西元二○一二年 歲次壬辰九月十三日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ สถานธรรมถงซิน จ.ราชบุรี
พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวฝอถง
อยู่อย่างอยากหรืออยู่อย่างมีสติ ปล่อยอารมณ์หรือยั้งคิดในธรรมหนา
อยู่อย่างคนเข้าใจชีวิตหรือปล่อยตามชะตา อยู่อย่างคนใช้ปัญญาหรือใช้ใจ
เราคือ
เสียวเสี่ยวฝอถง (小小佛童) รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานถงซิน แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามทุกท่านอยากอยู่ฟังจนครบสองวันไหม
คนคิดดีทำให้ชีวีมีสุข คนคิดทุกข์แน่หรือจะพ้นปัญหา
คนคิดก่อนใช่ว่าจะดีกว่า คนคิดช้าดีกว่าไม่คิดอะไร
คิดกันไม่เคยหยุดเลยสักเวลา คิดไปมาร้อยเที่ยวคือจบไหม
ยังตกอยู่ภายใต้ความเป็นไป ตนเป็นใหญ่ส่วนซึ่งคิดต้องระวัง
เป็นคนดีคิดมากให้เศร้าลึก เห็นเขาผิดต้องฝึกตรองใจกว้าง
คิดผิดเสียมากกว่าถูกโมหะฝัง คิดเข้าข้างตนเองคลายหรือวุ่นวาย
คิดติดหนังอยากพ้นจงขอดกระดูก ทุกปมผูกให้คิดอย่าอารมณ์ใส่
ลูบหน้าปะจมูกอยู่ปัญญาไม่ไว ก่อนบานปลายหยุดแค่อยู่ด้วยธรรม
คุมความคิดก็อาจได้เป็นปราชญ์ เกรงแต่เจอคนฉลาดขาดคุณธรรม
กลัวว่าคิดมิชอบคนเผลอทำ นำตนนำด้วยสติรอบคอบคนประจักษ์
ฮิ ฮิ หยุด
พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวฝอถง
เหนื่อยก็ไม่เหนื่อย เมื่อยก็ไม่เมื่อย เรานั่งได้เรื่อยๆ เราไม่เหนื่อยเราไม่เมื่อย จะร้องได้แบบนี้ไหมหนอ เห็นบอก เหนื่อยเราก็เหนื่อย เมื่อยเราก็เมื่อย ท่านร้องผิดแล้วใช่ไหม อย่างนั้นลองร้องเพลงนี้เรียกกำลังใจตัวเองหน่อย
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ร้องเพลง “เหนื่อยก็ไม่เหนื่อย เมื่อยก็ไม่เมื่อย”)
เรียกขวัญและกำลังใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งเราก็ต้องรู้จักทำอะไรฝืนตัวเองบ้าง ตามใจตัวเองบ่อยๆ บางทีก็เสียผู้เสียคนมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว จริงไหม ตามใจตัวเองบ่อยๆ ผลสุดท้ายเป็นอย่างไร เอาแต่ใจตัวเอง แล้วก็ไม่ค่อยฟังใคร
ฉะนั้นการมาฟังธรรมะฝืนตัวบ้าง ขัดใจตัวเองบ้างจะเป็นอะไร เพราะยิ่งตามใจก็มีแต่ความยึดมั่นถือมั่น ส่วนใหญ่วันนี้มาฟังธรรมะเพื่อหาอะไร (เพื่อหาความสุขที่แท้จริง) ความสุขและความสงบ ถูกไหม (ถูก) แต่ธรรมะสอนว่าการที่เราจะไปหาความสุขและความสงบที่แท้จริงได้เราจะต้องยอมผ่านความทุกข์ และความวุ่นวายให้ได้ก่อน ถ้าเราไม่สนใจความทุกข์ ความวุ่นวาย จะเอาแต่ความสุข เอาแต่ความสงบ เราก็คือคนที่ปิดตาข้างหนึ่ง ปิดหูอีกข้างหนึ่ง และมองได้แต่สว่างอย่ามีมืด ใช่ไหม (ใช่)
วันนี้เราจะมาจับเข่าคุยกันเพื่อจะได้แลกเปลี่ยนสนทนาธรรมกัน เพราะมนุษย์คิดว่าธรรมะก็จะต้องเป็นอย่างนี้เสมอ คนที่เข้าถึงธรรมะเขาจะไม่แบ่งไทย แบ่งจีน ไม่แบ่งเหนือ ไม่แบ่งใต้ ไม่แบ่งพุทธ ไม่แบ่งคริสต์ เพราะขอให้เข้าใจธรรมะแล้ว อะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ถ้าแบ่ง นั่นแปลว่าไม่เข้าใจธรรมะ ถูกไหม (ถูก) วันนี้เรามาเรียนรู้ธรรมะกัน สำคัญอย่างแรกคือ จับเข่าคุย แล้วก็เปิดอกคุย ไม่เหนื่อยนะ รู้ว่าการนั่งฟังเฉยๆ แล้วต้องฟังคนอื่นพูดจริงๆ คนพูดน่าจะเหนื่อย เราต้องไม่เหนื่อยสิ จริงไหม (จริง) พูดอย่างเปิดอก พูดอย่างจับเข่า เราถามจริงๆ คนอื่นพูด ท่านนั่งฟังอย่างเดียว ท่านน่าจะไม่เหนื่อยไม่ใช่หรือ แต่ที่เหนื่อยเพราะอะไร เพราะขัดกับความรู้สึก มาฟังธรรมะนั่งเฉยๆ ไม่ให้พูด ไม่ให้ถาม ต้องรู้สึกอึดอัดเป็นธรรมดา แต่ว่าเราถามท่านนะ อยู่ในโลกนี้บางครั้งเราก็ต้องเจอคนแบบนี้ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าวันนี้มาเจอกับคนแบบนี้ที่ไม่ให้ท่านพูด นั่งฟังเฉยๆ ดีนะได้ฝึกตัวเอง ได้แง่มุมธรรมะอีกอันหนึ่ง ได้ความเข้าใจ ได้ธรรมะอีกแบบหนึ่ง
ฉะนั้นการเข้าถึงธรรมะไม่ใช่มองมุมเดียว แต่ต้องสามารถมองมุมหนึ่งและเข้าใจอีกหลายๆ มุมได้ถึงจะดี แต่กลัวอย่างเดียว ฟังไม่รู้เรื่อง ใช่ไหม (ใช่) หรือไม่ก็คือได้เห็น เราก็ไม่อยากฟังแล้ว ไม่เป็นไรมันเป็นธรรมะอย่างหนึ่ง มีคนรักก็มีคนเกลียด มีคนอยากฟังก็มีคนไม่อยากฟัง ใช่หรือไม่
“อยู่อย่างอยากหรืออยู่อย่างมีสติ
ปล่อยอารมณ์หรือยั้งคิดในธรรมหนา
อยู่อย่างคนเข้าใจชีวิตหรือปล่อยตามชะตา
อยู่อย่างคนใช้ปัญญาหรือใช้ใจ”
คนบางคนทำอะไรใช้ใจอย่างเดียว ได้ใจๆ แต่มีใช้ปัญญาไหม ถ้าไม่โดนใจ ไม่ได้ใจไม่เอาเลย อย่างนี้ได้หรือ โดยเฉพาะวัยรุ่น ต้องโดนใจ ไม่โดนใจไม่ฟัง ยินดีต้อนรับเราไหม (ยินดีต้อนรับ) เปลี่ยนบรรยากาศการฟังธรรมเป็นการสนทนาธรรม แลกเปลี่ยนข้อธรรมกัน ดีหรือเปล่า (ดี) แม้เราจะเป็นเด็กตัวเล็กๆ
“คนคิดดีทำให้ชีวีมีสุข คนคิดทุกข์แน่หรือจะพ้นปัญหา
คนคิดก่อนใช่ว่าจะดีกว่า คนคิดช้าดีกว่าไม่คิดอะไร”
เพราะเราเห็นมีคนกำลังคิดดีบ้าง คิดร้ายบ้าง เชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง แค่เปลี่ยนบรรยากาศการฟังธรรมะเป็นการพูดคุยกัน ให้แง่คิดกัน ถกธรรมะกันให้เกิดปัญญา เปลี่ยนบรรยากาศไปอีกแบบหนึ่งและก็เปลี่ยนคนพูดไปอีกแบบหนึ่ง ซึ่งอาจจะเชื่อยาก แต่ก็ไม่ได้บังคับว่าต้องเชื่อเพราะเราก็ของปลอม เพราะของจริงแท้ที่สุดคือความว่าง จริงไหม (จริง)
ตัวเราก็ไม่ใช่ของจริง ท่านไม่ต้องเถียงในใจ จริงหรือปลอม ตัวเรานี้ของปลอม จริงแท้มีหนึ่งเดียวคือความว่างและในความว่างมีธรรมะที่ทำให้เราพ้นทุกข์ ฉะนั้นท่านไม่ต้องมานั่งเถียงจริงหรือเท็จ ของจริงที่เรามีอยู่และเรากำลังพูดถึงคือธรรมะอันเรียกว่าความว่าง แต่เราจะเข้าถึงธรรมะและไปถึงความว่างได้อย่างไร ถ้ามนุษย์สนใจแต่ความสงบแต่ไม่คิดว่าอะไรคือต้นเหตุของความวุ่นวาย เราจะเข้าถึงธรรมะได้อย่างไร ถ้ามนุษย์สนใจแต่ความสุขแต่มนุษย์ไม่คิดว่าอะไรคือต้นเหตุของความทุกข์ ฉะนั้นวันนี้ท่านมาฟังธรรมะ เราต้องการให้ท่านเข้าใจความทุกข์และเข้าใจความวุ่นวายอันเป็นหนทางที่จะทำให้เราได้พ้นทุกข์นิรันดร์ แต่จะเข้าใจสิ่งนั้นได้เราก็ต้องเรียนรู้ ถูกหรือเปล่า
เราถามท่านง่ายๆ ถ้าวันนี้ท่านกำลังจะเดินไปแล้วไปเจอหม้อใบหนึ่งที่ตั้งอยู่บนเตาไฟแต่ไฟปิดแล้ว เขาบอกว่าไปยกหม้อมา ถามว่าท่านจะเดินดุ่มๆ แล้วยกทันทีไหม (ไม่ยก) ท่านจะทำอย่างไร แตะหม้อก่อน ใช่ไหม อย่าจับหม้อเลยเดี๋ยวมันจะร้อนมือ ใช่หรือไม่ (ใช่) หรือไม่ก็สังเกตดูก่อนหรือบางคนถ้ามีปัญญาหน่อยก็หาผ้ามาก่อน แล้วมาลองจับ นี่เรียกว่าปัญญาแห่งการรู้ ทุกคนย่อมมี ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่อะไรทำให้เราจับหม้อโดยทันที ทั้งที่รู้ว่ามันต้องร้อน เพราะว่าบางทีเรารู้แต่เรามักลืมสติ เรามักประมาท
คิดว่ารู้ๆ คงไม่ร้อนหรอก เขาปิดแก๊สแล้ว พอจับแล้วร้อน ถามว่าทุกคนมีความรู้เรื่องนี้ไหม รู้ว่าจับสิ่งนี้แล้วจะร้อน รู้ว่าจับสิ่งนี้แล้วจะทุกข์ รู้ว่าจับสิ่งนี้แล้วจะไม่ดี แต่บางครั้งเราประมาท เราขาดสติ เราลืมยั้งคิด ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นทำอย่างไรให้เราไม่ประมาท ไม่ขาดสติ ให้เราไม่ลืมที่จะยั้งคิดก่อน นั่นก็คือเวลาเราจะทำอะไร อย่าเอาแต่รู้จักคนอื่นแต่ลืมรู้ตัวเอง
อย่างนั้นเราถามง่ายๆ ถามว่าแอปเปิลลูกนี้ทำให้เราทุกข์ได้ไหม (ได้) บางคนบอกจะทุกข์ได้อย่างไร ถ้าเราบอกว่าแอปเปิลลูกนี้ที่อยู่บนโต๊ะพระเราจะให้ทุกท่าน ดีใจไหม (ดีใจ) แต่อย่าลืมนะ อย่าขาดสติ อย่าประมาท เราทุกข์เพราะแอปเปิลได้ เชื่อไหมล่ะ (เชื่อ) ถามว่า ถ้าได้แอปเปิลมาแล้ววางไม่เป็น เอาแต่ถือมันไปตลอดทั้งวัน ทุกข์ไหม (ทุกข์) ได้แล้วไม่วางฉันได้แอปเปิล แอปเปิลของฉัน แอปเปิลศักดิ์สิทธิ์กินแล้วหายโรคภัย หายเจ็บหายไข้ ไม่วางดีกว่าถือไว้ ตอนแรกมันก็ไม่เมื่อย นานไปเมื่อยแล้วนะ จริงไหม (จริง) คราวนี้ทุกข์ต่ออีกแล้วว่าจะวางไว้ตรงไหน วางมั่วก็ไม่ได้เดี๋ยวหาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเมื่อเราได้มาแล้ว ได้มาก็ทุกข์ เพราะถ้าเราถือแล้วเราไม่วางเราก็ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วถ้าวางแล้ววางไม่เป็น วางไม่ถูกที่ก็ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วพอได้มาแล้วกำลังจะนั่งกิน ถ้าตาเหลือบไปเห็นทำไมแอปเปิลเขาใหญ่กว่าเรา ของเราเล็กกว่า ทุกข์ไหม (ทุกข์) แล้วคิดว่าแอปเปิลนี้มันต้องหวานแน่ๆ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ต้องหวานไม่เปรี้ยว ผลสวยแต่ผ่าออกมาปรากฏว่าช้ำกินแล้วเปรี้ยว ทุกข์ไหม (ทุกข์) เราได้แอปเปิลเราดีใจ แต่คนข้างๆ เขาได้สองผล ทุกข์ไหม (ทุกข์) เราทุกข์เพราะอะไร แอปเปิลมันไม่ดี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ลำเอียง ใช่ไหม (ไม่ใช่)
เหมือนคนที่เข้ามาอยู่กับเรา เรารู้จักวางไหม ยึดแล้ววางเขาลงไหม เมื่อวางแล้ววางถูกทางไหม สามีของเรา เรายึดเขาไหม ยึดเป็นที่พึ่ง ยึดแล้ววางไม่ได้ ทุกข์ไหม วางไม่ถูกที่ทุกข์ไหม (ทุกข์) หรือเราวางแล้วปล่อยแล้ว นึกว่าจะทำใจได้แล้ว แต่พอรู้ไส้รู้พุง ทุกข์ไหม (ทุกข์) ฉะนั้นเหมือนกันเราเรียนรู้ธรรมะ เราต้องหาต้นเหตุแห่งความทุกข์ให้เจอ ต้นเหตุแห่งความวุ่นวายให้เจอ อย่าเพียงแต่หาความสงบแต่ลืมต้นเหตุของความวุ่นวาย อย่าเพียงแต่หาความสุขแต่ลืมต้นเหตุของความทุกข์ ใช่ไหม (ใช่) แล้วต้นเหตุอยู่ที่ไหน อยู่ที่เราคิดจะไปร่วมกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วทำใจไม่เป็น ใช่ไหม (ใช่) เหมือนตัวเราเอง มีตัวเราดีไหม ก็น่าจะดี แต่ถ้ามีตัวเราแล้วเอาแต่ยึดมั่น ปล่อยวางไม่ได้ เราก็หาทุกข์ใส่ตัว ใช่หรือไม่ (ใช่) หรือปล่อยตัวเองระเกะระกะ เราก็คือคนที่หาทุกข์ใส่ตัว ฉะนั้นคิดให้ดีๆ นะ มาฟังธรรมะต้องหาเหตุแห่งทุกข์ ไม่ใช่หาแต่ความสงบแต่ไม่หาเหตุแห่งทุกข์ แม้วันนี้ได้ความสงบแต่ต้นเหตุมันอยู่ตรงนั้นท่านไม่แก้ ท่านไปแก้ที่ปลายเหตุมันไม่ช้าไปหรือ ไม่ใช่คนกำลังเดินผิดทางหรือ จริงไหม (จริง) ต้นเหตุอยู่ที่ตัวเราที่ไม่รู้จักคิด ใช่หรือไม่ (ใช่) เรียกว่าคิดดีก็เป็นสุข คิดไม่ดีก็เป็นทุกข์ แต่ถ้าไม่คิดอะไรเลยก็อาจโดนหลอกได้ใช่หรือไม่
“ตนเป็นใหญ่ส่วนซึ่งคิดต้องระวัง”
ปราชญ์ท่านสอนไว้ว่า“อย่าคาดเดา อย่าตัดสินโดยพลการ อย่าถือความคิดตนเป็นใหญ่ อย่าเอาตนเป็นที่ตั้ง” ถ้าทำได้สี่อย่างนี้ไม่ว่าอยู่ร่วมกับอะไรในโลกก็จะไม่ทุกข์ แต่ว่ามนุษย์เราแค่ยังไม่ได้แอปเปิลก็คิดแล้ว “ถ้ากินแล้วจะรักษาโรค กินแล้วจะดี กินแล้วจะเป็นอย่างโน้น กินแล้วจะเป็นอย่างนี้” ยึดติดคาดหวังตัดสินไว้แล้ว พอไม่เป็นอย่างที่ยึดติด พอไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง พอไม่เป็นอย่างที่ตนตั้งเป้า เราก็ทุกข์ ฉะนั้นก่อนจะได้อะไรมาอย่าเพิ่งไปคิดอะไรมาก ดีไหม (ดี) ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ (ดี) อร่อยก็ (ดี) ไม่อร่อยก็ (ดี) แต่ส่วนใหญ่ยากนะ เพราะคนมักจะติดอยู่ในความคิดแล้วก็จมอยู่กับความรู้สึกเดิมๆ ใช่ไหม (ใช่) เหมือนถ้าเกิดกินแอปเปิล กินผลไม้ต้องหวานอย่างเดียว เปรี้ยวไม่ได้ พอเปรี้ยว บ่นไหม (บ่น) พอบ่นแล้วหงุดหงิดไหม (หงุดหงิด) หงุดหงิดแล้วรำคาญไหม (รำคาญ) รำคาญแล้วทุกข์ไหม (ทุกข์) ซื้อมาก็แพง เปรี้ยวอีกต่างหาก ไหนแม่ค้าบอกว่าหวาน เป็นไปได้ไหม (ได้) บางคนซื้อผลไม้ผิดฤดูแล้วหวังว่ามันต้องหวาน มีแม่ค้าที่ไหนบอกว่าไม่หวาน ลึกๆ ก็กลัวนะตอนซื้อ กลัวจริงๆ ว่าจะเปรี้ยว แต่แม่ค้าพูดมั่นใจชัวร์ มั่นใจแน่ พอซื้อมาเปรี้ยว ด่าแม่ค้ากระบุงโกย ความผิดเราหรือความผิดแม่ค้า (ความผิดเรา) ท่านบอกไม่ใช่ความผิดเรา แต่ผิดคนละครึ่ง หรือไม่อีกอย่างหนึ่งถ้าไม่มองตัวเองเลย เราปิดตาตัวเองแล้วเราโยนให้เขาหมดเลย แล้วบอกว่า แม่ค้าโกหก ใช่ไหม (ใช่) เหมือนเราอยู่กับคนในโลกเรารู้ไหม บางครั้งลูกก็ไม่ดีเรารู้ไหม บางครั้งเพื่อนก็ไม่ดีเราก็รู้ แล้วเรารู้ไหมว่าบางครั้งเราก็นิสัยไม่ดี แต่เราเอาแต่โทษคนอื่นอยู่ร่ำไปได้หรือ เราเคยมองตัวเองบ้างไหม ฉะนั้นธรรมะของปราชญ์จึงสอนว่า “เข้มงวดตัวเอง ผ่อนปรนผู้อื่น ไม่มีเวลาจับผิดใคร มีแต่เวลามาแก้ไขตัวเอง” นี่แหละเรียกว่า “ธรรมะ” แต่ถ้าพูดธรรมะด้านปราชญ์ ท่านก็บอกไม่เข้าใจ แล้วพูดได้ไหม (ได้) อยากฟังไหม (อยาก)
การเข้าถึงธรรมะต้องประกอบไปด้วย ๔ อย่าง
อย่างที่หนึ่งคือ ปัญญา
อย่างที่สองคือ สัจจะ
อย่างที่สามคือ จาคะ
อย่างที่สี่คือ โอสถาปะ คงนึกไม่ออกใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นแปลเป็นไทยก็ได้
การจะเข้าถึงธรรมะต้องประกอบไปด้วยปัญญา ปัญญาคือ ความรอบรู้ แต่มนุษย์มักจะคิดว่ารอบรู้ในเรื่องทั้งโลก ท่านบอกว่ารู้จักโลกและรู้เท่าทันตัวเอง อยากเข้าถึงธรรมะต้องรู้ต้องมีประกอบแบบนี้นะ
อย่างที่สองต้องรู้จักสัจจะความเป็นจริงของโลก
อย่างที่สามต้องรู้จักสละ
อย่างที่สี่ต้องรู้จักสงบ
เห็นไหมว่ากว่าจะไปถึงความสงบท่านต้องมีปัญญาท่านต้องเห็นแจ้ง ท่านต้องรู้จักสละ แล้วท่านจึงจะสงบ จริงไหม (จริง) ถ้ามนุษย์อยากฟังธรรมะเอาแต่สงบได้หรือ (ไม่ได้) ฉะนั้นการเรียนรู้อะไรก็ตามต้องเข้าถึงให้แจ่มแจ้ง จริงหรือไม่ (จริง) แต่วิสัยของมนุษย์มีข้อเสียอย่างหนึ่ง คือ อยากจะสงบยังไงก็วุ่นวายทุกที
ท่านรู้ไหมว่านิสัยของมนุษย์ที่เป็นตัวปัญหาและต้นเหตุแห่งทุกข์คืออะไร
(ความอยากได้) ความอยากได้เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์
(ความอยากมี อยากเป็น) อยากไปทุกอย่าง ใช่หรือไม่ (ใช่) และแทบจะอยู่ไม่ได้เลยถ้าไม่มีคนอยู่เป็นเพื่อน
(ความอยากได้ไม่สิ้นสุด) ได้หนึ่งลูกแล้วได้อีกลูกก็ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
คิดว่าน่าจะได้แอปเปิลใช่ไหม แต่ถ้าเราเปลี่ยนใจไม่ให้ล่ะ คนอื่นเราให้หมดยกเว้นท่านเราไม่ให้ได้ไหม เพราะเขาคิดไปเองว่าต้องได้ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าเราไม่ให้ผิดไหม (ไม่ผิด) ทุกข์ไหม (ทุกข์) ไม่ผิดเราก็ต้องไม่ทุกข์สิ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะโลกนี้มันเป็นมายา คนเรามันเปลี่ยนแปลงได้ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นไม่ได้ก็ไม่ (ทุกข์) ไม่ทุกข์ก็นั่งสิ (ความไม่อยากได้ก็เป็นทุกข์) แต่ถ้าไม่อยากได้แล้วได้ (ก็เป็นทุกข์เหมือนกัน) ฉะนั้นก็ไม่ต้องเอาอะไรเลยนะ ใช่หรือเปล่า นอกจากระวังความคิดแล้วต้องระวังคำพูด เพราะบางทีคำพูดจะฆ่าเราตาย ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นตอบเราต้องคิดให้ดีๆ นะ เพราะถ้าตอบเราไม่ดีจากที่จะได้กลับไม่ได้นะ ใช่หรือไม่
อะไรอีกที่เป็นต้นเหตุ (กิเลส) กิเลสตัวไหน (ความอยากทุกอย่าง) ใช่แต่กิเลสตัวเดียวไหม ใช่กิเลสแค่อยากตัวเดียวไหมที่ทำให้เราทุกข์อยู่ทุกวันนี้ อีกตัวหนึ่งที่ร้ายกาจคืออะไร (จิตใจของตัวเองที่ไม่สะอาดพอ) บางทีเขาทำดีให้เราแทบแย่แต่เราบอกหวังอะไรหรือเปล่านะ ใช่ไหม (ใช่) ให้แอปเปิลนี้จะแอบใส่ยาแล้วทำให้หลงหรือเปล่าหนอ ใช่ไหม (ใช่) รู้แล้วยังปล่อยให้ตัวเองจับมันก็ทุกข์ ใช่ไหม
มีอะไรอีกไหม (รัก, โลภ, โกรธ, หลง) มีแค่สี่อย่างนี้เองหรือที่ทำให้เราทุกข์แล้ววุ่นวายในโลกนี้ ใช่ไหม (ไม่ใช่) ติดในสุขก็เป็นไปได้ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นเราถามท่านนั้น เขาได้แอปเปิลกันเราไม่ได้ เป็นทุกข์ไหม (ทุกข์) สิ่งหนึ่งที่มนุษย์ชอบเป็นก็คือแพ้ไม่ได้ ยอมไม่ได้ เขาได้มากกว่าไม่ได้ จริงไหม
เหมือนที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ชอบพูดทุกที่เลย บ้านนี้ก็ถูกลอตเตอรี่ เราก็ถูกลอตเตอรี่ เราถูกสองตัว เขาถูกสามตัว เราทุกข์ไหม (ทุกข์) ฉะนั้นสิ่งที่ทำให้มนุษย์สงบไม่ได้ปัญหาแรกคืออะไร ถ้าอยากสงบได้อย่างแท้จริง พุทธะจึงบอกว่าอะไร ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ย่อมโศกเศร้า บุคคลที่ละซึ่งการชนะแพ้แล้วจึงสงบนิรันดร์ ฉะนั้นถ้ามนุษย์อยากพบความสงบ อย่าเอาแต่ชนะต้องรู้จักแพ้เป็นบ้าง จริงไหม (จริง) เหมือนเวลาเราพูดอะไรขึ้นมาแล้วมีคนข่มเรายอมไหม (ไม่ยอม) ฉันซื้อเสื้อมา ตัวละร้อยกว่าบาทเอง พอเขาบอก ฉันซื้อมาเก้าสิบบาทเอง ยอมไหม (ไม่ยอม) ถ้าโกหกได้เราจะบอกว่า ฉันซื้อมาหนึ่งร้อยยี่สิบบาท ฉันซื้อมาสองตัว ใช่ไหม (ใช่) แล้วถ้าอีกคนยอมไหม (ไม่ยอม) เห็นไหมว่าแค่ไม่ยอม เราทำให้เราไม่สงบแล้ว เราทำให้เรากลายเป็นคนโกหกด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นพระพุทธะ ท่านจึงสอนว่า มุนีคนใดที่อยู่ในโลกแล้วไม่เบียดเบียนใคร แล้วรู้จักสำรวมกาย วาจา ใจ มุนีคนนั้นตายไปแล้วย่อมไม่โศกเศร้า แต่เราอยู่ในโลก เบียดเบียนไหม (เบียดเบียน) สำรวมกาย สำรวมใจไหม ฉะนั้นเราอยู่ที่ไหนเราเลยต้องวุ่นวายและโศกเศร้า ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วท่านยังมีคำพูดต่ออีกนะว่า อะไรรู้ไหม อย่างนั้นทำอย่างไรล่ะเราจึงจะเป็นคนที่เรียนรู้ธรรมแล้วเข้าใจธรรม ท่านก็เลยบอกว่า เราอยู่ในโลก อยากจะเป็นคนดีแต่บางครั้งก็เหนื่อย ผู้บำเพ็ญธรรม การเป็นคนดีเหนื่อยไหม (เหนื่อย) ถ้าพยายามเป็นจะเหนื่อยและเหนื่อยมาก และถ้าเป็นอย่างถือตัวเองเป็นหลัก เอาความคิดตัวเองเป็นหลัก และคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น จะเหนื่อย ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นการเป็นคนดีที่แท้จริงคืออย่างไร ท่านสอนไว้ว่าอะไรรู้ไหม อย่าเป็นคนมักโกรธ อย่าผูกความโกรธไว้ในใจ อย่าลบหลู่ผู้อื่นด้วยความชั่วร้าย อย่ามีความเห็นอันวิบัติ และอย่าเป็นคนมารยาสาไถย กลิ้งกลอก เชื่อไม่ได้ ถ้าทำได้เช่นนี้ก็เป็นคนที่ห่างไกลความเลว แต่ชิดใกล้ความดี หรือพูดง่ายๆ อีก อยากเป็นคนดีทำอย่างไร ดำรงตนอยู่ในสัมมา เมื่อดำรงตนอยู่ในสัมมา ธรรมะย่อมบังเกิดขึ้น ใช่หรือไม่ คนเราเป็นอย่างไร นิดๆ หน่อยๆ ก็โกรธนิดๆ หน่อยๆ ใครทำไม่ดีก็ว่าเขาให้เสียๆ หายๆ มองดีไม่ค่อยขึ้นแต่มองร้ายชัดเจน ใช่หรือเปล่า (ใช่)
คนที่อยากหาความสงบต้องไม่เป็นคนที่ อันแรกจำได้ไหม “ต้องไม่คิดจะเอาชนะคนอื่นอยู่ประจำ” เหมือนเราอยู่ด้วยกันเรายอมเขาได้ไหม ไม่ค่อยได้ ใช่ไหม แรกๆ อาจจะยอมได้หนึ่งครั้ง แต่พอครั้งที่สอง ครั้งที่สาม มันมากเกินไปแล้วนะ ทำไมฉันจะต้องยอมขนาดนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อแพ้ไม่ได้เราก็ต้องก่อเวร เมื่อก่อเวรก็ต้องมีภัย แล้วเราจะสงบได้ไหม ฉะนั้นอยากหาความสงบจงเรียนรู้ที่จะไม่อยู่ในคำว่า “แพ้หรือชนะ”
ข้อที่สอง ข้อที่สามจำไม่ได้แล้วใช่ไหม อย่างนั้นเอาข้อเดียวพอดีไหม ที่เหลือกลับไปอ่านเองดีหรือเปล่า บอกหมดเดี๋ยวท่านก็ลืมให้คิดเองดีไหม
อันที่สองคืออะไรรู้ไหม อย่าเบียดเบียนคนอื่น รู้จักสำรวมกาย วาจา ใจ เมื่อตายไปแล้วเราจะไม่โศกเศร้า แต่เรามีชีวิตเดี๋ยวก็เบียดคนนั้น เดี๋ยวก็บังคนนี้ เดี๋ยวก็เอาเปรียบคนนั้น เดี๋ยวก็นินทาคนนี้ เดี๋ยวก็กินแรงพ่อแม่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาเล่นเกมปรบมือสลับกัน)
ยากไหม ชีวิตมันก็อย่างนี้นะ ถ้าขาดสติ ประมาทสักนิดหนึ่งสิ่งที่ดูธรรมดา ที่ไม่น่าจะทำให้เราทุกข์มันก็ทุกข์ได้ ใช่ไหม
เงินทำให้เราทุกข์ไหม (ทุกข์) คิดให้ดีๆ นะ จริงๆ เงินไม่ได้ทำให้เราทุกข์หรอกแต่เราเองตกเป็นทาสของมันแล้วใช้มันไม่เป็นเลยทุกข์ เดินตามต้อยๆ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าถามว่ารักธรรมะไหม (รัก) รักเงินไหม (รัก) แต่ชีวิตอยู่กับธรรมะหรืออยู่กับเงินมากกว่ากัน เราอยู่กับเงินมากกว่า
เราอยากจะบอกท่านว่าไม่ว่าจะเป็นตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน ไม่ว่าจะเป็นเงิน จริงๆ แล้วไม่ได้ทุกข์นะ แต่คนที่ทำให้ทุกข์ คือ คนที่กำลังจะไปจับเงิน จำได้ไหมดังตัวอย่างที่เรายกขึ้น จริงๆ แอปเปิล ไม่ได้ทำให้เราทุกข์เลยนะ แต่ถ้าเราติดก็ทุกข์ทันที แต่ถ้าเราอยากก็ทุกข์ทันที แต่ถ้าไม่ติดไม่อยากก็แค่แอปเปิล จริงไหม (จริง) เหมือนเขาด่า เราทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) แต่ที่ทุกข์เพราะเรานำคำพูดเขามาใส่ในใจ แล้วแกะออกไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่) ทั้งที่อยู่ที่ปากเขา เสียงจบหรือยัง (จบแล้ว) เขาพูดจบหรือยัง (จบแล้ว) แล้วทำไมเรายังไม่จบ เขาก็บอกแล้วว่าจบแล้ว แต่ทำไมเราไม่จบ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเราบอกท่านแล้ว ทุกอย่างท่านรู้ แต่ท่านไม่รู้อย่างเดียว คือ ไม่รู้จักตัวเองว่ากำลังจะไปทำอะไรกับสิ่งนั้น แล้วทำแล้วคิดอย่างไรกับสิ่งนั้น คิดอย่างคนที่ฆ่าตัวเอง หรือคิดอย่างคนที่รู้จักใช้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นธรรมะสอนให้เรียนรู้และเข้าใจความจริงของชีวิตและตัวตน เพราะถึงที่สุดคือความว่าง สิ่งที่ท่านโกรธก็คือความว่าง สิ่งที่ท่านหลงเกลียด แท้ที่สุดก็คือความว่าง แล้วคนที่กำลังโกรธ เกลียด ก็คือความว่างที่ไม่มีอะไร แต่เพราะความยึดมั่นจึงเกิดเป็นตัวตน ความถือมั่นจึงเกิดมีรูปลักษณ์ และตัวตนมีเขามีเรา แต่ถ้าเมื่อไรท่านมองเห็นชัด มองเห็นให้ชัดเป็นเรื่องไม่เที่ยง เดี๋ยวก็ตาย เดี๋ยวก็ดับ เหมือนอารมณ์ ยิ้ม เศร้า เบื่อ เซ็ง บ่นอยู่แค่นี้แล้วก็ปล่อยชีวิตอยู่แค่นี้ แล้วจริงๆ มีอะไรไหม เอาไปเกาะมันแล้วบอกตัวฉัน ใช่ไหม (ใช่) แล้วมันฉันไหมล่ะ ถึงเวลาก็ไม่ใช่ฉันนะ มันก็ไม่มีไม่ใช่หรือ ฉะนั้นอย่าหลอกตัวเอง อย่าลืมตัวเอง ถ้าท่านไม่หลอกตัวเอง ท่านก็ไม่ทุกข์และไม่โดนใครว่าได้ง่ายๆ แล้วไม่โดนใครหลอกได้ง่ายๆ ต่อไปจะซื้อมะม่วงเปรี้ยวผิดฤดูก็ไม่โดนหลอก เพราะอย่างไรก็เปรี้ยว โชคดีต่างหากที่นานๆ ทีจะเจอหวาน ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนที่เขาบอก รักเราไหม “รัก รักสุดหัวใจ” ตอนนี้ล่ะ สักหัวใจก็ไม่เหลือให้รัก ใช่ไหม (ใช่) เงินดีไหม (ดี) แต่ถึงเวลาเป็นอย่างไรล่ะ ตายเพราะเงิน เหนื่อยก็เพราะเงิน เจ็บก็เพราะเงิน ใช่ไหม (ใช่) เอาอีกไหม (เอา) ฉะนั้นก่อนจะเอาไม่ต้องกลัวเงิน กลัวใจตัวเอง รู้จักตัวเองดีหรือยังก่อนจะไปทำอะไร เห็นตัวเองชัดไหม ฉะนั้นอย่าคิดว่าเรามาหลอกเลยนะ ถือว่ามาแลกเปลี่ยนสนทนาธรรมกัน ดีไหม (ดี)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นลองเล่นปรบมือสลับกันอีกครั้ง)
ยากไหม ไม่ยากนะอยู่ที่ว่าเราจะฝึกไหม เหมือนที่เรารู้อยู่เต็มอก แต่เราจะฝึกตัวเองไหม ถ้าเราไม่ฝึกเราก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่ถ้าเรายอมฝึก ทำอะไรมีสติยั้งคิด มีธรรมะไหมหรือใช้อารมณ์ เราก็จะสามารถผ่านความทุกข์ได้ด้วยตัวเราเองนะ พุทธะไม่สอนให้ท่านมาพึ่งพุทธะ แต่พุทธะที่แท้จริงคือต้องสอนให้ท่านตื่นด้วยตัวเอง รู้ด้วยตัวเอง และช่วยด้วยตัวเอง เพราะตัวเองเท่านั้นที่จะนำพาท่านให้พ้นทุกข์ที่แท้จริงได้ พุทธะเป็นแค่คนชี้ทางสว่าง แต่ถ้าท่านยังมืดบอด พุทธะอยู่ตรงหน้าร้อยองค์พันองค์ก็ช่วยไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)
อย่างที่สามที่เราจะบอกท่าน ถ้าอยากไปให้ถึงซึ่งธรรมะ ต้องเริ่มง่ายๆ ด้วยการไม่มักโกรธ ไม่เก็บความโกรธไว้ในใจ ไม่ลบหลู่คนอื่นด้วยความไม่ดี ไม่มีความเห็นอันวิบัติ และไม่เป็นคนมารยาสาไถยกลิ้งกลอกหลอกลวงไปมา ทำได้ไหม แต่ถ้าทำได้ท่านก็จะห่างไกลความเลวชิดใกล้ความดี ใช่หรือเปล่า กลัวแต่ว่ามักจะคิดว่าตัวเองดีแล้วมองคนอื่นดีไม่ขึ้น อันนั้นน่ากลัวกว่า จริงไหม
เปลี่ยนเป็นสองวันไหม (คิดดูอีกทีหนึ่ง) อย่าคิดนานนะ เปลี่ยนไหมมัวแต่ห่วงคนหนึ่งวันไม่แน่คนที่บอกสองวันอาจจะเปลี่ยนเป็นหนึ่งวัน ใช่ไหม เป็นธรรมดานะการที่จะนั่งฟังอย่างนี้ให้ได้ครบสองวันเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าใครตั้งใจอยู่วันนี้แล้วพรุ่งนี้ตั้งใจจะอยู่ให้ครบเราขอปรบมือเป็นกำลังใจ ส่วนใครตั้งใจอยู่ให้ครบเราก็ขอปรบมือ ไม่โกรธนะทุกคนมีเหตุผลแต่ขอให้คิดให้ดีๆ ว่าสิ่งที่ตัวเองทำวันนี้ถ้าเรามองแค่เพียงว่าเราทำวันนี้ไม่ใช่เพื่อตัวเอง การตั้งใจนั่งฟังวันนี้ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเองแต่ยังผลประโยชน์ให้กับบุคคลที่ท่านมองไม่เห็นได้ด้วยนะ เราบอกแค่นี้ที่เหลือท่านไปคิดเอาเอง
ท่านเคยได้ยินไหม จิตที่เป็นกุศลตั้งมั่น มีศีลมีธรรมแล้วคนฟังก็มีศีลมีธรรม คนพูดก็มีศีลมีธรรมและเราฟังเกิดปัญญารู้แจ้งจะเกิดพลานุภาพ แล้วถ้าพลานุภาพนี้สมบูรณ์พร้อม พลานุภาพนี้ก็สามารถส่งต่อให้กับสิ่งที่เรามองไม่เห็นได้ เหมือนที่เขาบอกว่าจิตที่ตั้งมั่นด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจบริสุทธิ์ถึงพร้อมถ้าอธิษฐานแล้วจะศักดิ์สิทธิ์ แล้วถ้ายิ่งอธิษฐานเพื่อคนอื่นยิ่งศักดิ์สิทธิ์และมงคลยิ่งนัก ฉะนั้นอย่าคิดแค่เพียงว่านั่งวันนี้แล้วเพื่อตัวเอง ตั้งใจดีๆ นั่งวันนี้อาจจะเพื่อคนอื่นก็ได้ เคยได้ยินไหมว่าความดีแปรเปลี่ยนโลก จิตที่มุ่งมั่นตั้งใจก็อาจจะแปรเปลี่ยนเภทภัยได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นวันนี้ไปแล้วนะ จริงๆ เรามีอีกเรื่องหนึ่งนะอยากบอกท่าน แต่กลัวท่านจะเบื่อซะก่อน อยากฟังไหม (อยาก)
มนุษย์ทุกข์เพราะอะไร โปรดติดตามวันต่อไป ถ้าพูดหมดท่านก็ไม่อยากอยู่ฟังต่อแล้ว เราไปแล้วนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก แต่เราไม่ได้มาเพื่อให้ท่านมาขอเลขนะ เรามาช่วยรักษาโรคใจดีกว่า มนุษย์มีโรคทางใจที่หาหมอคนไหนก็รักษาให้หายไม่ได้ แล้วใครจะช่วยรักษาโรคใจเราได้ มีแต่ธรรมะเท่านั้น ธรรมะที่สอนให้เรารู้ชัดในตัวเอง ไม่ใช่ไปรู้คนอื่น แต่ต้องรู้จักตัวเอง จำไว้นะ เมื่อออกไปข้างนอก เมื่อคิดจะไปจับอะไร จำคำพูดเราให้ดีๆ จำไม่ดีแอปเปิลธรรมดาจะทำให้ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นตอนนี้ใครยังอยากได้แอปเปิลอีก ขอบคุณทุกท่านที่อยู่ร่วมกันจนจบนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก อย่าดูถูกดูเบาตัวเองนะ เราก็สามารถพ้นทุกข์ได้ แต่พ้นทุกข์แบบไหน พ้นทุกข์ชั่วคราวหรือพ้นทุกข์นิรันดร
วันอาทิตย์ที่ ๒๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ สถานธรรมถงซิน จ.ราชบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
คนเจ็บตัวเพราะว่าคิดรู้ทัน ทะเลาะกันก็ท้ายได้ไม่มากนัก
อคติเหมือนไม่เคยเจอคนนั้นน่ารัก คิดมากหนักน้อยคิดละเมอพึงทบทวน
คนบำเพ็ญอย่าได้ยึดติดความคิด ยิ่งมีใจทรมานคิดความเร่งด่วน
สิ่งสำคัญไม่ใช่ผลงานทั้งมวล แต่ทุกส่วนก็เพื่อใจฝึกบำเพ็ญ
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีหรือยัง
หลงรักโลภโกรธอารมณ์ เพลินชมกิเลสไม่สิ้น
อารมณ์ครอบงำจนชิน ถวิลแต่เรื่องโลกีย์
อยากมีอยากเป็นอยากได้ ในโลกไม่เที่ยงใบนี้
หวังยึดถือครองเปรมปรีดิ์ แต่มีใครครองได้นาน
เคี่ยวเข็ญตนเองสักหน่อย อย่าปล่อยตัวไปวันวัน
คนที่มีปณิธาน ยิ่งนานก็ยิ่งพัฒนา
คนที่บำเพ็ญตั้งใจ ใส่ใจต่อการศึกษา
หลักธรรมใส่ใจทุกครา ล้ำค่าในตัวตนเอง
ธรรมะคือการเสียสละ ธรรมะใช่การอวดเก่ง
ใช่เอาแต่ใจตัวเอง ใช่เร่งแต่ไม่ฝึกใจ
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
คนเจ็บตัวเพราะว่าคิดรู้ทัน ทะเลาะกันก็ท้ายได้ไม่มากนัก
อคติเหมือนไม่เคยเจอคนนั้นน่ารัก คิดมากหนักน้อยคิดละเมอพึงทบทวน
คนบำเพ็ญอย่าได้ยึดติดความคิด ยิ่งมีใจทรมานคิดความเร่งด่วน
สิ่งสำคัญไม่ใช่ผลงานทั้งมวล แต่ทุกส่วนก็เพื่อใจฝึกบำเพ็ญ
เราทำงานอย่ายึดติดความคิด เพราะไม่อย่างนั้นมันจะทรมานใจ สิ่งสำคัญนั้นไม่ได้อยู่ที่ผลงาน แต่สิ่งสำคัญก็เพื่อใจเราได้ฝึกเมื่อได้อยู่ร่วมกับคน ทะเลาะแล้วดีไหม เจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจ แล้วบำเพ็ญอะไร ชีวิตก็แค่นี้มีสุขแล้วก็มีทุกข์ ถ้ามีคนแทนเราได้แล้ว เราจะยึดติดทำไมว่าจะต้องเป็นฉัน ไม่จำเป็น ถ้ามีคนแทนเราได้แล้ว เราต้องดีใจสิ อยู่ข้างหลังเราก็ภูมิใจ หมดหน้าที่เราแล้ว มีคนทำแทนเรา ไม่ใช่เขาดีกว่าฉันได้อย่างไร อย่างนี้ถูกไหมศิษย์ (ไม่ถูก) เมื่อมีคนทำแทนเราได้ เมื่อมีคนดีกว่าเราได้ เราจะไปอิจฉา เราจะไปโกรธ เราจะไปยื้อแย่งให้กลับมาเหมือนเดิมไปทำไม ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะมนุษย์คิดเล็กคิดน้อย ไม่ว่าจะตัวโตตัวเล็กก็ชอบเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย เรื่องอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็นำมาคิดหมด ใช่ไหม
เคยไหมเขาคุยกับเราเยอะแยะ แต่ถ้ามีคำหนึ่งนั้นสะกิดหู ที่พูดมาทั้งหมดฟังไม่รู้เรื่องแล้ว หูมันดับทันที ใช่ไหม (ใช่) เธอก็เป็นคนอย่างนี้ แล้วก็พูดเยอะแยะ แต่จำได้อย่างเดียวว่าเขาพูดว่าเธอเป็นคนอย่างนี้ อย่างนี้มันคืออะไร แล้วมันก็ค้างใจอยู่ ใช่ไหม (ใช่) แล้วพอเจอหน้าเขาอีกที เขาจะพูดเยอะขนาดไหนก็ยังค้างใจอยู่ แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม (เป็น) ทั้งที่จริงๆ แล้ว โลกมันหมุนแล้วนะ แต่หัวใจเรามันไม่ค่อยยอมหมุน ชีวิตมันไปต่อแล้ว แต่ใจเรามันยังติดอยู่กับเรื่องเดิมๆ อยู่อีก ติดไม่ชอบใจคนโน้น ติดเบื่อคนนั้น แต่โลกมันไปหรือยัง (ไปแล้ว) ชีวิตมันผ่านไปหรือยัง (ผ่านไปแล้ว) แต่ใจทำไมยังย่ำอยู่กับที่ ไหนบอกว่ารักความก้าวหน้าแต่ทำไมใจมันชอบติดเรื่องเดิมๆ
วันนี้ที่อาจารย์ตั้งใจมาเจอหน้าศิษย์ทุกคน คำพูดแรกที่อาจารย์อยากจะถามก็คือว่า สบายดีไหม ยังทุกข์อยู่หรือเปล่า ยังทุกข์กับเรื่องเดิมๆ อยู่ ใช่ไหม (ใช่) ยังเจ็บยังป่วยกับเรื่องเดิมๆ อยู่ แต่ชีวิตมันไปแล้ว มันไปต่อแล้ว ทำไมยังจมอยู่กับอดีต ทำไมยังจมอยู่กับความคิดอันเดิมๆ ทำไมยังจมอยู่กับคำพูดของคนที่เราไม่ชอบอยู่ ใจมันคือถังขยะหรือ เก็บแต่สิ่งเน่าๆ หรือ ก็ไม่ใช่นี่ อยากมีความสุขแต่ใจชอบเก็บแต่ความทุกข์ อยากมีความสบายใจแต่ใจชอบเก็บแต่ความคิดมาก เรื่องคิดมาก ทำตัวเองทั้งนั้นเลย
ถ้าอาจารย์รู้ว่าความคิดอาจารย์ดีแล้ว ก็อยากให้ศิษย์ดี แต่อาจารย์บังคับใครไม่ได้ ใช่ไหมอาจารย์ยังบังคับทุกคนไม่ได้ แล้วศิษย์ทำได้ไหม ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากให้ศิษย์เปิดใจกว้างๆ มองให้เห็นความจริง แล้วความจริงนั้นจะทำให้เราพบความสุขอันนิรันดร์ แต่การจมอยู่กับความคิด แล้วไม่รับฟังความคิดใคร จะทำให้ศิษย์ไม่มีวันพบความสุขอันแท้
(พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียนในชั้นว่าสบายดีไหม มีนักเรียนที่ตอบเสียงปกติและเสียงดัง)
ตอบแบบพอประมาณก็ชื่นใจนะ “สบายดี” ตอบอย่างนี้อาจารย์ชักตกใจ ที่สบายดีเพราะว่าอะไร เสียงหนึ่งเสียงบางทีก็ทำให้คนคิดมากได้เหมือนกันนะ การคิดแล้วหันกลับมาพิจารณาแก้ไขปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นก็เป็นสิ่งที่ควรจะคิด แต่คิดแล้ว แล้วก็คิดอีก ไม่ได้แก้อะไรเลย อาจารย์ว่าอย่าคิดเลยดีกว่าถ้าเป็นอย่างนั้น คิดแล้วต้องเอามาแก้ไขเอามาตรวจสอบ อย่าได้เอาแต่นั่งคิด นอนคิด แล้วก็ไม่มีอะไร เปล่าประโยชน์ จริงหรือไม่ (จริง) ไม่เคยเห็นชุดอาจารย์หรือ มองกันใหญ่เลย เอาเป็นว่าในบรรดาเสื้อผ้าในตู้ของศิษย์ไม่มีใครเสื้อผ้าสกปรกแล้วโทรมได้เท่ากับเสื้อผ้าของอาจารย์แล้ว ตลอดชีวิตอาจารย์มีชุดเดียว ศิษย์มีกี่ชุด มีชุดหนังหุ้มชุดเดียว ใช่ไหม (ใช่) แต่มีเสื้อผ้านับชุดไม่ถ้วนเลย ปกติอาจารย์มักชอบเล่นอะไรเอ่ย ถ้าตอบได้ก็ได้ (นั่ง) ตอบไม่ได้ก็ (ยืน)
อาจารย์ถามว่า พุทธะมีชุดศักดิ์สิทธิ์อะไรที่ทำให้กลายเป็นพุทธะ มนุษย์มีกายเนื้อนี้เป็นตัวเป็นตนทำให้เป็นมนุษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่อะไรทำให้มนุษย์ที่กายเนื้อนี้ ชุดนี้ชุดเดียวกลายเป็นพุทธะได้ ศิษย์คิดว่าอะไร
(เพราะรู้จักบำเพ็ญบุญ) บุญอะไรที่ประเสริฐสุดมากกว่าการให้ทาน
(อภัยทาน) ศิษย์เคยได้ยินคำพูดของพุทธะกล่าวไว้หรือไม่ “ทำบุญตอนเช้าด้วยอาหารร้อยหม้อ กลางวันอีกร้อยหม้อ เย็นอีกร้อยหม้อ ทำติดต่อกันร้อยพันวัน ก็ไม่สู้เมตตาจิต ที่ให้กับคนคนหนึ่ง” ประเสริฐกว่ากันเยอะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(เมตตาจิต) เข้าใจตอบนะ เริ่มมีปัญญา ตอบได้ดี นั่งไหม (นั่ง) จะนั่งคนเดียวหรือทุกคนนั่ง ถ้าทุกคนนั่งตัวเองต้องยืนได้ไหม (ได้ค่ะ) ปรบมือให้เขาหน่อย นี่ไม่ใช่แค่พูดแต่ทำเลย เมตตาจิตต้องออกมาจากทำ อย่าแค่พูด แล้วชุดนั้นจะติดตัวศิษย์ไปตลอด แม้ตัวร่างกายนี้ตายแล้วแต่เมตตาจิตก็จะคุ้มครองทำให้เราได้พบสุขที่แท้จริง มีตัวเดียวหรือมีชุดอื่นอีกไหม
(ธรรมทาน) ให้ธรรมะเป็นทาน อาจารย์เคยบอกศิษย์ว่า การให้ธรรมะเป็นทานไม่ใช่แค่มีหนังสือดีๆ แล้วยื่นให้ เรียกว่าให้ธรรมะเป็นทาน แต่อาจารย์จะบอกต่ออยากรู้ไหมว่าอะไรคือการให้ธรรมะเป็นทาน
รู้ไหมว่าการให้ธรรมะเป็นทานคือให้อย่างไร (ชักชวนคนมาทำบุญ) ศิษย์เคยได้ยินไหม มีคนๆ หนึ่งเขาคิดว่า อะไรนะที่เป็นการทำแล้วไม่เบียดเบียนผู้อื่น ทำแล้วไม่ก่อทุกข์ ทำแล้วมีแต่สิ่งที่เป็นมงคลกับตัวเอง เขาบอกว่า การป่าวประกาศให้คนทำบุญรักษาศีลนี่แหละประเสริฐสุด ตลอดชีวิตทุกครั้งที่เขาจะพูดอะไร เขาจะพูดแต่เพียง ทำบุญ รักษาศีล ไม่นินทาคนอื่นเลย ทำบุญ รักษาศีลเถอะ ไปถือพระพุทธ พระธรรม เป็นสรณะเถอะ ชีวิตนี้ตลอดแปดหมื่นปีที่เขามีชีวิตอยู่ เขาพูดแต่เรื่องนี้ ทำให้ผลของการทำบุญอันนี้ส่งผลให้เขาไปที่ไหนก็มีกลิ่นอันหอม ที่เรียกว่ากลิ่นอุบล พูดก็มีวาจาที่หอม ศิษย์เคยได้ยินเรื่องนี้บ้างไหม ยิ่งเขาพูดแต่สิ่งที่ดี อายุเขาจะยิ่งยืนขึ้น แล้วผลของการทำดีนั่นแหละ ที่ทำให้เขาไม่ต้องฉีดน้ำหอมราคาแพง แล้วไม่ต้องล้างปากทุกวัน เพราะว่าพูดแต่สิ่งที่ดี ใช่ไหม
ฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกว่าชุดที่วิเศษที่สุดคือ ชุดที่ทำให้เราได้เป็นพุทธะ เหมือนที่ศิษย์บอกว่าการให้ธรรมะเป็นทานประเสริฐกว่าการให้ทั้งมวล แล้วธรรมะเป็นทาน ธรรมะอยู่ที่ไหน อยู่ที่ตัวเรา เราคือธรรมะ เราทำตัวให้เป็นธรรมะที่ประเสริฐได้ ถ้าทุกครั้งที่พูดเป็นสัจจะ เป็นความจริง มีเมตตา เราก็คือให้ธรรมะเขาตลอดเวลา แต่ศิษย์มักจะบอกว่า อาจารย์เดี๋ยวเข้าวัดค่อยดี ไปรักษาศีล ถือศีลบวชเจ็ดวัน บวชแปดวัน แล้วออกมาเป็นอย่างไร (เหมือนเดิม) แล้วใครจะอนุโมทนาบุญกับศิษย์ กลับมาก็ยังด่าเหมือนเดิม แต่ดีเฉพาะในวัด ทำไมไม่เอาสิ่งที่อบรมออกมาใช้ข้างนอก ทำไมต้องดีแค่ในวัด ทำไมต้องเป็นคนเคร่งปฏิบัติสงบในวัด ทำไมไม่ปฏิบัติเคร่งและสงบในทุกๆ ที่ นี่แหละคือข้อสำคัญในการบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญธรรมอย่าใช้เฉพาะในวัด แต่บำเพ็ญธรรม เราต้องให้ธรรมกับทุกๆ คนได้ เราต้องแสดงธรรมกับทุกๆ คนได้ เราต้องมีธรรมกับทุกๆ คนได้ นั่นแหละคือการให้ธรรมที่ประเสริฐ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายในชั้นท่านหนึ่งออกมายืนหน้าชั้น)
อาจารย์ว่าศิษย์เป็นคนยิ้มสวยนะ แต่ทำไมไม่ค่อยยิ้ม หุบยิ้มทำไม ยิ้มไว้นั่นแหละดีแล้ว มนุษย์น่ารักตรงที่รู้จักยิ้ม รู้จักมีเมตตาและไม่ใช้สีหน้ากดขี่ข่มเหงใคร คนเราแปลกนะ อยู่ด้วยกันในโลก เราอยากได้ความรักจากทุกคน แต่เราเคยถามตัวเราเองไหมว่า “หน้าเรามันน่ารักไหม” ใช่ไหม จริงๆ ศิษย์น่ารักนะ แค่ยิ้มเอง ขอเพียงอย่าบึ้ง อยากให้คนอื่นเขารักแต่เรายิ้มก็ยาก แล้วใครจะรักนะ ใช่ไหม
เมื่อสักครู่อาจารย์ถามศิษย์ว่า อยู่ในโลกทุกข์ไหม (ทุกข์) ทุกข์กายก็เหนื่อยแล้วแต่ทุกข์ใจเพราะคนนี่สิเหนื่อยมาก จริงไหม (จริง) ทุกข์กายว่าเหนื่อยแล้วนะต้องดูแลกายต้องเลี้ยงดูกาย แต่พอมาเจอคน พูดไม่ออกเลย ใช่ไหม (ใช่) อย่างนั้นศิษย์ก็เลยถามอาจารย์ทำไมเขาทำอย่างนี้กับศิษย์ ทำไมศิษย์ต้องมาเจอคนแบบนี้ เขาพูดดีๆ กว่านี้ไม่ได้หรือ ทำไมเขาต้องพูดให้มันเจ็บขนาดนี้ เขาทำให้เราสบายใจไม่ได้หรือ ทำไมเขาถึงบีบคั้นใจขนาดนี้ จนบางทีไม่รู้จะบ่นกับใคร เลยหันไปตัดพ้อต่อว่า ฟ้าทำไมรังแกฉันอย่างนี้ ถ้าอาจารย์บอกว่า ศิษย์เอ๋ยศิษย์ลืมความจริงไปข้อหนึ่ง โลกนี้เป็นโลกแห่งเหตุปัจจัย คนตั้งหลายร้อยคนเราไม่เลือก ทำไมไปชอบคนนี้ คนมีตั้งเยอะแยะทำไมเราไม่เลือก ทำไมเราไปเลือกคนนี้ ใช่ไหม (ใช่) เพราะตอนนั้นเราเป็นรจนา ใช่ไหม คนอื่นเห็นเป็นเงาะหมด แต่เราเห็นเป็นพระสังข์รูปทอง แล้วพออยู่ไปนานๆ เป็นอย่างไร รูปทองหายไปไหนไม่รู้เหลือแต่รูปเงาะ แล้วว่าใครได้ไหม ทำไมเธอไม่เตือนฉันเลย ว่าได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นบางสิ่งบางอย่าง ถ้าศิษย์ไม่ปิดตาตัวเองจนเกินไป ศิษย์ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันมีเหตุปัจจัยมาทำให้เราต้องเกี่ยวเนื่อง ทำให้เราต้องสัมพันธ์กัน
ถามศิษย์ว่าเพื่อนกลุ่มนี้ก็มี กลุ่มนั้นก็มี ทำไมเราไม่สนิทกับกลุ่มนั้น กลุ่มนั้นเขาเรียนเก่งนะ แต่ทำไมเรามาสนิทกับกลุ่มที่ชอบเที่ยว ความผิดเพื่อนไหม ความผิดใคร (ตัวเราเอง) แล้วพอเพื่อนไม่ดี ด่าใคร (ด่าเพื่อน ด่าตัวเอง) เพื่อนก็สะท้อนความเป็นตัวเรา เราสนิทกับเพื่อนนิสัยอย่างไร เราก็เป็นอย่างนั้น เพราะผีมักไปหาผี ใช่ไหม (ใช่) อาจารย์พูดง่ายๆ ทำใจยาก ถ้าพูดแบบทางธรรมะ “สิ่งใดมีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นมีความดับเป็นธรรมดา” ศิษย์จำไว้นะในโลกใบนี้ ไม่มีอะไรสมบูรณ์พร้อม เรื่องร้ายขนาดไหนถ้าศิษย์ไม่ปิดตาตัวเอง ถ้าศิษย์ไม่ยึดติดกับความคิดตัวเอง ถ้าศิษย์ไม่ลำเอียงจนเกินไป แม้ร้ายขนาดไหนก็มีดี แม้ดีขนาดไหนก็ยังมีร้าย หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ใดๆ ในโลกล้วนไม่เที่ยงแท้”
ฉะนั้นคนที่เข้าใจความจริงในโลกจะต้องไม่ยึดมั่นถือมั่น อาจารย์บอกศิษย์สองเรื่อง จำไว้นะศิษย์ ถ้าเจอคนไม่ได้ดั่งใจ เจอคนไม่ได้ดั่งหวังจำไว้ว่า สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นย่อมมีความดับเป็นธรรมดา ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนไม่มีอะไรสมบูรณ์พร้อม และทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนไม่เที่ยง แต่ยากตรงที่เราอดคิดไม่ได้ ใช่ไหม
บางทีเห็นเขาเป็นแบบนี้ เราทำอย่างไรดี ในเมื่อบางทีเราคิดว่าจะดีกว่านี้ บางทีเรามีความคิด เรามีความหวัง ในตัวมนุษย์ทุกคนมีความคิด มีความหวังทุกคน ก็เป็นความอยากอย่างหนึ่งที่ผลักดันให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไป ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าในความคิดความหวังและความอยากนั้น ต้องอยู่ร่วมกับคนๆ นี้ ศิษย์หวัง ศิษย์หวังดี อยากดีด้วย แต่เขาเป็นแบบนี้ ศิษย์ทำอย่างไร เขาไม่ค่อยยิ้มอย่างนี้ หน้าตาก็อย่างนี้ บางทีแทบจะไม่ค่อยพูด แต่ถ้าพูดออกมาเจ็บเลย ไม่ค่อยพูดแต่ถ้าพูดทีเจ็บ ดีหรือ คิดให้ดีๆ นะ คนอื่นเจ็บ พอเขาเจ็บ หน้าตาเขาก็บูดกลับมา เราก็ไม่มีความสุข เป็นผลสะท้อนซึ่งกันและกัน ถ้าศิษย์ยังยึดติดกับความคิดกับความหวังว่าทำไมเขาไม่อ้วนกว่านี้ ทำไมเขาไม่ดูภูมิฐานกว่านี้ ทำไมไม่ขาวกว่านี้ ทำไมสามีเป็นแค่นี้ เรายิ่งอยู่ เรายิ่งทุกข์ไหม ทุกข์แล้วเราเคยเปลี่ยนความคิดแล้วมองความจริงไหม ไม่เคยเลย เราก็ยังยืนยันดันทุรังว่าเราจะต้องดีกว่านี้อีก ใช่หรือไม่
ปัญหาอีกปัญหาหนึ่งคือศิษย์มักจะจมอยู่กับความคิดเดิมๆ เมื่อก่อนก็หวังแบบนี้ เมื่อก่อนลูกน่ารักกว่านี้แล้วทำไมตอนนี้ได้แค่นี้เอง มากกว่านี้ได้ไหม อาจารย์แค่อยากให้เห็นว่าบางทีแค่เราทำหน้าเฉยๆ บางทีก็ทำให้คนที่อยู่รอบข้างไม่สบายใจได้เหมือนกัน เขาเป็นอะไรหนอ ฉันทำอะไรผิดหรือเปล่า ทำไมเขาเข้ามาบ้านแล้วไม่พูดอะไร เงียบๆ แล้วก็เดินเข้าไป เหมือนเห็นเราเป็นอากาศธาตุ แล้วเขาก็เดินไป แล้วเขาก็ออกไป เราทำผิดอะไร
ฉะนั้นมนุษย์ทุกข์เพราะอะไร มัวแต่จมอยู่กับความคิด แต่ไม่มองความจริง ไม่มองคนรอบข้าง ติดอยู่กับความคิดที่เราบอกว่าเราหวังดี แต่เรามองเขาไหม เขาได้แค่นี้ก็ดีแล้ว ใช่ไหม (ใช่) เหล้าก็ไม่ดื่ม บุหรี่ก็ไม่สูบ เที่ยวดึกก็ไม่เที่ยว อย่าบอกนะว่าที่อาจารย์พูดมาศิษย์เป็นหมดเลย มีดีอย่างเดียว อย่างไรก็กลับบ้าน ใช่ไหม ดีจริงๆ เลย ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นถ้าในร้อยมีดีแค่หนึ่งก็จงดีใจ เพราะอาจารย์บอกแล้ว ไม่มีอะไรในโลกสมบูรณ์พร้อม เราต้องอยู่กับความจริงและรับความจริงให้ได้ เพราะโลกมันเดินไปแล้ว แต่เรายังอยู่กับที่หรือเปล่า และอีกอย่างหนึ่งจำไว้นะศิษย์ เราเปลี่ยนเขาไม่ได้ เปลี่ยนเราเองดีไหม (ดี) แล้วศิษย์เปลี่ยนไหม
ฉะนั้นการศึกษาบำเพ็ญธรรมเพื่ออะไร เพื่อไม่ได้เอาแต่ว่าเขาแต่หันกลับมามองตัวเรา แล้วแก้ไขตัวเอง นี่คือจุดมุ่งหมายของการฟังธรรมะสองวันนี้ คนที่ฟังอาจารย์ก็คงรู้เรื่อง แต่อาจารย์ก็รู้ว่ามีบางคนไม่ได้ฟังเลย วันสุดท้ายแล้วนะ จบแล้ว อย่าฟังให้เสียเปล่า
อาจารย์ยกตัวอย่างที่ศิษย์ชอบเป็นกัน ศิษย์เห็นอาจารย์ไหม ถ้าไม่มีใครมาเป็นองค์ประกอบ อาจารย์ก็ว่าอาจารย์ก็ภูมิใจในความเป็นอาจารย์ ใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าอาจารย์เปลี่ยนใจนะ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนหญิงวัยรุ่นสองคนออกมาข้างหน้า โดยพระอาจารย์ยืนตรงกลาง)
ศิษย์คิดว่าถ้าอาจารย์อยู่กับสองคนนี้นานๆ อาจารย์จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) จริงหรือคิดให้เยอะๆ หน่อยนะ ตอนแรกก็ไม่ทุกข์ แต่สักพักไปก็ทุกข์
เราอยู่ในโลกนี้ บางครั้งมนุษย์ก็ทุกข์โดยไม่มีเหตุผลได้เหมือนกัน เพราะเราไม่มองความจริง ใช่ไหม ศิษย์มองความจริงแล้วนะ คนนี้สวยกว่าและคนนี้ก็สวยกว่า ใช่ไหม (ใช่) นี่ศิษย์อยู่บนความจริงเต็มที่แล้ว เขาสวยกว่า แล้วเราสวยไหม ไม่สวยเลย ขี้เหร่ด้วย แก่ด้วย อย่างนั้นถ้าเราอยู่บนความจริง แล้วเราจะรับความจริงนั้นให้ได้อย่างไร คนเราคุณค่ามีแตกต่างกัน คนเรามีความดีต่างกัน เราจำเป็นจะต้องไปให้ได้เหมือนสองคนนี้ไหม จำเป็นไหม (ไม่จำเป็น) คุณค่าเราก็มีได้ด้วยตัวเอง ก็สวยอย่างอัปลักษณ์หรือคิดง่ายๆ ที่ฉันยอมไม่สวยก็เพื่อให้เธอสองคนได้สวยนะ ฉะนั้นเธอต้องดีใจเพราะมีคนอย่างฉันเธอถึงได้สวยมาก แต่อย่าไปพูดแบบประชดเดี๋ยวเขาก็ขับไล่ออกจากกลุ่มให้ไปอยู่กับกลุ่มอื่น ใช่หรือเปล่า
อาจารย์จึงบอกว่าทุกคนมีคุณค่าของตัวเอง ทุกคนมีศักยภาพอันดีงามของตัวเอง แต่อยู่ที่ว่าเราเห็นคุณค่าตัวเองไหม ทำไมจะต้องไปตามแบบคนอื่น จำเป็นไหม (ไม่จำเป็น) ไม่อย่างนั้นศิษย์จะทุกข์จนตายเพราะว่าต้องให้ได้เหมือนอย่างคนอื่นเขา ลืมคุณค่าในตัวของตัวเรา จริงไหม (จริง) ฉะนั้นจำคำอาจารย์พูดไว้นะ ยืนอยู่บนความจริง เมื่อเรื่องราวเปลี่ยน ถามตัวเราเองว่า เรายังจมอยู่กับอดีตแล้วไม่มองตามความเปลี่ยนไปหรือไม่ แล้วถ้าเกิดสิ่งที่มากระทบนี้ มันร้ายแรงจนเราทำใจไม่ได้ เราเปลี่ยนเขาได้ไหม ถ้าเปลี่ยนไม่ได้เปลี่ยนตัวเราดีไหม แต่สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ต้องจำไว้โดยเฉพาะคนที่เป็นลูก สิ่งที่ล้างไปจากหัวใจพ่อแม่ไม่ได้คือพ่อแม่เห็นลูกเป็นเด็กอย่างไร ก็เป็นเด็กอย่างนั้น อย่าพยายามไปบอก “แม่ หนูโตแล้ว หนูโตแล้วเห็นไหมว่าโตแล้ว” แต่ในความคิดของแม่ ถึงแม้ว่าโตขนาดไหน ลูกก็ยังเด็กแล้วเขาก็ยังจำอยู่กับความน่ารักของเราตรงนั้น อย่าไปโกรธท่าน มนุษย์นี่มีความวิเศษอยู่อย่างหนึ่งนะศิษย์ ถ้าตั้งใจจะเห็นอะไรก็เห็น แต่ถ้าตั้งใจไม่เห็น ยังไงก็มองไม่เห็น แต่ถ้าเราเห็นมากกว่าก็อย่าไปโกรธคนที่เห็นแค่นั้น เพราะถ้าเราโกรธเราก็คือคนที่ไม่มองความจริง
วันนี้อาจารย์ไม่ให้เพลง แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์ช่วยร้องเพลง “ตั้งใจ” ทำนองเพลง “ศรัทธา” ให้อาจารย์ฟังหน่อยได้ไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นยืนขึ้นนั่งลง ตามที่พระอาจารย์บอก)
เข่าไหวไหม (ไหว) อาจารย์บอกไว้ ยิ่งเข่าไม่ดีแล้วเอาแต่นั่งไม่ยอมยืน หรือไม่เดินจะยิ่งทำให้เดินไม่ได้ ต้องฝืนถ้าไม่ฝืนเดี๋ยวเดินไม่ได้อาจารย์ไม่รับผิดชอบนะ เชื่ออาจารย์สิ ถ้าเจ็บป่วยแล้วยังยอมป่วยกับความเจ็บนั้น แล้วไม่พยายามฝืน มันก็จะยิ่งล็อก พอล็อกปุ๊ปก็จะตาย พอตายปุ๊ป คราวนี้ศิษย์ขยับไม่ได้แล้ว ฉะนั้นยิ่งเจ็บศิษย์ก็ต้องพยายามออกกำลังกายแล้วฝืนเดินให้ได้ พอไม่ฝืนกลายเป็นล็อกแล้วต่อไปเดินไม่ได้แล้วนะ ชีวิตคือการเคลื่อนไหวและการดำเนินไป ฉะนั้นเมื่อไรที่เราเคลื่อนไหวไม่ได้ ก็ไม่ได้เรียกว่า “ชีวิต” ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นยืนขึ้นนั่งลงสลับแถวเป็นเลขคู่และเลขคี่ในแต่ละแถว เลขคู่คือลุกนั่งตามอาจารย์บอก เลขคี่คือทำตรงข้ามกัน)
เป็นธรรมดามีคนที่ฟังอาจารย์และก็ไม่ฟังอาจารย์ อาจารย์ก็แค่เล่นเกมตามความเป็นจริง ถ้าอาจารย์บอกว่านั่ง แปลว่าแถวเลขคู่ทำตาม แต่แถวเลขคี่ต้องทำตรงกันข้าม ผู้ร่วมฟังทำตรงกันข้าม ผู้ปฏิบัติงานธรรมทำตาม เข้าใจไหม ไม่ต้องห่วงใคร ดูแลตัวเองก็พอนะ พร้อมหรือยัง (พร้อม) ศิษย์จำไว้นะ เจอคนบนโลกพูดสามรอบแล้วยังไม่รู้เรื่อง ถ้าพูดเรื่องเดิมรอบสี่แล้วยังเหมือนเดิมค่อยว่าเขา ใช่ไหม แต่อาจารย์ว่าไม่ต้องไปว่าเขาหรอก อดทนเถอะ เพราะรอบสี่ก็ยังไม่รู้เรื่องอีก
ศิษย์เอย ถ้าเราอยู่บนโลกแล้วมองเห็นความเป็นจริง ไม่ใช่คนที่ปิดตาตัวเอง ไม่ใช่คนที่เอาแต่อยากมากเกินไป ศิษย์จะมองเห็นว่าโลกใบนี้แท้จริงแล้วไม่น่ายึด ไม่น่าเป็น แต่ทำไมเรายังอยากได้ อยากเป็นกันอยู่ ใช่ไหม อาจารย์ถามจริงๆ นะถ้าเราไม่ปิดตาตัวเอง ศิษย์ลองมองดูว่าอะไรในโลกที่เที่ยงแท้ ถ้าศิษย์อยากให้อาจารย์มาอยู่ในบ้าน คงเป็นมงคลกับชีวิตใช่ไหม แต่ขึ้นชื่อว่าคน มีความเที่ยงไหม มีความเปลี่ยนตลอดเวลา ถ้าศิษย์อยากจะเอาอาจารย์ไป แต่ศิษย์มั่นใจนะว่าจะรับผิดชอบอาจารย์ไหว ศิษย์ต้องดูแลเขาทั้งชีวิตเลย ตัวเราเองก็ดูแลยากอยู่แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วสิ่งต่างๆ ที่ศิษย์อยากมี อยากเป็น ดูแลยากไหม แล้วมั่นคงไหม แล้วทำไมศิษย์นำมาเป็นเสาหลักคุ้มครองชีวิต เพราะเรามองไม่เห็นใช่ไหม หวังว่ามีเงินก้อนโตๆ ศิษย์คงจะสบาย หวังว่าจะมีสามีดีๆ เราคงสุข หวังว่าลูกเรียนจบแล้วจะมาดูแลเรา เราหวังดีทั้งนั้นเลย เราอยากดีทั้งนั้นเลย แต่เราลืมความจริงไปไหมว่า เราไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย ในโลกแห่งความเปลี่ยนแปลง เหมือนที่อาจารย์บอก สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความดับ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรสมบูรณ์พร้อม มันเป็นมายา มันเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าศิษย์เข้าถึงและรู้แจ้งแทงตลอดในชีวิต ความโกรธจะไม่มี ความโลภจะไม่เกิด ความหลงจะปราศจากหายไปจากใจ จริงไหม (จริง) จะโกรธใครไหม เพราะเราเข้าใจแล้วมันเป็นธรรมดา เขายังไม่รู้ เขาเลยอยาก เราเลยให้ๆ เขาไป ไม่โกรธ เขายังไม่รู้ เขาเลยโกรธ แต่เราไม่โกรธเพราะเรามองเห็นความจริงว่า คนก็เป็นอย่างนี้ ถึงเราจะไหว้ พูดหวานๆ กับเขา แต่ถ้าเขาจะเกลียด ยังไงก็เกลียด บอกเธออย่าเกลียดฉันเลยนะ ได้ไหม มันเป็นเหตุปัจจัยนะ กับบางคนนะ ด่าก็แล้วว่าก็แล้ว ทำไมเขารักเราจัง ไปให้ไกลๆ เลย เขาก็ยังมาหาเราจัง ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าเรามองเห็นนะศิษย์ ความโลภ ความโกรธ ความหลง จะทำอะไรใจเราไม่ได้ แต่เพราะเรายังมองไม่เห็น ยังหลอกตัวเอง มันต้องได้ มันต้องดี มันยังอยากอยู่ เรายังหลงอยู่และเรายังโกรธอยู่ ฉะนั้นศิษย์ต้องศึกษา ศึกษาให้รู้แจ้งถึงความจริง ทำไมศิษย์ต้องนั่งฟัง เพราะนั่งฟังเพื่อให้ปัญญาเกิด วันนี้ยังไม่เกิดปัญญาไม่เป็นไร เพราะอาจารย์รู้ว่ามันเป็นปัจจัย รากบุญศิษย์มาน้อย ภูมิธรรมศิษย์มาตื้น เติมไปอีกหน่อยก็ยังไม่เต็ม แต่ถ้ามีเวลามาเติมให้เยอะๆ เดี๋ยวมันจะเต็ม พอเต็มแล้วเมื่อเขาด่ามา ไม่โกรธหรอก เขาอยากได้ลอตเตอรี่เลขเด็ด เลขเด็ดอย่างไรก็ไม่เด็ดใจเรา เพราะเมื่อถูกลอตเตอรี่แล้วเป็นอย่างไร คนที่ไม่รู้จักก็มารู้จัก คนที่ไม่เคยขอเงินเราก็มาขอเงิน ถ้าเป็นอย่างนั้นอย่าเลยฉันทำใจลำบาก ไม่ถูกเสียดีกว่า
อาจารย์ถึงอยากให้ศิษย์มองให้เห็น ถ้าเราเห็นชัด เราจะไม่เกลียดใครและศิษย์จะไม่ต้องนำธรรมมาข่มใจเลย ขันติ ถ้าศิษย์เห็นชัดศิษย์จะไม่โลภเอาของใคร อยากให้ เขาอยากได้ เอาไปเลย เขาอยากหลง หลงไปเลย ฉันไม่หลง ฉันวางใจเป็นกลางแล้ว มันก็อย่างนั้น เดี๋ยววันนี้เขารักฉัน เดี๋ยวพรุ่งนี้เขาอาจจะด่าฉันก็ได้ ฉะนั้นทำไมจึงต้องศึกษา เพราะศึกษาแล้วจะเข้าใจความจริง ความจริงแห่งชีวิต โลภโกรธหลงจะทำอะไรเราไม่ได้ แต่ความโลภ ความโกรธ ความหลงมันจะกลายเป็นเมตตา เสียสละ วางใจเป็นกลางแล้วเกิดปัญญา
ศิษย์เคยไหว้พระพรหมสี่หน้าไหม ทำไมไม่ขอตัวเองล่ะ ตัวเองก็เป็นได้ แต่ตัวเองทำไมทำไม่ได้ล่ะเพราะยังงกอยู่ใช่ไหม (ใช่) ยังเข้าข้างตัวเองอยู่ใช่ไหม (ใช่) ยังรักตัวเองอยู่ใช่ไหม (ใช่) อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย ร่างกายตัวนี้น่ารักไหม (น่ารัก) ตัวศิษย์น่ารักไหม (น่ารัก) เชื่อไหมพุทธะเรียกร่างกายว่าอะไร ถุงหนังสดห่อหุ้มทวารทั้งเก้าที่เป็นแผลใหญ่ แต่อาจารย์เรียกว่า “ถุงขี้” ง่ายดีชัดเจน ถุงหนังสดที่ห่อหุ้มทวารทั้งเก้า และทวารทั้งเก้าคือแผลใหญ่ที่ถ้าปล่อยไว้นานๆ มันจะค่อยๆ ส่งกลิ่นเหม็นออกมา พูดขนาดนี้ยังชอบไหม ยังรักมันไหม มันยังสวยไหม ออกจากตาเรียกว่าอะไร (ขี้ตา) ออกจากหูเรียกว่าอะไร (ขี้หู) ออกจากปากเรียกว่าอะไร (ขี้ฟัน) ออกจากผิวเรียกกว่าอะไร (ขี้ไคล) มันขี้ทั้งนั้นไหมล่ะ แล้วในตัวศิษย์มีอะไรล่ะ ขี้ รักมันไหม (รัก) รักอะไร รักขี้ โง่ไหม (โง่) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กองทุกข์ ความจริงในโลกมีแต่ทุกข์ที่เกิดขึ้น ทุกข์ที่ตั้งอยู่ และทุกข์ที่ดับไป หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สังขารนี้ไม่เที่ยง มันมีทุกข์ มันเปลี่ยนแปลงและถึงเวลามันก็กลับคืนสู่ความว่าง
(พระอาจารย์เมตตาให้หัวหน้าชั้นฝ่ายชายออกมาหน้าชั้น)
ร่างกายนี้เรารักไหม ตัวนี้รักไหม (รักตัวเองครับ) แต่รักตัวเองต้องรักให้ถูกทางนะ ไม่ใช่รักแล้วหลง เรารักอย่างคนรู้จักใช้ รักอย่างคนไม่ยึดมั่นถือมั่นในความคิด แต่ส่วนใหญ่เราจะรักแบบยึดมั่นและก็หลงตัวเอง พอใครว่าปุ๊บเรารับได้ไหม (รับไม่ได้) อย่างนี้รักถูกไหม (ไม่ถูก) ฉะนั้นต่อไปใครว่าเรารับได้ไหม (ก็ต้องทน) เมื่อไรต้องทนแปลว่ายังไม่เข้าใจ ถ้าเข้าใจแล้วไม่ต้องทน เราจะสามารถวางใจเป็นกลาง พระพุทธเจ้ายังโดนว่า พระพุทธเจ้ายังโดนคนอิจฉา เราเป็นใครโดนว่าไม่ได้หรือ เราเป็นใครมีแต่คนรักไม่มีคนเกลียดหรือ มันเป็นธรรมดาเขาทำให้เรามองเห็นความจริง เขาทำให้เราได้เข้าถึงธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์ขอยืมนาฬิกาของหัวหน้าชั้น)
นาฬิกานี้มันเที่ยงไหม อาจารย์จะบอกว่าแม้แต่ของที่เรารัก ตอนแรกของก็ยังใหม่ แต่พอนานไปสักสองสามเดือนผ่านไปศิษย์กลับมาดู ทำไมโทรมขึ้นเยอะ แปลว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีความเกิดและความดับอยู่ตลอดเวลา เรายึดอะไรไม่เคยได้นะศิษย์ ฉะนั้นเราเกิดมาเพื่อสะสม หรือเราเกิดมาเพื่อเรียนรู้ เข้าใจ และปล่อยวาง ถามตัวเองนะศิษย์ มาเพื่อเรียนรู้ เข้าใจ และปล่อยวาง หรือเกิดมาเพื่อยึดติดนี่ของฉัน ถามตัวเองนะ ชีวิตคืออะไร มีสุขไม่ต้องมีทุกข์ หรือว่า ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ฉันก็เข้าใจ เข้าใจที่ได้เรียนรู้ ขอบคุณที่มาสอนให้ฉันเข้าใจตัวเอง เหมือนใครด่า ใครโกง ใครเอาเปรียบไม่โกรธ ขอบคุณเขาที่ทำให้เราเข้าใจตัวเองยิ่งขึ้น เห็นความเป็นคนมากยิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาร่วมวงคำในพระโอวาทซ้อนพระโอวาท และเมตตาส่งเสริมเป็นรายบุคคล)
ความดีอย่าอยู่แค่ในวัดนะ ความดีอย่าอยู่แค่ในชุดนะ หยุดเลยคือความคิด ชีวิตคืออะไร คือการหากินไปวันๆ โดยไม่ทำอะไรหรือ ชีวิตมีสิ่งดีๆ นะ แต่อยู่ที่ว่าเราจะเอาสิ่งดีๆ ให้กับผู้อื่นหรือเปล่า หรือเอาแต่เก็บไว้ในตัวเอง ใช่ไหม ยิ้มเยอะๆ รู้ว่าอะไรดีไม่ดีแต่ทำไมฝืนใจตัวเองไม่ได้ อาจารย์ถามศิษย์หน่อยนะ ถ้ามีนกตัวหนึ่ง อาหารมีตั้งเยอะแยะทำไมไม่กิน มันชอบกินแต่หนูเน่า ศิษย์ว่านกตัวนี้มันโง่หรือฉลาด (โง่) เพราะอะไร เพราะสิ่งที่มันกินเป็นหนูเน่า ฉะนั้นเหล้าบุหรี่มันเหมือนหนูเน่าไหม ใช่หรือเปล่า แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม
มีรากบุญดีนะ แต่อยู่ที่ว่าจะทำดีตามที่มีรากบุญหรือเปล่า ใช่ไหม
เกือบจะไม่มาแล้วใช่ไหม เกือบจะเปลี่ยนใจไม่มา หรือไม่อยู่ต่อแล้วใช่ไหม เพราะว่านั่งไปก็ตัดสินใจ ใช่ไม่ใช่
กลัวอาจารย์หรือ ก่อนจะทำอะไรคิดให้ดีๆ เพราะอาจารย์เชื่อว่าศิษย์ก็อยากเป็นคนดี ใช่ไหม
งานบุญกุศลมีโอกาสทำอย่าได้ขาดนะ ดีใจที่อยู่จนครบ แต่ขอให้รักษาบุญตัวเองให้ตลอดนะ รู้เรื่องไหม
บำเพ็ญคืออะไร บำเพ็ญคือการหันมามองตัวเอง และรักษาสิ่งที่ไม่ดี
พระไม่สามารถคุ้มครองได้เท่ากับคนที่รู้จักปฏิบัติให้อยู่ในศีลในธรรม รู้เรื่องไหม
(นักเรียนในชั้นร่วมกันร้องเพลง “ตั้งใจ”)
อาจารย์ชอบเพลงนี้นะ อยากให้ศิษย์ร้อง เพราะบางทีอาจารย์ไม่เจอศิษย์ อาจารย์ก็เห็นเมฆเป็นศิษย์ ความหวังดีของอาจารย์มีให้ศิษย์เสมอนะ ความห่วงใยอยากให้ศิษย์ไม่ทุกข์กับโลกใบนี้ ศิษย์เอ๋ย ความอยาก กิเลสมันเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ การก่อกรรมและการเวียนว่าย ถ้าเรารู้จักเข้าใจชีวิต มองเห็นชีวิตได้อย่างถ่องแท้ กิเลสก็ทำร้ายใจเราไม่ได้ ความทุกข์ก็มาทำลายหักหาญน้ำใจเราไม่ได้ เมื่อกิเลสไม่มี ทุกข์ไม่มี กรรมไม่เกิด เราก็ตัดการเวียนว่ายได้ทันที แต่ถ้าเมื่อใดศิษย์ยังอยาก ศิษย์ยังมองไม่เห็นความจริงในโลก ศิษย์ก็หนีไม่พ้นวงเวียนแห่งกรรม วงเวียนแห่งวัฏฏะ เราไม่เบื่อหรือ โลกใบนี้มันสวยจริงไหม ในความสวยมันมีความไม่เที่ยง ในความดีงามบางทีมันก็มีความร้ายกาจอยู่ แต่ไม่ต้องไประวังคนอื่น ระวังใจตัวเองดีกว่า
อาจารย์เห็นในโลกปัจจุบันนี้ อาจารย์จึงอยากยกตัวอย่าง แล้วดูว่าศิษย์จะคิดอย่างไร อาจารย์ถามศิษย์นะว่า ถ้าวันหนึ่งมีหมาของเพื่อนบ้านมากัดลูกของศิษย์ กัดลึกจนกระดูกหักศิษย์จะทำอย่างไร (พาลูกไปโรงพยาบาล) ก็ไม่ผิดนะ ใช่ไหม จะนั่งมองลูกเจ็บหรือ ใช่หรือเปล่า
(ทำจิตทำใจแล้วตัดสิน) ตัดสินอะไร (ตัดสินว่าผิดหรือถูก) แล้วตัดสินกับใคร (ตัดสินกับเพื่อนบ้านแล้วก็ลูกตัวเอง, ก่อนอื่นต้องดูก่อนว่าลูกไปแหย่สุนัขหรือเปล่า ลูกเราทำจริงหรือเปล่า ถ้าลูกเราทำจริงๆ ลูกเราก็ไม่มีเหตุผล พยายามให้อภัยและก็เตือนเพื่อนบ้าน อาจจะไม่ไปฟ้องเพราะเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน เขาจะเกรงใจเราเขาคงจะหาอะไรมาทดแทนเรา เพราะลูกเราโดนสุนัขเขากัด) ตอบได้ดี อย่าไปหัวเราะเขา หัวเราะเขาทำไม เราตอบได้อย่างเขา กล้าอย่างเขาหรือเปล่า
(มีสติ) มีสติแล้วทำอย่างไรต่อ (ทำใจ) ทำใจสู้หรือ (ทำใจไม่โกรธ ให้อภัย ยอมรับว่ามันเป็นอย่างนั้นแล้ว)
(ก่อนอื่นต้องตั้งสติก่อน แล้วหาเหตุผลว่าที่สุนัขไปกัดลูกเรานั้น ลูกเราไปแหย่สุนัขหรือเปล่า หรือว่าสุนัขเดินอยู่แล้วลูกเราไปเตะสุนัขหรือเปล่า) แล้วถ้าลูกบอกว่าหนูเดินเฉยๆ มันกัดหนู (เราก็ต้องดูว่าลูกพูดจริงหรือเปล่า แต่เราจะหาเหตุผลจากสุนัขคงไม่ได้ ก็ต้องหาเหตุผลจากลูกเรา) แต่ถึงเวลาตอนนั้น อาจารย์ถามจริงๆ ศิษย์ตั้งสติถึงขนาดคิดว่า ลูกไปแหย่มันหรือเปล่า จริงหรือ (ไม่จริง) ถึงเวลาตอนนั้นทำอย่างไร ทำไมๆ มันมากัดลูกฉัน พอเห็นเจ้าของมา ก็โวยวายว่าหมาแกกัดลูกฉัน เรามีสติขนาดนั้นหรือ เราคิดขนาดนั้นไหม
(ไม่เป็นไรลูก) อภัยให้หมา แต่เกลียดเพื่อนบ้านไปเลย อภัยให้หมา ตีลูก ซื่อบื้อไปให้มันกัดได้อย่างไร ใช่ไหม (เรียนรู้เหตุการณ์ เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น และสุดท้ายก็ให้อภัย) เวลาเจอจริงๆ ทำให้ได้อย่างนี้นะ
(พาไปโรงพยาบาล) อาจารย์ว่าแล้วต้องมีคนแบบนี้ ก็ไม่ผิดนะ
(ถือว่าใช้กรรมเก่า) ตอนที่โดนมันกัดตีมันไหม ยืนเฉยๆ ให้มันกัดใช่ไหม เลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก นี่แน่ะกัดลูกฉัน ใช่ไหม (คุยกับเพื่อนบ้าน) ส่วนใหญ่ศิษย์มักจะคิดคนผิดต้องถูกลงโทษ ใช่ไหม
(ควบคุมตัวเอง เพราะหมามากัดลูกเรา เราก็โกรธ สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือควบคุมตัวเองก่อน ถ้าทุกคนมีสติปัญญาก็เกิด) ตอบได้ดีนะ แต่ถึงเวลาแล้วต้องมีสติให้ได้จริงๆ ตลอดนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ตอนแรกก็ต้องควบคุมสติ อารมณ์ หาเหตุผล) แต่หมาบางทีมันก็ไม่มีเหตุผลนะ ศิษย์สังเกตไหม บางคนมันไม่เห่า แต่ทำไมบางทีมันเห่าเรา บางคนมันไม่กัด แต่ทำไมเราเดินมามันกัดเรา
ศิษย์เอ๋ย มีใครจะตอบอาจารย์อีกไหม อย่าไปยึดติด ปล่อยวางแล้วปล่อยได้จริงๆ หรือเปล่า พอค่ารักษาพยาบาลมาแล้วสามพัน ปล่อยดีไหม ไม่ปล่อย บอกเพื่อนบ้านเอาบิลไปจ่ายให้ด้วย
(คราวเคราะห์ของเรา) แม้จะต้องจ่ายค่ายาเกือบห้าพันสามพันใช่ไหม (ออมชอมไกล่เกลี่ย, ปล่อยหมาไปเพราะเป็นกรรมเก่าของลูกเรา) เขาบอกว่าให้ปล่อยหมาไปเลยใช่ไหม ส่วนใหญ่จะทำแบบนั้นด้วยก็มีใช่หรือไม่ แล้วหมามันเคยอยู่บ้านแล้วปล่อยมันไป แน่ใจเหรอว่าถูกแล้ว อย่างนี้เขาเรียกว่าผลักภาระให้สังคมนะ (เจ้าของเขามีให้อยู่กับเจ้าของ) ปล่อยให้อยู่กับเจ้าของ นึกว่าตัวท่านเอาหมาเขาไปปล่อย
(ปล่อยวางไม่ยึดติด) พูดง่ายแต่ทำยากนะ
(ลูกเราซนจะทำอย่างไรได้ หมาจะรู้เรื่องกับเราไหม มนุษย์บางคนยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย, ไม่โกรธให้อภัยแล้วก็เมตตา) พูดได้แต่ถึงเวลาศิษย์ทำได้กันอย่างนี้หรือเปล่า
(ให้ระวังตัว) ให้ระวังตัวอย่าไปอยู่ใกล้เพราะอาจจะกัดเราอีกได้ใช่หรือไม่ (ตั้งสติทำใจแล้วก็ไม่โกรธ)
อาจารย์เฉลยดีกว่านะ อาจารย์แค่ถามไปเรื่อยๆ เพราะอยากฟังความคิดนะ เพราะเรื่องนี้มันมีบทสรุปอยู่แล้ว รู้ไหมศิษย์ คนที่ลูกเขาโดนกัด พอแม่เข้าไปห้ามแม่เขาก็โดนกัดด้วย โดนกัดที่มือทำให้เขาไปทำงานไม่ได้ ลูกเขาก็โดนกัดที่บ่าทำให้กระดูกหลุดต้องไปเข้าเฝือก เขาก็โวยวายเพราะว่าต้องใช้เงินเยอะ เจ้าของทำอย่างไรรู้ไหมศิษย์ เขาก็ไม่ได้มีสตางค์เขาก็รู้อยู่นะ ตกกลางคืนเขาเลยพาออกไปข้างนอก ให้มันกินข้าวให้อิ่ม ถือปืนกระบอกหนึ่งเอาน้ำลูบหัวมัน แล้วยิงมันเปรี้ยง มันตาย อาจารย์อยากจะบอกว่ากรรมมันเลยไม่จบ กรรมมันเลยต่อเนื่อง ฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่าถ้าวันใดศิษย์โดนแบบนี้ อาจารย์รู้ว่ามันต้องมีค่าใช้จ่าย มันแพง แต่ศิษย์รู้ไหมว่าทำไมกรรมมันไม่จบ ถ้าหมาตัวนั้นมันแค้น มันไม่ได้แค้นเจ้าของอย่างเดียว มันต้องแค้นคนที่ไปทำให้มันต้องโดนยิง ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นบางครั้งเวลาศิษย์โดนใครกระทบ โดนใครทำให้ศิษย์เจ็บ อาจารย์อยากบอกศิษย์ว่า ถ้าเราหยุดและอภัย ไม่โกรธ ไม่ไปหาเรื่องต่อ กรรมมันจะจบทันทีนะศิษย์ แต่ถ้าศิษย์ไปเอาเรื่องต่อ เขาไม่รู้จะทำอย่างไร เขารู้แค่เพียงคนผิดต้องถูกทำโทษ และถูกทำโทษของสัตว์ ไม่เคยมีมาตรการออมชอม โทษอย่างเดียวคือตาย ใช่ไหม (ใช่) แต่เวลาศิษย์ผิด อภัยเถอะ แต่ถ้าสัตว์มันพูดได้ “ทีแกผิด ทำไมแกไม่ตาย” ฉะนั้นถ้าวันหนึ่งศิษย์ทำร้ายเขา มันกลับมาทวงถาม จงจำไว้เลยนะว่าสิ่งที่มันรู้คำตอบอยู่อย่างเดียวคือทำไมคนผิดไม่ตาย ฉะนั้นถ้าศิษย์เจอกรรมที่เกือบตาย ศิษย์ก็จงรู้ไว้นะว่านั่นคือผลของการที่ศิษย์เคยไปทำเขาไว้ถึงตาย แต่ศิษย์ยังมีบุญเลยแค่เกือบตาย
อาจารย์จึงอยากบอกให้ศิษย์รู้ว่าเวลาเจอเรื่องราวอะไร โดนคนว่า โดนคนด่า อยากจบไหม ถ้าไม่อยากจบ ศิษย์ก็ด่าต่อ หาเรื่องต่อ แต่ถ้าศิษย์อยากจบ หยุดที่ตัวเราแล้วมองให้เข้าใจ เมื่อเข้าใจเราจะเมตตา เมื่อเมตตาเราจะสละ เมื่อสละเราจะวางใจเป็นกลางจะเกิดปัญญาทันที จำเรื่องหมาไว้นะ ข้อผิดของสัตว์มีสถานเดียวคือตาย แต่ข้อผิดของมนุษย์ที่ยังมีบุญคือยังได้มีลมหายใจอยู่ แต่ถ้าเมื่อไหร่ศิษย์หมดบุญแล้วกรรมนั้นเป็นกรรมที่ศิษย์ทำเอง ศิษย์ก็หนีไม่พ้นความตายเฉกเช่นเดียวกัน ฉะนั้นเรารู้จักยั้งคิดหน่อย โกรธไปแล้วได้อะไร โลภไปแล้วดีไหม
อย่าฟังธรรมแล้วผ่านไปนะศิษย์ เพราะชีวิตมันไม่ง่ายอย่างที่ศิษย์คิด ที่รอดมาได้ทุกวันนี้ก็เพราะบุญเก่าแล้วหวังจะเจอบุญ แล้วต่อไปที่เหลือหมดบุญเป็นอะไร ไม่ใช่กรรมหรือ ฉะนั้นถ้าวันนี้ได้ใช้กรรมน่าดีใจ แล้วเราไม่คิดสร้างบุญต่อหรือ แล้วบุญที่ควรสร้างคืออะไร คือไปวัดทำบุญแค่นั้นหรือ หรือเราควรหยุดการสร้างกรรมตั้งแต่ตอนนี้ ระวังปาก ระวังความคิดเราหน่อย ระวังการกระทำหน่อยจะได้ไม่ต้องสร้างกรรมเยอะ ทำไมต้องไประวังแค่อยู่ในวัด ระวังทุกๆ วัน บวชทุกๆ วันไม่ดีกว่าหรือ บวชพรรษาเดียวได้อะไร บวชสิบห้าวันได้อะไร เป็นแม่ชีเจ็ดวันได้อะไร ถือศีลเก้าวันได้อะไร บวชเสร็จแล้วก็กลับมาเหมือนเดิม ถึงเวลาไปหาเรื่องกับเขาเหมือนเดิม ไม่มีประโยชน์นะศิษย์ มันมีประโยชน์แค่นิดเดียว แต่ต้องนำมาใช้ตลอดชีวิต เพราะปัญหามันอยู่ที่ตัวเราเป็นตัวต้นเหตุ ภัยทั้งมวลล้วนเกิดจากเรา ไม่ว่าจะเป็นความคิด คำพูด การกระทำ เพราะแค่อยากเท่านั้นเอง ใช่ไหม (ใช่) อาจารย์แค่อยากให้ศิษย์ได้คิด มาฟังเพื่อได้คิดบ้าง
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “ความคิด”)
ความคิดนั้นน่ากลัวนะศิษย์ ความคิดบางทีทำให้ศิษย์กับอาจารย์ได้เจอกัน แต่ก็เพราะความคิดที่ทำให้ศิษย์กับอาจารย์ไม่ได้เจอกันเลย ใช่ไหม (ใช่) และความคิดของมนุษย์นี้ไม่เคยทำให้มนุษย์พ้นจากความทุกข์ได้ ความคิดเป็นตัวขวางกั้นที่น่ากลัว เพราะถ้าเมื่อไหร่มนุษย์มีความคิด มนุษย์เริ่มเกิดการแบ่งแยก เมื่อแบ่งแยกแล้วคนข้างๆ ไม่ฟังจะเกิดการทำลายล้าง เหมือนถ้าอาจารย์คิดว่า ศิษย์ทุกคนต้องกินเจ ศิษย์ไม่เชื่อใช่ไหม แค่อาจารย์คิดแล้วอาจารย์บอกว่าต้องทำสิ ทำไมไม่ทำ อาจารย์จะเริ่มแบ่งแยก คนนี้ทำ คนนี้ไม่ทำ แล้วอาจารย์จะเริ่มพยายามเปลี่ยนแปลงความคิดของศิษย์ ต้องทำสิๆ ใช่ไหม
ฉะนั้นความคิดคือสิ่งที่น่ากลัว และมนุษย์ทุกคนหนีไม่พ้นความคิดของตัวเอง และก็ยึดมั่นกับความคิดของตัวเอง ฉะนั้นเมื่อไรที่มีความคิด เมื่อนั้นศิษย์จะพร้อมแบ่งแยกและทำลายล้างผู้คนได้ทันที จริงหรือไม่ (จริง) แล้วศิษย์ต้องทำอย่างไร “เมตตา” ท่องเข้าไว้ อยู่กับอาจารย์ อาจารย์ขอคำเดียว “เมตตา” ทำได้ไหม (ได้) เสียสละให้ แล้ววางใจเป็นกลาง ทำให้ได้นะศิษย์นะ ถ้าศิษย์เมตตาศิษย์ก็จะไม่โกรธ ถ้าศิษย์รู้จักให้ศิษย์จะไม่โลภ ถ้าศิษย์รู้จักวางใจเป็นกลางศิษย์จะไม่หลง สามคำเอง “เมตตา เสียสละ วางใจเป็นกลาง” ศิษย์จะเอาชนะโลภ โกรธ หลง และสามารถสร้างกุศลที่ยิ่งใหญ่ได้ ศิษย์จะทำหรือไม่ทำไม่ว่าแล้ว เพราะถ้าอาจารย์บีบบังคับ อาจารย์ก็กำลังจะทำร้ายศิษย์เอง
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลง “ตั้งใจ” อีกครั้ง)
ทำไมอาจารย์ให้ศิษย์ร้องเพลงนี้รู้หรือเปล่า เพราะบางครั้งอาจารย์รอ รอศิษย์กลับมา รอศิษย์คิดได้ รอศิษย์เข้าใจชีวิตว่าคืออะไร เราเกิดมาเพื่อหาเงินแค่นั้น หรือเราเกิดมาเพื่อเรียนรู้ เข้าใจ แล้วปล่อยวางจะได้พ้นทุกข์แท้จริง อาจารย์ได้แต่เฝ้ามอง เฝ้ามองเห็นศิษย์คิดไม่ได้ คิดไม่ถูก มองให้ออก โลกนี้คืออะไร ชีวิตคืออะไร เรียนรู้เพื่อเข้าใจตัวเองและรู้จักเสียสละให้เป็น คุณค่าของชีวิตคือการสละตัวเองเพื่อผู้อื่น เอาตัวเองเป็นธรรมะที่สามารถให้ได้ ให้ด้วยความยิ่งใหญ่เพราะเราก็คือธรรมะ ไม่ใช่หรือแล้วทำไมเราไม่เป็นธรรมะ แล้วธรรมะที่ยิ่งใหญ่คืออะไร คือใจที่เมตตา คือใจที่รู้จักให้ แต่ทำไมบางทีเราดื้อ เราถือทิฐิ เราเจ้าอารมณ์ เพราะคนเขาร้ายหรือ แล้วตัวเราดีหรือยัง เพราะเขาไม่ดีหรือ แล้วนิสัยเราดีไหม อย่าเอาแต่โทษคนอื่น มองตัวเองว่าเราดีหรือยัง ถ้าเราดีแล้วโดนคนว่าก็ไม่เป็นไรจะได้ละลายหนี้กรรม ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นคิดให้ดีๆ นะ ไม่ใช่จบจากสองวันนี้แล้ว ศิษย์ก็กลับไปสู้กระแสโลกไม่ได้ แล้วศิษย์ก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม ลืมสิ่งที่ฟังมาจากอาจารย์หมดสิ้น แม้กระทั่งอาจารย์ศิษย์ก็ไม่นับถือ อาจารย์ก็คงไม่ได้ว่าอะไรหรอก แต่บางครั้งก็อดเศร้าไม่ได้ อาจารย์ทำจนเต็มที่แล้วศิษย์เป็นได้แค่นี้ อาจารย์ก็ต้องเก็บความเศร้าไว้ในใจ อาจารย์ว่าใครไม่ได้ อาจารย์อาจจะดีไม่พอศิษย์ถึงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ อาจารย์ไม่เศร้าดีกว่านะ ไม่มีประโยชน์ ใช่หรือเปล่า มีโอกาสกลับมาอีกนะ พยายามเป็นคนดีของสังคม รู้จักมีธรรมะประคองจิตใจ รู้จักเอาธรรมะไปช่วยเหลือผู้คน ไม่นับถืออาจารย์ไม่เป็นไร แต่รู้จักนับถือความดีงามที่โลกนี้ควรมี ที่ตัวเราควรเป็น
ศิษย์คือความหวังของอาจารย์นะ อย่าพ่ายแพ้เพียงแค่คำพูดคน อย่าถอยห่างเพียงเพราะเจอสิ่งขัดใจ อาจารย์หวังศิษย์เป็นตัวแทนช่วยคน ฉะนั้นต้องรู้จักอดทน เมตตาเยอะๆ บำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องยากใช่ไหม ยากอยู่เพียงอย่างเดียวว่าเราจะทนกับคนให้ได้หรือเปล่า ทำอะไรคิดให้ดีใช้ปัญญา อย่าปล่อยให้อาจารย์รอเก้อนะ เหนื่อยไหม
ศิษย์เอย บำเพ็ญธรรมกับทางโลกมันต่างกันนะ อาจารย์ห่วงศิษย์ทุกคน อาจารย์รักศิษย์ทุกคนแต่กลัวอย่างเดียว ศิษย์ของอาจารย์ไม่รู้จักรักตัวเอง ไม่รู้จักคิดให้เป็น ถือทิฐิ ดื้อในสิ่งที่ไม่ควรดื้อ ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ รู้ว่าอะไรดีอะไรชอบแต่บางครั้งทำไมถึงชอบปล่อยให้ความอยากมันบดบังใจ ความดื้อมันปิดกั้นหัวใจจนมองไม่เห็นความดีในผู้คน เอาแต่ตัวเองเป็นหลักไม่ได้นะ คนดีนั้นดีตรงไหน ดีตรงที่สามารถทำให้คนทุกคนได้ดี แต่ถ้าเราดีคนเดียวคนอื่นไม่ดีก็ยังไม่เรียกว่าคนดี คิดให้ดีนะ อย่าฟังแล้วฟังเปล่า รู้จักทำอะไรต้องระวัง อย่าพลาดผิดเพราะตัวเองเข้าใจไหม พยายามดึงตัวเองมาบ่อยๆ หน่อยนะ
อาจารย์เดินหาศิษย์แต่ต่อไปศิษย์ต้องรู้จักเดินหาอาจารย์บ่อยๆ อย่าหาปัญหาให้ตัวเอง โลกนี้มันน่าหลงใหลมากหรือ น่าหลงใหลมากกว่าธรรมะที่อาจารย์มีให้อีกหรือ โลกนี้มันสวยงามจนไม่มีอะไรที่ทำให้ศิษย์อยากมาหาอาจารย์เลยหรือ ศิษย์เอยรู้จักคิดรู้จักทำนะ อย่าแพ้ภัยตัวเอง ดูแลตัวเองให้ดี อย่าทำให้ตัวเองต้องทุกข์ อย่าทำให้ตัวเองต้องเจ็บปวดในสิ่งที่ตัวเองคิดไม่ดีเลยนะ ห่วงอะไรหรือ ความมุ่งมั่นมีได้ แต่ว่าจะยากหน่อยตรงที่ต้องรักษาให้ถึงที่สุด อาจารย์ไม่รู้จะพูดอะไรแล้วนะ ขอแค่ศิษย์รักตัวเอง แล้วรู้จักช่วยผู้อื่นอาจารย์ก็ดีใจแล้ว มีโอกาสไปช่วยคนนะ สิ่งที่ดีงามก็รักษาให้ตลอด สิ่งที่ไม่ดีก็เลิกซะอย่าพลาดอีก ศิษย์เอ๋ย ตั้งใจทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง เกิดเป็นคนต้องมีศีลมีธรรม มีสติรู้จักคิด ทำอะไรไตร่ตรองให้รอบคอบ อย่าเจ้าอารมณ์ อย่าวู่วาม ใจเย็นหน่อย ไม่ได้ยากเกินไป ใช่ไหม จับมือกับอาจารย์แปลว่าต้องมาอีก อาจารย์อยากให้พรให้ศิษย์เข้มแข็ง รู้จักสู้ชีวิตให้เป็น ไม่อ่อนแอและทำร้ายตัวเองเพียงเพราะความคิดผิด
อาจารย์ไปแล้วนะ อาจารย์ไม่ดีสอนศิษย์ไม่ได้ อาจารย์ไม่ดีใช่ไหมถึงเปลี่ยนศิษย์ไม่ได้ กลับมาหาอาจารย์อีกนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ ศิษย์ไปแล้วอย่าไปลับ เมื่อไรที่ทุกข์กลับมาหาอาจารย์ ได้ไหม สัญญาแล้วนะ อาจารย์จะรอศิษย์อยู่ จะมาหรือเปล่าไม่รู้ มีโอกาสกลับมาอีก อย่าฟังแล้วฟังเลย อาจารย์อยากตบหัวแล้วเปิดปัญญาให้ศิษย์คิดได้ ทำไมศิษย์ถึงอยากให้อาจารย์ตบหัวกันจังเลย ถ้าอาจารย์ตบหัวแล้วทำให้ศิษย์สว่างรู้แจ้งเห็นจริง อาจารย์อยากจะตบเป็นร้อยๆ คนเลยดีไหม ศิษย์อยากให้อาจารย์ตบหัว ใช่ไหม ถ้าตบหัวแล้วศิษย์รู้แจ้ง ตบแล้วศิษย์รู้ตื่น ตบแล้วศิษย์พ้นทุกข์ อาจารย์ก็ยอมตบแต่กลัวตบแล้วกลับไปเป็นเหมือนเดิมจะตบทำไม ใช่ไหม ฉะนั้นทำอะไรต้องรู้จักคิดนะ ไตร่ตรองให้ดี ดีใจที่ศิษย์กลับมา อย่าจากกันแล้วจากไปเลยนะ รักษาบุญสัมพันธ์กับอาจารย์ไว้ให้ยั่งยืนนานนะศิษย์ ไม่จากแล้วจากเลยนะ มีโอกาสกลับมาผูกบุญกันอีก มาเรียนรู้เพื่อเสริมปัญญากันอีกนะศิษย์
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ความคิด”
เที่ยวไม่เคยหยุดเลยคือความคิด ซึ่งส่วนใหญ่ผิดเสียมากกว่าถูก
ตรองให้คลายจงอย่าคิดให้ผูก ปัญญาอยู่แค่หลายจมูกหยุดก็เจอ
คนฉลาดขาดสติคิดมิชอบ คนรอบคอบคิดไม่ได้ท้ายก็เผลอ
คนรู้มากคิดน้อยไม่เคยเจอ คนละเมอติดความคิดทรมานใจ
ตั้งใจ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
พุทธสถานอิ๋งเซียน กรุงเทพมหานคร ทำนองเพลง : ศรัทธา
ตั้งใจให้ดีต้องมีทุกวัน กังหันมีลมก็มีเส้นชัย แต่คนบำเพ็ญก็ต้องแข็งใจ ให้ไม่ไม่มีใครเลยก็จะต้องทำ
ตั้งใจต้นทุนใช่โชคชะตา ปัญญาอันลึกกว้างคือเส้นชัย ศิษย์เอ๋ยตั้งใจก็อย่าท้อใจ ก้าวทุกก้าวทำจากใจ เท่าไหร่เท่ากัน
* บนเมฆสูงต่าง หลายๆ เหตุการณ์ จงอย่าเผลอก้มหน้า ศิษย์เป็นเมฆบนนั้น
ตั้งใจทุกคนก็ล้วนตั้งใจ ทำไมพอเรื่องเปลี่ยนทำไม่ได้ ศรัทธาไม่มีมากพอตั้งใจ มุ่งมั่นจะทำอะไรต้องมีทิศทาง
ถึงความมั่นใจไม่มากเยอะพอ เพียงพอให้ตั้งใจพอเพียง ภาระบางทีแบกหามตัวเอียง จะรับรับรับศิษย์นั้นเพียงตั้งใจ (ซ้ำ *)
เรียกความตั้งใจแบบนี้ ปณิธานอันเด็ดเดี่ยวหนา ศิษย์ตั้งใจเหนื่อยแล้วถอนใจ ไม่เคยมีวันตัดใจ (ซ้ำ *)