วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

2558-11-21 สถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก (ชั้นปั้นซื่อ)

西元二年歲次乙未十月初十日                                   仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๘  สถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

           โรคทิฐิโรคอัตตาโรคอวิชชา            สามโรคนี้มาคร่าจิตญาณรู้ตื่น
      มีหน้าตาเป็นร้อยเป็นพันหมื่น             ศิษย์ฉลาดตายน้ำตื้นเตือนไม่ฟัง
      ไม่อยากเห็นศิษย์บำเพ็ญไปเสียเปล่า   เพราะหลงเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง
      ไปหลงผิดคนยกยอดีที่สร้าง               ไม่ระวังย้อนมองตนอย่างที่เป็น
                        เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานผู่ถี แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว  ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคน  ตั้งใจบำเพ็ญจนสุดลมหายใจไหม

           หลงอวิชชาเดินทางผิดทำร้ายกัน    ทิฐิชันสูงจนปกคลุมรอบ
      ดับแสงธรรมมืดดำเข้าล้อมกรอบ        มารฉุดรั้งประพฤติมิชอบสิ้นธรรมไกล
      จงหาญกล้าต่อสิ่งที่ถูกต้อง                จงปกป้องความดีไว้ไม่สูญหาย
      บำเพ็ญฝึกชำระสิ้นตัวตนไป              คงเหลือไว้แต่ธรรมในโลกา
      ความทุกข์เข็ญไม่เคยผลาญใจดีดี      ความไม่ดีไม่เคยแปรใจนี้หนา
      วาจาตนอย่าทำคนชังน้ำหน้า             คนคนคนใช้ธรรมาพาออกไป
      ภูมิธรรมลึกตื้นบอกธรรมสั่งสม           ศึกษาจนปฏิบัติจริงแจ้งความหมาย
      อย่าปล่อยให้นิสัยอารมณ์บ่มทำลาย   ทุกสิ่งล้วนตนทำไปสำนึกตรอง
      ไร้เมตตาก็ไม่อาจคงซึ่งธรรม               ขาดปัญญาไม่แจ้งธรรมยากสอดคล้อง
      ไม่หาญกล้าเพื่อรักษาธรรมถูกต้อง      มัวคะนองตนเก่งกล้าหาใช่บำเพ็ญ
ฮา  ฮา  หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เป็นอย่างไงกันบ้าง  (สบายดี)  หน้าตาบางคนดูไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ สบายดีจริงหรือ (จริง)  ประเดี๋ยวจะดูให้ทั่วๆ นะว่าหน้าตาคนสบายเป็นแบบนี้  อาจารย์ถามหน่อยนะ บำเพ็ญธรรมเหนื่อยกันไหม (ไม่เหนื่อย) บำเพ็ญธรรมเหนื่อยใจไหม (ไม่เหนื่อย)  บำเพ็ญธรรมเหนื่อยกายไหม (ไม่เหนื่อย)  คนที่ขยันทำก็ทำไป คนที่ไม่ทำก็ไม่ทำเลยใช่หรือเปล่า  ลูกศิษย์ของอาจารย์มีอยู่หลายแบบ บางแบบก็ขยัน บางแบบก็ขี้เกียจ ใครยอมรับอย่างหน้าชื่นอกตรมว่าตัวเองขี้เกียจยกมือขึ้น  อาจารย์บอกหน้าชื่นอกตรมยังจะยกมืออย่างยิ้มแย้มว่าตัวเองขี้เกียจได้หรือ  ศิษย์ของอาจารย์หลายคนในที่นี้เป็นคนเก่งในการปฏิบัติงานธรรม แต่ไม่เก่งในการลงแรงปฏิบัติฝึกฝนจิตควบคุมใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มองไปทางไหนก็เห็นว่าคนที่นี่เก่งในการปฏิบัติงานทางธรรม  งานช่วยเหลือคน งานเสียสละ งานอุทิศ หลายคนทำได้ดีทำได้เก่ง แต่ไม่ค่อยยอมประพฤติ ไม่ค่อยยอมตั้งใจปฏิบัติธรรม ปล่อยไปตามอารมณ์ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่าเก่งแต่การปฏิบัติงานธรรมภายนอก แต่ลืมลงแรงเรื่องการปฏิบัติควบคุมใจภายในนะศิษย์ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้ามีอะไรมากระทบใจเรา จิตก็ตกทันทีเลยใช่ไหม หรือไม่ก็โดนขัดใจหน่อยก็เดินออกนอกห้องพระไป  หรือไม่ก็วันนี้ทนอีกหน่อยเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็จะไม่มาแล้วใช่หรือไม่(ไม่ใช่)
ศิษย์หลายคนอาจจะถามอาจารย์ว่า แล้วทำไมเวลาเราปฏิบัติธรรมเราต้องยอมตลอด เราต้องยอมไปถึงเมื่อไหร่ เราต้องอดทนกับคนพวกนี้ไปอีกเท่าไหร่  อาจารย์ถามว่าแล้วเราควรจะยอม ควรจะอดทนหรือไม่ (ยอม)  อาจารย์จะช่วยให้ความกระจ่างกับศิษย์มากยิ่งขึ้นว่าทำไมบำเพ็ญธรรมเราต้องยอมคน ทำไมเราต้องอดทนกับคนที่ไม่น่าอดทน
ยกตัวอย่างง่ายๆ มีพระพุทธะองค์ไหนที่ศิษย์กราบไหว้ เวลาโดนคนทำร้ายแล้วท่านชี้หน้าด่ากลับมีไหม (ไม่มี) เวลาคนไหนเดือดร้อน มีคนมาขอพุทธะให้ช่วยเหลือแม้ต้องตัดเนื้อตัวเอง อุทิศอวัยวะตัวเอง มีพระพุทธะองค์ไหนปฏิเสธไหม (ไม่มี)  คิดให้ดีๆ นะศิษย์ ถ้าศิษย์ศึกษาศิษย์จะรู้นะ  พระพุทธองค์แม้ต้องสละเนื้อตัวเองช่วยชีวิตให้สัตว์ตัวหนึ่งได้รอดพ้น ท่านก็ยอมตัดเนื้อตัวเองให้ แม้ต้องทำให้ตัวเองตายท่านก็ยอมให้ เพราะอะไรรู้ไหม (เมตตา)  เพราะเมตตา เพราะเสียสละ เพราะ  สิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าชีวิตในตัวเราคือการธำรงไว้ซึ่งคุณธรรม ถ้าสละได้แล้วมีธรรม ถ้าสละได้แล้วเรารักษาซึ่งธรรม ท่านยอมสละชีวิตเพื่อรักษาธรรม แต่มนุษย์ในโลก เสียหน้าไม่ได้ เสียธรรมก็ยอมได้ ขันติไม่ต้องมี เมตตาไม่ต้องมี ตอนนี้ขอด่ามันก่อน ใช่หรือไม่
เราศึกษาเพื่อเข้าถึงธรรมหรือเราศึกษาเพื่อความยึดมั่นถือมั่นความเป็นตัวตน (เข้าถึงธรรม)  เข้าถึงธรรมใช่หรือไม่ แล้วเวลาโดนเขาด่ามาเราให้ธรรมเขากลับ หรือให้ความเป็นตัวตนกลับ (ให้ธรรม)  ศิษย์บอกว่าศิษย์เป็นคนชอบให้ทาน เป็นคนมีศีลมีธรรม ถึงเวลาเขาด่ามา เราให้ธรรมเขากลับไหม    ให้ศีลเขากลับไหม เราให้ศีลพรแบบด่ากลับเลยใช่หรือไม่  ถูกหรือเปล่า (ไม่ถูก)  คนที่มีศีลมีธรรม คนชอบให้ทาน ถึงเวลาทำไมเราไม่ให้ทานเขา ให้เมตตาเป็นทาน ให้อภัยเป็นทาน เราให้ไหม (ให้)  ให้แบบเจาะจง เลือกให้เฉพาะคน ใช่หรือไม่  “คนนี้ฉันให้ คนนี้ฉันไม่ให้ คนนี้ฉันเกลียด”  การให้ทานที่ไม่เจาะจงกับทานที่เจาะจง ทานแบบไหนประเสริฐกว่า (ทานที่ไม่เจาะจง) ศิษย์ก็รู้กันดี ดีชั่วรู้ทุกอย่าง แต่อดใจไม่ไหว ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเรามาเรียนรู้ ศึกษาธรรม เราก็ต้องเรียนรู้แล้วเข้าใจ และนำไปปฏิบัติธรรม พร้อมนำธรรมนั้นให้บังเกิด ไม่ใช่เกิดเฉพาะตอนอยู่ในห้องพระ ไม่ใช่เกิดเฉพาะตอนไหว้พระ ไม่ใช่เกิดเฉพาะตอนสวดมนต์ไหว้พระ แต่ต้องสามารถเกิดได้ทุกๆ ที่ ทำทานได้ทุกๆ ทาง  แต่ศิษย์เป็นอย่างนั้นหรือไม่ (ไม่)  ทำเป็นบางที่ ทำเป็นบางอารมณ์ ทำเป็นพักๆ  หรือว่าไม่เคยทำเลย
ใช่หรือไม่ (ใช่) 
“โรคทิฐิ โรคอัตตา โรคอวิชชา          สามโรคนี้มาคร่าจิตญาณรู้ตื่น
มีหน้าตาเป็นร้อยเป็นพันหมื่น              ศิษย์ฉลาดตายน้ำตื้นเตือนไม่ฟัง”
ที่จริงอาจารย์อยากใช้คำว่า “มีหน้าตาเหมือนศิษย์เป็นดาษดื่น”
เราโมโหเพราะทิฐิ ไม่รู้จักควบคุมกิเลสอารมณ์ของตัวเอง  โมโห เพราะ
“มันมาว่าฉัน” อัตตาตัวตนล้วนๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
“ไม่อยากเห็นศิษย์บำเพ็ญไปเสียเปล่า  เพราะหลงเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง
ไปหลงผิดคนยกยอดีที่สร้าง                    ไม่ระวังย้อนมองตนอย่างที่เป็น”
        เป็นอย่างนั้นไหม พอศิษย์ทำได้ดีเล็กน้อย ก็อดไม่ได้ที่จะหลงยกยอตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  “ฉันทำดีตั้งมากมาย ฉันทำดีแล้วนะ แล้วมาว่าฉันทำไม”  สิ่งที่ศิษย์ทำ ศิษย์ทำเพราะการยึดติดหรือไม่ (ยึดติด)  ยึดติดมากๆ ทั้งที่จริงๆ แล้วสิ่งที่ทำก็ไม่มี มันล้วนเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า ถูกหรือไม่ (ถูก) 
หลายคนเคยพบอาจารย์ในการประชุมธรรมหนึ่งครั้ง แล้วหลังจากนั้นก็ไม่เคยพบกันอีกเลย ใช่หรือไม่(ใช่)  อย่างนั้นครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่ได้กลับมาผูกบุญร่วมกันอีก รักษาบุญรักษาโอกาสในการเพิ่มพูนบ่มเพาะคุณธรรมและปัญญาให้กระจ่าง ได้ไหมศิษย์เอย (ได้)  จะได้มีภูมิคุ้มกันเวลาที่
เจออะไรมากระทบกระทั่งใจ ถูกไหม (ถูก)
รับปากอาจารย์แล้ว อย่างนี้ต้องให้ดื่มน้ำร่วมสาบาน  ไหนใครจะตั้งใจบำเพ็ญจนตราบลมหายใจสุดท้าย (นักเรียนในชั้นยกมือขึ้น)  อาจารย์ยังไม่ได้บอกให้ยกมือเลย แล้วศิษย์รู้หรือไม่ว่า ถ้าดื่มน้ำร่วมสาบานแล้วใครตระบัดสัตย์ผิดคำพูดจะเป็นอย่างไร ตายไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าดื่มน้ำของอาจารย์แล้วตั้งใจทำให้ดีที่สุด ทำจนถึงที่สุด ตราบลมหายใจสุดท้าย
ก็ตายดีแน่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
  อย่างนั้นอาจารย์จะทำน้ำ ใครพร้อมก็มาดื่ม  พร้อมไหม (พร้อม)  เอาตอนนี้เลยไหม (เอา) 
อาจารย์ให้แล้วแต่ความตั้งใจของศิษย์    ถ้าศิษย์ตั้งใจบำเพ็ญจนตราบลมหายใจสุดท้าย  เมื่ออาจารย์กลับแล้วก็มาดื่มน้ำที่อาจารย์เตรียมไว้ให้ แต่ถ้ายังไม่พร้อมก็ไม่ต้องดื่ม  ก่อนจะดื่มคิดให้ดีๆ ก่อนจะดื่มตั้งใจให้ดีๆ นะ เพราะน้ำนี้เป็นน้ำแห่งมงคล เป็นน้ำอำมฤต แม้ดื่มน้ำหมดไปแล้ว แต่ปณิธานไม่หายไป แม้ดื่มจะอิ่มไปแล้วแต่ความตั้งใจต้องยังคงอยู่ตราบ
ลมหายใจศิษย์สิ้นนะ  ฉะนั้นคิดและตั้งใจให้ดีๆ  แล้วเมื่อตั้งใจจะเดินสายนี้ เราก็ต้องมีความเข้าใจที่เต็มเปี่ยมด้วย อย่าแค่ศรัทธาโดยที่ไม่เข้าใจ เข้าใจเต็มเปี่ยมแล้วเดินให้ถูกทางด้วย อย่าเดินอย่างพิลึก
พิลั่นงมงาย คลำหาถูก คลำหาผิดไม่เจอ
ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะสิ่งสำคัญในการบำเพ็ญธรรม อาจารย์ก็เคยบอกศิษย์ ขึ้นชื่อว่าคน ดีก็ได้ ชั่วก็ได้ และแม้กระทั่งขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญ ก็ใช่ว่าจะดีแล้วชั่วไม่ได้ ก็ใช่ว่าจะถูกแล้วผิดไม่เป็น ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญ ดีได้ก็ผิดได้ แต่ถ้าดีแล้วเขาว่าเราชั่ว เขาว่าเราไม่ดี ก็อย่าโกรธ แต่จงมีสติปัญญาไตร่ตรอง ถ้ามันจริงก็แก้ไข ไม่ใช่ว่าเป็นผู้บำเพ็ญที่ดีแล้วผิดไม่เป็น อย่างนี้ไม่ใช่ เป็นผู้ที่กราบพระไหว้พระ ชอบทำบุญอยากมีศีลธรรม แต่ถามว่าโดนว่า “ชั่ว” ได้ไหม  ถึงแม้จะโดนว่า”ชั่ว”ว่า”ไม่ดี ไม่ถูกต้อง” ก็ต้องกล้ารับ ถ้าคนพาลพูดไม่ควรถือเป็นสาระ แต่ถ้าบัณฑิตพูด แม้เขาจะพูดว่าเราชั่ว เราต้องถือนำมาเป็นสาระ และนำมาพิจารณา ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าเรายังแยกไม่ออกระหว่างบัณฑิตกับคนพาล เราก็มีสิทธิ์จะเป็นคนชั่วได้เหมือนกัน เพราะกิเลส ทิฐิ หลงตน  
 ฉะนั้นเมื่อเราศึกษาธรรม ความเข้าใจต้องแจ่มชัด ความประพฤติ   ต้องถูกต้อง และดำเนินโดยมีธรรม มีศีลทานให้สอดคล้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)
จริงๆ แล้วศิษย์ศึกษามาได้ระดับหนึ่งแล้ว ความรู้ทางธรรมขั้นพื้นฐาน อาจารย์ไม่ต้องพูดแล้วถูกหรือไม่ (ใช่)  แต่ถามว่าเข้าใจหรือไม่ ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ยกตัวอย่างง่าย ๆ  การศึกษาบำเพ็ญธรรม สิ่งที่สำคัญที่สุด นอกจากเราต้องรู้จักประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องสอดคล้องกับทำนองคลองธรรมแล้ว ต้องมีมโนธรรมที่ถูกต้องดีงามด้วย ถูกต้องไหม (ถูกต้อง)  อันนี้เป็นสิ่งพื้นฐานที่ศิษย์ควรต้องมีไว้ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
ถึงศิษย์จะเก่งปฏิบัติขนาดไหน แต่ถ้าไม่ฝึกฝนควบคุมกายใจของตนเอง เวลาโดนอะไรมากระทบก็ง่ายที่จะฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ และง่ายที่จะเข้าข้างตน เพราะเป็นคนที่ถูกได้ ผิดไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์ไม่ได้พูดไปเรื่อยเปื่อย แต่อาจารย์พูดเพื่อให้ศิษย์ได้คิด ได้รู้ ได้เข้าใจ ได้เป็นคนที่ โดนชมก็ได้ โดนด่าก็ (ได้)  ดีก็ได้ แต่ร้ายไม่ได้นะ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าศิษย์ฝึกควบคุมตัวเองได้ดี ฝึกควบคุมระมัดระวังตนเองด้วยความสุขุมรอบคอบ การประพฤติปฏิบัติของศิษย์ก็จะเป็นเรื่องที่ไม่ยาก พอมีอะไรมากระทบ เราก็ยั้งใจได้ทัน ถูกหรือไม่ (ใช่) 
เหมือนที่อาจารย์มักบอกว่า “วันนี้จะเป็นอย่างไรขึ้นกับอดีตที่ศิษย์ทำมา” ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์บอกอาจารย์ว่า “ ศิษย์อยากมีสุขไม่อยากทุกข์” อย่างนั้นอาจารย์ตอบกลับว่า “สุข ทุกข์ อยู่ที่ไหน” (ตัวเรา)  อยู่ที่ตัวเราอีกแล้ว ศิษย์เอย  วันนี้จะเป็นอย่างไรขึ้นกับอดีตที่ศิษย์ทำมา ศิษย์คิด ศิษย์ปลูกฝังความคิด ศิษย์ปลูกฝังชีวิต ศิษย์ปลูกฝังอารมณ์ตัวเองแบบไหน  วันนี้จะดีหรือไม่ดีอย่างไรอยู่ที่อดีตที่ผ่านมา  วันนี้จะสุขจะทุกข์ ขึ้นอยู่กับความคิด นิสัย ที่ศิษย์จะมองสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น
ถูกหรือไม่ (ถูก)  สำเร็จหรือแพ้ ไม่ใช่กราบวอนขอ แต่ขึ้นกับว่าศิษย์จะกระทำหรือไม่กระทำ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
อีกประการหนึ่งพอพูดถึงการศึกษาบำเพ็ญธรรม ศิษย์ก็ลืมไม่ได้ที่จะหวังวอนบุญวาสนาโชคลาภ  เอาแต่กราบพระ ขอพระให้ได้บุญวาสนา โชคดี  มาขอพระแต่มือไม่ทำ ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  บุญวาสนาที่จะเกิดไม่ได้อยู่ที่อนาคต แต่อยู่ที่ปัจจุบันเราทำสิ่งใด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เคยได้ยินสิ่งที่พระพุทธะเคยกล่าวไว้หรือไม่ “รู้จักให้สิ่งที่ดี ย่อมบังเกิดความสุข รู้จักเอาแต่เรียกร้องเบียดเบียนคนอื่น ร้องขอไม่จบสิ้น สิ่งที่ได้ย่อมบังเกิดทุกข์” ฉะนั้นวันนี้จะได้บุญ ได้วาสนา โชคดี วันนี้จะสุข ทุกข์ จะเป็นอย่างไรไม่ใช่เพราะฟ้า เพราะอาจารย์ แต่อยู่ที่ศิษย์ คิด ทำ ดำเนินชีวิตเช่นไร และอยู่ที่เรารู้จักเหตุต้นผลกรรม  ศิษย์บางคนบอกว่า ”อาจารย์ทำไมคนนั้นมีวาสนาดี ทำไมศิษย์มีวาสนาไม่ค่อยดี”  ศิษย์ได้ยินหรือไม่ว่า คนที่เห็นใครได้ดีแล้วคิดอิจฉาริษยา ด่าทอประชดประชันเขา คนนั้นชาติต่อไปจะเป็นคนที่เกิดมาอาภัพอับจน ทำอะไรก็ไม่ขึ้น  ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าตอนนี้ศิษย์วาสนาไม่ดี  อับจน ก็แปลว่าในอดีตเห็นใครได้ดีแล้วเรา (อิจฉา) ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นศึกษาธรรมสิ่งสำคัญไม่ใช่การโทษผู้อื่น ไม่ใช่เพ่งมองว่าคนอื่น แต่ศึกษาธรรมสอนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุปัจจัย เกิดที่นี่ เริ่มที่นี่ (พระอาจารย์ชี้ตัวเอง)  เราจะจบก็ต้องที่นี่
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสุข ทุกข์ บุญ วาสนา โชคลาภ ไม่ใช่อยู่ที่วอนขอ แต่อยู่ที่ปัจจุบันเราทำสิ่งใด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าคนหนึ่งยืนด่าศิษย์ อีกคนหนึ่งยืนชมศิษย์ อาจารย์ถามว่า ถ้าศิษย์ต้องอยู่กับคนสองฝั่ง ศิษย์อยากอยู่กับใคร (คนที่ชม
คนที่ด่า, ทั้งสองคน)  อยู่กับใคร ผู้ปฏิบัติงานธรรม อาจารย์บรรยายธรรม จะอยู่กับใคร คนที่ด่าหรือคนที่ชม (คนที่ชมคนที่ด่า, ทั้งสองคน)  ผิดนะ ชีวิตไม่ได้มีแค่สองทาง ไม่ใช่ถูกเขาด่าก็ยืนให้เขาด่าๆ  ไม่ใช่เขาชมก็เลือกแต่จะฟังคำชมๆ ไม่ใช่นะศิษย์ บำเพ็ญธรรมคือไม่ว่าจะถูกด่าหรือชม ก็อยู่ได้โดยไม่ยึดติด แต่ไม่ใช่จะให้เขาด่าอยู่อย่างนั้น หรือปล่อยให้เขาชมอย่างเดียวก็ไม่ได้ แต่ความเป็นจริงของชีวิตคือเห็นแจ้งตามความเป็นจริง แม้ถูกด่าก็เข้าใจ แม้ถูกชมก็ไม่ลุ่มหลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าถูกด่าแล้วเราไปสนับสนุนให้เขาขยันด่าและด่าเก่งขึ้น บางทีเราก็ต้องปลีกตัวมาบ้าง (ใช่หรือไม่) 
ถ้าจะหลงติดในคำชมบางทีก็ต้องถอยอกมาบ้าง ชีวิตไม่ได้มีแค่สองทาง ยังมีอีกทางหนึ่งคือความเป็นจริง ที่อันนี้ก็ไม่เอา อันนั้นก็ไม่เอา แต่เลือกเอาความเป็นจริงที่ว่าชีวิตหนีไม่พ้นคำด่าและคำชม ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าเราเรียนรู้หลักธรรม อาจารย์บอกว่าทุกข์ สุข อยู่ที่ (ความคิด)  ศิษย์เอย พลิกชีวิตเป็นคุณค่าก็เปลี่ยน ความหมายก็แปลง  พลิกชีวิตไม่เป็นก็ตายอยู่อย่างนั้น ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ถูกหรือไม่ (ถูก) อาจารย์บอกแล้วเขาไม่ให้ธรรมะเรา แต่เราจะให้ธรรมะเขา เขาให้กิเลสเรา เขาให้ความโกรธ ความเกลียด การแช่งชักหักกระดูกเรา เขาเบียดเบียนทำร้ายเรา เราให้ธรรมเขากลับไม่ได้หรือ เราให้ทานกลับไปไม่ได้หรือ ทำไมเราให้เกลียดกลับไป เขาไม่มีศีลกับเรา เราก็ไม่มีศีลกลับอย่างนั้นหรือ
ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าบำเพ็ญชีวิตไม่ได้มีแค่สองทาง แต่ท่ามกลางสองทางนั้นคือความเป็นจริงอันเป็นหนึ่งแท้อย่างเดียว ไม่เลือกรัก ไม่เลือกชัง แต่ยอมรับความจริงอย่างหัวใจเป็นกลางและสงบเย็น
ด่าอย่างไรก็ได้ ฉันจะเข้าหาอย่างมีธรรมให้ได้  แต่ถ้าเขาด่ามาแล้วฉันจะยิ่งด่าตอบ ก็ควรถอยออกมา ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าอยู่แล้วเขายิ่งโกรธ เรากำลังเพาะความโกรธให้เขา ให้ถอยออกมา รอให้เขาใจเย็นก่อนไม่ดีกว่าหรือ
ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์กำลังจะให้ธรรมหรือให้กิเลสกับเขา ศิษย์กำลังจะให้ศีลธรรมหรือจะเพาะกิเลสในตัวเขา (ให้ศีลธรรม) ใช่หรือไม่ แต่ถอยต้องถอยอย่างคนมีสติปัญญา วางใจเป็น พลิกสถานการณ์เป็น ไม่ใช่ถอยแบบ “เขากำลังโกรธอยู่ฉันไม่ไปหาหรอก” แบบนี้แสดงว่าเราก็โกรธไม่ต่างกัน
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ลองคิดให้ดีๆ  ดั่งคำที่อาจารย์เคยกล่าวว่า ”ถ้าศิษย์ใจกว้างพอ ใครละที่จะเกินเลยไป  ถ้าศิษย์เย็นพอ ใครละที่จะร้อนและแย่จนถึงที่สุด ถ้าศิษย์อดทนอดกลั้นและนิ่งพอ ใครละที่จะเหลือเกิน” จริงหรือไม่ (จริง) แต่ถ้าศิษย์ใจไม่กว้าง เย็นไม่เป็น ยอมไม่ได้ นิดๆ หน่อยๆ ศิษย์ก็เลยพาลโกรธ ถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นศึกษาธรรมเพื่อขัดเกลาเอาความเป็นตัวตนที่ชอบยึดมั่นถือมั่นให้ปลดปล่อยเสีย เพราะทุกข์ทั้งหลายล้วนเกิดจากความยึดมั่นอย่างหลงผิดและไม่รู้เท่าทันตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ตราบไม่สิ้นกิเลส ก็ไม่มีวันสิ้นทุกข์  กิเลสหมดหรือยัง (ยัง) แล้วทุกข์จะสิ้นหรือไม่ (ไม่) แล้วบำเพ็ญธรรมไปจะเสียเปล่าหรือไม่ (ไม่) เสียแน่ๆ ถ้ารู้แล้วไม่คิดจะทำ
อาจารย์พูดง่ายที่สุดแล้ว บางคนก็ยังฟังไม่เข้าหูอีกใช่หรือไม่ อาจารย์ย้ำอีกทีนะ ถ้าเราใจกว้างพอใครจะเกินเลย ถ้าเราใจเย็นพอใครจะแย่จนเราทนไม่ไหว ถ้าเราอดทนอดกลั้นได้จะมีใครที่ไม่ได้เรื่อง  ฉะนั้นทุกอย่างอยู่ที่ใจ  ถ้าเราทำอะไรได้ถูกต้อง เหมาะสม ใครจะว่าอย่างไรก็
ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ ฉันใจกว้างพอ ฉันใจเย็นพอ ฉันเลือกจะให้อภัย ไม่โกรธ ไม่เกลียด  “เธออยากเกลียดก็เกลียดไปแต่ฉันจะให้ธรรมะเป็นทานกับเธอ เธออยากไม่มีศีลไม่มีธรรมไม่เป็นไร ฉันจะมีศีลธรรมกับเธอ” มันยากไปไหม (ไม่ยาก)  ย้ำอีกทีดีไหม เพราะบางคนยังไม่เข้าใจ ศิษย์ชอบพูดว่าให้อภัยเป็นทาน ให้ธรรมะเป็นทาน แต่พอถึงเวลาศิษย์ไม่เคยให้ธรรมะเป็นทาน ให้แต่กิเลสเป็นทาน ให้อารมณ์เป็นทานทุกทีเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ชอบคิดว่า ”ช่างเถอะขอทำไปก่อน ใจตกไปแล้วเดี๋ยวก็ขึ้นมาได้อีก”
ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนจิตศิษย์เดี๋ยวตกเดี๋ยวขึ้นมาได้ใช่หรือไม่  เวลาตกก็ตกง่ายแต่เวลาขึ้นก็ขึ้นยากนะ
 (พระอาจารย์เมตตาให้เอาน้ำมาใส่ในน้ำเต้า)
น้ำมนต์อาจารย์ศักดิ์สิทธิ์นะ  อยากดื่มหรือไม่ (อยาก)  ดื่มแล้วหายไปจากโลก หายไปจากภัย อยากดื่มหรือไม่  หายไปจากโลกนะ
ดีหรือไม่ (ไม่ดี) ทำไมละศิษย์ หายไปจากโลก เมื่อไม่มีตัวตนให้ยึดถือ โรคภัยเป็นเพียงเกิดดับของสังขารเท่านั้นเอง แต่ถ้ายังยึดถือตัวตนโรคภัยก็เป็นทุกข์ที่ต้องเจ็บปวด ใช่หรือไม่ (ใช่) คิดให้ดีๆ นะ ที่อาจารย์พูดไป ถ้ายังมีตัวตนให้ยึดถือ โรคภัยก็ยังเป็นความทุกข์ที่เราต้องทุกข์ทน แต่ถ้าไร้ตัวตนให้ยึดถือโรคภัยก็จะเป็นเพียงแค่การเกิดดับของสังขาร  หาใช่จิตญาณเดิมแท้ แล้วเราบำเพ็ญเพื่อยึดติดในสังขารหรือเพื่อเข้าถึงจิตญาณเดิมแท้อันเรียกว่าสภาวธรรมกันเล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)
 ฉะนั้นสิ่งที่อาจารย์พูดมาเป็นเรื่องการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน แต่ถ้าศิษย์ก้าวข้ามการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ศิษย์ก็จะรู้ว่าลักษณะใดๆในโลกล้วนไร้ลักษณะ ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นแท้จริง สิ่งที่เห็นแท้จริงแล้วเราไม่เคยเห็นมัน เข้าใจหรือไม่
(พระอาจารย์เมตตากล่าวถึงน้ำที่ท่านใส่ไว้ในน้ำเต้า)เคี่ยวพอได้ที่ละ  ถึงเวลาก็รอศิษย์มา (ดื่ม)  บางคนอาจจะได้รสขม แต่บางคนอาจจะได้ความหวานชื่นใจ  ฉะนั้นถ้าศิษย์มีความมุ่งมั่นตั้งใจ อย่ากลัวแม้น้ำที่ดื่มจะขมหรือหวานก็ตาม ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะเรียนรู้หลักธรรมไม่ว่าน้ำนั้นจะขมหรือหวาน ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข นั่นก็คือความเป็นจริงของชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนคำกล่าวที่ว่า เมื่อใดที่สิ้นทุกข์เราก็สิ้นกิเลสโดยสิ้นเชิง ถึงแม้กิเลสไม่สิ้น ทุกข์ก็ไม่มีวันหมดสิ้น จริงหรือไม่ (จริง) แต่จะมีใครหนอที่เข้าใจดั่งคำที่อาจารย์กล่าว
เหมือนดังคำว่า “ทุกข์” เรามารู้จักคำนี้กันหน่อยนะศิษย์ มนุษย์ทุกคนกลัวทุกข์ แต่พุทธะกลับไม่เคยมองว่าความทุกข์เป็นสิ่งน่ากลัว แต่ความทุกข์ทำให้เกิดชีวิต จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าศิษย์เข้าใจศิษย์จะไม่กลัวทุกข์เพราะอะไร  เพราะเรามีความทุกข์เราจึงเปลี่ยนจากเด็กมาเป็นผู้ใหญ่  จากผู้ใหญ่มาเป็นคนแก่ คนชรา และคนตาย ทุกข์คือสิ่งที่ทนได้ยาก  เพราะมีความทุกข์คือความเจ็บปวด เราจึงรู้จักรักษาร่างกายให้แข็งแรง เพราะมีความทุกข์จากการร้องไห้เราจึงเข้าใจรอยยิ้มแห่งความสุข (ใช่หรือไม่)  เพราะมีความทุกข์จากคำด่า เราจึงเข้าใจว่าคำชื่นชมว่ามีค่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นหากแจ้งใจความทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่ความทุกข์ทำให้เราเข้าใจชีวิต และเรียนรู้ชีวิตได้อย่างพ้นทุกข์ เพราะชีวิตสอนให้เราพ้นทุกข์ แต่เราคิดอย่างคนยึดติดในความทุกข์ จริงหรือไม่ (จริง) เข้าใจจริงหรือไม่หนอ (เข้าใจ) เข้าใจว่าอย่างไร ความทุกข์น่ากลัวหรือไม่ (ไม่น่ากลัว)  ความแก่น่ากลัวหรือไม่ (ไม่น่ากลัว) ความเจ็บน่ากลัวหรือไม่ (ไม่น่ากลัว)  ความตายน่ากลัวหรือไม่ (ไม่น่ากลัว) ให้มันจริงนะศิษย์เอย เพราะชีวิตเราต้องหมุนเปลี่ยน ถ้าเราหวังที่จะไม่ให้มีความเจ็บ ไม่ให้มีความแก่ เราก็คือคนที่ไม่เข้าใจความเป็นจริงที่เรียกว่า ภาวะธรรม  เพราะอะไรเราจึงไม่ควรกลัวการหมุนเปลี่ยนของชีวิต เพราะสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าสังขารคือการกลับคืนสู่สภาวะจิตเดิมแท้ ที่เรียกว่ามหาธรรมอันเป็นหนึ่งเดียวกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนไปเก็บหินมาคนละหนึ่งก้อน)
ศิษย์เอยเราศึกษาปฏิบัติธรรมอย่าเอาแต่ใช้แรง แต่จงรู้จักใช้สติปัญญา ถูกหรือไม่ (ถูก)  หินที่อาจารย์ให้ไปหามา มีทั้งก้อนเล็กและก้อนใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หินก็เหมือนกับตัวตนของเรา ยิ่งกำยิ่งยึดจากหินที่เบาๆ ก็กลายเป็นหนัก ไม่เป็นสาระก็กลายเป็นสาระ ไม่เป็นธุระก็กลายเป็นธุระ จริงไหม (จริง)  แบกไหม (ไม่แบก)  ถือไหม (ไม่ถือ)  ยึดไหม (ไม่ยึด)  ห่วงไหม (ไม่ห่วง)  ห่วง สำหรับคนที่เอาก้อนหินมาเผื่อคนอื่น จริงๆ ก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ก็บ่งบอกให้เรารู้ว่า จิตที่ห่วงคน บางครั้งก็ต้องรู้จักปล่อยวาง ใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตที่คิดถึงผู้อื่นตลอดเป็นสิ่งทีดี แต่ถ้าเรามีมากเกิน บางครั้งก็กลายเป็นการแบกไว้มากเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่) 
หินเปรียบได้หลายอย่าง เปรียบเป็นตัวเราเองก็ได้ ทิฐิตัวเราก็ได้ ลูกหลานก็ได้ ทุกสิ่งล้วนมีธรรมชาติเป็นของตัวเอง เราไปยึดมาด้วยความห่วง เราไปถือมาด้วยความรัก เราไปเก็บมาด้วยความหลง แม้มันจะเบาแค่ไหน มันก็กลายเป็นของหนัก ถ้าถึงเวลาแล้วเราปล่อยวางไม่ลง ใช่หรือไม่(ใช่)  ฉะนั้นการเรียนรู้หลักธรรม ไม่ใช่มีไว้เพื่อยึดถือ ไม่ใช่มีไว้เพื่อครอบครอง ไม่ใช่มีไว้เพื่อลุ่มหลง แต่มีไว้เพื่อปล่อยวาง
คำว่าปล่อย ของพระอาจารย์ ไม่ใช่แปลว่าทอดทิ้ง แต่แปลว่า ทำให้ดีที่สุด อะไรจะเกิดก็กล้ารับความจริง แม้หินที่ศิษย์เลือกมา มันจะมีด่างพร้อย ไม่สมประกอบก็ตาม มองดูหินก็เหมือนมองดูชีวิต สมบูรณ์ไหม (ไม่สมบูรณ์)  หม่นไหม (หม่น) เหลี่ยมมุมแหลมทิ่มแทงได้ตลอด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราจับเป็น มันก็ไม่ทิ่มให้เจ็บปวด ถ้าเราถือเป็น มันก็ไม่ทำร้ายเราให้ทุกข์ทน เหมือนกับชีวิตของศิษย์ จับให้ดี จับให้เป็น มันก็จะไม่ทุกข์ แต่ถ้าจับไม่ดีจับไม่เป็น คิดไม่ดี คิดไม่ได้ มันก็ทุกข์เพราะว่าเราวางความคิดไม่เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งที่พระพุทธะสอนไว้ไหมว่า ความคิดที่เกิดขึ้นจากภายใน อารมณ์กระทบเกิดขึ้นจากภายนอก เมื่อไรที่มันหล่อหลอมเป็นตัวเป็นตน มันก็สามารถที่จะนำพาชีวิตของเราเดินไปผิดรูปผิดทางได้เสมอ เหมือนดังที่ว่า ความคิดเกิดสรรพสิ่งก็เกิด ความคิดดับสรรพสิ่งก็ดับ อย่างนั้นเกิดเป็นคนไม่ต้องคิดใช่ไหมพระอาจารย์จี้กง ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) 
คำว่า “รูป”  สิ่งที่มี สิ่งที่เป็น เกิดขึ้นต่างหรือเหมือน ล้วนเกิดจากรูปลักษณ์สิ่งสมมติที่เรายึดถือที่เกิดขึ้นอยู่ในใจ ยกตัวอย่างคือ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนหญิงท่านหนึ่งออกมายืนข้างหน้าชั้น)
คนนี้เรียกว่าอะไร (สวย)  ใช่หรือไม่ศิษย์ อาจารย์จะบอกว่า ความคิดที่เกิดขึ้นจากภายใน และอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากภายนอก เมื่อไหลมารวมกันอยู่ในชีวิต ก็ง่ายที่จะทำให้เราพลั้งผิด และไม่สามารถมองสิ่งต่างๆ ได้อย่างแจ่มชัด ถูกไหม (ถูก)  ถ้าเป็นผู้ชาย ก็บอกว่า ”เขาสวย”  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเป็นผู้หญิง ก็บอกว่า”เขาอวบไปหน่อยนะ” ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้ารู้อายุเขาแล้วก็อาจจะบอกว่าเขาก็ยังสวย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราเข้าใจชีวิต เราก็จะมองแค่เพียงว่า สิ่งนี้ก็คือชีวิตๆ หนึ่ง คนๆ หนึ่ง รูปๆ หนึ่ง ที่มันไม่เที่ยงแท้ แต่เราเคยมองเห็นคน แล้วเราเข้าใจได้แบบนี้หรือไม่ เราเคยมองคน แล้วเราคิดได้แบบนี้ไหม ก็ไม่เคย แต่ศิษย์ของอาจารย์มักจะคิดวิพากษ์วิจารณ์ มองเห็นเบื้องหน้าเบื้องหลัง แล้วก็นึกถึงนิสัยของเขาว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อความคิดไหลรวมกับสิ่งที่กระทบ ก่อเกิดเป็นอารมณ์ การดำเนินชีวิตของมนุษย์จึงง่ายที่จะผิดทาง เพี้ยนทาง อาจารย์จึงบอกว่า รูปลักษณ์ที่แท้ไร้รูปลักษณ์ รูปลักษณ์ที่แท้จริงไม่มี  สิ่งที่เห็นอาจไม่เป็นจริงอย่างที่เข้าใจ  ฉะนั้นผู้ปฏิบัติธรรมเมื่อมองสิ่งใด อย่าเห็นแต่สิ่งที่เราเคยจำได้ อย่าเห็นแต่สิ่งที่เรายึดติด อย่าเห็นแต่สิ่งที่เราเคยเรียนรู้ แต่จงเห็นให้มากกว่านั้น ที่เรียกว่า “สติระลึกจนก่อเกิดปัญญา เข้าถึงธรรม เข้าถึงความเป็นเช่นนั้นเอง”
ร้ายแค่ไหน สวยแค่ไหน ดีแค่ไหน ก็แค่นั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เคยเห็น มันเป็นเช่นนั้นเองบ้างไหม ก็ไม่เคย เห็นหรือยังว่า ความคิดเมื่อไหลรวมกับอารมณ์แล้วย่อมจะทำให้เกิดการผิดพลาด และมองสิ่งต่างๆ แบบไม่เป็นความจริง ฉะนั้นเราปฏิบัติธรรม กระทบอะไร
ก็ตาม สตินิ่งระลึกจนก่อเกิดปัญญาเข้าใจธรรม ถึงจะเรียกว่า
สมแล้วกับผู้บำเพ็ญ ปฏิบัติได้แล้ว จึงเรียกว่า ผู้บำเพ็ญ
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นขึ้นชื่อว่า ธรรม ไม่มีแบ่งแยกว่าอะไร ถ้าเข้าถึงธรรมแล้วเป็นหนึ่งเดียวกันหมด ฉะนั้นถ้าใครบำเพ็ญแล้วยังแบ่งแยกว่า เขารวย ฉันจน เขาดี ฉันไม่ดี อย่างนี้เรียกว่า ยังปฏิบัติไม่ถึง ถ้าผู้ที่ปฏิบัติถึงแล้ว ก็จะเป็นอีกแบบ คือ ช่างมันเถอะ ก็แค่นั้น ก็เท่านั้น แก้ตัวไป เถียงไป พูดไป มันไม่จบ เพราะการเข้าถึงธรรม คือ การสิ้นกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) 
คำว่าสิ้นกรรม คือ แม้อยู่ก็ไม่มีกรรมมารองรับผล เวลาถูกกระทบ ศิษย์มักจะบอกว่า ไม่เป็นไร เราได้ละลายหนี้กรรม เขาอยากด่าก็ด่าไป เขาอยากทำร้ายก็ทำร้ายไป เราได้ละลายหนี้กรรม แต่ก้าวอีกก้าวหนึ่งที่อาจารย์อยากจะบอก คือ ไม่มีกรรมให้ศิษย์รับ เพราะเราก็ไม่มีตัวตน เขาก็ไม่มีตัวตน ฉะนั้นอะไรละลายอะไร ก็ไม่มี ถูกไหม (ถูก)  อาจารย์เคยสอนศิษย์ว่า เวลาใครด่า เวลาใครทำให้โกรธ เราอย่าไปด่า อย่าไปโกรธตอบเขา ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นการจองเวรจองกรรมกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากใครเขาพูด ด่าอะไรมา แล้วเรายังจำคำพูดนั้นมาด่า มาว่าต่อได้ นั่นคือ เรากำลังผูกกรรมผูกเวร ทำให้เวรยืดเยื้อไม่รู้จบ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
วิธีแก้ของอาจารย์อย่างแรก คือ จบไม่เล่าต่อ   สอง คือ เขาอยากพูดอะไรก็พูดไป เราแค่นิ่งๆ ไม่โกรธไม่เคือง แต่สิ่งที่มากกว่านั้น คือ เขาไม่ได้ละลายกรรมเรา เพราะตัวเราก็ไม่มีกรรมให้ยึดถือ
นี่คือการเข้าถึง สภาวะของการพ้นกรรม เหนือกรรม สิ้นกรรม
อย่างนี้ศิษย์จะไปอีกก้าวไหม (ไป) 
ถ้าเรายังคิดอยู่ว่า ใครทำเรา เป็นกรรมจริงๆ อย่างนี้แปลว่า เรายังมีตัวตนที่เราต้องไปแบกรับกรรมอยู่ แต่ถ้าไม่ว่าใครทำอะไรเราก็ตาม ไม่มีผู้รองรับผลกรรม ไม่มีกรรม มันจบแล้ว เขาพูดปุ๊บ จบปั๊บ เขาพูดปุ๊บ สิ้นทันที เราเข้าถึงธรรม เราเห็นธรรม มันก็แค่นั้นเอง มันก็เท่านั้น อย่างนี้จบไหม (จบ)  อยากจบไหมศิษย์ (อยาก, อยากฟังต่อ)
ศิษย์เอย นี่แหละคือความน่ากลัวของมนุษย์ เพราะเรายึดติดเจ้าตัวตนนี้มานาน ถ้าศิษย์เข้าถึงสภาวธรรม สภาวธรรมแม้แต่ตัวตนมันก็ไม่มี แม้แต่อาจารย์ก็ไม่มี แม้แต่ศิษย์ก็ไม่มี มันคือการบังเอิญมาพบกัน แล้วเดี๋ยวก็บังเอิญจากกันไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์อยากให้ศิษย์กลับไปพบอาจารย์แบบที่ไม่มีตัวตนให้ยึดถือ เพราะมันไม่มีอะไรนะศิษย์  เพราะสภาวธรรมที่แท้จริง คือ (ความว่าง) แต่มันก็ไม่ว่างเสียทีเดียวนะศิษย์นะ ถ้าอาจารย์บอกว่ามันว่าง อาจารย์ก็เหมือนโกหกศิษย์ ในความว่างที่มีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ที่เรียกว่าสภาวธรรม แต่มนุษย์นั้นยึดติดคำว่าตัวตน  ฉะนั้นถ้าศิษย์ยังมีคำว่า “ผมแบบนี้ ฉันได้แค่นี้ เราเป็นอย่างนี้ “อย่างนี้ศิษย์กำลังเอาตัวตนของศิษย์เวียนว่ายอยู่อย่างไม่จบสิ้น แต่ถ้าศิษย์บอกว่า “ฉันก็เป็นแค่เช่นนั้นเอง มันไม่มีแล้ว ไม่มีคนที่นิสัยแบบนี้ ไม่มีคนที่ชอบกินแบบนั้น ไม่มีคนที่ถือว่าอย่างนั้น มันเป็นแค่สิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็จบไปแล้ว”  ใช่หรือไม่ (ใช่)
ไปให้ถึงนะศิษย์เอย  แล้วความทุกข์จะไม่ใช่สิ่งน่ากลัว การเวียนว่ายตายเกิดที่อาจารย์บอกว่าเป็นทุกข์ทนก็ไม่ใช่เป็นที่น่าหวาดกลัว แต่มันเป็นการที่กลับมาเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน คือการกลับมาเพื่อนำพาเวไนยสัตว์กลับคืนสู่สภาวธรรม
ค่อยๆ ศึกษานะศิษย์เอย วันนี้อาจารย์พูดเรื่องง่ายและเรื่องยาก และมีทั้งคนที่ตั้งใจฟังและแอบหลับ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้ายังไม่เข้าใจยิ่งต้องศึกษาให้แจ้งใจ ถ้ายังทำไม่ได้ยิ่งต้องทำให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ไหนใครยังเก็บหินไว้อยู่ อย่างนั้นอาจารย์ถามศิษย์นะ ว่าศิษย์จะรักษาหินไว้หรือจะปล่อยมันไปคืนสู่ความเป็นจริง (ปล่อยคืนสู่ความเป็นจริง) ปล่อยคืนสู่ความเป็นจริงคือกลับสู่ธรรมชาติ ไม่ใช่ทิ้งไว้ที่นี่นะ ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกันศิษย์บำเพ็ญอยากยืนอยู่บนความจริง หรือตามใจตน (ตามความจริง) เพราะความจริงคือสภาวธรรมอันเที่ยงแท้ แต่การตามใจตนคือความยึดมั่นถือมั่นที่ทุกข์ทน ใช่หรือไม่ (ใช่) รักษาบุญ รักษาโอกาส จะขออะไรอีก (ขอกำลังใจ) จริงๆ อาจารย์อยากให้กำลังใจศิษย์ทุกคน เพราะศิษย์ของอาจารย์ทุกคนเป็นศิษย์ที่น่ารักเสมอ น่ารักตรงที่ศรัทธามั่นไม่มีเปลี่ยนแปลง ตั้งใจไม่ท้อถอย แม้จะเซไปบ้างก็ยังกลับมายืนให้อาจารย์ชื่นใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
แม้จะเอียงไปบ้าง ก็จะรีบลุกขึ้นมาให้อาจารย์สบายใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) บำเพ็ญธรรมให้ถึงที่สุดนะศิษย์เอย
ไหนใครยังไม่เคยได้กำลังใจ พลังใจจากอาจารย์บ้าง อยากได้หรือไม่ (อยาก)  เคาะแล้วให้ปัญญาดี เคาะแล้วให้กล้ายอมรับความเป็นจริง
เคาะแล้วให้รู้หาญกล้าสู้ต่อชีวิต เคาะแล้วให้รู้จักคิด พูด ทำด้วยระมัดระวัง เคาะให้รู้จักเสียสละในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่หลงผิดทาง เคาะแล้วต้องไม่หลงยึดมั่นถือมั่นในตัวตน อยากให้อาจารย์เคาะหรือไม่ (อยาก) ไหนว่าจะไม่ยึดติดแล้วยังไง ไหนว่าจะปล่อยหินคืนสู่ธรรมชาติ ใช่หรือไม่  ศิษย์เอยถือเยอะก็เจ็บปวดนะ
โอกาสดีต้องรักษาโอกาสนะ ต้องหรือไม่ คนนี้ต้องเอาไม้หน้าสามมาเคาะแล้วนะจะได้ชัดเจน ใช่หรือไม่ อย่าปล่อยให้นิสัยอารมณ์มาทำร้ายตนเองนะ รู้จักระมัดระวังควบคุมความคิดและการดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง รู้จักรักษาสุขภาพกายใจตัวเองให้ดี อย่าปล่อยให้ความคิด ความหลงผิด มาทำร้ายศิษย์ของอาจารย์นะ ดูแลตนเองดีๆ ตั้งใจบำเพ็ญแล้วต้องไปให้ถึงที่สุดนะ
บำเพ็ญธรรมเสียสละ อุทิศ มัวห่วงโน่นห่วงนี่ อย่ามัวเสียเวลา ทุกคนก็มีทางของตนเองจริงหรือไม่  ศิษย์คนดีของอาจารย์ตั้งใจบำเพ็ญนะ เดินทางให้ถูก อย่าหลงผิด หนทางไกลหรือใกล้ ขอเพียงศิษย์มีจิตมุ่งมั่น เข้มแข็งอดทน อุปสรรคไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่ไม่เที่ยง ตั้งใจบำเพ็ญให้ถึงที่สุดจะยากลำบากอย่างไรก็ไม่ท้อถอย ยึดหลักสัจธรรมเป็นแนวทางจะได้ไม่หลงผิด อย่าปล่อยให้ความทุกข์ อารมณ์ชั่ววูบมาทำร้ายศิษย์
ใครดื่มน้ำร่วมสาบานของอาจารย์แปลว่าจะตั้งใจเป็นผู้ปฏิบัติธรรมนะ และก้าวหน้าในการบำเพ็ญธรรมต่อไปเรื่อยๆ
(ดีใจที่ได้พบพระอาจารย์)  ดีใจแล้วจะมาอีกหรือไม่ กลัวอยู่ใกล้แต่ไม่ได้อะไรน่าเสียดายนะ
(คิดถึงอาจารย์) คิดถึงอาจารย์ไม่มีประโยชน์นะ ประโยชน์ที่ดีคือต้องประพฤติปฏิบัติให้ได้  ศิษย์เอยเอาหัวใจของอาจารย์ไปอยู่ในหัวใจของศิษย์  หัวใจที่อุทิศเสียสละเพื่อผู้อื่น ไม่มีคำว่าท้อ ไม่มีคำว่าเหนื่อย ไม่มีคำว่ายอมแพ้ มีแต่จะทำอย่างไรที่จะช่วยเขาได้ มีแต่ทำอย่างไรให้เขาไม่ต้องทุกข์  มีแต่ทำอย่างไรให้เขาพ้นจากเรื่องที่ทนทุกข์  ทำอย่างไรถึงจะทำให้ได้ 
มีโอกาสกลับมาอีกนะ อุทิศ เสียสละ มุ่งมั่น เพื่อบังเกิดสุข ยิ่งทำได้ยิ่งบังเกิดสุข ถ้าทำได้เช่นนี้หัวใจอาจารย์ก็ไปอยู่ในหัวใจศิษย์แล้ว ยิ่งให้ก็ยิ่งมีแต่สุข ยิ่งให้ก็ยิ่งบังเกิดสุข ไม่เรียกร้อง ไม่เข้มงวดใคร ไม่จับผิดใคร ไม่ต่อว่าใคร ว่าตัวเอง แก้ตัวเอง นะศิษย์นะ ไม่มีเวลาจะว่าใครแล้ว เวลาไม่เหลือเยอะแล้วนะศิษย์  แก้ที่ตัวเองเท่านั้น ทำให้ดี  อาจารย์อยากดูศิษย์พ้นจริงๆ พ้นทุกข์ ไม่ใช่จมอยู่ในทุกข์ไม่จบสิ้น  ตื่นแล้วก้าวไปด้วยกัน บำเพ็ญร่วมกันด้วยความสมานสามัคคีนะศิษย์เอย.
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา