วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2555

2555-12-29 สถานธรรมฮุ่ยอวี้ จ.ขอนแก่น


西元二一二年 歲次壬辰十一月十七日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ สถานธรรมฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา


อะไรที่เก็บไว้อยู่ในใจ ทั้งความร้ายไม่ดีใครให้ทุกข์หนา
ไม่โกรธแต่จำได้คิดทุกครา เช่นนี้หนาอยู่ร่วมกันสุขอย่างไร
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยอวี้ แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนหายเหนื่อย หายเบื่อ หายเมื่อยหรือยัง


กายวาจาใจแห่งตัวทั้งชั่วดี เหมือนนทีรวมไหลบุญบาปสายใหญ่
ความเป็นอยู่มักกำหนดความคิดใจ หมั่นคลี่คลายภายในจิตโดยความจริง
ล้านถ้อยคำกระทำการในสิ่งหนึ่ง พูดเก่งพูดถึงเจตนาแจ้งตายิ่ง
พูดน้อยที่กระชับความผู้จิตนิ่ง วาจาสิ่งใช้อยู่เป็นประจำเบาเบา
ผู้บำเพ็ญบางคนที่ทำไม่ดี ไม่รู้ตัวเพียงนี้เหตุน่าเศร้า
ไม่กระจ่างรู้ทำกรรมแห่งคนเขลา บุญที่ก้าวจึงกลายเป็นอกุศลไป
อาจเป็นเพราะเดิมเดิมแบบซ้ำซ้ำ งานที่ทำเคยมือมักบวกนิสัย
อยู่กับความชาชินไม่รักใคร ฝึกอะไรไม่ยั้งกิเลสบ้างคนดี
วาระปลายภัยเก็บกวาดสิ้นเดือนดาว เกณฑ์ยุคขาวช่วยคนจึงรับชี้
คนใจร้ายภัยชั่วทำขวัญหนี คนรักตัวหลงเป็นผีขาดเมตตา ฮิ ฮิ หยุด
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
“เบื่อเราก็ไม่เบื่อ เมื่อยเราก็ไม่เมื่อย เรานั่งได้เรื่อยๆ เราไม่เมื่อยเราไม่เบื่อ” อย่างนั้นหรือเปล่า ไม่ใช่เหรอ เห็นแรงเริ่มหมด พลังข้าวเหนียวหมดแล้วหรือ หมดหรือยัง (ยัง) ยังนะ แต่รู้สึกว่านักเรียนเริ่มหมดแรง ใช่ไหม (ไม่ใช่)
“อะไรที่เก็บไว้อยู่ในใจ ทั้งความร้ายไม่ดีใครให้ทุกข์หนา
ไม่โกรธแต่จำได้คิดทุกครา เช่นนี้หนาอยู่ร่วมกันสุขอย่างไร”
เป็นอย่างนั้นไหม เราบอกว่าใจของเราอยากมีแต่เรื่องดีๆ อยากจะเก็บแต่สิ่งดี แต่เรามองสิ ส่วนใหญ่จะเก็บดีหรือเก็บร้าย (เก็บร้าย) แล้วพอเจอหน้าก็บอกไม่โกรธหรอก แต่จำได้เป็นฉากๆ ใช่ไหม (ใช่) ไม่เกลียดหรอก แต่พูดได้ชัดเจนมีอารมณ์ด้วย ใช่ไหม (ใช่)
ใครๆ ก็อยากมีความสุข ใช่ไหม ความสุขของมนุษย์คืออะไรหรือ มนุษย์ก็บอกว่าอยากได้โน่นอยากได้นี่ นี่เรียกว่าความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่) อยากได้เงินมีสุขไหม (มี) ความสุขของมนุษย์คือมีเยอะๆ ใช่ไหม (ใช่) แต่เราไม่เคยเห็นใครเลยที่วิ่งไปตามความอยากแล้วมีความสุขได้อย่างแท้จริง เราคิดว่ามีเงินเยอะๆ เราสุขแน่ๆ มีความสุขจริงๆ แต่พอยิ่งวิ่งไปๆ ทำไมมันเหนื่อยจังเลย ทำไมมันลำบากจังเลย พอได้มาแล้ว ทำไมมันไม่พอเลย ใช่ไหม (ใช่)
จริงๆ แล้วความสุขคืออะไร มีคนรักใช่ไหม พอมีคนมาบอกรัก เราก็มีความสุข แล้วก็วิ่งไปตามสิ่งที่เขาบอกรักเรา แต่พอวิ่งไปสักพักหนึ่ง ทำไมมันทุกข์เหมือนกันล่ะ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นความสุขของมนุษย์คือการวิ่งตามความอยาก ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ท่านรู้ไหมว่าความสุขของพุทธะที่อยากให้มนุษย์มีคืออะไร สิ่งที่พุทธะทำตอนที่ท่านเป็นมนุษย์ คือ ท่านแสวงหาความสุขแบบนี้ ท่านถึงได้พบสุขที่แท้จริงแล้วกลายเป็นพุทธะ แต่ความสุขที่มนุษย์หาคือความอยากแบบนี้ แต่ทำไมยิ่งอยากเราก็ยิ่งเบียดเบียน ยิ่งอยากเราก็ยิ่งทำร้ายกัน ยิ่งอยากเราก็น่าจะมีความสุข แต่ทำไมมันกลายเป็นทุกข์ เราเคยเป็นอย่างนั้นไหม (เคย)
สมมติว่าเราอยากมีความสำเร็จในวันข้างหน้า แต่กว่าเราจะไปถึง เราต้องมีเรื่องกับคนนั้นมีเรื่องกับคนนี้ จนกระทั่งเราได้ความสำเร็จมา บางครั้งเรารู้สึกว่า ชีวิตนี้ไม่มีเรื่องอะไรดีที่สุดนะ ถ้าสำเร็จแล้วมีเรื่องกับคนอื่นไปทั่ว ถ้าได้กำไรแต่ต้องทะเลาะกับคนนี้ ด่ากับคนนั้น ไม่กำไรดีกว่าไหม จนบางครั้งเรารู้สึกว่าบางทีชีวิตไม่มีปัญหาดีที่สุด ไม่จำเป็นต้องกำไรแต่อย่าสูญเสียอะไรดีที่สุด ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นอะไรคือความสุขที่พุทธะอยากให้มนุษย์เรียนรู้ ไม่ใช่ความสุขแค่การแสวงหาตามความอยาก ท่านเคยได้ยินบ้างไหม
ความสุขอย่างแรกเป็นความสุขที่แท้จริงที่สุดนั่นก็คือ การหาพบความสงบ สุขที่แท้จริงคือความสงบ ไม่มีสุขใดที่ประเสริฐเท่ากับความสงบแล้ว นี่คือความสุขอย่างหนึ่งที่พระพุทธะอยากให้มนุษย์มี แต่มนุษย์ก็บอกว่า ไม่เอา อยากวุ่นวาย ยิ่งวุ่นวายยิ่งมีความสุข แต่พอยิ่งวุ่น ก็รู้สึกว่าอยากหาที่สงบ ผลสุดท้ายก็หนีไม่พ้นความสงบคือสุขที่แท้จริง
ความสุขอย่างที่สอง ผู้ละเหตุแห่งทุกข์ได้ ผู้นั้นเป็นสุขในทุกๆ ที่ ถ้ามนุษย์ยังหาความสงบไม่ได้ มนุษย์ก็ยังหนีเหตุแห่งทุกข์ไม่ได้ เมื่อยังหนีเหตุแห่งทุกข์ไม่ได้มนุษย์ก็ยังยึดติดในตัวตน เมื่อยึดติดในตัวตนมนุษย์ก็ยิ่งหาความสุขไม่ได้ ก็วันนี้ท่านบอกใกล้ปีใหม่อยากได้ความสุข ใช่ไหม (ใช่) ความสุขที่มนุษย์ตามหามันเป็นสุขที่ไม่แท้ เราอุตส่าห์มาบอกความสุขที่เป็นสุขแท้ ที่พุทธะทุกพระองค์อยากให้ท่านมี แล้วถ้าท่านมีได้ท่านก็จะได้ไปสู่หนทางแห่งความหลุดพ้นได้ด้วย สนใจไหม (สนใจ)
ก่อนจะคุยกันเรามาเล่นอะไรหน่อยดีไหม ถ้าเราบอก “ผักบุ้ง” ท่านก็ยกมือ แล้วสะบัดไปด้านซ้าย ถ้าเราบอก “ผักคะน้า” ท่านก็สะบัดๆ ไปด้านขวา ถ้าเราบอก “กะหล่ำ” ท่านก็สะบัดๆ ตรงๆ ดีไหม เราเห็นว่าเมื่อยนะเลยอยากให้สะบัดให้แรงๆ จะได้สะบัดความขี้เกียจ ความเหนื่อยออกไป ผักบุ้งให้พูด เย่ๆๆ คะน้าให้พูด ย่าๆๆ กะหล่ำให้พูด ยู่ๆๆ ด้วย
(มีนักเรียนบางท่านทำผิดด้าน) อย่ายึดติดความเคยชินนะ อย่าปล่อยให้ตัวเองตามความเคยชิน ว่ามันต้องเริ่มตรงนั้น แต่อยู่ๆ มาตรงนี้เลยทำไม่ได้ ไม่อย่างนั้นความเคยชินจะทำให้เราหลงผิด ทำผิดได้
ไม่น่าเชื่อวันนี้กินผักแล้วเล่นผักแล้วจะหัวเราะได้ เราจะทวนทุกครั้งที่เราพูดธรรมะ เวลาท่านง่วงปุ๊บเราจะให้เล่นผักบุ้ง คะน้า กะหล่ำ ถ้าใครทำผิดเราจะให้มาเต้นเดี่ยว ฉะนั้นต้องฟังเราพูด ถ้าไม่ฟังเราพูดเดี๋ยวจะถูกเต้น ดีหรือเปล่า (ดี)
สุขที่เราอยากบอกกับท่าน ก็คือ มนุษย์เราไม่ใช่เกิดมาต้องมีๆ แล้วถึงจะมีความสุข การไม่มีบ้างก็มีความสุขได้ การที่ชีวิตไม่ต้องวุ่นวายได้บ้าง มันก็คือความสุขไม่ใช่หรือ ใช่ไหม (ใช่) วุ่นไปตามความอยากถึงที่สุดแล้วก็กลับทุกข์เหลือเกิน ซึ่งบางครั้งเบาบางความอยากบ้างดีหรือเปล่า (ดี)  ถ้ามนุษย์รู้จักเบาบางความอยากในใจ มนุษย์ก็จะพบความสุขที่เรียกว่าสงบได้ ถ้ามนุษย์รู้จักเหตุแห่งทุกข์ มนุษย์ไปอยู่ที่ไหนแล้วละเหตุแห่งทุกข์ได้ มนุษย์ก็สามารถมีความสุขได้ทุกๆ ที่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ความสุขอย่างที่สาม เมื่อใดที่มนุษย์ค้นพบความสงบ ระงับในสังขารได้ ผู้นั้นย่อมเป็นสุข มนุษย์บอกว่าเมื่อมีตัวตนก็ต้องมีความอยากไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) รู้ไหมว่า ตัวสังขารที่มนุษย์เรียกว่าร่างกายนี้ พระพุทธะเรียกว่าสิ่งปรุงแต่ง ก็เวลาเราเห็นร่างกายแล้วเป็นตัวเรา เราอยากปรุงมันไหม (อยาก) ใช่หรือไม่ (ใช่) มีใครบ้างเสื้อเท่านี้พอแล้วหยุดแล้ว ชุดเดียวก็ดีแล้ว เราเป็นอย่างนั้นไหม (ไม่) เดี๋ยวปรุงให้แต่งอย่างนี้ เดี๋ยวปรุงให้แต่งอย่างนั้น เดี๋ยวหวีปัดไปทางนี้ เดี๋ยวหวีปัดไปทางนั้น เราวุ่นอยู่กับการปรุงสังขาร ใช่หรือไม่ (ใช่) ยิ่งปรุงมากก็ยิ่งเหนื่อยมาก แต่ถ้าเมื่อไรเรารู้จักความสงบระงับในสังขารได้ มนุษย์ก็มีสุขได้ ปรุงอย่างไรแต่งอย่างไรมันก็ได้แค่นี้ แล้วเรายังปรุงมันไหม (ปรุง) แล้วเรายังแต่งมันไหม (แต่ง) ฉะนั้นมนุษย์ล้วนไปหาสุขที่ตรงกันข้ามกับที่พุทธะหาทั้งนั้นเลย
ความสุขอย่างที่สี่คือ การไม่เบียดเบียนใครให้ได้รับทั้งความทุกข์กาย ทุกข์ใจ หรือทุกข์ทั้งชีวิต คนนั้นจะพบความสุขได้ มนุษย์จะหาความสุขได้ก็ต่อเมื่อไม่เบียดเบียนทำร้ายใครให้เจ็บปวด ทั้งกาย ใจ หรือชีวิต ถ้ามนุษย์ไม่เบียดเบียนใครเลย มนุษย์ก็จะมีความสุขได้
ความสุขอย่างที่ห้า ผู้ใดเจริญเมตตาจิตอยู่เป็นนิจในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะหลับหรือตื่นก็มีความสุข
ความสุขอย่างที่หกของพระพุทธะคือ สามารถแสดงหลักสัจธรรมให้ผู้อื่นได้รับรู้เข้าใจ นั่นก็คือความสุขของพระพุทธะ
ฉะนั้นเราจะบอกกลับว่า ถ้ามนุษย์อยากมีความสุขง่ายๆ ทำจากข้อนี้ก่อนเลย “เมตตาจิต” ถ้าเรามีเมตตาจิต เราจะ “ไม่เบียดเบียนใคร” ให้เกิดความทุกข์ทางกายใจ แล้วเราจะมีความวุ่นวายใจในสังขารไหม เมื่อ “ไม่วุ่นวายใจในสังขาร” เราก็ “ละเหตุแห่งทุกข์ได้” เมื่อละเหตุแห่งทุกข์ได้ เราก็กลับมา “สงบ” ได้ แต่คนปัจจุบันนี้ไม่ค่อยเมตตากัน รักแต่ตัวเองแต่ไม่รักผู้อื่น เห็นแต่ตัวเองแต่ไม่เห็นแก่ผู้อื่น ใช่หรือไม่
เราถามนะว่า แล้วทำไมคนถึงไม่เมตตา ก็เพราะว่าเหตุอันนี้คือ “ความอยาก” เมื่อมีความอยาก จะสูญเสียความบริสุทธิ์ยุติธรรม เหมือนตอนนี้ สมมติว่าเราอยากได้แอปเปิลแต่เพื่อนเราก็อยากได้แอปเปิล ใครๆ ก็อยากได้แอปเปิล แต่ว่าแอปเปิลมีอยู่ลูกเดียว มีคนอยากได้สามคน ถ้าเราไม่มีเมตตาจิต เราเห็นแก่ตัว ถามว่าเราจะให้แอปเปิลใครไหม (ไม่ให้) ไม่ให้แถมยังหาเหตุผลปกป้อง เธออย่ากินเลยแอปเปิลนี้มันเปรี้ยว เธอกินไปก็ไม่ดีกับเธอหรอก ฉันช่วยกินให้ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นสาเหตุที่มนุษย์ไม่สามารถเมตตาต่อคนอื่นได้ก็เพราะความอยาก ความอยากจะทำมนุษย์สูญเสียความบริสุทธิ์ยุติธรรมและจิตเมตตา เมื่อเราอยากได้แล้วเราหาเหตุผลหว่านล้อมแล้ว สักพักเรากังวลใจไหม (กังวล) เขาจะคิดว่าเราโกงเขาไหมหนอ เขาจะคิดว่าเราใจร้ายไม่ให้เขาไหมหนอ เมื่อกังวลมากๆ ก็ขาดปัญญา แล้วก็กลายเป็นความขลาดกลัวว่าต่อไปเราจะมีหน้าไปเจอเขาไหม ฉะนั้นแค่ความอยากของมนุษย์เองนะ แค่อยากเพียงอย่างเดียวก็ทำให้สูญเสียจิตเมตตาทำให้เราไม่สามารถมีความสงบ สุขได้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าการอยากได้แอปเปิลทำให้เราต้องมีเรื่องกับคนอื่น อย่างนั้นเราอยากได้น้อยหน่อยดีไหม (ดี) ทำอย่างไรดี (แบ่ง) แบ่งเหรอ ทำไมไม่บอกว่าเธอเอาไปแบ่งกัน ฉันไม่เอาก็ได้ มันยิ่งใหญ่กว่านะ ใช่หรือไม่ (ใช่) แค่แบ่งมันก็เสี้ยวหนึ่งของความดี แต่ถ้าเอาไปเถอะ ฉันไม่เอา มันยิ่งใหญ่กว่า มันได้ใจกว่า แล้วมันก็อิ่มนานกว่ากินแอปเปิลเข้าท้องแล้วก็ถ่ายออกมาไม่เหลืออะไรเลย ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าเกิดอยากแล้วทำให้คนอื่นเดือดร้อน สู้ไม่อยากแล้วเราอิ่มใจดีกว่าอิ่มกายนะ ใช่ไหม เมื่อมีความอยาก จะสูญเสียความบริสุทธิ์ยุติธรรม แต่พออยากมากๆ เราก็กังวล แล้วความกังวลก็ทำให้สูญเสียปัญญา พอกังวลมากๆ ก็กลายเป็นความขลาดกลัว เมื่อขลาดกลัวมากๆ ก็กลายเป็นสูญเสียความกล้าหาญ ฉะนั้นแค่อยากอย่างเดียวทำให้มนุษย์กลายเป็นคนขาดความเมตตา ปัญญา กล้าหาญ และไร้ความสงบ
ฉะนั้นถ้าสมมติว่ายังอยากอยู่ ยังทำอย่างที่เราบอกไม่ได้ เราก็มีวิธีแก้อีกวิธีหนึ่ง มนุษย์โดยส่วนใหญ่จะทุกข์เพราะสิ่งที่ตัวเองเคยชิน ชิดใกล้ ใช่ไหม (ใช่) เราถามนะว่าสิ่งที่เรารู้จักกับสิ่งที่เราไม่รู้จัก อันไหนทำเราทุกข์มากกว่ากัน (รู้จัก) สิ่งที่รู้จักทำให้ทุกข์มากกว่าใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะบอกว่าเรารู้จัก ใช่ไหม (ใช่) พระพุทธะบอกว่าถ้าเราไม่อยากทุกข์ในโลก จงจำไว้ว่า สิ่งที่เห็นก็คือไม่เห็น สิ่งที่รู้จักก็คือไม่รู้จัก เพราะอะไรเราจึงพูดเช่นนี้ สามีเรารู้จักไหม (รู้จัก) เงินเรารู้จัก (รู้จัก) เราเห็นมันไหม (เห็น) เราเห็นว่ามันเป็นเงินแต่ทำไมมันทำเราเจ็บ สามีเรารู้จัก รู้ดีรู้ไส้รู้พุงรู้หมดเลย ใช่ไหม (ใช่) แต่ทำไมสิ่งที่เรารู้จักถึงทำเราเจ็บ เพราะอะไร เพราะเหมือนรู้จักแต่ไม่รู้จัก เพราะเหมือนเห็นแต่ไม่เห็น ใช่ไหม (ใช่) เหมือนง่ายๆ คนเคยกินแอปเปิลต้องบอกว่าแอปเปิลนี้น่าจะอร่อย แปลว่าเรามีความจำและความเชื่อในสิ่งที่เราเห็นอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเราจำเราเชื่อ แต่เมื่อเรากินไปปุ๊บกลับเปรี้ยว เป็นอย่างไรทุกข์ไหม (ทุกข์)
ฉะนั้นอย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น และอย่าเชื่อในสิ่งที่ตัวเองรู้จัก เพราะจริงๆ แล้วเราไม่รู้จัก ถ้าอยากมีความอยากในโลก จำไว้อย่างหนึ่งนะ ใดๆ ในโลกที่ท่านเห็นล้วนมองไม่เห็น ใดๆ ในโลกที่ศิษย์น้องรู้จักแท้จริงแล้วศิษย์น้องไม่รู้จัก ถ้าเข้าใจความนี้ศิษย์น้องจะไม่ทุกข์ แต่มนุษย์ไม่ใช่ มักจะบอกว่าฉันรู้ ฉันเห็น ฉันเข้าใจ อย่าบอกสิว่าฉันไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เข้าใจ ไม่จริง ฉันรู้หมด ฉันเข้าใจหมด ใช่ไหม เพราะเราคิดว่าเรารู้ เราเข้าใจหมด เราก็เลยสร้างกรงขังให้กับตัวเอง แล้วก็ยึดมั่นอยู่กับความคิด แล้วท่านรู้ไหมว่า การยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เป็นที่มาแห่งการสร้างบาปและอกุศล ฉะนั้นเราจึงบอกว่า ถ้าอยากสิ้นทุกข์ในโลก อยากได้อะไรก็ตาม จงบอกว่าเห็นเหมือนไม่เห็น รู้จักเหมือนไม่รู้จัก ได้ไหม มันยากนะ เพราะมนุษย์อยู่ด้วยกันมักจะบอกว่า อันนี้ฉันรู้ อันนี้ฉันคิดว่าฉันเข้าใจ หรือที่ง่ายๆ ก็คือ มนุษย์มีความยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง เมื่อไรที่มนุษย์แสดงอาการทุกอย่างที่ปรากฏออกมา นั่นเรียกว่าใจ แต่ถ้าเมื่อไรมนุษย์สามารถเป็นอิสระจากสิ่งแวดล้อม นั่นเรียกว่าพุทธะ แต่ถ้าเมื่อไรอะไรเกิดขึ้น ก็บอกว่า “ชอบๆๆๆๆ แอปเปิลๆๆ อร่อยๆๆๆ” นี่คือการติดอยู่ในความจำได้ ยึดติด มองเห็น ใช่หรือไม่ แต่ถ้าเมื่อไร “อือ แอปเปิล ไม่รู้สิอร่อยหรือไม่อร่อย” ไปถามแม่ค้าแม่ค้าบอกอร่อยไหม (อร่อย) เชื่อไหม (เชื่อ) แล้วพอกลับมากินไม่อร่อย ด่าแม่ค้าใหญ่เลย ฉะนั้น ถึงแม่ค้าจะพูดอย่างไรก็จงอย่าเชื่อ ไม่อย่างนั้นพระพุทธะไม่สอนหรอกว่า อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ จนกว่าเราจะได้พิสูจน์แล้วลิ้มลอง แม้แต่ตัวเราเอง เราว่าเรารู้จักตัวเราไหม เรารู้จักชีวิตไหม เราบอกว่ารู้ ไม่รู้มากก็รู้น้อย ใช่หรือไม่ ชีวิตก็คือชีวิต แต่พอความตายมา ความพลัดพรากมา เรารู้ไหม ก็รู้ รู้ว่าคนเราเกิดมาต้องตาย แต่พอความตายมาทำใจได้ไหม (ไม่ได้) อย่างนี้เราเรียกว่าเรารู้จักไหม (ไม่รู้จัก)  การที่เราบอกแบบนี้แปลว่า จงอย่ามีความประมาทในการดำเนินชีวิตและอย่าคิดว่าตัวเองเห็นและรู้ไปหมด พระพุทธะบอกว่า ไม่เห็นและไม่รู้
เรามาพูดแป๊บเดียว เดี๋ยวก็กลับแล้ว แต่เราอยากจะบอกอีกสักสองสามเรื่องดีไหม (ดี) ศิษย์น้องทุกคนชอบการทำบุญ ชอบการสวดมนต์ใช่ไหม (ใช่) ศิษย์น้องเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า เมื่อไรที่มนุษย์ไม่ยึดมั่นถือมั่นและไม่แขวนตัวเองไว้กับความคาดหวังยึดติด เชื่อไหมว่า การดำเนินวิถีทางนี้ยิ่งกว่าการจาริกแสวงบุญเป็นสิบๆ ปีอีกนะ มนุษย์โดยส่วนใหญ่มักจะยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ยึดมั่นความคิด ยึดมั่นความรู้ ยึดมั่นความคาดหวัง ใช่หรือไม่ ศิษย์พี่จะบอกศิษย์น้องว่าการยึดมั่นถือมั่นเป็นที่มาแห่งบาป แล้วรู้ไหมว่า ถ้าผู้ใดไม่ยึดมั่นถือมั่นและไม่แขวนตัวเองไว้กับความคิด ความปรุงแต่ง ความคาดหวัง คนนั้นจะเข้าสู่วิถีทางแห่งความประเสริฐยิ่งกว่าการแสวงบุญเป็นสิบๆ ปีอีก เราอธิบายง่ายๆ ว่ามนุษย์ส่วนใหญ่ชอบทำทาน ชอบบริจาคใช่ไหม (ใช่) การทำทานและบริจาคนั้น ทำให้เรารู้สึกดี แต่การรู้สึกดีแล้วยังยึดติดตัวตนว่า ฉันได้ทำบุญ ฉันเป็นคนดี และทุกครั้งที่ฉันได้ทำบุญ ฉันเป็นคนดี บางครั้งเจอใครไม่ดี เรารู้สึกว่าเขาไม่ได้เรื่องเลย ใช่ไหม (ใช่) เวลาเราจะรู้สึกว่าคนอื่นไม่ดีก็ตอนที่เรารู้สึกว่าเราเป็นคนดีมากๆ ใช่ไหม แล้วเวลาเราเป็นคนไม่ดีเราจะไม่ค่อยว่าใคร ใช่ไหม (ใช่) นั่นแหละการทำบุญจะไม่เกี่ยวอะไรกับการปลดเปลื้องบาปได้เลยนะ แต่การทำบุญโดยยึดมั่นถือมั่นกลับกลายเป็นการยึดติดอีกอย่างหนึ่ง เหมือนเวลาเราทำดีมากๆ เราหลงตัวเองไหม อย่างวันนี้เราไปทำบุญมาเราสบายใจ พอเจอคนว่าไปทำบุญมาแต่ก็ยังนิสัยเหมือนเดิม เราโกรธไหม (โกรธ) แกมันไม่เข้าใจ เรากำลังเดินทางบุญ แกมันเดินทางบาป อย่างนี้ถูกไหม (ไม่ถูก) แต่จริงๆ แล้วมันเป็นไปไม่ได้ เราอยู่ในโลกนี้ คนมีขาว มีดำ มีพูดเยอะ มีพูดน้อย ใช่หรือไม่ (ใช่) เราจะหวังให้ทุกคนพูดดีแล้วไม่พูดผิดได้ไหม (ไม่ได้)  เราจะยึดติดว่าอันนี้ดีแล้วอีกอันหนึ่งไม่ดีได้ไหม (ไม่ได้)  ถึงแม้ว่าปากเขาจะว่าเรา แต่เขากลายเป็นคนไม่ดีหรือเปล่า ก็ไม่ใช่
สมมติเราบอกว่าร่างกายนี้คือตัวตนในแบบที่เราเรียกว่าดี เราชอบ ฉะนั้นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับตัวเราก็คือสิ่งที่ไม่ดี แล้วเราก็ไม่ชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราบอกว่าเรายึดมั่นถือมั่นว่าคนดีของเราคือแบบนี้ ผอมๆ เล็กๆ เสียงแหลมๆ แต่คนไม่ดีของเราคือ อ้วนๆ ตัวใหญ่ๆ เสียงดังๆ ถูกไหม (ไม่ถูก) ไม่ถูกแล้วก็ไม่ใช่เสมอไปใช่หรือไม่ (ใช่) ผอมๆ เล็กๆ แหลมๆ ก็อาจจะกลายเป็นคนไม่ดีได้
ฉะนั้นเราจึงอยากบอกว่า ถ้ามนุษย์ยึดติดกับความรู้สึกว่าอันนี้ ดีอันนี้ไม่ดียังไม่เรียกว่าทางมาแห่งกุศล คนที่ไม่ยึดติดใดๆ ต่างหากนั่นจึงเรียกว่าบุญอันแท้จริง แต่มนุษย์เรามักจะยึดติดว่า ต้องแบบนั้นต้องแบบนี้ ต้องคนนั้นต้องคนนี้ ถ้าพ่อต้องเป็นแบบนี้ๆ ถ้าลูกต้องแบบนี้ๆ ถ้าไม่ใช่แบบนี้ ไม่ดี ไม่เอา ใช่ไหม เหมือนถ้าเราบอกว่าเรารักการเป็นคนผอมๆ คนอ้วนไม่ดีใช่ไหม (ไม่ใช่) แล้วคนอ้วนจะไม่ดีเสมอไปไหม (ไม่) ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ความรู้มาจำกัดความเข้าใจ อย่าปล่อยให้สิ่งที่เห็นมาบดบังความเป็นจริง แล้วเราอยู่กับใครก็จะมีความสุขได้
บางครั้งมนุษย์บอกว่าต้องรวย ต้องมีรถ ต้องมีบ้าน ถึงจะเรียกว่ามีความสุข ต้องมีแฟนที่รักเราถึงจะมีความสุข แต่จริงๆ แม้บ้านไม่มี รถไม่มี แฟนไม่มี เราก็มีความสุขได้ เพราะอันนั้นคือตัวตนที่แท้จริงของเรา รถ บ้าน แฟน คนที่รัก นั่นคือสิ่งเพิ่มเติมนะ แต่ตัวตนที่เรามีนั้นคือมันไม่มีอะไรเลย ฉะนั้นถ้ามนุษย์ไม่รู้จักทำความเข้าใจ มนุษย์ก็จะเป็นทุกข์เพราะความคิดของตัวเอง
จำไว้นะ สิ่งที่เห็นก็คือ (ไม่เห็น) สิ่งที่รู้จักก็คือ (ไม่รู้จัก) แล้วเราจะได้ไม่ต้องทุกข์เพราะเราบอกว่า เราเห็นมัน เรารู้จักมัน แต่ทำไมเป็นแบบนี้ เหมือนชีวิตเราเห็นว่า ชีวิตคือชีวิต แต่ถ้าวันหนึ่งชีวิตคือการพลัดพราก ชีวิตคือความเจ็บปวด เราจงจำไว้ว่า นั่นแหละชีวิต เพราะว่าความแข็งแรงมีความเจ็บป่วยซ่อนอยู่ ความสุขมีความทุกข์ซ่อนอยู่ ความเกิดมีความตายแอบแฝงอยู่ ฉะนั้นเห็นก็เหมือนไม่เห็น รู้ก็เหมือนไม่รู้ อย่ายึดมั่นถือมั่นว่า ฉันเห็น ฉันรู้ แล้วมันก็ต้องเป็นอย่างนั้นต้องเป็นอย่างนี้ จริงๆ แล้วไม่รู้เลย ไม่ใช่เลย ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนชีวิตต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ถ้าวันหนึ่งชีวิตเกิดแล้วมันไม่โตแต่ตายเลย ท่านจะบอกว่าไม่ใช่ชีวิตหรือ นี่ก็คือชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราโตมาแล้วคนอื่นบอกว่าเราสวย แต่คนนี้มาบอกว่าเราไม่สวย เราโกรธเขาไหม (ไม่โกรธ) เพราะเราไม่รู้สิ่งที่เขาเห็น ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความหมายอันนี้ว่า เห็นเหมือนไม่เห็น เข้าใจเหมือนไม่เข้าใจ ท่านจะไม่โกรธเกลียดใครและไม่กล้าหลงรักอะไรเพราะไม่แน่ใจ ทั้งที่เห็นอยู่กับตาว่าวันนี้เขารัก แต่ท่านมั่นใจหรือว่าสิ่งที่เห็นว่าเขาแสดงออกวันนี้มันจะมีในวันต่อๆ ไป
ฉะนั้น อย่าปล่อยให้ความคิดมันผูกอดีต ปัจจุบัน อนาคต แล้วต้องรวมกันเป็นแบบนี้เสมอ มิฉะนั้นท่านกำลังสร้างกรงขังใจให้ตัวเองทุกข์ ตอนนี้ต้องอยู่กับปัจจุบัน เขาไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน เราไม่มีเงินเหมือนเมื่อก่อน อย่าไปเอามันมารวมกัน บางครั้งชีวิตก็สั้น บางครั้งชีวิตก็ยาว บางครั้งชีวิตก็ไม่มีอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่) ท่านจำไว้ว่า “ความรู้แจ้งเพียงหนึ่งเดียว” มนุษย์แม้จะมีความมืดบอดมากี่ปีก็ตาม แต่ถ้ามีความรู้แจ้งแห่งธรรมะสว่างเพียงหนึ่งครั้งจะทำให้ความมืดบอดที่เคยมีในใจมันมลายหายสิ้นหมด กลายเป็นความสว่างและตื่นรู้ และเราพ้นทุกข์นิรันดร์ได้ก็เพียงแค่รู้แจ้งเห็นจริง เห็นเหมือนไม่เห็น รู้จักเหมือนไม่รู้จัก นี่แหละคือชีวิต อย่าประมาท เข้าใจไหม แล้วแม้ชีวิตจะทุกข์ขนาดไหน แต่ถ้าวันหนึ่งเราเข้าใจคำนี้ ความสว่างจะทำให้เราพ้นจากความมืดไปตลอดชีวิต พ้นจากความทุกข์แล้วพบสุขนิรันดร์ได้ เชื่อเราเถอะนะศิษย์น้อง
มีอีกอย่างหนึ่ง เรามีของขวัญปีใหม่จะเล่นกับท่าน ให้ทุกคนเขียนคำอวยพรใส่กระดาษแล้วหย่อนลงในกล่องทุกๆ คน ตอนนี้ใกล้จะปีใหม่ใช่ไหม (ใช่) เราอยากส่งความสุขไหม (อยาก) ฉะนั้นเราอยากให้คนอื่นมีความสุขอะไรเราก็เขียนแล้วหย่อนลงไปในกล่อง ดีไหม (ดี) เช่น อยากให้ทุกคนแข็งแรง อยากให้ทุกคนยิ้มได้ อยากให้ทุกคนมีความสุข เขียนอะไรไปก็ได้ ไม่ต้องยาวนะ เอาสั้นๆ เดี๋ยวกระดาษไม่พอ อย่าลืมทำนะ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้จะมีคำเฉลย อยากเล่นไหม เราอยากมีความสุขเก็บไว้คนเดียวไม่มีประโยชน์ ความสุขจะมีและยิ่งใหญ่ได้คือรู้จักส่งให้ ใช่หรือไม่


วันอาทิตย์ที่ ๓๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


ข้ามาจากความเปล่าไร้ ในความเป็นไปเช่นนั้น
กี่หมื่นกี่ปีผ่านผัน ธรรมนั้นมั่นคงเช่นเดิม
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มไหม


มีความรู้ไม่ออกแรงประโยชน์ใด ทำหรือไม่คือสุดที่แห่งกังขา
ใจมืดมัวไม่ลืมหูลืมตา ดั่งคนเมาเดินหน้าแต่ถอยหลัง
อุปสรรคไม่ลืมตาสองห้าห้าห้า กลัวหรือไม่สองห้าห้าหกบ้าง
ความพร้อมตั้งใหม่ปีหกกลับดัง สร้างพลังด้วยใจพร้อมทุกเรื่องดี
เสพติดคนมองหยุดพัฒนาอื่นใด มองธรรมด้วยใจสู่จิตเป็นวิถี
ไร้ตัวเราตัวเขาด้วยไม่มี อะไรที่มองมาหันตาย้อนมอง
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
(พระอาจารย์เมตตาเสด็จมาขณะที่อาจารย์บรรยายธรรมกำลังบรรยายหัวข้ออยู่)
อยากฟังเขาพูดหรือเปล่า (อยาก)  ถ้าอยากฟังเขาพูดอาจารย์ให้เขาพูด แล้วอาจารย์หลบอยู่หลังฉากดีหรือเปล่า (ไม่ดี อยากฟังอาจารย์) อาจารย์ว่าบางคนยังไม่รู้เลยว่าจะอยากไปทำไม ตอนนี้อยากอย่างเดียว อยากกลับบ้านจะแย่แล้วใช่ไหม ไหนใครว่าจะได้กลับบ้านแล้วดีใจยกมือขึ้น ศิษย์ไม่เคยได้ยินหรือ เขาชอบพูดกัน ใกล้ปีใหม่แล้วมาสร้างบุญสร้างกุศล มาฟังธรรมะข้ามปี มาสวดมนต์ข้ามปี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยังไม่ข้ามปีเลยจะกลับบ้านแล้ว อย่างนี้ก็ไม่ได้บุญล่ะสิ จะได้บุญก็ต่อเมื่ออะไรรู้ไหม ถ้าฟังแล้วเอาแต่บ่นจะได้บาปหรือเปล่า ฟังแล้วเอาแต่บ่นเบื่อหน่าย รำคาญ หงุดหงิด อย่างนี้เขาเรียกว่าฟังแล้วไม่ได้บุญ แต่ถ้าฟังแล้วสบายใจ โล่งใจ ดีนะได้เปิดปัญญา ได้เข้าใจ (อยากอยู่นานๆ บ้านก็ไม่ได้เช่า ข้าวก็ไม่ได้ซื้อ) แต่ถ้าอยู่นานๆ แล้วกลายเป็นคนขี้เกียจ อาจารย์ก็ไม่ให้อยู่นะ เพราะอยู่แล้วเสียนิสัย กินแล้วก็นอน พอนอนเสร็จก็ฟัง อย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้) อาจารย์ถามหน่อย นักเรียนในชั้นนี้ใครปลูกข้าวกินเองบ้าง แปลว่าคนที่ปลูกข้าวนี่กลัวอดไหม (ไม่กลัว) อาจารย์จะบอกให้นะคนปลูกข้าวเป็นไม่ต้องกลัวอด คนที่ปลูกไม่เป็นต้องกลัวอด ฉะนั้นถ้าเราปลูกข้าวเป็นแล้วที่เหลือเราก็ซื้อผักซื้อหญ้า ปลูกผักปลูกหญ้ากินต่อก็ได้นะ ก็ไม่ต้องลำบากไปจับเขียด จับกุ๊ดจี่ จับกิ้งกือ ไส้เดือน อะไรของศิษย์ก็ไม่รู้ แล้วหาเรื่องทำบาปใส่ตัวทำไม ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้ากินอยู่อย่างง่ายๆ ไม่เบียดเบียน เราก็มีความสุข เหมือนอาจารย์ถามว่า สิบบาทพอกินไหม (ไม่พอ) จริงๆ ถ้าคนปลูกข้าวเป็น ปลูกผักเป็น สิบบาทก็พอกิน ใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าเกิดว่าปลูกข้าวไม่เป็น ปลูกผักไม่เป็น สิบบาทอย่างไรก็ไม่พอกิน แต่นี่ศิษย์มีอะไรเป็นต้นทุน มีข้าวเป็นต้นทุนแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นต้องบอกว่าเราโชคดี อย่าบอกว่าเราโชคร้าย ถ้าคิดแบบนี้เรียกว่าโง่ เราเกิดมาเรามีน้ำพักน้ำแรง เราพึ่งตัวเองได้ ถ้าศิษย์ไม่ขี้เกียจจนเกินไป อาจารย์ว่าไม่มีวันอดหรอก จริงหรือไม่ (จริง) แต่มนุษย์ชอบขี้เกียจ มักง่าย อยากสบาย ทำอะไรก็ได้ลงทุนน้อยๆ แล้วได้กำไรเยอะๆ เบียดเบียนฆ่าตั๊กแตน ฆ่ากบเขียด กินลูกอ๊อด มันอร่อยแท้เลยหรือ มันอร่อยมากเลยหรือ
ศิษย์กลัวบาปไหม (กลัว) กลัวกรรมไหม (กลัว) กลัวเคราะห์ร้ายไหม (กลัว) ทำไมถึงกลัว ที่เรากลัวก็เพราะว่าเราไม่ควบคุมตัวเองในการพูด ทำ คิด ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าศิษย์รู้จักควบคุมในการพูด ทำ คิด บาปเคราะห์กรรม จะน่ากลัวไหม ถ้าตลอดชีวิตทำดีมาตลอด จะพูดอะไรสักนิด ถ้าทำให้คนอื่นเจ็บปวด ไม่พูดดีกว่า ถ้าจะกินแล้วต้องฆ่าสัตว์ต้องตัดชีวิตคนอื่น ถ้าอย่างนั้นไม่เอาดีกว่า คนแบบนี้ถ้าถึงเวลาเขามีเคราะห์มีกรรมในชีวิต ศิษย์ว่าเขาจะโดนหนักไหม (ไม่) แต่คนที่นึกอยากจะพูดก็พูด นึกอยากจะกินก็ฆ่า ศิษย์ว่าอันนี้น่ากลัวไหม (น่ากลัว) ฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกนะ เกิดมามีร่างกายนี่โชคดี แต่จงจำไว้ว่า ถ้าเราทำอะไรโดยไม่ระมัด ระวัง ไม่มีคุณธรรม ไม่มีค่าของความเป็นคน สักวันหนึ่งทุกชีวิตจะถูกชดใช้ แล้วค่าของการมีร่างกายนี้แต่ไม่สร้างประโยชน์อะไรให้กับผู้อื่น มีแต่เบียดเบียนทำร้ายเพื่อความสุขของตัวเอง สักวันค่าของการใช้ร่างกายนี้โดยยืนอยู่บนความทุกข์ของผู้อื่นจะถูกเรียกคืน และชดใช้อย่างสาสม อาจารย์ถามศิษย์นะ แค่ยุงกัดเอาเลือดแค่นิดเดียว ศิษย์ทำอย่างไร (ตบยุง) ตบมันจนตาย ใช่หรือไม่ (ใช่) นี่แค่ยุงเองนะศิษย์แล้วถ้าศิษย์เอาเขาทั้งชีวิต หนังก็เอาไปทำรองเท้า เนื้อก็เอามากิน กระดูกก็เอามาป่นเพื่อมาทำเป็นอาหารสัตว์ ศิษย์เอาทุกส่วนของเขาเลยนะ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วค่าของการเรียกคืนเขาจะเอาแค่ไหน ตบจนตายหรือ หรือทำให้เจ็บปวดจนถึงที่สุด ถลกเนื้อ ถลกหนังหรือเอาให้ตายทั้งเป็น ไม่เอากับศิษย์ก็ได้มันไม่เจ็บ ต้องเอากับคนที่ศิษย์รักที่สุดมันเจ็บยิ่งกว่า
ฉะนั้นปีใหม่อยากได้ของดี อยากได้บุญ อยากรวย อยากหมดเคราะห์หมดโศก แต่ถึงแม้วันนี้อาจารย์ให้ไปแต่ศิษย์กลับไปพูดไม่ระวัง กินไม่เกรงกลัวบาปกลัวกรรม เบียดเบียนคนอื่นโดยที่ฉันมีความสุข คนอื่นช่างเขา แล้วศิษย์จะหนีกรรมพ้นไหม (ไม่พ้น) ถ้าอย่างนั้น อาจารย์ขอถามอะไรตลกหน่อย “หัวล้านได้หวี” แปลว่าอะไร ความจริงก็คือได้ในสิ่งที่ตัวเองไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้ เพราะไม่มีอะไรที่จะให้หวี ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าอย่างนั้นหัวล้านได้วิกแปลว่าอะไร (ได้ของจอมปลอม) จริงๆ แล้วอาจารย์มีปริศนาอยู่ในนั้นนะ ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม ถ้าจิตสงบแล้ว กิเลส ตัณหา ราคะ จะมีผลอะไรต่อใจ เงินทอง ลอตเตอรี่ หวยสามตัว จะมีผลต่อใจเราไหม (ไม่มี) ถ้ามนุษย์มองเห็นแจ้งชัดเจน ใจของเรานั้นจริงๆ แล้วมันว่างเปล่า สรรพสิ่งนั้นมันก็ว่างเปล่า มันไม่มีอะไร แล้วอะไรมันจะทำให้อะไรมีความสุข แล้วอะไรมันจะทำให้อะไรต้องเป็นทุกข์ เพราะทุกสิ่งมันคือความว่าง ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์เลยเอาความเข้าใจอันนี้มาบอกอาจารย์ว่าถ้าตายแล้วก็ว่าง จะไปกลัวอะไรกับการทำบาป ใช่ไหม (ใช่) แต่สิ่งที่น่ากลัวในความว่างก็คือ ถ้าเขาไม่เห็นว่าว่าง แต่เขาเห็นเป็นความแค้น เป็นอารมณ์ เป็นความยึดติด เป็นความผูกอาฆาต สิ่งที่ว่างก็กลายเป็นมี สิ่งที่ควรจะจบก็กลายเป็นไม่จบ ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้สิ่งที่อาจารย์อยากมาคุยกับศิษย์ก็คือว่า ถ้าเรารู้เท่าทันในตนและเห็นชัดในโลก ใดๆ ในโลกจะทำให้เราทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้) เหมือนหัวล้านได้หวี ถ้าศิษย์มองเห็นชัดว่าตัวเองหัวล้าน หวีทองหวีเพชร จะเอามาทำไม มันไม่ได้ประโยชน์ เก็บมาก็กลุ้มใจเปล่าๆ เก็บมาก็กังวลว่าจะเก็บไว้ไหนดีนะ ถ้ามีแล้วไม่ได้ใช้ เขาเรียกว่ามีดีไหม แต่เราเป็นอย่างนั้นไหม มีให้อุ่นใจ พอหายก็ตกใจเสียใจ อย่างนั้นสู้ไม่มีดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์ถามว่า อะไรเอ่ยสามารถรวมทุกสิ่งในโลกให้มาอยู่ได้ เก็บทุกสิ่งในโลกได้ แต่สิ่งนี้บางครั้งแม้เส้นผมเส้นเดียวก็เก็บไม่ได้ บางครั้งดูมันเหมือนจะกว้างใหญ่ แต่บางครั้งพอคับแคบปุ๊บ ผมเส้นเดียวมันก็ไม่เอา ศิษย์พอรู้ไหมว่าอะไร (จิตใจและความคิด) ท่านว่าเขาตอบถูกไหม (ถูก) ทำไมบางคนคิดไม่ออกเลย เพราะเราไม่เคยรู้ใจตัวเราเองเลย จริงไหม (จริง) ใจของศิษย์เวลาอารมณ์ดี เวลาสบายใจ โลกทั้งโลกก็แบกไหว แต่ถ้าเวลาอารมณ์เสียหงุดหงิดไม่สบายใจ แค่เรื่องนิดเดียวก็รับไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้น แปลว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเราสามารถรับได้ ถ้าเราเข้าใจตัวเอง และทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเราอาจจะรับไม่ได้เลย ถ้าเราไม่รู้ใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์จึงอยากบอกศิษย์นะว่า ชีวิตมีทางเลือกเสมอ แต่อยู่ที่ว่าเราจะเลือกตามใจตัวเอง หรือเราจะเลือกอย่างคนที่รู้จักยั้งคิดแล้วมองให้ออก คนที่ชอบตามใจตัวเองเสมอก็ไม่ต่างอะไรกับสรรพสัตว์ มีชีวิตตามอารมณ์ แต่คนที่ทำอะไรรู้จักยั้งคิด ใช้ปัญญาใช้สติใช้คุณธรรม นี่แหละเรียกว่ามนุษย์ผู้ประเสริฐ
มนุษย์ต่างกับสัตว์ตรงไหน ต่างกันตรงที่มีปัญญา ประเสริฐกว่าตรงที่รู้จักเอาคุณธรรมมายับยั้งชั่งใจ แต่ถ้าเรามีชีวิตอยู่ปล่อยไปตามอารมณ์ไร้คุณธรรม ท่านก็คือคนที่มีกายเป็นมนุษย์แต่มีหัวใจเป็นอะไร (สัตว์) ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอย่าให้เขาพูดว่าเราเป็นสัตว์ประเสริฐ แต่เรากลับทำให้ตัวเองโชคร้าย อย่างนี้น่าเสียดาย ใช่ไหม (ใช่) ไม่ไหวแล้วหรือ (ยืนไม่ได้) ขึ้นชื่อว่าชีวิตต้องยืนและนั่ง ถ้านั่งแล้วไม่ยืนระวังจะไม่ใช่ชีวิต ถูกไหมศิษย์ (ถูก)  เพราะว่าถ้าเกิดไม่สู้นะศิษย์ มันจะนั่งไปตลอดชีวิตแล้วต่อไปนี้ศิษย์จะยืนไม่ได้ อาจารย์บอกแล้วอย่าให้ร่างกายมันขังใจเรา ใจเรามันยิ่งใหญ่นะศิษย์ แต่ถ้าเราบอกว่าไม่สู้แค่นี้มันก็ตายแล้ว แต่ถ้าเราบอกสู้ แค่นี้ก็ไหว ใช่ไหม ศิษย์เคยเห็นไหมยิ่งอายุมากทำไมคนบางคนบอก “โอ๊ย ไม่ไหวๆ” แล้วผลสุดท้ายเป็นอย่างไร ก็ไม่ไหวไปตลอดชีวิต แต่ถ้าเราบอกว่าไหวมันก็ไหว ใช่ไหม (ใช่) ต้องสู้เพื่ออาจารย์ ถ้าไม่สู้ศิษย์ก็อาจจะไม่มีชีวิตแล้วนะ
ฟังรู้เรื่องหรือเปล่า นอกจากมีคนมาจากประเทศลาว ยังมีมาจากประเทศญี่ปุ่นด้วยนะ ฉะนั้นศิษย์บอกเบื่อจริงๆ เมื่อยจริงๆ มีคนเบื่อและเมื่อยกว่าศิษย์อีก เพราะเขาฟังไม่รู้เรื่อง ฉะนั้นอย่ายอมแพ้ เขามาตั้งไกล ฟังไม่รู้เรื่องยังนั่งทนฟัง ศิษย์ฟังรู้เรื่องกลับไม่ยอมทน น่าเสียดายนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
คงไม่เบื่ออาจารย์ใช่ไหม เมื่อสักครู่อาจารย์บอกศิษย์ว่า ถ้าเรารู้และเข้าใจโลก รู้และเท่าทันตัวตน ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ให้พ้นจากความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่สิ่งที่ยากก็คือบางครั้งเรายังไม่เข้าใจตัวเอง แล้วเราจะไปเข้าใจโลกมันก็เลยยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ ขึ้นชื่อว่าตัวตนนั้น เราเคยมองเห็นตัวเราเองชัดเจนไหม (ไม่) ไม่ค่อยชัดหรือ อาจารย์ถามหน่อยนะว่า คำว่าตัวตนส่วนใหญ่จะประกอบด้วยอะไร คนก็จะบอกว่า สิ่งที่เรียกว่าตัวตนก็ต้องประกอบไปด้วยทั้งหมด ใช่ไหม (ใช่) แม้เราจะมองเห็นตัว แต่ถามว่าเราเข้าใจใจเราไหม บางครั้งเราไม่ค่อยเข้าใจ แต่ส่วนใหญ่ถ้าถามว่าเราทุกข์เพราะอะไร ง่ายกว่านะอาจารย์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ส่วนใหญ่เราบอกว่าเราทุกข์เพราะอยาก อาจารย์ถามอีก อยากเพราะอะไร (อยากเพราะความจน) จริงหรือหัวหน้า เพราะจนเลยต้องอยากใช่หรือไม่ (ใช่) (ไม่รู้จักพอ) อยากเพราะไม่รู้จักพอใช่ไหม (ใช่) เพราะจนเราจึงอยากหรือเปล่า บางทีไม่ใช่แต่ที่เราอยากเพราะว่า เรามีหน้าที่ต้องบำรุงเลี้ยงร่างกาย เราจนหรือไม่จนเราเอาตัวเราไปเทียบกับใคร ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหัวหน้า หัวหน้าบอกว่าที่อยากเพราะจน ฉะนั้นถ้าไม่จนหัวหน้าก็จะไม่อยากใช่ไหม (ใช่) อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะในห้องนี้หรือในโลกใบนี้หัวหน้าคิดว่าหัวหน้าจน ไหม (จน) แน่ใจหรือ (แน่ใจ) บ้านมีไหม (มีแต่ยังสร้างไม่เสร็จ) ที่นามีไหม (มี) ศิษย์ว่าหัวหน้าจนไหม (ไม่จนเพราะมีที่ทำกิน มีบ้านอยู่) อาจารย์ว่าศิษย์ไม่ได้จนที่ทำกิน ไม่ได้จนเงินแต่ศิษย์จนปัญญา แล้วพอจนปัญญาก็เลยทำให้จนใจ แล้วจึงทำให้รู้สึกว่าจน ฉะนั้นจนไหมศิษย์ (ไม่จน) อาจารย์ถึงบอกศิษย์ว่า ใจจริงๆ สามารถกว้างใหญ่ได้แล้วมันก็สามารถแคบนิดเดียวได้ ขอเพียงแค่ศิษย์รู้ใจตัวเองนะศิษย์ สิ่งที่มันแคบมันก็จะกลายเป็นกว้าง โล่ง แต่อะไรที่จะทำให้เราสามารถควบคุมใจเราได้ และทำให้ใจเราพ้นทุกข์พ้นกิเลส อะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าใจตัวนี้และอะไรที่ทำให้ใจตัวนี้มีอันนี้แล้วทำให้เรา พ้นทุกข์แล้วยิ่งใหญ่ ศิษย์เคยมองหาไหม ศิษย์เคยมองหาแต่ภายนอกว่า มีเกียรติแล้วฉันใหญ่ มีตังค์ฉันใหญ่ ใช่ไหม (ใช่) จริงหรือ มีตังค์แล้วเราใหญ่กว่าคนอื่นไหม มีเกียรติแล้วฉันใหญ่กว่าคนอื่นหรือ (ไม่) ลองคิดให้ดีๆ ถึงที่สุดแล้ว เขาก็อาจจะเล็กกว่าก็ได้ แล้วใครล่ะใหญ่ที่สุดในโลก หาไม่เจอ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์เอ๋ย มองให้ดีๆ แล้วเราจะได้เข้าใจหัวใจตัวเอง แต่จะเข้าใจอย่างไร อะไรล่ะที่ทำให้เราไม่เข้าใจตัวเองแล้วควบคุมใจตัวเองไม่ได้
“ความคิด” “กิเลส” กิเลสทำให้ศิษย์มองไม่กว้าง ความคิดทำให้เราไม่สามารถเห็นอะไรได้อย่างแจ่มชัด แล้วเราจะทำอย่างไร ให้เราสามารถมีใจที่กว้างและสามารถควบคุมสิ่งต่างๆ ได้โดยไม่ทำให้ตัวเองทุกข์ ทำให้ใหญ่ก็ได้ เล็กกระจ้อยร่อยก็ได้ ก้าวข้ามทุกข์ก็ได้หรือจมอยู่กับทุกข์ก็ได้ ศิษย์ว่าอะไร (เราต้องมีสมาธิและปัญญา, ความเมตตา, มีคุณธรรม, จิตสำนึกของคน, ศีล สมาธิ ปัญญา)
(จิตที่บริสุทธิ์) จิตที่สกปรกทำให้เราก้าวไม่ข้าม แต่จิตที่บริสุทธิ์ จิตที่มีเมตตาธรรมทำให้เราก้าวข้าม ถ้าตอบได้แค่นี้อาจารย์จะเฉลยแล้วนะ
(ไม่เบียดเบียนผู้อื่น, รู้จักเสียสละ, มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) เอาหมดเลย แต่ทำไม่ได้สักอย่างเลย ถึงเวลาเมตตาไม่ออก ถึงเวลาวางใจเป็นกลางไม่ได้ ถึงเวลากรุณาให้เขาไม่ได้ ยอมไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)
อาจารย์จะบอกสิ่งหนึ่งนะที่เป็นปัญหาที่ทำให้มนุษย์เราไม่สามารถก้าวข้าม ความทุกข์ได้ ไม่สามารถเปิดใจให้กว้างและมองเห็นโลกได้ชัดเจนได้ นั่นคือความรู้สึก แค่นั้นเองนะศิษย์ จริงไหม (จริง) ก็เมื่อสักครู่อาจารย์บอกแล้ว เราแบกโลกทั้งใบได้ถ้าเราอารมณ์ดี แต่ถ้าเราอารมณ์เสียโลกทั้งใบเราก็ไม่เอา ใครมาชมเชยอะไรเราก็ไม่อยากได้ มันแค่ความรู้สึกเท่านั้นเองนะ ฉะนั้นถ้าเวลาเรามีใจ อาจารย์ถามง่ายๆ ให้ยืนดูมวยชั่วโมงหนึ่งทำไมยืนไหว เพราะอะไร เพราะชอบ รู้สึกดี รู้สึกสนุก ใช่หรือไม่ (ใช่) นั่งดูฟุตบอลสองชั่วโมง ตีห้า เที่ยงคืน ไหวไหม (ไหว) ทำไมไหวล่ะ (ชอบ) อาจารย์ถามผู้หญิง ถ้าไปช้อปปิ้ง แป๊บๆ ทำไมค่ำไวจัง แต่เวลานั่งฟังธรรมะ ยังไม่ค่ำอีกหรือ เห็นไหมว่าแค่มีใจนะศิษย์ แค่มีใจอะไรๆ ก็ทำได้ แต่ถ้าไร้ใจแล้ว นิดหนึ่งศิษย์ก็ไม่ทำ ถูกไหม (ถูก) ถ้าเกิดว่ามีใจเราทำได้ ไม่มีใจเราไม่ทำ นี่คือสิ่งที่ศิษย์ควรรู้ และศิษย์เป็นอยู่ ใช่หรือไม่
แต่การเรียนรู้ธรรมะไม่ใช่แค่มีใจ ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ถ้าเข้าใจไม่จำเป็นต้องทน ถ้าเข้าใจไม่จำเป็นต้องอดทนอดกลั้น ถ้าเข้าใจไม่จำเป็นต้องเมตตาแล้วเมตตาอีก เพราะเข้าใจ เคยได้ยินคำนี้ไหม สมมติเขาด่าศิษย์ทำไมศิษย์ยิ้มได้ ชักแม่น้ำทั้งห้าแล้วก็ด่าๆ ทำไมยิ้มได้ ถ้าศิษย์บอกว่าคนนั้นคือแม่ผม ทำไมผมถึงยิ้มได้ เพราะผมเข้าใจว่าที่แม่พูดมา จะด่าผมให้เจ็บปวดขนาดไหน ผมก็เข้าใจเพราะว่าเขารักผม นั่นเพราะว่าแค่มีใจไหมแต่เรียกว่าเข้าใจ เหมือนกันนะศิษย์ เราอยู่บนโลกนี้ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงของโลก เข้าใจความเป็นจริงของทุกคน เข้าใจความเป็นจริงของสรรพสิ่ง อะไรมันจะทำให้ศิษย์เจ็บปวดได้ เหมือนแม่ตีเรา เราก็ไม่โกรธเพราะแม่รัก ทำไมเราไม่โกรธไม่ว่าแม่ที่ตีเรา เพราะเราทำผิดเขารักเขาอยากสอนเราให้เราได้ดี ฉะนั้นก็เหมือนกันนะศิษย์เราอยู่ในโลกทำอะไรสักอย่างแล้วมีคนด่าศิษย์ ศิษย์จงรู้ไว้เลยว่าศิษย์กำลังดำเนินชีวิตผิดปกติอะไรไหม จึงทำให้เขาว่า ไปทำอะไรให้เขาเจ็บปวดไหม เหมือนร่างกายถ้ามันปกติมันจะมีโรคไหม (ไม่มี) ถ้ามันมีโรคแปลว่าเรากำลังดำเนินชีวิตผิดปกติ ถ้าเราอยู่กับคนปกติเขาไม่ด่า แต่อยู่เขาด่าแปลว่าเรากำลังทำอะไรผิดปกติแล้วเขาไม่เข้าใจ เขาจึงด่า ใช่ไหม แต่ถ้าศิษย์เข้าใจแล้วศิษย์จะด่าเขาไหม แล้วถ้าศิษย์เข้าใจ ศิษย์จะโกรธไหม (ไม่โกรธ) ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะ การเรียนรู้ธรรมะไม่ใช่การพยายามมีใจ เท่านั้นไม่พอ แต่ศิษย์ต้องเข้าใจแล้วเข้าให้ถึง แล้วจะทำให้ศิษย์มองอะไรก็ไม่โกรธ เห็นอะไรก็ไม่ขัดหูขัดตา เพราะเข้าใจ แล้วเราจะเข้าใจจนไม่โกรธไม่เกลียดได้ เข้าใจยากเหมือนกันใช่ไหมศิษย์
อาจารย์จะบอกว่าวิธีที่จะเข้าใจคนได้และทำให้เราเข้าใจแล้วไม่โกรธ ไม่เกลียดได้ นั่นคือเราไม่ยึดติด เราไม่คาดหวัง เราไม่มีอะไรจำอยู่ในใจว่าถ้าเป็นแฟนฉันต้องรักเดียวใจเดียว ถ้าเป็นแฟนฉันต้องมีฉันแค่คนเดียวอย่ามีคนอื่นเป็นไปได้ไหม  ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากฝึกใจกว้างและเข้าใจสรรพสิ่งในโลกที่สำคัญก็คือ ต้องไม่มีความชอบชังอะไรในใจ ศิษย์เคยได้ยินสำนวนหนึ่งไหม บูชาพระพุทธรูปร้อยพันองค์ ไม่สู้บูชาพระพุทธะหนึ่งองค์ที่ไร้ใจ เมื่อใดที่มนุษย์ยังมีความยึดติดมั่นหมาย ว่าแบบนี้ฉันชอบ แบบนี้ฉันไม่ชอบ คนนี้เรียกว่าดี คนนี้เรียกว่าไม่ดี เมื่อนั้นศิษย์จะถูกตีโต้ให้เจ็บปวดได้ แต่เมื่อใดศิษย์สามารถวางใจให้ไม่ยึดติดอะไรดี อะไรไม่ดีศิษย์จะไม่มีวันถูกใครทำให้เจ็บปวดได้ ทำไม่ได้ใช่ไหม (ทำได้) ทำไมยิ่งนั่งฟังยิ่งเงียบไปเลย อาจารย์พูดเรื่องยากไปไหม เมื่อสักครู่อาจารย์พูดว่า ก่อนที่จะรู้จักผู้อื่น เราจะต้องรู้ใจตัวเองก่อน ฉะนั้นถ้าใจศิษย์ยังยึดติดว่า คนดีฉันชอบ คนไม่ดีฉันไม่ชอบ ถ้าศิษย์ยังยึดติดแบ่งแยกศิษย์จะไม่มีวันเข้าใจ แต่ถ้าศิษย์มองเห็นว่า สิ่งที่เราแบ่งแยกนั้น แท้จริงแล้วคนไม่ดีก็มีสิทธิ์เป็นคนดีได้ และคนดีๆ บ่อยครั้งก็ทำให้เราเจ็บช้ำเพราะความไม่ดีได้เหมือนกัน ถูกหรือไม่ (ถูก)
(พระอาจารย์เมตตาให้นำกล่องใส่คำอวยพรของนักเรียนและผู้ปฏิบัติงานธรรม ออกมาให้นักเรียนในชั้นจับ โดยพระอาจารย์ได้ทำสัญลักษณ์ลงไปบนแผ่นกระดาษ)
เมื่อวานศิษย์พี่พระนาจาให้ทุกคนเขียนคำอวยพรลงไปในกล่องนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่รางวัลทุกรางวัลบนโลกใบนี้มันต้องมีรางวัลใหญ่ ถ้าอย่างนี้อาจารย์บอกว่ารางวัลใหญ่ของอาจารย์เป็นน้ำมนต์ของอาจารย์เอง รางวัลรองลงมาเป็นแอปเปิล อยากลุ้นไหม (อยาก) น้ำมนต์นี้กินแล้วทำให้สุขภาพแข็งแรงปัญญาดี แอปเปิลนี้กินแล้วทำให้มีสุขไม่ต้องมีทุกข์ จริงไหม (จริง) จริงหรือ แอปเปิลไม่มีประโยชน์เท่าความรู้ความเข้าใจนะ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าอย่างนั้นอาจารย์เลือกมาสักใบหนึ่ง และอาจารย์บอกว่า ถ้าคำไหนมีคำเขียนและมีเครื่องหมายดอกจัน แปลว่าคนนั้นได้รางวัลพิเศษ แต่รางวัลใหญ่ส่วนใหญ่มีอันเดียว ใช่ไหม แต่ถ้าแอปเปิลนี้มีหลายลูกหน่อยดีไหม (ดี) ถ้าวาดเป็นวงกลมได้น้ำมนต์ของพระอาจารย์ แต่ถ้ามีคำเขียนแล้วมีเครื่องหมายดอกจันแปลว่าได้แอปเปิล แต่ว่าในโชคดีมักจะมีโชคร้าย ใช่ไหม (ใช่) ถ้าอย่างนั้นอาจารย์บอกว่าในรางวัลนี้มีโชคร้ายด้วยจะเล่นไหม (เล่น) คิดไว้แล้วว่ามนุษย์ก็มักจะเป็นแบบนี้ เหมือนอาจารย์ถามว่าชีวิตนี้มีสุขมีทุกข์ไหมหรือว่าจะเสี่ยงได้กับเสี่ยงไม่ ได้ จะเสี่ยงไหม ก็ยังจะเสี่ยง ใช่ไหม (ใช่)
อาจารย์ถามว่าถ้ามีลูกไฟก้อนหนึ่ง ศิษย์ว่าคนไม่รู้ว่าลูกไฟนี้ร้อนมาจับจะร้อนกว่าคนที่รู้ว่าลูกไฟนี้ร้อน แล้วมาจับ ใครจะร้อนกว่ากัน คนรู้หรือคนไม่รู้ (คนไม่รู้) อย่างนั้นถ้าเกิดเรารู้ว่าคนไม่รู้ร้อนกว่าก็แปลว่า ถ้าเกิดคนไม่รู้ร้อนกว่า จับแล้วมันจะยิ่งร้อน ใช่หรือไม่
ชีวิตนี้ของศิษย์ ศิษย์รู้ไหมว่ามันร้อนหรือมันจะไม่ร้อน (ไม่รู้) แล้วศิษย์รักมันไหม (รัก) แล้วศิษย์จับมันไหม (จับ) แล้วเป็นอย่างไร ร้อนไหม (ร้อน) แล้วยังจับไหม เหมือนกับการเสี่ยงทายนะศิษย์เอ๋ย รู้ว่าชีวิตต้องมีเสี่ยงทายยังยึดมั่นถือมั่นไหม ก็ยึด ใช่หรือไม่ อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า ระหว่างกอดกองไฟกับกอดกองเงิน กอดอะไรดีกว่ากัน
(กอดกองเงิน) แล้วคนอื่นล่ะ
(กองไฟ) ทำไมถึงกอดกองไฟล่ะ (ทุกวันนี้ก็กอดอยู่แล้ว) แล้วอะไรเป็นไฟสำหรับศิษย์ (จิตใจ)
(กอดกองเงิน) ไม่จนแล้วจะกอดมันทำไมล่ะ บ้านก็มีที่ก็มี ยังอยากได้เงินอีก
(ไม่กอดสักกอง) เพราะอะไร (เพราะว่ากอดกองไฟไปก็ร้อน กอดกองเงินถ้าตกไปก็เดือดร้อนใจ) ตอบได้ดี ปรบมือหน่อย ชื่นใจ พูดธรรมะมาตั้งนานมีคนหนึ่งคิดได้อาจารย์ก็ดีใจแล้ว
ศิษย์เอยอาจารย์อยากจะบอกว่าที่เปรียบเทียบอย่างนี้เพราะอะไรรู้ไหม ไฟเวลากอดมันร้อน เราเลิกกอด แต่เงินกอดร้อนแล้วเราเลิกกอดไหม (ไม่เลิก) ปล่อยไหม (ไม่ปล่อย) ยึดไหม (ยึด) โง่ไหม (โง่) เอาไหม (เอา) นั่นแหละอาจารย์ถึงได้งงชีวิต ถามว่ารู้ไหมว่าใจเป็นอย่างไร แต่ยังอยากไหม ก็มันยังอยาก จริงๆ แล้วโลภ โกรธ หลง มันมาจากใจที่รู้สึก เรารู้สึกชอบ ชอบมากๆ ก็กลายเป็นอยาก อยากมากๆ ก็กลายเป็นโลภ พอโลภมากๆ ก็กลายเป็นเห็นแก่ตัวก็เลยต้องมาทำบุญ ให้ทาน ถูกไหม (ถูก) เวลาไม่ชอบ ไม่ชอบมากๆ ก็กลายเป็นเกลียด เกลียดมากๆ ก็กลายเป็นโกรธ โกรธมากๆ ก็กลายเป็นแค้น ก็เลยต้องใช้ศีลมาควบคุม ถูกไหม (ถูก) มีอีกอย่างหนึ่ง อารมณ์ของมนุษย์มีอยู่แค่สามอย่าง ไม่ชอบก็ชัง ไม่ชอบไม่ชังก็เฉยๆ แต่ปล่อยไหม ไม่ปล่อย เก็บไว้ก่อน แล้วมันมากๆ เข้าเก็บไว้ก่อน แต่ไม่แยกว่าอันนี้ผิดชอบชั่วดี เอาไว้ก่อน มีไว้ก่อน ก็กลายเป็นหลง หลงมากๆ ก็เลยต้องใช้ปัญญา ถูกหรือเปล่า แต่ถ้าอาจารย์บอกว่าเราหยุดตั้งแต่ความรู้สึก เราจำเป็นจะต้องทำทานไหม ไม่จำเป็นเลย เราเข้าใจตั้งแต่ก่อนเกลียด เราจะต้องเอาศีลมาควบคุมความโกรธไหม (ไม่) เราจะต้องเอาธรรมะมาข่มใจไหม (ไม่) ฉะนั้นถ้าเรามองเห็นชัดเจน มองเห็นโลกชัด มองเห็นคนชัด เรามีปัญญารู้ชัดแล้ว เราจะหลงไหม (ไม่หลง)
ฉะนั้นสิ่งที่อาจารย์บอกว่าทำไมคนเราต้องมีคุณธรรม ก็เพราะว่าเรายังควบคุมความรู้สึกไม่ได้ พอควบคุมความรู้สึกไม่ได้ก็เลยต้องมีทาน ศีล สมาธิ ปัญญา แต่ถ้าศิษย์ควบคุมความรู้สึกได้เพียงศิษย์เข้าใจตัวเอง รู้เท่าทันตัวเอง และเข้าใจโลก ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่จำเป็นต้องมี มันจะเกิดขึ้นเองด้วยความเข้าใจ ไม่โกรธเขา เพราะเขายังไม่เข้าใจเรา หรือเราอาจจะพูดผิดเอง เราเลยไม่โกรธ
อยากได้ไหม ไม่อยากได้ เพราะอยากได้มากไปทำไม เพราะยิ่งอยากได้มากก็กลายเป็นหลง แล้วก็โลภ พอโลภมากๆ ก็กลายเป็นเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวมากๆ รู้สึกตัวเองไม่ดี แย่เลยเหลือเกินจึงต้องไปทำทาน ใช่ไหม (ใช่) เวลาตัวเองแย่มากๆ ว่าคนอื่นมากๆ ไปทำบุญ แต่ถ้าเราควบคุมตั้งแต่ความรู้สึก หยุดตั้งแต่ความรู้สึก รู้จักพอบ้าง มันจะกลายเป็นโลภ โกรธ หลงแล้วต้องใช้ทาน ศีล สมาธิ ปัญญาไหม (ไม่ต้อง)
ศีล คือ จิตที่ปราศจากความด่างพร้อยของทุจริต
สมาธิ คือ หัวใจที่นิ่ง ไม่หวั่นไหว เมื่อโดนกระทบก็ไม่โกรธ ไม่ว่าจะเป็นดี ร้าย ได้ เสีย ทุกข์ สุข ที่เราไม่โกรธเพราะเราไม่ได้ติดค้างอะไรกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราก็ไม่ได้ถือตัว เราทุกข์เพราะเราถือตัว
ปัญญา คือ หัวใจที่เป็นอิสระแล้ว หลุดพ้นจากการผูกมัดใดๆ ในโลก
จริงๆ แล้ว ศิษย์ก็มีศีล สมาธิ ปัญญาครบ แต่ที่เราต้องนำมันมาใช้เพราะยังรู้สึก แค่รู้สึกเองนะศิษย์ ทำให้ศิษย์ต้องตกนรก ฉะนั้นชีวิตมีทางเลือก ถ้าอยากรู้สึกอะไรทำไปเลย บาปนะศิษย์ แต่ถึงเวลาศิษย์ไปเจอกรรมที่ต้องรับ ศิษย์เรียกอาจารย์ แต่อาจารย์ขมขื่นมากเพราะช่วยอะไรไม่ได้ เพราะกรรมที่ศิษย์สร้างมา ศิษย์ต้องรับ ถ้ามนุษย์ยังไม่สามารถเข้าใจถึงตัวตนที่แท้จริงนี้ ศิษย์ก็ยังต้องสร้างตัวตนให้เวียนว่ายไม่จบสิ้น แล้วถ้าศิษย์ยังยึดมั่นถือมั่น หลงตัวตนนี้ ทั้งที่จริงๆ แล้วถึงที่สุดแล้วมันคืออะไรรู้ไหมศิษย์ มันคือสิ่งที่ไม่เที่ยง มีทุกข์และว่างเปล่า
ทุกๆ คนในโลกนี้เขาด่ามา หัวเราะไว้ เดี๋ยวมันก็ไม่เที่ยง เขาด่ามา เดี๋ยวมันก็ไป ศิษย์ดีใจถูกรางวัลลอตเตอรี่ ถูกรางวัลสามตัว เดี๋ยวมันก็หมด อย่างนั้นจะดีใจทำไมศิษย์ แล้วอยากทำไม อย่างที่ศิษย์พี่พระนาจาบอกศิษย์ทุกๆ คน คือเห็นเหมือน (ไม่เห็น)  รู้เหมือน (ไม่รู้)  เพราะมันเปลี่ยนแปลงได้ มันหาที่สิ้นสุดไม่ได้ แต่เราจะหาที่สิ้นสุดได้ด้วยการรู้และเข้าใจโลก ถ้าเรารู้เท่าทันใจตัวเองแล้วมองเห็นโลกชัด ที่ศิษย์บอกว่าเกิดเป็นคนต้องมีศีล สมาธิ  ปัญญา จริงๆ แล้วอาจารย์อยากบอกว่ามันมีได้ ขอเพียงจิตของศิษย์ไม่มีอะไรอยู่ในความคิดเลย ไม่มีอะไรอยู่ในใจเลย ศิษย์ก็มีศีลครบ ถูกไหม แต่ศีลจะไม่ครบก็ต่อเมื่อมีสาวเดินมาแล้ว เราหวั่นไหว มันเลยก็เกิดการฉุดดึงเหนี่ยวรั้ง แล้วก็เวียนว่ายไม่จบสิ้น ถ้าเราเห็นทุกสิ่งไม่เที่ยง เราจะยึดอะไร ถ้ายึดก็คือคนโง่ เห็นแล้วไม่ด่างพร้อย ไม่หวั่นไหว ศิษย์ก็สามารถเกิดแล้วก็ดับ แล้วก็จบได้ แต่ถ้าเห็นแล้วเกิดความรู้สึก รัก โลภ โกรธ หลง เกลียด นั่นแปลว่าเราหวั่นไหว แปลว่าเราไม่เข้าใจ เราก็เลยหนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาวงพระโอวาทหน้าชั้น คนที่ยังไม่ออกมาวงก็ให้จับฉลากในกล่องคำอวยพรไปเรื่อยๆ)
แอปเปิลนี้จะเป็นแอปเปิลมงคลได้และเป็นแอปเปิลที่ดีได้ เมื่อเราเอาไปทำอะไร (แบ่งให้คนอื่นกินด้วย) ทำให้ได้นะ มงคลจะได้ไม่อยู่แค่ตัวเราแต่รู้จักส่งต่อไปถึงคนอื่นด้วยเข้าใจไหม แล้วแบ่งให้ใคร (แบ่งให้เพื่อนๆ) พ่อแม่ไม่เคยนึกถึงเลย ญาติพี่น้องไม่เคยนึกถึงเลย นึกถึงแต่เพื่อนใช้ได้ไหม (ฝากลูก หลาน) แล้วเพื่อนบ้านไม่ฝากหรือ
มีใครได้แอปเปิลอีก โชคดีด้วยใช่ไหม อาจารย์ไม่ได้แอบนอกแอบในใช่ไหม เอาไปทำอะไรดี (เอาไปแบ่งเพื่อน) พ่อแม่ไม่เคยนึกถึงเลยนะเด็กสมัยนี้ เอาไปทำไรดี (ให้เป็นของขวัญปีใหม่) เอาไปทำอะไร (อวยพรปีใหม่)
(มีนักเรียนในชั้นคนหนึ่งได้แผ่นคำอวยพรที่มีเครื่องหมายวงกลม ได้น้ำมนต์จากพระอาจารย์)
เอาไปทำอะไรดีจะได้เกิดประโยชน์มากที่สุดและน้ำจะยิ่งศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้น (บูชา) ศิษย์เอ๋ย อาจารย์อยากให้ศิษย์นำไปช่วยคน ใครป่วย ใครทุกข์ บอกว่าน้ำนี้ศักดิ์สิทธิ์ น้ำนี้ช่วยให้หายทุกข์ หายโรคภัย แล้วศิษย์จะได้สร้างบุญที่ยิ่งใหญ่ เข้าใจไหม อย่าดื่มจนหมดนะ เก็บไว้ด้วย
ฝ่ายชายอยากได้น้ำมนต์ไหม (อยากได้) อาจารย์อยากให้ ไม่ใช่ให้ศิษย์เก็บไว้กับตัวนะ แต่อยากให้เพื่อนำไปช่วยคน คุณค่าของน้ำมนต์จะได้ยิ่งใหญ่
(พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียนในชั้นว่าใครยังไม่ได้แอปเปิล ให้ยกมือขึ้น)
อยากได้ไหม (อยาก) ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามอะไรหน่อย ปีใหม่แล้วอะไรที่ไม่ดีควรเอาออกจากใจและอะไรที่ดีควรทำไว้ประจำใจ ถ้าตอบได้แอปเปิลจะไปอยู่กับท่านโดยไม่ต้องเสี่ยงทาย อย่ารอพึ่งดวงบางครั้งต้องรู้จักพึ่งลำแข้งและปัญญาตัวเอง ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)
(เผยแพร่สิ่งที่ดีออกจากจิต) และอะไรที่ไม่ดีเราควรเอาออกจากใจ (ความคิด) ชอบคิดน้อยใจ ใช่หรือไม่
(ความคิดมาก) อยากเอาออก แต่พยายามเรียนรู้ที่จะเข้าใจ
(ความอยากในสิ่งที่ไม่ควร, เอาความหลงออกจากใจ)  หลงอะไร หลงโลก หลงตัวเอง ใช่ไหม เอาแอปเปิลไปทำอะไรต่อดี (เอาไปกิน) กินแล้วแบ่งคนอื่นบ้างนะ บอกเอาบุญมาฝาก ได้บุญกว่า กินก็อิ่มท้อง แต่ถ้าให้คนอื่นมันอิ่มใจ ใช่ไหม (ใช่) ให้เขาเท่าไหร่ (ให้เขาไปครึ่งหนึ่ง) เอาไปทำอะไรดี (เอาไปให้ลูกหลาน) แล้วเพื่อนบ้านด้วยไหม เอาไปทำอะไรดี (เอาไปบูชา) อาจารย์ว่าบูชาได้วันหนึ่ง อีกวันหนึ่งรีบเอาลงมาแล้วแจกนะ เพิ่มความขลัง เอาไปทำอะไรดี (แจกเพื่อนบ้าน) ทำให้ได้นะ เหล้าก็ต้องเลิกกินบ้างนะ (เอาไปให้หลาน) แล้วอีกส่วนหนึ่งก็ให้ตัวเองด้วยนะ รักษาสุขภาพ เอาไปทำอะไรดี อะไรหัวหน้า หัวหน้าดีมากเลย ได้กระดาษเปล่า เอาไปทำอะไร (เอาไปเล่าว่าได้อย่างไร) แอปเปิลนี่นะ แล้วจะแบ่งเขาไหม (แบ่ง) แล้วให้คนที่เรารักไหม ใครบ้างที่เรารัก (พ่อแม่) อย่าลืมท่านนะ เอาไปทำอะไรดี (แบ่งให้ลูกเมียกิน) แล้วพ่อแม่ละ (กินด้วย) หัวหน้าโชคดีมาก หัวหน้ารอก่อน ไหนใครบ้างที่ไม่มีคำอวยพรอะไรเลยในกระดาษ ยกมือขึ้น ไม่มีเลยหรือ ความหมายดีนะ แปลว่าเราเขียนอะไรก็ได้ ใช่หรือไม่ ศิษย์อยากพูดว่า (เอาความเกลียดชังออกจากใจให้หมด แล้วเอาความรักเข้ามาแทน) ตอบได้ดีนะ รักคนอื่นให้ได้เท่ากับรักตัวเองนะ ตอบว่า (เอาความดีไว้ในใจ) ความไม่ดีเอาออกซะ ความน้อยใจเอาออกซะ ความคิดมากเอาออกซะความงกเอาออก ความเห็นใจเอาไว้เยอะๆ
(เอาความรู้สึกอยากออก แล้วเอาความสงบเข้า)  ตอบได้ดี วุ่นวายเหลือเกินชีวิต กังวล เครียด บางทีไม่มีประโยชน์สู้พยายามทำให้ดีที่สุด ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ต้องทำใจ ใช่ไหม (ใช่)
(เอาความไม่ดีออก) อะไรคือความไม่ดี ความโกรธ ความชัง ชอบนินทา แอบว่าอาจารย์ แอบน้อยใจแม่ ใช่ไหม (ใช่) ต้องรู้จักเรียนรู้และเข้าใจใช่ไหม (ใช่)
(เอาความกลัวที่เขินอาย) ถ้าเรื่องดีรีบทำนะ แต่ถ้าเรื่องไม่ดีต้องรู้จักกลัวและละอายใจบ้าง
(เอาความโลภ ความโกรธออกไป เอาความรักและความดีไว้ในใจ) แต่อย่ามัวรักตัวเองจนรักคนอื่นไม่ได้นะ
(ความรู้สึกไม่ดีออก จิตใจที่บริสุทธิ์เข้า) จิตใจที่บริสุทธิ์ก็คือจิตใจที่เรียนรู้เข้าใจความเป็นคนของโลกใบนี้ แล้วก็เรียนรู้เข้าใจความเป็นตัวตนของตัวเองด้วย
(เอาโรคภัยไข้เจ็บออกจากร่ายกาย) แล้วจะเอาไปให้ใคร อาจารย์ถามศิษย์นะถ้าคนเราไม่มีโรค แปลว่ามีอะไรเกิดขึ้นศิษย์ก็ตายเลย ดีหรือ (ไม่)  ถ้าอย่างนั้นตกลงมีโรคดีไหม (ดี) โรคเป็นสัญญาณเตือนก่อนที่จะต้องตาย ศิษย์ลองคิดให้ดี ทำไมคนเราจึงมีโรค เพราะว่าร่างกายมันเริ่มผิดปกติ มันก็เลยสำแดงออกมาทางอาการป่วย แล้วถ้าป่วยนานๆ เข้าเราไม่รักษาเราก็ตายใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าศิษย์บอกว่าเอาโรคออกไปจากใจถึงเวลาป่วยปุ๊บตายเลยเอาไหม อาจารย์อยากให้ศิษย์เกิดปัญญาคิดได้ นักเรียนทุกคนในชั้นนี้ก็คิดเหมือนกันคือไม่อยากป่วย ไม่อยากทุกข์ แต่อาจารย์บอกไว้การป่วยเป็นสิ่งที่ดี ป่วยเป็นสัญญาณเตือนภัยว่าเรากำลังดำเนินชีวิตผิดปกติ ฉะนั้นอย่าไปเกลียดความป่วย
ตายเอาไหม (ไม่เอา) อย่างนั้นอาจารย์จะเล่าอะไรให้ฟัง สมมติว่าศิษย์ยังไม่ตาย เพื่อนรุ่นเดียวกับศิษย์ตาย ลูกศิษย์ตาย ภรรยาศิษย์ตาย ศิษย์ไม่ตายเพราะว่าอาจารย์จี้กงให้ไว้ว่าไม่ต้องตาย เอาไหม (ไม่เอา) จนก็ไม่เอา ป่วยก็ไม่เอา พอฟังอาจารย์จี้กงเอาตาย เอาจน เอาป่วย ตกลงเอาไหม ตายเอาไหม (ไม่เอา) คิดให้ดีๆ นะ คนเราถ้าเกิดมาแล้วไม่ตาย คนอื่นเขาตายไปหมดแล้วนะ แต่ร่างกายศิษย์นะแปดสิบฟันจะอยู่ไหม แปดสิบตาจะเห็นไหม แปดสิบร่างกายมันจะไหวไหม (ไม่ไหว) แล้วควรจะเอาไหมความตาย (เอา)
ไม่ต้องหัวเราะนะ ศิษย์ทุกคนก็คิดอย่างนี้ไม่อยากตายใช่ไหม ไม่อยากเจ็บใช่ไหม แต่จริงๆ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เราต้องมีใช่ไหมหัวหน้า (ใช่) แล้วตอนนี้จะเอาอะไรออกไปจากใจดี (ความตาย, โรคภัยไข้เจ็บ) ศิษย์จำไว้นะเกิดเป็นคนอย่าหลงนะ ไม่อย่างนั้นจะเป็นแบบหัวหน้า รู้แล้วก็ยังหลงอีกนะหัวหน้า ศิษย์ตอบว่า (เอาความรู้สึกที่ดีๆ ไว้ในใจเพื่อช่วยเหลือผู้คนแล้วก็เอาความรู้สึกที่ไม่ดีออกไปพร้อมกับปีเก่า)  แต่ศิษย์อย่าลืมนะ ความรู้สึกของคนมันไม่เที่ยง วันนี้ดี พรุ่งนี้ก็ไม่ดี ศิษย์แม้จะเอาออกไปแต่ถึงเวลาใจศิษย์มันก็เรียกกลับมา ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกแล้วว่าความรู้สึกมันไม่เที่ยง สิ่งที่เที่ยงคือความเข้าใจ
สิ่งที่ศิษย์ควรเอาออกจากใจก็คือ ความไม่มีสติ ขาดปัญญา แล้วก็หลงอยู่กับโลกใบนี้ แล้วก็จมอยู่กับความคิดวนเวียน มันน่ากลัว คนเราพ้นทุกข์ไม่ได้เพราะคิดไม่ออก คนเราเอาชนะตัวตนเองไม่ได้เพราะว่าไม่เข้าใจตนใช่ไหม (ใช่) เหล้าดีไหม (ไม่ดี) บุหรี่ดีไหม (ไม่ดี) ผู้หญิงดีไหม ผู้ชายดีไหม (ดี) อาจารย์ไม่เคยเห็นใครกินเหล้าเป๊กเดียวแล้วพอ กินเป็นขวดกินหลายเป๊ก จนสุดท้ายตกเป็นทาสของเหล้า อาจารย์อยากบอกว่าเหล้า บุหรี่ ผู้หญิง ผู้ชาย การพนัน ศิษย์มีมันแล้วไม่เคยดีสักคน หลงผู้หญิงก็กลายเป็นคนไม่ดีได้ หลงผู้ชายก็กลายเป็นคนคิดไม่เป็นแล้วก็ทำร้ายตัวเองได้ ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวคือ เหล้า บุหรี่ ผู้ชาย ผู้หญิง หรือใจเรา (ใจเรา) มีแล้วแต่ไม่รู้จักเข้าใจมัน มีแล้วหลงยึดติดแล้วขาดไม่ได้ ขาดแล้วจะตาย เราอยู่ในโลกนี้เรารู้ว่ามันไม่เที่ยงรู้ว่าที่สุดแล้วมันว่างเปล่า แต่ศิษย์อยู่โดยไม่พึ่งพิงอาศัยอะไรเลยในโลกได้ไหม (ไม่ได้) แปลว่าศิษย์ต้องพึ่งพิงอาศัยทุกอย่างในโลก ถ้าสิ่งทุกอย่างในโลกแหลกสลายแปลว่าศิษย์ก็แหลกสลายไปด้วยใช่ไหม การที่เข้าใจโลกก็คือยืมเขาใช้ ช่วงใช้โดยไม่ยึดติด เหมือนร่างกายนี้เรายืมเขาใช้ถึงเวลาเราคืนเขาไป ไม่ต้องไปอาลัยอาวรณ์ ไม่ต้องไปผูกพัน ผู้หญิงสวยมีได้ พอถึงเวลาก็ขาดได้ ผู้ชายถึงเวลาเขาเข้มแข็งรักเราถึงเวลาทำให้เราอบอุ่นได้ มีได้ไหม (ได้) ไม่มีได้ไหม (ได้) นี่เขาเรียกว่าเรารู้จักใช้แต่ไม่ยึดติดผูกพัน สมมติคนนี้เขาเป็นแฟนอาจารย์ เขารักอาจารย์อาจารย์ขาดไม่ได้ ชีวิตนี้ศิษย์ต้องพึ่งเขา ศิษย์ยืนด้วยลำแข้งตัวเองไม่ได้ วันนี้เขาอยู่กับศิษย์ ศิษย์มั่นใจไหม ตัวอยู่ใจอยู่ไหม ทะเบียนสมรสก็มีชื่อเขา แต่ถึงเวลาถ้าใจมันไม่ใช่ เขาไม่เอาเรา ศิษย์จะยื้อได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นศิษย์เอย อยู่ในโลก ของทุกอย่างในโลกเราเกิดมาแค่ยืมเขาใช้ เรามีบุญกับเขาช่วงหนึ่ง แต่ถึงเวลาถ้าเขาไม่รัก หมดรัก อย่ายื้อ อย่ายึด ไม่อย่างนั้นเราจะแหลกสลายไปพร้อมกับเขา ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจงจำไว้ เห็นเหมือน (ไม่เห็น) รู้จักเหมือน (ไม่รู้จัก) วันนี้ของฉัน พรุ่งนี้ (ของคนอื่น)  ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะ อย่าปล่อยให้ทุกข์แล้วเพิ่งคิดได้ แต่จงมีสติยั้งคิด ตั้งแต่ก่อนที่จะทุกข์ เพราะตอนศิษย์ทุกข์อะไรก็คิดไม่ออก ก่อนจะมีเขา คิดให้ดีๆ เพราะกำไฟก็ร้อนครั้งเดียว แต่ถ้าใจอยากรักใครในโลก ร้อนหลายครั้งนะศิษย์ ใช่ไหม (ใช่) เหมือนตัวเรา เราว่าเราเข้าใจ แต่ถึงเวลาถ้าไม่รู้จักระมัดระวังคำพูด ไม่รู้จักระมัดระวังสายตา ไม่รู้จักระมัดระวังการกระทำ ตัวเรานั่นแหละที่ทำเราเจ็บที่สุด ทำไมเขาด่าเรา ก็ถามสิเราพูดอะไรให้เขาด่า ก่อนไปเกลียดเขาเคยหันมามองไหมว่า เราเคยพูดอะไรทิ่มแทงเขาไหม เราเคยใช้สายตาอะไรทำให้เขาเจ็บปวดไหม เราเคยประชดประชันกระแทกแดกดัน ทำให้เขาไม่พอใจไหม
ฉะนั้นอาจารย์ถึงบอกศิษย์เอย อะไรในโลกมันน่ามี มันน่ายึดเป็นของเราหรือ หน้านี้ใช่ไหม (ไม่ใช่) มันไม่เที่ยง ถ้าหลงเมื่อไหร่ก็โง่เมื่อนั้น รู้สึกก็รู้สึกไป แต่ถ้าศิษย์ยังอยากรู้สึก ศิษย์ก็ต้องทุกข์เมื่อนั้น เมื่อรู้สึกศิษย์ก็หนีไม่พ้นบาป บุญ ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา และก็การเวียนว่าย แต่ถ้าเราควบคุมความรู้สึกเราก่อน เราจะหยุดการสร้างบาป หยุดการสร้างกรรม แล้วก็หยุดการเวียนว่าย และสามารถกำหนดชะตาชีวิตตัวเองได้ ฟ้าก็ทำอะไรศิษย์ไม่ได้ คนก็ทำอะไรศิษย์ไม่ได้ ศิษย์เคยได้ยินเพลงที่อาจารย์เคยให้ศิษย์ไหม “เราเดินเดี่ยวอยู่ในโลกโปรดกว้างใหญ่” ความหมายคืออะไรรู้ไหมศิษย์ เรามาคนเดียว เราก็ต้องกลับคนเดียว ฉะนั้นจิตใจที่เป็นอิสระ หลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน หลุดพ้นจากความอยากได้ใคร่ดี ดี ร้าย ได้ เสีย จึงสามารถจะตกนรก หรือขึ้นสวรรค์ ก็ไม่สามารถทำอะไรคนที่โดดเดี่ยวและอิสระได้ เพราะอะไร เพราะว่าภพภูมิทั้งหก หรือภพภูมิอะไรก็ตาม มันเป็นเพียงจิตของเราที่เป็นคนสร้าง ดี ร้าย ได้ เสีย เกิดจากความยึดมั่นถือมั่นในการมองเห็นรูปแล้วไม่เห็นความจริง แล้วถ้าเราเข้าใจตรงนี้ มันมีอะไรให้น่ายึดฉวย ไขว่คว้า หลงรักหรือ มันไม่มี แล้วเมื่อนั้นศิษย์จะค้นพบความสงบในใจ ใครจะวุ่นวาย ใครจะด่ากัน เราก็ไม่ทุกข์ เพราะเราเข้าใจว่า มันก็แค่นั้น จะอยากไหม ไม่อยากแล้ว อยากไปก็วิ่งตามทันไหม (ไม่)
เหมือนอาจารย์ถามว่า แอปเปิลใบเดียวพอไหม ที่ไม่พอเพราะเราไม่รู้ใจ แต่เราจะเหลือเฟือหรือว่าขาดแคลนมันอยู่ที่ใจไม่ใช่อยู่ที่แอปเปิล ใช่ไหม (ใช่) ถ้าศิษย์บอกว่าแค่นี้ก็ดีแล้ว อันนี้ก็เหลือเฟือ แต่ถ้าศิษย์บอกว่าจะอิ่มไหม ไม่พอหรอก อันนี้ก็ขาดแคลน ฉะนั้นเหลือหรือขาด มันอยู่ที่ใจ จริงไหม (จริง) คนอื่นดีหรือไม่ดี ไม่ใช่อะไร อยู่ที่ใจศิษย์ ยึดติดกับความรู้สึกเกินไปไหม ถ้าเป็นอาจารย์ต้องแบบนี้ ถ้าเป็นแฟนฉันต้องแบบนี้ ถ้าเป็นเพื่อนฉันต้องแบบนั้น ใช่ไหม (ไม่ใช่) ฉะนั้นอยากมีจิตใจที่กว้างเหมือนอากาศ ว่างจนไม่มีอะไรมาทำให้แปดเปื้อน คือใจที่ไม่ยึดติดชอบชังและไม่จำเป็นต้องอิงอาศัยอะไรในโลก ไม่ใช่ให้เลิกพึ่งพิงใครนะศิษย์ อยู่ร่วมได้แต่ไม่ยึดมั่นถือมั่น ช่วงใช้ได้แต่ไม่ผูกพันจนเกิน ทำยากหรือเปล่า (ไม่ยาก) ยากอย่างเดียวตรงที่ไม่เคยยอมทำ ใช่ไหม
ฉะนั้นถึงอยากบอกศิษย์ว่า คนในโลกแม้จะร้ายขนาดไหนก็ไม่น่ากลัวเท่ากับใจเราร้ายตามไปกับคน คนในโลกจะแย่ขนาดไหนก็ไม่น่ากลัวเท่ากับใจเราคิดแย่ยิ่งกว่าเขา ฉะนั้นเราจะพ้นทุกข์ได้ พ้นจากโลกใบนี้ได้ด้วยความตื่นรู้และเข้าใจเพราะว่าเราเห็นโลกชัด เราเรียนรู้และเข้าใจโลกนี้ไม่เที่ยง และสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดก็คือสิ่งที่บกพร่องที่สุด บางครั้งศิษย์บอกว่ามีเงินเท่านี้ศิษย์ว่าศิษย์จะพอแล้ว หยุดแล้วๆ หยุดไหม มีคนรักศิษย์ก็จะพอแล้วๆ ไม่รักใครอีกเลย จริงไหม (ไม่จริง) ฉะนั้นจำไว้นะความเป็นจริงของโลกใบนี้มันล้วนไม่เที่ยง มันล้วนไม่แน่นอน ยึดเมื่อไหร่ก็ทุกข์เมื่อนั้น ยึดเมื่อไหร่ก็สร้างบาปง่ายเท่านั้น จริงไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นำพระโอวาทซ้อนพระโอวาทตั้งแต่งานประชุมธรรมครึ่งปีหลังจนถึงปัจจุบันมาต่อกันให้นักเรียนในชั้นทราบ โดยการประชุมธรรมที่นี่ ได้พระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ช่องทางแห่ง”)
“ความคิด เจตนา การกระทำ คำพูด ช่องทางแห่งบาปบุญ กุศลและอกุศล”
ฉะนั้น ศิษย์เอย ถ้าทั้งความคิด เจตนา การกระทำ คำพูด ของศิษย์ไม่บริสุทธิ์ไม่สะอาด แค่ความคิดอันเดียวนะศิษย์ คิดผิด แม้เจตนาดี การกระทำดี คำพูดดี มันไหลรวมกันก็ยังกลายเป็นบาปได้ ฉะนั้นเราต้องสะอาดตั้งแต่ความคิด เจตนา การกระทำและคำพูด เราก็จะสามารถหยุดบาปบุญ กุศลและอกุศลได้ แล้วก็จะกลายเป็นการสร้างบุญ สร้างกุศล หยุดบาป หยุดอกุศล
อย่าปลูกสันดาน กิเลส นิสัยที่ไม่ดีด้วยการเอาแต่จับผิดคนอื่น แต่ไม่เคยมองเห็นความผิดตัวเอง ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญธรรมนะ
ศิษย์เอย ที่อาจารย์เจ็บปวดมากที่สุดก็คือ ศิษย์ไม่เข้าใจความเป็นจริงของโลกใบนี้และมองไม่เห็นตัวตนที่แท้จริง ปล่อยให้ตัวเองต้องทุกข์กับการเวียนว่ายตายเกิดเพียงแค่หลงผิด ถ้าวันหนึ่งคนที่ศิษย์รู้จัก คนที่ศิษย์เคยเห็น เขากำลังโดนฆ่าแล้วอาจารย์ยืนอยู่ตรงนั้น แล้วเขาบอกว่า “อาจารย์ศิษย์เจ็บปวดเหลือเกิน ทำไมศิษย์ต้องเป็นแบบนี้ ทำไมเขาต้องทำกับศิษย์แบบนี้” อาจารย์พูดไม่ออก เพราะอะไร เพราะมันเป็นสิ่งที่ศิษย์ทำเองทั้งนั้น ศิษย์เบียดเบียนเขา ศิษย์ฆ่าเขา ศิษย์ก็ต้องรับการฆ่ากลับ ศิษย์กินเนื้อเขา ศิษย์ทำลายชีวิตเขา ศิษย์ไปโกงเขา ศิษย์ก็ต้องรับการโกงกลับ ฆ่ากลับ แต่ศิษย์รู้ไหมว่าศิษย์ฆ่าเขาหนึ่งชีวิต แต่เวลาเขาแค้นเขาไม่เอาศิษย์แค่ครั้งเดียว เขาเอาจนสาสมจนสะใจ เหมือนอาจารย์ถามศิษย์ง่ายๆ ถ้าวันหนึ่งใครก็ไม่รู้มาต่อยศิษย์ กรามหักหน้าเบี้ยวไปข้างหนึ่ง ศิษย์แค้นเขาไหม แค้นใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าอาจารย์บอกว่าอย่าไปแค้นเขาเลย จงยินดีที่ได้ใช้กรรม เพราะถ้าศิษย์แค้นต่อมันก็คือการผูกกรรมไม่จบสิ้น
อาจารย์เห็นการโดนฆ่ามาเยอะแล้ว อาจารย์ก็ไม่อยากเห็นศิษย์ของอาจารย์โดนฆ่าด้วย ฆ่าอย่างโหดร้ายนะศิษย์ ยืนมองคนตายไปหนึ่งคนสองคนสามคนแล้วทำอะไรไม่ได้ ฉะนั้นอาจารย์ถึงอยากให้ศิษย์มีปัญญาตื่นรู้ นำพาตัวเองให้พ้นทุกข์ อย่าทุกข์เพราะความอยาก อย่าทุกข์เพียงเพราะยึดมั่นถือมั่น อย่าทุกข์เพียงเพราะยอมไม่ได้ ยอมมันไปเถอะ ถ้ายอมแล้วเขาสบายใจ โกรธทำไม เกลียดทำไม ถ้าอยากแล้วทำให้คนอื่นเขาเจ็บปวด อย่าอยากเลยศิษย์ ลำบากหน่อยไม่เป็นไรหรอก จริงไหม ชีวิตมันไม่ได้จบแล้วจบกันนะศิษย์ ถ้าศิษย์ยังทิ้งกายนี้ไม่ได้ ชีวิตคือสิ่งที่ไม่สิ้นสุด หมดจากตรงนี้ไปเป็นอะไร ขึ้นอยู่กับตัวศิษย์ ตื่นได้แล้วนะ ตื่นเถอะ โลกนี้มันเป็นมายา มันไม่มีอะไรเที่ยง ไม่มีอะไรจีรัง อย่าไปหลงมันเลย หลงแล้วมันมีแต่เจ็บและเจ็บยิ่งกว่าคืออาจารย์ช่วยศิษย์ไม่ได้ เพราะคนเราหนีกรรมเวรตัวเองไม่พ้น จะพ้นได้ก็ต่อเมื่อศิษย์คิดได้ รู้ตื่น ยินดีชดใช้ ฉะนั้นถ้ากรรมมาถึงอยากให้มันจบไวๆ จงอย่าโกรธ จงอย่าแค้น ดีใจที่ได้ใช้ มันจะได้จากยาวเป็นสั้น จากสั้นเป็นไม่มี แต่จงรู้จักสำรวมระมัดระวังตัวเองหน่อย ได้ไหม (ได้) ชีวิตไม่เที่ยง ร่างกายนี้มีความตายรออยู่ แต่เราจะพ้นจากเกิดตายได้อย่างไรถ้าเราไม่รู้จักควบคุมตัวเองและมองโลกไม่ชัด อย่าประมาทเลยนะศิษย์นะ
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมข้างล่างได้มีโอกาสจับฉลากแล้วถ้าใครจับฉลากได้แผ่นที่มีเครื่องหมายดอกจันก็มารับแอปเปิลที่โต๊ะพระ)
อาจารย์อยากให้แอปเปิลเพื่อรู้จักให้ต่อ ไม่ใช่ให้เพื่อแค่ตัวเองกิน ให้ได้จงรู้จักให้ต่อ ส่วนใครไม่ได้แล้วอยากได้จริงๆ อาจารย์ก็ให้ ดีไหม (ดี) แต่ไม่ได้ให้เพื่อตัวศิษย์นะ แต่จงให้แล้วรู้จักให้ต่อ เข้าใจแล้วจงรู้จักช่วยคน ได้ไหมศิษย์ (ได้)
มีโอกาสกลับมาอีกนะ มาไหม อาจารย์อยากอวยพรให้ศิษย์ทุกคนเข้มแข็ง รู้จักใช้ชีวิตให้เป็น จะมาอีกไหม อย่าไปแล้วไปลับนะ กลับมาหาอาจารย์บ้าง ไหวแล้วใช่ไหม เข้มแข็งนะศิษย์เอ๋ย โรคภัยไข้เจ็บไม่ใช่สิ่งน่ากลัวแต่ใจที่ไม่สู้ต่างหากที่น่ากลัว ใช่ไหม อายุมากกันแล้วนะ รู้เรื่องหรือเปล่า ไหวไหม
รู้จักเลือกทำแต่สิ่งที่ถูกต้องนะ มีโอกาสมาเข้าให้ครบได้ไหม รู้เรื่องกันไหม รู้เรื่องบ้างไหม ศิษย์เอยเลือกทำแต่สิ่งที่ดีนะ อะไรไม่ดีก็เลิก ใช่ไหมคนดื้อ เกิดมาเพื่อใช้กรรมแต่ก็ต้องรู้จักสร้างบุญด้วย มีโอกาสกลับมาอีกได้ไหม สัญญาแล้วนะ เลือกทำแต่สิ่งที่ถูกต้องนะ เด็กดื้อ เคยเป็นศิษย์อาจารย์กันมาก่อน แต่ตอนนี้ทำไมถึงไม่อยากเป็นแล้วนะ ศิษย์เอยอาจารย์ดีใจที่ศิษย์กลับมา ผ่านทุกข์แล้วก็จงสู้ต่อไปนะ อย่ายอมแพ้ อย่าแพ้ใจตัวเอง อาจารย์ฝากความคิดถึงไปถึงศิษย์คนที่ไม่ได้มาด้วยนะ บำเพ็ญธรรมยากไหม ลำบากไหม เหนื่อยหรือเปล่า อย่ายอมแพ้นะ อาจารย์อยากให้กำลังใจศิษย์ทุกคน อยากให้พลังแห่งความอบอุ่น พลังแห่งความรักของอาจารย์ไหลลงไปสู่ใจศิษย์ เผื่อว่าวันหนึ่งศิษย์ไม่มาก็ยังมีใจดวงหนึ่งที่ซ่อนอยู่ข้างในศิษย์ แล้วบอกว่ากลับมาเถอะ อาจารย์ไม่มีวันทิ้งศิษย์ กลัวอย่างเดียวศิษย์ทิ้งอาจารย์ อาจารย์ไม่เคยทำร้ายศิษย์นะ มีแต่ศิษย์คิดไม่เป็นทำร้ายตัวเอง บำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องง่าย ยากที่สุดก็คือศิษย์ไม่เข้าใจตัวเอง
อาจารย์รักศิษย์ทุกคน แต่บางครั้งมันก็หมดแรงเพราะอะไรรู้ไหม หมดแรงตรงที่ศิษย์ไม่รู้จักคิด ชอบดื้อ ชอบทำร้ายตัวเอง แต่พอเห็นหน้าศิษย์ อาจารย์ก็ต้องมีแรงใช่ไหม รู้จักใช้ชีวิตให้เป็น รู้จักดำเนินตัวเองให้ถูกทางจะได้ช่วยคนได้ ต้องเข้มแข็งนะศิษย์ เอาพลังของอาจารย์ไป พลังที่สู้ไม่ถอย พลังที่ไม่ยอมแพ้ พลังที่รู้จักเข้าใจคน ไม่โกรธเกลียดเขา อย่าน้อยใจ บำเพ็ญธรรมต้องมีแต่เข้าใจแล้วก็เข้าใจ เข้มแข็งนะศิษย์ เข้มแข็งแล้วก็เข้มแข็ง เมื่อไหร่จะหายนะ อาจารย์มีหน้าที่รักษาศิษย์ที่ป่วยทางจิต แต่ศิษย์นั้นป่วยจิตแล้วอาจารย์จะเอาหน้าไปรักษาใคร เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม อย่าดื้อมาก รู้จักบำเพ็ญธรรม เข้าใจไหม ไม่ต้องพูดอะไรแล้วนะ รักตัวเองเหมือนที่อาจารย์รักศิษย์ แต่รักแล้วต้องรู้จักยอมรับความจริง รักแล้วต้องรู้จักบำเพ็ญ เสียใจด้วยนะ อาจารย์ขอแอปเปิลลูกหนึ่งนะฝากไปให้เขาด้วยนะ อาจารย์ไปแล้วนะ
มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีกนะ อย่าไปแล้วไปลับเลย ได้ไหม (ได้) รู้จักดำเนินชีวิตให้ดี รู้จักคิด รู้จักพูด รู้จักระมัดระวัง ศิษย์อย่าทุกข์เพราะตัวเองเลยเข้าใจไหม ไปแล้วนะศิษย์


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ช่องทางแห่ง”
ทั้งบาปบุญไหลรวมอยู่ภายในจิต โดยความคิดเจตนาการกระทำ
คำพูดที่ใช้อยู่เป็นประจำ ผู้แจ้งในเหตุแห่งกรรมทำรู้ตัว
บางคนเป็นแบบเดิมเดิมเพราะเคยชิน บ้างกิเลสยังไม่สิ้นจึงทำชั่ว
ภัยร้ายแรงที่สุดคือไม่รู้ตัว หลงเมามัวไม่ลืมหูไม่ลืมตา
สองห้าห้าหกปีใหม่ ตั้งใจจิตพัฒนา
หยุดมองคนอื่นด้วยตา หันมามองเราด้วยใจ


ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา