西元二○一三年 歲次癸巳五月十五日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๖ สถานธรรมอิ๋งเซียน จ.กรุงเทพฯ
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซี่ยงจือ
โลกสวยงามคนร้ายยังมีให้เห็น โลกทุกข์เข็ญคนดียังรู้ช่วยเหลือ
หากคนดีขาดศรัทธาและท้อเบื่อ โลกคงเหลือคนดีน้อยลงทุกวัน
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
คนที่ปล่อยชีวิตคิดไม่ดี กลัวสภาพจิตมีดำกว่าขาว
กรรมกำหนดชีวิตคนความเป็นเรา ความคิดเคล้าอกุศลสุขไม่เป็น
ใจเป็นต้นปัญหาความอ่อนล้า ใจที่กิเลสใหญ่กว่าชะตาเข็ญ
ความรู้มักแฝงทิฐิเกินจำเป็น ตั้งจิตในอยู่เป็นสยบใจ
ธรรมหมุนโลกใจกายรวมพลัง ความคิดไประวังทำใจใหม่
อย่าตามสิ่งที่ทำให้วุ่นวาย สติไวตื่นทันสิ่งไหนจีรัง
บำเพ็ญเป็นรู้เท่าที่ใจสงบ ถูกกระทบจิตสงบนั้นอย่าหวัง
เรื่องฟังมาเห็นมาปัญหาดัง รกสมองที่สิ่งขังชีวิตตน
คนไม่เห็นรู้ชีวิตกำหนดชีวิต รู้ไม่เป็นแปรจิตให้สับสน
ชอบการบำเพ็ญเปลี่ยนแปลงผู้คน กลายชะตากรรมตนไม่พ้นเอง
บัณฑิตเรื่องเคืองนั้นแรกไม่เป็น อดกลั้นเป็นของผู้บำเพ็ญเก่ง
เมตตาคนเรื่องทุกเรื่องยุติเอง เผลออัตตาเฟื่องจึงเกรงใช้อารมณ์
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ
“โลกสวยงามคนร้ายยังมีให้เห็น โลกทุกข์เข็ญคนดียังรู้ช่วยเหลือ
หากคนดีขาดศรัทธาและท้อเบื่อ โลกคงเหลือคนดีน้อยลงทุกวัน”
โลกสวยงามก็ยังมีคนร้ายๆ ยามโลกลำเค็ญก็ยังมีคนดีที่รู้จักช่วย เหลือ แต่ถ้าวันหนึ่งคนดีๆ เกิดขาดศรัทธาในความดี เกิดท้อหน่ายในการทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม โลกคงไม่เหลือคนดีต่อไปแล้ว ใช่ไหม มนุษย์มีสิ่งหวาดกลัวมากมาย กลัวความตาย กลัวความเจ็บ กลัวความทุกข์ ใช่ไหม (ใช่) แต่กลัวสิ่งใดก็ตามแต่สำคัญอย่างหนึ่งคือ อย่าขาดศรัทธาซึ่งความดีงาม อย่าขาดศรัทธาซึ่งความเชื่อมั่นในปัญญาและพลังของตน จนเอาแต่งอมืองอเท้าขอให้ฟ้าดินช่วยเหลืออย่างงมงาย เช่นนี้ก็ไม่ถูกต้อง ใช่หรือไม่
อยากรู้จักเราไหม (อยาก) อย่างนั้นคุยกันง่ายๆ ก่อนนะถ้าเราบอกผู้ปฏิบัติงานธรรมฝ่ายชายให้ช่วยทำหน้าบูดบึ้ง ทำได้ไหม ส่วนผู้ปฏิบัติงานธรรมฝ่ายหญิงลองทำใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส นั่นหน้าบึ้งแล้วหรือผู้ปฏิบัติงานธรรมชาย มนุษย์ถ้าไม่มีอารมณ์ครอบงำ อยู่ๆ ให้โกรธก็คงโกรธยาก ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าไม่มีอารมณ์ครอบงำ อยู่ๆ ให้ยิ้ม ยิ้มได้ไหม (ได้) ถึงไม่มีอารมณ์อะไรเราก็ยิ้มได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ถ้าเกิดอยู่ๆ ไม่มีอารมณ์ครอบงำจิตใจ บอกให้ทำท่าโกรธ โกรธออกไหม (ไม่ออก) กลับรู้สึกขำเสียด้วยซ้ำ เมื่อสักครู่เราบอกให้ฝ่ายชายทำหน้าบูดบึ้ง ฝ่ายหญิงทำหน้ายิ้มแย้ม ถ้าถามท่าน ท่านจะเลือกมองฝ่ายชายหรือมองฝ่ายหญิง (มองฝ่ายหญิง) อย่างนั้นวันนี้ตอนนั่งฟังธรรมะตั้งแต่เช้ายันบ่ายคล้อยจนเกือบจะเย็น ท่านเลือกที่จะฟังแล้วหันไปบึ้ง หรือยิ้มแย้มแจ่มใส (ฟังแล้วยิ้มแย้ม) จริงหรือ อย่างนั้นคงยิ้มได้ตลอดนะ
แค่เราถามท่านว่าฝ่ายชายหน้าบึ้ง กับฝ่ายหญิงยิ้ม ท่านยังเลือกที่จะยิ้ม แล้วในใจเรา เราเลือกไม่ได้หรือ ถ้าเจอเรื่องทุกข์ เจอเรื่องไม่ชอบใจ เราเลือกได้ไหมที่เราจะยิ้มสู้ หรือเราจะทำหน้าบึ้ง ฉะนั้นตอนนี้คงตัดสินใจเลือกที่จะยิ้มได้แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) ส่วนใหญ่มนุษย์ถนัดที่จะมองออกและเห็นสิ่งต่างๆ มากมาย แต่ไม่เคยหันกลับมามองเข้า รู้จักข้างนอกมากมาย แต่กลับไม่รู้จักข้างในตน เป็นอย่างนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
การไม่พูดอะไรเลยอาจจะดีกว่าการพูดเยอะ ยิ่งพูดยิ่งห่างไกลธรรมไม่ใช่หรือ (ไม่ใช่) ท่านที่ศึกษาธรรมท่านจะรู้ ยิ่งพูดยิ่งห่างไกลธรรม วันนี้เรามาเรียนรู้เรื่องธรรมะ ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าคิดว่าเรามาสอน เมื่อไรที่จิตสงบ ปัญญาสว่าง กายบริสุทธิ์ ความสุขในโลกจะเป็นสิ่งที่หาไม่ยาก เหมือนที่ว่าถ้าใจเราสงบ คนอื่นว่าเรา จะมีผลอะไร แต่ถ้าใจเราไม่สงบ ถึงคนอื่นชมเรา จะมีความหมายอะไร ถ้าข้างในไม่มีปัญหา ข้างนอกก็ไม่มีปัญหา ถ้าข้างนอกราบเรียบสันติ แต่ถ้าข้างในเรียกร้องยึดมั่นถือสา ไม่มีเรื่องก็มีเรื่องได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเราพูดว่า มนุษย์รู้เท่าทันความคิด มองเห็นชีวิตความจริงแท้ โลกนี้ไม่ว่าจะคิดร้ายหรือเลวขนาดไหน ก็ทำให้เราทุกข์ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้ามนุษย์ไม่รู้เท่าทันใจ มองไม่เห็นความเป็นจริง ไม่เห็นชีวิต แม้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราก็ยังทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ คิดทันสิ่งที่เราพูดไหม ไม่ทันใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นเราย้อนใหม่นะ เราบอกว่า ถ้าจิตสงบ ปัญญาสว่าง กายบริสุทธิ์ ความสุขในโลกไม่ใช่เรื่องหายาก ฉะนั้นถ้าจิตเราสงบ คนอื่นว่าเราจะมีผลอะไร แต่ถ้าจิตเราไม่สงบ คนอื่นแม้จะชมเรา จะมีความหมายอะไร จริงไหม (จริง)
ความไม่นิ่งของเรา ความไม่สงบของเรา อาจจะทำให้มีเรื่องมีราวได้ ฉะนั้นเราจึงอยากจะย้ำกับท่านว่า ถ้าข้างในไม่มีปัญหา ข้างนอกก็ไม่มีปัญหา ฉะนั้นถ้าเรารู้เท่าทันใจ มองเห็นความเป็นจริงของชีวิตอย่างถ่องแท้ ไม่ว่าโลกจะพลิกซ้าย พลิกขวา ทำให้เราต้องเจ็บปวด ทำให้เราต้องชอกช้ำ แต่ก็ทำให้ใจเราหวั่นไหวและทำให้เราทุกข์ไม่ได้ เพราะเราเข้าใจตัวเอง เราเห็นตัวเองชัด เราควบคุมตัวเองได้ และเราก็มองเห็นสิ่งทั้งหลายในโลกได้อย่างถ่องแท้ แต่สิ่งที่น่ากลัวก็คือไม่รู้เท่าทันตัวเอง แถมยังไม่เข้าใจโลก ไม่เข้าใจตน แม้ไม่มีเรื่องอะไร แต่ความคิดนี่แหละ ก็ทำให้มีเรื่องได้
ฉะนั้นจำไว้นะถ้าในไม่มีปัญหา นอกก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าในมีปัญหา แม้ข้างนอกจะสงบราบรื่น แต่ถ้าใจเอาแต่เรียกร้อง เรื่องเรียบร้อยก็อาจจะเป็นเรื่องวุ่นวายได้ จริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นเมื่อไรที่จิตสงบ ปัญญาสว่าง กายบริสุทธิ์ ความสุขจึงเป็นเรื่องที่หาไม่ยาก แต่มนุษย์ใจกลับไม่สงบ ปัญญากลับมืดบอด กายกลับไม่บริสุทธิ์ ฉะนั้นถ้าจิตสงบท่านเชื่อไหมว่า เสียงก็ไม่มีผลต่อใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าท่านรู้สึกรำคาญก็หมายความว่าใจเราไม่สงบเอาแต่เรียกร้องอยู่ร่ำไป จริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นเราอยากบอกท่านว่าโลกไม่น่ากลัว คนอื่นทำร้ายเราก็ไม่น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวก็คือหัวใจของเราที่ไม่สงบ ที่ไม่มีปัญญา และไม่สามารถรักษากายให้บริสุทธิ์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) จำไว้นะถึงคนอื่นจะทำร้ายเราก็ติดหนี้เพียงทรัพย์สิน แต่ใจเราไม่เป็นหนี้ แม้คนอื่นจะทำร้ายชีวิต เราเองก็เป็นเพียงหนี้ที่ชีวิต แต่เราไม่เป็นหนี้ทางจิตใจ บางครั้งเรารู้สึกว่าคนทางโลกร้ายเหลือเกิน ทำไมชอบทำร้ายเรา ทำไมโลกถึงคิดแต่เรื่องร้ายๆ ให้เราเจอ ใช่หรือไม่ (ใช่) เขาอาจทำร้ายกายเราได้แต่ทำร้ายใจเราไม่ได้ เพราะใจเราพ้นกับการผูกเวรผูกกรรมแล้ว แปลว่าใครทำร้ายเรา เราจะไม่ (โกรธ) ใช่ไหม ใครว่าร้ายเรา ทำร้ายเรา เราจะไม่ผูกใจเจ็บ เจ็บไหม เชื่อเราเถอะนะถ้าใจสงบ ภายนอกจะไม่มีปัญหาอะไร ถ้าใจเราไม่มีปัญหา ภายนอกแม้จะวุ่นวายขนาดไหนก็ทำใจเราวุ่นวายไม่ได้ จริงหรือไม่
อยากนั่งหรือยัง (อยาก) ถ้าใจท่านไม่เรียกร้อง แม้จะไม่ได้นั่งก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าใจท่านเรียกร้อง ไม่ได้นั่งก็มีปัญหาแน่ จริงหรือเปล่า ถ้าข้างในไม่มีปัญหา ข้างนอกก็ (ไม่มีปัญหา) ถ้าจิตใจเราสงบ คำว่าของคนอื่นจะมีผลอะไร แต่ถ้าจิตเราไม่สงบ คำชื่นชมของผู้อื่นมีความหมายไหม (ไม่มี)
ฉะนั้นการเรียนรู้หลักธรรม สิ่งที่สำคัญคือต้องมีสติ รู้เท่าทันสิ่งที่มากระทบกาย กระทบใจและสามารถมองเห็นความจริงแท้ อันเรียกว่า
สัจธรรมในตนได้ ถ้าเรามองเห็นความจริงแท้อันเรียกว่าสัจธรรมในตนและมีสติทุกขณะจิต หู ตา กาย ใจถูกกระทบ แม้โลกจะพลิกซ้าย พลิกขวา แม้เรื่องราวในชีวิตจะเจอทุกข์หรือเจอสุข ใจเราจะไม่มีวันหวั่นไหวได้เลย แต่ถ้าเราไม่รู้เท่าทันใจ มองไม่เห็นความจริงของโลกใบนี้ แม้โลกจะไม่มีอะไรแต่ใจเราก็กลับกลายเป็นคนมีปัญหาที่อยู่เฉยๆ ไม่ได้ ใช่ไหม
สัจธรรมในตนได้ ถ้าเรามองเห็นความจริงแท้อันเรียกว่าสัจธรรมในตนและมีสติทุกขณะจิต หู ตา กาย ใจถูกกระทบ แม้โลกจะพลิกซ้าย พลิกขวา แม้เรื่องราวในชีวิตจะเจอทุกข์หรือเจอสุข ใจเราจะไม่มีวันหวั่นไหวได้เลย แต่ถ้าเราไม่รู้เท่าทันใจ มองไม่เห็นความจริงของโลกใบนี้ แม้โลกจะไม่มีอะไรแต่ใจเราก็กลับกลายเป็นคนมีปัญหาที่อยู่เฉยๆ ไม่ได้ ใช่ไหม
มนุษย์เราวุ่นจนถึงที่สุด จึงอยากสงบ แต่พอมีเวลาให้สงบกลับไม่มีความสุข จริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นเราจึงอยากบอกท่านว่า อย่ารอให้โลกเล่นตลก อย่ารอให้ชะตาชีวิตบีบคั้น แล้วเราค่อยเข้าใจ ค่อยรู้เท่าทันตัวเอง อย่างนั้นช้าไป ใช่ไหม (ใช่) รอคนอื่นบีบคั้นชีวิตจิตใจ แล้วเราจึงค่อยรู้ว่า ต้องปลงต้องทำใจ ตอนนั้นไหวไหม ไม่มีแรงจะสู้แล้ว ใช่หรือไม่ ฉะนั้นเราจึงอยากบอกท่านว่า ถึงคนอื่นจะทำร้ายเรา แต่จงจำไว้ว่าเราอาจจะเป็นหนี้เขาแค่ชีวิต แต่ใจเราอย่าได้เป็นหนี้ คนอื่นเขาอาจจะทำให้เราต้องสูญเสียเงินทอง เราอาจจะเป็นหนี้เงินทองเขา แต่จงอย่าทำให้ใจเป็นหนี้ด้วยการผูกใจเจ็บ อาฆาตแค้น จงเป็นหนี้กายอย่าเป็นหนี้ใจ จงเจ็บแค่กายแต่อย่าเจ็บใจ กายนั้นรักษาได้ แต่ใจเวลาเจ็บแล้วหาใครเยียวยาให้หายยากมากๆ ลองดูสิวันไหนใจหมดแรงเบื่อคนนั้น ท้อคนนี้ เห็นหน้าคนนี้ก็รำคาญ พอคนนี้จะอ้าปากบ่นก็ไม่ไหวแล้ว เวลาใจมันตกดึงขึ้นง่ายไหม ไม่ง่ายเลยนะ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเวลาใจมันฟู ใครมาดึงให้ตกง่ายไหม บางทีใจมันขึ้นแล้วใครมาดึงให้ตกก็ยาก จริงไหม ลองถามตัวท่านเองนะ ไม่ใช่ถามเรา
ฉะนั้นวันนี้เรามาศึกษาหลักธรรม สิ่งที่เราต้องรู้แล้วเราต้องเข้าใจให้ได้ ไม่ใช่แค่คุณธรรม ไม่ใช่แค่ทำบุญตักบาตร ไม่ใช่แค่การเป็นคนดี แต่สิ่งที่เราต้องรู้ให้ได้คือ ธรรมะอันแท้จริงที่จะนำพาให้เราพ้นทุกข์ แม้อยู่บนโลกแห่งความทุกข์ วันนี้ฟังมาเกือบค่อนวันก็ยังมองไม่เห็นธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) เราถามท่านว่าถ้าวันนี้เห็นคนหนึ่งหน้าบึ้ง เห็นคนหนึ่งยิ้ม ท่านเห็นอะไร เราถามคำถามงงใช่ไหม เราจะบอกว่าถ้าเราอยู่ในชีวิต ตาเรามองออกเห็นคนต่างๆ มากมาย บางคนยิ้ม บางคนหน้าบึ้ง บางคนร้องไห้ บางคนมีทุกข์ เรามองเห็นเขาชัด ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่พุทธะไม่เห็นเขาแต่เห็นเรา พุทธะไม่มองเห็นเขาแต่กลับมามองเห็นตัวเรา นั่นหมายความว่าอย่างไร มนุษย์เราถนัดแต่จะมองออก แต่เคยเห็นไหมว่าเมื่อมองออกแล้วย้อนกลับมาจึงพบธรรมอันแท้จริง แต่เราไม่เคยพบธรรมเพราะเราเอาแต่มองออกแล้วก็ออก ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเมื่อไรที่เห็น จงหันกลับมา แล้วท่านจะพบธรรม ท่านเห็นก็แล้ว กลับมามองก็แล้ว ไม่เห็นมีอะไรเป็นธรรมเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นท่านเคยได้ยินคำพูดของคนที่รู้ธรรมในอดีตไหม ที่ท่านพูดบอกว่า ใดใดในโลกไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เคยไหม (เคย) แล้วเห็นธรรมหรือยัง ก็ยังไม่เห็น
ท่านเคยได้ยินไหมว่า อย่าพึงยึดรูปนามในการบำเพ็ญธรรม ก็ยังไม่เห็นอีก อย่างนั้นเรายกตัวอย่าง ท่านชอบทำบุญ ใช่ไหม (ใช่) มือหนึ่งขณะทำบุญแต่ใจหนึ่งกลับขอโน่นขอนี่ ขอแบบนั้นขอแบบนี้ เห็นไหม เห็นอะไร เห็นแต่ว่าเราให้แต่ไม่ลืมว่ามือหนึ่งให้ แต่ใจขอเป็นสิบ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นอย่าพึงยึดถือรูปในการบำเพ็ญทาน ถ้าเรายึดถือรูปทุกขณะที่ให้ ใจเราก็ขอ เมื่อนั้นความดีกับความชั่วก็เลยถูกชะล้างจนหมดสิ้น ยังไม่ทันทำดีเลยขอจนหมดแล้ว ฉะนั้นบุญจะไปตกผลอย่างไร ใช่หรือไม่ เรายกตัวอย่างง่ายๆ แต่บางคนก็ยังมองไม่เห็นธรรมอีก อย่างนั้นธรรมะอยู่ที่ไหน เมื่อสักครู่เราบอกว่า “ใดๆ ในโลกไม่ควรยึดมั่นถือมั่น” ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นการจะมองเห็นสิ่งใดในโลกได้อย่างถ่องแท้และพบธรรมอันแท้จริงได้ ไม่ใช่มองออกแต่ต้องหันกลับมามองเข้า แล้วมองเข้าถึงขนาดไหน ลองดูมือของเราเอง ขนาดมือที่ชอบจับอะไรก็ตาม เวลาเราอยากจับอะไร เราจับมันได้ตลอดชีวิตไหม (ไม่ตลอด) ทำไมเวลานอนต้องปล่อย ใช่ไหม (ใช่) นั่นแหละคือชีวิต ชีวิตคือเราไม่สามารถจับอะไรอยู่ได้ตลอดเวลา สิ่งที่เรียกว่าชีวิตคือความอิสระ ถ้ามือที่จับแล้วปล่อยไม่ได้ มันคือมือที่กำลังเจ็บป่วย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นใจที่ยึดมั่นแล้วขาดความอิสระนั่นคือใจที่เป็นทุกข์ ถูกหรือไม่ ฉะนั้นเห็นมือจึงเห็นธรรม “ใดๆ ในโลกยึดมั่นไม่ได้” ท่านอยากมีสุขและอิสระจงรู้จักจับและปล่อย ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เรากลับเป็นอย่างไร จับแล้วไม่ปล่อย มือปล่อยแต่ใจไม่ปล่อย ใช่ไหม (ใช่) เห็นธรรมบ้างหรือยัง ชุดที่สวยที่สุด ของที่กินอร่อยที่สุด กินแล้วยังต้องหยุด เห็นธรรมหรือยัง ฉะนั้นธรรมไม่ได้อยู่ที่ข้างนอกแต่ธรรมอยู่ที่หันมามองตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้ามนุษย์มองเห็นธรรมอันหนึ่งที่เรียกว่า ใดๆ ในโลกไม่ควรยึด ถ้ายึดแล้วเป็นทุกข์ เมื่อนั้นมนุษย์จะพ้นเกิดตายได้ ถ้ามนุษย์มองเห็นว่า ใดๆ ในโลกล้วนเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน มนุษย์จะรู้จักทางพ้นทุกข์ได้ ยากไหม หรือบางคนไม่ได้ฟังเราเลย เรากล่าวใหม่ก็ได้นะ เรากล่าวบอกว่า ถ้าเมื่อใดมนุษย์เห็นความจริงแท้เป็นหนึ่งเดียว โดยไม่มีจิตใจแบ่งแยก มนุษย์จะพ้นเกิดตายได้ ถ้ามนุษย์เห็นความจริงแท้ในโลก ทุกสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียวที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน มนุษย์จะรู้จักทางพ้นทุกข์ได้ แต่เราไม่เคยมองเห็นเลย เราบอกว่าอย่าแบ่งแยก จงมองเห็นเป็นหนึ่งเดียว เพราะทุกสิ่งล้วนเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน
เราถามท่านนะว่า คนที่ด่าเรา ทำให้เราเข้าใจชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่โกงเราทำให้เรารู้จักชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่รักเราทำให้เราเรียนรู้ความเป็นคน และเรียนรู้ว่าทุกข์เป็นอย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าเกิดคนที่ด่าก็ทำให้เราเข้าใจชีวิต คนที่รักก็ทำให้เรารู้จักชีวิต ฉะนั้นมีใครในโลกที่เราควรเกลียดและรัก เมื่อไม่มีไม่แบ่งแยกอันนี้เกลียด อันนี้รัก เราก็พ้นเกิดตายได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราถามกลับ มนุษย์เกิดมาตายไม่ได้ ใช่ไหม (ไม่ใช่) มนุษย์เกิดมาเจ็บไม่ได้ ใช่ไหม (ไม่ใช่) มนุษย์เกิดมาจนไม่ได้ มนุษย์เกิดมาพลัดพรากไม่ได้
ใช่ไหม (ไม่ใช่) แปลว่าทุกสิ่งที่เราพูดล้วนคือส่วนหนึ่งของชีวิต ฉะนั้นใครที่ทำให้เราต้องพลัดพราก ใครที่ทำให้เราต้องเจ็บ เราจะโกรธเขาไหม (ไม่) เพราะเขาทำให้เราเข้าใจว่านั่นคือชีวิต ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นเมื่อเราไม่แบ่งแยก เราจะเข้าถึงความเป็นหนึ่งและมองเห็นความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ เมื่อเราไม่แบ่งแยก เห็นความเป็นหนึ่งเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ เราจึงพ้นทุกข์และพ้นเกิดตาย
ใช่ไหม (ไม่ใช่) แปลว่าทุกสิ่งที่เราพูดล้วนคือส่วนหนึ่งของชีวิต ฉะนั้นใครที่ทำให้เราต้องพลัดพราก ใครที่ทำให้เราต้องเจ็บ เราจะโกรธเขาไหม (ไม่) เพราะเขาทำให้เราเข้าใจว่านั่นคือชีวิต ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นเมื่อเราไม่แบ่งแยก เราจะเข้าถึงความเป็นหนึ่งและมองเห็นความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ เมื่อเราไม่แบ่งแยก เห็นความเป็นหนึ่งเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ เราจึงพ้นทุกข์และพ้นเกิดตาย
แล้วสิ่งต่างๆ ที่เราพูดอยู่นั้นคือสิ่งที่อยู่นอกตัวหรือคือสิ่งที่อยู่ในตัว ฉะนั้นสิ่งที่เราบอกว่า มหาธรรมอันยิ่งใหญ่นำพาเวไนยสัตว์ก้าวข้ามทะเลทุกข์ได้ นั่นคือการมีสติรู้เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้นจนมองเห็นธรรมอันจริงแท้ ถ้าเราสรุปให้ง่ายๆ มีแค่สามอย่าง นั่นคือ ใดใดในโลกล้วนไม่เที่ยง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนว่างเปล่าจากตัวตนที่แท้จริง แต่เราเห็นปรากฏการณ์แตกต่างกัน เพราะแต่ละสิ่งแต่ละอย่างล้วนมีเหตุปัจจัยเกี่ยวเนื่องต่างกัน ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจมหาธรรมสามอย่างนี้แล้วดำรงชีวิตอยู่ด้วยสติ รู้เท่าทัน เราจะก้าวข้ามความเกิดตายและพ้นทุกข์ได้ จำได้ไหมมีอะไรบ้าง
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่เที่ยงหรือใดๆ ล้วนไม่เที่ยง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุปัจจัยเกี่ยวเนื่องต่างกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ชีวิตต้องรู้ รู้เท่าทัน ไม่ปรุงแต่ง) อันนั้นเอาไว้ใช้นะ แต่หลักธรรมอะไรที่เราไม่ควรลืม และจะนำพาเราก้าวข้ามความทุกข์
(ชีวิตมีแต่ความว่างเปล่า) มนุษย์ชอบสรุปแบบนี้นะ ก็เลยทำให้เข้าใจหลักธรรมผิด ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนว่างเปล่าจากตัวตนที่แท้จริง ถ้าอย่างนั้นเราถามนะ หน้าตาปัจจุบันนี้คือหน้าตาเดิมแท้ของเราไหม หน้าตาปัจจุบันนี้คือหน้าอันสุดท้ายของเราหรือไม่ (ไม่) ถ้าอย่างนั้นอะไรคือรูปลักษณ์ที่แท้จริง เราจึงอยากบอกว่าถ้ามนุษย์เข้าใจตรงนี้จะไม่มีอะไรทำให้เราโกรธ ทำให้เรารัก
จำที่เราพูดตั้งแต่ต้นได้ไหม ถ้าฝั่งหนึ่งยิ้ม ฝั่งหนึ่งโกรธท่านเห็นอะไร เราบอกว่าเราเห็นธรรมตรงที่ยิ้มเราก็ไม่เอา โกรธเราก็ไม่เลือก เพราะไม่ใช่หน้าตาอันจริงแท้ แต่สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้เรื่อย ๆ แล้วหาที่สิ้นสุดไม่ได้ เป็นแค่ปัจจัยบางอย่างทำให้เกิดขึ้นชั่วขณะหนึ่ง เหมือนคนๆ หนึ่งทำไมว่าเรา อีกคนทำไมชมเรา เราควรโกรธที่เขาว่า และรักที่เขาชมไหม (ไม่ใช่) แต่ทำให้เราเห็นแจ้งว่า คนว่าเราก็ไม่โกรธ คนรักเราก็ไม่ชังเพราะมันไม่เที่ยงและหาตัวตนไม่ได้ เพราะทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันแค่ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น จริงไหม (จริง)
โลกนี้คือทุกข์แท้จริงไหม ในโลกนี้คือสุขจีรังไหม (ไม่) เมื่อไม่มี เมื่อเราเข้าใจถึงความเป็นจริงอันเป็นสภาวะธรรมนี้ ท่านจะอยู่ในโลกอย่างไม่ผูกพันธ์เกี่ยวเนื่อง ถ้าท่านเกี่ยวเนื่องเมื่อไร ท่านจะหาความสงบที่แท้จริงไม่ได้ ถ้าท่านผูกพันธ์พึ่งพาเมื่อไร ท่านจะไม่มีวันพบความสุขที่แท้จริงได้เลย แต่มนุษย์เราไม่ติดเงินก็ติดอะไร หรือไม่ติดลูกก็ติดอะไร ทั้งๆที่จริงๆแล้วสิ่งที่เราติด สิ่งที่เราพึ่งพิงนั้น เรายึดมั่นถือมั่นได้ไหม (ไม่ได้) มันไม่ได้เลยนะ เพราะสิ่งที่ท่านกำลังจะยึดแม้กระทั่งตัวนี้ หรือสิ่งที่ท่านคิดว่าเป็นความรู้เป็นปัญญา เป็นวุฒิเป็นตำแหน่ง เป็นหน้าที่เป็นเงินเป็นทอง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนหนีไม่พ้นความไม่เที่ยง และหารูปลักษณ์ตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ มีใครบ้างจับเงินอยู่ ยกมือให้เราดูหน่อยสิ มีใครบ้างจับสามีอยู่ มีใครบ้างจับใจตัวเองได้อยู่ ใจเรายังจับไม่ได้เลย ยังหนีไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นจงมองให้เห็นความจริงอันถ่องแท้ แล้วท่านจะพบข้างในตัวตนด้วยสติที่รู้เท่าทัน เมื่อเราเข้าถึงธรรม โลภ โกรธ หลง ไม่จำเป็นต้องพยายามไปตัดไปข่มไปห้าม เพราะมันมีแล้ว เข้าใจธรรมแล้ว เราจะไม่อยากโลภ เราจะไม่โกรธใคร เพราะอะไร เพราะว่าไม่เที่ยง ไม่ใช่หน้าตาเดิมแท้ของเขา เขาเกิดอย่างนี้ไหม ที่ชมเราเปราะๆ อย่างนี้ใช่ของจริงไหม เงินที่อยู่กับเราอันนี้ใช่เงินของเราจริงๆ หรือ มันผ่านมากี่มือ สามีของเราใช่ของเราหรือ คนสวยของเราใช่คนสวยของเราหรือ ไม่สวยเลย ใช่ไหม (ใช่) ถ้าลองไปเอาคนที่สวยที่สุดในปฐพีมา แต่ถึงที่สุดอย่าลืมธรรมะ ใดใดล้วนไม่เที่ยง เหนือฟ้ายังมีฟ้า สวยที่สุดก็ยังมี (สวยกว่า) ฉะนั้นอะไรคือสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุด ไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้น “ผู้ใดพบธรรม ผู้นั้นพบตถาคต ผู้ใดไม่เห็นธรรม ผู้นั้นแม้จับชายจีวรตถาคตก็ยังอยู่ห่างไกลนักแล” เราพูดยากไหม (ไม่ยาก)
อย่างนั้นเราทิ้งทวนอย่างหนึ่งนะ ท่านว่ามือบังฟ้าได้มิดไหม (ไม่มิด) อย่างนั้นถามใหม่ ท่านว่ามือบังอาทิตย์ได้พ้นไหม (ไม่พ้น) คิดก่อนนะ จำไว้นะเราเป็นหนี้แค่ทรัพย์สิน เราเป็นหนี้แค่ร่างกาย แต่เราอย่าเป็นหนี้ทางจิตใจ
(ถึงแม้ว่ามือเราจะบังดวงอาทิตย์และท้องฟ้าไม่ได้ แต่จริงๆ แล้วมือเราก็สามารถบังดวงอาทิตย์และท้องฟ้าได้เพราะว่า เราบังจากสิ่งที่เราเห็นก็คือเราบังตาบังใจของเรา)
(ไม่ได้ เพราะถึงเราเอามือบังพระอาทิตย์มิดแต่ว่าใจเราก็ยังรู้ว่ามีพระอาทิตย์อยู่ดี) ให้ร่วมกันแสดงความคิดแต่อย่าทะเลาะกันทางใจนะ
(ถ้าจะให้ใจเราสงบ ก็จะตีความในรูปธรรมกับนามธรรมอย่างไร ถ้าเป็นรูปธรรมคงทำไม่ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าใจของเราไม่สงบ เราก็จะทำให้มันเป็นนามธรรมได้ก็คือมันสามารถจะปิด มือเรามันปิดท้องฟ้า ปิดพระอาทิตย์ไม่ได้อยู่แล้ว ตีความใจเราจะสงบหรือไม่สงบ ได้สองความหมายเป็นรูปธรรมกับนามธรรม) ยิ่งได้ความคิดแปลกใหม่ขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) เราอยากให้ท่านเกิดปัญญานะ เพราะว่าสิ่งที่เราถามนี้ บางทีดูเหมือนหัวชนกำแพงเกินไปใช่ไหม ดูเหมือนประชดท่านไปใช่ไหม อย่างนั้นหรือเปล่า
เราแค่อยากถามท่านดูเฉยๆ นะเพื่อลองดูว่ามนุษย์เราบางครั้งบอกว่า “มือเราบังฟ้าไม่มิด” ความหมายคืออะไร ส่วนใหญ่ก็คือบอกว่าทำผิดอย่างไรก็ปิดบังไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เห็นอีกอย่างหนึ่งคือ ความเป็นจริงแห่งธรรมะแม้เราจะเอาอะไรมาบัง ท่านก็บดบังไม่ได้หรอก ความจริงก็คงเป็นความจริงอยู่อย่างนั้น แม้มือจะบังอาทิตย์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถามว่ามือบังอาทิตย์ได้ไหม ได้ แต่ความจริงแท้มือบังไม่ได้ ใช่หรือไม่
ฉะนั้นในโลกใบนี้มนุษย์พยายามที่จะหนีความจริงแท้ แล้วไปหาความสุขไม่อยากไปพบความจริง ไม่อยากเรียนรู้ธรรมะไม่อยากฟังธรรมะ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จำไว้นะว่ามือบังฟ้าไม่มิด มือบังอาทิตย์ได้ชั่วคราว ท่านหนีความจริงท่านหนีธรรมะไม่พ้น เพราะถ้าเมื่อไหร่ท่านไม่เข้าถึง ธรรมะจะย้อนกลับมาบอกให้ท่าน จงรู้แล้วรีบตื่น จงรู้แล้วเลิกทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราบอกความสุขเราแค่นี้เราพอแล้ว แค่มือบังอาทิตย์ก็พอแล้วอันอื่นไม่ต้องรู้มันไกลเกินเอื้อม มันไกลเกินหวัง การจะเอามือบังอาทิตย์ การจะบดบังไม่ให้โดนพระอาทิตย์เลยเป็นไปไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่) ไม่ใช่ ถ้าเรารู้แบบนี้เราคงไม่มีร่ม ถูกไหม (ถูก) ถ้ามนุษย์คิดว่ามือก็พอแล้ว ใครจะสร้างสรรค์ร่มมาบังแดด ถ้าเราคิดว่ามือบังฟ้าได้แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) เราจะมีบ้านหลบหนีความจริงทำไม ใช่ไหม (ใช่) แปลว่าความจริงแล้วสิ่งที่เราต้องการบอกโดยนัย ก็คือ มนุษย์มีปัญญา ปัญญาที่เข้าถึงธรรมได้ แต่มนุษย์มักจะบอกว่าพอแล้ว ไปไม่ถึงหรอก ไม่ได้หรอก ไม่พ้นทุกข์หรอกชีวิตนี้ แต่จริงๆ แล้วใช่หรือ ใช่ไหม (ไม่ใช่) ฝนตกยังรู้จักสร้างร่ม เมื่อเป็นทุกข์ยังรู้จักที่จะหาทาง (พ้นทุกข์) ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้จนยังรู้จักรวย แม้แพ้ยังรู้จักสำเร็จ แล้วเมื่อทุกข์ทำไมไม่รู้จักหาทางพ้นทุกข์ ฉะนั้นเราจึงบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่า อย่าสูญเสียศรัทธาในความดีงามของตน และเอาแต่งอมืองอเท้ารอให้ฟ้าช่วยอย่างเดียว อย่างนี้ไม่เท่ากับท่านกำลังแช่แข็งปัญญาตัวเองหรอกหรือ
ฉะนั้นสิ่งที่เราพูดยากเกินไปถึงไหม (ไม่ยาก) เราไม่ได้สอนนะ เราแค่ชวนท่านคุย เราไม่ใช่ว่าแต่เราแค่อยากบอกเฉย ๆ ส่วนเชื่อหรือไม่ เราไม่โกรธ เพราะชีวิตมีแค่นี้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัย วันนี้คนที่พยักหน้าว่ารับรู้ เดินออกจากที่นี่ไปไม่รู้ ส่วนคนที่มองว่าไม่รับรู้แต่ออกไปคิดได้ อาจจะเข้าใจก็ได้ ฉะนั้นความเข้าใจอยู่คงทนกว่าความถูกใจ ความเข้าใจในธรรมอยู่คงทนกว่าการฟังแล้วถูกใจ ถูกใจไม่ได้ช่วยอะไรนะขอให้เข้าใจดีกว่า เพราะความเข้าใจจะอยู่ได้นานนำพาท่านพ้นทุกข์ได้จริงกว่าความถูกใจ
เรามีเรื่องสุดท้ายที่จะคุยกับท่าน ฉะนั้นถ้ามนุษย์ยังมีความอยากอยู่ แล้วจะทำอย่างไรให้ความอยากนั้นไม่ทำให้ทุกข์ เรื่องนี้น่าสนใจใช่ไหม (ใช่) เราถามท่านนะ อยากอย่างไรไม่ทุกข์
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาชูพัดขึ้นมา)
ท่านเห็นนี่ไหม เห็นใช่ไหม มองไกลๆ ยังพอเห็นชัด ใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าเมื่อไรเอามันมาอยู่ใกล้ เรากลับเห็นมันไม่ชัด ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นจำไว้นะ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ไกลๆ ยังเห็นชัด แต่เมื่อความอยากมันมีขึ้นมา แล้วทำให้เราต้องชิดใกล้มันจะทำให้เรามองไม่เห็น บดบังปัญญาและมองไม่เห็นคนรอบข้าง ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นถ้าอยากจะมีอะไร อยากแบบมีระยะห่าง และระมัดระวังความรู้สึก แล้วความอยากนั้นจะไม่ทำให้เราทุกข์ จริงไหม (จริง) บางคนยังไปไม่ทันเราเลยนะ พูดใหม่ มนุษย์ยังมีความอยากใช่ไหม (ใช่) ถ้ามันอยู่ไกลๆเราเห็นชัด ใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าเมื่อไรของที่อยู่ไกลๆแล้วเราอยากมาอยู่ใกล้ จำไว้เลยว่าเมื่อมันอยากมาอยู่ใกล้ มันจะบังตา บังใจ และเห็นไม่ชัด และทำให้เรามองใครๆ ก็ไม่เที่ยงจริงไหม (จริง) ลองง่ายๆถ้าอยากได้อะไรสักอย่างหนึ่งอยู่ไกลๆ ก็เห็นชัด แต่เมื่อเราเอามันมาชิดใกล้สิ เรามองไม่เห็นเหมือนคนตาบอด จริงไหม (จริง) และสิ่งเล็กๆมันก็บังตาเราได้ด้วย ใช่ไหม (ใช่) จึงมีคำกล่าวว่า ผมบังภูเขาไม่ได้ แต่ผมบังตาได้ใช่ไหม (ใช่) เมื่อบังตาได้มันก็กลายเป็นบังภูเขาได้ทันที จริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นถ้ามนุษย์อยากน้อยก็คงทุกข์น้อย แต่ถ้ายังอยากอยู่จงจำไว้ว่า รักษาระยะห่างสิ่งที่อยาก แล้วสิ่งที่อยากนั้นมันจะไม่ทำให้เราทุกข์และตาบอด เราบอกตั้งแต่ต้นแล้วนะ อยู่ห่างๆ ดีกว่านะ แล้วท่านจงจำไว้ว่าโลกใบนี้ถึงจะสวยงามหรืออัปลักษณ์แค่ไหน จงแค่เห็นแล้ววางลง อย่าเผลอไปยึดมั่นถือมั่น ไม่อย่างนั้นเราคือคนที่ทำให้ตัวเราตาบอดและเป็นทุกข์ใจ เราเกิดมาเพียงแค่เห็น ยืมใช้และปล่อยวาง
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ อยู่ห่างๆ ดีกว่านะ เห็นชัดกว่าไม่ทำร้ายใจด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) มองดูง่ายๆ คนที่เรารักเขา เห็นเขาห่างๆ เราก็ยังรัก แต่เมื่อไหร่ที่มาเป็นของเราทำไมรักไม่ลงเหมือนเมื่อก่อนล่ะ เสื้อแขวนอยู่ข้างนอกอยากได้ แต่ทำไมอยู่ในตู้ก็หมดอยากล่ะ ทั้งที่ตอนนั้นอยากได้เหลือเกิน ใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตก็แค่นี้นะ ขอเพียงรู้เท่าทัน ใครจะทำร้ายเราก็ไม่มีประโยชน์เพราะถ้าใจเราสงบแล้ว จำไว้นะ คนอื่นทำร้ายท่านเป็นหนี้แค่เพียงกาย อย่าเป็นหนี้ใจ
八仙 韓大仙
หนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ
วันอาทิตย์ที่ ๒๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๖ สถานธรรมอิ๋งเซียน จ.กรุงเทพฯ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ชีวิตคนถลำไปก็ไม่เพลิน ถูกวัตถุมาพาเดินเงินสะสม
มัวเมาแล้วหลงปลื้มตามนิยม กาลนานเป็นลำนำจมโลกโลกีย์
พันหมื่นแสนขณะจิตกระทำการ ขอให้นำตนด้วยธรรมวิถี
ใช้ปัญญาขอพ้นในชาตินี้ หยุดเวียนว่ายจากสติใช้บันดาล
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนรู้จักข้าไหม
* บำเพ็ญวันต่อไปจะต้องตั้งใจทบทวน เมื่อเดินสวนใครเพ่งกลับมา บำเพ็ญมาเนิ่นนาน สะดุดการบำเพ็ญบ้างไหม ยามศิษย์เหนื่อยใจ จงรู้ข้ารอ
ศิษย์มีโลภและหลง ข้าจึงอาจผิดหวัง รักเจ้าก็ยังหวังเจ้าต่อไป ศิษย์มีทุกข์ยิ่งขึ้น ไหนจะตื่นมาพร้อมกันได้ รอจวบจนไร้คนที่หวนมา (รอศิษย์จวบจนตอนนี้ก็รอ)
แม้ศิษย์เปลี่ยนใจ แต่จงหวนมาบ้าง อย่าให้เริศร้างห่างไป หวังศิษย์ที่ชัง มองหน้ารักกันใหม่ ทำให้บำเพ็ญเหมือนบำเพ็ญ
** ใจไปไหนแล้วถึงตัวอยู่ ใครจะไปรู้อะไรบ้าง กลัวศิษย์สับสนตลอดทางไม่รู้ตัว จิตไม่พัก การอยู่กับใจท้อไหวหวั่น หากแช่ไว้นานจะถอนยาก แทงรากลึกเกินไม่ดึงทุกวัน (เจ้า)จึงเป็นสืบมา
รักศิษย์จริงจริง เจ้านิ่งตอบมา สายน้ำหยุดไหล นกจะลืมรัง เสียงจากอาจารย์ ลืมหมดแล้วหรือยัง รอเจ้าหาทางกลับมา (ซ้ำ **,*)
ชื่อเพลง: รอเจ้ากลับมา
ทำนองเพลง: รอวันฉันรักเธอ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เราอยู่ในโลกนี้ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน บางครั้งเราทำอะไรด้วยตัวเราเองคนเดียวก็ทำสำเร็จได้ แต่แน่ใจหรือว่าทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยตัวเราเองโดยไม่มีใครเกี่ยวข้อง ไม่มีทางหรอกอย่างไรก็ยังต้องพึ่งคนนั้นพึ่งคนนี้ ถ้าตัวเรายังไม่รอบรู้ในความสามารถ ใช่ไหม (ใช่) ถ้ามนุษย์เห็นแค่ตัวเองมีความสามารถอย่างเดียว ฉะนั้นการที่จะต้องพึ่งพาคนอื่นจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าบอกว่าไม่เป็นไรทุกอย่างก็เงินฉันซื้อทั้งนั้น ฉันพึ่งตัวเองตลอด อาจารย์ถามหน่อยถึงมีเงินแต่ถ้าเกิดว่าคนที่เขาทอผ้าเป็น ตัดผ้าเป็น เขาบอกว่าไม่เอา ไม่ทำ ศิษย์จะเอาผ้าที่ไหนใส่ ไปทอเองได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นการอยู่ร่วมกันจึงต้องรู้จักเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ยกตนสำคัญกว่าผู้อื่น และไม่ดูถูกตนจนมองข้ามคุณค่าของตนเอง หรือเห็นคนอื่นสำคัญจนลืมคุณค่าของตนไป ใช่หรือไม่
วันนี้ กินก็อิ่ม ฟังธรรมก็อิ่ม ใช่ไหม (ใช่) อิ่มแปลว่าใส่อะไรไม่ลงแล้ว ใช่หรือเปล่า เพราะถ้าใส่ลงไปอีกอาจจะเรอแล้วอาเจียนออกมาถูกไหม อิ่มข้าวแต่ไม่อิ่มธรรมหรือ ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร ยังคลางแคลงสงสัยอยู่ก็เป็นธรรมดา ความจริงแท้มีอยู่อย่างเดียวคือ ทุกสิ่งล้วนว่างเปล่า สิ่งที่เห็นล้วนเป็นของปลอมหมด จริงไหม
อาจารย์ก็ปลอม ศิษย์ก็ปลอม อาจารย์อยากบอกศิษย์ว่า ถ้าอยากอยู่ในโลกนี้ แล้วไม่ต้องทุกข์มากๆ คือการมองให้เห็นในสิ่งที่ไม่มี สิ่งที่มีเหมือนไม่มี ได้ไหม (ได้) แต่มนุษย์เราที่ทุกข์อยู่ปัจจุบันนี้ก็เพราะว่า มองเห็นสิ่งที่ไม่มีว่ามันมี ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์จงจำบทนี้บทเดียวของอาจารย์และเอาไปใช้ สิ่งที่เราเห็นว่ามันมีนั้นแท้จริงแล้วมันไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเมื่อใดมนุษย์หมดความอยากได้ นรกก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว ถ้าเมื่อใดมนุษย์หยุดอยากได้ แม้สวรรค์ก็ไม่ยากเกินไปถึง แต่เพราะมนุษย์ยังมีความอยาก ยังโลภ แม้อายุมากแล้วก็ยังปลงไม่ลง ใช่ไหม (ใช่) แม้รู้ว่าทำแล้วมีทุกข์แต่ก็ยังทำอยู่ดี และยังขอลองดูสักตั้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นชีวิตเราใครกำหนด ฟ้าหรือว่าสภาพจิตใจ (สภาพจิตใจ) ฟ้ากำหนดหรือจิตเรากำหนด จิตเรากำหนดหรือความคิดเป็นตัวทำให้เป็นไป (ความคิด) ความคิดหรือการกระทำ (การกระทำ) การกระทำหรือนิสัย นิสัยหรือสันดาน สันดานหรือชะตากรรม ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงชะตากรรม จงหันไปแก้ที่สันดาน จากสันดานแก้ที่นิสัย จากนิสัยแก้ที่ความเคยชิน จากความเคยชินแก้ที่ความคิด ฉะนั้นอยากเปลี่ยนชะตากรรมจงเปลี่ยนความคิด
ดี หรือร้าย ได้หรือเสีย ไม่ใช่ฟ้ากำหนดแต่อยู่ที่ความคิดเรา ใช่ไหม (ใช่) ส่วนใหญ่ศิษย์มักจะพูดว่า คิดดีก็ขึ้นสวรรค์ คิดชั่วก็ตกนรก แล้วศิษย์คิดดีหรือคิดชั่ว (คิดดี) ไม่นะ อาจารย์ว่ามีทั้งสองอย่างเลย แล้วแต่อารมณ์ ถูกไหม (ถูก) อารมณ์ดีก็ปีนขึ้นสวรรค์ไหว อารมณ์แย่ก็บอกว่าไม่เอาแล้ว จะตกนรกก็เรื่องของฉัน ใครจะทำไม ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นอยากเปลี่ยนชะตากรรมต้องรู้จักระมัดระวังความคิด อยากแก้ชีวิตต้องเปลี่ยนนิสัยและสันดาน
(พระอาจารย์เมตตาแจ้งพระนาม)
อาจารย์รู้ว่ามาแล้วศิษย์ก็อาจจะไม่เชื่อ แต่อาจารย์ก็ยังอยากมา รู้ว่ามาแล้วจะโดนศิษย์ดูหมิ่นดูแคลนก็ยังยอมมาอีก รู้จักอาจารย์ ใช่ไหม (รู้จัก) ถ้าอย่างนั้นใครจะเป็นศิษย์ของอาจารย์จี้กงก็ต้องเป็นคนที่กล้าอยู่กับความเรียบง่าย และมอซอ ไหวไหม (ไหว) อาจารย์ไม่ใช่บอกว่าห้ามศิษย์ไม่ให้อยากอะไรเลย อยากได้แต่ต้องอยากอย่างมีสติ ไม่ใช่อยากอย่างฟุ้งเฟ้อ ถึงเวลาถ้าไม่มีก็ใช้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถึงเวลาเสื้อจะขาดก็เดินได้ทั่วโลก จริงไหม (จริง) จริงหรือ ผู้หญิงจะขี้อายมากกว่านะ ใช่ไหม
แล้วอย่างนี้จะมีใครเป็นศิษย์พระอาจารย์จี้กงไหม ถ้าอยากเป็นศิษย์อาจารย์ ในสิ่งที่แย่ที่สุดเรายังมีความสุขได้ แค่นี้ก็ไม่มีอะไรที่เรียกว่าโชคดีแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าในสิ่งที่แย่ที่สุดศิษย์ยังมีความสุขได้ อะไรในโลกคือสิ่งที่น่ากลัวหรือ
อยากนั่งหรือเปล่า (อยาก) ลองทำอะไรฝืนใจตัวเองดีไหม ปกติมนุษย์ตามใจตัวเองจนเสียนิสัย ใช่หรือเปล่า (ใช่) พูดอะไรทุกคนต้องฟัง พูดว่าซ้ายทุกคนก็ต้องซ้าย พูดว่าขวาก็ต้องขวา บอกไปก็ต้องไป บอกให้อยู่ก็ต้องอยู่ ใครขัดใจได้หรือไม่ (ไม่ได้) วันนี้เราลองมาฝืนนิสัยตัวเองบ้างดีไหม (ดี) ลองมาทำอะไรแย้งกับความรู้สึกบ้างไหม (ได้)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนเล่นเกม นั่งยืนสลับกัน ยกมือซ้าย ยกมือขวาสลับกัน)
การเล่นนี้อาจารย์มีธรรมะสอนนะ แต่ต้องดูก่อนว่า สติยังอยู่กับตัวหรือเปล่า เพราะไม่รู้มนุษย์จึงแสดงออกด้วยรูปแบบของการโลภ โกรธ หลง หรือกิเลสอารมณ์ เมื่อไม่รู้มนุษย์จึงแสดงออกด้วยรูปแบบของกิเลสอารมณ์และบาปเวรกรรม เคยได้ยินคำพูดแบบนี้บ้างหรือไม่ ถ้าง่ายๆ และพูดบ่อยๆ ก็คือ เพราะไม่รู้จึงทำผิด เพราะคิดผิดจึงทำร้าย เมื่อไรที่มนุษย์ไม่รู้ตัว จึงแสดงออกด้วยปัญหากิเลส บาปเวรกรรม ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์ กิเลสมักอาศัยอยู่กับคนที่ชอบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ศิษย์ก็จะบอกอาจารย์ว่า อาจารย์กิเลสมันน่ากลัวอย่างไรล่ะ ใครๆ ก็มี ศิษย์มีก็ไม่เห็นเป็นอะไร ใช่ไหม (ใช่) อาจารย์บอกแล้วนะ ว่ากิเลสมันมาอย่างไร และกิเลสมันชอบอยู่กับคนแบบไหน จำได้ไหม เพราะไม่รู้เนื้อรู้ตัวมนุษย์จึงง่ายที่จะแสดงออกด้วยกิเลสปัญหาและบาปเวรกรรม กิเลสตัณหาชอบอิงอาศัยอยู่กับคนที่ไม่มีสติรู้เนื้อรู้ตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์เคยได้ยินไหม ต้นรากของกิเลสอารมณ์นี้มีใหญ่ๆ อยู่สามตัวที่เป็นตัวร้ายๆ ที่ทำให้เราเรียกว่า “กิเลสอารมณ์” นั่นคือโลภ โกรธ หลง ใช่หรือไหม (ใช่) เป็นรากเหง้าหรือเป็นต้นตอของความชั่ว บาปและความไม่ฉลาด ศิษย์รู้หรือไม่ ฉะนั้นถ้าศิษย์มีโลภ โกรธ หลง ศิษย์ก็ง่ายที่จะบาป ชั่วแล้วก็โง่ ถูกไหม (ถูก)
ศิษย์เคยอ่านหนังสือ ศิษย์รู้ธรรมะกัน อย่างนั้นถ้าถามว่ามีแล้วมันไม่ดีตรงไหน อาจารย์จะบอกให้ มนุษย์ชอบทำบุญไม่ชอบทำบาป บุญคือเครื่องชำระจิตใจให้ผ่องใสหรือบริสุทธิ์ ส่วนบาปคือสิ่งที่ทำแล้วเกิดความเสื่อม เลวร้ายต่อจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) อกุศลก็คือบาป ความชั่วร้าย ความไม่ฉลาด ซึ่งมีต้นเหตุก็คือโลภ โกรธ หลง ฉะนั้นถ้าเมื่อไรศิษย์มีอารมณ์ ศิษย์ก็ง่ายที่จะทำบาปและเป็นอกุศล ใช่หรือไม่ (ใช่) ใครๆ ก็บาป ศิษย์ก็บาปไม่เห็นเป็นอะไรเลยอาจารย์ นรกก็นรก ใช่ไหม อย่างนั้นใครอยากตกนรกบ้าง ไม่อยากใช่ไหม ฉะนั้นศิษย์ก็ต้องรู้ไว้ว่าโลภ โกรธ หลงเป็นทางแห่งบาป ความชั่วร้ายและความไม่ฉลาดในการดำเนินชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วศิษย์รู้ไหมว่าโลภ โกรธ หลงที่ศิษย์ไม่รู้ตัวและชอบให้มีอยู่ในใจนี้ หากโลภมากๆ มันก็กำหนดภพภูมิชีวิตได้ โกรธมากๆ มันก็กำหนดชะตากรรมได้ หลงมากๆ มันก็ชี้นำชีวิตให้เวียนว่ายไม่จบสิ้นได้ ศิษย์เคยได้ยินภพภูมิของเปรตไหม เปรตคือกินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม ฉะนั้นคนที่โลภกินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม เมื่อดำเนินชีวิตก็คือภพภูมิของเปรต คนที่โกรธแล้วไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี นั่นก็คือภพภูมิของนรกไฟอเวจี โกรธหนึ่งครั้งเหมือนไฟเผาไหม (เหมือน) หลงก็คือภพภูมิของเดรัจฉานที่ไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี ฉะนั้นแค่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้วปล่อยให้ตัวเองมีอารมณ์ก็สามารถกำหนดชะตาชีวิตได้ ใช่หรือไม่
ฉะนั้นถ้าศิษย์ยังปล่อยให้ตัวเองมีโลภ โกรธ หลงง่าย ศิษย์ก็ง่ายที่จะกำหนดภพภูมิให้เวียนว่ายไม่จบสิ้น ทุกข์ที่มนุษย์บอกว่าน่ากลัวยังไม่น่ากลัวเท่ากับทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนอาจารย์ถามว่า ถ้าวันนี้ให้กินสาลี่แล้วตายไปเกิดเป็นลิงเอาไหม (ไม่เอา) เกิดเป็นช้างเอาไหม (ไม่เอา) ใครอยากกินไหม (ไม่อยากกิน) ไม่อยากกินแล้วยกมือจะเอาหรือ ศิษย์เอ๋ยคิดให้ดีๆ นะ อย่ามัวแต่มองเห็นประโยชน์จนลืมมองเห็นโทษ ใช่หรือไม่ (ใช่) พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า เมื่อมนุษย์เรายังห้ามโลภ โกรธ หลงไม่ได้ ท่านจึงกำหนดให้มีทาน ศีล และปัญญา ทานเอาไว้ใช้กับความโลภ ศีลเอาไว้ใช้กับความโกรธ ปัญญาเอาไว้ใช้กับความหลง ฉะนั้นมนุษย์พยายามทำทานรักษาศีลและมีปัญญา นี้คือการแก้ที่ปลายเหตุ ใช่ไหม (ใช่) เพราะไม่รู้มนุษย์จึงแสดงออกด้วยรูปแบบของกิเลส ตัณหา และเวรกรรม ฉะนั้นเรารู้ได้ง่ายๆ เลยว่ากิเลส ตัณหา และเวรกรรมนั้นชอบอาศัยอยู่กับคนที่ไม่มีสติรู้ตัว ฉะนั้นถ้าเราไม่มีสติไม่รู้ตัวปล่อยให้โลภ โกรธ หลงชักนำจิตใจ ศิษย์ก็ง่ายที่จะเป็นเปรต ตกนรก และก็เดรัจฉาน ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นพระพุทธะก็เลยบอกว่าอยากหยุดตรงนั้น หากศิษย์หยุดโลภ โกรธ หลงไม่ได้ ท่านก็เลยให้ใช้ทาน ศีลและปัญญา อาจารย์ถามศิษย์ว่า ไปเอาของเขามามาก ไปโลภของเขามาเยอะ แต่ไปให้ทานที่วัดจะชะล้างกันได้ไหม (ไม่ได้) ศิษย์ไปทำกับอีกคนหนึ่งอย่างเลวร้าย แต่ศิษย์ไปทำบุญกับอีกที่หนึ่ง ฉะนั้นบุญกับกรรมจะชดใช้กันได้ไหม
ศิษย์ไปโมโหคนนี้ ไปด่าคนนี้ อดทนอดกลั้นกับคนนี้ไม่ได้ แต่ไปเย็นเมื่ออยู่วัด ยุบหนอ พองหนอ ยุบหนอ พองหนอ พอเจอเขาเราก็ด่าๆ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นศิษย์กำลังใช้ทาน ศีลและปัญญาผิดที่ ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นเราจะแก้จึงต้องแก้ที่ต้นเหตุ แต่ก่อนจะไปต้นเหตุ อาจารย์บอกว่าการปฏิบัติธรรมไม่ใช่แค่ที่วัด แต่การปฏิบัติธรรมคือปฏิบัติทุกขณะจิตที่เจอคน อย่าโลภแล้วค่อยไปทำทาน วันไหนที่ศิษย์อยากทำบุญแปลว่าวันนั้นศิษย์ไปทำชั่วมาเยอะ ใช่ไหม (ใช่) วันไหนที่ศิษย์ไปทำบุญวันนั้นคือศิษย์รู้สึกว่าศิษย์ไม่ค่อยมีอะไรดีเลย ศิษย์จึงอยากทำบุญ จริงหรือเปล่า (จริง) ฉะนั้นศิษย์อย่าไปทำทานอีกที่แล้วไปสร้างเหตุอีกที่หนึ่ง มันไม่ถูกต้อง เมื่อเวลาเราเจอกัน ถ้าอยากแล้วทำให้ทะเลาะ หยุดอยากหน่อยดีไหม ถ้าโมโหแล้วจุดไฟเผาตัว ใจเย็นได้ไหม
อาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ว่า ทาน ศีล และปัญญา มีไว้เพื่อควบคุม โลภ โกรธ หลง ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าศิษย์บอกว่า ศิษย์เลือกบำเพ็ญทานเป็นหลักก็แล้วกัน เผื่อว่าจะช่วยควบคุม โลภ โกรธ หลงได้ ศิษย์ว่าทานอย่างเดียวควบคุม โลภ โกรธ หลงได้ไหม (ไม่ได้) ศิษย์คิดให้ดี ๆ สิ่งที่เป็นอามิสทาน ไม่เท่ากับธรรมเป็นทาน เคยได้ยินไหม ให้ธรรมะเป็นทานประเสริฐกว่าทานใดๆ ในโลก แล้วคำว่าให้ธรรมะเป็นทานคืออะไร
เราคือพุทธะ ฉะนั้นการให้ธรรมะเป็นทานก็คือ เมื่อเขาโกรธ เขาด่าเรา เขาเบียดบังเรา เราไม่โกรธ เราไม่ด่า เราให้ธรรมะ เราให้อภัยเป็นทาน ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นมนุษย์มักจะบอกว่าให้ธรรมะเป็นทานก็คือไปซื้อหนังสือมาสองสามเล่มมาแจกๆๆ ใช่ไหม (ไม่ใช่) แต่การให้ธรรมะเป็นทานคือ เราอยู่ด้วยกันในโลก คนอื่นเขาโลภกันแต่เราไม่โลภ คนอื่นเขาขี้โมโหกัน แต่ฉันจะเป็นคนใจเย็น คนอื่นเขาหลงกันแต่เราจะเป็นคนที่มีสติแล้วรู้จักยั้งคิด นี่เราไม่ใช่เอาชีวิตเราเป็นธรรมะให้เขาเห็นหรือ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นการให้ธรรมะเป็นทานก็สามารถดับโลภ ดับโกรธ ดับหลงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วการให้ศีล รักษาศีลช่วยตัดโลภโกรธหลงได้ไหม อย่างนั้นอาจารย์ถามข้อแรกของการรักษาศีลคืออะไร คือไม่ฆ่าสัตว์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ฆ่าสัตว์แปลว่าให้ฝึกเปิดจิต (เมตตา) ถ้าอยู่กับทุกคน เมตตา ไม่เบียดเบียนเขา แม้คำพูดสักนิดหนึ่งหรือการกระทำสักนิดหนึ่งก็ไม่ทำให้เขาต้องทุกข์และตาย ทั้งเป็น เราจะทำให้ใครโกรธไหม เราจะโลภเอาของใครไหม แล้วเราจะหลงโลกไหม เราจะเตือนสติอยู่ว่าต้องเมตตาใช่ไหม (ใช่) ข้อที่สองคือ (ไม่ลักทรัพย์) ไม่ลักทรัพย์ก็คือ ไม่อยากได้ของคนอื่นมาเป็น (ของตัวเราเอง) อาจารย์ถามถ้าอยู่ในโลกนี้ ศิษย์ไม่อยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ศิษย์จะโลภไหม (ไม่โลภ) ศิษย์อยากได้ไหม (ไม่อยาก) ศิษย์จะหลงไหม (ไม่หลง) ฉะนั้นมีศีลก็มีคุณธรรมก็เข้าถึงธรรมได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) มีศีลก็สามารถตัดโลภโกรธหลง ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วปัญญาล่ะได้ไหม ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าแก้ตรงนี้ เอาแค่ตรงนี้ก็ได้ แต่ถ้าอาจารย์บอกว่าถ้าเราไปแก้ตั้งแต่ต้นอะไรง่ายกว่า (แก้ตั้งแต่ต้น)
ถ้าอย่างนั้นจำได้ไหมว่า แก้ต้นแก้อย่างไร ใครตอบอาจารย์มีรางวัลให้ (แก้ที่ความคิด) แก้ที่ความคิด หรือ (แก้ที่จิต) แก้ที่จิตหรือ (แก้ที่ชีวิต) ยังไม่ตาย ยังไม่ตาย ยังอยู่ศิษย์ยังอยู่ (ทำใจเย็น) ให้ใจเย็นๆไว้หรือ
(แก้ที่สันดานเราก่อน, ความจริงที่พระอาจารย์จี้กงพูด ความจริงมันเริ่มที่กระบวนการความคิด และจบที่การกระทำ คือ สันดาน นิสัย จริงๆ ต้องแก้ความคิด ทั้งกระบวนการคือ นิสัยและการกระทำ มันต้องเริ่มทั้งหมดเลย) แล้วอันแรกมันอยู่ตรงไหน (จริงๆ ก็คือความคิด ความคิดอาจจะซ้ำ ต้องเริ่มที่ความคิด) เริ่มที่ความคิดใช่ไหม ยังไม่มีใครตอบถูกนะ ถูกไหม คิดให้ดีๆ
(ทุกคนถ้ามีสติ กิเลสก็จะไม่เข้ามาเกาะในจิตของเรา ทุกคนก็จะไม่มีความโลภ โกรธ หลง) มีได้แต่กิเลสทำอะไรเราไม่ได้ และเราไม่ตกเป็นทาสของกิเลสจนเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอบได้ดี
(มีสติมีปัญญายั้งคิด)
(แก้ที่การกระทำ) การกระทำนั้นช้าไปไหม เพราะว่าพอกระทำแล้ว เราจึงต้องรู้สึกเสียใจภายหลังทุกที ใช่หรือเปล่า
(ต้องทำโดยรู้เนื้อรู้ตัว คือมีสติ) หัวหน้าตอบได้ดี
(แก้ที่จิต) จริงๆ แล้วในตัวมนุษย์ประกอบไปด้วยสามอย่างคือ กาย จิต ใจ แต่โดยส่วนใหญ่มนุษย์มักจะติดกายกับใจแต่มองไม่เห็นจิต แล้วจิตที่พ้นทุกข์นานแล้ว แต่กายที่ยังยึดติดใจนั่นจึงทำให้ไม่พ้นทุกข์ยังติดอยู่กับความรู้สึก ใช่ไหม (ใช่)
(แก้ที่อารมณ์กับความรู้สึก) ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งที่พระพุทธองค์สอนไว้ไหม มนุษย์ทุกข์เพราะอะไร (เพราะใจ) มีใครจะตอบให้อาจารย์ชื่นใจไหม (ความโลภ ตัวตน ยึดติด ความอยาก ความไม่รู้ ความยึดติด) ใช่หรือ ยึดติดนั่นก็ใช่ อยากนั่นก็ใช่ แต่อาจารย์อยากจะบอกว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นปลายเหตุ ตั้งแต่ต้นอาจารย์มีพูดประโยคหนึ่งจำได้ไหม (ทุกข์เพราะความไม่รู้, มีอวิชชา) ดีใจ เพราะไม่รู้ อาจารย์บอกเมื่อไม่รู้ เราจึงแสดงออกด้วยตัณหา กิเลส เวรกรรม ใช่ไหม
กิเลสชอบอยู่กับคนที่ไม่มีสติรู้ตัว ใช่ไหม (ใช่) ศิษย์บอกอาจารย์ว่าศิษย์ไม่กลัวหรอกนรก แต่ศิษย์กลัวเคราะห์กรรม ศิษย์กลัวเวรกรรม ใช่ไหม แล้วศิษย์รู้ไหมคำว่า “เวร” แปลว่าอะไร
“เวร” แปลว่าความเคืองแค้น การปองร้าย การแก้เผ็ด ฉะนั้นถ้าศิษย์ไปทำผิดคิดร้ายแล้วศิษย์รู้สึกว่าคนอื่นคงไม่รู้หรอก แต่ถ้าเขาเกิดรู้ขึ้นมาแล้วเขาอยากปองร้ายนั่นก็คือเขากำลังผูกเวรกับศิษย์ แล้วถ้าเกิดเขาคิดมาทำกับศิษย์ ก็คือเขาก่อกรรม ใช่หรือไม่ แล้วเราเคยไหมโดนคนว่า แล้วเราโกรธ เราอยากจะไปปองร้ายเขา เราอยากจะไปแก้เผ็ดเขา ศิษย์ก็คือคนที่ผูกเวรก่อกรรม เห็นไหมว่ามันไม่ได้จบแค่นี้ แต่มันจบแล้วก็ไปต่ออีก ฉะนั้นกิเลสที่ศิษย์บอกว่าไม่น่ากลัวหรอกอาจารย์ ช่างมันเถอะ ปล่อยศิษย์เถอะ ศิษย์อยากทุกข์ ใช่ไหม อย่างนั้นอาจารย์อยากจะบอกว่าที่สุดที่ศิษย์อยากทุกข์มันหาที่สุดไม่ได้ ถ้าศิษย์ยังไม่รู้ตัว แล้วเราจะหาผู้รู้ตัวได้อย่างไรแล้วหาไปทำไมตัวผู้รู้น่ะ อยากหาไหม เพราะไม่รู้จึงเกิดอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ที่เมื่อสักครู่ศิษย์บอกว่าทุกข์เพราะยึดติด มันมาหลังจากการที่ศิษย์ไม่รู้มาก่อน ไม่รู้จึงอยาก อยากจึงยึด ฉะนั้นศิษย์แก้แค่ไม่ยึดก็แก้ที่ปลาย ฉะนั้นถ้าจะแก้ต้องแก้ที่ต้น ทำอย่างไรจึงจะหาผู้รู้ให้เจอ แล้วผู้รู้มันดีอย่างไรอาจารย์ รู้ไปทำไม บางทีรู้มากก็เอาตัวไม่รอด ใช่ไหม แต่ผู้รู้ในที่นี้ไม่เหมือนกัน
ผู้รู้ในความหมายของอาจารย์ก็คือรู้ตื่นจากภายใน ข้อดีของการรู้จักผู้รู้ก็คือเมื่อรู้แล้วมันจะเห็นทั้งเนื้อทั้งตัวและเห็นสิ่งรอบๆ ตัว เหมือนกับว่าภาวะอะไรก็ได้ที่มันเกิดขึ้นกับใจนี้ เราจะรู้เท่าทันมันหมด โกรธมารู้แล้ว เกลียดมารู้แล้ว แต่ไม่ได้รู้จากข้างนอก มันรู้จากข้างใน แล้วเราจะหาผู้รู้ได้ด้วยการใช้สติ
“สติ” คือคำว่าระลึกได้ “สัมปชัญญะ” คือคำว่ารู้ตัว ฉะนั้นมีสติแต่ไม่มีสัมปชัญญะไม่ได้ จึงต้องมีทั้งสติและสัมปชัญญะ แล้วความรู้ตัวมันดีอย่างไร เวลารู้ตัวมันจะคอยเตือนตนเสมอว่าอะไรผิด อะไรถูก ฉะนั้นถ้าเราตื่นรู้ในตัวเอง เราจะรู้จักผิดชอบชั่วดี ใครว่าเราเราก็จะเห็น ใครทำร้ายเราเราก็จะเห็นด้วยว่าอะไรมันเกิดขึ้นในจิต ใช่หรือไม่ แต่เมื่อไรที่ศิษย์โดนว่าแล้วบอกว่าไม่ใช่ แปลว่าศิษย์ไม่รู้ตัว เพราะคนที่โดนว่าแล้วยังมองเห็น นั่นแหละเรียกว่าตามหาผู้รู้จนเจอ
ฉะนั้นพระพุทธะจึงอยากให้ตัวศิษย์ทุกคนมีสติไม่ขาด มีสติอย่างต่อเนื่อง เราก็จะรักษาผู้รู้ให้อยู่กับตนได้ ใช่ไหม (ใช่) ที่ทำไป ด่าว่าเขาไปรู้ตัวไหม (ไม่รู้) อยากไปรู้ตัวไหมว่าอยาก ไม่รู้ ศิษย์จำไว้นะ โลภ โกรธ หลง กลัวเราตามทัน ลองดูตัวอย่างนะ ถ้าเราจะโกรธ แล้วเรารู้ตัวว่ากำลังจะโกรธ และตัวรู้ไม่ใช่อยู่ในกาย แต่อยู่ในจิต หรือเรียกว่า ดวงตาที่สาม ถ้าเราเห็นและรู้ทัน เราจะพบจิตเดิมแท้ หรือที่พระพุทธะมักจะพูดไว้ว่า “เมื่อไรที่เราพ้นจากอวิชชา ตัณหา อุปทาน เราจะพบจิตเดิมแท้” ยากไหม เวลาอะไรมากระทบ ไม่ได้เห็นข้างนอกแต่เห็นทั้งข้างนอกและข้างใน และหยุดตั้งแต่ข้างในก่อนจะไหลไปข้างนอก ฉะนั้นการเรียนรู้หลักธรรมจึงไม่ใช่เรื่องยาก ขอเพียงมีสติรู้ตัว รู้ตัวอย่างไม่ขาดสาย รับรู้ด้วยจิตของตน กายมีวันตาย แต่จิตไม่มีวันตาย ฉะนั้นถ้าจิตของศิษย์สร้างบาป สร้างกรรมเวร จิตนี้ของศิษย์ก็หนีไม่พ้นต้องไปเวียนว่ายไม่จบสิ้น
มีบางคนยังไม่ไปกับอาจารย์เลย อาจารย์อยู่ข้างหน้าแล้วทิ้งข้างหลังได้ไหม (ไม่ได้) อย่างนั้นอาจารย์ถามศิษย์นะ เกิดเป็นคนโมโหมากๆ ดีไหม (ไม่ดี) เกิดเป็นคนโลภไม่รู้จักพอเหนื่อยไหม (เหนื่อย) แล้วโลภไหม (โลภ, ไม่โลภ) เกิดเป็นคนตามใจตัวเองจนเสียนิสัยใครว่าอะไรก็ไม่ได้ ปล่อยให้ตัวเองทุกข์จนเจ็บช้ำ แล้วตอนนั้นใครจะช่วยแก้ได้ ทำไมต้องปล่อยให้ตัวเองแย่จนถึงที่สุดแล้วค่อยหาทางพ้นทุกข์ ทำไมตอนนี้ดีๆ ไม่รู้จักเรียกตัวเองให้มีสติให้มีธรรม อาจารย์เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีมโนธรรมสำนึกที่ดี และไม่ชอบใครมาใจร้าย ใช่ไหม (ใช่) อาจารย์ถามนะ ถ้าวันนี้อาจารย์บอก “เฮ้ยไปเอาไอ้โน่น เฮ้ยไปเอาไอ้นี่ เฮ้ยอย่านั่งสิฉันยังไม่ได้นั่งเลย เฮ้ยลุกดิ” เราชอบคนแบบนี้ไหม อาจารย์สมมติ ถ้ามีคนเอาแต่เรียกร้องศิษย์ ไม่เคยมองตัวเอง แล้วตัวเองก็ไม่เคยทำเลย “เฮ้ยแกทำสิ เฮ้ยมองทำไมเดี๋ยวมีเรื่อง” ศิษย์ว่าคนแบบนี้ดีไหม (ไม่ดี) แล้วเราเป็นไหม (ไม่เป็น) ไม่เป็นหรือ บางทีพอเราเหนื่อยมากๆ เคยไหม “ลูกๆ ทำนี่ให้แม่หน่อย แม่เหนื่อยๆ คุณๆ ทำให้ฉันหน่อย” เป็นไหม (เป็น)
ฉะนั้นการศึกษาธรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญ ศึกษาธรรมคือให้รู้จักตัว ถ้าทำแล้วไม่มีคุณธรรม ทำแล้วเหมือนคนไร้คุณธรรมอย่าทำ เพราะถ้าทำแล้วจะเจ็บทั้งตัวและเจ็บทั้งคนรอบข้าง ใช่ไหม (ใช่) ไม่ใช่จะเป็นคนดีเพื่อจะได้ขึ้นสวรรค์ แต่ทำดีเพื่อความดีที่อยู่ในใจ ใจบอกว่าเกิดเป็นคน ใจร้ายไม่ลงหรอก ถึงจะมีเหตุผลอะไรก็ตามแต่ถึงเวลาสงสาร ให้ไหม ก็อยากให้แต่ตอนนี้ประหยัดอยู่ แต่พอเห็นเสื้อตัวละหนึ่งร้อย อยากได้ พอทำบุญให้บาทเดียว ไว้ก่อนละกันนะ ใช่ไหม
ฉะนั้นมนุษย์เราจริงๆแล้วมีจิตเมตตา แต่ถึงเวลาจะทำตามมโนธรรมสำนึกในจิตไหม แล้วทำมากแค่ไหน ฉะนั้นเราศึกษาธรรมไม่ใช่แค่เพื่อเป็นคนดี แต่เพื่อค้นหาตัวตนเดิมแท้ที่มันดีอยู่ให้เจอ ไม่ใช่เพื่อเป็นคนดีเพื่อจะได้ขึ้นสวรรค์ ไม่ใช่เพื่อเป็นคนดีเพื่อจะให้คนอื่นชม แต่มันคือตัวตนเดิมแท้ที่มีอยู่ในตัวศิษย์ แต่เพราะเราหลงไป โมโห เกลียด และโลภ ใช่ไหม (ตอนนั้นสติมันมาไม่ทัน) ก็เวลาโดนกระทบนิ่งก่อนได้ไหม ไม่ใช่กระทบปุ๊บก็บ่นๆๆ มันก็จบ เลือกทำแต่สิ่งที่ถูกต้องนะ ไม่มีอะไรเป็นของเราแม้แต่ตัวเองก็ยังยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ ใช่ไหม คิดว่าตัวเองแน่ไหม อย่างนั้นก็ต้องรู้จักทำอะไรระมัดระวัง อย่าปล่อยให้ความแน่มาทำให้ชีวิตต้องทุกข์ จำคำอาจารย์ไว้นะ
(พระอาจารย์เมตตาผู้ร่วมฟัง)
ศิษยเอย ไม่เจออาจารย์ไม่ได้หรือ ได้ไหม (ไม่ได้) ไม่ได้หรือ ต้องให้ได้สิ เพราะเราศึกษาธรรมบำเพ็ญธรรมเพื่อไม่ยึดมั่นถือมั่น บำเพ็ญโดยไม่ยึดติดรูปแบบได้หรือไม่ ศิษย์เอย อาจารย์มีสิ่งหนึ่งอยากให้ศิษย์เป็น ถ้าทำได้ศิษย์จะได้อยู่ในโลกเดียวกับอาจารย์ อยากรู้ไหม
อย่างนั้นตั้งใจฟังนะ โลกที่อาจารย์อยากให้เป็น ถ้าศิษย์ทำได้ถึง ศิษย์กับอาจารย์แม้จะอยู่ห่างกันคนละฟ้า แต่ใจจะอยู่ที่เดียวกัน โลกของอาจารย์นี้คือเมื่อได้ยินคนสรรเสริญก็ไม่ดีใจ เมื่อได้ยินคนติฉินนินทาก็ไม่เสียใจ แม้จะได้อะไรก็ไม่ดีใจ แม้จะเสียอะไรไปก็ไม่ทุกข์ใจ เห็นความเกิดคือความตาย เห็นชีวิตคือความตาย เห็นความรวยคือความจน เห็นคนเหมือนหมู เห็นเขาเหมือนเรา เห็นบ้านเหมือนโรงเตี้ยม เห็นสรรพสิ่งในโลกแปลกตา มีลาภเสื่อมลาภ เคราะห์ร้ายโชคดีได้เสียทุกข์สุขไม่เคยมีอิทธิพลเหนือจิตใจ ถ้าศิษย์ทำได้อย่างที่อาจารย์บอก ศิษย์จะอยู่บนโลกเดียวกับอาจารย์ ใครว่าก็ไม่โกรธ ใครชมก็ไม่หลง จะรวยจะจนก็ไม่ทำให้จิตใจเสื่อมถอย หรือหลงปลื้มอะไร นั่นคือโลกแห่งอรหันต์ ทำให้ถึงนะ อาจารย์รอศิษย์ โลกนี้ไม่ว่าเงินทอง ไม่ว่าร่างกายล้วนไม่เที่ยง แล้วก็ไม่ใช่ของเรา เราเพียงแค่ยืมใช้ สิ่งที่ดีที่สุดคือจิตใจ จิตใจที่นำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ อย่าไปยึดติดกับความรู้สึก ความรู้สึกยึดมากก็มีแต่ลากเราลงต่ำ จงมองไปให้ถึงที่จิต จิตที่พ้นทุกข์พ้นกิเลสพ้นอารมณ์พ้นรูปนาม เห็นความจริงแท้ว่าในโลกไม่มีอะไรที่เราควรจะถือ ไม่มีอะไรที่เราควรจะยึด เรามาเพื่อช่วงใช้ถึงเวลาก็ปล่อยวาง ใช้อย่างไรให้พบธรรมะที่แท้ เข้าถึงธรรมที่แท้ ไม่ใช่รู้จักข้างนอกแต่รู้จักข้างในตน
อาจารย์รู้ศิษย์ทุกคนเหงาศิษย์ทุกคนกลัว แต่อาจารย์จะบอกว่าความเหงาความกลัวยังไม่เปล่าเปลี่ยวเท่ากับความคิดผิดที่หลงคิดว่าโลกนี้สวย แล้วยึดมั่นถือมั่นในตัวตนทำให้ศิษย์ยิ่งเหงายิ่งเปลี่ยว ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าถึงจิตอันเดิมแท้ ศิษย์จะพ้นทุกข์ ไม่มีเวลาเหงา ไม่มีเวลาเปล่าเปลี่ยว มีแต่ว่าทำอย่างไรถ้าพรุ่งนี้ฉันต้องตายฉันต้องพ้นทุกข์ให้ได้ ไม่มีทุกข์ใดน่ากลัวเท่ากับการเวียนว่ายตายเกิด แล้วอย่าคิดว่าตัวเองไม่มีปัญญาพ้นทุกข์นะ รักศิษย์จริงๆ ไปให้ถึงที่สุดนะ จับมือกับอาจารย์แล้วอย่าจากกันนะ รอวันเจ้าคืนกลับมา รักศิษย์จริงๆ เมื่อสักครู่อาจารย์บอกเรื่องสุดท้าย
วิธีแก้ทุกข์อย่างคนที่ใช้ปัญญา มีวิธีแก้ทุกข์แบบธรรมดาคือมีสติตื่นรู้ อะไรเกิดขึ้นเราก็หยุดได้ แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือสิ่งที่มนุษย์ชอบมองออก ชอบคิดผิด เราทุกข์เพราะหลงยึดมั่นถือมั่นในตัวตน และจมอยู่กับความรู้สึก ฉะนั้นไม่มีอะไรทำมนุษย์เท่ากับความรู้สึกที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ยอมเหนื่อยเพียงเพราะรู้สึกดี ถ้าเกิดรู้สึกแย่ก็ไม่อยากทำอะไรแล้ว ใช่ไหม ฉะนั้นมนุษย์สิ่งที่น่ากลัวที่สุดและสิ่งที่ขังเราให้เจ็บช้ำที่สุดนั่นคือ ความรู้สึก ทั้งที่จริงๆ แล้วความรู้สึกตัวตนล้วนไม่เที่ยง เมื่อวานนี้หลักธรรมที่ท่านหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อให้เขียนลงไป นั่นคือหลักธรรมล้วนๆ ที่นำพาให้ศิษย์พ้นได้ อาจารย์อยากถามว่า มนุษย์ทุกข์กี่เรื่อง หนึ่งคือกลัวเหงา โดดเดี่ยว ใช่ไหม (ใช่) อย่างนั้นเกิดเป็นคน ลำแข้งคนอื่นพึ่งได้ไหม (ไม่ได้) หัดพึ่งลำแข้งตัวเอง ศิษย์จะไม่กลัวเหงา ไม่กลัวโดดเดี่ยว แต่เพราะคิดจะพึ่งลำแข้งผู้อื่นเราเลยกลัวเหงา กลัวโดดเดี่ยว ฉะนั้นวิธีแก้ของอาจารย์ อยากพ้นทุกข์ ลำแข้งตัวเองพึ่งเข้าไว้ ถ้าศิษย์ยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้ ใครจะอยู่ ใครจะไป ใครจะร้าย ใครจะดี ศิษย์ก็ไม่เอามาเป็นสาระ ถูกไหม (ถูก)
มนุษย์ทุกข์อีกเรื่องหนึ่งเพราะอะไร ทุกข์เพราะไม่ยอมรับกับความจริง ชอบเปรียบเทียบและชอบจมอยู่กับ (อดีต) ทำไมเขาไม่เป็นเหมือนเมื่อก่อน ทำไมชีวิตมันไม่เป็นอย่างนั้นล่ะอาจารย์ เพราะเราจมอยู่กับ (อดีต) ไม่ยอมอยู่กับ (ปัจจุบัน) ใช่หรือไม่ ฉะนั้นศิษย์เอยอยากพ้นทุกข์ ถามตัวเองว่ากำลังหลงอดีตอยู่ ใช่ไหม แล้วลืมความจริงอันเป็นปัจจุบันหรือเปล่า ถ้าไม่อยากทุกข์ก็จงอยู่กับปัจจุบัน นี่แก้สองข้อแล้วนะ
อีกอย่างหนึ่ง มนุษย์ทุกข์เพราะรัก ไม่รักนั่นก็รักนี่ ไม่รักเขาก็รักเรา ใช่ไหม (ใช่) รักทุกข์ไหม (ทุกข์) แล้วยังรักไหม รู้ว่ารักแล้วทุกข์แล้วสิ่งที่รักมันเปลี่ยนไหม
(พระอาจารย์เมตตายกตัวอย่างกับผลสาลี่ ถ้ากินผลสาลี่แล้วทุกข์จะกินไหม)
อย่างนั้นอาจารย์ถามสุดท้ายนะ กินแล้วทุกข์ที่สุดกินไหม (ไม่กิน) อย่างนั้นจำไว้ ถ้ารักแล้วมันทุกข์ รักทำไม ถ้ากินแล้วหาความแน่นอนอะไรไม่ได้ในชีวิต กินไหม (ไม่กิน) อย่างนั้นอย่ารักเพราะสิ่งที่รักหาความแน่นอนอะไรในชีวิตได้ไหม (ไม่ได้) ขนาดเรารักตัวเอง ตัวเองยังหาความแน่นอนไม่ได้เลย หน้ายังเหี่ยวเลย แล้วรักไหมใบหน้า (รัก) เจ็บก็ได้เพื่อให้ตึง อย่างนี้ไม่รักจริง คนรักจริงคืออะไร ต้องยอมรับได้ไม่ว่าเราจะเป็นอย่างไร นั่นแปลว่าเราไม่รักตัวเองจริง
เสื้อขาดแล้วรับสภาพตัวเองไม่ได้ แสดงว่าศิษย์ไม่รักเสื้อตัวนั้นจริงๆ หล่อใส่อย่างไรก็หล่อ ใช่ไหม (ใช่) ดีมีดีอย่างไรก็ดี ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าศิษย์รักตัวเองจริงๆ ทำไมต้องเปลี่ยน เปลี่ยนในที่นี้หมายถึง เปลี่ยนแล้วทำให้ตัวเองสวยนะ แต่ถ้าบางอย่างเปลี่ยนแล้วดีก็ต้องเปลี่ยน ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทว่า “สภาพจิตใจกำหนด”)
กำหนดอะไรตอบอาจารย์ได้ไหม สภาพจิตใจกำหนดอะไร ดูสิอาจารย์จะไปจากศิษย์แล้ว ศิษย์ยังตอบอาจารย์ได้ไหม ผลไม้เหลือหนึ่งลูกอาจารย์จะได้ให้ (กำหนดชีวิต) สภาพจิตใจกำหนดชีวิต จิตดีชีวิตก็ดี จิตใจไม่ดีชีวิตก็แย่ ใช่ไหมศิษย์ ฉะนั้นอยากเปลี่ยนชีวิตจงรู้จักควบคุมจิตใจ อยากเปลี่ยนชะตาชีวิตจงระมัดระวังความคิด ถูกหรือไม่ศิษย์ “สภาพจิตใจกำหนด” อาจารย์ไม่ได้วงมั่วๆ นะ ในพระโอวาทซ้อนยังมีคำซ้อน
สภาพจิตกำหนดชีวิตคน มีความคิดเป็นต้นปัญหาใหญ่
กิเลสที่แฝงอยู่ในจิตใจ โลกหมุนไปตามสิ่งที่ตนเป็น
รู้เท่าทันสิ่งที่มากระทบ จิตสงบเห็นสิ่งที่มองไม่เห็น
รู้ชีวิตกำหนดชีวิตเป็น การบำเพ็ญเปลี่ยนแปลงชะตากรรม
ตนนั้นคือเรื่องแรกของทุกเรื่อง คนจึงเฟื่องอัตตาพาถลำ
คนหลงแล้วมาแสนนานเป็นลำนำ ขอให้นำตนพ้นจากว่ายเวียน
“ตนคือเรื่องแรกของทุกสิ่ง” ศิษย์เคยได้ยินไหม มีหนึ่งจึงมีทั้งหลาย ทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะหนึ่ง ใช่หรือไม่ โอวาทซ้อนนี้อาจารย์ให้ไว้กับศิษย์ที่นี่ ที่นั่งฟังธรรมะจนจบ ได้ปริญญาบัตรอันนี้เป็นเครื่องเตือนใจ ว่าศิษย์กับอาจารย์เคยอยู่ร่วมกันบนโลกนี้ แต่อาจารย์ไม่อยากได้แค่โลกนี้เลย อยากให้ศิษย์มีโอกาสกลับคืนไปสักที พ้นทุกข์ รักศิษย์จริงๆ เจ้านิ่งตอบมา ใช่ไหม
หัวแข็ง ระวังอารมณ์ไว้นะ อย่าช้ำใจนะ
โชคดีนะ อาจารย์ช่วยศิษย์เต็มที่แล้ว ศิษย์อย่าท้อก็พอ เข้าใจไหม
มีโอกาสมาอีกนะ (ลูกจะได้งานไหมอาจารย์) ก็อยู่ที่ความตั้งใจและความขยันของเรา อย่าปล่อยให้ชีวิตมันหลงทางนะศิษย์เอ๋ย
มีโอกาสกลับมาอีกนะ อย่าดื้อมากไม่อย่างนั้นชีวิตจะลำบาก ใช่ไหม ยอมหรือยัง อาจารย์อยากให้พรศิษย์ทุกคน รู้จักดำเนินชีวิตให้ดี มีแต่สิ่งที่ดี แต่ต้องระวังอารมณ์ควบคุมตัวเองให้ดี ใช่ไหม ใช่หรือเปล่าคนเก่งของอาจารย์ ชีวิตถ้าไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ อารมณ์จะทำร้ายตัวเรา ใช่ไหมคนดื้อ มีโอกาสมาอีกนะ แต่ศิษย์ดื้อเหลือเกิน อาจารย์ไปแล้ว รอเจ้ากลับมานะศิษย์ ตั้งใจอะไรก็ทำให้ได้ เข้าใจนะ อาจารย์รอศิษย์นะ
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สภาพจิตใจกำหนด”
สภาพจิตกำหนดชีวิตคน มีความคิดเป็นต้นปัญหาใหญ่
กิเลสที่แฝงอยู่ในจิตใจ โลกหมุนไปตามสิ่งที่ตนเป็น
รู้เท่าทันสิ่งที่มากระทบ จิตสงบเห็นสิ่งที่มองไม่เห็น
รู้ชีวิตกำหนดชีวิตเป็น การบำเพ็ญเปลี่ยนแปลงชะตากรรม
ตนนั้นคือเรื่องแรกของทุกเรื่อง คนจึงเฟื่องอัตตาพาถลำ
คนหลงแล้วมาแสนนานเป็นลำนำ ขอให้นำตนพ้นจากว่ายเวียน
คนหลงแล้วมาแสนนานเป็นลำนำ ขอให้นำตนพ้นจากว่ายเวียน