西元二○一四年 歲次甲午五月廿四日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่
หากไม่มีอะไรให้ยึดถือ ทุกสิ่งคือเปล่าไร้จนยากไขว่คว้า
ชีวิตเกิดมาเพื่อพบสัจธรรมนา ไยกลัวหนาหากไม่เหลืออะไรอยู่เลย
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลี่เถียไกว่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
มาฟื้นฟูดวงธรรมภายในดวงแด จิตเดิมแท้ที่มีมาแต่ก่อนเก่า
ทั้งใจกายแค่มีสติตามรู้เท่า โดนยั่วเย้าเฝ้าอารมณ์อย่าลืมตัวเอง
ต่างมีความเป็นฉันคุกรุ่นคุกคาม ในใจความคิดเห็นก็รู้ก็เก่ง
เส้นทางธรรมนั้นไม่สร้างเองเออเอง กลัวอวดเก่งอยู่แค่สรรค์สร้างไม่ดี
อย่าเรียนธรรมไปแต่งปรุงฟุ้งซ่านเกิน บางคนเดินจนแค่แทบไม่รู้หน้าที่
ปัญหาที่เกือบจบก็เริ่มใหม่ทุกที คนแบบนี้มีความรู้ด้วยซ้ำไป
หวังเรี่ยวแรงที่มีทันเพียงหลุดพ้น ร่างกายคนก็แค่เพียงยืมใจเข้าอาศัย
กรรมไม่มาใช้ไม่มีก็ยิ่งไกล กรรมได้ใช้ได้พบปัญญาซ่อนอยู่จริง
จิตย่อมทนได้เมื่อเกิดความรู้แจ้ง จิตย่อมแกร่งได้เมื่อยืนมีหลักยิ่ง
จิตยอมรับได้เมื่อเลือกรู้ตามจริง จิตย่อมนิ่งได้เมื่อเลือกไม่ตามใจ
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่
ฟังธรรมะเหนื่อยไหม ลำบากไหม (ไม่ลำบาก) ไม่ทุกข์ใจใช่ไหม เป็นการยากที่จะยอมเสียสละเวลาอันแสนสบายมานั่งฟังธรรมะ แต่การมาฟังธรรมะก็มีดีอยู่ไม่ใช่น้อย อย่างแรกก็คือ เพื่อจะได้หยุดความอยาก หยุดตามใจตัวเอง หยุดความเคยชิน ถ้าวันนี้เราหยุดความอยากได้ จิตเราจะพบความสงบได้ เมื่อจิตสงบแล้วยังพากเพียรตั้งใจใฝ่หาธรรม ด้วยจิตใจมุ่งมั่นแน่วแน่ ไม่แน่สองวันนี้อาจจะพบทางสว่างที่เรียกว่า "ปัญญา" ถ้าฟังธรรมะสองวันนี้ถือว่าเป็นบุญไม่ใช่น้อย ทำให้เราบังเกิดความสว่างและความสงบได้ แต่คนโดยส่วนใหญ่รู้ว่าชีวิตคนเราไม่เที่ยง การเจ็บป่วยการเปลี่ยนแปลงก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ทำไมเวลามาเจอกับตัวเราถึงยอมรับความธรรมดาไม่ได้ เราปลอบใจทุกคนว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่พอถึงเวลาเจอกับตัวเรา เรากลับตอบว่าไม่ธรรมดา น่าแปลกไหม
มาฟังธรรมะเพื่ออะไร เพื่อความสงบหรือว่าเพื่อหนีใจตัวเอง มาฟังธรรมะเพื่อบังเกิดปัญญา หรือกำลังหนีกิเลสตัวเอง (เพื่อบังเกิดปัญญา) หลายต่อหลายครั้งที่มนุษย์บอกว่าเรามาปฏิบัติธรรม ปฏิบัติเพื่ออะไรหรือ เพื่อหาความสงบเพื่อหาความสว่างให้แก่จิตใจ ถูกหรือไม่ จริงๆ แม้ภายนอกจะสงบแค่ไหน แต่ถ้าใจเรายังวางความคิดไม่ได้ อยู่ที่ไหนก็วุ่นวาย แต่ถ้าหากว่าแม้ภายนอกจะวุ่นวายขนาดไหน แต่ถ้าใจเรารู้เท่าทันตัวเอง รู้ควบคุมความคิดตัวเองได้ ภายนอกจะมีผลอะไรกับภายในใจ เรากลับสามารถยึดกุมทุกโอกาสเพื่อปฏิบัติธรรมได้ ฉะนั้นผู้ฉลาดจึงถือเอาทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นโอกาสปฏิบัติธรรม ถือเอาสิ่งที่ประสบพบเจอเป็นสิ่งที่เกื้อหนุน และมีประโยชน์ต่อการส่งเสริมคุณธรรมในใจตน
"หากไม่มีอะไรให้ยึดถือ ทุกสิ่งคือเปล่าไร้จนยากไขว่คว้า
ชีวิตเกิดมาเพื่อพบสัจธรรมนา ไยกลัวหนาหากไม่เหลืออะไรอยู่เลย"
อ่านกลอนแล้วพอเข้าใจไหม หากสิ่งที่เราพยายามยึดถือก็ยึดไม่ได้ หากสิ่งที่เราพยายามไขว่คว้า ถึงที่สุดคือความไม่มี แล้วชีวิตเราเกิดมาเพื่ออะไร ในเมื่อจับต้องอะไรก็ไม่ได้ มีอะไรก็ไม่เคยได้อย่างแท้จริง มนุษย์กลับคิดว่าจับต้องได้ ยึดถือได้ ไขว่คว้าได้ เราถามหน่อย ถ้าจับต้องได้ยึดถือได้ไขว่คว้าได้ อะไรที่สามารถอยู่ในมือเรา แล้วไม่เปลี่ยนแปลงไม่หลุดลอยบ้าง (ความดีกับความชั่ว)
ยึดถือได้ไหม แม้แต่ดีก็ยึดไม่ได้ ถ้ายิ่งยึดดีจะไม่เหลือดี ยิ่งพยายามยึดให้ตัวเองดีเท่าไหร่ ทำไมเรากลับไม่ได้ดีเล่า คิดให้ดีดีนะ เราไม่ได้ต้องการเล่นคำ แต่เป็นความจริง ทุกคำที่เราพูดล้วนเป็นสัตย์จริง ยิ่งพยายามดียิ่งเหมือนไม่ได้ดี แต่บางทีพอกล้ายอมรับตัวเองว่าไม่ดี
คนกลับบอกว่าเราดี ทำไมจึงบอกว่าเขาดีล่ะ ดีที่เขารู้ตัวเอง แต่ถ้าเราบอกว่าเราดี แล้วบอกให้ทุกคนรู้ว่าเราดี ใครๆ กลับไม่เชื่อว่าเราดี ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นดีชั่วยึดถือได้หรือไม่ (ไม่ได้) ฉะนั้นอะไรในโลกนี้ที่มนุษย์เฝ้าไขว่คว้า เฝ้ายึดถือ ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกสิ่งก็คือความจริงอันเปล่าไร้ แม้แต่ตอนนี้เรายืนอยู่ก็อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ ท่านว่าจริงไหม แม้สิ่งที่ยืนอยู่ตรงนี้แท้จริงแล้วก็คือความไม่มี แม้สิ่งที่นั่งอยู่ตรงนี้แท้จริงก็คือความ
(ว่างเปล่า) แต่เพราะความยึดมั่นถือมั่นสิ่งที่ไม่มีก็เลยต้องมี สิ่งที่
ดูเหมือนไม่มีก็เลยยิ่งมี เพราะเรายึดติดแบ่งแยก ใช่ไหม (ใช่)
คนกลับบอกว่าเราดี ทำไมจึงบอกว่าเขาดีล่ะ ดีที่เขารู้ตัวเอง แต่ถ้าเราบอกว่าเราดี แล้วบอกให้ทุกคนรู้ว่าเราดี ใครๆ กลับไม่เชื่อว่าเราดี ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นดีชั่วยึดถือได้หรือไม่ (ไม่ได้) ฉะนั้นอะไรในโลกนี้ที่มนุษย์เฝ้าไขว่คว้า เฝ้ายึดถือ ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกสิ่งก็คือความจริงอันเปล่าไร้ แม้แต่ตอนนี้เรายืนอยู่ก็อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ ท่านว่าจริงไหม แม้สิ่งที่ยืนอยู่ตรงนี้แท้จริงแล้วก็คือความไม่มี แม้สิ่งที่นั่งอยู่ตรงนี้แท้จริงก็คือความ
(ว่างเปล่า) แต่เพราะความยึดมั่นถือมั่นสิ่งที่ไม่มีก็เลยต้องมี สิ่งที่
ดูเหมือนไม่มีก็เลยยิ่งมี เพราะเรายึดติดแบ่งแยก ใช่ไหม (ใช่)
(สิ่งที่ยึดถือได้คืออนุตตรธรรม) อนุตตรธรรมหรือ อนุตตรธรรมคือธรรมอันเป็นความจริงแห่งสัจจะของโลกใบนี้ อย่าไปยึดติดกับ
สิ่งสมมติ หรือนาม หรือชื่อ ธรรมะไม่มีแบ่งจีนไทย ไม่มีแบ่งของคนเหนือคนใต้ ทุกสิ่งล้วนมีธรรมเหมือนกันหมด พุทธ คริสต์ ก็ล้วนมีธรรม
แต่ธรรมอะไรล่ะที่จะทำให้เรามั่นคงเข้าใจความเป็นจริงแจ่มแจ้งชีวิต
จนนำพาเราพ้นทุกข์ได้ ธรรมอะไรหรือ (ทำคุณงามความดี)
สิ่งสมมติ หรือนาม หรือชื่อ ธรรมะไม่มีแบ่งจีนไทย ไม่มีแบ่งของคนเหนือคนใต้ ทุกสิ่งล้วนมีธรรมเหมือนกันหมด พุทธ คริสต์ ก็ล้วนมีธรรม
แต่ธรรมอะไรล่ะที่จะทำให้เรามั่นคงเข้าใจความเป็นจริงแจ่มแจ้งชีวิต
จนนำพาเราพ้นทุกข์ได้ ธรรมอะไรหรือ (ทำคุณงามความดี)
มนุษย์ก็เลยคิดว่าการเข้าถึงธรรมก็คือการปฏิบัติดี ใช่ไหม (ใช่) สมมุติว่าถ้าเราทำดีจนถึงที่สุด ทำแล้วไม่เหลืออะไรเลย ทำแล้วหมดสิ้น
ทั้งตัวตนและคนที่รัก และชีวิต เรายังอยากทำไหม (อยากทำครับเพราะว่าเวลาเราตายไป หรือว่าจิตวิญญาณเราไปสู่อีกภพเรานำได้แต่
คุณงามความดีไป เงินทองหรือสิ่งต่างๆ เรานำไปไม่ได้เลยครับ) ตอบได้ถูกนะ แต่แม้แต่ความดีเมื่อทำจนถึงที่สุดก็ยึดพึ่งไม่ได้ ถ้ายึดพึ่งก็คือคนหลงดี ติดดี จริงหรือไม่ (จริงครับ ตอนนี้ก็สว่างขึ้นเลยครับ)
ทั้งตัวตนและคนที่รัก และชีวิต เรายังอยากทำไหม (อยากทำครับเพราะว่าเวลาเราตายไป หรือว่าจิตวิญญาณเราไปสู่อีกภพเรานำได้แต่
คุณงามความดีไป เงินทองหรือสิ่งต่างๆ เรานำไปไม่ได้เลยครับ) ตอบได้ถูกนะ แต่แม้แต่ความดีเมื่อทำจนถึงที่สุดก็ยึดพึ่งไม่ได้ ถ้ายึดพึ่งก็คือคนหลงดี ติดดี จริงหรือไม่ (จริงครับ ตอนนี้ก็สว่างขึ้นเลยครับ)
แล้วตอนนี้อยากรู้จักเราหรือยัง (อยาก) มีหลายคนคงยังกังขาสงสัย เราไม่ว่าอะไรนะ เพราะถึงที่สุดแล้วพอสองวันนี้จบไป เดี๋ยวท่านก็ลืมสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว
ต้องถามว่าแค่มาหนีกิเลส หนีทุกข์ชั่วคราว หนีตัวตนที่แท้จริงชั่วคราว หรือว่ามาเพื่อขัดเกลากิเลสให้เบาบางลง ขัดเกลานิสัยความ
เคยชินให้ลดน้อยต่างลง ต่างกันนะ มาฟังธรรมเพื่อหนีกิเลส หนีความเคยชิน กับมาฟังธรรมเพื่อลดละขัดเกลาตัวตนให้นิสัยตามความเคยชินเบาบางลง คุณค่าต่างกันเยอะเลย ตอนนี้ท่านมาเพื่อหนีกิเลสในใจ
ลดกิเลส ลดความวุ่นวายเฉพาะในวัดต่อหน้าพระ ทำไมไม่ทำทุกๆ ขณะที่มีชีวิต ทำไมอยากพบความสงบแค่อยู่ในวัด แค่ในที่สงบ ทำไมไม่พบความสงบในทุกๆ ที่แม้จะไม่สงบ ใช่ไหม (ใช่) ทำไมจะต้องรู้จักอดทน อดกลั้น หลังจากกิเลสฟุ้งเฟ้อไปเต็มที่แล้ว แต่ทำไมไม่รู้จักควบคุมกิเลส ก่อนที่กิเลสจะฟุ้งเฟ้อ
เคยชินให้ลดน้อยต่างลง ต่างกันนะ มาฟังธรรมเพื่อหนีกิเลส หนีความเคยชิน กับมาฟังธรรมเพื่อลดละขัดเกลาตัวตนให้นิสัยตามความเคยชินเบาบางลง คุณค่าต่างกันเยอะเลย ตอนนี้ท่านมาเพื่อหนีกิเลสในใจ
ลดกิเลส ลดความวุ่นวายเฉพาะในวัดต่อหน้าพระ ทำไมไม่ทำทุกๆ ขณะที่มีชีวิต ทำไมอยากพบความสงบแค่อยู่ในวัด แค่ในที่สงบ ทำไมไม่พบความสงบในทุกๆ ที่แม้จะไม่สงบ ใช่ไหม (ใช่) ทำไมจะต้องรู้จักอดทน อดกลั้น หลังจากกิเลสฟุ้งเฟ้อไปเต็มที่แล้ว แต่ทำไมไม่รู้จักควบคุมกิเลส ก่อนที่กิเลสจะฟุ้งเฟ้อ
ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมไม่ได้ให้เลือกปฏิบัติ แต่ความหมายของการปฏิบัติคือ ทุกที่ก็ปฏิบัติธรรมได้ ทุกที่ก็ฝึกฝนตัวเองได้ แล้วปฏิบัติธรรมปฏิบัติอย่างไร โดยส่วนใหญ่ก็คิดว่าแค่นั่งสมาธิ สวดมนต์ ทำบุญ แต่ยังไม่พ้นทุกข์ แค่ได้ทำดี เคยถามตัวเองไหมว่า ต้นเหตุแห่งความทุกข์มาจากไหน ทำดีเท่าไรไม่พ้นทุกข์สักที ก็เพราะว่าเราทำดีไม่จริง หรือว่าดีก็ดี ทุกข์ก็ทุกข์ เคยหาหรือเปล่า ไม่เคยใช่ไหม เคยได้ยินคำหนึ่งไหมว่า "ผู้ใดพบทุกข์ ผู้นั้นพบธรรม ผู้ใดเห็นแจ้งในทุกข์ ผู้นั้นเห็นแจ้งในธรรม"
ทำไมเราจึงไม่สามารถพบทุกข์ได้ เห็นแจ้งธรรมได้ ก็เพราะทุกวันเราเอาแต่หนีทุกข์ ทุกวันเราเอาแต่เบือนหน้าต่อความทุกข์ ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมจึงย้ำความสำคัญต่อความทุกข์ว่า "ยิ่งทุกข์ยิ่งพบธรรม
ยิ่งทุกข์ยิ่งเห็นแจ้งในธรรม" อย่าหนีแต่จงกล้ายอมรับด้วยหัวใจนักสู้
แม้จะทำดีที่สุดแต่ก็หนีทุกข์ไม่ได้ ถ้าเรายังหาเหตุแห่งทุกข์ไม่เจอ แม้จะทำดีจนตัวตายก็พ้นทุกข์ไม่ได้ ถ้าเรายังไม่สามารถหาทุกข์ให้เจอ วันนี้เราจึงอยากมาเพื่อให้ท่านได้เรียนรู้ว่า ทุกข์ที่ท่านว่าน่ากลัวที่สุด เราเจอมาแล้ว เราจึงอยากมาแบ่งปันความพ้นทุกข์ เอาไหม (เอา)
ยิ่งทุกข์ยิ่งเห็นแจ้งในธรรม" อย่าหนีแต่จงกล้ายอมรับด้วยหัวใจนักสู้
แม้จะทำดีที่สุดแต่ก็หนีทุกข์ไม่ได้ ถ้าเรายังหาเหตุแห่งทุกข์ไม่เจอ แม้จะทำดีจนตัวตายก็พ้นทุกข์ไม่ได้ ถ้าเรายังไม่สามารถหาทุกข์ให้เจอ วันนี้เราจึงอยากมาเพื่อให้ท่านได้เรียนรู้ว่า ทุกข์ที่ท่านว่าน่ากลัวที่สุด เราเจอมาแล้ว เราจึงอยากมาแบ่งปันความพ้นทุกข์ เอาไหม (เอา)
ฉะนั้นเราถึงบอกท่านตั้งแต่ต้นแล้วว่าอยู่ในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่เราควบคุมได้ พอถึงเวลาไม่มีอะไรเป็นของเราจริงแท้ เหมือนแต่ก่อนเราก็เคยคิดว่ากายนี้เป็นของเรา กายนี้เราคุมได้ แต่ถึงที่สุดแล้ว เราก็คุมไม่ได้ และถึงที่สุดแล้วก็ไม่ใช่ของเรา ใช่ไหม (ใช่) ลองบอกสิว่าให้สวยทุกวัน สวยไหม (ไม่สวย) บอกให้หล่อทุกวัน หล่อไหม (ไม่หล่อ) บอกให้อย่าแก่ แก่ไหม (แก่) แล้วไหนบอกว่าเป็นของเราล่ะ ถ้าเป็นของเรา เราต้องคุมได้ ฉะนั้นโดยความนัยของธรรมะ หรือโดยความนัยของชีวิต เราเคยสงสัยตัวเองบ้างไหมว่าถึงที่สุดแล้ว ฟ้าหรือดินหรืออะไรทำให้เรามาเกิด
บางคนบอกว่าเรามาเกิดเพื่อรับกรรม ถ้าเรามาเกิดเพื่อรับกรรม อย่างนั้นเราต้องสร้างกรรมแล้วชดใช้กรรม สร้างกรรมแล้วชดใช้กรรม
อีกเมื่อไหร่จะจบ ใช่ไหม (ใช่) แล้วเมื่อเราเกิดถ้ารับกรรมแล้ว แล้วเราจบกรรมและไม่มีกรรมอีกได้ไหม (ได้) แน่ใจหรือ แล้วที่เห็นกราบไหว้อยู่นี่ท่านทำไม่ได้หรือท่านทำได้ (ทำได้) คิดว่าเราทำได้ไหม (ได้) ที่ทำไม่ได้เพราะท่านไม่เคยสงบ ที่ทำไม่ได้เพราะท่านไม่เคยหยุด ที่ทำไม่ได้เพราะท่านไม่เคยคิดให้ตัวเองลองทำดู ฉะนั้นถ้าวันนี้เราบอกว่าท่านทำได้ แล้วก็มีอยู่แล้ว แล้วก็พ้นทุกข์อยู่แล้ว แต่อะไรบดบังทำให้ไม่พ้นล่ะ ใช่ไหม (ใช่)
บางคนบอกว่าเรามาเกิดเพื่อรับกรรม ถ้าเรามาเกิดเพื่อรับกรรม อย่างนั้นเราต้องสร้างกรรมแล้วชดใช้กรรม สร้างกรรมแล้วชดใช้กรรม
อีกเมื่อไหร่จะจบ ใช่ไหม (ใช่) แล้วเมื่อเราเกิดถ้ารับกรรมแล้ว แล้วเราจบกรรมและไม่มีกรรมอีกได้ไหม (ได้) แน่ใจหรือ แล้วที่เห็นกราบไหว้อยู่นี่ท่านทำไม่ได้หรือท่านทำได้ (ทำได้) คิดว่าเราทำได้ไหม (ได้) ที่ทำไม่ได้เพราะท่านไม่เคยสงบ ที่ทำไม่ได้เพราะท่านไม่เคยหยุด ที่ทำไม่ได้เพราะท่านไม่เคยคิดให้ตัวเองลองทำดู ฉะนั้นถ้าวันนี้เราบอกว่าท่านทำได้ แล้วก็มีอยู่แล้ว แล้วก็พ้นทุกข์อยู่แล้ว แต่อะไรบดบังทำให้ไม่พ้นล่ะ ใช่ไหม (ใช่)
เหมือนที่เรารู้ว่าธรรมะทุกสิ่งล้วนเกิดดับอยู่ทุกขณะ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเราเกิดมาเพื่อดับ เราไม่ได้เกิดมาเพื่อจะเกิดอีก เหมือนที่ชีวิต
ทุกชีวิตล้วนเกิดไปสู่ความดับ แล้วทุกขณะก็หมุนวนอยู่ในความดับอยู่
ทุกเวลา แปลว่ามันดับอยู่ตลอดเวลาแล้วอะไรมันที่ไม่ดับ (จิต) ใช่ไหม (ใช่) เราพูดแล้วท่านงงไหม
ทุกชีวิตล้วนเกิดไปสู่ความดับ แล้วทุกขณะก็หมุนวนอยู่ในความดับอยู่
ทุกเวลา แปลว่ามันดับอยู่ตลอดเวลาแล้วอะไรมันที่ไม่ดับ (จิต) ใช่ไหม (ใช่) เราพูดแล้วท่านงงไหม
เราถามนะ ทุกขณะที่เราเดินมานี้ หนึ่งขณะที่เราเดินคือหนึ่งขณะที่กำลังจะจบในขณะนี้ ใช่ไหม และทุกขณะที่ก้าวเดินก็คือการจบอันเดิมแล้วเริ่มอันใหม่ เรียกว่าเกิดดับ เกิดดับไหม (ใช่) แต่ที่เกิดแล้วยังไม่ดับเพราะว่าเรายังผูกพันอยู่กับอดีต แล้วยังคาดหวังอยู่กับอนาคต แล้วยังยึดมั่นอยู่กับตัวตน ทั้งที่จริงๆ แล้ว การเกิดดับ เกิดดับ มีอยู่ทุกขณะ เหมือนที่ท่านมักพูดอยู่บ่อยๆ ว่าฉลองวันเกิด แต่พุทธะไม่ได้พูดแบบนั้น พุทธะบอกว่าฉลองวันตาย ตายไปกี่ขวบปีแล้ว เรายังจะยึดอีกไหม มันจบไปแล้ว แต่เรายังลากมาไม่จบ เหมือนตอนเด็กจบไปหรือยัง (จบแล้ว)
ถ้ามัวคิดถึงตอนเด็กก็จะว่าตัวเองแก่ แต่ถ้าไม่คิดถึงตอนเด็ก อยู่กับปัจจุบันเราก็ยังไม่แก่ ใช่ไหม (ใช่) หลอกตัวเอง ก็เราแก่อยู่ทุกขณะ
จริงไหม (จริง)
ถ้ามัวคิดถึงตอนเด็กก็จะว่าตัวเองแก่ แต่ถ้าไม่คิดถึงตอนเด็ก อยู่กับปัจจุบันเราก็ยังไม่แก่ ใช่ไหม (ใช่) หลอกตัวเอง ก็เราแก่อยู่ทุกขณะ
จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นถ้าอยากพ้นทุกข์ จงมีสติรู้ทันตนอยู่ทุกขณะ เรายึดอะไรไม่ได้เลยนะ เพราะทุกสิ่งมันเกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับตลอดเวลา หรือที่พุทธะพูดให้งงเข้าไปอีกคือสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งนั้น สิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งนี้ เราพูดให้ท่านงงไหม (ไม่งง) ฉะนั้นท่านจะทุกข์กับสิ่งนั้นไปทำไมในเมื่อเหลือแค่ตรงนี้ ใช่ไหม (ใช่) ฟังเราเข้าใจไหม (เข้าใจ) มนุษย์เรามักจะเป็นอย่างนั้นนะ ทุกข์กับสิ่งตรงนั้นหรือไม่ก็กังวลกับสิ่งข้างหน้านั้น ทั้งที่ตรงนี้ทำได้ดีหรือยัง ฉะนั้นถ้าทำตรงนี้ได้ดีจะกลัวอะไรกับข้างหน้า แล้วจะเสียใจอะไรกับข้างหลัง ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า "ธรรมะมีแค่ตรงนี้และเดี๋ยวนี้" และเราทุกข์กับอะไร ที่เราทุกข์เพราะเราไม่อยู่ตรงนี้ ถูกไหม (ถูก) แล้วตรงนี้ล่ะรอดไหม แล้วใครเป็นคนจุดไฟเผาตัวเอง ความคิดทั้งนั้นเลย ฉะนั้นอยู่ตรงนี้ก็ให้อยู่ตรงนี้ แล้วจำไว้นะว่าตรงนี้ก็พร้อมที่จะเปลี่ยนเป็นตรงนั้นได้ จริงไหม (จริง) ฉะนั้นจงมีสติตื่นรู้และอยู่กับความเกิดดับด้วยความเข้าใจ เราก็จะปลดทุกข์ได้ในหนึ่งชั่วขณะ หรือเรียกง่ายๆ ว่าพบนิพพานได้ในชั่วขณะ นิพพานคือความสงบเย็น ถ้าเรามีความสงบเย็นได้ เราก็พบนิพพานได้ แต่มนุษย์มักจะยกนิพพานเป็นเรื่องสูงส่งไกลเกินเอื้อม เพราะเรายังไม่รู้ ถ้าเรารู้เราก็พบได้ ถ้าเรามีสติเราก็พ้นทุกข์ได้
ถามว่าในที่นี้ที่มาฟังธรรมส่วนใหญ่อยากปฏิบัติธรรมไหม (อยาก) การเรียนรู้ปฏิบัติธรรม นอกจากเพื่อลดละขัดเกลากิเลส รู้เท่าทันอารมณ์ตน ไม่ปล่อยให้กิเลสนำชีวิต แต่ให้ความถูกต้องดีงามนำพาชีวิตตน นี่จึงเรียกว่าการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมคือ การรู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ ซื่อตรงในความเป็นคนอย่างเข้มงวดกวดขัน รู้จักอ่อนน้อม
ถ่อมตน เมตตาจริงใจกับผู้อยู่ร่วมกัน ถ้าทำได้เช่นนี้เรียกว่า ปฏิบัติธรรมได้ดี แต่หลายต่อหลายครั้งที่พอได้ปฏิบัติไปสักพักหนึ่ง จะอดสงสัยไม่ได้ว่า แล้วธรรมะที่เราปฏิบัติแท้จริงคืออะไรกันเล่า เคยสงสัยไหม (เคย) นั่งมาถึงครึ่งวันแล้ว พอรู้หรือยังว่าธรรมะคืออะไร
ถ่อมตน เมตตาจริงใจกับผู้อยู่ร่วมกัน ถ้าทำได้เช่นนี้เรียกว่า ปฏิบัติธรรมได้ดี แต่หลายต่อหลายครั้งที่พอได้ปฏิบัติไปสักพักหนึ่ง จะอดสงสัยไม่ได้ว่า แล้วธรรมะที่เราปฏิบัติแท้จริงคืออะไรกันเล่า เคยสงสัยไหม (เคย) นั่งมาถึงครึ่งวันแล้ว พอรู้หรือยังว่าธรรมะคืออะไร
มีใครรู้บ้างธรรมะคืออะไร (ธรรมชาติ, ความจริงความดี) บางทีถ้าเราทำดีแล้วยังไม่ได้ดี เราก็อย่าเพิ่งท้อแท้เพราะผลยังอาจไม่เต็มพร้อมสมบูรณ์ ถูกหรือเปล่า (ถูก) ธรรมะคือความจริงอันประเสริฐ หรือความจริงอันไม่เปลี่ยนแปลง แต่ก็ยังมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นธรรมะคือความจริงแท้
เราจะลองสอบถามท่านดู ในชั้นนี้ฟังธรรมะมาครึ่งวันแล้ว เข้าใจธรรมะมากแค่ไหน ระหว่างความดีกับความชั่ว อะไรคือธรรมะ (ทั้งสองอย่าง) ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเกิดเรามีชีวิตอยู่แล้วเราเกิดมาพร้อมกับความจนและอัปลักษณ์ในรูปร่าง อะไรคือธรรมะ ทั้งสองอย่างใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเมื่อไรเรารู้สึกเกลียดความจน เกลียดความอัปลักษณ์ เกลียดความไม่ดี นั่นไม่เรียกว่า "ธรรมะ" แต่เรียกว่า "กิเลส" ถ้าเรามีม้าตัวหนึ่งแล้วเอาบังเหียนไปคุมหรือไปสนตะพาย อะไรคือธรรมะ อะไรคือกิเลส ม้าคือธรรมะ บังเหียนหรือสนตะพายคือกิเลส เมื่อสักครู่เราบอกแล้วใช่ไหมว่า เราเรียนรู้หลักธรรมเราต้องเข้าใจธรรมะก่อน เมื่อเข้าใจธรรมเราจะรู้วิถีทางพ้นทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ เพราะธรรมะคือแก่นแท้ความจริงของทุกชีวิตและสรรพสิ่ง ถ้าเราเข้าใจแก่น การดำเนินชีวิตไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าเราไม่เข้าใจแก่น การจะนำพาชีวิตจึงกลายเป็นเรื่องยาก
สมมติว่าเรากำลังเดินอยู่แล้วเราต้องการเรียกคนข้างหลังให้มานี่หน่อย เขาไม่หันมามองเรา จึงเรียกใหม่ให้มานี่หน่อย เขาก็ไม่มา เราก็เรียกอีก เขาก็ยังยืนเฉยและไม่มา ถามว่า อะไรคือธรรมะ อะไรคือกิเลส ท่านคงงงใช่ไหม (ใช่)
เขากำลังให้ธรรมะ และเรากำลังมองไม่เห็นกิเลสในตัวเองใช่ไหม (ใช่) อะไรคือธรรมะ อะไรคือกิเลส ถ้าเข้าใจธรรมะถ้าเข้าใจกิเลส ท่านจะเห็นเลยว่าจะเกิดทุกข์ (ตะโกนเสียงดัง) "ทำไมไม่มา" ไม่มาแล้วทำอย่างไร เดินไปหาเลย ทำไมเมื่อกี้เรียกเป็นสิบรอบทำไมไม่มาเป็นอะไร มัวทำอะไร ทุกข์ไหม (ทุกข์) เราแบกทุกข์มาตั้งแต่คำว่า "มานี่หน่อย"
ใช่ไหม (ใช่) เพราะกิเลสหรือเราไม่มองความจริง เอาแต่เห็นสิ่งที่ตัวเองอยากให้เป็น ฉะนั้นอยากพ้นทุกข์ อยากเข้าใจทุกข์ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจความจริงในโลกนี้ก่อน ถ้าเข้าใจความจริงในโลก การจะดับทุกข์และ
พ้นทุกข์ไม่ใช่เรื่องยาก จริงไหม (จริง) เหมือนเดิมนะแล้วดูสิจะพ้นทุกข์ไหม
ใช่ไหม (ใช่) เพราะกิเลสหรือเราไม่มองความจริง เอาแต่เห็นสิ่งที่ตัวเองอยากให้เป็น ฉะนั้นอยากพ้นทุกข์ อยากเข้าใจทุกข์ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจความจริงในโลกนี้ก่อน ถ้าเข้าใจความจริงในโลก การจะดับทุกข์และ
พ้นทุกข์ไม่ใช่เรื่องยาก จริงไหม (จริง) เหมือนเดิมนะแล้วดูสิจะพ้นทุกข์ไหม
ถ้าสมมติว่าเรียกอีก "มานี่หน่อย มัวทำอะไร มานี่สิ" "ไม่มาหรือ อืม ไม่มา" ทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) กิเลสเกิดไหม (ไม่เกิด) เพราะอะไร เพราะเห็นความจริงไม่เอาแต่สิ่งที่เรียกร้อง ฉะนั้นวันนี้ที่เราทุกข์อยู่ เพราะเราเอาแต่เรียกร้องแต่ไม่มองความจริง ใช่ไหม (ใช่) บอกสามีไปซ้าย บอกสามีไปขวา ไปไหม (ไม่ไป) เหมือนกับเวลาเราเรียกคน เรียก "มานี่" มาไหม (ไม่มา) แล้วจะโกรธทำไม โกรธแล้วยังเอาทุกข์ที่โกรธนั้นไปว่าเขาอีก ทำไมไม่วางให้จบซะตั้งแต่ตรงนี้ ลากไปแล้วไปหาเรื่องเขาถูกไหม (ไม่ถูก) แล้วคนที่ทุกข์นั้นคือใคร (ตัวเรา) ทุกข์ตั้งแต่ไม่ยอมมาแล้วก็เดินไปต่อว่าจนจบ หายทุกข์ไหม (ไม่หาย) วางไหม (ไม่วาง)
ฉะนั้นพอเห็นทุกข์บ้างหรือยัง (เห็นแล้ว) เห็นเพราะอะไร เห็นเพราะว่าเราไม่เคยอยู่กับความจริง เราเอาแต่เรียกร้องแล้วให้เหตุผลว่า ฉันหวังดี ใช่ไหม แล้วถ้าเมื่อเราหวังดีแล้วเขาไม่เอาก็เปล่าประโยชน์ที่เราจะทุกข์ใจเพราะหวังดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นสมมติว่าถึงเวลาเรียกร้องแล้วไม่สนใจ เรียกร้องแล้วไม่แม้แต่จะหันมามอง กับเดินแล้วหายไป เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) จำไว้นะ เรียกร้องแล้วยังดีที่หันมาแต่ไม่มาหา ก็ยังดี แต่ถ้าเรียกร้องแล้วไม่หันแถมหายไป ทุกข์ไหม จงเรียนรู้ที่จะอยู่กับความจริงแล้วเราจะไม่ทุกข์ ความจริงจะช่วยทำให้ลดความทุกข์ไปได้ครึ่งหนึ่งเลยนะ ถ้าเรากล้ายอมรับความจริง ใช่ไหม (ใช่) เพราะในโลกมีแบบนี้มาก เรียกแล้วหันก็ดี แต่หันแล้วไม่มาก็ดี แต่ถ้าเรียกแล้วไม่หันและไม่มาแล้วไปเลยก็ดี เพื่อจะได้จบกับเขา อย่าไปแค้น อย่าไปเคือง ถ้าอะไรเรียกแล้วไม่เป็นดั่งใจ ถ้าคิดอะไรแล้วไม่เป็นดั่งหวัง ใช่ไหม (ใช่) เราก็จะได้หมดเวรหมดกรรมกันเสียที ดีกว่าหันแล้วเดินมาไม่จบสักที จริงไหมล่ะ ถ้าหันมาแล้ว มีอะไรหรือ ดีใจไหม ถ้าเกิดสมมุติเรียกแล้วเขาหันมาท่านดีใจไหม (ดีใจ) แล้วถ้าต่อไปท่านบอกว่า ไปเอาอันโน้นให้หน่อย แต่ไม่ไปเสียใจไหม (เสียใจ) ฉะนั้นจะดีใจเพื่อเสียใจทำไมล่ะ ฉะนั้นความจริงแห่งธรรมะสอนให้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ อย่าเผลอไปเรียกร้อง อย่าเผลอไปยึดมั่นถือมั่น อย่าเผลอไปคิดควบคุมครอบครอง เพราะเราเกิดมาเพียงแค่อยู่ร่วมกัน ถึงเวลาก็ต้องปล่อยไปตามทางของแต่ละคน ใช่ไหม (ใช่) แต่มนุษย์เราไม่ใช่ มีแล้วก็ยึด ยึดแล้วก็หวง หวงแล้วก็ห่วง ห่วงแล้วก็ปลงไม่ตก ปลงไม่ตกแล้วก็กลุ้มกังวล กลุ้มกังวลเสร็จก็เป็นทุกข์ เป็นทุกข์เสร็จก็วิ่งวนอยู่ในความทุกข์นี้ แล้ว
พ้นไหม (ไม่พ้น)
พ้นไหม (ไม่พ้น)
ฉะนั้นธรรมะจึงสอนให้เรารู้ว่าจงเรียนรู้ที่จะอยู่กับความจริง แล้วความจริงนั้นมีอยู่ข้อเดียวคือทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลง อย่าเผลอยึดครอง เรียกร้อง คาดหวัง โดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะทุกข์ใจเปล่าๆ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเรียกแล้วไม่หัน ทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) เรียกแล้วหันดีใจไหม (ไม่ดีใจ) อย่าเผลอดีใจเด็ดขาดนะ เพราะถ้าหันมาแล้ว ดีใจจังมาแล้วเดินมาแล้ว นั้นแหละทุกข์มาเต็มๆ เลย ฉะนั้นถ้าไม่เป็นดั่งหวังอย่าทุกข์ใจ ถ้าเป็นดั่งหวังก็อย่าเผลอหลงดีใจ เพราะในโลกไม่มีอะไรที่เรียกว่าสุขแท้ ทุกข์จริง ถ้าเรามีสติรู้ทันทุกขณะที่เกิดขึ้น ว่าโลกนี้เป็นโลกแห่งความเปลี่ยนแปลง โดนว่าก็จะไม่ (ทุกข์) จริงไหม โดนเกลียดก็จะ
ไม่ชังไม่ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วพอเข้าใจธรรมะว่าทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ เราจะเกิดความโลภอยากได้ไหม (ไม่อยาก) อยากได้ใครมาไหม (ไม่อยาก) ถ้าเกิดว่าวันนี้ได้เงินมาวันนี้ดีใจไหม (ไม่ดีใจ) วันนี้ถูกลอตเตอรี่ดีใจไหม (ไม่ดีใจ) จริงหรือ อย่าดีใจไปนะ วันนี้ถูกสองตัว พรุ่งนี้อาจจะหมดตัว ใช่หรือไหม (ใช่) เพราะความจริงแห่งธรรมะสอนให้เรารู้ว่าโลกนี้พร้อมจะเปลี่ยนแปลงทุกขณะ ถ้ามีเหตุปัจจัยหนุนเนื่อง
แม้ดีขนาดไหน เมื่อมันจบก็ต้องจบ แต่ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยหนุนเนื่อง เมื่อ
ไม่จบก็ต้องไม่จบ ฉะนั้นนี่แหละเรียกว่าธรรมะ ธรรมะสอนให้เราเข้าถึงความเป็นจริงอันเป็นแก่นแท้ในทุกชีวิต เมื่อเรารู้จักใจตัวเอง ใจจะรักษาชีวิต
ไม่ชังไม่ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วพอเข้าใจธรรมะว่าทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ เราจะเกิดความโลภอยากได้ไหม (ไม่อยาก) อยากได้ใครมาไหม (ไม่อยาก) ถ้าเกิดว่าวันนี้ได้เงินมาวันนี้ดีใจไหม (ไม่ดีใจ) วันนี้ถูกลอตเตอรี่ดีใจไหม (ไม่ดีใจ) จริงหรือ อย่าดีใจไปนะ วันนี้ถูกสองตัว พรุ่งนี้อาจจะหมดตัว ใช่หรือไหม (ใช่) เพราะความจริงแห่งธรรมะสอนให้เรารู้ว่าโลกนี้พร้อมจะเปลี่ยนแปลงทุกขณะ ถ้ามีเหตุปัจจัยหนุนเนื่อง
แม้ดีขนาดไหน เมื่อมันจบก็ต้องจบ แต่ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยหนุนเนื่อง เมื่อ
ไม่จบก็ต้องไม่จบ ฉะนั้นนี่แหละเรียกว่าธรรมะ ธรรมะสอนให้เราเข้าถึงความเป็นจริงอันเป็นแก่นแท้ในทุกชีวิต เมื่อเรารู้จักใจตัวเอง ใจจะรักษาชีวิต
เมื่อเรายังไม่รู้ใจตนเอง ใจนั่นแหละทำร้ายชีวิตตน จำคำพูดนี้ไว้ให้ดี เมื่อเราเข้าใจชีวิต รู้ใจตัวเอง ใจนี่แหละจะนำพาชีวิต แต่ถ้าเรายังไม่เข้าใจชีวิต ยังไม่รู้จักใจตัวเอง ตัวเราเองที่เรียกว่าหัวใจนี่แหละจะทำให้ชีวิตพังและย่อยยับได้ ธรรมะที่เราพูดคงไม่ยากเกินจะเข้าใจ ถูกหรือไม่ พอจะปลดทุกข์ได้ไหม (ได้) ถ้าเรากล้ายอมรับความจริง อยู่กับตรงนี้ไม่อยู่กับตรงนั้น อะไรเปลี่ยนไปก็ยอมรับตรงนี้ ความทุกข์จะหดเหลือครึ่งหนึ่งทันที เมื่อเรากล้ายอมรับความจริง เราจะไม่ชอบ เราจะไม่ชัง แต่เราจะมองตรงจนเห็นแจ่มแจ้ง เมื่อมองตรงจนเห็นแจ่มแจ้ง ความชอบความชังก็ทำร้ายอะไรเราไม่ได้ เมื่อเห็นแจ่มแจ้งจึงเกิดความเข้าใจ เมื่อเข้าใจเราจึงไม่อยากไม่ยึดอะไร เมื่อไม่อยากก็ไม่โกรธ เมื่อไม่โกรธก็ไม่หลง
ไม่เกลียด แล้วตอนนี้โลภ โกรธ หลง ก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป เพราะเราเข้าใจแก่นแท้ของชีวิต แก่นแท้สรรพสิ่ง
ไม่เกลียด แล้วตอนนี้โลภ โกรธ หลง ก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป เพราะเราเข้าใจแก่นแท้ของชีวิต แก่นแท้สรรพสิ่ง
เราถามจริงๆ ถ้ารู้ว่าต้องเปลี่ยน เรายังอยากจะเอามาทำไมให้ทุกข์ใจ ถ้าเรารู้ว่ามีแล้วทุกข์ เราจะยึดทำไมให้เจ็บปวดใจ เมื่อเรารู้ว่าทุกสิ่ง
ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลง การที่เราโดนเขาว่า เราก็คงไม่โกรธ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าวันนี้เขาชม เราก็คงไม่ลุ่มหลงรัก เพราะเดี๋ยวไม่แน่เขาอาจจะ (ด่า) เมื่อเราไม่เกลียด ไม่อยาก เราเข้าใจใจแห่งโลก ใจแห่งสรรพสิ่ง เมื่อเข้าใจแล้ว เราก็หล่อเลี้ยงชีวิตและค้นพบความทุกข์ โดยที่โลภ โกรธ หลง ทำอะไรเราไม่ได้ต่อไป เมื่อโลภ โกรธ หลงก็ไม่มี ตัวตนก็ยึดไม่ได้ อะไรก็ยึดไม่ได้ เราเกิดมาเพื่อแค่ยืมใช้ ถึงเวลาจะปล่อยวางก็ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าวันหนึ่งเราต้องหมดตัว เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) หัวเราะแสดงว่ายังทำใจไม่ได้ ชีวิตของเราคือตัวอย่างที่ดีเลยนะ คิดว่าทำดีถึงที่สุด
คิดว่าทำดีมาตลอดชีวิต แต่ถ้าเกิดว่าชีวิตนี้เราทำดีถึงที่สุด คิดว่าทำดีมาตลอดชีวิต จนขนาดถอดจิตออกไปจากตัวได้ แต่กลับมาแล้วเหลือแต่ความว่างเปล่า รับได้ไหม ยอมรับความจริงนี้ได้ไหม ถ้าถึงที่สุดแล้วทำดีไม่มีผลอะไร แต่มันคือความว่างเปล่า การดับสูญ ความสูญสลาย เรารับได้ไหม รับให้ได้นะ เพราะธรรมะสอนให้เราค้นพบความจริงว่า ในโลกใบนี้อย่าได้เผลอยึดมั่นถือมั่น ถ้ายึดมั่นถือมั่นท่านก็จะไม่มีวันพ้นทุกข์ แต่เมื่อใดที่เราปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น หนทางสว่างและการพ้นทุกข์จะรออยู่ตรงนี้เลย ไม่ต้องไปตายเอาดาบหน้า แต่จะตรงนี้ทันที จริงหรือไม่ (ใช่) เรียนรู้ธรรมเพื่อเข้าใจแก่นแท้แห่งชีวิต เมื่อเข้าใจแก่นแท้แห่งชีวิต ชีวิตจะสอนให้เรารู้จักหล่อเลี้ยงตนโดยไม่ทุกข์อีกต่อไป ฉะนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย ขอเพียงมีสติรู้ตัวเองอยู่ทุกขณะจิต
ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลง การที่เราโดนเขาว่า เราก็คงไม่โกรธ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าวันนี้เขาชม เราก็คงไม่ลุ่มหลงรัก เพราะเดี๋ยวไม่แน่เขาอาจจะ (ด่า) เมื่อเราไม่เกลียด ไม่อยาก เราเข้าใจใจแห่งโลก ใจแห่งสรรพสิ่ง เมื่อเข้าใจแล้ว เราก็หล่อเลี้ยงชีวิตและค้นพบความทุกข์ โดยที่โลภ โกรธ หลง ทำอะไรเราไม่ได้ต่อไป เมื่อโลภ โกรธ หลงก็ไม่มี ตัวตนก็ยึดไม่ได้ อะไรก็ยึดไม่ได้ เราเกิดมาเพื่อแค่ยืมใช้ ถึงเวลาจะปล่อยวางก็ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าวันหนึ่งเราต้องหมดตัว เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) หัวเราะแสดงว่ายังทำใจไม่ได้ ชีวิตของเราคือตัวอย่างที่ดีเลยนะ คิดว่าทำดีถึงที่สุด
คิดว่าทำดีมาตลอดชีวิต แต่ถ้าเกิดว่าชีวิตนี้เราทำดีถึงที่สุด คิดว่าทำดีมาตลอดชีวิต จนขนาดถอดจิตออกไปจากตัวได้ แต่กลับมาแล้วเหลือแต่ความว่างเปล่า รับได้ไหม ยอมรับความจริงนี้ได้ไหม ถ้าถึงที่สุดแล้วทำดีไม่มีผลอะไร แต่มันคือความว่างเปล่า การดับสูญ ความสูญสลาย เรารับได้ไหม รับให้ได้นะ เพราะธรรมะสอนให้เราค้นพบความจริงว่า ในโลกใบนี้อย่าได้เผลอยึดมั่นถือมั่น ถ้ายึดมั่นถือมั่นท่านก็จะไม่มีวันพ้นทุกข์ แต่เมื่อใดที่เราปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น หนทางสว่างและการพ้นทุกข์จะรออยู่ตรงนี้เลย ไม่ต้องไปตายเอาดาบหน้า แต่จะตรงนี้ทันที จริงหรือไม่ (ใช่) เรียนรู้ธรรมเพื่อเข้าใจแก่นแท้แห่งชีวิต เมื่อเข้าใจแก่นแท้แห่งชีวิต ชีวิตจะสอนให้เรารู้จักหล่อเลี้ยงตนโดยไม่ทุกข์อีกต่อไป ฉะนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย ขอเพียงมีสติรู้ตัวเองอยู่ทุกขณะจิต
เรียกว่ามีสติรู้อยู่ทุกขณะที่อะไรเกิดขึ้นที่อะไรมากระทบจิตกระทบใจ รู้ว่าสรรพสิ่งที่เกิดล้วนไม่เที่ยงล้วนเป็นเช่นนั้นเอง และถึงที่สุดว่างเปล่าจากตัวตน ถ้าเราหมั่นเตือนตนอยู่เสมอด้วยความเข้าใจในหลักธรรมนี้ เราก็จะไม่หลงทุกข์กับความไม่เที่ยง และก็ไม่เผลอยึดมั่นถือมั่นด้วยความเข้าข้างตัวเองจนเกินไป ฉะนั้นถ้ามนุษย์มีความมั่นคงในความเข้าใจในหลักธรรม ถ้ามนุษย์มีความมั่นคงเข้าใจในหลักแห่งชีวิต เราก็ไม่ต้องถืออะไรเป็นสิ่งพึ่งพิงเพราะเรามีตัวเองที่เข้าใจ และนำพาตัวเองได้ หรือเรียกว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" ตนที่ฝึกดีแล้วเข้าใจธรรมดีแล้ว จะนำพาตนให้พ้นทุกข์ได้
วันอาทิตย์ที่ ๒๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ปูพื้นฐานความถูกต้องดีงามไว้ หมั่นละชั่วผิดบาปไปให้หมดหนา
ให้มีสติเฝ้าตามดูทุกขณะเวลา จิตเห็นจิตแจ้งธรรมาสภาวะเดียว
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักศิษย์ดื้อทุกคนจำคำสัญญาที่เคยให้ไว้ได้ไหม
คนสำคัญมีไฟส่องหน้า จงอย่ากล้าทำบาปทำกรรม เพียงเพียรด้วยความไม่ประมาท รวบรัดไม่วายรับกรรม ขอให้พูดทุกคำ ด้วยจิตสำรวมชั่งใจ
ตื่นตอนเช้าลืมตา ปัญญาเป็นเจ้าหัวใจ ชีวิตเหมือนฝันทำได้ ทำได้หากเพียงระวัง ไม่สิ้นใจยามผิดหวัง ยามผิดหวังหวังไม่เหินห่าง
สู้รอบตัวสิบทิศ คิดด้วยความปล่อยปล่อย สมองน้อยน้อยอย่าลืมการละวาง ศีลต่อศีลธรรมเป็นเพื่อน ช่วยคนสำคัญเดินทาง บางทีมีความคิดต่าง ยึดแนวทางหนักแน่นเอย
ชื่อเพลง : ทุกคนคือคนสำคัญ
ทำนองเพลง : ใกล้เข้ามาอีกนิด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
โดยส่วนใหญ่เราจะรู้ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ (ชั่ว) และถ้าทำดีได้ชั่ว เอาไหม (ไม่เอา) ทำดีได้ (ดี) ทำชั่วได้ (ชั่ว) ส่วนใหญ่เราเข้าใจอย่างนี้ใช่ไหม ถ้าหากทำดีได้ชั่วก็ไม่เอา ทำชั่วได้ดีก็ไม่เอา ช่างน่าเสียดาย
จริงไหม (จริง) ถ้าทำดีได้ชั่วแล้วไม่เอาช่างน่าเสียดาย แปลว่าความเข้าใจธรรมเรายังไม่ลึกซึ้ง ดูง่ายๆ อย่างพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์เวลาเจอมาร หรือเจออุปสรรค เจอศัตรู ยิ่งเขาทำลายเรามากเท่าใดแล้วเรารักษาความดีมากเท่าใด ท่านยิ่งเป็นพุทธะมากเท่านั้น เหมือนเราสองคนยืนด้วยกัน คนนี้ยืนแล้วหาคนดำๆ มายืนทำไมจึงกลายเป็นขาว ฉะนั้นอย่ากลัวความร้าย ยิ่งร้ายยิ่งทำให้เราต้องดี ถ้าเราดีแล้วทำไมต้องกลัวความเลวร้ายของผู้คน ถ้าร้ายแล้วทำให้เราได้ชำระหนี้บาปเวรกรรม แล้วเรายิ่งใสยิ่งบริสุทธิ์ยิ่งดี ทำไมเราจะต้องไปเกลียดเขาล่ะ ทองแท้ต้องไม่กลัวไฟหลอม คนดีจริงต้องไม่กลัวอุปสรรคและศัตรูคู่อาฆาต เพราะเขาจะช่วยทำให้เราสะอาดใสและดียิ่งขึ้น ถ้าท่านอยากฟังธรรมะเป็นคนปฏิบัติธรรมจริง อย่ากลัวความลำบาก ยิ่งนั่งยิ่งลำบากยิ่งต้องอยู่ให้ได้ ไม่ใช่ยิ่งนั่งยิ่งลำบากอยู่ไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่าดีไม่จริง เป็นดีที่พร้อมจะ
ดีแตก แล้วเราเป็นอย่างนั้นหรือไม่ (ไม่)
จริงไหม (จริง) ถ้าทำดีได้ชั่วแล้วไม่เอาช่างน่าเสียดาย แปลว่าความเข้าใจธรรมเรายังไม่ลึกซึ้ง ดูง่ายๆ อย่างพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์เวลาเจอมาร หรือเจออุปสรรค เจอศัตรู ยิ่งเขาทำลายเรามากเท่าใดแล้วเรารักษาความดีมากเท่าใด ท่านยิ่งเป็นพุทธะมากเท่านั้น เหมือนเราสองคนยืนด้วยกัน คนนี้ยืนแล้วหาคนดำๆ มายืนทำไมจึงกลายเป็นขาว ฉะนั้นอย่ากลัวความร้าย ยิ่งร้ายยิ่งทำให้เราต้องดี ถ้าเราดีแล้วทำไมต้องกลัวความเลวร้ายของผู้คน ถ้าร้ายแล้วทำให้เราได้ชำระหนี้บาปเวรกรรม แล้วเรายิ่งใสยิ่งบริสุทธิ์ยิ่งดี ทำไมเราจะต้องไปเกลียดเขาล่ะ ทองแท้ต้องไม่กลัวไฟหลอม คนดีจริงต้องไม่กลัวอุปสรรคและศัตรูคู่อาฆาต เพราะเขาจะช่วยทำให้เราสะอาดใสและดียิ่งขึ้น ถ้าท่านอยากฟังธรรมะเป็นคนปฏิบัติธรรมจริง อย่ากลัวความลำบาก ยิ่งนั่งยิ่งลำบากยิ่งต้องอยู่ให้ได้ ไม่ใช่ยิ่งนั่งยิ่งลำบากอยู่ไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่าดีไม่จริง เป็นดีที่พร้อมจะ
ดีแตก แล้วเราเป็นอย่างนั้นหรือไม่ (ไม่)
ฉะนั้นถ้าอยากศึกษาปฏิบัติธรรม สิ่งที่สำคัญเริ่มแรกนั่นก็คือ ความถูกต้องดีงามจะต้องมีไว้อยู่ในหัวใจ มีไว้อยู่ในชีวิตอย่าได้ขาด อย่าได้
ขาดตกบกพร่อง เรามีหน้าที่อะไรรับผิดชอบให้ดี เราเกิดเป็นคนต้องมีความสมบูรณ์ในคุณธรรมของความเป็นคนใช่หรือไม่ (ใช่) เมตตาเรา
มีไหม (มี) หรือว่าเมตตาแบ่งพรรคแบ่งพวก คนนี้เราชอบเมตตาไปเยอะๆ คนนี้เราไม่ชอบเมตตาไปน้อยๆ อย่างนั้นหรือเปล่า ส่วนใหญ่เราจะเมตตาแบบเลือกที่รักมักที่ชังใช่หรือไม่ (ใช่) ดีกับคนที่เขาดีด้วย ใครไม่ดีเราก็ไม่ดีด้วย อย่างนั้นเราก็ไม่ใช่พวกที่ดีจริงๆ
ขาดตกบกพร่อง เรามีหน้าที่อะไรรับผิดชอบให้ดี เราเกิดเป็นคนต้องมีความสมบูรณ์ในคุณธรรมของความเป็นคนใช่หรือไม่ (ใช่) เมตตาเรา
มีไหม (มี) หรือว่าเมตตาแบ่งพรรคแบ่งพวก คนนี้เราชอบเมตตาไปเยอะๆ คนนี้เราไม่ชอบเมตตาไปน้อยๆ อย่างนั้นหรือเปล่า ส่วนใหญ่เราจะเมตตาแบบเลือกที่รักมักที่ชังใช่หรือไม่ (ใช่) ดีกับคนที่เขาดีด้วย ใครไม่ดีเราก็ไม่ดีด้วย อย่างนั้นเราก็ไม่ใช่พวกที่ดีจริงๆ
อยากรู้จักกันไหม ถามเสียงส่วนใหญ่อยากคุยกับอาจารย์ไหม (อยาก) มีบางคนเงียบ เราควรฟังเสียงส่วนใหญ่หรือส่วนน้อยดี แต่จำไว้นะปัญหามักมาจากเสียงส่วนน้อย แค่หนึ่งคนที่ไม่ดีก็สามารถทำร้าย
คนดีๆ ได้หมดสิ้นในพริบตา ฉะนั้นอย่าดูถูกดูเบาคนไม่ดีเพียงแค่หยิบมือหนึ่ง เพราะแค่เพียงคิดร้ายขึ้นมาแล้ว สามารถฆ่าคนดีๆ ให้ตายได้ในชั่วขณะ ฉะนั้นอย่าคิดว่ามีแรงดีเยอะแล้วจะปราบแรงชั่วที่นิดหน่อยได้ ไม่แน่ อย่าคิดว่าตัวเองดีแน่ๆ ถ้ายังปล่อยให้ความชั่วร้ายแอบแฝงอยู่ในใจ เพราะเมื่อใดความชั่วร้ายเกิดกำเริบแผลงฤทธิ์ขึ้นมา ส่วนที่ดีมาตลอดชีวิตก็อาจจะล้มระเนระนาดไม่เหลืออะไรเลยในพริบตา วันนี้สิ่งที่เราจะมาคุยกับท่านเป็นเรื่องใหญ่
คนดีๆ ได้หมดสิ้นในพริบตา ฉะนั้นอย่าดูถูกดูเบาคนไม่ดีเพียงแค่หยิบมือหนึ่ง เพราะแค่เพียงคิดร้ายขึ้นมาแล้ว สามารถฆ่าคนดีๆ ให้ตายได้ในชั่วขณะ ฉะนั้นอย่าคิดว่ามีแรงดีเยอะแล้วจะปราบแรงชั่วที่นิดหน่อยได้ ไม่แน่ อย่าคิดว่าตัวเองดีแน่ๆ ถ้ายังปล่อยให้ความชั่วร้ายแอบแฝงอยู่ในใจ เพราะเมื่อใดความชั่วร้ายเกิดกำเริบแผลงฤทธิ์ขึ้นมา ส่วนที่ดีมาตลอดชีวิตก็อาจจะล้มระเนระนาดไม่เหลืออะไรเลยในพริบตา วันนี้สิ่งที่เราจะมาคุยกับท่านเป็นเรื่องใหญ่
(พระอาจารย์เมตตาแจ้งพระนาม) ถามศิษย์รักศิษย์ดื้อทุกคนจำคำสัญญาที่เคยให้ไว้ได้ไหม
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมญาติธรรมที่มาจากประเทศจีน)
เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า คำพูดหลักธรรมพุทธะที่ว่า
"โพธิเดิมทีนั้นใสสงบ" ฟังเข้าใจไหม โพธินั้นคือจิตเดิมแท้ของเรา เดิมทีนั้นจิตเรายิ่งใสยิ่งสงบ แต่ทำไมตอนนี้จิตของเราทำไมยังไม่ใสไม่สงบ
ยังไม่สามารถหาพบความเป็นโพธิ เพราะว่าเรามัวแต่ไปแสวงหาจากด้านนอก ยังมีความอยาก ยังมีความเคยชิน ในคัมภีร์พระหฤทัยสูตรกล่าวว่า "ย้อนมองส่องโพธิสัตว์" เนื่องจากเรามัวมองแต่ภายนอก เมื่อเรามองแต่ข้างนอกจนมองไม่พบจิตเดิมแท้ของตัวเราเอง ทำให้ยังหลงงมงายอยู่ ยังมีคำพูดบอกว่า "ผู้ตื่นคือพุทธะ ผู้หลงคือเวไนย" เพราะฉะนั้นการรู้ตื่นของเราอยู่ที่ไหน คำว่า "รู้ตื่นคือพุทธะ หลงคือเวไนย" เพราะฉะนั้นจิตเดิมแท้เราหลงไปอยู่ที่ไหน เนื่องจากหลงไปอยู่กับกิเลสอารมณ์ตามกันไป จึงไม่สามารถหาจิตเดิมแท้เราพบ ในสภาวะใสนิ่งจึงพบจิตเดิมแท้อันเป็นโพธิที่ใสนิ่ง ถูกไหม เรามัวแต่หลงว่า ฉันอยากจะได้อยากจะรัก ฉันอยากจะมีโมโห ทำไมเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นทำอย่างไรจึงจะหาตัวเราเองพบ ก็คือต้องย้อนมองส่องจิตอันเป็นโพธิสัตว์
"โพธิเดิมทีนั้นใสสงบ" ฟังเข้าใจไหม โพธินั้นคือจิตเดิมแท้ของเรา เดิมทีนั้นจิตเรายิ่งใสยิ่งสงบ แต่ทำไมตอนนี้จิตของเราทำไมยังไม่ใสไม่สงบ
ยังไม่สามารถหาพบความเป็นโพธิ เพราะว่าเรามัวแต่ไปแสวงหาจากด้านนอก ยังมีความอยาก ยังมีความเคยชิน ในคัมภีร์พระหฤทัยสูตรกล่าวว่า "ย้อนมองส่องโพธิสัตว์" เนื่องจากเรามัวมองแต่ภายนอก เมื่อเรามองแต่ข้างนอกจนมองไม่พบจิตเดิมแท้ของตัวเราเอง ทำให้ยังหลงงมงายอยู่ ยังมีคำพูดบอกว่า "ผู้ตื่นคือพุทธะ ผู้หลงคือเวไนย" เพราะฉะนั้นการรู้ตื่นของเราอยู่ที่ไหน คำว่า "รู้ตื่นคือพุทธะ หลงคือเวไนย" เพราะฉะนั้นจิตเดิมแท้เราหลงไปอยู่ที่ไหน เนื่องจากหลงไปอยู่กับกิเลสอารมณ์ตามกันไป จึงไม่สามารถหาจิตเดิมแท้เราพบ ในสภาวะใสนิ่งจึงพบจิตเดิมแท้อันเป็นโพธิที่ใสนิ่ง ถูกไหม เรามัวแต่หลงว่า ฉันอยากจะได้อยากจะรัก ฉันอยากจะมีโมโห ทำไมเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นทำอย่างไรจึงจะหาตัวเราเองพบ ก็คือต้องย้อนมองส่องจิตอันเป็นโพธิสัตว์
คำว่า "รู้แจ้งในจิต" ทำอะไรก็ต้องรู้ตนรู้ตัว อย่าพยายามเดินตามกิเลสอารมณ์ ทุกครั้งที่พบเรื่องอะไรก็มีอารมณ์โมโหโทโส เพราะฉะนั้นเมื่อเราเดินตามกิเลสเหล่านี้เราก็คือมาร ไม่ใช่พุทธะ ฟังเข้าใจไหม แล้วทำไมเราถึงจะรู้ตื่นเป็นประจำไม่ใช่หลงเป็นประจำ พระอาจารย์บอกว่า ถ้าเธอรู้ตื่นเธอก็จะเป็นพุทธะ ก็จะเป็นลูกศิษย์ของพระอาจารย์ แต่ถ้าเธอหลง เธอก็จะเป็นเวไนย ถ้าเดินหลงเป็นประจำก็จะเป็นมารถูกไหม ถ้าตอนนี้เธออยากเดินตามพุทธะเป็นประจำ หรืออยากจะหลงตามมาร อยากจะรู้ตื่นหรืออยากจะหลง (จะรู้ตื่น) เพราะฉะนั้นต้องรู้ตนและมีปัญญา ทำอะไรก็ต้องดูว่า ถ้าเกิดเขาโมโห เราจะโมโหตามเขาไหม ถ้าเราโมโหตามเขาเราก็คือมาร คือเราหลงตามมารไป ไม่ใช่รู้ตื่นตามพุทธะ เข้าใจไหม เพราะฉะนั้นตอนนี้เจ้าจะเดินตามอาจารย์หรือเดินตามมารแล้วแต่ศิษย์ ถ้าไม่เดินตามพระอาจารย์ก็ไม่เป็นไร แต่ว่าเธอจะต้องเดินตามจิตแห่งพุทธะของเธอ เพราะจิตแห่งพุทธะของเธอนั้นมีความใสและนิ่ง และมีความเมตตา ไม่มีความโลภ ไม่มีอารมณ์โกรธ การคิดโกรธนั้นเป็นเรื่องมาทีหลังใช่ไหม พอเราเห็นว่าอย่างโน้นอย่างนี้ เราอยากได้ถูกต้องไหม แล้วเวลาที่เราโมโหโทโสเป็นเรื่องถูกต้องไหม เดิมทีเราเป็นอย่างนั้นหรือก็ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นทำอะไรก็ต้องรู้ตื่น รู้ตัว ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ วิเคราะห์ (นักเรียนกล่าวขอบคุณพระอาจารย์เมตตา)
เก่งแล้วได้อะไร เก่งแล้วก็มีคนที่เก่งกว่า ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นอาจารย์ขอเป็นอาจารย์จี้กงที่สกปรกมอมแมม แต่สามารถอยู่ร่วมกับฝุ่นธุลีและฉุดช่วยเวไนยดีกว่า อาจารย์นี่แหละโง่ที่สุดเลย ศิษย์จะตามคนโง่คนนี้ไหม (ตาม) ยิ่งโง่ยิ่งได้เรียนรู้ ยิ่งอวดตนว่าฉลาดคนนั้นแหละคือ คนโง่แท้ๆ
วันนี้เราเริ่มต้นคุยกันตั้งแต่เรื่องแรก เมื่อสักครู่อาจารย์พูดว่า มนุษย์เราเวลาอยู่ในโลกนี้มีทำอยู่สองเรื่อง ไม่เรื่องดีก็เรื่องชั่ว ใครสามารถยกมือและบอกอาจารย์ได้ว่า ตลอดชีวิตมาสองมือมีแต่ดีไม่มีชั่ว มีไหม (ไม่มี) การทำดีมีคนกล่าวว่า “ทำดีได้ขึ้นสวรรค์ ทำชั่วตกนรก” ศิษย์รู้อยู่แค่ว่าชีวิตนี้มีสองทางให้เลือกเดิน แล้วเราเป็นแบบไหน สองอย่างรวมกันไม่เคยทอดทิ้งกัน เป็นพวกก้ำกึ่งๆ เป็นเทวดาผสมกับอมนุษย์ใช่หรือไม่ ศิษย์จำไว้นะ คนทำดีถ้าทำแล้วยึดมั่นในความดี ทำแล้วยังจำจดสะสมให้สิ่งที่เรียกว่าดี เมื่อเราทำดีเสร็จถึงที่สุดเราก็ยังต้องได้ไปเสวยผลบุญ แล้วก็ยังต้องกลับมารับกรรม เพราะว่าในความดีนั้นยังมีกิเลสเคลือบแฝงอยู่ เพราะเราทำดีด้วยความโลภ ทำดีด้วยความยึดมั่น ความดีนั้นจึงไม่ใช่ความดีที่บริสุทธิ์นำพาให้พ้นทุกข์ได้ มีใครบ้างทำบุญหนึ่งบาทโดยไม่อุทิศเลยสักประโยค ทำสิบบาททำร้อยบาทแต่ขอ อย่างนี้เรียกว่าทำหรือเรียกว่าขอ (ขอ) อาจารย์ก็ว่านะ อย่างนี้ไม่เรียกว่าทำหรอก อย่างนี้เรียกว่ากำลังขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้เรียกว่าทำบุญ แถมขอเรียบร้อยแล้วมีการต่อรอง ถ้าถูกถ้าแม่นจะถวายหัวหมูหัวเป็ดหัวไก่เลย อย่างนี้เรียกว่าต่อรอง ใช่ไหม (ใช่) อย่างนี้เรียกว่าดีแท้ไหม (ไม่) แล้วยังบอกว่าตัวเองทำดี ถูกไหม อย่าพูดว่าตัวเองทำดี ถ้าสิ่งที่ตัวเองทำดียังยึดมั่น ยึดติด หวังวอนร้องขอ ความดีนั้นไม่อาจเรียกว่าดีบริสุทธิ์ แต่เป็นความดีที่
เจือปนไปด้วยกิเลส อีกสิ่งหนึ่งเรียกว่า ความชั่ว ความชั่วเกิดจากอะไร เกิดจากกิเสครอบงำจิต พอเวลากิเลสครอบงำจิตแล้ว ก็ง่ายที่เราจะทำชั่ว สุดท้ายก็หนีไม่พ้นทุกข์ กรรมและวิบากกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
เจือปนไปด้วยกิเลส อีกสิ่งหนึ่งเรียกว่า ความชั่ว ความชั่วเกิดจากอะไร เกิดจากกิเสครอบงำจิต พอเวลากิเลสครอบงำจิตแล้ว ก็ง่ายที่เราจะทำชั่ว สุดท้ายก็หนีไม่พ้นทุกข์ กรรมและวิบากกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
โดยส่วนใหญ่มนุษย์มักจะตามพระพุทธะหรือตามกิเลส (กิเลส) แล้วรู้ไหมว่าวิ่งตามกิเลสสิ่งที่หนีไม่พ้นคือ ความทุกข์ กรรมและ
วิบากกรรม แล้วเราตามไหม (ตาม) อาจารย์นิดๆ หน่อยๆ โกรธเล็กๆ น้อยๆ ไม่เป็นไร หลงบ้างเล็กๆ น้อยๆ คงจะไม่เป็นไร แค่เรื่องเล็กๆ อย่างนั้นอาจารย์ขอถามว่า ในที่นี้ใครไม่กลัวบาปบ้าง (ไม่มี) กลัวกรรมกันไหม ทุกคนกลัวบาปกลัวกรรมหมดเลย ใช่ไหม (ใช่) ถ้ารู้ว่าทำผิด หลงไปตามกิเลสจะทำให้เกิดบาป เกิดกรรม เกิดวิบากกรรม ทำไมเรายังเชื่อกิเลส ไม่เชื่อพุทธะ อันนี้อาจารย์แยกให้เห็นง่ายๆ ถ้าตามกิเลสจะก่อให้เกิดความชั่วและกรรม บางทีอาจะเกิดการเวียนว่ายด้วย ศิษย์ก็บอกอาจารย์ว่า ก็เผลอไปแล้วอาจารย์ เผลอบ่อยด้วยอาจารย์ มีใครบ้างเกิดมาแล้วเคยโกรธแค่ครั้งเดียว มีใครบ้างโดนแช่งชักหักกระดูกแล้วไม่ผูกใจเจ็บ ความชั่วที่น่ากลัวที่สุดรู้ไหมคืออะไร ถ้าศิษย์ไปทำชั่วกับเขา ศิษย์เคยได้ยินคำว่า “แรงอาฆาตพยาบาทไหม” แล้วถ้าหากแรงอาฆาตพยาบาทยังตั้งจิตอธิษฐานจะจองเวรจองกรรมล่ะ หนักไหม กลัวไหม (กลัว) กลัวแล้วทำไหม (ทำ,ไม่ทำ) ศิษย์ของอาจารย์รู้ทุกอย่าง แต่ก็ทำทุกอย่างใช่ไหม อาจารย์ถามหน่อยนะ ถ้าอยู่ๆ อาจารย์ตบหน้า หายไหม คนบางคนถ้าตอนนี้ยังไม่มีอารมณ์อะไรก็ไม่โกรธ แต่ถ้าเป็นใครหน้าไหนไม่รู้ “เฮ้ย แน่มาจากไหน เก่งจริงเปล่า ลุกขึ้นมาสู้กันสิ” สักพักหนึ่ง ขอโทษนะ ศิษย์ว่าเขาจะจบกับศิษย์ไหม (ไม่จบ) ใช่หรือไม่ แล้วถ้าเกิดคนที่ศิษย์ทำร้ายมันไม่จบ เขาจะจองเวรผูกพยาบาท แล้วตั้งจิตอธิษฐานเอาให้ถึงที่สุด ศิษย์จะบอกว่า “สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย” แค่นั้นพอหรือ แค่นั้นหายไหม (ไม่หาย) แล้วเวลาเขาจะเอาคืน เขาเอาคืนเท่าเดิมไหม (ไม่) เขาต้องเอาหนักกว่าและให้สะใจยิ่งขึ้น ฉะนั้นศิษย์ควรจะตามกิเลสไหม (ไม่ตาม) โมโหจนถึงขั้นฆ่าเขา โมโหจนด่าเขาให้เจ็บปวด ศิษย์เคยรู้ไหม ฆ่าเขาด้วยคำพูดทำให้คนตายทั้งเป็นยิ่งกว่าฆ่าเขาให้จมลงดินอีก จริงไหม (จริง) แล้วเราเคยพูดจนเหมือนฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็นไหม (เคย) แล้วกลัวไหมกรรม (กลัว) แล้วทำทำไม ฉะนั้นอาจารย์จะบอกศิษย์ว่า ทำอะไรไปทำไมเราต้องมารอรับผลก่อนแล้วค่อยสำนึกได้ แล้วจึงไม่ทำผิด ทำไมเราไม่แก้เสียตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ ทำไมเราต้องไปเชื่อกิเลสมันล่ะ ทำไมเราต้องไปเชื่ออารมณ์มันล่ะ เราอยู่เฉยๆ ต่างคนต่างอยู่ไม่ได้หรือ ทำไมเราต้องตกเป็นทาสมันทุกรอบ ในเมื่อมันไม่เคยมีอะไรดีให้เราเลย โกรธมันแล้วเจ็บปวดไหม (เจ็บปวด) อยากมากๆ เหนื่อยไหม (เหนื่อย) หลงมากๆ ตาบอดไหม (บอด) แล้วกิเลสในโลกนี้มันมีดีอะไร ศิษย์ของอาจารย์ถึงได้ตามต้อยๆ มันให้โกรธ โกรธ มันให้อยาก อยาก มันให้ทำงาน ทำงาน ศิษย์เชื่อมันอย่างกับอะไรดี เชื่อยิ่งกว่าใครในโลกอีก แล้วผลสุดท้ายเจ็บเพราะใคร (ตัวเราเอง) พูดว่าใครก็ไม่ได้ เจ็บเพราะตัวเราเอง แล้วทำอย่างไรดีล่ะ คิดออกไหม (มีสติ สมาธิ) ต้องมีสติใช่หรือไม่ สติทำให้รู้จักยั้งคิด สมาธิทำให้เรามั่นคงไม่หวั่นไหว ไม่ใช่สมาธิคือหลับตาไม่ต้องไปรู้ไปเห็นมัน เป็นไปได้ไหม
วิบากกรรม แล้วเราตามไหม (ตาม) อาจารย์นิดๆ หน่อยๆ โกรธเล็กๆ น้อยๆ ไม่เป็นไร หลงบ้างเล็กๆ น้อยๆ คงจะไม่เป็นไร แค่เรื่องเล็กๆ อย่างนั้นอาจารย์ขอถามว่า ในที่นี้ใครไม่กลัวบาปบ้าง (ไม่มี) กลัวกรรมกันไหม ทุกคนกลัวบาปกลัวกรรมหมดเลย ใช่ไหม (ใช่) ถ้ารู้ว่าทำผิด หลงไปตามกิเลสจะทำให้เกิดบาป เกิดกรรม เกิดวิบากกรรม ทำไมเรายังเชื่อกิเลส ไม่เชื่อพุทธะ อันนี้อาจารย์แยกให้เห็นง่ายๆ ถ้าตามกิเลสจะก่อให้เกิดความชั่วและกรรม บางทีอาจะเกิดการเวียนว่ายด้วย ศิษย์ก็บอกอาจารย์ว่า ก็เผลอไปแล้วอาจารย์ เผลอบ่อยด้วยอาจารย์ มีใครบ้างเกิดมาแล้วเคยโกรธแค่ครั้งเดียว มีใครบ้างโดนแช่งชักหักกระดูกแล้วไม่ผูกใจเจ็บ ความชั่วที่น่ากลัวที่สุดรู้ไหมคืออะไร ถ้าศิษย์ไปทำชั่วกับเขา ศิษย์เคยได้ยินคำว่า “แรงอาฆาตพยาบาทไหม” แล้วถ้าหากแรงอาฆาตพยาบาทยังตั้งจิตอธิษฐานจะจองเวรจองกรรมล่ะ หนักไหม กลัวไหม (กลัว) กลัวแล้วทำไหม (ทำ,ไม่ทำ) ศิษย์ของอาจารย์รู้ทุกอย่าง แต่ก็ทำทุกอย่างใช่ไหม อาจารย์ถามหน่อยนะ ถ้าอยู่ๆ อาจารย์ตบหน้า หายไหม คนบางคนถ้าตอนนี้ยังไม่มีอารมณ์อะไรก็ไม่โกรธ แต่ถ้าเป็นใครหน้าไหนไม่รู้ “เฮ้ย แน่มาจากไหน เก่งจริงเปล่า ลุกขึ้นมาสู้กันสิ” สักพักหนึ่ง ขอโทษนะ ศิษย์ว่าเขาจะจบกับศิษย์ไหม (ไม่จบ) ใช่หรือไม่ แล้วถ้าเกิดคนที่ศิษย์ทำร้ายมันไม่จบ เขาจะจองเวรผูกพยาบาท แล้วตั้งจิตอธิษฐานเอาให้ถึงที่สุด ศิษย์จะบอกว่า “สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย” แค่นั้นพอหรือ แค่นั้นหายไหม (ไม่หาย) แล้วเวลาเขาจะเอาคืน เขาเอาคืนเท่าเดิมไหม (ไม่) เขาต้องเอาหนักกว่าและให้สะใจยิ่งขึ้น ฉะนั้นศิษย์ควรจะตามกิเลสไหม (ไม่ตาม) โมโหจนถึงขั้นฆ่าเขา โมโหจนด่าเขาให้เจ็บปวด ศิษย์เคยรู้ไหม ฆ่าเขาด้วยคำพูดทำให้คนตายทั้งเป็นยิ่งกว่าฆ่าเขาให้จมลงดินอีก จริงไหม (จริง) แล้วเราเคยพูดจนเหมือนฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็นไหม (เคย) แล้วกลัวไหมกรรม (กลัว) แล้วทำทำไม ฉะนั้นอาจารย์จะบอกศิษย์ว่า ทำอะไรไปทำไมเราต้องมารอรับผลก่อนแล้วค่อยสำนึกได้ แล้วจึงไม่ทำผิด ทำไมเราไม่แก้เสียตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ ทำไมเราต้องไปเชื่อกิเลสมันล่ะ ทำไมเราต้องไปเชื่ออารมณ์มันล่ะ เราอยู่เฉยๆ ต่างคนต่างอยู่ไม่ได้หรือ ทำไมเราต้องตกเป็นทาสมันทุกรอบ ในเมื่อมันไม่เคยมีอะไรดีให้เราเลย โกรธมันแล้วเจ็บปวดไหม (เจ็บปวด) อยากมากๆ เหนื่อยไหม (เหนื่อย) หลงมากๆ ตาบอดไหม (บอด) แล้วกิเลสในโลกนี้มันมีดีอะไร ศิษย์ของอาจารย์ถึงได้ตามต้อยๆ มันให้โกรธ โกรธ มันให้อยาก อยาก มันให้ทำงาน ทำงาน ศิษย์เชื่อมันอย่างกับอะไรดี เชื่อยิ่งกว่าใครในโลกอีก แล้วผลสุดท้ายเจ็บเพราะใคร (ตัวเราเอง) พูดว่าใครก็ไม่ได้ เจ็บเพราะตัวเราเอง แล้วทำอย่างไรดีล่ะ คิดออกไหม (มีสติ สมาธิ) ต้องมีสติใช่หรือไม่ สติทำให้รู้จักยั้งคิด สมาธิทำให้เรามั่นคงไม่หวั่นไหว ไม่ใช่สมาธิคือหลับตาไม่ต้องไปรู้ไปเห็นมัน เป็นไปได้ไหม
ในเมื่อชีวิตเรายังต้องทำมาหากิน ตาเราลืมหูเราต้องฟัง ใจจึงต้องนิ่ง พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า “ศีลคือความปกติ สมาธิคือความมั่นคง ปัญญาคือความรู้จริงอย่างแจ่มแจ้ง” ฉะนั้นศีล สมาธิ ปัญญาต้องเอามาใช้ในทุกขณะที่โดนกระทบก่อนที่จะวิ่งไปตามกิเลสได้หรือไม่ (ได้) อาจารย์จะสอนวิธีรับมือเมื่อโดนกระทบ
“ศีลต่อศีลธรรมเป็นเพื่อน ช่วยคนสำคัญเดินทาง บางทีมีความคิดต่าง ยึดแนวทางหนักแน่นเอย”
ทำไมอาจารย์บอกว่าศีล คือความปกติ อาจารย์ถามหน่อยนะใครเกิดมาพร้อมกับการอยากฆ่า มีไหม (ไม่มี) ส่วนใหญ่เราเกิดมาก็คือ ทำอย่างไรให้อยู่ร่วมกันด้วยความรักความเมตตา ศีลข้อแรกก็คือไม่ฆ่า ก็คือเปิดใจเมตตา ฉะนั้นการรักษาศีลก็คือการรักความเป็นมนุษย์อันเป็นปกติ มีบ้างเกิดมาอยากฆ่ามัน เกลียดมัน เบื่อมัน มีไหม (ไม่มี) มีแต่เราอยากอยู่ด้วยกันอย่างสันติสุข มีใครบ้างเกิดมาจะเอาของเขา มีไหม ศีลคือความปกติ ถ้าใครไม่สามารถรักษาศีลได้แปลว่าคนนั้นไม่ปกติ
ใครมีศีลครบบ้าง ไม่มีเลยหรือ มีไหมยุงกัดเราไม่ตบ ครบไหมศีลห้า ยุงกัดแล้วศิษย์ตบไหม (ตบครับ) มดมาแล้วตีไหม (ตีครับ) อ้าวอย่างนั้นไม่ครบศีลห้า ครบศีลห้าได้จะต้องมีเมตตาจนกระทั่งไม่โกรธเคืองใครเลย เพราะคนที่มีครบเขาจะไม่โกรธ ไม่เกลียดใคร จะมีแต่เมตตามีแต่ความรัก ฉะนั้นตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์ก็เริ่มผิดปกติแล้ว เพราะอะไร เมื่อผิดปกติแล้วแถมยังไม่มั่นคง ยังหวั่นไหวทุกครั้งที่โดนเรื่องราว ก็เลยทำให้ไม่สามารถมีปัญญารู้แจ้งและมองสรรพสิ่งได้อย่างแจ่มชัด
เมื่อเรายังหนีกิเลสไม่พ้น ศิษย์ดูนะ (พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานเขียนคำว่า ดีกับชั่วบนกระดาน) คนที่ไม่สามารถดีได้ ชั่วเพราะขาดศีล ชั่วเพราะอีกอย่างหนึ่งคือ ตามกิเลสที่เรียกว่าโลภ โกรธ หลง
โลภ โกรธ หลง ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนว่า “ถ้าเรายังประพฤติผิดอยู่ก็ง่ายที่จะหนีไม่พ้นความชั่วหนีไม่พ้นความทุกข์ กรรม และวิบากกรรม” ฉะนั้นถึงศิษย์จะทำดีแค่ไหน แต่ถ้ามือหนึ่งยังทำชั่วอยู่ คนดีก็หนีไม่พ้นเวรกรรม ถ้าศิษย์สามารถดีจนไม่มีชั่วแล้ว คนดีก็สามารถพ้นเวรพ้นกรรมได้ ถ้าทำดีอย่างไม่ยึดติดถือมั่น ถ้ายังทำชั่วยังต้องมีโลภ โกรธ หลง และเมื่อมีโลภ โกรธ หลง พระพุทธะก็เลยสอนว่า “โลภมากๆ ก็จงรู้จักให้ทาน โกรธมากๆ ก็จงรักษาศีล หลงมากๆ ก็จงรู้จักมีปัญญา” ถ้าเกิดศิษย์ไปทำบุญที่หนึ่งแต่ไปด่าคนอีกที่หนึ่ง บุญตรงนี้จะไปใช้ตรงโน้นได้ไหม ศิษย์ดีกับวัดแต่ศิษย์ไปด่าคนบนโลก ไปทำบุญแผ่ส่วนกุศล แล้วจะชดใช้กันได้ไหม ฉะนั้นอย่าบอกว่าทำดีไม่ได้ดี เพราะศิษย์ทำดีผิดที่ พระพุทธะจึงบอกว่า “จงทำดีทุกๆ ที่” ถ้าเราอยากให้ทาน ก่อนให้ทานทำไมไปโลภแล้วค่อยให้ ฉะนั้นเราต้องหยุดตั้งแต่ตอนนี้ โลภให้น้อยๆ จะได้ไม่ต้องไปให้ทาน เบียดเบียนน้อยๆ แล้วเราจะต้องให้ทานใคร เราจะได้ไม่ต้องแก้ผิดที่ทาน ทานให้ได้อาจารย์ไม่ว่า รู้จักให้ทานตรงนี้ แต่ทำไมกับคนที่ร่วมงานกันเราจึงไม่รู้จักให้ ศิษย์มักเป็นคนที่ดีแค่วัด ดีกับพระ แต่กับคนร่วมงานเราดีกับเขาไหม กับเพื่อนร่วมงาน กับคนในครอบครัว เราดีกับเขาไหม (ไม่) ปฏิบัติดีที่วัดแต่ไปปฏิบัติชั่วที่โลก แล้วดีกับชั่วจะชะล้างกันได้ไหม ไม่ได้ ดีก็ส่วนดี ชั่วก็ส่วนชั่ว ฉะนั้นมีอีกหนทางหนึ่งที่สามารถพ้นดีพ้นชั่ว อยากไปไหม (อยาก) ศิษย์คิดว่าไปถึงไหม (ถึง) อาจารย์ว่าแค่ศีลยังไม่ถึงเลย แต่ที่อยากให้รู้ไว้เพื่อจะได้เกิดปัญญาว่า “มนุษย์ไม่ใช่มีสองทางให้เลือก” ยังมีอีกทางเรียกว่า พ้นดีพ้นชั่ว ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกเลย นั่นเรียกว่า “ทางแห่งพุทธะที่ทำดีไม่ยึดติด ทำชั่วไม่คิดจะทำเลย” ทุกขณะทำดีโดยไม่ยึดติดตัวตน ทางนี้เอาไหม (เอา) อาจารย์รู้ว่าศิษย์
ทุกคนอยากเอา ศิษย์อยากเอาศิษย์ต้องรู้อย่างหนึ่งว่า ศิษย์จะพ้นดีพ้นชั่วได้ ต้องรู้จักยกระดับจิตให้เป็น อย่าปล่อยจิตให้ตกต่ำอยู่เสมอ ในเมื่อเลวแล้วก็ขอเลวต่อไป ถ้าอยากเลวต่อไป อาจารย์ไม่ว่า เมื่อถึงเวลารับกรรม อย่ามาเรียกอาจารย์จี้กง เพราะไม่มีใครหนีตาข่ายแห่งเหตุผลและกฎแห่งกรรมได้ ทำอะไรไว้ก็ต้องได้รับอย่างนั้น แม้อาจารย์ก็ช่วยไม่ได้ ถ้าเจ้ากรรมนายเวรมาทวง อาจารย์บอกศิษย์แล้วว่า ถ้าเขาผูกใจเจ็บ
แรงอาฆาตพยาบาท แรงอธิษฐาน ศิษย์กินเขามากเท่าไร เอาของเขามามากเท่าไร วันหนึ่งถ้าเขาอยากจะเอาคืน ศิษย์จะมาร้องขอความยุติธรรมไม่ได้ เราทำไมไม่หยุดก่อนที่โลภ โกรธ หลง ศิษย์รู้ไว้อย่างในโลกใบนี้มี
กฎแห่งความยุติธรรมอยู่ เป็นกฎอันเป็นสัจจะของโลกใบนี้ที่ทุกชีวิตต้องเจอ และทำให้ทุกชีวิตเท่าเทียมกันและมีความเป็นธรรมเหมือนๆ กัน ถ้าเข้าใจกฎอันนี้ศิษย์ก็จะสามารถพ้นดีพ้นชั่วได้ กฎอันนี้คือ (กฎแห่งกรรม) อาจารย์จะให้ดีไหม ถ้ามนุษย์กลัวกฎแห่งกรรมจริงๆ เข้าใจกฎแห่งกรรมจริงๆ ทำไมยังสร้างเหตุวิ่งไปตามโลภ โกรธ หลง นั่นเป็นเพราะว่าเรายังไม่รู้อะไร กฎอะไรที่ทำให้มนุษย์ทุกชีวิตไม่ว่าจะดีหรือร้ายขนาดไหน ก็หนีกฎนี้ไม่พ้น (กฎธรรมชาติ) กฎธรรมชาติที่เรียกว่าอะไร (กฎแห่งธรรม, กฎแห่งสวรรค์) นั่งฟังมาสองวัน (กฎแห่งความเมตตา)
ทุกคนอยากเอา ศิษย์อยากเอาศิษย์ต้องรู้อย่างหนึ่งว่า ศิษย์จะพ้นดีพ้นชั่วได้ ต้องรู้จักยกระดับจิตให้เป็น อย่าปล่อยจิตให้ตกต่ำอยู่เสมอ ในเมื่อเลวแล้วก็ขอเลวต่อไป ถ้าอยากเลวต่อไป อาจารย์ไม่ว่า เมื่อถึงเวลารับกรรม อย่ามาเรียกอาจารย์จี้กง เพราะไม่มีใครหนีตาข่ายแห่งเหตุผลและกฎแห่งกรรมได้ ทำอะไรไว้ก็ต้องได้รับอย่างนั้น แม้อาจารย์ก็ช่วยไม่ได้ ถ้าเจ้ากรรมนายเวรมาทวง อาจารย์บอกศิษย์แล้วว่า ถ้าเขาผูกใจเจ็บ
แรงอาฆาตพยาบาท แรงอธิษฐาน ศิษย์กินเขามากเท่าไร เอาของเขามามากเท่าไร วันหนึ่งถ้าเขาอยากจะเอาคืน ศิษย์จะมาร้องขอความยุติธรรมไม่ได้ เราทำไมไม่หยุดก่อนที่โลภ โกรธ หลง ศิษย์รู้ไว้อย่างในโลกใบนี้มี
กฎแห่งความยุติธรรมอยู่ เป็นกฎอันเป็นสัจจะของโลกใบนี้ที่ทุกชีวิตต้องเจอ และทำให้ทุกชีวิตเท่าเทียมกันและมีความเป็นธรรมเหมือนๆ กัน ถ้าเข้าใจกฎอันนี้ศิษย์ก็จะสามารถพ้นดีพ้นชั่วได้ กฎอันนี้คือ (กฎแห่งกรรม) อาจารย์จะให้ดีไหม ถ้ามนุษย์กลัวกฎแห่งกรรมจริงๆ เข้าใจกฎแห่งกรรมจริงๆ ทำไมยังสร้างเหตุวิ่งไปตามโลภ โกรธ หลง นั่นเป็นเพราะว่าเรายังไม่รู้อะไร กฎอะไรที่ทำให้มนุษย์ทุกชีวิตไม่ว่าจะดีหรือร้ายขนาดไหน ก็หนีกฎนี้ไม่พ้น (กฎธรรมชาติ) กฎธรรมชาติที่เรียกว่าอะไร (กฎแห่งธรรม, กฎแห่งสวรรค์) นั่งฟังมาสองวัน (กฎแห่งความเมตตา)
หัวหน้าตอบว่ากฎแห่งธรรม หรือเรียกอีกอย่างว่าสัจธรรม
สัจธรรมคืออะไร คือความเป็นจริงที่หนีไม่พ้น อะไรที่หนีไม่พ้น (เกิด แก่ เจ็บ ตาย) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่ากฎเหล็กของธรรมชาติที่ทุกคนก็หนีไม่พ้นและทำให้ทุกชีวิตเท่าเทียมกัน และทุกชีวิตต้องเข้าถึงธรรม นั่นคือความไม่เที่ยง ความทุกข์ ความว่างเปล่าจากตัวตนที่แท้จริง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่ากฎของไตรลักษณ์ ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจกฎอันนี้ เราจะพบความเป็นจริงที่ทำให้ทุกชีวิตเท่ากัน ไม่ว่าจะใหญ่แค่ไหนก็ต้องทุกข์ เก่งแค่ไหนก็ต้องทุกข์ สวยแค่ไหนก็ต้องแก่ ดีแค่ไหนก็ยังมีวันแย่ รวยแค่ไหนก็ยังมีวันจน ฉะนั้นกฎนี้แหละที่ทำให้ทุกชีวิตเท่าเทียมกัน ไม่มีใครใหญ่กว่าใคร และถ้าศิษย์เข้าใจกฎอันนี้ จะรู้ว่าทุกชีวิตล้วนมีความเป็นธรรมอยู่ในทุกๆ คน ฉะนั้นวันใดที่แพ้ วันใดที่สูญเสีย วันใดที่อกหักรักคุดผิดหวัง ไม่ต้องเสียใจไปตลอด เพราะทุกคนต้องเจอเหมือนๆ กัน ธรรมะนี่เองที่ทำให้ทุกคนเท่าเทียมกัน แต่จะเจอช้าหรือเจอเร็วเท่านั้นเอง เคยได้ยินพระพุทธสอนไหมว่า จงเดินทางสายกลาง นี่แหละทางสายกลาง สายนี้ที่ทุกคนต้องเดิน เดินแล้วทำให้ทุกคนเป็นกลางและเท่าเทียมกัน ใช่ไหม แม้แต่อาจารย์ก็ยังหนีไม่พ้นกฎอันนี้ เรียกว่ากฎเหล็กแห่งชีวิตและสรรพสิ่ง เรารู้ไหม (รู้) และในกฎเหล็กแห่งชีวิตและสรรพสิ่งนี้ก็ล้วนเป็นไปตามเหตุและผล ทำไมบางคนมาไว ทำไมบางคนมาช้า ก็อยู่ที่ความปกติของศีลว่าศิษย์ครบไหม ถ้าศีลไม่ปกติ รักษาไม่ครบ ก็เป็นเหตุเร่งให้พวกนี้ เจอไว โดนไว เจ็บไว แต่ถ้าศิษย์รักษาศีลได้ปกติได้ครบ สิ่งเหล่านี้ศิษย์ก็จะเจอช้า เจ็บช้า และทุกข์อย่างเข้าใจ เห็นไหมว่าทุกอย่างล้วนมีเหตุมีผล ใช่ไหม
สัจธรรมคืออะไร คือความเป็นจริงที่หนีไม่พ้น อะไรที่หนีไม่พ้น (เกิด แก่ เจ็บ ตาย) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่ากฎเหล็กของธรรมชาติที่ทุกคนก็หนีไม่พ้นและทำให้ทุกชีวิตเท่าเทียมกัน และทุกชีวิตต้องเข้าถึงธรรม นั่นคือความไม่เที่ยง ความทุกข์ ความว่างเปล่าจากตัวตนที่แท้จริง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่ากฎของไตรลักษณ์ ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจกฎอันนี้ เราจะพบความเป็นจริงที่ทำให้ทุกชีวิตเท่ากัน ไม่ว่าจะใหญ่แค่ไหนก็ต้องทุกข์ เก่งแค่ไหนก็ต้องทุกข์ สวยแค่ไหนก็ต้องแก่ ดีแค่ไหนก็ยังมีวันแย่ รวยแค่ไหนก็ยังมีวันจน ฉะนั้นกฎนี้แหละที่ทำให้ทุกชีวิตเท่าเทียมกัน ไม่มีใครใหญ่กว่าใคร และถ้าศิษย์เข้าใจกฎอันนี้ จะรู้ว่าทุกชีวิตล้วนมีความเป็นธรรมอยู่ในทุกๆ คน ฉะนั้นวันใดที่แพ้ วันใดที่สูญเสีย วันใดที่อกหักรักคุดผิดหวัง ไม่ต้องเสียใจไปตลอด เพราะทุกคนต้องเจอเหมือนๆ กัน ธรรมะนี่เองที่ทำให้ทุกคนเท่าเทียมกัน แต่จะเจอช้าหรือเจอเร็วเท่านั้นเอง เคยได้ยินพระพุทธสอนไหมว่า จงเดินทางสายกลาง นี่แหละทางสายกลาง สายนี้ที่ทุกคนต้องเดิน เดินแล้วทำให้ทุกคนเป็นกลางและเท่าเทียมกัน ใช่ไหม แม้แต่อาจารย์ก็ยังหนีไม่พ้นกฎอันนี้ เรียกว่ากฎเหล็กแห่งชีวิตและสรรพสิ่ง เรารู้ไหม (รู้) และในกฎเหล็กแห่งชีวิตและสรรพสิ่งนี้ก็ล้วนเป็นไปตามเหตุและผล ทำไมบางคนมาไว ทำไมบางคนมาช้า ก็อยู่ที่ความปกติของศีลว่าศิษย์ครบไหม ถ้าศีลไม่ปกติ รักษาไม่ครบ ก็เป็นเหตุเร่งให้พวกนี้ เจอไว โดนไว เจ็บไว แต่ถ้าศิษย์รักษาศีลได้ปกติได้ครบ สิ่งเหล่านี้ศิษย์ก็จะเจอช้า เจ็บช้า และทุกข์อย่างเข้าใจ เห็นไหมว่าทุกอย่างล้วนมีเหตุมีผล ใช่ไหม
ฉะนั้นถ้าเราอยากที่จะเข้าใจตรงนี้ พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ถ้าอยากที่จะเข้าถึงตรงนี้ และนำพาตรงนี้ให้พ้นทุกข์ ศิษย์ต้องจำไว้คำหนึ่งว่า ทุกข์เกิดจากกิเลส กิเลสมีเพราะยึดติดตัวตน ฉะนั้นตัวตนจึงเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ โลภ โกรธ หลงมีรูปร่างไหมศิษย์ (ไม่มี) แต่มันชอบอยู่กับคนโง่ที่ขาดสติ แล้วศิษย์โง่ไหม คนฉลาดคือกุศล คนโง่คือคนที่ยังมีโลภ โกรธ หลง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอกุศล ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากฉลาดก็ต้องไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง นี่แหละจะได้พบกุศลอันงดงาม และถ้าศิษย์อยากที่จะไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง หรือเรียกว่าพ้นทุกข์ พระพุทธะจึงสอนให้รู้ว่าจงรู้
(พระอาจารย์เมตตาเขียนคำว่า “รู้” เพิ่มบนกระดาน)
อวิชชาเพราะไม่รู้จึงเกิดตัณหา เพราะไม่รู้ตัณหาจึงเกิดอุปาทาน ถูกไหม (ถูก) แล้วตัวรู้นี้ รู้อะไรจึงจะพ้นทุกข์ (ไม่ทราบครับ) คิดไหม ไม่คิด เพราะศิษย์ขาดพิจารณาใช่ไหม อาจารย์ไปไวไหม สงสารคนแปลภาษาจีน ฉะนั้นเราจะรู้อะไรแล้วพ้นทุกข์ ใครตอบให้อาจารย์ชื่นใจได้ (รู้เท่าทันจิตตนเอง) รู้เท่าทันจิตตนเองใช่ไหม (ใช่) จิตที่มุ่งออกไปข้างนอกหรือจิตที่อยู่ข้างใน (จิตที่อยู่ข้างใน) (รู้เท่าทันอารมณ์ตัวเอง) อารมณ์ที่ฟุ้งไปแล้วหรือรู้ก่อนที่มันจะฟุ้ง (ฟุ้งไปแล้ว) อย่างนั้นไม่ทันนะ อย่างนั้นเขาเรียกว่าแก้ปลายเหตุ (รู้ตามทันกิเลส) รู้ก่อนที่กิเลสมันจะครอบงำหรือว่ามันครอบงำแล้วศิษย์ (รู้ก่อน) เอาอีกไหม ฉะนั้นอาจารย์ไม่ให้เดี๋ยวให้เขาช่วยตัวเองนะ เพราะอาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์โลภ เอาไหมหัวหน้า มีแล้วเอาอีกไหม (ไม่เอาแล้วครับ)
ฉะนั้นรู้อะไรที่จะนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ (ความไม่มีตัว ไม่มีตน) ฉะนั้นคนที่ไม่มีตัวไม่มีตน โดนด่าว่า ไอ้โง่ ศิษย์ก็ต้องทำใจว่า มันไม่มีตัวตน มันไม่เที่ยง อย่าเผลอไปยึดว่ามันมีตัวมีตน ไม่อย่างนั้นทุกข์ก็จะเข้ามาอยู่ในใจ ใช่หรือเปล่า มีอะไรอีก
รู้กฎไตรลักษณ์ เจออะไรท่องไว้เสมอ มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันว่างเปล่า ใช่ไหม (ใช่) เอาทำไม มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันว่างเปล่า ไม่ต้องไปกินมัน ใช่หรือเปล่า (รู้ว่ามันคือสิ่งชั่วร้าย) มองให้ชัดดีหรือไม่ดีก่อนที่จะเอา ต้องมีสติแบ่งแยกให้ถูก แต่บางครั้งทั้งดีและไม่ดี บางทีก็ไม่ควรเอาเลยใช่ไหม (รู้แล้วเข้าใจธรรมชาติแล้วก็ทำใจยอมรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นให้ได้) ฉะนั้นถ้าเรารู้ชัดก็เหมือนว่าเรามีหลักที่มั่นคง อะไรมาโยกก็ทำให้เราเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ฉะนั้นตอกย้ำความรู้นี้อย่าได้ลืมนะ (รู้ผิดชอบชั่วดี) รู้ผิดชอบชั่วดีแต่ถึงเวลามันอดใจไม่ไหว ได้ไหม (ไม่ได้) ได้หรือไม่ได้ เข้าใจใคร เข้าใจเรา หรือเข้าใจคนอื่น (เข้าใจเรา) ฉะนั้นเมื่ออารมณ์มันมาควรไหมที่จะตาม นั่นเรียกว่าการคิดอย่างก้าวหน้า (ก็ได้เห็นที่เจริญแล้วเช่น ประเทศอเมริกา คนส่วนมากก็อยากเป็นทุนนิยมก็ชอบสิ่งของรู้ว่าสิ่งของแบบนี้ ชอบของแบรนด์เนม เราอยากได้ของที่มี
แบรนด์เนม ก็ต้องทำงานหนักเพื่อแลกมาด้วยเงิน เราก็ไปซื้อ ประเทศเขาเลยพัฒนาไว ส่วนประเทศที่ไม่มีความโลภ บางทีมันทำให้เราไม่มีอะไรมากระตุ้น) ไม่พัฒนา ฉะนั้นศิษย์ก็เลยอยากจะบอกอาจารย์ว่า การที่เรามีความอยากบ้างก็ไม่ใช่สิ่งผิด ใช่ไหม ฉะนั้นวิธีของการดำเนินชีวิตอย่างคนที่เข้าใจธรรม เมื่ออยากแล้วอาจารย์ไม่ว่า พัฒนาแล้วอาจารย์ก็ไม่ได้ว่าดี แต่เมื่อพัฒนาแล้ว อยากแล้ว ถ้าเกิดความอยากนั้น มันทำให้เราต้องล้มเหลวเป็นสิบครั้ง ศิษย์จะรับความทุกข์นั้นได้ไหม (คนที่จะประสบความสำเร็จมากๆ ก็จะคิดว่าล้มเหลว) ก็ไม่ผิดที่จะล้มเหลวใช่ไหม
ที่อาจารย์กำลังจะบอกศิษย์ก็คือการคิดอยากไม่ใช่สิ่งที่ผิดปกติ เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ด้วยซ้ำ แต่เมื่ออยากศิษย์ต้องกล้ารับเวลาศิษย์เจอความผิดหวังและไม่สมหวัง ถ้าเกิดอยากแล้วเจอผิดหวังได้ ไม่สมหวังได้ แล้วไม่ทุกข์ อยากไปเลยอาจารย์ไม่ว่า ศิษย์อยากก็อยากไป ถ้าอยากแล้วพัฒนา (เพราะฉะนั้นมันอยู่ที่บรรทัดฐานของแต่ละคนหรือเปล่าครับ) แต่มันอยู่ที่ความเข้าใจธรรม เพราะมนุษย์เวลาทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ในใจก็วิตก สำเร็จไหมๆ ต้องสำเร็จ อย่างนี้เรียกว่าไม่เข้าใจพื้นฐานของ
กฎหลักสัจธรรม แต่ถ้าทำไปทุกขณะมีความสุข สำเร็จไม่สำเร็จไม่เป็นไร นี่แหละเรียกว่า ทำอย่างคนเข้าใจธรรม มันต่างกัน อย่างที่ศิษย์บอก
สตีปจ๊อบ ล้มเป็นสิบรอบ ถึงได้ ไอแพท ไอโฟน นั้นแปลว่าทุกก้าวเขามีความสุขที่ได้ทำ ทุกครั้งที่เขาล้ม เขาได้เรียนรู้ ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกว่า อยากไม่ผิด โลภไม่ผิด แต่ถ้าอยากแล้วโลภ พร้อมจะรับไหมถ้ามันผิดหวังหรือล้มเหลว
แบรนด์เนม ก็ต้องทำงานหนักเพื่อแลกมาด้วยเงิน เราก็ไปซื้อ ประเทศเขาเลยพัฒนาไว ส่วนประเทศที่ไม่มีความโลภ บางทีมันทำให้เราไม่มีอะไรมากระตุ้น) ไม่พัฒนา ฉะนั้นศิษย์ก็เลยอยากจะบอกอาจารย์ว่า การที่เรามีความอยากบ้างก็ไม่ใช่สิ่งผิด ใช่ไหม ฉะนั้นวิธีของการดำเนินชีวิตอย่างคนที่เข้าใจธรรม เมื่ออยากแล้วอาจารย์ไม่ว่า พัฒนาแล้วอาจารย์ก็ไม่ได้ว่าดี แต่เมื่อพัฒนาแล้ว อยากแล้ว ถ้าเกิดความอยากนั้น มันทำให้เราต้องล้มเหลวเป็นสิบครั้ง ศิษย์จะรับความทุกข์นั้นได้ไหม (คนที่จะประสบความสำเร็จมากๆ ก็จะคิดว่าล้มเหลว) ก็ไม่ผิดที่จะล้มเหลวใช่ไหม
ที่อาจารย์กำลังจะบอกศิษย์ก็คือการคิดอยากไม่ใช่สิ่งที่ผิดปกติ เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ด้วยซ้ำ แต่เมื่ออยากศิษย์ต้องกล้ารับเวลาศิษย์เจอความผิดหวังและไม่สมหวัง ถ้าเกิดอยากแล้วเจอผิดหวังได้ ไม่สมหวังได้ แล้วไม่ทุกข์ อยากไปเลยอาจารย์ไม่ว่า ศิษย์อยากก็อยากไป ถ้าอยากแล้วพัฒนา (เพราะฉะนั้นมันอยู่ที่บรรทัดฐานของแต่ละคนหรือเปล่าครับ) แต่มันอยู่ที่ความเข้าใจธรรม เพราะมนุษย์เวลาทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ในใจก็วิตก สำเร็จไหมๆ ต้องสำเร็จ อย่างนี้เรียกว่าไม่เข้าใจพื้นฐานของ
กฎหลักสัจธรรม แต่ถ้าทำไปทุกขณะมีความสุข สำเร็จไม่สำเร็จไม่เป็นไร นี่แหละเรียกว่า ทำอย่างคนเข้าใจธรรม มันต่างกัน อย่างที่ศิษย์บอก
สตีปจ๊อบ ล้มเป็นสิบรอบ ถึงได้ ไอแพท ไอโฟน นั้นแปลว่าทุกก้าวเขามีความสุขที่ได้ทำ ทุกครั้งที่เขาล้ม เขาได้เรียนรู้ ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกว่า อยากไม่ผิด โลภไม่ผิด แต่ถ้าอยากแล้วโลภ พร้อมจะรับไหมถ้ามันผิดหวังหรือล้มเหลว
แต่คนหลายคนอยากแล้วรับไม่ได้ที่ต้องผิดหวังล้มเหลว ฉะนั้นอาจารย์อยากบอกศิษย์ ศิษย์บอกว่าอยากไป แต่อยากแล้วก็อย่าลืมหลักแห่งกฎเหล็กของโลกใบนี้ก็คือ มีสมหวังก็มีล้มเหลว มีได้ก็มีเสีย ถ้าเราเข้าใจกฎเหล็กการดำเนินชีวิตด้วยความอยากจะไม่ฆ่าเราให้ตายทั้งเป็น แต่คนในโลกไม่ใช่ เมื่อสำเร็จแล้วต้องสำเร็จอีก พอล้มเหลวเราก็ล้มตายไปเลย อาจารย์เห็นหลายๆ คนที่เล็กๆ อยากก้าวหน้า แต่พอก้าวหน้าสำเร็จต่อมาพอล้มกลับรับไม่ได้ เพราะไม่เข้าใจกฎเหล็กแห่งโลก อาจารย์ไม่ได้ห้าม แต่เวลาจะมีคิดให้ดีๆ เพราะอยากทีหนึ่งต้องกระทบคนโน้นกระทบคนนี้ ศิษย์ก็อ่านนี่ สตีปจ๊อบ มีใครบ้างรักเขาจริง เก่งแต่โดนเกลียด เพราะเขากดให้คนมองให้กว้างอย่าโง่ อย่าติดกรอบต้องมองให้เลยกรอบ ใช่ไหม ฉะนั้นคิดให้ดีๆ อย่าอยากจนทำร้ายคนรอบข้าง แม้จะเรียกว่าหวังดีและความก้าวหน้าก็ตาม
(มองสัจธรรมชีวิตของคน รอบๆ ข้างว่าเราต้องอยู่กับสิ่งๆ นั้นให้ได้ คนๆ นั้นให้ได้) เรื่องราวภายนอกไม่สำคัญเท่ากับหัวใจเรา ถ้าหัวใจเราสู้เรื่องก็เล็ก แต่ถ้าหัวใจเราไม่สู้เรื่องเล็กๆ ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ (รู้ว่า
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมีสภาวะของมันคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป) ฉะนั้นถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเราก็ให้ท่องไว้ มีเกิดขึ้นมีตั้งอยู่แล้วก็ดับไป อย่าไปโกรธ
ถ้าคนนั้นเขาด่าเรา โกรธหรือเกลียดเรา เพราะเดี๋ยวมันก็ดับไป
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมีสภาวะของมันคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป) ฉะนั้นถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเราก็ให้ท่องไว้ มีเกิดขึ้นมีตั้งอยู่แล้วก็ดับไป อย่าไปโกรธ
ถ้าคนนั้นเขาด่าเรา โกรธหรือเกลียดเรา เพราะเดี๋ยวมันก็ดับไป
ทุกคนคือคนสำคัญ เรายังไปไม่ถึงวิธีการแก้ทุกข์และสู้กับทุกข์เลย ศิษย์เพิ่งแค่รู้เอง อยากไปต่อกับอาจารย์ไหม ศิษย์เอ๋ยอาจารย์บอกเมื่อสักครู่นี้ บางคนก็เป็นธรรมดาที่ยังอาจจะไม่เข้าใจ โลภ โกรธ หลง มีได้
ไม่ว่า มีแล้วแต่อาจารย์ไม่เอา เพราะถ้ามีแล้วทำให้เราต้องไปเบียดบังคนอื่น อาจารย์ก็ขอมีน้อยๆ หน่อยดีไหม มีพอเลี้ยงชีวิต เข้าใจชีวิต ไม่เป็นธุระที่ต้องไปเดือดร้อนใคร ส่วนใหญ่เราโลภแล้วเราเคยพอไหม (ไม่พอ) โลภแล้วโลภอีก สวยแล้วอยากสวยอีก งกแล้วก็งกอีก ใช่ไหม (ใช่) อาจารย์ไม่เคยเห็นใครเลยที่โลภแล้วจะโลภแค่ครั้งเดียว เพราะกิเลสนั้นง่ายที่ทำให้เราหลงผิดคิดร้าย เพราะจิตของมนุษย์ง่ายที่จะขึ้นสูงหรือลงต่ำนะศิษย์ อาจารย์ถามจริงๆ ง่ายๆ ที่จะคิดขึ้นสูงหรือลงต่ำ (ลงต่ำ) เรามักจะคิดว่าเอาไปก่อนเดี๋ยวค่อยทำบุญให้ เหมือนที่อาจารย์ถามว่า กินแล้วทำให้เกิดบาป กินไหม ฆ่าสัตว์กินเพราะอยากกินเนื้อสัตว์ เลยต้องฆ่าชีวิตสัตว์ตั้งมากมาย กินไหม (ไม่กิน) ทำให้ได้อย่างนั้นนะ อร่อยลิ้นแค่นั้นศิษย์ ลำบากนิดลำบากหน่อย ถ้าไม่ได้กินก็ไม่ต้องก่อบาปเวร
ไม่ว่า มีแล้วแต่อาจารย์ไม่เอา เพราะถ้ามีแล้วทำให้เราต้องไปเบียดบังคนอื่น อาจารย์ก็ขอมีน้อยๆ หน่อยดีไหม มีพอเลี้ยงชีวิต เข้าใจชีวิต ไม่เป็นธุระที่ต้องไปเดือดร้อนใคร ส่วนใหญ่เราโลภแล้วเราเคยพอไหม (ไม่พอ) โลภแล้วโลภอีก สวยแล้วอยากสวยอีก งกแล้วก็งกอีก ใช่ไหม (ใช่) อาจารย์ไม่เคยเห็นใครเลยที่โลภแล้วจะโลภแค่ครั้งเดียว เพราะกิเลสนั้นง่ายที่ทำให้เราหลงผิดคิดร้าย เพราะจิตของมนุษย์ง่ายที่จะขึ้นสูงหรือลงต่ำนะศิษย์ อาจารย์ถามจริงๆ ง่ายๆ ที่จะคิดขึ้นสูงหรือลงต่ำ (ลงต่ำ) เรามักจะคิดว่าเอาไปก่อนเดี๋ยวค่อยทำบุญให้ เหมือนที่อาจารย์ถามว่า กินแล้วทำให้เกิดบาป กินไหม ฆ่าสัตว์กินเพราะอยากกินเนื้อสัตว์ เลยต้องฆ่าชีวิตสัตว์ตั้งมากมาย กินไหม (ไม่กิน) ทำให้ได้อย่างนั้นนะ อร่อยลิ้นแค่นั้นศิษย์ ลำบากนิดลำบากหน่อย ถ้าไม่ได้กินก็ไม่ต้องก่อบาปเวร
เรายังทำกันไม่ค่อยจะได้เลย อย่างนั้นอาจารย์ขอบิณฑบาตได้ไหม ศิษย์ไม่เคยได้ยินหรือ ทำบุญกับพระพุทธะประเสริฐยิ่งกว่าทำบุญกับใครใดๆ ในโลกนะ แล้วอยากใส่บาตรกับอาจารย์จี้กงไหมล่ะ (อยาก)
อย่างนั้นอาจารย์ขอให้ใส่บาตรได้หรือเปล่า (ได้) ไหนใครไม่รับปากยกมือถอนตัวก่อนดีไหม อาจารย์ขอบอกบุญหน่อยได้ไหม ไม่เป็นผ้าป่า ไม่เป็นกฐิน ไม่เป็นซองขาว แต่แค่มื้อเช้าไม่กินเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต ใครจะยอมใส่บาตรกับอาจารย์จี้กงบ้าง ยอมไหม (ยอม) แต่ศิษย์เอ๋ยเป็นคนดีทั้งทีทำไมศิษย์ยังไม่รู้จักคิดก้าวหน้า เมื่อเป็นคนดีทั้งทีมื้อเช้าปีนี้ถึงมื้อเช้า
ปีหน้า (มากขึ้นกว่าเดิม) ปีต่อไป (ตลอดชีวิต) เริ่มรู้จักก้าวหน้า ทีความโลภศิษย์ยังอยากก้าวหน้า แล้วทำไมความดีศิษย์ไม่ก้าวหน้าบ้างล่ะ ใช่ไหม (ใช่) ก็ผมดีได้แค่นี้เองอาจารย์ น่าแปลกนะ ทีกิเลสไม่ดีแต่ศิษย์ก็ยังอยากจะมีมันทุกวัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างนั้นอาจารย์ขอให้ใส่บาตรได้หรือเปล่า (ได้) ไหนใครไม่รับปากยกมือถอนตัวก่อนดีไหม อาจารย์ขอบอกบุญหน่อยได้ไหม ไม่เป็นผ้าป่า ไม่เป็นกฐิน ไม่เป็นซองขาว แต่แค่มื้อเช้าไม่กินเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต ใครจะยอมใส่บาตรกับอาจารย์จี้กงบ้าง ยอมไหม (ยอม) แต่ศิษย์เอ๋ยเป็นคนดีทั้งทีทำไมศิษย์ยังไม่รู้จักคิดก้าวหน้า เมื่อเป็นคนดีทั้งทีมื้อเช้าปีนี้ถึงมื้อเช้า
ปีหน้า (มากขึ้นกว่าเดิม) ปีต่อไป (ตลอดชีวิต) เริ่มรู้จักก้าวหน้า ทีความโลภศิษย์ยังอยากก้าวหน้า แล้วทำไมความดีศิษย์ไม่ก้าวหน้าบ้างล่ะ ใช่ไหม (ใช่) ก็ผมดีได้แค่นี้เองอาจารย์ น่าแปลกนะ ทีกิเลสไม่ดีแต่ศิษย์ก็ยังอยากจะมีมันทุกวัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
เหลืออีกเรื่องเดียวที่อาจารย์อยากให้ศิษย์ได้พ้นทุกข์นะ อาจารย์ก็หนีกฎเหล็กไม่พ้น ฉะนั้นศิษย์ทุกคนก็ต้องเจอกฎเหล็กอันนี้ แต่เมื่อเจอแล้วเราจะวางใจอย่างไรให้พ้นทุกข์ ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม
“ถ้าวางใจเป็นก็เป็นสุข วางใจไม่เป็นก็เป็นทุกข์” “เชื้อเพลิงเมื่อวางลงในน้ำก็มอดดับไป แต่เชื้อเพลิงเมื่อวางลงไปในเชื้อไฟมันก็มีแต่จะลุกลาม” ฉะนั้นใจเราวางตรงไหน วางได้ถูก วางได้เป็นก็พ้นทุกข์ วางไม่ถูก วางไม่เป็นก็ทุกข์แล้วทุกข์อีก ใช่หรือไม่ (ใช่)
“ถ้าวางใจเป็นก็เป็นสุข วางใจไม่เป็นก็เป็นทุกข์” “เชื้อเพลิงเมื่อวางลงในน้ำก็มอดดับไป แต่เชื้อเพลิงเมื่อวางลงไปในเชื้อไฟมันก็มีแต่จะลุกลาม” ฉะนั้นใจเราวางตรงไหน วางได้ถูก วางได้เป็นก็พ้นทุกข์ วางไม่ถูก วางไม่เป็นก็ทุกข์แล้วทุกข์อีก ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์ทุกคนล้วนเป็นคนสำคัญ เวลาเป็นคนสำคัญทำอะไรก็จงรู้จักสำรวมระมัดระวัง อย่าก่อบาปก่อกรรมที่ทำให้ตัวเองต้องมารับกรรมจนน้ำตานองหน้าทุกข์เต็มหัวใจ ใช่ไหม (ใช่) อาจารย์จะพูดเรื่องสุดท้าย
ขอเพียงจำวันนี้ไม่รู้ลืมก็พอ แม้นวันหนึ่งศิษย์ต้องจากไป แต่จงจำไว้อย่างหนึ่งว่า ศิษย์ทุกคนเป็นศิษย์ของอาจารย์จี้กง มีคุณงามความดีอยู่ แต่
คุณงามความดีไม่พอที่จะนำพาให้พ้นทุกข์ได้ ศิษย์ต้องเข้าใจหลักแห่ง
สัจธรรมอันนี้ และรู้จักมีสติสำรวมระมัดระวังในการดำเนินชีวิต เรากลับมาดูเรื่องเก่าที่เรายังเล่าไม่จบ ก่อนที่เราจะจากกัน
ขอเพียงจำวันนี้ไม่รู้ลืมก็พอ แม้นวันหนึ่งศิษย์ต้องจากไป แต่จงจำไว้อย่างหนึ่งว่า ศิษย์ทุกคนเป็นศิษย์ของอาจารย์จี้กง มีคุณงามความดีอยู่ แต่
คุณงามความดีไม่พอที่จะนำพาให้พ้นทุกข์ได้ ศิษย์ต้องเข้าใจหลักแห่ง
สัจธรรมอันนี้ และรู้จักมีสติสำรวมระมัดระวังในการดำเนินชีวิต เรากลับมาดูเรื่องเก่าที่เรายังเล่าไม่จบ ก่อนที่เราจะจากกัน
กฎเหล็กที่เราหนีไม่พ้นคือ ความไม่เที่ยงเป็นทุกข์และว่างเปล่า ถ้าเรารู้อยู่เสมอว่า ทุกเรื่องไม่เที่ยง แม้เราจะเก่งแค่ไหนก็ยังมีคนที่เก่งกว่า แม้เราจะแย่แค่ไหนก็ยังมีคนที่แย่กว่า เมื่อไรที่เจอภาวะแย่จงอย่ายอมแพ้ เพราะทุกสิ่งที่ไม่เที่ยงนั้นเป็นทุกข์ ศิษย์มักจะมองว่าความทุกข์คือ ความเหงาเศร้าสร้อย ใช่ไหม (ใช่) ล้างความคิดนี้ออกจากสมองไปเลย จำไว้เลยว่า ความทุกข์ไม่ได้แปลว่า เหงาเศร้าสร้อย เจ็บ ปวด ตาย ความทุกข์แปลว่า “สภาพที่ทนได้ยาก” แปลว่าอะไรที่เกิดขึ้นนั้นไม่เที่ยง เราก็รู้อยู่คำว่า “ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า” เป็นสิ่งที่ทนไม่ได้นาน เมื่อทนไม่ได้นานก็แปลว่าพร้อมที่จะเปลี่ยนไป และหาที่สุดไม่ได้ด้วย เมื่อไรที่ความทุกข์มาโดนตัวหรือกระทบโดนใจ สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งก็คือ ทุกข์ไม่ใช่แปลว่าเหงา เศร้าสร้อย ตาย แต่ความทุกข์เป็นสิ่งที่ทนได้ยาก ศิษย์อยู่เฉยๆ เดี๋ยวความทุกข์นั้นก็จบไปเอง แต่สิ่งสำคัญมนุษย์ไม่ใช่แบบนี้ เมื่อความทุกข์มากระทบกลับรู้สึกว่า ทำไมทุกข์ ทำไมแย่ ทำไมไม่ดี ทำไมว่าฉัน เรามักจะไปปรุงแต่ง ให้คุณค่า ให้ความสำคัญ แล้วก็ไปร่วมคลุกคลีกับมัน จึงทุกข์จนตาย แล้วก็ไม่เคยพ้นทุกข์
ฉะนั้นพุทธะจึงสอนไว้ว่า “ความทุกข์มีมาเพื่อให้แค่รู้ แต่เหตุแห่งทุกข์มีมาเพื่อให้ละ” แล้วรู้อย่างไรที่ว่ารู้แล้วพ้นทุกข์ เวลาทุกข์มา ทุกข์ โลภ โกรธ หลง นั่นมีนิสัยเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ ยิ่งโกรธยิ่งเกลียดยิ่งขับไล่ ทุกข์ก็จะยิ่งมา ฉะนั้นอย่าไปเกลียดทุกข์ให้รักทุกข์ ทุกข์มาให้ต้อนรับทุกข์ พอต้อนรับเสร็จ ให้ทุกข์อยู่ส่วนทุกข์ เราก็อยู่ส่วนของเรา ไม่ไปให้ค่า ไม่ปรุงแต่ง ไม่หนีไม่สู้ อยู่เฉยๆ ตัวใครตัวมัน ทุกข์มาทุกข์ไป แต่ฉันไม่ทุกข์ โกรธได้แต่ไม่เอา เวลามีคนด่ามาเราโกรธได้ แต่ไม่โกรธกับมัน จะไม่ตามความโกรธ จะเป็นตัวของตัวเอง จะไม่เป็นทาสกิเลสอีกต่อไป นี่แหละเรียกว่า รู้แล้วไม่ร่วม แต่รู้แล้ววางเฉย เมื่อวางเฉยเจอทุกข์หรือกิเลสบ่อยๆ กิเลสกับความทุกข์มีนิสัยเหมือนกันอย่างหนึ่ง เมื่อเราไม่สนใจ ไม่เห็นคุณค่า ไม่ปรุงแต่ง เมื่ออยากมาเราก็เชิญมา ต้อนรับมันดีๆ เดี๋ยวสักพักมันก็ไป เพราะเป็นจริงตามสัจธรรม เพราะเป็นสิ่งที่ทนได้ยาก
ฉะนั้นศิษย์ก็อย่าไปทนกับมัน มันก็อยู่ของมัน ใครอยากทุกข์ก็ทุกข์ไปฉันไม่ทุกข์ ใครอยากเจ็บก็เจ็บไปฉันไม่เจ็บ เพราะความทุกข์ ความเจ็บ ความโลภ ความโกรธ ความหลง นั้นไม่เที่ยงเป็นสิ่งที่ทนได้ยาก พอถึงที่สุดแม้แต่ตัวเราหรือสิ่งที่มากระทบก็ว่างเปล่า อย่ายึดเพราะถ้ายึดเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้น ทุกข์เมื่อไรก็โง่เมื่อนั้น ฉะนั้นแค่มีสติตื่นรู้ แต่ไม่ใช่แค่รู้ข้างนอกให้รู้ข้างใน รู้ข้างนอกเรียกว่า “กิเลส” รู้ทันตัวเองเรียกว่า “ธรรมะ” รู้จนกระทั่งจิตเห็นจิต เห็นทุกความคิดที่เกิดขึ้น พระพุทธองค์จึงสอนไว้ว่า “เมื่อใดที่มนุษย์เพลิดเพลินในรูปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เมื่อนั้นเขากำลังเพลิดเพลินทุกข์ เมื่อเขาเพลิดเพลินทุกข์เขาจึงไม่มีวันสิ้นทุกข์” แล้วเราเพลิดเพลินไหม ตาเห็นอะไรก็สวย ดี กินอะไรก็อร่อย นี่แหละกิเลสทั้งนั้น ท่านจึงสอนว่า “ให้จงเห็นแค่เห็น” อย่าเอาตัวเราไปใส่ พอเอาไปใส่ก็จะเริ่มมีการแบ่ง มีสวยมีไม่สวย ลองถอนตัวเราออกมาก็จะแค่เห็นแค่กิน ถ้ากินอร่อยแล้วต้องเบียดเบียน อาจารย์ว่าไม่กินดีกว่าไหม
ยังห่วงเที่ยวจนไม่ยอมกินเจ ใช่ไหมศิษย์ ก็น่าเสียดายที่เรือพุทธะอยู่ตรงหน้า แต่มนุษย์ไม่ยอมก้าวขึ้น หนทางที่ดีอยู่ตรงหน้า แต่มนุษย์บอกไม่เอา ขอตกเป็นทาสกิเลสต่อไป น่าเสียดาย แค่มีสติรู้เองนะศิษย์เอย แค่รู้ทันตัวเอง ใช่ไหม (ใช่) อย่างนั้นวันนี้กลับได้แล้วนะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า
“ไม่ตามใจ” ซึ่งเป็นพระโอวาทต่อจากสถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา ว่า “รู้ตามจริง”)
“ไม่ตามใจ” ซึ่งเป็นพระโอวาทต่อจากสถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา ว่า “รู้ตามจริง”)
“รู้ตามจริง ไม่ตามใจ” การตามใจเป็นกิเลส การตามจริงเป็นธรรมะ รู้แล้วติดในโลภ โกรธ หลงเรียกว่า สมมติ รู้แล้วไม่ติดในโลภ โกรธ หลงเรียกว่า วิมุติ รู้แล้วไม่ให้กิเลสครอบเรียกว่า บริสุทธิ์ ฉะนั้นศิษย์อยากจะรู้อะไรตามจริงหรือตามใจ (ตามจริง) ให้จริงนะ ถึงเวลาก็อย่ากลับไปตามใจอีก
“แค่มีสติตามรู้ ก่อนคุเป็นอารมณ์ฉัน
คิดเห็นก็รู้แค่นั้น ไม่สร้างสรรค์ปรุงแต่งไป
ไม่เริ่มก็จบทันที ความมีแค่เพียงยืมใช้
ไม่มีก็ยิ่งเข้าใจ พบได้เมื่อเกิดปัญญา”
ฉะนั้นอะไรที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นคิดดี คิดร้ายมองแค่นั้นเดี๋ยวก็จบ
แล้วพร้อมจะเสียสละตัวเอง ฉุดช่วยผู้คนไหม ยอมลำบากได้ไหม หนทางธรรมถ้าไม่หมดลมหายใจหยุดไม่ได้ ฉะนั้นอาจารย์ขอให้ความมุ่งมั่นตั้งใจจงมีเสมอต้นเสมอปลาย การเสียสละอุทิศให้ ขอให้มีตลอดจนกว่าลมหายใจจะหมดสิ้น เมื่อนั้นศิษย์จะได้รับผลของความมุ่งมั่นตั้งใจ ขอศิษย์จงเสมอต้นเสมอปลาย อาจารย์ให้คำว่า “จี้” แปลว่า อนุเคราะห์ “เหยริน” คือ ความกรุณา จงอนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้คนด้วยจิตอันเมตตากรุณา ได้หรือไม่ “จี้เหยริน”(濟仁) อย่าหวั่นไหวจิตต้องหนักแน่น ไม่มีใครเราต้องอยู่ได้ ใช่ไหม
มีโอกาสกลับมาผูกบุญกับอาจารย์อีกนะ ศิษย์เอ๋ย อย่ามือหนึ่งทำบุญอีกมือหนึ่งทำบาปนะศิษย์ คิดให้ดีๆ ใช่ไหม กลัวอะไรกับความทุกข์ ทำอะไรขอให้มีสติรู้จักยั้งคิด อย่าเอาแต่ใจ อย่าเอาแต่อารมณ์ รูปไม่น่าหลงเท่ากับหัวใจที่งดงามใช่ไหม
เมื่อปวดก็จงคลาย เมื่อคลายก็จงปล่อยวางทุกสิ่งด้วยหัวใจที่เข้าใจ แต่รู้จักรับผิดชอบ ใช่ไหม อาจารย์ไปแล้วนะ ดูแลตัวเองนะศิษย์เอย ตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม เพื่อตัวศิษย์เองนะ
รู้จักคิดรู้จักทำอะไรด้วยสติ อย่าปล่อยให้อารมณ์มาฆ่าชีวิตเรา ได้ไหม (ได้) ชีวิตนี้ไม่ง่ายเลยใช่ไหมที่ผ่านมา ฉะนั้นรู้จักคิดรู้จักทำนะ เอาไปแล้วช่วยคนต่อด้วยนะ รักษาสุขภาพ ดูแลตัวเอง ช่วยตัวเอง เอาไปแล้วไปช่วยคนอื่นต่อ อย่าเก็บไว้ โรคภัยนั้นหนีไม่พ้น แต่เราต้องเข้าใจว่าโรคภัยมีมาเพื่อให้เราปลง ไม่ใช่ให้เรายึดติด แม้กายจะป่วยแต่ใจต้องไม่ป่วย นั่นจึงเรียกว่า “พ้นทุกข์”
ทำได้หรือยังเด็กดื้อ ห่วงเที่ยวแต่ไม่ห่วงชีวิตจิตใจตัวเอง (จะตั้งปณิธานกินเจตลอดชีวิต) ทำได้แน่นะ ก็คงต้องผ่านด่านทดสอบให้ได้ก่อน
(อาจารย์คะ ศิษย์จะไปผ่าเข่า) อย่างนั้นขอให้ราบรื่นเพื่อที่จะได้มีแรงเดินธรรมต่อไป ฉุดช่วยคนต่อไป ใช่ไหม (ค่ะ) ตั้งใจบำเพ็ญนะศิษย์ อย่าอ่อนแอ เป็นศิษย์ของอาจารย์ต้องเข้มแข็ง ไม่กลัวความลำบาก ไม่กลัวความทุกข์ ความทุกข์ช่วยให้เราพ้นทุกข์ ยิ่งช่วยคนก็ยิ่งได้เวไนย อาจารย์ไปแล้วนะ (ผมจะกลับมาหาอาจารย์อีกครับ) มีโอกาสขอให้ทำให้ได้
ชีวิตคือความทุกข์แล้วเราจะไปยึดติดทำไม ร่างกายนี้มีแต่ความเปลี่ยนแปลง หาความเที่ยงแท้ไม่ได้เลย แล้วเราจะยึดติดทำไมให้ยิ่งทุกข์ล่ะศิษย์เอ๋ย ใช่ไหม
อาจารย์ไม่ให้แอปเปิลแล้วกัน ให้พัดเลย พัดแล้วจงพัดกลับมาด้วยนะ ไปแล้วนะศิษย์ มีโอกาสกลับมาอีกได้ไหม (ได้) มีโอกาสกลับมาอีกนะ สัญญาแล้วอย่าลืม รับปากแล้วทำให้ได้ ได้ไหม อย่าแค่ตัวอยู่ใกล้ธรรมแล้วใจห่างธรรมนะศิษย์ เรามีธรรมได้ด้วยใจของเราเอง เรารู้ตื่นในธรรมได้ด้วยสติเราเอง เราพ้นทุกข์ได้ด้วยหัวใจเราเองที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น อาจารย์เป็นห่วงศิษย์เสมอนะ
ไม่มีก็ยิ่งเข้าใจ
พบได้เมื่อเกิดปัญญา
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ไม่ตามใจ”
แค่มีสติตามรู้
ก่อนคุเป็นอารมณ์ฉัน
ก่อนคุเป็นอารมณ์ฉัน
คิดเห็นก็รู้แค่นั้น
ไม่สร้างสรรค์ปรุงแต่งไป
ไม่สร้างสรรค์ปรุงแต่งไป
ไม่เริ่มก็จบทันที
ความมีแค่เพียงยืมใช้
ความมีแค่เพียงยืมใช้
พบได้เมื่อเกิดปัญญา

