วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2555

2555-06-09 สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา



西元二○一二年 歲次壬辰閏四月二十日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๕ สถานธรรมเต๋อฮว่า อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง


ถ้าวันหนึ่งเงินซื้อได้ทุกสิ่ง ซื้อความจริงไม่คาดคิดบังเกิดได้
ซื้อคนทิ้งความดีงามให้หลงไป ผลสุดท้ายท่านซื้อภัยเข้าหาตน
เราคือ
เสี่ยวผีเซียนถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเต๋อฮว่า แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสบายดีไหม


การมีธรรมก็คือเครื่องหมายของบัณฑิต บำเพ็ญจิตก็คือธรรมคืนความว่าง
ทั้งชีวิตยุ่งเหยิงถ้าไม่รู้วาง ระหว่างทางตรวจสำแดงไม่ตื่นอยู่เลย
คอยสำรวจตรวจตนธรรมก็ไม่ไกล เรื่องแก้ไขคนดีทำเปิดเผย
ก็ในคนก็ในความชินเคย แม้ละเลยไม่อยู่ในธรรมระกำเอา
ความดีใครจะช่างแต่เราไม่ ใครจะว่าอะไรก็เขาคือเขา
เราทำดีเพราะว่าเราคือเรา ใครช่วยสำรวจต้องเราแก้ไขตน
ตนพบตนฟังเขาก็ไม่หลง รู้ตนเองหนาลึกลงปราศจากผล
จิตพบธรรมกระจ่างจนไร้ตัวตน รู้ชีวิตก็ร้อนรนน้อยลงไป
คนใดมีปัญญาก็ไม่ห่างธรรม ปัญญาจากฟังเขาว่าจำเสื่อมสลาย
ปฏิบัติธรรมแรงแห้งเฉาก้าวไม่ไป ดั่งต้นอ่อนอ่อนตายเลี้ยงไม่โต
ฮิ  ฮิ   หยุด


พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง
ถ้าวันหนึ่งเงินซื้อได้ทุกสิ่ง เราบอกว่าเงินซื้อไม่ได้ทุกสิ่งหรอก แต่ถ้าวันหนึ่งเงินซื้อคนได้ล่ะ น่ากลัวไหม (น่ากลัว)  แล้วเงินซื้อใจท่านได้ไหม (ไม่ได้)  คนใต้พูดจริงทำจริง แต่ถึงเวลาไม่ทำ ใช่ไหม ถามจริงๆ เงินซื้อเราได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าอย่างนั้นเราถามท่านนะ ถ้ามาฟังธรรมะเงินก็ไม่ได้ เวลาก็เสีย เงินก็เสีย มาบ่อยไหม  แต่อะไรที่ได้เงิน มีเงิน ไปบ่อยไหม (บ่อย)  แล้วไหนบอกว่าเงินซื้อไม่ได้ เราถามท่านง่ายๆ เงินซื้อท่านได้ไหม (ไม่ได้)  แต่พอบอกว่ามาฟังธรรมะต้องเสียรายได้ ต้องอดได้เงิน ต้องอดกรีดยาง มาไหม คิดก่อนใช่ไหม (ใช่)
ถ้าเงินซื้อไม่ได้จริงๆ ถึงเวลา อะไรที่ทำให้เราไม่ต้องได้เงิน เราก็ต้องมาได้สิ และต้องมาบ่อยใช่ไหม แต่อะไรที่เราได้ยินว่ามีเงิน ได้เงิน ไปไหม (ไป)  ฉะนั้น อย่าปฎิเสธถ้ายังไม่รู้ใจตัวเอง ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าคนโกหก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไม่ได้ว่าท่านนะ แต่ถ้าท่านไม่ทำตัวเอง จะโดนคนอื่นชี้หน้าว่าได้ไหม (ไม่ได้)
เอาเป็นว่าเราไม่ได้มาหลอกเงินท่านก็แล้วกัน เราไม่ได้มาขอเงินท่านด้วย เรามามีแต่จะให้ แต่ให้อะไรประเสริฐที่สุด เดี๋ยวเราค่อยบอกดีไหม (ดี)  แต่ใจเย็นหน่อย ได้ไหม (ได้)  อยากให้เราให้กลอนให้เสร็จแล้วค่อยคุยกับท่าน หรือคุยกับท่านไปให้กลอนไป (คุยไปให้กลอนไป)  ไม่ให้เราให้กลอนให้เสร็จก่อนหรือ แล้วค่อยหันมาคุยดีไหม (ดี)  ดีหรือ แน่ใจนะ (แน่ใจ)  ถ้าเราให้กลอนสักครึ่งชั่วโมงแล้วก็หันกลับมาท่านต้องนั่งรอครึ่งชั่วโมง ไหวไหม (ไหว)  พูดจริงนะ
วันนี้ฟังธรรมะมาเกือบทั้งวัน ถ้าถามท่านง่ายๆ ว่าธรรมะคืออะไร ตอบได้ไหม (ตอบได้)  ธรรมะคือ (ธรรมชาติ)  ธรรมะคือธรรมชาติใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเช่นนั้นวันหนึ่งเราโดนคนด่า นั่นก็คือธรรมชาติ ใช่ไหม (ใช่)  เราโดนคนเอาเงินไปแล้วไม่คืน ก็คือ (ธรรมชาติ)  หรืออีกอย่างหนึ่ง ก็คือธรรมะ ฉะนั้นถ้าเกิดว่าใครด่าเรา แล้วทำให้เราได้เห็นธรรมะ เราก็ต้องดีใจ ใครเอาเงินเราไปแล้วไม่คืน ทำให้เราได้เห็นธรรมะ เราก็ต้องดีใจ วันนี้ถ้าเราบอกให้ท่านยืนไม่ได้นั่ง มันก็เป็นธรรมชาติและเป็นธรรมะ ท่านก็ต้องดีใจ ฉะนั้นถ้าเราจะพูดแค่นี้แล้วบอกว่ามันเป็นธรรมะ ท่านก็บอกว่ามันก็เป็นธรรมชาติใช่หรือไม่ ถามว่าธรรมะคืออะไร (ธรรมะคือธรรมชาติ) ถ้ายกตัวอย่างเช่นท่านเรียกว่าไอ้บ้า ทักทายเรา ใช่ธรรมะไหม (ไม่ใช่)  ไอ้โง่ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ท่านเคยได้ยินไหมว่า ธรรมะคืออะไรหนอ มนุษย์ก็บอกว่า ธรรมะคือความเมตตา ความกรุณา ความปรานี  ความอดทน การให้อภัย นี่เรียกว่าธรรมะใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วธรรมะอยู่ที่ไหน ท่านก็บอกว่าธรรมะอยู่ที่ตัวเรา ฉะนั้นถ้าเราด่าว่าไอ้โง่ ท่านก็เห็นธรรมะในไหน (ในตัวเรา)  ถ้าเขาด่าเราว่าโง่ แต่หากเราเอาธรรมะมาใช้ ธรรมะที่เรียกว่าเมตตา อดทน อภัย นี่คือเรียกว่าเอาธรรมะมาบังเกิดเป็นคุณธรรมใช่ไหม (ใช่)
ทำไมพระพุทธะบอกว่าธรรมะทำให้ท่านเข้าถึงธรรมจนเป็นตถาคต แปลว่าเมื่อโดนด่าว่าก็ไม่โกรธและก็ไม่ต้องพยายามใช้ธรรมะอะไร แค่นิ่งๆ แล้วก็บอกว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง นี่แหละเรียกว่าเข้าถึงธรรม ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเมื่อไหร่โดนด่าว่า ไอ้แก่ ไอ้โง่ ไอ้บ้า แล้วต้องกัดฟันบอกว่าเมตตา อภัย เมตตา อภัย แปลว่าเรายังไม่เข้าถึงธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจึงต้องพยายามใช้คุณธรรมมากำราบใจ ฉะนั้นพอเข้าใจหรือยัง ถ้าเดินออกไปแล้วโดนด่าว่า เราจะเห็นแค่โง่ที่เป็นกิเลส หรือเราจะเห็นคุณธรรมในใจ หรือเราจะเห็นธรรมะที่แท้จริง ใช่ไหม (ใช่)  เราพูดยากไหม (ไม่ยาก)  มันยากตรงที่เวลาโดนด่าว่าโง่ แล้วเราจะเป็นมารหรือเป็นพุทธะ ถ้าเป็นมาร เราก็จะด่าว่าไอ้โง่กลับ แต่ถ้าไม่เป็นมารเราก็ขันติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราเข้าถึงขันติมากกว่า เราก็จะบอกว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นธรรมดา มีคนชมก็ต้องมีคนด่า ฉันโง่ ได้ไหม (ได้)  แล้วคิดว่าเราฉลาดทุกเรื่องไหม (ไม่)
ฉะนั้นโดนด่าว่าโง่ก็ไม่เห็นเป็นอะไร ดีกว่าที่เราบอกว่าเราฉลาด แต่พอถึงเวลาจริงๆ กลับโง่ ใช่ไหม สู้โง่ไว้ก่อนแล้วบอก อุ๊ย! มันฉลาดจริงๆ อยากเอาอันไหนล่ะ ผู้ที่เข้าถึงธรรม ทั้งโง่ ทั้งฉลาดก็ไม่เอา ใช่หรือไม่  (ใช่)  ผู้ที่เข้าถึงธรรมโง่ก็ไม่เอา ฉลาดก็ไม่เอา เพราะเมื่อไหร่ที่เราโง่ เราก็บอกว่าก็ฉันโง่จะทำไม เรามักจะชอบเถียง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคน
ที่เข้าถึงธรรม โง่ก็ (ไม่เอา)  ฉลาดก็ (ไม่เอา)  อะไรก็ไม่เอา ใช่ไหม แต่มนุษย์อะไรๆ ก็เอา ถึงได้ทุกข์และไม่เคยได้เห็นธรรม แต่พุทธะอะไรก็ไม่เอาแล้ว ฉะนั้นพอไม่ได้ ท่านก็จะไม่เสียใจ พอจะผิดหวังท่านก็ไม่ล้มเหลวใจ จริงไหม (จริง) พอจะเข้าใจคำว่าธรรมะหรือยัง มีบางคนยังไม่เข้าใจเลย ถ้าท่านเข้าใจธรรมะตรงนี้ ท่านออกไปเจอคนข้างนอก ไม่ว่าจะโดนคนโกง ไม่ว่ายางจะกรีดไม่ได้เพราะฝนตก เราก็ไม่หงอย เราก็สดชื่น มันตกก็ตกไปใช่หรือเปล่า ฉะนั้นถ้าคนเข้าถึงธรรมะแม้ฝนจะตกกรีดยางไม่ได้ ก็เห็นธรรมะว่ามันไม่เที่ยง ฉะนั้นอย่าไปยึดมัน เพราะถ้ายึดเมื่อไหร่ตาย จริงไหม (จริง)
ถามท่านง่ายๆ นะ มนุษย์มีชีวิตอยู่เพราะรักหรือมีชีวิตอยู่เพราะเกลียด (รัก)  ใช่หรือ เราเห็นคนตายเพราะรักเยอะ แต่ไม่เคยเห็นคนตายเพราะเกลียดเลย จริงไหม (จริง) ถามจริงแค้นไหม แค้น โกรธไม่โกรธ โกรธ แต่เคยตายเพราะโกรธไหม (ไม่เคย) แต่รักไหม รัก รักมากไหม มาก มาก มาก แล้วเคยตายเพราะรักไหม เคย จริงไหม (จริง) ฉะนั้นบางทีอย่าบอกว่ารักดี รักอาจทำให้ท่านตายมากกว่าเกลียดก็ได้ แต่เกลียดทำให้เราอยู่บนโลกได้อย่างเข้าใจ  แต่ความรักทำให้เราตายไม่ใช่หรือ จริงไหม (จริง)
เมื่อสักครู่ใครยังไม่เข้าใจคำว่า”ธรรมะ”บ้าง เข้าใจหมดไหม ไม่หมดหรอก มนุษย์บอกว่า ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมชาติคือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วมันเป็นเช่นนั้น ใช่ไหม  ถ้าวันหนึ่งมีคนว่าเรา เขาก็คือธรรมะอันหนึ่ง ใช่หรือไม่ แล้วถ้าเกิดเขาว่าเรา เราเห็นธรรมะไหม ถ้าเราเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง เราจะเข้าถึงธรรมได้  แต่ถ้าเราเห็น แล้วเราบอกว่าเราไม่ได้เห็นเขา  แต่ตอนนี้เราโกรธที่เขาด่า แล้วเราก็พยายามใช้คุณธรรม ใช้ความดี ความเมตตา ก็แปลว่าเรายังไม่เข้าถึงธรรม ถูกไหม แต่เมื่อไรที่มนุษย์ยังต้องใช้ความเมตตา ยังต้องอุทิศส่วนกุศล ยังต้องอดทนอดกลั้น  แสดงว่าเรายังไม่ถึงธรรม เพราะคนที่เข้าถึงธรรมแล้วนั้นใจจะไม่หวั่นไหว ไม่โกรธ เพราะคนก็เป็นแบบนั้น เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย หรือว่าจิตที่เข้าถึงธรรมแล้วย่อมไม่หวั่นไหว เมื่อเจอสิ่งที่กระทำ และไม่ก่อให้เกิดกิเลสที่ทำร้ายตัวตน
ฉะนั้นไม่ว่าเราจะเจอคนว่า เจอคนเอาเงินไปแล้วไม่คืน นั่นแหละความจริงที่เป็นธรรมะ สอนให้ตัวเรามองเห็นตัวเรา ว่าเราจะโกรธ จะผูกใจเจ็บ หรือเราจะปล่อยวางแล้วเห็นความเป็นธรรมในตัวเขาที่สะท้อนกลับมายังเรา เรารู้ว่าในนี้มีคนเข้าใจและไม่เข้าใจ แต่เราอยากจะบอกว่า อย่าเพิ่งงง เพราะสิ่งที่เราพูดไม่น่างงเลย แต่เพราะว่าปัญญาธรรมของแต่ละคนนั้น ตื้นลึกหนาบางไม่เท่ากัน ทำให้บางคนฟังแล้วเข้าใจ แต่บางคนฟังแล้วไม่เข้าใจ
เราจะไปเรื่องที่ง่ายๆ หน่อย สมัยเด็กๆ เราเบื่อผู้ใหญ่สอนใช่ไหม เดี๋ยวก็บอกว่าโบราณสอนว่า  เบื่อไหม  ผู้ใหญ่สอนว่า เบื่อไหม  เราอยากจะบอกว่า ผู้ใหญ่สอนนั้นดีนะ แล้วมีคุณค่ามีประโยชน์ด้วย แต่มนุษย์มักเบื่อไม่อยากฟัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยกตัวอย่างง่ายๆ ผู้ใหญ่สอนว่าเราอยู่ในโลกนี้ ที่เจอเรื่องแย่ๆ  เจอเรื่องลำบากไม่สบายใจ เพราะคนอื่นทำใช่ไหม (ไม่ใช่)  แต่ทำไมพอมีเรื่องก็มักจะบอกว่าแกแหละที่ว่าฉันทุกทีเลย ปากแข็งก่อนทุกทีเลย ใช่หรือเปล่า ไม่ใช่ ฉันผิดเอง ฉันผิดเอง แต่ถึงเวลาคนอื่นผิด ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเราอยากจะบอกว่า คนโบราณกล่าวไว้ว่า ที่เราอยู่ในโลกนี้แล้วเราเจอเรื่องแย่ๆ ก็เพราะว่า เราทะนงตน อวดดี เจอเรื่องลำบากไม่สบายใจบ่อยๆ ก็เพราะว่า เราไม่อดทนอดกลั้น และไม่รู้จักให้อภัย
ฉะนั้นถ้าอยากอยู่ในโลกแล้วไม่เจอเรื่องแย่ และไม่เจอเรื่องไม่สบายใจ ให้รู้จัก (อดทนอดกลั้น ให้อภัย)  อันแรกจำได้ไหม ทะนงตนอวดดี  ฟังคำภาษาไทยให้ดีๆ นะ ทำไมเรารู้สึกแย่ เคยไหม เดินไปข้างนอกวันนี้แม่ชมว่าแต่งตัวดีจัง เดินไปสบายใจใช่ไหม พอเดินไปสักพักหนึ่ง แต่งตัวดีจัง เดินไปซอยนี้มีแต่คนชม ลองเดินไปอีกซอยหนึ่ง  คนนั้นมองไม่ได้เรื่องเลย แต่งมาได้ไงนี่น่าเกลียด ดูแล้วไม่สบายตาเลยยังแต่งออกมาได้ไม่อายหรือไง  ซอยแรกสบายใจ แต่พอมาอีกซอยเริ่มไม่สบายใจ เราเริ่มรู้สึกแย่ กลับบ้าน “อ้าวลูกเป็นอะไร” “แย่ละแม่ มีแต่คนว่าผมแต่งตัวไม่ได้เรื่อง ดูไม่ดี”  ที่เราแย่เพราะอะไร เพราะเรายึดมั่นในสิ่งที่ดีไหม ใช่ไหม เราแย่เพราะอะไร เพราะคิดว่าเราทะนงตน เพราะเรามีดี แต่พอมีใครมาว่าทำให้เราเสียความทะนงตน เสียความดูดี ใช่ไหม แย่เกิดจากอะไร ใจตก ใจห่อเหี่ยว ใจหมดแรง  ชีวิตอยู่ไม่ได้แล้วเนื่องจาก ไม่เหลือดีไว้ให้อวดแล้ว จริงไหม ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอยากสบายใจแล้วหายแย่ ทำอย่างไร ให้รู้จักอดทน แล้วก็ให้อภัย  มนุษย์วนเวียนอยู่กับสองเรื่องนี้ เดี๋ยววันนี้ดี เดี๋ยววันนี้แย่
ฉะนั้นชีวิตของเราจะไม่วนเวียนดีกับแย่ เพราะเราเข้าใจคำว่า ต้นเหตุของแย่คืออะไร และต้นเหตุของความสบายใจคืออะไร จริงไหม เรารู้สึกแย่เพราะอะไร เพราะมันถูกทำร้ายความดีที่เรามีอยู่ใช่ไหม ถ้าโดนว่าไม่ได้เรื่อง เลว พูดอย่างทำอย่าง ปากหวานก้นเปรี้ยว ดูเหมือนดีนะแต่จริงๆ แล้วไม่ได้เรื่อง ที่เรารู้สึกแย่ เพราะเราทะนงในความดีหรือตัวเอง แต่เราจะหายได้และเราจะอยู่ในโลกได้อย่างสบายใจได้ ถ้าเรารู้จัก (ตัวตน)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเรารู้จักมากกว่านั้นอีกคือ มันเป็นเช่นนั้นเอง มันคือธรรมดา คนในซอยนี้ด่า คนในซอยนี้ชม วันนี้เขารัก วันนี้เขาเกลียด ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นอย่าฟังธรรมแล้วเอาแค่คุณธรรม แต่ฟังธรรมแล้วต้องเข้าให้ถึงธรรม คือความเป็นจริง  เหมือนดั่งคำว่า “มนุษย์ปรารถนาความสงบในชีวิต” ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วความสงบในชีวิต ท่านสอนเราว่าให้ไปตรงที่ใดล่ะ ให้ทำอย่างไร ถึงจะสามารถเข้าถึงความสงบได้ ท่านชี้ให้ละความมานะ ทิฐิและตัณหา ถ้ามนุษย์ละสามอย่างนี้ได้ มนุษย์จะเข้าถึงความสงบได้
ฉะนั้นความจริงในโลกมีอย่างเดียว ถ้าเราเข้าใจในความจริงบนโลกนี้ เราจะไม่ว่าใคร เราจะไม่ทะเลาะกับใคร แต่เราจะสงบและเราจะยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นจริง ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าวันนี้เรายืมเงินแล้วไม่คืน ท่านก็ (ไม่ทุกข์) ถ้าวันนี้กลับไปแล้วยังกรีดยางไม่ได้ ท่านก็ (ไม่ทุกข์) ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าวันนี้ฝนมันพัดต้นยาง เราก็ (ไม่ทุกข์) อย่างนั้นหรือเปล่า เราปลูกเองมันก็ต้องมีตายบ้าง ใช่หรือไม่ เราก็สามารถที่จะทำสิ่งที่ตายให้กลับคืนมาใหม่ได้ รู้ไหม
เราถามท่านนะ ท่านรักชีวิตไหม (รัก)  แล้วรู้ไหมว่าคนเราอายุสั้น (รู้)  ฉะนั้นมนุษย์ก็เลยพยายามหาสุขเต็มที่เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าท่านหาสุขแบบไม่ระวัง สุขนั้นมันก็อาจจะทำให้ท่านทุกข์มากกว่าสุข ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นถ้าอยากจะหาสุขทั้งที น่าจะหาสุขที่มันเที่ยงแท้ เป็นสุขที่ทำให้แม้ตายไปแล้วก็ยังสุขได้นิรันดร์ หรือแม้มีชีวิตอยู่ก็ไม่ตายทั้งเป็น แต่เป็นสุขที่แท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นคืออะไรหนอ นึกไม่ออกใช่หรือเปล่า อย่างนั้นเราถามท่านนะ ถ้าเวลาไฟไหม้บ้านสิ่งที่เราทำอย่างแรกคืออะไร (เอาน้ำดับไฟ)  เราไม่เห็นท่านทำอย่างนั้นนะ พอไฟไหม้รีบขนของไป ดับไฟไหม (ไม่ดับ)  อย่างนั้นลองคิดดู เวลาไฟไหม้เรายังรีบขนของที่มีค่าออก แล้วชีวิตเรา รู้ไหมว่ามันมีบางสิ่งบางอย่างกำลังไหม้เราอยู่ทุกๆ วัน(กิเลส)  กิเลสใช่ไหม (ใช่)  หาไกลจัง ท่านรู้ไหมว่าเรามีอะไรที่ไหม้ตัวเราอยู่ทุกๆ วัน แม้นั่งเฉยๆ เราก็โดนไฟไหม้ให้เราตายไปทุกๆ นาที ทุกๆ นาที เวลาใช่ไหม (ใช่)  ไม่ใช่นะอะไรที่กำลังไหม้ทุกชีวิตอยู่ทุกขณะ ถ้าประมาณว่าลืมตน เราจะเอาอะไรไปไม่ได้เลย แต่เรากลับต้องไปสู่ความทุกข์ยิ่งขึ้น  (ความไม่ดี, อารมณ์, ประมาท)
ใครตอบได้เรามีรางวัลให้ อย่าเพิ่งเบื่อ เอาแอปเปิ้ล เอาสีเขียวเปรี้ยวดีใช่ไหม  กินเปรี้ยวก่อนแล้วค่อยกินหวานดีไหม (ดี)   (รัก โลภ โกรธ หลง ไฟอิจฉาและริษยา)  น่ากลัวนะไฟนี้ สู้เปลี่ยนจากเห็นใครได้ดีแล้วรู้จักอนุโมทนาย่อมเกิดบุญมากกว่าเกิดบาป จริงไหม อะไรอีก (ชิงดีชิงเด่น)  เห็นใครได้ดีก็อยากได้ดีกว่าใช่ไหม แต่จริงๆ แล้วในโลกมีใครเก่งที่สุด เหนือฟ้าก็ย่อมมีฟ้า เราก็เก่งได้แค่ช่วงขณะหนึ่ง จะไปชิงดีชิงเด่นทำไม ชิงโง่ดีกว่านะ (ความคิด) ความคิดคอยเผาไหม้เราตลอดใช่หรือ ความคิดร้ายมากกว่า คิดกังวลมากกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่คิดธรรมดาไม่เผาหรอก จะเผาก็ต่อเมื่อคิดแล้วหยุดคิดไม่ได้นั่นแหละเผาเราจริงๆ
(จิตวิญญาณ, ความอยาก)  ขนาดได้สิ่งที่อยากอยู่แล้ว แต่ความอยากก็ยังมีต่ออีก ฉะนั้นถ้าไม่อยากให้ความอยากเผาก็ต้องทำอย่างไร (ลดความอยาก)  รู้จักพอใจในสิ่งที่มี  (เจ้ากรรมนายเวร)  ถ้าเราไม่เคยไปทำกับเขามา เขาจะมาทำกับเราไหม ภัยที่น่ากลัวที่สุดคือใจของตัวเองที่ไม่รู้จักสำรวมระมัดระวัง ต่างหาก ภัยที่น่ากลัวก็คือคนที่ชอบสูบบุหรี่ กินเหล้า ชนวัว แข่งนก ใช่ไหม (ใช่)  (คำพูด)  พูดไม่ระวังก็เป็นภัยแถมจุดไฟเผาตัวเองด้วยใช่ไหม (ความอยากได้อยากมี ความกลัว)  อยากได้อยากมี พอได้มาแล้วก็กลัว ก็กังวล ถ้าอย่างนั้นไม่อยากเลยดีไหม (ดี)  ทำได้ไหม ได้นะถ้ารู้จักพอบ้าง ไม่อย่างนั้นท่านต้องวิ่งไปสักเท่าไหร่ ถ้าไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ไม่รู้จักสุขในสิ่งที่ตัวเองมี เราก็เหนื่อยจนตาย เราก็คือคนที่จุดไฟเผาตัวเองไม่จบสิ้น
(ใจที่มีกิเลส)  ใจที่มีกิเลสคือไฟที่คอยเผาเราใช่หรือไม่ เปลี่ยนเป็นอะไรดี เปลี่ยนเป็นใจที่รู้จักคิดอภัย คิดเมตตา คิดไม่อยากได้ใช่หรือไม่ (จิตทุกข์อยู่ในอารมณ์)  จิตทุกข์อยู่ในอารมณ์ตลอดเวลาทั้งที่คิดแล้วก็ไม่ดี แต่ก็ยังเลิกคิดไม่ได้ นั่นแหละน่ากลัว แล้วจะทำอย่างไรดี (อิจฉาตาร้อน)  ควรจะอิจฉาตาร้อนไหม ถ้าเห็นใครได้ดีเราอนุโมทนาย่อมเกิดบุญ แต่ถ้าเห็นใครได้ดีแล้วเราอิจฉาตาร้อน นั่นย่อมเกิดบาปและเวรกรรม จริงหรือไม่
ฉะนั้นใครได้แอปเปิ้ลแล้วเราไม่ได้แอปเปิ้ล ถ้าเกิดคิดว่าช่างมัน อยากได้ก็ได้ไป คิดแบบนี้ พูดแบบนี้ ก็คือคนที่ทำร้ายตัวเองให้แย่ ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นเราควรจะคิดอย่างคนที่เข้าถึงธรรมะ ดีแล้ว ประเสริฐแล้ว (โลภะ, โมหะ, โทสะ)  เป็นเหมือนไฟที่เผาชีวิตเราทุกวันใช่ไหม (ใช่)
คนในสมัยนี้ชอบคิดต่ำ ชอบคิดร้ายเพราะให้คิดดีไม่คิด แต่บอกคิดแย่คิดได้ทันทีใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นใจแคบเหมือนตกนรก แต่ถ้าใจกว้างเหมือนสวรรค์ชั้นฟ้า ตอนนี้ท่านอยากใจกว้างหรือใจแคบแต่นิพพานนั้นไซร้อยู่ที่ใจปล่อยวาง จะเลือกแค่สวรรค์หรือเลือกนิพพาน (นิพพาน)  เพราะสวรรค์พอเสวยบุญเสร็จเดี๋ยวก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  (ความรักความเป็นห่วง)  เป็นทุกข์เป็นเหมือนไฟเผาใช่หรือไม่ ต้องทำอย่างไร ยอมรับในสิ่งที่เป็น อะไรจะเกิดก็ต้องรับให้ได้ แม้จะแย่กว่าที่เราคิดก็ตามนะ (ไฟราคะ)  เราตกใจ เพราะอายุปูนนี้แล้วยังตอบไฟราคะ มันคือตัณหานะ ราคะมันคืออีกเรื่องหนึ่ง (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค)  ไฟแห่งความทุกข์ใช่ แต่เราเห็นทุกข์หรือยัง เรายังไม่สู้กับความจริง ถ้าเราสู้กับความจริงเราก็อาจจะไปได้ถึงสมุทัย นิโรธ และเข้าถึงมรรค  มนุษย์เราถูกไฟอะไรเผาตัวเราอยู่ทุกวี่ทุกวัน ไฟแห่งความแก่ชรา เราหนีไม่พ้นไฟนี้
ท่านเคยได้ยินไหมว่า “มีลูกผู้ชายถ้าไม่อบรมบ่มสอนให้ดีจะเหมือนเลี้ยงลา มีลูกสาวถ้าไม่อบรมบ่มสอนให้ดีจะเหมือนเลี้ยงหมู”เคยได้ยินคำนี้ไหม ตอนเด็กๆ เราได้ยินคำพูดอย่างนี้ มีลูกชายถ้าไม่อบรมให้มีคุณธรรม จะขี้เกียจแล้วเหมือนลา มีลูกสาวถ้าไม่รู้จักอบรมคุณธรรมความดีงามรับผิดชอบก็จะขี้เกียจเหมือนหมู ฉะนั้นจำไว้ผู้หญิงถ้าวันใดขี้เกียจ เอาแต่ใจตัวเองเขาบอกว่าเหมือนหมู แต่ผู้ชายจะเหมือน (ลา) ทำไมเขาถึงสอนแบบนี้รู้ไหม คิดเอาเอง ไม่บอกแล้ว
เหมือนลูกร้อง ท่านก็ให้ใช่ไหม (ใช่)  ต่อไปเขาอยากได้อะไรเขาจะร้องดังขึ้น แล้วถ้าเราไม่ให้ ก็ดังขึ้นจริงไหม (จริง) ฉะนั้นอยากได้ยินลูกร้องไหม (ไม่อยาก)  ควรทำยังไง ไม่ให้เฉยๆ เดี๋ยวก็หยุดร้องเอง แต่ถ้าตามใจเขาต่อไปเขาก็จะร้องอีก
ท่านบอกว่าถ้าไฟไหม้บ้านสิ่งที่จะทำอย่างแรกคือขนของมีค่าออกให้มากที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าวันหนึ่งมนุษย์มีชีวิตอยู่เรารักชีวิตและเรามีความตายกำลังไหม้ชีวิตเราทุกขณะจิต เราจะขนของอะไรมีค่าออกจากตัวเรา ท่านเคยคิดไหม อะไรมีค่าที่สุดในตัวเรา (ความดี)  ความดีใช่ไหม (ใช่)  คิดได้แค่นี้หรือ ท่านเคยได้ยินมากกว่านั้นไหม พระพุทธะกล่าวไว้ว่า คนแม้มีชีวิตร้อยปีแต่ถ้าร้อยปีนั้น ทุศีล ขาดปัญญา ไม่มีความเพียร ไม่รู้จักเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่รู้จักอมตะบท ไม่รู้จักธรรมอันสูงสุด คนนั้นแม้มีชีวิตร้อยปี ก็ไร้ค่า แต่ถ้าเกิดว่าเราเข้าใจคำว่ามีศีล มีความเพียรพยายามดี มีปัญญาดี เข้าใจอมตะบทที่เรียกว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย และพบธรรมอันสูงสุด แม้มีชีวิตหนึ่งวัน ก็มีค่ายิ่งกว่าคนที่ทุศีลแล้วมีชีวิตร้อยวัน แต่ว่าสิ่งที่มีค่าในตัวเรามันคืออะไร ทรัพย์สมบัติหรือ ตัวเราหรือ ไม่ใช่ แต่สิ่งที่มีค่ามากกว่านั่นคือปัญญา ปัญญาที่เห็นแจ้งในชีวิต ปัญญาที่เห็นแจ้งในธรรมในตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้เราแค่นี้ก็ได้นะ กลับก่อนดีกว่า เพราะเห็นท่านไม่อยากฟังเราพูดแล้ว เพราะไม่ชอบยื้อในสิ่งที่คนเขาไม่อยากฟัง ใช่ไหม (ไม่ใช่)  เราอยากจะบอกว่าถ้าท่านรักชีวิตจริงๆ อย่าลืมว่าทุกขณะที่เกิดคือทุกขณะที่ตาย ดีใจที่ได้เกิดหรือ แท้จริงแล้วไม่ใช่ การเกิดคือการกำลังเดินไปสู่ความตาย ฉะนั้นผู้ที่มองเห็นความตายเป็นเบื้องท้ายของชีวิต ท่านจะทำอะไรให้ประเสริฐที่สุด พระพุทธะสอนแล้ว รู้จักมีศีล มีปัญญา มีความเพียร และมองเห็นความเป็นจริงของโลกใบนี้ว่ามันมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเมื่อไหร่เราเข้าใจอมตะบทธรรมอันนี้ ท่านจะเข้าถึงธรรมอันสูงสุด แต่ทำไมมนุษย์เราเห็นการเกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่กลับไม่เห็นธรรม ถ้าอย่างนั้นการเข้าถึงธรรมคืออะไรล่ะ ก็กลับไปตอนต้นที่เราเล่าให้ท่านฟัง ใช่ไหม (ใช่)  แต่ก็ยังมีคนที่ไม่เข้าใจ ถ้าอย่างนั้นเรากล่าวง่ายๆ สุดท้ายก่อนกลับแล้วกัน
ถ้ามนุษย์เข้าใจชีวิตอย่างถ่องแท้ และรู้ว่าถึงที่สุดแล้ว เราจะยึดมั่นถือมั่นไม่ได้แม้กระทั่งตัวตน ก็จะเรียนรู้การปล่อยวาง เมื่อปล่อยวางเป็น ความตายก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว ใช่ไหม (ใช่)  และอีกอย่างหนึ่งถ้ามนุษย์เข้าใจตัวเองว่ามันไม่เที่ยง คนก็ไม่เที่ยง ฉะนั้นใครชมใครด่า เจอเรื่องดี เจอเรื่องร้าย เราก็ไม่ทุกข์ เพราะมันล้วนไม่เที่ยง เห็นไหมความตายไม่น่ากลัว ความทุกข์ก็ไม่น่ากลัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  และถ้าเกิดเรารู้จักพึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี กิเลส ตัณหา ความอยากได้ จะมาทำให้เราทุกข์ไหมล่ะ ก็ไม่ทุกข์ และจะทำให้เราหวั่นไหวไหม ก็ไม่หวั่นไหว ก็เราพอใจแล้ว ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นสุขก็เป็นอันหาได้  ความตายไม่น่ากลัว ความทุกข์ก็ไม่น่ากลัว ความสุขก็ไม่ใช่เรื่องยาก ขอเพียงเข้าใจตัวเอง เข้าใจชีวิตและเข้าใจธรรมะ แค่นั้นเอง เราสรุปแค่สามอย่างให้ท่านฟังแล้วนะ ถ้ายังรู้สึกแย่ ก็ต้องกลับไปบทเดิม อย่ายึดมั่นในความดี เพราะความดีก็ยึดมั่นไม่ได้ สิ่งที่ทำให้เราควรสบายใจเมื่อมีชีวิตก็คืออดทน อดกลั้นและอภัย
มีอะไรอีกหรือเปล่า ถ้ามีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก ขอพรหรือ พรดีๆ ได้ไป พอถึงเวลาท่านโดนสามีชี้หน้าด่า ท่านจะอดทนไหวไหม (ไหว)  ไม่มีพรใดประเสริฐเท่ากับปัญญานะ ท่านรู้ไหมว่าเวลาเราไฟไหม้ หรือเวลาชีวิตเรามีความทุกข์ อะไรที่จะคุ้มครองเราได้ อะไรจะเป็นที่พึ่งเราได้ มนุษย์บอกว่าเงินคือที่พึ่งได้ ลูกคือที่พึ่งได้ สามีคือที่พึ่งได้ ถามจริงๆ เขาพึ่งได้ไหม (ไม่ได้)  ชาตินี้หวังพึ่งเขายังพึ่งไม่ได้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาเข้าจริงๆ เราถามท่านดู พึ่งได้ไหม อาจารย์จี้กงมากี่ทีก็ถามท่านอย่างนี้
แต่ท่านก็ลืมทุกทีใช่ไหม พึ่งได้ไหม (ไม่ได้)  แต่เราหวังพึ่งไหม หวัง อย่างนี้คือคนที่โง่ใช่ไหม (ใช่)  เราถามท่านง่ายๆ ต่ออีก สิ่งที่มันเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ เดี๋ยววันนี้ก็ดี เดี๋ยววันนี้ก็ร้าย เราอยากยึดไหม (ไม่)  วันนี้ชมน่ารักจังเลย พอสักพักเบื่อมันจะแย่แล้ว เราชอบคนแบบนี้ไหม (ไม่)  แล้วคนที่ท่านยึดเป็นแบบนี้ไหม แล้วตัวเราเป็นแบบนี้ไหม (เป็น)
ฉะนั้นอะไรที่พึ่งได้ อะไรที่ปกป้องท่านได้และอะไรที่คุ้มครองท่านได้แล้วยังคุ้มครองคนรอบข้างท่านได้ดีด้วย ท่านรู้ไหม คือปัญญา และปัญญาที่เข้าถึงอะไร เข้าถึงความจริงของโลกใบนี้ที่เรียกว่า ธรรมะ และธรรมะคืออะไร ก็คือคนที่ชมและคนที่ด่า ก็คือความจริงในโลกนี้ คือคนที่เอาเงินไปแล้วคืนหรือเอาเงินไปแล้วไม่คืน ก็คือธรรมะ แต่เราจะมองแล้วจะเข้าถึงความเป็นเช่นนั้นเอง หรือมองแล้วยังต้องอดทนอดกลั้น ถ้ามองแล้วยังต้องอดทนอดกลั้น แปลว่าเรายังไม่เข้าถึงธรรม เรายังต้องใช้ธรรมข่ม แต่เข้าถึงธรรมคือ ไม่โกรธ ไม่ว่า คืนก็คืน ไม่คืนก็ไม่คืน เราเป็นอะไร เราใจง่ายเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าไม่อยากทุกข์ใจ เมื่อเวลาคนยืมเงินก็อย่าให้เขาเยอะ ให้แบบที่ให้ไปแล้วเขาไม่คืนก็ไม่เสียใจ ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนรักไปแล้วเขาไม่รักก็ไม่ทุกข์ใจเพราะว่าอะไร  เพราะรู้จักรักให้เป็นจริงไหม (จริง)
ฉะนั้นฟังธรรมะอย่าแค่ฟัง แต่ฟังธรรมะต้องเข้าถึงความจริง ธรรมะไม่ใช่แค่เมตตาไม่ใช่แค่อภัย แต่ธรรมะคือความจริงที่ไม่ว่าดีไม่ว่าร้ายก็คือธรรมะ แล้วธรรมะนั้นแม้ทำดีแล้วได้ร้ายก็คือธรรมะ เรายกตัวอย่างนิทานเรื่องหนึ่งเอาไหม (เอา)  เรายกตัวอย่างเรื่องง่ายๆ เรื่องหนึ่งนะ แค่เพียงมีปัญญา ท่านก็สามารถแปรเปลี่ยนคนร้ายให้กลายเป็นคนดี และปัญญานั้นจะทำให้คนร้ายเป็นคนดีและยังทำให้คนดีพ้นทุกข์ได้ ฉะนั้นอยู่ด้วยกันอะไรล่ะคือที่พึ่งอันประเสริฐถ้าไม่ใช่ปัญญา เงินทองพึ่งไม่ได้ เงินทองตายไปแล้วเอาไม่ได้ แต่ปัญญาตายไปแล้วคุ้มครองได้ไม่ว่าภพนี้ภพไหน หรือทำให้เราพ้นทุกข์ได้ด้วย ใช่หรือไม่ มีนิทานอีกเรื่องหนึ่งอยากฟังไหม (อยากฟัง)  ไม่เล่า ให้ติดตามตอนต่อไปเพราะว่าถ้าได้ฟังไปแล้วเดี๋ยวจะไม่มาสถานธรรมอีก พบกันใหม่


วันอาทิตย์ที่ ๑๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๕ สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


ข้าบอกซ้ายศิษย์มักชอบไปขวา ตามผู้นำต้องรู้ว่านำตนได้
ใช้หลักธรรมพิจารณาด้วยปัญญาใจ หยุดอารมณ์ทิฐิไซร้ไม่วุ่นวาย
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเต๋อฮว่า แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนกินข้าวอิ่มพอดีไหม


ผู้หญิงต้องบำเพ็ญผู้ชายต้องปฏิบัติ การเรียนรู้เสมือนสิ่งลาดชันอักโข
ขังใจตัวอยู่ที่กิเลสตัวโต ชิงช้าโล้กว่าตั้งใจแสนลำเค็ญ
คนมักเผลอสิ่งที่ตัวชินเคย มักละเลยสิ่งที่ตนมองเห็น
นิสัยคนทั้งหลายย้อนยอกลำเค็ญ รู้ชีวิตหนาวร้อนเป็นต้องเข้าใจ
ตนทุกข์เพราะตนทำตนเองหนา เดือดร้อนว่าไม่รู้ใครทำให้
ชีวิตคนไม่มองก็ยากเข้าใจ ทำสิ่งใดตรวจสอบตนให้ดี
สนใจธรรมสนใจในชีวิต หลับสนิทมานานตื่นสักที
ทำสิ่งใดรู้จักมองตนให้ดี อย่าปล่อยให้ทิฐิมีอารมณ์คุ้น
คนมักหลงปล่อยตนตามกิเลส เกิดอาเพศวุ่นวายภัยคุกรุ่น
ความถูกต้องมาลงทัณฑ์สลายวุ่น สร้างผลบุญหยุดกรรมทำแต่ดี
ฮา  ฮา   หยุด


หมายเหตุ พระอาจารย์จี้กงเมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมช่วยกันแต่งกลอนวรรคสุดท้าย
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ฟังธรรมะแล้วเบาสบายไหม (เบา) เบาจนหลับไปเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่) บอกตรงๆ อย่าโกหกอาจารย์ ถามหน่อยนะว่าสองวันนี้ฟังรู้เรื่องไหม (รู้เรื่อง) ฟังสองวันนี้หลับบ่อยไหม (ไม่หลับ) แค่วูบเฉยๆ ใช่ไหม เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า (ใช่) อย่าโกหกเลยนะ เพราะโกหกมันเป็นบาป ฉะนั้นถ้าฟังรู้เรื่อง ก็แปลว่าต้องหลับน้อย แต่ถ้ายังหลับเยอะก็แปลว่าฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ถูกไหม (ถูก)
อิ่มหรือยัง (อิ่มแล้ว) กินอาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์แล้วสบายไหม (สบาย) สบายท้องแล้วก็สบายใจ จริงไหม (จริง) มาอยู่แบบนี้ อยู่โดยที่ไม่ต้องอยาก อยู่โดยที่วันนี้ไม่ต้องคิดอะไร คิดอย่างเดียวฟังธรรมะ ฟังธรรมะ เรารู้สึกว่าใจเราโล่งขึ้นหน่อยไหม (โล่ง) เวลาไปอยู่ข้างนอกทุกอย่างมันประเดประดังเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นภาระ ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นความกลุ้มกังวล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนั้นเรื่องนี้ บางครั้งการมาฟังธรรมบ่อยๆ ก็ทำให้เราได้รู้จักปลดภาระ ปลดความกลุ้มกังวล ปลดตัวเองออกจากหน้าที่ในสังคมบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะบางทีเราแบกมาทุกวันเราเหนื่อยไหม (เหนื่อย)  การเกิดเป็นคนเหนื่อยไหม (เหนื่อย) คนอายุมากที่มีภาระจะบอกว่าเหนื่อยมาก แต่เด็กๆ เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย) บางคนบอกเรียนเหนื่อยมาก เที่ยวก็เหนื่อย ใช่ไหม (ใช่)
กินข้าวอิ่มพอดีไหม (อิ่มพอดี) กลัวจะอิ่มเกินนะ เพราะถ้าอิ่มเกิน ฟังอาจารย์ไม่เท่าไหร่ก็ต้องหลับแล้ว จริงไหม
ต้อนรับอาจารย์ไหม (ต้อนรับ) เวลาต้อนรับควรจะทำหน้าอย่างไร (ยิ้ม) ยิ้มหรือ บางคนยังหน้าบึ้งอยู่เลย ใช่ไหม (ใช่) ไหนดูซิว่ายิ้มทุกคนหรือยัง (ยิ้ม) ยิ้มแล้วนะ แค่ใจยิ้มอย่างเดียวพอไหม (ไม่พอ) เอาอะไรอีก หัวเราะหรือ
อยากกลับบ้านไวไหม อยากกลับบ้านไปแบกภาระเหมือนเดิมไหม (ไม่อยาก) บางทีก็อยากทิ้งๆ ไปเลย ใช่ไหม (ใช่) แต่พอถ้าตัวใครตัวมันเสร็จ ทำไมไม่ห่วงเราบ้างเลย ใช่หรือไม่ เราเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น) เวลาเราเหนื่อยมากๆ ก็บอกตัวใครตัวมัน แต่เวลาเรารู้สึกแย่ ทำไมเขาไม่ห่วงฉันเลย เราเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น) ตกลงอยากให้เขาห่วงหรือไม่อยากให้เขาห่วงกันแน่ ก็ยังสับสนตัวเองอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
กว่าศิษย์จะผ่านสองวันมาได้ รู้สึกเวลาจะผ่านไปเร็วหรือผ่านไปช้า (ช้า) ถ้าเรารู้สึกดี เราจะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน แต่ถ้าเรารู้สึกไม่ดี เราจะบอกว่าเวลา (ช้า) ใช่ไหม
ตัวเองนั่งสบายไม่สนใจคนรอบข้างเลยได้ไหม (ไม่ได้) เพราะถ้าเกิดเป็นคน เราห่วงแต่ตนเองไม่เคยสนใจคนรอบข้าง สักวันหนึ่งคนรอบข้างเวลาเขามีทุกข์ ทุกข์มากที่สุด ศิษย์ไม่เคยสนใจ ศิษย์ไม่เคยดูแล แล้วทุกข์ของเขามันจะกระเด้งกลับไปหาศิษย์ ทำให้ศิษย์ต้องเดือดร้อนใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเกิดเป็นคนอย่าคิดว่าเอาตัวรอดก็พอแล้ว ถ้าตัวเองรอดแต่คนอื่นเดือดร้อนสักวันศิษย์ก็จะต้องเดือดร้อนด้วย จริงไหม (จริง) เหมือนที่เขาพูดว่าถ้าเรายิ้มโลกก็จะยิ้มให้เรา แต่ทำไมเวลาเราร้องไห้โลกกลับไม่ร้องไห้กับเรา เราเหมือนร้องไห้อยู่คนเดียว ศิษย์ว่าจริงไหมล่ะ แต่ถ้าลองมองให้ดีๆ ศิษย์ก็จะรู้ว่าจริงๆ แล้วก็มีคนอยากจะช่วยอยากจะร้องไห้เป็นเพื่อน แต่บางครั้งความน้อยเนื้อต่ำใจความเศร้าเสียใจมันบดบังจนมองไม่เห็นความจริง ใช่ไหม (ใช่)
อาจารย์ถามว่าศิษย์รู้จักดอกไม้ไหม (รู้จัก) รู้จักใช่ไหม แต่อาจารย์ไม่ค่อยรู้จัก ถ้าอาจารย์ถามว่าดอกไม้คืออะไร ศิษย์สามารถอธิบายให้อาจารย์ฟังได้ไหม (ได้) อาจารย์ถามง่ายๆ ว่าดอกไม้คืออะไร (ความสวยงาม) ศิษย์บอกว่าความสวยงามแต่ว่าเมื่อไหร่ดอกไม้มันเหี่ยวมันไม่ใช่ดอกไม้ใช่ไหม ถูกไหม ฉะนั้นดอกไม้คืออะไร (คือธรรมชาติ) ดอกไม้คือธรรมชาติ อย่างนั้นศิษย์ก็เป็นดอกไม้สิ ใช่ไหม อาจารย์ถามคำถามง่ายๆ ใครตอบได้ได้นั่ง ใครตอบไม่ได้ยืนต่อไปดีไหม อยากให้พุทธะช่วยศิษย์ต้องรู้จักช่วยตัวเองก่อนใช่หรือไม่ การเอาแต่วอนขอผู้อื่นไม่สู้ขอตัวเอง การพึ่งผู้อื่นไม่สู้การพึ่งตัวเองเพราะเมื่อไหร่ที่เราอับจนหรือหมดหนทาง ปัญญาของตัวเองนี้แหละจะนำพาให้เราพ้นทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) เราไปพึ่งปัญญาผู้อื่นก็ได้ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ปัญญาของเราประเสริฐกว่าพึ่งได้ตลอดเวลาใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามคำถามที่ง่ายที่สุด ดอกไม้คืออะไร (ส่วนหนึ่งของธรรมชาติ) ส่วนหนึ่งของธรรมชาติใช่ไหม (ใช่) คำว่าส่วนหนึ่งของธรรมชาติเป็นอย่างไร ตอบอาจารย์ได้ไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมท่านหนึ่งมาวาดรูปดอกไม้ แต่เขากลับวาดรูปคน)
รูปคน
ศิษย์ช่วยตอบหน่อย ดอกไม้คืออะไร (ดอกไม้ก็คือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้) ตอบได้ถูกไหม (ถูก, ไม่ถูก) มีคนเขาไม่เห็นด้วยนะศิษย์ อย่าลืมว่าโลกนี้มันมีความจริงและโลกนี้มันมีจินตนาการ ใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งเรามีจินตนาการ แต่คนบางคนมักจะชอบหยัดยืนอยู่กับความจริง ฉะนั้นถ้าศิษย์มีจินตนาการ แต่ไม่ยืนอยู่บนความจริง เขาก็เรียกว่าพวกเพ้อฝัน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าไอ้บ้า ใช่ไหม อาจารย์พูดผิดไหมศิษย์ (ไม่ผิด) จินตนาการเป็นสิ่งที่ดี การวาดฝันเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าวาดฝันแล้วไม่ยืนอยู่บนความจริงเลย เราก็กำลังเพ้อฝันแล้วหลอกลวงตัวเอง หรือบางทีเขาเรียกว่าคนบ้าใช่หรือไม่ (ใช่) แต่บ้าอย่างไรที่เรียกว่าบ้าแล้วมีศิลปะ (ดอกไม้ก็คือ พวกเราทุกๆ คน เพราะทุกคนเป็นมนุษย์ โลกนี้จะสวยงามได้เพราะพวกเราอยู่ในศีลในธรรม ต่อให้ดอกไม้สวยงามแค่ไหนแล้วไม่มีศีลธรรม เราก็มองดอกไม้ไม่สวยครับ โลกนี้จะสวยงามไม่ได้เลยถ้าเราไม่อยู่ในศีลธรรม เราไม่มีความเป็นมนุษย์ เราทุกคนเป็นดอกไม้ แต่เราเลือกที่จะเป็นดอกไม้เหล็ก แต่เราไม่เลือกที่จะเป็นดอกไม้แห่งธรรมชาติ ด้วยการบ้าวัตถุนั่นคือดอกไม้เหล็ก) หรือคนที่มีจิตใจดื้อ แข็งกระด้าง ไม่ฟังอะไรง่ายๆ ใช่ไหม (ใช่) เขาตอบได้ดีไหม (ดี)
แต่อาจารย์ก็อยากได้ดอกไม้อยู่ดีนะ ใช่ไหม (ใช่) อาจารย์อยากได้ดอกไม้ที่เป็นดอกไม้ วาดให้อาจารย์ดูหน่อย
(ผู้ปฏิบัติงานธรรมท่านนั้นวาดรูปดอกไม้)
ดอกบัว2


เขาตอบได้ดีมีความคิดที่ดี อาจารย์ยกย่องใช่หรือไม่ (ใช่) แต่บางครั้งการที่เราจะเข้าถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นมันต้องมีการเปรียบเทียบ เปรียบเปรย เราพูดอย่างหนึ่งแต่ใครจะมาเข้าใจรูปภาพเราได้หมดทุกอย่างคงเป็นไปไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเกิดเขาเขียนรูปมนุษย์เมื่อสักครู่แล้วเขาเขียนคำว่าดอกไม้ คนเดินไปเขาก็ต้องสงสัยใช่ไหม (ใช่) แต่ว่ามันก็มีดีอย่างหนึ่งคือทำให้เราได้คิด เชื่อไหมว่าศิษย์ดูรูปภาพเขาเสร็จ กลับไปบ้านยังจำได้เลย
บอกอาจารย์หน่อยดอกไม้คืออะไร (ดอกไม้คือความเบิกบาน ดอกไม้คือคุณงามความดีในตัวเอง) ตอบได้ดี อาจารย์ถาม คนตอบอยากนั่งไหม (อยาก) อยากสละให้ตัวเองได้นั่งคนเดียวหรือยอมเสียสละตัวเองแล้วให้คนอื่นนั่ง (อยากนั่งและให้คนอื่นได้นั่งด้วย) ให้คนอื่นนั่งด้วยหรือ ไม่ได้ โลกนี้มันต้องมีคนได้นั่งกับไม่ได้นั่งใช่ไหมศิษย์ มีคนสมหวังและคนผิดหวังใช่ไหม มันถึงจะสมดุล ไม่มีใครเป็นผู้ชนะตลอด ไม่มีใครเป็นผู้ได้ตลอด มันต้องมีผู้ได้และผู้เสีย ถูกหรือไม่ (ถูก) อาจารย์ให้ศิษย์เลือกว่าศิษย์จะนั่งเองหรือศิษย์จะช่วยให้คนอื่นนั่งแล้วตัวเองยืน (ให้เพื่อนได้นั่งดีกว่า) มีคนเสียสละให้เพื่อนนั่ง แล้วฝ่ายชายล่ะ อายไหมให้ผู้หญิงตอบแล้วผู้หญิงบอกให้เรานั่งนะ อายไหม อย่าบอกนะว่าไม่อาย ตอบว่าดอกไม้คือ (ผลผลิตของความเจริญเติบโต) ถูกไหม ยังไม่ถึงนะเพราะออกดอกจึงจะตกผล ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาชี้ภาพดอกไม้ในกระดาน)
อันนี้ใช่ดอกไม้ไหมศิษย์ (ใช่) อันไหนดอกไม้ (ดอกบัว) สิ่งที่ดำๆ กลมๆ หรือเปล่า (ไม่ใช่) สิ่งนี้หรือ (ใช่) อาจารย์ว่ามันเป็นกระดานดำที่มีสีวาดเป็นรูปดอกไม้นะ ใช่หรือไม่ (ใช่) ลองเล่นกับอาจารย์หน่อย อย่าเพิ่งเบื่อ อาจารย์เล่นคำถามง่ายๆ เองนะ แต่จริงๆ มันมีอะไรมากกว่านั้น มีอะไรตรงไหนรู้ไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นปรบมือให้กับผู้วาดรูปดอกไม้และมอบหมายให้วาดรูปประกอบเพลงธรรมชุดใหม่ๆ ที่ยังไม่ออกมาเป็นเทปคาราโอเกะ)
ศิษย์เอาแบบที่มันปกติๆ อย่าทำให้อาจารย์เสียชื่อนักได้ไหม ไหว้แบบนี้เอาไว้ทำตอนที่คนเขากำลังทุกข์ แต่บางครั้งเวลาเราอยู่ที่นี้มันมีพิธีการ มันมีมารยาท มันมีจริยะ เราก็ต้องรักษาไว้ ถูกหรือเปล่า อย่างนั้นไหว้ใหม่ อาจารย์อยากให้ศิษย์ทำอะไรรู้ไหม ถ้าต่อไปมีเพลงธรรมะ เพลงธรรมะจะต้องมีคาราโอเกะ ในคาราโอเกะจะมีภาพประกอบกับเนื้อหาเพลง อาจารย์ให้ศิษย์เลือกเพลงใดเพลงหนึ่งที่ตอนนี้ยังไม่ได้ออกเทปออกอัลบั้ม เลือกมาเพลงหนึ่งแล้วศิษย์ก็วาดรูปประกอบเพลงหนึ่งเพลงได้ไหม คิดนานเลยหรือ งานยากที่สุดแต่อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ทำได้ วาดรูปให้สอดคล้องกับเนื้อเพลง ได้ไหม (ได้) เพื่อนศิษย์มีกี่คน ไปไหนอีกคนหนึ่งแล้วล่ะ อาจารย์ให้ทำคนละเพลง ได้ไหม (ได้)
เขาเคยไปประชุมธรรมที่หนึ่งและอาจารย์บอกว่าเขามีความ สามารถ เพื่อนเขาก็มีความสามารถ มาช่วยอาจารย์หน่อยได้ไหม เขาก็บอกว่ามา
อาจารย์ถามศิษย์ ทำไมถึงพูดว่า ดอกไม้คืออะไร บางครั้งสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุด  สิ่งที่เราเห็นชัดที่สุด   แต่เราก็ไม่สามารถนิยามความหมายได้แจ่มชัด ใช่หรือไม่ เพราะถ้าพูดไปแล้วมันก็ไม่ใช่ดอกไม้ เหมือนศิษย์วาดไปแล้ว ใช่ดอกไม้ไหม ไม่ใช่ ฉะนั้นสิ่งที่แท้จริงของดอกไม้คืออะไร สิ่งสมมติใช่หรือไม่ อันนี้คือภาพเสมือนดอกไม้ แต่หาใช่ดอกไม้ที่แท้จริงไม่  เหมือนเวลาเรารู้ ศิษย์บอกว่าศิษย์รู้ แต่สิ่งที่ศิษย์รู้นี่มันรู้จริงไหม มันก็เหมือนแค่การรู้แค่ชั่วขณะหนึ่ง แต่หาเป็นจริงทั้งหมดไม่ เหมือนคำกล่าวที่ว่า “วาจาที่แท้จริงไม่ปรากฏอยู่ในคำพูด พฤติกรรมที่แท้จริงมิใช่อยู่ในการกระทำ ชีวิตที่แท้จริงไม่สามารถพูดออกมาให้คนเข้าใจได้” ใช่หรือไม่ เหมือนอาจารย์ถามว่าอะไรคือชีวิต ดอกไม้ยังตอบไม่ได้เลย ยังงงอยู่เลย อาจารย์มาถามว่าชีวิตคืออะไร ยิ่งงงใหญ่ ฉะนั้นอาจารย์จะบอกว่าอะไรคือชีวิต ชีวิตก็คือได้นั่ง แล้วก็คือได้ยืน ได้ยืนแล้วก็ต้องได้นั่ง ใช่หรือไม่ ถ้าวันไหนยืนแล้วไม่ได้นั่ง มันก็คือไม่ใช่ชีวิต อะไรที่นั่งแล้วไม่ได้ยืนมันก็เหมือนไม่มีชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่) พอจะเข้าใจสิ่งที่อาจารย์พูดไหม อาจารย์พูดยากหรือ (ยาก)
ทำไมอาจารย์ถึงพูดแบบนี้ อาจารย์พูดเรื่องง่ายๆ ให้ชวนงง ใช่ไหม (ใช่) ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามศิษย์ง่ายๆ อีก พัดนี้เรียกว่าอะไร พัดใช่ไหม (ใช่) ถ้าเช่นนั้นอาจารย์ทำยังงี้ละ (พระอาจารย์ใช้พัดตีนักเรียน) แล้วอันนี้เรียกว่าพัดใช่ไหม มันคืออะไร ใช่อันนี้เรียกว่าพัด แต่ถ้าเกิดว่าพัดมันก็ต้องทำหน้าที่พัดใช่ไหม แต่ถ้าวันหนึ่งพัดมันไม่พัด แต่มันใช้พัดตีคน พัดไหม (ไม่) ไม่เรียกว่าพัดแล้วหรือ ทำไมล่ะ
อาจารย์จะบอกว่าในโลกใบนี้ มนุษย์บอกว่านี่แหละชีวิต ก็มันเป็นแค่ชีวิต แล้วมันก็มีแค่ชีวิต มันจะเป็นธรรมะได้อย่างไร และทำไมจะต้องบำเพ็ญล่ะ ใช่ไหม ศิษย์ก็บอกว่าก็ชีวิตนะ แค่นี้ก็พอแล้วอาจารย์ จะมาบำเพ็ญทำไม แต่อาจารย์อยากจะบอกว่ามันก็เหมือนพัดนั่นแหละ ถ้ารู้จักใช้มันก็เป็นพัด ชีวิตถ้ารู้จักใช้มันก็คือชีวิต แต่ถ้าไม่รู้จักใช้ ชีวิตมันก็อาจจะเป็น (อาวุธ) ใช่ไหม (ใช่) มันก็คืออาวุธที่คอยฆ่าคน ด่าคน ทำร้ายคน ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าไม่รู้จักใช้ชีวิต เมื่อไหร่ที่เรามองชีวิต ศิษย์อย่ามองว่า ชีวิตก็คือชีวิต มันก็เหมือนกัน พัดก็คือพัด ใช่ไหม (ไม่ใช่) พัดมันพร้อมจะเป็นอะไร (อาวุธ) เหมือนกัน ทำไมเราต้องศึกษาธรรม ศิษย์มักจะบอกว่า อาจารย์ เราเกิดมากินอยู่หลับนอนก็พอแล้ว ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องทำอะไร เดี๋ยวก็ตาย จบกัน ใช่ไหม (ไม่ใช่) หลายคนมักจะคิดอย่างนี้ แต่อาจารย์บอกว่ามันจบแค่นั้นไหม ถ้าเกิดศิษย์ไม่รู้จักใช้ชีวิต ชีวิตจะไม่ใช่แค่ชีวิต แต่ชีวิตจะกลายเป็นอาวุธ ชีวิตอาจจะกลายเป็นกรรมเวร ชีวิตอาจจะกลายเป็นผู้จองล้างจองผลาญ ผู้ฆ่ามากกว่าผู้สร้างสรรค์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าศิษย์ไม่รู้จักควบคุมการใช้ชีวิต ศิษย์ก็อาจจะมีชีวิตเพื่อทำร้ายมากกว่าเพื่อที่จะดำรงอยู่ ถูกหรือไม่ (ถูก) อาจารย์ถามศิษย์นะ เวลาเราอยู่บนโลก เรารู้จักแค่ตัวเองเท่านั้นดีไหม (ไม่ดี) เรารู้จักตัวเองชัดเจนไหม (ไม่ชัด) แล้วโลกใบนี้เรารู้จักชัดไหม (ไม่ชัด) ขนาดบอกอาจารย์ว่าผมรู้จักตัวเองแล้ว หนูว่าหนูรู้จักตัวเองแล้วนะ แต่จริงๆ เรารู้จักไหม (ไม่รู้จัก) เห็นไหมถ้าอาจารย์ไม่บอกเมื่อสักครู่ ศิษย์จะเข้าใจไหม (ไม่เข้าใจ) มันก็ยังเป็นพัด แต่ถ้าคนใช้พัดใช้ไม่เป็น พัดมันก็กลายเป็นอาวุธ เหมือนกันชีวิตถ้าเราดำรงชีวิตไม่เป็น ไม่รู้จักใช้คุณธรรมยับยั้งจิตใจ ไม่รู้จักสำรวมในความประพฤติ ชีวิตมันก็กลายเป็นอาวุธที่ฆ่าคนได้ ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า “หนึ่งคดทำร้ายร้อยตรง” อาจารย์เทียบง่ายๆ นะ ถ้าในบ้านเรามีสักคนที่ขี้ขโมย แม่บอกเลิกขโมยนะ ถ้าอยากได้ตังค์ แม่จะให้ แต่มันอดไม่ได้ก็ยังขโมยอีก ทำอย่างไรก็แก้ไม่ได้ ไปอยู่ข้างนอก เขาจะขโมยได้กี่คน อาจารย์ถามศิษย์ ขโมยได้กี่คน หนึ่งคน ถ้ายังมีชีวิต ชอบขโมย หาที่สุดไม่ได้เท่ากับชีวิตที่เขามี ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการศึกษาหลักธรรม สิ่งแรกก็คือเพื่อย้ำเตือนให้มนุษย์รู้จักมีมโนธรรมสำนึก รู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาป ยังไม่ต้องมีธรรมก็ได้ เอาง่ายๆ รู้จักมีมโนธรรมสำนึกไหม ผิดแล้วอายไหม ผิดแล้วยอมแก้ไขไหม คนสมัยนี้ผิดแล้วยอมแก้ไขไหม (ไม่)
ถ้าแม่บอกว่าวันนี้แม่ไม่ขโมยก็ดี เดี๋ยวอีกสองวันค่อยขโมยได้ไหม (ไม่ได้) ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นปีหนึ่งขโมยครั้งหนึ่งได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าผิดต้องทำอย่างไร (แก้ไข) มันต้องเลิกเลย มันต้องหยุดได้แล้วใช่ไหมศิษย์ (ใช่) แล้วศิษย์เคยหยุดไหม (ไม่เคย) แล้วในตัวเราอาวุธอะไรที่น่ากลัวที่สุด (อารมณ์, ความคิดตัวเอง) ปากนี้ก็น่ากลัว ความคิดก็น่ากลัวด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้น เราเป็นคนแต่เราไม่ศึกษาธรรมเลย เราไม่เตือนตัวเอง ฟื้นฟูคุณธรรมบ้างเลย ไม่รู้จักความละอายเกรงกลัวต่อบาป เราก็คือคนที่มีอาวุธที่น่ากลัวที่สุด และพร้อมจะทำร้ายผู้อื่นได้ทุกเมื่อใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่า เกิดเป็นคนอย่ารู้ทันคนอื่นไม่มีประโยชน์ อย่ามัวแต่ห่วงคนอื่นจะทำร้ายตัวเอง เราห่วงตัวเองดีกว่าใช่ไหม (ใช่) ศิษย์ลองคิดดูนะ อาจารย์บอกว่าถ้าเราเป็นคนดี แม้คนอื่นจะมาทำร้ายเรา เราก็ยังแปรเปลี่ยนคนร้ายให้กลายคนดีได้ จริงหรือไม่ (จริง) แต่ถ้าเกิดว่าตัวเรามีความคิดร้ายอยู่ แม้คนดียืนอยู่ธรรมดา เราก็ยังทำให้เขากลายเป็นคนไม่ดีได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะอะไร (เพราะปาก) เพราะปากด้วย เพราะความคิดที่ไหลลงต่ำมากกว่าขึ้นสูงด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกว่าเกิดเป็นคนรู้ทันคนอื่นดีไหม (ไม่ดี) แล้วรู้อะไรดีที่สุด (รู้ใจตัวเอง) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอะไร (รู้จักตัวเอง) แล้วเรารู้จักตัวเองไหม (ไม่รู้) แต่อาจารย์จะบอกว่ารู้อะไรดีที่สุด รู้ก่อนก็น่าสนใจ รู้หลังก็น่าสนใจ รู้เท่าทันก็น่าสนใจ แต่อาจารย์บอกว่าถ้ารู้ให้ดีที่สุดคือรู้ตัวเอง แล้วรู้ให้หมดในตัวเองนั้นดีที่สุด หรือรู้ทันโลก รู้ทันคน แล้วก็รู้ทันตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะการรู้ทันนี้ทำให้เราป้องกันตัวเอง แล้วก็ป้องกันตัวเองจากผู้อื่นด้วย
อาจารย์ถามศิษย์นะ เวลาศิษย์ถูกลอตเตอรี่ศิษย์ดีใจไหม (ดีใจ) แต่อาจารย์ถามจริงๆ นะ เราบอกว่าเราเกิดเป็นคน เราอยากรู้ทัน เวลาถูกลอตเตอรี่น่าดีใจหรือ คิดให้ดีๆ อย่ามองว่าแค่เห็นถูกลอตเตอรี่ เหมือนเวลาเรามองสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อย่าเห็นเพียงแค่เห็น แต่ต้องเห็นให้ถึงด้านหน้า ด้านหลัง และเห็นตั้งแต่ต้นจนถึงท้าย ถึงจะเรียกว่าการเห็นที่ประเสริฐใช่ไหม (ใช่) เหมือนเวลาเรารู้จักอะไรในโลก เราก็ต้องรู้ให้ถึงที่สุด อย่ารู้แค่เพียงผิวเผิน อย่ารู้แค่เพียงเปลือกนอก แต่ต้องมองทะลุเข้าไปข้างใน เห็นตั้งแต่ต้นจนสุดท้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)
เรารู้จักชีวิตแล้วเห็นกายเนื้อใช่ไหม (ใช่) แต่พระพุทธะไม่ได้เห็นแต่กายเนื้อ แต่ท่านเห็นถึงธรรมะที่ทำให้ท่านหมดทุกข์หมดกิเลส ฉะนั้นเมื่อถูกลอตเตอรี่ อย่าเห็นแค่เลขสามตัว ฉันถูก ฉันถูก แล้วก็ดีใจ อาจารย์บอกว่าเห็นแค่นั้นนะโง่ แต่อาจารย์เห็นมากกว่านั้น ถ้าศิษย์ถูกลอตเตอรี่สามตัวได้กี่บาท ถูกลอตเตอรี่ได้สี่พัน ถามหน่อยก่อนที่จะถูกนี่เสียไปกี่บาท บางทีมันมากกว่าที่ถูกสี่พัน ใช่ไหม (ใช่) ควรหรือที่จะดีใจเมื่อถูกลอตเตอรี่ แล้วควรหรือที่ต่อไปจะซื้ออีก เหมือนกันอาจารย์ถาม มีคนมาบอกว่ารักเธอจังเลย ดีใจไหม (ดีใจ) ควรหรือจะดีใจ เพราะอาจารย์บอกศิษย์แล้ว เวลาที่ศิษย์เห็นอะไรอย่าควรแค่เห็น แต่จงเห็นทั้งข้างหน้าและข้างหลัง เห็นทั้งข้างบนและข้างล่าง เวลาเขามาบอกรัก น่ารักจังเลย ฉันรักเธอ ควรจะดีใจไหม (ไม่ควร) ควรคิดให้ดีดี หันมามองตัวเองก่อน มองตัวเองยังไงหรือ ทำไมถึงบอกว่าอย่าเพิ่งดีใจ ที่บ้านเรา เราเคยทำให้ใครรักเราไหม แล้วเราเคยรักคนในบ้านได้ไหม แล้วตัวเราเคยทำให้คนในบ้านมีความสุขไหม ถ้าอยู่ในบ้านยังทำให้คนในบ้านไม่มีความสุข แล้ววันนี้มีคนมาบอกรักเรา ควรดีใจไหม (ไม่ควร) ถ้าตอนนี้ดีใจแต่พอได้ไปอยู่กับเขาแล้ว เราไม่ได้รักเขา ถึงเวลาไม่เคยทำให้เขามีความสุข เขาก็เตะเรากระเด็นแล้ว จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นเมื่อใครบอกรักศิษย์ ก่อนที่จะไปตกลงว่าฉันรักเขา ถามตัวเองก่อนว่า แล้วคนในบ้านเราเคยรักได้ไหม แล้วเคยทำให้คนในบ้านมีความสุขไหม ถ้าไม่เคยทำให้มีความสุข อย่าเพิ่งไปตกปากรับคำกับใคร ไม่อย่างนั้นตัวเองนั่นแหละ สักวันหนึ่งจะถูกเขาขับไล่ออกจากบ้าน หรือรักแบบจำใจอยู่ด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเกิดมีคนเกลียด ควรเสียใจไหม (ไม่ควร) ดีแล้วเพราะฉันรักใครไม่เป็น เพราะขนาดในบ้านเรายังบ่นรำคาญพ่อแม่เลย ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าเขาเกลียดเรา ก็ดีแล้ว จะได้หันมามองตัวเอง ฉันก็ไม่ดีจริงๆ สมควรแล้วที่เขาเกลียด ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าอยู่ในโลกศิษย์อย่าแค่เห็น ต้องเห็นให้มากกว่าเห็น เหมือนชีวิตนี้
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนที่เป็นผู้สูงอายุ วัยกลางคน วัยรุ่นและเด็กอายุต่ำกว่าสิบเจ็ดปีที่สองคนออกมาหน้าชั้นเรียนเพื่อยกตัวอย่าง)
เรียกว่าชีวิตใช่ไหม (ใช่) ยืนหน่อย อันนี้เรียกว่าชีวิตใช่ไหม (ใช่) คนอายุน้อยยืนหน่อย แล้วอันนี้เรียกว่าชีวิตใช่ไหม (ใช่) ที่สุดชีวิตคืออะไร คือคนสูงโย่ง หรือคนแก่ หรือคนวัยกลางคน ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าเวลาเราอยู่กับตัวเรา หรืออยู่กับคนในโลก อย่าแค่เห็นเพียงเห็น ถ้าศิษย์เห็นมากกว่าเห็น ศิษย์จะเข้าใจในโลกแล้วศิษย์จะไม่ทุกข์ แล้วศิษย์จะสามารถอยู่กับผู้อื่นเป็น เพราะมันเห็นคนหนึ่งแล้วมันสะท้อนเห็นตัวเรา เหมือนใครว่าเราก็ตาม แกนะน่าเกลียด เออดีๆ มันว่าดีๆ เขาว่าฉัน ฉันจะได้มองตัวเอง ฉันน่าเกลียดจริงๆ ไหม ก็จริง เพราะฉันยังรักใครไม่ค่อยเป็นเลย จริงไหม ถามศิษย์ว่ารักคนในบ้านเป็นไหม (เป็น) เป็นหรือ แล้วเคยทำให้ท่านมีความสุขบ่อยไหม ถ้าอาจารย์ถามว่าสามคนนี้ อะไรเรียกว่าชีวิต คนแรกหรือคนที่สองหรือคนที่สามหรือทั้งหมดไหม (ทั้งหมด) ยังนะศิษย์ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่ศิษย์มองไม่เห็น คือความเกิดกับความตาย ชีวิตที่แท้จริงคืออะไร ชีวิตที่แท้จริงคือเกิด แล้วอันนี้เรียกว่าอะไร (เด็ก) อันนี้เรียกว่าอะไร (โต) อันนี้เรียกว่า (กลางคน) อันนี้เรียกว่า (สูงวัย)
ฉะนั้นชีวิตคืออะไร อันนี้แหละชีวิต ชีวิตที่แท้จริงคือ มายานะศิษย์ มันเป็นมายาหลอกลวงเรานะ มันหลอกให้เรารักตัวเอง แล้วก็ถนอมตัวเอง ใช่ไหม เวลาเราเป็นเด็กเรารักตัวเองไหม (รัก) แต่รักแล้ว ถนอมแล้ว ร่างกายเคยฟังเราไหม (ไม่ฟัง) อย่าแก่นะ อย่าแก่นะ ถนอมเต็มที่ ดึงหน้าเต็มที่ ประแป้งเต็มที่ แก่ไหม (แก่)
ใช่หรือไม่ รักขนาดไหนถึงเวลามันก็เป็นมายา มันเป็นภาพลวง ใช่หรือไม่ (ใช่) เราคิดว่าคุมได้ เราคิดว่าเราเอาอยู่ เราคิดว่ามันอยู่ในกำมือนะชีวิต แต่ถึงเวลาชีวิตมันฟังใครไหม (ไม่ฟัง) ฉะนั้นในเมื่อเราเห็นว่ามันเป็นมายา มันเป็นภาพลวง มันเป็นของไม่เที่ยง เราควรที่จะยึดมั่นแล้วกอดอกว่าฉันรักตัวเอง นี่คือของฉัน ได้ไหม (ไม่ได้) ไม่ควรจะยึดมั่นใช่ไหม เพราะถ้ายึดมั่นถือมั่นเมื่อไหร่เราก็คือคนที่ทุกข์ตั้งแต่เด็กจนตาย จริงไหม (จริง) แล้วเรายึดไหม (ยึด)
อาจารย์เคยบอกศิษย์นะ ในเมื่อตัวตนเองยึดไม่ได้ อย่างนั้นเราทำอย่างไรล่ะที่จะให้เกิดประโยชน์สูงสุดมากกว่าตัวตนเอง นั่นก็คือรู้จักประพฤติปฏิบัติ ศิษย์เคยได้ยินไหม “ถ้าเกิดเป็นคนรู้จักดำรงตน จะสามารถพ้นจากกิเลส กรรมและการเวียนว่าย”
อาจารย์ถามศิษย์นะ ทำอย่างไรให้แอปเปิ้ลเกิดประโยชน์มีค่าที่สุด (นำไปปลูก) กว่าศิษย์จะปลูกขึ้นคนคงตายไปหมดแล้ว ทำอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด รู้จักแบ่งปัน อิ่มท้องไม่สู้อิ่มใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนตอนนี้ศิษย์เข้าใจชีวิตแล้วว่าชีวิตมันเป็นมายา มันไม่เที่ยง เราจะทำอย่างไรให้เกิดคุณค่า มากกว่าเกิดเป็นคนแล้วคอยเป็นอาวุธทิ่มแทงผู้อื่น ค่าที่สูงที่สุดที่พระพุทธะเคยกล่าวก็คือว่า “ถ้ามนุษย์รู้จักดำรงตน ในโลกนี้จะไม่เคยว่างเว้นจากการเป็นพระอรหันต์ ถ้ามนุษย์รู้จักควบคุมตัวเองได้เป็น มนุษย์จะพ้นจากกิเลส กรรมและการเวียนว่ายตายเกิด” ฉะนั้น ถ้าเกิดเราได้แอปเปิ้ลมา เราเห็นว่าตัวเองมันไม่เที่ยงและทำอย่างไรที่จะให้เกิดประโยชน์ เราก็รู้จักสร้างตัวเองด้วยการเอาไปให้ผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่) หรือที่มนุษย์เรียกกันว่า “อยู่ในโลกถ้ามีกิเลสก็เรียกว่าคนบาป อยู่ในโลกถ้ามีศีลมีธรรมก็เรียกว่าคนดี” แต่ศิษย์รู้ไหมว่าถ้าอยู่ในโลกกิเลสสิ้นแล้ว ความดีถึงที่สุดแล้ว นั่นก็คือพระนิพพาน ฉะนั้นศิษย์เกิดมาศิษย์จะเป็นคนที่ทุกวันสะสมแต่กิเลสเพื่อตกนรก หรือทุกวันสั่งสมแต่ความดีเพื่อขึ้นสวรรค์ หรือทุกวันเข้าถึงการไม่มีอะไรใดๆ ให้ยึดมั่นถือมั่น เดินไปสู่ความว่างและเข้าถึงพระนิพพาน
ฉะนั้นชีวิตมันมีค่านะศิษย์ ศิษย์สามารถทำให้คนที่มากระทบศิษย์เป็นเจ้ากรรมนายเวรหรือทำให้คนที่มากระทบศิษย์กลายเป็นคนบุญ เหมือนเขาด่าศิษย์ปุ๊บ ศิษย์อภัยไม่โกรธ การด่าของเขากลับช่วยเราให้เห็นธรรมใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นการเกิดเป็นคนถ้าดำรงตนถูกต้องจะสิ้นกิเลสกรรมและการเวียนว่ายได้นะศิษย์
อยากฟังนิทานอาจารย์ไหม อาจารย์อยากบอกว่าการปฏิบัติตนเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเรารู้จักปฏิบัติตนได้ดี เราก็สามารถทำให้คนรอบข้างได้ดีตามไปด้วย แต่ถ้าเราปฏิบัติไม่ดี เราก็อาจจะทำให้คนรอบข้างเดือดร้อนไปด้วยใช่ไหม อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างนิทานเรื่องหนึ่ง มีพระองค์หนึ่งอายุแค่เจ็ดขวบ ท่านได้ถูกส่งให้ไปเป็นเพื่อนกับพระอีกสามสิบรูป เพื่อไปฝึกตัวเองอยู่ในป่า พระองค์ผู้ใหญ่สามสิบรูปก็บอกว่า อย่าเอาเณรไปเลย เดี๋ยวเอาเณรไปจะเป็นภาระ แต่พระที่เข้าใจเห็นแจ้งในชีวิตก็บอกว่า ไม่ต้องห่วง ท่านเอาเณรไปเถอะ เพราะว่าตัวท่านสามสิบรูปนี่แหละจะเป็นภาระให้เณรองค์นี้ต้องช่วย จะเป็นไปได้หรือ อายุเจ็ดขวบจะช่วยคนสามสิบคน แต่ศิษย์เคยรู้ไหมว่า ผู้ที่เป็นพระอรหันต์จะสามารถดูได้ว่า คนไหนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ คนไหนไม่สำเร็จ แล้วเชื่อไหมว่าในสามสิบรูปนั้นยังไม่สำเร็จพระอรหันต์ แต่เณรที่อายุเจ็ดขวบสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ฉะนั้นเอาท่านไปเถอะท่านจะช่วย พอเอาไปในป่า ก็ต้องฝึก พอฝึกบำเพ็ญเพียร คนในหมู่บ้านเห็นว่ากลุ่มนี้ตั้งใจฝึกฝนบำเพ็ญ ในเมื่อตั้งใจฝึกฝนบำเพ็ญ ชาวบ้านอยากได้บุญจากคนกลุ่มนี้ก็บอกว่า ท่านไม่ต้องออกมาบิณฑบาตร ท่านตั้งใจฝึกฝนบำเพ็ญไป เดี๋ยวเราจะเอาอาหารมาถวายเอง พระก็ฝึกฝนได้เต็มที่ถูกหรือไม่ ไม่ต้องกังวลเรื่องกินแล้วใช่หรือเปล่า แต่ว่าพระก็มีข้อตกลงกันว่า ถ้าพระองค์ไหนเดือดร้อนให้เคาะไม้เรียก แล้วที่เหลือจะออกมาหมดเพื่อออกมาช่วยเหลือองค์ที่เดือดร้อนหรือเจ็บป่วย เผอิญว่ามีชายคนหนึ่งเป็นผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากหากินลำบาก แล้วเผอิญโซซัดโซเซมาในป่า แล้วเจอพระภิกษุ พระภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วสงสาร แล้วแบ่งข้าวให้เขากิน
เพราะเขาเห็นว่าอยู่กับพระภิกษุก็สบายดี ไม่ต้องเดือดร้อนการกิน คอยช่วยปฏิบัติพัดวี เตรียมอาหาร เตรียมอะไรให้ก็พอแล้ว ไม่ต้องไปลำบาก เขาก็เลยอยู่กับพระ พอช่วงที่เขาอยู่กับพระนั้น ปรากฏว่าเขาเริ่มเบื่อ วันๆ ไม่เห็นทำอะไรไม่เห็นมีอะไร กินแล้วก็นอน เขาก็เบื่อ กลับออกไปสู่สังคมดีกว่า ช่วงที่เขาเดินกลับสู่สังคมนั้น เขาเผอิญเจอโจรป่า โจรป่าบอกว่าพรุ่งนี้เป็นวันที่เขาจะทำพลีกรรม พลีกรรมก็คือฆ่าคนเพื่อสังเวย สังเวยสิ่งที่เขานับถือ เขาก็บอกว่าอย่าฆ่าเขาเลย เพราะเขานี้เป็นคนกินเดนพระ ฆ่าเขาก็ไม่ได้บุญอะไรแถมบาปด้วย ท่านไปฆ่าพระดีกว่า ตัวเองเดือดร้อนยังไม่พอยังหาเรื่องให้พระอีก ถามจริงๆ ถ้าเป็นท่านเอาไหม (ไม่เอา) ยอมตายไหม (ยอม) ปรากฏว่าเขาก็เลยนำพาโจรไปจับพระ แต่เขาจะเรียกพระอย่างไรล่ะ เขาบอกว่าพระมีข้อตกลงกันว่า ถ้าจะเรียกพระออกมาให้เคาะไม้เรียก เขาก็เลยเคาะ ปรากฏว่าพระออกมาทั้งหมดกี่รูป (๓๑ รูป) มีเณรอีกรูปหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อถึงเวลาโจรก็เลยบอกว่าเราจะขอจับท่านไปทำพลีกรรม พระองค์ที่ใหญ่สุดก็เดินออกมาแล้วพูดว่าจับเราเถอะ อย่าไปจับน้องๆ เราเลย องค์ที่สององค์ที่สามยอมไหม (ไม่ยอม) ถ้าเป็นพวกเรา เธอไปสิๆ ใช่ไหม แถมยังด่าคนที่ชวนโจรมา ใช่ไหม (ใช่) เห็นไหมศิษย์ว่าการกระทำของคนนี้ มันจะสามารถจบกรรมหรือจะเป็นการก่อกรรม จะเป็นกิเลสหรือว่าไม่มีกิเลส มันขึ้นอยู่กับการกระทำของเราทุกขณะจิต แม้ตอนนี้ความตายจะอยู่กับที่แล้วนะ แต่ทำไมพระบอกว่า “ฉันยอมตาย” เป็นเราเรายอมตายไหม (ไม่ยอม)
พระองค์โตก็เลยบอกว่าเราไปเอง องค์ที่สองบอกไม่ได้ ท่านเป็นพี่องค์โต เราเป็นน้ององค์เล็กกว่า เราไปแทน ทั้งสามสิบองค์ก็ออกตัวกันจนครบ แต่เณรท่านบอกว่า “เราไปเอง” ทุกคนก็บอกว่าไม่ได้ ท่านเป็นน้องเล็กสุด เราเป็นพี่ใหญ่จะปล่อยน้องตายได้ไหม (ไม่ได้) แต่เราเห็นมีอะไรก็ให้น้องไปก่อน ใช่ไหม (ใช่) พอถึงเวลาเณรก็เลยทวนคำถามบอกว่า ท่านจำได้ไหม ก่อนที่เราจะมาฝึกฝนกันนี้ พระผู้ใหญ่บอกว่า “เราจะเป็นผู้ช่วยพระทั้งสามสิบรูปนี้เอง”
พระองค์โตทั้งหลายก็ยอมให้เณรไป พอเณรไปถึง พระองค์โตก็เลยบอกโจรว่า เณรยังเด็ก ถ้าจะฆ่าหรือจะทำอะไรเตรียมให้พร้อมแล้วถึงเวลามัดตา มัดตาให้เรียบร้อยถึงเวลาเอาไปแล้วใส่ลงไปเลยทีเดียวนะ เณรจะได้ไม่ต้องกลัว เณรจะได้ไม่ต้องทรมาน เขาก็รับปาก พอไปถึงที่ เณรกลัวไหม (ไม่กลัว) ผู้สำเร็จอรหันต์แล้ว ร่างกายนี้ก็เหมือนก้อนเนื้อที่ท่านอยากปลงสังขาร ฉะนั้นความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวถูกหรือไม่ (ถูก) เมื่อถึงเวลาดาบฟันคอขาดไหม ไม่ขาด เพราะว่าถ้ากรรมของเณรไม่ใช่ว่าท่านจะเกิดมาเพื่อโดนฆ่าตาย ฆ่าอย่างไรก็ไม่ตายนะ เพราะท่านยังไม่หมดกรรม ฉะนั้นดาบฟันคอ ดาบก็งอโดยอัตโนมัติ เณรก็ไม่มีความสะดุ้งตกใจอะไรเลย ฟันรอบที่สอง ดาบก็งออีก ลองอีกรอบหนึ่งฟันให้แรงกว่าเดิม ไม่เป็นไรเลย ฟันสามรอบเป็นอย่างไร ไม่ขาดแล้วก็ไม่ตาย พอไม่ขาดไม่ตายทำอย่างไร เขาก็เลยพูดบอกว่ามีดมันไม่มีชีวิตแต่มันยังรู้คุณค่าของคน แล้วเราเป็นคนมีชีวิต เราไม่รู้จักคุณค่าของเณรนี้เลยหรือ เขาเลยวางดาบแล้วก็ยกมือขอขมาเณรองค์นี้ บอกว่าท่านถืออะไร ท่านบำเพ็ญอะไร ทำไมเราฟันเท่าไหร่ก็ไม่เข้า เมื่อโจรคนหนึ่งยอมวางดาบที่เหลือจะวางไหม (วาง) เชื่อไหมว่าเณรองค์นี้นอกจากโปรดคนที่เป็นโจรได้ ๕๐๐ รูปสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วนะ เพียงเพราะว่าจิตที่เข้าถึงธรรมจึงทำให้คนรอบข้างได้เข้าถึงธรรมด้วยถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นศิษย์เอ๋ย เราเกิดเป็นคน เรามีชีวิตอยู่ เราจะมีชีวิตเพื่อสนองกิเลสตัณหาหรือ แล้วกิเลสมันมีโลภ โกรธ หลง สามตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) สามตัวนี้มันทำให้ศิษย์สามารถตกนรกได้ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์ถามจริงๆ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย มีเยอะแยะเชื่อไหม (ไม่เชื่อ) ฟังไหม (ไม่ฟัง) แต่กิเลสมีสามตัวศิษย์เชื่อไหม (เชื่อ) ฟังไหม (ฟัง) มันให้ทำยังไง ทำตามไหม (ทำ) มันบอกโกรธก็โกรธ มันบอกเกลียด (เกลียด) มันบอกเลิก (เลิก) มันบอกหลง (หลง) เงียบทำไมล่ะ เชื่อมันจังเลย แล้วมันนำไปไหน (ตกนรก) แล้วไปไหม (ไป) ไปแต่ถ้าบอกว่าไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงแล้วพ้นจากนรกได้ขึ้นสวรรค์ไปไหม (ไม่ไป) จริงไหมศิษย์
ฉะนั้นอาจารย์ถามศิษย์นะ มนุษย์เราทุกข์เพราะอะไร เราทุกข์เพราะตัวเองใช่ไหม (ใช่) ตัวเองที่ไม่เคยรู้ทันตัวเองใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าเรารู้ทันกิเลส ว่ากิเลสมันไม่ดี เราจะไปกับมันไหม (ไม่ไป) แล้วทำไมตามไปทุกทีเลยที่มันมา เราเคยมีสติยั้งคิดมีปัญญาหยุดยั้งทันไหม ทุกข์เพราะอะไรอีก (การกระทำ, ตัวเอง, อยาก, กิเลสครอบงำ) กิเลสอะไรในตัวเองชอบครอบงำ (อยากได้) อยากได้แอปเปิ้ลอาจารย์ด้วยใช่ไหม (บังคับใจตัวเองไม่ได้, ขาดสติ, ความกลัวแก่ เจ็บตาย) จะกลัวมันทำไมยังไงเราก็ต้องเจอมัน ถ้ารู้จักปล่อยวาง ความตายก็ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่ความยึดมั่นถือมั่นต่างหากที่ทำให้เราอยู่อย่างคนที่อยู่ไม่เป็น
(ความดี, ความคิด) วางไม่ค่อยลง ใช่ไหม (รู้เท่าไม่ถึงการณ์, กิเลสตัณหา โลภ โกรธ หลง, ยึดมั่น) ยึดเพราะอยากให้เป็นอย่างที่หวัง แต่มันเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) (จมไม่ลงกับชีวิตที่เป็นอยู่) จมไม่ลง ไม่ยอมรับความจริงกับสิ่งที่เป็น แต่ถ้ารู้จักยอมรับ มันอาจจะมีความสุข (ปล่อยวางได้เราก็จะมีความสุข) เพราะเวลาคนมีความสุข จะทำอะไรก็ทำได้ แต่พอเวลามีทุกข์ ทำให้เราไม่มีปัญญาจะคิดทำอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น (ยึดมั่นถือมั่น) ยึดมั่นถือมั่นอะไร ความคิดตัวเองถูกต้อง คนอื่นผิดหมดไม่ได้นะ บางครั้งต้องยอมรับผิดบ้าง (โกรธตัวเองที่ข่มใจไม่ได้)  ต่อไปต้องรู้จักใจเย็นๆ อดทน ให้อภัย (ทุกข์เพราะจิตใจ) คิดในสิ่งที่ไม่ควรจะคิด (อารมณ์และปัญหาที่เข้ามา) ฉะนั้นเวลามีปัญหาเข้ามาตั้งสติให้ดีๆ และมองให้ออกว่าสาเหตุมันเกิดจากอะไร บางอย่างแก้ได้ บางอย่างแก้ไม่ได้ก็ต้องทำใจ ใช่ไหม (ทุกข์เพราะไม่รู้จักใจตัวเอง) แล้วเมื่อไหร่จะรู้จัก มัวแต่มองออกไม่เคยมองเข้า มันก็ไม่มีวันเข้าใจตัวเองใช่ไหม ชอบทำตัวเองให้เป็นอะไร เหมือนใจว่างๆ รอใครมาเติมเต็ม ใช่ไหม เราเป็นอย่างนั้นไหม (อยากได้, อยากมี, ลูก) ลูกทำให้ทุกข์ไหม (ทุกข์)
(ความคิด) ก็ต้องรู้จักเท่าทันความคิดตัวเอง ถ้าคิดแล้วไม่ดี ก็ไม่ควรจะคิด ใช่หรือไม่ (กายสังขาร) ถ้าเกิดทุกข์เพราะความคิด เราต้องมองความคิดให้ออกว่าสิ่งที่คิดนั้น เราควรคิดไหม ถ้าคิดแล้วฟุ้งซ่าน คิดแล้วไม่ได้อะไรก็ต้องหยุด แต่ต้องเปลี่ยนจากความคิดเป็นความกล้ารับความจริง ศิษย์กลัวความจริง กลัวผิดหวัง กลัวล้มเหลว แต่จริงๆ อาจารย์ถามหน่อยนะ มีใครในโลกไม่เคยผิดหวัง ไม่เคยล้มเหลวบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่) (ไม่ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง, ทำให้คนที่รักเป็นทุกข์, คาดหวังแล้วไม่ได้ดั่งใจ, ทำให้คนที่รักเป็นทุกข์)  แล้วทำอย่างไรล่ะจะไม่ให้เป็นทุกข์ (ไม่ทำให้เขาเสียใจ) ต้องทำให้ดี รู้จักรับผิดชอบหน้าที่ (ธรรมชาติ) ทุกข์คือธรรมชาติ ตอบได้ดีนะ ถ้าคราวหน้ารู้จักคิดแบบนี้ เราจะทุกข์ไหม มันเป็นธรรมชาติอาจารย์ ใครๆ ก็ทุกข์ใช่ไหม คิดให้มันได้อย่างนี้นะศิษย์ จะได้ทุกข์น้อยลง
(ความเครียด) ที่เครียดเพราะอะไร หวังให้มันเป็นอย่างนี้ แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ใช่ไหม แล้วคิดว่าจะควบคุมทุกอย่างได้ไหม ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ความวิตกกังวล) วิตกอะไร ที่เราทุกข์เพราะวิตก ที่เราทุกข์เพราะห่วง ที่ห่วงเพราะวิตก เพราะศิษย์ไม่กล้ายอมรับความจริงที่เกิดขึ้นใช่หรือไม่ อาจารย์ถามศิษย์นะ เหมือนตัวอาจารย์ มีด้านหน้าก็ต้องมีด้านหลัง เหมือนคนที่ศิษย์รัก เขามีดีและก็มีร้าย ใช่หรือไม่ โลกใบนี้ก็เหมือนกัน มีด้านบวกก็ต้องมีด้านลบ ฉะนั้นวันหนึ่งศิษย์จะได้แต่ด้านบวกไม่เป็นด้านลบ ศิษย์ก็คือคนที่ปิดบังตัวเองนี่คือสิ่งที่หลอกลวงใช่ไหม โลกแห่งความจริงก็คือมีทั้งบวกและลบ เราจะอยู่แต่บวกแล้วไม่ลบได้ไหม (ไม่ได้) เราจะหวังแต่ดีไม่เจอร้ายได้ไหม (ไม่ได้)
ฉะนั้นความเป็นจริงแห่งชีวิตคือต้องมีทั้งบวกและลบ นี่แหละเรียกว่าชีวิต เหมือนชีวิตของเรามีเกิดก็ต้องมีตาย ศิษย์ว่าเกิดกับตายเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกันใช่ไหม (ใช่) ไม่ใช่ อาจารย์จะบอกว่ามันเป็นสิ่งเดียวกันนะ เพราะทุกขณะที่ศิษย์เกิดก็คือทุกขณะที่ศิษย์กำลังตาย ฉะนั้นในสุขก็มีทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) (แม่ไม่ยอมปล่อย, จิตใจไม่สงบ, เพื่อนหลอกยืมตังค์) ทุกข์ไหม (ทุกข์) แล้วศิษย์จะเปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นการหมดเวรหมดกรรมได้อย่างไร ศิษย์จะเปลี่ยนทุกข์ให้ไม่กลายเป็นกิเลสได้อย่างไร ถ้าเราไม่อภัย ไม่ผูกใจเจ็บ เราก็เปลี่ยนทุกข์ให้เป็นเวรกรรม แล้วก็เป็นการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ใช่ไหม
ฉะนั้นอภัยได้ก็จงอภัย เขาจะชดใช้หรือไม่ ก็ไม่เป็นไร แต่ศิษย์อย่าเอาเหตุผลนี้มาอ้าง ยืมเงินคนเลยไม่คืนได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าไปเจอคนที่เอาจริง ศิษย์ก็อาจจะต้องเกิดมาเป็นวัวเป็นควายใช้หนี้เขาเอาไหม (ไม่เอา)
ยืมเงินใครไปต้องรู้จักคืน แต่คนอื่นมายืมเรา เราก็ต้อง (ไม่ให้) ไม่ให้เลยเหรอ ให้ไหม ให้เท่าที่ช่วยได้เพราะการให้เงินทำให้เรารู้จักไม่ตระหนี่ เพราะการให้เงินนี้ทำให้เรารู้จักเมตตาช่วยคนใช่หรือไม่ (ใช่) จะตอบอีกไหม (หากิเลสวัตถุเข้าหาตัวเอง) เยอะเลยใช่ไหม ต่อไปต้องรู้จักตามให้ทันสติตัวเอง ตามให้ทันตัวเอง แล้วพอบ้างหรือยัง วัยนี้แล้วยังไม่พออีกหรือ ต้องพอได้แล้ว พอสักทีสิ เห็นไหมพุงใหญ่จะแย่อยู่แล้ว (ผมพอแล้วแต่คนอื่นพอหรือยัง) ช่างเขาศิษย์ปล่อยเขา ถ้าศิษย์ทำได้ดี ศิษย์ทำได้ถูกต้อง ศิษย์มีความสุขกับการปล่อยวาง บางทีไม่ต้องพูดอะไรคนเขาก็อยากทำตามเราเอง อาจารย์สอนให้รู้ว่า ถ้าศิษย์อยากขอแต่อย่าขอแบบคนมีกิเลส อาจารย์ไม่ได้บอกให้ศิษย์หยุดหมดเลยใช่ไหม แต่อาจารย์บอกว่าเวลาจะมองอะไรต้องมองให้ชัด เวลาจะทำอะไรทำให้ดีเพราะถ้าทำไม่ดีมันจะกลายเป็นกิเลส กรรมและการเวียนว่าย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นต่อไปศิษย์จะอยาก ก็ขอให้ตั้งสติว่าความอยากนั้นต้องไม่อยากอย่างผิดศีลธรรม อยากอย่างคนไม่มีธรรมะอย่างนั้นไม่ได้ใช่ไหม (ใช่) เห็นไหมว่าร่างกายมันไม่ไหวแล้ว อย่างนั้นต้องปลงได้แล้ว (อยากเป็นอยากมี) แล้วเมื่อไหร่จะพอ บางทีพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี การมี การเป็น ในโลกนี้มันเหนื่อยนะศิษย์ จริงไหม แล้วเมื่อไหร่จะพอ เหมือนใจเราเติมเต็ม แม้ตอนนี้ได้เป็น ได้มี เหมือนที่ตัวเองอยากมาแล้ว แต่หยุดไหม (ไม่หยุด) เหมือนยิ่งถมเท่าไหร่ก็ไม่เต็มใช่หรือไม่ ฉะนั้นต้องรู้จักนะ ถ้าไม่รู้จักพอ ศิษย์จะตายเพราะความอยากไม่จบสิ้น
ศิษย์รู้ไหมว่าความทุกข์ที่น่ากลัวมากที่สุดก็คืออะไร ความเคยชินในใจ เหมือนแต่ก่อนเราอยากจะยืนก็ยืน อยากจะนั่งก็นั่ง อยากจะทำอะไรก็ทำ แต่ถ้าวันหนึ่งความทุกข์บอกให้ศิษย์หยุด แต่ใจศิษย์ยังอยากอยู่ ศิษย์ไม่ต้องทรมานแล้วตายทั้งเป็นหรือ ใช่ไหม เหมือนตอนนี้อาจารย์ถามว่าใครที่นั่งสองวันมีความสุขแล้วไม่มีความทุกข์เลย ยกมือให้อาจารย์เห็นสิ ถ้าใครทำได้นั้นแปลว่ารู้จักใช้ธรรมะเป็น แต่ถ้าใครทำไม่ได้แปลว่าความเคยชินมันสร้างกรงขังทำร้ายตัวศิษย์เองจริงไหม อยู่บ้านอยากนอนอย่างนี้ อยากนั่งแบบนี้ อยากกินอาหารรสนี้ แต่มาอยู่ที่นี่เขาให้กินข้าวก็ต้องกินข้าว เขาให้กินสิ่งที่ไม่มีเนื้อสัตว์ก็ต้องไม่มีเนื้อสัตว์ อึดอัดจังเลย เป็นไหม บางคนทุกข์อยากกลับบ้านไปจะกินให้อร่อยเลย จริงไหม ฉะนั้นความเคยชินในนิสัยตัวเองนั้นแหละที่มันฆ่าศิษย์ มันฆ่าศิษย์โดยไม่รู้ตัว เราเคยชินนอนเตียง นอนฟูก วันนี้ต้องมานอน (เสื่อ) เมื่อยไหม (เมื่อย) แค่ความเคยชินยังทำให้เราทุกข์ได้ใช่หรือไม่ ฉะนั้นเกิดเป็นคนอย่าสร้างความเคยชินให้ตัวเองทุกข์โดยไม่รู้ตัว
ถ้าวันนี้อาจารย์พูดกับศิษย์แค่นี้ ศิษย์ก็คงพอจะเข้าใจบ้างไม่มากก็น้อย แต่อาจารย์อยากจะสรุปง่ายๆ มนุษย์ทุกข์เพราะตัวตนอย่างแรก อย่างที่สองทุกข์เพราะความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ตัวตนที่มองเห็น ตัวตนที่ได้ยิน ตัวตนที่สัมผัสได้ คิดว่ามันคือความสุข คิดว่ามันคือความเพลิดเพลิน ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่พุทธะบอกว่ามันคือความทุกข์ทั้งนั้น แต่มนุษย์เรายึดมั่นไหม ก็ยังหลงยึดใช่หรือเปล่า (ใช่) ทั้งที่จริงๆ แล้วมันเที่ยงไหม (ไม่เที่ยง) แล้วเราควรยึดไหม (ไม่ควร) แล้วเรายึดไหม (ยึด) ฉะนั้นขอให้ศิษย์ตั้งสติให้ดี แล้วโลกใบนี้สิ่งที่ศิษย์กลัวคือความทุกข์ คือกรรมเวร คือความตาย แท้ที่จริงแล้วถ้าเราเข้าใจความทุกข์ กรรมเวร และความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว ถ้าเรารู้จักปฏิบัติตนได้ถูกต้อง จริงหรือไม่ (จริง)
อาจารย์รู้ว่าแค่ฟังธรรมะ ฟังอย่างเดียวไม่เกิดความกระจ่างแจ้งได้ ถ้าศิษย์ไม่รู้จักลงมือประพฤติปฏิบัติ ถ้าศิษย์ไม่ได้เอามาไตร่ตรองคิดให้รอบคอบ ฟังแล้วเดี๋ยวมันก็ลืม ใช่ไหม (ใช่) เหมือนคนผ่านแล้วก็ผ่านไป แต่อาจารย์อยากบอกให้ศิษย์รู้ว่าชีวิตนี้ที่ศิษย์เรียกว่าชีวิต มันเกิด มันแก่ มันเจ็บ มันตาย มีแค่นี้เท่านั้นใช่ไหม แต่เราไม่รู้หรือว่าในเกิด แก่ เจ็บ ตายที่เรียกว่าชีวิตนี้ มันมีหนทางๆ หนึ่งที่ประเสริฐที่สุดในการเป็นคนนั่นก็คือความพ้นทุกข์ แล้วเราจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร ถ้าเราไม่รู้จักใจตัวเอง แต่ถ้าเรารู้จักใจตัวเอง รู้จักตัวตนเอง รู้จักชีวิตที่แท้จริง ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินจะเข้าใจ แต่สำคัญอย่างเดียวว่าตัวศิษย์ยอมรับไหม ว่าเราก็สามารถหาทางพ้นทุกข์ได้ ว่าเราก็สามารถพ้นทุกข์ในโลกนี้ได้ แต่ไม่ใช่พ้นแค่ตายแล้วจบ แต่มันทำได้ดีกว่านั้น ทำอย่างไร แค่รู้จักควบคุมตัวเอง เหมือนอาจารย์บอก “ถ้าควบคุมดีพัดก็ทำให้คนร่มเย็น แต่ถ้าควบคุมไม่ดีพัดมันก็ก่อเรื่องราวไม่จบสิ้น” ใช่หรือไม่
ฉะนั้น ควบคุมอะไรล่ะ ควบคุมใจตัวเองด้วยการเอาอะไรมาควบคุม เอาศีล เอาธรรมมาควบคุม ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าอาจารย์บอกว่าศีลธรรมจะไม่ต้องควบคุมศิษย์เลย ถ้าศิษย์รู้จักควบคุมอย่างเดียวคืออะไร (ควบคุมใจ) อารมณ์ก็ได้ ใช่หรือไม่ ควบคุมอารมณ์หรือตามให้ทันใจตัวเอง ตามให้ทันใจตัวเองก่อนที่มันจะโกรธ คิดแค่เพียงว่าถ้าตายแล้วโกรธกับมัน แล้วมันก็จะต้องมาจองล้างจองผลาญ อย่าโกรธกันเลยดีไหม (ดี) ถ้าโลภแล้วทำให้เรากลายเป็นคนผิดศีลธรรม อย่าโลภเลยดีไหม (ดี) โลภให้มันน้อยๆ หน่อย ถ้าจะโลภก็ขอให้มันถูกทำนองคลองธรรมไม่ได้หรือศิษย์ (ได้)
ใครเลี้ยงวัวบ้าง ใครเลี้ยงนกบ้าง นั่งเงียบเลยหรือ อาจารย์อยากจะบอกว่ามีชายคนหนึ่งเขาเลี้ยงวัว แต่วัวไม่เป็นดั่งใจ เขาเลยเผาวัวทิ้งให้ตายทั้งเป็น ผลของการเผาวัวเพราะความโมโหนั้น ทำให้เขาต้องตกนรกแล้วเกิดมาเป็นกาแล้วถูกเผาถึงเจ็ดครั้ง
ถ้าเกิดเป็นคนนะศิษย์ทำอะไรเอาแต่อารมณ์เป็นใหญ่ไม่คิดถึงความถูกต้อง ไม่รู้จักเท่าทันตัวเอง เราเกิดมาเพื่อสร้างกรรมและก่อการเวียนว่ายไม่จบสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นศิษย์เกิดมา ศิษย์จะมาสร้างกรรมหรือจะมาหยุดกรรมก็ขึ้นอยู่กับตัวศิษย์เองแล้วนะ วันนี้อาจารย์ไม่เสียเวลามาก อาจารย์ไปดีกว่าฟังมามากแล้วไม่ใช่หรือ ก็เริ่มเบื่ออาจารย์แล้วใช่ไหม (ไม่ใช่) อาจารย์ไปแล้วนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก
ฉะนั้นศึกษาบำเพ็ญธรรมเข้าใจหรือยังว่าทำไมเราต้องศึกษาบำเพ็ญธรรม เพื่ออะไรไม่ใช่เพื่ออาจารย์ แต่เพื่อตัวศิษย์เองให้รู้จักเอาธรรมะมาควบคุมตน ไม่ให้ตัวเองไปสร้างพิษภัยให้กับคน แล้วรู้ไหมว่าการสร้างพิษภัยให้กับผู้คนถึงที่สุดมันก็ย้อนกลับมาทำร้ายเราไม่ใช่หรือ (ใช่) ฉะนั้นขอให้ทำอะไรคิดให้ดีๆ ไตร่ตรองให้ดีๆ อย่าทำให้การมีชีวิตของตนเป็นเหตุแห่งการสร้างเวรกรรมไม่จบสิ้น ฟังธรรมอย่าแค่ฟัง แต่ต้องรู้จักเอาไปใช้ ไม่อย่างนั้นนั่งมาสองวันมันเปล่าประโยชน์นะศิษย์นะ ใช่ไหม (ใช่) แล้วธรรมะเอาไปใช้ที่ไหน ก็แค่ใช้ที่ตัวเอง ตามให้ทันตัวเอง อย่าปล่อยตัวไปกับกิเลสจนก่อกรรม ไม่ยากนะ อาจารย์ให้ศิษย์ทำยากเกินไปหรือ ไม่ได้บอกให้ศิษย์เลิกแล้วมาบำเพ็ญแบบอาจารย์ทั้งหมด ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ให้รู้จักควบคุมตัวเองให้ดี มีโอกาสอาจารย์คงได้ผูกบุญกับศิษย์อีก แต่ศิษย์ก็อย่าลืมหาโอกาสมาผูกบุญกับอาจารย์บ้าง เรื่องราวบางเรื่องไม่ใช่เหมือนเดิม เราจะรับได้ไหม แล้วเราจะทุกข์กับมันหรือ บางทีไม่ใช่แต่มันคือความจริงที่สอนให้เราเข้าใจชีวิต ฉะนั้นโลกใบนี้ไม่ว่ามันจะหันไปด้านมืดหรือด้านสว่าง ถ้ามนุษย์เรารู้จักควบคุมตน โลกกลับทำให้เราเห็นแจ้งชีวิตและเข้าใจธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีโอกาสก็กลับมาหาอาจารย์อีกนะ ธรรมะฟังได้เรื่อยๆ แต่ไม่รู้ว่าศิษย์จะอยากฟังธรรมะอย่างที่อาจารย์หวังหรือเปล่า คนเราเกิดมาก็ตาย ความเจ็บป่วยมันทำให้เรารู้จักปลงไม่ใช่ยึดมั่น มีโอกาสกลับมาอีกนะ ตั้งใจบำเพ็ญกลับมาศึกษาอีก อาจารย์ว่าจิตใจสวยงามกว่าหน้าตา สิ่งที่ประเสริฐไม่ใช่แอปเปิ้ลของอาจารย์ แต่สิ่งที่ประเสริฐคือปัญญาอันตื่นรู้ในใจตน ฟังรู้เรื่องไหม มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะศิษย์ ไม่ใช่จบแล้วก็ไปลับไม่กลับมา น่าเสียดายนะศิษย์เอ๋ย อย่าปล่อยให้กระแสภายนอก กระแสสังคมภายนอกมันชักพาให้ศิษย์ทุกข์เลย มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีก เวรกรรมมีก็ต้องใช้เขาไป ขอให้อดทน อาจารย์ไปแล้วนะ ศิษย์เอ๋ยตั้งใจบำเพ็ญ อาจารย์อยู่เป็นกำลังใจให้ศิษย์เสมอ ขอให้ศิษย์เข้มแข็งบำเพ็ญธรรมะด้วยความมุ่งมั่น อย่าแพ้ภัยตัวเอง อย่าคิดในสิ่งที่ไม่น่าคิดเลยนะศิษย์ อาจารย์อยากกลับมาหาศิษย์เสมอ แต่กลัวอย่างเดียว ศิษย์ไปแล้วไม่กลับมาอีก
ยึดมั่นถือมั่นอะไร หลงผิดอะไรทำไมไม่ทำสิ่งที่ดี ห่วงก็ห่วงตัวเองแต่ไม่สนใจคนรอบข้างได้หรือ มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีกนะศิษย์เอ๋ย รู้จักควบคุมใจตัวเองให้เป็น เป็นลูกศิษย์อาจารย์แล้วต้องเป็นเด็กดีไม่ใช่เป็นอันธพาล มีโอกาสตั้งใจบำเพ็ญธรรม รู้จักรักษาศีล ไม่เบียดเบียนสัตว์ ไม่ทำร้ายสัตว์ ไม่เบียดเบียนคน ไม่ทำร้ายคนให้เป็นทุกข์ ไม่ว่าทั้งกายและใจ เป็นคนดีแค่รู้จักควบคุมตัวเองให้อยู่ในศีลธรรม ไม่ใช่เรื่องยาก เป็นคนดีแค่รู้จักควบคุมความคิดตัวเองไม่ให้ไหลลงต่ำ ดึงให้สูงไว้ ยากแต่เพียงว่าทำไมใจมันชอบคิดร้ายมากกว่าคิดดี ใจมันชอบเอาแต่อารมณ์มากกว่ามีธรรมะ ฉะนั้นบำเพ็ญธรรมบำเพ็ญอะไร ไม่ใช่คุมคนอื่น คุมใจตัวเองให้ได้ เพราะถ้าคุมได้ เราก็สามารถทำให้คนรอบข้างเป็นคนดี แต่ถ้าเราคุมไม่ได้ เขาพูดธรรมดาเราก็มองเป็นร้ายได้ ฉะนั้นบำเพ็ญธรรมคือคุมใจตัวเอง แล้วเราจะได้ไม่ต้องก่อเวรก่อกรรม ศิษย์เอ๋ยบำเพ็ญธรรมไม่มีแก่ไม่มีเด็ก
เป็นลูกศิษย์อาจารย์อย่ามองแค่ตัวอาจารย์ แต่มองให้ถึงใจอาจารย์ ใจที่อยากให้ศิษย์พ้นทุกข์ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในโลก โลกนี้มันคือความสุขหรือ โลกนี้มันสวยงามหรือ ตัวของเราสวยหรือ ดีหรือ ถึงที่สุดศิษย์ก็ต้องทิ้งมันไป สิ่งที่ดีและมีค่าที่สุดคือธรรมะ ธรรมะที่อยู่ในตัวศิษย์ และธรรมะอะไรหรือ ธรรมะที่รู้จักละอาย รู้จักเกรงกลัวต่อบาป รู้จักควบคุมตัวเองให้อยู่ในศีลธรรม ทำไม่ยากแต่อยู่เพียงว่าศิษย์จะทำไม่ทำเท่านั้นเอง จริงหรือไม่ (จริง) มีโอกาสเราคงได้ผูกบุญสัมพันธ์กันอีกนะศิษย์เอย ตั้งใจบำเพ็ญให้ดีนะ


พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท  “ใช้คุณธรรม”
ศึกษาอดีตเพื่อสร้างอนาคต สมัยใหม่สะดวกหมดจดมักง่าย
จงเรียนรู้อ่อนแข็งไว้ปรับใช้ คนทุกคนไม่มีใครไม่สำคัญ
วงการธรรมอันยาวนานแลกว้างไกล พุทธบุตรรู้สึกปลอดภัยดั่งอยู่บ้าน
แสงแห่งธรรมจะอาบอิ่มสู่ดวงญาณ เมื่อทุกคนทำทุกวันอุทัยธรรม


* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

ฉบับปรับปรุงข้อมูล รุ่นที่ ๐.๑ วันที่ ๑๑ เม.ย. ๒๕๕๕

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา