วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555

2555-06-23 สถานธรรมหงหยัง จ.เชียงใหม่


西元二○一二年 歲次壬辰五月初五日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๕ สถานธรรมหงหยัง แม่อาย จ.เชียงใหม่
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ


คนมีสุขย่อมสร้างงานที่สร้างสรรค์ คนมีทุกข์ย่อมสร้างงานที่ยอดเยี่ยม
อุปสรรคไม่ใช่เรื่องที่ใหม่เอี่ยม จงรู้เตรียมสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ


ตราบบำเพ็ญไม่ถอยห่างไป  ร้อนแดดอิงเงาไม้  อะไรทุกข์บ่ต้องกลัว  เปรียบฟ้าสดใส  ลมสบายปลอบใจเป่าหัว อะไรคิดว่าของตัว  ปวดหัวทุกข์กายทุกข์ใจ
ตราบบำเพ็ญไม่ถอยห่างธรรม  ยามที่ใจระกำ  วันนั้นจะบำเพ็ญไหม  อะไรรู้หมดเพียงอดใจยังไม่ไหว  ทุกสิ่งยังเข้าใจ  แต่ทางยากขึ้นทุกวัน
* ความหวังดีจากฟ้าสู่ดิน  คนเฉยชินรับรู้เท่าใด  ฝนทั่งลำบากต้องรู้ตัวบำเพ็ญก่อนสาย  เงียบเป็นชนะในใจ  เดินทางผิดต้องถอยยาว
กี่วันคนอยู่อีกกี่วัน  เมื่อแก่ลงทุกวัน  เร่งแข่งขันหนุ่มสาวหนุ่มสาว  ทางชีวิตก่อนเก่าหายไปกลับหวนสู่เรา  อยากจะคว้าดาวบำเพ็ญสร้างตน สร้างคนพร้อมกัน


ชื่อเพลง : จากฟ้าสู่ดิน
ทำนองเพลง : ดอกบัวตอง
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ
ฟังธรรมะเบื่อไหม (ไม่เบื่อ)  ปราบสัตว์ที่พยศว่ายากแล้วแต่ปราบจิตที่พยศยากยิ่งกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  ม้าเวลาพยศเรายังรู้จักควบคุมได้ แต่จิตเวลาพยศเราควบคุมไหวไหม เคยชินกับการปล่อยตามใจตัวเองแต่วันนี้ต้องอยู่เฉยๆ นั่งฟังนิ่งๆ ก็เหมือนต้องปราบพยศใจของตนเองที่เปรียบเหมือนกับม้า เปรียบเหมือนกับลิง  ถ้าปราบได้ดีก็นั่งได้นานนั่งได้ทน แต่ถ้าปราบไม่ได้ดีก็นั่งได้ลำบากแล้วก็ไม่อยากทนใช่ไหม (ใช่)
“คนมีสุขย่อมสร้างงานที่สร้างสรรค์ คนมีทุกข์ย่อมสร้างงานที่ยอดเยี่ยม
อุปสรรคไม่ใช่เรื่องที่ใหม่เอี่ยม จงรู้เตรียมสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี”
เตรียมอะไร เตรียมใจใช่หรือไม่ (ใช่)
ธรรมะเรียกว่าความจริงแท้อันเป็นเช่นนั้นเอง ฉะนั้นอะไรที่เป็นความจริงแท้สิ่งนั้นก็เรียกว่าธรรมะ  ธรรมะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสัจธรรม การเกิดแก่เจ็บตาย ก็เรียกว่าธรรมะอันเป็นสัจธรรม  ความตายก็เป็นสัจธรรม หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าธรรมะ  ฉะนั้นความตายก็เป็นสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีพบก็มีพราก มีสุขก็มีทุกข์ แปลว่าความพลัดพรากกับความทุกข์ก็เป็นสัจธรรม หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นธรรมะใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อไรที่เราพบความตาย ความพลัดพราก ความทุกข์ นั่นก็คือสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อธรรมะเป็นสิ่งที่ดี ฉะนั้นอะไรเกิดและเป็นจริงก็คือสิ่งดี ถูกหรือเปล่า (ถูก)  ถ้าชีวิตพบความทุกข์ก็คือพบธรรมะ ก็คือพบสิ่งที่ดี ชีวิตพบความพลัดพรากก็คือพบธรรมะ พบสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งที่เรียกว่าธรรมะเป็นสัจจะ ความเป็นจริงอันนิจนิรันดร์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคำว่าสัจจะ ความเป็นจริงอันนิจนิรันดร์นั้นมีอะไรบ้าง ก็มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีทุกข์มีสุข มีดีมีร้าย มีเข้มแข็งมีเจ็บปวด ล้วนคือธรรมะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าวันหนึ่งชีวิตเราพบความทุกข์ ความเจ็บปวด ความพลัดพราก นั่นก็คือการได้เรียนรู้ชีวิตอีกด้านหนึ่งของธรรมะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าวันหนึ่งเราต้องกลายเป็นคนที่นั่งเฉยๆ แล้วพูดไม่ได้ เราก็คือคนที่เรียนรู้ชีวิตแห่งธรรมะอีกแบบหนึ่ง ถูกหรือไม่ (ถูก)  จะบอกว่าธรรมะมีแต่ดีได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นถ้าพบสิ่งที่ไม่ดีก็เป็นธรรมะ พบสิ่งที่ไม่ดีแล้วเป็นธรรมะได้อย่างไร
เสียงของเนื้อเพลง เสียงของดนตรี มีสูงมีต่ำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เสียงของเนื้อเพลงนั้น มียินดี มีโศกเศร้า มีสนุกสนาน มีน่าเศร้าเสียใจ เมื่อเราฟังเนื้อเพลง หรือดนตรี โด เร มี ฟา ซอล เมื่อรวมได้ครบห้าตัวโน้ตก็เกิดเป็นทำนองเพลง  บางเพลงทำนองเร็ว ได้จังหวะสนุกสนาน บางเพลงทำนองช้า ดูเหมือนเศร้าสร้อย แต่โดยความเป็นจริงของเนื้อเพลงนั้น เนื้อเพลงที่จังหวะช้าคือความเศร้าไหม เนื้อเพลงที่จังหวะไวคือความสนุกสนานใช่ไหม   เมื่อเอาจุดยืนของมนุษย์ไปฟังดนตรี จึงเกิดการแบ่งแยกว่า อย่างนี้เรียกว่าสนุก อย่างนี้เรียกว่าเศร้า แต่ถ้าใช้จุดยืนของธรรมชาติไปมองดนตรี มีอะไรเศร้าไหม (ไม่มี)  มีอะไรสุขไหม (ไม่มี)  แต่เพราะความยึดติดของมนุษย์จึงเกิดการแบ่งแยกที่เรียกว่า แบบนี้สุข แบบนี้เศร้า แบบนี้สนุกสนาน แบบนี้โหยหวนวังเวง จริงไหม (จริง)  ทำไมเราจึงรู้สึกต่าง เพราะเรายึดติดเพราะเราแบ่งแยกใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นหัวใจของความทุกข์หัวใจของการสิ้นสุดแห่งความทุกข์อยู่ที่ไหน
อยากดับทุกข์ได้ อยากเข้าถึงการดับทุกข์ได้ หัวใจของการดับทุกข์ก็คือการไม่ยึดมั่นถือมั่นอย่างแบ่งแยกตายตัว เพราะมนุษย์แบ่งแยกและยึดมั่นถือมั่นตายตัวจึงไม่ทำให้เราสามารถดำรงชีวิตอยู่ด้วยสติปัญญาอันสมบูรณ์ เมื่อไหร่ที่เรายึดมั่นถือมั่นจะทำให้เราไม่สามารถใช้สติปัญญาได้สมบูรณ์ครบถ้วน
เหมือนเราฟังดนตรีโดยตัวเนื้อเพลงนั้นแท้จริงมีแบ่งไหมว่าอัน นี้เรียกว่าเศร้า อันนี้เรียกว่าสุข แต่มนุษย์เป็นคนยึดมั่นถือมั่นแล้วก็มองอย่างแบ่งแยกจึงเกิดเสียงดนตรีที่เรียกว่าสนุกและเสียงดนตรีที่เรียกว่าเศร้า แต่ถ้าใช้จุดยืนแห่งธรรมะไปมอง ไม่มีสุขไม่มีเศร้า แต่เพราะน้ำมือมนุษย์แบ่งแยกยึดติด จึงมีสุขเศร้าและมองไม่เห็นธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์หนีไม่พ้นต้องมีโลภ โกรธ หลง ยินดี ไม่ยินดี เศร้า เสียใจ วิตกกังวลทุกข์ร้อน ความรู้สึกต่างๆ นี้เกิดขึ้นเพราะมีตัวตนนี้ที่เรียกว่าอัตภาพ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์รู้จักรู้สึกดี รู้สึกแย่ โลภ โกรธ หลง เพราะมีตัวตนนี้รู้สึกชอบ รู้สึกชัง รู้สึกวิตกกังวล รู้สึกยินดีปรีดา รู้สึกรังเกียจ ก็เพราะว่าเรามีตัวตนนี้ แต่เมื่อไรที่มนุษย์สามารถเบาบางความรู้สึกตัวตนนี้ได้มนุษย์จะสามารถข้ามโอฆสงสารแห่งการเวียนว่ายตายเกิดบนโลกได้ แต่ถามว่ามนุษย์เบาความรู้สึกไม่ได้ใช่ไหม มีชีวิตเพื่อสนองกิเลสแต่ไม่มีชีวิตอยู่เพื่อธรรม มีชีวิตอยู่เพื่อตัวตนแต่ไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อเข้าถึงธรรม จึงทำให้ไม่สามารถมองเห็นธรรมะได้ในตัวตน
เราถามท่านว่า ระหว่างนกยูงกับนกกาสองอย่างนี้มีความต่างหรือเหมือนกันไหม (ต่าง)  นกยูงเป็นอย่างไร (สวย)  นกกา (ดำ)  ดำแล้วไม่สวยหรือ ขนก็สั้นด้วย แล้วเคยได้ยินไหม นกอะไรเอ่ยไข่ไว้ให้แม่ (แม่กาฟัก)  แม่กาก็ (หลงรัก)  นึกว่า (ลูกในอุทร)  แล้วกาใจดำจริงๆ ไหม ลองเอาไข่ไปให้นกยูงฟักสิ จะฟักไหม (ไม่ฟัก)  สงสัยคงจะเขี่ยทิ้งใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าท่านโดนเปรียบเทียบว่าเหมือนนกกากับเหมือนนกยูง ท่านรู้สึกเป็นอย่างไร ถ้าเป็นนกยูงคงดีใจ แต่ถ้าเป็นนกกาคงเศร้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราดูที่ความประพฤติของนกกา ไข่ใครก็ไม่รู้เอามาให้กาฟัก ทำไมกายังฟัก แบบนี้กาใจดำไหม (ไม่ดำ)
เราพูดแบบนี้เพราะต้องการจะบอกว่าจริงๆ แล้วสองตัวนี้ก็เป็นนกเหมือนกัน แต่มนุษย์มักยึดติดว่าสิ่งสวยงามจึงมีค่า สิ่งดำดูไม่มีค่าจริงหรือ (จริง)  อย่างนั้นคนที่ผิวดำคงเถียงหัวชนฝา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราก็เคยเห็นบ่อยไปที่คนผิวขาวใจดำยิ่งกว่าคนผิวดำ ถูกหรือไม่ (ถูก)
นกยูงสวยไหม (สวย)  แต่ถามว่านกยูงกับนกกาใครมีอิสระกว่ากัน (นกกา)  นกยูงยังไม่ทันสวยเลยก็มีคนอยากจะเอาขนไปประดับตกแต่งบ้านแล้ว จริงหรือไม่ (จริง)  มีใครบ้างอยากเอาขนกาไปประดับตกแต่งบ้าน (ไม่มี)  ฉะนั้นมีชีวิตเป็นนกยูงหรือเป็นนกกาดีกว่า (นกกา)  ทำไมเปลี่ยนใจแล้วล่ะ
เราต้องการเปรียบเทียบมนุษย์คิดว่าการมีอำนาจ การมีความยิ่งใหญ่ การเป็นคนดี คนสวย คนเลิศเลอโดดเด่นกว่าใครเป็นสิ่งที่ดูดีมีค่าแต่ถ้ามองให้ลึกๆ สวยภายนอกแต่แท้ที่จริงแล้วภายในกลับว่างเปล่านั้นก็ไม่มีประโยชน์ และมนุษย์ชอบตัดสินกันด้วยเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ถูกหรือไม่
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในห้องสองท่านยืนขึ้น)
ถ้าเรามองโดยส่วนใหญ่ถามว่า “ท่านนี้กับท่านนี้มองด้วยสายตาและความรู้สึกที่ติดยึดเราก็คงบอกว่า “ท่านนี้ชีวิตดูน่าจะสบาย ท่านนี้ดูชีวิตน่าจะลำบาก ท่านนี้ดูน่าจะดี ท่านนี้ดูน่าจะไม่ค่อยดี” ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็เหมือนท่วงทำนองดนตรี เวลาเรามองดนตรีเราไม่ได้มองที่เนื้อแท้แต่เรามองตามความรู้สึกที่ติดยึดใน ใจ จึงทำให้เราไม่สามารถมองเห็นสรรพสิ่งในโลกได้อย่างถ่องแท้ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าถามท่านว่าท่านดำรงชีวิตเป็นไหม คนที่ดำรงชีวิตเป็นคือคนที่สามารถแสวงหาแล้วมีอิสระ แสวงหาแล้วไม่เป็นวัวพันหลัก แสวงหาแล้วต้องมีสุขมากกว่าทุกข์ แต่มนุษย์ที่ดำรงชีวิตเป็นแต่ทำไมแสวงหากลับมีทุกข์ แสวงหากลับกลายเป็นวัวพันหลัก ยิ่งแสวงหากลับยิ่งน่าจะเปิดตากว้างมองอะไรได้ชัดเจน แต่ทำไมยิ่งแสวงหากลับเหมือนคนตาบอด จริงไหม (จริง)  เราว่าเลือกคนได้ถูกแล้ว เราว่าเลือกผลไม้ได้ดีแล้ว แต่ถึงที่สุดก็เลือกผิด คิดผิด เข้าใจผิดบ่อยไป
ถามท่านว่าอยากเป็นคนแรกหรือคนที่สอง คนหนึ่งได้ผลไม้ลูกเดียวแต่อีกคนได้ผลไม้นับไม่ถ้วน อยากได้อะไร (คนที่ถือเยอะกว่าเพราะธรรมชาติของมนุษย์อยากได้ของที่เยอะกว่า)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  โดยส่วนใหญ่ใครๆ ก็อยากเลือกที่เยอะ ลูกเดียวเลือกไหม (ไม่เลือก)  เหมือนกันมนุษย์ถามว่าระหว่างความมี มีน้อยๆ กับมีเยอะๆ ใครก็อยากมีเยอะๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ท่านเคยได้ยินไหมว่า ยิ่งมีมากค่ายิ่งลดลง ยิ่งมีน้อยค่ากลับมากขึ้น เหมือนคนมีเสื้อตัวเดียวในชีวิต เขาจะถนอมเสื้อตัวนี้อย่างสิ่งที่มีค่าสูงสุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนอีกคนหนึ่งมีเสื้อสิบตัว ถามว่าเขาจะดูแลเสื้อได้ดีเท่ากับคนที่มีเสื้อตัวเดียวไหม (ไม่เท่า)  คงทิ้งๆ ขว้างๆ ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นเราถามท่านว่า ยากจนดีไหม ไม่ดี แต่ถ้าร่ำรวยแล้วกลายเป็นคนที่ผิดศีลธรรม ประพฤติชอบไม่ได้ แต่กลับประพฤติชั่วได้  อย่างนั้นเรายอมมีน้อย แต่เป็นคนรักษาศีลธรรมดีกว่า ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถ้าถามว่า ตอนนี้ยังอยากมีผลไม้มากๆ ไหม ก็ยังอยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จำไว้ว่า ถ้าอยากก็ต้องรู้จักดำรงให้เป็น ไม่เช่นนั้นความอยากจะฆ่าท่านตาย จริงไหม (จริง)  มีเงินหนึ่งร้อยบาท แต่ใจมากกว่าหนึ่งร้อยบาท ใจที่มากกว่าจะทำให้เราเหนื่อยทั้งชีวิต ถูกไหม (ถูก)  เราไม่ได้ต้องการให้ท่านพูดว่าจนดี แต่เราต้องการจะบอกว่า ความจนไม่ใช่เรื่องไม่ดี ความจนก็มีดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่เคยรวยมาก่อน เพราะเข้าใจคุณค่าของความจน จึงพยายามรวย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนที่จนแล้วไม่มีวันรวย ก็คือคนที่ไม่เห็นคุณค่าของความจน จึงไม่มีวันรวยได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตอนนี้เราถามท่านว่า ระหว่างสวยกับไม่สวย อะไรดีกว่ากัน (สวย)  แล้วท่านเห็นไหมว่าคนสวยๆ แต่นิสัยไม่สวยก็มีมาก  แต่คนไม่สวย นิสัยสวยก็มีมาก ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถ้าไม่สวยแล้วยังทำนิสัยไม่สวยอีกก็น่าสงสารใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าสวยแล้วข้างในไม่สวยเขาก็เรียกว่าเน่าในจะเอาไหม (ไม่เอา)  ก็ไม่เอา ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่เราต้องการจะบอกท่านว่า ในโลกใบนี้อย่ามองเพียงแค่ผิวเผิน ไม่เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เป็นผิวเผินจะทำร้ายเราให้เจ็บปวด เหมือนเรามองเรา เรามองเขา เราก็ต้องอย่ามองเราที่แค่อารมณ์อยากเพียงชั่ววูบ แต่เราต้องมองนิสัยเราด้วยว่า ได้คนสวยแล้วเราจะกลายเป็นคนขี้ระแวงไหม ใช่หรือเปล่า เพราะเราไม่หล่อเท่าถูกไหม (ถูก)  คิดให้ดีๆ นะ แต่ได้คนธรรมดามาเรากลับเป็นอย่างไร เรากลับสบายใจกว่าเพราะเราไม่ต้องระแวง จริงหรือเปล่า (จริง)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนอยู่ในโลกอย่าเอามาตรฐานตัวเองไปวัดทุกสิ่ง เพราะการที่เอาตัวเองไปวัดทุกๆ คน มักจะไม่ได้ความสมบูรณ์และท้ายที่สุดต้องเจอทุกข์ แล้วเราจะมองโลกใบนี้อย่างไร โลกใบนี้เป็นโลกแห่งความเปลี่ยนแปลงใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจะอยู่ร่วมกับสรรพสิ่งอย่างไม่ผูกติดยึดมั่นจนเกินไป มิใช่ว่า “ฉันต้องได้แบบนี้ถึงจะเรียกว่าดี ฉันต้องเป็นแบบนั้นถึงจะเรียกว่าสวย” ไม่จริงใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะในสวยก็มีทุกข์ ในไม่สวยก็มีทุกข์ แต่อะไรมีทุกข์มากกว่ากัน การไม่รู้จักตัวเองและมองไม่เห็นโลกใบนี้และมองไม่เห็นตนเอง จะทำให้จับอะไรก็เป็นทุกข์ ฉะนั้น อยากอยู่บนโลกนี้ให้เป็น ดำรงชีวิตอย่างอิสระเสรีในการแสวงหา ก็อย่าเผลอยึดติดยึดมั่นจนเกินไป
ฉะนั้นถ้าอยู่ในโลกเจอคนว่า เจอคนทำร้าย อย่าเพิ่งไปโกรธเขา แต่จงมองว่าเป็นเพราะเรายึดมั่นถือมั่นในความคิด เมื่อเราคิดว่า “เขาไม่น่าพูดแบบนี้เลย” เราจึงทุกข์ แต่ถ้าเรามองความเป็นจริงในตัวคน เราจะรู้ว่าเป็นธรรมดาที่เวลาคนๆ หนึ่งมีพูดดีบ้าง พูดไม่ดีบ้าง พูดชมบ้าง พูดว่าบ้าง เราก็จะไม่ทุกข์ แม้ว่าเค้าว่าหรือจะชมก็ตามใช่หรือไม่ (ใช่)
อยู่ในโลกนี้แท้ที่จริงแล้วมีคนดีมีคนไม่ดีจริงหรือ แต่เป็นเพราะเรายึดมั่นถือมั่น จึงบอกว่านี่ดีและนั่นไม่ดี เพราะการบำเพ็ญธรรมคือการที่เราได้เรียนรู้ความเป็นจริง อะไรที่เรียกว่าความเป็นจริงอันนั้นเรียกว่าธรรมะ ฉะนั้นเมื่อไรที่ชีวิตเจอคนว่า เจอคนด่า เจอคนทำให้เจ็บ เจอคนหลอกลวง นั่นแหละคือธรรมะ
บางเรื่องที่เกิดขึ้น ที่เรารับไม่ได้เพราะว่าเรายึดมั่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยึดมั่นว่าอะไร “ไม่น่าทำกับฉันเลย ไม่น่าหลอกฉันเลย ไม่น่าด่าฉันเลย”  ตัวเราเองบางครั้งยังอดว่าตัวเองไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นคนอื่นเป็นแบบไหนนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดา มันเป็นเช่นนั้นเอง  ถ้ามนุษย์เข้าใจความเป็นเช่นนั้นเองมนุษย์จะรู้จักหัวใจของการดับทุกข์โดยไม่ยึดมั่นถือมั่น และใดๆ ในโลกก็จะทำให้เราทุกข์ไม่ได้ จริง ไหม (จริง)  แม้จะได้แอปเปิลลูกเดียวหรือได้ผลไม้เต็มมือก็ (ดี)  หรือเรียกว่า สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ที่เรามองเห็นไม่มีดีก็เพราะเรายึดมั่น ฉะนั้นอย่าให้การมีชีวิตบดบังตาตัวเอง อย่าให้การยึดติดทำให้เรามองเห็นโลกอย่างไม่เห็นความจริงแท้ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกดีไหม (ดี)
เราพูดง่ายๆ สั้นๆไม่ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าท่านเข้าใจตอนท้ายท่านก็จะกลับไปเข้าใจตอนต้นที่เราบอก เนื้อดนตรีที่แท้จริงไม่มีสุขไม่มีทุกข์ แต่เมื่อเอาจุดยืนของมนุษย์ไปฟังดนตรีจึงแบ่งแยกว่านี้สุขนี้ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตของมนุษย์แท้จริงไม่มีสุขไม่มีทุกข์ แต่เพราะความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ จึงเรียกว่าสุข เรียกว่าทุกข์
วันนี้ขอจบเพียงแค่นี้ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีกนะ


วันอาทิตย์ที่ ๒๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๕ สถานธรรมหงหยัง จ.เชียงใหม่
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


ดอกไม้แทนกำลังใจ มอบให้ถึงมือพวกเจ้า
ไม่ต้องพูดเรื่องเก่าเก่า ข้าเฝ้าเป็นกำลังใจ
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหงหยัง แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีหรือเปล่า


ไม่ใช่เพราะบำเพ็ญจะเฝ้ายอมหรือ ง้างธนูสุดมือแผลงศรใส่หน้า
มารในจิตฤทธิ์ทุกคนไม่ธรรมดา ใช้เมตตาปราบฤทธิ์แต่ล้วนต้องทน
จิตของคนสามารถทนการทนยาก ศักยภาพมาจากใจกำลังฝึกฝน
ทว่าท้ออาจเกิดแม้คนที่ทน นอกให้คนมองแต่ในยังมี
ข้านี้แสนจะสงสารศิษย์เล็กเล็ก เจ้าเหมือนเด็กหลงผิดทำชีวิตนี้
ใจเมื่อมีอารมณ์ก็เขลาทุกที สุดกำลังพลีเพื่อเจ้าจึงเฝ้าตาม
มีความทุกข์เป็นธรรมดาไม่ต้องหนี แต่ต้องมีปัญญาจึงพ้นโลกสาม
เหยียบโลกเป็นสะพานเพื่อเจ้าก้าวข้าม ทุกขวากหนามจึงเป็นตัววัดใจ
ฮา  ฮา   หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
คนในโลกนี้ทำดีกันเยอะไหม (ไม่เยอะ)  แล้วทำชั่วล่ะ (เยอะ)  แล้วเราทำดีหรือทำชั่ว (ทำดี)  จริงหรือ อาจารย์ว่าความดีก็เปรียบเหมือนน้ำ ความชั่วก็เปรียบเหมือนไฟ ถ้าเราทำดีแล้วเราต้องตายเพราะความดี อาจารย์ว่าก็ยังประเสริฐกว่า ทำความชั่วแล้วยังมีชีวิตอยู่ยืนยาวต่อไป ก็ต้องถูกไฟของความชั่วนั้นเผาผลาญไม่ว่าภพนี้หรือภพไหนๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์ถามศิษย์นะ ชีวิตของคนเรานั้นจริงๆ แล้วตัวเราก็ไม่ต่างอะไรกับฟ้า ดิน และธรรมชาติในโลกนี้ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้ามนุษย์รู้จักตัวเองทำให้เป็นแบบฟ้าและดินเราก็คงไม่ต่างอะไรกับธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  การทำให้ตัวเองเหมือนกับฟ้าดินก็คือ เกื้อหนุนสรรพสิ่งโดยไม่แบ่งแยก ดำเนินชีวิตอย่างไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน นี่เรียกว่า ธรรมะใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์ก็คือสรรพสิ่งที่ไม่ต่างอะไรกับฟ้าดินและธรรมชาติในโลกใบนี้  ถ้าดำรงชีวิตแล้วรู้จักเกื้อหนุนสรรพสิ่งโดยไม่แบ่งแยกและยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เราก็คือธรรมชาติใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราเกิดเป็นคนถือธรรมะเป็นตัวตนมากกว่าถือตัวตนเป็นตัวตน เราก็คงสามารถเป็นคนที่มีชีวิตอยู่นิจนิรันดร์ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์เราก็คือธรรมชาติชนิดหนึ่งที่อยู่ระหว่างฟ้าและดิน แต่ฟ้าและดินทำไมคงอยู่นิรันดร์ เพราะฟ้าและดินเกื้อหนุนสรรพสิ่งโดยไม่แบ่งแยกยึดติดตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราสามารถทำได้เช่นนี้ เราก็คือคนที่เข้าได้กับสภาวธรรม ธรรมะทำให้ตัวตนนั้นเที่ยงและนิรันดร์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์หาเป็นเช่นนั้นไม่ มนุษย์กลับยึดตัวตนมีค่ามากกว่าธรรมะ ทั้งที่ตัวตนนี้เปลี่ยนแปลงได้ ไม่เที่ยง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรามีชีวิตอยู่เพียงเพื่อตัวตน เราก็คือคนที่สามารถเปลี่ยนแปลงและสูญสลายได้ เรายึดตัวตนและแบ่งแยก อันนี้ตัวฉัน อันนี้ตัวเขา เราไม่สามารถมองทุกสิ่งได้เท่าเทียมกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรามีชีวิตอยู่เพื่อตัวตน ก็คือความดับสูญและเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าเรามีชีวิตอยู่เพื่อธรรมะ  มีชีวิตอยู่เพื่อเข้าถึงธรรม เราก็คือความเป็นจริงอันนิจนิรันดร์ใช่ไหม (ใช่)
อาจารย์ถามว่า แล้วมนุษย์เรามีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองหรือเพื่อธรรมะ (เพื่อตัวเอง) แค่เริ่มต้นมนุษย์ก็บอกว่าฉันมีชีวิตอยู่เพื่อตน แต่อย่าลืมคนที่ทำอะไรเพื่อตน เห็นแก่ตนคนนั้นก็มีวันสูญสลาย แต่ถ้าคนไหนมีชีวิตอยู่เพื่อธรรม เห็นแก่ธรรม คนนั้นก็คือคนที่อยู่นิจนิรันดร์ไม่มีวันสูญสลาย ตัวตายแต่จิตแห่งความตื่นรู้คงอยู่นิจนิรันดร์ แต่มนุษย์นอกจากมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองแล้ว เรายังอยู่เพื่อกิเลส เพื่ออารมณ์ เพื่อความอยาก  ถ้าเพื่อตนแล้วสนองกิเลส สนองความโลภ สนองความอยาก นั่นก็คือการเกี่ยวกรรม เพราะคนที่มีแต่ความโลภ ความอยาก ความหลงก็หนีไม่พ้นนรก แต่คนที่มีศีล มีธรรม ทำความดีถึงที่สุดก็ขึ้นสวรรค์ แต่การเข้าถึงธรรมไปพ้นกว่าสวรรค์ อยู่บนสวรรค์พอเสวยบุญเสร็จก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ แต่ถ้าเราสามารถเข้าถึงธรรมเราก็ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป และการเข้าถึงธรรมเข้าอย่างไร ยากใช่ไหม  อาจารย์จะบอกให้ว่าทำไมการเข้าถึงธรรมถึงดี แล้วอะไรที่เรียกว่าเข้าถึงธรรม
ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม (ยินดี)  แล้วเอาอะไรต้อนรับอาจารย์ดี (หัวใจ)  หัวที่ผุๆ กร่อนๆ หรือเปล่า หรือหัวใจที่มีแต่ความทุกข์เศร้า  (หัวใจที่มีความทุกข์ อยากให้อาจารย์ปัดเป่าทุกข์ให้)  อยากให้อาจารย์ปัดเป่าทุกข์ให้ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์จะช่วยนะ แต่ไม่รู้ว่าศิษย์จะทำได้อย่างที่อาจารย์บอกหรือเปล่า
“มารในจิตฤทธิ์ทุกคนไม่ธรรมดา ใช้เมตตาปราบฤทธิ์แต่ล้วนต้องทน”
ที่มนุษย์เราทะเลาะกันทุกวันนี้เพราะไม่ยอมกันง่ายๆ ร้ายมาก็ร้ายกลับ ด่ามาก็ด่ากลับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์ทุกคน ดีก็ดีใจหาย  เวลาร้ายก็น่ากลัวเหลือเกินทนใช่หรือไม่ (ใช่)
เอาอะไรต้อนรับอาจารย์ (หัวใจ)  หัวใจเป็นอย่างไร หัวใจที่ยิ้มแย้ม หรือหัวใจที่เอาแต่ขอ (ยิ้มแย้ม)  ก่อนที่อาจารย์จะให้อะไรมักจะมีข้อแลกเปลี่ยน อะไรที่ได้มาง่ายๆ ศิษย์มักจะไม่เห็นคุณค่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากได้มายากหน่อยศิษย์จะรักษาให้ดีและอยู่ได้นาน  ถ้าให้ไปง่ายๆ ศิษย์ก็จะทิ้งๆ ขว้างๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์รู้ว่าศิษย์อยู่ในโลกไม่อยากมีความทุกข์ อยากมีความสุข อยากรวย อยากแข็งแรง และก็ไม่อยากตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์มีวิธี เมื่อฟังวิธีของอาจารย์จบแล้วก็ค่อยบอกว่า อยากตายหรือไม่อยากตาย
ถ้าอยากให้ใครจริงใจกับเรา เราต้องจริงใจเต็มที่ก่อนแล้วเขาก็จะจริงใจกลับ ถ้าศิษย์เริ่มต้นหลอกลวงเขา ศิษย์ก็ต้องโดนเขาหลอกลวงไปตลอดชีวิต ฉะนั้นไม่อยากให้คนอื่นทำอะไรกับเรา เราอย่าทำอย่างนั้นกับคนอื่น อยากให้คนอื่นยิ้มใส่เรา แต่เราไม่เคยยิ้มกับใครเลยแล้วใครจะยิ้มให้เรา จริงไหม (จริง)  เวลาทำอะไร ทำให้เต็มที่เพราะบางทีไม่มีรอบสองใช่ไหม (ใช่)  แล้วรอบแรกเขาเรียกว่า First impression (แปลว่า ความประทับใจครั้งแรก) ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อาจารย์บอกว่าความประทับใจครั้งแรกเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าครั้งแรกศิษย์ไม่เต็มกำลัง ศิษย์ไม่สุดกำลัง ครั้งต่อไปแม้ศิษย์จะทำเท่าไร เขาก็จะยึดครั้งแรกเป็นหลักจริงไหม (จริง)  ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามว่า ร้องเพลงต้อนรับเมื่อสักครู่เต็มกำลังหรือยัง
ถ้าศิษย์ทำอะไรให้จำไว้ว่า บางครั้งเรามีโอกาสครั้งเดียว เวลาเจอเหตุการณ์อะไรหรือเจอใครคิดไตร่ตรองให้ดีๆ ทำให้สุดกำลัง แล้วต่อไปทุกๆ วันของศิษย์ก็คือวันที่เราทำเต็มที่แล้วไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจอีกแล้ว  แต่เราเป็นอย่างนั้นไหม (ไม่)  เผื่อไว้ก่อน เก็บไว้ก่อน งกไว้ก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความจริงใจเป็นสิ่งสำคัญนะ ยิ่งโดยเฉพาะการรู้จักกันครั้งแรก การเห็นกันครั้งแรก ถ้าศิษย์ให้ความจริงใจเต็มที่ให้ความรักเขาเต็มที่ เขาก็จะจำเราได้นานกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางทีโลกนี้ก็อยู่ยากใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่ว่าให้แล้วเขาจะให้เราตอบ ยิ้มแล้วแล้วเขาจะยิ้มรับได้ทุกคนจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นบางครั้งเวลาเรายิ้มแล้วเขากลับทำหน้าบึ้งโกรธ มีไหม (มี)  เวลาเราพูดดีแต่เขาเอะอะมะเทิ่ง เราโกรธไหม (ไม่โกรธ)
ถ้าไม่อยากให้ชีวิตมีทุกข์ต้องใจเย็นๆ ใจร้อนมักโชคร้ายนะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อยากนั่งหรือยัง (อยาก)  อาจารย์จะให้นั่งก็ได้นะ แต่อาจารย์ไม่เคยให้นั่งง่ายๆ  ถ้าอาจารย์บอกว่านั่งให้รีบนั่ง ดีไหม (ดี)  ศิษย์เป็นคนว่าง่ายอย่างนั้นจริงๆ หรือ  เวลาที่อาจารย์บอกว่าซ้ายศิษย์มักจะไป (ขวา)  บอกนั่งก็อยาก (ยืน)  บอกยืนก็อยาก (นั่ง)  นั่นแหละนิสัยคน  ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นถ้าอาจารย์บอกนั่งศิษย์ก็ (ยืน)  บอกยืนก็คือ (นั่ง)  ฟังธรรมะมาเกือบวันครึ่งแล้วเริ่มเบื่อ เริ่มเมื่อยใช่ไหม อาจารย์เปลี่ยนจากการฟังมาเป็นการปฏิบัติ เรียกว่ามีสติอยู่กับตัว ถ้ามีสติ ธรรมก็จะคุ้มครองตัวได้ แต่ถ้าไม่มีสติ ธรรมก็อาจจะคุ้มครองเราไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าแถวไหนทำผิด หรือคนไหนทำผิด อาจารย์จะให้เต้นเป็ดรอบสถานธรรม มนุษย์ต้องมีบทลงโทษ ถ้าไม่มีบทลงโทษก็ไม่เกรงกลัว ใช่หรือไม่ (ใช่)
การเข้าถึงธรรมดีอย่างไร เพราะว่ามนุษย์นี้ถ้ายึดติดในตัวตนก็หนีไม่พ้นต้องเวียนว่ายตายเกิด แต่ถ้ามนุษย์สามารถเข้าถึงสภาวธรรม มนุษย์จะสามารถตัดการเวียนว่ายตายเกิดได้ด้วยตัวเราเองและในชาตินี้นะ  ศิษย์รู้ไหมจะทำอย่างไรเราจึงจะพ้นทุกข์และพ้นการเวียนว่ายตายเกิด อันนี้เป็นเรื่องที่น่าคิด แต่ศิษย์เคยคิดไหม คิดอย่างเดียวว่าวันพรุ่งนี้จะเอาอะไรกิน พรุ่งนี้จะมีเงินไหม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แน่ใจหรือว่าจะมีวันพรุ่งนี้ แล้วเคยเตรียมตัวก่อนตายไหม ไม่เคยเลย เพราะยังไม่อยากตายใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม เวลาอาจารย์เห็นศิษย์เปิดหนังสือธรรมะทีไร จะมีประโยคอยู่ประโยคหนึ่งที่ชอบเขียนไว้บนหนังสือธรรมะ ศิษย์เคยอ่านแล้วศิษย์เคยแจ้งในความหมายอันนั้นไหม “การให้ธรรมะเป็นทาน ชนะการให้ทั้งมวล การให้ธรรมะเป็นทานประเสริฐยิ่งกว่าการให้สิ่งใดๆ ในโลก”  เคยได้ยินไหม การให้ธรรมะเป็นทาน คือเจอหนังสือธรรมะยื่นให้เขาใช่ไหม ศิษย์ว่าใช่ไหม อาจารย์ถามผู้รู้ทั้งหลาย การให้ธรรมะเป็นทานชนะการให้ทั้งปวง การให้ธรรมะเป็นทานประเสริฐกว่าให้สิ่งใดๆ ในโลกนี้ อย่างนั้นการให้ธรรมะเป็นทานก็คือการอ่านหนังสือธรรมะ เจอหนังสือธรรมะดีๆ ก็แจกๆ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  เพราะถ้าศิษย์เข้าใจตรงนี้ ศิษย์จะสามารถเข้าใจการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องได้ และศิษย์สามารถเป็นนายเหนือจิตใจ และสามารถรู้ที่มาของชะตากรรม ถ้าเข้าใจความหมายอันนี้ การให้ธรรมะเป็นทานก็ชนะการให้ทั้งมวล แล้วศิษย์ก็จะเข้าใจคำแรกที่อาจารย์บอกศิษย์ว่า มนุษย์ไม่ต่างอะไรกับฟ้าดิน ถ้าถือตัวตนเป็นที่พึ่ง เราก็หนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิดและการสูญสลาย แต่ถ้าถือธรรมเป็นที่พึ่ง เราจะพ้นทุกข์นิจนิรันดร์  ใครตอบอาจารย์ได้ (นำธรรมะไปอธิบายให้เขาเข้าใจและให้เขานำไปปฏิบัติ)  แปลว่าไม่ได้ให้เขาอ่านหนังสืออย่างเดียวต้องให้เขาเข้าใจความหมายในหนังสือ ด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ถูกไหม (ถูก) ศิษย์ว่าเขาถูกใช่ไหม แต่อาจารย์ว่าไม่น่าใช่นะ เพราะไม่ต่างอะไรกับการให้หนังสือ
(ใครมีทุกข์เราก็พูดธรรมะให้ฟัง)  เขาบอกว่าตอนให้ธรรมะก็คือ เวลาใครมีทุกข์เราก็พูดธรรมะให้ฟัง เวลาใครไม่สบายใจ เราก็พูดธรรมะให้ฟัง เวลาใครดีๆ เราก็เอาธรรมะไปให้ เช่นนี้ใช่ไหม (ใช่)
อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า พูดธรรมะดีๆ ให้เขาฟัง  พูดให้เขาสบายใจ อย่างนี้เรียกว่าให้ธรรมะเป็นทานใช่ไหม (ใช่) แต่เป็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่ความหมายโดยแท้จริงคืออะไร  อาจารย์เปรียบเทียบง่ายๆ เวลาศิษย์อยู่กับคนเยอะๆ ศิษย์อยู่ร่วมกับเขา ศิษย์ให้อะไรกับเขาเวลาศิษย์ไปเกี่ยวเนื่อง อย่างเช่นไปเจอเพื่อน เราให้กิเลส ตัณหา อารมณ์ หรือให้ธรรมะ เวลาเจอหน้าเพื่อน “เฮ้ยไปเที่ยวกันไหม”  ใช่ไหม (ไม่ใช่,เวลาเพื่อนเจ็บป่วย ก็ไปบอกยาสมุนไพรให้เขาไปรักษาตัว)  เวลาเจอเพื่อนเราก็แนะนำสมุนไพรให้ ซึ่งเป็นสมุนไพรที่เรากำลังขายตรงอยู่ ได้ไหม ต้องระวังผลประโยชน์บางทีก็ก้ำกึ่ง ถึงศิษย์จะหวังดีแต่ว่ามีผลประโยชน์เคลือบแฝงคนก็มองดีไม่ค่อยตลอด คนสมัยนี้รักสุขภาพ แต่การรักสุขภาพที่แท้จริงต้องระวังตั้งแต่สิ่งที่เข้าไปในปากและสิ่งที่กำลังดำรงอยู่ แล้วศิษย์ว่าอะไรเรียกว่าการอยู่ร่วมกันแล้วให้ธรรมะต่อกัน แล้วอะไรเรียกว่าการให้ธรรมะเป็นทานและสามารถให้ได้ตลอด
(พามากราบรับธรรมก็คือให้ธรรมะเป็นทาน)  กราบรับธรรมให้ธรรมะ ใช่ไหม ให้เขามากราบรับธรรมแล้วให้นำธรรมะไป ใช่ไหม แต่บางครั้งเราก็บอกว่า “ไม่เห็นได้อะไรเลยมาที่นี่ ไม่เห็นมีอะไรเลย” ใช่ไหม
(รู้สึกขอบคุณอาจารย์แนะนำรับรองที่พามาฟังธรรมะจากผู้ที่เข้าใจลึกซึ้ง)  ตอบได้ดี อาจารย์ให้องุ่นลูกเดียว ไม่ให้ทั้งพวงเพราะอาจารย์ให้ธรรมะ ให้รู้จักคิด เอาเล็กๆ ก่อนเพราะมนุษย์ในโลกนี้อะไรก็อยากได้แต่ใหญ่ๆ จงพอใจในสิ่งเล็กๆ ก่อน ถ้าหวังแต่ใหญ่ๆ แล้วเล็กๆ ไม่ชอบก็เหมือนกับคนที่หวังอยากได้ตึก แต่ชั้นหนึ่ง ชั้นสองไม่อยากได้ อยากได้ชั้นสาม เป็นไปได้ไหม มนุษย์เราก็เป็นแบบนี้สิ่งธรรมดาไม่พอใจ ชอบชั้นสอง ชั้นสาม ชั้นหนึ่งไม่อยากได้ แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม (เป็น)  ความสุขง่ายๆ เรียบๆ ธรรมดา เล็กๆ ไม่ค่อยเห็นมีค่า ชอบฝันสูงแล้วตกมาเจ็บ แถมที่เจ็บอยู่กับพื้นก็ไม่มีความสุขเพราะเราเกลียด ฉะนั้นพื้นเราก็ต้องรัก เมื่อขึ้นไปสูงแล้วตกลงมาก็จะไม่เจ็บมากเท่าไร เพราะมีสิ่งที่รักรองรับอยู่
การให้ธรรมะก็คืออะไรรู้ไหมศิษย์ ถ้าเขาด่าไอ้โง่ ศิษย์จะให้ธรรมะหรือจะให้อารมณ์กลับ การให้ธรรมะก็คือ เมื่อไรที่ศิษย์มีอะไรมากระทบใจศิษย์ให้ธรรมะกลับ หรือศิษย์ให้อารมณ์กลับ ถ้าศิษย์ให้อารมณ์กลับศิษย์ก็คือตัวตน แต่ถ้าศิษย์ให้ธรรมะกลับ ศิษย์ให้ธรรมะเขาทุกๆ วัน การให้ธรรมะนั้นก็ชนะกว่าการให้ทั้งมวลใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าตอนนี้ถ้าเขาเอาเงินศิษย์ไปแล้วไม่เอาคืนจะให้ธรรมะหรืออารมณ์ (ให้ธรรมะ)  ถ้าวันนี้อาจารย์จี้กงบอกว่า จะขอเงินสักพันหนึ่งศิษย์จะให้ธรรมะแต่ไม่ให้ความหลงเขากลับ ศิษย์ก็ต้องให้แง่คิดเขาใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ามีคนมาขอเงินศิษย์ ศิษย์ก็ต้องบอกว่า “ฉันอยากช่วยนะ แต่ถ้าขอ ๕,๐๐๐ ฉันเปลี่ยนเป็นให้ ๕๐๐ ได้ไหม แล้วเธอเอาไปเธอไม่คืน ฉันก็ไม่โกรธ แต่ถ้าเธอเอาไป ๕,๐๐๐ แล้วไม่เอามาคืน ฉันโกรธเธอแน่เลย”  ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นเราสามารถให้ธรรมะทุกเวลา แต่เมื่อเวลาที่ศิษย์โดนกระทบ ศิษย์จะให้ธรรมหรือให้อารมณ์ ศิษย์จะยึดถือธรรมเป็นที่พึ่งหรือเอาตัวตนเป็นที่พึ่ง ฉะนั้นถ้าโดนเขาด่ามา ด่ากลับไหม (ไม่)  ศิษย์จำไว้นะ ถ้าด่ามาแล้วด่ากลับศิษย์คือคนที่ทำให้เวรยืดเยื้อ ศิษย์คือคนที่ทำให้กรรมไม่จบสิ้น ฉะนั้นถ้าเขาหลอกเรามาแล้วเราแช่งชักหักกระดูกกลับ เราก็คือคนที่ทำให้กรรมไม่จบ ฉะนั้นโดนใครหลอก โดนใครว่า ให้ธรรมกลับ อภัย เมตตา ไม่ถือโกรธ เราจะจบกรรมกับเขาได้ทันที แล้วศิษย์จะไม่กลัวความทุกข์ ศิษย์จะไม่กลัวการโดนด่า เพราะอะไร “ด่ามาเลยจะได้ละลายกรรม”  กรรมในการยึดมั่นตัวกูของกู กรรมในการยึดมั่นตัวตนแต่เราจะไม่ถือตนเป็นที่พึ่งแล้วเพราะเราฟังธรรมะ เราจะถือธรรมเป็นที่พึ่ง ธรรมที่มองสรรพสิ่งอย่างไม่แบ่งแยก ไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน  แต่ศิษย์มักจะบอกว่า “อาจารย์มันยากนะ เกิดมาเป็นคน  เอาแต่ให้ๆ คนอื่นนี่เหนื่อย บางทีศิษย์ก็อยากรับ ไม่ต้องทำอะไรก็ได้มา”  ชอบใช่ไหม (ใช่)  อยู่เฉยๆ ก็มีคนให้ อยู่เฉยๆ  ก็มีคนชม ชอบใช่ไหม
อาจารย์ถามว่า คนที่ชีวิตนี้ทั้งชีวิตเอาแต่รับๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับ (ขอทาน)  แล้วเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ขอทานมีแต่รับไม่เคยเสีย เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) คิดให้ดีๆ ศิษย์อยากเป็นคนที่มีแต่ได้ ไม่เคยเสียอะไรเลยอาจารย์ แล้วศิษย์จะไปเป็นขอทาน แต่อาจารย์ถามจริงๆ คนที่เป็นขอทานเขาจะไม่มีวันเสียอะไรเลยจริงไหม (ไม่จริง)  แค่เขาขอทานเขาก็สูญเสียศักดิ์ศรีของความเป็นคนแล้ว จริงหรือไม่ (จริง) ถึงแม้เขาจะได้สิ่งหนึ่งมา แต่ถ้าวันหนึ่งเขาอยากได้อะไรต่อแล้วเขาจะขอได้ทุกสิ่งไหม (ไม่ได้)  บางอย่างเขาต้องเสียถึงจะได้มา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอาจารย์มีวิธีอยู่บนโลกแล้วไม่ต้องทุกข์ มีสามข้อ สนใจไหม (สนใจ)  การให้ธรรมะเป็นทานประเสริฐกว่าให้อะไรในโลก แล้วให้ธรรมะเป็นทานให้อย่างไร ก็คือเวลาอะไรมากระทบเราจะเมตตาเขาได้ไหม หรือเราจะเอาอารมณ์ไปตอบ วิธีของอาจารย์มี ๓ วิธี อยากฟังใช่ไหม
วิธีแรก เราอยู่ในโลกนี้ อยู่อย่างคนที่อยู่ในโลกแต่ไม่ยึดติดโลก อยู่ในโลกแต่ไม่แบกโลกทั้งใบไว้กับตัวได้ไหม (ได้) จริงหรือ อาจารย์ถามศิษย์นะ อะไรก็ตามที่ศิษย์ต้องไปเกี่ยวพัน อะไรก็ตามที่ศิษย์อยากจะไปมีส่วนร่วม ศิษย์มักจะไม่ใช่เป็นคนที่อยู่แล้ว อยู่เบาๆ ไปเบาๆ อยู่ที่ไหนก็ติดที่นั่น เกี่ยวอะไรก็ต้องยึดทุกอย่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นวิธีของอาจารย์วิธีแรกก็คือ เกิดมาเพื่อยืมเขาใช้ สามี ภรรยา ลูกก็ยืมเขาใช้ คิดอย่างนี้ได้ไหม อาศัยแต่ไม่ยึดติด เพราะอะไรอาจารย์จึงพูดประโยคนี้ วันนี้เขาเป็นสามีศิษย์ ศิษย์สามารถพาเขาไปทุกที่ได้ไหม (ไม่ได้)  ศิษย์สามารถตรึงเขาไว้กับมือตลอด ไม่ให้เขาไปไหน ไม่ให้มีชู้ ได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่ได้ใช่ไหม เรารู้ว่าทุกคนที่เราเกี่ยวข้อง เหมือนเงิน ศิษย์ว่าศิษย์กำเงินอยู่ไหม แม้เงินอยู่ในมือแต่บางครั้งเราก็ต้องเสียเงินไปเพื่อจะให้ได้เงินมา ใช่ไหม
๑. กฎข้อแรกของอาจารย์คือ “ยืมเขาใช้”
อยากอยู่บนโลกอย่างเป็นสุขให้จำไว้ว่า “ยืมเขาใช้” แม้แต่ตัวเอง ร่างกายตัวเองเราก็ยืมฟ้าดินใช้ ยึดไม่ได้นะ ยึดเมื่อไรทุกข์เมื่อนั้น สามียึดเมื่อไร  อันนี้สามีฉัน  ลูกฉัน  เงินฉัน ตัวฉัน ทุกข์ไหม ทุกข์ตั้งแต่มันมี “ของฉัน” แล้วใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นกฎข้อแรกคือ “ยืมเขาใช้” จำไว้ตลอดนะ
ฉะนั้นเวลาสามีไปมีกิ๊ก ภรรยาไปเป็นอะไรก็ตาม ศิษย์ก็คิดเสียว่าเรายืมเขาใช้ คนมักจะบอกว่าเรามีบุญสัมพันธ์กันแต่ก็มี (กรรมสัมพันธ์) จำไว้นะศิษย์ บุญมีกรรมก็มี วันนี้บุญอาจหมดแล้วต้องใช้กรรม เราก็ต้องทำใจว่าเรายืมเขามา เพราะของที่เรายืมเขามาถึงเวลาคืนเราจะไม่ค่อยยึดติดใช่หรือไม่ (ใช่)  เดี๋ยวมันก็ไปตามทางของมัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งคือกฎข้อสองของอาจารย์
๒. กฎข้อสอง “ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นธรรมดา”
ถ้าเราคิดอยู่เสมอว่าอะไรที่เกิดขึ้นกับเรา ก็คิดว่า “อ้อ! มันเป็นธรรมดา” ถูกด่าก็ “อ้อ! มันเป็นธรรมดา”  เงินหายก็ “อ้อ! มันเป็นธรรมดา”  สามีไปมีภรรยาใหม่ “อ้อ! มันเป็นธรรมดา” ใช่ไหม (ใช่)  ลูกตาย “อ้อ! มันเป็นธรรมดา”  มันเป็นความจริง  บ้านใครเคยมีคนตายบ้าง ใครว่าบ้านของตัวเองเคยมีคนตายยกมือขึ้น (ทุกคนยกมือ)  เห็นไหมธรรมดาไหม บ้านใครไม่มีคนเจ็บยกมือขึ้น  บ้านไหนไม่เคยมีคนเจ็บเลย (ไม่มี)  เห็นไหม ธรรมดาไหม
บ้านใครไม่เคยโดนคนยืมเงินไปแล้วไม่คืน ยกมือขึ้น (มีคนยกมือ) ถ้าเรามองเห็นมันเป็นธรรมดาศิษย์จะทุกข์ไหม ฉะนั้นโดนด่าก็พูดว่า “มันเป็นธรรมดา”  วันนี้โดนรถชนตายก็ “มันเป็นธรรมดา อาจารย์ศิษย์ตายแล้ว” ดีนะศิษย์  เพราะจิตที่ห่วงกังวลจะทำให้เราไม่สามารถไปผุดไปเกิดได้ แต่จิตที่สามารถปล่อยแล้วปลงได้จะทำให้เราสามารถไปผุดไปเกิดได้  ฉะนั้นไม่อยากตายได้หรือ
๓. กฎข้อนี้ของอาจารย์คือ “มองสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกล้วนเท่ากัน”
อะไรก็ตามที่เกิดในโลกนี้ไม่ว่าจะเป็นดีหรือร้าย โชคดีหรือโชคร้าย เกิดหรือตาย อย่าไปแบ่งแยก อย่าไปกำหนดค่าว่า อันนี้ดีกว่า อันนี้ต่ำกว่า ไม่อย่างนั้นคนที่แบ่งแยกยกระดับต่างกันนี่แหละจะทำให้ทุกข์ ฉะนั้นมองทุกสิ่งทุกอย่างให้เท่าๆ กัน ดีไหม (ดี)  ทำได้ไหม (ได้)
อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า ศิษย์กลัวตายใช่ไหม ศิษย์ไม่อยากเจ็บใช่ไหม อาจารย์เล่านิทานให้ฟัง เรื่องมีอยู่ว่า มีคนๆ หนึ่งเขาอยากตายแล้วก็อยากเจ็บ  เขาทำงานอยู่ที่หนึ่ง ในที่ทำงานมีคนห้าคน ในห้าคนนี้เขาคือหนึ่งในห้านั้น หนึ่งเดือนผ่านไปมีคนหนึ่งป่วยหยุดพักไป พอหยุดพักไป งานของคนๆ นี้อีกสี่คนก็ต้องรับผิดชอบ ใช่หรือไม่ ต่อมามีอีกหนึ่งคนป่วยอีก คนแรกป่วยยังไม่กลับมาเลยอีกคนป่วยอีกแล้ว ตอนนี้เหลือสามคนแล้ว งานของคนห้าคนกลายเป็นเหลือสามคนทำ คราวนี้เอาอีกแล้ว คนที่สามบอกว่าญาติเขาป่วยต้องไปดูแล จากงานที่ห้าคนทำตอนนี้เหลือสองคนทำ คนนี้บอก “ฉันแข็งแรงจริงๆ ทำไมเขาป่วยกันนัก ทำไมฉันไม่ป่วยเลย ทำไมญาติของฉันไม่มีใครป่วยบ้าง” พอเหลือสองคน อีกคนหนึ่งบอกว่าญาติตายต้องไปงานศพ คนที่เหลือแย่ไหม งานของคนทั้งห้าตกอยู่ที่คนเดียว ตอนนี้ถ้าคนๆ นั้นเป็นศิษย์ ศิษย์อาจจะบอกว่า “อาจารย์ ศิษย์อยากมีญาติตาย อาจารย์ศิษย์อยากป่วยกับเขาบ้าง” ใช่ไหม ถ้าศิษย์ไม่ป่วยเลย ไม่ตายเลย คนอื่นเขาตายไปกันหมดแล้ว “ศิษย์อยากเจ็บเหลือเกินอาจารย์  ทำไมไม่เจ็บ ทำไมถึงแข็งแรงปานนี้ ฟันก็กินอะไรไม่ไหวแล้ว ฟังอะไรก็ไม่ได้ยินแล้ว” แบบนี้ศิษย์ยังอยากอยู่ไหม อยากตายไหม (อยาก)  ก็เมื่อสักครู่บอกไม่อยากตายไม่ใช่หรือ ยังอยากเจ็บไหม ศิษย์ไม่อยากเจ็บ แต่อาจารย์บอกว่าการเจ็บนั่นแหละดี เพราะการเจ็บเป็นข้อเตือน ทำให้เรารู้ว่าเรากำลังดำเนินชีวิตผิด รีบแก้เสียมิเช่นนั้นเราจะตายก่อนที่จะได้เจ็บ จริงไหม
ศิษย์เคยเห็นไหมว่าบางคนยังไม่ทันจะได้เจ็บก็ตายเลย อย่างนั้นศิษย์ควรเจ็บแล้วค่อยตายไม่ดีกว่าหรือ หรือว่าศิษย์อยากเป็นคนที่อาจารย์ยกตัวอย่าง เขาไปกันหมดแล้วศิษย์ก็แก่ เมื่อไรจะถึงคิวหนู ใช่ไหม (ใช่)  แล้วศิษย์ก็บอก “อาจารย์ บำเพ็ญธรรมะต้องมีแต่สุขสิ อย่าทุกข์ ศิษย์ไม่อยากทุกข์ ศิษย์ไม่อยากลำบาก”  เป็นไปได้ไหมศิษย์ เป็นผู้บำเพ็ญธรรม เป็นศิษย์อาจารย์จี้กงอย่ากลัวทุกข์ ถ้าทุกข์แล้วศิษย์เอาชนะได้ ในโลกนี้ก็ไม่มีอะไรน่ากลัว แต่ถ้าความทุกข์ศิษย์ยังกลัว ในโลกนี้อะไรๆ ก็น่ากลัว  ฉะนั้นเราควรเป็นคนบำเพ็ญธรรมแล้วเห็นทุกข์แล้วเอาชนะทุกข์ให้ได้ อย่ากลัวความทุกข์ แต่ถ้าศิษย์สามารถถือกฎของอาจารย์สามข้อได้ ศิษย์จะไม่กลัวทุกข์ เพราะอะไรที่เกิดมันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ว่าตายหรือเกิดก็เป็นเรื่องธรรมดา มองให้มันเท่าๆ กัน หรือมองให้ออก  ฉะนั้นถ้ากลับไปบำเพ็ญธรรมแล้วหมดตัวได้ไหม (ได้) จำไว้นะสักวันหนึ่งศิษย์ก็ต้องหมดตัว อย่าพูดว่าหมดตัวไม่เป็น อาจารย์ถามว่าแก่ปูนนี้แล้วถึงมีเงินในธนาคารเป็นร้อย เป็นล้าน แต่ถึงเวลาศิษย์เอาไปได้สักบาทไหม ศิษย์มีแรงไปกดเอทีเอ็มไหม แค่เดินจากนี่ไปนั่นก็เหนื่อยแล้ว ฉะนั้นการรู้จักหมดตัวบ้าง การรู้จักปล่อยวางบ้าง การรู้จักเข้าถึงสภาวะว่างเปล่าบ้าง ก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ แต่การหลงที่อยากจะมี เป็นเรื่องทุกข์ไม่ใช่หรือ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พูด การบำเพ็ญธรรมในโลกนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง (ยาก)  ยากไหม (ไม่ยาก)  อาจารย์ถามศิษย์ว่าอยู่ในโลกนี้ฆ่าอะไรแล้วเป็นสุข ฆ่าอะไรทิ้งแล้วไม่โศกเศร้า แม้พระพุทธะก็ยกย่องว่าฆ่าอันนี้แล้วเป็นธรรมอันเอกอุดม (ฆ่ากิเลส)  ฆ่ากิเลส อะไรอีก (ฆ่าโลภ โกรธ หลง) ให้ฆ่าอันเดียวจะฆ่าอะไร จะเอาองุ่นหรือส้ม (เอาทั้งสองอย่าง)  เอาสองอย่างไม่ได้  ชีวิตนี้ไม่เคยมีอะไรได้สมหวัง มีอันหนึ่งได้ต้องมีอันหนึ่งเสีย อาจารย์ไม่ให้ศิษย์อยู่กับความหลอกลวงนะ ต้องอยู่กับความจริง (ฆ่าโทสะ) ตอบได้ดีนะ แล้วฆ่าได้แล้วหรือยัง (ยัง) แล้วเมื่อไรจะฆ่าได้
ฆ่าอะไรแล้วมีความสุข ฆ่าอะไรแล้วไม่โศกเศร้า (ฆ่าความยึดมั่นถือมั่น)  ตอบได้ดี ฆ่าความยึดมั่นถือมั่นในตน ถือมันทุกเรื่อง ใครว่าผมเราเราก็โกรธ  ใครว่าหน้าเราเราก็โกรธ  ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีอะไรอีก หัวหน้าตอบหน่อยสิ (ฆ่าความโลภ ฆ่าตัณหา)  อยากเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้น ฉะนั้นถ้าเรารู้จักอยากน้อยๆ ก็ทุกข์น้อย
(ฆ่าความรัก)  แน่ใจนะว่าจะฆ่ามันทิ้ง แน่ใจนะว่าจะฆ่ามันลง (บางอย่างมันก็ทุกข์ใจ)  ที่ศิษย์ทุกข์ ศิษย์ไม่ได้ทุกข์เพราะความรักอย่างเดียว ทุกข์เพราะว่ารักแล้วพยายามที่จะยึดให้เป็นไปอย่างที่เราคิดแต่ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ฉะนั้นศิษย์ไม่ควรฆ่าความรัก ยังรักอย่างไรก็รักไปอย่างนั้น แต่ต้องเป็นรักที่ถูกต้อง รักอย่างมีสติไม่ใช่รักอย่างคนหน้ามืดตามัว เรารักลูกใช่หรือไม่ แต่อย่ารักลูกในแบบของเรา แต่จงรักลูกในแบบของเขา แต่คนส่วนใหญ่รักลูกชอบบังคับให้ลูกเป็นในแบบที่เราต้องการ แล้วพอเขาไม่ได้เป็นในแบบที่เราต้องการ เราทุกข์ไหม (ทุกข์)  ฉะนั้นรักในแบบที่เขาเป็นเหมือนเรารักทุกคนในโลกไหม แล้วอยากให้เขาเป็นในแบบที่เราคิดใช่หรือไม่ เราเลยทุกข์เพราะความคิดที่เรายึด ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฆ่าอะไรอีก (ฆ่าความโกรธ)  ฆ่าความโกรธโดยใช้ธรรมะที่เรียกว่าขันติ เมตตาและให้อภัย  (ฆ่าความทุกข์)  ฆ่าได้ไหมศิษย์เอ๋ย ความทุกข์มีแต่ใช้การดับทุกข์ ศิษย์ฆ่ามันไม่หมดหรอกเพราะมนุษย์ตั้งแต่เกิดก็ทุกข์จนตาย แต่เมื่อเราเจอทุกข์เราไม่ต้องฆ่ามัน แค่อยู่กับทุกข์ให้เป็นและเป็นสุขให้ได้  ไม่ต้องฆ่าแต่รู้จักใช้ให้เป็น และความทุกข์จะทำให้เราพ้นทุกข์และนอกจากพ้นทุกข์ แล้วยังทำให้เราเห็นธรรมด้วย
(ฆ่ากิเลสของตัวเอง)  กิเลสอะไรที่น่ากลัวที่สุด (กิเลสที่อยากได้  อยากมี)  สิ่งที่ศิษย์ควรฆ่ามากที่สุดคือความไม่รู้จักพอ ใช่ไหม อาจารย์บอกให้ว่าคนที่อยากในโลกนี้เหมือนกับอะไรรู้ไหม อาจารย์จี้กงมองคนที่เอาแต่อยากในโลกเหมือนคนเป็นโรคเรื้อน ยิ่งเกาก็ยิ่งคัน เกาแล้วคันแล้ว มันไหม แล้วคันตรงนี้เสร็จแล้วยังมีเชื้ออยู่จะหยุดเกาไหม ก็ไม่หยุดเกาต่อๆ เลยเป็นโรคเรื้อนทั้งตัว
สังเกตไหมอาจารย์จี้กงไม่อาบน้ำแล้วชอบเกายิกๆ เพราะอาจารย์ต้องการบอกให้ศิษย์รู้ว่า ความอยากเหมือนคนเป็นโรค แล้วศิษย์เคยเห็นไหมว่าเกามากๆ แล้วจะเป็นแผล เป็นแผลแล้วก็ยังไปสะกิดแผลอีก เหมือนโรคจิตไหม เจ็บแล้วไม่จำ เจ็บแล้วก็ยังอยากทำอีก แล้วความอยากทำให้เหนื่อยไหม ทุกข์ไหม  (ทุกข์)  แผลเคยหายไหม (ไม่หาย)  อาจารย์จึงบอกว่าความอยากในโลกนี้เหมือนคนเป็นโรคเรื้อน แล้วศิษย์ยังอยากอยู่ไหม
ความโกรธเปรียบได้กับอะไร อาจารย์ถามศิษย์ว่าระหว่างกอดกองไฟกับกอดคน กอดอะไรร้อนกว่ากัน (กอดคน, กอดไฟ)  ศิษย์เลือกกอดอะไร เพราะอะไร (กอดไฟดีกว่า เพราะรู้ว่าไฟก็คือความร้อน แต่กอดคนไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร)  ตอนนี้แต่งงานหรือยัง (แต่งแล้ว)  แล้วกอดกองไฟหรือกอดคน (ไม่กอดอะไรเลย)  เพราะเพิ่งมารู้ทีหลังใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นตอนนี้ถ้ามีคนแล้วก็ต้องทำใจ อย่าไปยึด อย่าไปกอด ไม่เช่นนั้นจะไหม้ยิ่งกว่าไฟ ใช่ไหม (ใช่)
คนอื่นล่ะ  (กอดกองไฟ เพราะสถานะไฟคือร้อน แต่คนเราไม่รู้) อาจารย์บอกว่าเขาตอบได้ถูก แต่มากกว่านั้นคือกอดไฟอย่างมากตายไปก็ไม่ตกในทุกขติภูมิ แต่กอดคนถ้าไม่ระวังเราอาจต้องเวียนเกิดไม่จบสิ้น เพราะแทนที่เราจะผูกกันแบบมีบุญ แต่อาจจะเป็นผูกกรรมผูกเวร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ระหว่างกอดเงินกับกอดไฟอะไรดีกว่ากัน อาจารย์ให้ตอบ (กอดไฟ) กอดไฟดีกว่ากอดเงินจริงหรือ ตอบได้ดีไหม ถูกใจแต่ไม่ค่อยถูกความจริง ใช่หรือเปล่า
(กอดเงิน)  เขาตอบในด้านที่เป็นมนุษย์ ไม่ผิดนะ อาจารย์ไม่ว่าเพราะเขาตอบได้ถูก เพราะคนโดยส่วนใหญ่ ถามว่าให้กอดกองไฟศิษย์กอดไหม ไม่กอด กอดเงินดีกว่า ใช่หรือไม่
เหมือนถามให้กอดกองไฟกับกอดคน กอดอะไรดี ไฟไม่กอด กอดคนดีกว่า แต่ที่อาจารย์อยากจะบอกตรงนี้ก็เพื่อว่าให้มนุษย์รู้จัก ถ้าอยากจะกอดเงินต้องระวังให้ดี เพราะถ้าระวังไม่ดี เงินจะใช้เราให้ต้องเหนื่อยตาย เงินจะทำให้เราไม่รู้จักพอ ใช่หรือไม่ ตอนแรกเราเป็นเจ้าของเงิน เราเป็นนายเงิน แต่ทำไมพออยู่ไปอยู่มาเงินกลับใช้เรา จริงไหม เหมือนทุกวันนี้ เงินเรียกให้ศิษย์ไปหางานให้ไปทำงานใช่ไหม เงินไม่เรียก แต่ศิษย์เดินไปเอามาใช่ไหม แล้วศิษย์ก็ซื่อจริงๆ บอกให้หยุดไม่หยุดต้องไปเอามา เหนื่อยไหม เหนื่อยแต่เอามา ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นเงินถ้าไม่รู้จักใช้ เงินจะทำให้เราทำผิดและทำบาปได้ ฉะนั้นไม่ควรระวังเงินแต่ควรระวังใจ
อย่างนั้นอาจารย์ถามต่อ ระหว่างกอดไฟกับกอดตัวเอง อะไรช้ำใจกว่ากัน (ตัวเอง)  ใช่ไหม กอดตัวเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วช้ำไหม (ช้ำ)  (กอดตัวเอง เพราะตัวเองยังต้องการเงิน)  ศิษย์รู้ไหมถ้าเรามีปัญญาจะทำให้เรามีเงิน แต่ถ้าศิษย์ไม่มีปัญญาหาเท่าไหร่เงินก็ไม่มี  ปัญญาจะมาพร้อมกับความขยันและหมั่นเพียร ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีปัญญาแต่ขี้เกียจก็ไม่ดีใช่หรือเปล่า ขยันแต่ไร้ปัญญาก็ไม่ได้
ศิษย์คนอื่นตอบว่าอะไร (กอดตัวเอง) กอดตัวเองดีกว่าใช่หรือเปล่า ฉะนั้นถ้าคิดจะกอดตัวเองก็ต้องระวัง เพราะตัวเองนี้ เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง เดี๋ยวน้อยใจ เดี๋ยวขี้บ่น จะกอดตัวเองก็ต้องรู้ทันตัวเอง ไม่เช่นนั้นความคิดความรู้สึกจะทำให้เราเจ็บปวดที่สุด อาจารย์แค่บอกว่าถ้าคิดจะกอดตัวเอง ถ้าคิดจะมีตัวเองต้องรู้จักระมัดระวัง เพราะมิเช่นนั้นความเป็นตัวเองนี่แหละที่จะฆ่าเรา
(กอดตัวเอง เพราะจะพัฒนาตัวเองให้ดีกว่านี้)  กอดตัวเองเพราะคิดว่าจะทำให้ตัวเองดีขึ้น พ้นทุกข์ขึ้น  อาจารย์อยากจะบอกว่าทำวันนี้ให้ดี ที่ผ่านมาก็มีค่าอย่าไปรังเกียจ เพราะทุกอย่างที่ผ่านมา ที่สอนเรา มันทำให้เราเติบโตมากยิ่งขึ้น  (กอดตัวเองไปทำไม อายุปูนนี้มีแต่ความลำบาก)  ยิ่งยึดมั่นตัวเองมากก็มีแต่เหี่ยว ก็มีแต่เจ็บ ฉะนั้นตัวเองอย่ากอดมากถึงเวลาปล่อยๆ ปลงๆ มันไป
อาจารย์เปลี่ยนคำถาม ถามว่ามีอะไรในตัวเองแล้วทำให้เราทุกข์ใจ (มีความรู้, ความโลภ)  ความโลภที่บางทีไม่พอเสียที  ฉะนั้นจำไว้พอใจในสิ่งเล็กๆ แม้จะธรรมดาก็ตามเพราะเวลาเราผิดพลาดเราล้มเหลวเราก็จะไม่ทุกข์เพราะยังมี สิ่งที่พอใจเล็กๆ เป็นกำลังใจ (สมอง)  อาจารย์ว่าน่าจะเป็นความคิดที่หยุดไม่ได้  ฉะนั้นวิธีทำก็คือเท่าทันความคิด เวลาคิดมา ศิษย์หยุดคิดได้ไหม ไม่ต้องพยายามไปหยุด ไม่ต้องพยายามไปกดเพราะความคิดเหมือนแมวยิ่งกดมันก็ยิ่งอยากออก  ฉะนั้นแค่มองเห็น มองเห็นแล้วบอกว่า “ฉันรู้แกนะ ฉันไม่ไปกับแกหรอก” แล้วเราก็จะหยุดความคิดได้  หรือไม่ก็คือ พอเราคิดก็หาจิตจดจ่อไปเรื่องอื่น แล้วจะทำให้ความคิดตกลงไปได้ สิ่งที่น่ากลัวมากที่สุดในความคิดคือคิดต่ำคิดร้ายมากกว่าคิดดีนั่นแหละที่น่ากลัว
(ความรัก)  อาจารย์อยากบอกศิษย์ว่า เมื่อคิดจะรักต้องรู้จักตัวเอง และรู้จักเขา เขามีนิสัยอะไร เรามีนิสัยอะไร ถ้ารู้ว่าเขาเป็นคนร้อน รู้ว่าเขาเป็นคนดื้อ เราก็ต้องใจเย็นใช่หรือไม่ แล้วเราจะสามารถอยู่กับเขาได้อย่างเป็นสุข เมื่อรู้ว่าเขาชอบอะไร เราก็ทำตามที่เขาชอบ (เราชอบใจร้อน)  แล้วเราก็ต้องระวังตัวเราด้วย ถ้าเขาร้อนมาเราร้อนกลับ บ้านก็ไม่สงบสุขใช่หรือไม่ ฉะนั้นอาจารย์ขอให้ศิษย์รู้จักรักให้เป็น เพราะความรักเป็นสิ่งที่ดีนะ แต่ถ้ารักไม่เป็นเรานั่นเองจะต้องทุกข์เพราะรัก
(ความคาดหวัง)  ความคาดหวังว่าอยู่ในโลกนี้จะดี แต่บางทีไม่ได้ตามที่หวัง ก็ต้องทำใจเพราะว่าเป็นธรรมดานะศิษย์ ยิ่งคาดหวังก็คือยกให้มันสูง แต่สิ่งที่เรามีต่ำหรือก็ไม่ใช่  สิ่งที่เราเป็นดูต่ำไร้ค่าก็ไม่ใช่ และสิ่งที่เรายกให้เป็นความหวังของเรานั้นสูงส่งเกินก็ไม่ใช่  จำที่อาจารย์บอกได้ไหม อย่ามัวแต่ฝัน ชั้นสอง ชั้นสามแต่เกลียดชั้นหนึ่ง อย่ามัวแต่รักการเป็นโน่นเป็นนี่แต่ลืมรักตัวเอง
(ยึดติด)  ยึดติดตัวเองจนเกินไป บางครั้งต้องรู้จักรับฟังคนอื่นบ้าง อย่ายึดแต่ความคิดของตัวเองถูกอย่างเดียว เข้าใจไหม
(ความคิด)  คิดที่หยุดคิดไม่ได้ คิดที่ชอบคิดแล้วคิดอีก เอาแต่คิดไม่มีประโยชน์ สู้ทำงานดีกว่า สู้ขยันดีกว่า เพราะคนขี้เกียจคือคนที่เอาแต่คิด ใช่หรือไม่ และคนที่เอาแต่คิดขี้เกียจมักไม่ได้ดี ฉะนั้นถ้าจะคิดเปลี่ยนเป็นไปทำงานเลย แล้วเราจะได้ไม่ต้องมัววุ่นวาย ใช่หรือเปล่า
(ความอยากได้ไม่รู้จักพอ)  ศิษย์อยากเป็นโรคเรื้อนที่ใจไหม ฉะนั้นคราวหน้าเวลาไปแสวงหา ให้คิดว่าได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่อย่างนั้นความอยากนั้นจะทำให้เราอยากไม่รู้จักหยุด ใช่หรือเปล่า
(ความอิจฉา)  แล้วทำอย่างไรดี อาจารย์บอกศิษย์ทุกคนเลย ถ้าเวลาเห็นใครได้ดี และเราอนุโมทนาสาธุ จากเรื่องร้ายจะกลายเป็นดี จากบาปจะกลายเป็นบุญ  ฉะนั้นถ้าใครได้ดีแล้วเราอิจฉา เราแอบแช่งชักเรากำลังเกี่ยวกรรม  ถ้าอยากเกี่ยวกรรมก็แช่งไปเลย แต่ถ้าไม่อยากเกี่ยวกรรม อยากเปลี่ยนร้ายเป็นดีเราก็อนุโมทนาสาธุ แล้ววางใจเป็นกลาง ยินดีที่เขาได้ดี ง่ายไหม ไม่ยากเลยใช่หรือเปล่า
(ความอยากและความหลง)  หลงตัวเองน่ากลัวนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากเพื่อตัวเองเป็นสิ่งน่ากลัว ใช่หรือไม่ ถ้าอยากและหลงเพื่อตัวเองแต่ไม่เคยสนใจคนรอบข้าง เราก็คือคนที่ไม่น่ารัก ใช่หรือไม่
(ความกังวลและห่วงใย)  กังวลอะไร (กังวลเรื่องลูก)  อาจารย์อยากจะบอกว่ากฎของอาจารย์สามข้อ ถ้าศิษย์เข้าใจนะ ข้อที่สอง ศิษย์จะไม่กังวลเพราะเป็นธรรมดา ลูกทุกคนมีดีมีร้าย ไม่ใช่ลูกเราเลวคนเดียวในบ้านสักหน่อย ลูกบ้านอื่นก็มีเหมือนกัน แล้วสามีเราจะดีคนเดียวก็ ไม่ได้ บ้านอื่นก็มีสามีดีได้ แล้วสามีเราร้ายคนเดียวก็ไม่ใช่ บ้านอื่นก็ร้ายเหมือนกัน ฉะนั้นจะกังวลอะไรในเมื่อทุกสิ่งเป็นธรรมดา
(ความโกรธ)  ความโกรธน่ากลัวนะ ถึงเราจะมีเงินเท่าไร แต่ถ้าเอาแต่ใจ โกรธเป็นว่าเล่น เงินก็ซื้อใจใครให้อยู่กับเราตลอดไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  (ความอยาก เพราะอยากได้สิ่งใดก็เป็นทุกข์, อยากสวยก็เป็นทุกข์)  ศิษย์ว่าคนตอบสวยไหม (สวย)  เขาตอบว่าอยากสวยก็เป็นทุกข์ แต่อาจารย์บอกว่าศิษย์เอยศิษย์สวยแล้ว ไม่ต้องสวยให้มากกว่านี้หรอก  ความสวยนี้ก็ไม่เที่ยง สรรพสิ่งล้วนต้องเปลี่ยนแปลง การยอมรับความจริงจะทำให้เราสวยได้ทุกเวลา แต่การไม่ยอมรับความจริงแล้วดันทุรังฝืนความจริง อาจมองสวย แต่ถึงที่สุดก็ดูน่าเกลียด ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ความไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ)  อาจารย์รักษาได้แค่ชั่วขณะ แต่ถึงเวลาโรคภัยไข้เจ็บเป็นเรื่องธรรมดา เป็นสัจจะและความเป็นจริง โรคภัยไข้เจ็บมาเพื่อให้เราปลงสังขาร ไม่ใช่ให้ยึดมั่นถือมั่น เรามาแค่ยืมใช้ ถึงเวลามันผุพังก็เป็นเรื่องปกติ ถ้าเรายึดติดก็คือการสร้างตัวตนให้เวียนว่ายไม่จบสิ้น เข้าใจที่อาจารย์พูดนะ
(อยากให้อาจารย์รักษาโรค)  อาจารย์บอกแล้วว่ามีใครในโลกบ้างที่ไม่ป่วย กินผลไม้ทิพย์ของอาจารย์อาจจะไม่ป่วยชั่วขณะหนึ่ง แต่ถ้าศิษย์กลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมความป่วยก็จะกลับมาอีก ฉะนั้นต้องรู้จักดูแลตัวเอง
(ความโลภ)  อย่างนั้นต่อไปต้องรู้จักพอ ยิ่งอายุปูนนี้แล้วปล่อยวางได้ต้องปล่อยนะ มีแต่รู้จักให้ใช่หรือเปล่า
หากศิษย์ยึดถือกฎข้อสอง “ทุกสิ่งล้วนเป็นธรรมดา” ไว้ตลอด เราจะกลายเป็นคนที่ไม่วิตกกังวล มองทุกสิ่งในโลกให้เท่าเทียมกัน  เราจะไม่หวั่นไหวเมื่อสิ่งใดมากระทบ  หากศิษย์ยึดถือกฎข้อหนึ่ง “ยืมเขาใช้” เราจะไม่ยึดมั่นถือมั่นเราจะปล่อยวางได้ ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจกฎสามข้อที่อาจารย์ให้ ศิษย์ก็จะไม่มีอะไรให้ทุกร้อน หวั่นไหว และปล่อยวางซึ่ง “ตัวตน” เพราะต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวลล้วนเกิดจาก “ตัวตน” นี้
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท  C:\Users\NEWBOYZ\Desktop\หงหยัง\กำลังใจ.JPG )
อาจารย์ให้เหมือนเป็นช่อดอกไม้ ตรงนั้นเป็นกำลังใจ คำนั้นเป็นคำว่าใจ แต่ในคำว่ากำลังใจให้ศิษย์วาดดอกไม้ทับอีกที เหมือนมอบช่อดอกไม้ให้ศิษย์ ให้ศิษย์มีกำลังใจ กำลังใจในการอยู่ กำลังใจในการสร้างห้องพระ กำลังใจในการบำเพ็ญธรรม
ศึกษาธรรมะแล้วจิตที่รู้จักยอมคือจิตที่ให้ธรรม จิตที่ไม่ยอม จิตที่เอาแต่อารมณ์และมีตัวตน นั่นคือไม่ให้ธรรมใคร ฉะนั้นฟังธรรมะแล้วอย่าฟังแล้วสูญเปล่า ฉะนั้นอาจารย์กลับไปแล้วศิษย์แถวสองที่เล่นเกมแพ้เต้นเป็ด การทำให้คนอื่นมีความสุขและลดการยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้ก็เป็นสิ่งที่ดี
แถวที่สองยอมไหม (ยอม)  ปรบมือให้คนยอม ศิษย์เอยอยู่ในโลกนี้ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นคนชนะเสมอ บางครั้งโลกนี้ขาดคนยอมแพ้  ขาดคนที่ยอมกล้าเป็นคนแพ้ แพ้แล้วมีความสุข แพ้แล้วกล้ามอบสุขให้คนอื่นนั้น หาไม่ได้ในโลกนี้ เพราะคนในโลกนี้มีแต่อยากชนะ ไม่ยอม  แต่อาจารย์ให้ศิษย์เล่นเพื่อให้ศิษย์รู้จักแพ้เป็น สละตัวเองได้  เมื่อมีคนกล้ายอมแพ้ เราจะยอมด้วยไหม เมื่อใครแพ้เราไม่เหยียบย่ำซ้ำเติม  คนชนะยังอวยชัยให้คนแพ้ อย่างนี้เรียกว่าชนะอย่างประเสริฐ  ฉะนั้นเจอใครทุกข์ เจอใครท้อ เจอใครแพ้ ศิษย์จงรู้จักให้กำลังใจ เพราะกำลังใจคือธรรมที่ดี คือโอสถที่ยิ่งใหญ่
อาจารย์อยากให้ศิษย์อยู่ในโลกให้เป็น เมื่อเราอยู่ให้เป็น เราจะไม่สร้างทุกข์ให้กับใคร และไม่ทำให้ตัวเองทุกข์โดยไม่รู้ตัว อยากฟังธรรมะขั้นสูงขึ้นไปอีกหน่อยไหม (อยาก)  ที่อาจารย์พูดมาเป็นธรรมะขั้นพื้นๆ แต่ถ้าสูงขึ้นไปอีกนิดหนึ่ง ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ผู้ที่เข้าถึงความรู้แจ้ง จะรู้ว่าอายตนะทั้ง ๖ ไม่มีจริง  ขันธ์ทั้ง ๕ ล้วนเป็นภาพลวง ผู้ใดที่สามารถเข้าถึงอายตนะ ๖ และขันธ์ ๕ ได้  คนนั้นจะมองเห็นสภาวธรรมในตัวตนได้  แต่ถ้าพูดอย่างนี้ศิษย์ก็ไม่เข้าใจ  อย่างนั้นถ้าอาจารย์บอกว่าตัวคนนี้ประกอบด้วย (ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ) เรียกว่าอายตนะภายนอก  และเมื่อตามองเห็น การเห็น การได้ยิน การรับรส การรู้สึก นั้นเป็นอายตนะภายใน  มนุษย์ทำทุกสิ่งก็เพื่อบำรุงบำเรอตัวเองตัวนี้  แต่อาจารย์ก็บอกแล้วว่าตัวตนนี้เรายืมเขาใช้  แต่ถ้าพูดภาษายากก็จะบอกว่าตัวตนนี้ประกอบด้วย อายตนะภายนอกและอายตนะภายใน และประกอบไปด้วยขันธ์ทั้ง ๕ ประกอบด้วย (รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ) จึงประกอบกันเรียกว่าตัวตน แต่อาจารย์บอกว่าอายตนะภายนอกและภายในไม่ใช่ของจริง  ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นเพียงภาพลวง ผู้ใดเข้าถึงความจริงของตัวตนอันนี้ ผู้นั้นจะเข้าถึงธรรม
อย่างนั้นอาจารย์พูดให้ง่ายกว่านี้อีก  โลกใบนี้เป็นโลกแห่งความไม่เที่ยง หรือเรียกว่าทุกสรรพสิ่งล้วนหนีไม่พ้นกฎของไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา  ตัวเรานี้หนีพ้นไหม (ไม่พ้น)  ตัวเรานี้มีความทุกข์ไหม (มี)  มีความไม่เที่ยงไหม (มี)  และมีว่างเปล่าไหม แต่มองไม่เห็น ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถึงที่สุดแล้วตัวตนนี้ก็กลับคืนสู่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอาจารย์พูดบอกว่าอายตนะนอก อายตนะใน คือของไม่จริง ผิดไหม (ไม่ผิด)   ขันธ์ทั้ง ๕ คือภาพลวงผิดไหม (ไม่ผิด)  ตัวตนนี้หาใช่ตัวตนที่แท้จริงไม่
ฉะนั้นเมื่อตัวตนไม่มี มีแต่คนเขลาเท่านั้นที่คิดว่า นี่คือของของฉัน นี่คือลูกฉัน นี่คือตัวฉัน ใช่ไหม (ใช่)  แล้วตอนนี้เราฉลาดหรือเราเขลา (เขลา)  ใช่หรือเปล่า ในเมื่อตัวตนเองนี้ไม่มีแล้ว จะมีเรียกว่า เงินฉัน ลูกฉัน สามีฉันไหมล่ะ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะถึงที่สุดอันนี้คือความ (ว่าง)  แต่ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนทำให้สิ่งว่างมันกลายเป็นสิ่งมี และทำให้สิ่งมีมันกลายเป็นสิ่งที่ต้องเวียนว่ายไม่จบสิ้น เพราะเรายึดมั่นถือมั่นในตัวตนและสร้างตัวตนขึ้นมาแม้ว่าตายแล้วก็ยังมีตัวตนให้ยึดใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอาจารย์ถึงบอกว่า ความตายไม่น่ากลัว ความเจ็บไม่น่ากลัว เพราะความตายกับความเจ็บทำให้เราปลงสังขารใช่หรือไม่ (ใช่)  และทำให้เราเห็นว่า เดี๋ยวถึงเวลาเราก็ต้องตาย แต่ถ้าเรายึดเราจะเป็นคนที่ตายแล้วตายอีก ตายแล้วตายอีกไม่จบสิ้นจริงไหม (จริง)
ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า มารเกิดขึ้นมาได้อย่างไร กิเลสเกิดขึ้นมาได้อย่างไร  กิเลสมีเพราะตาไปเห็น หูไปได้ยิน ลิ้นไปรับรส ใจหวั่นไหว ฉะนั้นถ้าเรายังมองแล้วอยาก  ได้ยินแล้วอยาก  เราก็คือคนที่สร้างกิเลสไม่จบสิ้น แต่ถ้าเมื่อไรมองแล้วไม่หวั่นไหว มองแล้ว  “อ๋อ  มันเสมอกัน มันเป็นธรรมดา”  แล้วเราไม่อยาก เราก็คือจบ แล้วศิษย์รู้ไหมว่าพออยากมากๆ ก็กลายเป็นโลภ พอโลภมากๆ ก็กลายเป็นเห็นแก่ตัว พอเห็นแก่ตัวมากๆ ก็รู้ตัวว่าไม่ดีจึงคิดว่าต้องไปทำทาน มนุษย์ที่พยายามทำดีเพราะว่าไปทำไม่ดีมา ใช่ไหม แต่ถ้าทุกขณะเราไม่โลภจนเกินไป ไม่อยากจนเกินไป เราจะต้องทำทานไหม อาจารย์บอกว่าทุกขณะชีวิตศิษย์เอาธรรมะเป็นทานตลอดเวลาแล้วใช่หรือไม่ แต่คนปัจจุบันนี้ไปแก่งแย่ง ไปอยากโน่น ไปอยากนี่ ไปทำคนนั้น ไปทำคนนี้ แล้วค่อยไปทำบุญเพราะรู้สึกไม่ค่อยได้ทำบุญเลย ใช่ไหม เพราะรู้สึกว่าเราขาดธรรมะเหลือเกิน แต่ถ้าทุกวันศิษย์ให้ธรรมะเจอใครเราก็ให้ธรรมะเป็นทาน เจอใครเราก็เมตตาเป็นทาน เจอใครเราก็ไม่โลภเป็นทาน เรายังต้องเอาธรรมะมาข่มตอนท้ายไหม (ไม่ต้อง)  ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราโกรธก็เพราะเรามองเห็น เราเกลียดก็เพราะเราได้ยินแล้วรู้สึก ที่รู้สึกแล้วเราแบ่งแยกว่า อันนี้เราชอบ อันนี้ไม่ชอบ ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ อยากจะบอกว่า “ทาน ศีล ปัญญา” เกิดจากตอนไหน เกิดจากตอนที่ศิษย์มีความอยาก จึงต้องมี “ทาน” มาควบคุม  ถ้าศิษย์โกรธ ก็ต้องมี “ศีล” มากำกับ แต่ถ้าศิษย์เห็นแล้วไม่โกรธ มันเสมอกัน คนว่ากับคนด่าเท่าๆ กัน ใครด่ามาไม่โกรธ มันเป็นธรรมดา ศิษย์ไม่หวั่นไหว ศิษย์ไม่วิตกทุกข์ร้อน  เมื่อศิษย์ไม่โกรธ ศิษย์จะต้องเอาศีลมาควบคุมไหม ถ้าศิษย์มองเห็นว่าโลกนี้เป็นเพียงภาพมายา เป็นเพียงภาพลวง ศิษย์จะหลงไหม (ไม่หลง)  เมื่อไม่หลงเราจะต้องมีปัญญาธรรมทำไม ในเมื่อเราเห็นปัญญาตั้งแต่แรกแล้ว เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม (เข้าใจ)
อาจารย์จึงอยากให้ศิษย์ไม่ใช่อยู่แค่ศีล แต่มันไปมากกว่านั้น นั่นก็คือ การรู้เท่าทันตัวเอง  อาจารย์อยากจะบอกว่าตัวมนุษย์เราไม่เที่ยง  แต่มีตัวหนึ่งที่เรียกว่า  “สภาวะจิตเดิมแท้”
จิตเดิมแท้ พุทธะเรียกว่า “สุญญตา”
จิตเดิมแท้ของพุทธะเรียกว่า “สภาวะธรรมอันเป็นเช่นนั้นเอง”  หรือเรียกว่า “สภาวะอันเป็นปกติ”  จิตเดิมแท้ของพุทธะเรียกว่า “ปัญญาแห่งความรู้แจ้ง” ที่มีอยู่ในตัวตน ไม่ต้องสร้างใหม่ ที่ถูกบดบังด้วยความหลง ตัณหา และความไม่รู้
ถ้าเมื่อใดศิษย์ขจัดความไม่รู้ ตัณหา ความหลง และความยึดมั่นได้ ปัญญาเดิมแท้จะปรากฏ จิตเดิมแท้จะสว่างไสว อาศัยเพียงความตื่นรู้ ตื่นรู้คือรู้อะไร ไม่ใช่รู้ไปทั่ว รู้ไปเยอะแยะแล้วอวดรู้ อย่างนี้ไม่ใช่
การตื่นรู้ในจิตเดิมแท้ก็คือ รู้แต่ไม่ไหลลงไปเกี่ยวเนื่อง แค่รู้ เรามีหน้าที่แค่รู้เท่าทันสิ่งที่มากระทบแล้วไม่ไหลไปเกี่ยวเนื่องฝังอยู่ในใจ  มนุษย์ตกเป็นทาสการมาแล้วก็การไปแค่นั้นเอง แต่เวลามาแล้วไม่ไป  มาแล้วเราเก็บฝังในใจ เราจึงตกเป็นทาสการมาแล้วก็การไป ฉะนั้นการตื่นรู้คือ มาแล้ว ไปแล้ว ใจว่างแล้ว ไม่ใช่ว่า มาแล้ว เก็บแล้ว จำแล้ว ผูกใจเจ็บ อย่างนี้ไม่ใช่เรียกว่าตื่นรู้ ตื่นรู้คือ มาแล้ว เข้าใจแล้ว ปล่อยวาง ไม่เหลืออะไรค้างในใจ  เรียกว่าตื่นรู้ทันตน และสามารถเข้าถึงจิตแท้ได้
อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้าถึงภาวะนั้นตื่นรู้  ไม่ได้รู้เท่าทันใคร ไม่ต้องรู้อะไรมาก รู้เท่าทันสิ่งที่มากระทบใจแล้วไม่ไหลไปฝังเก็บไว้ ผ่านแล้วผ่านไป เพราะถ้าฝังไว้ในใจ เราก็คือคนที่ผูกกรรมเกี่ยวกรรมจองเวร
อาจารย์ถามศิษย์ ชีวิตนี้จำอะไรได้บ้าง สิ่งที่เขาไม่ดีจำไว้ในใจ ใช่หรือไม่ และจำอะไรได้อีก จำความเป็นตัวตน กินข้าวต้องรสนี้ นอนต้องนอนแบบนี้ ถ้ากินรสนี้ไม่ได้ นอนแบบนี้ไม่ได้ ไม่มีความสุขนี่แหละเรียกว่าตัวตน มันขังตัวเอง ตัวตนมันฆ่าตัวเอง  ฉะนั้นเราบำเพ็ญธรรมนะศิษย์ เราต้องตื่นรู้ในตัวตน ไม่ใช่รู้คนเยอะแยะ ไม่จำเป็น แค่รู้เท่าทันใจตัวเอง
อาจารย์อยากให้ศิษย์มีกำลังใจในการบำเพ็ญธรรมะ โดยเฉพาะอยู่ในโลกนี้ โลกนี้มีแต่คนอยากแล้วเราต้องอยากมากมายเท่าเขาไหม  อาจารย์อยากให้ศิษย์เป็นคนที่บำเพ็ญธรรมพอใจในสิ่งที่สามัญธรรมดาอยู่กับตัวเองก็สุขได้ ไม่มีใครที่เป็นแฟนเรา เราก็อยู่ได้ เพราะแฟนศิษย์หรือคนที่รักศิษย์เขาไม่เคยอยู่กับเราตลอด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นพอถึงเวลาแฟนศิษย์ก็ตัวแฟน แต่ศิษย์ล่ะจะไปเกี่ยวกับเขาถึงเท่าไร บำเพ็ญธรรมแม้คนเดียวก็สุขได้ แม้คนเดียวไม่มีอะไรก็สุขได้ เป็นศิษย์อาจารย์จี้กง แม้มีชุดๆ เดียวก็สุขได้ แม้ไม่ได้อาบน้ำสิบวันก็อยู่ได้  ทำไมพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงไม่กล้ารับปรกโปรดยุคสามแต่อาจารย์กล้ารับ เพราะอาจารย์อยากให้รู้ว่าแม้มีรองเท้าขาดๆ ตัวเหม็นๆ ไม่ได้อาบน้ำ ไม่มีบ้าน แต่ทุกที่คือบ้านของอาจารย์แต่อาจารย์ก็อยู่ได้ นั่นแหละคือธรรมะอันเป็นสัจจะ แม้ศิษย์จะเหลือตัวคนเดียวศิษย์ก็มีสุขได้ และยังสามารถนำสุขให้กับคนอื่นได้ด้วย นี่แหละบำเพ็ญแบบอาจารย์จี้กง ไม่ต้องสวย ไม่ต้องรวย ไม่ต้องเลิศเลอ ธรรมดา ลากรองเท้าแตะดังแกรกๆ อาจารย์ก็รักแล้ว แต่ขอให้ศิษย์รู้จักรักคุณค่าในตัวเอง ได้ไหม (ได้)  และรู้จักมีกำลังใจบำเพ็ญตัวเอง  จะได้พ้นจากโลกใบนี้ โลกใบนี้น่าอยู่หรือ (ไม่น่าอยู่)  ตัวตนนี้น่ารักหรือ  ฉะนั้นถ้ามีคนด่าว่าน่าเกลียดก็ดีแล้ว ทำให้เราได้ปลง มีคนด่าว่าเราไม่ได้เรื่องดีแล้ว “ก็ฉันไม่ได้เรื่อง แต่ฉันจะทำให้ได้เรื่อง”
ฉะนั้นบำเพ็ญธรรมไม่ใช่แค่ทำบุญตักบาตรแล้วพอ แต่บำเพ็ญธรรมต้องเข้าถึงแก่นแห่งหลักธรรมคือพ้นทุกข์ ทุกข์จากตัวตนที่เรายึดมั่นถือมั่น  ไม่มีอะไรก็อยู่ได้ ขอเพียงมีปัญญา ปัญญาที่เข้าใจชีวิต ปัญญาที่มองเห็นโลก ศิษย์ก็จะอยู่ในโลกนี้อย่างเป็นสุข ดีกว่ามีเงินมากมายแต่ไร้ปัญญา  มีเงินมากมายแต่ไร้สติ ไม่มีประโยชน์นะศิษย์นะ อย่างนั้นวันนี้อาจารย์ก็กลับได้แล้วนะ ตั้งใจบำเพ็ญนะ บำเพ็ญให้ถูกทาง บำเพ็ญแบบคนที่ไม่กลัวลำบาก  จับมือลาอาจารย์ดีไหม ถึงเวลาอาจารย์ก็ไปแล้ว
มีสติเตือนตัวเองหน่อย  รู้จักระมัดระวังอารมณ์ตัวเองนะศิษย์นะ ตั้งใจบำเพ็ญ มีรากบุญมา อาจารย์กลัวอย่างเดียว กลัวศิษย์มาแล้วไม่มาอีก เพียงเพราะแค่ดื้อ ใช่หรือไม่ ก็ต้องรู้ตัวเองสิ ใช่หรือไม่คนมีปัญญาของอาจารย์  อาจารย์ไปแล้วนะ มีโอกาสกลับมาอีกได้หรือเปล่า  อาจารย์ขอให้ศิษย์เป็นคนดี มีสิ่งที่ดี แต่ก็ต้องรู้จักทำด้วยนะ มีโอกาสมาฟังให้ครบ ใจเย็นๆ  มีปัญญา มีโอกาสมาทำเพื่อคนอื่น ความทุกข์ไม่น่ากลัวเท่ากับหัวใจที่คิดไม่เป็น อย่าฟังแล้วฟังเปล่านะ เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม  ศิษย์เอยมีโอกาสจะกลับมาหาอาจารย์อีกไหม  มัวแต่หลงเที่ยว มัวสนุก ไม่กลับมาหาอาจารย์อีกก็น่าเสียดายนะ
แก่แล้วแต่ไม่รู้เรื่องก็น่าเสียดาย  รักษาสุขภาพนะ รู้จักมีศีล มีธรรม อย่าเป็นคนใจร้อน  อาจารย์ดีใจที่สุด ที่เห็นศิษย์ยังกลับมา  ยังคิดจะฟังธรรมะ ดีใจที่สุด ที่ศิษย์คิดจะช่วยอาจารย์ ไม่ยอมแพ้ ไม่กลัวเหนื่อยใช่ไหม ไม่ต้องร้องไห้นะ เป็นลูกศิษย์อาจารย์ต้องเข้มแข็ง และรู้จักเอาความเข้มแข็งนี้ไปให้กับผู้อื่น อย่าอ่อนแอ อาจารย์ให้กำลังใจนะ ตั้งใจบำเพ็ญ อย่ายอมแพ้ ไม่ต้องร้องไห้นะ
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ ตั้งใจบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญธรรมเพื่อธรรม บำเพ็ญธรรมเพื่อปล่อยวางตัวตน  อาจารย์ไปแล้วนะ  มีโอกาสคงได้ผูกบุญกันอีกนะศิษย์นะ อย่าฟังแล้วฟังเปล่า อย่ามัวแต่ห่วงเที่ยว
ศิษย์เอ๋ย มีกำลังใจในการบำเพ็ญ อย่ายอมแพ้  มีกำลังใจในการสู้ชีวิต อดทน วันนี้อาจารย์เดินมาหาศิษย์ แต่ต่อไปศิษย์ต้องรู้จักเดินมาหาอาจารย์ได้แล้ว เป็นกำลังที่เข้มแข็งให้อาจารย์ เป็นพลังให้กับผู้อื่น รู้จักอดทนเสียสละ อดทนนะ บำเพ็ญธรรมไม่มีความยากลำบากหรอก ที่ยากก็เพราะตัวเราเองต่างหาก ใช่หรือไม่  ไม่ยอมอะไรง่ายๆ
ความสุขคืออะไรรู้ไหม ความสุขอยู่ที่ตัวเราไม่ใช่อยู่ที่ผู้อื่น  ถ้ารอแต่ผู้อื่นศิษย์ก็หาความสุขไม่พบหรอก ใช่หรือไม่ ตั้งใจบำเพ็ญธรรม ทำได้ดี อาจารย์ก็ดีใจ อาจารย์จะเป็นกำลังใจให้ศิษย์สู้เสมอ แต่ศิษย์ต้องมีกำลังใจให้กับตัวเอง อย่ายอมแพ้โลกใบนี้ เรามาเพื่อชดใช้และปล่อยวาง ไม่ใช่มาเพื่อยึดมั่นถือมั่น ถูกไหม  เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม อย่าให้ตัวตนทำให้ตัวเองต้องทุกข์ อยู่ง่ายๆ อย่าหาความลำบากให้กับตัวเองนะศิษย์ รู้จักพูด รู้จักทำในสิ่งที่ดี อาจารย์ก็ดีใจด้วย แต่บางครั้งก็ต้องระวังคำพูด เมื่อไรจะเป็นกำลังให้อาจารย์ได้สักที  มีโอกาสสละตัวเอง ช่วยคนอื่นบ้างได้ไหม ศิษย์เอ๋ย  บำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องยาก อยู่ที่ว่าศิษย์จะเสียสละได้หรือเปล่า จริงไหม ผู้เสียสละน้อยๆ ของอาจารย์
โลกใบนี้น่ากลัวไหม น่ากลัว แต่อะไรน่ากลัวกว่า ใจของศิษย์ที่ไม่รู้จักระวัง ใช่ไหม  ใจศิษย์น่ากลัวที่สุด ใจที่ไม่รู้จักคิด แต่ชอบคิดร้าย ใช่หรือเปล่า สิ่งดีๆ ไม่คิด สิ่งดีๆ ไม่ทำ ใช่หรือไม่ ถ้าทำดีแล้วได้ดี หรือไม่ได้ดี ก็ต้องยอมรับนะ
บำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องยาก ยากอย่างเดียวก็คือใจที่ไม่ค่อยยอมต่างหาก ใช่ไหม  ชีวิตนี้ยังอีกยาว ฉะนั้นรู้สึกระมัดระวังและสำรวมให้ดี จะได้ไม่ทำให้ตัวเองทุกข์ใช่ไหม อาจารย์ให้กำลังใจนะ ให้กำลังใจในการบำเพ็ญธรรมให้ถูกทาง  รู้จักระมัดระวังความคิดใช่หรือไม่ ถึงกำลังใจจะมีล้นเหลือแต่ถ้าคิดผิด กำลังใจก็หมดได้ทันที ใช่หรือเปล่าศิษย์ บำเพ็ญธรรมแล้วอะไรคือความสุข อะไรคือความถูกต้อง ศิษย์ต้องรู้จักทำให้ได้ ไปแล้วนะ กำลังใจอาจารย์มีให้ศิษย์ทุกคนนะ ขอเพียงศิษย์อดทน บำเพ็ญธรรมะ ทิ้งตัวตนนั้นเสียเพราะตัวตนไม่เที่ยง มีแต่ทุกข์และมีแต่เจ็บ สังขารมีเพื่อปลงนะศิษย์  ถ้าศิษย์ยังทำตามที่อาจารย์พูดไม่ได้ ศิษย์ก็คือคนที่ทำให้ตัวเองทุกข์ที่สุดใช่หรือเปล่า ไปแล้วนะศิษย์  อย่าให้อาจารย์รอเก้อ มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์บ้างนะ อย่ามัวเวียนว่ายตายเกิดกับโลกใบนี้เลย โลกใบนี้ไม่น่าอยู่  ไปอยู่กับอาจารย์ดีกว่านะ




พระโอวาทซ้อนพระโอวาท   “                    ”

ทุกคนล้วนแต่ต้องการกำลังใจ แม้แต่ในคนที่ยังทำผิด

สงสารเขาเจ้าจึงไม่เฝ้าแผลงฤทธิ์ เมตตาจิตเจ้าจึงเป็นกำลังใจ




* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

ฉบับปรับปรุงข้อมูล รุ่นที่ ๐.๑ วันที่ ๒๖ ก.ค. ๒๕๕๕

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา