วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

2558-07-18 สถานธรรมฉือเหริน จ.นครศรีธรรมราช

西元二年嵗次乙未六初三日                    仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๘ กรกฎาคม  พ.ศ. ๒๕๕๘        สถานธรรมฉือเหริน จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี
  ไม่ว่าเขาหากเรายังไม่ดี                    ไม่หลงดีหากผิดยังไม่แก้ไข
บำเพ็ญฝึกแก้ไขตนไม่เข้มงวดใคร         แม้ตนดีแค่ไหนไม่หลงอวดตน
                        เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี                        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว                ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

  คนชอบเทียบเปรียบได้คนมีเคราะห์        ไม่พ้นเพราะมีอยากหลงซ่อนไว้
คิดอิจฉาใจในอยู่สุขไม่ได้                         อย่าไปหวังจนไม่มองผันแปร
อยากเป็นดาวประกายความเด่นเป็นเลิศ     สิ่งที่เกิดที่จริงอาจไม่แน่
ปีนสูงขึ้นต้องดีไม่มีแย่                            แม้ดีกว่าเหนือกว่าแต่ล้วนอนิจจัง
พุ่งหาอย่างเมามึนมีแต่กิเลส                     ไม่มีเหตุยึดติดอยากพบฝั่ง
มีอคติแบ่งแยกขึ้นฟังไม่ฟัง                      คนส่วนใหญ่ส่วนใครชั่งพังสะพาน
เกิดเป็นคนต่างไม่มีอะไรเรียบ                   ถูกเอาเปรียบถูกชอบชังทุกสถาน
ถูกเปรียบเปรยอย่าชินชาว่ารำคาญ           คนประมาณเคยพูดเรื่อยช่วยน้อยลง
คนพูดไปกันเรื่อยเปื่อยกล้ายอมเปลี่ยน      กุมบังเหียนยิ่งใหญ่ต้องยอมเป็นผง
เท็จหรือจริงตามมองรับตรงตรง               พูดมากไปเป็นความหลงชนิดหนึ่ง
ถึงแล้วไม่มีอะไรมากกว่ามาก                   เส้นชัยหากไม่เกินก็ไม่ถึง
จงเปิดใจกว้างพอคืนสู่หนึ่ง                       เพียรเข้าถึงธรรมไม่ออกสู่ธรรม
                                    ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี


ในนี้ใครๆ ก็อยากมีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่งที่นี่มีความสุขไหม (มี)  ปล่อยความอยาก ปล่อยนิสัย ปล่อยความเคยชิน ความสุขก็อยู่ตรงหน้าจริงไหม (จริง)  แต่ท่านนั่งอย่างคนเมื่อไหร่จะจบ อยากกลับบ้าน เบื่อจังเลย นั่งแบบนี้ อยู่ยังไงก็ไม่มีความสุข ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าอยากมีความสุขสำคัญที่ว่าปล่อยวางความคิดบ้างไหม ปล่อยวางนิสัยอารมณ์ความเคยชินที่ชอบเอาแต่ใจลงบ้างได้ไหม ถ้าปล่อยได้ นั่งตรงนี้นานแค่ไหนก็มีสุข แต่ถ้าปล่อยวางความอยากในใจตัวเองไม่ได้ ขัดใจตัวเองไม่เคยได้ ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุข ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถ้านั่งตรงนี้ ปล่อยวางความอยากได้ ปล่อยวางนิสัยตัวเองได้ ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นที่อยากได้นั่น อยากได้นี่ อยากทำแบบนั้น อยากทำแบบนี้ได้ นั่งที่ไหนก็มีสุขได้ อยู่กับใครก็มีสุขเป็น ถูกไหม (ถูก)  แม้แต่กินข้าวอาหารจืดที่สุดก็ยังอร่อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือแม้แต่วันนี้ไม่ได้กินข้าว กินแต่น้ำเปล่าก็ (อร่อย)  เพราะอะไร (มีความสุข)  เพราะวางได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้ท่านมาฟังธรรมด้วยความยึดมั่นถือมั่น หรือมาฟังธรรมเพื่อเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง (ปล่อยวาง)  เราเห็นมาด้วยความยึดมั่นถือมั่น ทำไมเป็นแบบนั้น ทำไมไม่เป็นแบบนี้ ทำไมไม่ทำอย่างนั้น ทำไมไม่ทำอย่างนี้ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  มาฟังธรรมต้องนิ่งๆ เงียบๆ ไม่พูดไม่ร้องรำทำเพลง ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ฉะนั้นถามตัวเองว่า นั่งแล้วยิ่งสบายนั่งแล้วยิ่งคลายแปลว่านั่งฟังธรรมถูกทาง แต่ถ้านั่งแล้วยิ่งอึดอัด ยิ่งหายใจไม่ออกยิ่งเบื่อหน่ายแปลว่าฟังไม่ถูกทาง ใช่ไหม (ใช่)  แล้วตอนนี้ฟังแล้วสบายหรือฟังแล้วอึดอัด (สบาย)  หลังจากเราพูดแล้วท่านถึงรู้จักสบายค่อยปล่อยวาง ใช่ไหม (ใช่)
ความสุขเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนา แต่บางครั้งความสุขก็ทำให้เราเจ็บปวดที่สุดถูกหรือไม่  ฉะนั้นถ้าเราศึกษาหลักธรรมเราจะรู้ว่าแท้จริงบนโลกใบนี้ความสุขหามีไม่ มีแต่ทุกข์มากทุกข์น้อย แต่มนุษย์ทุกคนกลับไม่ค้นหาหนทางดับทุกข์ แต่มนุษย์ทุกคนกลับดำเนินชีวิตเพื่อหาความสุขใส่ตน  ฉะนั้นเราคือคนที่ดำเนินชีวิตแล้วสวนกระแสแห่งความเป็นจริงหรือไม่  มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป สิ่งที่เรียกว่าความสุขแท้จริงมันคือความทุกข์ที่หลอกลวงเราหรือเปล่า ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์ทำอย่างไรดี  ปล่อยวางไม่ต้องทำอะไรเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)
เมื่อสักครู่ท่านบอกว่าไม่อยากมีทุกข์อยากมีสุข อย่างนั้นท่านก็เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่ง  อยากมากก็ทุกข์มาก อยากน้อยก็ทุกข์น้อย ไม่อยากเลยก็ไม่ทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นเราอยู่อย่างคนไม่อยากได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าไม่ได้จะมีพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ท่านกราบไหว้หรือ แต่ไม่อยากอย่างไรเล่าที่จะทำให้เราไม่ทุกข์ อยากนั่งไหม (อยาก)  ฟังแล้วถ้าคิดทันก็ใช้ทัน ฟังแล้วถ้าคิดไม่ทัน อยากสิ ถูกไหม อยากมากทุกข์มาก อยากน้อยทุกข์น้อย ไม่อยากอะไรเลยนั่งไม่นั่งก็ไม่ทุกข์ ยืนก็เป็นสุขได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นความสุขไม่ใช่อยู่ที่ไกล ความสุขไม่ใช่อยู่ที่คนอื่น แต่ความสุขมันอยู่ที่ตรงนี้ แค่นี้ เท่านี้ วางอยากได้ก็สุขได้ ยอมรับความจริงได้ก็สุขเป็น เหมือนกัน แม้จะนั่งฟังสองวันก็แล้ว สามวันก็แล้ว เขาจะพูดอย่างไรก็ตาม แต่ถ้าเราวางความอยากได้ ยิ่งฟังยิ่งมีสุข แต่ถ้าวางความอยากไม่ได้ ยิ่งฟังก็ยิ่งรำคาญและเป็นทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  จำไว้นะถ้าอยากอยู่บนโลกนี้มีความสุข อะไรเกิดอันนั้นก็ดีแล้ว สุขแล้ว ขอบคุณแล้ว แค่นี้เองความสุขอยู่ไม่ไกล ฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดก็ดีแล้ว ขอบคุณแล้ว สุขแล้ว แม้แต่เขาด่าเรา เราก็รู้สึก (ดีแล้ว ขอบคุณแล้ว สุขแล้ว)  จริงไหม ถ้าเขากำลังด่าแล้วท่านบอกว่า อย่าด่าๆ ยิ่งคิดอย่างนั้นยิ่งทุกข์ไหม (ทุกข์)  แล้วทำไมไม่ยอมรับความจริงเล่า ใช่ไหม (ใช่)  เชิญด่าๆ ขอบคุณ สุขแล้วดีแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นแสงทำให้เกิดเงา แต่จิตของมนุษย์ประเสริฐกว่านั้น ทำให้เกิดเงาแล้วก็ทำให้เกิดแสงได้ ทำให้เกิดมืดเป็นสว่างได้ ทำให้สว่างแปรเป็นมืดได้ ดั่งคำที่มนุษย์กล่าวว่า พลิกใจเป็น นรกก็เป็นสวรรค์พลิกใจไม่เป็นสวรรค์ก็เป็น (นรก)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าหยุดอยากได้ อะไรเกิดสิ่งนั้นก็ดี ถ้าหยุดอยากได้ อะไรเกิดสิ่งนั้นก็ขอขอบคุณ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(มีนักเรียนในชั้นนำเก้าอี้ออกมาและเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านนั่ง แล้วผู้ปฏิบัติงานธรรมก็นำเก้าอี้อีกตัวมาและเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั่งตัวใหม่)  ไม่เป็นไรนะทำให้ท่านลำบาก เชิญนั่งเก้าอี้ตัวนั้น ตัวนี้ไม่ได้หรือ (ตัวนี้ก็ได้แต่ตัวนั้นสวยกว่า)  อะไรก็ดีนะ ไม่มีอะไรไม่ดี ดีกว่าหรือไม่ดีกว่า ใช่หรือไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนดี ถ้าเราไม่เปรียบเทียบเราก็ไม่กลายเป็นคนแย่ ถ้าเราไม่ยึดติด เราก็ไม่ได้สูงส่งกว่าใครถูกไหม มองความจริงมองขณะนี้ ถ้าเราไม่ยึดติดเราก็ไม่ได้สูงกว่าใคร ถ้าเราไม่แบ่งแยก เราก็ไม่ได้แย่กว่าใคร แต่เราไม่เคยอยู่กับตรงนี้ ตอนนี้ แต่ชีวิตเราชอบเปรียบเทียบกับอนาคต เปรียบเทียบกับคนนั้นคนนี้ เราเลยมีดีมีแย่ มีร้ายมีเสีย มีสุขมีทุกข์ แต่ถ้าเราอยู่ตรงนี้เดี๋ยวนี้ อะไรแย่ ไม่มี อะไรดี ไม่มี อะไรร้าย ก็ไม่มี แต่เพราะว่าเราชอบเปรียบ ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นแก่นแท้ของการศึกษาเรียนรู้หลักธรรม จึงไม่ใช่อยู่ที่ละชั่ว เป็นคนดีเท่านั้น ฉะนั้นแก่นแท้ของการศึกษาธรรมไม่ใช่แค่สอนให้เราแค่เป็นคนดี อย่าประพฤติชั่วเท่านั้น แต่แก่นแท้ของธรรมะ สอนอะไรให้เรารู้ไหม (ช่วยเหลือคนอื่น)  ช่วยเหลือคนอื่นด้วยก็ประเสริฐใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่แก่นแท้ของการเรียนรู้ศึกษาธรรมคืออะไรรู้ไหม (ไม่ทราบ)  คือแค่รู้หรือไม่รู้ รู้หรือไม่รู้ (ไม่รู้)  เรากำลังจะบอกท่านว่า มนุษย์โดยส่วนใหญ่ศึกษาธรรมมักจะยึดติดแค่เพียงละชั่ว ปฏิบัติดีแค่นั้นถูกไหม (ถูก)  แต่ทำไมเราพยายามละชั่ว ปฏิบัติดีแต่ยังไม่พ้นทุกข์ พยายามดีเท่าไหร่ก็ไม่เคยพ้นทุกข์สักทีใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นแก่นแท้ปฏิบัติธรรมไม่ใช่ละชั่ว บำเพ็ญไม่ใช่ละชั่วแล้วปฏิบัติดีแค่นั้น แต่แก่นแท้ของการปฏิบัติธรรมคือ รู้หรือไม่รู้ รู้และไม่รู้อะไรที่เป็นแก่น หลักของการปฏิบัติธรรมคือ รู้เท่าทันตนก็หยุดทุกข์ได้ ไม่รู้เท่าทันตนก็หยุดทุกข์ไม่ได้ รู้เท่าตนว่ามันเป็นบาปเป็นกิเลส ก็หยุดบาปหยุดกิเลสได้ แต่ถ้ารู้ไม่เท่าทันตนว่านั่นเป็นบาป  เป็นกิเลส เราก็คือคนสร้างเหตุปัจจัยให้ตัวเองทุกข์ไม่จบสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นแก่นแท้ของธรรมไม่ใช่แค่เป็นคนดีก็พอแล้วนะ แต่แก่นแท้ของการปฏิบัติธรรมคือ มีสติ รู้จักตนหรือยัง มีสติหยุดความคิดตนได้ไหม มีสติยับยั้งอารมณ์ตนได้หรือเปล่า ฉะนั้นถ้ารู้ธรรมมามากแค่ไหน แต่สิ่งเดียวที่ไม่รู้คือ ไม่รู้ทันตน ธรรมะนั้นก็ดับทุกข์ไม่ได้ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งสำคัญก็คือรู้ธรรมมากแค่ไหน แต่รู้มากแค่ไหนก็ไม่สู้รู้เท่าทันใจตน คิดแล้วดีไหม (ดี)  ยังไม่ทันมีสติตอบดีเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นแก่นแท้ของการศึกษาธรรมจึงไม่ได้อยู่ที่ว่า แค่เราดี แค่เขาดี แต่แก่นแท้ของการศึกษาธรรมคือ รู้แล้วว่าตัวเองดีแล้วไม่อวดตนไหม รู้แล้วว่าตัวเองดีแล้วยังหลงตัวเองไหม  รู้แล้วว่าตัวเองดีขนาดไหน ยังมีดี ยังไม่ดีที่ยังแก้ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
นี่ล่ะถึงจะเรียกว่ารู้แล้วพ้นทุกข์ แต่ถ้ารู้แค่ทำบุญเป็นทำทานเป็นยังไม่พ้นทุกข์ เพราะบุญกับทานเป็นแค่ตัวหนุนนำส่งให้เราพบสิ่งที่ดี สร้างเหตุปัจจัยอันดีงามแค่นั้น แต่จะพ้นทุกข์ไม่พ้นทุกข์เห็นตัวเองชัดหรือยัง รู้ตัวเองชัดหรือยัง รู้แม้กระทั่งคิดอะไร มันดีไหมถ้าไม่ดีตามไหม โมโหไหม เกลียดไหม (ไม่เกลียด)  ทำได้อย่างนั้นหรือ ฉะนั้นศึกษาธรรมแก่นของหลักธรรมไม่ใช่รู้แค่ธรรมะ ไม่ใช่รู้พระไตรปิฎก ไม่ใช่ฟังมาเยอะแยะ รู้คนอื่นมากมายไม่มีประโยชน์เท่ากับรู้เท่าทันใจตน ถูกไหม (ถูก)  แล้วตอนนี้เรารู้จักตัวเองไหม (รู้จัก)  จะรู้ได้อย่างไรในเมื่อทุกวันเอาแต่มองออก ใช่ไหม (ใช่)  ไม่เคยมองเข้า เอาแต่อยากได้ไม่เคยหยุดอยาก เอาแต่เพ่งเล็งผู้อื่นไม่เคยเพ่งเล็งตัวเอง เอาแต่เพียรพยายามให้คนอื่นเป็นคนดี แต่ตัวเองยังไม่หนักแน่นในความดีงาม แล้วพอไม่ไหวก็ทำอย่างไร ค่อยไปทำบุญ สะเดาะเคราะห์ ไปตักบาตรแก้เคราะห์กรรมทั้งที่กรรมมันมาจากไหน ปากเราเอง ความไม่รู้เท่าทันตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  ท่านเคยได้ยินไหมคนใจเย็นพอมีความอยากก็กลายเป็นคนใจร้อน คนใจกว้างพอมีความอยากก็กลายเป็นคนใจแคบ ใช่ไหม (ใช่)  คนมีเมตตาพอมีความอยากก็กลายเป็นคนเห็นแก่ตน ฉะนั้นถ้าตัวท่านเองไม่รู้เท่าทันตัวเองปล่อยให้กิเลสความอยากครอบงำ คนดีๆ ก็พร้อมจะเป็นคนไม่ดีได้ทันที ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ความอยากครอบงำจนขาดสติและระลึกรู้ตนไป อย่าปล่อยให้ความอยากครอบงำจนกลายเป็นคนขาดความบริสุทธิ์ยุติธรรมไป ใช่ไหม (ใช่)  แล้วอย่าปล่อยให้ความอยากมันครอบงำจนทำให้เราขาดปัญญาและขาดความกล้าหาญในการหยัดยืนความถูกต้อง ถูกไหม
ท่านบอกว่าอยู่ในโลกใบนี้จะไม่ให้อยากอะไรเลย ได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าหากอยากมากๆ มันเป็นทุกข์ ใช่ไหม แล้วทำอย่างไรดีล่ะ (อยากน้อยๆ)  เราไม่เคยเห็นใครอยากน้อยๆ เลยนะ อยากต้องอยากให้สูง ฉะนั้นถ้าเราบอกว่าอยากได้ไม่เป็นไร แต่ถ้าอยากแล้วสิ่งสำคัญคือทำให้ดีที่สุด ส่วนผลจะเป็นอย่างไรก็กล้ายอมรับ นั่นแหละหน้าที่แห่งความอยากจบสิ้นลง แต่มนุษย์ไม่ใช่แค่อยากแล้วต้องดีเท่านั้น แต่อยากแล้วแย่ไม่ได้ อยากแล้วล้มเหลวไม่ได้ อยากแล้วแพ้ไม่ได้ อยากแล้วผิดไม่ได้ ถ้าอยากแบบนี้ทุกข์แน่ๆ ถ้าไม่อยากทุกข์ พระพุทธะสอนไว้ว่า จงรู้เสมอว่าเราเกิดมาเพียงแค่ยืมเขาใช้ถึงเวลาก็คืนเขาไป และจงอย่าลืมว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นตามเหตุปัจจัย ฉะนั้นถ้าเราสร้างเหตุปัจจัยดีผลจะเป็นอย่างไรทำไมไม่กล้ายอมรับ กลับกันถ้าเราทำไม่ดีผลจะเป็นอย่างไรเราถึงต้องหวาดหวั่น ใช่ไหม (ใช่)  พระพุทธะไม่ได้สอนว่าให้หยุดอยากให้หมดเลย แต่อยากให้เป็นแล้วอยากอย่างไม่ทุกข์ อยากอย่างคนที่กล้ายอมรับความจริง ดั่งที่พุทธะสอนไว้ว่า ถ้าอยากมีสุขอยากพบความสุข จงยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีธรรมชาติของตัวเอง แล้วธรรมชาติของตัวเองนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน ก็ขอให้ยอมรับว่านั่นคือความจริงที่เราหนีไม่พ้น และถ้าเรายอมรับความจริงนั้นได้ว่ามันเป็นธรรมชาติ ความสุขก็จะอยู่ตรงนี้เลย แต่มนุษย์ไม่ใช่ มีใครสักคนหนึ่งก็ต้องดีเท่านั้น รักใครสักคนหนึ่งก็ต้องสำเร็จเท่านั้นอกหักไม่ได้ ทำงานสักเรื่องหนึ่งก็ต้องได้เท่านั้นไม่สำเร็จก็ไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  เป็นไปได้หรือ ฉะนั้นธรรมะจึงสอนให้มนุษย์เรียนรู้เพื่อเข้าใจแก่นแท้ความเป็นจริง นอกจากเราต้องรู้เท่าทันตัวเราเองแล้วในทุกสิ่ง รู้ไหมว่ามีแก่นอันหนึ่งที่เราหนีไม่พ้น ในทุกสิ่งมีความจริงอย่างหนึ่งที่เราลืมไม่ได้ นั้นคืออะไร
เมื่อเรารู้เท่าทันตัวเองแล้ว สิ่งที่เราต้องรู้อีกอย่างหนึ่งคือ ความเป็นจริงอันเป็นรากฐานของทุกชีวิต และความเป็นจริงอันเป็นรากฐานของทุกสรรพสิ่ง ถ้าเรารู้อันนี้เราจะไม่ทุกข์นั่นคืออะไร (มีเกิดมีดับ)  ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ไม่ว่าตัวเรา ไม่ว่าตัวเขา ไม่ว่าเก้าอี้ ไม่ว่าเสื้อผ้า ไม่ว่าตำแหน่ง ไม่ว่าชื่อเสียง ไม่ว่าลาภยศเงินทอง ล้วนเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ มีเกิดขึ้น มีตั้งอยู่ และมีดับไป หรือพูดง่ายๆ คือทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีความไม่แน่นอน  ฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าทุกสิ่งไม่แน่นอน วันนี้เขารัก พรุ่งนี้เขาเลิกรักโกรธไหม (ไม่โกรธ)  วันนี้เขาด่า พรุ่งนี้เขาชมดีใจไหม (ไม่ดีใจ)  วันนี้เขาด่าจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  เพราะอะไร (มันไม่แน่นอน)  ใช่หรือไม่ (ใช่)
นอกจากเราต้องรู้เท่าทันตัวเองแล้ว สิ่งที่เราลืมไม่ได้คือ ต้องรู้ความเป็นจริงแห่งชีวิต ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันผันแปรตลอด มันคงอยู่เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนแปลงเดี๋ยวมันก็ดับไป ฉะนั้นเรากำลังโกรธกับคนที่ด่าอยู่ใช่ไหม เรากำลังมีเรื่องกับคนที่เคยด่าเราใช่ไหม ทั้งที่มันเปลี่ยนไปแล้ว แต่เรายังไม่เปลี่ยนใช่หรือเปล่า มันเปลี่ยนไปแล้วแต่เราไม่เปลี่ยน แปลว่าเราไม่มองความจริง เรากำลังหลอกตัวเองใช่หรือไม่ เขาด่าเราจบหรือยัง (จบแล้ว)  เราจบไหม (ไม่จบ)  ฉะนั้นเราถึงบอกว่าแก่นของหลักธรรมอยู่ที่รู้เท่าทันตน หากรู้เท่าทันตน รู้ความเป็นจริงแห่งธรรม เราก็หยุดทุกข์ได้ ดับทุกข์ได้ และยิ่งกว่านั้นคือ สิ้นวิบากกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดได้ ถ้าเราแค่รู้ทัน คิดทัน พลิกเป็น เราจะจองเวรจองกรรมเขาไหม (ไม่)  จบเลยใช่ไหม (ใช่)  แต่ทำไมในใจเรายังจำความไม่ดีของคนอื่น ใครดีกับท่านท่านจำไม่ได้ แต่ใครที่ทำอะไรให้ท่านไม่สบายใจหรือทำให้ท่านไม่ถูกใจ ท่านจำได้แม่นใช่ไหม (ใช่)
ถ้าเรารู้เท่าทันความเป็นจริงแห่งตน และรู้เท่าทันความเป็นจริงแห่งสภาวธรรม เราจะพ้นทุกข์ได้ และเราจะสิ้นกิเลสสิ้นวิบากกรรมได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมีเหตุจึงมีผล มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัย ฉะนั้นถ้าเราไม่อยากรับผลทุกข์จงอย่าสร้างเหตุ เหมือนวันนี้ท่านเคยสร้างบุญที่ยิ่งใหญ่มาก่อน จึงได้พานพบธรรม เรากำลังพูดถึงธรรมไม่ได้พูดถึงศาสนาใด แต่เรากำลังพูดถึงธรรมอันเป็นสภาวะกลาง ธรรมอันเป็นสภาวะเดิมแท้ของทุกสิ่ง ไม่ได้ให้ท่านเปลี่ยนศาสนา ไม่ได้ให้ท่านนับถือเรา แต่เราแค่กำลังพูดถึงความเป็นจริงอันเป็นสภาวธรรม ฉะนั้นเรามาไม่ได้ทำให้ท่านเพิ่มความอยากขึ้น แต่เรามาเพื่อทำให้ท่านเข้าใจความจริง จนใดๆ ในโลกก็ไม่อยาก เพราะอยากเมื่อใด ก็ต้องรับผลเมื่อนั้น ใช่ไหม (ใช่)  ท่านอาจคิดว่า ทำไมล่ะ อยากมันไม่ดีตรงไหน”  สมมติเราอยากอะไรสักอย่างหนึ่ง แค่อยากให้ลูกได้ดี เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  รู้อยู่เต็มอกแต่เจอหน้าก็ยังอยากให้เขาได้ดี ใช่ไหม (ใช่)  อยากให้สามีเป็นดั่งใจ เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  แล้วสามีอยากให้ภรรยาไม่บ่น เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  ฉะนั้นถ้าอยากสงบสุข ไม่ยากเลยแค่ยอมรับธรรมชาติของทุกๆ สิ่ง สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดีแล้ว สิ่งใดเกิดขอบคุณแล้ว สิ่งใดเกิดสุขแล้ว ทุกขณะที่ทำก็มีสุข ทุกขณะที่ทำก็ยินดี ฉะนั้นไม่ต้องรอสุขวันข้างหน้า แต่สุขได้ตอนนี้ เขาได้แค่นี้ดีแล้วใช่ไหม (ใช่)  อยู่ให้เห็นดีกว่าตายแล้วไม่มีอะไรให้เห็นใช่หรือไม่ (ใช่)  อยู่ให้รำคาญดีกว่าตายแล้วเหลือเราโดดเดี่ยวไม่มีใครให้รำคาญ จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นอย่างเพิ่งทุกข์ถ้าเรายังไม่เข้าใจชีวิต อย่าเพิ่งท้อถ้าเรายังไม่เข้าใจหลักสัจธรรม เรียนรู้ธรรมไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เรียนรู้ธรรมเป็นเรื่องใกล้ตัว ขอแค่รู้เท่าทันตนและมองเห็นความเป็นจริงของสรรพสิ่ง ดั่งคำกล่าวว่าถ้ามนุษย์กระจ่างในธรรมแห่งตน ก็กระจ่างในธรรมของผู้คน ถ้ามนุษย์สว่างในคุณธรรมความเป็นคน มนุษย์ก็สว่างในการปฏิบัติคุณธรรมต่อผู้คน แต่เรายังไม่กระจ่าง ปฏิบัติต่อคนจึงยังไม่สว่าง ใช่ไหม
ฉะนั้นถ้าเราบอกท่านว่าในตัวตนมีหลักธรรมที่เรียกง่ายๆ ว่ากฎของไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และว่างเปล่า ทุกข์แปลว่าทนได้ยาก เห็นอะไรแล้วทนไม่ไหว ทุกข์จริงๆ เคยเป็นไหม เพราะอะไร เพราะคนอื่นไม่เป็นดั่งใจเราต้องการ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะเรายังอยากใช่ไหม ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์จงยอมรับความเป็นจริง และถ้าเข้าใจไม่มีใครที่เราจะต้องอดทน อดกลั้น ถ้าเข้าใจมีใครที่เราจะต้องทุกข์ทน มนุษย์ชอบสอนว่าจงเอาใจเขามาใส่ใจเราจะได้ไม่ทุกข์ แต่นอกจากเอาใจเขามาใส่ใจเราแล้วจะไม่ทุกข์ อีกวิธีหนึ่งที่ไม่ทุกข์คือจงเอาใจเราไปเป็นเขาบ้าง แล้วเราจะได้เข้าใจว่า เขาเป็นแบบนี้ เขาชอบอย่างนี้ เขานิสัยได้แค่นี้ เราจะได้ไม่ทุกข์แต่เป็นเข้าใจ เมื่อเข้าใจก็ประจักษ์แจ้ง เมื่อประจักษ์แจ้งก็แข็งแกร่งอยู่บนโลกไม่ทุกข์อีกต่อไป ฉะนั้นจิตนิ่งสงบมีสติรู้เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้น จะทำให้เกิดความเข้าใจกระจ่างและสว่างหนักแน่นมั่นคง แต่บางครั้งที่เจอใครทำให้เราทุกข์ ลองเอาใจเราไปใส่ในตัวเขาบ้างจะได้เข้าใจว่า เขาคิดแบบนี้ เขาเป็นได้แค่นี้ เขานิสัยอย่างนี้ แล้วเราจะได้ไม่ทุกข์ เรียนรู้ที่จะเข้าใจคนอื่นบ้างมากกว่ามองแต่ตัวเอง
ใครล่ะที่เราควรโกรธ เมื่อเข้าใจความจริง (ตัวเราเอง)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเข้าใจความจริงใครล่ะที่ควรจัดการ (ตัวเราเอง) อย่างนั้นหรอกหรือ แต่ก่อนเอาแต่จัดการคนอื่น ชี้หน้าว่าคนอื่นท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม ถ้าใจเราพอ อะไรก็ดี แต่ถ้าใจเราไม่พอ อะไรก็ไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นแก่นแท้ของความทุกข์หรือความสุข จึงไม่ใช่แค่การปฏิบัติตนเป็นคนดีเท่านั้น แต่แก่นแท้ของการดับทุกข์นั้นคือรู้ใจตัวเองไหมว่าคิดอะไร อยากอะไรอยากให้คนอื่นเป็น แต่ไม่เคยมองว่าเขาอยากเป็นอะไร เข้มงวดคนอื่น แต่ลืมเข้มงวดตัวเองใช่ไหม (ใช่)  ทุกข์มันเริ่มที่ใจ ทำไมไม่ละที่ใจ และจบที่ใจ ใครทำให้เราทุกข์ (ตัวเราเอง)  อย่างนั้นหรือ ที่แล้วมาว่าเขาตลอดใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นตอนนี้พอเข้าใจบ้างหรือยัง ถ้าเข้าใจแล้วความสุขก็หาไม่ยากจริงไหม (จริง)  แต่น่าเสียดายที่มนุษย์มักพูดว่า ก็ฉันหวังดีนี่ ถึงได้บ่น ถึงได้ด่า ถึงได้ว่าใช่ไหม (ใช่)  แต่เราถามท่านนะ ใครในโลกไม่หวังดีกับเราบ้าง ทุกคนก็หวังดี แต่เมื่อมีคนมาบีบบังคับเรามากๆ เรากลับบอกว่าเราทำได้แค่นี้ อย่ามาบีบบังคับเลย ยอมรับในสิ่งที่ฉันเป็นสิใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำไมเราชอบเอาสิ่งที่รู้ไปคาดหวังคนอื่น ฉะนั้นก่อนจะคาดหวังคนอื่น ทำตัวเองให้ดี ทำตัวเองให้ถูกต้อง สอนโดยไม่ต้องพูด ย่อมประเสริฐกว่านะ ดีกว่าพูดปากเปียกปากแฉะ แต่ตัวเองก็ยังทำไม่ได้
บางครั้งความนิ่งเป็นสิ่งที่ดีและมีค่า ไม่ว่าเราจะพบเจอสิ่งใดอย่าเพิ่งไปตามความอยาก แต่จะใช้ความนิ่ง ใช้สติและใช้จิตที่สงบมองสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นให้แจ่มชัดก่อนจะวิ่งไปตามอยาก มองด้วยความเข้าใจ เข้าใจจนกระจ่าง เมื่อเข้าใจและกระจ่างอารมณ์ที่หุนหันพลันแล่นจะเย็นลง ทำอะไรจะมีสติมากขึ้น เห็นก็จะแจ่มชัดขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์เราไม่ใช่ เวลาอะไรมากระทบทีหนึ่งก็เป็นอย่างไร (ระเบิดลง)  ถ้ากระทบแล้วระเบิด ระวังไว้นะ สิ่งที่น่ากลัวของมนุษย์ก็คือเดี๋ยวจะจบกันไม่ลง อย่าคิดว่าด่าเขาแล้ว สบายใจ แต่คนบางคนเขาจำไม่ลืมแค้นฝังใจ ฉะนั้นถ้าเรารู้ไม่เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้น เราจะกลายเป็นทำเรื่องง่ายๆ ให้เป็นเรื่องยาก และเรากำลังทำเรื่องที่ไม่มีเหตุให้กลายเป็นมีเหตุมีมูลอันไม่จบไม่สิ้น ฉะนั้นศึกษาธรรมสำคัญคือรู้เท่าทันตน ไม่ใช่แค่เป็นคนดี ศึกษาธรรมคือรู้เท่าทันตน รู้เท่าทันอารมณ์ความคิดตนก่อนที่จะพุ่งออกไป นิ่งก่อนได้ไหม สติมีหรือเปล่า ใจเย็นลงสักนิดช้าหน่อยก็ไม่เสียอะไร โดนกระแทกไปแล้ว หยุดก่อนกระแทกดีไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการเรียนรู้หลักธรรม พ้นทุกข์ไม่พ้นทุกข์ก็อยู่ที่ตัวเราเองใช่หรือไม่ (ใช่)  จะสิ้นทุกข์ไม่สิ้นทุกข์ ก็อยู่ตรงนี้ หยุดตัวเองได้รู้ตัวเองทัน บาปเวรกรรมก็จบสิ้น ที่เหลือก็คือการชดใช้กรรมเก่า แต่ถ้าหยุดตัวเองไม่ได้ ควบคุมตัวเองไม่ทัน ท่านก็กำลังสร้างกรรมใหม่เพื่อทบกรรมเก่าไม่จบสิ้น และเราเกิดมาเพื่ออยากเวียนว่ายวนอีกหรือ
จริงๆ ยังมีหลักธรรมอีกนิดหนึ่งที่เราอยากกล่าวกับท่าน แต่เราคิดว่าบางท่านไม่ไหวแล้วใช่ไหม (ไม่ใช่)  ไหวไหม (ไหว)  เรามาศึกษาธรรมแต่วันนี้ยังไม่เจอธรรมเลยใช่ไหม เจอธรรมหรือยัง (เจอแล้ว)  ธรรมอันแรกที่เป็นพื้นฐานของทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าตัวเรา ตัวเขา เก้าอี้ เสื้อผ้า ทุกอย่างมีธรรมอยู่อย่างหนึ่งคือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และว่างเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วสิ่งนี้จะผลักดันให้เกิดช้าเกิดเร็วอยู่ที่เราสร้างเหตุปัจจัย สร้างเหตุปัจจัยดี สิ่งนี้ก็อาจจะมาดี สร้างเหตุปัจจัยไม่ดี สิ่งนี้ก็อาจจะมาไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เราจะหาธรรมแห่งความเป็นคนได้อย่างไร โดยส่วนใหญ่มนุษย์ต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน เราถึงจะรู้จักธรรมที่ใช้กับผู้คน แต่ถ้าเกิดว่าเราลืมธรรมในตัวเองแล้วเราคิดว่าเราคือคนไม่ดี ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเรามีธรรม สิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดไปเถอะผมคือคนไม่ดี ผมอยากลงนรกอยู่นรกมีเพื่อนเยอะ เห็นชอบคิดกันอย่างนี้ แต่หัวอกของคนที่บอกว่าชอบตกนรก หัวอกของคนที่บอกว่าตัวเองไม่ดี ถามว่าเจอหน้าใครก็ผลักไปให้ไกลๆ ถ้าเขาล้มแล้วเหยียบซ้ำเลยได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะอะไรเล่า นั่นเพราะว่ามนุษย์ทุกคนมีหัวอกอันหนึ่งที่แม้จะเลวร้ายขนาดไหน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่มีวันหายไป นั่นคือจิตที่รู้จักเมตตาสงสาร ทำไมเวลาเราเห็นคนที่แย่เราจึงเกิดจิตสงสาร มันเพิ่งเกิดก็ไม่ใช่ แต่มันคือคุณธรรมอันเดิมแท้ที่มีอยู่ในใจของทุกท่าน แต่ท่านไม่เคยค้นหาแล้วขยายให้มันกว้าง ถามว่ามนุษย์ทุกคนมีหัวอกขี้สงสารไหม (มี)  แล้วถ้าเราเอาความขี้สงสารกลายเป็นเมตตา เมตตากลายเป็นกรุณา กรุณากลายเป็นมุทิตาอุเบกขา ท่านก็คือพระพรหมบนโลกใบนี้ แต่เราไม่เคยแผ่ความเมตตาให้มันมากกว่าเมตตา มนุษย์จึงเป็นแค่มนุษย์ มนุษย์เป็นพรหมบนโลกได้ถ้าเมตตาแล้วกรุณา ถ้ากรุณาแล้วมุทิตา ถ้ามุทิตาแล้วอุเบกขา นั่นคือสงสารอยากให้เขาพ้นทุกข์ และเมื่อทำจนถึงที่สุดก็ยอมรับสิ่งที่เป็นไปด้วยใจอันเป็นกลาง ช่วยเขาแล้วโดนเขาว่าโดนเขาด่าก็ไม่เคืองโกรธ เพราะเขากำลังทำให้เราไปมุทิตาและอุเบกขา เป็นพระพรหมที่ครบสี่หน้า แต่มนุษย์มักมีแต่เมตตาแล้วก็จมอยู่กับเมตตาแค่นั้น ทั้งที่จริงๆ แล้ว มนุษย์มีคุณธรรมมากกว่านั้น คือคุณธรรมความเป็นคน รู้จักเมตตาสงสารและผิดชอบชั่วดี ฉะนั้นถ้ากระจ่างในธรรมแห่งความเป็นคนแห่งตน และกระจ่างในธรรมแห่งความเป็นคนของผู้อื่น ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะอยู่บนโลกให้มีสันติสุข
ฉะนั้นคำว่า ธรรม จึงไม่ใช่มีแค่ ธรรมแห่งความเป็นจริง แต่คำว่าธรรมยังมีอยู่ในจิตใต้สำนึกของทุกคน ธรรมอันเรียกว่าเมตตา ธรรมอันเรียกว่ามโนธรรมสำนึก ธรรมอันเรียกว่า จริยธรรม ธรรมอันเรียกว่า สัตยธรรม และธรรมอันเรียกว่า ปัญญาธรรม เรามีนะแต่ไม่เคยค้นหาใช่หรือไม่ (ใช่)  สมมติมีคนเจอหน้าเราแล้วเขาดูถูกเราชอบไหม (ไม่ชอบ)  แปลว่าท่านไม่ชอบให้ใครมาดูถูกดูหมิ่น นั่นคืออยากได้ความเคารพนับถือ เรียกว่า จริยะใช่ไหม (ใช่)  โดนว่า ว่าโง่ ยอมไหม (ไม่ยอม)  คนใต้เกลียดที่สุดใครมาว่าโง่ใช่ไหม (ใช่)  เราก็มีปัญญาธรรมใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้ามนุษย์รู้จักคุณธรรมแห่งความเป็นคน และกระจ่างในการดำเนินชีวิตกับผู้คนโดยใช้คุณธรรม ชีวิตนี้ไม่ใช่เรื่องยากที่จะนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์
คิดไตร่ตรองให้ดีสิ่งที่วันนี้เราพูดกับท่าน ไม่ได้เป็นประโยชน์เพื่อเรา แต่เป็นประโยชน์เพื่อตัวท่านเอง ยังอยากทุกข์หรืออยากพ้นทุกข์ (พ้นทุกข์)  อยากพ้นทุกข์ไม่ใช่แค่เป็นคนดี แต่ต้องรู้เท่าทันใจตน รู้ให้ทันก่อนที่มันจะสร้างวิบากกรรม สร้างกิเลสและการเวียนว่าย ถ้าเรารู้ทันหยุดได้ สิ่งที่เหลือก็คือการชดใช้กรรมเก่า แต่ถ้าเราหยุดตัวเองไม่ได้ ยังอยากอยู่จงอยากให้เป็น ทำให้ดีที่สุดผลเป็นอย่างไรก็กล้ายอมรับ ได้หรือไม่ (ได้)  ถึงแม้ว่าตัวเราทำให้ถึงที่สุดแล้วจะกลายเป็นผู้แพ้ก็ไม่เคืองโกรธ จะกลายเป็นผู้ล้มเหลวก็ไม่ด่าทอฟ้าดิน ยอมรับในชะตากรรมที่เป็นไป นี่แหละเรียกว่า เกิดมาเพื่อจบกรรม
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก เพราะมีเหตุปัจจัยนำหนุน แม้อยู่ไกลกันแค่ไหนก็ได้พบเจอ แต่ถ้าไร้เหตุปัจจัยนำหนุนแม้อยู่ตรงหน้ากันก็ทำเป็นไม่รู้จักกัน ฉะนั้นสร้างเหตุปัจจัยกับพุทธะเพื่อเป็นพุทธะ ไม่เอาหรือ


วันอาทิตย์ที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๘     สถานธรรมฉือเหริน นครศรีธรรมราช
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ไม่เปรียบเทียบก็ไม่แบ่งแยกแตกต่าง  ไม่ชอบก็ไม่ชังสร้างเรื่องไหนไหน
ไม่ยึดก็ไม่หลงสิ่งใดใด                        ไม่ทุกข์ก็ไม่เข้าใจชีวิตตน
                        เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                                         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา       ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนอยู่ในโลกนี้เหนื่อยไหม

  ความคิดเป็นตัวนำทางของคน              จะสับสนหรือกระจ่างหนทางนี้
ความคิดเป็นตัวกำหนดร้ายหรือดี           ศิษย์คนดีหันกลับมาพิจารณา
ลอยคออยู่ในกระแสแห่งโลกีย์               วันเดือนปีผ่านไปมากปัญหา
ปมปัญหาใจคลายออกทันเวลา               ทุกปัญหากลายเป็นครูผู้กรุยทาง
ใช้สัจธรรมมานำชีวิตตน                       คลายสับสนวังเวงและอ้างว้าง
ศิษย์ทุกคนล้วนมีทางสายกลาง              ฝึกความว่างท่ามกลางความวุ่นวาย
คนมีสติรู้นำชีวิตตน                             ไม่สับสนปล่อยอารมณ์เป็นใหญ่
ไม่เคยชินทำอะไรเอาแต่ใจ                    ใช้คุณธรรมนำใจสตินำตน
                                    ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


อาจารย์ไม่บังคับใจดีไหม จริงๆ นะศิษย์ถ้าเขาเห็นหน้าเราแล้วเขาเบือนหน้าหนี เราจะเอาหน้าไปให้เขาเห็นทำไมให้ทุกข์ใจใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเขาเห็นหน้าเราแล้วเขาชังน้ำหน้า เขารำคาญ ทำไมเราหลบหน้าไม่ได้หรือ ทำไมเรายอมถอยไม่ได้หรือ ทำไมต้องดันทุรังเสนอหน้าให้เขาเกลียด จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นบำเพ็ญธรรมจะทุกข์ จะสุข ไม่ต้องรอให้ใครมาชี้หน้า ไปให้ไกลๆ ทำไมต้องรอให้เขาชี้หน้าไล่ มันเจ็บนะ เรารู้ตัวเราก่อน เรารู้ตัวเองก่อน เราหยุดตัวเองได้ มันดีกว่าไหม (ดี)  ดีกว่าทำใจไม่ได้แล้วโดนเขาไล่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเรื่องราวในโลกก็เหมือนกัน ถ้าเรารู้ตัวเองทัน ถ้าเรารู้ว่าเดินไปแล้วไม่ทุกข์ ถ้าเรารู้ว่าทำแล้วมันเจ็บ ถ้าเรารู้ว่าพูดมากแล้วไม่มีอะไรดีขึ้น อยู่นิ่งๆ เงียบๆ เฉยๆ ไม่เป็นหรือ แต่บางทีมันไม่ไหวอาจารย์ มันอยู่นิ่งไม่ได้ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นดีร้ายได้เสียทุกข์สุข เป็นเรื่องของคนที่ใจยังหวั่นไหวไปกับโลกอยู่ แต่ถ้าคนบำเพ็ญแล้วนะศิษย์ ดีหรือร้าย ได้หรือเสีย ทุกข์หรือสุข มันจะทำอะไรเขาไม่ได้ เพราะเขาจะหยุดตัวเองก่อน เห็นตัวเองก่อน ฉะนั้นถ้าศิษย์บอกว่า ศิษย์รู้ธรรมมากมาย แต่ถ้ารู้ธรรมมามากแล้วยังหยุดตัวเองไม่ได้ ยังหวั่นไหวไปกับสิ่งที่กระทบ แปลว่ายังบำเพ็ญไม่ไปไหนนะ ใช่ไหม (ใช่)  โดนเขาว่านิดหนึ่งก็เป็นอย่างไร ร้อนใช่หรือเปล่า (ใช่) โดนเขาด่านิดหนึ่งเป็นอย่างไร ข่มไว้ๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นผู้ที่บำเพ็ญแล้ว ผู้ที่เข้าถึงสภาวธรรมที่แท้จริงแล้ว หรือผู้ที่มองเห็นความเป็นจริงของโลกใบนี้ชัดแล้ว อะไรมากระทบมันก็ไม่กระเทือน กระแทก และหวั่นไหวไปกับสภาวะอารมณ์ของคนทั้งโลกถูกไหม (ถูก)  แต่เวลาเราโดนกระทบเป็นอย่างไร อยาก เกลียด โกรธ ด่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่เรียกว่าโลกแท้ๆ เลย แต่ถ้าเมื่อไรเราโดนกระทบ เรานิ่งได้ เราใจเย็นได้ เราสงบได้ เราก็สามารถที่จะควบคุมตัวเองได้ และควบคุมสิ่งแวดล้อมได้ สิ่งแวดล้อมก็ไม่สำคัญเท่ากับจิตใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์ว่าเงินชั่วร้ายไหม (ชั่วร้าย)  ผู้ชาย ผู้หญิงชั่วร้ายไหม (ชั่วร้าย)  ผู้หญิงผู้ชายร้ายไหม (ร้าย)
อาจารย์ถามต่อ ผู้ชายก็ร้าย ผู้หญิงก็ร้าย เงินก็ร้าย จริงไหม (จริง, ไม่จริง)  คิดให้ดีๆ นะ เงินไม่ได้ร้ายแต่คนที่ขาดคุณธรรมแล้วพยายามจะครอบครองเงินโดยที่ไม่รู้จัก ผิดชอบชั่วดี ร้ายใช่ไหม (ใช่)  ผู้หญิงไม่ได้ร้ายแต่ผู้หญิงที่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ผู้ชายคนนั้นร้าย เหมือนกัน ผู้ชายร้ายหรือไม่ร้ายอยู่ที่ว่าเขาอยากจะโกหกเราแล้วทำวิธีไหนไม่ให้เรารู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นใดๆ ในโลกล้วนไม่น่ากลัวแต่ที่น่ากลัวคือความอยากที่ครอบงำใจจนไม่รู้จักผิดชอบ ชั่วดีไม่ละอายเกรงกลัวต่อบาป แล้วไม่รู้ว่าของใครเป็นของใครสิ่งนั้นแหละร้ายกว่า ซึ่งไม่ได้อยู่ที่ไหนแต่อยู่ที่ (ตัวเรา)  ใช่หรือไม่  แล้วเราร้ายไหม (ไม่ร้าย)  สุราและบุหรี่ร้ายไหม (ไม่ร้าย)  ก็แน่ล่ะศิษย์ไม่ติดนี่ ใช่ไหม (ใช่)  ใครที่ติดจะบอกว่าเหล้าร้ายบุหรี่ร้าย แต่จริงๆ เหล้าไม่ร้ายบุหรี่ไม่ร้ายถ้าใจศิษย์ไม่อยาก ถูกไหม (ถูก)  เหล้าจะร้ายได้อย่างไรในเมื่อใจเราไม่อยาก ถ้าไม่เคยมาอยู่ในพุงในไส้ของศิษย์มันก็ไม่อยากหรอก ถามคนที่ไม่เคยกินเหล้าสิว่าเปรี้ยวปากเป็นอย่างไร เขาก็ไม่รู้ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเหล้าจะไม่มีอำนาจครอบครองใจได้ถ้าใจของศิษย์ไม่ตกเป็นทาสของเหล้า บุหรี่ จริงไหม (จริง)  ผู้หญิงไม่มีอำนาจครอบครองบุรุษได้หรอกถ้าผู้ชายคนนั้นไม่ยอมอิสตรี ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นผู้ชายก็เหมือนกันไม่สามารถมีอำนาจเหนือใจเราได้ถ้าเราไม่ยอมตกเป็นทาสสามี ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์เอยสิ่งสำคัญในการบำเพ็ญธรรมจึงไม่ได้อยู่ที่ใครร้ายแต่มันอยู่ ที่ตัวเราต่างหาก จริงไหม (จริง)  เขาร้ายหรือเราร้าย (เราร้าย)  เขาไม่ดีหรือเราไม่ดี (เราไม่ดี)  แต่ถึงเวลาว่าเขาหรือว่าเรา (ว่าเขา)  ไม่ต้องต่อแล้วจบ จริงไหม (จริง)  รู้จนเต็มอกรู้จนถึงที่สุดแล้วก็ยังอดว่าเขาไม่ได้อยู่ดี
  “ไม่เปรียบเทียบก็ไม่แบ่งแยกแตกต่าง       ไม่ชอบก็ไม่ชังสร้างเรื่องไหนไหน
ไม่ยึดก็ไม่หลงสิ่งใดใด                                  ไม่ทุกข์ก็ไม่เข้าใจชีวิตตน
ถ้าเราไม่ชอบจะมีใครที่เราต้องชัง  ใช่หรือเปล่าใช่ไหม  ถ้าเราอยากเข้าถึงสภาวธรรมก็แค่เห็นตรงๆ  จริงๆ  เช่นนั้น  ไม่ปรุงแต่งไม่มีอารมณ์ ธรรมก็อยู่แค่ตรงนี้เอง แต่ใจของมนุษย์ไม่ใช่เห็นแล้วก็อดคิดโน่น  คิดนี่ ปรุงแต่งโน่นนี่  อยากได้นั่น  อยากได้นี่ ถูกไหม  แต่รู้ไหมว่า โลภ  โกรธ  หลง  หรือหยุดโลภ  หยุดโกรธ หยุดหลง   มันง่ายนิดเดียวเองศิษย์  เห็นแล้วไม่ปรุงแต่ง เห็นแล้วไม่เปรียบเทียบ เห็นแล้วไม่ชอบชัง เห็นแล้วแค่เห็น เห็นตามจริงเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลงนั่นแหละเรียกว่าสภาวธรรม  เราเรียนรู้เราอยากเข้าถึงสภาวธรรม แต่สภาวธรรมเป็นอย่างไรทำไมมันไปไม่เห็นถึงสักที ไม่ยาก ธรรม คือ ความจริงอันเป็นเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
สมมติว่าโดนกระทบแล้วโดนกระทบอีก จิตของศิษย์คงความจริงอันเป็นเช่นนั้นโดยไม่เปลี่ยนแปลง นั่นเหละศิษย์ค้นพบธรรม แต่มนุษย์ไม่ใช่ พอโดนกระทบ ปุ๊บ เป็นอย่างไร (สวนกลับ)  สวนกลับเลยหรือ ไหนศิษย์บอกอาจารย์ว่าคนเราทุกคนมีจิตเมตตา  การตีทำร้ายคนเป็นบาป ถูกไหม (ถูก)  อย่างนั้นอาจารย์ตีแล้วศิษย์ต้องตีกลับ แปลว่าศิษย์ก็จะบาปใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็แปลว่าเราไม่ได้เมตตาจริงๆ ถูกหรือไม่ (ถูก) 
อาจารย์กำลังจะบอกว่าถ้าสมมติว่าเราอยากเข้าถึงสภาวธรรมไม่ยากเลยศิษย์ โดนตบแล้วยังคงความเป็นเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง โกรธเมื่อไหร่เตรียมตกนรก จริงไหม เกลียดเมื่อไหร่ สาปแช่งเมื่อไหร่ เตรียมสร้างวิบากกรรมแห่งการเวียนว่าย แต่ถ้าเราแค่ เช่นนั้น เท่านั้น แค่นั้นไม่เปลี่ยนแปลง คงที่ นั่นถึงเรียกว่าธรรม แต่ถ้าเราบอกว่าโกรธมัน ตีมัน ด่ามัน นั่นเหละเรียกว่าตัวตน ตัวตนเกิดเมื่อไหร่ก็ทุกข์เมื่อนั้น กิเลสเกิดเมื่อไหร่ก็เกิดวิบากกรรมเมื่อนั้น จริงไหม (จริง)  แต่ใครล่ะที่กระทบแล้วจะคงเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง จริงไหมล่ะศิษย์
ศิษย์เอ๋ยทุกสิ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป อาจารย์จะตบศิษย์แค่ไหน ตีศิษย์แค่ไหน มันจบแล้วนะ ถูกไหมล่ะ จบแล้วยัง (จบ)  ทุกขณะที่เกิดคือทุกขณะที่ดับ ทุกขณะที่มีคือทุกขณะที่กำลังสูญสลาย ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงอันเป็นเช่นนั้น เรื่องราวที่เกิดขึ้นก็จบได้ทันที แต่มนุษย์เราไม่ใช่ เรื่องอะไรจะยอม เรื่องอะไรจะจบ ฉะนั้นวิบากกรรมและการเวียนว่ายจึงเกิดขึ้น จึงมีคำกล่าวว่า เมื่อไหร่ที่มีตัวตนจึงก่อเกิดกิเลส กรรมและการเวียนว่าย แต่เมื่อไหร่ที่เราเข้าถึงสภาวธรรมไร้ตัวตน กิเลส กรรมและการเวียนว่ายก็จบสิ้นทันที
เมื่อไหร่ที่เรายึดมั่น ถือมั่นในตัวตน กิเลส กรรม และการเวียนว่ายก็เกิดขึ้น แต่ถ้าเมื่อไหร่ตัวตนไม่มีให้ยึดมั่นถือมั่นแล้ว ก็เหลือคงไว้แต่สภาวธรรมอันเป็นเช่นนั้นเอง ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ แต่ก็มันยังเห็นอยู่ มันยังเจ็บอยู่ มันยังมีอยู่ใช่ไหม (ใช่)
รู้ว่ามาก็ต้องมีคนไม่เชื่อ แต่ก็ยังอยากมา รู้ว่ามาจะต้องโดนดูถูก แต่อาจารย์ก็อยากมา เพราะเชื่อว่าบางครั้งถ้าศิษย์เข้าถึงสภาวธรรมเพียงเล็กน้อยที่อาจารย์พูด เผื่อจะเป็นหน่อเนื้อนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้บ้างไม่มากก็น้อยก็ยังดี อาจารย์มาขอเงินไหม (ไม่)  ไม่ได้ขอแล้วทำไมคิดว่าอาจารย์หลอกล่ะ ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์มาที่นี่เสียเงินบ้างไหม
ศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนอยู่ในโลกนี้ เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ลำบากไหม (ลำบาก)  จะไม่เหนื่อยได้อย่างไรล่ะก็แบกทุกอย่างไว้ในใจหมดเลย ใช่ไหม  ถ้าทุกข์จริงๆ ก็คงไม่ทำให้ตัวเองเป็นเช่นนี้หรอก น่าจะหาวิธีทางที่จะทำให้ตัวเองพ้นทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
หนอนยังรู้จักถีบตัวเองเป็นผีเสื้อ มนุษย์ถ้าทุกข์แล้วทำไมไม่รู้จักถีบตัวเองให้พ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์รักเอ๋ย อย่าไปเห็นแค่รูป เอาให้ได้ที่ใจเลย อย่าไปมองติดแค่รูป เพราะทุกสิ่งที่เรียกว่ารูปมันคือความไม่มีใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์เอ๋ยบางครั้งศิษย์มองว่าความทุกข์เป็นสิ่งน่ากลัวสิ่งที่เราไม่อยากเจอ แต่อาจารย์ถามจริงๆ นะ ทำไมเราไม่ลองสู้กันดูสักตั้งหนึ่ง ก่อนที่เราจะเกลียดทุกข์ แล้วไม่อยากเจอทุกข์ ถูกไหม (ถูก)  ศิษย์บอกว่าความทุกข์ในโลกเป็นสิ่งน่ากลัว เป็นสิ่งที่ไม่อยากเจอเลยอาจารย์ แต่อาจารย์ถามหน่อยใครหนีพ้น ไม่มีใครหนีพ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อหนีไม่พ้นทำไมไม่ลองสู้กับความทุกข์ดูสักตั้งล่ะ ถ้าสู้ได้ เราเอาชนะได้ หรือเราเข้าใจความทุกข์ได้ ความทุกข์จะน่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  แต่ทำไมพอถึงเวลาเรากลับกลัวทุกข์ ในโลกนี้ทุกข์อะไรที่น่ากลัวที่สุด (ทุกข์ใจ)  ทุกข์ มีเยอะแยะในโลก แต่สิ่งที่ศิษย์บางคนไม่อยากเจอก็เพราะว่าบางทีเราไม่คาดคิด บางทีเราเตรียมตัวไม่ทัน บางทีเรารับไม่ไหว ใช่ไหม (ใช่) 
อาจารย์ถามหน่อยนะว่าทุกข์ในโลกนี้มันมีดีอะไร ลองหามันให้เจอ ดีไหม ถ้าหาดีจนเจอแล้วเราจะเกลียดมันไหม (ไม่)  เราจะกลัวมันไหม (ไม่)  แล้วเราจะสู้กับมันไหวไหม (ไหว)  ใครตอบอาจารย์ได้บ้าง (ทุกข์คือประสบการณ์ชีวิต)  ใช่ไหม (ใช่)  ตอบได้แล้วถึงเวลาเจอเป็นประสบการณ์ชีวิตที่เจ็บปวด รับไหวหรือเปล่า เหมือนอาจารย์ถามศิษย์ว่า ใครบ้างในโลกไม่กลัวการพลัดพราก ใครบ้างในโลกไม่เจอการสูญเสีย แล้วเวลาเจอทำใจได้ไหม (ตอนแรกยังไม่ได้)  แต่ตอนนี้ (ทำใจได้แล้ว)  แต่กว่าจะทำใจได้ล้มไปนานเลยถูกไหม ก่อนเราจะเกิด ก็มีปู่ย่า ตายาย ทวด ตอนนี้ยังอยู่ไหม อยู่ครบไหม (ไม่ครบ)  ถ้าไม่มีบรรพชนจากไปจะมีเรานั่งอยู่ตรงนี้ไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นบางครั้งการเสียสิ่งหนึ่งอาจจะได้อีกสิ่งหนึ่งมา ทำไมเราจะต้องไปยึดติดกับความสูญเสีย แล้วบางครั้งการสูญเสียกลับทำให้เรารู้จักอะไรคือคุณค่า อะไรคือสิ่งที่เราลืมคุณค่าไป ถูกไหม ฉะนั้นอาจารย์ถามหน่อยว่า การสูญเสียมีดีไหม (มี)  ถ้าเราเข้าใจความสูญเสียมีดีอะไร เวลาเราเจอความสูญเสีย เราจึงมีสติรับได้ ถูกไหม แต่ชีวิตที่เกิดมาล้วนต้องผ่านการสูญเสียจึงมีเราวันนี้ ถ้าไม่มีการสูญเสียเราจึงไม่รู้จักคุณค่า ถูกไหม ฉะนั้นเราจะกลัวไหม (ไม่กลัว)  เราก็จะกล้าเสียสละตัวเอง เพื่อให้รุ่นต่อไปได้กำเนิดเกิดขึ้นมา ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นเราจะกลัวตายไหม (ไม่กลัว)  ถ้าศิษย์เข้าใจความทุกข์คืออะไร เข้าใจความสูญเสียคืออะไร เวลาเราเจอ เราจะมีสติรับได้ และเราจะรู้ว่า อ๋อ ไม่เป็นไร”  ถ้าเสียแล้วได้อีกสิ่งหนึ่ง ถูกไหม ถ้าไม่มีบรรพชนที่จากไปจะมีเราตรงนี้ไหม (ไม่มี)  แล้วตอนนี้ที่ยังมีท่านอยู่ ทำไมไม่ดูแลท่านให้ดีๆ มาเสียใจกับอดีตทำไม ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าอาจารย์อยากให้ศิษย์ได้เข้าใจธรรม สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ควรรู้ไว้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มีความเกิดก็มีความดับ ทุกขณะที่ศิษย์เกิดคือทุกขณะที่ศิษย์กำลังดับใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นก็เลยฉลองความตาย “เย้ๆ เกิดแล้วแล้วสิบห้าปี” ใช่ไหม แต่พุทธะไม่ใช่ ตายแล้วสิบห้าปี ตายแล้วสามสิบปี ตายแล้วหกสิบปี เราควรฉลองความเกิดหรือเราควรมีสติอยู่กับความตาย (มีสติอยู่กับความตาย)  แล้วต่อไปจะเป่าเค้กวันเกิดอีกไหม (ไม่)  คิดให้ดีๆ นะ อาจารย์ไม่ได้ห้าม เป่าได้จงเป่าอย่างมีสติ ตายไปแล้วสิบห้าปีนะ แล้วสิบห้าปีที่ตายไปมีอะไรดีไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรามีสติระลึกเสมอว่าทุกขณะที่เกิดคือทุกขณะที่ตาย ทุกขณะที่มีชีวิตคือทุกขณะที่กำลังดับสิ้น แล้วจะเอาเรื่องกับใครในเมื่อที่ผ่านมามันตายไปแล้ว มันจบไปแล้ว ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงอันนี้ ทุกขณะเราจะมีชีวิตอยู่แค่ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ อดีตก็คือ (อดีต)  ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจึงทำให้เราเข้าใจอยู่อย่างหนึ่งว่าชีวิตคือความตาย ความเป็นกับความตายเรียกว่าชีวิต ถ้าเข้าใจชีวิตเราจะไม่ห่วงอดีต แต่เราจะทำวันนี้ให้ดี ถ้าวันนี้ไม่ดี วันนี้มันก็จะกลายเป็น (อดีต)  พระพุทธะจึงสอนว่าไม่มีหรอกอดีต ไม่มีหรอกอนาคต มีอยู่เวลาเดียวคือเวลา (ปัจจุบัน)  ไม่ใช่  คือขณะนี้ เดี๋ยวนี้ แม้ปัจจุบันมันก็เปลี่ยนแปลง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเข้าใจความจริงเข้าใจชีวิต เราจะไม่ทุกข์แต่ความเข้าใจจะทำให้เราแจ่มแจ้ง และปลดปลงได้เยอะเลย จะห่วงอะไรกับอดีต ถ้าตอนนี้ยังทำไม่ดี ถ้าไม่ดีตอนนี้ก็จะกลายเป็น (อดีต) ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อาจารย์มันยากนะ บางทีหนูยังอยากเก่งกว่าคนอื่น อยากเหนือกว่าคนอื่น อยากสำเร็จ อยากนั่นอยากนี่อยู่ ใช่ไหม (ใช่)  ไหนใครบอกว่าอยากรวย อาจารย์มีวิธีง่ายๆ ไม่ต้องทำอะไรก็รวย ใครอยากสวยไม่ต้องไปโบทอกซ์ ไม่ต้องไปฉีดหน้าเลย อาจารย์มีวิธีเอาไหม (เอา)  เอาทันทีเลยนะ แล้วมีวิธีรวยโดยไม่ต้องทำอะไรเลยเอาไหม (เอา) 
อาจารย์อยากบอกศิษย์ว่า เรื่องบางเรื่องในโลกนี้ไม่ยากเลย อยากรวยอยากเป็นคนรวยที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งก็อยากสวยบางครั้งก็อยากดูดี ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ไม่ได้สอนให้ศิษย์โลภแต่อาจารย์จะบอกว่า เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนั้นจึงมี เหมือนคำว่าเพราะมีสามีจึงมีภรรยา ใช่ไหม
เพราะมีเพื่อน เพราะมีเราจึงมีเขา เพราะมีดีจึงมีร้ายใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าคนเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิตก็จะรู้เลยว่าเพราะมีจน จึงมีรวย  เพราะมีดูไม่ดี  จึงมีดูสวยงาม  ฉะนั้นอยากสวยไม่ยากเลยทำอย่างไรรู้ไหม ไม่ยากเลยอยู่ใกล้กับคนไม่สวยเราก็สวยถูกไหม ไม่ต้องทำอะไรเลยไม่ต้องโบทอกซ์ ไม่ต้องฉีดหน้า อยู่กับคนไม่สวยเราก็สวยทุกวันเลยจริงไหม อยากเป็นคนรวยไหม อยู่กับคนจนไว้แล้วมีแต่ให้ๆ  เรารวยที่หนึ่งเลยถูกไหม ฉะนั้นอยากเป็นคนดูดีไหม อยู่กับคนที่ดูไม่ดีแล้วเราจะได้ดูดีโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเข้าถึงสภาวธรรมหรือเข้าถึงความเป็นธรรม ธรรมสอนให้รู้ว่าเพราะสิ่งนี้มีสิ่งนั้นจึงมี เพราะมีสามีจึงมีภรรยา เพราะมีสามีภรรยาจึงมีลูกใช่ไหม (ใช่)  เพราะมีอัปลักษณ์ จึงมีสวยงาม เพราะมีหน้าเกลียดจึงมีคนดูดีใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากเป็นคนฉลาดจงคบคนโง่ ดีไหม (ดี)  มีนักเรียนชั้นนี้แหละที่บอกว่าดี ดีตรงไหน  คนฉลาดมักจะจมอยู่แค่นี้  จริงไหมศิษย์
ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าถึงแก่นแท้ความเป็นจริงของชีวิต ศิษย์จะอยู่บนโลกนี้ไม่ทุกข์ ใครด่าว่าเราโง่ ไม่เป็นไรฉันไม่ได้โง่ที่สุดยังมีคนโง่กว่าถูกไหม ใครด่าว่าเราไม่สวย ใครด่าว่าเราเหี่ยว  ไม่เป็นไรคุณยายเหี่ยวกว่าใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นธรรมะและความเป็นกลางมันไม่ได้อยู่ที่ไหนมันอยู่ที่ตัวเรา ถ้าเรารักษาความเป็นธรรมอันเป็นเช่นนั้น เราก็คือความเป็นกลางที่เป็นธรรม ถ้าเราเอาแต่ไปเปรียบเทียบ ไปวัดโน่น วัดนี่ อยากได้นั่น  อยากได้นี่ เราก็คือคนที่ขาดเสมอจริงไหม ศิษย์เอยมนุษย์เราทุกคนมีความเป็นกลางอยู่ ฉะนั้นอย่าพยามดิ้นรนให้ต้องเก่งกว่าเหนือกว่าเลย  เพราะถึงที่สุดเก่งกว่าก็มีคน (เก่งกว่า)  สวยกว่าก็มีคน (สวยกว่า) 
(ก็หนูอยากสวย)  อยากสวยไปทำไมศิษย์เอ๋ย สู้ยอมรับความเป็นจริงของตัวตนเองไม่ดีกว่าหรือ ถูกไหม (ถูก)  แล้วก็ยอมรับว่าคนในโลกไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม มีใครดีพร้อมไหม มีใครไม่มีข้อผิดพลาดไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นถ้าเรายอมรับความจริง ถึงเราจะได้ภรรยาขี้บ่น แต่ขี้บ่นอย่างไรก็อาจจะบ่นน้อยกว่าอีกบ้านหนึ่งก็ได้ ถูกไหม (ถูก)  เราได้สามีขี้เหล้า แต่ไม่เป็นไร ขี้เหล้าก็ยังดี อย่างน้อยก็ไม่เล่นอบายมุข ไม่ติดหญิง หรือแม้แต่มีสามีติดหญิง ก็คิดว่าดีแล้วติดหญิงยังกลับมาบ้าน อย่างไรก็ยังกลับมาบ้านใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นในความเป็นจริงแห่งการเรียนรู้หลักธรรมจึงสอนให้เรารู้ว่า ถ้าเรายิ่งเข้าใจหลักธรรม เรายิ่งสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างเข้มแข็ง และเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเป็นคนในโลกนี้ให้สมบูรณ์ ไม่ผิดไม่เพี้ยน ไม่ด่างพร้อย ไม่ก่อเกิดเวรกรรมยากไหม (ไม่ยาก)  ขอแค่เพียงศิษย์รู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเกิดมีดับ อดีตอาจจะไม่มี มีแต่ขณะนี้ ใครจะสวย ใครจะดี ใครจะเลว ใครจะร้ายอย่างไรไม่สำคัญ สำคัญที่ตัวเราเป็นเช่นไร ใช่ไหม (ใช่)  ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม ถ้าศิษย์อยากดีมากๆ ศิษย์ก็ไปอยู่กับคนเลวสิ จริงไหม (จริง)  ถ้าศิษย์อยากเลวมากๆ ก็ไปอยู่กับคนดีใช่ไหม (ใช่)  ใช่หรือ
แต่โดยส่วนใหญ่ของมนุษย์เรานั้นมักจะไม่ค่อยรู้จักพอ ได้อีกสิ่งหนึ่งก็อยากได้อีกสิ่งหนึ่ง มีดีก็ต้องดีกว่า เราเลยเหนื่อยไม่จบสิ้น ถูกหรือไม่ ฉะนั้นทำอย่างไรที่จะทำให้เรารู้จักพอบ้าง ถ้าพอได้ชีวิตก็มีสุข แต่ถ้าพอไม่ได้ ที่หาก็คือความทุกข์ทน ที่มีก็คือความร่อยหรอ แต่ถ้าเราพอได้ ที่มีมันก็คือมั่งคั่ง ที่หาก็ไม่ทุกข์ทน เพราะได้ไม่ได้เราก็ยังมีอยู่ ถูกหรือไม่ แต่ถ้าเราบอกว่าไม่พอ ที่มีก็เหมือนไม่มี ที่หาก็ต้องทุกข์ทนว่ามันต้องได้ ถ้าไม่ได้ตายแน่ จริงไหมล่ะศิษย์ (จริง)  อาจารย์พูดถูกไหมล่ะ อาจารย์ถามนะว่าศิษย์เอ๋ย แล้วอะไรที่เป็นสาเหตุให้คนในโลกนี้ หรือตัวเราทุกข์กันเล่า (อยากได้)  เราทุกข์เพราะอะไร
(ตัวเราเอง)  เพราะตัวเราเองทำให้ตัวเองทุกข์ถูกไหม (ถูก)  คิดไม่เป็นวางไม่ได้ก็เลยเป็นทุกข์ เพราะตัวตนใช่หรือไม่ (ใช่)  โดยส่วนใหญ่มนุษย์มักจะบอกว่าทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะขาดสติ ทำอะไรไม่รู้จักยั้งคิด ที่เราขาดสติเพราะเราใช้อารมณ์เป็นหลัก ไม่ใช้สติ ไม่ใช้คุณธรรมนำ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นอย่าเอาอารมณ์เป็นใหญ่นะ
(เพราะเรายึดติดไม่ปล่อยวาง)  เพราะยึดติดไม่ปล่อยวาง ใช่ไหม (ใช่)  แล้าเรายึดติดอะไรมากที่สุดที่ทำให้เราทุกข์ อารมณ์ กิเลส หรือทิฐิความเป็นตัวเป็นตน (ทุกข์ด้วยกิเลส)  คนเรายึด แต่ไม่เหมือนกัน บางเรื่องยึดเพราะทิฐิ บางเรื่องยึดเพราะกิเลส บางเรื่องยึดเพราะอารมณ์ บางเรื่องยึดเพราะหน้าตา บางเรื่องยึดเพราะหน้าที่ บางเรื่องยึดเพราะเกียรติยศ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจะตอบเหมือนกันเป็นไปไม่ได้ มันแล้วแต่ว่าตอนนั้นเรากำลังโดนอะไรกระทบใจ ใช่ไหม (ใช่) 
(ทุกข์เพราะรัก โลภ โกรธ หลง)  ตบมือให้ท่านนี้หน่อยนะ มนุษย์โดยส่วนใหญ่ทุกข์เพราะยึดกิเลส ยึดอารมณ์เป็นใหญ่ ยึดทิฐิตัวเองเป็นใหญ่ ยึดตรงที่แพ้ไม่ได้ วางไม่เป็น ยอมไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่ามนุษย์ถึงที่สุดทุกข์เพราะอะไร จริงๆ แล้วไม่ใช่เพราะกิเลสหรอก มนุษย์ทุกข์เพราะตัวเรานี้ ตัวเรานี่แหละเป็นโรงงานผลิตทุกข์ตัวดีเลย ใช่ไหม (ใช่)  สิ่งที่ควรคิดไม่คิด  สิ่งที่ไม่ควรคิดก็คิดเอาๆ ถูกไหม (ถูก)  รู้ว่าทำสิ่งนี้ไม่ดีทำไหม ทำ ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าถ้าศิษย์อยากหยุดทุกข์ทั้งมวลไม่ใช่แค่หยุดโลภ โกรธ หลง แต่นี่มันต้องรู้ตั้งแต่ตัวนี้ ใช่ไหม (ใช่)  ที่เมื่อสักครู่อาจารย์บอก มนุษย์เมื่อมีตัวตนจึงมีกิเลสมีกรรมและการเวียนว่าย แต่ถ้าเมื่อไหร่มนุษย์เข้าใจว่าตัวตนเองแท้จริงแล้วก็ยึดไม่ได้ไม่เคยมีมาด้วยซ้ำ เมื่อนั้นกิเลสกรรมและเวียนว่ายมันจะจบสิ้นไปทันที ใช่ไหม (ใช่)  ถึงที่สุดมันก็แค่เป็นการใช้กรรมในอดีตเท่านั้น ถูกหรือไม่ (ถูก)

 ขึ้นชื่อว่าสังขาร อันนี้เรียกว่าตัวตนใช่ไหม ที่อาจารย์บอกว่าเป็นโรงงานผลิตทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราไม่มีตัวตนที่ยึดถือเลย ไอ้โรงงานนี้มันคือก็ความไม่เที่ยง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่เราเป็นทุกข์หนีไม่พ้น แต่ถ้าเมื่อไหร่เราครอบครองยึดถือ เราก็ต้องเจ็บปวดกับความทุกข์ ความแก่ ความตาย ใช่ไหม แต่ถ้าเราไม่ยึดความแก่ ความเจ็บ ความตายก็แปรเปลี่ยนไปเป็นสภาพหนึ่งแห่งสภาวธรรม ถูกไหม (ถูก)  ถ้าอาจารย์บอกว่าไอ้ตัวตนนี้



อันนี้เรียกว่าสังขาร ตามปกติธรรมดาของสังขารคือต้องกิน ต้องนอน ต้องขับถ่าย ใช่ไหม (ใช่)  แล้วในสังขารนี้เราก็หนีไม่พ้นทุกข์อันหนึ่งที่เรียกว่าไตรลักษณ์ก็คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และว่างเปล่า อันความไม่เที่ยงเป็นทุกข์และว่างเปล่า ธรรมยังสอนอีกว่า สิ่งใดมีความเกิดสิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเกิดว่าเราไม่ยึด มันเกิดขึ้นเดี๋ยวมันก็ดับไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราไม่ยึด อะไรจะเป็นนายครอบครองใจเรา ก็ไม่มี มันก็จะหายเป็นไปตามสภาวธรรม แต่มนุษย์ไม่ใช่ หลงยึดว่าร่างกายเป็นของ (เรา)  หลงยึดว่าเป็นของตัวเรา พอหลงยึดว่าเป็นของเราอีก เสร็จแล้วเรายังหลงที่จะสร้างนิสัย และสร้างความเคยชิน ครอบงำตัวตนนี้ แล้วนิสัยความเคยชินนี้ก็หนีไม่พ้นความไม่เที่ยงคือ มันเปลี่ยน เดี๋ยววันนี้นิสัยอยากกินอันนี้ เดี๋ยววันนี้อยากชอบอันนี้ อยากทำอย่างนั้น จึงเรียกว่าตัวตน เมื่อถูกกระทบจึงก่อเกิดเป็นสองสิ่ง ที่เรียกว่า บุญกับบาป อารมณ์ดีทำบุญ อารมณ์ไม่ดีทำบาป ใช่ไหม (ใช่)  บุญ พอทำบุญเสร็จ สาธุ ขอให้ชาติหน้าสบาย ขอให้เกิดมาไม่ต้องทำอะไรก็มีกินมีใช้ เพี้ยงๆ ทำบุญแล้วบุญน่าจะจบ ไม่ ยังทำบุญเพื่อหวังมีตัวอีก ทุกข์จบไหม (ไม่จบ)  ทุกข์ยังอยากสร้างตัวตนว่า สาธุขอให้สบายมีกินมีใช้โดยไม่ทำอะไรก็มีคนช่วยทำให้กินทำให้ใช้ ดีไหม (ไม่) 
รู้ไหมเป็นอะไร คุณธรรมไม่มีชอบทำแต่บุญ คุณธรรมความเป็นคนไม่สร้าง ชอบทำแต่บุญ ตายไปเป็นสุนัข เป็นแมวมีคนเลี้ยงมีคนอาบน้ำให้ ฉะนั้นอย่าทำแค่บุญ ถ้าคุณธรรมความเป็นคนยังบกพร่อง บุญจะทำให้เราก่อเกิดเป็นตัวตนที่ไม่ได้เป็นคน แต่เป็นอะไรไม่รู้ แล้วแต่ศิษย์สร้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น บาป เกิดเป็นคนต้องมีดีบ้างไม่ดีบ้างเป็นธรรมดาใช่ไหม (ใช่)  ไหนมีใครไม่ทำบาปบ้างยกมือขึ้น ทุกคนเลยหรือ น่ากลัวจริงๆ เลยนักเรียนชั้นนี้ อาจารย์ถามหน่อยนะ ศิษย์ของอาจารย์โดยส่วนใหญ่ไม่กลัวบาป แต่กลัวเคราะห์กรรมถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นบาปมาจากกิเลส กิเลสถึงที่สุดให้ผลเป็นทุกข์ กรรมและการเวียนว่าย บุญก็เหมือนกัน ถึงแม้จะให้สุข แต่สุขนี้เมื่อเสวยเต็มที่ ก็ยังหนีไม่พ้นการเวียนว่ายถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าอยากทำบุญแล้วหนีพ้นการเวียนว่าย จงทำบุญนั้นด้วยการไม่มีตัวตนรองรับ บุญที่ประเสริฐที่สุดคือ บุญที่สละความเป็นตัวตนได้ บุญที่ทำแล้วให้ได้แม้กระทั่งตัวตน
เหมือนพระพุทธองค์ บุญที่ยิ่งใหญ่คือ สละแม้กระทั่งตัวเองและชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเวไนย ฉะนั้นทำบุญอะไรก็ไม่ประเสริฐเท่ากับบุญที่สละความยึดมั่นถือมั่นได้นั่นแหละคือบุญที่ยิ่งใหญ่ บุญที่สามารถทำแล้วแผ้วถางกิเลสได้ บุญนั้นจะกลายเป็นกุศล ที่นำพาให้พ้นเวียนว่ายวน แต่ถ้าบาป เวลาโดนกระทบก็เกลียดมัน ด่ามัน บาปนั้นก็ก่อเกิดเป็นเวรกรรมใช่ไหม (ใช่)  เวรกรรมคือจำแล้วไม่ลืม  ฉะนั้นเกลียดใครแล้วจำไม่ลืม บาปมันจะกลายเป็นเวรกรรม และสร้างวัฏฏะการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ฉะนั้นศิษย์อยากจะตัดการเวียนว่าย พระพุทธะจึงกล่าวว่า บุญบาปทุกข์สุข ยังเป็นเรื่องของโลก ยังเป็นเรื่องไม่พ้นทุกข์ ถ้าอยากจะพ้นทุกข์ ต้องเปลี่ยนจากการทำบุญเป็นกุศล ไม่ใช่อาจารย์ห้ามศิษย์ใส่บาตร ใส่บาตรได้ แต่ใส่บาตรแบบไม่ขอ อย่าใส่บาตรแบบสาธุขอให้หนูเกิดมามีกินมีใช้ มีนั่นมีนี่ ศิษย์เอ๋ยศิษย์ทำบุญไม่ครบนะ ศิษย์ทำบุญมีกินมีใช้ แต่ศิษย์ลืมทำเรื่องปัญญา ศิษย์ทำเรื่องการดำเนินชีวิตคู่ ศิษย์ทำไม่ครบ ความเป็นคนจะไม่สมบูรณ์ เคยไหมทำอย่างหนึ่งแล้วขาดอีกอย่างหนึ่ง อยากเป็นคนสมบูรณ์ต้องงามพร้อมทั้งมโนธรรม เมตตาธรรม จริยธรรม สัตยธรรม แล้วตอนนั้นจะเกิดมา ครอบครัวก็สมบูรณ์ ปัญญาก็ดี ไม่มีใครโกง ไม่มีใครแก่งแย่ง ทำได้ขนาดนั้นไหม ฉะนั้นถ้าอยากมาเกิดใหม่ แล้วบุญยังไม่พร้อมซึ่งคุณธรรม บุญนั้นจะไม่สามารถกลับมาเกิดเป็นคนได้อีกนะ ถูกหรือไม่ (ถูก) 
ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนว่า เมื่อเราเข้าศึกษาการฝึกฝนบำเพ็ญธรรม เราจะตัดทางมาแห่งบุญบาปอย่างไร ไม่ให้ก่อเกิดวิบากกรรมและการเวียนว่าย ไม่ยากเลย ขอเพียงศิษย์เข้าใจความเป็นจริงแห่งตัวตน อาจารย์ถามจริงๆ ก่อนมามาตัวเปล่า กลับไปไปตัวเปล่าใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าศิษย์ยังตัดตัวตนตัวนี้ไม่ได้ อาจารย์ก็หนูยังเป็นอย่างนี้ ทำไงได้ นิสัยหนูก็ได้แค่นี้ อาจารย์ก็ทนๆ ไปแล้วกันนะ หนูก็ดีได้แค่นี้ทั้งที่มันจะตายแล้วจบ มันไม่จบ เพราะศิษย์ยังยึดความเป็นตัวตนนี้อยู่ ฉะนั้นตัวตนนี้มีอยู่ที่ใด แม้ตายไปตัวตนนี้ก็ยังต้องไปรับผลของเคราะห์กรรมที่ศิษย์ยึดอยู่เท่านั้น ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากตัดตัวตนนี้ได้ วิถีทางแห่งการฝึกฝนบำเพ็ญก็คือ กระจ่างในสภาวธรรม สว่างในคุณธรรมความเป็นคน กระจ่างในสภาวธรรมก็คือ มนุษย์เรามีไม่เที่ยง ทุกข์ แล้วก็อนัตตา คือว่างเปล่าจากตัวตนที่แท้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเวลาทำอะไร ศิษย์อย่าทำเพราะนิสัย ทำเพราะความอยาก เพราะถ้าเกิดศิษย์ทำเพราะนิสัย ทำเพราะความอยาก ศิษย์ก็ตอกย้ำความเป็นตัวตนทับซ้อนเข้าไปในสังขาร เรียกว่าตัวตนซ้อนตัวตน เกิดเมื่อไหร่ก็ทุกข์เมื่อนั้น ใช่ไหม (ใช่)  พระพุทธะจึงสอนไว้ถ้ามีอะไรให้ทำ ให้นึกว่า
ทำแล้วเมตตาไหม ใช้คุณธรรมก็ได้
ทำแล้ว มีมโนธรรมหรือเปล่า
ทำแล้ว รู้จักเคารพให้เกียรติคนอื่นไหม คือจริยธรรม
ทำแล้ว นี่หรือคือคนที่มีปัญญาที่ดี ที่เขาควรทำ
ทำแล้ว มีสัตยธรรมความเป็นคนไหม
ฉะนั้นก่อนจะอยาก ลองไตร่ตรองดูอันนี้ เพื่อจะได้ลดความเป็นตัวตนให้มันหาย เหลือแต่ความไม่เที่ยงแห่งสังขารเท่านั้นเอง ยากไหม   (ไม่ยาก)  วิธีที่จะทำให้เราเข้าถึงนี้ได้ก็คือ ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมล่ะ ตัวตนเองเหมือนเนื้อนาบุญ ปลูกแตงได้แตง ปลูกถั่วได้ถั่ว แต่ทุกวันเราปลูกอะไร ปลูกนิสัยความเคยชินการเป็นตัวตน มันก็เลยได้แต่ตัวตน แต่ถ้าเราปลูกคุณธรรม เราก็ได้ธรรมจริงไหม แล้วตอนนี้ทุกวันเราตอกย้ำอะไร หนูอยากกิน หนูชอบอย่างนั้น หนูเป็นอย่างนี้ หนูได้แค่นั้น หนูได้แค่นี้ เป็นตัวเป็นตนที่ยึดติดทั้งนั้นเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นก่อนที่จะอยาก ให้เราคิดว่าอยากแล้วมีเมตตาไหม พูดแล้วมีสัตยธรรมไหม ทำแล้วมีความสุจริตใจไหม ทำแล้วให้เกียรติคนอื่นไหม มองไปอย่างนี้ด่าเขาไหม ดูถูกคนอื่นหรือเปล่า
ถ้าเราปลูกธรรมเราก็ได้ ธรรม แต่ถ้าเราปลูกความเป็นตัวตนเราก็ได้ตัวตนที่ต้องเกิดแล้วเวียนว่ายไม่จบสิ้น จริงไหม (จริง)  แต่ศิษย์หลายคนก็บอกอาจารย์ยาก ยากไหม (ไม่ยาก)  อาจารย์ว่าไม่ยากนะแต่อยู่ที่ศิษย์ยอมทำไม่ยอมทำเท่านั้นเอง ถูกไหม (ถูก)
(พระอาจารย์เมตตาแจกผลไม้สำหรับผู้ที่ตอบคำถาม) 
เอาไปทำอะไร (เอาไปกิน)  บุญที่รู้จักส่งต่อย่อมดีกว่าเก็บไว้กับตัวเองใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นเอาไปทำอะไร (ส่งต่อ)  คือเอาไปแบ่งให้คนอื่นศิษย์เอ๋ย แล้วท่านล่ะที่ตอบเอาไปทำอะไร (เอาไปให้สาวๆ )  เอาไปให้พ่อแม่ดีกว่าไหม (ดีกว่า)  อย่ารู้จักแต่ทำบุญกับเพื่อนบ้าน แต่ไม่รู้จักให้ทานนะ
อย่างนั้นอาจารย์ถามนะ ในตัวเรามีสิ่งใดที่เราอยากจะแก้ไขแล้วไม่ทำผิดซ้ำผิดซากอีก
(ความไม่พอดี)  ถ้ารู้พอก็มีสุขแต่ถ้าไม่พออย่างไรก็ไม่มีความสุข ชีวิตโชคดีแล้วนะหันไปดูสิโชคดีไหม ฉะนั้นรู้จักถนอมบุญของตัวเองอย่าทำลายบุญของตัวเองเพียงเพราะอ้างว้างและเงียบเหงา
(ความใจร้อน)  จะใจเย็นสิ่งสำคัญคือสติจะทำอะไรขอให้มีสติยั้งคิดไตร่ตรองให้ดี
(ความคิด)  ศิษย์รู้ไหมพระพุทธะกล่าวไว้ว่าความคิดยังง่ายที่จะยึดติดในนิสัยความเคยชิน ไม่เหมือนสติกับสัมปชัญญะ สติคือตัวเท่าทันความคิด สัมปชัญญะคือความกระจ่างแจ้งในธรรมตน ฉะนั้นถ้าใช้ความคิดบางครั้งยังคิดวกวน ไม่ใช่สิ่งที่หลุดพ้นใช่ไหม ต้องใช้สติเป็นตัวนำ เพราะจิตที่ว่างจะเป็นจิตที่ไม่ปล่อยให้ความคิดครอบงำ มนุษย์หนีไม่พ้นความคิด ฉะนั้นต้องใช้สตินำมากกว่าความคิด เพราะความคิดยังเป็นสังขารไม่เที่ยง
(ความอยาก)  จะควบคุมความอยากไม่ทำให้ความอยากมาทำร้ายใจใช่ไหม สิ่งสำคัญคืออะไร (มีสติที่อยากได้นั่นได้นี่)  บางครั้งเราต้องคิดแค่ว่าดีแล้วพอแล้วแค่นี้ก็ดีแล้วใช่ไหม ความอยากมันจะได้ไม่ทำให้เราประมาทและเหนื่อยจนเกินไปถูกไหม
(อารมณ์)  จะควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ (ใจเย็น)  แล้วใจเย็นบ้างไหม (จะพยายาม)  ลุยอย่างเดียวเลยใช่ไหม ใครว่าอะไรลุย ฉะนั้นคิดให้ดีๆ นะ เดี๋ยวมันจะจบไม่ลง ใช่ไหม
(เลิกเจ้าชู้)  เจ้าชู้ทางไหน เจ้าชู้ทางไลน์หรือเจ้าชู้ทางโทรศัพท์ใช่ไหม เจอหนุ่มๆ หล่อ คลิ๊กไลค์ อย่านะศิษย์เอ๋ย ถ้าไม่อยากให้ต้องรับผลกรรมก็จงอย่าสร้างเหตุ เราชอบหรือคนที่โกหกเรา คนที่หลายใจ ก็ไม่ชอบ แล้วทำไมเราจึงทำ ไม่อยากรับผลก็จงอย่าสร้างเหตุนะ
ศิษย์เอยถ้ายิ่งพยายามยึดจึงต้องพยายามปล่อย แต่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีทางเป็นของตัวเอง เราไม่ต้องพยายามไปปล่อยอะไรหรอก แค่ยอมรับธรรมชาติของสิ่งๆ นั้น อย่าไปบังคับให้ต้องเป็นดั่งใจเรา ใช่ไหม
ศิษย์ทำได้ดีระดับหนึ่งแล้วนะ แต่ว่าแค่ศิษย์ยังยึดติดว่า แม่ยังอารมณ์ร้อน ศิษย์ยอมรับทุกสิ่งมันมีธรรมชาติ เหมือนนิ้ว เท่ากันไหม (ไม่เท่า)  แล้วความไม่เท่ามันมีดีไหม ทุกสิ่งล้วนมีดีในตน แต่บางครั้งตาเรา ใจเรา มันชอบจดจ่อแต่เรื่องที่เราไม่ชอบ เราเลยบอกไม่เห็นสิ่งที่ชอบ ใช่หรือไม่ แต่ถ้าเราเข้าถึงความเป็นจริงว่าในชอบ ในชัง มันก็มีดีอยู่ ถูกไหม ฉะนั้นเราจึงไม่ต้องพยายามที่จะต้องใช้คำว่าจะต้องอดทน แต่เปลี่ยนจากความอดทนเป็นความเข้าใจ ถ้าเราเข้าใจเราต้องอดทนไหม ไม่ต้องอดทน ศิษย์รู้ดีหมดทุกอย่าง แต่ศิษย์มักจะจดจำอยู่กับว่า แม่ใจร้อน อย่าไปตอกย้ำอย่างนั้นสิ ข้ามภูเขานั้นให้พ้นแล้วศิษย์จะพบฝั่งแห่งการพ้นทุกข์ ใช่ไหม
ฉะนั้นทำอะไรขอให้คิดก่อนพูด เพราะพูดไปแล้วต่อให้เป็นม้าดีม้าเร็วเรียกกลับมาก็แก้ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(อยากจะแก้ไขความผิดตัวเอง)  มนุษย์จะก้าวหน้าก็ต่อเมื่อเรารู้ว่าตัวเรามีอะไรไม่ดี ถ้าเราคิดว่าตัวเองดี เราก็จะไม่ก้าวหน้าเลย ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ปุถุชนไม่เคยมองเห็นตัวเองผิด แต่พุทธะมองเห็นตัวเองผิดแล้วแก้ไขตัวเองอยู่ทุกวัน
(ชอบจับผิดคนอื่น)  แก้ไขโดยที่คิดว่าคนทุกคนมีดีมีร้าย แต่จำไว้อย่างหนึ่ง เพราะมีคนไม่ดีเราจึงเห็นคุณค่าของคนดีถูกไหม (ถูก)  เพราะมีคนขี้เกียจ เราจึงเข้าใจคนขยัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะมีคนดำ เราจึงรู้ว่าเราขาวแค่ไหน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเพราะมีคนผิด จึงมีคนถูก แต่เราต้องให้โอกาสเขา บอกเขาว่าเธอผิดได้ไม่เกินสามครั้ง ถ้าเธอผิดสามครั้ง ฉันถือว่าฉันพูดเตือนเธอแล้วฉันต้องเชิญเธอออก เป็นอย่างนี้ถูกไหม (ถูก)  เราต้องให้โอกาสไม่ใช่ผิดแล้วเอาไปประจาน ผิดแล้วเอาไปว่า อย่างนี้เรียกว่าเราไม่ให้คนดีได้แก้ไข ได้กลับตัวใช่หรือไม่ (ใช่) 
(ใจร้อน)  นักเรียนในชั้นนี้ใจร้อนไหม (ใจร้อน)  ร้อนแล้ว ด่าแล้ว โมโหแล้ว ทุกข์ไหม (ทุกข์บางครั้งก็นำมาคิด)  ฉะนั้นวิธีแก้คือกล้ายอมรับความจริง เขาได้แค่นี้ก็ได้แค่นี้ อยากได้มากกว่านี้ก็ทำอะไรไม่ได้ โมโหไปก็จุดไฟเผาตัว รู้ไหมว่าคนโกรธมากๆ หนีไม่พ้นนรกโลกันต์นะ อยากลงนรกไหม แปลร้อนให้เป็นเย็น (อยากเลิกน้อยใจ)  ทำไมน้อยใจเพราะชอบเปรียบเทียบใช่ไหม (ใช่)  การน้อยใจคือการที่เรามองตัวเองไม่มีคุณค่า ลองดูดีๆ เราไม่มีคุณค่าอย่างที่เขาว่าไหม เห็นคุณค่าของตัวเองเราจะไม่มีวันน้อยใจ ใช่หรือเปล่า
ตอนนี้รู้หรือยัง เพราะเราเอาชีวิตทั้งชีวิตไปอยู่กับลูกถูกไหม อาจารย์ถามหน่อยนะถ้าวันหนึ่งต้องตาย ศิษย์ห่วงแค่ไหนศิษย์ก็ยังต้องวาง ใช่หรือไม่ บุญ กรรม ของศิษย์ถ้ายังไม่พอต้องกลับมาเป็นสุนัขรับใช้ ลูกหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นแค่ตอนนี้เราแค่วางตัวเองให้ถูกต้องและดีงาม ส่วนลูกจะทำอย่างไรกล้ายอมรับความจริง ก็ทำได้แค่นี้นะศิษย์เอ๋ย เชื่ออาจารย์เถอะห่วงแค่ไหน  ดื้อมากมันเป็นกรรมของเรานะ ทำตัวให้ดีและถูกต้อง เดี๋ยววันนี้ไม่ได้  เดี๋ยววันหน้าก็ได้  หรือถ้าเราพูดไม่ได้ก็ให้คนอื่นช่วยพูด  ความน้อยใจอย่าให้ตัวเองทำอะไรผิดบาปนะ หน้าสงสารหัวอกพ่อแม่ เจอลูกดื้อทำอย่างไรทำอะไรไม่ได้  ได้แต่ก้มหน้ายอมรับความจริงใช่ไหม  เหมือนกันเวลาอาจารย์เจอศิษย์ดื้อให้ทำดีทำไหม (ไม่ทำ)  หัวอกอาจารย์ก็หัวอกเดียวกับศิษย์นั่นแหละ ให้ศิษย์ทำดี ศิษย์ทำไหม (ทำ)  ทำหรือ สามวันดีสี่วันไข้ต่างหาก ศิษย์เอ๋ยอาจารย์ก็รู้ ลูกใคร  ใครก็รัก  อาจารย์ถามจริงๆ เราทำได้ดีหรือยัง  เราเอาแต่บ่น เราเคยสอน เคยมีคุณธรรมให้ลูกเห็นบ้างไหม แทบจะไม่ค่อยมี  วันๆ เอาแต่ให้เงินไม่เคยสอนไม่เคยอะไร เคยกอดลูกไหม เคยบอกรักลูกไหม  หลังจากนี้กลับไปบอกรักลูก แล้วสอนลูกให้ดี  สอนด้วยการทำตัวเองให้ลูกเห็น แม่รักลูกนะ  ลูกจะเป็นอย่างไรแม่ก็รัก จะดีจะชั่วแม่ก็รัก จะเลวอย่างไรแม่ก็รัก ดูสิเขาจะเลวได้กี่น้ำ
อาจารย์พูดอย่างนี้จริง เพราะอาจารย์ก็ใช้อย่างนี้กับศิษย์ จะดีจะชั่วอย่างไรอาจารย์ก็รัก อาจารย์ก็ให้อภัย จะดีจะชั่วอย่างไรกลับมาหาแม่ แม่ให้โอกาสเสมอ แต่อย่าสอนลูกแค่ให้เงิน สอนเขาด้วยคำพูดดีๆ สอนด้วยท่าทีที่เรารัก มนุษย์ทุกคนใจเย็นอยู่แล้วจนกว่ามีอะไรมากระทบกระทั่ง พออะไรมากระทบขัดใจหน่อยก็ตวาดออกมา ฉะนั้นก่อนที่จะตวาดออกไป สติต้องนิ่ง มีสติอยู่กับลมหายใจ เมื่อไหร่ที่อารมณ์ร้อนแปลว่าหัวใจเราจะเต้นเร็ว และหายใจเข้า จะสั้นไม่ยาว
เราอยากให้อภัยคนอื่น แต่คนอื่นไม่ให้อภัยเรา อาจารย์อยากบอกศิษย์นะว่า เรื่องราวบางเรื่องบางทีต้องใช้ความอดทน เพราะว่าเราไม่รู้ว่ากรรมเก่าเราทำอะไรมา และไม่รู้ว่าเราทำมากแค่ไหน ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากจะแก้ไขเปลี่ยนชะตากรรม ก็แค่ยอมรับในสิ่งที่เป็นและอดทนตั้งมั่นกับความดีอย่างไม่ย่อท้อ สักวันหนึ่งเขาจะเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าเขาไม่เปลี่ยนแปลงก็จงสู้จนสุดลมหายใจ ศิษย์เคยได้ยินคำว่า คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ไหม (เคย)  หมายถึงว่าแม้ตกน้ำแล้วชีวิตจะดับหายไปกับสายธารแต่ความมุ่งมั่น แต่ความดี ไม่เปลี่ยนแปลง แม้โดนไฟไหม้โดนใครว่าโดนใครทิ่มแทงโดนใครแผดเผา แม้ตัวจะเจ็บขนาดไหนแต่ความมุ่งมั่นในการทำความดีไม่สูญสลาย นี่เหละที่เรียกว่าคนดีจริง ตกน้ำใจก็ไม่หายไปกับน้ำ ถูกไฟเผาใจก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงมุ่งมั่นในการเป็นคนดี
(ทำดีไม่ได้ดี)  แล้วเราทำดีหวังผลไหม ความโกรธทำไมรักษายากมาก ที่มันรักษายากก็เพราะว่าเวลาศิษย์มีชีวิตอยู่ตลอดตั้งแต่เกิดจนโตศิษย์ไม่เคยควบคุมใจ ทุกสิ่งทุกอย่างทำตามใจตลอด ใจอยากอะไรก็ปล่อยไปอย่างนั้น ฉะนั้นวันหนึ่งจะให้ไม่โกรธ มันข่มยากมันเหนื่อย แต่อาจารย์อยากบอกว่า ไม่ใช่ว่ามันข่มไม่ได้ ขอเพียงเข้าใจว่าคนที่ศิษย์เกลียดก็มีดี เรากำลังเปรียบเทียบอะไร คนที่ศิษย์ไม่ชอบเขาก็ไม่ใช่ว่าจะร้าย มันก็มีสิ่งที่น่ารักอยู่แต่เรายึดติดกับอะไร ถูกไหม อย่าเห็นอยู่กับสิ่งที่เราเห็นแต่จงเปิดใจให้กว้างนะ
(ความอาฆาตเมื่อเขามาทำร้ายเราแล้วเราจองเวร)  ฉะนั้นคนที่จะดึงตัวเองให้พ้นทุกข์ได้คือใคร (คือตัวเราเอง)  ฉะนั้นเปลี่ยนบาปให้เป็นบุญเปลี่ยนบุญให้เป็นกุศลจะได้นำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์นะ คิดดีขึ้นสวรรค์คิดชั่วตกนรก ปล่อยวางความรู้สึกจึงพ้นทุกข์
(การให้อภัยกับคนที่มาทำร้ายบิดาของเรา แล้วถ้าเราไม่ให้อภัยเขาเราจะได้นิพพานไหม) ในโลกนี้สิ่งที่หนีไม่พ้น พระพุทธะเคยกล่าวไว้ว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์และเป็นผู้รับกรรมอย่างหนีไม่พ้น เวรย่อมระงับได้ด้วยการไม่จองเวร  แล้วศิษย์อยากให้กรรมมันจบหรือกรรมไม่จบ แค่เข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต ไม่ต้องอภัยก็ได้แต่แค่เข้าใจ ศิษย์รู้ไหมว่าเมื่อก่อนศิษย์ทำอะไรเขามา ศิษย์รู้ไหมว่าเมื่อก่อนพ่อเราทำอะไรมา แล้วถ้าหากพ่อเราไปทำพ่อเขามาก่อน แบบนี้คือการได้ใช้คืน ทำไมไม่ดีล่ะที่กรรมจะได้จบ แล้วเราจะเกี่ยวกรรมเพิ่มทำไมศิษย์ จริงไหม คิดให้ดีๆ ลองมีสติไตร่ตรองให้ดี
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า อย่าเปรียบเทียบ”)
มนุษย์เราบางครั้งที่ทุกข์ก็เพราะว่ามัวจมอยู่กับสิ่งที่เป็นอดีตจนลืม มองปัจจุบัน หรืออยู่กับปัจจุบันจนลืมมองความเป็นจริงว่าเราทำได้แค่ไหน ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากไม่ทุกข์จงอย่าเปรียบเทียบจนเกินไป จงอยู่กับความเป็นจริงและยอมรับว่าในโลกใบนี้มีใครได้ดั่งใจบ้าง (ไม่มี)
ตัวศิษย์เองยังทำไม่ได้ดั่งใจ บอกอย่าโมโหก็ (โมโห)  อย่าด่าเขาก็ (ด่า)  แล้วศิษย์อย่าเอาความคาดหวังนี้ไปใส่กับลูก ทั้งที่ตัวเองยังทำไม่ได้ ฉะนั้นการฝึกฝนบำเพ็ญสิ่งที่สำคัญคือ ตัวเราเองทำให้ได้ดีก่อน อย่าเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับใคร หรืออย่าเอาตัวลูกเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ยอมรับความเป็นจริงที่มันเกิดขึ้น มองอย่างเป็นธรรม มองอย่างบังเกิดธรรม อย่ามองอย่างคนที่ติดยึดในความรู้สึกแห่งตัวตน ไม่อย่างนั้นจะหนีไม่พ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
 “เปรียบเทียบเพราะมีอยากได้อยู่ในใจ        หวังจนไม่มองความจริงที่เกิดขึ้น
ต้องดีกว่าเหนือกว่าอย่างเมามึน                 มีแบ่งแยกยึดติดขึ้นยากฟังใคร
ส่วนใหญ่คนต่างไม่ชอบถูกเปรียบเปรย      อย่าชินเคยพูดเรื่อยเปื่อยกันไปใหญ่
มองตามจริงกล้ายอมรับความเป็นไป         ไม่มีอะไรเกินไม่หากใจกว้างพอ
มีใครแย่เกินไปไหม มีใครเลวเกินไปไหม (ไม่มี)  ถ้าใจศิษย์กว้างพอ ไม่มีใครแย่เกินไป ถ้าศิษย์ใจยิ่งใหญ่พอ ไม่มีใครเลวร้ายเกินไปหรอก แต่เพราะใจของมนุษย์ยึดติดคับแคบ จึงมีคนชอบ มีคนชัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราไม่ยึดติด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็ล้วนเป็นสภาวธรรมให้เราเรียนรู้แค่นั้นเอง ใช่ไหม (ใช่)
การศึกษาปฏิบัติธรรมสิ่งสำคัญไม่ใช่อยู่แค่การเป็นคนดีแล้วว่าคนอื่นไม่ดี แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่ารู้ตัวเองไหมว่า คิด พูด ทำอะไร เพราะถ้ารู้ตัวเองก็หยุดตัวเองได้ แต่ถ้าไม่รู้ตัวเอง ตัวเองนั่นแหละจะเป็นต้นเหตุให้เราทุกข์กับสิ่งที่ไม่น่าทุกข์ เพราะใจเราแค่ไม่ชอบ ถูกไหม หรือแค่คำว่าไม่พอใจ แค่นั้นนะศิษย์ อะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด แต่ถ้าใจเรารู้สึกว่า นั่นก็ดี แค่นี้ก็ดี เท่านั้นก็พอแม้เขาไม่ดีอย่างไร เราก็สุขใจได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งมวล มันไม่ใช่อยู่ที่คนอื่นแต่มันอยู่ที่ใจเรายอมรับความเป็นจริงแห่งคนหรือไม่ เห็นคนเป็นธรรมเราก็ได้ธรรม แต่ถ้าเห็นคนเป็นกิเลส อารมณ์ เราก็ได้กิเลส อารมณ์ ซึ่งเท่ากับว่าเราไม่ได้บำเพ็ญอะไร จริงไหม (จริง)
อย่าฟังมามาก แต่พอถึงเวลาทำไม่ได้เพราะไม่รู้เท่าทันใจตน อย่ารู้มากแต่ถึงเวลาปฏิบัติไม่เป็นเพราะขาดสติยั้งคิด เมื่อโดนกระทบ นิ่งเป็นบ้างไหม ทำอย่างไรให้นิ่งได้ ก็หยุดพูดแล้วหันกลับมามองตัวเองว่าถูกไหม เพราะเราถนัดแต่มองออก จับผิดเขา ว่าเขา ถ้าตัวเองดีอะไรมันก็ดี ถ้าตัวเองไม่ดี คนดีๆ ยังมองเป็นคนร้ายจริงไหม (จริง)  อาจารย์ไม่ได้ว่าแต่อาจารย์พูดตามความเป็นจริง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
อาจารย์ถามง่ายๆ อย่างพระพุทธองค์ ก่อนท่านจะพ้นทุกข์ตรัสรู้ มีมาร 3 ตัวมาขัดขวางไม่ให้ท่านพ้นทุกข์และเข้าถึงพระนิพพาน มาร 3 ตัวนั้น ไม่ได้เป็นตัวชั่วร้ายอะไรเลย หนึ่งคือตัวตัณหา สองคือตัวราคะ สามคือตัวอรติ ตัณหาคือความอยาก ราคะคือความพอใจ อรติคือความไม่พอใจ มองให้ดีๆ สามตัวนี้เป็นตัวตัดทางพ้นทุกข์ ตัดทางเข้าถึงพระนิพพาน แล้วมีอยู่ในใจของเราทุกคน ถ้ามีเมื่อไหร่ไม่มีวันพ้นทุกข์ ไม่มีวันเข้าถึงพระนิพพาน นิพพานไม่ได้อยู่ที่ข้างนอก นิพพานอยู่ที่ตัวเรา โดนกระทบ นิ่งแล้วเย็นไหม ถ้าโดนกระทบแล้วยังนิ่งเย็นไม่ได้ ยังแตกออกเป็นชอบ ชัง ใช่ ไม่ใช่ นั่นไม่ใช่สภาวธรรม เมื่อมีชัง จึงมีเกลียด มีโลภ มีโกรธ มีหลง จึงต้องทำบุญ รักษาศีล ทั้งที่คำตอบที่แท้จริงพระพุทธะไม่ได้ไปถามใคร พระพุทธองค์ที่ศิษย์นับถือ ที่ศิษย์เคารพกราบไหว้ ท่านหาอาจารย์ พอหาที่สุดแล้วท่านก็ต้องมาตอบด้วยตัวเองใช่หรือไม่ เพราะคนที่จะตอบคำถามของศิษย์ได้ดีและนำพาให้ตัวศิษย์พ้นทุกข์คือตัวของศิษย์เอง ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นอย่ามัวแต่สงสัยอาจารย์ แต่ลืมสงสัยตัวเอง เพราะอาจารย์รู้ทางพ้นทุกข์ แต่ศิษย์ยังไม่พ้นทุกข์ถูกไหม (ถูก)  มนุษย์ยังยึดติดว่า ฉันแน่ ฉันเก่ง เธอเก่งขนาดไหน เธอดีขนาดไหนถึงมาสอนฉัน อาจารย์รู้ว่ามาแล้ว เดี๋ยวอาจารย์จะกลับแล้ว แล้วกลับของอาจารย์เป็นกลับที่พ้นทุกข์จริงๆ ไม่ใช่กลับที่ยึดมั่นถือมั่นในความคิดตน จนลืมมองความจริง ฉะนั้นศิษย์คิดให้ดีๆ ไตร่ตรองให้ดีๆ ว่าวันนี้มาศึกษาธรรม ได้ธรรมบ้างไหม หรือมาศึกษาธรรมเพื่อมานั่งหลับ น่าเสียดายถ้ามาแล้วมานั่งสงสัย มาแล้วมานั่งรำคาญมันไม่ได้บุญมีแต่บาป จริงไหม (จริง)  จริงๆ อาจารย์ก็ทั้งอยากมาและไม่อยากมา เพราะอาจารย์รู้ว่าเป็นธรรมดาที่สองวันจะปลูกต้นธรรมให้โตมันเป็นไปไม่ได้  แต่หวังว่าสองวันจะก่อเกิดหน่อเมล็ดพันธุ์ที่ดี   เพื่อสักวันหนึ่งจะเติบโตและเป็นคนดีที่นำพาตัวเองพ้นทุกข์ได้ก็พอ ฉะนั้นคิดให้ดีๆ นะ ว่าวันนี้มาฟังธรรมเพื่อเข้าถึงธรรมหรือมาฟังธรรมแล้วยังยึดมั่นถือมั่นในตัวตน อย่ามองอาจารย์เลยมองตัวเองดีกว่า เมื่อไรที่มนุษย์ยังยึดมั่นถือมั่นในตัวตนก็หนีไม่พ้นกรรมและการเวียนว่าย แต่ถ้าเมื่อไรเข้าถึงสภาวะความเป็นจริงแห่งธรรมว่าทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ไม่ต้องพยายามไปปล่อยอะไร เพราะทุกสิ่งมันเกิดและดับอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่เรามักจะหลงยึดหลงถือโดยขาดสติเท่านั้นเอง จริงไหม (จริง)  อย่าลืมนะอนิจจังมันทำให้ทุกข์เกิด เดี๋ยวอนิจจังมันก็ทำให้ทุกข์ดับ หน้าที่ของเราไม่ใช่แค่พยายามไปดับทุกข์ แต่หน้าที่ของเราแค่มีสติรู้ตนและมองเห็นทุกข์ให้เข้าใจ แล้วจะได้ไม่ต้องกลับมาทุกข์อีก เพราะทุกข์คือสิ่งที่ทนได้ยาก แล้วทำไมต้องไปทนมันทนได้ยากอยู่แล้ว ไม่ต้องทำอะไรเดี๋ยวทุกข์ก็หายไป ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นแค่เรากล้ายอมรับความจริงทุกข์ก็ทุกข์สิ ไม่เห็นเป็นไรเลย รู้จักทุกข์แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์ มีกิเลสแต่ไม่จำเป็นต้องตกเป็นทาสของกิเลส ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีโอกาสกลับมาผูกบุญกันอีกนะ มีโอกาสกลับมาร่วมบุญกันอีกนะ ขออย่าได้ไปแล้วไปลับเลยนะ มีคำมากมายอยากเอื้อนเอ่ย มีคำมากมายอยากหนุนนำให้ศิษย์ได้เข้าใจและได้รู้ตื่น ถ้าศิษย์ยังไม่รู้จักเชื่อมั่นในความดีงามของตัวเอง แล้วมัวแต่คลางแคลงสงสัยอาจารย์จี้กงใช่หรือไม่ ฉะนั้นมีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ อย่าคิดว่ามาหลอกเลยนะ รักษาบุญรักษาโอกาสตัวเองให้ดีนะศิษย์เอ๋ย ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี มีใครอยากจับมือลาอาจารย์ไหม กลับมาผูกบุญกันอีกนะศิษย์เอ๋ย 
มีโอกาสกลับมาร่วมบุญกันอีกนะศิษยเอ๋ย ขอให้บุญรักษา ขอให้รู้จักมีศีลมีธรรม ขอให้รู้จักยับยั้งชั่งใจ อย่าเอาแต่อารมณ์ ขอให้รู้จักมีสติยั้งคิด ทำอะไรไตร่ตรองให้ดี ใช่ไหมศิษย์ อาจารย์ไปแล้วนะ ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี จับมือแปลว่าจะกลับมาอีกนะ ใช่ไหม ศึกษาบำเพ็ญเพื่อนำพาตัวเองให้พ้นทุกข์ ศึกษาบำเพ็ญไม่ใช่หลงทาง ศึกษาบำเพ็ญไม่ใช่หลงรูป มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะศิษย์เอ๋ย อยากให้อาจารย์ตบหัวจะได้หายโรคหายภัยหรือ อย่าคิดมาก อย่าฟุ้งซ่านเข้าใจไหม ศิษย์เอ๋ยให้ศรัทธาในความดีงามไม่ใช่ให้งมงาย
อาจารย์ขอพูดอะไรหน่อยนะ ศิษย์เอ๋ย ใครๆ ก็ต้องตาย ใครๆ ก็ต้องเจ็บ ไม่ใช่ว่าอาจารย์ตบหัวแล้วศิษย์จะไม่เจ็บไม่ตายนะศิษย์เอ๋ย มันหนีไม่พ้นนะศิษย์ ความเจ็บความตายกลับสอนให้เรารู้จักปลดปลงชีวิต สอนให้เรารู้ว่าชีวิตนี้ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นแล้วหลงจนเกินไป สอนให้เราเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต ฉะนั้นอย่าคิดว่าตบหัวแล้วจะไม่เจ็บไม่ป่วย อาจารย์กลับแล้วจะหายโรคหายภัย อย่าหลอกตัวเองนะศิษย์เอ๋ย เพราะพุทธะทุกพระองค์ก็ล้วนต้องตายล้วนต้องเจ็บ แต่สิ่งที่ท่านทำมากกว่าเจ็บและตายนั่นคือท่านสามารถตายก่อนตาย ดับการเกิดที่ไม่ต้องทำให้ตัวท่านเวียนว่าย และนำพาหนทางนั้นมาปรกโปรดเวไนยให้พ้นทุกข์ ไม่ใช่ว่าเข้าถึงหนทางธรรมแล้วจะไม่เกิดไม่ตายไม่เจ็บไม่ป่วย ยังต้องเจ็บยังต้องป่วยยังต้องตาย แต่เจ็บป่วยตายอย่างคนที่มีสติเข้าใจ ไม่ยึดติดไม่ทุรนทุราย แล้วแต่ศิษย์
กลับมาอีกนะ ขอให้ศิษย์คิดให้ดีๆ ไม่ใช่ตบหัวแล้วจะหายโรคหายภัย อาจารย์ไม่ได้ทำให้ศิษย์งมงายอย่างนั้นนะ โรคเกิดจากปากถ้ากินอะไรตามใจปาก ไม่รักสุขภาพเอาแต่ตามใจตัวเอง พอถึงเวลาจะฝืนตัวเองก็ทำไม่ได้ โรคเลยรุมเร้า ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นต้องรู้จักควบคุมตัวเองนะ ไปแล้วนะศิษย์เอ๋ย


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท อย่าเปรียบเทียบ
     เปรียบเทียบเพราะมีอยากได้อยู่ในใจ
หวังจนไม่มองความจริงที่เกิดขึ้น
ต้องดีกว่าเหนือกว่าอย่างเมามึน                
มีแบ่งแยกยึดติดขึ้นยากฟังใคร
ส่วนใหญ่คนต่างไม่ชอบถูกเปรียบเปรย      
อย่าชินเคยพูดเรื่อยเปื่อยกันไปใหญ่
มองตามจริงกล้ายอมรับความเป็นไป         
ไม่มีอะไรเกินไม่หากใจกว้างพอ


                พระอาจารย์เมตตาแก้ไขเพลงพระโอวาทที่สถานธรรมจินจง จังหวัดพิจิตร เมื่อวันที่ 27-29 มิถุนายน 2558
แก้ไขเพลงหน้า 12  ย่อหน้าแรก
จาก            ชีวิตเพรียกหา  เรื่องสมหวังมีสุดตา  ไม่ได้มาเพื่อเป็นของเรา  คนหลงไม่เว้นศุกร์เสาร์  ยิ่งคิดยิ่งเศร้า  ฟ้าแจ้งฟ้าเทาหนึ่งเดียวกัน
แก้เป็น        ชีวิตเพรียกหา  เรื่องสมหวังมีสุดตา  ไม่ได้มาเพื่อเป็นของเรา  คนหลงไม่เว้นศุกร์เสาร์  ยิ่งคิดยิ่งเศร้า  ฟ้าแจ้งฟ้าเทาผืนเดียว

อ่านต่อ...

วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

2558-07-12 สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา (ชิงโข่ว)

西元二一五年歲次乙未五月二十七日                                             仙佛慈悲訓
วันอาทิตย์ที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๘                   สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา

  พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  บำเพ็ญจนลมหายใจเฮือกสุดท้าย     ตราบวันตายดินกลบหน้ามิแปรเปลี่ยน
มุ่งมั่นจนถึงที่สุดด้วยพากเพียร          เป็นดั่งเทียนหลอมละลายเป็นแสงธรรม
                                เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา  ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                            ถามศิษย์รักของอาจารย์มุ่งมั่นจนถึงที่สุดไหม

   อย่าลวงฟ้าบิดเบือนปณิธานตน        อย่าฉ้อฉลตระบัดสัตย์บาปกรรมยิ่ง
ใจมุ่งมั่นกลับเลือนหายอยากจะทิ้ง       ห้วงเหวลึกดำดิ่งคือโทษทัณฑ์
จิตศรัทธากอปรเมตตาอันสูงส่ง          พอเนิ่นนานกลับลดลงและแปรผัน
ปณิธานกลับทอดทิ้งเหยียบย่ำกัน        อย่าล้อเล่นนั้นวิบากกรรมชีวิตตน
แค่ความตายก็ลนลานตระบัดสัตย์       แค่โรคร้ายมาขัดก็สับสน
แค่เคราะห์กรรมมาขวางก็เวียนวน       ถึงถูกฝนหล่อหลอมอย่าสิ้นความดี
จะเพื่อตนหรือเพื่อชนพลีอุทิศ            จะทำผิดหรือบำเพ็ญบุญบาปชี้
จะเมตตาหรือหลงโลภโกรธมากมี        จะแค่ดีหรือให้ถึงที่สุดทำ

                                                ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

          อาจารย์ว่าจะไม่มาแล้วนะ เพราะอาจารย์อยากจะให้ศิษย์เข้มแข็ง และยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง  ศิษย์ทุกคนมีจิตศรัทธา  มีจิตมุ่งมั่น  แล้วก็มีปณิธานที่เป็นตัวหลักยึดถือใช่หรือไม่  (ใช่)   ถ้าศิษย์มีหลักที่ยึดถือมั่นคง  มีจิตมุ่งมั่นศรัทธาหนักแน่นไม่แปรเปลี่ยน  ฉะนั้นศิษย์ไม่ต้องหวังรอพึ่งอาจารย์ให้ช่วยแล้ว แต่ศิษย์ต้องเป็นที่พึ่งของตัวเอง มีหลักยึด มีจุดยืน ว่าเรามีชีวิตไม่ใช่แค่เพื่อชีวิต แต่เรามีชีวิตเพื่อเข้าถึงธรรม เพื่อกลับสู่สภาวธรรมอันเดิมแท้ เช่นนั้นอาจารย์ขอหยั่งคำถาม  คำถามหนึ่งเพื่อตรวจสอบจิตใจศิษย์  อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์เสียเวลามากนะ ทุกนาทีเป็นการฝึกฝนเรียนรู้ และชั่วโมงสุดท้ายก็เป็นชั่วโมงสำคัญที่ได้ตอบคำถามที่ศิษย์มีความสงสัยอยากรู้อะไรมากมาย
          อาจารย์ถามคำถามหนึ่ง “กลัวตายไหม” (ไม่กลัว)  ทำไมถึงไม่กลัวตาย (เพราะอย่างไรคนเราก็ตาย, ตายทุกคน, เตรียมตายก่อนตาย, ไม่เกินร้อยปีทุกคนก็ต้องตาย)  เพราะบำเพ็ญยังไม่สำเร็จเลยกลัวตายหรือ ยังบำเพ็ญไม่ดีเลยกลัวหรือ ทำไมอาจารย์ถามคำถามนี้  เพราะว่าศิษย์หลายต่อหลายคน เมื่อถึงคราวป่วย เป็นโรค มีเคราะห์กรรม หมอสั่งคำเดียวว่าถ้าอยากหาย อยากรอด ให้ไปกินเนื้อสัตว์ แล้วศิษย์กินไหม (ไม่กิน)  แน่นะ ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะ สิ่งที่สำคัญที่สุด คือมนุษย์ประเสริฐที่ธรรม  เพราะมงคลสูงสุดแห่งชีวิตการเป็นคน คือ สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม มงคลสูงสุดของความเป็นคนที่ประเสริฐ คือ ยอมสละชีวิตเพื่อรักษาซึ่งคุณธรรม  และคุณธรรมนั้นเป็นคุณธรรมที่ตัวศิษย์เองทุกคนตั้งสัตย์  ไว้ว่าจะทำให้ได้ และทำให้ถึงที่สุด  ฉะนั้นถ้าเจอข้อทดสอบว่าไม่กินเนื้อสัตว์แล้วจะตาย ศิษย์จะกินเขาไหม ถ้าโดนเคราะห์กรรมเข้ามาแล้วจะพลาดผิดไหม
อาจารย์บอกไว้อีกอย่างหนึ่งนะ ถ้าใครที่กินเจคนเดียวในบ้าน จงเป็นคนที่เลี้ยงง่าย อย่าเรื่องมาก และจงทำตัวให้เป็นที่รักของคนในบ้าน อย่าเป็นคนจู้จี้จุกจิก ไม่อย่างนั้นเวลาตอนที่เรากินเจแล้ว เขาเกิดรำคาญขึ้นมา แล้วเอาอาหารเนื้อสัตว์ยัดเข้าปาก แล้วเราจะเป็นอย่างไร และยิ่งถ้าใครเป็นพ่อแม่พี่น้อง พูดให้ที่บ้านเข้าใจไว้เลย อยากให้หนูได้ถึงที่สุดของความดีที่หนูตั้งเป้าหมายไว้ไหม อยากให้แม่ถึงที่สุดของความดีที่แม่ตั้งความมุ่งหมายไหม อยากให้แม่ได้เป็นพุทธะไหม อยากให้แม่ได้ฝึกฝนการเป็นพุทธะถึงที่สุดไหม ถ้าลูกอยากให้แม่เป็น ไม่ว่าแม่จะเจ็บป่วยอย่างไร จำไว้นะลูก ต้องให้แม่กินเจจนลมหายใจสุดท้าย ต้องบอกให้ลูกรู้ไว้ บอกให้คนในครอบครัวรู้ไว้ ตายไปก็ไม่ต้องห่วง ป่วยก็ไม่ต้องห่วง เพราะศิษย์ทำดีจนถึงที่สุดแล้ว ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นอย่ากลัวตาย อย่ากลัวทุกข์ เพราะมนุษย์ประเสริฐที่คุณธรรม มงคลสูงสุดของการเป็นคนก็คือ ยอมทิ้งชีวิตได้เพื่อรักษาธรรม   เพราะธรรมมีค่าใหญ่กว่าสังขาร  เพราะธรรมมีคุณค่าหนักแน่น    ยิ่งกว่าการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ฉะนั้นถ้าอยากจะเดินหนทางนี้ก็ต้องทำให้ถึงที่สุด



          อาจารย์จะพยายามรีบมารีบไป เดี๋ยวจะให้โอกาสศิษย์ได้ถามตอบกับอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมดีไหม (ดี)  มีคำถามมากมายในหัวใจใช่หรือไม่  บางทีบางคำถามไม่ต้องรอคนอื่นตอบ ถามจิตใจตัวเราเอง เรามุ่งมั่นบำเพ็ญสิ่งสำคัญคืออะไร เรามุ่งมั่นบำเพ็ญสิ่งที่สำคัญ คือ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน สิ่งใดที่กระทำแล้วกลายเป็นกิเลส กลายเป็นบาป กลายเป็นกรรม เราอย่ากระทำดีกว่าไหม ฉะนั้นถ้าเกิดทำไปแล้วก่อเกิดเป็นกรรม ทำไปแล้วก่อเกิดเป็นกิเลส ทำไปแล้วก่อเกิดเป็นความยึดมั่นถือมั่นหลงผิด ก่อเกิดเป็นอวิชชาหลงถือมั่นยึดมั่นในตัวตน อย่างนั้นคิดให้ดี ไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะทำลงไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนแม้กระทั่งยึดตัวอาจารย์ ถ้ายึดแล้วต้องเจออาจารย์ทุกครั้ง อาจารย์ก็ไม่อยากมา เพราะถ้ามาเจออาจารย์แล้วศิษย์ยึด   มาแล้วศิษย์หลงอย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง  ไม่ยึดอาจารย์ ได้ไหม ไม่เจออาจารย์ก็เข้มแข็งได้ใช่ไหม ไม่เจออาจารย์ ก็มุ่งมั่นได้ใช่ไหม แม้เจ็บป่วย ก็ไม่เรียกอาจารย์ใช่ไหม แม้ท้อแม้ทุกข์ ก็ไม่เรียกอาจารย์ช่วยได้ไหม
เริ่มต้นเข้าใจทำให้ได้นะ จำที่อาจารย์พูดได้ไหม อาจารย์บอกว่ามนุษย์ประเสริฐที่คุณธรรม ฉะนั้นอุดมคติสูงสุดของการเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐก็คือ ชีวิตก็สละได้เพื่อรักษาซึ่งคุณธรรม และคุณธรรมที่ศิษย์ตั้งคือ ตราบจนตัวตายก็จะไม่ผิดต่อปณิธานที่ตัวเองตั้งไว้  และคุณธรรมที่ศิษย์ตั้งไว้ หรือปณิธานที่ศิษย์ตั้งไว้มีคุณธรรมที่สูงส่งนั่นคือความเมตตาถูกไหม  แต่ก็มีบางคนบอกว่า “อาจารย์ศิษย์แย่แล้ว บางทีมันต้องกินเนื้อสัตว์นิดหน่อย ต้องมีนิดหน่อยผสมไปบ้าง ไม่เห็นเป็นไรเลยอาจารย์”  ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามศิษย์นะต่อเคราะห์กรรม ความเจ็บปวดของเขา เรายืนมองแล้วบอกว่า เธออดทนหน่อยนะ ไม่เป็นไร ฉันหาย เดี๋ยวฉันทำบุญคืนให้   มันถูกต้องไหม   นี่หรือคนที่จะเป็นว่าที่พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นี่หรือคนที่มีเมตตาจิตในใจ  ฉะนั้นต่อความเจ็บปวด   ต่อเคราะห์กรรมของเขา เรายืนดูเฉยๆ  แล้วบอกว่าแกต้องเสียสละชีวิตให้ฉัน ได้หรือ (ไม่ได้)  เราก็รักชีวิต เขาก็รักชีวิต   ฉะนั้นต่อเคราะห์กรรม   ต่อความทุกข์ยากของคนอื่น   เราจะไม่นิ่ง ดูดาย เราจะไม่ยืนเฉย แต่เราจะพยายามช่วยเขาให้พ้นทุกข์ โดยที่แม้แต่ตัวเองทุกข์ก็ไม่เป็นไร
พระพุทธะยอมถึงขนาดไหนรู้ไหมศิษย์ หัวใจของพุทธะที่ถือธรรมเป็นที่หนึ่ง  ถือธรรมเป็นที่ตั้งมากกว่าความเป็นตัวตน  มากกว่าอารมณ์ความรู้สึก ก็คือ แม้ตัวเองทุกข์ ทุกข์จนกระทั่งตัวเองถูกเขาเฉือนเนื้อ แล่เนื้อเป็นชิ้นๆ  ทำให้เจ็บ ทำให้ปวด ขนาดไหน ท่านยังเอาความทุกข์นั้นมาแปรเปลี่ยนเป็นความเบิกบาน และสามารถแผ่เมตตาจิตอันยิ่งใหญ่ให้กับเขาได้ นั่นแหละที่สุดของคำว่าเข้าถึงหัวใจพุทธะ ต่อให้ โดนด่า โดนเคราะห์กรรม  โดนทำร้าย โดนเบียดเบียน ในหัวใจขณะนั้น ท่านกลับเกิดความเบิกบาน ไม่โกรธ ดีใจที่ได้ชำระหนี้บาปเวรกรรมในอดีต และได้เปิดหัวใจอันเมตตาที่ยิ่งใหญ่ให้กับเขา  อย่าเป็นคนที่บำเพ็ญแล้วยังเป็นคน อย่าเป็นคนที่บำเพ็ญแล้วได้แค่ใจของความเป็นคน แค่นั้นไม่พอ เราต้องเข้าถึงหัวใจของพุทธะที่เจริญรอยคุณธรรมที่สูงที่สุด ศิษย์อย่าเป็นแค่คนดี แค่นั้นอาจารย์ไม่เอา ศิษย์ต้องดีให้ถึงที่สุด ใครจะร้าย ใครจะยังไง คิดแต่ว่า ดี ฉันได้ใช้กรรม ดี ฉันได้จบกรรม ดี ฉันจะได้ทิ้งความเป็นตัวตนให้กับเขาไป ให้เหลือแต่คุณธรรมในใจ ให้เหลือแต่ความเมตตางดงามในใจ แม้ใครมาทำให้เราเจ็บที่สุด แม้ใครจะมาด่าเราให้ปวดที่สุด แต่เราสามารถแปรเปลี่ยนความรู้สึกของความเป็นคนให้เป็นหัวใจแห่งพุทธะที่เมตตาได้ เบิกบานได้ เข้มแข็งได้ ไม่จองเวรจองกรรมได้ ไม่เป็นคนช่างจดช่างจำ ไม่เป็นคนถือโทษ ไม่เป็นคนมักโกรธ เป็นคนที่มีแต่ให้ ให้ได้แม้หัวใจแห่งความเป็นคน ให้แล้วเหลือแต่ความเป็นพุทธะ เหลือแต่ความเป็นธรรม ให้ไปเลยศิษย์ กลัวทำไม กายเจ็บแล้วมันก็ตาย แต่การเข้าถึงธรรม ไม่มีเจ็บ ไม่ต้องตาย ไม่ต้องทุกข์ เพราะเมื่อศิษย์เข้าถึงภาวะที่ทุกข์ที่สุดแล้ว และศิษย์สามารถแปรเปลี่ยนทุกข์ที่สุดให้กลายเป็นความเบิกบาน และเมตตาที่ยิ่งใหญ่ได้  ทำให้ถึงนะศิษย์ อย่าแค่ฟัง ทำไมฟังมาเป็นปี ฟังมาเป็นสิบๆ ปี ทำไมเราได้แค่ฟัง แต่ไม่เคยเข้าถึงธรรมสักที เพราะอะไร เพราะเราไม่เคยลงแรงที่ใจเรา อาจารย์รู้ว่าศิษย์เก่งในการอุทิศเสียสละเวลาช่วยคน  แต่ใจนี้เคยลงแรงบ้างไหม  เคยขูด  เคยขัดเกลา เคยทิ้งความเป็นตัวตนบ้างไหม เคยทิ้งนิสัยบ้างไหม
ฉะนั้นเคราะห์ภัย ความทุกข์ ความเจ็บปวด ไม่ใช่เรื่องโหดร้าย ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว  ไม่ใช่อุปสรรค  อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้อยู่ที่คนอื่น  ไม่ได้อยู่ที่เจ้ากรรมนายเวร แต่อยู่ที่หัวใจเราเอง รับได้ไหม ถ้ารับได้อุปสรรคก็เป็นบารมีหนุนให้เราสูงขึ้น รับไม่ได้อุปสรรคมันก็ดึงใจให้ศิษย์ตกต่ำลง และอยู่ในกรงขังแห่งความเป็นคนไปตลอดตราบจนลมหายใจสุดท้าย เมื่อตายไปแล้วก็หนีไม่พ้นเวียนว่ายตายเกิด เพราะยังยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ทำไมพระพุทธะจึงสอนว่า ให้รู้จักไม่ครองเรือน ไม่บริโภคกาม คำว่าไม่ครองเรือน ไม่ได้หมายความว่าไม่มีครอบครัว แต่มีความหมายโดยนัยอีกอย่างหนึ่งก็คือ เรือนกายที่กำลังถูกไฟไหม้อยู่ตลอดเวลา ที่มันมีความตายคืบคลานอยู่ตลอดเวลา สังขารนี้อย่าไปปรนเปรอ อย่าไปหลงใหลกับมันมาก มันมาเพียงแค่ให้เราอาศัยยืมใช้  สร้างคุณธรรมให้ถึงที่สุด ถ้าปัญญาไม่ถึง ก็ใช้คุณธรรมไปให้ถึง  ชีวิตนี้ฉันจะมีเมตตาให้ถึงที่สุด ชีวิตนี้ฉันจะมีคุณธรรมแห่งความเสียสละให้ถึงที่สุด ยากไหม ศิษย์เอย ไม่ยากนะ อย่าพูดว่าทำไม่ได้ ต้องทำให้ได้ อย่ารอให้ตายแล้วค่อยได้ มันต้องตอนนี้ศิษย์  ใครจะเป็นอย่างไร ฉันไม่รู้ รู้แต่เพียงอย่างเดียว ฉันต้องทำให้ได้ ฉันต้องดีให้ได้ ได้ไหมศิษย์ (ได้)  อาจารย์อยากเห็นศิษย์ไปให้ถึง ไม่ใช่เป็นแค่คนดี แต่ต้องเป็นคนที่เข้าถึงธรรม และทำได้จริงๆ ศิษย์เป็นมากกว่าผู้ปฏิบัติงานธรรม  แต่ศิษย์กำลังเดินอยู่บนหนทางแห่งความเป็นพุทธะ ถูกไหม (ถูก)  แล้วมีอะไรเหมือนพระพุทธะบ้าง มีอะไรที่เหมาะสมกับการเป็นพระพุทธะบนแดนดินบ้าง ถ้านิสัยยังไม่วาง อารมณ์ยังไม่ผ่อนปรน ให้ลดเหลือน้อยที่สุด แล้วศิษย์จะเป็นพุทธะได้อย่างไร ฉะนั้นก็ต้องมีคุณธรรม ถ้าปัญญาศิษย์ยังเข้าไม่ถึงสภาวธรรม ยังไม่เข้าถึงความรู้แจ้งเห็นจริงในสภาวธรรม สิ่งที่จะนำพาให้ศิษย์ไปให้ถึงปัญญาธรรม นั่นก็คือเริ่มต้นที่คุณธรรมก่อน มีจิตสำนึกอยู่ในคุณธรรมแห่งความเป็นคนอันประเสริฐ ทำแล้วสมควรไหมกับความเป็นคนอันประเสริฐ  คิดอย่างนี้สมควรไหมที่ควรคิด พูดแบบนี้สมควรไหมที่ควรพูด ทุกขณะพินิจไตร่ตรองอยู่ตลอดเวลาว่ามีคุณธรรมสมควรแก่ความเป็นคนมากเพียงใด สำรวมระมัดระวังอยู่เสมอ  ไม่ให้การพูดการกระทำของเราก่อเกิดกรรม ที่จะต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก แต่ให้การพูดการกระทำ หรือแม้กระทั่งความคิดเที่ยงตรง และคงอยู่ในความเป็นผู้มีธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) 
อายุมากหรืออายุน้อย ไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่สิ่งสำคัญคือความมุ่งมั่นในปณิธานของตัวศิษย์เอง เมื่อตั้งปณิธานแล้วต้องไปให้ถึงที่สุด เมื่อเดินแล้วถอยไม่ได้ มีแต่ก้าวหน้าอย่างเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปณิธานนี้ศิษย์ตั้งแล้วเลิกไม่ได้ ถอนไม่ได้ ทิ้งไม่ได้ จำไว้นะศิษย์ มีแต่มุ่งมั่นเดินให้ถึงที่สุด เพราะศิษย์ตั้งใจไว้แล้ว  อาจารย์เศร้าใจจริงๆ กับคนที่มาพูดกับอาจารย์ หรือแม้อยากมาพูดกับใครก็ตามว่าถอนทิ้งได้ไหมอาจารย์ ศิษย์เอ๋ยถ้าศิษย์เป็นอาจารย์จะตอบเขาว่าอย่างไร ถอนทิ้งเท่าก็กับตกนรกแล้วนะ เลิกแล้วไม่เอาแล้วก็เท่ากับก้าวลงไปในนรกแล้วนะ  ศิษย์ตั้งปณิธานเองแล้วศิษย์จะถอนได้อย่างไร แล้วศิษย์จะให้ใครถอนปณิธานหรือ ตอนที่ตั้งปณิธานก็ไม่ได้หน้ามืด ไม่ได้มีใครบังคับ แล้วทำไมพอลำบาก ศิษย์จะถอนปณิธานทิ้งเล่า แล้วทำไมศิษย์ลืมหัวใจแห่งความเสียสละ หัวใจแห่งเมตตาตรงนั้นไป  ฉะนั้นไปก็ไปให้ถึงที่สุด ถอนไม่ได้ ทิ้งไม่ได้ เลิกไม่ได้ จำไว้นะศิษย์ อย่าทำลายตัวเอง ไม่มีใครฉุดเราลงนรกได้ ถ้าเราไม่ดึงตัวเองให้ตกต่ำ ไม่มีใครเอาเราขึ้นฟ้าได้ ถ้าเราไม่รู้จักดึงใจเราให้ขึ้นฟ้า แล้วทำไมจึงทำกับตัวเองอย่างนี้
อาจารย์ว่าบางครั้งมันก็จุกนะศิษย์ จุกตรงที่พูดอะไรไม่ออก  เพราะอะไรรู้ไหม  เหมือนคนเป็นพ่อแม่อยากให้ลูกดี แต่ยังไงเขาก็ไม่เอา เขาได้แค่นี้ มันก็เลยจุกตรงที่ว่าศิษย์ทำได้แค่นี้  ทั้งที่จริงๆ มันได้มากกว่านี้ ดีกว่านี้ และถึงที่สุดกว่านี้ได้ แต่ศิษย์พูดว่าศิษย์ได้แค่นี้ อาจารย์ก็เลยจุก จุกจนพูดไม่ออก ฉะนั้นถามตัวเองจริงๆ นะศิษย์ว่าได้แค่นี้จริงๆ หรือ ศิษย์บำเพ็ญสูงที่สุดได้แค่นี้ มากกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงหรือ ฉะนั้นอย่ายึดมั่นถือมั่นในตัวตน บำเพ็ญต้องไปให้ถึงซึ่งธรรม อันแท้จริง ธรรมอันบริสุทธิ์ ธรรมที่ไม่มีคำว่าตัว ไม่มีคำว่าตนให้ยึดถือ ไปให้ถึงนะศิษย์ หนทางแห่งพุทธะอยู่ที่เราเลือกเดิน เมื่อเลือกแล้วต้องให้ถึงที่สุด ตราบจนดินกลบหน้า ตราบจนลมหายใจสุดท้าย ก็ไม่ทิ้งซึ่งความถูกต้องที่ดีงามและคุณธรรมในใจตน  ถามตัวเองว่า วันนี้ถ้าต้องตาย คุณธรรมแห่งความเป็นคนถึงพร้อมไหม ชีวิตนี้ทำได้ดีที่สุดแล้วใช่ไหม ถ้าคุณธรรมความเป็นคนถึงพร้อม เมตตาจิตถึงที่สุด บำเพ็ญเต็มที่แล้ว แม้วันนี้ตายก็ไม่เสียดาย นั่นแหละสุดยอด แต่ถ้าวันนี้สิ่งที่อาจารย์พูด ศิษย์ยังทำได้ไม่ถึงที่สุด ยังไม่ถึงดี อย่าเพิ่งตาย เพราะมันจะไม่คุ้มเลยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นทำให้ได้นะศิษย์  ถ้าอาจารย์มีแขนที่กว้างใหญ่ อาจารย์ก็อยากจะกอดปลอบใจศิษย์ทุกคนนะ ลุกขึ้นมาสู้ทำให้ได้ ทำให้ดีที่สุด เพื่อธรรมในใจของศิษย์เอง

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา