西元二0一一年歲次辛卯三月二十八日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๓๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๔ สถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก
พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง
แม้มีมากคุณค่ากลับน้อยราคา มีน้อยแต่รู้พอหนาค่ายิ่งเผย
ถึงมีมากแต่ใจกลับไม่พอเลย มีแต่ไม่สุขเอยเหมือนไม่มี
เราคือ
ต้าเซี่ยวฝอถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานผู่ถี แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว ถามทุกท่านสบายดีไหม
แปรเปลี่ยนอันเป็นโทษให้เป็นคุณ คนใหม่นิสัยใดต้องหมุนขยับหนี
เก็บอัดอั้นไว้รักษากดให้ดี การกระทำสิ่งนี้ทำไม่ได้นาน
เกียรติทรัพย์ใดอยู่เป็นศรีประดับใคร คนตื่นโลกพ้นอยากในวัตถุนั้น
ไม่ยึดมั่นใดในโลกเป็นสำคัญ แสงตะวันมีในโลกีย์มีในใจ
นิ่งยามวุ่นที่บำเพ็ญทำให้ดี ทำวันนี้วันธรรมดาให้ยิ่งใหญ่
คนบำเพ็ญเกียจคร้านจะไปทางใด ควรไม่ควรเกินไม่เกินสำรวจตน
หวังใครนี้เป็นได้ดั่งใจท่าน มีต้องทุกข์เพราะมั่นจนเต็มล้น
คอยจับผิดตรงปมด้อยลักษณะคน แม้แต่ที่หน้ายึดจนยับไป
โลภโกรธหลงจิตใจวิ่งเวียนวน อัตตาขนแบกทุกข์ถือไม่ไปไหน
รู้เท่าทันสติมั่นคงปัญญาไว ติคำสรรเสริญคำหน่ายไหมใจคน
คนรู้โลกรู้คนไม่รู้ตัว ญาณสลัวเป็นฟ้าเมฆดำอุ้มฝน
ชมสิ่งสมมุติเป็นเพลิดเพลินเดินจนวน ใช้อินทรีย์สับสนเพลินเดินจนโทรม
ฮิ ฮิ
หยุด
พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถงเมตตา
คิดเสมอว่าสิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นดี
เราก็คงยิ้มได้กับทุกเรื่องราวในโลกใบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้ตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่ให้ครบสามวัน
ตัดสินใจแล้ว เกิดขึ้นแล้วก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งใดเกิดสิ่งนั้น (ดี) ง่วงหรือ (ไม่ง่วง) เรารู้ว่าง่วง ก๋วยเตี๋ยวทำพิษ
ข้าวเหนียวทำพิษ หรือว่าใจเราทำพิษ (ใจเราทำพิษ)
ใช่หรือเปล่า เคยชินกับการตามใจตัวเอง ท่านเคยได้ยินไหม จิตใจนั้นเป็นสิ่งที่รักษายาก
คุมยาก แล้ววิ่งเตลิดเปิดเปิงไปได้ง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นใครที่รู้จักฝึกจิตได้ดี คุมจิตได้ดีคนนั้นย่อมมีความสุขสวัสดี
จิตที่ข่มได้ยากแต่เราสามารถข่มได้ จิตที่คุมได้ยากแต่เราสามารถคุมได้
คนใดที่สามารถทำจิตตัวเองให้เป็นอย่างนั้นได้ คนนั้นย่อมมีความสุขและสวัสดี ใช่หรือไม่
(ใช่) จิตใจที่คุมไม่อยู่
จิตใจที่ควบคุมไม่ได้ จิตใจที่ข่มไม่ได้ คนนั้นย่อมมีแต่ความทุกข์และความวุ่นวายใจ
ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นวันนี้เราข่มใจเราได้ไหม
เราคุมใจเราอยู่ไหม ถ้าคุมไม่ได้ คุมไม่อยู่ นั่งยืนก็ไม่สุขสวัสดีใช่หรือไม่ มีแต่ภัยมีแต่ความร้อนรนใจใช่หรือไม่ (ใช่) ในโลกนี้มนุษย์กลัวภัย มนุษย์กลัวทุกข์ มนุษย์กลัวการเวียนว่ายตายเกิด
ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าเรามาฟังธรรมะแล้ว
เราก็น่าจะรู้หน่อยว่า ทำอย่างไรเราถึงจะพ้นภัย ทำอย่างไรเราถึงจะพ้นทุกข์
และทำอย่างไรให้ที่สุดของการมีชีวิตของเราสามารถพ้นจากการเวียนว่าย
ตอนนี้อยากพ้นภัยก่อน อยากพ้นทุกข์ตามมาทีหลังใช่หรือไม่ (ใช่) และก็ค่อยอยากพ้นเวียนว่ายเป็นอันหลังสุดเลยใช่หรือไม่
มีก็ได้ไม่มีก็ไม่เป็นไร ใช่หรือเปล่า จริงไหม ตอนนี้ทุกคนกลัวอย่างเดียวกลัวภัย
ใช่หรือไม่ (ใช่) มาฟังธรรมะเพื่อดับภัยใช่ไหม
(ใช่) ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นถ้าท่านจำได้อย่างที่เราบอกตั้งแต่ต้น
ท่านก็ไม่ต้องกลัวภัย ท่านก็ไม่ต้องกลัวทุกข์ จริงไหม (จริง) เพราะตอนต้นเราบอกพวกท่านว่าอย่างไร “จิตที่ข่มได้
จิตที่ควบคุมได้ จิตที่ฝึกได้ จิตนั้นย่อมนำความสุขและนำความสดชื่น” จำไว้นะจิตของเราเอง ถ้าเราคุมได้เราข่มได้
เราควบคุมได้ ความสุขความสวัสดี ไม่ต้องหาที่ไหน จริงไหม (จริง) แต่ถ้าเราข่มจิตเราไม่ได้ ควบคุมใจเราไม่ได้
ความวุ่นวายเกิดได้ทุกเมื่อ เกิดได้ทุกที่ แม้นั่งห้องแอร์เย็นๆ ก็ทุกข์ได้
แม้นั่งอย่างนี้ตัวไม่มีโรค ไม่มีภัย ก็เป็นทุกข์ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นจำคำพูดไว้นะ สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี ถ้าคิดว่าไม่ดีคนที่หาภัยหาทุกข์ให้กับตัวก็คือใจที่ไม่รู้จักยอมรับ
ใช่หรือไม่ (ใช่)
การแต่งตัว การแสดงออกภายนอกก็เป็นตัวบ่งบอกถึงจิตใจภายในด้วย
ใช่หรือไม่
(ใช่) ยังชอบแต่งหน้าทาปากอยู่ไหม
ถ้ายังชอบแต่งหน้าทาปากอยู่ก็แสดงว่ายังปลงไม่ได้ ยังชอบมีนั่นมีนี่ประดับอยู่ในตัวอยู่ไหม
ก็แปลว่าเป็นคนที่ยังอยากได้อยากมียังไม่จบ ใช่หรือไม่ (ใช่)
“แม้มีมากคุณค่ากลับน้อยราคา มีน้อยแต่รู้พอหนาค่ายิ่งเผยถึงมีมากแต่ใจกลับไม่พอเลย มีแต่ไม่สุขเอยเหมือนไม่มี”
“ยิ่งมีมากคุณค่าก็กลับยิ่งน้อย
ยิ่งมีน้อยคุณค่าก็กลับดูยิ่งมาก” ทำไมเราพูดตรงข้ามกันนะ
คนในโลกยิ่งมีมากคุณค่ายิ่ง (น้อย) ถ้ามีมากแล้วคุณค่ายิ่งน้อยทุกท่านคงต้องหยุดทำงานแล้ว
ต้องรู้จักพอแล้ว จริงไหม (จริง) แต่ในความจริงของมนุษย์
คิดว่ายิ่งมีมากคุณค่ายิ่งมาก ยิ่งมีน้อยคุณค่าก็กลับยิ่งน้อย ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ทำไมเราให้ตรงกันข้าม มีมากค่ายิ่งน้อย
มีน้อยค่ายิ่งมาก มีมากแล้วไม่มีสุข มีก็เหมือนไม่มี เราเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น) ลองคิดดูนะ ถ้าเรามีเงินอยู่แค่ร้อยเดียว เราจะต้องให้เงินหนึ่งร้อยเกิดประโยชน์สูงสุด
แล้วต้องทำให้หนึ่งร้อยแตกดอกออกผลมากๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วหนึ่งร้อยเราต้องใช้ให้เกิดประโยชน์เกิดคุณค่าสูงสุด
ถูกหรือไม่ (ถูก) แต่พอมีหลายๆ ร้อย
เรานึกอยากจะใช้ก็ใช้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นคนเรายิ่งมีของน้อย
ยิ่งรู้จักสามารถพลิกแพลงของที่มีอยู่น้อยให้เกิดคุณค่า ต่อยอดเป็นคุณค่าได้อีกมาก
แต่ที่เราพยายามอยากจะมีมากเพราะเรารู้สึกว่าสิ่งที่มีมากมันไม่มีราคา
ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเรามีน้อยแล้วเราพอใจ
เราจะสามารถทำสิ่งที่น้อยให้มีคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) มีมากแต่ไม่เคยพอใจเลย
สิ่งที่มีมากก็เหมือนมีน้อย และมีน้อยจนกลายเป็นเหมือนไม่มี จริงไหม
เหมือนตอนนี้เรามีเงินมากไหม (มาก) มีก็เหมือนไม่มีจริงไหม
(จริง) มีเงินในธนาคารแสนหนึ่ง
ยังบอกไม่มี มีหนึ่งหมื่นก็บอกไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์เราจึงต้องทุกข์เพราะวันนี้มีแล้วไม่เคยพอ
แต่ถ้าเรารู้จักสร้างสรรค์ บางทีหมื่นหนึ่งก็สามารถอยู่ได้เป็นปีนะ แต่ถ้าเราไม่พอ
หนึ่งหมื่นอย่างไรก็ไม่พอ จริงหรือไม่ (จริง)
เหมือนเรามีแฟนคนหนึ่ง ถ้าเมื่อไรเราไม่ชอบแฟนคนนี้เราก็จะเห็นคนอื่น
(ดีกว่า) ที่มีก็เหมือน
(ไม่มี) มีลูกแล้วไม่ให้ความสุขเราเลย มีแต่นำความทุกข์มาให้
มีก็เหมือน (ไม่มี) มีเงินเป็นร้อยล้านแต่ไม่มีความสุข
มีเงินก็เหมือน (ไม่มี) มีชีวิตแต่หาความสุขให้แก่ชีวิตไม่ได้เลย
มีชีวิตก็เหมือน (ไมมี) เดินเหมือนผีตายทั้งเป็น
เหนื่อยเหลือเกินแต่ก็ต้องทำงาน แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น) เป็น ถ้าท่านไม่เป็นนะ ป่านนี้คงรู้จักพอและท่านคงสามารถมีชีวิตอยู่ด้วยความสุขได้
แต่คนปัจจุบันนี้ยิ้มก็ยิ้มไม่ออก
หันหน้าไปหาใครก็ยิ้มให้ไม่ได้ เพราะตัวเองก็ทุกข์หันไปมองอะไรก็ทุกข์ โลกก็ทุกข์
ใช่หรือเปล่า (ใช่)
อยากนั่งหรือยัง ขาสั่นแล้วใช่ไหม
บางทีมีขาก็เหมือนไม่มีนะ ถ้ามีขาแล้วทำให้ปวด ทิ้งไปเถอะดีไหม (ไม่ดี) ใจมีแล้วก็เจ็บใจ ทิ้งไปเลยดีไหม (ไม่ดี) ก็มีแล้วไม่มีความสุขจะมีทำไม ตัดทิ้งไปเลย
ได้ไหม (ไม่ได้) ใจถ้ามีแล้วเจ็บปวดตัดใจทิ้งไปเลย
(ไม่ได้) ต้องได้นะ บางครั้งถ้ามีแล้วทุกข์
แก้ยังไงก็ไม่สุข สิ่งที่ทำได้คือต้องตัดใจ
ถ้ามีแล้วยิ่งเจ็บ ถ้ามีแล้วยิ่งปวด ตัดทิ้งดีไหม (ไม่ดี) ก็มีแล้วเหมือนไม่มีก็ตัดทิ้งไปเลย
จะได้ไม่ต้องมานั่งโอดครวญว่า “ปวดขาจังเลย” ก็ตัดขาทิ้งไปก็จะได้ไม่มีขาให้ปวด เอาไหม
(ไม่เอา) อย่างนั้นจะบ่นทำไม ก็ต้องทำใจ คิดเสียว่ามีก็เหมือน
(ไม่มี) บางทีก็มีความสุข จริงไหม (จริง) บางทีเราต้องรู้จักเล่นแร่ พลิกแพลงกับจิตใจของเราบ้าง
คิดอย่างนี้แล้วทุกข์ คิดอย่างนี้แล้วสุข แล้วทำไมไม่รู้จักคิดให้มีความสุข
ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าคิดแบบนี้แล้วหัวชนฝา
มืดแปดด้าน แล้วทำไมไม่รู้จักถอยออกมาแล้วก้มหน้ายอมรับความจริง แล้วก็อยู่กับความสุขที่คิดว่า
ขาจะปวดก็ช่าง อย่างน้อยก็ยังรู้ว่ามีขาอยู่ ดีกว่าไม่มีขาแล้วเราก็ไม่มีวันปวดอีกเลย
ใช่หรือไม่ (ใช่) จะเลือกเอาแบบไหน
ใช่หรือไม่ (ใช่)
เกิดเป็นคนรู้จักผู้อื่นแล้วอย่าลืมรู้จักตน
รู้จักคำนวณคนอื่นได้แต่ลืมคำนวณใจตนก็ไม่มีประโยชน์นะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์คิดว่าการดำรงตัวเองให้อยู่รอดในสังคม
บางทีเป็นเรื่องง่าย แต่บางทีเรื่องง่ายๆ ก็กลายเป็นเรื่องยากใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเรื่องง่าย เป็นเรื่องยาก แล้วเรื่องยากนี้กลายเป็นมีผลกระทบแล้วเกิดการเกี่ยวเนื่องแล้วเกิดเป็นก่อกรรม
ชีวิตก็ไม่ง่ายใช่หรือไม่ (ใช่) บางทีเราคิดว่าการนับเลข
๑ ๒ ๓ ๔ นับง่าย ใครๆ ก็นับได้ ฉันก็จำได้ ฉันเป็นอะไร แถมฉันยังจำคนอื่นได้ดีกว่าของฉันอีก
แต่อย่าคิดว่าการดำเนินชีวิตแค่นับเลขให้รอดพ้นแล้วเราก็รอดพ้น การดำเนินชีวิตแค่แสวงหาเพื่อตนแล้วก็จบกันจริงๆ
เป็นอย่างนั้นไหม
(ไม่เป็น) สิ่งที่น่ากลัวอีกอย่างหนึ่งของการเป็นคนคืออะไรรู้ไหม
ท่านเคยได้ยินไหมว่าพุทธะเคยกล่าวไว้ว่า อย่าทำบาปในที่ลับและที่แจ้ง
อย่าคิดว่าบาปที่เกิดขึ้นจบแล้วก็จบกัน อย่าแอบกระทำบาปในขณะที่ไม่มีใครเห็น เพราะบาปนั้นถึงแม้เรา
จะเหาะได้หนีได้ แต่บาปนั้นก็ย่อมให้ทุกข์และเวรกรรม
มนุษย์นั้นไม่ใช่แค่กลัวบาปอย่างเดียว
สิ่งที่น่ากลัวที่ตามมาอีกอย่างหนึ่งคือกรรม ใช่หรือเปล่า (ใช่) มีคำพูดกล่าวไว้ว่ามนุษย์ล้วนมีกรรมเป็นของตน
เรามีกรรมเป็นทายาท เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เรามีกรรมเป็นต้นกำเนิด ที่ทำให้มีชีวิตก็เพราะมีกรรม
และกรรมนี่แหละที่คอยจำแนกคนให้ดีชั่วต่างกัน ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นมนุษย์เกิดมาล้วนรู้ว่าตัวเรามีกรรม เราก็เลยพยายามสร้างกรรมดีเพื่อหนีกรรมชั่วใช่หรือไม่ (ใช่) ทำบุญมากๆ เพื่อหนีกรรมที่ไม่ดี
แต่อย่าลืมถ้าพยายามทำกรรมดีแต่กรรมนี้ยังติดอยู่ในความโลภ โกรธ หลง กรรมนั้นก็ไม่เรียกว่ากรรมบริสุทธิ์
ฉะนั้นเรามาเริ่มต้นง่ายๆ
กันก่อนอยากจะพ้นทุกข์ อยากจะพ้นกรรม อยากจะพ้นเวียนว่าย อยากจะพ้นภัย
เราก็ต้องเข้าใจก่อนว่ากรรมมาจากไหน ภัยเกิดได้อย่างไรและเราจะพ้นเวียนว่ายแบบไหนดี
เราถามง่ายๆ กรรมมาจากไหน กรรมคืออะไร
ทุกคนมักจะตอบได้ว่ากรรมคือการ
(กระทำ) แล้วทำอย่างไรล่ะเรียกว่าเป็นกรรม
ทำอะไรก็เป็นกรรมทั้งนั้นใช่ไหม (ใช่) หรือพูดง่ายๆ
ก็คือการกระทำอะไรก็ได้ที่ครองอยู่ในศีลธรรม
ไม่มีความโลภโกรธหลงครอบงำ นั่นเรียกว่ากุศลกรรม ทำอะไรก็ได้ที่เป็นความชอบ
ประพฤติชอบ ประพฤติดี เรียกว่าบุญ ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้เราจิตใจไม่แปดเปื้อน
ไม่โสมม บริสุทธิ์ นั่นเรียกว่าทำบุญ เรามักจะคิดว่าทำบุญคือตักบาตร ใช่หรือไม่
(ใช่) ทำบุญคือให้ทาน ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่บุญที่แท้จริงคือการทำเพื่อชำระจิตใจให้ผ่องใส
ท่านเคยได้ยินนิทานเรื่องหนึ่งไหม
เล่าว่ามีเศรษฐีคนหนึ่ง ภรรยาขอเขาไปทำบุญ เขาก็บอก “ไปทำสิ”
แล้วเผอิญว่าภรรยาของเขาได้ทำบุญกับปัจเจกพุทธเจ้า ทำด้วยอาหารอันละเอียดประณีต
แล้วก็ดี แล้วก็งาม ด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ ทำเสร็จแล้ว พอสามีมารู้ทีหลังว่า
ภรรยาทำบุญครั้งนี้ใช้เงินมาก สิ้นเปลือง สามีจึงรู้สึกเสียดายเมื่อภรรยาทำบุญไปแล้ว
เชื่อไหมแค่จิตที่คิดว่าเสียดายทำให้ชาติหน้าเกิดมานั้น มีเงินมากแต่ใช้เงินตัวเองไม่ได้
จะใช้ก็ไม่กล้าใช้ กลายเป็นคนกระเหม็ดกระแหม่ ใช้ก็กลัวเปลือง ทำให้เป็นคนที่ถึงจะมีเงินมากแต่ก็ใช้เงินตัวเองไม่ได้
เห็นไหมว่าแค่รู้สึกเสียดาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นกรรมอะไรที่เรียกว่ากรรมไม่ดี
กรรมอะไรที่ทำให้เราต้องทุกข์และเกิดการเวียนว่ายรู้ไหม เราบอกท่านง่ายๆ กรรมที่ไม่ครองอยู่ในศีลธรรม
กรรมที่ประกอบไปด้วยความโลภ โกรธ หลง เป็นเชื้อนำ หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่ากิเลส
ใช่หรือไม่
(ใช่) เรามีชีวิตเราทำอะไรก็ตาม
ถ้าเราทำด้วยกิเลส ความโลภ ความอยาก ความโกรธ ความหลง จะสามารถทำให้เราก่อกรรมและสร้างปัจจัยแห่งการก่อกรรมไม่จบสิ้นได้
กิเลสคือเครื่องที่ทำให้จิตใจนั้นเศร้าหมอง
กิเลสคือความรู้สึกชั่วร้ายที่แฝงอยู่ในความคิดและทำให้จิตใจนั้นไม่บริสุทธิ์
เมื่อเราก่อกิเลสหนึ่งตัว เราสนองตามกิเลสนั้นก็เรียกว่าวิบากกรรม เมื่อสนองตามกิเลสนั้นได้วิบากกรรมนั้นครบแล้ว เราอยากได้อีกไหม อยากไหม อย่ามาพูดว่าไม่อยาก สมหวังก็อยาก ฉะนั้นกิเลสตัวหนึ่งจึงเป็นปัจจัยให้สร้างกิเลสอีกตัวหนึ่ง
ไม่สมหวังอยากไหมก็อยาก
ฉะนั้นกิเลสหนึ่งตัวจึงก่อให้เกิดกิเลสตัวที่สอง
ตัวที่สามเป็นปัจจัยให้สร้างกิเลสไม่จบสิ้น ฉะนั้นกรรมเกิดจากการที่จิตใจมีชีวิตอยู่โดยใช้กิเลสนำชีวิต
แล้วกิเลสนั้นมีอะไรบ้าง โลภ โกรธ หลง ล้วนเป็นหนทางแห่งความทุกข์ และเป็นหนทางแห่งการเวียนว่ายไม่จบสิ้น
ใช่ไหม (ใช่) แล้วเราสามารถดับ โลภ โกรธ
หลง ได้ไหม (ไม่ได้) ไม่ได้เลยหรือ เราต้องรู้ก่อนว่ากิเลสตัวนี้มันคือต้นเหตุแห่งกรรม
มันคือต้นเหตุแห่งทุกข์ แล้วมันมาอยู่กับอะไร จึงทำให้สำเร็จทุกข์ สำเร็จกรรม และสำเร็จการเวียนว่าย
มันอยู่กับจิตของมนุษย์ จิตของมนุษย์นั้นไม่เคยว่างเว้นจากอารมณ์
จิตใช้อารมณ์เป็นบ่อเกิด และใช้อารมณ์เป็นปัจจัยให้เกิดอยู่ทุกๆ วัน
เคยมองเห็นไหม
(ไม่เคย) พอเกิดมาก็อยากกิน
อยากไปเที่ยว อยากทำงาน ไม่เคยมองเห็นกิเลสเลยใช่หรือไม่ ลองมองเข้าไปดูสิ จิตเราเวลามันไม่อยากอะไรเลย
ทำไมเบื่อ ดูทีวีก็เบื่อ แต่รู้ไหมว่าจิตที่ไม่มีอารมณ์เลยเป็นจิตที่บริสุทธิ์
เป็นจิตที่สามารถสงบได้ แต่มนุษย์กลับกลายเป็นรู้สึกเบื่อ
ทั้งที่จริงแล้วการไม่รู้สึกอะไรเลย แล้วไม่มีอะไรให้ทำเลย การอยู่นิ่งๆ นั่นแหละเป็นความสุขที่แท้จริงแล้ว
แต่มนุษย์กลับบอกว่าเบื่อ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นจิตของมนุษย์เราจึงต้องมองหาให้ดี
ว่าสิ่งนี้เป็นต้นเหตุของกิเลส แล้วกิเลสพอเข้ามาอยู่กับใจก็เป็นการกระทำที่ครบคู่
พอครบคู่ก็ทำให้หมุนเวียนไปตามกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) พอจิตเราเกิดความรู้สึกหนึ่งอย่าง
จิตชอบรู้สึกอะไร มีอยู่สองอย่าง ยินดีกับไม่ยินดี รักกับเกลียด พอรู้สึกยินดีกับอย่างหนึ่ง
เราก็ต้องพยายามหาอะไรก็ได้ที่ทำให้ต้องยินดีอีก และยินดีไปเรื่อยๆ ใช่ไหม (ใช่) นี่เป็นลักษณะนิสัยของจิตของมนุษย์ที่หากรรมแล้วหากรรมอีก แค่นั้นยังไม่พอนะ เมื่อเรารู้สึกยินดี
ความพอใจยินดีในจิตนี้จะทำให้เรามองเห็นใจของเราว่า เป็นที่เก็บสะสมของกรรม
ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเรายินดีแล้วเราก็พอใจชอบ
แล้วเราก็จะเก็บกรรมนั้นจำไว้ไม่ลืม รักษาไว้ไม่มีบิดพริ้วว่า “อันนี้ฉันชอบ”
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าจิตที่ยินดีนั้นเรียก ความโลภ ความหลง แต่ถ้าเราไม่ชอบก็กลายเป็นความโกรธ
แล้วจิตที่เป็นไปตามอำนาจของกรรมหรือกิเลสนั้นมีพลังมีอำนาจ คอยสั่งให้เราเกิดมาแล้วต้องสนองในสิ่งที่เรายินดีและหนีในสิ่งที่เราไม่ยินดี
ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราพูดให้ท่านเห็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ว่าไม่ใช่อยู่ข้างนอก
ข้างนอกแม้จะเป็นคนชมคนด่า แต่ถ้าใจเราไม่ยินดี ถ้าใจนี้เรารู้จักพอ ชีวิตนี้จะวิ่งไปกับ
โลภ โกรธ หลง ให้เหนื่อยไหม เพราะมนุษย์เราไม่เคยพอในสิ่งที่ตัวเองมีใช่หรือเปล่า เราจึงวิ่งไปตามหัวใจที่เรียกร้องและใฝ่หา
โดยใจนั้นต้องมีอารมณ์เคลือบอยู่เสมอและอารมณ์นี้ก็เป็นต้นเหตุที่ทำให้เรา ต้องทุกข์ไม่จบสิ้นใช่หรือไม่
(ใช่) วิ่งไปตามสิ่งยินดีพอได้สิ่งยินดีมากลัวไหม
กลัวว่าจะหายไป หนีไปกับสิ่งที่เราไม่อยากพบ แต่เรายิ่งหนีก็ยิ่งต้องพบ ฉะนั้นการดำรงชีวิตคือการกล้าสู้กับความเป็นจริง
ด้วยการมีชีวิตอย่างคนที่รู้จักควบคุมตน รู้จักข่มใจตนแล้วความสุขสวัสดีจะไม่ห่างไปไหน
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าให้รู้เท่าทันด้วยสติปัญญา เป็นวิธีกำจัดได้ทั้งกิเลสและสามารถตัดกรรมได้ด้วย
ฉะนั้นถ้ามนุษย์สามารถมีสติรู้เท่าทันจิตของตน
ไม่ปล่อยให้อารมณ์ครอบงำแต่มีสติ สติคอยควบคุมความดี ความไม่ดี มีศีลธรรมคอยกลั่นกรองความประพฤติว่าถูกไม่ถูก
มีปัญญาคอยสืบหาสาเหตุว่า สิ่งที่เราจะทำนั้นควรทำหรือไม่ควรทำ เมื่อนั้นเราจะสามารถตัดกิเลสและป้องกันไม่ให้เกิดกิเลสได้และสามารถฆ่า
กิเลสทิ้งได้ ยากไหม (ไม่ยาก) ฉะนั้นเราต้องตามให้ทันตัวของเราที่ง่ายต่อการไหลไปตามกระแสของโลก
ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ถ้าท่านจำได้ตั้งแต่ต้น
มีมากแล้วไม่มีความสุข มีก็เหมือนไม่มี แต่เพราะมนุษย์ยังหยุดไม่ได้ก็เลยต้องวิ่งไปตามกิเลส
ความโลภ ความอยาก ใช่หรือไม่ (ใช่) มีใครบ้างหนอ
มีเงินหนึ่งร้อยแล้วไม่มีร้อยที่สองบ้าง มีร้อยที่สองแล้วไม่มีร้อยที่สามบ้าง
ฉะนั้นมนุษย์เลยต้องทุกข์ไม่จบสิ้น อย่างนั้นเราจะทำอย่างไรดี
ใครๆ ก็อยากเกิดมาแล้วก็ไม่ต้องเกี่ยวกรรม
ใครๆ เกิดมาก็ไม่อยากมีกรรมให้ต้องแบกรับ ใช่หรือไม่ (ใช่) มีคำกล่าวว่า “กายคือกรรมที่เกิดจากวิบาก
ใจคือกรรมที่เกิดจากปัจจุบัน” ใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นเพราะว่าเรามีโลภ โกรธ หลง ทำให้เราไม่สามารถคลี่คลายละลายบาปกรรมได้ เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม
“ผู้มีคุณธรรม การจะทำบุญทำทานบารมีเป็นเรื่องง่าย”
ใช่หรือไม่
คุณธรรมเป็นบ่อเกิดของวาสนาบุญทานบารมี คุณธรรมที่ไม่ มั่นคงทำให้บุญทานวาสนาบารมีไม่เกิด
แต่ถ้าใครสามารถดำรงคุณธรรมได้มั่นคงและสมบูรณ์แบบ
คนนั้นจะสามารถคลี่คลายละลายบาปกรรม แต่ถ้าใครไม่เคยคิดที่จะทำคุณธรรมให้เกิดขึ้นในชีวิต
คนนั้นนอกจากไม่มีบุญวาสนา บุญทานไม่เกิดแล้วยังง่ายที่จะตกเป็นทาสของมารและความคิดอันชั่วร้าย
ฉะนั้นเราอยากรู้เท่าทันกิเลสตน
เราอยากให้ชีวิตมีบุญวาสนาดี เราอยากให้ชีวิตนี้หมดหนี้กรรม สิ่งง่ายๆ ก็คือต้องสร้างคุณธรรมให้เกิดกับชีวิต
คนๆ หนึ่งถ้าดำรงศีลห้า และในศีลห้าสามารถแปรเป็นคุณธรรมทั้งห้าได้ คนๆ
นั้นจะโลภและทำร้ายคนไหม
(ไม่) การไม่ฆ่าสัตว์ก็คือการมีเมตตา
ใช่หรือไม่ (ไม่) เรามักจะมองว่าศีลห้าเดี๋ยวค่อยทำก็ได้
แต่รู้ไหมว่า การครองศีลห้าได้ครบ แล้วสามารถทำศีลห้าให้เป็นคุณธรรมทั้งห้า
ทั้งศีลและคุณธรรมนั้นจะสามารถแปรเปลี่ยนเป็นบุญทานวาสนา
ละลายหนี้บาปเวรกรรมได้ แล้วเราจะไม่ได้มีชีวิตตกเป็นทาสของกิเลสและพญามาร ขอเพียงครองศีลและธรรมให้ครบ
ยากไหม (ไม่ยาก)
๑.
ไม่ฆ่าสัตว์ก็มีความเมตตา
๒.
ไม่ลักทรัพย์ คนที่ไม่อยากได้ของคนอื่น คนนั้นคือมีจิตใจมีมโนธรรมสำนึกที่ดีงาม
รู้จักผิดชอบชั่วดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าซื่อตรงซื่อสัตย์
๓.
ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่แอบไปรักใครทางสายตา ไม่แอบไปรักใครนอกจากสามีเรา
ใช่หรือไม่ (ใช่) เรามีรักเผื่อเลือกไหม เรามีรักหลายใจไหม
(ไม่มี) การไม่ผิดศีลธรรมเรียกว่าการมี
จริยะที่ดีงาม รู้จักเคารพให้เกียรติผู้อื่น
๔.
ไม่พูดปดคือ ทำอย่างไรให้เกิดเป็นธรรม มีความ (ซื่อตรง, สัตย์จริง,
ซื่อสัตย์)
๕.
การไม่ดื่มสุราของมึนเมาทำให้เกิดปัญญาธรรม
เห็นไหมว่าเราดำเนินชีวิต
อย่ามองว่าศีลธรรมเป็นเรื่องไม่ดี เป็นเรื่องที่ทำยาก ถ้าเราทำได้ถึงศีล
ทำได้ถึงธรรม ศีลธรรมจะทำให้เราดำเนินชีวิตได้อย่างมีบุญ มีวาสนา และคลี่คลายละลายบาปกรรม
ถามจริงๆ ทำไมท่านถึงอยากทำบุญ เพราะจิตใจรู้สึกเมตตาสงสาร
เพราะจิตใจรู้สึกอยากให้ อยากเสียสละ ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำบุญแล้วอยากได้บุญ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้ายังทำบุญเพราะหวังผล บุญนั้นจะไม่บริสุทธิ์
บุญนั้นยังเป็นเหตุให้ต้องเวียนว่ายวน ใช่หรือไม่ (ใช่) ต้องทำด้วยการปล่อยวาง
ไม่ยึดมั่นถือมั่นจึงจะประเสริฐ กว่าจะรักษาศีลทั้งห้าข้อ
ชีวิตท่านหนีไม่พ้นทุกข์แน่เลย ใช่ไหม อย่างนี้จะไปต่อไหวไหม (ไหว) ไหวแม้ว่าจะหกคะเมนตีลังกา ล้มลุกคลุกคลาน ใช่หรือไม่
เราจึงอยากจะบอกท่านอีกอย่างหนึ่งว่า
ท่านพูดแต่เรื่องที่เป็นหลักการทั้งนั้นเลย ถึงเวลาใช้ชีวิตจริงทำอย่างไรที่จะทำให้ไม่เกิดการเกี่ยวกรรม
ที่จะทำให้ไม่เกิดทุกข์ มนุษย์เราต้องหาเงิน ต้องทำงาน ต้องเรียนหนังสือใช่หรือไม่
(ใช่) อย่างนั้นเราทำอย่างไร
ที่ทำให้การหาทรัพย์ หาเงิน หาความรู้ไม่เป็นไปในทางก่อเวร ก่อภัย
ไม่เป็นไปในทางก่อกรรมไม่จบสิ้น
ถ้าผิดศีลห้าเกิดมาอีกชาติหนึ่งจะเป็นอย่างไร
เคยได้ยินไหม
ทำไมเกิดมาถึงโง่เรียนอะไรก็ไม่รู้เรื่องแปลว่าอดีตชาตินั้นเคยชอบกินเหล้าเมายา
ทำไมครอบครัวไม่ร่มเย็นเป็นสุขเพราะอดีตชาตินั้นอาจจะไปผิดลูกผิดเมียเขา
ฉะนั้นถ้าอยากให้ครอบครัวร่มเย็นก็ต้องรู้จักรักและเคารพด้วยจริยะอันดี
อยากจะอายุยืนก็อย่าฆ่าสัตว์ทำบาป
ทำไมเกิดมาอายุสั้น
เป็นโรคบ่อยๆ
ก็เพราะชอบทำร้าย ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)
เห็นไหมว่าแค่ดำเนินชีวิตครองอยู่ในศีล
ครองอยู่ในธรรมก็สามารถทำให้เห็นทั้งชีวิตข้างหน้าและชีวิตข้างหลัง อย่างนั้นเราจะบอกว่าทำอย่างไรที่เวลาหาเงินแล้ว
เงินนั้นไม่กลายเป็นก่อกรรม
๑.
เวลาหาเงินนั้นต้องดำรงอยู่ด้วยความชอบธรรม เมื่อได้เงินมาแล้วก็ต้องให้ด้วยความชอบธรรม
ไม่ใช่หาเงินมาแล้วตระหนี่ถี่เหนียวขาดเมตตา การมีเงินของท่านก็กลายเป็น มีเงินแล้วใช้ไม่เป็น
ใช่หรือไม่
๒.
เวลามีทรัพย์ เวลามีตำแหน่ง มีหน้าที่ มีความรู้ อย่าใช้ตำแหน่ง ทรัพย์ หน้าที่
ความรู้ ไปในทางเสื่อม อย่างเช่น มีเงินไปเล่นหวย มีเงินไปจ้างวานฆ่า
มีความรู้ควรสร้างสรรค์ในสิ่งที่ดี กลับคิดไม่ดี คิดทำร้ายด้วยความฉลาด ฉ้อฉล
อย่างนี้คือใช้ความรู้ ใช้ทรัพย์ไปในทางที่เสื่อมและวิบัติ จริงไหม (จริง) ฉะนั้นมีความรู้มีทรัพย์จงใช้ความรู้และทรัพย์เป็นรั้วป้องกันภัย
อย่ามีความรู้ มีทรัพย์แล้วดูถูกดูหมิ่นคน การดูถูกดูหมิ่นคนให้เสียใจคือ การสร้างรอยพยาบาทไว้กับคน
ใช่ไหม (ใช่) ยืมทรัพย์เขามาแล้วทำให้เขาต้องเป็นทุกข์นั่นคือ
การสร้างเวรกรรมให้กับเขา
ฉะนั้นเราดำเนินชีวิตขอให้ให้ครองอยู่ในศีล
ในธรรม แล้วเราก็จะไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป เพราะว่าดำรงศีล ดำรงธรรมถูกต้อง อย่าคิดว่าปล่อยชีวิตนี้ไปตามอารมณ์ความอยาก
ปล่อยไปตามยถากรรมแล้วจะจบกันนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
พูดไม่ระวัง มองไม่รู้จักคิด ทำไม่รู้จักควบคุม การพูด ฟัง คิด มอง
ก็อาจจะก่อกรรมได้ จริงหรือไม่ (จริง) ถ้าไม่อยากทุกข์ทำอะไรก็ขอให้ครองตนอยู่ใน
(ศีลธรรม) ศีลมี ๕ ข้อ จำได้ไหม (จำได้)
เรากลับเลยได้ไหม
เราให้ท่านได้เท่านี้ แต่ท่านก็ทำไม่ได้ใช่หรือเปล่า การควบคุมหู ตา จมูกนั้น ไม่เท่ากับควบคุมใจเราให้อยู่เพราะต้นเหตุแห่งความทุกข์
ต้นเหตุแห่งภัยพิบัติและต้นเหตุแห่งการเวียนว่ายทั้งมวล ล้วนเกิดจากใจของเราที่ไม่รู้จักข่มให้เป็น
คุมให้ได้ระวังให้ดี ใช่ไหม (ใช่)
ชีวิตนี้ยังไม่เคยพอใช่หรือเปล่า อายุก็ปูนนี้แล้วนะ อย่าคิดว่าอายุยังน้อยๆ
อย่าทำทุกวันนี้อย่างคนเกี่ยวเนื่องไม่จบ ไม่อย่างนั้นก็คือกรรมที่ไม่จบสิ้น
มีนิทานเรื่องหนึ่งที่ถามว่าในโลกนี้เวลาอะไรดีที่สุด
ในโลกนี้คนไหนที่เราควรทำให้ดีที่สุดและในโลกนี้ควรทำอะไรให้ดีที่สุด เคยได้ยินนิทานเรื่องนี้ไหม
นิทานเรื่องนี้สรุปให้ฟังง่ายๆ เลยว่าเวลาที่ดีที่สุดคือ เวลานี้และเดี๋ยวนี้ และคนที่เราควรทำให้ดีที่สุดคือ
คนที่อยู่ตรงหน้าท่านตอนนี้ทำให้ดีที่สุด คิดเสียว่าคนนี้เราอาจจะไม่ได้พบ ถ้าเราทำดีที่สุดแล้วเราจะมีกรรมที่ให้ต้องกลับมาพบกันอีกไหม
ดั่งที่เขาว่าเวลาอยู่
อยู่ต้องให้เขาคิดถึง จากไปต้องให้เขารู้สึกสบายใจ อยู่ต้องให้เขารัก
จากไปต้องอย่าให้เขารังเกียจ ฉะนั้นถ้าทุกขณะจิตท่านทำได้กรรมจะไม่มี ทุกข์จะไม่เกิดเพราะจบแล้วจบกันตอนนี้และควรทำอะไรดีที่สุด
อะไรทำให้เขาดี อะไรทำให้เขามีความสุขจงทำ แต่อย่าทำแบบตามใจและเสียนิสัย ก็ไม่ดี
ใช่ไหม
(ใช่)
ฉะนั้นเราสรุปง่ายๆ
เกิดเป็นคน กรรมเราก็กลัว ทุกข์เราก็ไม่อยากพบ ภัยพิบัติเราก็ไม่อยากมี ฉะนั้นภัยที่น่ากลัวที่จะเกิดที่ท่านคาดเดานั้นไม่น่ากลัวเท่ากับภัยที่ท่าน
กำลังจะพูดกับคนๆ นี้ ทำกับคนๆ นี้ ถ้าท่านทำไม่ดีเขาก็ตบหน้า ถ้าท่านทำไม่ดี
เขาก็จองล้างจองผลาญใช่หรือไม่ ถ้าท่านทำไม่ดี เขาก็ผูกเวรผูกกรรม
ฉะนั้นทำวันนี้กับคนๆ นี้ปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุด จบในวันนี้ อย่าพูดแบบทิ้งทวน
ฉะนั้นไม่ว่าพูด ไม่ว่าทำอะไร ต้องรู้จักคิดให้ดี
อย่าทำแล้วเป็นกรรมที่ต่อเนื่องจบได้หรือยัง (ยัง) ไปได้หรือยัง (ยัง) ชีวิตนี้ก็เหมือนกันนะ จบแล้วก็จงจบกัน
เราต้องพยายามจบให้ได้ ถ้าวันนี้เราไม่จบ เรายังห่วง เรายังกังวล ชีวิตจะไปตามจิตสั่งสม
จิตมีอำนาจมีพลังตามกรรมที่เราสั่งสมเก็บไว้ ฉะนั้นถึงกายจะไม่มี แต่ถ้าจิตสั่งสมกรรมดีกรรมชั่ว
จิตนั้นก็จะไปตามกรรมดีกรรมชั่ว ไปตามพลังของกรรม
ฉะนั้นจงทำจิตให้บริสุทธิ์
กิเลสเป็นตัวทำให้จิตไม่บริสุทธิ์แล้วสร้างกรรมไม่จบสิ้น แล้วกรรมที่น่ากลัวที่สุดก็คือโลภ
โกรธ หลง และการดำรงตนไม่อยู่ในศีลธรรม ชีวิตไม่ใช่เรื่องยากเลย
ขอเพียงรู้เท่าทันตน เอาสติมาควบคุมใจ เอาปัญญามาเป็นตัวตัดกิเลสให้ออกไปจากใจแล้วฆ่าทิ้ง
เพราะถึงที่สุดแล้วใจเราก็ไม่มี ใช่ไหม (ใช่)
ใจท่านมีไหม (มี) ไหนเอามาให้ดูสิ
ใจเป็นแค่จิตที่ถูกอารมณ์สั่งสมบ่มเพาะจนกลายเป็นนิสัย
แย่หน่อยก็เป็นสันดาน ซึ่งจริงๆ แล้วคือความว่าง แต่มนุษย์กำหนดให้มี แล้วเรียกว่าตัวตน
ใช่หรือไม่ (ใช่) ถึงที่สุดแล้วมันไม่มี มองให้ดีๆ
ใช่ไหม แต่เราวิ่งไปตามสิ่งมองไม่เห็นแล้วทำให้มันเห็น ฟังยากใช่ไหม
อย่างนั้นเราถามหน่อยนะ ความโลภมีตัวไหม (ไม่มี)
ไม่มีแต่ทำไมวิ่งตามทุกที มีอำนาจ มียศตำแหน่ง มีบาตร มีปืน มีนิวเคลียร์ไหม
ทำไมต้องวิ่งตาม แล้วถ้าไม่เชื่อมันได้ไหม (ได้,ไม่ได้) ไม่ได้หรือ เมื่อไม่มีแล้ววิ่งตามทำไม
เพียงแค่ขอให้มีชีวิตอยู่ แต่งตัวสวยกว่าคนอื่นหนึ่งวันก็ดีใจ มีรถขับหนึ่งคันโก้ดี
แค่นั้นเองหรือ พอโก้หนึ่งครั้งพบคนขับรถสวยกว่า ที่โก้ๆ ก็หมดโก้ พบคนใส่เสื้อสวยกว่าก็หมดสวย
แล้วเราวิ่งไปตามเท่าไรแล้ว จริงหรือเปล่า (จริง)
ฉะนั้นจิตที่ประเสริฐที่สุดคือจิตที่นิ่งๆ
รู้จักพอ แล้วก็เปลี่ยนจากการพอเป็นรู้จักให้บ้าง เพราะยิ่งให้ยิ่งบังเกิดคุณธรรม เก็บงำไว้คุณธรรมไม่มีวันเกิด
แล้วยิ่งให้ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์จะยิ่งละลายบาปกรรม
คุณธรรมเป็นบ่อเกิดแห่งบุญวาสนาและทานบารมีที่ยิ่งใหญ่
คุณธรรมที่ครบบริบูรณ์จะทำให้สามารถ ละลายหนี้บาปเวรกรรม แต่คนที่ไม่เคยคิดมีคุณธรรม
คนนั้นคือสาวกของพญามาร
“คอยจับผิดตรงปมด้อยลักษณะคน แม้แต่ที่หน้ายึดจนยับไป”
คนเรายึดมั่นถือมั่นจนหน้ายึด
ยึดแล้วไม่ได้ดั่งใจก็เลยหน้ายับ คิดด้วยปัญญาของตัวเอง ไม่ต้องเชื่อเราก็ได้
หยั่งด้วยปัญญาของท่านเอง
มีโอกาสคงได้ผูกบุญกันอีกนะ
ขอให้อยู่ให้ครบสามวันนะ ข่มให้ได้ คุมให้ได้ ถ้าข่มไม่ได้
คุมไม่ได้ชีวิตนี้ท่านก็ไม่มีวันมีสุขสวัสดี
วันอาทิตย์ที่ ๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ในความนิ่งมีความวุ่นอยู่ภายใน ในความเกิดมีความตายแอบแฝงอยู่
ในความดีมีความร้ายเป็นศัตรู อยู่ในแต่อยู่เหนือโลกมายา
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานผู่ถี แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกท่าน
ยังง่วงอีกหรือเปล่า
การมุ่งเดินยังแต่โลกหรือธรรม คนเก่งนำสิ่งรู้มาอวดโฉม
คนบำเพ็ญใช้มายาจิตจึงไม่กลม อีกกิเลสประโลมใจฝึกแก่นได้กระพี้
ฝึกทั้งกายทั้งใจให้เป็นหนึ่ง ชีวิตหนึ่งสุญตาสิ้นคือวุ่นทุกที่
ให้บำเพ็ญพูดแต่ว่าเวลาไม่มี ชีวิตนี้ถวิลตาเปิดกลับเดินธรรม
พินิจขันธ์มาจับตาความเกิดแก่ จิตเดิมแท้ได้ของวิเศษจากถ้ำ
คนรู้ปลงคนดีดุจได้ทองคำ แค่หัวใจเข้าถึงธรรมอยู่เย็นเย็น
แม้หัวใช่ไวทว่าสิ่งควรรู้ ลองทำดูหัวใจควรเคี่ยวเข็ญ
ควรต้องตัดกล้าต้องตัดให้กระเด็น ชีวิตเป็นของเราอย่ามัวโทษชะตา
ฮา ฮา
หยุด
จิตเดินทางมาไกลห่างไกลแสนไกล จนบำเพ็ญผ่านมารวบรวมหัวใจ ที่เคยสำราญเหมือนดูไม่เต็มข้างใน เคยสบายต้องมาบำเพ็ญแล้วอย่ากลัว
การบำเพ็ญต้องมาตั้งจิตตั้งใจ คนชอบใช้หน้าตาท่าทางถึงชัวร์ มาบำเพ็ญไม่ยอมแก้เหมือนยอมตาถั่ว ทำจนสายตัวหัวหมุนไม่หลุดพ้น
*
บำเพ็ญธรรมต้องสนใจ สนใจ สนใจ
ใช้ความจริงแก้ไขสลายใจของตน
ทั้งความทุกข์หลงใหลความรัก เหนื่อยไปเพื่อใคร ศิษย์จะต้องคิดแล้ววันนี้
** ฝึกเหนื่อยเพื่อพัก สักวันสัญญา
ทุกวันคืนงอกงามเพราะความดี
จากตรงนี้ศิษย์อย่าไปท้อความดี
ศิษย์ต้องทำเริ่มแล้ววันนี้ เดี๋ยวแล้วนาน (ซ้ำ *,
**)
ชื่อเพลง : เดี๋ยวแล้วนาน
ทำนองเพลง : เธอคือหัวใจของฉัน
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงเมตตา
มานั่งฟังธรรมะ ใครตั้งใจรอแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยกมือขึ้น
อย่างอื่นไม่ตั้งใจฟังเลยหรือ (ฟัง) นึกว่าอย่างอื่นไม่ตั้งใจฟัง
รอฟังแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างเดียว
บอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาก็ดีไม่ค่อยง่วง
เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ไหนใครไม่ได้มาช่วงเช้า
จงใจมาเฉพาะตอนบ่ายๆ จะได้พบเหล่าซือ
จะได้พบสิ่งศักดิ์สิทธิ์
อย่างอื่นไม่ทำอะไรเลย ทำแบบนี้ได้ไหม (ไม่ได้) งานนี้จัดขึ้นต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกๆ
คน เราไม่ชอบให้ใครมาเอาเปรียบ
เราก็อย่าไปเอาเปรียบเขา เราไม่ชอบนิสัยคนกินแรงคนอื่น
เราก็อย่าไปกินแรงคนอื่น ตัวเรารักสบายฉันใดคนอื่นก็รักสบายฉันนั้น ฉะนั้นเอาแต่สบายแล้วให้คนอื่นลำบาก
ถูกต้องไหม (ไม่ถูก) อย่างนี้เรียกว่าผู้บำเพ็ญหรือเปล่า
(ไม่)
“ในความนิ่งมีความวุ่นอยู่ภายใน ในความเกิดมีความตายแอบแฝงอยู่
ในความดีมีความร้ายเป็นศัตรู อยู่ในแต่อยู่เหนือโลกมายา”
ในความนิ่งมีความวุ่นเป็นด้านตรงข้ามถูกหรือไม่ ในความเกิดมีความตายซึ่งเป็นด้านตรงข้ามใช่หรือไม่ ฉะนั้นในความดีมีความชั่ว เคยได้ยินคำว่า “อยู่ในแต่อยู่เหนือ” ไหม อยู่ในโลกแต่สามารถวางใจให้เหนือโลกได้ เพราะในโลกนี้ในความนิ่งก็มีความวุ่น บางทีเราคิดว่าความวุ่นกับความนิ่งเป็นด้านตรงข้าม
แต่จริงๆ แล้วอาจจะเป็นด้านๆ เดียว
หรือจุดๆ เดียวกัน ในความเกิดอาจจะเห็นว่ามีความตายอยู่แต่จริงๆ แล้วทุกขณะที่ศิษย์เกิดก็มีความตายตามมาอยู่ใช่หรือไม่
(ใช่) ศิษย์บอกว่าวันเกิดแต่อาจารย์บอกว่าวันตายถูกไหม
ศิษย์ตายไปกี่ขวบแล้ว แต่ศิษย์มักจะบอกว่าศิษย์เกิดกี่ขวบ
จริงๆ อาจารย์อยากจะบอกว่าความเกิดก็คือความตาย
ดูในตัวเราก็ได้ เซลล์หนึ่งสร้างขึ้นมา อีกเซลล์หนึ่งก็ผลัดไป ใช่หรือไม่ (ใช่)
เม็ดเลือดหนึ่งที่เกิดขึ้นมา
ก็มีอีกเม็ดเลือดหนึ่งที่ตายไป ใช่หรือไม่
(ใช่)
ฉะนั้นความตายกับความเกิดก็อยู่ด้านเดียวกัน
ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นในโลกที่วุ่นวาย
เราก็สามารถหาความนิ่งในความวุ่นวายได้และในด้านเดียวกันในความดีก็มีความ (ร้าย) เหมือนกับในตัวเรา อาจารย์ถามว่าเราเป็นคนดีไหม
(เป็น) เป็นคนร้ายไหม (เป็น) เคยไหมที่ในขณะหนึ่ง เราพูดดีกับอีกคนหนึ่ง
แต่เรากลับด่าอีกคนหนึ่ง เป็นไหม
(เป็น)
ฉะนั้นในความดีก็มีความร้าย
ในความร้ายก็มีความดี ใช่หรือไม่
(ใช่)
ฉะนั้นเราอยู่ในโลก
ไม่ใช่วิ่งวุ่นไปตามโลก แต่เราอยู่ในโลกเพื่อเข้าถึงความเป็นจริงที่เหนือดีเหนือร้าย เพราะถ้าเข้าถึงความดี
ศิษย์ก็ยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ พอเป็นคนดี ถูกใครว่าเรายอมไหม
(ไม่ยอม) แล้วพอเป็นคนร้าย ใครชมว่าดีเรายอมไหม (ยอม) ฉะนั้นเราอยู่ในโลกจึงต้องมองเห็นความเป็นจริงของโลกใบนี้ให้แจ่มชัด อย่าได้ติดด้านใดด้านหนึ่งจนเกินไป เพราะด้านใดด้านหนึ่งก็ยังเรียกว่าความหลงอยู่ดี เพราะสิ่งที่แท้จริงที่พ้นจากความหลงและพ้นจากมายาโลก
คือเหนือดีเหนือร้าย ใช่หรือไม่
(ใช่)
ไม่ง่วงใช่หรือไม่
(ใช่) แปลว่านั่งอยู่ตอนนี้ตอนที่อาจารย์อยู่ไม่ว่าจะนั่งหรือจะยืนจะไม่มีวันหลับ ใช่ไหม อย่างนั้น
ถ้าเห็นใครคนไหนหลับก็ชี้ให้อาจารย์ดู
อาจารย์จะจับเขาลุกขึ้นดีไหม
(ดี) ดีหรือ ช่วยกันจับถูกนะ อย่าจับผิด อยู่ในโลกนี้เราพบคนจับผิดมามากแล้ว
จับผิดบ่อยๆ เราก็เบื่อ ฉะนั้นเราจับคนถูกดีไหม
(ดี) จับใครก่อนเป็นคนแรกเวลาง่วงมากๆ น่าจะจับตัวเองก่อนใช่หรือไม่ (ใช่) เคยได้ยินคำกล่าวคำหนึ่งไหม ผีย่อมเห็นผี เราเห็นเขาง่วงก็แปลว่าตัวเราก็
(ง่วง) เราเห็นเขาร้ายก็แปลว่าเราก็ (ร้าย) เราด่าเขาว่านิสัยไม่ดีก็แปลว่าเรานิสัย
(ไม่ดี)
ฉะนั้นจำไว้นะ
ผีเห็นผี ว่าเขาร้ายเราก็ (ร้าย) ว่าเขาไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม เราก็ (ไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม) เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า (เป็น) เพราะผีมันเห็นผี ใช่หรือไม่
ศิษย์ว่าโลกใบนี้เป็นโลกที่น่ากลัวไหม(น่ากลัว) อย่างนั้นอาจารย์ถามคำถามอะไรง่ายๆ เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เรากลัวอะไร (กลัวตัวเอง) บางครั้งเราว่าโลกใบนี้น่ากลัว
ผู้อื่นน่ากลัว คนอื่นใจร้าย คนอื่นอำมหิต
แต่ลองถามดูว่าเราใจร้ายไหม เราอำมหิตหรือเปล่า เราว่าโลกน่ากลัวแล้วตัวเราน่ากลัวหรือไม่ เราว่าโลกโหดร้ายแล้วเราเคยใจดีกับใครจริงๆ
โดยไม่หวังผลหรือเปล่า ใช่ไหม (ใช่)
อย่างนั้นศิษย์ของอาจารย์อยู่ในโลกนี้ควรกลัวอะไร กลัวใจตัวเองที่คิดในสิ่งที่ไม่ควรคิด
ความคิดดีๆ ไม่คิด ชอบคิดลงต่ำ ความคิดงามๆ
ไม่คิด ชอบคิดร้ายๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างนั้นแปลว่าสิ่งที่ศิษย์กลัวมากที่สุดในโลกคือกลัวใจตัวเอง
ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่กลัวแค่นั้นพอหรือเปล่า ถ้าเราพูดว่าเรากลัวใจตัวเองเราก็ต้องรู้จักระมัดระวังตัวเองมากกว่านี้ถูกหรือไม่
(ถูก)
แต่เราไม่ค่อยระมัดระวังเลยใช่หรือเปล่า เราพยายามหาทุกสิ่งทุกอย่างมาเพื่อบำรุงร่างกายและหัวใจตัวเองและสนองตามใจตัวเองทุกอย่าง
เพราะลึกๆ นอกจากที่เราจะกลัวใจตัวเองแล้ว สิ่งที่เรากลัวแท้จริงคืออะไร (กลัวการเวียนว่ายตายเกิด,กลัวไม่มีความสุข, กลัวตาย, กลัวไม่มีที่กิน)
สิ่งที่ศิษย์มักจะกลัวกันมากที่สุด
เมื่อยามมีชีวิต ยามมีลมหายใจ เราทุกคนกลัวตาย ใช่ไหม (ใช่) อย่างนั้นอาจารย์มาสอนวิชาการเป็นอมตะไม่เกิดไม่ตายเอาไหม (เอา)
อยากได้วิชานี้ไหม (อยาก) แน่ใจนะ (แน่ใจ) เอาแล้วต้องเอาไปทำให้ได้นะ ถ้าเอาไปทำไม่ได้ ศิษย์ก็ต้องพบยมบาล และหนีไม่พ้นบ่วงมาร
อาจารย์จะช่วยแก้ให้ศิษย์ทีละเปราะ
ศิษย์ในโลกกลัวการตาย กลัวอด
กลัวความทุกข์
กลัวเหงา กลัวโดดเดี่ยว กลัวถูกทอดทิ้ง ใช่หรือเปล่า (ใช่) เรากลัวตายจริงไหม
(จริง) เราทำทุกอย่าง บำรุงบำเรอชีวิตทุกอย่างก็เพื่อให้มีชีวิตอยู่โดยที่ไม่ต้องตาย แต่ถ้ามนุษย์เข้าถึงสัจภาวะ มนุษย์ผู้นั้นจะพ้นการเกิดตายและเงื้อมมือของพญายม
การจะเข้าถึงสัจภาวะ หรือเข้าถึงความเป็นจริงแห่งธรรมได้ เพราะผู้ที่เข้าถึงความเป็นจริงแห่งธรรมได้ผู้นั้นจึงจะพ้นการเกิดตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ดูอย่างพระพุทธองค์
เวลาท่านดับ เวลาท่านตาย เขาไม่เรียกว่าตาย
แต่เรียกว่าดับ ท่านพ้นจากการเกิดตาย
อย่างนั้นแปลว่าท่านเข้าถึงสิ่งใด
เข้าถึงสภาวธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วสภาวธรรมเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอะไร
สภาวธรรมเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
เกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือความเป็นเช่นนั้นเอง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
ทุกสิ่งล้วนมีเหตุปัจจัย เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าความว่างเปล่า ถึงที่สุดทุกสิ่งต้องคืนสู่ความว่างเปล่าและธรรมที่อาจารย์บอกมาทั้งมวลล้วนมีอยู่ในตัวของมนุษย์ใช่หรือไม่
(ใช่) และในธรรมที่อาจารย์บอกมาทั้งมวลล้วนคือความต่างที่มี ความเป็นหนึ่ง และในธรรมทั้งมวลที่อาจารย์พูดนั้นล้วนคือธรรมที่มีอยู่ในตัวเรา ถ้าเราเห็นธรรมตัวนี้ เข้าถึงธรรมตัวนี้
เราจะพ้นเกิดตาย และพ้นมือพญายม ดั่งคำกล่าวว่า “ผู้ใดเห็นธรรม
ผู้นั้นเห็นตถาคต” เพราะศิษย์ยังเห็นโลกนี้เป็นความมี
เป็นความทุกข์อยู่ แต่ในขณะที่ศิษย์เห็นว่าเป็นความมีเป็นความทุกข์
ในความมี มีความว่างซ่อนอยู่ไหม
ในความทุกข์มีความเปลี่ยนแปลงเรียกว่าเกิด แก่ เจ็บ ตายไหม และในความเกิด แก่ เจ็บ ตาย
ถึงที่สุดกลับคืนสู่ความว่างเปล่า และในความเกิด
แก่ เจ็บ ตาย เรียกว่าความเป็นเช่นนั้นเอง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุมีปัจจัย และเรียกว่าความเป็นเช่นนั้นเอง ความเป็นเหตุเป็นปัจจัยถึงที่สุดคือความว่างเปล่า และในที่สุดที่อาจารย์พูดมาตั้งหลายอย่างรวมกันแล้วก็คือความเป็นหนึ่งในธรรม ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างแม้จะดีเลวต่างกันก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นหนึ่งเดียวกัน
จริงไหม (จริง) แต่ยังมองไม่เห็นใช่หรือไม่
(ใช่) ถ้าเห็นได้ง่ายๆ
ศิษย์ของอาจารย์ก็พ้นเกิดพ้นตายแล้วใช่หรือไม่
ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า “การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยดอกไม้ ด้วยของหอม ด้วยเครื่องสักการะ
หาใช่บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริงและบูชาถึงพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงคือ บูชาด้วยการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม” นี่จึงเรียกว่าบูชาพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
ใช่ไหม (ใช่) และมีคำกล่าวต่อไปอีกว่า “แม้จะเป็นคนมีศีล มีวัตรดี หรือความประพฤติดี มีความรู้มาก เป็นพหูสูตรมากแค่ไหนก็ตาม เป็นคนที่สามารถนั่งสมาธิในที่สงบได้เป็นชั่วโมง คนนี้แม้จะมีชีวิตมีภพเหลือน้อยก็ตาม แต่ถ้าเขายังตัดต้นเหตุของกิเลสไม่หมดสิ้น เขาก็ยังหนีไม่พ้นการเวียนว่ายอยู่ดี
ถึงจะมีศีลดี
ประพฤติดี ฟังได้มาก นั่งสมาธิได้เป็นวันๆ แต่ถ้ายังตัดต้นเหตุแห่งทุกข์และเวียนว่ายไม่ได้ซึ่งก็คือกิเลส คนนั้นก็ไม่มีวันล่วงพ้นโลกใบนี้ที่เวียนว่าย
ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเมื่อศิษย์อยากจะศึกษาให้ถึงธรรม
ก็ต้องเดินไปให้ถึงแก่น อย่าจับแค่เพียงไหว้พระ
อย่าจับแค่เพียงใส่บาตร เพราะอย่างนั้นยังไม่พ้นเวียนว่าย การพ้นเวียนว่ายที่แท้จริงคือตัดกิเลสสามตัว
โลภ โกรธ หลง และปล่อยวางตัวตน ยากไหม (ยาก)
“ฝึกทั้งกายทั้งใจให้เป็นหนึ่ง
ชีวิตหนึ่งสุญตาสิ้นคือวุ่นทุกที่
ให้บำเพ็ญพูดแต่ว่าเวลาไม่มี
ชีวิตนี้ถวิลตาเปิดกลับเดินธรรม”
จะบำเพ็ญตอนตายแล้วทันไหม
(ไม่ทัน) ร่างกายกลับคืนสู่ธาตุทั้งห้า ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จิตใจมุ่งไปตามสิ่งที่สั่งสม ถูกหรือเปล่า
(ถูก) ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจความเป็นธรรมที่อาจารย์บอก เข้าถึงธรรมในสิ่งที่อาจารย์พูด
ศิษย์จะตายก่อนตาย ศิษย์จะพ้นเกิดตาย
ศิษย์เห็นไหมว่าในโลกนี้มีความไม่เที่ยง
เป็นทุกข์และ สุญตา บางทีไม่ต้องเห็นจากภายนอกเห็นจากตัวเราเอง เป็นทุกข์ไม่เที่ยงและถึงที่สุดก็กลับมาสู่ความว่างใช่หรือไม่
(ใช่) และบางครั้งทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเช่นนั้นเองและบางครั้งทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ล้วนเป็นเหตุเป็นปัจจัย ฉะนั้นถ้าเราเข้าถึงธรรมในตัวเอง เราจะเข้าถึงธรรมในตัวผู้คน ถ้าเราเข้าถึงความแตกต่างและมองเห็นเป็นความหนึ่ง เราจะเห็นความเป็นหนึ่งในตัวทุกผู้คน แต่ไม่ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดเรื่องนี้กี่รอบก็ไม่มีใครเดินไปถึงธรรมสักที
อย่างนั้นอาจารย์แก้ปัญหาต่อศิษย์กลัวอดใช่หรือไม่
(ใช่) แต่เท่าที่อาจารย์ดูในชั้นนี้ไม่เคยเห็นใครอดจริงๆ
เลย ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นมาดูความน่ากลัวของทรัพย์
มีคำพูดคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “มนุษย์ถ้ามีปัญญาก็จะไม่มีวันอับจนหนทาง” ใช่หรือไม่
(ใช่) ถึงจะหมดตัวแต่ถ้าไม่หมดปัญญาก็ไม่มีวันลำบากได้
ฉะนั้นถึงเงินจะหมดแต่ขอเพียงปัญญาไม่หมดก็พอ เพราะปัญญาทำให้เราสามารถทำสิ่งที่ไม่มีให้กลายเป็นมี และทำในสิ่งที่มีให้กลายเป็นสิ่งที่มียิ่งๆ
ขึ้น มีคำพูดเกี่ยวกับทรัพย์อยู่คำหนึ่งว่า
“ทรัพย์ฆ่าคนชั่ว แต่ไม่ฆ่าผู้แสวงหาฝั่งธรรม” และมีต่ออีกว่า ถ้าปล่อยให้ความโลภนั้นแสวงหาทรัพย์ ปล่อยให้ความโลภนำชีวิตในการแสวงหาทรัพย์กรรมชั่วแห่งความโลภนั้นจะย้อนกลับ มาฆ่าบุคคลนั้นให้ตายทั้งเป็น
รู้อย่างนี้กลัวอดอีกไหม
ศิษย์เคยเห็นคนที่เหนื่อยทั้งชีวิตเพราะกลัวอดใช่ไหม
(ใช่) ถามว่าหยุดได้ไหม หยุดได้แต่เพราะกลัวจะอด
เหนื่อยรากเลือดก็เอา เหนื่อยสายตัวแทบขาดก็เอา
เพียงเพื่อให้ได้เงิน ใช่หรือเปล่า
(ใช่)
ทรัพย์ฆ่าคนที่ไม่รู้จักใช้ทรัพย์ให้เป็น
ทรัพย์ฆ่าคนที่ไม่รู้จักหาทรัพย์แล้วรู้พอ ฉะนั้นอดไปบ้างก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรใช่หรือเปล่า
(ใช่) อาจารย์ว่าอดแล้วเผื่อพุงจะลดไปบ้างดีไหม
ไม่เคยอดเลยมีแต่พยายามสะสมพุง ถูกหรือไม่
(ถูก) ตอนนี้แทบจะหาเอวไม่พบแล้วใช่หรือเปล่า
ฉะนั้นอย่ากลัวอด แต่สิ่งที่กลัวคือกลัวใจที่ขาดปัญญา
กลัวใจที่มัวแต่โลภแสวงหาจนขาดคุณธรรม
แล้วการโลภโดยที่ขาดคุณธรรมในการแสวงหาทรัพย์ ทรัพย์นั้นก็จะย้อนกลับมาฆ่าเราให้ตายทั้งเป็น
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เกิดมาเป็นทาสของเงิน
เราเป็นไหม (เป็น) ไหนใครบอกว่าไม่มีเงินออกจากบ้านไม่ได้ยกมือขึ้น ไม่มีเงินแล้วนอนไม่หลับยกมือขึ้น
ไม่กล้ายกมือเลยนะ ทั้งที่จริงแล้วเป็นอย่างนั้นใช่หรือไม่
(ใช่) อาจารย์ว่าบางครั้งลองเดินโดยที่ไม่มีเงินบ้างก็ได้นะศิษย์ ลองอยู่โดยที่ไม่มีเงินติดตัวบ้างก็ดีนะ
ใช่หรือไม่ (ใช่)
เผื่อใจไว้บ้างเพราะเงินไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป
ใช่ไหม มีมากขนาดไหนถึงเวลาจริงๆ
แล้วศิษย์หิ้วไปหมดไหม (ไม่หมด) แล้วศิษย์บอกว่าเอาไปฝากไว้ธนาคารมั่นคงแน่ๆ
อาจารย์ถามว่า ถ้าวันหนึ่งระเบิดลงธนาคารที่ศิษย์ฝากเงินไว้จะทำอย่างไร ไปด่าเขาหน้าธนาคารได้ไหม
แล้วอะไรคือความมั่นคงในชีวิต ศิษย์พยายามหาความมั่นคงในชีวิต
เหมือนที่ศิษย์บอกว่า “ศิษย์กลัวเหงา
ศิษย์เลยหาคู่ที่มั่นคง” อาจารย์ขอถามว่า มีคู่ไหนมั่นคงบ้าง
รักกันตั้งแต่หัวดำยันหัวหงอก ฉะนั้นศิษย์ต้องยอมรับในโลกใบนี้
เรามาตัวคนเดียว ถึงเวลาก็ต้องกลับคนเดียว ไปเข้าห้องน้ำเขาไปกับศิษย์ไหม
(ไม่ไป) ขนาดไปปลดทุกข์เขายังไม่ไปกับศิษย์เลย ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะว่าอยู่ในโลกใบนี้อย่ากลัวความโดดเดี่ยว ถ้าเราเข้าใจชีวิต
เราเห็นแจ้งถึงความเป็นจริงในชีวิต
มาคนเดียวก็กลับคนเดียว
ไปคนเดียว เราก็มีสุขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
หรืออีกอย่างหนึ่ง
ถ้าคนไหนรู้ว่าเราเกิดมาคนเดียว ไปอยู่ที่ไหนก็ต้องอยู่คนเดียว
ทำอย่างไรให้ไปที่ไหนฉันก็มีญาติทุกๆ ที่ ปราชญ์โบราณจึงกล่าวไว้ว่า “ผู้มีธรรมไปอยู่ที่ใด
ย่อมมีญาติมิตรสหาย แต่ผู้ไร้ธรรมไปอยู่ที่ใดถึงจะมีคู่
สักวันก็ต้องไร้คู่” ใช่หรือไม่ (ใช่)
กลัวอะไรอีก (กลัวกรรม) กลัวกรรมหรือ เมื่อวานเซียนน้อยก็พูดแล้ว
ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้ารู้จักดำรงอยู่ในศีลและธรรม
เราก็จะไม่ประพฤติผิด กรรมก็จะไม่เป็นสิ่งที่น่ากลัว
ใช่หรือไม่ (ใช่)
(กลัวผี) คนที่กลัวผีแปลว่าเป็นคนไม่ดี
ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า คนดีผีคุ้ม ใครกลัวผีแปลว่ายังเป็นคน (ไม่ดี) ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจะกลัวทำไม ผีก็คือคน
แต่เป็นคนที่ไม่มีร่างกายแล้วต่างหาก ใช่ไหม
(ใช่)
(กลัวบำเพ็ญไม่ถึง) บำเพ็ญถึงได้
ถ้าเรารู้จักมีสติรู้เท่าทันใจของตน ใจของตัวเอง
แม้จะน่ากลัว แต่ถ้าเรารู้เท่าทันคุมใจได้ เห็นใจตัวเองได้
เราก็จะสามารถคุมใจตัวเองได้อยู่
มนุษย์เห็นคนอื่นแต่ไม่เห็นตัวเอง
ใช่หรือไม่ ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่อาจารย์ยังไม่ตอบศิษย์ก็คือ
มนุษย์ทุกคนกลัวทุกข์ ใช่หรือไม่
(ใช่) ทุกข์ที่เกิดจากตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นศิษย์เคยรู้ไหมว่าทุกข์มาจากไหน
(ใจ) อะไรก็ตอบใจหมดเลย อย่าคิดว่าใจสามารถตอบได้ทุกคำถามนะ
ถ้าเรายังมองไม่เห็นใจตัวเอง
(กลัวลูกไม่ขยันทำมาหากิน)
จะไปกลัวทำไม ถึงเวลาแล้วถ้าศิษย์หมดอายุขัยไป
ความกลัว ความห่วงอาจจะทำให้ศิษย์ต้องกลับมาเป็นอะไรก็ไม่รู้
เราดูแลเขาแล้วก็ปล่อยวาง ถึงเวลาทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีหนทางเป็นของตนเอง ห่วงไปแล้วก็ดูแลได้ไม่ทั่วถึง
ชี้นำให้เขาเดินดี แต่ถ้าเขาไม่ใฝ่ดีก็เปล่าประโยชน์
ฉะนั้นทำตัวเองให้ดี ให้ถูกต้องดีกว่า
เป็นหนทางให้เขาเห็นว่า
ถ้าแม่ทำดีทำถูกต้อง ผลของการทำดีทำถูกต้องเป็นอย่างนี้
สอนด้วยการกระทำดีกว่าสอนด้วยคำพูด
ใช่หรือไม่
ตกลงว่ากลัวทุกข์หรือกลัวไม่มีเงินทองกันแน่ กลัวไม่มีเงินไม่มีทองใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์เคยเห็นใช่ไหม คนบางคนมีเงินมากแต่ไม่มีความสุข
แต่บางคนมีเงินน้อยแต่มีความสุข เพราะรู้จักขยันทำมาหากิน
โลกใบนี้เดี๋ยวราคาของก็ขึ้น เราทุกข์ใจไหม แต่เงินเราไม่ขึ้น
ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราจงแปรดินให้เป็นทรัพย์ ข้างบ้านเรามีที่ไหม (มี) ผักจะขึ้นราคาไม่เป็นไร ฉันมีผักข้างๆ บ้าน ผักพื้นบ้านปลูกไว้กิน เวลาไม่มีเงิน
มีผักไว้กิน ไม่มีที่ก็ใช้กระถาง ใช่หรือไม่
ฉะนั้นตอนนี้ไม่มีเงินแต่ศิษย์ก็สามารถมีกินได้ เพราะว่าราคาเมล็ดพันธุ์ไม่แพง ถ้าปลูกให้ดีก็อาจจะแปรเป็นเงินเป็นทอง
ใช่หรือเปล่า ฉะนั้น
สิ่งที่น่ากลัวคือกลัวตัวเองไม่ขยัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(กลัวการกระทำของตัวเอง) ฉะนั้นต้องรู้จักใจเย็น คิดให้รอบคอบ เราก็จะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบชักนำให้เราเดินผิดทาง อย่าปล่อยให้คนอื่นพาเราหลงทาง ใช่หรือไม่
(ใช่) เพียงแค่เขาหลงรูปเรา ใช่หรือไม่
(กลัวไปไม่ถึงนิพพาน) นิพพานไม่ใช่มีแค่พระพุทธะ
ยังมีตั้งหลายตำแหน่ง ไม่จำเป็นต้องไปให้ถึงซึ่งอย่างที่พระพุทธะถึงก็ได้ เอาแค่ว่าไปถึงแล้วพร้อมที่จะไปฝึกฝนต่อยังเบื้องบนดีกว่า ใช่หรือไม่ ฉะนั้นขอให้เพียรพยายาม
(กลัวโรคภัยไข้เจ็บ) อาจารย์ตอบเหมือนกันทุกที่ โรคภัยไข้เจ็บน่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว) ผู้ปฏิบัติงานธรรมรู้แล้วว่าไม่น่ากลัว
แต่นักเรียนของอาจารย์ยังไม่รู้ ก็ยังคิดว่าน่ากลัว
ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์จะบอกว่า โรคภัยไข้เจ็บมาเพื่อเตือนให้เรารู้ว่า เรามีสิ่งผิดปกติภายใน แล้วต้องรีบรักษาให้ปกติ
ถ้าไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ความตายมาทันที
แล้วโรคภัยไข้เจ็บควรจะมีไหม โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดจากเวรกรรมจะหยุดและชำระได้ด้วยใจที่รู้จักสำนึกขอขมา และทำบุญให้เขา ใช่หรือไม่ (ใช่)
(กลัวตัดสินใจผิด) ไม่ผิดแล้วจะรู้หรือว่าอะไรเรียกว่าถูก
ใช่ไหม แล้วถึงที่สุดแล้ว
ศิษย์ว่าศิษย์ถูกแต่ก็ไม่แน่ พอเวลาผ่านไปสิ่งที่ถูกอาจจะเป็นผิด
และสิ่งที่คิดว่าผิดก็อาจจะเป็นถูก ฉะนั้นถูกผิดไม่ใช่เรื่องน่ากลัว
ใช่หรือไม่ ที่น่ากลัวก็คือหลงแต่คิดว่าจะต้องถูกแล้วไม่มีวันผิด
(กลัวความคิดของตัวเอง,กลัวควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ได้) กลัวความคิดของตัวเอง ถ้าอย่างนั้นก่อนที่จะติดสินใจลงมือทำ ให้คิดแล้วไตร่ตรองให้ดีก่อนว่ามีศีลธรรมไหม
ชอบธรรมหรือเปล่า อาจารย์จะบอกว่าสิ่งที่ศิษย์กลัวกันมากที่สุดอีกอย่างหนึ่งคือกลัวความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเรารู้ไหมว่าทุกข์มาจากอะไร (ใจ)
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาเขียนคำว่า
“ดี” กับ “ชั่ว”
บนกระดาน)
ถ้าอาจารย์เขียนคำว่า
ดี
ชั่ว
ศิษย์ชอบคำไหน
(ดี) แต่ชีวิตไม่มีอะไรง่ายอย่างที่คิด แล้วถ้าอาจารย์เปลี่ยน
ดีไม่เหลือ
ชั่วไม่มี
ถ้าแบบนี้ศิษย์ชอบคำไหน
(ชั่ว)
บางทีสิ่งที่เรามองเห็น
อาจจะไม่เป็นอย่างที่เราเห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วถ้าเปลี่ยนเป็นคำว่า
สุข
ทุกข์
ศิษย์ชอบคำไหน
(สุข) ถ้าศิษย์ชอบคำว่าสุข และถ้าอาจารย์เปลี่ยน
สุขไม่เหลือ
ทุกข์ไม่มี
“สุขไม่เหลือ” “ทุกข์ไม่มี” อะไรดีกว่ากัน
(ทุกข์ไม่มี) อย่างนั้นถ้าเปลี่ยนกัน
ทุกข์ไม่เหลือ
สุขไม่มี
ชีวิตผันเปลี่ยนไปไม่แน่นอน บางทีเราอยากได้ทุกข์ไหม ไม่อยากได้ เราอยากได้สุขแต่แน่ใจหรือว่าเราจะเป็นสุขจริงๆ
อย่างที่เราหวัง สุขอาจจะกลายเป็นสุขไม่มี
แต่ได้ทุกข์ไม่เหลือก็ได้
ใช่หรือไม่
แล้วดีไหมสองอย่างนี้ (ไม่ดี) จริงหรือศิษย์ สุขไม่มีทุกข์ก็ไม่เหลือ เห็นไหมความทุกข์ของมนุษย์เกิดจากอีกสาเหตุหนึ่งคือความไม่รู้
ไม่รู้อะไร ไม่รู้ความเป็นจริงแห่งชีวิตและไม่รู้เท่าทันในชีวิตตน ว่าตนเองต้องการอะไรกันแน่ ใช่ไหม
พิจารณาให้ดีนะศิษย์ทุกข์ก็ไม่เหลือ
สุขก็ไม่มี แปลว่าเราเข้าถึงความว่าง
มนุษย์ทุกข์อยู่ทุกวันนี้เพราะขาดความรู้
ยังหลงอยู่ในอวิชชา ยังเป็นผู้ไม่รู้
ไม่รู้ทั้งความเป็นจริงของโลก และไม่รู้เท่าทันตัวตน ตัวตนต้องการอะไรกันแน่รู้หรือยัง
ศิษย์เอยบางครั้งชีวิตเลือกไม่ได้ อะไรมีก็ต้องทำใจให้สบาย
อย่างนั้นถ้าอาจารย์เปลี่ยนอีก เปลี่ยนเป็นคำว่า
ได้
เสีย
ศิษย์ชอบคำไหน
อาจารย์พูดไปหนึ่งสองแล้ว
สามสี่ศิษย์น่าจะต่อได้ ถ้าหนึ่งสองแล้วสามสี่ต่อไม่ได้
ชีวิตนี้ศิษย์ก็ทุกข์แน่ๆ ใช่หรือไม่
ฉะนั้นตอนนี้อาจารย์ถามว่า
ได้กับเสียอยากได้อะไร (เสีย) คิดได้ดี (เสียไม่มี ได้ไม่เหลือ) เสียไม่มี ได้ไม่เหลือ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าศิษย์มองให้ดี จำไว้
มีใครบ้างไม่เสียก่อนแล้วจึงได้ มีใครบ้างได้รับแล้วไม่ต้องเสีย ฉะนั้นถ้าอาจารย์ให้เลือกระหว่าง ได้กับเสีย ศิษย์ก็ต้องบอกว่า “อะไรก็ดี”
ใช่ไหม
(ใช่) ไม่ใช่อยากแต่จะได้ ไม่มีวันเสีย
คนที่หวังแต่จะได้คือคนที่เป็นขอทาน มีนิทานเรื่องหนึ่ง พญายมถามวิญญาณสองดวงว่า อยากไปเกิดเป็นอะไร
คนหนึ่งตอบว่า “อยากเป็นคนที่มีแต่คนให้” กับอีกคนหนึ่งบอกว่า “อยากเป็นคนที่มีแต่จะให้เขา” ถ้าศิษย์ไม่รู้
เข้าไม่ถึง ก็อยากเป็นคนแรกดีกว่า ใช่ไหม
ใครๆ ก็อยากให้ คนนั้นเลยเกิดมาเป็นขอทาน ส่วนคนที่มีแต่จะให้คนอื่น
คนนั้นเลยเกิดเป็นเศรษฐี
ฉะนั้นต้นเหตุแห่งทุกข์ที่เป็นปัจจัยแรก
ที่ทำให้มนุษย์ไม่มีวันพ้นทุกข์ ก็เพราะความไม่รู้
ไม่รู้ในความเป็นจริงแห่งชีวิต
ไม่รู้เท่าทันในตัวตนว่าต้องการอะไรแน่ ฉะนั้นถ้าเราอยากพ้นทุกข์ เราต้องเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต อย่าเห็นแค่เพียงได้ อย่าเห็นแค่เพียงเสีย
อย่าเห็นแค่เพียงสุขหรือทุกข์ ดีหรือแย่
เพราะว่าดี-แย่
ได้-เสีย ล้วนเป็นสิ่งเดียวกัน นั่นแหละคือธรรม ใช่ไหม (ใช่)
เหมือนใบไม้
ถ้าไม่อยากร่วง มีกี่ใบก็เก็บใบไว้หมด
แล้วต้นไม้จะเติบโตไหม
(ไม่) เพราะยอมร่วง จึงทำให้เกิดเป็นต้นไม้ที่เติบโต ใช่หรือไม่
(ใช่) ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกัน
ถ้าได้มาแล้วไม่รู้จักให้ เอาแต่เก็บ
คนนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับของเน่าเสีย
ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้น อยากพ้นทุกข์ต้องมองให้เห็นความเป็นจริงในโลกนี้จริงหรือเปล่า
(จริง)
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาให้เล่นเกมแก้เมื่อย)
อยู่ในชั้นเดียวกัน กินข้าวหม้อเดียวกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้ไม่ได้เกิดมาพร้อมกันแต่วันนี้ยอมตายพร้อมกันใช่หรือไม่ คนดีไม่มีวันกลัวตาย
คนกลัวตายแปลว่ายังไม่มีดี ใช่หรือเปล่า
(นักเรียนเล่นเกมโดยฟังคำสั่งจากคำว่า
เลขคู่ เลขคี่ หรือตัวเลขที่แทนเลขคู่ เลขคี่)
ดูแลตัวเองให้ดีก็จะไม่สร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่นนะ
อาจารย์บอกหนึ่ง
ศิษย์ก็เห็นแค่หนึ่ง ใช่หรือไม่ แต่อาจารย์บอกว่า
ถ้าเราอยากจะเอาชนะทุกข์ให้ได้ อย่าเห็นหนึ่งเป็นแค่หนึ่ง แต่จงเห็นหนึ่งมากกว่าหนึ่ง เลขหนึ่งคือ (คี่) เลขสองคือ (คู่) อาจารย์บอกคี่ให้ทำอะไร
(ยืน)
เห็นไหมว่าหนึ่งคำพูดยังมีหลายความหมาย หนึ่งคำพูดยังมีลักษณะสมมุติมากมาย ฉะนั้นตอนนี้อาจารย์แค่สมมุติแค่หนึ่ง ศิษย์ยังสับสนขนาดนี้ แล้วชีวิตเรามีสิ่งสมมุติกี่อย่าง เราสับสนไหม
และเราทุกข์ไหม และใครเป็นคนตั้งสมมุติและใครโง่กว่าสิ่งสมมุติ ใช่ไหม (ใช่) อย่างงกับสิ่งที่ตัวเองรู้
อย่าทุกข์กับสิ่งที่ตัวเองเข้าใจ ฉะนั้นอย่าเห็นหนึ่งเป็นแค่หนึ่ง อย่าหลงสิ่งสมมุติจนหาทุกข์ใส่ตัว
นอกจากทุกข์เพราะความไม่รู้แล้ว
มนุษย์ยังทุกข์เพราะอะไรได้อีก
(ทุกข์เพราะความไม่สมหวัง) เพราะเรายึดมั่นถือมั่นในความคิดตน
ไม่มองในความเป็นจริง ใช่หรือไม่
(กลัวไม่มีปัญญา) คือกลัวมีปัญญาที่ไม่ถูกต้อง ถ้าเราอยู่ในศีลธรรม ปัญญาเราจะไม่ถูกต้องไหม
(ไม่)
(ทุกข์เพราะรู้มากเกินไป) ทุกข์เพราะเห็นมากเกินไป
ใช่หรือไม่ ฉะนั้นต้องจำไว้ว่า
บางครั้งมันก็เป็นเช่นนั้นเอง เพราะเขามีเหตุปัจจัย ทำไมคนนี้ชอบพูดแบบนี้
แต่อีกคนหนึ่งทำไมพูดได้ดีเหลือเกิน
อีกคนหนึ่งทำไมพูดไม่ดี เหมือนบางทีที่เราเห็นคนอื่นดีกว่าคนในบ้าน ใช่หรือไม่ เพราะอะไร
เพราะเราเห็นคนนอกบ้านน้อยกว่าคนในบ้าน จริงหรือเปล่า
(ทุกข์เพราะความคิด) เพราะความคิด คิดมาก คิดฟุ้งซ่าน ใช่หรือไม่ ฉะนั้น ถึงบอกว่า “อยู่คนเดียวระวังความคิด
อยู่กับมิตรระวังคำพูดจา”
(ทุกข์เพราะความโลภ) อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า
อาจารย์ให้ผลไม้หนึ่งลูก พอไหม
(พอ) คนส่วนใหญ่หนึ่งลูกพอไหม
(ไม่พอ) ฉะนั้น นี่จะเป็นคำตอบของคำตอบต่อไป
(ทุกข์เพราะหวัง) หวังอีกลูกหนึ่งไหม
(ทุกข์เพราะความไม่รู้) เข้าไม่ถึงหรือ ไม่ต้องเข้าถึงอะไรก็ได้ เข้าถึงใจตัวเองก็พอ เวลาที่พบเรื่องอะไรกระทบ มองให้เห็นว่าตอนนี้เราสงบไหม
เราโกรธหรือเราโลภ หรือเราหลง หรือเราอิจฉา หรือเราฟุ้งซ่าน ถ้าหยุดได้ หยุดที่ตัวเองก่อน
อย่าไปหยุดที่ใคร ใช่ไหม
ทุกข์เกิดอีกอย่างหนึ่งได้เพราะว่า
ทำแล้วไม่สมหวัง ใช่หรือไม่
(ใช่) สาเหตุของทุกข์อีกอย่างหนึ่ง
นอกจากความไม่รู้แล้ว คือเกิดจาก
(ความไม่สมหวัง, ทำอะไรก็ไม่ได้) อยากมี อยากได้ อยากเป็น อยากไปหลายเรื่อง
แล้วเป็นไปได้ทุกเรื่องที่อยากไหม อยากให้ครอบครัวสบาย อยากให้ลูกหลานร่มเย็น แต่ถ้าลูกไม่คิดดี
ลูกอยากทำชั่ว จะร่มเย็นไหม แล้วถ้าแม่เอาแต่อารมณ์ร้อนขี้บ่น
บ้านจะสงบไหม (ไม่สงบ) ฉะนั้นต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน
ยังไม่ต้องอยากอะไร เป็นในสิ่งที่เขาเป็นนั่นดีแล้ว
อยากมากๆ ก็ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีใครอยากตอบคำถามอาจารย์อีกไหม
(ทุกข์เพราะหลง) มีศิษย์ถามพระอาจารย์ว่า “กลับไปแล้วกลัวทำไม่ได้” อย่างนั้นอาจารย์ให้กล้วยดีไหม กล้วยๆ หรือกล้วยเดียว (กล้วยๆ) อย่างนั้นออกมาเลย มารับไป
กล้วยไม่เหมือนกล้วย ดูเหมือนกล้วยแต่อาจารย์บอกไว้ก่อน
กล้วยนั้นไม่เหมือนกล้วยนะ ฉะนั้นถ้ากินไปแล้วอย่าลืมว่ากล้วยไม่เหมือนกล้วย
(กลัวโง่เขลาเบาปัญญา) การบำเพ็ญโง่ๆ
ซื่อๆ บางทีก็ทำให้ผ่านความทุกข์ได้ใช่หรือไม่
แต่โง่แล้วต้องฉลาดเป็นด้วย ฉลาดแล้วก็ต้องโง่เป็นได้ใช่หรือไม่
(กลัวกังวล) ถ้าเรากล้ารับความเป็นจริงเรื่องราวในโลกก็ไม่น่ากลัวใช่หรือไม่ เราต้องกล้าสู้กับความเป็นจริงเพราะว่าถ้าเราไม่สู้กับความเป็นจริง อะไรก็น่ากลัว อะไรก็ชวนกังวล
(กลัวโรคภัยไข้เจ็บ) โรคภัยไข้เจ็บไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเพราะโรคภัยไข้เจ็บเป็นสัญญาณมาเตือนว่า เรากำลังมีความผิดปกติ ภายในใช่หรือไม่ ดีกว่าไม่มาแล้วปล่อยให้เราตายเลยอย่างนั้นน่ากลัวกว่า โรคภัยไข้เจ็บมาสอนให้เรารู้จักเข้มแข็งและแข็งแรงจริงหรือไม่
(กลัวมองไม่เห็น) อาจารย์ถามหน่อยนะ พออายุมากสิ่งที่เห็นก็เหมือนไม่เห็น
ที่ได้ยินชัดก็เหมือนไม่ได้ยิน อย่างนั้นไม่ต้องกลัวเพราะอย่างไรถึงที่สุดเห็นก็เหมือนไม่เห็น เชื่ออาจารย์เพราะเวลาแก่แล้วศิษย์เห็นก็เหมือนไม่เห็นแล้วนะ
นี่เป็นสัญญาณเตือนของธรรมะที่ต้องการบอกให้ทุกคนรู้ว่า สิ่งที่ศิษย์เห็นสักวันหนึ่งศิษย์ต้องไม่เห็น สิ่งที่ศิษย์ได้ยินสักวันหนึ่งศิษย์ต้องหยุดได้ยินแล้ว สิ่งที่วันหนึ่งศิษย์จับได้
สักวันศิษย์จะจับไม่ได้ และสิ่งที่วันหนึ่งศิษย์ครอบครองถึงวันหนึ่งศิษย์จะครอบครองไม่ได้ อย่ารอให้สัจธรรมมาเคาะประตูแล้วค่อยรู้สึกสังวรณ์
รู้จักปลง ช้าไปไหม ฉะนั้นไม่ต้องกลัว
รักษาได้ก็รักษา แต่ถ้ารักษาไม่ได้ก็ต้องยอมรับชะตากรรม
กลัวอะไร
(กลัวไม่ได้กิน) กลัวทำไม
น่ากลัวตรงที่มือจะเข้าปากไม่ถึง เคยเป็นโรคมือสั่นไหมศิษย์
ระวังนะอันนั้นน่ากลัวกว่า
(กลัวใจผู้อื่น) ศิษย์เอ๋ยคนถ้ามีบุญกับเรา อย่างไรเขาก็รักเรา แต่ถ้าเขาไม่ได้ทำบุญร่วมกับเรามา แม้ศิษย์จะทำเต็มที่ขนาดไหนเขาก็ไม่รักเรา
ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าลืมที่อาจารย์บอก
ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุปัจจัย ทำบุญเนื่องกันมาก็ได้คู่กัน แต่ถ้าไม่ได้ทำบุญเนื่องกันมาก็ไม่มีวันคู่กับใคร
ใช่ไหม
(กลัวเจ้ากรรมนายเวรมาทวงหนี้) ตอนนี้มาหรือยัง (น่าจะมาแล้ว) ศิษย์เอ๋ย
อาจารย์บอกอย่างหนึ่งนะ ไม่ใช่เจ็บนิด เจ็บหน่อย เจ้ากรรมมา ไม่ใช่ บางทีเกิดจากตัวเอง ไม่ดูแลรักษาตัวเองให้ดี
ใช่หรือไม่ ศิษย์ของอาจารย์กินเสร็จนั่ง
นั่งเสร็จ กิน ขยับเขยื้อนอะไรไหม ไม่ค่อยออกกำลังกาย
กินก็เลือกกินแต่ของที่ชอบ ที่ไม่ชอบก็ไม่กิน รู้ไหมว่าที่ไม่ชอบกินนั้นมีประโยชน์
ฉะนั้นอย่าโทษกรรมเวร กรรมเวรคือสิ่งที่เป็นแล้วรักษาไม่มีวันหาย
หาสาเหตุไม่ได้ นั่นถึงเรียกว่ากรรมเวร
เข้าใจนะ แต่ถ้าเราทำดีอยู่เสมอ กรรมก็ตามไม่ทัน และทุกวันหมั่นขอขมาอยู่เสมอ ทำดีก็ขอขมา ทำดีมากเท่าไรก็ขอขมาเจ้ากรรมนายเวร
เพราะถ้าทุกวันศิษย์ขอขมาบ่อยๆ
เจ้ากรรมนายเวรที่แค้นๆ
เขาก็ยังให้อภัย ใช่หรือไม่
(กลัวอด)
อาจารย์บอกไปแล้วว่าอย่าได้กลัวอด เพราะว่าคนที่กลัวอดคือคนที่ (ขี้เกียจ) ใช่หรือไม่ ฉะนั้นมีปัญญาไม่มีวันอด
ไร้ปัญญาแม้มั่งมีก็มีวันอด ใช่ไหม
ทุกข์เกิดจากความอยากได้
อยากมี อยากเป็น นี่คือทุกข์ที่สองที่เกิดจากมนุษย์
ใช่หรือไม่ มนุษย์ทุกข์เพราะไม่รู้อย่างหนึ่ง
อย่างที่สองทุกข์เพราะอยากได้ อยากมี อยากเป็น และไม่อยากเป็น
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ทุกข์เพราะตัณหา ใช่ไหม (ใช่) อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยว่า
ในโลกมีอะไรแล้วไม่ทุกข์ ในโลกเป็นอะไรแล้วไม่ทุกข์ เป็นตัวเราก็ยังทุกข์เลยใช่หรือไม่ ฉะนั้นมีอะไรแล้วเป็นอะไรแล้ว ไม่ทุกข์ มันไม่มี ฉะนั้นถ้ามนุษย์เข้าใจตรงนี้ก็คงไม่อยากมี ไม่อยากเป็นอะไรในโลก แต่ศิษย์ของอาจารย์อยากมีไหม (อยาก)
(กลัวไม่มีเงิน) ถ้าอาจารย์จี้กงให้สองตัวศิษย์คงดีใจนะ
แต่อาจารย์บอกตามตรงนะ ศิษย์เอย มีเงินมากลูกจะรักเรา
มีเงินมากครอบครัวจะร่มเย็น ใช่ไหม คิดให้ดีๆ นะ มีเงินน้อยแต่ลูกช่วยกันดูแลเอาใจใส่พ่อแม่ ขยันขันแข็งดีกว่ามีเงินมากแต่ตัวใครตัวมัน
ใช่หรือไม่ (ใช่) แถมไม่มีเวลามาดูแลเราใช่หรือไม่
สู้มีเงินน้อย พ่อเห็นลูก ลูกเห็นแม่
ต่างคนต่างช่วยทำมาหากิน
มีเท่าที่กินยังมีสุขกว่ามีมากแต่ไม่เห็นใคร คิดให้ดีๆ นะศิษย์
ความสุขที่แท้จริงคืออะไรใช่หรือเปล่า
มนุษย์ทุกข์อีกอย่างหนึ่งและเป็นต้นเหตุหลักใหญ่ของโลกใบนี้คือทุกข์เพราะมีสังขาร
เราทำทุกอย่างเพื่อสังขารใช่หรือไม่
ฉะนั้นพระพุทธะกล่าวไว้ว่า
“สังขารหรือขันธ์ทั้ง
๕ [๑]เป็นต้นเหตุหรือมูลเหตุของความทุกข์ทั้งมวลในโลก”
ฉะนั้นถ้าเราปลงสังขารได้
วางสังขารได้ เราจะพบสุขในโลกได้ อาจารย์เคยบอกว่า สังขารนี้อาจารย์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
กองทุกข์ ใช่หรือไม่ แต่ตอนนี้อาจารย์เปลี่ยนเรียกว่ากองขี้ เราพยายามทำทุกอย่างเพื่อกองขี้กองนี้
จริงไหม (จริง) เราหาสุขก็เพื่อกองขี้กองนี้ ใช่หรือไม่
(ใช่)
สิ่งที่ออกจากตาเรียกว่าอะไร
น้ำตาหรือขี้ตา สิ่งที่ออกจากจมูกเรียกว่าน้ำมูกหรือขี้มูก ออกจากปากเรียกว่าน้ำลายหรือขี้ปาก
แล้วออกจากใจล่ะ ขี้ของใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วถ้าออกมามีคุณธรรมก็เรียกว่าน้ำใจ ออกมาประกอบไปด้วยเมตตาธรรมก็เรียกว่ามีคุณธรรม
ใช่หรือไม่ แต่ถ้าออกมาด้วยความเห็นแก่ตัว
ออกมาด้วยความอยากมีอยากได้ ออกมาด้วยความโลภ
โกรธ หลง พระพุทธะ เรียกว่ากิเลส และกิเลสนี้ที่นำให้มนุษย์ต้องทุกข์และเวียนว่ายไม่จบสิ้น
ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเราบำรุงบำเรอกองทุกข์นี้
เราทำทุกอย่างเพื่อกองทุกข์นี้
แต่ถึงที่สุดแล้วก้อนเนื้อก้อนนี้ไปกับเราได้ไหม
(ไม่ได้) สิ่งที่ไปกับเราคือสิ่งที่จิตของศิษย์สั่งสม จริงไหม
(จริง) เนื้อประกอบไปด้วยดินน้ำลมไฟ
ถึงเวลาก็ไปตามดินน้ำลมไฟ แต่สิ่งที่ยังคงอยู่คือจิต
ถ้าจิตยังไม่เข้าถึงธรรม จิตยังเต็มไปด้วยกิเลส จิตนั้นก็หนีไม่พ้นวัฏฏะแห่งการเวียนว่าย
ฉะนั้นหนทางที่ประเสริฐ
ที่จะสามารถดับทุกข์ทั้งมวลได้ คืออะไร
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนคำว่า “รูปนามมายาสมมุติ”)
รูปอาจจะเทียบได้อีกอย่างหนึ่งคือกาย นามอาจจะเทียบได้อีกอย่างหนึ่งคือจิต
ใช่หรือไม่ (ใช่) ทั้งรูปและนามล้วนหนีไม่พ้นความเปลี่ยนแปลง ทั้งรูปและนามคือสิ่งที่เป็นสิ่งสมมุติที่เรายืมใช้มา ถึงเวลาเราต้องคืนเขาไป
ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นกายกับจิตก็ไม่ต่างอะไรกับรูปและนาม
ถึงเวลาทั้งรูปและนาม เหลือคงไว้ก็คือสภาวธรรมแห่งความเปลี่ยนแปลง
ธรรมแห่งการเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ธรรมแห่งความแตกต่างแต่มีความเป็นหนึ่งใช่หรือไม่
ถ้ามนุษย์ไม่เข้าถึงธรรม มนุษย์ก็ยังคงหนีไม่พ้นจิตสั่งสมและต้องเวียนว่ายตายเกิด
ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นวันนี้อาจารย์คงกลับได้แล้วใช่หรือไม่ อาจารย์เห็นศิษย์บางคนยืนจนเหนื่อยแล้วนะ บางคนนั่งจนหลับแล้วหลับอีกใช่หรือไม่ สิ่งที่ประเสริฐอีกอย่างหนึ่งที่อาจารย์อยากจะบอกคืออะไร แต่บอกไปอาจารย์ก็รู้ว่าศิษย์จำไม่ได้ใช่ไหม เหมือนอาจารย์ถามว่าตอนนี้จำอะไรได้บ้าง อย่างนั้นอาจารย์บอกง่ายๆ
ต้นเหตุแห่งความทุกข์ที่ทำให้เราต้องวิ่งเวียนวนคือ
๑.
ความไม่รู้
๒. ตัณหา
๓.
รูปขันธ์หรือขันธ์ทั้ง ๕
ฉะนั้นถ้าศิษย์มีปัญญาหยั่งรู้ความจริงแท้ ศิษย์จะสามารถตัดตัณหาและปล่อยวางขันธ์ได้
ใช่หรือเปล่า สังขารนี้ไม่เที่ยง ถึงเวลาก็ต้องแตกสลายไป
เมื่อไรตาเริ่มมองไม่เห็น หูเริ่มฟังไม่ได้ยิน ขาเริ่มขยับไม่ได้นั่นเป็นสิ่งที่มาเตือนบอกเราแล้วว่า ชีวิตมันไม่เที่ยงแล้ว
กำลังกลับคืนสู่ความว่างแล้ว แล้วเราว่างได้หรือยัง ใช่หรือไม่ นับถือพุทธศาสนา หลักแห่งพุทธศาสนามีอีกอย่างหนึ่งว่า “ละชั่วกระทำความดีและรักษาใจให้บริสุทธิ์” เราละชั่วได้
และเราทำดีมั่นคงได้แล้วหรือยัง แล้วเราทำดีจนถึงความบริสุทธิ์ผ่องแผ้วของจิตใจได้แล้วหรือยัง จิตที่ทำให้เราขุ่นมัวก็เกิดมาจากกิเลส
ตัณหาและความไม่รู้ เราสามารถบริสุทธิ์และคืนใสได้ก็ต่อเมื่อเรารู้แจ้งแล้วว่าในโลกนี้ไม่มีอะไร น่าเอา
ในโลกนี้ไม่มีอะไรน่าเป็น และในโลกนี้ไม่มีอะไรน่า...
อาจารย์ไม่บอกแล้วนะให้ศิษย์ไปคิดเอาเองบ้าง
ทุกคนล้วนมีปัญญาที่หยั่งรู้ได้แต่เราไม่เคยหันมามองตัวเองใช่ไหม
วันจันทร์ที่ ๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
รูปมายานามสมมุติคนยึดถือ หลงก็คืออบายภูมิ[๒]ทุกข์ไม่สิ้น
ปล่อยตัวเองตามกิเลสอารมณ์จนเคยชิน ยามชีพสิ้นไม่พ้นว่ายเวียนทุกข์ทน
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกตัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
แม้ความจริงอาจฟังยากดูขัดหู แต่ฟังหูไว้หูไม่เสียเปล่า
คนกล้าท้วงกล้าติงบอกเรื่องราว เพราะห่วงใยจึงกล้ากล่าวด้วยหวังดี
ความจริงความตรงคนยากรับได้ ดุจยาขมกว่ากินได้ยากเต็มที่
เคลือบหวานหน่อยก็คงดูเข้าที กินง่ายดีฟังรื่นหูแฝงความนัย
พอพูดอ้อมก็บอกไม่รู้เรื่อง พอไม่พูดอึดอัดเคืองเป็นเรื่องใหญ่
พอรำคาญตามใจก็เสียคนไป อย่าง่ายง่ายลวกลวกไปไม่เหลือดี
ในอ่อนนอกเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวอยู่ คนฉลาดไม่อวดรู้ไปทุกที่
ถึงรู้แล้วพร้อมรับฟังด้วยยินดี ทำได้เช่นนี้กลับยิ่งลดอัตตาจริง
คนหัวดื้อมีจุดยืนในของตน ต้องกล้าทนกล้ารับในทุกสิ่ง
ร้ายไม่เกลียดดีไม่หลงบำเพ็ญจริง ถึงเวลาต้องพูดจริงทำจริงอย่างตั้งใจ
ฮา ฮา
หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
วันนี้เป็นโอกาสดีที่ได้มาผูกบุญสัมพันธ์ร่วมกัน แม้จะเป็นวันสุดท้ายแต่ก็คงไม่ใช่วันที่ท้ายสุด ใช่หรือเปล่า (ใช่)
“แม้ความจริงอาจฟังยากดูขัดหู แต่ฟังหูไว้หูไม่เสียเปล่า
คนกล้าท้วงกล้าติงบอกเรื่องราว เพราะห่วงใยจึงกล้ากล่าวด้วยหวังดี”
เป็นอย่างนั้นใช่หรือไม่
(ใช่) พูดตรงเกินไปพูดขวานผ่าซากเกินไป
แม้จะจริงขนาดไหนแต่เราก็รู้สึกว่ายากจะรับได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
“ความจริงความตรงคนยากรับได้ ดุจยาขมกว่ากินได้ยากเต็มที่”
อยากรู้ว่ายาขมหรือไม่
ลองแกะยาที่มีตัวเคลือบแคปซูลออก จะรู้ว่าที่เขาเคลือบก็เพราะว่ายานี้ขมจริงๆ
อยากรู้ว่าเราเกิดเป็นคน ตัวตนของคนยังยากที่จะรับความขม
อย่างนั้นการพูดตรงๆ บางครั้งถึงแม้จะเป็นความจริงแต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะยอมรับได้
จริงหรือเปล่า (จริง)
“เคลือบหวานหน่อยก็คงดูเข้าที
กินง่ายดีฟังรื่นหูแฝงความนัย
พอพูดอ้อมก็บอกไม่รู้เรื่อง
พอไม่พูดอึดอัดเคืองเป็นเรื่องใหญ่ “
พูดตรงๆ
ก็รับไม่ได้ พอเราพูดอ้อมๆ ก็บอกว่า (ไม่รู้เรื่อง) พอเราไม่พูดเลย คนที่ไม่พูดก็อึดอัด
คนอยู่ข้างๆ ก็อึดอัด ใช่ไหม (ใช่) เวลาพูดไม่พูด แต่หน้าบอกบุญไม่รับ
ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้น การอยู่ร่วมกันจึงเป็นเรื่องยาก
พูดภาษาไทยเหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่) ฟังภาษาไทยเหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่) แต่ทำไมคนเหมือนกันจึงคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง
เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า (เป็น) พูดตรงก็รับไม่ได้ พูดอ้อมๆ
ก็บอกว่าไม่รู้เรื่อง ไม่พูดเลยก็บอกว่าอึดอัด
อย่างนั้นการเป็นคนที่ดีในโลกนี้ หรือการที่จะอยู่กับคนในโลกนี้
ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) หรือที่มนุษย์ชอบพูดว่าเมื่อสั่งหนึ่งให้ไปทำหนึ่ง
คนทั่วไปก็บอกว่าซื่อ ใช่หรือไม่
(ใช่) แต่พอสั่งหนึ่ง เขาทำสอง สาม
คนก็บอกว่า (อวดฉลาด) อวดเก่ง
อวดรู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถึงแม้วันนี้ท่านจะฟังธรรมะมากขนาดไหน แต่ถึงเวลาเมื่อจะไปทำดีก็รู้สึกเป็นเรื่องยากเหลือเกิน
ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะเวลาเราจะทำดีก็เป็นเรื่องยากที่จะออกจากใจแล้ว
และเมื่อทำออกมาแล้ว พบคนพูดอีกก็เลยยิ่งไม่กล้า
ฉะนั้นเรารู้ดี เราเลยไม่ทำดีเลย ถูกไหม (ไม่ถูก) ทำไมเราถึงต้องทำดีรู้หรือไม่ เพราะว่าโลกใบนี้เป็นโลกแห่งความทุกข์
มีแต่คนอยากแก่งแย่ง มีแต่คนอยากเห็นแก่ตัว
การทำดีก็เพื่อจะช่วยลดทอนความทุกข์ในใจของผู้คน และลดทอนความทุกข์ในใจของตน เพราะการทำดี
เราทำได้ เราสบายใจ แต่เวลาทำจงจำไว้อย่างหนึ่ง
ว่าทำแล้วเป็นธรรมดาที่ต้องมีคนติ ทำแล้วต้องมีคนตำหนิติเตียน
และมีคนไม่กล้าที่จะชม ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นเวลาทำดี
ท่านจึงต้องรู้จักที่จะมุ่งมั่นตั้งใจอย่างเข้มแข็ง เพราะถ้าไม่มุ่งมั่นตั้งใจอย่างเข้มแข็งแล้ว ความดีหรือต้นธรรมะจะไม่สามารถเจริญเติบโต วันนี้ท่านฟังธรรมะเหมือนได้เมล็ดพันธุ์แห่งความดี แต่จะทำให้ต้นของคุณธรรมเจริญเติบโตได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นของตัวท่านเอง
ว่าจะเด็ดเดี่ยวเพียงใด ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่าปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งธรรมแค่เพียงเมล็ดเดียว เพราะเวลาเราปลูกต้นไม้ให้เติบโตยังต้องหย่อนไว้หลายๆ
เมล็ด กันว่าจะถูกแมลงกินบ้าง
กันว่าเมล็ดนั้นจะเป็นเมล็ดฝ่อบ้าง เผื่อหลายๆ เมล็ดจะมีเมล็ดที่มั่นคง ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าสมมุติว่าเราวาดดอกไม้สักดอกหนึ่ง
วางทิ้งไว้หรือมีกระเช้าดอกไม้ที่เราปักดอกไม้ทิ้งไว้ ถามว่าถึงเวลาจะมีคนอยากมาดึงไหม (อยาก) จะมีคนอยากมาเติมไหม (ไม่มี) ในความเป็นจริงของโลกใบนี้มีแต่ที่จะอยากดึงมากกว่าที่จะอยากเติม หรือไม่ดึงก็แอบเด็ดให้ไม่สวยใช่หรือไม่
(ใช่)
“ไม่มีอะไรหรอกแต่ยืนข้างๆ ไม่มีอะไรทำเด็ดมันทิ้งเล่นๆ” ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเวลาทำดีจงจำไว้อย่างหนึ่งอย่ากลัวฟ้าทดสอบ อย่ากลัวคนตำหนิต่อว่าและอย่ากลัวเจ้ากรรมนายเวรมาทวงหนี้กรรม เพราะเราหนีไม่พ้น ชีวิตนี้ต้องพบสามสิ่งนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) วันใดถูกฟ้าทดสอบจงภูมิใจว่าฟ้าจะเลื่อนขั้นความดี
วันใดถูกคนทดสอบ คนจะช่วยสร้างบุญวาสนา วันใดถูกเจ้ากรรมนายเวรมาทวงถาม วันนั้นจะได้ช่วยชำระหนี้บาปเวรกรรม
ฉะนั้นไม่ว่าฟ้าทดสอบ
คนตำหนิต่อว่า เจ้ากรรมนายเวรมาทวงถามนั้นล้วนเป็นตัวที่ทำให้เราดียิ่งขึ้น ได้ชดใช้กรรมไม่ต้องผูกกรรมต่อ ใช่หรือไม่
(ใช่) แต่ถ้าฟ้ามาทดสอบ ท่านตำหนิต่อว่า
เวลามีคนมาตำหนิติเตียนท่านเคียดแค้นชิงชัง เจ้ากรรมนายเวรมาทวงถาม
ท่านผูกใจเจ็บ นั่นแปลว่าความดีของท่านไปไม่ถึงและความดีของท่านนั้นกลายเป็นความดีที่สร้างกรรมเวรไม่จบสิ้น
ใช่หรือไม่ เหมือนดั่งเราดีมาแต่เขาร้ายตอบเราเลยร้ายตอบกลับ ร้ายกับร้ายกลับกันไปกลับกันมา
เวรกรรมก็ไม่มีวันจบ แต่ฉะนั้นร้ายมาเราดีตอบด้วยจิตใจที่ให้อภัย เราจะสามารถจบเวรจบกรรมได้เมื่อมีชีวิต
ยากไหม สิ่งที่เราพูดทำยากไหม (ไม่ยาก)
“ในอ่อนนอกเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวอยู่ คนฉลาดไม่อวดรู้ไปทุกที่
ถึงรู้แล้วพร้อมรับฟังด้วยยินดี ทำได้เช่นนี้กลับยิ่งลดอัตตาจริง”
อยากนั่งกันหรือยัง
(อยาก) แต่เราได้ยินคำพูดของมนุษย์มักจะพูดว่า กินอิ่มๆ อย่าเพิ่งรีบนั่ง อย่างนั้นเราควรจะตามใจหรือว่าควรจะรักษากายท่านดี เราควรจะรักษาใจหรือกายของท่านดี การตามใจก็คือรักษาใจท่านแต่ไม่รักษากายท่าน
ใช่หรือเปล่า (ใช่) กินอิ่มๆ ไม่ควรรีบนั่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะบางทีอาจจะทำให้จุก ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นกินอิ่มๆ
ควรจะยืนสักพักหนึ่ง เพราะลำไส้จะทำงานได้ดีต้องในขณะที่ตัวตรง
ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นเราควรรักษากายท่านดีกว่ารักษาใจ
จริงหรือเปล่า (จริง) เพราะบางทีท่านตามใจจนทอดทิ้งกาย
ใช่ไหม (ใช่) ไหนใครกินแล้วรู้สึกอิ่มเกินบ้าง
(ไม่มี) คงไม่มีใช่หรือไม่
(อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม
เด็ดใบไม้ ดอกไม้ที่เหี่ยวออกจากตระกร้าของหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ)
ดูสิไม่ทันไรก็มีคนมาเด็ดออกแล้ว
เขาบอกว่ามันเหี่ยว มันก็เป็นเช่นนั้นเอง
ใช่หรือไม่ ฉะนั้นเวลามุ่งมั่นทำอะไรแล้วท้อไปบ้างล้าไปบ้างแต่ต้องกลับฟื้นขึ้นมาใหม่ ไม่อย่างนั้นถ้าท้อนานเกินไปจะถูกคนเด็ดทิ้ง
จริงไหม เหมือนคนตั้งใจจะทำอะไรแต่ห่อเหี่ยวหดหู่ ตั้งใจแรกเริ่มแต่พอทำไม่สำเร็จห่อเหี่ยวหดหู่แล้วคนอยู่ข้างๆ ก็บอกท่านว่าเลิกทำเถอะ จริงไหม
แต่ถ้าเรายิ่งทำเรายิ่งมีความสุข ยิ่งทำเรายิ่งสดชื่น
ยิ่งทำเรายิ่งชื่นบาน มีหรือเขาจะช่วยเราเด็ดทิ้ง ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้ามุ่งมั่นจะบำเพ็ญธรรม
มุ่งมั่นจะช่วยคน มุ่งมั่นจะทำดีเพื่อเป็นศรีให้กับตัวตนเราต้องทำอย่างไม่หวังผล เราต้องทำเพื่อความสบายใจของผู้คน จริงไหม ถ้าทำแค่สบายใจของตนแต่ผู้อื่นเป็นทุกข์บางครั้งเราก็ต้องพิจารณาว่าสิ่งที่ เราทำนั้นกำลังดื้อดึงเกินไปไหม ใช่หรือไม่
(ใช่) แต่ถ้าดื้อแล้วได้ดีก็น่าจะดื้อ
ใช่หรือเปล่า อย่างนั้นทำอย่างไรล่ะถึงจะเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่เราทำนั้นดีหรือไม่ ดี
แล้วเขาว่าเรานั้นควรไหมที่เราจะเลิกหรือทำต่อไปดี วิธีที่จะตรวจสอบก็ไม่ยากเลย เวลาเราทำสิ่งใดก็ตาม
ทำแล้วเงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ไม่ผิดต่อมโนธรรมสำนึกแห่งใจตนและไม่ผิดต่อคุณธรรมแห่งความเป็นคน
ฉะนั้นเวลา ทำอะไรก็ตามขอให้ตรวจสอบไว้ ทำแล้วเงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ไม่ผิดต่อมโนสำนึกในใจคน
และไม่ผิดต่อคุณธรรมแห่งความเป็นคน นี่เป็นตัวตรวจสอบว่าสิ่งที่เราทำนั้นดีหรือไม่ดีอย่างแท้จริง
“คนหัวดื้อมีจุดยืนในของตน
ต้องกล้าทนกล้ารับในทุกสิ่ง”
ฉะนั้นถ้าจะดื้อที่จะทำสิ่งใด
โดยที่ไม่สูญเสียจุดยืนของตน ไม่สูญเสียคุณธรรมในความเป็นตน
ไม่สูญเสียมโนธรรมสำนึกในความดีงาม
ก็ต้องกล้ารับให้ได้ในทุกเรื่องทุกราว
ใช่หรือไม่ (ใช่)
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์มีสิ่งที่ชอบเหมือนๆ
กัน แล้วก็ไม่ชอบคล้ายๆ กันใช่ไหม (ใช่) คนในโลกนี้รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกัน
ใช่หรือไม่(ใช่) เวลาเราอยู่ร่วมกันกับคนจะทำอย่างไรให้เขาไม่กระทบกับเราได้
ก็คือ อย่างมากต้องระวังคำพูด ใช่หรือไม่
(ใช่) โดยเฉพาะคำพูดเป็นปัญหาใหญ่ของมนุษย์เลย
พูดดีก็เป็นศรีแก่ปาก แต่ถ้าพูดมาก(ปากมีสี)
รู้ชัดแต่ถึงเวลาทำชัดอย่างที่รู้ไหม
ฉะนั้นจงจำไว้อย่างหนึ่ง
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ทุกคน ไม่มีใครหรอกชอบที่จะถูกคนว่า
ใช่ไหม (ใช่) เราขึ้นชื่อว่าจะบำเพ็ญธรรม การบำเพ็ญธรรมอยากจะบอกให้มนุษย์รู้และปฏิบัติกันก็คือ
เข้มงวดตนเอง ผ่อนปรนผู้อื่น
มีเวลาเอาเวลามาจับผิดตนแก้ไขตน แต่ไม่ไปจับผิดคนอื่นแก้ไขผู้อื่น เพราะคนโดยส่วนใหญ่นั้นไม่ชอบถูกว่าใช่หรือไม่
(ใช่) และคนโดยส่วนใหญ่ก็ไม่ชอบเป็นคนผิด
ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างน้อยไม่ผิดมากผิดน้อยก็ไม่เอา
อยากเป็นคนที่ถูกเสมอและไม่เคยถูกว่า
ใช่หรือไม่
ตัวเราชอบไหม ก็ไม่ชอบถูกหรือเปล่า
ฉะนั้นเราพึงสังวรณ์ไว้เสมอว่าแม้เราจะเห็นว่าเขาไม่ดี แต่เมื่อเขาไม่ดีจะพูดอะไรต้องใช้ความระมัดระวัง จะเตือนอะไรต้องใช้ความสุขุมรอบคอบ
เพราะไม่อย่างนั้นจะเป็นเรื่องได้ ใช่หรือไม่
(ใช่) จงจำไว้เลยอยากอยู่กับเขานานๆ
ไม่ต้องเตือนเขาเลยดีไหม ไม่ต้องว่าเขาเลยได้ไหม
(ไม่ได้) ถึงเรารู้อยู่เต็มอก ฉะนั้นเราต้องเลือกวิธีที่จะว่าและเมื่อเขาผิดเราต้องรู้ที่จะเข้าใจ เมื่อจะว่าต้องไม่ว่าเขาต่อหน้าคนหมู่มาก
ใช่หรือไม่ (ใช่) ต้องเลือกที่หน่อยแล้วบอกเขาว่า
“มีเรื่องดีๆ จะมาบอก” ใช่หรือเปล่า (ใช่) เราต้องเคลือบน้ำตาลไว้ก่อนและถึงเวลาให้เขารู้ว่าขมทีหลัง เราบอกว่ามีเรื่องดีๆ มาบอก เราก็บอกต่อว่าเรื่องดีนั้นเป็นยาขมแต่กินแล้วรักษาใจ
ใช่หรือไม่ (ใช่) ที่อยากเตือนก็เพราะหวังดี
ไม่ใช่รังเกียจ เกริ่นไว้มากๆ พอพูดไปเขาจะได้รู้ว่าเราต้องการว่าเขา
ฉะนั้นถึงแม้ว่าเขาจะรู้ทีหลัง แต่เรามีชัยไปแล้วครึ่งหนึ่ง
เราซื้อใจเขาไปตั้งครึ่งหนึ่ง
ฉะนั้นเวลาอยู่ร่วมกับคนอื่น
สิ่งที่เราขาดไม่ได้ก็คือการให้เกียรติ สุภาพอ่อนน้อม
และจริงใจ ฉะนั้นแม้จะพูดว่าเขา แต่เราซื้อใจเขาไปครึ่งหนึ่งแล้ว
ด้วยความหวังดีเราอยากเตือนเขา เราอยากว่าเขา
เราได้ใจเขาไปครึ่งหนึ่ง พอถูกว่าอีกหน่อยเขาก็คงทำใจรับได้ แต่ไม่ใช่ชอบเหน็บ อย่างนั้นไม่ดี ถูกไหม
(ถูก) มนุษย์พอเผลอๆ เหน็บสักหน่อย หยิกสักนิดหนึ่ง เผื่อจะรู้
แต่เขาจะรู้ไหม (ไม่รู้)
ฉะนั้นอยู่ร่วมกัน
บางทีเห็นคนอื่นชัด เห็นเขาไม่ดีชัด แต่วิธีที่จะปฏิบัติ จำไว้เลยนะใช้ความสุภาพ อ่อนน้อม
จริงใจและให้เกียรติ แค่ทำเริ่มต้นอย่างนี้ก็ได้เขาไปครึ่งใจแล้ว
พอจะว่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยาก ถูกหรือไม่
(ถูก) ไม่ใช่อยู่ๆ ก็ขวานผ่าซาก โยนขวานไปเลย อย่างนี้เจ็บปวดใจ
แล้วเราอย่าลืมว่าคนส่วนใหญ่
ไม่ว่าใครหรือแม้แต่ตัวเราเอง ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่
ก็ไม่อยากถูกเข้าใจผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ไม่อยากถูกว่าเป็นผู้ผิด
ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรม
สิ่งดีต้องส่งเสริม
สิ่งไม่ดีต้องช่วยกัน (แก้ไข) แก้ไขเราหรือแก้ไขเขา (เรา) แก้ไขเราก่อน
ส่วนเขาถ้าพูดครั้งหนึ่งแล้วไม่เชื่อต้องทำใจของเรา แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ขยันว่า ขยันติ
แต่ขี้เกียจชม ใช่หรือไม่ (ใช่) พอว่าเขามาก
ติมาก เราเลยรู้ว่า เขาไม่อยากดีเพราะไม่รู้ว่าอะไรดี เพราะทุกวันมีแต่ถูกว่า ว่าไม่ดี
ฉะนั้นเราอย่าเป็นคนหนึ่งที่ทำลายคนดีโดยไม่รู้ตัว
เพราะชมไม่เป็น เป็นอย่างนั้นไหม
ขยันว่าแต่ไม่ขยันชม ท่านคือคนที่ทำร้ายคนดีในสังคม ฉะนั้น ว่าได้ก็ต้องชมได้เขาจะได้รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี
ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ใช่เอาแต่ว่า
แต่หาดีเขาไม่พบอย่างนั้นเขาก็ไม่มีวันดีได้ จริงหรือไม่ (จริง) แล้วหัวอกท่านอีกอย่างหนึ่งที่เราไม่ชอบมากที่สุดคือ อย่าเอาฉันไปเปรียบกับใคร จริงไหม (จริง) จงยอมรับในสิ่งที่ตัวฉันเป็นอย่าเอาฉันไปเป็นดั่งใจท่านเป็นไม่ได้หรอก ใช่หรือไม่ (ใช่) และเราเป็นอย่างนั้นไหม (ไม่เป็น,เป็น)
ฉะนั้นหัวใจเราเรายังไม่ชอบเลยอย่าเอาใครมาเปรียบเทียบ “แม่ชอบเปรียบเทียบหนูกับคนอื่นหนูเลยน้อยใจ” ตัวเราเอาสามีเราไปเปรียบเทียบกับสามีคนอื่นเราเลยเบื่อสามีเรา หรือเราเอาภรรยาเราไปแอบเปรียบเทียบกับคนอื่นเราเลยรู้สึกภรรยานอกบ้านดี กว่าภรรยาในบ้านไหม เป็นอย่างนั้นไหม (เป็น) เพราะคนส่วนใหญ่อยากให้เรายอมรับในสิ่งที่เราเป็น และอย่าเอาเราไปเปรียบเทียบกับใครและอย่าหวังว่าเราจะต้องเป็นได้ดั่งใจท่าน เป็นได้ไหม (ไม่ได้)
อย่างนั้นคนดีที่แท้จริง ต้องมีจุดยืนซึ่งอาจจะยืนแตกต่างกันไปบ้าง
ถูกหรือไม่ (ถูก) เราลองเทียบง่ายๆ
อะไรเรียกว่าคนดูดี ต่างก็มีดี อย่าเห็นเพียงเปลือกนอกลึกๆ
ทุกคนล้วนมีดี แต่เราติดเปลือกนอกจนมองไม่เห็นเนื้อใน
เหมือนเราเห็นความดีแค่ในใจเรา แต่ไม่เห็นความดีในใจของเขาไม่ได้
ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะ เราต้องการบอกท่านว่า
คนทุกคนล้วนมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป มีดีคนละแบบ มีงามคนละด้าน
ฉะนั้นถ้าเรามัวแต่มองสิ่งที่เราเห็นในใจ เราจะไม่เห็นดีในใจเขา
เรามัวแต่หวังสิ่งที่เราคาดหวังในใจ
เราเลยไม่เห็นสิ่งที่ดีที่เขาหวังจะออกมาให้เราเห็น
ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจงยอมรับ
จำไว้นะในโลกนี้ไม่ชอบคนว่า
ไม่ชอบคนให้เราเป็นคนผิด ไม่ชอบให้ถูกเปรียบเทียบและไม่ชอบให้คาดหวัง
แต่จงยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น แล้วเราจะค้นหาความดีของเขาพบ
แต่อย่ามัวแต่มองในสิ่งที่เราอยากให้เป็น ไม่อย่างนั้นเราจะหาดีจากคนในโลกไม่มี
จริงหรือไม่ (จริง) และอีกอย่างหนึ่ง
จงอยู่กับปัจจุบัน เราจำได้ ว่าเขาเคยดีแบบนี้ แต่ถ้าถึงเวลาเขาเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบหนึ่ง
เราจะรับได้ไหม
รบกวนหัวหน้ายืนทีหนึ่งนะ
รบกวนท่านยืนอีกทีหนึ่ง
แรกๆ
เรารู้จักเขา เราเห็นเขาดีเหมือนหัวหน้า แต่พอนานไป อยู่กันนานๆ เข้า
เขาเป็นเหมือนนักเรียนท่านนี้
คนบางคนยึดติดกับความดีในอดีต
พอปัจจุบันเปลี่ยนแปลงเป็นหมายเลข ๑๑
ทำใจได้ไหม
(ได้) ต้องได้นะ เพราะเขาคือคนที่เราต้องอยู่ร่วมด้วย
ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจงอยู่กับปัจจุบัน
ถ้าอดีตล่วงไปแล้วปัจจุบันเขากลายเป็นคนแบบนี้ ไม่หล่อแล้ว ดำแล้ว แต่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเราจนต้องเป็นแบบนี้เราต้องรับให้ได้
ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกันเวลาเราอยู่กับคน แรกๆ
รู้จักใหม่ก็ดูดีไปหมด แต่พออยู่นานๆ
ไป ทำไมไม่เหมือนเดิม จริงๆ แล้วเขาไม่เหมือนเดิม แต่เรามองไม่เห็น ของเขาหรือเปล่า ใช่ไหม
(ใช่)
ฉะนั้นเรื่องราวในโลกใบนี้ก็เหมือนกัน
แรกๆ เราคิดว่า มีแต่ความสุข ความสบายใจ
มีแต่เรื่องดีๆ แต่พออยู่นานไป เราเริ่มเห็นธาตุแท้ของโลก ธาตุแท้ของคน ความจริงของโลก ความจริงของคน
เราจะรับได้ไหม (ได้)
ฉะนั้นจงอยู่กับปัจจุบัน
แม้ความจริงนั้นจะมีเรื่องร้ายๆ มาให้พบก็ตาม เพราะสิ่งร้าย
อาจจะทำให้เรายิ่งกลายเป็นคนดีที่เข้มแข็ง เพราะสิ่งร้ายทำให้เราเข้าใจดียิ่งขึ้น
และสิ่งร้ายอาจจะไม่ร้ายถ้าเราดูให้ดี ใช่หรือเปล่า ถามว่าจิตว่างคืออะไร มนุษย์ก็คงบอกว่าหาได้ยากใช่หรือไม่
เพราะทุกวันมีแต่จิตวุ่น ใช่หรือเปล่า
ฉะนั้นจิตว่างคือจิตที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตนของตนดำเนินชีวิตทำไปตามหน้าที่
ไม่ได้ทำเพื่อหวังผล ไม่ได้ทำเพื่อโลภ โกรธ หลง ถ้าทำได้เช่นนี้การมีชีวิตและการปฏิบัติธรรมก็คือการเดินเข้าไปสู่ความว่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่าลืมว่าตัวตนมีแต่ความทุกข์ การยึดมั่นตัวตนก็คือการเดินเข้าสู่ความทุกข์ไม่จบสิ้น แต่เมื่อไรที่รู้จักปล่อยวางตัวตน
ปล่อยวางของๆ ตน ไม่ว่าจะเป็นสามีหรือลูก ถึงเวลาเขาต้องมีทางของเขา
เรายึดมั่นถือมั่นไปก็มีแต่ทุกข์ ใช่หรือไม่
(ใช่) ฉะนั้นถ้าวันนี้ไม่รู้จักฝึกละวาง
ฝึกปล่อยวาง คนที่ต้องทุกข์และเวียนว่ายไม่จบสิ้นก็คือคนที่ไม่ยอมฝึกไม่ยอมปล่อยตน จริงหรือไม่ (จริง)
พุทธะล้วนบอกไว้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งว่า ร่างกายเป็นไปตามขันธ์ทั้ง ๕ แต่จิตใจเป็นไปตามสิ่งที่เราสั่งสม เราสั่งสมความโลภ ความโกรธ ความหลง
จิตก็หนีไม่พ้นอบายภูมิทั้ง ๔ แต่ถ้าจิตเราสั่งสมความว่างไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรในโลกทำไปด้วยจิตที่ว่าง ทำไปตามหน้าที่โดยไม่หวังผลทำเพื่อเข้าถึงธรรมในตัวตนนั้นย่อมประเสริฐกว่า
และธรรมในตัวตนคือการปล่อยวาง ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ล้วนบอกให้เรารู้ทุกวันว่า
ต้องปล่อยได้แล้ว ต้องปลงได้แล้ว ต้องวางบ้างได้แล้ว
เพราะถ้าไม่ปลงไม่วาง ความตายมาถึง
คนที่ต้องรับทุกข์ก็คือตัวท่านเอง
ใช่หรือไม่ (ใช่) สิ่งที่จะนำไปได้ก็คือจิตที่สั่งสม
ฉะนั้นจงทำบุญทำกุศลโดยไม่หวังผล ถ้ายังหวังผลก็หนีไม่พ้นขึ้นไปเสวยสุขในแดนสวรรค์แล้วก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นสู้ทำบุญทำกุศลโดยไม่หวังผลดีกว่าไหม (ดี) อย่างนั้นวันนี้เราคงรบกวนเวลาท่านเพียงเท่านี้ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ
“พอพูดอ้อมก็บอกไม่รู้เรื่อง
พอไม่พูดอึดอัดเคืองเป็นเรื่องใหญ่
พอรำคาญตามใจก็เสียคนไป
อย่าง่ายง่ายลวกลวกไปไม่เหลือดี”
มนุษย์ก็เป็นอย่างนี้ใช่ไหม
พูดก็ไม่ดี ไม่พูดก็ไม่ดี แต่พอตามใจเขามากๆ ไป เขาก็เสียคน เราก็เสียใจ
ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างนั้นวันนี้เราคงกลับได้แล้วนะ
ใช่หรือเปล่า ไม่ให้เรากลับหรือ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีหนทางไปใช่หรือไม่
(ใช่) ถ้าเราทำถึงที่สุดแล้วถึงเวลาก็ต้องปล่อยวาง
ใช่หรือเปล่า แม้เราจะห่วงท่านขนาดไหนก็คงไม่ห่วงเท่าพระอาจารย์จี้กงของท่าน ที่รู้ว่าพูดแล้วแก้ไม่ได้
พูดแล้วเปลี่ยนใจท่านไม่ได้แต่ก็ยังพูด ใช่หรือไม่
(ใช่) ฉะนั้นวันนี้ท่านฟังธรรมะ ท่านได้เมล็ดพันธุ์แห่งคุณงามความดี จงเอาเมล็ดพันธุ์แห่งคุณงามความดีนั้นไปปลูกไว้ในหัวใจอย่างคนที่เข้มแข็ง และเด็ดเดี่ยว
ทำความดีสำคัญอย่างเดียวคือมีชีวิตอยู่เงยหน้าไม่อายฟ้า
ก้มหน้าไม่อายดิน ไม่ผิดต่อมโนธรรมสำนึกในใจตน ไม่ผิดต่อมโนธรรมแห่งความเป็นคน ทุกขณะที่ดำเนินชีวิตตรวจสอบอยู่สามเรื่องนี้ ถ้าทำได้ดีก็ไม่น่าเสียดายเลยที่เกิดมาเป็นคน
ใช่ไหม (ใช่) แล้วมีเวลาจงไปช่วยคนนะ
สิ่งใดยอมได้จงยอม สิ่งใดให้ได้จงให้
แต่ถ้าให้แล้วยอมแล้วเสียความเป็นคนอย่าให้ เสียความเป็นคนในตัวเราแล้วเสียความเป็นคนในตัวเขาก็ไม่ควรให้ใช่หรือไม่ (ใช่)
ให้ได้หนึ่งที ให้ได้สองทีแต่ให้ครั้งที่สามต้องคิดแล้วว่าจะเสียดีไหม จะทำให้เขาเสียนิสัย เพราะถูกตามใจหรือเปล่า
จงจำไว้นะอยู่ในโลกไม่มีใครอยากถูกว่า
อยู่ในโลกไม่มีใครอยากเป็นคนผิด และอยู่ในโลกไม่มีใครอยากถูกเปรียบเทียบ จงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันและยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น ไม่ใช่หวังให้เขาอยากเป็นดั่งใจเรา มีโอกาสคงได้กลับมาผูกบุญกันอีกนะ
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “รูปนามมายาสมมุติ”
อันนิสัยใดเป็นโทษต้องเปลี่ยนใหม่
รักษาไว้อันสิ่งใดอยู่เป็นศรี
อยากพ้นโลกใดที่มีในโลกีย์
บำเพ็ญธรรมวันนี้ไม่ควรคร้านเกิน
เป็นทุกข์เพราะมั่นยึดที่ตรงหน้า
จิตแบกทุกข์ถือมั่นหนาคำสรรเสริญ
คนรู้โลกเป็นสมมุติเป็นเพลิดเพลิน
แต่ยังเดินนำสิ่งมายาประโลมใจ
ฝึกจิตรู้แก่นคือสุญตาทั้งสิ้น
แต่ถวิลตาเปิดของแท้จับได้
คนเข้าถึงธรรมหัวใจหัวใช่ไว
ทว่าใจต้องกล้าตัดสิ่งควรตัด
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สุญตา”
สิ่งใดใดที่มีอยู่ในโลกนี้
ไม่ควรที่ยึดมั่นถือมั่นหนา
เพราะทุกสิ่งเป็นสมมุติเป็นมายา
สุญตาคือแก่นแท้หัวใจธรรม
หมายเหตุ วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔ หนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอเมตตา
ให้นำบทกลอนในพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “รูปนามมายาสมมุติ”
มาแยกคำ ๘ ช่องแล้วประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สุญตา”
[๑] ขันธ์ทั้ง ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
[๒] อบายภูมิ ที่ที่ปราศจากความเจริญ ภูมิที่เกิดอันปราศจากความเจริญมี
๔ ภูมิ คือ นรก เปรต อสูรกาย เดรัจฉาน
แก้ไขพระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน
กรุงเทพมหานคร
วันที่
๒๔ เมษายน ๒๕๕๔
หน้า
๒๒ เพลง ธรรมนำชีวิต
ทำนองเพลง ดอกไม้ของน้ำใจ
บรรทัดที่
๒
เดิม จิตควรรู้ของตน
แก้ไขเป็น จิตตัวรู้ของตน