西元二○一四年 歲次甲午十月廿二日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ สถานธรรมหย่งชาง อ.แม่สอด จ.ตาก
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
ไม่ชอบก็ไม่ชังให้หม่นหมอง ไม่ปองก็ไม่รักให้หน่ายแหนง
ไม่ยึดก็ไม่ทุกข์ให้ทิ่มแทง ไม่แล้งในรักก็ไม่เหงาใจ
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกคนหายเหนื่อยไหม
จากนี้อันความดีรักษาเรา ทุกหมู่เหล่าจริงใจไร้กังขา
ยากทำอาจไม่เท่าไร้เวลา ปัญญามีไม่เป็นมาลองพยายาม
ขอจงเลือกทำดีแม้ลำเค็ญ สรรพสิ่งไว้เป็นผู้ติดตาม
จิตที่ดีทุนรักษางอกงาม ฝึกจิตใจรู้ตามสภาพจริง
กายให้บริสุทธิ์ต้องหยุดประพฤติขุ่น เลิกหมกมุ่นไม่ใจลอยอ้อยอิ่ง
ใช้ธรรมหมั่นชำระล้างตัวจริง รู้ความทวนทบยิ่งเป็นกุศล
ความผิดไขได้ข้องใจแท้ เสพติดแก้เป็นผู้บาปอกุศล
ละมักคุ้นคุณพากเพียรกมล ผิดบาปคนทนชดใช้กรรม
ฮิ ฮิ หยุด
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
อยากเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงๆ หรือเปล่า ไหว้พระพุทธะภายนอก
ไม่เท่ากับกราบพระพุทธะภายในได้ คนที่พูดคำไหนเป็นคำนั้น คนนั้นก็เป็นคนที่ศักดิ์สิทธิ์ พูดได้ทำได้ก็ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่พูดอย่างทำอย่าง เช่นนี้ก็
ไม่ศักดิ์สิทธิ์ แต่มนุษย์นั้นมักชอบพูดอย่างทำอีกอย่าง ฉะนั้นพูดได้ก็ต้อง
ทำได้ ทำได้ก็ต้องพูดได้ บางอย่างบางเรื่องทำได้ก็ไม่จำเป็นต้องพูด เพราะคนส่วนใหญ่พูดเก่งแต่มักจะทำไม่ได้ เราเป็นประเภทเน้นพูดหรือเน้นทำ (เน้นทำ) จริงหรือเปล่า เราว่าท่านน่าจะเป็นประเภทเน้นพูดมากกว่าเน้นทำนะ วันนี้มาให้ท่านนั่งฟังเฉยๆ ไม่ต้องพูด ไม่ต้องทำ อึดอัดหรือเปล่า ถ้าหากว่านั่งตรงนี้อึดอัดไหม (ไม่อึดอัด) นั่งแล้วสบายใจไหม มีแต่ความอึดอัดใจ มีแต่ความเป็นตัวเป็นตน คับแน่นในหัวใจ ถ้าคิดแล้วทุกข์ ทำไมไม่ปล่อยวางความคิด เมื่อเปลี่ยนความคิดชีวิตก็เปลี่ยน
ไม่ใช่หรือ (ใช่) เราทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะเขาหรือทุกข์เพราะเรา
ไม่ยอมรับความจริง ทุกข์เพราะเขาหรือทุกข์เพราะความคิดของเรา (ความคิดของเรา) ไม่ยอมรับความจริงใช่ไหม เพราะไม่เคยนั่งฟังนานๆ วันนี้นั่งฟังนานๆ แล้วเป็นอย่างไร (ได้ความรู้)
ไม่เท่ากับกราบพระพุทธะภายในได้ คนที่พูดคำไหนเป็นคำนั้น คนนั้นก็เป็นคนที่ศักดิ์สิทธิ์ พูดได้ทำได้ก็ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่พูดอย่างทำอย่าง เช่นนี้ก็
ไม่ศักดิ์สิทธิ์ แต่มนุษย์นั้นมักชอบพูดอย่างทำอีกอย่าง ฉะนั้นพูดได้ก็ต้อง
ทำได้ ทำได้ก็ต้องพูดได้ บางอย่างบางเรื่องทำได้ก็ไม่จำเป็นต้องพูด เพราะคนส่วนใหญ่พูดเก่งแต่มักจะทำไม่ได้ เราเป็นประเภทเน้นพูดหรือเน้นทำ (เน้นทำ) จริงหรือเปล่า เราว่าท่านน่าจะเป็นประเภทเน้นพูดมากกว่าเน้นทำนะ วันนี้มาให้ท่านนั่งฟังเฉยๆ ไม่ต้องพูด ไม่ต้องทำ อึดอัดหรือเปล่า ถ้าหากว่านั่งตรงนี้อึดอัดไหม (ไม่อึดอัด) นั่งแล้วสบายใจไหม มีแต่ความอึดอัดใจ มีแต่ความเป็นตัวเป็นตน คับแน่นในหัวใจ ถ้าคิดแล้วทุกข์ ทำไมไม่ปล่อยวางความคิด เมื่อเปลี่ยนความคิดชีวิตก็เปลี่ยน
ไม่ใช่หรือ (ใช่) เราทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะเขาหรือทุกข์เพราะเรา
ไม่ยอมรับความจริง ทุกข์เพราะเขาหรือทุกข์เพราะความคิดของเรา (ความคิดของเรา) ไม่ยอมรับความจริงใช่ไหม เพราะไม่เคยนั่งฟังนานๆ วันนี้นั่งฟังนานๆ แล้วเป็นอย่างไร (ได้ความรู้)
“ไม่ชอบก็ไม่ชังให้หม่นหมอง ไม่ปองก็ไม่รักให้หน่ายแหนง
ไม่ยึดก็ไม่ทุกข์ให้ทิ่มแทง ไม่แล้งในรักก็ไม่เหงาใจ”
ถ้าเราไม่ชอบเราจะมีความชังไหม ถ้าเราไม่มีความอยากเราจะมีรักที่ผิดหวังไหม ถ้าเราไม่ยึดเราจะมีทุกข์ที่พลัดพรากไหม (ไม่มี) ฉะนั้นต้นเหตุแห่งปัญหาทั้งมวล ต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวลมาจากไหน
มาจากใจที่ยึดติด แบ่งแยกชอบชัง ถ้าทุกขณะเรามีจิตเมตตารักทุกคน เราจะเหงาไหม (ไม่เหงา) คนที่รู้จักรักตัวเองเป็นก็จะรักผู้อื่นเป็น แต่คนที่เอาแต่รอให้ผู้อื่นมารักนั่นคือ คนที่รักตัวเองไม่เป็น เราเป็นประเภทแรกหรือประเภทสอง จำที่เราพูดไม่ได้แล้ว น่าจะเป็นประเภทที่จำที่เราพูดไม่ได้มากกว่า ใช่ไหม (ใช่) คนที่รักตัวเองเป็น ก็จะรักผู้อื่นเป็น คนที่เอาแต่รอให้ผู้อื่นมารัก นั่นแปลว่าเขารักตัวเองไม่เป็น จึงต้องรอให้ใครๆ มารัก แล้วท่านเป็นประเภทรักตัวเองเป็น หรือรอให้ใครมารัก (รักตัวเองเป็น) อารมณ์ดีก็รักตัวเอง อารมณ์ไม่ดีก็บอกว่าเมื่อไรใครจะมารักฉัน
ใช่หรือไม่ (ใช่) ก็ในเมื่อตัวเองอารมณ์ไม่ดี ตัวเองยังไม่รักตัวเอง แล้วใครจะมารักท่าน จริงไหม (จริง)
มาจากใจที่ยึดติด แบ่งแยกชอบชัง ถ้าทุกขณะเรามีจิตเมตตารักทุกคน เราจะเหงาไหม (ไม่เหงา) คนที่รู้จักรักตัวเองเป็นก็จะรักผู้อื่นเป็น แต่คนที่เอาแต่รอให้ผู้อื่นมารักนั่นคือ คนที่รักตัวเองไม่เป็น เราเป็นประเภทแรกหรือประเภทสอง จำที่เราพูดไม่ได้แล้ว น่าจะเป็นประเภทที่จำที่เราพูดไม่ได้มากกว่า ใช่ไหม (ใช่) คนที่รักตัวเองเป็น ก็จะรักผู้อื่นเป็น คนที่เอาแต่รอให้ผู้อื่นมารัก นั่นแปลว่าเขารักตัวเองไม่เป็น จึงต้องรอให้ใครๆ มารัก แล้วท่านเป็นประเภทรักตัวเองเป็น หรือรอให้ใครมารัก (รักตัวเองเป็น) อารมณ์ดีก็รักตัวเอง อารมณ์ไม่ดีก็บอกว่าเมื่อไรใครจะมารักฉัน
ใช่หรือไม่ (ใช่) ก็ในเมื่อตัวเองอารมณ์ไม่ดี ตัวเองยังไม่รักตัวเอง แล้วใครจะมารักท่าน จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นถ้าเราอยากให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่เกิดขึ้นในหัวใจเรา ทำไมเราไม่วางใจให้เป็น ใช่ไหม (ใช่) ทำไมเราไม่วางใจให้เป็นกลาง ใจเราทำไมยังต้องมีชอบ เมื่อรู้จักชอบ ก็ต้องเรียนรู้จักคำว่าชัง เมื่อเรียนรู้จักคำว่ารัก
ก็ต้องเรียนรู้จักคำว่าผิดหวังในรัก เมื่อเรียนรู้จักคำว่ายึดมั่นถือมั่น
ก็ต้องรู้จักคำว่าสูญเสียและต้องปล่อยวาง แต่ถ้าตอนนี้ไม่มีชอบ จะมีชังไหม (ไม่มี) ไม่มียึดแล้วจะมีสูญเสียไหม (ไม่มี) ไม่มีรักแล้วจะผิดหวังในรักไหม (ไม่มี) ไม่มีตัวตนแล้วจะมีทุกข์ไหม (ไม่มี)
ก็ต้องเรียนรู้จักคำว่าผิดหวังในรัก เมื่อเรียนรู้จักคำว่ายึดมั่นถือมั่น
ก็ต้องรู้จักคำว่าสูญเสียและต้องปล่อยวาง แต่ถ้าตอนนี้ไม่มีชอบ จะมีชังไหม (ไม่มี) ไม่มียึดแล้วจะมีสูญเสียไหม (ไม่มี) ไม่มีรักแล้วจะผิดหวังในรักไหม (ไม่มี) ไม่มีตัวตนแล้วจะมีทุกข์ไหม (ไม่มี)
อย่างนั้นปัญหาทั้งมวลนั้นเกิดจากอะไร (จิตไม่ว่าง) จิตไม่ว่าง
ก็เลยทำให้ (สับสนไปเรื่อย) ที่จริงอย่างที่ท่านรู้สึกนี้ ไม่ใช่ว่าจิตไม่ว่าง แต่เป็นจิตไม่เคยเพียงพอต่างหาก ถ้ามนุษย์รู้จักการพอ แล้วมนุษย์จะวิ่งวุ่นไปทำไม จริงไหม (จริง) แต่เราเคยพอในตัวเองหรือไม่ (ไม่) ฉะนั้นท่านก็เหมือนกับคนที่ขาดรักอยู่ตลอดเวลา ต้องการคนมารัก ก็เลยไม่เคยมีสุขสักที เพราะเป็นคนที่ขาดแคลน ดังนั้นถ้าอยากสุขก็แค่ (ปล่อยวาง) ไม่ต้องปล่อยแต่แค่รู้จักพอ จริงไหม (จริง) ขอแค่พอ เมื่อพอได้ก็สุขได้ หากพอไม่ได้ ก็จะทุกข์อยู่ทุกวัน เหมือนการนั่งฟังอยู่ตอนนี้ ถ้าคิดว่าดีแล้ว พอแล้ว ตอนนี้เราก็จะมีสุข แต่ถ้าตอนนี้คิดว่ายังไม่พอ ยังไม่ดี แม้ใครจะให้มาดีอย่างไร ก็จะไม่รู้สึกว่าสุข ใช่ไหม (ใช่)
ก็เลยทำให้ (สับสนไปเรื่อย) ที่จริงอย่างที่ท่านรู้สึกนี้ ไม่ใช่ว่าจิตไม่ว่าง แต่เป็นจิตไม่เคยเพียงพอต่างหาก ถ้ามนุษย์รู้จักการพอ แล้วมนุษย์จะวิ่งวุ่นไปทำไม จริงไหม (จริง) แต่เราเคยพอในตัวเองหรือไม่ (ไม่) ฉะนั้นท่านก็เหมือนกับคนที่ขาดรักอยู่ตลอดเวลา ต้องการคนมารัก ก็เลยไม่เคยมีสุขสักที เพราะเป็นคนที่ขาดแคลน ดังนั้นถ้าอยากสุขก็แค่ (ปล่อยวาง) ไม่ต้องปล่อยแต่แค่รู้จักพอ จริงไหม (จริง) ขอแค่พอ เมื่อพอได้ก็สุขได้ หากพอไม่ได้ ก็จะทุกข์อยู่ทุกวัน เหมือนการนั่งฟังอยู่ตอนนี้ ถ้าคิดว่าดีแล้ว พอแล้ว ตอนนี้เราก็จะมีสุข แต่ถ้าตอนนี้คิดว่ายังไม่พอ ยังไม่ดี แม้ใครจะให้มาดีอย่างไร ก็จะไม่รู้สึกว่าสุข ใช่ไหม (ใช่)
เราถามท่านว่า วันนี้นั่งแล้วสุขไหม (สุข) จริงหรือ (จริง) เป็นคนบนโลกนี้เหนื่อยไหม เหนื่อยกายหรือเหนื่อยใจ ก็ใจไม่เคยพอแล้วจะไม่เหนื่อยได้อย่างไร ถ้าทุกขณะที่ได้ทำรู้จักพอ ฉะนั้นได้ไม่ได้ก็พอจะเหนื่อยไหม ไม่ทำก็ไม่พอ ทำไปก็ไม่พอเลยเหนื่อย
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้เล่นเกม)
ถ้าเราบอกให้ท่านนั่ง ท่านต้องยืน ถ้าเราบอกให้ท่านยืน ท่านต้องนั่ง ถ้าเราบอกให้ท่านยกแขนซ้าย ท่านต้องยกแขนขวา ถ้าเราให้ท่านยกแขนขวา ท่านต้องยกแขนซ้าย ตกลงกันรู้เรื่องแล้ว ฉะนั้นถ้าใครทำผิดต้องออกมาเต้นท่าเป็ด
นั่งอย่างมีความทุกข์แล้ว เราก็มาทำให้คนอื่นมีความสุขบ้างดีไหม ทำอะไรต้องมีสติ เราถึงจะไม่ทำร้ายตัวเอง ตั้งแต่นั่งฟังธรรมะมาใครไม่หลับเลย สรุปตกลงท่านมานั่งฟังหรือมานั่งหลับ ทำอะไรบางทีต้องรู้
มีสติระลึกรู้อยู่เสมอ แม้บางครั้งเป็นสิ่งที่ขัดกับความรู้สึกก็ตาม เหมือนตอนที่เริ่มมานั่งฟัง เรารู้สึกว่าขัดกับความรู้สึกของเราไหม (ขัด) มานั่งอย่างนี้ขัดต่อความรู้สึกของเรามากใช่ไหม (ใช่) เพราะโดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนเคยชินกับการตามใจ ตามอารมณ์ ตามความรู้สึก ตามกิเลส แล้วก็คิดว่าสิ่งนี้ดี แต่รู้ไหมว่าการตามใจ ตามอารมณ์ ตามความรู้สึก จริงๆ แล้วดีไหม (ไม่ดี) ก็รู้กันอยู่ แล้วทำไมยังชอบตามล่ะ เพราะความรักหรือฝืนตัวเองไม่ได้ การที่เกิดเป็นคนแล้วตามความรู้สึก ตามอารมณ์ ตามกิเลส นั้นดีไหม (ไม่ดี) แล้วเลิกได้ไหม (ไม่ได้) เพราะรู้สึกฝืนใจ เราจะบอกให้ว่า การที่เราทำอะไรตามอารมณ์ ตามกิเลสบ่อยๆ มีข้อเสียอย่างไร แล้วเมื่อถึงที่สุดจะน่ากลัวขนาดไหน เคยคิดไหม
มีสติระลึกรู้อยู่เสมอ แม้บางครั้งเป็นสิ่งที่ขัดกับความรู้สึกก็ตาม เหมือนตอนที่เริ่มมานั่งฟัง เรารู้สึกว่าขัดกับความรู้สึกของเราไหม (ขัด) มานั่งอย่างนี้ขัดต่อความรู้สึกของเรามากใช่ไหม (ใช่) เพราะโดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนเคยชินกับการตามใจ ตามอารมณ์ ตามความรู้สึก ตามกิเลส แล้วก็คิดว่าสิ่งนี้ดี แต่รู้ไหมว่าการตามใจ ตามอารมณ์ ตามความรู้สึก จริงๆ แล้วดีไหม (ไม่ดี) ก็รู้กันอยู่ แล้วทำไมยังชอบตามล่ะ เพราะความรักหรือฝืนตัวเองไม่ได้ การที่เกิดเป็นคนแล้วตามความรู้สึก ตามอารมณ์ ตามกิเลส นั้นดีไหม (ไม่ดี) แล้วเลิกได้ไหม (ไม่ได้) เพราะรู้สึกฝืนใจ เราจะบอกให้ว่า การที่เราทำอะไรตามอารมณ์ ตามกิเลสบ่อยๆ มีข้อเสียอย่างไร แล้วเมื่อถึงที่สุดจะน่ากลัวขนาดไหน เคยคิดไหม
ระหว่างบุญกับบาปอะไรนำพาให้เกิดทุกข์ อะไรนำพาให้เกิดสุข บุญนำพาให้เกิดสุข บาปนำพาให้เกิดทุกข์ เรารู้อย่างนี้แล้วจะคุยเรื่องบุญก่อนหรือบาปก่อน (บุญ) เชื่อไหมเมื่อไรที่สิ้นบาปนั่นก็คือบุญ เมื่อไรที่ทำบุญแล้วยังอิงแอบลูบคลำในความโลภโกรธหลง ในกิเลสในตัณหา
ในความยึดมั่นถือมั่นหลงตน บุญนั้นก็พร้อมที่จะก่อบาป ถ้าพูดถึงบุญ
บุญคือเครื่องที่ชำระล้างจิตใจให้ผ่องใส เคยไปทำบุญแล้วรู้สึกสุขใจ
เบาใจ อิ่มใจไหม (เคย) บางทีทำบ่อยๆ จนรู้สึกว่าดีจังเลย มนุษย์แปลกตรงที่เวลาตัวเองดีมักชอบกดคนอื่น นี่จึงเรียกว่า ทำบุญแล้วยังลูบคลำในความหลง ยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตนว่า ฉันไปทำบุญมาฉันจึงเหนือกว่าคนอื่นหนึ่งก้าว ทำบุญแล้วติดในตัวตนติดในความหลงตน บุญนั้นจึง
ไม่อาจเรียกว่าบุญอันบริสุทธิ์ได้ ทั้งที่จริงๆ แล้ว บุญคือเครื่องชำระล้างความเห็นแก่ตน แล้วคนที่สามารถทำบุญให้ถึงที่สุดของบุญคือ บุญที่ทำแล้วสามารถบริจาคความโลภ ความโกรธ ความหลง และความโง่ที่
ยึดมั่นถือมั่นตัวตนออกไปจากใจได้ นั่นคือสุดยอดของบุญ
ในความยึดมั่นถือมั่นหลงตน บุญนั้นก็พร้อมที่จะก่อบาป ถ้าพูดถึงบุญ
บุญคือเครื่องที่ชำระล้างจิตใจให้ผ่องใส เคยไปทำบุญแล้วรู้สึกสุขใจ
เบาใจ อิ่มใจไหม (เคย) บางทีทำบ่อยๆ จนรู้สึกว่าดีจังเลย มนุษย์แปลกตรงที่เวลาตัวเองดีมักชอบกดคนอื่น นี่จึงเรียกว่า ทำบุญแล้วยังลูบคลำในความหลง ยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตนว่า ฉันไปทำบุญมาฉันจึงเหนือกว่าคนอื่นหนึ่งก้าว ทำบุญแล้วติดในตัวตนติดในความหลงตน บุญนั้นจึง
ไม่อาจเรียกว่าบุญอันบริสุทธิ์ได้ ทั้งที่จริงๆ แล้ว บุญคือเครื่องชำระล้างความเห็นแก่ตน แล้วคนที่สามารถทำบุญให้ถึงที่สุดของบุญคือ บุญที่ทำแล้วสามารถบริจาคความโลภ ความโกรธ ความหลง และความโง่ที่
ยึดมั่นถือมั่นตัวตนออกไปจากใจได้ นั่นคือสุดยอดของบุญ
ฉะนั้นท่านทั้งหลายจึงมักบอกว่า ทำบุญตั้งมากมายทำดีแล้วไม่เห็นจะได้ดีเลย ก็เราเป็นเสียแบบนี้ เมื่อเราทำดีกับพระ เราทำบุญกับพระ
แต่กลับบ้านไปด่าแล้วก็บ่นว่า เกลียดคนนั้นคนนี้ แล้วเราก็ไปทำบุญ
กับพระ แต่ทำไมเราไม่รู้จักทำบุญทุกๆ ที่ ในเมื่อรู้จักให้ความดีกับพระ ทำไมไม่รู้จักให้ความดีกับทุกๆ คน เพราะฉะนั้นจึงบอกว่า บุญชำระบาปไม่ได้ เพราะท่านทำดีอีกที่หนึ่ง แต่ท่านก็ไปทำบาปอีกที่หนึ่ง ฉะนั้นบุญกับบาปจึงชดใช้กันไม่ได้ พระพุทธะจึงสอนว่า ให้ทำบุญทุกๆ ที่ ให้รู้จักเป็นผู้ให้ทุกๆ ที่ เพราะการให้ที่ไม่ต้องลงทุนอะไร คือการให้อภัย อดทนและเมตตา ต้องลงทุนไหม เสียเงินไหม ไม่ต้องทำอะไรเลย อดทนได้ไหม อยากเข้าถึงบุญ ใครตบเรามา (เราต้องยิ้ม) ใครด่ามา เตะมา (เราต้องยิ้ม)
แต่กลับบ้านไปด่าแล้วก็บ่นว่า เกลียดคนนั้นคนนี้ แล้วเราก็ไปทำบุญ
กับพระ แต่ทำไมเราไม่รู้จักทำบุญทุกๆ ที่ ในเมื่อรู้จักให้ความดีกับพระ ทำไมไม่รู้จักให้ความดีกับทุกๆ คน เพราะฉะนั้นจึงบอกว่า บุญชำระบาปไม่ได้ เพราะท่านทำดีอีกที่หนึ่ง แต่ท่านก็ไปทำบาปอีกที่หนึ่ง ฉะนั้นบุญกับบาปจึงชดใช้กันไม่ได้ พระพุทธะจึงสอนว่า ให้ทำบุญทุกๆ ที่ ให้รู้จักเป็นผู้ให้ทุกๆ ที่ เพราะการให้ที่ไม่ต้องลงทุนอะไร คือการให้อภัย อดทนและเมตตา ต้องลงทุนไหม เสียเงินไหม ไม่ต้องทำอะไรเลย อดทนได้ไหม อยากเข้าถึงบุญ ใครตบเรามา (เราต้องยิ้ม) ใครด่ามา เตะมา (เราต้องยิ้ม)
ฉะนั้นบุญกับบาปห่างกันราวฟ้ากับดิน ก็เพราะว่าคนบุญเวลาใครด่ามาไม่ด่าตอบ อิ่มใจสุขใจแล้วที่ไม่ทำบาป ใครโกรธมาไม่โกรธตอบ
อิ่มใจแล้ว สุขใจแล้วที่ไม่สร้างกรรมที่ทำให้ตัวเองต้องทุกข์ใจ ใครโกงมา เราจะโกงไหม อย่างนี้ต้องเอาคืน เหมือนที่มนุษย์ชอบตาต่อตาฟันต่อฟัน บุญกับบาปก็ไปด้วยกันหมดเลย ฉะนั้นทำไมฟ้ากับดินจึงห่างกัน ทำไมคนดีกับคนเลวจึงห่างกัน ห่างกันตรงไหน ก็ห่างกันตรงนี้ เขาร้ายมาไม่ร้ายตอบ เขาเลวมาไม่เลวตอบ เขาโกงมาไม่โกงตอบ เขาเอาเปรียบมาไม่เอาเปรียบตอบ ฉะนั้นฟ้ากับดิน คนดีกับคนเลวจึงห่างกันเช่นนี้เอง แล้วตอนนี้เราเป็นฟ้าหรือเป็นดิน
อิ่มใจแล้ว สุขใจแล้วที่ไม่สร้างกรรมที่ทำให้ตัวเองต้องทุกข์ใจ ใครโกงมา เราจะโกงไหม อย่างนี้ต้องเอาคืน เหมือนที่มนุษย์ชอบตาต่อตาฟันต่อฟัน บุญกับบาปก็ไปด้วยกันหมดเลย ฉะนั้นทำไมฟ้ากับดินจึงห่างกัน ทำไมคนดีกับคนเลวจึงห่างกัน ห่างกันตรงไหน ก็ห่างกันตรงนี้ เขาร้ายมาไม่ร้ายตอบ เขาเลวมาไม่เลวตอบ เขาโกงมาไม่โกงตอบ เขาเอาเปรียบมาไม่เอาเปรียบตอบ ฉะนั้นฟ้ากับดิน คนดีกับคนเลวจึงห่างกันเช่นนี้เอง แล้วตอนนี้เราเป็นฟ้าหรือเป็นดิน
(สมมติว่าให้เขายืมเงินไปหนึ่งแสนบาท เขาไม่คืน) ทวงอย่างไรก็ไม่ได้คืน ก่อนที่เราจะทำอะไร จงใช้สติ ท่านพลาดตั้งแต่ให้เขายืมแล้ว คนในโลกมีตั้งมากมายทำไมไม่ยืม คนในโลกมีตั้งมากมายให้โกงทำไมไม่โกง ทำไมต้องเป็นเรา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีกรรมเวรกันมา ล้วนมีเหตุปัจจัย เสียแล้วได้อะไรไหม (ได้ทุกข์) เงินก็ไม่ได้คืน แล้วยังแถมทุกข์ใจเพิ่ม แถมยังกลับเอามานั่งคิดเพิ่มว่า ทำไมๆ และมีแต่ทุกข์จริงไหม (จริง) ฉะนั้นเมื่อเจอหน้าเขาก็บอกว่า อยากคืนเมื่อไรก็คืน ไม่โกรธ ไม่ว่า
ไม่เคือง แต่เมื่อนึกได้ก็อย่าลืมคืนแล้วกัน ดีกว่าไหม (น้อยคนที่จะทำได้) จำไว้ว่ามนุษย์ประเสริฐที่จิตใจ แต่มนุษย์ก็หมดความประเสริฐได้ เพราะความคิดที่ชั่วแล่น ที่เรียกว่า มาร มารคือผู้ล้างผลาญความดีงามในจิตใจ มารนั้นเกิดจากความคิดที่ชั่วแล่นว่า ทำไมฉันต้องยอม ทำไมฉันต้องเสีย เราจะบอกให้ท่านฟังนะ เมื่อท่านรู้แล้วท่านจะรู้สึกเลยว่า การเกิดเป็นคนพยายามทำดีไว้ดีที่สุด แม้ว่าใครจะว่าจะร้ายจะเลวกว่าเรายังไงก็ให้คิดดีไว้ อย่าพยายามไปคิดชั่วเด็ดขาด เพราะว่าผลของความคิดชั่วเพียง
ชั่วขณะหนึ่ง รู้ไหมว่าน่ากลัวขนาดไหน เช่น แค่ความคิดชั่วขณะหนึ่งเมื่อไรที่หย่อนลงไปในอนุสัยแล้วเพาะลงไปในจิตใจ เมื่อนั้นจะส่งเหตุปัจจัยให้ก่อเกิดผลขึ้นแล้ว เมื่อนั้นจะเสียใจที่จบกันไม่ลง เพียงเพราะความแค้นว่าทำไมต้องยอม ต้องเอาให้ถึงที่สุด ตาต่อตา ตายก็ตาย
แล้วทำให้จบกันไม่ลงเพราะว่าอะไร จองเวรจองกรรม จองกรรมจองเวร ไม่จบ แต่พระพุทธะสอนว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร กรรมระงับด้วยการไม่จองกรรม ฉะนั้นถ้าแค่เงินเพียงแสนเดียว ทำให้ท่านต้องเกิดเวียนว่ายชดใช้กันไปและเจอกัน แล้วทำให้ท่านต้องเวียนว่ายเจอเขาชาติแล้วชาติเล่าเอาหรือ คิดให้ดีดี นี่ยังแค่พูดเรื่องบุญ
ไม่เคือง แต่เมื่อนึกได้ก็อย่าลืมคืนแล้วกัน ดีกว่าไหม (น้อยคนที่จะทำได้) จำไว้ว่ามนุษย์ประเสริฐที่จิตใจ แต่มนุษย์ก็หมดความประเสริฐได้ เพราะความคิดที่ชั่วแล่น ที่เรียกว่า มาร มารคือผู้ล้างผลาญความดีงามในจิตใจ มารนั้นเกิดจากความคิดที่ชั่วแล่นว่า ทำไมฉันต้องยอม ทำไมฉันต้องเสีย เราจะบอกให้ท่านฟังนะ เมื่อท่านรู้แล้วท่านจะรู้สึกเลยว่า การเกิดเป็นคนพยายามทำดีไว้ดีที่สุด แม้ว่าใครจะว่าจะร้ายจะเลวกว่าเรายังไงก็ให้คิดดีไว้ อย่าพยายามไปคิดชั่วเด็ดขาด เพราะว่าผลของความคิดชั่วเพียง
ชั่วขณะหนึ่ง รู้ไหมว่าน่ากลัวขนาดไหน เช่น แค่ความคิดชั่วขณะหนึ่งเมื่อไรที่หย่อนลงไปในอนุสัยแล้วเพาะลงไปในจิตใจ เมื่อนั้นจะส่งเหตุปัจจัยให้ก่อเกิดผลขึ้นแล้ว เมื่อนั้นจะเสียใจที่จบกันไม่ลง เพียงเพราะความแค้นว่าทำไมต้องยอม ต้องเอาให้ถึงที่สุด ตาต่อตา ตายก็ตาย
แล้วทำให้จบกันไม่ลงเพราะว่าอะไร จองเวรจองกรรม จองกรรมจองเวร ไม่จบ แต่พระพุทธะสอนว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร กรรมระงับด้วยการไม่จองกรรม ฉะนั้นถ้าแค่เงินเพียงแสนเดียว ทำให้ท่านต้องเกิดเวียนว่ายชดใช้กันไปและเจอกัน แล้วทำให้ท่านต้องเวียนว่ายเจอเขาชาติแล้วชาติเล่าเอาหรือ คิดให้ดีดี นี่ยังแค่พูดเรื่องบุญ
ฉะนั้นสิ่งจะประคองให้บุญเกิดอยู่ในใจเสมอ คือ อย่าประมาท
มีสติระลึกรู้เสมอว่าทำอะไร ถ้ากรรมที่ทำแล้วนำพาให้อิ่มใจ สุขใจ เบาใจ นั่นเรียกว่ากรรมดี แต่ถ้ากรรมทำแล้วทุกข์ใจ หม่นหมองใจ เคืองแค้นใจ จองเวรจองกรรม แล้วให้ผลกำไรเป็นทุกข์ นั่นเรียกว่าบาปเวรกรรมหรือกรรมชั่ว เลือกเอาจะเอาบุญหรือบาป ถ้าทำบุญแล้วไม่ยึดติดในตัวตน ทำบุญแล้วทำให้เราปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เราก็ยังได้กุศลและมรรคผลนิพพานเป็นก้าวต่อไป แต่มนุษย์ยังติดอยู่แค่บุญกับบาป
มีสติระลึกรู้เสมอว่าทำอะไร ถ้ากรรมที่ทำแล้วนำพาให้อิ่มใจ สุขใจ เบาใจ นั่นเรียกว่ากรรมดี แต่ถ้ากรรมทำแล้วทุกข์ใจ หม่นหมองใจ เคืองแค้นใจ จองเวรจองกรรม แล้วให้ผลกำไรเป็นทุกข์ นั่นเรียกว่าบาปเวรกรรมหรือกรรมชั่ว เลือกเอาจะเอาบุญหรือบาป ถ้าทำบุญแล้วไม่ยึดติดในตัวตน ทำบุญแล้วทำให้เราปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เราก็ยังได้กุศลและมรรคผลนิพพานเป็นก้าวต่อไป แต่มนุษย์ยังติดอยู่แค่บุญกับบาป
ฉะนั้นเรากลับมาดูบาปกัน ท่านว่าวันนี้ท่านนั่งฟังมาทั้งวันได้บุญหรือได้บาป นั่งแล้วเบิกบาน หรือนั่งแล้วหม่นหมอง ตั้งแต่เช้ายันกลางวันยังหมองตลอด ถ้านั่งแล้วหมองก็ได้บาป แต่ถ้านั่งแล้วได้ปล่อยอัตตาตัวตน ได้สิ้นความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน นั่นแหละเรียกว่าได้บุญแล้ว
บาปคืออะไร (สิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้องตามครรลองคลองธรรม)
ความหลงตนเป็นบาปไหม (บาป) ความอวดตนเป็นบาปไหม (บาป) ความไม่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นบาปไหม (บาป) แล้วเราเป็นไหม (คิดว่าไม่เป็น) ไม่เป็นแน่นะ คนทุกคนสามารถก่อบาปได้ ทุกขณะจิตไม่มีสติระมัดระวัง ยิ่งถ้าหากว่า ศีลห้ายังรักษาไม่ครบ ตกเป็นทาสกิเลสอยู่ร่ำไป มนุษย์แม้จะทำบุญขนาดไหน แต่ถ้ายังละบาปไม่ได้ก็ยังไม่มีวัน เข้าใจนะ (เข้าใจ) อย่างนั้นถ้าอยากพ้นทุกข์ก็ต้อง (ไม่มีกิเลส) ใช่ ต้องละกิเลส เพราะไม่มีใครทำตัวเองให้เป็นศัตรูที่น่ากลัว นอกจากกิเลสที่ครอบงำใจของท่าน และถ้าท่านเป็นคนรักตัวเอง ก็จงอย่าเผลอทำบาปเด็ดขาด
บาปคืออะไร (สิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้องตามครรลองคลองธรรม)
ความหลงตนเป็นบาปไหม (บาป) ความอวดตนเป็นบาปไหม (บาป) ความไม่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นบาปไหม (บาป) แล้วเราเป็นไหม (คิดว่าไม่เป็น) ไม่เป็นแน่นะ คนทุกคนสามารถก่อบาปได้ ทุกขณะจิตไม่มีสติระมัดระวัง ยิ่งถ้าหากว่า ศีลห้ายังรักษาไม่ครบ ตกเป็นทาสกิเลสอยู่ร่ำไป มนุษย์แม้จะทำบุญขนาดไหน แต่ถ้ายังละบาปไม่ได้ก็ยังไม่มีวัน เข้าใจนะ (เข้าใจ) อย่างนั้นถ้าอยากพ้นทุกข์ก็ต้อง (ไม่มีกิเลส) ใช่ ต้องละกิเลส เพราะไม่มีใครทำตัวเองให้เป็นศัตรูที่น่ากลัว นอกจากกิเลสที่ครอบงำใจของท่าน และถ้าท่านเป็นคนรักตัวเอง ก็จงอย่าเผลอทำบาปเด็ดขาด
อย่างนั้นเราขอถามท่านว่ากลัวตายไหม (กลัว, ไม่กลัว) มีหลายคนบอกว่ากลัว และมีบางคนบอกว่าไม่กลัว ฉะนั้นถ้ากลัวตาย ก็จงอย่าทำบาป เพราะบาปจะทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิด เกิดแล้วตาย
ความตายทำให้เราตายอยู่แค่ครั้งเดียว แต่ความชั่วที่เกิดจากกิเลส โลภ โกรธ หลง หรือความชั่วที่เกิดจากความอยากของมนุษย์ ทำให้มนุษย์ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น ถ้ากลัวตายจงกลัวทุกข์ กลัวกิเลส ถ้าเราบอกว่ากินแอปเปิลเราแล้วหายทุกข์ เอาไหม (เอา) ความอยากเป็นหนทางของความชั่ว สุดท้ายก็หนีไม่พ้นทุกข์ ถ้าอยากพ้นทุกข์ก็จงอย่ามีความอยากให้มากจนเกินไป แม้ว่ากินแล้วจะทำให้ท่านพ้นทุกข์ก็ตาม จะถือว่ายังมีความอยากอยู่ ทุกข์หรือไม่ทุกข์ไม่ใช่อยู่ที่แอปเปิล หากแต่อยู่ที่ใจของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าท่านไม่อยากโดนคนอื่นหลอก ตัวเราก็อย่าหลอกตัวเราเอง ถ้าไม่อยากให้เราหลอกท่าน ท่านก็อย่าหลอกตัวเอง ทุกข์หรือสุขไม่ใช่แอปเปิลเป็นตัวกำหนด และไม่ใช่คนอื่นกำหนด หากแต่อยู่ที่ใจ
เราเองกำหนดตัวเราเอง ตอนนี้อยากมีบุญ หรืออยากมีบาป (อยากมีบุญ) ตอนนี้อยากมีบุญแล้ว จงรู้ไว้อย่างว่าหนทางของการทำบุญนั้นมีหลายทาง การรู้จักให้ทาน ทุกท่านรู้จักอยู่แล้ว มนุษย์ทุกคนชอบให้ทาน แต่ทานนั้นจะต้องไม่เคลือบด้วยบาป ทานนั้นต้องทำโดยไม่ยึดมั่นตัวตน ไม่หวัง ไม่วอนขอ ไม่ลูบคลำไปด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง บุญนั้นถึงจะบริสุทธิ์ แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม ไม่เป็นคนที่ทำบุญหนึ่งร้อย แล้วขอนั่นขอนี่ ตกลงท่านจะไปทำบุญหรือไปขอบุญ จำให้ดี บุญคือเครื่องชำระล้างจิตใจให้ผ่องใส ยิ่งถ้าทำแล้วสามารถสลัดทิ้งความเห็นแก่ตน ความโลภ ความหลงได้ บุญนั้นนอกจากทำแล้วได้บุญ ยังได้กุศลด้วย ซึ่งกุศลจะนำพาให้เกิดมรรคผลนิพพาน แต่มนุษย์ไปไม่ถึง เพราะมนุษย์มักจะขอให้ลูกจงเป็นสุขๆ ขออย่างนั้น อย่างนี้ ตกลงไปให้หรือไปขอ เข้าใจบุญให้ถูกต้องด้วย จะทำอย่างไรที่เราสามารถพ้นบาปได้ สิ่งที่น่ากลัวที่
ทำให้มนุษย์ไม่สามารถพ้นบาปได้คืออะไรรู้ไหม
ความตายทำให้เราตายอยู่แค่ครั้งเดียว แต่ความชั่วที่เกิดจากกิเลส โลภ โกรธ หลง หรือความชั่วที่เกิดจากความอยากของมนุษย์ ทำให้มนุษย์ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น ถ้ากลัวตายจงกลัวทุกข์ กลัวกิเลส ถ้าเราบอกว่ากินแอปเปิลเราแล้วหายทุกข์ เอาไหม (เอา) ความอยากเป็นหนทางของความชั่ว สุดท้ายก็หนีไม่พ้นทุกข์ ถ้าอยากพ้นทุกข์ก็จงอย่ามีความอยากให้มากจนเกินไป แม้ว่ากินแล้วจะทำให้ท่านพ้นทุกข์ก็ตาม จะถือว่ายังมีความอยากอยู่ ทุกข์หรือไม่ทุกข์ไม่ใช่อยู่ที่แอปเปิล หากแต่อยู่ที่ใจของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าท่านไม่อยากโดนคนอื่นหลอก ตัวเราก็อย่าหลอกตัวเราเอง ถ้าไม่อยากให้เราหลอกท่าน ท่านก็อย่าหลอกตัวเอง ทุกข์หรือสุขไม่ใช่แอปเปิลเป็นตัวกำหนด และไม่ใช่คนอื่นกำหนด หากแต่อยู่ที่ใจ
เราเองกำหนดตัวเราเอง ตอนนี้อยากมีบุญ หรืออยากมีบาป (อยากมีบุญ) ตอนนี้อยากมีบุญแล้ว จงรู้ไว้อย่างว่าหนทางของการทำบุญนั้นมีหลายทาง การรู้จักให้ทาน ทุกท่านรู้จักอยู่แล้ว มนุษย์ทุกคนชอบให้ทาน แต่ทานนั้นจะต้องไม่เคลือบด้วยบาป ทานนั้นต้องทำโดยไม่ยึดมั่นตัวตน ไม่หวัง ไม่วอนขอ ไม่ลูบคลำไปด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง บุญนั้นถึงจะบริสุทธิ์ แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม ไม่เป็นคนที่ทำบุญหนึ่งร้อย แล้วขอนั่นขอนี่ ตกลงท่านจะไปทำบุญหรือไปขอบุญ จำให้ดี บุญคือเครื่องชำระล้างจิตใจให้ผ่องใส ยิ่งถ้าทำแล้วสามารถสลัดทิ้งความเห็นแก่ตน ความโลภ ความหลงได้ บุญนั้นนอกจากทำแล้วได้บุญ ยังได้กุศลด้วย ซึ่งกุศลจะนำพาให้เกิดมรรคผลนิพพาน แต่มนุษย์ไปไม่ถึง เพราะมนุษย์มักจะขอให้ลูกจงเป็นสุขๆ ขออย่างนั้น อย่างนี้ ตกลงไปให้หรือไปขอ เข้าใจบุญให้ถูกต้องด้วย จะทำอย่างไรที่เราสามารถพ้นบาปได้ สิ่งที่น่ากลัวที่
ทำให้มนุษย์ไม่สามารถพ้นบาปได้คืออะไรรู้ไหม
ทำความดี ใช่ไหม (ใช่) ทำความดีอย่างไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีตัวตน ไม่ใช่ทำความดีแล้วก็เขียนชื่อตัวโตๆ อย่างนี้ไม่ได้นะ ทำดีแล้วต้องประกาศ ประกาศว่านายนี้ทำบุญหนึ่งร้อยบาท อย่างนี้ไม่ได้เลย เพราะเมื่อทำแล้วประกาศ ก็จะจบทันที ไม่มีอะไรเลย เพราะว่าด้วยความ
ยึดมั่น ลูบคลำไปด้วยกิเลสความหลงตน ฉะนั้นสิ่งที่จะทำให้เราห่างไกลจากบาปได้ที่สำคัญก็คือ ความไม่ประมาท ความไม่นิ่งนอนใจ และไม่ทำผิดแม้แต่ความชั่วเล็กๆ น้อยๆ
ยึดมั่น ลูบคลำไปด้วยกิเลสความหลงตน ฉะนั้นสิ่งที่จะทำให้เราห่างไกลจากบาปได้ที่สำคัญก็คือ ความไม่ประมาท ความไม่นิ่งนอนใจ และไม่ทำผิดแม้แต่ความชั่วเล็กๆ น้อยๆ
ลองเอามือข้างหนึ่งปิดตา และมืออีกข้างหนึ่งทำวงให้เล็กที่สุด แล้วลองส่องดูว่า สามารถมองเห็นเราทั้งตัวได้หรือไม่ (เห็น) รูเล็กๆ ยังสามารถทำให้เรามองเห็นทั้งตัวได้ ฉะนั้นอย่าประมาทว่าเป็นเพียงความผิดเล็กๆ น้อยๆ แล้วจะไม่สามารถล้มคว่ำชีวิตของเราได้ และสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถไปถึงบุญได้ นั่นเป็นเพราะมนุษย์คิดว่า ไม่เป็นอะไรหรอกแค่บาปเล็กๆ ทำนิดๆ หน่อยๆ ใช่ไหม (ใช่) สิ่งที่ทำนิดๆ หน่อยๆ ก็สามารถฆ่าเราให้ตายได้เหมือนกัน
ฉะนั้นลองถามตัวเอง ตอนนี้ที่เราไม่ได้บุญ ส่วนใหญ่เราก่อบุญหรือก่อบาป หรือเพราะส่วนใหญ่เรามักจะตกเป็นทาสของบาป กิเลสและความชั่ว ถึงจะทำบุญแค่ไหน แต่ถ้าบาปยังหยุดไม่ได้ เราก็ยังหนีผลกรรมไม่พ้น ถ้าอยากหนีกรรมให้พ้น หนีทุกข์ให้ได้ ท่านก็ต้องหยุดบาปด้วยการห้ามใจตัวเอง ใครทำร้ายเราก็ไม่น่ากลัวเท่ากับตัวเราสร้างศัตรูมาทำร้ายตัวเอง
แต่คนโดยส่วนใหญ่บางคนก็บอกว่า ไม่ค่อยเชื่อเรื่องบาปบุญ
คุณโทษ และก็มักจะคิดว่าทำไปไม่เห็นได้อะไรเลย คือ ไม่เชื่อเรื่อง
บาปบุญ และไม่เชื่อด้วยว่าทำแล้วไม่เห็นมีอะไรเลย
คุณโทษ และก็มักจะคิดว่าทำไปไม่เห็นได้อะไรเลย คือ ไม่เชื่อเรื่อง
บาปบุญ และไม่เชื่อด้วยว่าทำแล้วไม่เห็นมีอะไรเลย
หลังจากนี้ออกไปอยู่ข้างนอก ก่อนจะอยากอะไรคิดให้ดีๆ ถ้าอยากนั้นมันทำให้เราขุ่นหมอง ทำให้เราไม่อิ่มใจ ไม่สุขใจ อยากน้อยๆ ดีกว่า
จะได้ไม่สร้างบาป ถ้าอยากนั้นพิจารณาแล้วก่อให้เกิดความทุกข์เป็นที่สุด อย่างนั้นอย่าอยากเลยไม่ดีกว่าหรือ พอได้ก็พอ ถามว่าตอนนี้ถ้าไม่มีกินลำบากไหม บางคนก็ไม่ลำบาก ขอแค่อยากน้อยเราก็ทุกข์น้อยแล้ว
ถ้าอยากมากมีเท่าไหร่ก็ลำบาก
จะได้ไม่สร้างบาป ถ้าอยากนั้นพิจารณาแล้วก่อให้เกิดความทุกข์เป็นที่สุด อย่างนั้นอย่าอยากเลยไม่ดีกว่าหรือ พอได้ก็พอ ถามว่าตอนนี้ถ้าไม่มีกินลำบากไหม บางคนก็ไม่ลำบาก ขอแค่อยากน้อยเราก็ทุกข์น้อยแล้ว
ถ้าอยากมากมีเท่าไหร่ก็ลำบาก
เรามีอีกเรื่องหนึ่งที่ยังไม่ได้คุยกับท่านนะ เพราะมนุษย์โดย
ส่วนใหญ่ชีวิตจิตใจมักจะถูกครอบงำด้วยความคิด คิดดีก็ดี คิดไม่ดีก็ไม่ดี อารมณ์ก็น่ากลัวแล้ว กิเลสก็น่ากลัว อีกอันหนึ่งที่น่ากลัวก็คือ ความคิด ฉะนั้นถึงจะเป็นผู้บำเพ็ญธรรมแต่ถ้ายังไม่รู้เท่าทันความคิด ความคิดก็สามารถที่จะดลบันดาลให้ชีวิตพบแต่ความทุกข์ได้ แล้วเราตกเป็นทาสความคิดไหม (เป็น) โดยส่วนใหญ่เป็น แล้วท่านรู้ไหมว่าทำอะไรที่ทำให้เป็นบาปและโทษหนักที่สุดในโลก (ทรพีเนรคุณ) ฆ่าพ่อฆ่าแม่บาปกว่า
ใช่ไหม คนที่ฆ่าพ่อฆ่าแม่ เวลาตกนรกยังมีเวลาจำกัด แต่มีบาปอันหนึ่ง
ที่น่ากลัวยิ่งกว่าฆ่าพ่อฆ่าแม่คืออะไรรู้ไหม (ฆ่าตัวเอง) ฆ่าตัวเองยังน้อย คนที่บอกว่าทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป เชื่อไหมใครที่ตายแล้วมีความคิดนี้อยู่ ตายปุ๊บตกนรกทันทีเพราะอะไร เพราะเป็นมิจฉาทิฐิ
นิตยมิจฉาทิฏฐิ เป็นบาปที่ให้โทษสูงสุดในบรรดาบาปทั้งมวล นั่นคือความคิดผิดที่ดิ่งลงอยู่ในความคิดนั้น และก็ปักใจเชื่อว่า ทำดีไม่เห็นได้ดีเลย ทำไปทำไมบาปบุญไม่มีหรอก ปัจจัยบุญกรรมไม่มีหรอก ใครที่มีความคิดอย่างนี้ เชื่อไหมว่า ตายไปตกนรกแล้วยังเป็นต้นตอแห่งวัฏฏะ คือ หาทางออกจากการเวียนว่ายตายเกิดไม่เจอ แม้พุทธะร้อยพระองค์มาโปรดก็ไม่สามารถทำให้คนๆ นี้พ้นทุกข์ได้ นอกจากเขาจะสละและวางความคิดผิดนั้นลง เชื่อไหมว่าคนที่มีความคิดผิดอันนี้อยู่ในจิตใจ สิ้นไปหนึ่งกัปแล้ว คนอื่นเขากลับมาอยู่ในพรหมโลก คนนี้ก็ยังอยู่หลังจักรวาล และถูกเผาไหม้อยู่หลังจักรวาลนี้ ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดแม้จะทำบุญขนาดไหนก็ตาม บุญนั้นก็ไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้ เพราะความคิดผิดที่ไม่เชื่อเรื่องบุญบาป ไม่เชื่อเรื่องทำแล้วจะต้องได้รับผลกรรม น่ากลัวไหม
(น่ากลัว) แล้วเราเคยมีความคิดแบบนี้ไหม (ไม่เคย) จำไว้นะ ถ้าขณะที่ตายแค่คิดโกรธ บุญที่สร้างมาจะหายไปทันที แต่ความคิดโกรธนี่แหละจะทำให้ท่านตกในอบายภูมิ ตกนรก ฉะนั้นต้องระวังความคิด ไม่ใช่แค่ระวังกิเลส อารมณ์ บาป แต่ความคิดผิดเพียงชั่วขณะหนึ่งก็สามารถทำให้มนุษย์ไม่มีวันพ้นทุกข์ได้ จงอย่าเผลอมีมารครอบงำความคิด ขาดสติ และประมาทคิดว่าตัวฉันยังดีอยู่ บุญก็บุญ บาปก็บาป และยิ่งถ้าเป็นบาป
ที่หนักที่สุด กรรมนั้นต้องส่งผลไว กลัวไหม (กลัว) กลัวสิ่งที่เราพูดหรือกลัวความคิดตัวเอง (กลัวความคิดตัวเอง)
ส่วนใหญ่ชีวิตจิตใจมักจะถูกครอบงำด้วยความคิด คิดดีก็ดี คิดไม่ดีก็ไม่ดี อารมณ์ก็น่ากลัวแล้ว กิเลสก็น่ากลัว อีกอันหนึ่งที่น่ากลัวก็คือ ความคิด ฉะนั้นถึงจะเป็นผู้บำเพ็ญธรรมแต่ถ้ายังไม่รู้เท่าทันความคิด ความคิดก็สามารถที่จะดลบันดาลให้ชีวิตพบแต่ความทุกข์ได้ แล้วเราตกเป็นทาสความคิดไหม (เป็น) โดยส่วนใหญ่เป็น แล้วท่านรู้ไหมว่าทำอะไรที่ทำให้เป็นบาปและโทษหนักที่สุดในโลก (ทรพีเนรคุณ) ฆ่าพ่อฆ่าแม่บาปกว่า
ใช่ไหม คนที่ฆ่าพ่อฆ่าแม่ เวลาตกนรกยังมีเวลาจำกัด แต่มีบาปอันหนึ่ง
ที่น่ากลัวยิ่งกว่าฆ่าพ่อฆ่าแม่คืออะไรรู้ไหม (ฆ่าตัวเอง) ฆ่าตัวเองยังน้อย คนที่บอกว่าทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป เชื่อไหมใครที่ตายแล้วมีความคิดนี้อยู่ ตายปุ๊บตกนรกทันทีเพราะอะไร เพราะเป็นมิจฉาทิฐิ
นิตยมิจฉาทิฏฐิ เป็นบาปที่ให้โทษสูงสุดในบรรดาบาปทั้งมวล นั่นคือความคิดผิดที่ดิ่งลงอยู่ในความคิดนั้น และก็ปักใจเชื่อว่า ทำดีไม่เห็นได้ดีเลย ทำไปทำไมบาปบุญไม่มีหรอก ปัจจัยบุญกรรมไม่มีหรอก ใครที่มีความคิดอย่างนี้ เชื่อไหมว่า ตายไปตกนรกแล้วยังเป็นต้นตอแห่งวัฏฏะ คือ หาทางออกจากการเวียนว่ายตายเกิดไม่เจอ แม้พุทธะร้อยพระองค์มาโปรดก็ไม่สามารถทำให้คนๆ นี้พ้นทุกข์ได้ นอกจากเขาจะสละและวางความคิดผิดนั้นลง เชื่อไหมว่าคนที่มีความคิดผิดอันนี้อยู่ในจิตใจ สิ้นไปหนึ่งกัปแล้ว คนอื่นเขากลับมาอยู่ในพรหมโลก คนนี้ก็ยังอยู่หลังจักรวาล และถูกเผาไหม้อยู่หลังจักรวาลนี้ ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดแม้จะทำบุญขนาดไหนก็ตาม บุญนั้นก็ไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้ เพราะความคิดผิดที่ไม่เชื่อเรื่องบุญบาป ไม่เชื่อเรื่องทำแล้วจะต้องได้รับผลกรรม น่ากลัวไหม
(น่ากลัว) แล้วเราเคยมีความคิดแบบนี้ไหม (ไม่เคย) จำไว้นะ ถ้าขณะที่ตายแค่คิดโกรธ บุญที่สร้างมาจะหายไปทันที แต่ความคิดโกรธนี่แหละจะทำให้ท่านตกในอบายภูมิ ตกนรก ฉะนั้นต้องระวังความคิด ไม่ใช่แค่ระวังกิเลส อารมณ์ บาป แต่ความคิดผิดเพียงชั่วขณะหนึ่งก็สามารถทำให้มนุษย์ไม่มีวันพ้นทุกข์ได้ จงอย่าเผลอมีมารครอบงำความคิด ขาดสติ และประมาทคิดว่าตัวฉันยังดีอยู่ บุญก็บุญ บาปก็บาป และยิ่งถ้าเป็นบาป
ที่หนักที่สุด กรรมนั้นต้องส่งผลไว กลัวไหม (กลัว) กลัวสิ่งที่เราพูดหรือกลัวความคิดตัวเอง (กลัวความคิดตัวเอง)
ฉะนั้นจงมีสติ ทำอะไรจงรู้จักใช้สติ อย่าเผลอให้ความคิดมา
ทำร้ายตัวเองเด็ดขาด เหมือนกับการนั่งตรงนี้คิดดีก็พ้นทุกข์ คิดไม่ดีก็ได้บาปแถมตกนรกทันทีด้วย ใครที่จะฉุดมนุษย์พ้นทุกข์ ไม่ใช่พระพุทธะนะ แต่ต้องเป็นตัวท่านเอง ฉะนั้นจึงบอกว่าแม้ความคิดชั่วแล่นขณะหนึ่ง ก็จงพยายามประคองให้อยู่ในบุญกุศล อย่าเผลอไปอยู่ในบาป เพราะถ้าบาปแล้วตกลงในจิตใจตกลงในอนุสัย และเพาะเชื้อก่อเกิดเป็นเหตุปัจจัย
ตอนนั้นท่านจะเสียใจจริงๆ ที่จบกันไม่ลง ฉะนั้นเกิดเป็นคนอย่าประมาท
ทำร้ายตัวเองเด็ดขาด เหมือนกับการนั่งตรงนี้คิดดีก็พ้นทุกข์ คิดไม่ดีก็ได้บาปแถมตกนรกทันทีด้วย ใครที่จะฉุดมนุษย์พ้นทุกข์ ไม่ใช่พระพุทธะนะ แต่ต้องเป็นตัวท่านเอง ฉะนั้นจึงบอกว่าแม้ความคิดชั่วแล่นขณะหนึ่ง ก็จงพยายามประคองให้อยู่ในบุญกุศล อย่าเผลอไปอยู่ในบาป เพราะถ้าบาปแล้วตกลงในจิตใจตกลงในอนุสัย และเพาะเชื้อก่อเกิดเป็นเหตุปัจจัย
ตอนนั้นท่านจะเสียใจจริงๆ ที่จบกันไม่ลง ฉะนั้นเกิดเป็นคนอย่าประมาท
ถึงเวลาเราก็คงต้องไปแล้ว (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตามอบแอปเปิลให้นักเรียนที่ตอบคำถาม) กินแอปเปิลเยอะๆ จะได้พูดน้อยๆ ใจเย็นๆ เชื่อศิษย์พี่นะศิษย์น้อง ไม่ว่าทำอะไรนิ่งเข้าไว้ ใช้สติ อย่าใจเร็วด่วนได้ อย่าวู่วามหุนหันพลันแล่น ยิ่งถ้าอายุมากแล้วต้องนิ่ง เพราะคนที่ยิ่งนิ่งมากเท่าไรก็ยิ่งลึกล้ำยากหยั่งถึง แต่ถ้ายิ่งอ้าปากพูดๆ มันก็ง่ายๆ ไม่มีอะไร
ทำอะไรขอให้ระมัดระวัง นอกจากระวังกิเลสเพื่อไม่ให้ก่อบาปแล้ว ยังต้องระวังความคิด จำไว้นะ แม้พระพุทธะมาโปรดร้อยองค์ก็ฉุดท่านให้พ้นทุกข์ไม่ได้ ถ้าท่านยังคิดผิด คิดร้าย คิดไม่ดี อยากมีบุญ อยากไปถึงมรรคผลนิพพาน อยากมีสุข ก็จงระวังความคิดให้ตั้งอยู่ในกุศล ตั้งอยู่ในความถูกต้องดีงาม
วันนี้เราพูดง่ายๆ นะศิษย์น้อง แต่เป็นเรื่องง่ายๆ ที่มนุษย์ยัง
ทำไม่ได้ จำไว้นะ ก้าวผิดเพียงความคิดเดียว แม้มือหนึ่งจะทำบุญแต่มือหนึ่งก็สามารถพร้อมจะทำบาปได้ พลาดผิดอารมณ์นิดเดียว แม้หวังดีขนาดไหน แต่ก็ก่อเป็นกรรมได้ ฉะนั้นขอให้ระมัดระวังตน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ศิษย์พี่พูดล้วนห่วงใย และปรารถนาดีกับศิษย์น้องนะ ทำให้ดีนะ
ทำไม่ได้ จำไว้นะ ก้าวผิดเพียงความคิดเดียว แม้มือหนึ่งจะทำบุญแต่มือหนึ่งก็สามารถพร้อมจะทำบาปได้ พลาดผิดอารมณ์นิดเดียว แม้หวังดีขนาดไหน แต่ก็ก่อเป็นกรรมได้ ฉะนั้นขอให้ระมัดระวังตน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ศิษย์พี่พูดล้วนห่วงใย และปรารถนาดีกับศิษย์น้องนะ ทำให้ดีนะ
วันอาทิตย์ที่ ๑๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ สถานธรรมหย่งชาง อ.แม่สอด จ.ตาก
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เกิดแก่เจ็บตายไม่สิ้น ถวิลในสุขใช่ไหม
มีแต่ทุกข์ที่เป็นไป ไหนสุขอย่าลวงตนเลย
เหมือนรู้แต่ดูไม่เห็น เหมือนเป็นแต่กลับทำเฉย
ทำรู้แต่ดูละเลย ใจเอ๋ยใจคนค้นไป
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหย่งชาง แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม
ถึงรู้ตนดีแค่ไหน แต่ไม่เคยยั้งหยุดได้
อารมณ์ยังคงนำใจ นิสัยยังไม่เปลี่ยนแปลง เฮ้อ เฮ้อ เฮ้อ
คนดีแต่ใจถือมั่น ยึดกันมีดีร้ายแฝง
อัตตากิเลสรุนแรง คอยแว้งกัดคนหลงตน
แค่รู้ทุกข์มาฝึกใจ แค่ไม่ตามกิเลสคน
แค่รู้แค่เห็นวางตน เอาตนแบกรับทำไม
ฝึกนิ่งเมื่อถูกกระทบ เริ่มจบตัดต้นเหตุได้
อย่าเอาตนวัดใครใคร สติฉับไวรู้ทัน
แค่คิดก็ต้องระวัง เพราะนั้นก็เป็นตัวฉัน
หยุดฟุ้งไปได้ทั้งวัน มีฉันทุกข์ไม่สิ้นเอย
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
กายหรือใจ เป็นเรื่องยากนะที่จะให้คนอื่นเข้าใจธรรมเหมือนที่เราเข้าใจ สิ่งสำคัญนะศิษย์เอ๋ย พึ่งอาจารย์ไม่สู้พึ่งหัวใจตัวเอง ตามอาจารย์ไม่สู้ตามปัญญาตัวเอง เพราะมีแต่ปัญญาที่จะนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้ แม้แต่พระพุทธองค์ยังกล่าวไว้เลย เมื่อครั้งพระพุทธองค์กลับคืนไปแล้ว พระอานนท์บอกว่า พระพุทธองค์จากไปแล้ว เราจะยึดอะไรเป็นที่พึ่ง
พระพุทธองค์สอนให้ยึดอะไรเป็นที่พึ่ง (พระธรรม) ธรรมในไหน แต่ไม่ใช่ธรรมของพระพุทธองค์ แต่เป็นธรรมที่ศิษย์รู้ตื่นด้วยตนเอง เมื่อเวลาเจอปัญหา เจอความทุกข์ ต้องคิดให้ออก อย่ามองอย่างยึดติด อย่ามองอย่างคนมีกรอบ แต่จงมองอย่างคนที่เห็นจริง และรับให้ได้ในทุกๆ เรื่อง นั่นจึงจะทำให้เราพบธรรมที่แท้จริง และมองโลกอย่างแจ่มชัด
พระพุทธองค์สอนให้ยึดอะไรเป็นที่พึ่ง (พระธรรม) ธรรมในไหน แต่ไม่ใช่ธรรมของพระพุทธองค์ แต่เป็นธรรมที่ศิษย์รู้ตื่นด้วยตนเอง เมื่อเวลาเจอปัญหา เจอความทุกข์ ต้องคิดให้ออก อย่ามองอย่างยึดติด อย่ามองอย่างคนมีกรอบ แต่จงมองอย่างคนที่เห็นจริง และรับให้ได้ในทุกๆ เรื่อง นั่นจึงจะทำให้เราพบธรรมที่แท้จริง และมองโลกอย่างแจ่มชัด
หลายคนมาที่นี่บางครั้งก็กลัวโดนหลอก กลัวให้เปลี่ยนศาสนาอะไรก็ไม่รู้
(พระอาจารย์เมตตาให้อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมออกมาหน้าชั้น)
อาจารย์ถามนะ อายุปูนนี้แล้วอยู่บ้านเฉยๆ ก็สบาย แล้วหน้าตาอย่างเขานี่อยู่บ้านเฉยๆ ก็มีกินมีใช้ เขาจะเหนื่อยทำไม เหนื่อยเพื่อมาหลอกเงินเราสิบบาทยี่สิบบาทคุ้มไหม (ไม่คุ้ม) ลำบากเปล่าๆ ฉะนั้นก่อนที่จะคิดว่าเขามาหลอกเรา ให้ดูหน้าเรากับหน้าเขาก่อนว่าใครสบายกว่ากัน ดูว่าราศีเขากับราศีเราใครลำบากกว่ากัน เราลำบากกว่าเขาอีก เขาสบายแม้ไม่ต้องทำอะไรก็มีกินมีใช้แล้ว อายุปูนนี้แล้วนั่งเฉยๆ อยู่บ้านก็ได้ จะเดินทางจากกรุงเทพฯ และมาที่นี่ทำไม ทุกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ นี้
เขามาลำบากเพื่ออะไร เพราะเขาเห็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าเงินทอง เห็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าชีวิตของเขา นั่นก็คือจิตใจของศิษย์ทุกคน และเชื่อว่าศิษย์
ทุกคนมีใจอันประเสริฐ ที่จะสามารถนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ และทำให้คนรอบข้างไม่ต้องทุกข์เพราะตัวเรา สิ่งที่เขาทำในวันนี้ หรือสิ่งที่ทุกคนทำ
ในวันนี้ เขาไม่ได้ต้องการเอาเงิน และเขาก็ไม่ได้เห็นเงินมีค่าสำหรับชีวิตเขา แต่เขาเห็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าชีวิตและเงินของเขา คือใจของศิษย์ทุกคน ศิษย์ทุกคนมีใจอันประเสริฐ มีใจอันดีงาม มีใจที่สามารถจะนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ได้ เมื่อเขารู้แล้วเขาเลยอยากให้เราได้รู้ด้วย ลองถามตัวเราเองสิ อยู่บ้านสบายๆ เอาไหม (เอา) มีกินมีใช้อยู่บ้านลูกหลานดูแลเอาไหม (เอา) แล้วจะยอมลำบากเพื่อคนอื่นไหม แล้วทำไมคนเหล่านี้ถึงมาทำ แล้วทำไปเพื่ออะไร มาหลอกเงินเราอย่างนั้นหรือ อาจารย์ว่าเขาไม่ได้มาหลอกท่านหรอกนะ ท่านนั่นแหละที่หลอกเขา บอกเขาว่าดี แต่พอกลับบ้านไปก็คิดว่าจะไม่มาแล้ว ศิษย์เอ๋ยทำอะไรคิดให้ดีๆ อย่ามัวแต่มองคนอื่นจนลืมมองตัวเอง การบำเพ็ญธรรมสอนให้เรามองตัวเอง ไม่มอง
คนอื่น แก้ไขตัวเองไม่แก้ไขใคร อย่าเอาแต่ด่าคนอื่นแล้วลืมด่าตัวเอง
ใช่ไหม (ใช่) ศิษย์เคยเห็นไหม เมื่อคนเราเป็นอย่างไรก็มักจะมองเห็นคนเป็นอย่างนั้น ใจเราเป็นอย่างไรก็เห็นใจคนอื่นเป็นอย่างนั้น ใช่ไหม (ใช่)
เขามาลำบากเพื่ออะไร เพราะเขาเห็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าเงินทอง เห็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าชีวิตของเขา นั่นก็คือจิตใจของศิษย์ทุกคน และเชื่อว่าศิษย์
ทุกคนมีใจอันประเสริฐ ที่จะสามารถนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ และทำให้คนรอบข้างไม่ต้องทุกข์เพราะตัวเรา สิ่งที่เขาทำในวันนี้ หรือสิ่งที่ทุกคนทำ
ในวันนี้ เขาไม่ได้ต้องการเอาเงิน และเขาก็ไม่ได้เห็นเงินมีค่าสำหรับชีวิตเขา แต่เขาเห็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าชีวิตและเงินของเขา คือใจของศิษย์ทุกคน ศิษย์ทุกคนมีใจอันประเสริฐ มีใจอันดีงาม มีใจที่สามารถจะนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ได้ เมื่อเขารู้แล้วเขาเลยอยากให้เราได้รู้ด้วย ลองถามตัวเราเองสิ อยู่บ้านสบายๆ เอาไหม (เอา) มีกินมีใช้อยู่บ้านลูกหลานดูแลเอาไหม (เอา) แล้วจะยอมลำบากเพื่อคนอื่นไหม แล้วทำไมคนเหล่านี้ถึงมาทำ แล้วทำไปเพื่ออะไร มาหลอกเงินเราอย่างนั้นหรือ อาจารย์ว่าเขาไม่ได้มาหลอกท่านหรอกนะ ท่านนั่นแหละที่หลอกเขา บอกเขาว่าดี แต่พอกลับบ้านไปก็คิดว่าจะไม่มาแล้ว ศิษย์เอ๋ยทำอะไรคิดให้ดีๆ อย่ามัวแต่มองคนอื่นจนลืมมองตัวเอง การบำเพ็ญธรรมสอนให้เรามองตัวเอง ไม่มอง
คนอื่น แก้ไขตัวเองไม่แก้ไขใคร อย่าเอาแต่ด่าคนอื่นแล้วลืมด่าตัวเอง
ใช่ไหม (ใช่) ศิษย์เคยเห็นไหม เมื่อคนเราเป็นอย่างไรก็มักจะมองเห็นคนเป็นอย่างนั้น ใจเราเป็นอย่างไรก็เห็นใจคนอื่นเป็นอย่างนั้น ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นที่ทุกคนมา เพราะเขาเห็นว่าใจของท่านนั้นดี จึงอยากช่วยให้ดีที่สุด แต่ตอนนี้ใจของเรานั้นดีไหม แล้วทำไมเห็นว่าเขาหลอกลวง
อย่างนั้นถ้าเราเห็นว่าเขาหลอก ก็แปลว่าใจของเราก็หลอก จริงไหม (จริง) เห็นเขาว่าไม่ดี แสดงว่าใจของเราก็ต้องมีไม่ดีด้วย จริงไหม (จริง) เหมือนคนที่ติดเหล้า ถ้าไม่มีเหล้าอยู่ในใจ แล้วเราจะเดินไปหาเหล้าไหม (ไม่เดิน) เหมือนคนไม่มีบุหรี่อยู่ในใจ เมื่อเห็นบุหรี่แล้วจะอยากไหม
(ไม่อยาก) ก็เหมือนกัน ถ้าใจของเราไม่มีความชั่ว แล้วใจของเราจะประพฤติชั่วหรือไม่ (ไม่) ถ้าใจของเราไม่ขี้นินทา แล้วปากเราจะขี้นินทาไหม (ไม่) ถ้าตัวของเราไม่ดี แล้วใจของเราจะดีไหม (ไม่ดี) ใจของเรา
ไม่ดี แล้วตัวของเราจะดีได้ไหม (ไม่ได้) อย่างนั้นต้องโทษเขาหรือโทษเรา (โทษเรา) ฉะนั้น ฝึกฝนบำเพ็ญ ไม่ใช่ดีแค่ภายนอก ไม่ใช่ปฏิบัติแค่ภายนอก แต่ต้องฝึกฝนบำเพ็ญแล้วปฏิบัติสะท้อนกลับเข้ามาแก้ไข เปลี่ยนแปลงภายใน ใช่ไหม (ใช่)
อย่างนั้นถ้าเราเห็นว่าเขาหลอก ก็แปลว่าใจของเราก็หลอก จริงไหม (จริง) เห็นเขาว่าไม่ดี แสดงว่าใจของเราก็ต้องมีไม่ดีด้วย จริงไหม (จริง) เหมือนคนที่ติดเหล้า ถ้าไม่มีเหล้าอยู่ในใจ แล้วเราจะเดินไปหาเหล้าไหม (ไม่เดิน) เหมือนคนไม่มีบุหรี่อยู่ในใจ เมื่อเห็นบุหรี่แล้วจะอยากไหม
(ไม่อยาก) ก็เหมือนกัน ถ้าใจของเราไม่มีความชั่ว แล้วใจของเราจะประพฤติชั่วหรือไม่ (ไม่) ถ้าใจของเราไม่ขี้นินทา แล้วปากเราจะขี้นินทาไหม (ไม่) ถ้าตัวของเราไม่ดี แล้วใจของเราจะดีไหม (ไม่ดี) ใจของเรา
ไม่ดี แล้วตัวของเราจะดีได้ไหม (ไม่ได้) อย่างนั้นต้องโทษเขาหรือโทษเรา (โทษเรา) ฉะนั้น ฝึกฝนบำเพ็ญ ไม่ใช่ดีแค่ภายนอก ไม่ใช่ปฏิบัติแค่ภายนอก แต่ต้องฝึกฝนบำเพ็ญแล้วปฏิบัติสะท้อนกลับเข้ามาแก้ไข เปลี่ยนแปลงภายใน ใช่ไหม (ใช่)
อาจารย์ขอถามหน่อยว่า ใครคิดว่าตัวเองดีมากๆ ยกมือขึ้น
เมื่อสักครู่อาจารย์บอกแล้วว่า ถ้าในใจดีปฏิบัติก็ดี อย่างนั้นแปลว่าในใจของท่านก็ไม่ดีเลยใช่ไหม (ใช่) ก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง ที่รู้ว่าตัวเองไม่ดี
จึงสามารถแก้ไขให้ดีขึ้น กลัวแต่เป็นประเภทที่คิดว่าตัวเองดี แล้วก็ไม่ยอมที่จะแก้ไขอะไร ใช่ไหม (ใช่) สรุปแล้วเราเป็นประเภทไหน เราเป็นประเภทเดี๋ยวร้ายเดี๋ยวดี ใช่ไหม (ใช่) อย่างนี้คบไม่ได้ ใช่หรือเปล่า
จริงไหม เพราะคนที่เอาแน่นอนกับชีวิตไม่ได้ แล้วศิษย์จะคบเขาไหม
(ไม่คบ) แล้วอยากไปไหนกับเขาด้วยไหม (ไม่อยาก) ฉะนั้นหากคนที่คิดว่าอย่างไรฉันก็ต้องดีให้ได้ คนแบบนี้น่าคบกว่า ถูกไหม (ถูก) แล้วเราเป็นประเภทไหน ก็ยังดียังร้ายอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อสักครู่อาจารย์บอกแล้วว่า ถ้าในใจดีปฏิบัติก็ดี อย่างนั้นแปลว่าในใจของท่านก็ไม่ดีเลยใช่ไหม (ใช่) ก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง ที่รู้ว่าตัวเองไม่ดี
จึงสามารถแก้ไขให้ดีขึ้น กลัวแต่เป็นประเภทที่คิดว่าตัวเองดี แล้วก็ไม่ยอมที่จะแก้ไขอะไร ใช่ไหม (ใช่) สรุปแล้วเราเป็นประเภทไหน เราเป็นประเภทเดี๋ยวร้ายเดี๋ยวดี ใช่ไหม (ใช่) อย่างนี้คบไม่ได้ ใช่หรือเปล่า
จริงไหม เพราะคนที่เอาแน่นอนกับชีวิตไม่ได้ แล้วศิษย์จะคบเขาไหม
(ไม่คบ) แล้วอยากไปไหนกับเขาด้วยไหม (ไม่อยาก) ฉะนั้นหากคนที่คิดว่าอย่างไรฉันก็ต้องดีให้ได้ คนแบบนี้น่าคบกว่า ถูกไหม (ถูก) แล้วเราเป็นประเภทไหน ก็ยังดียังร้ายอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ไม่เป็นไรวันนี้วันสุดท้ายแล้ว ไม่ต้องอดทนแล้ว ใกล้จะจบแล้ว ดีใจไหม (ดีใจ) ดีใจหรือ แปลว่าต้องอดทนมามากเลยใช่ไหม (ใช่) ผู้ร่วมฟังบอกว่าใช่ ถ้าเราใช้ความเข้าใจเราก็ไม่ต้องใช้ความอดทน ถ้าเราอยู่ด้วยความเข้าใจกัน เราต้องอดทนใครไหม (ไม่ต้อง) เหมือนเราเข้าใจคนๆ หนึ่ง เหมือนที่เขาเป็นอย่างนี้ เราเข้าใจเขาแล้วว่า เขาขี้โมโห ทำไมเราทำใจได้และไม่โกรธ เพราะเราเข้าใจแล้วว่าเขาขี้โมโห หรือบางคนเรารู้ว่าเขาขี้บ่น บ่นแค่เดี๋ยวเดียวก็ทนๆ ไปหน่อย พอเราเข้าใจเราก็ไม่โกรธ อยากอยู่ในโลกแบบไม่ทุกข์ ทำไมไม่ทำความเข้าใจเขา เมื่อเข้าใจต้องอดทนไหม เมื่อเข้าใจต้องพยายามเมตตาไหม เมื่อเข้าใจแล้วจะโมโหไปทำไม
จริงหรือไม่ (จริง) แล้วเราทำไมไม่ใช้ความเข้าใจในทุกๆ สิ่ง เราลืมไปหรือไม่ อะไรจะเกิดก็ให้อดทนไว้ ใจเย็นไว้ เหนื่อยไหม (เหนื่อย) อดทนไปสักพักหนึ่งก็มีขีดจำกัด ไม่ไหวแล้วนะ ผลสุดท้ายก็แตกเลย แล้วเป็นอย่างไร มองหน้ากันติดไหม บางทีนึกว่าที่ต้องระบายไปเพราะทุกข์เหลือเกิน เมื่อระบายไปแล้ว จะได้จบๆ กัน แล้วจบไหม (ไม่จบ) ไม่เพียงไม่จบแถมจะยาวอีกด้วย นึกว่าพูดไปแล้ว หายแล้ว โล่งแล้ว ที่ไหนได้
เขากลับเอาไปพูดต่อ คิดให้ดีๆ ใช้ความเข้าใจตั้งแต่ต้น ดีกว่าใช้ความอดทน
จริงหรือไม่ (จริง) แล้วเราทำไมไม่ใช้ความเข้าใจในทุกๆ สิ่ง เราลืมไปหรือไม่ อะไรจะเกิดก็ให้อดทนไว้ ใจเย็นไว้ เหนื่อยไหม (เหนื่อย) อดทนไปสักพักหนึ่งก็มีขีดจำกัด ไม่ไหวแล้วนะ ผลสุดท้ายก็แตกเลย แล้วเป็นอย่างไร มองหน้ากันติดไหม บางทีนึกว่าที่ต้องระบายไปเพราะทุกข์เหลือเกิน เมื่อระบายไปแล้ว จะได้จบๆ กัน แล้วจบไหม (ไม่จบ) ไม่เพียงไม่จบแถมจะยาวอีกด้วย นึกว่าพูดไปแล้ว หายแล้ว โล่งแล้ว ที่ไหนได้
เขากลับเอาไปพูดต่อ คิดให้ดีๆ ใช้ความเข้าใจตั้งแต่ต้น ดีกว่าใช้ความอดทน
เรื่องบางเรื่องคนบางคนเหมือนเด็ก ทำไมเราเข้าใจนิสัยของเด็ก เพราะเรารู้ว่าเด็กขี้แย เมื่อไรที่เรามองดูเด็กก็ยังรู้สึกรัก แต่ทำไมกับภรรยาของเรา เรากลับไม่เข้าใจ กับสามีของเราทำไมเรากลับไม่รู้เรื่อง กับเพื่อนของเรา เราเข้าใจว่าเขาเป็นอย่างนี้ แต่กับพ่อแม่ของเรา
เรากลับรับไม่ได้ เราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า
เรากลับรับไม่ได้ เราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า
(พระอาจารย์เมตตาแจ้งพระนาม)
เอาอะไรมาต้อนรับอาจารย์ดี หน้าตาบึ้งตึงหรือว่าหน้าตาที่ยิ้มแย้ม ยิ้มไม่ออกหรือ โดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนปรารถนาเวลาเจอหน้ากันให้ยิ้ม จะรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม เขาจะว่าเราบ้าก็ไม่เป็นไร แต่เชื่อไหมว่าถ้า
ไม่รู้จักแล้วยิ้มให้ กลับบ้านไปเขาก็ยังจำเราได้ สงสัยว่าเรายิ้มทำไมหนอ ดีกว่าทำหน้าบึ้ง พอคนเดินผ่านก็จะรู้สึกว่าเราน่าเกลียด ทำหน้าทุเรศ แบบไหนดีกว่ากัน (หน้ายิ้ม) แล้วทำไมปัจจุบันนี้มนุษย์ในโลก หรือศิษย์
ในโลกไม่เลือกที่จะยิ้ม ทำไมเลือกที่จะปั้นปึงเข้าหากัน ศิษย์อยากให้คนอื่นเปิดใจ อยากเป็นที่รักของคนอื่นไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ไปอยู่ที่ไหนใครๆ ก็ทำหน้าไม่ต้อนรับ เราอยากให้คนต้อนรับและรักเราไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเราไม่ยิ้ม ศิษย์ชอบคนพูดดีๆ ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเราพูดกระโชกโฮกฮาก ศิษย์ชอบคนซื่อตรงไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเราชอบเอาเปรียบคดโกง ศิษย์ชอบคนจริงใจไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเราเป็นพวกปากว่าตาขยิบ ศิษย์ไม่ชอบคนนินทาไม่ใช่หรือ แล้วทำไมพอเผลอก็นินทา
ไม่รู้จักแล้วยิ้มให้ กลับบ้านไปเขาก็ยังจำเราได้ สงสัยว่าเรายิ้มทำไมหนอ ดีกว่าทำหน้าบึ้ง พอคนเดินผ่านก็จะรู้สึกว่าเราน่าเกลียด ทำหน้าทุเรศ แบบไหนดีกว่ากัน (หน้ายิ้ม) แล้วทำไมปัจจุบันนี้มนุษย์ในโลก หรือศิษย์
ในโลกไม่เลือกที่จะยิ้ม ทำไมเลือกที่จะปั้นปึงเข้าหากัน ศิษย์อยากให้คนอื่นเปิดใจ อยากเป็นที่รักของคนอื่นไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ไปอยู่ที่ไหนใครๆ ก็ทำหน้าไม่ต้อนรับ เราอยากให้คนต้อนรับและรักเราไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเราไม่ยิ้ม ศิษย์ชอบคนพูดดีๆ ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเราพูดกระโชกโฮกฮาก ศิษย์ชอบคนซื่อตรงไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเราชอบเอาเปรียบคดโกง ศิษย์ชอบคนจริงใจไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเราเป็นพวกปากว่าตาขยิบ ศิษย์ไม่ชอบคนนินทาไม่ใช่หรือ แล้วทำไมพอเผลอก็นินทา
ศิษย์อยากอยู่ที่ไหนก็ไม่มีเรื่องไม่ใช่หรือ แต่ทำไมใจเราชอบหาเรื่อง อยู่บ้านปกติดีๆ ก็ไม่เอา ต้องอย่างนี้ต้องอย่างนั้น บางทีเงียบๆ บ้างก็ได้ ถามหน่อยที่ชีวิตวุ่นวายเพราะเขาหรือเรา (เพราะเรา) แต่ถ้าอาจารย์
ไม่พูดก็เป็นเพราะเขาตลอดเลย ใช่ไหม (ใช่) ศิษย์เอ๋ยก่อนที่จะไปโทษฟ้า โทษดิน โทษเพื่อนมนุษย์ ถามตัวเราก่อนว่าปฏิบัติได้ซื่อตรงเที่ยงธรรมหรือยัง ปฏิบัติได้ดีงามเพียบพร้อมหรือไม่ ถ้าซื่อตรงจริงใจ เพียบพร้อม
ดีงาม ฟ้าจะเล่นตลกไยต้องกลัว เพราะทองแท้ต้องไม่กลัวการโดนหลอม คนดีจริงไม่กลัวคำนินทาว่าร้าย และชะตากรรม มีแต่พวกทองไม่แท้
ดีไม่จริง เจอนิดหน่อยก็ร้อนตัว เหมือนเข้ามาห้องพระ รู้สึกร้อนไหม
(ไม่ร้อน) วันนี้เราไม่ร้อน แต่เมื่อวานร้อนอย่างกับอะไรดี ใช่ไหมศิษย์ อาจารย์ถามหน่อยนะ เข้ามาห้องพระแล้วร้อนเขาเรียกพวกอะไร (ผี, คนบาป, พวกมาร) เราเข้ามาแล้วร้อนไหม (ไม่ร้อน) โกหกทั้งเพ เข้ามาแรกๆ ก็ร้อน ที่ร้อนเพราะอะไรรู้ไหม เพราะเรามีบาปอยู่ และยังมีส่วนที่ไม่ดีอยู่ แต่เราเข้ามาเริ่มรู้สึกเย็นขึ้นๆ เพราะยิ่งได้ฟังยิ่งได้ชำระล้างบาป ยิ่งฟังก็ยิ่งให้เราปลดปล่อยสิ่งไม่ดีออกมา ใจเราก็เลยเย็น หลายครั้งที่ผู้ปฏิบัติงานธรรมมา ไม่กล้าเจอหน้าอาจารย์ เพราะว่ารู้สึกร้อน บาปก็เยอะ เวลาเจอหน้าอาจารย์ก็ละอายใจ เลยไม่กล้ามาเจอ น่าเสียดาย
รู้แล้วละอายใจทำไมไม่รีบล้างให้สะอาด คนเราก็แปลกอาบน้ำก่อนใส่เสื้อก็ยังสะบัดแล้วค่อยใส่ แล้วใจเราเคยล้างไหม ทุกวันเอาแต่ใส่อะไรเข้าไป แล้วดีไหมที่ใส่เข้าไป ไม่ดี ด่าคนนั้น เกลียดคนนี้ ว่าคนนี้ไม่ดีอย่างนั้น
ว่าคนนั้นไม่ดีอย่างนี้ ทุกวันที่ใส่ลงไปสะอาดทั้งนั้นเลย อาจารย์ถามจริงๆ ที่อยู่ในใจศิษย์นั้นดีหรือไม่ดี (ไม่ดี) แสดงว่าใจเราเหม็นมากๆ เก็บมาไม่รู้กี่ปีแล้ว โกรธใครมาบ้างจำได้ไหม จำได้ แล้วโกรธเรื่องอะไรเป็นอย่างไร จริงๆ เริ่มเลือนไปแล้ว ถามว่ายังโกรธไหม เห็นหน้าก็ยังโกรธอยู่
เหม็นไหม (เหม็น) ไม่เหม็นใจตัวเองบ้างหรือ แล้วอยากล้างบ้างไหม
เราจะเอาอะไรล้างใจ
ไม่พูดก็เป็นเพราะเขาตลอดเลย ใช่ไหม (ใช่) ศิษย์เอ๋ยก่อนที่จะไปโทษฟ้า โทษดิน โทษเพื่อนมนุษย์ ถามตัวเราก่อนว่าปฏิบัติได้ซื่อตรงเที่ยงธรรมหรือยัง ปฏิบัติได้ดีงามเพียบพร้อมหรือไม่ ถ้าซื่อตรงจริงใจ เพียบพร้อม
ดีงาม ฟ้าจะเล่นตลกไยต้องกลัว เพราะทองแท้ต้องไม่กลัวการโดนหลอม คนดีจริงไม่กลัวคำนินทาว่าร้าย และชะตากรรม มีแต่พวกทองไม่แท้
ดีไม่จริง เจอนิดหน่อยก็ร้อนตัว เหมือนเข้ามาห้องพระ รู้สึกร้อนไหม
(ไม่ร้อน) วันนี้เราไม่ร้อน แต่เมื่อวานร้อนอย่างกับอะไรดี ใช่ไหมศิษย์ อาจารย์ถามหน่อยนะ เข้ามาห้องพระแล้วร้อนเขาเรียกพวกอะไร (ผี, คนบาป, พวกมาร) เราเข้ามาแล้วร้อนไหม (ไม่ร้อน) โกหกทั้งเพ เข้ามาแรกๆ ก็ร้อน ที่ร้อนเพราะอะไรรู้ไหม เพราะเรามีบาปอยู่ และยังมีส่วนที่ไม่ดีอยู่ แต่เราเข้ามาเริ่มรู้สึกเย็นขึ้นๆ เพราะยิ่งได้ฟังยิ่งได้ชำระล้างบาป ยิ่งฟังก็ยิ่งให้เราปลดปล่อยสิ่งไม่ดีออกมา ใจเราก็เลยเย็น หลายครั้งที่ผู้ปฏิบัติงานธรรมมา ไม่กล้าเจอหน้าอาจารย์ เพราะว่ารู้สึกร้อน บาปก็เยอะ เวลาเจอหน้าอาจารย์ก็ละอายใจ เลยไม่กล้ามาเจอ น่าเสียดาย
รู้แล้วละอายใจทำไมไม่รีบล้างให้สะอาด คนเราก็แปลกอาบน้ำก่อนใส่เสื้อก็ยังสะบัดแล้วค่อยใส่ แล้วใจเราเคยล้างไหม ทุกวันเอาแต่ใส่อะไรเข้าไป แล้วดีไหมที่ใส่เข้าไป ไม่ดี ด่าคนนั้น เกลียดคนนี้ ว่าคนนี้ไม่ดีอย่างนั้น
ว่าคนนั้นไม่ดีอย่างนี้ ทุกวันที่ใส่ลงไปสะอาดทั้งนั้นเลย อาจารย์ถามจริงๆ ที่อยู่ในใจศิษย์นั้นดีหรือไม่ดี (ไม่ดี) แสดงว่าใจเราเหม็นมากๆ เก็บมาไม่รู้กี่ปีแล้ว โกรธใครมาบ้างจำได้ไหม จำได้ แล้วโกรธเรื่องอะไรเป็นอย่างไร จริงๆ เริ่มเลือนไปแล้ว ถามว่ายังโกรธไหม เห็นหน้าก็ยังโกรธอยู่
เหม็นไหม (เหม็น) ไม่เหม็นใจตัวเองบ้างหรือ แล้วอยากล้างบ้างไหม
เราจะเอาอะไรล้างใจ
(ความดี) ความดีชำระล้าง ความดีของเขาจะล้างใจของเรา
ได้ไหม หรือว่าเป็นความดีของเรา (ของเรา) ใช่ หลายคนมักรอความดีของคนอื่นเพื่อมาล้างใจของเราให้สะอาด รอเท่าไรก็ล้างไม่ได้ ต้องเอาความดีของเราล้างใจของเราเอง ใช้ความเข้าใจล้างความโกรธ ใช้ความเข้าใจ ล้างความทุกข์ ใช้ความเข้าใจ ล้างความเกลียดชัง ใช่ไหม (ใช่)
ใช้ธรรมะ แล้วใช้ธรรมะอะไรจะล้างใจได้ ต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน
ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเอาแต่แข็ง ดื้อดึงก็ล้างอะไรไม่ได้ (ใช้ความดีของเรา) เรามีความดีอะไรที่จะล้างใจของเขาได้ หรือจะล้างใจของเราให้สะอาดได้ ก็ต้องใช้ความเมตตา เมื่อพบใครเราก็เมตตา เมื่อเมตตาแล้วเราจะ
ไม่โกรธ เมื่อเมตตาแล้วเราก็จะให้อภัย เมื่อเมตตาแล้วเราก็จะเสียสละและจริงใจได้ จริงหรือไม่ (จริง) อย่าเพียงแค่มีความดีอย่างเดียว เพราะนั่นไม่เพียงพอ (ใช้ธรรมะที่เรียนรู้ในสองวันนี้ไปใช้) กตัญญูรู้คุณ จิตสำนึกตอบแทนคุณ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดี แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ ต้องรู้จักหน้าที่ เคารพในหน้าที่ และรับผิดชอบต่อหน้าที่ ยิ่งเราอายุน้อย สิ่งสำคัญคือปฏิบัติหน้าที่ด้วยความขยันหมั่นเพียร เพียงเท่านี้ก็ประเสริฐแล้ว ใช่ไหม (ใช่) บางคนอายุมากแล้วขี้เกียจ ก็ไม่ไหว ยิ่งอายุมาก ยิ่งห้ามขี้เกียจ เพราะขี้เกียจแล้วเส้นจะยึด ตัวจะตึง พอตัวตึงก็เคลื่อนไหวไม่ค่อยสะดวก ก็ยิ่งทรมาน ยิ่งอายุมากเท่าไรก็ยิ่งต้องขยันเคลื่อนไหวร่างกาย เพราะความตึงเท่ากับความตาย (การให้อภัย) สิ่งนี้สามารถใช้ได้ตลอดไหม เวลาใครเตะมา (ได้) ใครต่อยมา (ได้) ใครตบมา (ได้) ใครเอาแฟนไป (ได้)
ได้ไหม หรือว่าเป็นความดีของเรา (ของเรา) ใช่ หลายคนมักรอความดีของคนอื่นเพื่อมาล้างใจของเราให้สะอาด รอเท่าไรก็ล้างไม่ได้ ต้องเอาความดีของเราล้างใจของเราเอง ใช้ความเข้าใจล้างความโกรธ ใช้ความเข้าใจ ล้างความทุกข์ ใช้ความเข้าใจ ล้างความเกลียดชัง ใช่ไหม (ใช่)
ใช้ธรรมะ แล้วใช้ธรรมะอะไรจะล้างใจได้ ต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน
ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเอาแต่แข็ง ดื้อดึงก็ล้างอะไรไม่ได้ (ใช้ความดีของเรา) เรามีความดีอะไรที่จะล้างใจของเขาได้ หรือจะล้างใจของเราให้สะอาดได้ ก็ต้องใช้ความเมตตา เมื่อพบใครเราก็เมตตา เมื่อเมตตาแล้วเราจะ
ไม่โกรธ เมื่อเมตตาแล้วเราก็จะให้อภัย เมื่อเมตตาแล้วเราก็จะเสียสละและจริงใจได้ จริงหรือไม่ (จริง) อย่าเพียงแค่มีความดีอย่างเดียว เพราะนั่นไม่เพียงพอ (ใช้ธรรมะที่เรียนรู้ในสองวันนี้ไปใช้) กตัญญูรู้คุณ จิตสำนึกตอบแทนคุณ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดี แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ ต้องรู้จักหน้าที่ เคารพในหน้าที่ และรับผิดชอบต่อหน้าที่ ยิ่งเราอายุน้อย สิ่งสำคัญคือปฏิบัติหน้าที่ด้วยความขยันหมั่นเพียร เพียงเท่านี้ก็ประเสริฐแล้ว ใช่ไหม (ใช่) บางคนอายุมากแล้วขี้เกียจ ก็ไม่ไหว ยิ่งอายุมาก ยิ่งห้ามขี้เกียจ เพราะขี้เกียจแล้วเส้นจะยึด ตัวจะตึง พอตัวตึงก็เคลื่อนไหวไม่ค่อยสะดวก ก็ยิ่งทรมาน ยิ่งอายุมากเท่าไรก็ยิ่งต้องขยันเคลื่อนไหวร่างกาย เพราะความตึงเท่ากับความตาย (การให้อภัย) สิ่งนี้สามารถใช้ได้ตลอดไหม เวลาใครเตะมา (ได้) ใครต่อยมา (ได้) ใครตบมา (ได้) ใครเอาแฟนไป (ได้)
เหมือนที่อาจารย์บอกไงศิษย์ ใช้ความเข้าใจยอมรับความเป็นจริง อย่าใช้อัตตาตัวตนมองคนหรือวัดคน เพราะถ้าใช้อัตตาตัวตนมองคนหรือวัดคน ก็ต้องมีคนยอมอภัยกับไม่อภัย แต่ถ้าใช้ความจริง ก็เป็นเช่นนั้นเอง เมื่อมีมาก็ต้องมีไป ไปแล้วก็อาจจะไม่กลับมาก็ต้องทำใจ (ความรู้จักพอ) ถ้าทำได้ก็จะพบกับคำว่าดี ถ้ายังพอไม่ได้ก็ยังไม่มีดี เพราะทะเลแห่งความอยากของมนุษย์ถมไม่มีวันเต็ม ยิ่งถมที่มีก็จะน้อย แต่ถ้าเราหยุดถม ที่มีก็จะเยอะทันที ดังที่พระพุทธะกล่าวไว้ว่า “มนุษย์ปรารถนาความสมบูรณ์ที่สุด แต่ความสมบูรณ์หาได้เมื่อรู้จักพอ” เมื่อพอก็สมบูรณ์ ถ้าไม่พอสิ่งที่มีมันก็พร่อง (ใช้ความพยายาม คิดดี ทำดี พูดดีและพูดให้น้อย) จริงๆ ศิษย์ไม่ต้องใช้ความพยายามเลย ก็แค่มีสติ ทำอะไรมีสติอยู่เสมอ ระลึกรู้อยู่เสมอก็ไม่ต้องพยายาม แต่มนุษย์มักจะทำอะไรโดยขาดสติเลยต้องใช้ความพยายาม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนที่ตอบออกมารับแอปเปิล)
ได้แอปเปิลแล้วจะเก็บไว้หรือ
ได้แอปเปิลแล้วจะเก็บไว้หรือ
(ใช้ความพยายาม มา ๓๐ กว่าปีแล้วทำไมยังไม่เห็นผล) อาจารย์จะบอกให้นะศิษย์ เรื่องราวบางอย่างไม่มีเรื่องบังเอิญ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุปัจจัย เพราะอะไรคนบางคนแม้ไม่ได้ทำอะไรเขาก็รักเรา แต่คนบางคนเราทำแทบตายเขาก็ไม่รัก อาจารย์บอกให้นะ เพราะว่าสิ่งที่ศิษย์เคยทำมา วันนี้แค่จะได้ชดใช้เขาไป จะบอกว่าอดทนก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร เพราะอดทนมาเยอะแล้วใช่ไหม ฉะนั้นเข้าใจและยอมรับได้แค่ไหนแค่นั้น อย่าไปหวังมากและอย่าไปหวังว่าเขาจะเหมือนคนอื่น บางทีไม่ใช่ เขาได้แค่นี้ก็จงมีสุขที่ได้แค่นี้นะ ทุกข์มามากแล้วปล่อยวางเสียทีเถอะนะ
จะเก็บไว้กินเองหรือรู้จักเอาไปให้ต่อ (เอาไปให้แม่) ฉะนั้นมีอะไรอย่าเก็บไว้แต่ตัวเอง อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์เห็นแก่ตัว แต่จงรู้จักว่า
เมื่อได้และรู้จักให้ต่อ เพราะความเห็นแก่ตัวย่อมบดบังจิตสว่าง ความเห็นแก่ตัวย่อมบดบังหัวใจอันกว้างใหญ่ (เอาไปแบ่งปันในครอบครัวและเพื่อนๆ ) อย่าลืมเพื่อนบ้านนะ (เอาไปให้ลูกชายกินและก็น้าที่พามารับธรรมะ พามาเจอสิ่งที่ดี) อย่ามัวแต่นึกถึงตัวเองนะ ศิษย์ต้องรู้จักผูกบุญต่อได้เรื่อยๆ บุญจากการให้เป็นบุญที่ยิ่งใหญ่ แต่บาปจากการที่เก็บไว้กับตัวโดยไม่ให้ใครนั้นน่ากลัวยิ่งนัก สังคมจะดีงามได้เมื่อทุกคนไม่คิดถึงแต่ตัวเอง แต่รู้จักคิดถึงคนรอบข้าง
เมื่อได้และรู้จักให้ต่อ เพราะความเห็นแก่ตัวย่อมบดบังจิตสว่าง ความเห็นแก่ตัวย่อมบดบังหัวใจอันกว้างใหญ่ (เอาไปแบ่งปันในครอบครัวและเพื่อนๆ ) อย่าลืมเพื่อนบ้านนะ (เอาไปให้ลูกชายกินและก็น้าที่พามารับธรรมะ พามาเจอสิ่งที่ดี) อย่ามัวแต่นึกถึงตัวเองนะ ศิษย์ต้องรู้จักผูกบุญต่อได้เรื่อยๆ บุญจากการให้เป็นบุญที่ยิ่งใหญ่ แต่บาปจากการที่เก็บไว้กับตัวโดยไม่ให้ใครนั้นน่ากลัวยิ่งนัก สังคมจะดีงามได้เมื่อทุกคนไม่คิดถึงแต่ตัวเอง แต่รู้จักคิดถึงคนรอบข้าง
(พระอาจารย์เมตตาให้คนที่ตอบยืน คนที่ไม่ตอบนั่ง) ถูกไหม ไม่มีอะไรถูกตลอด และก็ไม่มีอะไรผิดไปตลอดจริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นผู้ที่พยายามยืนกระต่ายขาเดียว คือคนที่หาเหตุให้ตัวเองทุกข์ ผู้ที่พยายามมองด้านเดียว คือคนที่คิดอย่างคนคับแคบบดบังความจริง
(พระอาจารย์เมตตาหัวหน้าชั้น) อาจารย์ให้แลกเปลี่ยนระหว่างเอาแอปเปิลคืน และให้ทุกคนนั่ง กับเอาแอปเปิลไปแล้วให้ทุกคนยืน หัวหน้าชั้นจะทำอย่างไร
(คืนแอปเปิล) เขาบอกคืนแอปเปิลให้อาจารย์ จริงหรือ (จริง) เอาแอปเปิลคืนมา แล้วให้แอปเปิลใหม่ไป อาจารย์ก็ไม่ได้ผิดคำพูด
ถ้าอาจารย์อยู่กับศิษย์ตรงนี้ นักเรียนเขาก็ไม่เห็น เขาก็จะคิดว่าอาจารย์ทำอะไรกับศิษย์อยู่ข้างหลัง หมกเม็ดบดบัง ต้องกลับออกมาอยู่ข้างหน้า
อาจารย์ยังไม่ได้คุยเรื่องหลักใหญ่ๆ กับศิษย์เลย อาจารย์ถามว่า เป็นไปได้ไหมที่เราจะบอกว่า คนในโลกอย่าด่าฉัน คนในโลกอย่าว่าฉัน
คนในโลกต้องทำให้ฉันสำเร็จและล้มเหลวไม่ได้ คนในโลกอย่าทำให้ฉันเป็นผู้แพ้ ฉันต้องชนะอย่างเดียว ได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าคิดแบบนี้ก็เรียกว่าพวกหลงตัวเองเกินไป เราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ว่าได้ไหม (ได้) ว่าไม่ค่อยได้เลยดื้ออย่างกับอะไรดี เราเป็นประเภทที่ว่าได้ไหม อาจารย์ขอถามจริงๆ ด่าได้ไหม รองหัวหน้าว่าได้ไหม (ไม่ได้) ด่าได้ไหม (ไม่ได้) แพ้ได้ไหม (ได้) แต่ว่าและด่าไม่ได้ ถ้าคิดแบบนี้คือคิดแบบหลงตัว แต่คนส่วนใหญ่มักจะคิดแบบนี้ ใครว่าฉันก็ไม่ได้ ห้าม ใครด่าฉันก็ไม่ได้ ห้าม ใครกดขี่
ข่มเหงฉันก็ห้าม คิดแบบนี้ ถูกไหม เราคิดไหม เมื่อใจไม่ยอมก็เลยเกิดความทุกข์เพราะไม่มองความจริง มีใครในโลกที่จะชมเราทุกวัน อาจารย์พูดง่ายๆ วันนี้ชมว่าสวย พรุ่งนี้เจออีกว่าสวย ชมว่าสวยทุกวัน แล้วชมติดกันสักเจ็ดวัน รับรองศิษย์ต้องบอกว่า ไม่จริงใจแน่ แต่ถ้าบอกว่าสวยแต่ว่าเหี่ยวไปเล็กน้อย แล้วจะสวยกว่านี้ถ้าหากไปเอาตกกระที่หน้าออก เอาความเหี่ยวออก แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอก อายุปูนนี้แล้ว ไว้แค่นี้ก็พอ ต้องมีทั้งคำติและต้องมีทั้งคำชม มีทั้งลูบและมีทั้งตบ ใช่ไหม (ใช่) นั่นถึงจะเรียกว่า “ชีวิต” จริงไหม (จริง) ฉะนั้น จะเป็นไปได้หรือ ที่บอกว่า โอ้โหสวย ว้าวสวย อย่างนี้เป็นไปได้ไหมศิษย์ (ไม่ได้) แต่มนุษย์มักทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ ต้องชม ต้องสวย ใช่ไหม (ใช่) ถ้าวันใดดูกระจกแล้วบอกว่า ฉันต้องสวย แปลว่าหลอกตัวเอง จริงไหม (จริง) เคยไหมเวลาที่มองกระจกแล้วบอกว่า ไม่สวยบ้าง (เคย) จริงหรือ เห็นมีแต่อารมณ์ไม่ดี แล้วบอกว่า ว้า! หน้าตาแย่จริง ใช่ไหม (ใช่)
คนในโลกต้องทำให้ฉันสำเร็จและล้มเหลวไม่ได้ คนในโลกอย่าทำให้ฉันเป็นผู้แพ้ ฉันต้องชนะอย่างเดียว ได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าคิดแบบนี้ก็เรียกว่าพวกหลงตัวเองเกินไป เราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ว่าได้ไหม (ได้) ว่าไม่ค่อยได้เลยดื้ออย่างกับอะไรดี เราเป็นประเภทที่ว่าได้ไหม อาจารย์ขอถามจริงๆ ด่าได้ไหม รองหัวหน้าว่าได้ไหม (ไม่ได้) ด่าได้ไหม (ไม่ได้) แพ้ได้ไหม (ได้) แต่ว่าและด่าไม่ได้ ถ้าคิดแบบนี้คือคิดแบบหลงตัว แต่คนส่วนใหญ่มักจะคิดแบบนี้ ใครว่าฉันก็ไม่ได้ ห้าม ใครด่าฉันก็ไม่ได้ ห้าม ใครกดขี่
ข่มเหงฉันก็ห้าม คิดแบบนี้ ถูกไหม เราคิดไหม เมื่อใจไม่ยอมก็เลยเกิดความทุกข์เพราะไม่มองความจริง มีใครในโลกที่จะชมเราทุกวัน อาจารย์พูดง่ายๆ วันนี้ชมว่าสวย พรุ่งนี้เจออีกว่าสวย ชมว่าสวยทุกวัน แล้วชมติดกันสักเจ็ดวัน รับรองศิษย์ต้องบอกว่า ไม่จริงใจแน่ แต่ถ้าบอกว่าสวยแต่ว่าเหี่ยวไปเล็กน้อย แล้วจะสวยกว่านี้ถ้าหากไปเอาตกกระที่หน้าออก เอาความเหี่ยวออก แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอก อายุปูนนี้แล้ว ไว้แค่นี้ก็พอ ต้องมีทั้งคำติและต้องมีทั้งคำชม มีทั้งลูบและมีทั้งตบ ใช่ไหม (ใช่) นั่นถึงจะเรียกว่า “ชีวิต” จริงไหม (จริง) ฉะนั้น จะเป็นไปได้หรือ ที่บอกว่า โอ้โหสวย ว้าวสวย อย่างนี้เป็นไปได้ไหมศิษย์ (ไม่ได้) แต่มนุษย์มักทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ ต้องชม ต้องสวย ใช่ไหม (ใช่) ถ้าวันใดดูกระจกแล้วบอกว่า ฉันต้องสวย แปลว่าหลอกตัวเอง จริงไหม (จริง) เคยไหมเวลาที่มองกระจกแล้วบอกว่า ไม่สวยบ้าง (เคย) จริงหรือ เห็นมีแต่อารมณ์ไม่ดี แล้วบอกว่า ว้า! หน้าตาแย่จริง ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นธรรมะไม่ได้สอนให้มนุษย์รักสุขเกลียดทุกข์ ไม่ได้สอนให้มนุษย์ยืนอยู่บนสิ่งที่เรียกว่าดีแล้วเกลียดชั่ว รักคนดีแล้วเกลียดคนชั่ว ธรรมะไม่เคยสอนแบบนี้ แต่ธรรมะสอนให้มนุษย์ยืนอยู่บนความจริง ด่าก็เข้าใจ ชมก็ไม่หลง ธรรมะจึงสอนให้อยู่บนโลกอย่างไม่ยึดติด และไม่
ผลักไส แต่ให้อยู่กับความเป็นจริงอันเป็นกลาง แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่เช่นนี้ มนุษย์มักใส่แว่นตามองคน จริงไหม (จริง) เซ็งๆ เบื่อๆ อะไรก็ไม่ได้
ดังใจสักอย่าง หงุดหงิดพุ่งพล่านไปหมด แต่ถามจริงๆ ว่า ที่หงุดหงิด
อยู่นั้น เพราะเรากำลังหยิบแว่นตาแห่งอารมณ์ไม่ดีมาใส่ ใช่ไหม (ใช่) แล้วก็พาลหงุดหงิด คนโน้นก็ไม่ได้ดังใจ คนนี้ก็แย่เหลือเกิน แต่จริงๆ แล้ว เราเอาแต่โทษคนจนลืมถอดแว่นตา หรือถอดใจของเราออกหรือเปล่า เหมือนที่อาจารย์ถามศิษย์ว่า ห้ามคนไม่ให้ด่าได้ไหม (ไม่ได้) ห้ามคนไม่ให้ติได้ไหม (ไม่ได้) ห้ามตัวเราไม่ให้แพ้ได้ไหม (ไม่ได้)
ผลักไส แต่ให้อยู่กับความเป็นจริงอันเป็นกลาง แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่เช่นนี้ มนุษย์มักใส่แว่นตามองคน จริงไหม (จริง) เซ็งๆ เบื่อๆ อะไรก็ไม่ได้
ดังใจสักอย่าง หงุดหงิดพุ่งพล่านไปหมด แต่ถามจริงๆ ว่า ที่หงุดหงิด
อยู่นั้น เพราะเรากำลังหยิบแว่นตาแห่งอารมณ์ไม่ดีมาใส่ ใช่ไหม (ใช่) แล้วก็พาลหงุดหงิด คนโน้นก็ไม่ได้ดังใจ คนนี้ก็แย่เหลือเกิน แต่จริงๆ แล้ว เราเอาแต่โทษคนจนลืมถอดแว่นตา หรือถอดใจของเราออกหรือเปล่า เหมือนที่อาจารย์ถามศิษย์ว่า ห้ามคนไม่ให้ด่าได้ไหม (ไม่ได้) ห้ามคนไม่ให้ติได้ไหม (ไม่ได้) ห้ามตัวเราไม่ให้แพ้ได้ไหม (ไม่ได้)
ฉะนั้นเมื่อรู้ว่าอะไรจะเกิดก็จงยอมรับ และไม่ควรที่จะทุกข์ร้อนและพยายามผลักไสมันออกไปจากใจ เพราะนั่นคือความจริงที่เรียกว่า ส่วนหนึ่งของชีวิต แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่ มนุษย์มักมองอย่างคนที่มีกรอบ (ลืม) นั่นเพราะขาดสติ มองอย่างคนที่มีกรอบ และยึดมั่นในกรอบ ว่าต้องเป็นแบบนี้ก็ต้องเป็นแบบนี้ ใช่ไหม (ใช่) ต้องดีแล้วก็ต้องดี ทั้งที่จริงแล้วในดีก็ยังมีไม่ดี ในเสียก็ยังมีดี ในร้ายก็ยังมีดี ในทุกข์ก็ยังมีสุข ฉะนั้น ถ้าชีวิตนี้ พบแต่สิ่งที่ร้าย พบแต่การด่า พบแต่การเสีย เอาไหม (ไม่เอา) อย่าลืมนะว่า ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ ยิ่งเกลียดยิ่งหนียิ่งได้ ใช่ไหม (ใช่) ต้องสู้กันสักตั้งหนึ่ง พอเอาชนะได้จะกลัวอะไร แต่ทุกวันเอาแต่หนีๆ เพราะไม่อยากเป็นผู้แพ้ ไม่อยากโดนด่า ไม่อยากโดนว่า เกลียดขี้หน้ามันเลิกกับมันไปเลย แล้วจะหนีพ้นหรือ เพราะตัวปัญหาไม่ได้อยู่ที่เขาแต่อยู่ที่เรา
ถ้าเราอยากอยู่ในโลกอย่างพ้นทุกข์ ไม่มีทุกข์ ก็ต้องยอมรับว่าเมื่อมีได้ก็มีเสีย มีดีก็มีร้าย มีชมก็มีด่าแถมบางทีนินทาด้วยก็ต้องรับให้ได้ เพราะนี่คือส่วนหนึ่งของชีวิต เหมือนที่อาจารย์มา มีไหมที่เมื่อเจอหน้าศิษย์แล้วจะเห็นหน้าอย่างเดียวเอาหลังหลบไป (ไม่ได้) เห็นมือไหม ในมือมีอะไร (นิ้ว) ในมือยังมีมากกว่ามือ คือความไม่เท่ากัน ฉะนั้นศิษย์จะเอาอะไรกับความเป็นคนในโลกนี้ จะเอาอะไรกันมากมาย ฉะนั้นเวลามองอะไรพระพุทธะจึงบอกว่า “อย่ามองอย่างคนมีกรอบ อย่ามองอย่างคนใส่แว่น แต่ต้องมองอย่างคนที่เห็นความจริงมากกว่ามือ มากกว่าความคิด มากกว่าสิ่งที่เห็น” เพราะโลกใบนี้ไม่ใช่มีแค่สิ่งที่เห็น แต่ยังมีมากกว่าที่เห็นและเราจะต้องนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ให้ได้ เพราะสิ่งที่มากกว่าเห็นนี่เอง ที่จะนำพาชีวิตเราให้สุขหรือทุกข์ ไม่ใช่แค่เห็น แต่เราต้องมองให้มากกว่าเห็น เช่นถ้าเราเห็นเป็นมือก็คือมือเราก็จบ แต่ถ้าเราเห็นมือมากกว่ามือ เหมือนเห็นคนๆ หนึ่งมากกว่าชีวิต เราจะเข้าใจเลยว่าเขาก็คือเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุข เราทำเขาเจ็บเราก็เจ็บ เราทำเขาทุกข์เราก็ทุกข์ ธรรมะจึงสอนว่า “ช่วยเขาก็คือช่วยเรา” ทำเขามากเท่าไรศิษย์ก็กำลังทำตัวเองมากเท่านั้น ฉะนั้นเรียนรู้ธรรมเพื่อให้เห็นตัวตน ยิ่งเข้าใจธรรมมากเท่าไร ยิ่งเห็นตัวตนมากเท่านั้น
อาจารย์เพิ่งเริ่มต้นคุยไปนิดเดียวเอง ศิษย์จะอยู่กับอาจารย์จนจบไหม (อยู่จนจบ) เห็นศิษย์เหนื่อยอาจารย์ก็เกรงใจ ศิษย์เมื่อยอาจารย์
ก็เกรงใจ ไม่เหนื่อยไม่เมื่อยไม่ล้าและไม่ท้อนะ แม้อะไรไม่เป็นดั่งใจก็ต้องยอมรับ เมื่อสักครู่อาจารย์คุยกับศิษย์ไปเรื่องเดียวว่า เป็นไปได้หรือที่เราจะห้ามความจริงในโลก เพราะโลกใบนี้ความจริงมีสองด้าน แล้วถ้าอาจารย์บอกให้ศิษย์รู้ว่า จริงๆ แล้วความเป็นจริงในโลกนี้ไม่ได้มีสองด้านหรอก แต่ยังมีความชอบ ความชัง ทำให้เกิด ดี ร้าย ได้ เสีย สุข ทุกข์
แต่เมื่อใดมนุษย์เข้าถึงความจริง มนุษย์จะรู้ว่าโลกนี้เหมือนๆ กันไม่ได้แตกต่างกันเลย มีแต่หัวใจของเราที่มีกรอบ ทำให้ยึดติดและแบ่งแยก
ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์จะบอกให้นะศิษย์ จริงๆ แล้วคนไม่ใช่มีดีมีร้าย แต่หัวใจเรามักจะยึดว่าแบบนี้ฉันชอบจึงเรียกว่าดี แบบนี้ฉันไม่ชอบ
จึงเรียกว่าร้าย อาจารย์จึงบอกว่าศิษย์มักจะอยู่บนโลกแบบคนใส่แว่นตา และใจมีกรอบ แล้วชอบเอากรอบของตัวเองเป็นมาตรฐานในการวัดใครๆ อาจารย์ขอถามหน่อยว่า มาตรฐานของศิษย์แม่นไหม เราชอบวัดคนไหม ถ้าใช้ดวงใจแห่งพระพุทธะ ดวงจิตอันเดิมแท้ เราจะไม่เปรียบเทียบสรรพสิ่งหรอก เราจะมองเห็นสรรพสิ่งอย่างเข้าใจว่า อ้อ! ก็แค่นั้น เรากำลังจะเอาอะไรที่มากมาย ที่น้อยเกินไป เป็นเพราะใจเราหรือเปล่า เขาน้อยไปเพราะใจเราเรียกร้องสูงใช่ไหม เขามากไปเพราะใจเราหวังต่ำไปหรือเปล่า หรือว่าที่เขามากไปเพราะเรารำคาญหัวใจ บางสิ่งบางอย่างถ้าไม่อยากทุกข์ ต้องถามตัวเองก่อนว่า เรากำลังเอาใจเราไปวัดใครๆ ไหม เราเป็นนักเปรียบเทียบหรือนักจำตัวยงไหม เรื่องไปแล้วแต่เรายังจมอยู่กับเรื่องเก่าๆ ใช่ไหม (ใช่) หรือบางคนเขาไม่ไป แต่เราอยากไป ใช่หรือไม่ (ใช่) เข้าไม่ได้ ทำอย่างไรดี ชีวิตไม่ได้มีทางเดียวนะ ชีวิตนี้มีทางให้เลือกอยู่แล้ว แต่เราไม่ค่อยยอมเลือก ชอบที่จะดันทุรัง
ก็เกรงใจ ไม่เหนื่อยไม่เมื่อยไม่ล้าและไม่ท้อนะ แม้อะไรไม่เป็นดั่งใจก็ต้องยอมรับ เมื่อสักครู่อาจารย์คุยกับศิษย์ไปเรื่องเดียวว่า เป็นไปได้หรือที่เราจะห้ามความจริงในโลก เพราะโลกใบนี้ความจริงมีสองด้าน แล้วถ้าอาจารย์บอกให้ศิษย์รู้ว่า จริงๆ แล้วความเป็นจริงในโลกนี้ไม่ได้มีสองด้านหรอก แต่ยังมีความชอบ ความชัง ทำให้เกิด ดี ร้าย ได้ เสีย สุข ทุกข์
แต่เมื่อใดมนุษย์เข้าถึงความจริง มนุษย์จะรู้ว่าโลกนี้เหมือนๆ กันไม่ได้แตกต่างกันเลย มีแต่หัวใจของเราที่มีกรอบ ทำให้ยึดติดและแบ่งแยก
ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์จะบอกให้นะศิษย์ จริงๆ แล้วคนไม่ใช่มีดีมีร้าย แต่หัวใจเรามักจะยึดว่าแบบนี้ฉันชอบจึงเรียกว่าดี แบบนี้ฉันไม่ชอบ
จึงเรียกว่าร้าย อาจารย์จึงบอกว่าศิษย์มักจะอยู่บนโลกแบบคนใส่แว่นตา และใจมีกรอบ แล้วชอบเอากรอบของตัวเองเป็นมาตรฐานในการวัดใครๆ อาจารย์ขอถามหน่อยว่า มาตรฐานของศิษย์แม่นไหม เราชอบวัดคนไหม ถ้าใช้ดวงใจแห่งพระพุทธะ ดวงจิตอันเดิมแท้ เราจะไม่เปรียบเทียบสรรพสิ่งหรอก เราจะมองเห็นสรรพสิ่งอย่างเข้าใจว่า อ้อ! ก็แค่นั้น เรากำลังจะเอาอะไรที่มากมาย ที่น้อยเกินไป เป็นเพราะใจเราหรือเปล่า เขาน้อยไปเพราะใจเราเรียกร้องสูงใช่ไหม เขามากไปเพราะใจเราหวังต่ำไปหรือเปล่า หรือว่าที่เขามากไปเพราะเรารำคาญหัวใจ บางสิ่งบางอย่างถ้าไม่อยากทุกข์ ต้องถามตัวเองก่อนว่า เรากำลังเอาใจเราไปวัดใครๆ ไหม เราเป็นนักเปรียบเทียบหรือนักจำตัวยงไหม เรื่องไปแล้วแต่เรายังจมอยู่กับเรื่องเก่าๆ ใช่ไหม (ใช่) หรือบางคนเขาไม่ไป แต่เราอยากไป ใช่หรือไม่ (ใช่) เข้าไม่ได้ ทำอย่างไรดี ชีวิตไม่ได้มีทางเดียวนะ ชีวิตนี้มีทางให้เลือกอยู่แล้ว แต่เราไม่ค่อยยอมเลือก ชอบที่จะดันทุรัง
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนส่งสับปะรดไปเรื่อยๆ ถ้าเพลงหยุดแล้วสับปะรดอยู่ที่ใคร พระอาจารย์จะถามคำถามแล้วให้คนนั้นตอบ)
(พระอาจารย์เมตตาให้ร้องเพลงธรรม)
หลายครั้งที่มนุษย์เราอยู่ในโลกแล้วมีทุกข์ คือหนึ่งไม่ยอมมองความจริง สองไม่อยู่กับปัจจุบัน เมื่อสักครู่อาจารย์บอกไปแล้วว่าไม่อยู่กับปัจจุบัน ไม่อยู่กับความจริง ชอบอย่างหนึ่งแต่ไม่ชอบอีกอย่างหนึ่ง เป็นไปไม่ได้ เหมือนฟ้าที่มีมืดมีสว่าง คนมีดีมีร้าย แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่ดีและร้ายนั่นคือหัวใจของเรามีกรอบ ถ้าหัวใจเราไม่มีกรอบ เราจะมองเห็นความเป็นจริงว่า จริงๆ ที่มากไปหรือน้อยไป เป็นเพราะว่าเราเอาหัวใจเราไปเป็นมาตรฐานมองคนหรือไม่ เราชอบเอาตัวเราไปวัดคน ก็เลยทำให้เกิดคำพูดว่าคนนี้ดี คนนั้นไม่ดี แต่ถ้าเราปล่อยวางตัวตนออก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นศิษย์ก็จะเข้าใจธรรมคำว่า อ้อ! ก็แค่นั้น ไม่มีอะไรนี่ แต่เมื่อศิษย์ยังไม่เข้าใจยังมองด้วยความเป็นตัวตน ก็เลยยังมีดีมีร้าย มีได้มีเสีย
ถ้าเราถอนเอาตัวตนออกมาได้ เราก็จะเห็นสรรพสิ่งอย่างเป็นกลางและเป็นจริง แต่เราถอนตัวตนออกจากการมองไม่ได้ ศิษย์เคยได้ยินคำพูดที่พระพุทธะพูดไหมว่า “แค่รู้ก็พ้นทุกข์” แต่ทำไมเรารู้แล้วยังทุกข์อยู่ล่ะ เพราะเรารู้และเอาตัวตนไปมอง ท่านจึงสอนไปอย่างหนึ่งว่าถ้าอยากพ้นทุกข์ แค่รู้แค่เห็นแต่อย่าเผลอเอาตัวไปวัด เหมือนศิษย์ถูกคนด่า ศิษย์แค่รู้แค่เห็นไหม ไม่ ศิษย์จะต้องเอาตัวเข้าไป และรู้สึกว่าคนที่ด่าเราเป็นใคร มาด่าเราทำไม นี่จึงไม่ได้แค่รู้แค่เห็น แต่เผลอเอาใจไปเป็นคำด่านั้น หรือที่พระพุทธะสอนไว้ว่า “อยากพ้นทุกข์ให้รู้ตรงๆ รู้ซื่อๆ โดยไม่เอาใจเราไปปรุงแต่ง” แต่เรายอมรู้ตรงๆ รู้ซื่อๆ ไหม ไม่ พอเรารู้เราก็จะรู้สึกว่าเขาพูดแบบนี้ไม่ได้ เขาเป็นหัวหน้าคน พูดอย่างนี้ทำไม่ถูก หรือเป็นเพื่อนเรามาพูดอย่างนี้กับเราไม่ได้ ทั้งที่บางทีแล้วเรื่องราวบางเรื่องมันจบไปแล้ว แต่เราก็ยังติดอยู่กับอดีต เรื่องราวผ่านไปแล้วแต่เรายังไม่ผ่าน จบไปแล้วแต่เรายังไม่จบ มันไม่เหลืออะไรแล้วแต่ใจเรายังเก็บให้เหลือ
ถ้าเราถอนเอาตัวตนออกมาได้ เราก็จะเห็นสรรพสิ่งอย่างเป็นกลางและเป็นจริง แต่เราถอนตัวตนออกจากการมองไม่ได้ ศิษย์เคยได้ยินคำพูดที่พระพุทธะพูดไหมว่า “แค่รู้ก็พ้นทุกข์” แต่ทำไมเรารู้แล้วยังทุกข์อยู่ล่ะ เพราะเรารู้และเอาตัวตนไปมอง ท่านจึงสอนไปอย่างหนึ่งว่าถ้าอยากพ้นทุกข์ แค่รู้แค่เห็นแต่อย่าเผลอเอาตัวไปวัด เหมือนศิษย์ถูกคนด่า ศิษย์แค่รู้แค่เห็นไหม ไม่ ศิษย์จะต้องเอาตัวเข้าไป และรู้สึกว่าคนที่ด่าเราเป็นใคร มาด่าเราทำไม นี่จึงไม่ได้แค่รู้แค่เห็น แต่เผลอเอาใจไปเป็นคำด่านั้น หรือที่พระพุทธะสอนไว้ว่า “อยากพ้นทุกข์ให้รู้ตรงๆ รู้ซื่อๆ โดยไม่เอาใจเราไปปรุงแต่ง” แต่เรายอมรู้ตรงๆ รู้ซื่อๆ ไหม ไม่ พอเรารู้เราก็จะรู้สึกว่าเขาพูดแบบนี้ไม่ได้ เขาเป็นหัวหน้าคน พูดอย่างนี้ทำไม่ถูก หรือเป็นเพื่อนเรามาพูดอย่างนี้กับเราไม่ได้ ทั้งที่บางทีแล้วเรื่องราวบางเรื่องมันจบไปแล้ว แต่เราก็ยังติดอยู่กับอดีต เรื่องราวผ่านไปแล้วแต่เรายังไม่ผ่าน จบไปแล้วแต่เรายังไม่จบ มันไม่เหลืออะไรแล้วแต่ใจเรายังเก็บให้เหลือ
ดังนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่า “แค่รู้แต่ไม่ได้ให้ไปเป็น แค่เห็นแต่ไม่ให้ไปรับเอามา” เพราะทุกๆ อย่างในโลกไม่มีอะไรเป็นของเรา เขาด่าเราไม่ได้เพราะอันนี้เป็นของเราหรือ (ไม่ใช่) เขาโกงเราไม่ได้เพราะอันนั้นเป็นของเราหรือ (ไม่ใช่) ศิษย์ทุกคนขโมยของฟ้าดินมาใช้ทั้งนั้น ถ้าไม่มีฟ้าดินศิษย์จะเอามาใช้ได้ไหม ฉะนั้นศิษย์เป็นแค่ผู้ยืมใช้ของฟ้าดิน ยืมฟ้ายืมอากาศ ยืมร่างกาย ยืมใจมาใช้ อย่าเผลอยึดถ้ายึดแล้วจะหลง
หลงแล้วจะลืม ลืมแล้วจะอยาก อยากแล้วก็หนีไม่พ้นเวียนว่ายตายเกิด
ไม่จบสิ้น ถ้าร่างเป็นของเรา เราบอกมันสิว่าอย่าเปลี่ยนให้เต่งตึงให้ได้ตลอดชีวิตได้ไหม (ไม่ได้) ต้องเป็นของเราอย่าเป็นของมันได้ไหม (ไม่ได้) แล้วเราเผลอไปยึดทำไม ลูกฉันตัวฉันของฉันใช่ไหม (ใช่) ไม่ใช่ ใช่ของเราที่ไหน เราแค่ยืมใช้บุญกรรมนั่นจึงทำให้เราได้มาเจอกัน ถึงที่สุดเราก็ยังสอนเขาไม่ได้ ให้เขาเป็นดั่งใจเรายังเป็นไม่ได้ ตัวเราจะบอกให้ไม่เหี่ยว ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นมองให้ดีอย่าเผลอ พุทธะจึงสอนว่า “ตามหาผู้รู้ให้เจอ” ผู้รู้คือจิตเดิมแท้ แต่ใจที่มีอยากมีโน่นมีนี่
มีนิสัยเป็นนั่นเป็นนี่ ไม่ใช่ตัวแท้แต่เป็นตัวปลอม จริงไหม (จริง) ก็หนูเป็นแบบนี้ ทำอย่างไรดี ก็นั่นคือตัวปลอม ตัวจริงคือ แค่รู้ แค่เห็น อย่าเผลอไปเป็น ที่พระพุทธะสอนไว้ว่า รู้แล้วพ้นทุกข์ รู้อะไร ไม่ได้รู้จากข้างนอก แต่เป็นการรู้ทันตัวเอง ใครกระทบ ใครด่า ใครตี ใครว่าก็รู้ เจ็บไหม
ไม่เจ็บ เจ็บกายไม่เจ็บใจ ด่าก็แค่กาย ไม่ได้ด่าใจ แล้วเราจะเอาใจไปรับทำไม ใช่ไหม (ใช่) แล้วเรารับไหม (รับ) เหมือนที่อาจารย์บอกว่า
หลุดออกจากปากเรียกว่าอะไร (ขี้ปาก) แล้วเขาด่าเรา เราจบไหม
(ไม่จบ) นั่นคือ เรากำลังเล่นขี้ เขาด่าฉันทำไม นิสัยดีขนาดไหนกัน
เที่ยวมาด่าฉัน และบางทีว่างๆ ก็แบ่งขี้ให้คนอื่นด้วย แกด่าฉันแกเอาขี้
ไปนะ ใช่ไหม (ใช่) แล้วบางทีเผลอ โมโหมากๆ ก็เอาขี้ปาหน้าเขาเลย เราเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น) ฉะนั้นเก็บคำด่าของใครมา นั่นคือเรากำลังเก็บขี้ ในใจของศิษย์ก็เลยมีแต่ขี้ แล้วที่หลงอยู่นี้ ก็คือหนังหุ้มกระดูกผี กระดูกผีสวยไหม หล่อไหม (ไม่) แล้วทำแทบตายเพื่ออะไร เพื่อไม่มีของเรา เพื่อยืมใช้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้น ถึงที่สุดพระพุทธะจึงบอกว่า เราเกิดมาเพียงแค่ยืมใช้
หลงแล้วจะลืม ลืมแล้วจะอยาก อยากแล้วก็หนีไม่พ้นเวียนว่ายตายเกิด
ไม่จบสิ้น ถ้าร่างเป็นของเรา เราบอกมันสิว่าอย่าเปลี่ยนให้เต่งตึงให้ได้ตลอดชีวิตได้ไหม (ไม่ได้) ต้องเป็นของเราอย่าเป็นของมันได้ไหม (ไม่ได้) แล้วเราเผลอไปยึดทำไม ลูกฉันตัวฉันของฉันใช่ไหม (ใช่) ไม่ใช่ ใช่ของเราที่ไหน เราแค่ยืมใช้บุญกรรมนั่นจึงทำให้เราได้มาเจอกัน ถึงที่สุดเราก็ยังสอนเขาไม่ได้ ให้เขาเป็นดั่งใจเรายังเป็นไม่ได้ ตัวเราจะบอกให้ไม่เหี่ยว ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นมองให้ดีอย่าเผลอ พุทธะจึงสอนว่า “ตามหาผู้รู้ให้เจอ” ผู้รู้คือจิตเดิมแท้ แต่ใจที่มีอยากมีโน่นมีนี่
มีนิสัยเป็นนั่นเป็นนี่ ไม่ใช่ตัวแท้แต่เป็นตัวปลอม จริงไหม (จริง) ก็หนูเป็นแบบนี้ ทำอย่างไรดี ก็นั่นคือตัวปลอม ตัวจริงคือ แค่รู้ แค่เห็น อย่าเผลอไปเป็น ที่พระพุทธะสอนไว้ว่า รู้แล้วพ้นทุกข์ รู้อะไร ไม่ได้รู้จากข้างนอก แต่เป็นการรู้ทันตัวเอง ใครกระทบ ใครด่า ใครตี ใครว่าก็รู้ เจ็บไหม
ไม่เจ็บ เจ็บกายไม่เจ็บใจ ด่าก็แค่กาย ไม่ได้ด่าใจ แล้วเราจะเอาใจไปรับทำไม ใช่ไหม (ใช่) แล้วเรารับไหม (รับ) เหมือนที่อาจารย์บอกว่า
หลุดออกจากปากเรียกว่าอะไร (ขี้ปาก) แล้วเขาด่าเรา เราจบไหม
(ไม่จบ) นั่นคือ เรากำลังเล่นขี้ เขาด่าฉันทำไม นิสัยดีขนาดไหนกัน
เที่ยวมาด่าฉัน และบางทีว่างๆ ก็แบ่งขี้ให้คนอื่นด้วย แกด่าฉันแกเอาขี้
ไปนะ ใช่ไหม (ใช่) แล้วบางทีเผลอ โมโหมากๆ ก็เอาขี้ปาหน้าเขาเลย เราเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น) ฉะนั้นเก็บคำด่าของใครมา นั่นคือเรากำลังเก็บขี้ ในใจของศิษย์ก็เลยมีแต่ขี้ แล้วที่หลงอยู่นี้ ก็คือหนังหุ้มกระดูกผี กระดูกผีสวยไหม หล่อไหม (ไม่) แล้วทำแทบตายเพื่ออะไร เพื่อไม่มีของเรา เพื่อยืมใช้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้น ถึงที่สุดพระพุทธะจึงบอกว่า เราเกิดมาเพียงแค่ยืมใช้
แล้วเราจะประคองใจของตัวเองอย่างไร ไม่ให้เผลอพลาดผิด แล้วไม่ต้องมารับทุกข์อย่างทุกวันนี้ (ต้องมีสติ) พอไหม ศิษย์เคยพบคนที่ทำบุญมากๆ เก่งๆ ไหม เวลาไปไหนมาไหนพบพระก็ไหว้ แต่มีข้อเสียอย่างหนึ่งคือ นี่ๆ แกๆ เดี๋ยวๆ ขอไหว้พระก่อน นี่มันทำไมเป็นอย่างนี้ ทุเรศที่สุดเลย แล้วก็ฉันไม่เหยียบมัน ฉันไม่สร้างบาป เคยพบคนประเภทนี้ไหม เป็นคนใจบุญสุนทาน ใจดี เรื่องบาปไม่ทำ แต่เรื่องนิสัยไม่ไหว ก็เลยดี
ไม่หมด ฉะนั้นจะเป็นคนดีนั้น ไม่ใช่แค่ทำบุญเก่ง มีคำบอกว่า ดีงามพร้อมแล้วจะเป็นคนที่สมบูรณ์ คือ ต้องรู้จักให้ ศีลทำให้ดี ธรรมทำให้งาม ฉะนั้น เกิดเป็นคนจะครบสมบูรณ์พร้อม ดีงามพร้อมแล้วไม่เห็นแก่ตน นั่นคือ รู้จักให้ มีศีลและมีธรรม ใช่ไหม (ใช่) ธรรม ทำให้คนงาม เพราะธรรมจะทำให้เรารู้จักจริยะ มโนธรรม อ่อนน้อมถ่อมตน ซื่อสัตย์สุจริต จริงไหม (จริง) ศีล ช่วยป้องกันไม่ให้เราทำชั่ว แต่มนุษย์กลับไม่พยายามที่จะมีศีล แต่พยายามเป็นคนดี ฉะนั้นก็เลยเห็นคนดีที่ขี้โมโหบ่อยๆ สิ่งที่จะประคองให้มนุษย์ดีงามพร้อมเรียกว่า ทาน ศีล และคุณธรรม เป็นคนใจดีแต่พูดไม่มีสัมมาคารวะ ก็ดูไม่งาม เป็นคนมีสัมมาคารวะ เป็นคนรู้จักทำบุญสุนทาน แต่โกหกเป็นว่าเล่น เรียกว่างามแต่ไม่มีดี เป็นคน
ใจบุญ เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ทุกวันชอบด่าชาวบ้านชาวเมือง
ยังเรียกว่างามไหมหนอ (ไม่งาม) ไหนลองบอกอาจารย์อะไรที่ทำให้งาม อะไรที่ทำให้ดี
ไม่หมด ฉะนั้นจะเป็นคนดีนั้น ไม่ใช่แค่ทำบุญเก่ง มีคำบอกว่า ดีงามพร้อมแล้วจะเป็นคนที่สมบูรณ์ คือ ต้องรู้จักให้ ศีลทำให้ดี ธรรมทำให้งาม ฉะนั้น เกิดเป็นคนจะครบสมบูรณ์พร้อม ดีงามพร้อมแล้วไม่เห็นแก่ตน นั่นคือ รู้จักให้ มีศีลและมีธรรม ใช่ไหม (ใช่) ธรรม ทำให้คนงาม เพราะธรรมจะทำให้เรารู้จักจริยะ มโนธรรม อ่อนน้อมถ่อมตน ซื่อสัตย์สุจริต จริงไหม (จริง) ศีล ช่วยป้องกันไม่ให้เราทำชั่ว แต่มนุษย์กลับไม่พยายามที่จะมีศีล แต่พยายามเป็นคนดี ฉะนั้นก็เลยเห็นคนดีที่ขี้โมโหบ่อยๆ สิ่งที่จะประคองให้มนุษย์ดีงามพร้อมเรียกว่า ทาน ศีล และคุณธรรม เป็นคนใจดีแต่พูดไม่มีสัมมาคารวะ ก็ดูไม่งาม เป็นคนมีสัมมาคารวะ เป็นคนรู้จักทำบุญสุนทาน แต่โกหกเป็นว่าเล่น เรียกว่างามแต่ไม่มีดี เป็นคน
ใจบุญ เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ทุกวันชอบด่าชาวบ้านชาวเมือง
ยังเรียกว่างามไหมหนอ (ไม่งาม) ไหนลองบอกอาจารย์อะไรที่ทำให้งาม อะไรที่ทำให้ดี
ชีวิตเจอเรื่องราวมามากมาย อย่าให้ผิดพลาดบ่อยๆ นะ ตั้งใจทำแล้วก็ต้องไปให้ถึงที่สุด อย่าเพิ่งยอมแพ้ บำเพ็ญแล้วต้องเดินหน้า
ถอยไม่ได้แล้วนะ คิดอะไรคิดให้ดีๆ เป็นบุรุษอกสามศอกแต่บางทีก็
พ่ายแพ้ในเรื่องที่ไม่ควรพ่ายแพ้ รู้จักรักตัวเองเป็น ก็ต้องรู้จักรักผู้อื่นเป็น
ถ้ารักตัวเองไม่เป็น เอาแต่รักผู้อื่น ก็จะแห้งแล้งว่างเปล่า ชีวิตไม่มีคุณค่า ต้องรักตัวเองให้เป็นแล้วคนอื่นก็จะรักเรา แต่ถ้าเรารอแต่คนอื่นมารัก ชีวิตจะหดหู่ไหม รักตัวเอง ทำตัวเองให้มีคุณค่า ให้น่ารัก เดี๋ยวคนอื่นก็มารักเราเอง รักอย่างเห็นแก่ตัวไม่มีประโยชน์หรอก ทำได้อย่างที่อาจารย์ว่าก็สุดยอดแล้ว
ถอยไม่ได้แล้วนะ คิดอะไรคิดให้ดีๆ เป็นบุรุษอกสามศอกแต่บางทีก็
พ่ายแพ้ในเรื่องที่ไม่ควรพ่ายแพ้ รู้จักรักตัวเองเป็น ก็ต้องรู้จักรักผู้อื่นเป็น
ถ้ารักตัวเองไม่เป็น เอาแต่รักผู้อื่น ก็จะแห้งแล้งว่างเปล่า ชีวิตไม่มีคุณค่า ต้องรักตัวเองให้เป็นแล้วคนอื่นก็จะรักเรา แต่ถ้าเรารอแต่คนอื่นมารัก ชีวิตจะหดหู่ไหม รักตัวเอง ทำตัวเองให้มีคุณค่า ให้น่ารัก เดี๋ยวคนอื่นก็มารักเราเอง รักอย่างเห็นแก่ตัวไม่มีประโยชน์หรอก ทำได้อย่างที่อาจารย์ว่าก็สุดยอดแล้ว
อะไรที่ทำให้ดี อะไรที่ทำให้งาม (การพูด) มารยาทในการพูดต้องมีความอ่อนน้อมสุภาพ ต้องมีจริยอันดีงาม รู้จักให้เกียรติ อ่อนน้อมถ่อมตน (การยิ้ม) ไม่ว่าเจอเรื่องอะไรก็ให้ยิ้ม จำไว้นะไม่ได้กินหมากก็ต้องยิ้ม ไม่มีหมากกินอย่าอารมณ์เสียนะ อย่าติดหมากมากไม่อย่างนั้นชีวิตจะลำบาก (เริ่มจากจิตใจที่ดีทำให้ดีทุกอย่าง) แล้วถ้าวันไหนใจไม่ดีขึ้นมา ทุกอย่างก็ไม่ได้เรื่องนะสิ มนุษย์มักปล่อยตัวตนไปกับใจ ซึ่งจริงๆ ใจยังมีดี มีร้าย
มีได้ มีเสีย มักไม่เที่ยง อาจารย์จึงสอนว่า เวลาทำอะไรจงมีสติระลึกรู้อยู่เสมอ แม้ใจนั้นจะร้ายจงพยายามมองให้เห็นว่า ในร้ายมีดีไหม ในดีมีร้ายไหม เราจะได้ไม่หลงไปกับอารมณ์ทางโลก
มีได้ มีเสีย มักไม่เที่ยง อาจารย์จึงสอนว่า เวลาทำอะไรจงมีสติระลึกรู้อยู่เสมอ แม้ใจนั้นจะร้ายจงพยายามมองให้เห็นว่า ในร้ายมีดีไหม ในดีมีร้ายไหม เราจะได้ไม่หลงไปกับอารมณ์ทางโลก
จำไว้นะไม่มีอะไรร้ายในวันที่จิตใจเราดี และไม่มีอะไรดีในวันที่จิตใจเราร้าย และเราจะต้องปล่อยชีวิตไปวนอยู่กับดีร้ายไปอีกนานเท่าไร ทำไมไม่เกิดมาแค่รู้ ต้องสึกด้วยหรือ อย่าไปสึกมันเลย แค่รู้เฉยๆ ถ้ารู้แล้วเติมคำว่า “รู้สึก” นั่นก็จะมีทุกข์มีสุข มีได้มีเสีย แค่รู้กลางๆ รู้เฉยๆ แล้วจะได้วางได้ แต่มนุษย์ไม่ใช่ติดในรู้แล้วต้องสึก จะสึกไปไหนก็ไม่รู้ แล้วผลสุดท้ายใครที่ทำเรา ก็ตัวเราเองที่ทำให้เราทุกข์ใจ (คิดดี ทำดี) อย่าลืมพูดดีด้วย สิ่งที่น่ากลัวสำหรับมนุษย์นอกจากคำพูดก็คือความคิด ความคิดสร้างตัวตน และบางครั้งความคิดก็ขังตัวตน ฉะนั้นอย่าทำให้ความคิดมาทำร้ายตัวตน (คุณธรรม) อย่างเช่นมีเมตตา รู้จักให้ไม่เห็นแก่ตัว (ต้องทำจิตใจให้ดี) บางทีมนุษย์ติดคำว่าดีจนเกินไป แค่วางใจให้เที่ยงและกลาง เพราะเวลาเรายึดติดคำว่าดี พอเจอใครไม่ดีเราก็รับไม่ได้ ฉะนั้นแค่รู้และวางใจให้ตรงกลาง บำเพ็ญธรรมไม่ได้สอนให้รักดีเกลียดชั่ว แต่สอนให้เรามองเห็นความจริง ดีก็ไม่ยึดเกลียดก็ไม่ผลักไส ส่วนใหญ่ทุกคนรู้ว่าต้องพูดดีทำดี แต่บางครั้งพูดดี ทำดี คิดดี ถ้าลืมกรอบแห่งศีล ลืมกรอบแห่งธรรม การพูดดี ทำดีก็อาจจะไปกระทบคนนั้นกระทบคนนี้ อยู่ในกรอบแห่งศีล ศีลคืออะไร ไม่เบียดเบียนเขา ถ้าพูดแล้วไปเบียดเบียนใจ เบียดเบียนความรู้สึก ไม่พูดดีไหม แม้จะเป็นจริงก็ตาม
ข้อที่หนึ่งไม่เบียดเบียนก็คือมีเมตตา ถ้าทำข้อหนึ่งได้ก็ทำข้อคุณธรรมได้ ข้อสองไม่ลักทรัพย์ ไม่อยากได้ของใครมาเป็นของเรา มนุษย์ที่เถียงและด่า โกงกันทุกวันนี้ เพราะอยากให้เงินในกระเป๋าของเขามาเข้าในกระเป๋าของเรา ที่เรามีความอยากทุกวันนี้เพราะเงินที่เรามีไม่พอเท่ากับของเขา ที่เราทุกข์อยู่ทุกวันนี้เพราะอยากได้ของเขามาเป็นของเรา ที่เราดำรงชีวิตเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งดีๆ ต่อกัน ไม่ใช่เพราะความอยาก เราขายเพราะเอาของดีมาให้เขา เขาจะซื้อไม่ซื้อไม่เป็นไร อย่าอยู่เพราะความอยาก ของเขาต้องมาเป็นของเรา แต่อยู่เพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งที่ดีให้แก่กัน เปลี่ยนความคิดชีวิตก็เปลี่ยน กิเลสก็ไม่เกิด จริงหรือไม่ (จริง) เหมือนเราขายของ ทำไมจะต้องขายของ เราทำสิ่งที่อร่อยที่สุดอยากให้เธอกิน ฉันปลูกข้าวที่ดีที่สุดให้เธอกิน ใจเราเริ่มต้นดี แลกเปลี่ยนก็ดี เราไม่ได้ปลูกข้าวเพราะอยากได้เงิน อย่างนั้นการปลูกข้าวจะมีคุณภาพดีไหม (ไม่ดี) ความหมายก็เลยต่างกันนะศิษย์ เหมือนที่อาจารย์ถามศิษย์ว่า แอปเปิลลูกนี้อร่อยไหม (ไม่รู้) ไม่รู้เพราะไม่ได้กิน ทีอย่างนี้ตอบได้ ถ้าอาจารย์ถามว่าที่ไม่รู้เพราะยังไม่ได้กิน แล้วอยากได้ไหม นี่เองนิสัยของมนุษย์เป็นอย่างนี้ สิ่งที่มีไม่เคยพอ เมื่อไม่พอก็เลยเห็นสิ่งที่ยังไม่มีว่ามีค่ามากกว่า เราเลยเป็นทุกข์ แม้ไม่ได้ ไม่มี ไม่กินก็ไม่เป็นไร จำคำนี้ไว้นะศิษย์ อยู่ในโลกไม่ได้ไม่เป็นไร ดีไหม ไม่ดีไม่เป็นไร คาถาเด็ดของอาจารย์โดนด่า
ไม่เป็นไร เสียเงินเป็นอย่างไร (ไม่เป็นไร) โดนโกงเงินเป็นอย่างไร
(ไม่เป็นไร) จำไว้นะแล้วจะได้ไม่ทุกข์ เอาแอปเปิลปาใส่หัวศิษย์เป็นอย่างไร (ไม่เป็นไร) จำไว้เวลาโดนใครรังแกจะได้ไม่เป็นไร เพราะมีโทสะแล้วไม่ได้ระบายออก เหมือนได้ละลายสลายหนี้เวรกรรม มีความ
พุ่งพล่านคับข้องใจแล้วไม่ระบายออก ถือว่าได้สร้างคุณธรรม
ไม่เป็นไร เสียเงินเป็นอย่างไร (ไม่เป็นไร) โดนโกงเงินเป็นอย่างไร
(ไม่เป็นไร) จำไว้นะแล้วจะได้ไม่ทุกข์ เอาแอปเปิลปาใส่หัวศิษย์เป็นอย่างไร (ไม่เป็นไร) จำไว้เวลาโดนใครรังแกจะได้ไม่เป็นไร เพราะมีโทสะแล้วไม่ได้ระบายออก เหมือนได้ละลายสลายหนี้เวรกรรม มีความ
พุ่งพล่านคับข้องใจแล้วไม่ระบายออก ถือว่าได้สร้างคุณธรรม
โดนแอปเปิลปาหัว (ไม่เป็นไร) โดนโกง (ไม่เป็นไร) โดนด่า
(ไม่เป็นไร) รู้ว่าเจ็บ แต่เจ็บแค่กายอย่าเจ็บใจ เพราะมนุษย์ทุกคนหนีความทุกข์ไม่พ้น ฉะนั้นเมื่อทุกข์มาจำเป็นต้องทุกข์หรือ ใช่ไหม (ใช่) จำไว้นะศิษย์ เหมือนแอปเปิล ถ้าบางครั้งความทุกข์มากระทบใจ แต่คงไม่ได้กระทบทั้งชีวิต ถ้าความเจ็บปวดมากระแทกใจ ก็ไม่ได้มากระแทกทั้งชีวิต ก็แค่แหว่งไปเสี้ยวหนึ่ง อย่าทำให้ชีวิตทั้งชีวิตหมดคุณค่าเพียงเพราะความทุกข์และความเจ็บที่แหว่งไป แค่นี้เลยนะ จริงไหม (จริง) นี่แค่แหว่งเล็กๆ เองนะ ฉะนั้นเมื่อไรที่ความทุกข์มากระแทกใจ โดนใจ ให้รู้เอาไว้ว่า เรายังมีคุณค่าดีๆ อีกมากมาย อย่าปล่อยให้รอยแหว่งเล็กๆ มาพรากชีวิตเราไป มาสูญเสียความดีในหัวใจไปเลยนะศิษย์ หลายครั้งที่ความทุกข์เล็กๆ ความเจ็บน้อยๆ เกิดขึ้นในชีวิต ศิษย์ก็บอกว่า ไม่เอาแล้ว ไม่ดีแล้ว อย่างนี้ถูกแล้วหรือศิษย์ ฉะนั้น อย่าให้รอยด่างในชีวิตแค่นิดเดียวมาทำให้ชีวิตทั้งชีวิตต้องพังนะ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ลุกขึ้นสู้ใหม่ได้ ตราบใดที่ฟ้ายังให้โอกาสมีชีวิตจงอย่ายอมแพ้ ได้ไหมศิษย์ (ได้) จงอย่าแพ้ ความทุกข์ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวนั่นคือ หัวใจที่ยึดมั่นโดยไม่ปล่อยวาง ไม่ใช่ปล่อยวางเขา แต่ปล่อยวางความคิด ความคาดหวัง ความ
ยึดมั่นในตัวเราที่ร้องขอเขาว่า ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ อาจารย์ถามจริงๆ ว่า ศิษย์ทุกคนมีใครอยากโดนด่า โดนว่า โดนติไหม
ก็ไม่มี แล้วจะติกันทำไม จะด่ากันทำไม จะว่ากันทำไม ทำไมไม่อวยพรกัน เช่น ขอให้ดีนะ ขอให้โชคดี ไม่ใช่ออกจากบ้าน ก็บอกว่า ลูกจะรอดไหม ลูกเป็นอย่างนี้ไม่ได้เรื่องแน่เลย แช่งกันตลอด แล้วจะได้ดีไหม ฉะนั้นลูกเขาเป็นอย่างไร เราก็ห้ามเขาไม่ได้ สู้อวยพรเขาจะดีกว่าไหม แล้วถึงที่สุด เราก็บอกเขาไปเลยว่า ไม่ว่าเธอจะเป็นอย่างไร คนๆ นี้รับได้ทุกอย่าง
เธอจะเป็นอย่างไร ฉันก็รับได้ เธอจะมีชู้ ไม่เป็นไรฉันรับได้ ถ้าหากรักแล้ว อยู่แล้วทรมานแต่ก็ยังดีกว่าไปแล้วไม่เหลืออะไร ในร้อยส่วนมีเสียแค่หนึ่งส่วนยังรับได้ แล้วถ้าชีวิตในร้อยส่วนเหลือดีแค่หนึ่งส่วนจะรับไหวไหม
ไม่ต้องรับ แค่รู้ แล้วเราจะได้จบกรรมกันสักที เราเกิดมาเพื่อจบ เกิดมาเพื่อวาง ไม่ใช่เกิดมาเพื่อแบก แบกมันทุกอย่าง หากแต่เราเกิดมาเพื่อจบและวาง และหาตัวตนที่แท้จริงนะศิษย์
(ไม่เป็นไร) รู้ว่าเจ็บ แต่เจ็บแค่กายอย่าเจ็บใจ เพราะมนุษย์ทุกคนหนีความทุกข์ไม่พ้น ฉะนั้นเมื่อทุกข์มาจำเป็นต้องทุกข์หรือ ใช่ไหม (ใช่) จำไว้นะศิษย์ เหมือนแอปเปิล ถ้าบางครั้งความทุกข์มากระทบใจ แต่คงไม่ได้กระทบทั้งชีวิต ถ้าความเจ็บปวดมากระแทกใจ ก็ไม่ได้มากระแทกทั้งชีวิต ก็แค่แหว่งไปเสี้ยวหนึ่ง อย่าทำให้ชีวิตทั้งชีวิตหมดคุณค่าเพียงเพราะความทุกข์และความเจ็บที่แหว่งไป แค่นี้เลยนะ จริงไหม (จริง) นี่แค่แหว่งเล็กๆ เองนะ ฉะนั้นเมื่อไรที่ความทุกข์มากระแทกใจ โดนใจ ให้รู้เอาไว้ว่า เรายังมีคุณค่าดีๆ อีกมากมาย อย่าปล่อยให้รอยแหว่งเล็กๆ มาพรากชีวิตเราไป มาสูญเสียความดีในหัวใจไปเลยนะศิษย์ หลายครั้งที่ความทุกข์เล็กๆ ความเจ็บน้อยๆ เกิดขึ้นในชีวิต ศิษย์ก็บอกว่า ไม่เอาแล้ว ไม่ดีแล้ว อย่างนี้ถูกแล้วหรือศิษย์ ฉะนั้น อย่าให้รอยด่างในชีวิตแค่นิดเดียวมาทำให้ชีวิตทั้งชีวิตต้องพังนะ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ลุกขึ้นสู้ใหม่ได้ ตราบใดที่ฟ้ายังให้โอกาสมีชีวิตจงอย่ายอมแพ้ ได้ไหมศิษย์ (ได้) จงอย่าแพ้ ความทุกข์ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวนั่นคือ หัวใจที่ยึดมั่นโดยไม่ปล่อยวาง ไม่ใช่ปล่อยวางเขา แต่ปล่อยวางความคิด ความคาดหวัง ความ
ยึดมั่นในตัวเราที่ร้องขอเขาว่า ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ อาจารย์ถามจริงๆ ว่า ศิษย์ทุกคนมีใครอยากโดนด่า โดนว่า โดนติไหม
ก็ไม่มี แล้วจะติกันทำไม จะด่ากันทำไม จะว่ากันทำไม ทำไมไม่อวยพรกัน เช่น ขอให้ดีนะ ขอให้โชคดี ไม่ใช่ออกจากบ้าน ก็บอกว่า ลูกจะรอดไหม ลูกเป็นอย่างนี้ไม่ได้เรื่องแน่เลย แช่งกันตลอด แล้วจะได้ดีไหม ฉะนั้นลูกเขาเป็นอย่างไร เราก็ห้ามเขาไม่ได้ สู้อวยพรเขาจะดีกว่าไหม แล้วถึงที่สุด เราก็บอกเขาไปเลยว่า ไม่ว่าเธอจะเป็นอย่างไร คนๆ นี้รับได้ทุกอย่าง
เธอจะเป็นอย่างไร ฉันก็รับได้ เธอจะมีชู้ ไม่เป็นไรฉันรับได้ ถ้าหากรักแล้ว อยู่แล้วทรมานแต่ก็ยังดีกว่าไปแล้วไม่เหลืออะไร ในร้อยส่วนมีเสียแค่หนึ่งส่วนยังรับได้ แล้วถ้าชีวิตในร้อยส่วนเหลือดีแค่หนึ่งส่วนจะรับไหวไหม
ไม่ต้องรับ แค่รู้ แล้วเราจะได้จบกรรมกันสักที เราเกิดมาเพื่อจบ เกิดมาเพื่อวาง ไม่ใช่เกิดมาเพื่อแบก แบกมันทุกอย่าง หากแต่เราเกิดมาเพื่อจบและวาง และหาตัวตนที่แท้จริงนะศิษย์
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า
“ใจสะอาดจิตบริสุทธิ์”)
“ใจสะอาดจิตบริสุทธิ์”)
ถ้าอยากให้ใจสะอาดจิตบริสุทธิ์ อาจารย์จะบอกว่าจริงๆ มนุษย์
ทุกคนมีจิตที่บริสุทธิ์อยู่แล้ว แต่ใจไม่สะอาดก็เลยมองเห็นจิตได้ไม่บริสุทธิ์ อย่างที่อาจารย์บอกตั้งแต่แรก ความคิดสร้างตัวตน แต่ตัวตนไม่ใช่ความคิด ตัวตนที่แท้จริงไม่ใช่จิตใจ ไม่ใช่ใจ ไม่ใช่กาย แต่คือจิตเดิมแท้ที่มีหน้าที่แค่รู้ หาตัวรู้ให้เจอและรักษาคำว่า “รู้” นี้ให้ตื่นตลอดเวลา แล้วมนุษย์ก็จะเบิกบานและพบคำว่า “พุทธะอยู่ภายใน”
ทุกคนมีจิตที่บริสุทธิ์อยู่แล้ว แต่ใจไม่สะอาดก็เลยมองเห็นจิตได้ไม่บริสุทธิ์ อย่างที่อาจารย์บอกตั้งแต่แรก ความคิดสร้างตัวตน แต่ตัวตนไม่ใช่ความคิด ตัวตนที่แท้จริงไม่ใช่จิตใจ ไม่ใช่ใจ ไม่ใช่กาย แต่คือจิตเดิมแท้ที่มีหน้าที่แค่รู้ หาตัวรู้ให้เจอและรักษาคำว่า “รู้” นี้ให้ตื่นตลอดเวลา แล้วมนุษย์ก็จะเบิกบานและพบคำว่า “พุทธะอยู่ภายใน”
อุตส่าห์ถือสับปะรดไว้ตั้งนาน ต่อไปนี้จะทำอย่างไรดีเมื่อรู้แล้วเข้าใจธรรมะขนาดนี้แล้ว (ให้มีความอดทน อดกลั้น) ไม่ใช่อดทนอดกลั้นนะศิษย์ แต่เรียนรู้ที่จะเข้าใจความเป็นจริงของโลกใบนี้ ด้วยหัวใจอันเป็นกลาง เข้าใจไหม เพราะอดทนอดกลั้นมีวันจำกัด คนดีเป็นคนไม่กินหมาก ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน ใช่ไหม (ทำดี) แล้วปกติทำดีไหม ดื่มเหล้าไหม (ดื่ม) เลิกดื่มได้แล้ว ถ้าเลิกดื่มเหล้าอาจารย์จะให้แอปเปิล (เลิกได้) ถ้าเลิกไม่ได้กินแอปเปิลเข้าไปแล้วเป็นพิษนะ หมากเลิกกินได้แล้ว กินไปฟันก็ไม่สวย ลองยิ้มให้คนอื่นเขาดูสิ อาจารย์รู้ว่าคนสมัยก่อนที่กินหมากเพราะยิ่งดำยิ่งหล่อ แต่สมัยนี้ยิ่งดำก็ยิ่งไม่มีใครเอา การจะเป็นคนดีมีศีลธรรม ต้องไม่ดื่มเหล้า บุหรี่ไม่สูบ มอเตอร์ไซด์ไม่ซิ่ง
อาจารย์คงต้องกลับแล้วนะ ขอบคุณศิษย์ทุกคน ขอบคุณหัวใจอันงามๆ น่ารักๆ ของศิษย์ทุกคน ที่รู้จักเสียสละช่วยคน เราทำงานฟ้าเพื่อช่วยฟ้า ไม่ใช่ช่วยใคร เราทำงานฟ้าเพื่อหัวใจเราจะได้เหมือนฟ้า
ที่ยิ่งใหญ่และกว้างไกล ฉะนั้นคนที่ทำงานฟ้า หัวใจฟ้าก็ต้องสะอาด
ที่ยิ่งใหญ่และกว้างไกล ฉะนั้นคนที่ทำงานฟ้า หัวใจฟ้าก็ต้องสะอาด
คนที่ทำงานฟ้าก็เชื่อว่าทุกคนก็มีหัวใจแห่งฟ้า ฉะนั้นต้องรักษาหัวใจแห่งฟ้านี้ให้ดี อย่าให้หัวใจคนมาแทนที่ เพราะหัวใจคนมีแต่เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ เอาแต่ใจ บดบังหัวใจฟ้าจนมิด เพียงแค่เห็นแก่ตัวนิดเดียวหัวใจฟ้าก็หายไปทันที เพียงแค่นึกถึงตนหัวใจฟ้าก็จะไม่มี แต่อาจารย์เชื่อว่าสักวันหนึ่งถ้าศิษย์มุ่งมั่นบำเพ็ญ รักษาทาน รักษาศีล มีคุณธรรม หัวใจฟ้าก็จะกลับมา แล้วกลับไปอยู่ด้วยกันนะ
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ใจสะอาดจิตบริสุทธิ์”
เรื่องราวของชีวิตอันหลากหลาย เรื่องมากมายเกิดขึ้นยากตั้งรับ
แต่จิตใจยังสะอาดฝุ่นไม่จับ เพราะกำราบมารในจิตทันท่วงที
ช่วงระหว่างเกิดและตายเป็นช่องว่าง เติมอะไรในท่ามกลางสิ่งเหล่านี้
อันความจริงไม่อาจทำเป็นไม่มี จงเลือกทำสิ่งที่ดีไว้เป็นทุน
ผู้รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ ต้องรู้หยุดกายใจไม่หมกมุ่น
หมั่นทบทวนความผิดติดมักคุ้น แก้ไขได้เป็นคุณผู้พากเพียร
พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาทประชุมธรรม สถานธรรมอิ๋งเต๋อ (วันที่ ๑๕-๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๗) ดังนี้
กลอนหน้า ๒๐
เดิม
ใจสะอาดหรือไม่ทางก็ตรง จิตไม่ฝุ่นมาลงให้กตญาณ
จับยึดเพราะกำราบใจมิได้ อัตตาตนกิเลสในแต่ลูกหลาน
ไม่เท่าทันจิตพุทธะสู่มาร อยู่ช่วงระหว่างเกียจคร้านฟ้าทลาย
ตื่นทันทีและทันใดบำเพ็ญ ชี้ช่องเป็นเกิดตายไม่สลาย
ทำจิตว่างท่ามกลางเหล่าอบาย อย่าเติมอะไรให้เกิดไร้ปัญญา
แก้ไขเป็น
ใจสะอาดหรือยังทางก็ตรง จิตไม่ฝุ่นมารลงให้กตญาณ
ยึดจับเพราะกำราบใจมิได้ อัตตาตนกิเลสในแต่ลูกหลาน
ไม่ท่วงทันจิตพุทธะสู่มาร อยู่ช่วงระหว่างเกิดคร้านฟ้าทลาย
ตื่นทันทีและทันใดบำเพ็ญ ชี้ช่องเป็นตายให้ไม่สลาย
ทำจิตว่างท่ามกลางเหล่าอบาย อย่าเติมอะไรในสิ่งไร้ปัญญา