วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2554

2554-03-26 สถานธรรมฉือฮุ่ย จ.นครศรีธรรมราช


西元二〇一一年 歲次辛卯二月廿二日    仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ สถานธรรมฉือฮุ่ย จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
   ดินเมื่อไม่รวมเป็นหนึ่งย่อมแตกแยก น้ำเมื่อแหวกคลื่นซัดดั่งคำยุ
ลมเมื่อถาโถมพัดกลายพายุ ไฟเมื่อครุกรุ่นเผาดั่งเกลียดชัง
อย่าลืมว่ามหันตภัยร้ายสุดคือการเวียนว่าย แตกสามัคคีนาวาพายไม่ถึงฝั่ง
ตื่นในจิตตื่นในธรรมฝึกทุกอย่าง ภัยกวาดล้างฟ้าเหลือไว้แต่คนดี
เราคือ  
   หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฉือฮุ่ย แฝงกายกราบประณตน้อม
องค์มารดา   ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

     ผู้บำเพ็ญดั่งสายลมพลิ้วอ่อนอ่อน ดั่งแสงแดดไม่ร้อนยามแผดเผา
กล่าวคำพูดความสุภาพดั่งของเบา แม้แต่เงายังดูเป็นพุทธะกัน
นิ่งหยั่งให้ถึงพ้นซึ่งทวิภาวะ สงบลึกเพื่อเข้าสัจภาวะแห่งตถตานั้น
มีรูปลักษณะหรือจากจิตในขันธ์ จิตที่นึกคิดนั้นยึดไม่มี
เวทนาปรุงตัณหาเกิดมีซึ่งตัวตน        อุปาทานแต่งวางจนล้นติดนั่นนี่
บำเพ็ญให้ปล่อยวางละตรงพอดี        ด้วยธาตุแห่งธรรมชี้ตีแสกใจ
สัจธรรมยิ่งสำแดงเผยความจริงให้เห็น ยิ่งจัดแจงยิ่งยากเป็นดั่งใจได้
ปุถุชนยิ่งติดยึดสร้างกรงขังใจ ความจริงมีเห็นทั่วไปเพียงรำลึก
หากมองเห็นแต่ไร้ซึ่งความหมาย หากยินได้แต่ไร้ซึ่งรู้สึก
หากสัมผัสได้แต่ไม่คิดลงลึก ผู้ใดตรึกเช่นนี้พ้นทุกข์พลัน
                ฮา  ฮา   หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
มาฟังธรรมะเหนื่อยใจไหม (ไม่)  ดีกว่าเจอใครบางคนที่ทำให้เราเหนื่อยใจอีก กลับบ้านเจอใครที่ทำให้เราเหนื่อยใจไหม เจอไหม (เจอ)  ฟังธรรมะไม่เหนื่อยใจ แต่อาจจะเมื่อยกาย แต่อยู่ข้างนอกเจอคนเหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ ฉะนั้นวันนี้มาฟังธรรมะเพื่อเพิ่มพลังให้กับตัวเอง  ใครฟังมาครึ่งวันแล้วรู้สึกมีพลังยิ่งขึ้นบ้าง ท่านมาฟังธรรมะ ไม่ใช่มาฟังเรื่องศาสนาใหม่  ต้องเข้าใจให้ถูกก่อนที่จะฟังต่อๆ ไป เราต้องปรับความคิดในหัวใจให้ถูกต้องก่อนว่า วันนี้มาฟังเกี่ยวกับธรรมะล้วนๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาใดศาสนาหนึ่ง  ท่านก็ยังเป็นชาวพุทธ เป็นชาวคริสต์ และชาวอิสลามอยู่เหมือนเดิม แต่สิ่งที่เราศึกษาแล้วควรจะนำไปใช้ในชีวิต ทำให้เรามองเห็นโลกอย่างแท้จริง ไม่ตกเป็นทาสกิเลส ทำให้พ้นทุกข์ได้ ไม่มากก็น้อยนั่นคือตัวศาสนาหรือตัวธรรมะ (ธรรมะ)  ธรรมะที่อยู่ในตัวพระหรือตัวหนังสือ หรือธรรมะที่มีอยู่ในตัวเรา (ตัวเรา)  ความเข้าใจของธรรมะที่ทุกคนมีอยู่นั้นเปราะบางเหลือเกิน ธรรมะที่มีอยู่ในตัวเราเปราะบางและพร้อมที่จะแตกหักได้ จริงหรือไม่ (จริง)
 ถ้าทุกคนตอบเราอย่างนี้แปลว่าคงไม่มีใครถามเพราะว่า ทำดีไม่ได้ดี   ทำดีได้รับผลร้ายไม่เป็นไร ใช่ไหม (ใช่)  ทำดีโดนคนต่อว่า ไม่ต่อว่าฟ้าดิน ได้ไหม (ได้)  จริงหรือ รู้สึกจะไม่จริงเลยนะ  ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นคนไม่อยากให้คนอื่นหลอกลวงเรา ตัวเราต้องไม่หลอกตัวเอง  
ฉะนั้นเริ่มต้นที่วันนี้เราจะคุยกับท่านง่ายๆ เกิดเป็นคน ยืนต้องยืนให้ตรง มองต้องมองให้ตรง วางชีวิตต้องวางให้ตรง แล้วจริงๆ เราตรงไหม (ไม่ตรง)  ตัวตรงแต่บางทีใจคด ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือบางคนตัวคด ใจก็คด 
ฉะนั้นขึ้นชื่อว่ามนุษย์สิ่งที่ควรจะมีไว้เป็นอุดมคติหรือว่าปณิธานในการดำเนินชีวิตก็คือ เมื่อยืนต้องยืนให้สูง เมื่อมองต้องมองให้กว้าง เมื่อมีชีวิตต้องวางชีวิตอยู่บนความจริง  แต่มนุษย์กลับตรงกันข้าม  ยืนถึงแม้จะยืนสูงแต่ใจใฝ่ต่ำ ใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์มักกล่าวว่าทำดีอีกหน่อย ทำดีมากหน่อย อดทนกับทำดีหน่อย ไม่เอาฉันจะเลว ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ไปสวรรค์ฉันจะไปนรก ใช่ไหม (ใช่)  สวรรค์คนน้อย นรกคนเยอะ ใช่ไหม (ใช่)  ไปเถอะ ฉันขอตกนรก 
เมื่อมองต้องมองให้กว้าง เรามองกว้างไหม (กว้าง)  เขาบอกว่าจะเอาแบบนี้ ไม่เอาฉันจะเอาแบบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องเป็นแบบนี้เท่านั้น จริงไหม ไม่อยากโลภ แต่อย่างนี้ก็ดี อย่างนั้นก็ดี ไม่เอาผมจะเอาแบบนี้ หนูจะเอาแบบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ถามว่ามาฟังธรรมะกับดูทีวีจะเอาแบบไหน  เขาบอกว่ามาฟังธรรมะทำให้เปิดมุมมองกว้างขึ้นจะทำให้เข้าใจชีวิต ไปเที่ยว กับมาฟังธรรมะจะไปทางไหน อย่างนี้แปลว่าอะไร ยืนแล้วสูงหรือว่าเรายอมยืนต่ำ (ยืนต่ำ)  มีโอกาสเปิดมุมมองให้กว้างแต่เรากลับอยากคับแคบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วการอยู่กับธรรมะจะทำให้เรามองเห็นความเป็นจริง เราชอบไหม (ชอบ)  ฉะนั้นบำเพ็ญธรรมต้องทุกข์ก่อนเอาไหม (เอา) 
ทำไมพูดกับเราดีๆ แต่เวลาทำกลับตรงกันข้าม ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์ยืน ก็ไม่ยืนให้สูง เมื่อมองก็ไม่มองให้กว้าง เมื่อวางชีวิตก็ไม่วางอยู่บนความจริง ชอบอยู่กับการลวงหลอก ใช่หรือไม่ (ใช่)  โลกใบนี้ความจริงคือความทุกข์หรือความสุข (ความทุกข์)  การที่เราสามารถหาหนทางดับทุกข์ได้ และพ้นทุกข์ได้นิจนิรันดร์ ทำไมมนุษย์ไม่ปรารถนา แต่กลับยอมจมปรักอยู่กับความสุขชั่วครู่ชั่วคราว จริงไหม (จริง)  วันนี้สิ่งที่เราเริ่มต้นปรับความเข้าใจกับท่านและคุยต่อกับท่าน ฟังยากเกินไปไหม รังเกียจเราไหม (ไม่)  รังเกียจก็ได้ เพราะนั่นคือความจริง  เราอยู่ในโลกจะให้ร้อยคนรัก ร้อยคนเกลียดเป็นไปได้ไหม เราจะหวังแต่คนยิ้ม แต่ไม่มีคนทำหน้าบึ้งกลับใส่เราได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นเราบอกท่านแล้ว ยืนอยู่บนความจริงก็ต้องรับได้ทั้งหน้ายิ้มและหน้าบึ้ง อยากอยู่บนโลกใบนี้ก็ต้องรับให้ได้ทั้งคนชมและคนเกลียด จะติ จะด่า ก็แล้วแต่คนคนนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเขาส่งมาแล้วเราไม่รับ เขาก็ต้องเอากลับไป
 อย่าลืมว่ามหัตภัยร้ายแรงสุด คือ การเวียนว่าย มนุษย์กลัวภัยพิบัติใช่หรือไหม (ใช่)  แต่ภัยพิภัยที่น่ากลัวที่สุด ที่ฆ่ามนุษย์เป็นร้อยๆ เป็นพันๆ เป็นล้านๆ คนก็ไม่น่ากลัวเท่ากับ วัฏฏะแห่งการเวียนว่ายตายเกิด  การหลงในกิเลส โลภ โกรธ หลงและตัวตน ทำให้เราต้องเกิดตาย ตายเกิด และประสบทุกข์ภัยไม่จบสิ้น อันไหนน่ากลัวกว่ากัน เจอครั้งเดียวก็ว่าน่ากลัวแล้วใช่ไหม (ใช่)  กับกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือความยึดมั่นหลงผิด ทำให้เราต้องเจอภัยแห่งการเวียนว่ายตายเกิด และเจอภัยแห่งโลกใบนี้ น่ากลัวไม่จบสิ้น มนุษย์กลัวภัยเฉพาะหน้า แต่พุทธะกลัวภัยที่เกิดจากตัวตน มนุษย์กลัวภัยแต่ข้างนอก แต่พุทธะกลัวภัยที่เกิดจากตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ลองเปรียบเทียบสัตว์ที่ร้ายที่สุด ก็ยังไม่เท่าใจมนุษย์ สัตว์ที่อำมหิตที่สุดก็ยังไม่เท่ากับจิตใจคน มีไหมคนที่ฆ่าคนแทงคนลับหลัง ฆ่าคนเพื่อความสุขของตนเอง ฆ่าคนเพื่อท้องกินอิ่ม และยังหวังจะฆ่าอีกไม่จบสิ้น สัตว์ไหนน่ากลัว สัตว์ที่ชื่อว่า มนุษย์ จริงไหม (จริง)  เสืออิ่มยังหยุดพัก แก่ไปแล้วไม่มีแรงหาอาหารกิน มันก็เลยต้องฆ่าสัตว์ไว้เป็นเสบียง  แต่มนุษย์กลับร้ายยิ่งกว่าเสือ น่ากลัวยิ่งกว่ายุง ใช่หรือไหม (ใช่)  ยุงไล่มันไป มันตามเราไหม (ไม่ตาม)  แต่มนุษย์ไล่แล้วไปไหม (ไม่ไป)  ฆ่าแล้วหยุดไหม (ไม่หยุด)  ยังจองล้างจองผลาญจริงๆ ด้วย ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ หัวใจของคนที่สร้างภัยไม่จบสิ้น จริงไหม (จริง)
"แตกสามัคคีนาวาพายไม่ถึงฝั่ง ตื่นในจิตตื่นในธรรมฝึกทุกอย่าง ภัยกวาดล้างฟ้าเหลือไว้แต่คนดี"  มหันตภัยมีมากมายแต่ล้วนเกิดจากน้ำมือมนุษย์และจิตใจของคน ใช่หรือไม่  อยากรอดพ้นภัยก็ไม่ยากต้องรู้จักควบคุมระมัดระวังตัวเอง จริงหรือเปล่า 
ลึกๆ เราทุกคนกลัวภัยพิบัติไหม (กลัว)  มนุษย์กลัวตายแต่พุทธะไม่กลัวตาย ถ้าเราเข้าใจว่าเราเรียนรู้ธรรมะเพื่ออะไร เพื่อพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด การที่เราได้ตายสักชาติหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว จริงหรือไม่ (จริง)  เรากลัวตายไหม (ไม่กลัว)  ธรรมะสอนให้มนุษย์เข้าใจชีวิตและอยู่กับการมีชีวิตอย่างไม่กลัวตาย เราจึงอยากบอกว่ามนุษย์เข้าใจธรรมะอย่างเปราะบางเหลือเกิน มนุษย์เห็นว่าขอเพียงศรัทธา ขอเพียงลงแรงทำบุญเยอะๆ ขอเพียงเป็นคนมีจิตเมตตา แค่นี้ก็คงทำให้เราพ้นทุกข์ได้ แค่นี้ก็คงทำให้เรามีสุขสบายใจได้ ใช่ไหม (ใช่)  ทำบุญเยอะๆ ก็ทำให้มีสุขได้ เป็นคนดีเยอะๆ ก็ทำให้เป็นคนที่เป็นสุขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอทำดีมากๆ เมื่อเจอสิ่งร้ายก็กลับรู้สึกท้อแท้ โดนคนทำร้ายกลับก็กลับเบื่อหน่าย ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นธรรมะจริงๆ คืออะไร ธรรมะสอนให้คนทำและหวังผล จริงไหม (ไม่จริง)  ทำให้ทำดีแล้วยึดติดในดี ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แล้วเราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า (ไม่เป็น)  มนุษย์มักทำดีหรือทำบุญเพื่อหวังผล เป็นคนดีแล้วยึดติด ยึดมั่นว่าต้องดีแล้วจะได้ร่ำรวย ให้เขาเยอะๆ ต่อไปตัวเองจะได้ร่ำรวย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นก็จงรับรู้ไว้เลยว่าท่านกำลังหลอกตัวเอง เพราะธรรมะที่แท้จริงล้วนสอนให้มนุษย์อยู่กับความจริง และความจริงที่คอยบอกเราเสมอก็คือทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุปัจจัย ถ้าเหตุไม่สมบูรณ์พูนผล ผลก็ตกไม่ได้ มนุษย์ทุกคนล้วนมีกรรมมาแต่กำเนิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดี ฉะนั้นถ้าวันนี้ทำดีแต่กลับได้ร้าย อาจจะเป็นวันที่เราได้ละลายกรรม และกรรมดีนั้นอาจจะแปรเปลี่ยนกรรมร้ายที่หนักก็กลายเป็นเบาก็เป็นได้ จริงหรือเปล่า (จริง)  แต่มนุษย์กลับบอกว่ากรรมดีนั้นกลับไม่ให้ผลดี จริงๆ  ใช่ไหม (ไม่ใช่)
เวลาเราทำดีจงจำไว้ว่า ถ้าทำดีอย่างยึดติดในผลก็หนีไม่พ้นต้องเวียนว่ายวน ถ้าทำดีแล้วยังยึดติดในความดีก็หนีไม่พ้นต้องทุกข์ทน เพราะว่าการศึกษาธรรมะที่แท้จริงคือ ทำโดยไม่หวังผล ดีโดยไม่มีตัวตน นั่นแหละจึงจะเรียกว่าการเข้าถึงธรรมอย่างแท้จริง ใช่ไหม (ใช่)  เราทำบุญเพื่อจะได้ขึ้นไปสวรรค์แล้วรับผลบุญใช่หรือไม่ (ใช่)  ไปรับบุญบนสวรรค์พอบุญหมดกลับมาเป็นอะไร กลับมาชดใช้กรรมที่เรียกว่ากรรมไม่ดี เพราะว่าที่ทำบุญนั้นยังแอบอิจฉา ทำบุญนั้นยังแอบโลภ เวลาทำบุญตักบาตรหนึ่งขัน ทำไมพระท่านสวดสั้นๆ ไม่สวดยาวกว่านี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมท่านอนุโมทนาบุญคนนั้นเยอะ แต่ทำไมฉันสั้นนิดเดียวใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉันทำบุญร้อยหนึ่งหางตาก็ยังไม่มอง แต่พอเขาทำหมื่นหนึ่งก็คุยแล้วคุยอีก นี่แปลว่าทำอย่างยึดติดในผล ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเสวยบุญเสร็จแน่ใจหรือว่าไม่ต้องกลับมาชดใช้กรรม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เรายกตัวอย่างง่ายๆ  เป็นอุทาหรณ์ที่แม้ปัจจุบันก็ยังคงศึกษากันอยู่ มีให้เห็นอยู่ มีอัครสาวกของพระพุทธองค์องค์หนึ่งที่มีชาติหนึ่งท่านทุบตีบิดามารดาด้วยไม้กระบองจนตาย แม้ท่านจะเป็นอัครสาวกของพระพุทธเจ้า แต่ก็หนีกรรมนี้ไม่พ้น เพราะเศษของกรรมยังมีอยู่ ฉะนั้นก่อนที่ท่านจะดับขันธ์ ดับสิ้นรูปขันธ์ตัวตนนี้ ท่านก็ต้องชดใช้ก็คือ ให้เขาตีจนตาย แต่ท่านรู้ในจิตว่าได้ชดใช้กรรมไม่โกรธไม่ผูกกรรมต่อ เวรก็จบสิ้นทันที ขนาดเป็นอัครสาวกของพระพุทธองค์ แล้วตัวท่านแค่ทำบุญช่วยคน ถ้าโดนคนฆ่าตายแค้นไหม (แค้น)  กลับบอกว่าที่ทำดีไม่เห็นได้ดี อย่างนี้จะได้บุญอะไรไหม (ไม่ได้)  ทำให้แค้นแล้วแผ่เมตตา กรรมนั้นอาจจะจบ แต่ถ้าแค้นแล้วผูกใจเจ็บ กรรมนั้นอาจจะทำให้ต้องเวียนว่ายจริงไหม (จริง) 
ท่านเคยได้ยินต่ออีกไหมว่า มีกษัตริย์องค์หนึ่งนำพระไตรปิฎกมาสังคยานาใหม่ แล้วก็เผยแพร่ธรรมให้กว้างไกลไปทุกมุมโลก ทำบุญอย่างยิ่งใหญ่ เงินที่มีอยู่ในท้องพระคลังเอาไปใช้เพื่อบำรุงศาสนาและนำพาศาสนาให้ทุกคนได้ รู้แจ้งรู้ตื่น แต่โดนขุนนางทักท้วงก็เลยเกิดความโกรธ บุญที่ยิ่งใหญ่ แต่ชั่วขณะที่ตัวเองจะตายนั้นยังจำได้ว่าคนนั้นทำให้โกรธ คนนั้นขัดใจ จากที่จะได้ไปเสวยบุญ แต่ช่วงขณะตายผูกใจเจ็บ แค้นคน จากที่จะได้ไปเสวยบุญในสวรรค์ กลับกลายเป็นต้องมาเกิดเป็นงูยักษ์ เพียงเพราะใจคิดแค้น คิดโกรธที่โดนขุนนางทักท้วงไม่ให้ทำดี แต่ลูกของท่านบรรลุแล้วก็เลยกลับมาโปรดงูนั้นว่า อย่าได้ผูกกรรมต่อ อย่าฆ่าสัตว์กิน ฝึกบำเพ็ญตบะอดทน พอหมดชาติงู ท่านก็เลยได้กลับไปเสวยบุญยังเบื้องบน เห็นไหมว่าทุกขณะจิต โดยเฉพาะก่อนตายหรือว่าตอนที่ยังมีชีวิต แม้ว่าเราจะทำดีขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าทำดีหวังผลบุญนั้นก็หนีไม่พ้นเวียนว่ายวน  ถ้าทำดีอย่างยึดติด โดนใครขัดใจไม่ได้ โดนใครว่าไม่ได้ บุญนั้นก็ยังทำให้ต้องรับกรรม
ถ้ายังทำดีอย่างยึดติด ความดีนั้นก็ยังทำให้ต้องทุกข์ทน ฟังแล้วพอเข้าใจไหม ฉะนั้นไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตาม อย่ายึดมั่นถือมั่น อย่าหวังผล แต่จงทำด้วยความปล่อยวาง สิ่งที่เราพูดท่านรู้อยู่แล้วใช่ไหม รู้ก็บอกว่ารู้ ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ นี่แหละเรียกว่าผู้รู้ แต่ถ้าไม่รู้แล้วชอบทำเป็นรู้ก็ไม่มีวันได้เป็นผู้รู้
เพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น อยากคุยกับเราสั้นๆ แล้วให้เรากลับ หรืออยากคุยกับเรานานๆ  หน่อยแล้วค่อยให้เรากลับ (นานๆ)  ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่อยู่ที่การแสดงอภินิหาร แต่คำว่าศักดิ์สิทธิ์ไม่ศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ว่า คำพูดเราเมื่อท่านนำไปประพฤติปฏิบัติสามารถพ้นทุกข์ได้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ศักดิ์สิทธิ์มนุษย์มักจะติดอยู่แค่การแสดงอภินิหารให้ดู ถึงจะเชื่อ แต่โลกใบนี้มีอภินิหารมากมายเต็มไปหมดแล้ว แต่อภินิหารที่ทำให้คนพ้นทุกข์ ยังหาไม่เจอไม่ใช่หรือ แล้วท่านอยากเดินบนสายทางนี้ไหม
“นิ่งหยั่งให้เห็นถึงพ้นซึ่งทวิภาวะ สงบลึกเพื่อเข้าสัจภาวะแห่งตถตานั้น”
ไหนใครบวชเรียนมาบ้าง ตถตาแปลว่าอะไร (ความเป็นเช่นนั้นเอง)  ทวิภาวะคือความเป็นคู่ คงไม่ค่อยเข้าใจกัน ใช่หรือเปล่า เราเริ่มต้นง่ายๆ ก่อนจะอธิบาย เห็นฝนตกไหม เมื่อถึงเวลาที่ฝนควรตกแต่ฝนไม่ตก หรือถึงเวลาที่ฝนไม่ควรตกแต่กลับตก ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราเปรียบว่า ถึงเวลาที่เราควรมีแต่เรากลับ (ไม่มี)  ถึงเวลาเราไม่มีเรากลับ (มี)  นี้เรียกว่าภัย ภัยบางภัยไม่เกิดโทษ แต่ภัยบางภัยเกิดโทษ และก่อให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น ถ้าพูดว่า "ความโลภ ความโกรธ ความหลง เปรียบเทียบได้กับฝน ถึงเวลาควรตกก็ตกเอาๆ ไม่จบสิ้น ถึงเวลาฝนไม่ควรตกแต่ตกจนหยุดไม่ได้ ก็เกิดเป็นภัย ใช่หรือไม่ (ใช่)"
ฉะนั้นความโลภ ความโกรธ ความหลง ของมนุษย์ก็เป็นเช่นเดียวกัน ถึงเวลาไม่ควรมีก็อยากมี ถึงเวลามีแล้วกลับมีไม่จบสิ้น โลภ โกรธ หลง ก็นำมาซึ่งภัยอันตรายที่เราคาดไม่ถึง จริงหรือไม่ (จริง)  แต่มนุษย์เคยคิดไหมว่า โลภ โกรธ หลง นำมาซึ่งภัย เคยคิดไหม (ไม่เคย)  แล้วรู้ไหมว่าไม่แน่สิ่งที่เราทำมาในอดีต ตอนนี้อาจสร้างภพชาติใหม่ที่ทำให้เรากลับมาเวียนว่ายตายเกิด ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเราต่อยหน้าเขาหนึ่งที เขาโกรธไหม (โกรธ)  เขาโกรธแล้วเขาจำไหม (จำ)  ท่านได้ยินคำว่า "รูปทำให้เกิดเวทนา เวทนาทำให้เกิดสัญญา สัญญาทำให้เกิดสังขาร สังขารทำให้เกิดวิญญาณ" เคยเข้าใจในคำพวกนี้บ้างไหม (ไม่เคย)  ไม่ยากเลย เอากำปั้นนี้ต่อยกับกำปั้นนี้ เกิดอะไร รูปกับรูปทำให้เกิดเวทนา เวทนา แปลว่า (ความรู้สึก)  ความรู้สึก สุข ทุกข์ ดี ร้าย ได้ เสีย รูปกับรูปเมื่อกระทบกันทำให้เกิดเวทนาเกิดความรู้สึก ตามด้วยสัญญาคือความจำ จำได้ว่าคนนี้ต่อยฉัน คนนี้ทำร้ายฉัน ใช่ไหม (ใช่)
รูป เวทนา สัญญา  สัญญาคือความจำได้หมายรู้ เกิดรูป เกิดเวทนา เกิดสัญญา  เกิดสังขาร ตามด้วยวิญญาณ  ใช่หรือไม่  พอเรายึดติดว่านี่เรา นี่เขา ยิ่งจำได้ว่าฉันเจ็บ  จำได้ว่าเขาทำให้ฉันเจ็บ  จึงเกิดเป็นสังขารที่เรียกว่าตัวตน เมื่อเกิดเป็นตัวตนจึงเกิดตามมาคือ วิญญาณ  เมื่อมีวิญญาณตามไปด้วย ชาติ ชรา มรณา เมื่อเกิดภพ    เกิดชาติ เกิดชรา เกิดมรณา แล้วก็เกิดการเวียนว่าย  ใช่หรือไม่
แล้วเราจะทำอย่างไรที่จะไม่ทำให้เมื่อรูปเกิดแล้วไม่ก่อให้เกิดการเวียนว่าย  เราสามารถควบคุมอารมณ์เราได้ไหม  เราสามารถปล่อยวางได้ไหม  ถ้าปล่อยวางเลิกแล้วต่อกันได้  จบแล้วจบเลยได้ไหม (ได้)  ทำไมเราถึงบอกว่าได้ ท่านเคยเห็นนาไหม นาที่ไม่มีน้ำเราอยากชักน้ำเข้านา เราทำอย่างไร เราหาวิธีให้ผันน้ำเข้านาได้ใช่หรือไม่ สัตว์ที่ดุร้ายเรายังฝึกให้เชื่องได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สัตว์ที่เชื่องแล้วเรายังทำให้ฟังคำสั่งของเราได้ใช่หรือไม่  แล้วตัวท่านละ ที่มีโลภ โกรธ หลง ฝึกให้เชื่องได้ไหม ฝึกให้รู้จักพอได้ไหม (ได้)
เรือพายถึงฝั่งได้เพราะมีคนพาย  ชีวิตไปถึงจุดหมายได้เพราะอยู่ที่ตัวเอง  มีดเมื่อถูกลับแล้วจึงคม  คนฝึกฝนจึงเกิดคุณค่า  แล้วตัวเราละ ฝึกให้ตัวเรารู้จักควบคุม เมื่อรูปกระทบรูป  ไม่ให้เกิดเวทนาได้ไหม  เมื่อรู้สึกแล้วไม่เกิดเป็นสัญญา  จนจำได้ไม่ลืมได้ไหม  ถ้าเราหยุดได้ตั้งแต่ต้น  เราก็ตัดซึ่งการเวียนว่ายตายเกิด  แต่ถ้าเราหยุดตั้งแต่ต้นไม่ได้  เราก็คือคนที่สร้างเหตุแห่งการเวียนว่ายไม่จบสิ้น  เราพูดยากไหม (ไม่ยาก) 
ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ขอให้มีสติปัญญารู้เท่าทัน มนุษย์จะอยู่ในโลกได้โดยที่ไม่ปล่อยให้กิเลสตัณหา เวทนามาลูบคลำจิตใจได้  แต่มนุษย์มักจะมองเห็นรูปเป็นมากกว่ารูป   ท่านเห็นตะกร้านี่ไหม (เห็น)  มีความรู้สึกอย่างไรกับตะกร้านี่ไหม (ก็สวยดี)  แล้วถ้าเกิดว่าตะกร้านี้มันตกหล่นล่ะ รู้สึกอย่างไร (เสียดาย)  ถ้าเราบอกว่า ตะกร้าและดอกไม้นี้ คือไม้ธรรมดาที่ยังคงอยู่บนต้น ความรู้สึกของเราจะมีอะไรไหม (ไม่มี)  ก็คือต้นไม้ต้นหนึ่งที่เรามองเห็น (เราไม่รู้สึกอะไร)  แต่เมื่อเอามาถักทอ เอามาสาน สิ่งที่ดูไม่มีค่าพอมีค่าขึ้นมาก็เกิดความรู้สึก พอรู้สึกก็เกิดเวทนา  แล้วเวทนานี้ยังสามารถกลายเป็น  ตัณหาอุปาทานได้อีกนะ 
ตัวอย่าง ถ้าเราบอกว่า วันนี้ลงไปข้างล่าง เขาบอกว่า ทางใต้มีไฟไหม้จะรู้สึกอะไรไหม (รู้สึก)  ฉะนั้นถ้าบอกว่า ทางเหนือมีไฟไหม้จะรู้สึกอะไรไหม (ไม่รู้สึก)  ทำไมไม่รู้สึก เพราะไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน  ไม่มีความหมายอะไรกับฉัน ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นความรู้สึกเกิดขึ้นเพราะเรามีตัวตน มีความเกี่ยวข้อง มีความหมายต่อตัวตน จึงเกิดเวทนา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าบอกว่า ไฟไหม้บ้านๆ หนึ่ง เราก็แค่บอก อ๋อไฟไหม้ ใช่ไหม (ใช่)  ไฟไหม้บ้านๆ หนึ่ง อยู่ทางใต้ เอ้อบ้านฉันหรือเปล่านะ จากที่ไม่รู้สึก เริ่มที่จะรู้สึกมากขึ้นมาอีก ถ้าบอกว่าไฟไหม้บ้านๆ หนึ่งทางใต้แล้วอยู่จังหวัดนครฯ รู้สึกไหม (รู้สึก)  มีลึกกว่านั้น ตำบลจันดี รู้สึกมากขึ้นไหม (รู้สึก)  แล้วในจันดีอยู่ในตลาด รู้สึกไหม (รู้สึก)  รู้สึกเพราะเราอยู่ (จันดี)  พอบอกว่าอยู่นครฯ อยู่จันดี อยู่ในตลาดแถมบ้านที่ขายของ ตกใจไหม (ตกใจ)  แต่คนที่ไม่ได้ขายของก็เลิกตกใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นรูปถ้ามีความรู้สึก มีความหมายจึงเกิดเวทนา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างในโลกนี้มีความหมายไหม (มี)  มีเพราะใครเป็นคนกำหนด ตัวเรากำหนด ใช่หรือไม่ (ใช่) ของบางอย่างถ้าเราใช้จนหมดความหมายถึงเวลาเราก็ต้อง (ทิ้ง)  บางอย่างถึงแม้มีความหมายแต่ถ้าเราใช้ไม่หมดบางทีเราก็ต้องยอม (ทิ้ง)  ใช่หรือเปล่า  ยกตัวอย่างเราเดินอยู่ตอนนี้ฝนตก ดินก็เป็นดิน เราก็มองเป็นดินอยู่วันยังค่ำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อไหร่ที่เรามีอัตตาตัวตนไปสัมผัสดินแล้วเดินอยู่ แล้วดินก็กระเด็นมาถูกตรงหน้า กระเด็นมาถูกตรงเสื้อ กระเด็นมาถูกรองเท้า รู้สึกไหม (รู้สึก)  ทำไมรู้สึก เพราะมีตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อีกคนหนึ่งเดินมาต่อให้ดินกระเด็นๆๆๆ ใส่เขาเท่าไหร่ เรารู้สึกไหม (ไม่รู้สึก)  ทำไม เพราะเป็นตัวเขา ใช่หรือไม่ (ใช่) มีทุกข์ สุข จึงเกิดมีตัวตน จึงเกิดมีวิญญาณ จึงเกิดมีภพชาติ  เกิดเป็นความแค้น เลยเดินกระทืบใส่ดิน  ด้วยความที่ลืม เผลอ แค้น โมโห จากที่ดินมันจะกระเด็นเม็ดเดียว คราวนี้เต็มๆ เท้าเลย เคยเป็นไหม (เป็น)  เดินๆ ชนปั้ง   เจ็บไหม โมโหไหม เอ้อเอามือไปตบมัน โง่ไหม (โง่)  เหมือนกัน เขาต่อยแล้วเจ็บไหม (เจ็บ)  แล้วเราทำอย่างไร  เราตอกย้ำเข้าไปอีก เขาทำฉัน เขาว่าฉัน มันด่าฉัน แล้วมันต่างอะไรกับคนที่ดินกระเด็นมาโดนเท้าแล้วยังกระทืบ ให้ดินมันกระเด็นเข้าไปอีก
ฉะนั้นเราคือคนที่มีธรรมแต่ไม่เข้าใจธรรม  เพราะถ้าท่านมีธรรมแล้วเข้าใจธรรม ด้วยสติปัญญาหยั่งให้ลึก สิ่งนั้นก็คงเป็นผลแค่รูปที่ไม่มีผลแก่จิตใจ กายเราแค่ยืมมาใช้ถึงเวลาก็ต้องปล่อยวาง ถ้าวันนี้มีคนมาขอเงินสองร้อยให้ไหม มีคนมาด่าว่าน่าเกลียด โง่ โกรธไหม หรือคิดจำอยู่ เมื่อไหร่ที่คิดจำอยู่ก็คือคนที่กระทืบให้ดินนั้นกระเด็นใส่ตัวเอง แล้วก็กำลังก่อเวรผูกต่อกันไม่จบ
ถ้าไม่อยากให้กิเลส ตัณหา อุปาทาน ทิฐิเกิดขึ้นในจิตใจเรา  เมื่ออะไรมากระทบไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มองเห็น ได้ยิน หรือหัวใจที่ได้สัมผัส จงเห็นว่ามันเป็นแค่ภาพเพียงภาพหนึ่ง ที่เดี๋ยวมันก็ผ่านไป แต่ถ้าเมื่อไหร่เกิดรู้สึกแล้วอยาก อยากแล้วต้องเอามาให้ได้ นั่นคือท่านกำลังปล่อยให้รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือ รูป เวทนา ตัณหา อุปาทาน แล้วก็ทิฐิ เข้ามาครอบงำ ใช่ไหม (ใช่)  พอเข้าใจไหม ฉะนั้นมนุษย์ถ้ามี สติ ปัญญา หยั่งถึงรูปลักษณ์แต่เป็น รูป นาม สักแต่เพียงนาม  ความทุกข์ สุข ดีใจ ได้ เสีย จะไม่มีผลต่อจิตใจ แล้วเราจะสามารถก้าวข้ามทุกข์ได้ทันที แต่ถ้าเมื่อไร ใจดวงนี้ยังรู้สึก ยังแบ่งแยกว่าอันนี้มีค่า ไม่มีค่า น่ารัก ไม่น่ารัก หล่อ ไม่หล่อ สวย ไม่สวย มันก็ยังติด ว่ายวนอยู่ในวัฏฏะ ยังทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไหร่ พอแล้ววางแล้ว ก็ต้องคิดให้ได้ว่าลูกก็เป็นเพียงลูกนะ   ฉะนั้นถ้าเราถามท่านว่า  โลภ โกรธ หลง ควบคุมได้ แล้วเกิด แก่ เจ็บ ตาย พลัดพรากจากสิ่งที่รัก และต้องเจอกับสิ่งที่ไม่น่ารักควบคุมได้ไหม (ไม่ได้)  ให้คิดว่าเราควบคุมได้ ถ้าท่านทำได้เช่นนี้งานก็จะเบาบางจากทุกข์ไปมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางทีจับแล้ว อยากจับไม่รู้ลืม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ได้ยินแล้วอดไม่ได้ รู้สึกลำเอียง รู้สึกดี รู้สึกร้าย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
 วันนี้สิ่งที่เราพูดกับท่านไม่ใช่เรื่องยากเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ก็ยังมีบางคนไม่รู้เรื่อง เราถามท่านกลับว่าแล้วเกิด แก่ เจ็บ ตาย พลัดพรากจากสิ่งที่รัก และต้องประสบพบเจอกับสิ่งที่เราไม่ชอบหรือรังเกียจ เราควบคุมได้ไหม ควบคุมไม่ให้ตัวเองแก่ได้ไหม (ไม่ได้)  ควบคุมให้ตัวเองไม่ต้องเจ็บได้ไหม (ไม่ได้)  ควบคุมให้ตัวเองไม่ต้องตายได้ไหม (ไม่ได้)  เราหนีความจริงตรงนี้ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่สิ่งที่เราต้องกล้าเผชิญก็คือยอมรับความจริงด้วยจิตใจที่ปล่อยวาง ถ้าเราเอาแต่หนีก็คือการไม่อยู่บนความเป็นจริง ก็จะมีแต่นำพาให้เราต้องทุกข์ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ถ้าเรายอมรับความจริง แก่ก็แก่ เจ็บก็ (เจ็บ)  ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องมีโรงพยาบาลจริงไหม ตายก็ (ตาย)  ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่มีใครพยายามรักษาหรอกนะ จริงๆ เราควบคุมบางอย่างได้ ให้ช้าหน่อยได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ให้หลอกคนได้  ทำตัวแก่แต่ไม่ยอม (แก่)  จริงๆ ตัวเองเจ็บออดๆ แอดๆ แต่ก็พยายามบอกคนอื่นว่าตัวเองแข็งแรง จริงๆ หัวใจอ่อนแอแต่ก็บอกคนอื่นว่าหัวใจ (เข้มแข็ง) ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถึงจะหนีได้แต่ก็หนีไม่พ้น สิ่งสำคัญก็คือต้องกล้ายอมรับความจริง และเผชิญความจริงด้วยปัญญาและสติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะความทุกข์ความสุขไม่ได้อยู่ที่คนอื่นกำหนดหรือฟ้ากำหนด ความทุกข์ความสุขล้วนอยู่ที่ตัวเรากำหนดเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ก็ยากที่จะเชื่อได้ ใช่หรือเปล่า วันนี้เรื่องที่เราอยากบอกท่านก็บอกไปเกือบหมดแล้ว ส่วนที่เหลือท่านจะประพฤติปฏิบัติได้อย่างที่เราบอกไหม ก็อยู่ที่ตัวท่านเอง จริงหรือเปล่า (จริง)  อายุมากแล้ว เวลาก็เหลือ (น้อย)  ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นสิ่งที่ควรฝึกฝนไว้ให้อยู่กับตัวเองก็คือการปล่อยวาง และเดินไปสู่ความจริงที่เรียกว่าความว่างเปล่า เพราะถึงที่สุดแล้วเราก็เอาอะไรไปไม่ได้นอกจาก (ความดี ความชั่ว)  แต่เราอยากจะบอกท่านอีกอย่างว่าวันนี้ท่านเรียนรู้จากโลกแห่งพุทธะอีกด้านหนึ่ง โลกแห่งพุทธะอยู่พ้นจากความทุกข์ ความสุข ดี ร้าย ได้ เสีย เป็นหนทางที่นำพาให้มนุษย์ไปสู่การพ้นทุกข์อย่างแท้จริง แต่จะพ้นทุกข์ได้ต้องปล่อยวางซึ่งความรู้สึกและการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เพราะถ้ายังปล่อยวางความรู้สึกไม่ได้ ยังปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนไม่ออก ไม่หมด ท่านก็ไม่มีวันหนีพ้นทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)

ดอกไม้แห่งพุทธะมีอยู่ในใจของเรา แต่อยู่ที่ว่าสติปัญญาของท่านจะหยั่งได้ถึงหรือเปล่า วันนี้จบแค่นี้ ฝนตกนานเกินไปก็อาจจะกลายเป็นน่ารำคาญใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วในโลกนี้อะไรคือมายา จิตใจที่ไม่รู้จักพอสร้างมายาไม่จบสิ้นใช่ไหม (ใช่)  จิตใจที่ไม่รู้จักความสุขในการมีชีวิตอยู่แล้วทำเพื่อคนอื่นบ้าง ไม่ใช่แค่คนที่รัก แต่รู้จักมีชีวิตอยู่ไม่ใช่สนองกิเลสทำเพื่อตัวเอง เราเกิดมามีแค่สองอย่างนี้ใช่ไหม วิ่งตามกิเลสกับวิ่งตามความอยากของตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บำเพ็ญธรรมคือปล่อยวางกิเลสและทำเพื่อผองชน คุณค่าต่างกันลิบลับเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงเอาธรรมะไปนำพาผู้คนด้วยจิตใจแห่งพุทธะ วันนี้คงศึกษากับท่านเพียงแค่นี้ แต่ถ้าเกิดท่านไม่เชื่อยังไงฟังไปก็ไม่เชื่อจริงหรือไม่ เราก็ไม่ห้ามหรอกนะ อยากเชื่อหรือไม่อยากเชื่อก็สุดแล้วแต่ท่าน เพราะชีวิตนี้ท่านเป็นคนขีดเส้นและกำหนดเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  หนทางมีให้เดินท่านไม่เดินก็แล้วแต่ตัวท่านเองแล้ว ฉะนั้นวันนี้เราคงมาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านเพียงแค่นี้ มีโอกาสคงได้ผูกบุญสัมพันธ์กันอีก อย่าทิ้งโอกาสของตัวเอง เรียนอะไรต้องเรียนให้จบ ทำอะไรต้องทำให้จริงใช่หรือไม่ (ใช่)  คนใต้คือคนจริงใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทำอะไรต้องทำให้ถึงที่สุด ฉะนั้นที่สุดของท่านอีกกี่วัน สองวันก็จบเลยหรือ (ไม่จบ)  สองวันแค่เริ่มต้น ที่เหลือคือช่วยคนใช่หรือไม่ (ใช่)  ช่วยคนด้วยธรรมะก็กลายเป็นช่วยตนด้วยธรรมะโดยไม่รู้ตัวนะ  เห็นแก่ตนตามไปด้วยกิเลสตัณหาก็ทำร้ายตนโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน ฉะนั้นอยู่ที่ท่านแล้ว จะนำพาชีวิตด้วยธรรมหรือกลับไปตามกิเลสตัณหา เวทนาต่อก็อยู่ที่ตัวท่านเองแล้วนะ



วันอาทิตย์ที่ ๒๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ สถานธรรมฉือฮุ่ย จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เผาอัตตาก่อนจะเผาซึ่งตัวเรา เผาความหลงก่อนจะเผาจิตเดิมแท้
เผาความคิดก่อนจะเล่นเอาเราแพ้ เผาความแย่ก่อนจะไม่ได้บำเพ็ญ
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก  แฝงกายกราบ
องค์มารดา แล้ว  ถามศิษย์รักทุกคนอยากกลับบ้านหรือยัง

บำเพ็ญธรรมต้องหมั่นศึกษา จิตใจใช่แค่ศรัทธา เตือนศิษย์มิเว้นวัน  
วันเคลื่อนเดือนก็คอยผลักดัน ใครรู้บำเพ็ญสร้างสรรค์ จิตญาณสงบกำจาย มองวันนี้ศิษย์ก็จะเห็น ที่แล้วเจ้าแสนยากเข็ญ ใครกะเกณฑ์ชักใย กรรมย่อมมาสนองปัจจัย ที่แล้วเจ้าอยู่ด้วยใจ ต่อไปให้อยู่ด้วยธรรม คนเขลายังเข้าใจ หรือเจ้ายังใหม่ ไฉนศิษย์เฉยอย่างนั้น  ความรู้มาปิดกั้น คล้ายเมฆบังจันทร์ อยู่เพื่อสุขกันจนตาย
* วางเรื่องราวกลุ้มใจหน่อยเอย เจ้าทุกข์ข้าหรือยากเฉย ยามศิษย์เอยเข็ญใจ ธรรมดาโลกอันวุ่นวาย ศิษย์ทำใจอย่าเศร้าใจ กล้าทุกข์ยิ่งกล้าอดทน คนหลงช่างเปรียบเปรย เจ้าคนฉลาดไฉนขื่นขมกังวล วนคิดก็ยิ่งวน หัวใจร้อนรน อดทนอย่าลืมความจริง มองข้ามองเจ้ามานานแล้ว บำเพ็ญเนิ่นช้าก็แล้ว คุณธรรมไม่จริง คิดมากมายไม่ทำให้จริง เมื่อใจไม่อาจนิ่งนิ่ง เจ้าทิ้งตัดทางเจ้าเอง
                                    
ทำนอง : เพียงคำเดียว
           ชื่อเพลง : มีศิษย์ เห็นศิษย์ ห่วงศิษย์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เป็นอย่างไรบ้าง (สบายดี)  ดีใจไหม (ดีใจ)  ดีใจเพราะเป็นวันสุดท้าย ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ไหนใครดีใจจะได้กลับบ้านแล้ว แต่จริงๆ แล้วควรดีใจไหม อยู่ที่นี่ไม่ต้องห่วงโน่นห่วงนี่ กลับบ้านไปเดี๋ยวก็มีห่วงโน่น เดี๋ยวก็มีภาระนั่น เดี๋ยวก็ต้องทำนั่น เดี๋ยวก็ต้องทำนี่มากมายเต็มไปหมด แต่อยู่นี่ กินก็ไม่ต้องห่วง  นอนละห่วงไหม (ไม่ห่วง)  เดี๋ยวเขาปูที่นอนให้นอนตรงไหนก็ได้ ขอให้มีที่นอน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ศิษย์ของอาจารย์ต้องกินง่าย ใช่ไหม (ใช่)  กินง่าย อยู่ง่าย นอนง่าย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้อยู่ต่ออีกวันหนึ่งนะ อยู่อีกวันไหวไหม (ไหว)  อยู่ไหวจริงๆ หรือ อยู่ห้องพระอีกวันไหวไหม  ถามแต่นักเรียนดีกว่านะ ไหวไหม (ไหว)  คนที่เป็นผู้ปฏิบัติงานธรรม ไหวไหม (ไหว)  เตรียมลางานแล้วหรือ ใช่หรือเปล่า  อย่ารับปากง่ายๆ อย่าพูดส่งๆ ไม่อย่างนั้นคำพูดของศิษย์จะดูไม่มีคุณค่าอะไรเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นพูดต้องรู้จักคิด คิดก่อนแล้วจึงพูด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่พูดโดยไม่คิด แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น) 
คิดก่อนพูดไหม (ไม่คิด)  แล้วเมื่อสักครู่รับปากอาจารย์ได้อย่างไร พรุ่งนี้อยู่อีกวัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งห้องเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วคนที่ไม่พูดก็ถือว่าไม่ได้พูดเพราะไม่ยอมอ้าปากบอกว่าไม่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเพิ่มประชุมธรรมสองวันเป็นประชุมธรรมสามวัน  เอาจริงหรือไม่เอาจริง ดูซิอาจารย์ให้โอกาสแก้ตัวแล้วนะก็ยังเดินหน้าต่ออีก ฉะนั้นคนที่ต้องรับผลกรรมก็คือตัวศิษย์เอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดให้ดีก่อนจะตอบอาจารย์นะ เอาอีกวันไหม (ไม่เอา)  แล้วคนอื่นเขาจะให้โอกาสแก้ตัวเราบ่อยๆ หรือเปล่า สามครั้งพูดแล้วไม่เป็นคำพูดเขาก็เลิกนับถือแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเมื่อกี้ศิษย์พูดกับอาจารย์เป็นครั้งที่เท่าไหร่ สามหรือสี่ (สี่)  ครั้งที่สี่ถึงจะบอกว่า (ไม่เอา)  อย่างนี้ก็ไม่เชื่อ อาจารย์เชื่อคำพูดแรก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะคำพูดแรกคือคำพูดที่จริงใจที่สุด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะไม่ต้องคิดมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นแปลว่าอีกวันหนึ่งก็เอา ใช่ไหม
ผิดก็ต้องยอมรับผิด ผิดไปแล้วอาจารย์ ผิดไปแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอถอนคำพูด ผิดไปแล้ว พูดไม่ระวัง พูดไม่รู้จักคิด นี่แหละมนุษย์ผิดแล้วไม่ยอมรับผิด บอกว่าเมื่อกี้ฉันไม่ได้พูด เป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)
ฉะนั้นอยู่กับอาจารย์หรือว่าอยู่กับใครพูดอะไรก็ต้องรู้จัก (คิด) คิดให้ดีก่อนที่จะพูด โลกใบนี้เป็นโลกที่สวยงามไหม (สวยงาม) เราติดอกติดใจอะไรกันหรือ ติดไหม (ติด)  มีอะไรให้น่าติดใจมากมายไปหมด อาจารย์ถามหน่อยศิษย์ติดใจอะไรในโลกใบนี้ (ติดเที่ยว)  ติดเที่ยวเหรอ ทำไมอาจารย์ถึงถามแบบนี้ ศิษย์เคยได้ยินคำหนึ่งไหม คนเลี้ยงหมูจะ
ไม่กิน (เนื้อหมู)  ใช่ไหม (ใช่)  เพราะเขาเห็นตั้งแต่หมูยังเล็กมันกินอะไรจนมันโต มันโตมาอย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนคนทำงานโรงงานขนม ถามว่าเขาจะกินขนมที่ตัวเองทำไหม (ไม่กิน)  ไม่ค่อยกิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ก็อยากจะรู้ ถ้าศิษย์อยากจะพ้นจากโลกใบนี้ ศิษย์อยู่ในโลกใบนี้ อยู่มาตั้งแต่ผมดำยันผมหงอก ถามว่ายังติดใจไหม (ติด)  ยังติดและยังชอบอยู่ใช่หรือไม่ (ไม่)  อาจารย์ก็เลยอดฉงนสนเท่ห์ไม่ได้เพราะคนโดยส่วนใหญ่ถ้าอยู่กับหมู เลี้ยงหมู นานๆ ไปก็เบื่อหมู เกลียดหมู แต่คนเราอยู่กับคน กินกับคน ดำเนินชีวิตกับคน เบื่อคนไหม อยู่ในโลก กินบนโลก นอนบนโลก เบื่อไหม (ไม่เบื่อ)   ถ้าไม่เบื่อ อาจารย์ไม่คุยต่อ (เพราะยังไปไม่ได้)
อาจารย์จึงถามว่าศิษย์ติดใจอะไรในโลกนี้หนักหนา เพราะคนที่สามารถจะพ้นจากโลกนี้ได้ คือคนที่เห็นโลกแล้ว รู้สึกเบื่อแล้ว หน่ายแล้ว แล้วหาสิ่งที่ดีกว่า เห็นคนแล้วเบื่อคน หน่ายคน จึงหาสิ่งที่ประเสริฐกว่าคน แล้วตอนนี้ศิษย์ติดใจอะไร โลกก็ไม่เบื่อ คนก็ไม่เบื่อ (ภาระหน้าที่)  ภาระหน้าที่ ถามจริงๆ นะ ถ้าฟ้าผ่าเปรี้ยง ศิษย์ตายทันที ภาระหน้าที่ช่วยอะไรได้ไหม ถึงเวลาฟ้าเอาชีวิตแล้ว ศิษย์จะบอกว่ายังติดงานอยู่ จริงหรือ เห็นเวลาถามว่าไปเที่ยวไหม บอกว่าไป งานเอาไว้ทีหลัง โลกนี้มีอะไรให้น่าติดอกติดใจ คนที่อยู่กับศิษย์มีอะไรให้น่าติดอกติดใจถึงตัดไม่เคยขาดสักที ถึงเวลาไม่ใช่ตัวใครตัวมันหรือ อะไรที่ทำให้ศิษย์ติดอกติดใจถึงไม่อยากไปหาสิ่งที่ดีกว่า ศิษย์เป็นเหมือนนกที่ไม่เห็นฟ้า ปลาที่ไม่เห็นน้ำ มนุษย์อยู่บนโลกแต่มองไม่เห็นโลกอย่างแท้จริงสักที แล้วเราเคยเห็นโลกชัดๆ ไหม (ไม่เคย) (พระอาจารย์เมตตาชูนิ้วขึ้น) อาจารย์ถามนะ นี่กี่นิ้ว (หนึ่งนิ้ว)  นี่กี่นิ้ว (สองนิ้ว)  จริงหรือ (จริง)  ชูสองแต่จริงๆ มีห้า แต่ในห้ามีอีกห้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น ศิษย์เวลามองอะไรก็ตาม อย่าเห็นเท่าที่โชว์ อย่ามองเท่าที่เห็น เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงใบนี้ยังมีสิ่งที่ซ่อนอยู่ในสิ่งที่มองเห็นและไม่เห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น ทำไมอาจารย์ถึงบอกว่าศิษย์ติดใจอะไรกันหนักกันหนาในโลกใบนี้ เพราะสิ่งที่ศิษย์ติดใจนั้น ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาตัวเอง ออกจากบ้านไม่ได้ ถ้าไม่ได้มองหน้าตัวเองเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)  บางทีเราติดใจในตัวเอง บางทีเราติดในรูป รส กลิ่น เสียงของโลกใบนี้ บางทีเราติดในวัตถุ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราติดในอะไรอีก ติดวัว ติดควาย ไหนใครติดวัว เช้ามาอาบน้ำวัว เช็ดก้นวัว ตบยุงให้วัว รักยิ่งกว่าลูกอีก ใช่ไหม (ใช่)  ไหนใครติดนก ดีนะที่กล้ายอมรับ ไม่ใช่ติดนก บอกไม่ติดๆ แต่วันไหนไม่เห็นก็นอนไม่หลับ ไหนใครติดหญิง ไหนใครติดเงิน ติดไม่ติด (ติด)  ถ้าใครบอกไม่ติด อาจารย์จะบอกว่า ให้เทเงินไว้ตรงนี้ แล้วกลับไปตัวเปล่าเลยนะ แต่สิ่งที่ศิษย์ติด พุทธะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอะไรรู้ไหม อีกอย่างหนึ่งที่ศิษย์ชอบติดกัน ติดความสุข ความสบาย ปล่อยคนอื่นลำบาก ขอตัวเองสบายไว้ก่อน ขอให้คนอื่นทุกข์ ขอให้ตนเองมีสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ติดสุขด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่)  ตัวเองได้หัวเราะคนอื่นร้องไห้ช่างหัวมัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ตัวเองอิ่มคนอื่นจะตายก็ช่างหัวมัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ติดในความสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอาจารย์มามีแต่คุยเรื่องเศร้า เรื่องเศร้า ศิษย์ก็คงไม่มาเจอหน้าอาจารย์หรอก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วศิษย์รู้ไหมสิ่งที่ติดอยู่นี้ พุทธะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า (อวิชชา, ตัณหา, กรรม, ความไม่รู้,  บ่วงกรรม, มายา, วัฏสงสาร) พุทธะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ภัยในสงสาร สงสารแปลได้อีกอย่างหนึ่งว่า การเวียนว่ายตายเกิด
ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์ติดอยู่นั้น พุทธะบอกว่าเป็นภัยที่นำพาให้ศิษย์นั้นหนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด สิ่งที่ศิษย์ติดคืออะไร แล้วทำไมจึงเป็นภัยทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิด มองง่ายๆ สิ่งที่ศิษย์ติดไม่ว่าจะเป็น ความสุข เงิน ตัวเอง ในสามอย่างนี้มีภัยแห่งการเวียนว่ายตายเกิดคือสุข หนีไม่พ้นก็ต้องเป็นทุกข์ ทุกข์ถ้ายังหาทางพ้นทุกข์ไม่เจอก็ต้องกลับมาเป็นสุข แล้วก็เวียนไปเป็นทุกข์ เป็นสุข อย่างนี้ไม่จบสิ้น
เดี๋ยวก็ได้เงิน เดี๋ยวก็เสียเงิน เดี๋ยวก็เป็นหนี้เงิน  เดี๋ยวก็เป็นทาสของเงิน  เดี๋ยวก็เป็นเจ้าเงิน   ตัวตนเป็นภัยแห่งการเวียนว่ายตายเกิด   ตัวเองเป็นภัยแก่ตัวเองใช่ไหม ภัยแห่งการเวียนว่ายตายเกิดที่เรียกว่าตัวตนนั้นคือ ความไม่เที่ยง กองทุกข์ และไร้ตัวตน หรือเรียกง่ายๆ ว่าสิ่งที่ศิษย์ติดนั้นหนีไม่พ้น ซึ่ง อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา ไม่ว่าสิ่งที่เป็นรูปหรือไร้รูป ล้วนหนีไม่พ้นซึ่งสัจธรรมความเป็นจริงอันนี้
ฉะนั้น เราคือผู้ที่เห็นภัยหรือยัง ถ้าเรายังไม่เห็นภัยใน     วัฏสงสาร  ยังยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ยังยึดมั่นถือมั่นในการแสวงหาเงินทองไม่จบสิ้น ยังวิ่งอยู่กับการแสวงหาความสุข ไม่จบสิ้น แต่ไม่ยอมเอาชนะความทุกข์ คนๆ นั้นก็หนีไม่พ้น วัฏฏะ แห่งการเวียนว่ายหรือต้องเป็นทุกข์อย่างแน่แท้
ฉะนั้น คนที่รู้ตื่นแล้วด้วยความไม่ประมาท ด้วยปัญญา จะมองเห็นว่า สุขนั้นไม่ควรยึด เพราะเป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนไปเป็นทุกข์ได้ ทุกข์ไม่ควรหนี แต่ควรเอาชนะให้ได้ เพราะถ้าเอาชนะได้เราจะพ้นทุกข์
นิรันดร์  อัตตาตัวตนยึดถือไม่ได้ เพราะถ้าเมื่อไหร่เรายึดถือ เรากำลังกอดกองทุกข์และความไม่มีตัวตน ถ้าเข้าใจเช่นนี้ ศิษย์ก็จะเป็นเหมือนคนที่เลี้ยงหมูแล้วไม่กินหมู คนที่อยู่บนโลกแต่ไม่หลงในโลก ยากไหม (ยาก)  ฉะนั้น ถ้าศิษย์ไม่ยอมเผาความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ความยึดมั่นนั้น จะฆ่าให้ศิษย์ตายทั้งเป็น
อาจารย์วิปลาสไหม ผู้ชายมีให้ยืมไม่ยืมร่าง กลับมายืมร่างเด็กผู้หญิง เพราะผู้ชายเดี๋ยวนี้หาบริสุทธิ์ยากใช่หรือไม่ (ใช่)  ยินดีต้อนรับพระอาจารย์ไหม (ยินดี)  ตัวตนมีบ้าน แล้วจิตญาณก็มีบ้านเหมือนกัน มีตัวตนจึงเกิดจิตญาณ จิตญาณเรามีบ้านอยู่ไหน (ข้างบน)  แล้วคิดถึงข้างบนหรือข้างล่าง (ข้างบน)  อาจารย์เห็นคิดทุกทีคิดถึงแต่ลงต่ำมากกว่าคิดสูง คิดขึ้นสวรรค์หรือตกนรก
พุทธะช่วยคนที่รู้จักช่วยตัวเอง พุทธะไม่ช่วยคนที่วอนขอแต่ไม่ลงมือทำ  ฉะนั้นอยากเป็นศิษย์ของอาจารย์ก็ต้องรู้จักช่วยตัวเอง มัวแต่เรียกอาจารย์  เอาแต่ทำตัวสำมะเลเทเมาเที่ยวเตร็ดเตร่ดื้อด้านใครจะช่วยได้ สิ่งดีๆ ไม่คิด ชอบคิดสิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่ดีควรทำไม่ทำ ชอบทำในสิ่งที่เรียกว่าไม่ดี เราเป็นไหม แล้วรอใครช่วย ศิษย์ต้องช่วยตัวเอง แต่ไม่ต้องห่วง อาจารย์ก็ช่วยศิษย์ด้วย อาจารย์ถามว่าในโลกนี้มีพิษภัยเต็มไปหมด ใช่ไหม (ใช่)
พิษภัยที่เสพติดแล้วยังมีพิษภัยอะไรที่น่ากลัวที่สุด ถ้าผิดแล้วแก้ยาก พิษภัยที่เกิดจากอะไร (เกิดจากใจ) ใจที่เป็นอย่างไร (ใจที่ใฝ่ต่ำ) ใจที่ใฝ่ต่ำสามารถพ่นพิษได้ใช่หรือไม่ (ใช่) โลกใบนี้ทุกสิ่งทุกอย่างพ่นพิษใส่เราไหม (ใส่)
อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ สมมติในห้องนี้มีสองฝั่ง ให้ฝั่งหนึ่งเป็นกองขยะและอีกฝั่งเป็นดอกไม้ อีกตัวอย่าง ฝั่งนี้เป็นอีกาและอีกฝั่งเป็นฝูงหงส์ ซึ่งฝั่งหนึ่งจะไม่รู้สึกอะไร แต่อีกฝั่งหนึ่งก็จะเกิดพิษในใจ อาจารย์เป็นพิษภัยกับศิษย์ไหม สลับกัน ให้อีกฝั่งเป็นดอกไม้เหี่ยวๆ และเป็นหงส์หง่อมๆ แก่ๆ หงส์ปกติเป็นหงส์สาวๆ สวยๆ ขาวๆ แต่ศิษย์เป็นหงส์ดำๆ อาจารย์พ่นพิษใส่ศิษย์ไหม อะไรคือพิษภัยในโลกนี้ (ความคิด, ความสวยงาม, ความยึดมั่นถือมั่น, การเวียนว่ายตายเกิด, ความจริง) ความจริงเป็นพิษภัยแน่ใจหรือ  
อะไรที่เป็นพิษภัยในโลกใบนี้ จับเมื่อไหร่ก็ก่อพิษเมื่อนั้น (คำพูด)  ใช่คำพูดเป็นพิษ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พูดไม่รู้จักระมัดระวัง ไม่พูดความจริงก็เป็นพิษได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ความโกรธ ความหลงเป็นพิษภัยไหม (เป็น)  โกรธเมื่อไหร่ก็เป็นพิษให้กับตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  หลงใคร หลงตัวเองก็เป็นพิษได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  (ความละโมภโลภมาก, ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี, ความรู้สึก)  คนอื่นไม่รู้สึก แต่ฉันรู้สึกตะหงิดๆ ใช่หรือเปล่า (ความอิจฉา ความสวยงาม)  สวยงามเป็นพิษไหม (เป็นพิษ)  มีกี่อย่างละ ที่สวยแล้วสร้างพิษให้กับเรา (ผู้หญิง สิ่งที่สวยงามอย่างเช่นรถ ไม่มีเงินแต่อยากได้)  จริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นพิษไหม เป็นพิษใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าทุกคนต้องตอบอาจารย์ได้ จริงไหม (จริง)  ก็ศิษย์บอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นพิษ แปลว่าทุกคนต้องตอบคำถามอาจารย์ได้ แล้วต้องตอบไม่เหมือนกันด้วย จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นหัวหน้าตอบแล้วศิษย์ไม่ตอบก็น่าเสียดาย อาจารย์เริ่มเปลี่ยนใจแล้ว จากที่ให้นั่งก็ไม่ให้นั่งแล้วนะ  นั่งไม่นั่ง (นั่ง)  เมื่อกี้บอกไม่นั่ง เก้าอี้เป็นพิษไหม ถ้าอยากนั่งแล้วไม่ได้นั่งสักที จะเริ่มเป็นพิษแล้ว
ถ้าศิษย์มองเห็นว่าความสุขที่ศิษย์ปรารถนา เงินทองที่ศิษย์ไขว่คว้ามาทั้งชีวิต แท้จริงแล้วคือพิษภัยที่น่ากลัว ตัวตนที่ศิษย์เฝ้ารักเฝ้าห่วง แท้ที่จริงแล้วก็คือ กองทุกข์ ที่ถึงที่สุดแล้วก็คืนสู่ความว่าง ถ้าศิษย์มองได้เห็น เห็นเหมือนที่อาจารย์บอกว่าชูหนึ่งนิ้วแต่จริงๆ แล้วยังมีอีกกี่นิ้ว (สิบเก้านิ้ว)  ก็ดีนะสิ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์เราเห็นหนึ่งนิ้วก็ยังเป็นหนึ่งนิ้ว ทั้งที่จริงๆ แล้วยังมีอีกกี่นิ้ว (สิบเก้านิ้ว)  เหมือนที่อาจารย์มองเห็นคนคน หนึ่ง อาจารย์ไม่ได้เห็นแค่ตัวตนคนหนึ่ง แต่อาจารย์เห็นทั้งการเวียนว่าย การเกิด การดับ เห็นทั้งการแก่ เจ็บ ตาย เห็นทั้งกรรม เห็นทั้งบุญ เห็นทั้งทุกข์ เห็นทั้งสุข เห็นทั้งได้ เห็นทั้งเสีย เห็นทั้งหัวเราะ เห็นทั้งร้องไห้ เมื่อเห็นอย่างนี้ อะไรคือสิ่งที่ศิษย์พยายามแสวงหา หาเพื่อตัวนี้แต่ไม่มีความเที่ยงแท้ และสิ่งที่ศิษย์หาก็หาความเที่ยงแท้ไม่ได้ เหมือนจับน้ำด้วยมือเปล่า จับเหมือนจับได้ แต่ถึงที่สุดแล้ว ก็ต้องไหลออกไปตามมือ
ชีวิตนี้ก็เฉกเช่นเดียวกัน ศิษย์เหมือนศิษย์จับได้ เงินทองศิษย์เหมือนศิษย์จับได้ แต่ถึงเวลา เวลาถึงมันก็ไหลไปสู่ความว่างเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ทำอย่างไรให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ในโลกไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อจิตใจเรา ไม่เป็นพิษเป็นภัยที่ก่อให้เกิดการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ทำอย่างไรในเมื่อศิษย์เห็นแล้วศิษย์ยังรู้สึก ศิษย์เห็นแล้วยังเห็นว่ามันมีค่า มีความหมาย ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำนี้ไหม ถ้ามองเห็นทุกคนในแง่ดี คนทุกคนก็มีดีให้เห็น
ถ้าเกิดมองเห็นทุกคนในแง่ร้าย คนทุกคนก็ร้ายจนหาดีไม่เห็น ใช่ไหม(ใช่) ฉันใดก็ฉันนั้นเหมือนกันศิษย์ ถ้าวันนี้ศิษย์อารมณ์ดีมองอะไรก็ดูเจริญหูเจริญตา แต่ถ้าเมื่อไหร่ศิษย์อารมณ์แย่มองอะไรมันก็แย่ไปหมด แม้แต่ตัวเองยังดีไม่ขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น สิ่งที่ศิษย์กำหนดว่ามีค่า มีดี มีคุณ จริงๆ แล้วมันมีค่า มีดี มีคุณ แค่เพียงรู้สึกใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าเกิดไม่รู้สึกแล้ว สิ่งนั้นคืออะไร (ปล่อยวาง) ปล่อยวางใช่ไหม (ใช่)  เหมือนวันนี้อาจารย์บอกว่าอาจารย์ไปยืนกับคนอื่น (พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมออกมายืนหน้าชั้น) อาจารย์ยืนกับเขา  อาจารย์ชอบพูดบ่อยๆ อาจารย์ดูเตี้ยจังเลย ทำไมดูเขาสูงจัง แย่ เบื่อ ทุกข์ แต่พออาจารย์ไปเจอคนที่เตี้ยกว่าก็รู้สึกดีสบายใจ แล้วอาจารย์กลับมาเจอคนที่สูงกว่าก็รู้สึกแย่ทุกข์ ศิษย์กำลังวนเวียนอยู่กับความรู้สึกแค่เพียงชั่ววูบใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจริงๆ ศิษย์เตี้ยไหม(ไม่เตี้ย)  แล้วจริงๆ ศิษย์แย่ไหม(ไม่แย่)  มันเป็นแค่อารมณ์หรือลมพัดต้องผิว ลมเย็นพัดมาก็สบายใจ ลมร้อนพัดมาก็เหงื่อไหลทุกข์ใจ มันแค่ลมพัดผ่านผิวใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงที่สุดแล้วคืออะไร วันนี้ศิษย์ดีใจที่ถูกลอตเตอรี่ ดีใจที่มีคนชม ดีใจที่แข่งชนะ แต่นั่นคือแค่ชั่ววูบชั่วขณะ ของจริงแท้คืออะไร (ความว่าง)
ฉะนั้นการที่เรามีชีวิตอยู่ มองสิ่งใดก็ตาม ถ้าศิษย์นิ่งแล้วหยั่งให้ถึงสัจภาวะ แล้วศิษย์ไม่ยึดติดกับความคิดแบ่งแยก ศิษย์จะมองเห็นความเป็นจริงในตัวตน และมองเห็นความเป็นจริงของโลกใบนี้ แล้วศิษย์จะไม่ถูกโลกใบนี้หลอกให้ เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวได้เดี๋ยวเสีย สักวันหนึ่งความเป็นจริงของโลกใบนี้จะผลักดันให้ศิษย์ต้องเห็นและต้องทำใจ นั่นคือพิษภัยที่เป็นความจริงที่หนีไม่พ้น ความหมดตัว การไม่มีบ้านให้อยู่ เหลือตัวคนเดียว จริงไหม (จริง)
สักวันหนึ่งศิษย์ต้องหมดตัว สักวันจะไม่มีบ้านให้อยู่ สักวันศิษย์ต้องเหลือตัวคนเดียว กลัวไหม (กลัว)  อาจารย์พูดจริงๆ นะ ไม่ต้องกลัว อาจารย์ถามนะ ถ้าความตายมาถึง หมดตัวไหม ที่หามาเยอะๆ  เอาไปได้ไหม แล้วตอนนั้นต้องหมดตัวจริงๆ ทำใจได้ไหม (ได้)  อาจารย์จึงบอกว่าทำไมต้องบำเพ็ญ ฝึกฝนจิตใจ ทำไมต้องเตรียมตัวฝึกฝนตัวไม่ประมาท ต้องรู้แจ้งเห็นจริง เพราะถ้าตอนนั้นทำใจไม่ได้ ศิษย์จะตายก็ไม่ตาย ทำไมเวลาจะตายคนบางคนทรมาน เพราะ ปลงไม่ได้ วางไม่ได้ ทิ้งไม่ได้ จึงทรมาน แล้ววันนี้ถ้าศิษย์ไม่หัดหมดตัว หัดปล่อยวาง ถึงวันนั้นศิษย์จะทำใจได้หรือ  อีกอย่างหนึ่ง ไม่มีบ้านให้อยู่ ไหนใครเป็นคนนอนหลับยากบ้าง ไปนอนที่ไหนก็นอนไม่หลับ ต้องนอนบ้านตัวเองจึงจะนอนหลับ เวลาตายแล้วบ้านไหนล่ะ บ้านของศิษย์ อาจารย์ถามจริงๆ   เวลาตายกลับบ้านได้ไหม ไม่ได้ เจ้าที่ไม่ให้เข้า  เพราะทำบาปไว้มาก  คนบางคนเข้าบ้านตัวเองยังไม่ได้ เข้าฝันลูกๆ  บอกเจ้าที่ให้หน่อยแม่เข้าบ้านไม่ได้ ถ้าวันหนึ่ง ศิษย์ไม่มีบ้าน จะทำอย่างไร ห่วงไหม บ้านนี้ 
ฉะนั้น เป็นคนอยู่ที่ไปไหน ก็อยู่ได้  อย่าอยู่ที่ไหนก็กินยาก อยู่ยาก ไม่อย่างนั้นหาเหาใส่หัว หาทุกข์ใส่ตัว เป็นอย่างนั้นไหม  บางคนไปไหนไม่ได้ ห่วงบ้าน ในความเป็นจริงศิษย์ห่วงขนาดไหน ศิษย์ก็ต้องทิ้งมัน 
อีกอย่างหนึ่งที่ศิษย์ของอาจารย์ชอบเป็นคือหนูเหงา นั่งอยู่เฉยๆ  ได้ไหมต้องหาทีวีดูหาเพลงฟัง ตายไปมีทีวีให้ดูไหม (ไม่มี)  ตายแล้วมีบีบีให้กดไหม ตายแล้วให้สามีตายด้วยไปไหม (ไม่ไป)  แล้วห่วงไหม (ห่วง) รักเขามากไม่ใช่หรือ  เวลาเขาไปมีน้อย ไม่ยอม  ไปได้ก็ดีไปพ้นๆ ทุกข์เสียที  ทำไมไม่คิดแบบนี้ อย่างนั้นคงไม่มีนิยาม ที่ศิษย์ชอบพูด เสียทองเท่าหัว ไม่ยอมเสีย...ให้ใคร แต่ถึงเวลาตาย ตัวใครตัวมัน ถูกหรือเปล่า  ฉะนั้นศิษย์จำไว้ พิษภัยที่หนีไม่พ้น ทำใจให้ได้ ก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริง และเราต้องกล้าปล่อยวาง ก็คือเราต้องกล้าปล่อยวาง กล้าอยู่คนเดียว และอยู่ที่ไหน เราก็ต้องมีความสุขได้ และอีกอย่างที่ทำให้คนธรรมดาเหนือธรรมดาคือ ก่อนที่เราจะทิ้งตัวเรา คือทิ้งตัวเองให้ทำเพื่อคนอื่น พยายามรักษาสัจวาจายิ่งกว่าชีวิต
บางคนทำงานแบบยอมตายเพื่อให้ได้เงิน ผู้หญิงบางคนยอมตายเพื่อให้เขามาชม ทำอะไรก็ได้ขอให้สวยแต่จะเป็นอันตรายถึงตายไหม ไม่สนใช่ไหม (ใช่)  เขาไม่รักก็ฆ่าตัวตาย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนบางคนสวนยางปลูกเป็นสิบๆ ไร่ น้ำท่วมทีเดียวผูกคอตายใต้ต้นยางที่น้ำท่วม ไม่หัวเราะนะศิษย์ เพราะความเป็นจริงมันมีแล้ว ถึงเวลาถ้าศิษย์พบอย่างนี้ศิษย์ทำใจได้ไหม ต้องได้ ถ้าไม่ได้ ศิษย์ได้ตายก่อนตาย เพราะนั่นคือความจริงของโลกใบนี้ แล้วศิษย์แน่ใจหรือว่าชะตากรรมที่ศิษย์กำหนด มันจะมีแต่ดีไม่พบเรื่องร้าย มันจะพบแต่เรื่องสุขไม่พบทุกข์ มันจะพบทุกข์ธรรมดาแต่ไม่ใช่ทุกข์เจียนตาย ศิษย์รับประกันตัวเองไหม
ฉะนั้น เราทำอย่างไร นั่นก็คือการที่คิดจะก้าวเข้าไปอยู่บนโลก ไม่ว่าจะจับเงิน จับทอง  หรืออยู่กับใคร เตือนตัวเองไว้เสมอว่าอย่าประมาท วันนี้ดีใจกับเขา แต่วันหน้าศิษย์อาจจะเสียใจ วันนี้ดีใจที่ได้เงิน แต่วันหน้าศิษย์อาจจะหมดตัวเพราะเงิน อย่ารอให้ตายแล้วค่อยรู้สึก อย่ารอให้มันเกิดแล้วค่อยทำใจ ไม่มีใครทัน จริงไหม (จริง)  มีลูก มีสามี ทำใจไว้เลยเดี๋ยวพวกเขาก็ (ตาย)  มีลูก มีภรรยา ทำใจไว้เลยเดี๋ยวพวกเขาก็ (ตาย)  เอาหนักอย่างนี้เลยหรือศิษย์ เดี๋ยวต่างคนก็ต่างไป อย่าไปแช่งเขาใจเย็นๆ อยู่กันยังไม่ทันเกลียดกัน (เดี๋ยวเขาก็ตาย) วันนี้ศิษย์จงระวังไว้ ศิษย์เห็นแต่พิษภัยในโลกภายนอก ศิษย์เห็นแต่พิษภัยของดิน น้ำ ลม ไฟ  แต่วันนี้อาจารย์จะมาบอกศิษย์ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ศิษย์ติด ศิษย์หา ล้วนคือพิษภัยที่กลับมาย้อนศรกลับมาทำร้ายศิษย์ได้ทุกสิ่ง แม้กระทั่งตัวเอง พิษภัยที่ศิษย์ไม่ควรจะเข้าไปแตะแล้วทำให้ศิษย์ต้องทุกข์แล้วเวียนว่ายตายเกิด มีอยู่ห้าอย่างที่อาจารย์ขอศิษย์อย่าทำเลย
(ไม่ลักทรัพย์, เว้นจากการพูดเท็จ) อาจารย์ว่าศีลห้า แต่ทำไมตอนนี้ศีลห้ากลายเป็นศีลหกศีลเจ็ดศีลแปดแล้ว อยากตอบอาจารย์ก็ให้ตอบ (ไม่คดโกง, ไม่พูดส่อเสียด, ไม่เบียดเบียนผู้อื่น, การยึดติดในโลกมายา, ไม่หลงตัวเอง) อาจารย์ถามคำถามว่าอะไรนะ บางคนลืมคำถามไปแล้ว  พิษภัยห้าอย่างมีอะไรบ้าง มีพิษภัยที่เกิดจากไม่ประพฤติอยู่ในทำนองครองธรรมหรือเรียกว่าศีลห้า แต่ยังมีพิษภัยทั้งห้าอีกอย่างที่เราไม่รู้จักระมัดระวัง
(เชื่อมั่นในตัวเอง)  จริงเหรอ เชื่อมั่นดีก็ดีไป ถ้าเชื่อมั่นในสิ่งที่ดื้อดึงก็กลายเป็นคนเอาแต่ใจ เชื่อมั่นแต่ก็ต้องรู้จักรับฟังบ้าง (ไม่โกรธ ไม่หลง, คิดก่อนพูด, ไม่เนรคุณคน, หมั่นทำความดี, ไม่ทำให้คนน้ำตาตก)  ก็พูดระวังๆ  (ทุจริตฉ้อโกง)  แอบเอาโทรศัพท์ในบริษัทเอาไปโทรศัพท์ส่วนตัวไหม คดโกงเล็กๆ ก็เรียกว่าคดโกงเหมือนกัน  (พูดไม่คิด, ไม่พูดโกหก, ยึดมั่นในทางสายกลาง, ไม่เบียดเบียนผู้อื่น)  ไม่เบียดเบียนผู้อื่นทั้งมอง ฟัง และพูด และทำ ศิษย์เชื่อไหมแค่คนธรรมดาเดินผ่านแต่เราใช้หางตามอง ปากก็เบี้ยวตามแค่นี้ก็สร้างพิษภัยได้แล้ว หรือแม้แต่ไม่มอง
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท และสอนร้องเพลงพระโอวาท)
พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า   "สัจภาวะ"
เข้าใจความหมายคำนี้ไหม จริงๆ แล้วก็ต่อเนื่องกันนะ ดินน้ำลมไฟอย่าแตกตื่นภัย เพราะนั่นคือสัจภาวะความเป็นจริงของโลกใบนี้ มีเกิดขึ้น ก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงและการล่มสลายแล้วก็มีการเกิดขึ้น คนที่จะเข้าถึงสัจภาวะได้ในความเป็นจริงของตัวตนเองและความเป็นจริงของโลกใบนี้ ต้องอาศัยสติปัญญาและความนิ่ง คนที่สามารถหยั่งถึงความนิ่งด้วยสติปัญญาจะสามารถรู้แจ้งเห็นจริงในสัจภาวะ ในตัวตนเองและในโลกใบนี้ แต่การจะเข้าถึงสัจภาวะได้นั้น ศิษย์จะต้องอย่ายึดมั่นถือมั่นในความคิดของตัวเองอย่างทวิภาวะจนเกินไป คืออย่าติดว่าต้องได้ ไม่เสีย หรือเสียแล้วอย่าเสียอีก ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ เพราะในโลกของความเป็นจริงก็คือปล่อยวางความยึดมั่น แล้วสัจภาวะความเป็นจริงจะฉายให้เห็น แต่มนุษย์ทุกคนไม่ว่ามองใคร หวังในสิ่งใดมักจะมีความยึดมั่น คาดหวังอยู่ในหัวใจ ต้องเป็นแบบนี้ อย่าเป็นแบบนั้น จึงทำให้เรามองไม่เห็นความเป็นจริง แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นศิษย์ของอาจารย์มองตามความเป็นจริง ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น แล้วสัจภาวะความเป็นจริงของโลกใบนี้จะทำให้ศิษย์กระจ่าง และไม่หลงในโลกจนเกินไป เข้าถึงยาก ใช่ไหม อาจารย์พูดง่าย แต่อาจารย์รู้ว่าศิษย์หลายคนเข้าถึงยาก จ่ออยู่ตรงแค่ประตูไปไม่ถึงสักที แต่จริงๆ ศิษย์ก็รู้นี่ ตัวเราก็มองเห็น เกิดขึ้น ใช่ไหม (ใช่)  เราประมาทไปไหม เราเคยสังวรตัวเองไหมว่าชีวิตนี้ไม่เที่ยง อย่าคิดว่าตัวเองอายุยืน อย่าคิดว่าตัวเองยังมีเวลาอีกมาก แน่ใจแล้วหรือศิษย์ อย่ามัวแต่หาเงินจนลืมหาธรรมใส่ตัว อย่ามัวแต่ห่วงตัวเองจนลืมช่วยเหลือผู้คน ธรรมลงมาปรกโปรดเพื่ออะไร หวังให้คนดีตื่นจากมายาในโลกใบนี้แล้วมองเห็นความเป็นจริงของโลก
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า "สัจภาวะ")
"หยั่งให้ลึกเพื่อเข้าถึงสัจภาวะ 
พ้นจากลักษณะที่นึกคิดหรือปรุงแต่ง
 วางจนว่างปล่อยให้ธรรมเผยสำแดง 
ยิ่งจัดแจงยิ่งติดยึดยากเห็นจริง"
ฉะนั้นทุกๆ ที่มีธรรม เมื่อเราสามารถหยั่งให้ลึกจริงๆ โดยที่ไม่ติดอยู่ในความคิด หรือติดในสิ่งที่ศิษย์ปรุงแต่ง แล้วศิษย์จะสามารถมองเห็นความเป็นจริงของตัวตนและความเป็นจริงของโลกใบนี้ อาจารย์หวังไกลไปไหมหนอ แค่เป็นคนดีศิษย์ยังดีไม่รอดเลย จะให้พ้นทุกข์ ยังหลอกอาจารย์  ศิษย์เคยได้ยินไหม ไม่มีหวังให้หวัง แต่ก็ยังอดหวังไม่ได้ คิดแบบนี้ก็เป็นทุกข์ใส่ตัว แต่ทำไมอาจารย์จี้กงจึงอยากหวังในตัวศิษย์ เพราะหนทางที่อาจารย์หวังให้ศิษย์เดินนั้น เป็นหนทางที่มันพ้นทุกข์ ไม่ต้องเวียนอีกแล้ว แต่ถ้าศิษย์ยังอยากทุกข์อีกอาจารย์ก็ได้แต่เช็ดน้ำตา แล้วก็ทอดถอนใจ
ทุกข์แห่งการเวียนว่ายน่ากลัวกว่าทุกข์ที่ศิษย์ต้องพบอยู่ในปัจจุบันอีก คิดดูให้ดีๆ อาจารย์ไม่เคยโกหกหรือหลอกศิษย์ อาจารย์อยากบอกอีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องสุดท้าย ศิษย์ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ทำอย่างไรให้มีบรรยากาศธรรมแห่งความสงบ อาจารย์มองเห็นว่าข้างล่างหรือข้างบนยังขาดความสงบนิ่ง ศิษย์ทำอะไร ศิษย์รู้สึกไหมว่า ไม่ว่าศิษย์จะทำงานอะไร จิตของศิษย์แตก จิตไม่นิ่ง เมื่อจิตไม่นิ่ง เวลาศิษย์พบภัย ศิษย์พบปัญหา ศิษย์จะใช้ปัญญาได้อย่างไร  ฉะนั้นอาจารย์อยากขอว่าไม่ว่าจะทำหน้าที่ส่งผ้า เตรียมน้ำ ทำโอวาท นำพาญาติธรรม นำพาด้วยความนิ่งมีสติ เรามาบำเพ็ญธรรมเพื่อเจริญสติปัญญา  แต่อย่าทำให้เหมือนนกกระจอกแตกรัง มันมองไม่ดีเลยใช่ไหมศิษย์
เดินก็เดินอย่างมีระเบียบ กินข้าวก็กินอย่างมีสติ ล้างจาน ทำงาน นำพาญาติธรรม ด้วยใจที่สงบนิ่งได้ไหม อาจารย์รู้ว่านานๆ ศิษย์จะเจอกันที อยากคุย แต่คุยมากๆ บางทีก็ไม่มีประโยชน์ เรากลับมาถึงธรรม กลับมาเจริญสติให้กับตัวเองดีไหม  (ดี)  เดินอย่างคนมีสติ พูด ทำ อย่างคนมีสติ และอยู่กับปัจจุบัน หลังจากประชุมธรรมงานนี้ไป อาจารย์ขอเห็นความเปลี่ยนแปลงในห้องพระ  จำไว้นะ ขอความเปลี่ยนแปลงในห้องพระ ข้างล่างต้องมีความสงบ อาจารย์ขอเข้มงวดแล้วนะครั้งนี้ ไม่หย่อนแล้ว ขอให้มีความสงบเป็นพื้นฐาน ทำอะไรด้วยสติ ไม่อย่างนั้น ศิษย์หมดจากร่างกายนี้ไป หรือยังไม่หมดจากร่างกายนี้ไป เพราะขาดสติ  ศิษย์มักจะมีภัยเสมอ ทำอะไรขาดสติปัญญา มักจะสร้างภัยให้ตัวเองตลอด ฉะนั้นยิ่งเภทภัยมามากเข้า ขอให้ทุกขณะจิต ทำแล้วอุทิศให้เพื่อจะแปรเปลี่ยนหนักให้กลายเป็นเบา เบาจนไม่มี เพราะว่าทุกขณะจิต ไม่ว่าเราบำเพ็ญธรรมช่วยใคร ขออย่างเดียวเอาไปให้เจ้ากรรมนายเวร เพื่อลดเภทภัย ขอให้ช่วยกันอุทิศให้เขา
ต่อไปนี้ไม่ได้ทำเพื่อตัวเองแล้ว ทำเพื่อจะได้ให้เภทภัยนั้นเบาบางลงดีหรือไม่  เพราะภัยมาทั้งทีไม่ได้เก็บเราคนเดียว แต่เก็บเท่าที่เก็บได้ หรือเก็บคนที่ไม่ดี แต่จริงแล้วเขาไม่ดีหรือเปล่า ถ้าให้โอกาสเขาก็อยากดีจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอาจารย์ขอนะ นับจากประชุมธรรมครั้งนี้ ข้างล่าง ข้างบน ต้องมีใจเปลี่ยนแปลง นำพาญาติธรรม นำพาด้วยสติ ไม่ใช่นำพาด้วยคำพูดเจื้อยแจ้วไม่จบสิ้น  กระทำด้วยสติ ไม่ใช่เอาแต่คุยกันเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ ถ้าว่างให้ขึ้นมาฟังธรรม อย่าเอาแต่นั่งคุยโดยไม่เกิดประโยชน์อะไร หรือถ้าว่างจริงๆ  ไม่มีอะไรทำ หาห้องๆ หนึ่งเอาไว้ให้ศิษย์สงบสติ  เขียนไว้เลย ห้องสงบสติ เข้าไปแล้วต้องออกมามีสติ ลองทำให้อาจารย์เห็นความเปลี่ยนแปลงหน่อยนะ วันนี้อาจารย์ก็คงต้องจากลาศิษย์ น่าเสียดายที่มัวแต่วุ่นแต่เรื่องข้างนอก จนลืมสัญญาที่ให้กับอาจารย์ บำเพ็ญธรรมเพื่อตัวเองจะได้ไม่ต้องทุกข์เวียนว่าย ได้ไหม (ได้)  มีโอกาสคงกลับมาอีก อย่าทิ้งอาจารย์ไปก่อน อาจารย์กลัวอย่างเดียว ศิษย์ทิ้งอาจารย์ไม่ใช่อาจารย์ทิ้งศิษย์
 มีโอกาสกลับมาให้ได้ อย่ามัวแต่ห่วงตัวเอง ห่วงแต่ร่างกายแต่ไม่ห่วงซึ่งจิตญาณของตัวเองก็น่าเสียดาย กลับมาช่วยอาจารย์ได้ไหม อย่ามัวแต่หลงโลกใบนี้เลย หลงแล้วก็มีแต่ทำให้ศิษย์ต้องเวียนว่ายไม่จบสิ้น ไม่กลับมาก็ทำตัวให้ดี สิ่งใดที่ไม่ดี เหล้า บุหรี่ เลิกไม่ใช่เพื่ออาจารย์แต่เพื่อตัวศิษย์เอง สิ่งใดที่ดีเอาไปปฏิบัติได้เป็นนิจศีลก็จงทำ อย่าเป็นแค่การใฝ่ธรรม หมั่นทำแต่สิ่งที่ดี คิดแต่สิ่งที่ประเสริฐ ทำได้ก็ปล่อยวาง มุ่งมั่นแล้วต้องเดินให้ถึงที่สุด พลาดแล้วไม่เป็นไร เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง ต้องทำต่อให้ตลอด
อยู่ ต้องอยู่ให้ตลอด เป็นศิษย์ของอาจารย์แล้ว ไม่ใช่เดี๋ยวอยู่เดี๋ยวไม่อยู่ เข้มแข็งนะศิษย์ อย่ายอมแพ้ อย่าแพ้ใจตัวเอง สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความคิดของเรา อย่าให้ความคิดฆ่าเราเองนะศิษย์นะ เมื่อบำเพ็ญธรรมแล้วต้องอดทน คิดในสิ่งที่ควรคิด อะไรที่เป็นสิ่งที่ไม่ดี ก็ถือว่าได้ชดใช้กรรม อย่าร้องนะ เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม สังขารมีเพื่อปล่อยวาง มีเพื่อปลง เวลายังเหลือไม่มากแล้ว ฉะนั้นต้องทำให้เต็มที่ เข้าใจไหม  กลับมาช่วยอาจารย์ อาจารย์ก็ดีใจแล้วนะ  อาจารย์ก็อยากให้ศิษย์โชคดีตลอดนะ แต่บางครั้ง คนทุกคนต้องมีกรรม อย่าปล่อยให้ชะตาชีวิตทำลายตัวเอง รู้จักประคองชีวิตตัวเองให้ดี เข้าใจนะ  กลับมาช่วยอาจารย์ได้ไหม เอาอาจารย์ไปอยู่ด้วย แต่ศิษย์ต้องกลับมาอยู่กับอาจารย์ด้วยนะ  มีโอกาสอุทิศเสียสละด้วยจิตใจที่รู้จักให้ อาจารย์ไปแล้วนะศิษย์เอย  ดูแลตัวเองให้ดี ดูแลจิตใจของตัวเองให้ดี อย่าปล่อยจิตใจของตัวเองต้องเวียนว่ายในวัฏสงสารไม่จบสิ้น อันนั้นเป็นทุกข์ที่น่ากลัว  ภัยที่น่ากลัวที่สุดก็คือ การที่ไม่ดูแลชีวิตตัวเอง ปล่อยให้ชีวิตตัวเองยามมีอยู่จนตาย ต้องเวียนว่ายไม่จบสิ้น ทำในสิ่งที่อาจารย์บอกเถอะ จะได้ไม่ต้องเวียนว่ายอีก





   พระโอวาทซ้อนพระโอวาท   “สัจภาวะ”

    หยั่งให้ลึกเพื่อเข้าถึงสัจภาวะ
พ้นจากลักษณะที่นึกคิดหรือปรุงแต่ง
วางจนว่างปล่อยให้ธรรมเผยสำแดง
ยิ่งจัดแจงยิ่งติดยึดยากเห็นจริง





ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา