วันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2557

รวมพระโอวาทซ้อนปี 2557





(ฉือฮุ่ย )   22-23 มีนาคม  2557
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ย้อนมองตน”

เจ้าควรมองตนให้เป็น   เรื่องจำเป็นไม่ง่ายดาย   ใจวิ่งมาวิ่งไป  
ชอบโทษใครก่อนมองส่องตน ยิ่งมองยิ่งย้อนเข้าไป   ใจข้างในมีสิ่งน่าค้น  
เมื่อคนมากเกินหนึ่งคน   ฝึกใจอดทน   ต้องย้อนมองใจตัวเอง

(หมิงฮุย)  29-30 มีนาคม  2557
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ลดละวาง”

เมื่อเชื่อมั่นว่าควรละ จงละให้แท้จริง ไม่ควรเปลี่ยนความตั้งใจ
ใจเบากว่าเดิมเพราะการละ การละที่แท้จริง เป็นยิ่งกว่าการละไป


 (ไท่อิน)  26-27 เมษายน  2557
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ไร้ซึ่งตัวตน”

ไม่มีรูปแบบของจิตใจ ลักษณะนิสัยนั้นก็ว่างเปล่า
ความคิดรอบชัดโปร่งเบา ไม่เอาใดมาเป็นตน
อันตัวตนของตนนั้นไม่มี เพราะเปลี่ยนแปลงจนหาที่สุดไม่พ้น
จนกว่ารู้ธรรมจริงแท้อันสกล อยู่ในตนอันเปล่าไร้แสนธรรมดา

 (ผูถี )  3-5 พฤษภาคม  2557
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ไม่ยึดติด”

ทุกสิ่งหมุนเวียนเปลี่ยนไป ช่วงใช้ไม่อาจครอบครอง
สิ่งใดของเจ้าเจ้าของ เกี่ยวข้องมิยึดผูกพัน
วางใจให้เป็นเห็นธรรม พบธรรมกลางความแปรผัน
แม้ตนไม่หลงหมายมั่น เมื่อนั้นไม่ยึดติดเลย

(หงหยัง)  31 พฤษภาคม - 2 มิถุนายน  2557
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “แลไม่ผลักไส”

ไม่ยินดียินร้ายก็ไม่ผลักไส    ไม่ชอบก็ไม่ต้องชังอันใดเลย
ไม่ยึดไว้เลยไม่ต้องผลักไสเอย    ในความเฉยขอให้เป็นเช่นนี้แล
รักชอบและความเกลียดชัง    บดบังจิตใจเดิมแท้
มุ่งได้ไม่อาจแน่วแน่    เพราะแพ้ตนเองข้างใน

(เต๋อฮว่า)   14-15 มิถุนายน  2557
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “รู้ตามจริง”

แค่รู้อย่างที่เป็นไป        ไม่ใช่อย่างอยากให้เป็น
มองตามความจริงที่เห็น        อะไรก็เช่นเดียวกัน
ดีร้ายก็ทุกข์ไม่ต่าง        เมื่อวางใจก็เรียบพลัน
ทุกสิ่งกลับสู่สามัญ        สิ่งนั้นคือธรรมนิรันดร์


 (เซิ่งเต๋อ )  21-22 มิถุนายน  2557
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ไม่ตามใจ”

แค่มีสติตามรู้    ก่อนคุเป็นอารมณ์ฉัน
คิดเห็นก็รู้แค่นั้น    ไม่สร้างสรรค์ปรุงแต่งไป
ไม่เริ่มก็จบทันที    ความมีแค่เพียงยืมใช้
ไม่มีก็ยิ่งเข้าใจ    พบได้เมื่อเกิดปัญญา


(อิ๋งเซิ่ง)  28-29 มิถุนายน  2557
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “รู้ธรรมรู้ทำ”

ฟังผู้คนอรรถามาก็มาก    เหมือนรู้แต่กลับยากปฏิบัติได้
ถึงว่ารู้แต่ไม่มาจากใจ    ก็ยังไกลคำว่าปฏิบัติธรรม
อย่าได้เพียงแค่ดีก็ผ่านไป    ต้องหยั่งตรองให้ถึงใจตนย้ำ
คิดพูดทำมีไหมอยู่ในธรรม    รักษาธรรมจักนำธรรมร่วมใจ

(จินจง)  5-7 กรกฎาคม  2557
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ขาดปัญญาไม่ถึงฝั่ง”

มีปัญญาทำให้ยอมและอภัย    ทำให้ปล่อยไปแม้แต่ประโยชน์ผล
ไม่ใช่โง่ไม่เท่าทันพันเล่ห์กล    แต่รู้ตนว่ากำลังทำอะไร
รู้เท่าทันใจตัวเองดีที่สุด    ใจบริสุทธิ์ความดีย่อมทำได้ง่าย
ไม่เป็นทุกข์ในสิ่งที่เขามอบให้    เรื่องวุ่นวายจบลงที่ใจตัว
ปัญญาเกิดภายในจิตแห่งกุศล    เมื่อช่วยคนเมื่อสละความเห็นแก่ตัว
เลี้ยงชีวิตอย่าสายเกินค่อยล้อมรั้ว    จิตเมามัวเห็นฉลาดเป็นปัญญา


( ฉงเต๋อ )  25-26 ตุลาคม  2557
 พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ใช้ธรรม นำชีวิต”

วิทยาการก้าวหน้านำชีวิต จนใจจิตหาทางออกไม่พบ
ยิ่งมียิ่งไม่พอยิ่งไม่จบ แม้ดินกลบยังไม่รู้จักตัวเอง
มีชีวิตอยู่แล้วยิ่งหงุดหงิด เพราะยึดติดมองหาแต่ความเก่ง
ศีลธรรมจริยะไม่ยำเกรง คนข่มเหงกันเพราะวัดค่าด้วยเงิน

ใช้ธรรมนำชีวา ไม่บ้าคำสรรเสริญ
อยู่อย่างไม่ขาดไม่เกิน ก้าวเดินด้วยธรรมนำใจ


(หมิงอี้)  8-9 พฤศจิกายน  2557
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “วางใจเป็น เห็นธรรม”

    ฉลาดแม้ชั่วชีวิต    แต่สิ้นคิดชั่วขณะ
ปล่อยใจตามรู้สึกจะ    ปะทะอารมณ์นอกใน
อย่าอยากจนไม่รู้ตน    อย่าผิดจนหลงไปใหญ่
คิดทำนั้นเอาแต่ใจ    ล้วนใช้ตนทำร้ายตน
    รู้วางใจด้วยสติ    ทันรู้ที่ติดในตน
ยั้งก่อนสร้างเหตุตกผล    รู้ตนในตนก่อนทำ
วางเป็นเย็นได้สุขจริง    นิ่งตรองทุกสิ่งมีธรรม
ดีร้ายตนไม่ถลำ    ใช้ธรรมมากกว่าใช้ใจ


(หงเต้า)  5-7 ธันวาคม 2557
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ต้องหมั่นทบทวนตัวเอง”

    ใจดีไม่พอหลุดพ้น    ฝึกตนเหมือนจะจวนเจียน
ที่สุดก็ยังวนเวียน    คนเพียรเพียรเป็นอาจิณ
    การคิดและการทบทวนไม่เหมือนกัน    ทบทวนนั้นเป็นน้ำหยดลงหิน
หมั่นทบทวนเพื่อใจไร้ราคิน    ได้ยลยินอะไรให้ย้อนมองตน
เรื่องผิดถูกเอียงข้างใครล้วนไม่ได้    แต่เรื่องใจกุศลและอกุศล
กลับแจ่มชัดกำหนดชีวิตคน    การครองตนจึงไม่ควรเอาแต่ใจ
ยามลืมตาตนอย่าลืมไตร่ตรอง    ทุกเรื่องใช้แต่สมองย่อมไม่ได้
คนไม่ได้อยู่ลำพังอย่าลืมไป    หมั่นเอาใจเขามาใส่ใจของเรา


( หย่งชาง )  13-14 ธันวาคม 2557
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ใจสะอาดจิตบริสุทธิ์”

เรื่องราวของชีวิตอันหลากหลาย เรื่องมากมายเกิดขึ้นยากตั้งรับ
แต่จิตใจยังสะอาดฝุ่นไม่จับ เพราะกำราบมารในจิตทันท่วงที
ช่วงระหว่างเกิดและตายเป็นช่องว่าง เติมอะไรในท่ามกลางสิ่งเหล่านี้
อันความจริงไม่อาจทำเป็นไม่มี จงเลือกทำสิ่งที่ดีไว้เป็นทุน
ผู้รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ ต้องรู้หยุดกายใจไม่หมกมุ่น
หมั่นทบทวนความผิดติดมักคุ้น แก้ไขได้เป็นคุณผู้พากเพียร

( จินเอวี๋ยน )  20-21 ธันวาคม 2557
 พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ทุกข์เพราะยึด”

ทุกข์เพราะเขาหรือเราเฝ้ายึดถือ เจ็บช้ำคือไม่อาจรับความจริงได้
ตรอมตรมเพราะไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจ ไม่อาจให้ใครแก้ได้นอกจากตน
อดทนได้ยากกับความจริงอันเป็นทุกข์ คอยเปลี่ยนแปลงเคล้าคลุกให้สับสน
เริ่มและจบที่สุดอยู่ในใจตน ทุกข์สุขหรือล่วงพ้นอยู่ที่ใจ


( เจิ้งซิน )  27-28 ธันวาคม 2557
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เย็นเพราะปลง”

ปล่อยอารมณ์ครอบงำจนขาดสติ โดนสะกิดขัดเคืองก็ลุกลามใหญ่
ง่ายพลุ่งพล่านหลงลืมตนกระแทกไป เสียทั้งตนได้ทุกข์ใจไม่คุ้มกัน
ยอมให้เป็นเย็นให้ลงนิ่งให้ได้ วางดีร้ายจึงสงบธรรมเช่นนั้น
ทุกข์เพราะยึดทาสความคิดรู้ให้ทัน สติแกร่งเมตตากันด้วยเข้าใจ


( ถงซิน )  10-11 มกราคม 2558
 พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “นิ่งเพราะวาง”

ธรรมอันเป็นเช่นนั้นแต่เดิมมา เป็นธรรมดาที่จริงแท้แต่หนไหน
เดิมไม่มีคงไม่มีของของใคร หลงยึดตนติดทุกข์ใจลืมความจริง
ที่เห็นตั้งอยู่ชั่วคราว ต่างคงไม่เที่ยงสรรพสิ่ง
ไหนร้ายหรือดีแท้จริง เมื่อนิ่งจะเห็นเป็นไป

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2557

2557-12-27 สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี



西元二○一 歲次甲午十一月初六日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ


ความร่มเย็นเริ่มจากใจสู่ครอบครัว แผ่ไปทั่วทุกทิศศานติมั่น
คนรู้ยอมถอยได้เปิดเมตตาธรรม ยิ่งให้กลับยิ่งได้นั้นคือความจริง
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเจิ้งซิน แฝงกายน้อมอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ


ครองสติไม่มั่นก็ลุกลามติด เพียงโดนสะกิดขัดเคืองลามปะทุใหญ่
อารมณ์พลุ่งพล่านง่ายใหญ่ยิ่งยิ่งกว่าไฟ คนลืมตนกระแทกกลับยิ่งน่ากลัว
ผิดบาปหลงไม่รู้ยั้งหยุดอย่างไร ทำไปเสียทั้งกายใจบีฑาทั่ว
มีทุกข์ได้ตนพึ่งรู้สำนึกกลัว สะดุ้งกลัวใจหนาวร้อนต้องโทษทัณฑ์
เสียไม่คุ้มกันหรอกหนาเรื่องอารมณ์ คนยอมเย็นให้กลมเลิศขันติมั่น
มองให้เป็นหลงติดกิเลสเชิงชั้น ฝึกใจต่อนิ่งกันตราบชนะใจ
ทำวางได้ให้ใจวางยากยิ่ง จะร้ายหรือดีจริงอย่าหน่วงไว้
พบธรรมสงบจึงรู้ปลงตกไป เป็นเช่นนั้นย้ำเตือนใจคลายคลอน
ฮา  ฮา   หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
วันนี้คิดว่าตัวเองโชคดีหรือโชคร้าย (โชคดี)  คนที่โชคดีคือคนที่สามารถมีความสุขได้ในทุกวัน สามารถมีความสุขได้ทุกขณะ ไม่ว่าเจอเรื่องอะไร ก็สามารถหาความสุขให้กับตนได้ นั่นจึงเรียกว่าคนโชคดี
ใช่ไหม (ใช่)  วันนี้มีความสุขไหม (มี)  มีความสุขหรือ ไม่ได้ลำบากอะไรเลยใช่ไหม (ใช่)  รู้สึกนั่งด้วยความสุข หรือรู้สึกนั่งด้วยความทุกข์ (ความสุข)  ถ้าอยากเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก ก็ต้องรู้จักแสวงหาความสุขให้ตัวเองทุกขณะ ถ้าอยากเป็นคนโชคดีที่สุดในโลก ไม่ว่าเจอสภาวการณ์ใดก็สามารถมีความสุขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตอนนี้ที่นั่งอยู่
มีความสุขแล้วหรือยัง ถ้าไม่สุขก็แปลว่าโชคไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นโชคดีหรือโชคไม่ดีนั้นอยู่ที่เราคิดเห็นอย่างไร ถ้าเรารู้จักคิด แม้สิ่งที่ลำบากที่สุด เรายังรู้จักคิดหาทางให้มีสุขได้ สิ่งที่แย่ก็กลายเป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่ลำบากก็กลับทำให้เราพบความสุขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ลำบากไหม (ไม่ลำบาก)  สุขไหม (สุข)  เห็นนั่งมาด้วยความลำบากเต็มที่แล้ว
ฉะนั้นเราจึงอยากมาบอกท่านว่ามนุษย์มีโชคดีได้ ถ้ารู้จักแสวงหาความสุขด้วยตัวเองเป็น แล้วมนุษย์อาจจะโชคดีไม่ได้ ถ้ามนุษย์ไม่รู้จักหาความสุขด้วยตัวเองให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาแต่รอเอาแต่พึ่งคนอื่นก็อาจจะไม่มีวันพบความสุขเลย
ฉะนั้นถ้าเราเริ่มต้นรู้จักมีความสุข อยู่ร่วมกับใครเราก็มีความสุข แต่ถ้าเราเริ่มต้นมีแต่ความทุกข์ อยู่กับใครเราก็จะยิ้มไม่ออก แล้วตอนนี้ยิ้มออกหรือยัง เห็นบางท่านยังยิ้มไม่ค่อยออกเลย เป็นเรื่องยากใช่ไหม
ที่จะมีโอกาสได้มาผูกบุญสัมพันธ์กัน แถมท่านก็ไม่เคยรู้จักเราเลย ยิ่งไม่รู้จักยิ่งอย่าประมาท อย่างนั้นอย่าหลงเชื่อคำเราง่ายๆ นะ ไม่อย่างนั้นอาจจะถูกเราหลอกลวงได้ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  
มนุษย์โดยส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ รู้หน้าไม่รู้ใจ เห็นหน้าแต่ไม่อาจหยั่งถึงใจได้ ฉะนั้นก่อนที่จะคิดตัดสินใจเกี่ยวพันกับใคร อยู่ร่วมกับใคร จงใช้สติปัญญาพิจารณาใคร่ครวญให้จงหนัก เพราะเมื่อพลาดไปแล้ว ข้องเกี่ยวไปแล้ว ถอยหลังกลับได้ยาก ฟังที่เราพูดทันหรือเปล่า (ทัน)  อย่างนั้นไม่ต้องเชื่อเราก็ได้ เราอาจจะมาหลอกท่านก็ได้จริงไหม (ไม่จริง)  ท่านไม่ต้องยิ้มให้เราก็ได้นะ เพราะเราอาจจะมาทำร้ายท่านก็ได้ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ปักใจเชื่อขนาดนั้นเลยหรือ เราเห็นท่านเหนื่อย เห็นท่านเพลีย แล้วก็เริ่มเบื่อ เริ่มหน่าย เริ่มท้อแล้วใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถ้าไม่ใช่เราก็กลับนะ
ดีไหม (ไม่ดี)  ก็เห็นเบื่อที่จะฟังธรรมแล้ว หมดแรงที่จะฟังธรรมแล้ว
ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถ้าไม่ใช่ นั่นแปลว่าหัวใจเรามีหลายด้านใช่ไหม (ใช่)  อดทนได้ก็ยังยิ่งอดทน อดทนก็ยังทำได้ ไม่ไหวแล้วก็ยังสู้ต่อได้ วันนี้เขาบอกว่าสู้ๆ ให้พูดดังๆ แต่ท่านพูดว่าสู้ๆ เบาๆ เราเพิ่งเคยได้ยินว่าเสียง “สู้ๆ” เป็นแบบนี้นี่เอง ปลุกกำลังใจให้ฮึกเหิมให้แข็งแกร่งหน่อยนะ สู้ไม่สู้ (สู้)  เริ่มสู้แล้ว กลับไม่กลับ (ไม่กลับ)  แปลว่าวันนี้จะนอนที่นี่กันหมดเลยนะ
คนโชคดีคือคนที่สามารถทำทุกวันทุกนาทีให้มีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมาฟังธรรมนี้ถือว่าโชคดีหรือโชคร้าย (โชคดี)  ถ้าเชื่อว่าโชคดีแล้วควรจะยิ้มหรือควรจะทุกข์ (ยิ้ม)  แล้วทำไมท่านจึงนั่งหน้าอมทุกข์
กันเล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  มาฟังธรรมเพื่อปลดทุกข์ เพื่อหาทางดับทุกข์ ไม่ใช่มาฟังธรรมเพื่อให้ยิ่งทุกข์ ไม่ใช่มาฟังธรรมแล้วยิ่งแบกทุกข์
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้กำลังแบกทุกข์หรือปล่อยทุกข์ ถ้าให้ฟังต่อไหวไหม (ไหว)  พอฟังต่อก็กลับมาแบกทุกข์ใหม่
เรามาทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อน วันนี้เรามาศึกษาหลักธรรม
ที่เรียกว่าธรรมะ ถ้าเราเรียนรู้ธรรมะ ธรรมะสอนให้เราเป็นคนตรง เป็นคนกลาง และเป็นคนมองความจริง ถ้าเราเรียนรู้ธรรมะแล้วบอกว่ามาฟังธรรมะต้องเจอแต่เรื่องดีๆ อย่างนี้เรียกว่าเข้าใจธรรมะถูกไหม (ไม่ถูก)  มาฟังธรรมะแล้วปรากฏว่ายังไม่ทันออกไปถึงหน้าประตูรถก็ล้มอย่างนี้ไม่ดีเลยธรรมะ มาฟังธรรมะแล้วทั้งที่น่าจะถูกลอตเตอรี่กลับถูกลอตเตอรี่กินธรรมะไม่ดีเลย มาฟังธรรมะแล้วกลับไปโดนคนที่บ้านว่าธรรมะไม่ดีเลยใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  
ฉะนั้นเราต้องเข้าใจให้ถูกก่อนว่าธรรมะสอนให้มนุษย์เป็นคนตรง และมองความจริง ไม่ใช่เป็นคนรักลำเอียง ถ้ามาฟังธรรมะแล้วต้องมีแต่ดี มีร้ายไม่ได้ อย่างนี้เข้าใจธรรมะผิด ถ้ามาฟังธรรมะแล้วต้องเจอแต่
โชคดี ไม่เจอโชคร้าย อย่างนี้เข้าใจธรรมะผิด มาฟังธรรมะแล้วต้องไม่ให้ใครบ่น ไม่ให้ใครว่า นั่นก็แปลว่าเข้าใจธรรมะผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นต้องปรับความเข้าใจให้ตรงกันก่อน ธรรมะสอนให้มนุษย์ตั้งอยู่บน
ความจริง และเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย เป็นคนปกติ เป็นคนตรง ไม่ใช่เป็นคนรักฝ่ายหนึ่งเกลียดฝ่ายหนึ่ง นั่นไม่ใช่ธรรมะ ถ้าเรามาศึกษาธรรมะแล้วเจอโชคร้ายบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะนั่นคือธรรมะ ฉะนั้นมาฟังธรรมะแล้วโดนคนว่าบ้าง โดนคนด่าบ้าง ก็เป็นธรรมดา เพราะธรรมะสอนให้เรามองความจริงมากกว่าสิ่งที่รัก ธรรมะสอนให้เราเรียนรู้ความจริงมากกว่าการตามใจ เพราะการปล่อยให้ตนเองตามใจตามนิสัยตามอารมณ์ ตามความเคยชิน จะทำให้เราสายตาสั้น และประพฤติผิดได้ง่าย ปรับให้เข้าใจก่อนนะ
ธรรมะสอนให้เรามองความจริงอย่างเป็นกลาง ไม่ว่าสิ่งนั้นความจริงนั้นจะร้ายหรือจะดี นั่นก็คือความจริงอันเป็นธรรม แต่มนุษย์โดยส่วนใหญ่คิดว่ามาศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรม ฟังธรรมแล้ว ต้องมีแต่ดี ร้ายไม่ได้ เช่นนี้ไม่ใช่ มาแล้วต้องมีแต่คนชม ไม่มีคนว่า เช่นนี้ก็ไม่ใช่ ถ้ารู้ขนาดนี้แล้ว เมื่อรู้หลักธรรม เข้าใจตรงกันแล้ว อย่างนั้นแปลว่า ถ้ามาฟังธรรมแล้วเจอเรื่องไม่ดีก็เป็นเรื่องธรรมดาอันเป็นจริง เจอเคราะห์ร้ายก็เป็นเรื่องธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถือว่าความเคราะห์ร้ายนั้นเป็นการได้ชดใช้กรรม ดีหรือไม่ (ดี)  เจอคนว่าก็ถือเป็นการชดใช้กรรม และธรรมะยังสอนอีกว่า มองเป็นกลาง ถ้าอยากอยู่บนโลกแล้วไม่มีกรรม อยู่บนโลกแล้วไม่มีทุกข์ อยู่บนโลกแล้วมีแต่สุขแล้วพ้นทุกข์ ท่านก็สอนว่าให้ประพฤติดี อย่าประพฤติชั่ว ให้เลือกที่จะทำดี อย่าทำผิดคิดร้าย ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอยู่อย่างนี้ก็แปลว่า ถ้าเราอยากพบสิ่งที่ดี ไม่อยากมีเวรกรรม ไม่อยากเพิ่มกรรมให้กับตนเอง เราก็ต้องเลือกที่จะปฏิบัติดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วการปฏิบัติดีเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “บุญ” การปฏิบัติชั่วเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “บาป” ใช่หรือไม่ (ใช่)  กรรมนั้นยังเป็นกลางๆ นะ กรรมยังมีทั้งดีและชั่ว แต่บาปคือไม่ดีเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าทำบุญ ผลานิสงส์ของการทำบุญคือให้ความสุข ให้ความอิ่มใจ ฉะนั้นถ้ามีชีวิตอยากไม่มีกรรม แล้วอยาก
มีสุข อยากมีแต่ชีวิตคือชดใช้กรรมเก่าไม่สร้างกรรมใหม่ ก็จงรู้จักหมั่นเพียรสร้างบุญ เพราะบุญให้ผลานิสงส์คือความสุขใจ อิ่มใจ สบายใจ
แล้วที่สุดของบุญ เมื่อทำไปจนถึงแล้ว ถ้าทำแล้วสามารถตัดโลภ ตัดโกรธ ตัดหลง ตัดความยึดมั่นถือมั่น หวังวอนขอในตัวตนได้ นั่นก็คือสามารถเข้าถึงกุศล และมรรคผลนิพาน อย่าเอาบุญเพียงแค่ขึ้นสวรรค์ แต่พระพุทธะสอนว่า ที่สุดของบุญก็คือ ทำแล้วตัดโลภได้ ตัดโกรธได้ ตัดหลงได้ ตัดความยึดมั่นถือมั่นได้ บุญนั้นจะเป็นทางแห่งกุศล และมรรคผล
นิพานได้ ใช่ไหม (ใช่)  แต่มนุษย์รู้แค่เพียงทำบุญเพื่อหวังบุญ เมื่อหวังบุญยังยึดติดในตัวตน ก็เลยยังหนีไม่พ้นการก่อกรรม หรือการก่อโลภ โกรธ หลง ซึ่งโลภ โกรธ หลง เป็นทางมาแห่งบาป แล้วบาปนั้นให้ผลคือความทุกข์ กรรม และการเวียนว่ายไม่จบสิ้น
ฉะนั้นเข้าใจธรรมแล้ว อย่าเพียงแค่เข้าใจ แต่ต้องเดินต่อและเดินให้ถึงที่สุด อยากมีสุขจงรู้จักทำบุญ อยากมีทุกข์ อยากมีกรรม อยากมีการเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น ทำไปเลยบาป บาปที่มีสาวกคือ โลภ โกรธ หลง และความหลงยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตน เบาๆ ก็คือให้ทุกข์ หนักที่สุดก็คือไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด
ฉะนั้นเข้าใจธรรมแล้ว อย่าลืมลงมือปฏิบัติ อย่าเกิดมาแล้วหายใจผ่านไปวันๆ หนึ่ง มีทางให้เลือก หรือที่พูดง่ายๆ ว่า ร้อนใจไปนรก สุขใจไปสวรรค์ สงบเย็นใจไปนิพพาน เคยได้ยินไหม (เคย)  ถามท่านหน่อย ตั้งแต่ท่านยังไม่ได้คุยกับเรา จนได้มาคุยกับเราในวันนี้ นั่งอยู่ด้วยความร้อนหรือความสุข (ความสุข)  ตั้งแต่มีชีวิตมาร้อนหรือเย็น หรือสงบใจ (มีทั้งสามอย่าง)  ใช่ไหม (ใช่)  แล้วรู้หรือไม่ว่าถ้าชั่วขณะหนึ่งของชีวิต  จิตวูบหนึ่งก่อนจะสูญเสียชีวิตไป ถ้าเราเกิดร้อนใจ เราไม่ต้องตกนรกหรือ ถ้าอยู่กับเพื่อน ครอบครัว คนรัก ถ้าเราร้อนใจ เราไม่ใช่เป็นคนที่กำลังสร้างนรกหรือ ตอนนี้ร้อนใจ เย็นใจ หรือสุขใจ (สุขใจ)  สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ นิพพานนั้นไซร้อยู่ที่ใจปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น และกล้ายอมรับความจริง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ร้อนไม่เย็นแต่เข้าใจ แปลว่าการเข้าถึงภาวะนิพพานพ้นทุกข์ไม่ใช่เรื่องยาก คุมใจได้ไหม ทุกสิ่ง
ทุกอย่างเริ่มที่ใจ จบที่ใจ เกิดที่ใจ หยุดที่ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่มีใครพาท่านตกนรกได้ นอกจากความคิด ไม่มีใครดึงท่านขึ้นสวรรค์ได้ นอกจากการประพฤติปฏิบัติตน คำพูดคนทำให้คนเป็นพุทธะ หรือพญามารไม่ได้ มีแต่ตัวตนเองเท่านั้นที่คิดและทำเช่นไร
วันนี้แม้จะลำบากขนาดไหน แม้จะเหนื่อยขนาดไหน แต่ถ้าท่านพยายามที่จะขึ้นสวรรค์ให้ได้ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถฉุดใจเราได้ วันนี้แม้เขาจะให้ผ้าเย็น ให้อากาศอบอุ่น ให้ความสุขสบาย แต่ถ้าท่านพยายามจะ
ตกนรก พยายามจะร้อนใจ ใครก็ดึงท่านพ้นทุกข์ไม่ได้ ตอนนี้ขึ้นสวรรค์หรือตกนรก (ขึ้นสวรรค์)  รีบขึ้นสวรรค์ทันทีเลยนะ
เพราะวันนี้คือตัวกำหนดชะตากรรมในวันหน้า เพราะการกระทำขณะนี้คือตัวกำหนดชะตากรรมในวันพรุ่ง ถ้าวันนี้ทำเช่นไร วันหน้าก็คือชะตาชีวิตเช่นนั้น วันนี้คิดเห็นอย่างไร วันหน้าความคิดเห็นนั้นก็จะกลายเป็นชะตากรรมนำพาชีวิต ฉะนั้นอย่าปล่อยปละละเลยความคิดและการกระทำของตน เพราะวันนี้คืออนาคตของวันหน้า ถ้าวันนี้ไม่ดี ไม่รอด วันหน้าจะดี จะรอดหรือ ถ้าวันนี้ยังไม่พ้นทุกข์ วันหน้าจะมีสุขได้เช่นไร
ร้อนไหม (ไม่ร้อน)  สุขใจไหม (สุข)  สุขใจบ่อยๆ นะ นอกจากจะโชคดีแล้ว ยังทำให้ตัวเองได้ขึ้นสวรรค์ด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ร้อนใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นปิดพัดลมได้ไหม ถ้าเราจะขึ้นสวรรค์ ใครจะทำให้เรา
ตกนรกก็ไม่สามารถทำได้ จริงไหม (จริง)  อย่างนั้นถ้าแอบปิดพัดลม แล้วนำผ้ามาให้ห่มอีก ไม่ว่าใครจะทำอย่างไร เราก็จะต้องขึ้นสวรรค์ให้ได้
ใช่ไหม (ใช่)  เราแค่ทดสอบท่าน ปิดพัดลมและนำผ้าห่มมาพร้อมกับนำผ้าร้อนมาให้ทุกท่านเช็ดหน้าด้วย อย่าลืมนะว่า “นิพพานนั้นไซร้อยู่ที่ใจปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นและยอมรับความจริงในทุกสภาวะให้ได้”
ใช่ไหม (ใช่)  พร้อมไหม ห่มผ้าร้อนใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมื่อสักครู่บอกว่าพูดได้ต้องทำได้ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นไม่ว่าจะร้อนอย่างไรก็จะ (สู้)  
ให้ตัวเองขึ้นสวรรค์ให้ได้ ถ้าท่านทำได้ตั้งแต่ตอนนี้ ไปอยู่ข้างนอกก็ไม่ต้องกลัวใคร ใครจะด่าใครจะว่าอย่างไร ฉันก็จะทำให้เขากลายเป็นเทพอัปสร พูดแต่คำไพเราะ แม้สิ่งที่เขาพูดจะไม่ไพเราะ แต่เราจะทำให้เขากลายเป็นเทพอัปสร และทำโลกใบนี้ให้เป็นสวรรค์ด้วยหัวใจเรา เพราะอะไรเราจึงอยากให้ท่านทำให้ได้ เพราะเรื่องที่จะคุยต่อไปนี้ เป็นเรื่องจริงที่มนุษย์
หนีไม่พ้น
ท่านเคยได้ยินไหม มีคำพูดมนุษย์คำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ถ้าอยู่แล้วมีทุกข์ก็จงจากไป ถ้ามีแล้วมีแต่ปัญหาก็จงปล่อยทิ้งไป” แล้วเราทำเช่นนั้นได้ไหม อย่าลืมนะ เมื่อสักครู่เราปรับความเข้าใจแล้ว ธรรมะไม่ใช่สอนให้ท่านหนีความจริง ธรรมะไม่ได้สอนให้มนุษย์รักลำเอียง แต่ธรรมะสอนให้เรากล้าสู้ความจริงด้วยหัวใจอันเป็นกลาง แปลว่าแม้อยู่แล้วมีทุกข์ แม้ถ้ามีแล้วมีปัญหาเราจะทำอย่างไร การหนีใช่วิถีทางการแก้ทุกข์ที่ถูกต้องไหม (ไม่ใช่)  แต่ปัจจุบันมนุษย์ชอบทำอย่างนี้ใช่ไหม พอมีปัญหาก็ทิ้งเลย แต่ท่านอย่าลืมนะ มนุษย์ชอบพูดว่าผีเห็นผี ใครเป็นอย่างไรก็มักจะได้เจอคนเช่นนั้น เกลียดอะไรก็จะเจออย่างนั้น อย่างนั้นแปลว่าเขาไม่ดี เขาน่าเกลียด ใจเราก็ไม่ดีและน่าเกลียดเช่นกัน ใครเป็นเช่นไรย่อมได้เพื่อนเช่นนั้น ได้แฟนเช่นนั้น แล้วก็แปลกเกลียดอะไรก็เจอแบบนั้น ฉะนั้นอย่าคิดว่าหนีแล้วจะพ้น ถ้าไม่แก้ที่ต้นเหตุคือใจตน แล้วเราจะแก้อย่างไร เราถามท่านนะ ขึ้นชื่อว่า “คน” เมื่อเวลาต้องสัมพันธ์กัน เมื่อเวลาต้องเกี่ยวพันกัน หนีไม่พ้นการมีกรรมเวรต่อกัน เราถามท่านว่า คนที่อยู่ใกล้ท่านนั้น เป็นบุญหนุนนำมาให้พบกัน หรือว่าเป็นกรรมผลักดันให้พบกัน (กรรมผลักดัน)  ผีเห็นผีนะ ถ้าเขาเป็นกรรม ท่านก็กรรม ใช่ไหม (ใช่)  
ถ้าท่านว่าเขาคือบุญ เราก็คือบุญ อย่าลืมคำพูดของตัวเอง อย่างนั้นตอนนี้คนที่ท่านอยู่ด้วยนั้น เป็นบุญหรือกรรม (บุญ)  เปลี่ยนไวจริงๆ เลยนะ เมื่อสักครู่ยังว่าเขาเป็นกรรมอยู่เลย พอบอกว่าเขาเป็นกรรม ฉันก็เป็นกรรม อย่างนั้นฉันเป็นบุญดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตกลงว่าเป็นบุญหรือเป็นกรรม (บุญ)  มนุษย์นี้ลื่นไหล พลิกผัน จับไม่ได้ ไล่ไม่ทันจริงๆ นะ
ใช่ไหม (ใช่)  
มีคำพูดหนึ่งกล่าวไว้ว่า ถ้าอยู่แล้วเป็นทุกข์ก็จงจากไป ถ้ามีแล้วมีแต่ปัญหาก็จงทิ้งไป แต่ขอถามจริงๆ ว่าคนที่อยู่ด้วยนี้มีทุกข์ไหม (ไม่มี)  คนที่อยู่ด้วยนี้เป็นปัญหาไหม (ไม่เป็น)  ฉะนั้นถ้าเราอยู่ร่วมกันในสังคม เป็นธรรมดาที่มนุษย์ยังต้องผูกพันเกี่ยวพันกับคน แล้วความผูกพันสัมพันธ์กับคน ก็หนีไม่พ้นเรื่องกรรมเวรที่เกี่ยวข้องกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าไม่อยากเกี่ยวกรรมกับใคร เมื่อจะทำอะไร สัมพันธ์กับใคร ก็จงไตร่ตรองและพิจารณาให้จงหนัก เหมือนที่เรามักจะพูดกันว่า เมื่อเรามองน้ำ ไม่อาจหยั่งลึกถึงความตื้นลึกของน้ำได้ เมื่อเรามองคน ไม่สามารถหยั่งลึกได้ถึงจิตใจว่าเขาเป็นเช่นไร ฉะนั้นก่อนที่เราจะไปเกี่ยวข้อง ก่อนที่เราจะไปผูกสัมพันธ์ ก็จงพิจารณาให้ดี เพราะถ้าเกี่ยวกรรมกันแล้ว ถอยก็ไม่ได้ ทิ้งก็ไม่ดี หนีก็ไม่พ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  จำไว้นะว่า เกี่ยวกันแล้ว ถอยก็ไม่ได้ หนีก็ไม่พ้น ทิ้งก็ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  
แล้วจะทำอย่างไรที่จะให้อยู่แล้วไม่เกี่ยวกรรม แต่อยู่กันแล้วกลายเป็นบุญหนุนนำกัน เหมือนสิ่งของเมื่อครั้งแรกๆ คิดว่าบุญอะไรหนอ นำพาหนุนส่งให้ฉันมาครองคู่กับเธอ ใช่ไหม (ใช่)  แต่พอนานๆ ไป ก็คิดว่ากรรมอะไรหนอ ใช่ไหม (ใช่)  ตอนแรกมีความสุข บุญอะไรหนอทำให้ฉันได้มาเจอเธอ แต่พอนานๆ ไป เวรกรรมๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามาทำความเข้าใจคำว่าบุญและเวรกรรมก่อน บุญคืออยู่ด้วยแล้วมีแต่ความสุขความผ่องใสชำระล้างจิตใจให้สะอาด เราอยู่กับใครแล้วเป็นบุญหรือเป็นกรรม บาปอยู่ด้วยแล้วมีแต่ความขุ่นมัว หม่นหมอง ทุกข์ซ้ำกรรมซัด ฉะนั้นทุกขณะจิตอย่าคิดว่าสร้างบุญต้องอยู่แต่ในวัด บุญและบาปทำได้ทุกที่ แม้ขนาดหายใจผิดก็ยังสร้างบาปได้จริงไหม ถ้าเจอเขาแล้วไม่พอใจ หายใจกระฟัดกระเฟียด แค่หายใจก็เป็นบาป ถ้าอยู่แล้วมีสุขอยู่แล้วสบายใจ นั่นคืออยู่กับเขาแล้วได้ร่วมบุญ แต่ถ้าอยู่กับเขาแล้วมีแต่ความทุกข์ หม่นหมอง กลัดหนอง ทุกข์เศร้า เรียกว่าอยู่แล้วได้บาป นอกจากอยู่แล้วหม่นหมอง เศร้า แล้วยังจำได้ว่าเขาด่าเรา ไม่ดีกับเรา แช่งชักหักกระดูก ทำร้ายเรา นอกจากได้บาปแล้วยังผูกเวร ฉะนั้นใจคิดว่าเขาด่าว่าเรา
แช่งชัก ทำร้ายเรา ได้บาปแล้วยังไม่พอ เพราะยังขุ่นมัวและผูกเวร
แล้วจำได้ไม่รู้ลืม หมั่นไส้ นั่นเรียกว่าก่อกรรม โดยปกติอยู่กับเขาสร้างบุญหนุนนำ หรือก่อบาปเวรกรรม ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ถ้าไม่อยากมีเวร จงจำแต่สิ่งดีดี ถ้ายังอยากมีเวรและอยู่ร่วมกันด้วยการก่อกรรมก่อเวรไม่จบสิ้น จำไปเลยที่เขาทำร้ายเรา ตอนนี้ใจเราจำแต่ดี หรือจำแต่ไม่ดี คำว่าผูกเวรแปลว่าจำได้ว่าเขาทำร้าย เอาเปรียบ เขาไม่ดี นี่แหละเรียกว่าผูกเวร และถ้าผูกเวรแล้วจำ เมื่อเจอหน้าเขายังเกลียด ใส่ไคล้ ต่อว่า แอบติฉินนินทา นั่นเรียกว่าผูกเวรแล้วยังก่อกรรม จำไม่ลืมเรียกว่า จองเวรจองกรรม ตกลงว่าขึ้นสวรรค์หรือลงนรก ตกลงว่าเกิดมาเพื่อจบหรือเพื่อเวียนว่ายไม่จบไม่สิ้น แล้วเราจะทำอย่างไรดีถึงจะพ้นเวรพ้นกรรม
ถ้าคำพูดหนึ่งคำชำระล้างใจท่านให้สะอาด ทำให้ใจท่านเบิกบาน ตอนนี้ท่านก็ได้บุญแล้ว ถ้าเกิดอาบอิ่มใจในบุญนั้น แล้วยังรู้จักขอจิตที่ดีงามนี้
จงแผ่ไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย ญาติพี่น้องคนรู้จักสนิทชิดใกล้ นี่จึงเรียกว่า ส่งต่อบุญ เราทำได้ทุกขณะ แม้กระทั่งหายใจให้ถูก เราก็สร้างบุญ เจออะไรไม่กระฟัดกระเฟียด ไม่หายใจฉุนเฉียว ยากไหม (ไม่ยาก)  อยู่กับคน ไม่มีใครสมบูรณ์ดีพร้อม จำไว้นะ แม้ดอกไม้สวยที่สุดก็ยังมีวันเหี่ยวเฉา และถูกทำร้ายได้ ฉะนั้นถึงแม้คนที่อยู่กับเรามีข้อผิดพลาดบ้าง มีข้อไม่ดีบ้าง อย่าจำแล้วมาทำร้ายใจ เมื่อมาอยู่ร่วมกัน อย่าจำแล้วมาทำร้ายครอบครัว เพราะมนุษย์นั้นแปลก ดีไม่มอง ชอบมองไม่ดี ดีไม่ดู ชอบดูไม่ดี อย่างนั้นใจเราดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  ในเมื่อดีๆ ไม่มอง ชอบมอง
(ไม่ดี)  ดีๆ ไม่ดู ชอบดู (ไม่ดี)  อยากชำระล้างใจให้สะอาด อย่าหวังใครสมบูรณ์แบบ อย่าเกิดมาเอาแต่จับผิด เพราะเราชอบจับผิดคน มากกว่าจับถูก แล้วเราชอบพูดเรื่องร้ายมากกว่า (เรื่องดี)  อยากชำระล้างใจไม่ให้เดินไปสู่ทางแห่งบาป และการก่อเวรกรรม จงรู้จักทำแต่สิ่งที่ดีงามและถูกต้อง ได้ไหม (ได้)  ยากไหม (ไม่ยาก)  
เมื่อได้ฟังอย่างนี้แล้ว ธรรมะเป็นเรื่องที่ปฏิบัติยากไหม แล้วสามารถทำได้ในทุกๆ ขณะของการดำเนินชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้เป็นอนาคตของวันหน้า ชีวิตในขณะนี้เป็นตัวกำหนดชะตาและเวรกรรม
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นก่อนทำสิ่งใดจงพิจารณาไตร่ตรองให้จงหนัก
พุทธะหรือปราชญ์โบราณจึงกล่าวไว้คำหนึ่งว่า “มนุษย์สามารถอยู่ในโลกด้วยการที่รู้จักยืมใช้ แต่ไม่ยึดมั่น” ข้องเกี่ยวโดยไม่ผูกพันได้หรือไม่ ถ้าทำได้ก็สามารถมีชีวิตที่อิสระเสรีได้ แต่ถ้ายืมใช้แล้วยังยึดติด ก็ยากที่จะพบอิสระโดยแท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  
อยากฟังต่อไหม เห็นบางท่านแอบหลับแล้ว เหนื่อยแย่เลยใช่หรือไม่ มาฟังธรรมวันนี้เหนื่อยไหม เราขอคุยต่ออีกหน่อย ก่อนที่เราจะลาจากกัน งานเลี้ยงยังมีวันเลิกรา มีพบก็มีพลัดพรากและลาจากเป็นเรื่องปกติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่ออยู่แล้วก็ต้องให้เขามีความสุข แต่บางทีความสุขและความรัก ความรู้สึกดี ก็อดทำให้เกิดการห่วงหาอาทรและผูกพัน ยึดติดไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วกลายเป็นความลุ่มหลงที่ปล่อยวางไม่ได้ เช่นนี้ก็น่ากลัวเหมือนกัน ถ้าเจอสิ่งที่ดี สิ่งที่งาม สิ่งที่ถูกใจ ผูกพันแล้วยึดติด ผูกพันแล้วครอบครองก็หนีไม่พ้นทุกข์เช่นกัน แล้วเวลาครอบครองมากๆ บางครั้งก็อดเรียกร้องไม่ได้ จริงไหม (จริง)  ได้แล้วต้องได้อีก ดีแล้วต้องดีอีก ฉะนั้นจึงทำให้มนุษย์กลายเป็นคนที่แม้จะพบสิ่งที่ดี แต่ถ้ายังวางความยึดมั่นไม่ได้ การเรียกร้องไม่จบสิ้นก็อาจทำให้เราต้องเกี่ยวพันสัมพันธ์กันอย่างไม่หยุดหย่อนก็เป็นได้ ใช่หรือไม่
ฉะนั้นอย่าคิดว่ามองไม่ดีแล้วให้ทุกข์เท่านั้น แต่การมองดีแล้ว
ยึดติดก็ให้ทุกข์ได้เช่นกัน มนุษย์ตายเพราะน้ำหรือไฟมากกว่ากัน
ถ้าดูตามความเป็นจริง มนุษย์ตายเพราะน้ำมากกว่าไฟ ฉะนั้นความรักอาจจะฆ่าคนตายได้มากกว่าความเกลียด ความโกรธ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
มีใครบ้างที่เกลียดแล้วไปผูกคอตาย เราไม่เคยเห็นนะ มีแต่รักแล้วไม่สมหวังในรักแล้วจึงไป (ผูกคอตาย)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นแม้จะพบในสิ่งที่ถูกใจ ถูกต้อง ถูกอารมณ์ แต่จำไว้ว่า สิ่งที่ถูกใจ ถูกต้อง ถูกอารมณ์ จะทำให้เราสายตาสั้นและง่ายที่จะประพฤติผิด จริงไหม (จริง)  
ลูกเราว่าอย่างไร จะซ้ายจะขวา จะร้ายจะไม่ดีอย่างไร เราก็ยอมเขาอยู่ตลอด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เชื่อไหมว่า คนนอกบ้านแม้เขาไม่ดีเพียงอย่างเดียว จะให้อภัยเขาไหม (ไม่ให้)  แต่คนในบ้าน หาดีไม่ค่อยจะพบ แต่ให้อภัยแล้วให้อภัยอีก เพราะว่าตัดกันไม่ได้ ขาดกันไม่ลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจึงยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบของเขาได้ แต่ยอมรับความ
ไม่สมบูรณ์แบบของคนที่ผิดเพียงเล็กน้อยไม่ได้ อย่างนี้ถูกต้องแล้วหรือ (ไม่ถูกต้อง)  แม้ว่าสามี ภรรยา ลูก ของเราจะร้ายจะเลวอย่างไร เรายังกล้าที่จะเงียบและไม่พูด แต่ทำไมกับคนอื่นแม้เขาผิดเพียงเล็กน้อย เราว่าเขาทันทีเลย อย่างนี้เรียกว่า รักถูกหรือรักผิด (รักผิด)  ฉะนั้นจงระวังให้จงหนัก ไม่เช่นนั้นแล้ว ความรักก็ก่อเกิดโทษทัณฑ์และทำร้ายตนได้
เฉกเช่นเดียวกัน
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ วันนี้ขอผูกบุญสัมพันธ์เพียงเล็กน้อย มีโอกาสกลับมาผูกบุญกันอีกนะ ได้หรือไม่ (ได้)  
วันอาทิตย์ที่ ๒๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


สุขเพราะรู้พอได้จริง สุขเพราะรู้นิ่งได้เป็น
สุขเพราะรู้ใจเย็น สุขเพราะเห็นแจ้งใจ
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนสบายดีไหม


เห็นนั้นทุกข์เพราะยึดติดรูปนาม เป็นทาสความแกร่งแห่งมายาโลกหลอน
วุ่นเพราะคิดสติปัญญาเข้าถ่ายถอน ต้องรู้ให้เท่าทันก่อนเกิดเป็นอุปาทาน
ความเข้าใจต่อกันหนักแน่นหนา อยู่ด้วยกันเมตตามาเชื่อมสมานฉันท์
คนคิดต่างต้องรู้ย่อมอะลุ่มอล่วยกัน ผิดไปแล้วอย่าจำมาย้ำทำลาย
ฮา ฮา หยุด
ศิษย์เราใช้ความดีชนะใจคนได้อย่างมั่นใจ หากศิษย์ใช้อภัยหันไปที่ใดโลกดูงดงาม ใช้เมตตาที่สุด ฉุดใจพวกเขาให้เดินตาม เพียงศิษย์มีใจ
เอาใจใส่สอบถาม คนจะยิ้มให้กัน
แดนนรกคนเป็นศิษย์รักบำเพ็ญจึงเหมือนรอดตาย อย่าเคืองแค้น
ต่อใคร จนเฮือกสุดท้ายไม่หยุดช่วยกัน ขอเจ้านั้นทำใจ จะเข้าใจและ
ไปด้วยกัน ดีกว่าอะไร ทำใจได้สวรรค์ อันสว่างทั้งตัว
* เอาชีวิตเดิมพัน กล้าหาญเหมือนดั่งสายชล ทำดีแม้ไม่ทน สักหน
ไม่อาจได้ทำ ธรรมเหนือความเป็นอยู่ คนจะไม่มีกรรม เห็นแก่ตัวไปทำตัวน่าขำ ไม่จำจะร้องไห้โฮ
(ซ้ำ *)  
ชื่อเพลง : วิชาธรรม
ทำนองเพลง : วิชามาร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อยากฟังไหม ถ้ายังอยากฟัง อาจารย์ขอหลบไปก่อนดีกว่าไหม
(ไม่ดี)  กินข้าวอิ่มไหม (อิ่ม)  ฟังธรรมอิ่มไหม (อิ่ม)  ถ้าอิ่มแล้วก็แปลว่ารับอะไรไม่ได้แล้วนะสิ ถูกหรือไม่ อย่างนั้นเอาใหม่ กินข้าวอิ่มไหม (อิ่ม)  ฟังธรรมอิ่มไหม (ไม่อิ่ม)  ถึงว่าท่านต้าเซียนท่านพูดว่านักเรียนชั้นนี้ลื่นเป็นปลาไหลเลย ปลาไหลจริงไหม เป็นปลาไหลไฟฟ้าด้วยใช่ไหม ใครพูด
ไม่ถูกใจก็ช๊อตได้ทันที ทำร้ายได้ทันที  เป็นอย่างนั้นหรือไม่ (ไม่)  
เข้ามาร่วมผูกบุญกันนะ ใครที่นั่งอยู่ข้างนอกเบื่อๆ ไม่รู้จะทำอะไรก็เข้ามาฟังธรรมให้เกิดปัญญา ดีหรือไม่ (ดี)  ส่วนใครที่อยู่ตรงนี้ฟังธรรมแล้ว
ไม่เกิดปัญญาก็ต้องเคาะแรงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วฟังได้ปัญญาอะไรบ้างไหม (ได้)  กินอิ่มแล้ว ฟังธรรมยัง (ไม่อิ่ม)  น่ากลัวเหมือนกันนะ
ใจมนุษย์ถมไม่เคยเต็ม ใช่หรือไม่
ถ้าห่วงแค่นี้ถือว่าเมตตาไหม (เมตตา)  จริงหรือ แค่อาจารย์ห่วงแค่นี้ก็เรียกว่าเมตตาแล้วหรือ ก็อาจจะเป็นไปได้ ถ้าอยู่ด้วยกันความห่วงหาอาทรไม่มีต่อกัน การถามสารทุกข์สุขดิบไม่เคยแบ่งปันให้กัน อย่างนี้ก็ดูใจจืดใจดำไปนะ เคยไหมอยู่บ้านเดียวกัน มองหน้ากันยิ้มก็ยิ้มไม่ออก พูดก็พูดไม่ได้ เดินผ่านไปผ่านมาเหมือนคนไม่รู้จักกันเลย เป็นไหม บางทีเราถามสักคำ บอกสักหน่อยหนึ่ง จะหนักหรืออย่างไร คนสมัยนี้คำว่า
“ขอโทษ ขอบคุณ” บางทีออกจากปากยาก ผิดแล้วขอโทษไหม มีแต่
ตัวใครตัวมัน เขาทำดีแล้วเราขอบคุณไหม เงียบหุบปากไม่สน ยิ่งอายุมาก เวลาใครทำดี อุ้ยพ่อเจริญพรนะ เจริญพร คนทำดีปลื้มไหม (ปลื้ม)  คนทำดีอยากทำอีกไหม (อยาก)  เดี๋ยวนี้พอลุกให้คนแก่นั่ง คนแก่ก็คิดว่าเป็นเรื่องสมควรแล้ว ยังคิดอย่างนี้อีกหรือ บางครั้งสิ่งที่ควรพูดก็ยังคงต้องมีไว้ สิ่งที่ยังควรกระทำก็ยังคงต้องรักษาธำรงไว้ ขอบคุณ ขอโทษ ไม่เป็นไร โดนชนนิดชนหน่อย โกรธไหม (ไม่โกรธ)  ถ้าอาจารย์มือพลาดไปโดนหัว โกรธไหม (ไม่โกรธ)  มีคนเอาขาพลาดไปเตะโดน โกรธไหม ทำไมเงียบ
อยากอยู่กับอาจารย์นานๆ ไหม (อยาก)  แต่รู้สึกเวลาจะทำให้อาจารย์อยู่ได้แป๊บเดียวเอง ฉะนั้นตอนนี้ศิษย์มีโอกาสได้อยู่กับอาจารย์ก็ฉกฉวยโอกาสให้เต็มที่ ดีหรือเปล่า (ดี)  ถ้าอาจารย์ถามอะไรใครตอบได้จงรีบตอบ
ขึ้นชื่อว่า “คน” ก็หนีไม่พ้นเรื่องความรู้สึกและอารมณ์ใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์มีอารมณ์มากมาย และอารมณ์ก็ทำให้เราทำอะไรได้ยากลำบาก อารมณ์นี้บางทีก็ทำให้เราสบาย บางทีก็ทำให้เราลำบาก อย่างนั้นเราควรมีชีวิตที่ยึดติดอยู่กับอารมณ์แห่งตัวตนไหม (ไม่)  ฉะนั้นไม่ว่ากระแสอารมณ์อะไรจะเกิดขึ้น เราก็ควรที่จะนิ่งก่อนใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์เห็นโดนกระทบกันทีไรก็กระแทกกระทั้นกันไปเลย ไม่มีใครนิ่งได้จริงๆ เลย อย่างนั้นการศึกษาธรรมเราควรที่เป็นคนใจเย็นใช่ไหม (ใช่)  อย่าเป็นคน
ขี้โมโห อย่าเป็นคนขี้หงุดหงิด ขี้บ่น ขี้เยอะ ออกจากตัวก็คือขี้ทั้งนั้นเลย
ขี้บ่น ขี้โมโห ขี้น้อยใจ ขี้เอาแต่ใจ ขี้งก ถ้าไม่ระมัดระวังขี้เรี่ยราด ขี้ไม่เป็นทางก็จะไม่มีใครสน ไม่มีใครคบ แล้วเรามีนิสัยเป็นคนขี้เรี่ยราดไหม หรือเรารู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องปกติ กินแล้วก็ต้องถ่ายออก อยู่ที่ว่าจะออกบนหรือออกล่างเท่านั้นเอง ศิษย์อาจารย์ใช้สติคิดนิดหนึ่งนะ ถ้าเรารู้ว่าสิ่งที่ออกจากตัวเรานั่นจะกลายเป็นขี้ แล้วโยนขี้ให้คนอื่น เราจะระมัดระวังในการปล่อยขี้ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเวลาที่อ้าปาก แล้วจะกลายเป็นคนขี้บ่น แล้วเราจะอ้าปากบ่นไหม เพราะแค่อ้าปากก็กลายเป็นขี้ปากแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  หลุดจากปากของเราไปก็กลายเป็นคนขี้บ่น ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรารู้จักระมัดระวังไม่ปล่อยขี้ให้เรี่ยราด แล้วเราจะไปทำร้ายใครด้วยขี้ของตัวเราเองไหม (ไม่)  แล้วถ้าเรามีสติคิดอยู่เสมอว่าสิ่งที่ออกจากปากของเรา ออกจากตัวของเราแล้วจะกลายเป็นขี้ แล้วเราจะขี้เรี่ยราดไหม (ไม่)  เราคงรู้จักที่จะขี้ให้เป็นที่เป็นทาง ถูกไหม (ถูก)  แล้วตอนนี้ขี้ยังมีมากอยู่ไหม (มากอยู่)  
มีคำกล่าวว่า “จิตที่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนและทำทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อตัวตนง่ายที่จะก่อบาป เพราะมายาแห่งตัวตนเป็นเหมือนผงที่เข้าตา ทำให้คนตาบอดและมองไม่เห็นความจริง จิตที่ยึดมั่นถือมั่นใจตัวตนและทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อตัวตนย่อมง่ายที่จะทำผิด ง่ายที่จะหลงสร้างบาป” มายาแห่งตัวตนจึงคล้ายกับฝุ่นผง เมื่อเข้าตาแล้วก็จะทำให้คนตาบอดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อตาบอดแล้วจึงทำให้มองสรรพสิ่งได้ไม่แจ่มชัดหรือไม่รู้ เมื่อไม่รู้ก็ง่ายที่จะพลั้งผิดและทำพลาด ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือที่ตามพระพุทธศาสนาสอนไว้ว่า “ความไม่รู้คืออวิชชา อวิชชาก่อให้เกิดกิเลส ตัณหา และอุปาทาน” ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจะต้องระวังว่า สิ่งที่มนุษย์ชอบพูดว่า ก็หนูเป็นอย่างนี้ ก็ผมเป็นอย่างนั้น ก็หนูนิสัยอย่างนี้ ก็หนูนิสัยอย่างนั้น ใช่ไหม (ใช่)  เรามักตอกย้ำตนเองว่า เป็นแบบนั้นเป็นแบบนี้
ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วศิษย์เคยได้ยินไหมว่า น้ำเน่าเปลี่ยนธาตุแปรสีของคน ความเคยชินและการตอกย้ำตัวตนว่าฉันนิสัยแบบนั้นแบบนี้ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตและจิตใจคนได้เช่นเดียวกันใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเราควรปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับขี้ไหม ก็หนูเป็นคนขี้บ่นจะทำอย่างไรได้ ก็หนูเป็นคนขี้โมโห หนูเป็นคนขี้หงุดหงิดง่าย ฉะนั้นเรารู้ว่า สิ่งนั้นเป็นขี้ก็เหมือนน้ำที่เน่าแล้วเราจะปล่อยตัวให้เน่าอยู่ในน้ำไหม (ไม่)  ตัวเหม็นๆ เรายังรู้จัก (ล้าง)  แล้วตัวของเรา ทำไมเราจึงปล่อยให้จมอยู่กับนิสัยความเคยชินที่บอกว่า ก็หนูเป็นได้แค่นี้ ก็หนูทำได้ดีเท่านี้ ก็หนูนิสัยอย่างนี้ เท่ากับว่าศิษย์กำลังขุดตัวเองให้จมอยู่ในน้ำเน่าแห่งตัวตนที่เรียกว่านิสัยความเคยชิน น้ำเน่าเปลี่ยนธาตุแปรสีของสรรพสิ่ง นิสัยเน่าๆ นิสัยไม่ดี ก็สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตและจิตใจของคนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจึงกล่าวไว้ว่า เกิดเป็นคนจึงต้องระมัดระวังเรื่องความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ เพราะมันง่ายที่จะทำให้เราผิดพลาด ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วเราจะทำอย่างไร ที่จะไม่จมอยู่กับนิสัย ศิษย์กำลังคิดว่ามันยากนะ เพราะขึ้นชื่อว่าคนก็ต้องมีอารมณ์มีความรู้สึก ใช่ไหม (ใช่)  จะให้ไม่มีอารมณ์
ไม่มีความรู้สึกเลย นั่นก็ไม่ได้ แต่สิ่งที่อาจารย์จะบอกก็คือ อย่าพยายามตอกย้ำตัวเองว่า หนูได้แค่นี้ หนูเป็นคนแบบนี้ หนูเป็นคนขี้โมโห เพราะนั่นเท่ากับยอมให้ตัวเองจมลงไปอยู่ในน้ำเน่า ใช่ไหม แล้วตอกย้ำให้ชีวิตมีอยู่แค่นี้ ทำอย่างไรเราจะพ้นจากน้ำเน่านี้ได้ เมื่อเวลาเรามีอารมณ์เกิดขึ้น เราตอกย้ำว่าเราเป็นคนขี้บ่นก็ต้องบ่นก่อน เดี๋ยวค่อยว่ากัน ก็เขามาแรง ฉันก็แรงกลับ ผิดตรงไหน อาจารย์บอกศิษย์ ในเมื่อเขาโยนน้ำเน่ามา
เราจำเป็นต้องเน่ากับเขาไหม (ไม่)  เมื่อเขาว่าเราแย่มา เราต้องแย่กับเขาไหม (ไม่)  เขาว่าเราเลวมา เราต้องเลวกับเขาไหม (ไม่)  เขาโมโหเรามา เราต้องโมโหกลับไหม (ไม่)  เมื่อไม่ควรกลับเราควรทำอย่างไร นิ่งอย่างมีสติและใจเย็น แต่ถึงเวลาศิษย์นิ่งไหม (ไม่นิ่ง)  เวลาพูดกับอาจารย์ก็ทำได้ดี แต่ถึงเวลาจริงๆ ทำไม่ได้ นั่นเป็นเพราะอะไร ความเคยชิน แล้วความ
เคยชินแก้ไม่ได้หรือศิษย์ ขอเพียงศิษย์อย่าตอกย้ำว่า ก็ศิษย์เป็นคนอย่างนี้ อย่างนั้นก็จะแก้ไม่ได้ทั้งปีทั้งชาติ คนเราเกิดมาต้องก้าวหน้า และไม่ใช่ย่ำอยู่กับที่ แล้วตอนนี้นิสัยเราย่ำอยู่กับที่ หรือว่าก้าวหน้า หรือถอยหลัง (ก้าวหน้า)  ก็หนูเป็นอย่างนี้ได้แค่นี้ ไม่เคยก้าวหน้าดีกว่านี้เลย ก็ผมทำได้แค่นี้ ก็ตลอดชีวิตมานิสัยก็เป็นอย่างนี้ กินก็ต้องอย่างนี้ ได้ไหม (ไม่ได้)
เมื่อสักครู่ศิษย์บอกว่าวิธีที่จะแก้คือเมื่อเวลาโดนกระทบให้รู้จักนิ่ง ใช่ไหม (ใช่)  โดนกระทบให้รู้จักมีสติ โดนกระทบให้รู้จักใจเย็น ใช่ไหม (ใช่)  แล้วถ้าโดนกระทบแล้วกระทบอีกจะนิ่งได้ไหม (ได้)  ได้จริงหรือ
(ได้ เพราะว่าไม่เจ็บครับ)  ไม่เจ็บหรือว่าไม่เก็บเอาไว้ในใจ ความรู้สึกคนแปลกนะ ความรู้สึกไว กระทบตัวแต่แล่นไปสู่ใจ ว่าแต่ตัวแต่ไปกระแทกใจ ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เอย จำไว้นะ สิ่งสำคัญในโลกนี้ก็คือเป็นโลกแห่งความเปลี่ยนแปลง เราสามารถห้ามคนไม่ให้ตีเราได้ไหม ห้ามคนไม่ให้ด่าเราได้ไหม ห้ามคนไม่ให้กดขี่ข่มเหงเราได้ไหม ห้ามคนไม่ให้ทำร้ายเราได้ไหม (ไม่ได้)  แต่เราสามารถห้ามและควบคุมอะไรได้ (ใจเรา)  ใช่หรือไม่ ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์ มือเราปิดปากคนทั้งโลกไม่ได้ ตาเราปิดบังไม่ให้มองเห็นความจริงไม่ได้ เมื่อความจริงที่เกิดขึ้นห้ามไม่ได้ ควบคุมข้างนอกไม่ได้ ทำไมเราไม่หันกลับมาห้ามใจ คุมใจเรา เราห้ามให้ทุกคนไม่ยิ้มได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราควบคุมให้ทุกคนเป็นดั่งใจได้ไหม (ไม่ได้)  ในเมื่อเรารู้ความจริงอันเป็นความจริงแท้ที่เรียกว่า “สัจธรรมของโลก” เมื่อเจอสิ่งที่ไม่คาดคิด เมื่อเจอสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เราจะไปหวังอะไรให้ได้ดั่งใจได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อไม่ได้ดั่งใจจะห้ามเขาได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อคุมเขาไม่ได้ห้ามเขาไม่ได้ อย่างนั้นคุมใจเรา ห้ามใจเรา จะดีกว่าไหม (ดีกว่า)
ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญคือเราคิดอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต อะไรเกิดขึ้นกับเราไม่สำคัญ แต่สิ่งสำคัญคือเมื่อเวลาเกิดขึ้นแล้วเราคิดอย่างไรกับสิ่งนั้น จำไว้นะว่ามนุษย์มีหัวใจ
ที่อิสระ มีเสรีภาพ อย่าให้ใครมามีอิทธิพลควบคุมใจเรา เขาคุมกายเราได้แต่คุมใจเราไม่ได้ เขาทำร้ายกายเราได้ แต่เขาทำให้ใจเราเจ็บไม่ได้ ใจเรามีอิสระและใจเราก็มีอนุภาพที่ยิ่งใหญ่ ฉะนั้นคนฉลาดเวลาโดนตีหัว เขาจะเจ็บแค่หัวไม่เจ็บใจ คนฉลาดเขาทุกข์แค่กายไม่ไปทุกข์ที่ใจ เพราะโลกเป็นโลกแห่งความเปลี่ยนแปลง ศิษย์จะให้คนมารักศิษย์ตลอดได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นโลกนี้คือโลกแห่งความเปลี่ยนแปลง ชีวิตนี้คือสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอด เราคุมความเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เราควบคุมคนไม่ได้ เราควบคุมโลกไม่ได้ แต่จำไว้อย่างหนึ่งเราควบคุมใจเราได้ เราจัดการคนไม่ได้ จัดการโลกไม่ได้ แต่เราจัดการใจเราได้ เมื่อไรที่ปัญหาเกิดขึ้นมากระทบกาย จำไว้ว่าอย่าเพิ่งมัวไปสนใจกาย แต่ให้รีบหันมาจัดการที่ใจ เพราะมนุษย์เมื่อกายไปใจก็จะว่าตามเลย จำไว้นะว่าเรามีใจที่อิสระ เรามีใจอันประเสริฐที่สามารถหลุดพ้นทุกข์ได้อยู่แล้ว แต่เรากลับไม่สามารถมองเห็น เพราะเราไม่เคยนิ่งสักที ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า เมื่อเรานิ่งเราจึงเห็นสรรพสิ่งเคลื่อนไหว แต่เมื่อเราเคลื่อนไหว เราจึงเห็นสรรพสิ่งเหมือนหยุดนิ่ง จริงๆ แล้วสรรพสิ่งนั้นเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้นโลกนี้เป็นโลกแห่งความเปลี่ยนแปลง ชีวิตนี้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนพร้อมเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นใจเราจึงต้องนิ่งเพื่อมองให้เห็นว่า โลกนี้ไม่เที่ยง เมื่อโดนกระทบอย่าได้ไปกระแทกเพื่อให้กระเทือนใจ แต่จงนำเอาสิ่งที่มากระทบมาฝึกมาสอนใจ
เหมือนเรื่องหนึ่งที่อาจารย์จะยกตัวอย่างให้ศิษย์ฟัง สมมติว่าเราทำงานกันอยู่ทั้งหมดสามคน สองคนทำไปตาก็ดูโทรทัศน์ไป สักพักจากดูโทรทัศน์ก็เปลี่ยนมาเป็นเล่นโทรศัพท์ ส่วนอีกหนึ่งคน โทรทัศน์ก็ไม่ดู โทรศัพท์ก็ไม่เล่น เขาก็ทำงานไปเรื่อยๆ จนสักพักมีคนเดินมาถามว่า
หนูเอ๋ย เจ้าสองคนนั้นเขากินแรง ไม่ทำงานเลย หนูไม่โกรธเขาหรือ ศิษย์คิดว่าเด็กคนนี้จะตอบว่าอย่างไร (ไม่โกรธ)  อาจารย์เห็นศิษย์ส่วนใหญ่ ทำไปก็บ่นว่า เขาทำไมไม่ทำ ใช่ไหม (ใช่)  เราอยู่ด้วยกันในสังคม
มักจะเป็นเช่นนี้ไหม ถ้าวันหนึ่งเราทำงานแล้วปรากฏว่าอีกสองคนไม่ทำงาน เรารู้สึกว่าเราเหนื่อยเป็นสองเท่าหรือไม่ (เหนื่อย)  แต่ศิษย์รู้ไหมว่า เด็กคนนี้เขาตอบว่า น้าแค่นี้หนูก็เหนื่อยแล้ว ถ้าหนูไปโกรธพวกเขาอีก หนูก็ยิ่งเหนื่อยแสนเหนื่อยใจ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเรื่องราวบางเรื่อง
เมื่อเจ็บที่ตัวแล้ว ทำไมต้องมาเจ็บที่ใจ เมื่อเสียที่กายแล้ว แล้วทำไมจะต้องเสียที่หัวใจด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเรามีหัวใจที่อิสระและเรามีหัวใจที่ยิ่งใหญ่ เหตุใดจึงปล่อยให้หัวใจนี้ต้องถูกความทุกข์บีบคั้นได้ง่ายอีกหรือ ถ้าความทุกข์มาบีบเรา เราจะปล่อยให้ความทุกข์มาบีบคั้นใจของเราไปเช่นนั้นหรือ (ไม่)  ฉะนั้นเราต้องรู้ให้เท่าทันกับสิ่งที่เรียกว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้น รู้ให้เท่าทันใจของตัวเอง แล้วควบคุมใจของตัวเองให้ได้ อย่าปล่อยให้สิ่งที่มากระทบนี้ มากระแทกกระเทือนใจ จนลืมดูใจของตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ว่าจะเรื่องอะไรมาเราก็แก้ไขได้ แต่เวลาใจเราป่วยเมื่อไร เป็นสิ่งที่แก้ไขยากที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาอะไรเจ็บเรายังรักษาได้ แต่เวลาที่ใจเราเจ็บ รักษายากไหม (ยาก)  ฉะนั้นก่อนที่จะไปเจ็บที่ใจ ทำไมไม่รู้จักดึงมันให้พ้นก่อน เราเกิดมาเพื่อทุกข์ไหมศิษย์ (ไม่)  ถ้ารู้อย่างนี้ก็คงไม่ทุกข์กัน ฉะนั้นเราไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกข์ แต่เราเกิดมาเพื่อมองให้เห็นทุกข์ และเอาชนะทุกข์ให้ได้ เราจะเอาแต่กลัวไม่ได้ ฉะนั้นเวลาความทุกข์มาเราลองตั้งสติกับมัน แล้วบอกว่าแกทุกข์ฉันจะไม่ทุกข์ แกเจ็บฉันจะไม่เจ็บได้ไหม (ได้)  แต่ความจริงไม่ง่ายอย่างนั้นนะ เพราะมนุษย์ยังอดมีความรู้สึกไม่ได้ ขึ้นชื่อว่าคนก็ยังต้องมีรู้สึกดี รู้สึกไม่ดี รู้สึกชอบ รู้สึกชัง เป็นเรื่องปกติ แล้วการที่เรารู้สึกชอบรู้สึกชัง ถึงแม้เราจะเข้าใจในขณะนี้แล้ว แต่ถามว่าจะให้แก้และเข้าใจจนถึงขั้นสามารถดับทุกข์ได้ก็เป็นเรื่องยากเหมือนกัน เรามาดูหน่อยว่าเกิดเป็นคนการวิ่งไปตามความรู้สึกเป็นสิ่งที่ดีไหม (ไม่ดี)  แล้ววิ่งตามไหม (ตาม)  อารมณ์ของมนุษย์มีอยู่แค่สองอย่าง หนึ่งพอเห็นอะไรถูกใจก็รู้สึกชอบ สองพอเห็นอะไรไม่ถูกใจก็จะรู้สึกไม่ชอบ ฉะนั้นการกระทบของตัวคนจึงเกิดสองอย่างก็คือ ชอบกับชัง ชอบหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ยินดี”  ชังหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ยินร้าย” หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “อารมณ์หนึ่งผลักเข้า อารมณ์หนึ่งผลักออก” เมื่อชอบก็เกิดการยินดี เมื่อยินดีหรือชอบมากๆ ก็เกิดเป็นความรัก รักมากๆ ก็กลายเป็น “หลง” หลงมากๆ ก็กลายเป็น “กามตัณหา”  ชังยินร้ายหรือเรียกง่ายๆ ก็คือเกลียด เกลียดมากๆ ก็คือแค้น แค้นมากๆ ก็กลายเป็นชิงชังอาฆาต ชิงชังอาฆาตตามไปด้วยความผูกใจเจ็บ ผูกใจเจ็บแล้วตามไปด้วยจองเวรจองกรรม
ฉะนั้นอารมณ์ที่ศิษย์ปรารถนา แล้ววิ่งวนอยู่แค่สองอย่างนี้ ถึงที่สุดแล้วก็หนีไม่พ้นกามตัณหา ชิงชังอาฆาต ชิงชังอาฆาตก็เรียกว่าผูกเวร จองเวรจองกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  กามตัณหาก็เรียกว่าความหลงไม่รู้ลืม ใช่ไหม (ใช่)  หลงหน้ามืดตามัว ฉะนั้นศิษย์จึงบอกอาจารย์ว่า เกิดเป็นคนรู้สึกเหมือนวิ่งวนกับความรู้สึกไม่ชอบก็ชัง ไม่ดีก็ร้าย ไม่รักก็เกลียด
ไม่หลงก็แค้น วิ่งวนอยู่อย่างนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไม่เคยพ้นจากอารมณ์พวกนี้เลย แล้วศิษย์รู้ไหมว่า เมื่อมีชอบ มียินดี มีรัก มีหลง มีกามตัณหา สิ่งที่ตามมาคืออะไรรู้ไหม เมื่อรักมากๆ และเมื่อสิ่งที่รักต้องพลัดพรากก็จะกลายเป็นโศกเศร้า รักมากๆ หลงมากๆ ก็กลายเป็นวิตกกังวล กลุ้มและหวาดกลัว รักมากๆ หลงมากๆ ยึดมากๆ ก็กลายเป็นสะดุ้งและหวาดหวั่น ฉะนั้นทั้งหมดนี้แค่มาจากชอบกับชังเองนะศิษย์ ยังตามมาด้วยอะไรรู้ไหม ตามมาด้วยความโศก ตามมาด้วยความกลัว และตามมาด้วยภัย เขาถึงกล่าวว่า ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ แต่พุทธะไม่ได้กล่าวอย่างนั้น พุทธะบอกว่า โศก ภัย และความน่ากลัวในโลกเกิดขึ้นเพราะมาจาก
คำว่าชอบหรือที่เรียกว่ารัก เพราะมีสิ่งที่รักศิษย์จึงมีสิ่งที่หวาดกลัวสะดุ้งกลัว แต่ถ้าเมื่อใดพ้นจากชอบ พ้นจากรัก ศิษย์ก็จะพ้นจากความโศกกลัวและพ้นภัย แล้วก็ตัดได้ซึ่งกามตัณหาอันเป็นกิเลสที่หยาบและ
น่ากลัวที่สุด จริงไหม (จริง)
ศิษย์มีคำว่าชัง อาจารย์ขอถามว่าถ้าไม่มีชอบแล้วจะมีชังไหม
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นแค่ศิษย์ควบคุมอารมณ์ได้หนึ่งอย่าง อีกหนึ่งอย่างก็จะไม่เกิดแล้วนะ ถูกหรือไม่ ถ้าศิษย์ถูกกระทบแล้วศิษย์ไม่มีชอบ แล้วศิษย์จะรู้จักคำว่าชังไหม ศิษย์ไม่มีรัก ศิษย์จะมีเกลียดไหม เมื่อศิษย์ไม่มียินดี ศิษย์จะมียินร้ายไหม ถ้าศิษย์ไม่หลงรัก ศิษย์จะมีความแค้น ชิงชังและอาฆาตไหม ต้นเหตุแห่งภัยทั้งมวล ความโศกทั้งมวล ความวิตกทุกข์ร้อนทั้งมวล ล้วนเริ่มต้นมาจากคำว่า “ชอบ” เท่านั้นเอง ความชอบจะกลายเป็นความรัก หรือความยินดีจะค่อยๆ กลายเป็นความชอบและจะกลายมาเป็นความรัก รักมากๆ ไม่ลืมหูลืมตาก็จะกลายเป็นความหลง หลงมากๆ ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ก็จะเรียกว่า “ตัณหา” เมื่อตัณหามากๆ
ไม่รู้ถูกไม่รู้ผิด ก็ก่อกลายเป็นบาป และผิดศีล ขาดธรรมะ ทั้งหมดล้วนมาจากคำว่า “ชอบ” คำเดียวเอง ทำให้เรากลายเป็นคนมีบาป ผิดศีล ขาดธรรม ยกตัวอย่างง่ายๆ ชอบเงินไหม (ชอบ)  ผิดศีลไหม โกหกเป็นว่าเล่นเพราะเงินใช่ไหม (ใช่)  แค่ชอบอันเดียวทำให้เราบาป ผิดศีล และก็ขาดธรรม พอเราผิดศีล ขาดซึ่งธรรมะ บาปก็ตามมาทันที ทำไมครอบครัวไม่ร่มเย็น ทำไมอยู่กับใครแล้วโดนโกง เพราะชอบเงิน ใช่ไหม (ชอบ)  เงินก็หอม เวลาได้เงิน ดีใจไหม (ดีใจ)  อาจารย์ขอถามหน่อย ระหว่างมีเงินกับได้เงิน อะไรทำให้ศิษย์มีความสุขมากกว่ากัน (ได้เงิน)  มีคนตอบว่ามีเงินมีความสุข ใช่ไหม (ใช่)  ถ้ามีเงินแล้วมีความสุข แล้วตอนนี้มีเงินในกระเป๋าไหมรองหัวหน้า (มี)  คนที่มีเงินแล้วมีความสุข ก็จะไม่อยากได้เงินเพิ่ม อย่างนั้นตอนนี้มีเงินแล้วก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ก็มีความสุข ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ความสุขของมนุษย์ไม่ใช่อยู่ที่มีเงิน แต่ความสุขของมนุษย์คือชอบที่จะได้เงิน สิ่งที่ได้มาแบงก์ร้อยก็เหมือนเดิม แบงก์พันก็เหมือนเดิม แต่เราไม่มีความสุขสักที เพราะเราชอบที่จะได้เงิน ไม่ใช่ชอบที่จะมีเงิน ยิ่งถ้าเป็นแบงก์ใหม่ยิ่งชอบ ถ้าเป็นแบงก์เก่าชอบไหม (ชอบ)  ถ้าชอบแล้วยังจะเอาแบงก์ใหม่ไหม (เอา)  ถามตัวเองให้ชัด เป็นเพียงเพราะเราชอบแค่นั้น เราจึงเหนื่อยไม่จบสิ้น เป็นเพียงเพราะเราชอบแค่นั้น เราจึงทำทุกอย่างได้ โดยไม่รู้จักคำว่า “ศีลธรรม” อย่างนั้นหรือ ควรหรือศิษย์ เพราะเมื่อถึงเวลาที่ต้องรับกรรมแล้ว ศิษย์ค่อยบอกว่า “ค่อยไปแก้กรรม” ไปทำผิดมาเต็มที่แล้ว ไปโกหกเขา ไปอยากได้เงินของเขา ไปทำร้ายเขา แล้วศิษย์ค่อยเอาเงินที่ได้นั้นไปชดใช้กรรม ทำไมไม่หยุดตั้งแต่ก่อนชอบแล้วไม่ก่อบาปก่อกรรม ที่เขาเรียกว่า “โลภมากๆ แล้วจงให้ทาน” อย่างนั้นเราไปโลภให้เต็มที่แล้วค่อยไปทำทานอย่างนั้นหรือ ทำไมไม่อยากให้น้อย และทุกขณะที่อยากก็จงรู้จักพอ แต่เราไม่ใช่ เราขอโลภให้เต็มที่ก่อนเดี๋ยวค่อยเอาไปทำบุญ อาจารย์ถามหน่อยแล้วจะแก้ทันไหม เมื่อเขาแค้นจนกลายเป็นความชิงชังอาฆาตไปแล้ว แล้วศิษย์ไปทำบุญแผ่เมตตาให้เขา แล้วเขาจะหายไหม ไปหลอกเขามา ไปเอาของเขามา ไปทำร้ายเขา แล้วค่อยทำบุญให้เขาอย่างนี้ถูกต้องหรือศิษย์
ฉะนั้นก่อนที่จะชอบแล้วรักแล้วอยากอะไร ถ้าทำแล้วผิดบาปผิดศีลขาดธรรม หยุดก่อนดีไหม เอาน้อยหน่อยดีไหม (ดี)  หรือไม่เอาเลยได้ไหม ไม่เอาเลยไม่ได้หรือ ถ้าศิษย์บอกว่าไม่เอาเลยไม่ได้ อาจารย์ถามหน่อยถ้าไม่เอาเลยไม่ได้ อย่างนั้นศิษย์จะรับความเปลี่ยนแปลงที่ศิษย์จะไปเอามาได้ไหม ถ้าเกิดสิ่งที่ศิษย์กำลังอยากได้ และศิษย์ไปเอามา สิ่งนั้นกลับให้ทุกข์และโทษมหันต์ ถึงตอนนั้นคิดจะมาถอยหลังกลับ และบอกไม่เอาแล้ว จะทันไหม (ไม่ทัน)  ทำไมไม่คิดก่อนเอา (คิดไม่ทัน)
อาจารย์ถึงได้สอนว่า “จงมีสติ” แล้วนิ่งพิจารณามองสรรพสิ่งให้เห็นชัด เพราะขึ้นชื่อว่า “ชีวิตและสรรพสิ่ง” ล้วนเปลี่ยนแปลงจับไม่ได้ไล่ไม่ทันและจับไม่มั่นด้วย ศิษย์มั่นใจหรือว่าเราจับคนที่เราชอบได้ แล้วถ้าเกิดเขาเปลี่ยนแปลงไม่รักและไม่ชอบเราล่ะ เราจะแค้นไหม (ไม่แค้น, แค้น) จะแค้นทำไมล่ะศิษย์ ก็ในเมื่อรู้ว่าแค้นแล้วต้องจองเวรจองกรรมกัน เมื่อวานศิษย์ก็เพิ่งฟังไปเอง การกระทำใดที่ทำให้จิตบริสุทธิ์และสะอาดนั่นเรียกว่า “ขึ้นสวรรค์” การกระทำใดที่ทำให้จิตขุ่นมัวและหม่นหมองนั่นเรียกว่า “ตกนรก” แต่ถ้าการกระทำใดที่ทำให้ศิษย์เย็นสงบแล้ว
ไม่พลุ่งพล่านไม่ดีไม่ร้ายไม่ทุกข์ ไม่สุขนั่นเรียกว่า “นิพพาน”  ทำไมไปแค่นรกกับสวรรค์ ทำไมไม่ลองไปนิพพานบ้าง นิพพานคืออะไรรู้ไหม เพียงแค่มีสติ เมื่อถูกกระทบแล้วก็นิ่ง อยากได้ไหม ก็แค่คิดว่าไม่เอาดีกว่า ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ดี แต่ไม่ได้ก็ไม่ตายก็ยังมีกิน จริงไหม (จริง)  ถ้าปัญญายังไม่อับจนจริงๆ ก็ไม่ตายหรอก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นไม่มีรักแล้วคิดว่าต้องตาย
โง่หรือฉลาด แต่อาจารย์ว่า ขาดปัญญาแล้วเข้าไม่ถึงธรรม ถ้าขาดแล้วมีชีวิตอยู่ก็โง่ทั้งชีวิต จริงไหม (จริง)  เกิดเป็นคน ธรรมก็ไม่มี ศีลก็ไม่มี พร้อมจะเบียดเบียนคนได้ทุกเมื่อ นั่นก็แปลว่า เขาคนนี้ที่ทำร้ายชีวิตของตัวเองทั้งชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์ขอถามว่า เราจะเอาอะไรมาควบคุมอารมณ์ของเรา ไม่ให้พลุ่งพล่านโดยง่าย และให้รู้จักอยู่ในกรอบแห่งคุณธรรม (สติ)  เอาสติมาควบคุม ฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้อง (มีสติ)  มีสติแล้วยอมรับความจริงได้ไหม ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นอาจทำให้เราไม่ชอบใจก็ตาม ถ้าเรายอมรับความจริง เราก็จะไม่ทุกข์ใจ แต่การยอมรับไม่ได้หมายถึงเป็นคนขี้แพ้นะ
อาจารย์ถามว่าแล้วจะนำเอาอะไรมาควบคุมอารมณ์ ยังจะใช้อารมณ์ต่ออีกหรือ (เอาสมาธิควบคุมจิตใจ)  เรียกว่าสมาธิจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อเรานิ่ง ใช่หรือไม่ สติเป็นรากฐานแห่งสมาธิ ความนิ่งเป็นรากฐานแห่งความไม่กระเพื่อมหวั่นไหว ฉะนั้นถึงแม้เราลืมตาแต่เราต้องนิ่งให้ได้ ไม่ว่าจะกระแทกกระทั้นกระทบ ใช่หรือไม่
(นิ่งอย่างเดียว)  นิ่งอย่างเดียวจริงหรือรองหัวหน้า ต่อไปใครว่า
ก็นิ่ง ใครด่าก็นิ่ง ใครขโมยเงินก็นิ่ง ใครเอาสามีไปก็นิ่ง ให้จริงนะศิษย์
จำไว้นะโลกนี้เป็นโลกแห่งความเปลี่ยนแปลง นิ่งก่อนก่อนที่จะรับ
คิดก่อนที่จะได้อะไร พิจารณาดูถ้าได้มาแบบไม่ถูกต้องไม่ถูกตามครรลองคลองธรรมไม่เอาก็ได้ ใช่หรือไม่ อย่าเห็นแก่ได้เพราะไม่อย่างนั้นผลประโยชน์มักก่อให้เกิดความเสียหายนะศิษย์
(นิ่งใช้สติ)  นักเรียนชั้นนี้นิ่งให้ได้ตลอดทุกคน จริงนะ เป็นคน
ไม่โกรธ ไม่บ่น ไม่ขี้โมโห ไม่โทษคนอื่น ทำให้ได้นะศิษย์เมื่อถึงเวลา
(ทำจิตให้นิ่ง แล้วตั้งสติให้ดี)  ทำจิตให้นิ่ง แล้วตั้งสติให้ดี ถึงเวลาก็อย่าปล่อยให้ความชอบ หรือความหลงในตัวเองมาทำให้สติเตลิดเปิดเปิง
(ใช้ปัญญา)  ทำอะไรขอให้ใช้ปัญญาพิจารณา ถ้าทำแล้วเกิดทุกข์ ทำแล้วเกิดโทษ อย่าทำ
(ใจเย็นไว้ก่อน)  ทำอะไรใจเย็นไว้ก่อน ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม แต่ช้าแล้วก็อย่าเสียใจนะ
(มีสติ)  ทำอะไรขอให้มีสติ แล้วมีสติได้ตลอดไหม มีสติไม่ใช่รู้ทันคนอื่น แต่มีสติเพื่อรู้ทันใจตนเอง “รู้เท่าเอาไว้กัน รู้ทันเอาไว้แก้” เคยได้ยินไหม
(นิ่ง ทำใจเย็นๆ พิจารณาค่อยตัดสินใจ)  อย่าพยายามเอาตัวเราไปวัดกับทุกสิ่งและอย่าเอาตัวเราไปเป็นมาตรฐานดูแลใคร ไม่อย่างนั้นจะเป็นทุกข์ ใช้สติ คิดพิจารณาก่อนที่จะทำอะไร ใช่ไหม พูดให้ชัดๆ ต้องกล้าในเรื่องที่ถูก อย่ากล้าในเรื่องที่ผิด ใช่ไหม
(พิจารณาให้ถ้วนถี่ คิดให้ดีแล้วค่อยตอบ)  แล้วเหล้าดื่มไหม บุหรี่สูบไหม แล้วพิจารณาดีหรือยังก่อนจะสูบบุหรี่มวนต่อไป ใช่ไหม อย่าทำร้ายตัวเองนะ กินแอปเปิลนี้แล้วเลิกบุหรี่ดีไหม ทำให้ได้นะ เพื่อชีวิตตัวเองนะ อาจารย์ช่วย
(เปิดใจให้กว้างและไม่ยึดติดกับสิ่งใด)  เพราะตัวตนก็คือความเปลี่ยนแปลง มนุษย์แม้จะไม่ยึดติดกับสิ่งใดแต่จะยึดติดกับความคิดของตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่กลัวใคร แต่สิ่งที่น่ากลัวนั้นคือใจของตน อย่าคิดว่าแน่เสมอไป เพราะถ้ายังทำดีไม่ได้ชะตาชีวิตของศิษย์ก็มีโอกาสตกนรกได้เหมือนกันนะ ฉะนั้นคิดให้ดี ศิษย์มีรากฐานที่ดีงาม ขอเพียงระมัดระวัง อย่าประมาท แค่นั้นเอง (มีสติคิดให้ดีทำดี)  แต่พอถึงเวลาคิด ก็มักคิดไม่ดี ทำก็มักทำไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  พูดง่ายแต่เวลาทำจริงนั้นยาก เพราะอารมณ์ของคนนั้น มักไม่ค่อยยอมให้ใครควบคุมง่ายๆ ใช่ไหม (ใช่)  โดยเฉพาะอารมณ์ของท่าน
(สติมาปัญญาเกิด) แล้วพอสติเตลิดปัญญาก็ไม่มี ใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์มักท่องกันได้ แต่พอถึงเวลาจริงๆ ไม่รู้จะทำได้กันหรือเปล่านะ ฉะนั้นขอให้ศิษย์ใจเย็นๆ
ถ้าศิษย์คิดเสมอว่า สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี แม้ความตายความเจ็บปวดจะเกิดขึ้นกับชีวิต เราก็จะบอกว่า (มันดี)  ตอบได้ดีนะ
วิธีที่จะควบคุมอารมณ์ ไม่ให้อารมณ์ของเราไม่พลุ่งพล่าน นั่นก็คือ การคิดว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี และถ้าแม้ว่าสิ่งนั้นจะไม่ดีขนาดไหน ทำไม
ไม่รู้จักดึงประโยชน์ของมันให้มากที่สุด ก่อนที่มันจะมาทำร้ายใจของเรา สมมติอาจารย์มีข่าวบอกว่า ศิษย์ต้องป่วยเป็นโรคมะเร็ง อีกสองวันจะตายดีไหม (ดี)  ออกไปตายเลย (ดี)  ศิษย์จะกลัวอะไรกับคำพูดของคน จะกลัวอะไรกับชะตาชีวิต ถ้าวันนี้ศิษย์ทำได้ดีจริงๆ แม้จะต้องตายวันนี้
ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว ใช่ไหม (ใช่)
(ยอมรับ)  ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะดีหรือจะร้าย แต่คนยอมรับไม่ใช่เป็นคนที่จนปัญญาหรือพ่ายแพ้ เพียงแต่รู้จักที่จะยอมรับความจริง ไม่ใช่ไม่สู้คน เวลาเขาเตะมา ถีบมา เอามีดมาฟัน ศิษย์ก็ต้อง (ยอมรับ)  กล้าไหม ทำให้เวรไม่ยืดเยื้อ ถ้าเรารู้จักยอม แต่ถ้าเราไม่ยอม ก็จะทำให้เวรกรรมยืดเยื้อ โบราณมีคำกล่าวไว้ว่า “กับเพื่อนอย่าคิดสั้น กับเรื่องเวรกรรมอย่าคิดยาว” กับเพื่อนยอมได้ยอม อย่าได้คิดสั้น ถ้าเราคิดสั้น เราก็แตกกับมิตร กับคนที่มาทำร้าย ถ้าเราคิดยาว ก็ไม่จบไม่สิ้น เมื่อถึงเวลาทำให้ได้นะ (คิดดี พูดดี ทำดี พึ่งธรรมะ)  ธรรมะไม่ได้อยู่ที่ภายนอก แต่ธรรมะอยู่ที่ภายในใจ (สงบและขันติ)  ส่วนใหญ่นิ่งแล้วอดทนไม่ค่อยได้ นิ่งแล้วยอมไม่ค่อยเป็น ต้องรู้จักยอมทน รู้จักอดทนอดกลั้น เพราะความอดทน อดกลั้น เป็นรากของบุญกุศลทั้งมวล (ตั้งสติ ไตร่ตรองก่อนใช้อารมณ์)  ทำให้ได้อย่าเผลอปล่อยอารมณ์ไปก่อนล่ะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาทชื่อเพลง “วิชาธรรม” ทำนองเพลง “วิชามาร”)
ทำนองเพลง วิชามาร อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์เรียนวิชานี้เลย เปลี่ยนเป็นให้ชื่อเพลงวิชาธรรมแล้วกันนะ
หัวใจแห่งพุทธะ แม้ถูกใครทำร้ายก็ไม่เคืองโกรธนะ ถือว่าได้ชดใช้กรรม ถูกใครทำไม่ดีไม่ร้ายก็ถือว่าชดใช้กรรม ไม่โกรธ ให้อภัย และเมตตาจนถึงที่สุด นั่นคือหัวใจพุทธะ ศิษย์ทำได้ไหมหนอ (ได้)
“เอาชีวิตเดิมพัน กล้าหาญเหมือนดังสายชล”
อาจารย์ชอบวรรคสุดท้ายนี้ อาจารย์อยากให้ศิษย์เป็นอย่างนั้น
ข้อดีของน้ำคือไหลไปทุกที่ ไม่กลัวว่าที่นั้นจะสะอาดหรือที่นั้นจะตกต่ำขนาดไหน น้ำก็พร้อมที่จะชำระล้างทุกสิ่งทุกอย่างให้บริสุทธิ์
ให้งดงามแล้วใช้ความอ่อนโยน เอาชนะความแข็งกระด้างในโลกใบนี้
แล้วใช้ความดีอย่างต่อเนื่องไม่สิ้นสุด เอาชนะหัวใจที่แข็งกระด้างของคนให้รู้จักเสียสละแล้วเข้าใจและเมตตากัน ใช่ไหม หัวใจของผู้บำเพ็ญคือเป็นเหมือนน้ำที่เข้าไปได้ทุกที่ ไม่เกลียดแม้สิ่งสกปรก ไม่เกลียดแม้ที่นั้นจะตกต่ำ ขอเพียงมุ่งมั่นเอาชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อช่วยคน อะไรเราก็สู้ อะไรเราก็ไม่หวาดหวั่น ใช่ไหมศิษย์
พร้อมหรือเปล่า พร้อมนะ ภาระหนักอึ้งไม่ง่ายในการที่จะดูแลผู้คน ฉะนั้นเพลงนี้ก็เหมือนเอาชีวิตเดิมพัน กล้าหาญเหมือนดังสายชล ไม่ว่าน้ำจะไปอยู่ที่ใดก็พร้อมจะชำระล้างให้ผู้คนจิตกลับมาสะอาดบริสุทธิ์ เหมือนเดิม แต่ใจเราต้องสะอาดแล้วมั่นคง ใช่หรือไม่ ไม่หยุดการหลั่งไหลช่วยเหลือผู้คนนะศิษย์เอย
(พระอาจารย์เมตตาตั้งชื่อสถานธรรมที่โขงเจียม)
ให้คำว่า เจิ้ง () เหมือนกัน สถานธรรมเจิ้งเต๋อ (正德佛堂)
เพราะอะไรรู้ไหม เพราะโลกนี้ไม่เที่ยงนะศิษย์ สิ่งที่ศิษย์พยายามแท้จริงก็ว่างเปล่า สิ่งที่ศิษย์คิดว่ามี แท้จริงก็พร้อมจะเปลี่ยนแปลง อะไรคือของเรานั้นมีหรือ มันไม่ใช่ หน้าตานี้ยังเปลี่ยน ชีวิตนี้ยังเปลี่ยน หัวใจนี้ยังเปลี่ยน แล้วอะไรคือของจริงแท้ เราเกิดมาเพื่อยึด เกิดมาเพื่อครอบครองหรือเกิดมาเพื่อแค่รู้แล้วปล่อยวาง และเย็น และสงบ
คิดให้ดีๆ นะศิษย์ ชีวิตนี้มาเพื่อมี เพื่อเป็น หรือเพียงเพื่อรู้ปล่อยวางและเย็นสงบ
ความมี ความเป็น ทำให้เราทุกข์มามากเท่าไรแล้ว บุญทำง่ายนะ แค่รู้จักยิ้ม ความดีก็ทำง่ายแค่รู้จักให้ คนเราจะมีความสุขได้ จะมีมิตรภาพต่อกันได้ เริ่มต้นด้วยต่างคนต่างก้มหน้าไม่ต้องมองใครหรือ
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้นักเรียน)
ได้ผลไม้แล้วไปทำอะไรต่อ (ไปนั่งที่)  รู้จักแบ่งปัน ศิษย์อยากมีมิตรภาพ อยากมีความสุข ความสุขจะเกิดได้ต่อเมื่อเรารู้จักให้ มิตรภาพจะมีได้ก็ต่อเมื่อเรารู้จักให้และเสียสละ จะไปรู้จักกันได้อย่างไร ถ้าเราไม่เคยให้อะไรเขาเลย จะไปรู้จักและมีมิตรภาพได้อย่างไร ถ้าเราไม่เคยดีกับเขาเลย ฉะนั้นให้ได้ไหม ให้อะไรดี อยู่ในโลกนี้
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า
“เย็นเพราะปลง”)
ตอนนี้ใกล้ปีใหม่แล้ว ขอให้ใจเย็นๆ ดีไหม (ดี)  เย็นนี้แปลว่า มีสติอยู่ทุกขณะจิต ไม่ปล่อยจิตไปกระเพื่อมไหวกับดี ร้าย ได้ เสีย ทุกข์ สุข เมื่อดี ร้าย ได้ เสีย ทุกข์ สุข ไม่มีอำนาจเหนือใจ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ จะเกิดความสงบเย็นได้ แต่มนุษย์เราสงบเย็นไม่ได้ เพราะปล่อยความดี ร้าย ได้ เสีย มาครอบงำใจ เดี๋ยวก็ไปทางนั้น เดี๋ยวก็ไปทางนี้ เราจึงมีชีวิตอยู่เหมือนคนที่ขึ้นสวรรค์ เดี๋ยวก็ตกนรก แต่นิพพานนั้นไซร้อยู่ที่ใจเย็น
ไม่ยึดมั่นถือมั่น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเกิดและดับอยู่ตลอดเวลา
เราจะไปยึดอะไรได้ เราจะไปครอบครองอะไรได้ พระพุทธะก็สอนไว้แล้ว เราเกิดมาเพียงแค่ตามหาผู้รู้ รู้แล้วจะได้พ้นทุกข์ ไม่ใช่เราเกิดมาเพื่อจะมี จะเป็น แต่เราเกิดมาเพื่อรู้ แล้วไม่มี ไม่เป็น ได้ไหม ยากไปแล้ว ใช่ไหม เพราะอาจารย์ก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง เอาแค่ง่ายๆ ตอนนี้ก่อน ไม่ว่าอะไรจะมากระทบ ไม่จำต้องรักได้ไหม ไม่รักก็ไม่เกลียด ถ้าไม่ชอบก็ไม่ชัง แค่เฉย แค่รู้ จริงไหม (จริง)
วันนี้อาจารย์คงต้องกลับแล้ว รอให้อาจารย์สั่งลาศิษย์ก่อนดีไหม
ศิษย์เอ๋ย ชีวิตนี้เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เมื่ออะไรเกิดจงกล้ายอมรับทุกสิ่งทุกอย่าง เรามีใจที่เป็นอิสระ อย่าตกเป็นทาสของความทุกข์ อย่าปล่อยให้ความทุกข์บีบบังคับใจ เราสามารถเอาใจให้อยู่เหนือความทุกข์ได้ เพราะทุกข์เป็นสิ่งที่ทนได้ยาก คำว่าทนได้ยาก คือไม่ว่าสิ่งนี้จะอยู่กับใครก็เป็นสิ่งที่ทนได้ยาก แล้วจะไปห่วงความทุกข์ทำไม ปล่อยมันไปเดี๋ยวมันก็จบของมันเอง แต่ศิษย์ไม่เคยปล่อยใจ มักเก็บมาจำไว้ ทั้งที่จริงแล้ว หลายเรื่องในโลกนี้ เกิดและจบในทุกขณะเดียวกัน แต่ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนต่างหาก ที่ทำให้สิ่งต่างๆ ที่มันเกิดไปแล้ว แล้วเดี๋ยวค่อยมาจบ ฉะนั้นมองให้ดี รู้ให้ทันตัวตน อย่าไปจัดการกับใคร อย่าไปแก้ไขใคร แต่ควรแก้ไข
ที่ตัวตนเอง คุมที่ตัวตนเองก็พอ ถ้าคุมตัวเองได้ คุมใจตนเองได้ ความทุกข์ก็ไม่สามารถทำร้ายชีวิตและจิตใจได้ แต่ถ้าคุมใจไม่ได้ แก้ไขตัวเองไม่ได้ ความทุกข์ก็สามารถครอบงำจิตใจได้ทันที จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นทำอะไรก็ขอให้มีสติระลึกรู้นะศิษย์
อาจารย์คงต้องไปแล้ว มีโอกาสคงกลับมาผูกบุญกับอาจารย์อีก
มีโอกาสกลับมาอีกนะ เสียดายเวลาช่างรวดเร็วเหลือเกิน อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบมาทำร้ายตัวเอง ทำอะไรจงรู้จักคิด มีสติ รู้เรื่องหรือเปล่า รู้จักมีศีล มีธรรม เลิกกินหมากได้แล้ว เลิกให้ได้นะ รู้จักระมัดระวัง
ทำอะไรรู้จักคิดรู้จักทำ มีดีอยู่แต่มักอวดดีมากเกินไปก็ไม่ดี เชื่อยากใช่ไหม อย่างนั้นมีโอกาสก็ตามมาบ่อยๆ นะ
ระมัดระวังการดำเนินชีวิต สุขุมและรอบคอบ ถ้าไม่ระมัดระวังชีวิต ชีวิตก็จะอันตราย จับมือลาอาจารย์หน่อยนะ น่าเสียดายที่ฟังอาจารย์แล้วไม่ค่อยเข้าใจเลย ทำบาปน้อยๆ ดีไหม อย่าฆ่าสัตว์ อย่ากินเนื้อสัตว์ได้หรือเปล่า น่าเสียดายฟังมาเยอะ แต่ไม่ลงมือปฏิบัติ ฟังมาเยอะทำไมไม่รู้จักลงมืออุทิศเสียสละช่วยเหลือคนบ้าง ศิษย์เอ๋ยเกิดเป็นคนต้องรู้จักมีศีล มีธรรม รู้จักควบคุมตัวเองด้วยสติ ทำอะไรต้องรู้จักคิด ไตร่ตรองให้รอบคอบ ยิ่งอายุปูนนี้แล้ว ถ้าศีลยังไม่ครบก็อันตรายแล้ว ถ้าธรรมยังไม่มีก็ไม่น่าแล้ว ต้องรู้จักประพฤติปฏิบัติด้วย อย่าเอาแต่ฟังแล้วไม่ทำ แต่วันนี้มาอาจารย์ก็ขอบคุณแล้ว (ขอให้โชคดี)  ไม่แน่อันนี้อยู่ที่ชะตาศิษย์ ศิษย์เอ๋ยอายุปูนนี้แล้ว อายุไม่ยืนยาวแล้ว ทำไมไม่รู้จักระมัดระวัง น่าเสียดายที่มาแค่ประเดี๋ยวเดียวแล้วก็กลับ
มีโอกาสเสียสละช่วยคน บำเพ็ญธรรม คืออุทิศช่วยประชา ไม่ห่วงรูปนามอันจอมปลอม อย่าปล่อยให้โลภ อย่ามัวแต่รักสบาย ชีวิตต้องลำบากก่อน ไม่อย่างนั้นตอนนี้รักสบาย ต่อไปจะลำบาก งานหนักต้องเอา เบาต้องสู้ เข้าใจกันนะ ห่วงอะไรนักหนา ถ้าถึงเวลาหายห่วงไปก็เปล่าประโยชน์ สมบัติผลัดกันชม เงินทองผลัดกันใช้ ถ้าไม่มีบุญสมบัติเงินทองก็หายไป ทำอะไรขอให้พิจารณาให้ดี ด้วยสติ เราเกิดมาเพื่อใช้กรรม
ที่เหลือคือจบกรรม ยังไม่รู้จักปลงอีกหรือ บำเพ็ญธรรมต้องรู้จักหนักแน่น หัวใจต้องเปิดกว้าง หัวใจต้องอิสระ ไม่ตีกรอบ ไม่ยึดมั่น เพื่อกำหนดชะตาชีวิต ไม่ใช่ให้คนอื่นมากำหนดชะตาชีวิตเรา เราต้องกำหนดชะตาชีวิตตัวเอง ด้วยศีล ด้วยธรรม ด้วยความกตัญญูรู้คุณ
อาจารย์ดีใจที่ศิษย์เข้มแข็ง อาจารย์ดีใจที่ศิษย์มุ่งมั่นบำเพ็ญช่วยเหลือคนไม่หน่ายท้อ แต่บางครั้งอารมณ์อัตตาทิฐิก็ต้องรู้จักวาง
ยอมได้ก็ยอม อะไรอะลุ่มอล่วยได้ก็ต้องรู้จักอะลุ่มอล่วย ไม่ใช่เป็นคน
ยึดมั่นถือมั่น เดินตามแล้วต้องอดทน หัวใจของผู้บำเพ็ญธรรมคือยอมลดอัตตาตัวตนจนไม่เหลือให้ถือมั่นนะ ใช่ไหม ตั้งใจบำเพ็ญนะ มีโอกาสกลับมาอีก แต่ไม่ใช่กลับมาตอนอาจารย์อยู่ อาจารย์ไม่อยู่ก็ต้องกลับมาช่วยใช่ไหม ปิดทองหลังพระ อย่ามัวแต่ปิดทองตอนอาจารย์อยู่ ถูกไหม ทำให้เก่งเหมือนพูดนะ ทำได้ดีแล้ว ที่เหลือคือรักษาความมั่นคง รักษาความบริสุทธิ์ใจ อยู่บนโลกเหนื่อยไหม ไม่เหนื่อยเท่าใจที่ไม่สู้นะ ตั้งใจบำเพ็ญ ห้องพระเป็นสถานที่ที่อุทิศเสียสละเพื่อช่วยคน ฉะนั้นหัวใจต้องกว้างใหญ่ ความรักล้วนมีสิ่งที่น่ากลัว ความรักทำให้เราหลงมืดบอดได้ ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ความรักทำให้ศิษย์ทุกข์ คิดจะรักไตร่ตรองให้ดี คิดจะมีไตร่ตรองให้เป็น ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตามชะตากรรม ถ้าเขาขาดคุณธรรมขาดศีลธรรมชะตากรรมก็อยู่ที่ฟ้า แต่ถ้าเขามีศีลมีธรรมชะตาอยู่ที่ตัวตน ใช่หรือไม่
อาจารย์ไปแล้วนะ ศิษย์เอยตั้งใจบำเพ็ญ การบำเพ็ญธรรมคือ
ขัดเกลา ชำระล้างหัวใจเพื่อกลับคืนสู่จิตแห่งพุทธะที่มีอยู่แล้วในตัวตนของศิษย์ จิตอันดีงามจิตอันประเสริฐ แต่ถูกบดบังไปเพียงเพราะนิสัยความเคยชินของตัวตนที่เพิ่งมาสร้างเมื่ออยู่บนโลกนี้ ฉะนั้นอยากกลับคืนสู่ใจฟ้า อยากกลับคืนสู่จิตพุทธะ ก็ต้องเบาบางเรื่องกิเลสอารมณ์ ฟื้นฟูคุณธรรมกลับสู่หัวใจและชีวิตนะศิษย์ ศิษย์เป็นคนดีแต่ผิดพลาดไปแค่ความคิดชั่วแล่น ศิษย์เป็นคนใจกว้าง ศิษย์มีหัวใจเมตตา ศิษย์มีหัวใจแห่งคุณธรรมแต่บางทีเพราะผลประโยชน์ เพราะเสียงที่ไม่ถูกใจแค่นั้น หัวใจที่เมตตาหัวใจคุณธรรมจึงยอมหดหายไป แล้วปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบมาครอบงำแทน เกิดเป็นคนทำไมไม่ทำให้ดีที่สุด ก้าวแล้วทำไมไม่ก้าวให้สูงที่สุด ไปแล้วทำไมไม่ไปให้ไกลที่สุด ทำไมย่ำอยู่กลับที่ ทำไมไม่ทำให้ดีให้ถึงที่สุดเล่า จริงไหม ถ้าชาตินี้คือชาติสุดท้าย ถ้าชีวิตนี้คือชีวิตสุดท้ายทำไมย่ำอยู่แค่นี้ดีแค่นี้ ทำไมไม่ดีให้มากกว่านี้ดีให้สุดๆ เลย ดีจนใครๆ ก็เถียงไม่ได้ว่าเธอคือคนที่ดีที่สุด มันทำยากนะศิษย์ ยอมจนไม่เหลือตัวตน ยอมจนไม่มีตัวตนให้ยึดถือ นั่นแหละที่สุดของหัวใจพุทธะ ยึดมั่นถือมั่นก็มีแต่ทุกข์ ใช่ไหม คิดให้ดีก่อนจะทำอะไร เพราะผิดพลาดไป
คนที่ต้องรับผลกรรมคือตัวศิษย์เองนะ ฉะนั้นอย่าเบียดเบียนใคร
ด้วยวาจา อย่าเข่นฆ่าใครด้วยชีวิตเขาเพื่อชีวิตเรา มันไม่ถูกต้องนะ เมตตามีไหม ศิษย์ก็มี เห็นอกเห็นใจคนอื่นดีไหม ศิษย์ก็มี แล้วทำไมเพียงเพราะอยากกิน เพียงเพราะโมโห เมตตาเลยหาย ความเห็นใจเลยไม่มีหรือ คิดสักนิดก่อนจะทำอะไรนะ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นข้างหน้าคือชะตากรรมที่ศิษย์เป็นคนกำหนดเอง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นข้างหน้าคือชะตาชีวิตที่ศิษย์ทำเอง จะย่ำอยู่กับที่หรือจะสูงให้ถึงที่สุด คิดเอานะศิษย์




พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เย็นเพราะปลง”
ปล่อยอารมณ์ครอบงำจนขาดสติ โดนสะกิดขัดเคืองก็ลุกลามใหญ่
ง่ายพลุ่งพล่านหลงลืมตนกระแทกไป เสียทั้งตนได้ทุกข์ใจไม่คุ้มกัน
ยอมให้เป็นเย็นให้ลงนิ่งให้ได้ วางดีร้ายจึงสงบธรรมเช่นนั้น
ทุกข์เพราะยึดทาสความคิดรู้ให้ทัน สติแกร่งเมตตากันด้วยเข้าใจ





พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาทประชุมธรรม สถานธรรม
จินเอวี๋ยน จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ ๒๐-๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๗


กลอนหน้า ๒
เดิม
วางใจที่อยู่วุ่นให้นิ่งเป็น วางจนว่างจนเย็นสงบหยุดยั้ง
อย่าปล่อยอารมณ์ครอบงำจิตแห่งธรรม เฉยขาดจนนำความไม่วางใจ


แก้ไขเป็น
วางใจที่อยู่วุ่นให้นิ่งเป็น วางจนว่างจนเย็นสงบหยุดยั้ง
อย่าปล่อยอารมณ์ครอบงำจิตแห่งธรรม เฉยขาดจนงำความไม่วางใจ

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา