัญญากับอาจารย์ไว้แล้ว แต่ศิษย์แค่ลืมไป หลงไป แค่นั้นเอง ฉะนั้นอาจารย์แค่มาปลุกให้ศิษย์ตื่น ตื่นแล้วมองความจริงให้เห็นธรรม ปล่อยวางตัวตนบ้าง เสียสละตัวเองเพื่อผู้อื่นบ้าง มันไม่ยากหรอก บุญบารมีเกิดจากการให้ ให้จนไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ ประเสริฐที่สุดแล้วศิษย์ ให้จนไม่เหลือตัวตน ให้จนไม่รู้ว่าอะไรคือความสุขของตัวเอง เห็นเขายิ้มได้ หนูสุขแล้วอาจารย์ เอาหัวใจนั้นไปนะศิษย์
มีโอกาสอาจารย์คงได้มาผูกบุญกับศิษย์อีก มีโอกาสกลับมาอีกนะ รู้จักระมัดระวังดูแลตัวเองให้ดี อย่าปล่อยให้ความโลภความหลงมันทำร้ายตัวเอง รักษาจิตรักษาใจให้ดีนะ ทำให้ได้นะ อย่าดื้อ ตั้งใจเรียน เป็นคนดี อย่าหลงไปกับรูปลักษณ์อันจอมปลอม
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนประชุมธรรม ๑ วัน)
มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีก เสียดายฟังไม่จบ มีโอกาสกลับมาทำให้จบนะ คนบุญคนดีของอาจารย์ หลงไปบ้างก็ดึงๆ กลับมานะ เสียสละอุทิศเพื่อประชาทำไม่ยาก แต่คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยยอมทำ ตั้งใจทำให้ดีนะ จิตใจอันดีงามมีอยู่ในตัวศิษย์แล้ว แต่ต้องเข้มแข็ง จับมืออาจารย์ไหม มุ่งแล้วต้องไปให้ถึงที่สุด ขอเพียงสำคัญคือจิตใจนะ สังขารมันเป็นแค่ร่างกายอันจอมปลอม ใจต้องเข้มแข็ง อาจารย์ต้องไปแล้ว ดูแลตัวเองกันให้ดีๆ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ใครหายไปก็เรียกกลับมา อ่อนแอไปก็ลุกขึ้นใหม่ กลับมาอีกนะ อาจารย์ไปแล้วนะ



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เห็นทุกข์เป็นธรรม”
  ฟ้าสีหม่นคนเป็นทุกข์เพราะพลัดพราก      ห้วงเวลาที่ยากทำใจยอมรับ
จงแปรทุกข์กลายเป็นธรรมตามลำดับ         แสงที่ดับกลับสว่างกลางใจคน
เมตตาสละเป็นแบบอย่างไม่หยุดพัก           เป็นเพราะรักเมตตาเย็นดุจสายฝน
เสกรังสรรค์ปราศจากความเห็นแก่ตน         ขอฝึกฝนตามรอยพระราชา
จงทำต่อจากจุดที่ท่านหยุดเดิน                สรรเสริญด้วยปณิธานอันแรงกล้า
เรื่องความดีไม่มีห้วงเวลา                       ไทยทั้งหล้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา