วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554

2554-04-23 ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กทม.



西元二〇一一年  歲次辛卯三月廿一 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๓ เมษายน  พุทธศักราช  ๒๕๕๔ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กทม.
พระโอวาทพระนาจา


อยากมั่งมียิ่งใหญ่และเก่งกล้า สวมชฎาใส่หัวโขนโรงเล็กใหญ่
เก่งรอบรู้เรื่องผู้คนทุกสิ่งไป แต่หัวใจตนเองกลับไม่รู้เลย
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานไท่อิน  แฝงกายกราบ  
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนยิ้มออกไหม


กว่าออกดอกตกผลใช้เหงื่อแทนน้ำ บอกรู้ความก็เปรียบดั่งการออกดอก
เข้มข้นงวดแล้วให้ศีลธรรมไม่ลอก ทัศนคติล้วนบอกตัวบุคคลตลอดถึงใจ
ใจที่ไม่ยึดมั่นเมื่อทำสิ่งดี ใจบำเพ็ญไม่มีทางจะร้อนลวกไหม้
การจากพรากอึดใจย่อมหมดบารมีไป จงอยู่กันให้มีสุขใจคือวัด
อยู่ลวกลวกตัดทางตัวไปทุกวัน จึงควรทันตนเดินสะดวกอยู่ลวกตัด
ต้นต้นหน่ายอัตคัดสร้างการยิ่งด้านอำนาจ ปลายชีวิตแล้วจงรีบหัดบำเพ็ญโดยดี
รู้ไม่ทันแม้ใจตนที่เป็นอยู่ คนทันรู้ศีลที่แสนจะเป็นศรี
โลกล้ำหน้าแต่ใจคนเสื่อมทุกที่ ฝึกดูใจช้าช้ามีเรื่องต้องทำ
จิตช่วงไหนแต่งกายภายนอกบอกถึง ที่อยากเที่ยวคือใจบึ่งออกจากถ้ำ
เรือของคนหน้าย่นพายเร็วปัญญานำ สั่งปรามตนอย่างสตินำวางรูปนาม
เรื่องไม่ดีในไปสู่จากคนใน ใดมีไม่ควรพูดไปหนึ่งสองสาม
คุณงามนั้นต้องลงแรงกิเลสต้องปราม สุมอับพาใจรู้ธรรมเป็นรู้แกว
ฮิ ฮิ หยุด
พระโอวาทพระนาจา
(ศิษย์พี่พระนาจาเมตตาส่งเสริมผู้ร่วมฟัง)
นั่งฟังเบื่อหรือยัง อึดอัดไหม (ไม่อึดอัด)  บางทีเราบำเพ็ญแล้ว สิ่งที่เราไม่ควรลืม นั่นก็คือ การฝึกตัวตนของเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ชีวิตตอนนี้กำลังเดินหน้าหรือว่านับถอยหลัง (เดินหน้า) วัยรุ่นอาจจะบอกว่าเดินหน้า แต่คนที่อายุมากแล้วอาจจะบอกว่ากำลังนับถอยหลัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  จริงๆ แล้วถ้าทุกคนมองตามสังคมอาจเหมือนเดินหน้า แต่ถ้ามองตามชีวิตทุกคนกำลังเดินถอยหลัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนเรามีชีวิต เรามีอิสระ อยากทำอะไรเราก็ทำ อยากมองอะไรเราก็มอง อยากคิดอะไรเราก็คิด อยากพูดอะไรเราก็พูด อยากเดินเร็วขนาดไหนเราก็ไปได้ แต่ถ้าวันหนึ่งชีวิตไม่เป็นอย่างที่คิด มองไม่เห็น ฟังไม่ได้ยิน ขยับเขยื้อนไม่ได้ เราจะทำอย่างไร เราเคยเตรียมตรงนี้บ้างไหม เราเคยบอกใจตัวเองบ้างไหม ถ้าวันหนึ่งสิ่งที่เรารักนักหนา อยากทำอะไรก็ได้ตามต้องการ วันหนึ่งมันขยับไม่ได้ วันหนึ่งมันมองไม่เห็น วันหนึ่งมันไม่ได้ยิน แต่หัวใจยังเต้นอยู่ ความทุกข์ตรงนี้เราจะแก้ได้อย่างไร เงินช่วยได้ไหม ญาติพี่น้องช่วยเราได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วใครจะช่วยใจเราได้ แล้วใจอย่างไรล่ะ ที่จะนำพาใจเราให้พ้นทุกข์ในสิ่งที่เราต้องเผชิญ ใช่ไหม (ใช่)  ทุกวันเราคิดแต่วิ่งไปตามสิ่งที่อยากออก ตามองอย่างไรก็ออกไป หูฟังอย่างไรก็ออกไป แต่ถ้าวันหนึ่งสิ่งที่มันออก มันออกไม่ได้แล้ว มันต้องกลับมาอยู่กับตัวเอง แล้วกลับมามีเหมือนไม่มี เห็นแล้วไม่ได้เห็น ได้ยินแล้วเหมือนไม่ได้ยิน อึดอัดไหม (อึดอัด) แล้วใครจะช่วยเรา (ตัวเรา) ตัวเราหรือ แล้วใจเราทำได้หรือยัง แค่นั่งตรงนี้ยังคิดว่าเมื่อไหร่จะได้ลุก เมื่อไหร่จะได้ไป แค่นี้ยัดอึดอัดเลย แค่วันนี้ไม่ได้ดูทีวี ไม่ได้ทำอะไรตามที่ใจต้องการ ยังหงุดหงิดว่าเมื่อไหร่จะจบ อึดอัดเมื่อไหร่จะได้ลุก แค่นี้เรายังทำไม่ได้เลย แล้วถ้าวันหนึ่งเราต้องเจอกับตัวเราจริงๆ ล่ะ แล้วคิดว่าต้องเจอไหม (เจอ)  ต้องเจอกันทุกคนนะ วันหนึ่งเราต้องเจ็บแล้วขยับไม่ได้ อยากดูก็ไม่ได้ดู อยากได้ยินก็ไม่ได้ยิน มีขาก็เหมือนไร้ขา มีเงินก็ซื้อร่างกายให้กลับมาแข็งแรงไม่ได้ เราจะทำอย่างไร
ฉะนั้นการฝึกฝนธรรม ทำไมเราถึงต้องฟังธรรมะ เพื่อเกิดปัญญาหยั่งรู้ เราเรียนรู้อยู่ในโลกเพื่อดำรงสิ่งที่เรารู้ให้เป็น และให้ดี แต่เมื่อเราเป็นแล้ว เราดีแล้ว เราหยั่งรู้อย่างถ่องแท้หรือยังว่าสิ่งที่เราเป็นแล้วเราพยายามดีนั้น ถึงที่สุดแล้วไปทางไหน แล้วถ้าจะอยู่ จะอยู่อย่างไร เราต้องมีปัญญาหยั่งรู้ด้วยนะ อย่าเกิดมาเพียงแค่เป็น ดำรงอยู่ให้ดีแค่นั้นไม่พอ แต่เราต้องหยั่งรู้ว่า นอกจากดีแล้วเป็นแล้ว มันยังมีอะไรที่พ้นเหนือดี พ้นเหนือเป็นนั่นคืออะไร นั่นคือ “เดินถอยหลังกลับไปสู่ความว่าง” ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าจิตเรายังยึดมั่นถือมั่น เก็บสั่งสมมันปล่อยไม่ได้ วันเดียวมันปล่อยได้ไหม ฉะนั้นเราต้องหมั่นทำทุกๆ วัน ด้วยปัญญาหยั่งรู้  วันนี้ทำได้ปล่อยซะ วันนี้ดีแล้ววางซะ อย่าลากเอากลับมาอยู่กับใจ เพราะไม่อย่างนั้นจิตของเราจะเป็นไปตามสิ่งที่เราสั่งสมนะ ใช่ไหม (ใช่)  สั่งสมห่วง สั่งสมยึด มันก็ไปตามห่วง ไปตามยึด แต่สั่งสมเพื่อคืนสู่ความว่าง ความไม่มี พ้นเหนือดี พ้นเหนือชั่ว พ้นทุกข์ พ้นสุข พ้นเรา พ้นเขา อย่าแค่ฟังแล้วรู้ที่จะเป็น แต่ต้องสามารถหยั่งรู้มากกว่าเป็น จริงหรือเปล่า
(ศิษย์พี่พระนาจาเมตตาส่งเสริมนักเรียนในชั้น)
นั่งฟังอึดอัดไหม (ไม่อึดอัด)  เบื่อไหม (ไม่เบื่อ)  เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  จริงหรือ (จริง)  ไหนใครบอกอยากกลับบ้านแล้วยกมือขึ้น อยากกลับไหม (ไม่อยาก)  อึดอัดไหม (ไม่อึดอัด)  ขอดูหน้าคนไม่อึดอัด ไม่เหนื่อย ไม่เบื่อหน่อยนะ ถ้าอย่างนั้นอยู่จนถึงสองทุ่มดีไหม (ดี/ไม่ดี)  มนุษย์ชอบเป็นอย่างนี้ ถามว่ารักธรรมชาติไหม ก็บอกว่ารัก แต่ทุกวันนี้ทำตัวรักธรรมชาติหรือทำลายธรรมชาติ (ทำลาย)  รักคนยุติธรรมไหม (รัก)  แต่ถามจริงๆ ใจเรายุติธรรมหรือใจเราอยุติธรรม (อยุติธรรม)  รักความดีไหม (รัก)  แต่ถามว่าทำดีไหม (ไม่)  ใช่หรือเปล่า (ใช่)  รักตัวเองไหม (รัก)  แต่อะไรที่มันโง่ๆ ไม่ดีๆ เป็นพิษเป็นภัยทำไหม (ทำ)  แปลกจริงไหม (จริง)  คำพูดคำหนึ่งของคนจีนสมัยโบราณบอกว่า “ถ้ากลัวกินข้าวแล้วสะอึก แล้วมันจะติดคอแล้วเกิดความทรมาน เลยไม่กินข้าวอีกเลย” ท่านว่าคนคิดแบบนี้ดูเหมือนโง่ไหม (โง่)  ถ้ากินข้าวแล้วมันสะอึก แล้วมันทรมาน อึกๆๆ กว่าจะกลืนลงไปได้ก็ทรมานแย่แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนบางคนก็เลยไม่กินข้าวเลย เป็นอย่างนั้นไหม (ไม่เป็น)  ฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าบางสิ่งบางอย่างทำแล้วเจอความลำบาก แล้วเราไม่ทำเลยใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ทำแล้วมันไม่ถูกใจ ทำแล้วมันไม่ดี เราไม่ชอบ แต่จริงๆ มีประโยชน์ไหม ก็มี แต่ทำไหม (ไม่ทำ) อย่างนั้นเราก็ไม่ต่างอะไรกับสำนวนคนจีนโบราณที่เขากล่าวว่า กินข้าวแล้วกลัวสะอึก จริงหรือไม่ (จริง)  เรารู้อะไรดีอะไรไม่ดี แต่พอเจอความยากลำบากหน่อย เจอการฝืนใจหน่อย เจอการขัดใจหน่อย ทำไหม (ไม่ทำ)  แล้วเราต่างอะไรจากคนกินข้าวสะอึกแล้วไม่กินอีกเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฟังดูตลกแต่จริงๆ คนทุกคนก็เป็นแบบนี้ เหมือนถามว่ามีใครว่ายน้ำเป็นบ้างยกมือขึ้น แต่ถ้าเรากลัวการจมน้ำ ถามว่าเราจะว่ายน้ำเป็นไหม (ไม่เป็น)  แต่ก็มีคนปัจจุบันที่ไม่กล้าว่ายน้ำอีกเลยเพราะกลัวจมน้ำก็เลยว่ายน้ำไม่เป็นเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกัน ถ้าเรารู้ว่าอะไรในโลกเป็นสิ่งที่ดี ทำแล้วดี ทำแล้วมีประโยชน์ แต่เรากลับไม่ทำ เราก็ไม่ต่างอะไรกับคนสองแบบนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจึงอยากจะบอกท่านว่า ความวิริยะ เป็นองค์หนึ่งของความสำเร็จ ถ้าขาดความวิริยะความสำเร็จก็อาจจะไม่บังเกิด ถูกหรือเปล่า (ถูก)  แต่ไม่ใช่แค่มีความวิริยะทุกๆ สิ่งก็สำเร็จได้ยังต้องประกอบไปด้วย ปัญญา ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ที่จะมุ่งไปให้ไกลแล้วไปให้ถึง ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์เรานั้นชอบสุขสบาย แล้วอยู่ที่นี่สบายไหม (สบาย)  มีบางคนบอกว่าจะกินก็ต้องเบียด จะเข้าห้องน้ำก็ต้องแย่ง ใช่หรือไม่ แต่รู้ไหมว่าการดำเนินชีวิตบางอย่าง บางคนเดินแล้วเกิดกิเลส เดินแล้วเกิดอารมณ์ แต่บางคนการดำเนินชีวิตเดินแล้วเกิดคุณธรรม เดินแล้วเกิดความปล่อยวาง เดินแล้วเกิดความสงบ แต่ตัวเราปัจจุบันนี้มีชีวิตอยู่เดินแล้วเต็มไปด้วยกิเลส ก้าวแล้วเต็มไปด้วยตัณหา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าวันนี้เรามาฟังธรรมทั้งทีแล้วก็น่าจะสงบใจ แต่เรารู้สึกว่าในใจท่านบอกว่า “เมื่อไหร่จะจบๆ” วันนี้ฟังวันเดียวก็พอแล้ว ที่บอกสองวันขอไว้ก่อน ใครคิดอย่างนี้บ้างยกมือขึ้น เกิดเป็นคนเสียชีพอย่าเสียสัตย์นะ พูดคำไหนต้องเป็นคำนั้น อยากให้เขาเคารพ อยากให้เขานับถือ แต่ถ้าพูดอย่างทำอย่าง ใครเขาจะเคารพ ใครเขาจะนับถือ ไม่อยากให้ใครว่าเราลับหลัง เราก็อย่าทำอะไรให้เขาว่าสิ ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีชีวิตต้องกระปรี้กระเปร่า ฮึกเหิมแล้วก็กระตือรือร้น อย่าปล่อยให้ชีวิตอับเฉาร่วงโรยรา เพราะชีวิตนี้ยังมีเรื่องราวอีกมากมายให้เราต้องเผชิญใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งดี บางครั้งร้าย บางครั้งสุข บางครั้งทุกข์ มนุษย์จึงกำหนดว่าทำอย่างไร ชีวิตเราจึงจะมีความสุข เราก็เลยฝันไว้ว่า ขอให้มีครอบครัวเล็กๆ มีภรรยา มีสามีที่รักเรา แล้วก็มีลูกที่น่ารัก ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีหน้าที่การงานที่มั่นคง มีทรัพย์สินพอประมาณ แล้วว่างๆ ก็ไปทำบุญสุนทานบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)
ชีวิตแค่นี้ก็ดีแล้ว มีความสุขแล้ว ถูกหรือเปล่า (ถูก)  แต่รู้ไหมว่าสิ่งที่ท่านกำหนดนั้นแท้จริงกำลังสร้างรูรั่วในใจอยู่ ทำไมเราพูดอย่างนี้ล่ะ มนุษย์บอกว่าการมีครอบครัวเล็กๆ การมีคนที่รัก การมีบุตรที่น่าเอ็นดู การมีหน้าที่ตำแหน่งที่มั่นคง การมีทรัพย์สินที่พอเหมาะพอเพียงและว่างๆ ไปทำบุญแค่นี้ก็พอแล้วสำหรับชีวิตหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่นี้ก็ดีแล้ว เมื่อไหร่ที่เราคิดอย่างนี้แปลว่า ความมั่นคงในจิตใจของเราถูกกำหนดไว้โดยไม่รู้ตัว และกำหนดว่า ครอบครัวเล็กๆ มีเงิน ได้ทำดี มีคนที่รัก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราคิดว่านั่นคือความสุข นั่นคือความมั่นคง นั่นคือความภูมิใจที่เราทำได้และสำเร็จ แต่อย่าลืมนะ ขึ้นชื่อว่าชีวิต ขึ้นชื่อว่าสรรพสิ่ง มีอะไรบ้างที่มันอยู่นิ่งๆ แล้วไม่เปลี่ยนแปลง ใช่ไหม (ใช่)  เราก็เลยคิดว่าการที่เรามีอะไรที่เป็นอาณาจักรเล็กๆ ของเรานี่แหละ นั่นคือความสุข การได้สร้างอาณาจักรที่เราสามารถคุมได้ มั่นคงได้ ดีได้ นี่แหละคือสิ่งที่เป็นความสุข แต่รู้ไหมว่า อาณาจักรที่เรากำลังคุมอยู่และเราคิดว่ามันคือความมั่นคงนี้ แท้จริงแล้วมันมีสิ่งหนึ่งที่เราลืมไปหรือเปล่า นั่นคือ ขึ้นชื่อว่าคน ขึ้นชื่อว่าสิ่งของ ล้วนเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นชื่อว่าสิ่งที่มั่นคงก็ยังไม่มั่นคงได้ ฉะนั้นแม้ว่าเราจะพยายามหาหลักประกันอะไรก็ตาม ที่ชีวิตต้องมั่นคง ต้องรักเรา ต้องอยู่กับเรา แล้วเราบอกว่าภูมิใจ แต่ลึกๆ แล้วสิ่งที่เราบอกมั่นคง ภูมิใจ สุขใจ เราลืมไปหรือเปล่าว่ามันมีความจริงที่แฝงอยู่ในนั้น นั่นคือความเปลี่ยนแปลง แล้วถ้าเราไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลง เราก็เท่ากับเหมือนกำลังขุดบ่อน้ำ แล้วหวังแค่เพียงน้ำนี้ไม่ต้องไหลไปไหน น้ำนี้ไม่ต้องเทออกให้ใคร น้ำนี้ถ้าฉันอยากจะให้ ฉันให้แค่เท่านี้พอ เคยเห็นบ่อน้ำไหม ไหลแค่ 1 - 2 - 3 ขัน พอเก็บนานๆไป มันเกิดการเหม็นเน่า และไม่มีใครอยากอยู่ในน้ำนี้ ฉะนั้นสิ่งที่มนุษย์พยายามตอกย้ำและหาความมั่นคง เราก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่กำลังขุดบ่อน้ำ แล้วโอบบ่อน้ำไว้ให้บ่อน้ำเป็นดั่งใจเรา ใช่ไหม (ใช่) การมีคนรักก็รู้สึกดีใจ แต่ลืมไปหรือเปล่าว่าสิ่งที่เรากำลังขุดนี้ ถ้าเราไม่เปิดออกไม่ถ่ายเท เรากำลังสร้างความได้เสียให้กับจิตใจโดยไม่รู้ตัว ใช่ไหม (ใช่)
เพราะขึ้นชื่อว่าชีวิต ชีวิตคืออะไร
(ความไม่เที่ยง, ความเปลี่ยนแปลง) ใช่ไหม (ใช่) แต่ทำไมทุกวันนี้สิ่งที่ศิษย์น้องกำลังหาคือหาความมั่นคง หาหลักประกัน สิ่งที่เราพยายามหามากเท่าไหร่ก็แปลว่าเราพร่องมากเท่านั้น เรากำลังกลัวมากเท่านั้น เรากำลังหนีความจริงมากเท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ชีวิตคือละคร) ถ้าชีวิตคือละคร แล้วท่านเป็นตัวเอกใช่ไหม ระวังตัวเอกจะเผลอเป็นผู้ร้ายนะ (ชีวิตคือการเดินทาง) แล้วเคยเห็นไหมคนบางคนยังมีชีวิตอยู่แต่เดินทางไปไหนไม่ได้แล้ว (ชีวิตคือการค้นหา) ใกล้เคียงนะ (ชีวิตคือการต่อสู้) แล้วศัตรูคือยาชูกำลังหรือเปล่า (ชีวิตคือลมหายใจ) แต่ไม่แน่นะพอหมดลมหายใจก็อาจจะมีต่อชีวิต ถ้าเราดำเนินชีวิตอย่างทิ้งๆ ขว้างๆ หรือใช้ชีวิตแบบกินแล้วทิ้งเมล็ดพันธุ์ไว้ เมล็ดพันธุ์นั้นอาจจะบังเกิดอีกชีวิตหนึ่งที่เราต้องไปร่วมชะตากรรม ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นชีวิตคืออะไรเล่าผู้มีปัญญาทั้งหลาย
(ชีวิตคือเมล็ดพันธุ์ชนิดหนึ่ง) นั่นคือเติบโตมาแล้วให้ผลเต็มไปหมดเลย และผลนั้นอาจทำให้เกิดเมล็ดพันธุ์อีกต่อๆไปก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) หรือเป็นเมล็ดพันธุ์ที่เติบโตแล้วไม่ให้ผลไม่ให้พันธุ์อะไรเลย (ชีวิตคือธรรมชาติ, ชีวิตคือสิ่งที่ไม่แน่นอนว่าอะไรจะเกิดขึ้น)
(ชีวิตคือความสงบ)  ชีวิตคือความสงบ แต่ตอนนี้วุ่นวายเหลือเกิน บอกให้สงบอยู่คนเดียว สงบไม่เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ชีวิตคือการศึกษา, ชีวิตคือตัวเราเอง)  ไม่มีใครกำหนดชีวิตเราได้ดีเท่าตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางครั้งชีวิตก็เหมือนกับอะไร
(ชีวิตคือความทุกข์, ชีวิตคือการใช้กรรม) กรรมมาจากอะไร มาจากการกระทำของตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราจะบอกว่าชีวิตคือ กระแสธารที่ไหลไม่หยุดนิ่ง เปลี่ยนจากสิ่งหนึ่งไปเป็นอีกสิ่งหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) รินหลั่งล้นจนท่วมแล้วก็รินหลั่งไหลไปสู่ที่กว้างและกว้างกว่า ไปสู่สิ่งที่ลึกแล้วลึกกว่า จึงมีคำพูดกล่าวไว้คำหนึ่งว่า ถ้าเราอยากใช้ชีวิตแล้วมีชีวิตให้เป็น และดำรงชีวิตอยู่กับตัวตนให้ดี สิ่งหนึ่งที่เราไม่ควรขาดไปจากชีวิตนั่นก็คือ การหยั่งรู้ เราพยายามดำรงอยู่ เราพยายามเป็น แต่เราลืมหยั่งรู้ไปไหม ใช่ไหม (ใช่) เรารู้เพียงผิวเผินไปหรือเปล่า แล้วบอกว่าฉันรู้แล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราบอกว่าชีวิตคือกระแสธาร แล้วห้ามให้มันหยุดไหลได้ไหม เราห้ามให้มันขุ่น เราจะให้มันมีแต่ความสะอาดแต่ไม่ขุ่นได้ไหม (ไม่ได้)  เราให้มันตกที่ต่ำแล้วไม่ขึ้นสูงได้ไหม (ไม่ได้)  บางทีมันต่ำบางทีมันสูง บางทีมันหนักแต่บางทีมันเบา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นขึ้นชื่อว่ากระแสแห่งชีวิต อยากเรียนรู้ที่จะเป็นและอยากเรียนรู้ที่จะดำรงอยู่ สิ่งหนึ่งที่มนุษย์ไม่ควรขาดก็คือ การหยั่งรู้อย่างถ่องแท้ ใช่ไหม (ใช่)  และเราเข้าใจชีวิตหรือยัง ใช้มาจนอายุผมดำเป็นผมขาวแล้วนะ เรายังลืมไปเลยใช่หรือไม่ (ใช่) ลองฝึกตัวเองดูนะ ที่บอกว่าคุมได้ดี คุมได้เก่งชีวิตนี้ แต่บางครั้งมันก็ไม่ค่อยได้ดั่งใจสักเท่าไหร่ ให้ไปซ้ายชอบไป (ขวา)  ให้ไปขวาอยากไป (ซ้าย)
เพราะอะไรเราถึงต้องเข้าใจและหยั่งรู้ชีวิตให้ถ่องแท้ เพราะว่าถ้าเกิดเราไม่เข้าใจ หยั่งรู้ผิด หรือตีความผิด หรือสรุปผิด เราก็จะดำเนินชีวิตไปอย่างคนผิดทาง และก็ยิ่งสร้างรูรั่วให้กับชีวิตยิ่งใหญ่ขึ้น เพราะชีวิตจริงไม่ใช่มีแค่ดอกไม้หอมแต่ยังมีหญ้าพิษ เพราะชีวิตจริงไม่ใช่มีกิเลนมังกรแต่ยังมีภูตผีปีศาจ ฉะนั้นเมื่อขึ้นชื่อว่าชีวิตการจะหาความมั่นคงโดยที่ไม่เตรียมตัวไว้ว่า สักวันหนึ่งไม่มั่นคง เราต้องรู้จักเผื่อใจไว้บ้าง แต่การที่เราต้องเผื่อใจ บางครั้งเราก็อาจจะลืมไป ฉะนั้นทำอย่างไรที่เราจะไม่มีวันลืม นั่นก็คือ หยั่งรู้ให้ถ่องแท้ เข้าใจให้แจ่มแจ้ง เป็นสิ่งนั้นและเข้าถึงสิ่งนั้นด้วยปัญญาและเราจะไม่มีวันลืมเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
การจะเข้าถึงสรรพสิ่งให้ถ่องแท้ สิ่งสำคัญก็เริ่มต้นแค่เพียงมองเห็น เพราะทุกวันเราต้องเห็น เห็นทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีวันไหนที่เราไม่ได้เห็น แต่บางครั้งเราก็ต้องรู้จักเห็นแล้วไม่เห็น ใช่หรือไม่ (ใช่) ได้ยินแล้วเหมือนไม่ได้ยิน เพราะว่ามันจะเป็นการดี จะได้ทำให้เราทุกข์น้อย แต่ถ้าเกิดว่าเราต้องเห็นในสิ่งที่เราไม่อยากเห็น ต้องได้ยินในสิ่งที่เราไม่อยากได้ยิน เราจะลืมได้ไหม (ไม่ได้)  เราจะหายเจ็บทันไหม (ไม่ทัน)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความเป็นจริงในโลกนี้ที่ศิษย์น้องเกลียดกัน ก็คือ ความจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือความจริงอย่างหนึ่งแล้วนะ ไม่อยากเจอก็ต้องเจอ อยากให้อยู่ก็ดันไม่อยู่ หรือพูดง่ายๆ ในโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าปรากฏการณ์ภายนอกที่บ่งบอกถึงความเป็นแก่นแท้ภายใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปรากฏการณ์ภายนอกที่บิดเบือนซ่อนแก่นแท้ไว้ภายในหรือปรากฏการณ์ที่เหมือนๆ กันแต่ซ่อนแก่นแท้ไว้สองด้านสองมุม เรารู้ไหม (ไม่รู้)  เมื่อเรามองเห็นปรากฏการณ์มีสามปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ในจิตใจของมนุษย์เรามักจะไม่ค่อยเป็นอย่างนั้น อะไรเห็นมักจะไม่มองในสิ่งที่เห็น แต่มักจะมองในสิ่งที่ตัวเราอยากให้เป็น เราเลยมองสิ่งต่างๆ โดยไม่แจ่มชัด ใช่ไหม
ถ้าศิษย์พี่ให้ศิษย์น้องกำขี้เถ้ากำมือหนึ่งเอาไหม (ไม่เอา) เพราะอะไรถึงไม่เอา เพราะสิ่งที่ศิษย์น้องอยากได้ไม่ใช่ขี้เถ้าอันนี้ (อยากได้ทอง)  บางครั้งขี้เถ้ามีค่ายิ่งกว่าทองอีก เพราะว่าเวลาเราเจอเรื่องเลวร้าย ขี้เถ้านั่นแหละดีกว่าทองอีก ใช่ไหม (ใช่)  ทองนั่นแหละทำให้เราเจอเรื่องร้าย แต่ขี้เถ้าทำให้เราเจอเรื่องเลวร้ายไหม (ไม่)  นี่แหละอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้มนุษย์มองเห็นในโลกไม่ชัด เพราะเรายึดติดกับคุณค่าและความหมายจนเกินไป จนทำให้มองไม่เห็นความจริง มองไม่เห็นว่าโลกนี้เป็นเพียงแค่สมมติ แต่เรามองเห็นเป็นเงิน เป็นราคาตีได้กี่บาท มีค่าต่อจิตใจเพียงไหน
เรายังอยากบอกให้ท่านรู้ต่อว่า สิ่งที่ท่านมองเห็นในโลกนี้ มีสิ่งหนึ่งที่มนุษย์เกลียดก็คือคนไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)  เกลียดคนไม่ดี คนไม่ดีน่ารังเกียจ แล้วมีเต็มโลกไหม (เต็ม)  มองไปมองมาเราก็มีสิ่งที่ไม่ดีเต็มเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เกลียดเขานิสัยไม่ดี ปากมากพูดเยอะ เมื่อไหร่จะเลิกบ่น ไปๆ มาๆ เราก็บ่นเสียเอง
เหมือนที่ศิษย์พี่เห็นแล้วศิษย์พี่ก็ขำ มีคนๆ หนึ่งเขาโมโหใครก็ไม่รู้ชอบมาละเลงกำแพงเขา แล้วพอโมโหมากๆ ก็เขียนเองว่า ใครเขียนเป็นหมา เป็นไหม เกลียดมันจริงๆ เลยไอ้เลว ไปๆ มาๆ เราก็เลว ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์น้องมองเห็นยังมีสิ่งหนึ่งที่แอบซ่อนอยู่ นั่นก็คือจงจำไว้ว่า ในโลกใบนี้เมื่อไหร่ที่เรามองเห็นอะไรก็ตาม มีภาวะสามภาวะซ่อนอยู่ในสิ่งที่มองเห็น คือ สิ่งที่เห็นอาจจะมีความจริงแอบแฝงซ่อนอยู่ สิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่ตัวจริงของเขา ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนปากเราว่า แต่เราใจดีนะ เราชอบพูดอย่างนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราเห็นคนเลวที่จับตัวเราแล้วเอามีดจ่อ แล้วพูดขู่ว่า อย่าเข้ามานะ เราเกลียดคนไหน เกลียดคนนี้หรือเกลียดคนที่กำลังเอามีดจ่ออีกคนหนึ่ง เกลียดคนเอามีดจ่อ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่อย่าลืมนะสิ่งที่เรามองเห็นยังมีความเป็นจริงปรากฏอยู่เบื้องลึกที่เรามองไม่เห็น แล้วถ้าเรามองเห็นเราอาจจะไม่เกลียด เราอาจจะเข้าใจว่าเพราะอะไรเขาจึงเป็นแบบนี้ ถ้าเรารู้ว่าที่บ้านเขาขาดความอบอุ่น เพราะคนที่เขาเคยรักกำลังทอดทิ้งเขาไป เพราะสิ่งที่เขาคิดว่ามั่นคง แต่วันนี้มันกลับกลายเป็นไม่มั่นคง เขาทำใจไม่ได้ เมื่อทำใจไม่ได้ก็กินยากล่อมประสาท ยาหลอกจิต ยาทำให้มีความสุข แล้วปรากฏว่าเป็นอย่างไร ประสาทหลอนคิดว่าใครๆ ก็จะทำร้ายตัวเอง
ฉะนั้นอย่าไปโทษคนไม่ดีนะศิษย์น้อง เพราะถ้าเราเข้าใจเบื้องลึกๆ เราเห็นแก่นแท้ด้านหลังของเขา เราจะรู้ว่าในโลกใบนี้คนที่เลวก็อาจจะไม่ได้เลวจริงๆ ก็ได้ แล้วคนที่บอกว่าตัวเองดีก็อาจจะไม่ดีก็ได้
ฉะนั้นอย่าไปวิพากษ์วิจารณ์ใคร อย่าไปตัดสินใคร เพราะหัวใจของเราเวลาเราทำผิดเรายังต้องการคนเข้าใจ แม้เราจะร้ายขนาดไหนก็ยังอยากได้คนรับฟังความร้ายของเรา จริงไหม (จริง)  “ที่ฉันไม่ดีมันมีเหตุผลนะแล้วมันมีความเป็นมาว่าทำไมฉันต้องไม่ดีแบบนี้” ฉะนั้นอย่าไปโกรธ อย่าไปเกลียดคนที่ชอบเอาเปรียบเราเวลาทำงาน คนที่ปากว่าตาขยิบ ลองมองให้ดีๆ แท้ที่จริงในจิตใจเขาอาจจะมีอะไรบกพร่องอยู่ หรือแท้ที่จริงชีวิตครอบครัวเขาอาจจะถูกปลูกฝังอะไรมา ฉะนั้นถ้าเราเรียนรู้เข้าใจ เราจะหยั่งรู้ได้และเข้าใจชีวิต จริงไหม (จริง)
อีกอันหนึ่ง สิ่งที่เห็นอาจมีมากกว่าหนึ่งความจริง อาจจะมีสองหรือสามซ่อนอยู่ เหมือนที่ศิษย์น้องอยากเป็นคนดี แต่ทำไมทำดีไม่ค่อยตลอดรอดฝั่ง หรือไม่บางทีไม่อยากทำ เคยได้ยินไหมศิษย์น้อง คนๆ หนึ่งทำดีสามารถสะเทือนใจให้อีกคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงตน แต่อีกคนหนึ่งทำดีแต่ทำให้อีกคนนั้นแย่ยิ่งกว่าเดิม เคยเห็นไหม แปลว่าหนึ่งความดีสามารถสะท้อนให้เห็นความเป็นจริงสองหลักการ นั่นคืออะไรล่ะ เช่น เวลาฟ้ายิ่งสว่างมาก คนยิ่งดีมาก แต่อีกคนหนึ่งคิดไม่ถึง ทำไม่ได้ เราก็เหมือนมุมอับที่ถูกฟ้าสว่างฉายแสง ใช่ไหม (ใช่)  สมมติเรากินข้าวอยู่ แต่เพื่อนเรา “คุณป้าอยากได้หรือคะ” ตักให้ แต่เรานั่งกินอยู่ “ทำไมเขาดีจังเลย” ใช่ไหม เหมือนเรากำลังนั่งรถอยู่ มีคนเดินขึ้นมา เราก็คิดว่า “ลุกให้นั่งดีหรือไม่ลุกดี” แต่อีกคนหนึ่งลุกทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าความดีของคนๆ หนึ่งนั้น อาจจะทำให้เราเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นกับอีกอันหนึ่งอาจจะสะท้อนอีกคนหนึ่งให้มองเห็นว่าตัวเองนั้น (ไม่ดี)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราเคยเป็นอย่างนั้นไหม (เคย)  เคยทันที เป็นอันแรกหรือเป็นอันหลัง แต่ศิษย์พี่เชื่อว่า “ศิษย์น้องทุกคนล้วนเป็นทั้งสองอัน” บางทีอยากให้คนอื่นทำดี ตัวเองก็ทำดีๆ แต่ลืมไปว่าการทำดีของเรามากๆ อาจจะไม่เหลือที่ให้อีกคนหนึ่งได้ดีเลยก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเขาบอกว่า “กินข้าวต้องกินแต่พออิ่ม พูดอะไรต้องเหลือเผื่อที่ตัวเองจะพลิกแพลงบ้าง” ไม่ใช่มีเท่าไหร่ในบ้านเอามาเล่าให้เขาฟังหมดเลย เก็บไว้บ้าง ไม่ใช่เอาไปประจานหมด เหมือนว่าเวลาเดินก็ต้องเหลือให้คนสักสองสามส่วน อย่าทำให้เขาอับจน แต่เราไม่ใช่ เวลาที่เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกดีและคนนี้ไม่ดี ว่าเขาจนไม่มีที่ยืนอยู่แล้ว ว่าเขาจนเขาบอก “ฉันไม่ดีก็ได้” ใช่ไหม แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม ฉะนั้นจงระวัง นี่แหละถ้าเราสามารถหยั่งรู้ในการดำเนินชีวิต การอยู่ร่วมกันในชีวิตจะไม่ก่อให้เกิดความทุกข์ยากและไม่ก่อให้เกิดเป็นต้นเหตุแห่งการเบียดเบียนและทำร้าย แต่การดำเนินชีวิตจะสามารถทำให้เราหยั่งรู้และเข้าถึงความเป็นจริงที่เรียกว่า “ธรรมะ” ได้ ใช่ไหม
มองสิ่งไหนแล้วความเป็นจริงก็ปรากฏอย่างนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนที่ตอนนี้เราเห็นอยู่ สิ่งที่ปรากฏภายนอกบ่งบอกความเป็นจริง สิ่งที่ทำให้เราตกใจและตื่นกลัวมากที่สุดคือภัยพิบัติ ใช่หรือไม่ (ใช่) ที่เกิดล่าสุดในตอนนี้ นั่นคือความจริง แล้วมนุษย์เรากลัวไหม (กลัว)  แล้วทำอย่างไร อ้อ แค่เห็น แค่รู้ หรือมากสุดก็ลงแรงช่วยเขานิดหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอย่าเพียงแค่เห็น แต่เราต้องเข้าถึงการหยั่งรู้ หยั่งรู้อะไร หยั่งรู้ว่า อ้อ สักวันหนึ่งถ้าเราต้องไปยืนตรงจุดนั้น ถ้าเราต้องเป็นคนนั้น เราทำใจได้ไหม ใจเราจะวกกลับมาเป็นคนที่ต้องกินยากล่อมประสาทแล้วตามไปฆ่าคนไหม ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นเมื่อเราเห็นอะไรในโลกก็ตาม อย่าเพียงเห็นแล้วก็แค่เห็น แต่เห็นแล้วเราต้องหยั่งให้รู้ด้วยปัญญา เพราะปัญญานำพาให้มนุษย์พ้นการเวียนว่ายและดับทุกข์ได้สิ้นเชิงด้วยตัวเราเองนะ แล้วสิ่งที่มนุษย์กลัวกัน ไม่ว่าจะเป็นความจริง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏนั้น ถ้าศิษย์พี่เรียกว่าสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ ไม่ว่าจะดี ไม่ว่าจะร้าย ได้ เสีย หญ้าพิษหรือดอกไม้หอม กิเลนหรืออสูร ถ้าศิษย์พี่เรียกว่านั่นคือธรรม และธรรมตัวนี้ทำให้ทุกสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน  เราเข้าใจธรรมตรงนี้ไหม วันๆ ขอมีข้าวกินก็พอแล้วใช่หรือไม่ มีที่นอน มีทีวีให้ดู แล้วก็ไปเที่ยวก็พอแล้วใช่หรือไม่ น่าเสียดาย ถ้าเกิดมาหมุนเวียนอยู่แค่นี้ แล้วก็จบลงแค่เท่านี้ แต่มันไม่ใช่ เพราะมนุษย์บางคนนั้นเหมือนกับอะไร เหมือนกับว่าเราได้ครอบครองสิ่งหนึ่ง อะไรคือเปลือก อะไรคือเนื้อ ภายนอกเรารู้ชัด วันหนึ่งเราแกะเปลือกเพื่อกินเนื้อ แล้วถ้าเป็นชีวิตล่ะ แกะเปลือกแล้วเนื้อไปไหน ใช่ไหม (ใช่) เรารู้จักเปลือกของโลกภายนอก เรารู้จักเนื้อของโลกภายนอก แล้วเปลือกกับเนื้อที่อยู่ภายในใจของศิษย์น้องล่ะ วันหนึ่งเปลือกหาย แล้วแก่นแท้ของเนื้อคืออะไร คือจิตใจ แล้วถ้าศิษย์พี่บอกว่าไม่ใช่จิตใจ ไม่ใช่ตัวตน แต่คือ “ธรรม” ธรรมที่มีอยู่ในตัวของน้องทุกคนคือเนื้อแท้ และธรรมอันนั้นสร้างสรรค์ชีวิต และธรรมอันนั้นคือสิ่งเดียวกันในโลกใบนี้
ศิษย์พี่ถามง่ายๆ อะไรคือหนึ่ง (ตัวเลข)  ถูกนะอย่าไปหัวเราะ หนึ่งก็คือตัวเลขใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วไอ้นี่ก็คือ (นิ้ว)  บอกแล้วอย่ามองอะไรแค่ปรากฏการณ์ อุตส่าห์ฟังศิษย์พี่มาตั้งมากแล้วมองอะไรให้มันหยั่งลึกหน่อย ถ้าศิษย์พี่บอกว่า อะไรคือหนึ่ง นี่คือหนึ่งใช่ไหม แล้วนี่คือหนึ่งไหม แล้วโน่นคือหนึ่งไหม แล้วทุกๆ สิ่งคือหนึ่งไหม (ใช่)  เข้าใจตรงนี้ไหม ฟังให้ดีๆ แล้วจะเข้าใจ โลกนี้อะไรคือหนึ่ง เก้าอี้ก็คือหนึ่ง เขาก็คือหนึ่ง ศิษย์พี่ก็คือหนึ่ง ตรงนั้นก็คือหนึ่ง กลุ่มนี้ก็คือกลุ่มหนึ่ง นี่ก็คืออีกกลุ่มหนึ่ง รวมๆ กันก็คือหนึ่ง เห็นไหมว่าแค่คำว่าหนึ่งยังมีความหมายเยอะแยะขนาดนี้ ฉะนั้นศิษย์น้องอย่าบอกศิษย์พี่ว่า ไม่ต้องฟังแล้ว รู้แล้ว เก่งแล้ว แค่คำว่าหนึ่ง ศิษย์น้องยังเห็นแค่เลขหนึ่ง เห็นนิ้วหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วหนึ่งยังมีอะไรมากกว่านั้น นี่ก็หนึ่ง นั่นก็หนึ่ง รวมๆ กันก็หนึ่ง โลกใบนี้ก็หนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการหยั่งรู้ต้องการบอกอะไร กับศิษย์น้อง เมื่อสักครู่ศิษย์พี่บอกศิษย์น้องว่าในโลกนี้มีสองสิ่งคู่กัน มีโลกสองด้าน แต่แท้จริงก็คือรวมกันเป็นหนึ่งเรียกว่า “ธรรม” ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนในตัวศิษย์น้องมีทั้งสิ่งที่เรียกว่าดีและไม่ดี ได้ เสีย สุข ทุกข์ เหล่านั้นแหละที่เรียกว่า “ธรรม” เราเกิดเป็นคนอย่าบอกว่า ธรรมะเอาไว้ทีหลัง นั่นแปลว่าโง่จริงๆ ที่พูดแบบนั้น เพราะขึ้นชื่อว่าชีวิต เราหนีไม่พ้นธรรม เพราะธรรมมีอยู่ในตัวศิษย์น้องทุกคน เกิดมาก็มีธรรมแล้ว ธรรมคือความเป็นจริงของชีวิต ธรรมคือสอนให้ตระหนักรู้และหยั่งรู้ชีวิตอย่างถ่องแท้ และธรรมยังสอนให้มนุษย์พ้นทุกข์ ดับทุกข์ และสิ้นกรรมได้ด้วยธรรม ฉะนั้นเกิดเป็นคนอย่ามีชีวิตแค่ กิน อยู่ หลับ นอน เราต้องก้าวไปให้มากกว่านั้น เดินไปให้ถึงซึ่งความตระหนักรู้อย่างถ่องแท้ ซึ่งอยู่ภายในไม่ใช่อยู่ภายนอก และเราจะเข้าถึงธรรมในใจเราได้ก็ต่อเมื่อ (เกิดความหยั่งรู้) แต่การจะเกิดการหยั่งรู้ได้นั้น ต้องเกิดจากการเริ่มต้นฟัง แล้วหันกลับมานิ่งพิจารณา หรือที่ศิษย์น้องมักจะเรียกว่าเอามาทำให้เกิดสมาธิแล้วปัญญาก็จะตามมาใช่หรือไม่ หรือเรียกว่าเมื่อเราหยั่งรู้ถึงความจริงแท้ว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรดี อะไรไม่ดี เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ศีล” ศีลก็คือการดำเนินชีวิตที่ ถูกต้องดีงาม ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเรามาหยั่งรู้พิจารณาด้วยการดำเนินชีวิตถูกต้องดีงาม แล้วทำให้เกิดความมั่นคง เป็นปกติ ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งที่ขึ้นๆ ลงๆ แต่สามารถมองเห็นความเป็นหนึ่ง แล้วใจไม่กระเพื่อมไหวไป นั่นก็คือเราสามารถเข้าถึงธรรมอย่างถ่องแท้ด้วยศีล สมาธิ และปัญญา หรือที่มนุษย์ชอบเรียกว่า เข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั่นเอง
ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องเข้าวัดแล้วใส่บาตรจบ ไม่ใช่แค่นั้นนะศิษย์น้อง ใส่บาตรจบ ทำบุญหนึ่งบาทจบ คิดว่าดีแล้ว ชีวิตมีแค่นี้ ลืมไปหรือเปล่า สิ่งที่มากกว่าแค่นี้คืออะไร  คือการหยั่งรู้ด้วยปัญญา แล้วจะหยั่งรู้ได้อย่างไรถ้าเราไม่ศึกษา แต่ศิษย์น้องขี้เกียจ ใช่ไหม (ใช่)  บอกให้มาฟังธรรม ขี้เกียจ แล้วทำไมเราถึงต้องเรียนรู้และฝึกใจให้เราหยั่งรู้เรื่องพวกนี้ เพราะถึงที่สุดชีวิตต้องเจอทางตัน เคยเจอทางตันไหม (เคย, ไม่เคย)  ไม่เคยหรือ เดี๋ยวก็ได้เคย เพราะอะไรถึงต้องเรียนรู้ที่จะฝึกใจไว้ เพราะแค่วันนี้ให้นั่งตรงนี้ นิ่งๆ และให้ครบสองวัน อึดอัดไหม แล้วแน่ใจหรือว่าการนั่งอย่างนี้แล้วเราบอกว่า ไม่ทนแล้ว พอแล้ว จบวันนี้ แค่นี้พอกัน พรุ่งนี้ไม่มี คนที่คิดแบบนี้คือคนที่ไม่กล้าหยั่งรู้ซึ่งความจริงที่เรียกว่าตัวตน เพราะเอาชนะตนไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะเคยชินกับการตามใจตัวเองตลอด แต่วันหนึ่งต้องถูกขัดใจ ฝืนใจ ไม่เอา ใช่ไหม (ใช่)  แล้วท่านแน่ใจหรือว่าชีวิตถ้าเกิดมีวันหนึ่งท่านต้องเจอเรื่องที่ท่านตามอง ไม่เห็น หูไม่ได้ยิน เท้าขยับไม่ได้ แต่หัวใจยังเต้นตุ๊บๆ อยู่ เราจะหยั่งรู้อย่างไร และเราจะทำใจได้ไหม แค่นั่งตรงนี้ขายังเดินได้ ปากยังพูดได้ยังทนไม่ได้เลย แล้วถ้าวันหนึ่งชีวิตเดินไปสู่จุดอับที่มีตาแต่ไม่สามารถมองเห็น มีหูแต่ไม่สามารถได้ยินชัดเจน มีขาแต่เดินไม่ได้ดั่งใจนึก ตอนนั้นทำใจทันไหมล่ะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ให้ท่านมาเชื่อเรา แต่การบำเพ็ญธรรมคือตระหนักรู้ความจริงแท้ของชีวิตท่านเอง ตระหนักรู้และต้องคุมมันให้ได้เพราะถ้าคุมไม่ได้ท่านจะตายเพราะตัวเอง ทุกข์เพราะตัวเอง และท่านจะเวียนว่ายไม่จบสิ้นก็เพราะตัวเอง จริงหรือไม่ (จริง)
เรามักจะคิดว่าชีวิตนี้อยากกินอะไรก็กิน กินเสร็จแล้วทิ้ง อยากทำอะไรก็ทำ ทำเสร็จแล้วก็ปล่อย แต่อย่าลืมนะว่าถ้ากินแล้วทิ้งไป จะกลับกลายเป็นหน่อเนื้อแห่งการก่อกรรมไม่จบสิ้น ใช้แล้วแต่กลายเป็นการสร้างวัฏฏะเวียนว่ายที่ไม่มีวันจบ ชีวิตนี้จึงไม่ใช่แค่เริ่มต้นแล้วสิ้นสุด แต่ชีวิตนี้คือเริ่มต้นแล้วไม่มีที่สิ้นสุด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นชีวิตไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ แล้วชีวิตของท่านก็อยู่ที่ตัวท่านเอง ไม่จำเป็นต้องเชื่อเรา ไม่จำเป็นต้องเคารพเราก็ได้ ไม่มีปัญหา แต่สิ่งที่เรากำลังบอกท่านอยู่นี้คือความเป็นธรรมในตัวท่านเอง ท่านต้องหยั่งรู้ด้วยตัวเอง และท่านต้องควบคุมให้ได้ด้วยตัวเอง เพราะถ้าท่านควบคุมไม่ได้ท่านคือคนที่กำลังสร้างหน่อเนื้อแห่งการเวียนว่ายไม่จบสิ้น จริงไหม (จริง)  พูดอย่างนี้คงไม่เห็นภาพใช่หรือไม่ อย่างนั้นศิษย์พี่ยกตัวอย่างง่ายๆ เวลาเราไม่พอใจใคร ก็ตีเขา เวลาเราเกลียดใครก็ทำร้ายเขา ไม่ต้องสนใจอะไรดีอะไรชั่ว อยากทำอะไรก็ทำ “มีอะไรไหม” ใช่ไหม ไม่ต้องสนใจเรื่องดีเรื่องชั่ว ไม่จำเป็นต้องสนใจ อยากมีอะไรมี อยากทำอะไรทำ ไปเลยสนองความต้องการของตนเองให้เต็มที่เลย ใช่หรือไม่ แล้วถ้าเกิดสมมติว่าเราทำเสร็จแล้ว ง่ายๆ ศิษย์พี่เกิดอยากตีใครแล้วก็บอกว่า ขอโทษนะไม่ได้ตั้งใจ จบไหม เราว่าจบนะเราขอโทษแล้ว ใช่ไหม แต่ถ้าเขาไม่จบล่ะ แล้วถ้าเขาคิดฝังใจและคิดผูกใจเจ็บ แล้วถ้าเขาต่อยหน้ากลับ แล้วเราต่อยกลับอีกล่ะ จบไหม (ไม่จบ) แล้วเราเอาเรื่องเอาราวเลยดีไหม (ไม่ดี)  เราก็แน่เขาก็แน่ใช่ไหม ฉันก็แน่อยากเตะก็เตะ อยากทำอะไรก็ทำ เราว่าเราจบ แต่ถ้าเขาไม่จบ เขาก็ตามกลับมาเอาเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
เหมือนกันศิษย์น้อง ศิษย์น้องไปกินเขาเท่าไหร่แล้ว ศิษย์น้องไปเอาเขาเท่าไหร่ แล้วทำบุญๆ แต่เขายอมไหม (ไม่ยอม) เขาจบไหม (ไม่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์พี่บอกว่าวันนี้เรามาศึกษาบำเพ็ญธรรม ขอให้ทำเพื่อเข้าถึงธรรม ทำเพื่ออุทิศให้ ได้หรือไม่ (ได้)  ให้กับสิ่งที่เราเคยไปทำๆๆ กับเขามาดีหรือเปล่า ทำเพื่อลืมตัวตน
แต่มันยากนะ เพราะศิษย์น้องยังอดไม่ได้ที่จะติดเรื่องการแบ่งแยก ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราสามารถมองเห็นว่า ไม่ว่าเขาหรือเราล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อไรที่เราหลุดพ้นจากการแบ่งแยก เราจะเห็นความเป็นหนึ่ง และในความเป็นหนึ่งนั้นทำให้เราเห็นความแบ่งแยกที่ไม่แตกต่าง แต่มีความเหมือนกันอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คงจะเป็นเรื่องยากสำหรับศิษย์น้อง ถูกหรือเปล่า (ถูก)  ศิษย์พี่พูดมาทั้งหมดนี้ยากไหม (ไม่ยาก)  ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น แม้เราจะสร้างความมั่นคงขนาดไหนก็ยังมีความเปลี่ยนแปลง และในความเปลี่ยนแปลงนั้นถ้าเรารู้จักรักษาจิตที่หยั่งรู้ได้ เราก็จะสร้างความมั่นคงให้กับจิตใจได้
ฝึกแค่นี้เองนะ ลองพยายามตัวเองดู เพราะไม่มีใครควบคุมเราได้ดีเท่ากับตัวเราเอง และก็ไม่มีใครเปลี่ยนเราได้ดีนอกจากตัวเราเปลี่ยนตัวเราเอง ศิษย์น้องอยากให้ใครมาชี้หน้าด่าไหม  อยากให้ใครมาสาปแช่งไหม อยากให้ใครมาก่อกรรมกับเราแล้วไม่จบกรรมไหม (ไม่อยาก)  อย่างนั้นก็จงรู้จักระมัดระวัง สุขุมรอบคอบ ทำอะไรด้วยปัญญาหยั่งรู้ ได้ไหม
อย่าเห็นแต่สิ่งที่อยากเป็น อย่าเห็นแต่สิ่งที่เรียกว่าคุณค่าและราคา แต่ต้องเห็นมากกว่าที่เห็น และเห็นตามที่เป็น และเราจะไม่โดนชีวิตนี้หลอกลวงเรา เหมือนถ้าศิษย์พี่ถามว่ามะม่วงสีอะไร ศิษย์น้องตอบได้ไหมว่าสีอะไร (เขียว/เหลือง)  ภายนอกคือสีเขียว ภายในคือสีเหลือง แต่เม็ดแท้ๆ จริงๆ คือสีขาว เห็นไหม อย่าแค่เห็นเพียงแค่เห็น  แต่ต้องเห็นมากกว่าเห็น แล้วแอปเปิลสีอะไร (แดง/ขาว/ดำ)  อย่าเห็นเพียงแค่มะม่วงอร่อย อย่ามองเห็นแค่นั้น  ไม่อย่างนั้นศิษย์น้องจะถูกมายาของโลกใบนี้หลอกลวง ทำให้เกิดรูป เกิดนาม และทำให้เกิดอัตตาตัวตน อย่าลืมนะ แค่รูปเท่านั้นถ้าเราเห็นไม่ถึงหยั่งไม่ถึง รูปนั่นแหละจะทำให้เกิดตัวตน ตัวกู ของกู เพราะแค่เห็นเองนะ แต่ถ้าเราเห็นแล้วหยั่งถึง รูปนั้นก็แค่รูป แต่ความเป็นจริงของคน เห็นแล้วมากกว่าไหม มากตรงไหน มากตรงที่แค่อยากให้มันเป็นมะม่วงกับข้าวเหนียวก็อร่อยดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าติดแค่รูปนะ เพราะรูปนั่นแหละทำให้เราต้องทุกข์และเวียนว่าย ถ้าศึกษาให้ดี รูปทำให้เกิดอะไร ไม่เอา บอกหมดเดี๋ยวก็รู้ อยากฟังพรุ่งนี้มาต่อ ดีไหม (ดี)  วันนี้ไม่มีทางรู้หมด เอาแค่เห็น มากกว่าที่เห็น อย่าเห็นแค่เฉพาะสิ่งที่เราอยากให้เป็น หรือเห็นแค่คุณค่าความหมาย แต่จงเห็นมากกว่าที่เห็น แล้วการเห็นรูปจะไม่ก่อภพ ก่อชาติ ก่อตัว ก่อตน ได้ไหม
ไปแล้วนะ มีโอกาสคงมาฟังอีกนะ วันนี้ศิษย์พี่มาแค่นี้ ไปแล้วนะ ชีวิตนี้ไม่ใช่เป็นแค่มนุษย์แต่ยังมีอีกหนทางหนึ่งคือเรียกว่าหนทางแห่งการ เป็นพุทธะ ศิษย์พี่มาบอกให้เรารู้ว่ามนุษย์สามารถเป็นพุทธะได้ด้วยหัวใจที่หยั่งรู้ใน ความเป็นจริงแห่งชีวิต ไม่ใช่หยั่งรู้ในตัวศิษย์พี่ว่าจริงหรือเท็จ แต่หยั่งรู้ในตัวศิษย์น้องว่ามีอะไรที่จริงแท้และยิ่งกว่าจริง นั่นไม่ใช่ตัวตน แต่นั่นเรียกว่าธรรม
วันที่ ๒๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๔ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพฯ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานไท่อิน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนหายง่วงหรือยัง


เผยจริยะที่ด้านออกนอกนี้จากใจ คุณธรรมอยู่ไม่ไกลทำใจให้ผ่องแผ้ว
ต้องการแสงก้นเหวช้าโง่แน่แน่ว ต้องการแสงก้นเหวเร็วฉลาดดับไฟ
น้อมคือน้อมจากใจที่ยอมอ่อนน้อม ยอมคือยอมจากใจที่ให้กันได้
คนดีตามหลักสัจธรรมไม่หลบหลังใคร แย่ขนาดถึงหว่างหุบใจคือที่ขัง
ทุกอาการคิดพูดทำต้องมีธรรม ถูกจดจำเป็นแบบอย่างคนรุ่นหลัง
สร้างหนทางต้องก้าวเดินอยู่บนทาง ยอมเผาตนเป็นทางอย่างเปลวเทียนชนวน
คนเปิดเผยจริงใจรู้ที่ควรเหมาะ เคืองกันเพราะคิดต่างกันต่างมีส่วน
ปณิธานถูกขัดข้องเพราะใจคิดเรรวน หมั่นทบทวนกายใจไปพร้อมปัญญาตน
ฮา ฮา หยุด
(กลอนนำของพระอาจารย์เป็นรูปดวงตาที่มีไฟลุก ใบหูที่มีลมออกหู และปากที่มีน้ำไหลออกมา)

* หนึ่งหลักธรรมคำพูดมีหลากหลาย แต่ดวงใจไยไม่งงสักครั้ง จิตตัวรู้ของตน เหนือพ้นแค่ได้ฟัง ความคิด ชีวิต สมอง แค่ศาลา
เมื่อความหวังลุกโชนเป็นสาย จุดประกายหัวใจแห่งฟ้า ชอบไปพบผู้คนกุศลบุญมากกว่า  เก็บตัวไม่เคยให้ใครอาศัย
หลักแห่งฟ้า นั้นแทนลงไปด้วยเมตตา ที่คุ้นตา ใครหนักหนัก อย่าลืมศึกษามุ่งมองย้อนไม่มุ่งประจัน ให้สิ่งน้อย ละอันมานำใจทั้งใจ กว้างใหญ่ เนื่องต่อ ไม่มีขาดสาย   เมื่อสุขทุกข์บำเพ็ญอย่าหาย บนหนทางธรรม
( ซ้ำ  * )
** พาชีวิตอันดีงาม มาหยุดตรงความแจ่มใส  พารอยยิ้มและน้ำใจ ทุกวันทำใจให้เบิกบาน มาฝึกใช้ปัญญาธรรม ในสิ่งที่มีหลากหลาย คืนสู่พุทธะ   ณ ใจ ทุกวันทำใจให้เบิกบาน
( ซ้ำ  ** )


ชื่อเพลง  ธรรมนำชีวิต
ทำนองเพลง  ดอกไม้ของน้ำใจ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อาจารย์ขอเวลาศิษย์อีกนิดหนึ่ง ก่อนที่เราจะหันกลับมาคุยกัน ได้หรือเปล่า (ได้)  เพราะว่าศิษย์มีเวลาน้อยเหลือเกิน ไม่อยากกลับบ้านดึกใช่ไหม (ใช่)  ระวังบ้านจะไม่ใช่บ้านของเรานะ บางทีเราอาจจะกลับบ้านไม่ได้ก็ได้ คิดว่าเราจะกลับบ้านได้ทุกรอบหรือ ถ้าวันหนึ่งกลับบ้านไม่ได้จะทำอย่างไร ถ้าวันหนึ่งไม่เหลือใครจะทำอย่างไร ถ้าวันหนึ่งไม่มีอะไรเลยจะทำอย่างไร ลองคิดตอนที่รออาจารย์ให้กลอนดีไหม เผื่อความนิ่ง ความสงบจะช่วยทำให้เกิดปัญญาในการคิดได้ น้ำใสจึงสะท้อนเงา ถ้าวุ่นวายใจจะคิดอะไรได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ถ้าวันหนึ่งเรากลับบ้านไม่ได้ ไม่มีคนที่เรารัก ไม่เหลืออะไรเลย เราจะทำอย่างไร
(ร้องไห้, ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน, ทำใจให้สงบและยอมรับกับธรรมชาติที่เกิดขึ้น, คิดก่อน ถ้าเราคิดว่าเราจะไปไหนเราก็ไป ตั้งสติ ถ้าไปไหนไม่ได้เลยก็ต้องปล่อยวาง, ตั้งสติและยอมรับว่าในขณะที่มีชีวิตอยู่เราทำอะไร เราก็คงจะต้องรับตรงนั้นว่าถ้าเราทำดีเราก็จะได้ไปที่ที่เราฝันอยู่ แต่ถ้าทำยังไม่ถึงเราก็คงไปอีกที่หนึ่ง) ไปตามชะตากรรมใช่ไหม ดีก็รอดไม่ดีก็ตาย
(ทำใจเด็ดเดี่ยว ยอมรับความเป็นจริง) อกหักทำใจได้ไหม
(ใช้ปัญญาและศึกษาธรรมะที่ศิษย์พี่นาจาเมตตา และดำรงชีวิตต่อไป) ตอนนั้นศิษย์พี่นาจาก็ไม่อยู่ให้เห็นแล้วใช่ไหม ตอบได้ดีนะ
(ทำทุกวัน ทุกนาที ทุกชั่วโมงให้ดีที่สุด) ถ้าตอนนี้ไม่มีอนาคต อดีตก็วางไม่ได้แล้ว มีแค่ตอนนี้ที่ไม่มีอะไรเลย เหลือแต่เราและก็เรา
(ทำใจรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้) อาจารย์ถามศิษย์ว่าตอนนี้ศิษย์ทำใจได้ไหม (ไม่ได้)  วันนี้ใครบ้างที่จบหัวข้อ แล้วไม่ดูโทรศัพท์ ทำไมอาจารย์จึงอยากพูดอย่างนี้ ศิษย์รู้ไหมว่าสิ่งที่สามารถคุ้มครองเราได้ สิ่งที่สามารถช่วยเราได้ และสิ่งที่สามารถนำพาชีวิตหรือนำพาจิตใจเราได้คืออะไร บางคนบอกว่าคือธรรมะ คือพระที่คุ้ม คือตัวเราเอง ใช่หรือไม่
ที่จะทำให้เราสามารถเผชิญกับ ทุกเรื่องราวที่เราไม่คาดคิด ให้เราสามารถฟันฝ่าได้ แต่ตอนนี้ศิษย์อาจจะพูดได้ว่า ทำใจได้ แต่ถึงเวลาอาจารย์เห็น 99.99 เปอร์เซ็นต์ ทำไม่ได้ รับไม่ไหว ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้น สิ่งที่จะสามารถทำให้ศิษย์พ้นจากความทุกข์ในโลกนี้ แล้วฟันฝ่าเรื่องราวในโลกนี้ได้คือ ปัญญาที่คิดได้ ปัญญาที่มีอยู่ในตัวศิษย์ ไม่ว่าจะรวยหรือจน ขอเพียงอย่างเดียวอย่าอับจนปัญญา ถ้าเรามีปัญญาอยู่ที่ไหนไม่มีเงินก็มีเงินได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถึงแม้มีเงินแต่ไร้ปัญญา เงินก็หมดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้น สิ่งที่จะนำพาศิษย์ที่ดีที่สุด ไม่ใช่พระที่ตั้งอยู่ที่โต๊ะ ไม่ใช่พระที่แขวนอยู่ ไม่ใช่ธรรมที่เราจำได้ ไม่ใช่ความรู้ปริญญาเอก ปริญญาโท ฉลาดแต่ไร้ปัญญาก็ไม่มีประโยชน์ ฉะนั้นสิ่งที่ดีและประเสริฐที่สุดที่จะสามารถนำพาเราให้พ้นทุกข์ นำพาเราให้จิตใจหลุดรอดพ้นจากบ่วงแห่งทุกข์ในโลกนี้ คือ ปัญญาของตน ปัญญาที่รู้เท่าทัน แต่ควรจะเท่าทันตน เพราะศิษย์เท่าทันโลก หากเรามีปัญญาเท่าทันโลกแต่ไม่รู้เท่าทันตน ปัญญานั้นก็ไม่มีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเรามาศึกษาธรรมเพื่อเรียนรู้ความเป็นจริงด้วยปัญญาที่เราสามารถเข้าถึงได้ด้วยตัวตนเอง ไม่ใช่เข้าถึงที่ผู้อื่น ไม่ใช่เข้าถึงธรรมที่พระไตรปิฎกหรือคัมภีร์ แต่เข้าถึงที่ตัวตนเอง แล้วการจะเข้าถึงได้นั้นต้องอาศัยความนิ่งแล้วย้อนมองส่องตน ศิษย์เคยมองเห็นดวงตาที่สามไหม นั่นคือตนที่เห็นตนกำลังคิด ตนที่เห็นตนกำลังพูดมาก ตนที่เห็นตนกำลังจะโลภ จะโกรธ จะหลง นั่นแหละคือ “ดวงตาใน” หรือ “ดวงตาที่สาม” ที่เกิดได้เพราะความนิ่ง ฉะนั้นเจออะไรก็ตาม นิ่งไหม (ไม่นิ่ง) ไม่นิ่ง แต่เป็นแบบเขาว่ามา เราว่าตาม ใช่ไหม (ไม่ใช่)
ศิษย์กลัวภัยแห่งภายนอกที่เกิดจากไฟ น้ำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อาจารย์อยากบอกว่าไฟที่เกิดจากตา น้ำที่เกิดจากปาก และภัยที่เกิดจากลมน่ากลัวกว่า ตาที่ร้อนรุ่ม หูที่ชอบฟังแต่ลมปากของคน ปากที่ชอบพูดน้ำไหลไฟดับ ภัยใกล้ๆ ตัวทั้งนั้นเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วกิเลสมาจากไหน กิเลสเกิดจากตา หู  ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราจะดับกิเลสเราตัดตาทิ้ง ตัดหูทิ้ง ปิดปากทิ้ง ได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นศิษย์ต้องจำให้ดีและเข้าใจให้ถูกต้อง กิเลสไม่ได้เกิดจากตา หู ปาก แต่กิเลสใช้ตา หู ปากเป็นที่เกิด กิเลสใช้ตา หู ปากเป็นทางผ่าน แต่กิเลสจริงๆ เกิดจากที่ใด (ใจ)  เหมือนอาจารย์ถามว่า ในโลกนี้เป็นพิษเป็นภัยกับเราไหม (เป็น/ไม่เป็น)  ผู้หญิงสวยเป็นภัยต่อศิษย์ไหม ผู้ชายหล่อๆ เป็นภัยต่อศิษย์ไหม (ไม่เป็น)  ทำไมพูดไม่เต็มปาก หัวหน้าอาจารย์ยืมเงินสักหนึ่งพันซิ  เอานาฬิกาก็ได้นะ  (ยืมนะครับ)  อาจารย์ว่าแล้ว  มีอะไรอย่าให้มันแว้งกัด ถ้ามันแว้งกัดนั่นคือคนโง่ เลี้ยงสัตว์ให้มากัดตัวเอง และนาฬิกามันกัดเราได้ไหมศิษย์ (ไม่ได้ เพราะไม่คม) แต่ถ้ามันไม่อยู่กับศิษย์มันก็กัดได้ใช่ไหม (ใช่)  แล้วถ้ามันเป็นของศิษย์แต่อาจารย์จะเอามันก็เริ่มกัดศิษย์แล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าอาจารย์บอกว่าอาจารย์อยากได้ล่ะทำอย่างไร สวยด้วยนะศิษย์ มีเพชรล้อมรอบ มีมงกุฏเป็นยี่ห้อเรียกว่ายี่ห้ออะไรนะ (โรเล็กซ์)  มันเริ่มกัดไหม (กัดอาจารย์)  กัดอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์เอาใส่ดีกว่าดีไหม ว่ามันจะกัดอาจารย์หรือมันจะกัดหัวหน้านะ ได้หรือเปล่า
ฉะนั้นศิษย์ดูให้ดีนะ ถึงแม้อาจารย์จะบอกว่า ตานี้ถ้าไม่รู้จักมอง ตาจะเกิดไฟ หูถ้าไม่รู้จักฟัง หูจะนำลมพายุมาทำให้เราวุ่นวาย ปากถ้าไม่รู้จักพูด ปากนั้นจะทำให้เกิดอะไร น้ำท่วมปาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์ต้องดูให้ดี แต่ถ้าเกิดว่าเรารู้จักควบคุมตา ควบคุมหู ควบคุมปาก ควบคุมใจ มันก็จะไม่ทุกข์ มันก็จะมาเป็นกิเลสทำร้ายใจเราไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ตอนนี้ศิษย์ใจเย็นแต่หัวหน้าเริ่มตุ๊มๆ ต่อมๆ คิดในใจว่าจะได้นาฬิกาคืนไหมหนอ ศิษย์เอ๋ยตายไปก็เอาโรเล็กซ์ไปไม่ได้หรอก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบำเพ็ญธรรมต้องฝึกก่อนตาย ตายก่อนตายคืออะไร ก็ลองทิ้งมันก่อนตายสิ มีแล้วมันต้องเบาใจ ไม่ใช่มีแล้วหนักใจ มีแล้วหนักใจมีทำไมศิษย์ ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์ก็บอกอาจารย์เองว่าเกิดมาเป็นคนอยากมีความสุข แล้วทำไมมีแล้วมันมีแต่กังวล มีแล้วมันมีแต่เป็นทุกข์ แล้วยังจะมีไหม ก็มี มันก็โง่จริงๆ เลย ใช่หรือไหม (ใช่) เอามาใส่หรือ นึกว่าเอามาวางไว้ จะได้ทำใจ ศิษย์เอยแค่เรือนเดียวเองนะ ถึงแม้ราคาจะเป็นหมื่นเป็นแสน แต่ตกแตกแล้ว มันก็แสนสาหัสนะอาจารย์ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วถ้ามันตกแล้วทำอย่างไรล่ะ (ตกก็เก็บขึ้นมา)
ถ้าอาจารย์นั่งศิษย์ ก็จะ (นั่ง) ถ้าอาจารย์ยืนศิษย์ก็จะ (ยืน) แปลว่าถ้าอาจารย์นั่งศิษย์ก็นั่ง ถ้าอาจารย์ยืนศิษย์ก็ยืนใช่ไหม (ใช่) ถ้าอาจารย์ยืนศิษย์ก็จะ (นั่ง) ถ้าอาจารย์นั่งศิษย์ก็จะ (นั่ง) เป็นคนตรงๆ อย่างนี้ ใครจะเป็นอย่างไรไม่สน
ถ้าอาจารย์ยืนอาจารย์ให้ศิษย์นั่ง ดีไหม (ดี) ถ้าอาจารย์นั่งอาจารย์ให้ศิษย์ยืนดีไหม โลกมันจะได้สมดุล ในโลกนี้ไม่มีใครยืนโดยฝ่ายเดียว โลกนี้ไม่มีใครได้นั่งโดยฝ่ายเดียว เหมือน กันในโลกนี้ไม่มีใครเป็นผู้ได้โดยฝ่ายเดียว และในโลกนี้ไม่มีใครมีสุขโดยอย่างเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่) นี่คือหลักธรรมความเป็นจริง มีสุขก็ต้องมีทุกข์ มีเรื่องดีใจก็ต้องมีเรื่องเสียใจ แต่เราจะเข้าถึงแค่เพียงวิ่งไปตามสุขทุกข์ หรือเราจะอยู่เหนือสุขทุกข์ และการอยู่เหนือคือทำใจให้เป็นกลาง หรือที่เราเรียกว่าเดินสายกลาง แล้วเราเดินสายกลางหรือเดินสายคด (สายคด)
เรานับถืออะไร จงอย่าประมาทและจงนำเอาธรรมนั้นมาเป็นคำสอนเตือนใจแล้วศิษย์จะไม่ต้องทุกข์ หรือถ้าจะทุกข์ก็ทุกข์เบาบางเพราะมีสติเตือนตน หรือมองให้เป็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นก็แค่หนึ่งเดียว จะร้องไห้ไปทำไม จะหัวเราะแล้วได้อะไร วันนี้ชนะต่อไปฉันอาจจะแพ้ วันนี้ฉันเป็นผู้ได้แต่ต่อไปฉันอาจต้องเป็นผู้เสีย และอาจจะเสียมากกว่าได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ใครจะตอบได้และใครจะควบคุมได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ศิษย์บอกว่า ศิษย์คุมได้ แต่บางครั้งเรื่องราวในโลกใบนี้ก็ยากเกินควบคุม เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนต้องมีเหตุปัจจัย คนบางคนทำดีเท่าไหร่แต่ก็กลับไม่ได้ดี ฉะนั้นเมื่อเรามองว่าเกิดเป็นคนต้องรู้จักเดินสายกลาง แต่เราก็อย่าลืมก้าวต่อไปอีกว่าเกิดเป็นคน “ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุปัจจัย” เมื่อมองไปถึงเหตุปัจจัยแล้วเราก็ต้องก้าวต่อไปอีก ว่าในเหตุปัจจัยนั้นถ้าเราดิ้นรนเต็มที่ถึงที่สุดแล้ว เราอยากจะได้แต่ไม่ได้ เราก็ต้องก้าวต่อไปว่า “ล้วนเป็นเช่นนั้นเอง” ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะก้าวต่อไปอีกไหม (ก้าว)  มีธรรมก้าวต่อไปอีก คืออะไร คิดได้ไหม
เกิดเป็นคนเราหนีไม่พ้นดี ร้าย ได้ เสีย ทุกข์ สุข ฉะนั้นการครองใจไม่ให้กระเพื่อมไหวไปกับดี ร้าย ได้ เสีย ทุกข์ สุขก็คือมองให้เป็นกลางหรือมองให้เห็นเป็นหนึ่งเดียว เราจะได้ไม่ดีใจจนต้องเสียใจ เสียใจจนลืมดีใจไป
แล้วเมื่อเรามองเป็นกลางแล้ว เราต้องก้าวต่อไปอีกว่า ถ้าเราพยายามจนถึงเต็มที่แล้วพยายามทำใจยอมรับกับทุกสิ่งแล้ว แล้วทำไมมันไม่ได้ ที่ไม่ได้เพราะทุกสิ่งล้วนเป็นเหตุปัจจัย
เมื่อเรายอมรับว่าทุกสิ่งล้วนมีเหตุปัจจัย เราทำเต็มที่แล้ว แล้วมันไม่ได้ก็ก้าวต่อไปว่า ล้วนเป็นเช่นนั้นเอง
แล้วเมื่อเราต้องก้าวต่อไปอีก ที่เราลืมไม่ได้ และไม่ควรลืมไปจากชีวิต ก้าวนี้ก้าวสำคัญ นั่นคืออะไร
อาจารย์รู้ว่าศิษย์ต้องก้าวแน่ แต่ถ้าก้าวโดยไม่มีหลักคิด ไม่มีปัญญาหยั่งรู้ ก็จะทำให้ศิษย์นั้นก้าวแล้วมีแต่ความทุกข์ความขมขื่นใจ ทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมฉันต้องรับทุกข์ ทำไมลูกเป็นอย่างนี้ ทำไมสามีเป็นอย่างนั้น ทำไมงานต้องเจออย่างนี้ เคยไหม (เคย)  แล้วเราทำอย่างไร คิดแค่เพียงว่าทำใจ การทำใจต้องมีหลักทำใจด้วยนะศิษย์ มองเห็นมันไม่เที่ยง มองเห็นว่ามันมีปัจจัย มองเห็นว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง
(เดินหน้าแล้วมองไปข้างหลังเลย)  การจะเดินไปข้างหน้าได้ดีบางทีก็ต้องมองข้างหลัง หรือถอยหลังเพื่อมาคิด ใช่หรือไหม (ใช่)  พูดอย่างนี้น่าจะเข้าใจมากกว่าไหมศิษย์ ถอยหลังคิดก่อนที่จะเข้าต่อไป เหมือนเวลาสัตว์มันจะก้าวไปข้างหน้ามันจะถอยหลังไปสักนิดหนึ่ง แล้วก็ทำตัวเหมือนอ่อนแอแล้วพร้อมพุ่งกระโจนไปด้วยแรงอันเต็มเหนี่ยว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ลองไปสังเกตสิ เวลาเสือมันกระโจนจับเหยื่อ มันจะทำท่าเหมือนจะหมดแรง ทำท่าเหมือนหมอบอยู่ไม่มีอะไร แต่ถ้ามันกระโจนปุ๊บ แรงพลังมันไปเต็มที่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวเราก็เหมือนกันบางครั้งก็ต้องรู้จักถอยมาสักก้าวหนึ่ง เผื่อจะมองอะไรชัดเจนขึ้น ใช่หรือเปล่า
ทวนคำถามอีกหนึ่งครั้ง เราอยู่ในโลกนี้เป็นโลกแห่งความทุกข์ ศิษย์จะใช้การปลง ปล่อยวางทุกเรื่องไม่ได้ บางเรื่องศิษย์ต้องรู้จักหลักเหตุผล บางเรื่องศิษย์ต้องยอมรับว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง ทำถึงที่สุดแล้ว ทำอะไรไม่ได้แล้ว บางเรื่องเราต้องมองเห็น ทำใจเป็นกลาง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อาจารย์บอกว่าในเรื่องแต่ละเรื่องนั้นมันมีที่สิ้นสุดของมัน และมันจะจบลงได้ด้วยการคิดอย่างไรต่อไป แล้วนั่นคือจุดสิ้นสุดของทุกชีวิตที่จะต้องมีอยู่ในใจ ห้ามลืมนะศิษย์ (เราต้องยอมรับความเป็นจริง)  ความเป็นจริงอะไรที่มีอยู่ในทุกชีวิต (ความเปลี่ยนแปลง ไม่เที่ยง)  ความเปลี่ยนแปลง ไม่เที่ยงอะไรล่ะ เข้าให้ถึง ไปให้สุด (จิตใจ)  ถึงที่สุดแล้วทุกสิ่งทุกอย่างล้วน (ธรรมชาติ, จิตใจที่ว่างเปล่า, การหยั่งรู้, การให้อภัย)  ก็เกือบถูกแต่จริงๆ มีคนถูกแล้ว (เวรกรรม)  อันนั้นคือยอมรับตามเหตุปัจจัย มันเป็นเช่นนั้นเองใช่หรือไม่ (ใช่)  (ธรรมะ) ธรรมะอะไรล่ะศิษย์ พุทธะช่วยคนที่รู้จักช่วยตนนะศิษย์ ทุกคนต่างมีปัญญาเท่ากัน ปัญญาศิษย์ก็ไม่ต่างจากปัญญาอาจารย์ แต่บางครั้งเราก็บอดมืดเหมือนกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)
อาจารย์เฉลยก็ได้นะ ถึงที่สุดที่ทำให้เราสามารถทำใจได้นั่นก็คือ ความว่างเปล่า ใช่ไหม (ใช่)  เรามองเห็นเป็นคน เรามองเห็นเป็นสิ่งที่เกลียด เรามองเห็นคือความทุกข์ แต่ถ้าเรามองว่าถึงที่สุดเดี๋ยวมันก็ตาย เดี๋ยวมันก็ไป มองได้แบบนี้บางทีจบได้ทันทีเลยนะศิษย์ มันไม่ตายเราก็ตาย ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นเราต้องจำไว้ ทุกคนล้วนกลับคืนสู่ความว่าง แต่ถ้าจิตใจของศิษย์ยังเต็มไปด้วยกิเลสความคิดสั่งสม สัญญา ความจำได้ หมายรู้ไม่รู้ลืม จิตนั้นจะไม่สามารถทำให้ศิษย์นั้นว่าง จิตนั้นกลับจะเต็มไปด้วยกิเลส ความจำได้หมายรู้ แล้วก็แล่นไปตามสิ่งที่เป็นเหตุปัจจัย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเรามีชีวิตเพื่อจิตสั่งสมหรือเพื่อจิตคืนสู่ความว่าง (ความว่าง)  แล้วตอนนี้จิตเราสั่งสมหรือว่าง (สั่งสม)  เรามีแต่สั่งสม  นรกเปิดให้มีอยู่สามทาง ถ้าใครคบก็มีนรกเป็นเพื่อน จิตไปตามสิ่งสั่งสมแล้วเราสั่งสมอะไรไว้ทุกๆ วัน  สั่งสมความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยากได้ ความอยากมี ความอยากสวย ความอยากรวย ความอยากได้เลขสองตัวสามตัว ใช่ไหม (ใช่)  แล้วโลภ โกรธ หลง ก็เป็นหนทางแห่งอบายภูมิ  มีชีวิตไม่ต้องคำนึงถึงผิดชอบชั่วดี คุณธรรมไม่ต้องสนใจ สนองแต่กิเลส อยากกินก็กิน  อยากเที่ยวก็เที่ยว  ไม่สนใจใคร เอาแต่ตัวเองรอด ไม่ต่างอะไรจากสัตว์เดรัจฉาน ใช่ไหม (ใช่)
ทำ อย่างไรให้เราสามารถสงบ ทำอย่างไรให้เราสามารถดับทุกข์ ทำอย่างไรให้เราสามารถพ้นเวียนว่าย สามคำถามสามารถหาได้ในหนึ่งคำตอบ (การปล่อยวาง, ความอยากได้อยากมี, ทำใจให้ว่าง)  (รู้จักพอไม่ยึดติด)  ไม่ยึดมั่นถือมั่น (ศึกษาธรรมตามพุทธะ)  อย่าแค่ศึกษาแต่ต้องลงมือปฏิบัติด้วย (หยั่งรู้, มีสติและปัญญา, ทำใจให้นิ่งเฉย, สะอาด สว่าง สงบ, ทำใจให้ว่าง, มีศีลธรรม)   มีศีลธรรมแต่บางครั้งก็ยังขี้โมโห ยังขี้งกอยู่ ใช่หรือไม่ (ทำใจให้ใสเหมือนดั่งสายน้ำ ทำใจให้ว่างเหมือนดั่งอากาศ)  แต่บางครั้งน้ำสะอาดก็ถูกทำให้สกปรกได้ แต่ถึงจะสกปรกก็อย่าได้โกรธนะ (ศีล สมาธิ ปัญญา)  แล้วศีลครบหรือยัง ไม่โกหกยังทำไม่ได้เลย ไม่ลักขโมยก็ยังทำไม่ได้เลย ยังแอบลักขโมย สิ่งที่ไม่ควรดูก็อยากดู สิ่งที่ไม่ควรฟังก็อยากฟัง ถ้าศีลยังไม่ครบ สมาธิกับปัญญาก็ยากเกิดเพราะใจมันหวั่นไหว ใช่ไหม (ถึงแม้คิดว่าของๆ เรา แต่มันไม่ใช่ของเรา)  ปล่อยวาง (ประพฤติดีและใช้ปัญญา, สร้างบุญกุศลไม่ยึดติด)  กุศลคืออะไร บุญคืออะไร เข้าใจหรือยัง (เข้าใจแต่ยังไม่ถ่องแท้)  กุศลคือความฉลาด อกุศลคือความโง่ อาจารย์สรุปง่ายๆ เลยนะ ถ้าศิษย์สามารถมีรากแห่งกุศลได้ก็คือ ไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ ไม่มีหลง แล้วบุญคืออะไร บุญคือเครื่องชำระจิตใจให้ผ่องใส แต่อาจารย์อยากจะบอกว่า บุญคือเครื่องชำระสันดานให้หมดไป แค่ใจยังไม่พอ ต้องชำระสันดานเลย
ฉะนั้นถ้าเราประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ แล้วไม่ประกอบด้วยโลภ โกรธ หลง ศิษย์จะสามารถถึงบุญและกุศลด้วยความฉลาดไม่โง่  บุญคือ (อยู่อย่างพอเพียง ไม่โลภมากเกินไป)  แล้วพอหรือยัง (ก็พอ)  อายุขนาดนี้ต้องพอแล้วนะ แล้ววางได้หรือยัง (ยัง)  ต้องวางแล้ว ต้องพอแล้ว ต้องปล่อยได้แล้ว (ยังมีแรงกายก็ยังต้องทำ)  ทำเท่าที่ไหว (ไม่อยากเป็นคนเกียจคร้าน)  อาจารย์ไม่ได้บอกให้เลิกทำ อะไรที่ควรทำก็ทำอยู่ แต่ทำอย่างคนที่หมดห่วง วางได้ ไม่ได้ทำอย่างคนที่เต็มไปด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง
(มองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นหนึ่งเดียวกัน)  แล้วมองเป็นหนึ่งเดียวหรือยัง (ใช้ธรรมะควบคุมใจ, ทำจิตใจให้เข้าใจถึงธรรมะให้มากที่สุด, ดับอธรรม)  แล้วอธรรมตัวไหนที่น่ากลัวที่สุด (ความอยาก)  ความอยากหรือความแน่ “ฉันก็แน่ ไม่ค่อยยอมใคร” ดับที่ควรจะดับให้ได้มากที่สุดคือ ดับตัวตนของตน (พยายามขัดเกลาจิตใจตัวเอง เอาชนะความอยากของตัวเองให้ได้ เอาชนะใจตัวเองให้ได้)  ชนะได้บ้างหรือยัง (ต้องขัดเกลาจิตใจตัวเองให้แน่วแน่)  การชนะได้ต้องรู้เท่าทันเมื่อเวลาโดนกระทบ โกรธไหม (ไม่โกรธ ไม่เกลียด)  ต้องทำได้เมื่อยามโดนกระทบ (หยุดคิดแล้วก็ทำ)  แต่บางทีมนุษย์เรามักจะคิดนะ คิดด้วยความว่างเป็นไหม พูดยาก แต่ถ้าทำได้จะประเสริฐนะ
(เรียนรู้ธรรมะแล้วรู้จักปล่อยวาง)  แล้วขยันเรียนไหม ขยันเรียนหรือขยันเล่นเกม
(ทำใจให้หลุดพ้นจากกิเลส)  อาจารย์ว่าให้ดูศิษย์คนนี้หน่อย ศิษย์ว่าเขาจะมีทุกข์มากที่สุด ปัญหาอยู่ที่ไหน หันไปมองคนอื่นกลัวอะไรศิษย์ ทุกข์ที่น่ากลัวสำหรับเขาคืออะไร ปัญหาหนักอกสำหรับเขาที่สุดคืออะไรรู้ไหม (ผู้หญิง)  ปัญหาที่หนักอกเขาคือรูป (หล่อ)  ความหมายของอาจารย์คืออย่าหลงรูป ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ศีล สมาธิ ปัญญา)  แต่ศีลห้าข้อยังถือไม่ครบ
(ไม่ยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง)  แล้วยังยึดอยู่ไหม
(คิดดี ทำดี)  แล้วไม่พูดดีหรือ (พูดบ้างแต่อย่ามาก)  คิดดี ทำดี พูดดี แต่อย่าพูดมากเพราะพูดมากแล้วจะไม่ดี บางครั้งแม้กระทั่งความดีก็ต้องปล่อยวาง เพราะถ้าเกิดเราไม่ยึดมั่นความชั่วแต่ตอนนี้เรามายึดมั่นความดีก็ไม่ต่างกัน
(ตื่นรู้ ตระหนักรู้ต่อทุกสิ่งที่มากระทบ)  มีสติรู้เท่าทัน ตื่นรู้ตระหนักรู้
(ศึกษาธรรมะเพื่อให้รู้จิตเดิมแท้ของตัวเอง ทำใจให้ว่าง)  แล้วว่างหรือยัง
(บำเพ็ญธรรม)  บำเพ็ญธรรมลดอัตตาตัวตน
(หมั่นบำเพ็ญตน ขัดเกลาจิตใจ)  ขัดเกลาสิ่งที่ไม่ดี นิสัยที่ชอบเอาแต่ใจ
(มีสติยึดมั่นในความดี)  บางทีความดีก็ยึดมั่นไม่ได้นะ ดีแล้วต้องไม่ดีหวังผลถึงจะประเสริฐ
(ปล่อยวาง)  ศิษย์มีปัญญาอยู่แล้วอาจารย์เชื่อ
(พยายามลดละกิเลส ตัวเอง)  ค่อยๆ ลดทีละตัวก็ยังดี ปีนี้ลดความโกรธก่อน ปีหน้าลดความโลภ (แล้วอาจารย์จะช่วยได้ไหม)  อาจารย์ช่วยไม่ได้ ศิษย์ต้องช่วยตัวเอง ต้องมีสติทุกครั้งที่โดนคนว่าทางหู มองเห็นคนที่ไม่น่ารัก เจอคนพูดมาก ตั้งสติให้ดี อย่าโกรธ อย่าโต้ตอบ ไม่อย่างนั้นจะสร้างเวรไม่จบสิ้น (ตั้งใจทำความดี)  โดยไม่หวังผลได้ไหม (มรรคแปด)  มรรคมีองค์แปด แล้วจำได้ไหมว่ามีอะไรบ้าง (มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ)  ฉะนั้นต้องตั้งตนไม่ให้ประมาท ได้อะไรมาก็ไม่ควรดีใจ เสียอะไรไปก็ไม่ควรเศร้าใจ เพราะมันเป็นโลกธรรมแปด ไม่ใช่มรรคมีองค์แปด (หยุดนิ่งเฉยๆ)  แล้วเราหยุดนิ่งได้ไหม น่าจะยากนะ (มั่นใจในตัวเอง)  บางทีความมั่นใจก็กลายเป็นความดื้อดึงและดันทุรังนะ ก็ต้องฟังคำพูดคนเตือนบ้างนะ (เมื่อเหตุการณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับเราก็ไม่ปรุงแต่ง)  แล้วก็ไม่ยึดติดในอดีตหรืออนาคต มองแค่ปัจจุบัน บางครั้งเราเสียใจเพราะเราคิดว่าเมื่อก่อนเขาไม่ได้เป็นแบบนี้ หรือเมื่อก่อนเราไม่ได้เป็นแบบนี้ แล้วทำไมตอนนี้เราต้องเป็นแบบนี้ ใช่หรือไม่ เพราะชีวิตมีแค่ปัจจุบัน
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันร้องเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง “ดอกไม้ของน้ำใจ”)
เพลงนี้ยังไม่มีชื่อเพลง อาจารย์ให้ศิษย์ช่วยกันแต่งชื่อเพลงนี้ดีไหม ศิษย์ว่าร้องจนจบแล้วชื่ออะไรเหมาะกับเพลงนี้ดี เสนออะไรอาจารย์ก็อยากให้ เผื่อว่ากินผลไม้ของอาจารย์แล้วจะทำให้ศิษย์นั้นอยากจะกลับมาหาอาจารย์อีกนะ ไม่ต้องกลัวอาจารย์ไม่ใส่มนตร์ไม่ใส่คาถาอะไร แค่ขอให้ศิษย์เข้มแข็งอดทนอยู่บนโลกนี้ไปได้อย่างคนพ้นทุกข์ เอาคาถานี้ไปดีกว่าใส่ไปในแอปเปิ้ล
มีใครอยากตอบอีก (ดอกไม้แห่งธรรมะ)  ชื่อเหมือนชื่อเก่านะ ให้แค่ตั้งชื่อเพลงไม่ยาก เพราะอาจารย์อยากแจกแอปเปิ้ล (หลักแห่งฟ้า)  มาหนึ่งวันเอาไปครึ่งลูกดีไหม (ธรรมนำชีวิต)  ศิษย์ยืนขึ้น อาจารย์ชอบศิษย์คนนี้นะ เมื่อสักครู่อาจารย์ตั้งคำถามไปข้อหนึ่งว่าอย่างไรจำได้ไหม ที่คำตอบหนึ่งคำตอบสามารถตอบได้สามคำถาม ทำอย่างไรที่จะสามารถทำให้เราดับทุกข์ได้ ทำอย่างไรที่จะสามารถทำให้เราไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดได้ และทำอย่างไรให้เราไม่ต้องวุ่นวายแต่สงบนิ่งได้ ศิษย์ว่าศิษย์เห็นสองคนนี้แล้วศิษย์สงบไหม ศิษย์เห็นสองคนนี้ศิษย์ทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ไม่ทุกข์ สงบนิ่งได้ แล้วก็ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดได้ ใช่ไหม (ใช่)  เชิญนั่งนะ แต่อาจารย์เห็นอาจารย์ก็ทุกข์นะ เพราะโลกนี้คือกองทุกข์ อาจารย์อยากจะบอกว่า โลกใบนี้ ไม่ว่าอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นผู้ปฏิบัติงานธรรม ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ เหมือนกองทุกข์กองหนึ่ง แต่อาจารย์เปลี่ยนได้ไหม ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ หรือศิษย์ก็คือกองขี้กองหนึ่ง ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์พูดผิดไหม (ไม่ผิด)  มีคำตอบเดียวที่สามารถตอบได้ทุกคำถามก็ คือ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน แก่นของธรรมะที่ศิษย์นับถือหรือเรียกว่าแก่นของพุทธศาสนามีหลักธรรมอันเดียว คือ สิ่งใดๆ ในโลกทั้งปวงล้วนไม่น่ายึดมั่นถือมั่นว่า ตัวเรา หรือ ของเรา เพราะมีตัวตนจึงมีทุกข์ มีกิเลส มีความอยาก มีความโลภ แต่ถ้าเราสามารถมองเห็นตัวตนนี้ว่า
อ้าปากก็มี (ขี้ปาก) ลืมตาก็มี (ขี้ตา)  ขยับเขยื้อนก็มี (ขี้ไคล)  นึกว่าขี้เกียจ ฉะนั้นถ้าศิษย์มองว่ามันคือกองทุกข์ เรายึดมั่น เราพยายามแสวงหาเพื่อบำรุงเลี้ยง แต่บำรุงเลี้ยงโดยไม่โลภ  บำรุงเลี้ยงโดยไม่โกรธ  บำรุงเลี้ยงโดยไม่หลงได้ไหม ทำเพื่อธรรม แต่เดี๋ยวนี้เราบำรุงเลี้ยงชีวิตสนองตามสัญญาที่จำ ใช่ไหม (ใช่) อยากกินเป็ดก็ต้องเป็นร้านนี้  อยากกินไก่ก็ต้องไก่ร้านนั้น  แต่ทั้งเป็ดทั้งไก่ก็คือขี้ที่เอาลงมาใส่ในขี้ และเราก็กอดกองขี้ แล้วเราก็รับขี้ และเราก็อยากมีขี้ ใช่ไหม (ใช่)  ขี้ก้อนเดียวพอไหม (ไม่พอ)  อยากมีหลายๆ ขี้ มีแล้วห่วงไหม (ห่วง)  รักไหม (รัก)  หลงไหม (หลง)  หอมไหม  ฉะนั้นศิษย์ต้องมองให้ออก ถ้าศิษย์ปล่อยวางไม่ได้สักวันหนึ่งดังที่อาจารย์บอก  ศิษย์จะต้องปล่อย  วันนี้ไม่ปล่อย วันนี้ไม่ฝึกดับ สักวันหนึ่งศิษย์ต้องดับ ฉะนั้นจงรู้จักดับก่อนดับ ปล่อยก่อนที่จะต้องฝืนใจ ด้วยการฝึกทำใจอย่างคนฉลาด
คนฉลาดคือคนที่รู้จักดำเนินกุศล คนโง่คือคนที่พยายามมีอกุศล คนฉลาดดำเนินชีวิตไปทางที่ชอบ ไม่มีโลภ โกรธ หลง คนนั้นจะสามารถเข้าถึงบุญและกุศล แต่ถ้าดำเนินชีวิตไม่ประกอบไปด้วยความชอบ เต็มไปด้วยความอยาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง คนนั้นคือคนที่กำลังเดินทางบาปและลงสู่นรกเพื่อเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น  และคนนั้นคือคนโง่  กุศลเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าคนฉลาด หรือเรียกว่าฉลาด แล้วฉลาดอย่างไร  บำเพ็ญตอนไหน ฝึกตอนไหน ฝึกตอนที่เราโดนกระทบ ไม่ว่าทางตา ทางหู ทางร่างกาย เมื่อโดนกระทบ ใจเย็นๆ อย่างเพิ่งโต้ตอบ เพราะการโต้ตอบคือการสร้างกรรมอันต่อเนื่อง สร้างกิเลสที่ก่อกองวิบากกรรมที่จะทำให้เกิดกิเลสต่อกิเลส ในขณะที่โดนกระทบ จากความสวย จากไอแพด4  บีบี หลุยส์วิตตอง เอาไหม (เอา) พูดไม่ออกเลย ยังเอาอีกเหรอ  เอามาทำไม อย่าลืม ของฟรีไม่มีในโลก มีเพื่อหลอกล่อให้เราเป็นเหยื่อ อยากได้ขี้ก็ต้องเอาขี้ไปตก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วก็จะได้ขี้ตามมาใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วเราตกขี้ไหม
ฉะนั้นเวลาศิษย์เจอสิ่งกระทบ ศิษย์ต้องรู้จักมีสติ รู้จักคิดรู้จักเลือกอย่างคนฉลาด มีแล้วต้องเอาทุกอย่างไหมในโลกนี้ (ไม่) เสื้อผ้ายังรู้จักเลือก ทำไมโลภโกรธหลงไม่รู้จักเลือกบ้างล่ะ ทำไมโง่ไปเอามันมา ใช่ไหม ผลไม้ยังรู้จักเลือก แฟนยังรู้จักเลือก แต่เลือกไปเลือกมาได้อุจจาระ แถมไปๆ มาๆ ยังเกิดกองอุจจาระ อยู่บนโลกนี้มีความสุขไหม สุขหรือทุกข์
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “บุคคลักษณะผู้บำเพ็ญ”)
“บุคคลักษณะผู้บำเพ็ญ” ต้องประกอบไปด้วยจริยะ ศีล และปัญญา ในจริยะนั้นควรประกอบไปด้วยความประพฤติที่รู้จักให้ มีธรรมและไฟสุขุม ศิษย์ฉลาด รู้เท่าทันคน แต่ศิษย์ก็ต้องฉลาดรู้เท่าทันตัวเองด้วยนะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อเพลงพระโอวาทว่า “ธรรมนำชีวิต” ตามเสียงโหวตของนักเรียนในชั้น)
ศิษย์ฟังไปสองวันแล้ว เอาธรรมะไปให้ถึงใจนะ อย่าจบแล้วจบกันน่าเสียดาย ชีวิตนี้อาจารย์ดูแลศิษย์ได้ไม่ตลอด คนที่จะดูแลตัวเองได้คือตัวศิษย์เอง แล้วคนที่จะนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้ก็คือ ตัวแห่งธรรมะที่ประกอบไปด้วยปัญญาอันรู้เท่าทันกิเลสที่จะเกิดขึ้นในตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่)
โลกนี้น่าอยู่หรือ ตัวเรานี้น่ารักหรือ ชีวิตนี้ยังน่าปรารถนาอีกหรือ ทรัพย์สินในโลกยังแสวงหาไม่พออีกหรือ มนุษย์เราที่ต้องวุ่นวายและเป็นทุกข์ไม่จบสิ้นเพราะไม่เคยพอ อายุปูนนี้น่าจะพอได้แล้วนะ อย่ารอให้ความเป็นจริงมาเคาะประตูแล้วบอกว่า หมดตัว ทิ้งทุกอย่าง ไปสู่บ้านที่ไม่มีบ้าน เพราะทุกอย่างล้วนตามจิตสั่งสม สั่งสมบุญหรือสั่งสมบาป
วันนี้อาจารย์ก็คงกลับได้แล้ว ไปแล้วนะ อย่าหลงเลยไม่มีอะไรน่าหลง แม้แต่ตัวเราก็หลงไม่ได้ ไปกับอาจารย์ไหม อะไรวางได้ก็วาง มาช่วยได้ก็มาช่วยนะ กลัวอย่างเดียว กลัวยังห่วง ห่วงนั้นมีแต่จะทำให้ทุกข์ถ้าไม่รู้จักปล่อยวาง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีทางของตัวเอง ถึงที่สุดเราก็ดูแลลูกได้ไม่ตลอดหรอกนะ เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องอยู่ในศีลธรรมนะ กลัวจะเป็นคนดื้อแล้วก็ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ
ถ้าความดียึดมั่นไม่ได้ สิ่งที่ยึดมั่นได้คืออะไรรู้ไหม คือความว่างนะศิษย์ (หวังอาจารย์เป็นพฤกษา)  แต่อาจารย์หวังศิษย์เป็นฟ้า ไม่เป็นต้นไม้ที่ออกดอกออกผลไม่จบสิ้น (แล้วตอนร่วงลงมา)  ต้นไม้ที่ออกดอกออกผลไม่จบสิ้น (ไม่เป็นต้นไม้ที่ไม่มีดอกไม่มีผล)  เราต้องพอได้แล้วนะ ใช่ไหม ถ้าคนอย่างศิษย์มาช่วยอาจารย์ได้ก็คงดี  ให้อาจารย์เคาะกระโหลก อาจารย์เป็นหลวงพ่อเหรอ อย่าให้อาจารย์รอเก้อ อย่าให้อาจารย์เสียใจและผิดหวังที่มีศิษย์ดีแล้วแต่ดีไม่ถึงที่สุด ดีแล้วแต่ยังติดในตัวตน น่าเสียดายนะ ดีอย่างคนที่มีธรรมที่ควรจะดี ทำสิ่งที่ถูกต้อง มุ่งมั่นแล้วขอให้สำเร็จนะ ไม่ต้องร้องไห้ ศิษย์ของอาจารย์ต้องเข้มแข็ง
เดินกับอาจารย์ไปกับอาจารย์ด้วยหัวใจแห่งธรรมที่นำพาผู้คนอย่างถูกต้อง ไม่ใช่คนที่หลงในโลก แต่เป็นคนที่ตื่นจากความเป็นจริงด้วยธรรมะและปัญญาในตนเอง ปัญญาแห่งการรู้ตื่นในธรรม โลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ โลกนี้คือกองทุกข์ และโลกนี้จริงที่สุดก็คือความว่าง ว่าเรากำลังเดินไปสู่ความโลภ โกรธ หลง และถึงที่สุดเราก็ทำใจไม่ได้ที่จะปล่อยวาง เพราะเราเคยชินกับการยึดมั่นถือมั่น แต่ชีวิตจริงนั้นคือการที่ต้องรู้จักปล่อยวางบ้าง แม้สังขารก็ยังเอาไปไม่ได้เลย สิ่งที่เอาไปได้คืออะไร คือความว่างแห่งจิตใจที่สงบ ใส และเบา เราสงบได้หรือยัง ยังสงบไม่ได้ก็เพราะศิษย์ยังไม่รู้พอ เราไปคนเดียวได้ไหม เราทิ้งทุกอย่างได้ไหม ถึงที่สุดศิษย์ต้องไปคนเดียวนะ ไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากตัวเองและปัญญาแห่งธรรมที่ตื่นรู้จากความเป็นจริง ใช่ไหม (ใช่)
เราอยู่บนโลกนี้เพื่อยืมใช้ ถึงเวลาคืนเขาไป แต่อย่ายืมใช้อย่างคนโง่ที่สร้างบาปกรรมไม่จบสิ้น แต่ต้องยืมใช้อย่างคนฉลาดที่เดินสู่หนทางที่ถูกและประเสริฐ เริ่มต้นง่ายๆ มีศีลธรรมในใจหรือยัง เริ่มต้นง่ายๆ อย่าเบียดเบียนสัตว์ได้ไหม ทำเดือนละอย่างก็ได้ ทำปีละอย่างก็ได้ ค่อยๆ ลดดีไหม
เพราะถึงที่สุดแล้วการบำเพ็ญธรรมก็คือ ลด ลด ลดจนไม่มีอะไรให้ลด จนไม่มีแม้กระทั่งตัวตนให้ทุกข์ ทำใจให้ได้นะ เอาชนะใจตัวเองให้ได้ โลกนี้ไม่สวยงามเท่าไหร่หรอกนะ โลกนี้คือภัย ภัยแห่งการเวียนว่าย พลาดปุ๊บ ศิษย์ต้องเวียนว่าย ศิษย์กลัวโลกแตกไม่ใช่หรือ อยากเจอโลกแตกครั้งเดียวแล้วจบกัน หรืออยากเจอโลกแตกไม่จบสิ้น ถ้าอยากเจอโลกแตกครั้งเดียวแล้วจบสิ้น หรือไม่ต้องเจอโลกแตกเลย ต้องหยุดภัยที่ตัวเองก่อนใช่หรือไม่

บำเพ็ญธรรมอุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวร บำเพ็ญธรรมอุทิศให้กับผู้อื่น แต่ไม่ใช่เพื่อตัวเอง ทำเพื่อผู้อื่น


ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา