วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

2553-05-29 ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร


西元二○○年 歲次庚寅四月十六日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหลี่เถียไกว่

ความจริงแม้ยากรับไหว ทำใจอยู่ได้เป็นสุข
ปลงใจอยู่ได้เหนือทุกข์ สุขใจในโลกสัทธรรม
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลี่เถียไกว่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานไท่อิน  แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

คนใจกว้างถูกเอาเปรียบใช่ปัญหา ทุกชีวามีสามอย่าง ไม่ถูกแย่ง
บำเพ็ญธรรมเมื่อคล่องเลยลืมออกแรง ฉลาดแซงผ่านพ้นล่วงเกินผู้คน
ธาราไหลแล้วไม่กลับคืนมาได้ พูดอะไรเคยเรียกคืนได้กี่หน
ทำอะไรเขาว่ามาตรวจสอบตน อดทนคือโอกาสคือได้ใกล้กว่ากัน
ตื่นรู้เร็วคำพูดต้องรู้จักช้า เป็นนายเวลาคำพูดทั้งหลายใช้มั่น
สติดีอเนกคุณในการสร้างฐาน จิตห่วงอนันต์ติดอยู่ในความมี
ปล่อยความคิดในดวงญาณก่อจริต มองในในอยู่จิตนามรูปนี้
ฝึกฝนตนทุกวันจนถ้วนถี่ อยู่กับปัจจุบันลืมวานนี้กังวลใจ
คนมีหัวใจทำอยู่งานไปคล่อง มีสมองงานใจคนไหนก็ง่าย
ไร้ใจทำงานถนัดก็วุ่นวาย เพราะหัวใจคนติดคิดไม่ใช้ธรรม
บ้านร้อนเพราะแค่เล่าเล่าว่าว่า ฉากเดิมเดิมเรื่องมาทำหน้าคว่ำ
สิ่งเดิมเดิมแต่ใจใหม่เป็นประจำ สำรวจกรรมติดไหมดีติดไหมชม
ฝืนทนวนคิดกับดักจับอยู่มือ ช่างแก่ยื้อเวียนว่ายเปรี้ยวหวานขม
หวั่นไหวเรื่องเก่าไม่อาจคลายปม มรสุมลมกางไม่ไหวแม้ใบเรือ
เป็นปักษากางปีกสองร่อนลมเล่น ถลาเอนมาเรื่องคนบินยากเหลือ
โลกเดือดร้อนช่วยคนให้เต็มเรือ ไม่มีเหลือผู้ทุกข์ในโลกตรม
ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหลี่เถียไกว่
มนุษย์กลัวความทุกข์ยาก กลัวความเจ็บปวด กลัวความตาย ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ใครล่ะหนีพ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อต้องเจอแล้วเราจะทำอย่างไรล่ะ จะสู้ไหม จะรับความจริงได้หรือเปล่า ชีวิตไม่ง่ายเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  หวังจะได้สุขก็กลับมีทุกข์ หวังจะมีทุกข์ก็กลับได้ (สุข)  มีหรือ บางทีก็มีใช่ไหม คิดว่าต้องทุกข์แน่ คิดว่าต้องลำบากแน่ ไปๆ มาๆ ก็กลับไม่ทุกข์ไม่ลำบากเพราะรู้จักเตรียมตัวเตรียมใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราเคยเตรียมตัวเตรียมใจกับชีวิตบ้างไหม  (เคย)  เคยเตรียมหรือ เตรียมว่าอะไร เตรียมว่าจะรวย เตรียมว่าจะสุข แต่ไม่เคยเตรียมว่าจะจนหรือเตรียมว่าจะทุกข์เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราต้องรู้จักตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท เพราะความไม่ประมาทคือความไม่ตาย แต่คนที่ตั้งตนอยู่ในความประมาทคือดำรงอยู่ในความตาย จริงหรือไม่ (จริง)
ชีวิตนี้ยังมีเรื่องราวอีกมากที่เราต้องเรียนรู้และเข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายคนส่วนใหญ่มักจะคิดว่ามาศึกษาธรรมก็ต้องถือศีลกินเจและก็เข้าวัดฟังธรรม ทำบุญตักบาตร แล้วเรารู้ไหมว่าการเรียนรู้ธรรมะนั้นมีประโยชน์อะไรกับชีวิต  มนุษย์มักจะมองว่าธรรมะก็คือการทำบุญตักบาตร ถือศีล ไหว้พระแค่นั้น  แต่เราลืมไปหรือเปล่าว่าธรรมะแท้ที่จริงแล้วคือรากฐานความเป็นจริงของสรรพสิ่ง ถ้าเราเรียนรู้ธรรมก็แปลว่าเราเรียนรู้รากฐานความเป็นจริงของชีวิต  ฉะนั้นจงมองธรรมให้ออก มองธรรมให้กระจ่าง อย่ามองธรรมที่การประพฤติปฏิบัติ แค่ทำบุญตักบาตร ถือศีลกินเจแค่นั้น แต่ความหมายของธรรมที่แท้จริงคือรากฐานของความเป็นจริงของสรรพสิ่ง
ฉะนั้นถ้าเราเรียนรู้หลักธรรมเราเป็นผู้ที่เรียนรู้รากฐานแห่งความเป็นจริงของชีวิตคน ใช่หรือไม่ (ใช่)   ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้เราก็จะรู้ว่ามนุษย์ผู้มีธรรมคือผู้ที่ดำรงตนอย่างถูกต้อง รู้ว่าอะไรควรเว้น รู้ว่าอะไรควรทำด้วยสติปัญญาอันแยบคาย รู้เหตุรู้ผล รู้จักเข้าใจชีวิตตนและพร้อมจะเรียนรู้เข้าใจผู้คนด้วยความสันติและจิตเมตตา  ฉะนั้นมนุษย์ผู้ที่บอกว่าเราศึกษาธรรมกันมาเยอะ เราฟังธรรมมาเยอะ แล้วเราเข้าใจชีวิตเยอะไหม เรามีความรู้มากมายแต่ถึงเวลากลับไม่สามารถเข้าใจชีวิตตน จริงไหม (จริง)   หลายคนเรียนจบสูงมีความรู้สูงแต่ถึงเวลาความรู้นั้นกลับไม่สามารถนำพาตัวเองให้พ้นทุกข์ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
การเรียนรู้หลักธรรมไม่ใช่เรียนรู้เพื่อเปลี่ยนแปลงผู้อื่น แต่เรียนรู้หลักธรรมเพื่อเปลี่ยนแปลงตนเองและเข้าใจตนเอง ฉะนั้นก่อนที่เราจะเรียนรู้ศึกษาธรรมเราจึงต้องเข้าใจว่า ธรรมคืออะไรและเรียนธรรมไปเพื่ออะไร  และบางครั้งเรียนไปแล้วก็ต้องรู้จักหยุดและรู้จักทำ ไม่ใช่มีปัญหาแล้วดันทุรังทำใช่หรือเปล่า (ใช่)
วันนี้ที่บอกว่านั่งฟังทุกข์ทรมาน คิดเสียว่าอย่างไรท่านก็สบายกว่าเราที่เดินอยู่ตรงนี้แล้วกันนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าคิดว่าตัวเองทุกข์เลย บางครั้งสิ่งที่เราว่าทุกข์ที่สุดในโลก ตราบที่เรายังมีลมหายใจ ชีวิตไม่แน่ว่าอาจจะมีทุกข์ที่ยิ่งใหญ่กว่า ใช่ไหม (ใช่)  อย่าคิดว่าวันนี้ทุกข์หนักหนาสาหัสสากรรจ์  ไม่แน่ถ้ายังมีลมหายใจ อาจยังมีทุกข์ที่น่ากลัวยิ่งกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์ที่ว่าสุข ชีวิตนี้ฉันมีสุขแค่นี้ก็พอแล้ว อย่าลืมว่าในโลกใบนี้ ตราบที่เรายังมีลมหายใจอาจจะมีสุขที่ยิ่งใหญ่กว่าก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นตราบที่เรายังมีลมหายใจจงเป็นลมหายใจของผู้ไม่ยอมแพ้ได้หรือไม่ (ได้)  เจอความทุกข์ก็ไม่บ่น เจอความสุขก็ไม่เปลี่ยนแปลงหวั่นไหว คงมีความสุขกันดีใช่ไหม หรือว่าสุขๆ ทุกข์ๆ หรือว่าทุกข์มากกว่าสุข เป็นอย่างไหนกันเล่า
ในบรรดาเซียนทุกองค์ เรารูปร่างอัปลักษณ์ที่สุด แต่เดิมเราไม่ใช่รูปร่างอย่างนี้ แต่เพราะชะตาเป็นไป สิ่งที่ทำได้ก็ได้แต่ทำใจ ฉะนั้นถ้าเราอยากจะยืนอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างเป็นสุข สงบและเป็นอิสระ เราจะต้องไม่ยึดมั่นถือมั่นจนเกินไป รู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่อยู่กับตัวจะเป็นของตัวตลอดไป รู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่ใช่จะใช่เสมอไป รู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่ว่าถูกแล้วจะไม่มีวันผิดอีกเลย จริงไหม (จริง)
โลกแห่งความเป็นจริงล้วนหนีไม่พ้นความไม่เที่ยง และในความไม่เที่ยงก็หนีไม่พ้นต้องมีทุกข์ และในความทุกข์ก็หนีไม่พ้นความว่างเปล่า ฉะนั้นเราจึงต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นแล้วเกิดความเข้าใจผิด เกิดความเห็นผิด คนที่ต้องรับทุกข์กับความคิดความเข้าใจอันนั้นก็คือตัวเราเอง
โลกนี้วุ่นวายไหม (วุ่นวาย)  ยังวุ่นวายอีกหรือ เมื่อเราต้องการจะเปลี่ยนโลกต้องเปลี่ยนที่ (ตัวเรา)  ไม่ใช่ไปเปลี่ยนที่ (คนอื่น)  ฉะนั้นโลกมนุษย์เป็นโลกแห่งความคิด อยากจะเปลี่ยนชีวิตก็ต้องเปลี่ยนความคิดของตน อย่าพยายามไปเปลี่ยนคนอื่น แต่เราต้องรู้จักเริ่มเปลี่ยนที่ตัวเราเองก่อน ถ้าตัวเราทำได้ดีทำได้ถูกต้อง ไม่ต้องพูดให้เหนื่อยเลย เอาตัวเองเป็นประจักษ์หลักฐานได้ แต่ถ้าตัวเองยังไม่ดี ไม่ถูกต้อง พูดไปจนปากเปียกปากแฉะ เขาก็ไม่ทำหรอก ใช่ไหม (ใช่)  
มีคำกล่าวว่า “รูรั่วเล็กๆ ทำเรือจมได้ฉันใด ความผิดพลาดเล็กๆ ก็สามารถทำชีวิตให้พังทลายได้ฉันนั้น”  แล้วความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ อะไรที่มนุษย์ไม่ควรมองข้าม พระพุทธะกล่าวไว้ว่า “โทษแห่งการมีมิจฉาทิฐิเป็นยอดของโทษ เป็นโทษที่ยิ่งใหญ่ ไม่เคยมีเหตุใดที่ทำให้มนุษย์ต้องตกนรก ตกอบาย ตกทุกข์คติด้วยการยึดมั่นถือมั่นที่ผิดเลย”  มิจฉาทิฐิคือยอดของโทษ เคยเห็นสาเหตุใดที่จะทำให้มนุษย์ต้องตกนรก ตกอบายไปยิ่งกว่าจิตใจที่ตั้งไว้ผิดๆ ไหม แต่ถ้าพูดเท่านี้ ท่านก็จะบอกว่าแล้วจะน่ากลัวอย่างไร
ท่านเคยได้ยินว่า บาปที่สุดของการเป็นมนุษย์ก็คือการฆ่าพ่อแม่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตกนรกเป็นกัปเป็นกัลป์ แต่บาปของการฆ่าพ่อแม่ยังมีวันหมด แต่จิตใจที่ตกอยู่ในมิจฉาทิฐิดิ่งดำลึกและเปลี่ยนไม่ได้ ไม่มีสวรรค์ ไม่มีมรรคผล แม้คนผ่านไปแล้วหนึ่งกัปชั่วพุทธันดรหนึ่ง คนกลับมาเกิดใหม่เขาก็ยังอยู่ท้ายของจักรวาล ถูกไฟแห่งจักรวาลเผาไหม้ และเป็นต้นตอของวัฏฏะ ต่อให้พุทธะพันองค์ร้อยองค์ก็ไม่สามารถทำให้เขาพ้นจากความทุกข์ได้ ถ้าเขาไม่สลัดความยึดมั่นถือมั่นที่ผิดๆ  ฉะนั้นเกิดเป็นคนถ้าเพียงมีความคิดที่ไม่ถูกต้อง ถ้ามีความคิดที่ยึดมั่นถือมั่นอย่างตายตัวพลิกแพลงไม่ได้ ก็จะน่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก ไม่รู้ด้วยว่าจะต้องพ้นเวียนว่ายตายเกิดเมื่อไหร่ เพราะไม่มีวันพ้น จนกว่าจิตนั้นจะสลัดออกจากความยึดมั่นถือมั่นได้
แล้วมิจฉาทิฐิความเห็นผิดอะไรล่ะที่น่ากลัวที่สุดในการเป็นคน อย่างที่หนึ่งก็คือ มักจะคิดว่าทำดีไม่ได้ดี  อย่างที่สอง ในโลกนี้ไม่มีเหตุปัจจัย ฉันทำดีก็เพราะฉันทำ ชีวิตนี้มีแค่ตอนนี้ ไม่เคยมีอดีต ไม่เคยมีอนาคต ไม่เคยมีภพหน้าภพโน้น เกิดมาก็ดับสูญ กับอีกอย่างหนึ่งเชื่อว่าไม่ว่าจะทำร้ายหรือทำดีก็ไม่มีผล แล้วเรามีความคิดแบบนี้ในใจตนหรือไม่
จงระมัดระวังไว้ว่า ถ้าจิตยึดมั่นผิดคิดผิด สามารถทำชีวิตให้ทุกข์ทั้งชาตินี้และชาติต่อๆ ไปนับไม่ถ้วน  เหมือนคนที่จมอยู่ในความคิด ฉันแย่ ฉันล้มละลาย ฉันเจ็บปวด ฉันเป็นหนี้  คนที่จมอยู่ในความคิดอย่างนี้ทุกๆ วันแล้วพลิกตัวเองไม่ได้ ยิ่งกว่าตกนรกทั้งเป็น ต่อให้พระพุทธะมาโปรดตรงหน้าเขาก็ไม่ตื่น เพราะเขาไม่สลัดความคิดนี้ออกไปจากใจ แล้วเรามีความคิดแบบนี้อยู่ในใจไหม เป็นคนที่รู้อะไรแล้วก็ไม่อยากฟังคนอื่น คิดว่าตัวเองรู้แล้ว แล้วมีมิจฉาทิฐิอะไรบ้างล่ะ ที่ลงละเอียดลึกไปอีกที่มนุษย์เห็นผิด
ใครบ้างไม่รักตัวเอง ทุกคนรักตนเองหมดใช่หรือไม่ (ใช่)  และคิดว่าอันนี้คือตัวของตัวเอง แค่คิดอย่างนี้ก็ตกนรกแล้วนะ รู้ไหม เพราะคิดว่ามีตัวตน เพราะคิดว่าตัวตนนี้คือความสุข นี่แหละคือความคิดผิด พุทธะเห็นสิ่งนี้ว่างเปล่า พุทธะเห็นสิ่งนี้คือความทุกข์ ท่านจึงไม่คิดว่าสิ่งนี้คือตัวตน แต่มนุษย์คิดว่านี่คือตัวตน นี่คือความสุข นี่คือตัวฉัน  ฉะนั้นคิดแบบนี้ตกนรกไหม หาเหตุให้ตนเองทุกข์ไหม ฉะนั้นมองให้ดีๆ  ตัวเราตัวนี้ที่บอก ฉันชื่อนี้ ฉันเป็นคนนี้ ฉันเป็นอย่างนั้น ฉันเป็นอย่างนี้  จริงๆ แล้วใช่ตัวเราไหม
ร่างกายนี้ประกอบไปด้วยธาตุดินน้ำลมไฟ ถึงเวลาก็ดับไปตามกาลเวลา  แต่มนุษย์พยายามยื้อให้มันไม่เปลี่ยน ยื้อให้มันไม่แตกดับและพยายามบำรุงบำเรอตัวเองให้มีอายุยืนที่สุด อย่างนี้เรียกว่า “เห็นผิด”  ใครบ้างไม่อยากอายุยืน แล้วอายุยืนไปเพื่ออะไร ถึงเวลาครบร้อยปีมนุษย์ก็ยังต้องทุกข์ต้องสุขอยู่วันยันค่ำ แล้วก็ทุกข์สุขในเรื่องเดิมๆ  ใครชมฉันก็ยิ้ม ใครด่าฉันก็เศร้า ได้เงินฉันก็ดีใจ เสียเงินฉันก็ร้องไห้  ยังทุกข์สุขวนกับเรื่องเดิมๆ แล้วยังอยากมีชีวิตอยู่ไหม  ถ้ายังยึดมั่นถือมั่นในความคิดผิดๆ  เมื่อเวลาความเจ็บปวดเข้ามา เมื่อเวลาความตายเข้ามา จึงเกิดการยื้อแย่ง เมื่อยื้อแย่งแล้วคนที่ต้องทุกข์ก็คือคนที่ยึดมั่นถือมั่นและเห็นผิดนั่นเองใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นพุทธะจึงกล่าวว่า “ถ้ามนุษย์เข้าใจการมีชีวิตอยู่และสามารถรักษาชีวิตอย่างมีคุณค่า เกิดตายก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว มาแล้วเดี๋ยวก็ไป” แต่มนุษย์กลับยึดมั่นถือมั่นไว้ จึงต้องเป็นทุกข์ ทุกข์ทั้งชาตินี้และทุกข์ทั้งชาติหน้า แล้วเรายึดมั่นถือมั่นตัวเองอย่างเดียวไหม มีอะไรอีกที่มนุษย์ชอบยึดมั่นถือมั่น ที่ยิ่งถือแล้วก็ยิ่งนำพาให้เราไปผิดทาง (ทรัพย์สมบัติ, กิเลสในตัว)  ตอนนี้มีกี่ตัวแล้ว (มีหลายตัว)  แต่เราว่ามีแค่สามตัว แต่วนเวียนกันใช้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  กิเลสก่อให้เกิดบาป บาปก่อให้เกิดทุกข์ ใช่หรือไม่
(ยึดมั่นในอำนาจวาสนา) แล้วยึดมั่นแล้วปล่อยวางไหม (พยายามอยู่) ก็เพราะมีตัวตนเวลาใครว่าเราก็เลยรู้สึกเสียหน้าใช่ไหม (เสียอารมณ์) เสียอารมณ์หรือ ก็ปล่อยให้มันเสียๆ ไปจะเก็บมันไว้ทำไม (พยายามจะทิ้งอยู่ แต่มันไม่ออก)  ยังไม่ออก แล้วโลภ โกรธ หลง มันมีรูปลักษณ์ไหม (ไม่มี)  แล้วทำไมมันอยู่ในตัวเราได้ล่ะ เพราะเราขาดสติ ใช่หรือไม่ แล้วเราก็ไม่รู้จักให้อภัยใช่ไหม (ให้อภัยทีหลัง)  อย่าบอกว่าต่อยหน้าเขาไปแล้วค่อยอภัยนะ
(ศัตรู) ศัตรูหรือที่ทำให้เรายึดมั่นถือมั่น  บางทีศัตรูกลับเป็นพลังที่ทำให้เราเข้าใจชีวิต แล้วรู้จักความแข็งแกร่งในชีวิต ใช่หรือไม่
มีอะไรอีก (ยึดมั่นในรูปรสกลิ่นเสียง, ยึดมั่นติดกับวัตถุ, ลาภยศ สรรเสริญ, ความสุขความสบาย, ลูกหลาน) ลูกหลานคือห่วงที่น่ากลัวที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เราที่ไม่สามารถหยุดได้เพราะอะไร (ยึดติดกับอดีต) ตอบว่า (ยึดมั่นในสิ่งที่พอใจ)  แต่พอได้บ่อยๆ บางทีก็เบื่อ  ฉะนั้นสิ่งที่พอใจบางครั้งอาจจะไม่พอใจก็ได้ถ้าได้บ่อยจนเกินไป (ความรักความสงสาร, กฎแห่งกรรม) กรรมของใคร (ตัวเอง) ทำกรรมกับใคร (บิดา) แล้วท่านคิดว่าจะมีผลไหม ตาข่ายฟ้าชัดเจน ใครทำสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้น แต่เราจะสามารถหยุดกรรมนั้นได้อย่างไร เมื่อไรที่เราพบว่าลูกกระทำกับเราเหมือนที่เราทำกับบิดามารดา จงใช้จิตใจที่สำนึก แล้วเราจะสามารถหยุดกรรมได้ แต่ถ้าเราโกรธแค้นลูกแล้วฝังความคิดนั้นไว้ที่ลูก ก็เหมือนกรรมเวียนว่ายไม่จบสิ้น (แต่ทุกวันนี้ก็ทำใจ) ต้องทำใจให้ได้ เพราะเราเป็นผู้สร้างเหตุ เราหนีไม่พ้นผลของการกระทำ  ฉะนั้นถ้าไม่อยากรับผลก็จงอย่าสร้างเหตุ  เราว่ายิ่งตอบคนยิ่งลืมคำถาม เพราะมนุษย์มักจะจมอยู่ในความคิดของตัวเอง ถึงจะฟังผู้อื่นก็ฟังเพียงผิวๆ แต่ถึงเวลาก็กลับมาฟังตัวเอง จนลืมไปว่าเราถามว่าอะไร
มองให้ดีๆ สิ่งที่สวยงามมักมีอันตรายซ่อนอยู่ สิ่งที่สวยงามแท้จริงมีพิษสงแห่งภัยอันตรายซ่อนอยู่ ถ้าไม่อยากให้ความคิดหรือสิ่งใดครอบงำ จงใช้ดวงตาแห่งธรรม มองสรรพสิ่งให้เห็นแจ้งชัด แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถเห็นแจ้งชัดในสรรพสิ่งก็เพราะความยึดมั่นถือมั่นที่ผิดๆ \
เมื่อเวลาที่เราอยากได้แล้ว เรามีไหมที่จะไม่ลำเอียง เรามีไหมที่จะไม่เห็นแก่ตัว ไม่เอาเปรียบ ฉะนั้นห่วงที่น่ากลัวของมนุษย์มีอะไรบ้าง  เดี๋ยวเราจะแยกให้ท่านเห็นว่าส่วนที่อยู่ภายในและส่วนที่อยู่ภายนอก ตอนนี้เราจะพูดถึงส่วนที่อยู่ภายนอกมีอยู่ ๔ ห่วงที่มนุษย์ยึดมั่นและเข้าใจผิด พยายาม
ดิ้นรนแสวงหาจมอยู่ในความทุกข์ คือ
๑. ยึดมั่นในตัวตน
๒. ยึดมั่นในทรัพย์สิน
๓. ยึดมั่นในเกียรติยศหน้าตาชื่อเสียง
๔. ยึดมั่นในลูกหลาน
ส่วนทิฐิภายในสามอย่าง ความยึดมั่นที่ผิดๆ ที่อยู่ภายใน คือ
๑. เป็นคนจู้จี้ จุกจิกไหม
๒. เป็นคนชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไหม
๓. เป็นคนที่ไม่เคยอยู่กับปัจจุบันชอบฝันถึงอนาคตหรือมัวจมปลักกับอดีตไหม
ทั้งหมดคือทิฐิภายในสามอย่าง เป็นคนที่ชอบถือเล็กถือน้อย ถือทุกอย่างไปหมด ฉะนั้นเราจะพูดเนื้อหาเข้าไปลึกอีกตรงที่ว่า จะเอาภายในก่อนหรือจะเอาภายนอกก่อน (ภายในก่อน)  เพราะว่าภายในเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด
ทำไมมนุษย์บางคนชอบจู้จี้ขี้บ่น เพราะเป็นคนรักความสมบูรณ์แบบ เลยคิดว่าตัวเองทำได้ดีและทำได้สมบูรณ์ พอใครทำผิดก็อดว่าไม่ได้ เรายกตัวอย่างง่ายๆ มีพระรูปหนึ่งบอกให้เณรไปจัดสวน จัดให้สวย เณรก็จัดเรียบร้อย กวาดใบไม้จนเรียบ พระก็บอกว่า ไม่ถูก ต้องจัดใหม่ ยังไม่ใช่สวนที่แท้จริง เณรก็จัดแบบใหม่อีก จัดมากี่แบบ พระก็บอกไม่สวยไม่ถูกต้อง จนทนไม่ไหว ถามว่าท่านต้องการให้จัดอย่างไร พระก็บอกว่าไม่ต้องจัดอะไร ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ แล้วท่านก็เขย่าต้นไม้ ใบไม้ก็ร่วงลงมาเต็มไปหมด นี่แหละความเป็นจริง
แต่มนุษย์เราเป็นพวกที่รักความสมบูรณ์แบบ กวาดบ้านแล้วถ้าใครมาเหยียบเราบ่นไหม (บ่น)  นั่นแหละความยึดมั่นถือมั่นที่ผิดๆ และปลูกฝังกลายเป็นนิสัยจู้จี้ขี้บ่น ใช่ไหม (ใช่)  เรากลับบ้านตรงเวลา แต่สามีกลับไม่ตรงเวลา เราบ่นไหม (บ่น)  ทั้งที่จริงๆ แล้วธรรมชาติมีคนเกินก็ต้องมีคนขาด มีคนได้ดีก็ต้องมีคนทำผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจึงสืบเนื่องต่อมา
ถ้าเราเป็นคนชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ก็คือคนที่ไม่ให้อภัยกับความผิดเล็กๆ น้อยๆ ของผู้อื่น แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม เราผิดไม่เป็นไร แต่คนอื่นผิดเราว่าตั้งแต่เช้ายันเย็น ว่าไปแล้ว ก็ยังวกกลับมาว่าใหม่ได้ ใช่หรือไม่  พอเขาทำผิดเรื่องเดิมก็ว่าอีก นี่เป็นความยึดมั่นถือมั่นไหม  (เป็น)  ฉะนั้นคำโบราณจึงกล่าวไว้ว่า “ลมอุ่นสลายความหนาวเย็น”  ถ้ามนุษย์เข้าใจภูมิหลังความเป็นมาของผู้คน จะไม่โกรธคนที่ทำตนเช่นนี้ เข้าใจไหม
คนบางคนทำไมเกิดมาเป็นคนที่ดีไม่ได้  ถ้าเราดูเบื้องลึกเบื้องหลังเราอาจจะเข้าใจเหตุผลความเป็นมาที่เขาก่อนิสัยหยาบๆ เช่นนี้ กลายเป็นคนพูดเอะอะมะเทิ่งเช่นนี้ ถ้าเราเห็นภูมิหลังความเป็นมา เราก็คงไม่โกรธเขาที่พูดจามุทะลุกระโชกโฮกฮาก ใช่หรือไม่ แต่มนุษย์มักมองกันเพียงผิวเผิน ตัดสินกันเพียงชั่วครู่ชั่วขณะที่เห็น แต่ถ้าเราศึกษาให้ลึกถึงความเป็นมาของผู้คน เราจะไม่โกรธคนโดยที่เขาคิดผิดหรือทำผิด ถ้าเราศึกษาความเป็นจริงของคน  เราก็จะไม่โกรธคนเลยที่ทำไมเขาคิดผิดทำผิด เราเคยพลาดผิดไหม (เคย)  เราเคยโมโหตบตีคนไหม (เคย)  คนอื่นก็เหมือนกัน แต่บางครั้งเขาก็อาจลืมยับยั้งชั่งใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ส่วนอีกเรื่องหนึ่งก็คือ อยากมีหน้าผ่องใสไหม (อยาก)  เรารู้ว่าฝ่ายหญิงชอบ  คนมีหน้าผ่องใสไม่ต้องใช้ครีมใดๆ ก็คือคนที่อยู่กับปัจจุบัน ไม่กลุ้มกังวลกับอดีต และไม่มัวห่วงกับอนาคต มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน และทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ไม่ต้องใช้ครีมใดๆ หน้าก็ผ่องใสได้นะ แต่เพราะมนุษย์คิดมากเกินไป ยิ่งคิดคิ้วก็ย่น หน้าก็เหี่ยว ใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดมากก็ดี แต่ถ้ามากเกินไปก็ทำลายตัวเอง  ฉะนั้นอย่าปลูกฝังนิสัยความคิดที่ผิดๆ ไม่เช่นนั้นแล้วมนุษย์ก็คือผู้ที่ก่อเหตุแห่งความทุกข์ และทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์โดยไม่รู้ตัว ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราเป็นพวกที่ถือเล็กๆ น้อยๆ ไหม (ถือ)  ใครมาจับกระเป๋าเรา เราก็ว่าแล้ว  ใครมีชื่อเหมือนเรา แล้วเราบอกว่า ทำไมเขาว่าชื่อนี้ล่ะ เขาว่าเราหรือเปล่า เราก็โกรธแล้ว  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราถือทุกอย่างเลย โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นของเรา ญาติเรา  แต่ถ้าไม่ใช่เรา เราทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ถ้าไฟไหม้บ้านคนอื่นไม่ใช่บ้านเรา เราก็ไม่เดือดร้อน ถูกไหม
เรื่องภายในใจที่มนุษย์ติดกันแล้วแก้ไม่ออกก็คือ เรื่องดี เรื่องร้าย เรื่องทุกข์ เรื่องสุข เรื่องได้เรื่องเสียใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราอยู่ในโลกเป็นไปได้ไหมที่เราจะเรียนรู้สิ่งหนึ่งแต่ไม่ต้องพบอีกสิ่งหนึ่ง หวังด้านหน้าแต่ไม่พบด้านหลัง หวังความสว่างแต่ไม่ต้องพบความมืดมน เป็นไปไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผู้ที่เข้าใจชีวิตจึงไม่แบ่งแยกทุกข์ สุข ดี ร้าย มองเห็นเป็นสิ่งเดียวกัน เมื่อใดที่เรายึดมั่นถือมั่นอย่างแบ่งแยก คนนั้นก็คือคนที่หาเหตุให้ตนเองทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วสิ่งที่มนุษย์วนเวียนอยู่กับความทุกข์ในความคิด นั่นก็คือ อย่างนี้เรียกว่าชอบ อย่างนี้เรียกว่าชังใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วสิ่งที่ชอบก็คือสิ่งที่สุข สิ่งที่ชังก็คือสิ่งที่ทุกข์ สิ่งที่ได้คือสิ่งที่สุข สิ่งที่เสียคือสิ่งที่ทุกข์ แต่ในโลกมีใครบ้างได้โดยไม่เสีย มีสุขแล้วไม่ต้องทุกข์
ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจสัจจะความเป็นจริงข้อนี้แล้ว เราจะไม่ยึดมั่นในความสุข เราจะไม่รังเกียจในความทุกข์ แต่เราจะสามารถปล่อยวางและทำใจเป็นกลางอยู่ร่วมกับทุกข์สุขในโลกได้อย่างอัศจรรย์ใจ  แต่มนุษย์กลับไม่สามารถสร้างโลกแห่งความอัศจรรย์ได้ เพราะเอาชนะใจตัวเองไม่ได้ จริงไหม (จริง)
เรามาดูความยึดมั่นถือมั่นภายนอกตัวตน เราบอกท่านแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ที่เหลือคืออะไร ทรัพย์สินเงินทอง  มีใครบ้างในโลกไม่อยากรวย  มีใครในโลกไม่กลัวจน แล้วตอนนี้เราจนหรือเรารวย ถ้าคิดว่าไม่รวยก็ไม่มีวันรวยหรอก ใช่หรือไม่  ไม่จำเป็นต้องรวยทรัพย์สินแต่รวยน้ำใจก็ได้  มนุษย์เรานั้นไม่สามารถอยู่ในความพอเพียงได้ เมื่อไม่สามารถอยู่ในความพอเพียงจึงต้องแสวงหาใช่หรือไม่ (ใช่)  และที่สุดของการแสวงหาที่ไม่รู้จักพอ ก็คือเพื่อตน แล้วก็ตามมาเพื่อลูกหลาน  แต่พอเราทำแล้ว เราทำเพื่อให้ตัวเองรวย รวยแล้วจะได้มีหน้าตา มีชื่อเสียง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเมื่อไหร่ที่สลัดห่วงทั้งสี่นี้ไม่ได้ มนุษย์ก็ไม่สามารถอยู่อย่างเบาและไปอย่างเบาได้ ถ้ามนุษย์ไม่สามารถหยุดยั้งกิเลสตัณหาได้ มนุษย์ก็ไม่สามารถมีจิตที่เป็นอิสระอย่างแท้จริงได้ จริงไหม (จริง)  แล้วเราห่วงไหม ฉะนั้นทำอย่างไรล่ะที่จะทำให้การแสวงหาทรัพย์สินเงินทองไม่ทำให้เราสูญเสียความเป็นคน ยากจนเกินไปก็ไม่ดี ร่ำรวยเกินไปจนเอาเปรียบแล้วกลายเป็นคนที่ไม่มีความเป็นคนก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นยากจนก็ไม่สูญเสียความเป็นคน ร่ำรวยก็ไม่สูญเสียหัวใจแห่งคน ทำได้ไหม (ทำได้)  แม้จนก็เป็นสุข แม้รวยก็รู้จักให้ นี่จึงเรียกว่าจนและรวยไม่ก่อทุกข์ก่อภัย
ตอนแรกมนุษย์พยายามอยากจะรวยกันก็เพื่อตัวเอง  แต่ต่อมาก็เพื่อจะได้ไปเปรียบกับคนอื่นแล้วภูมิใจกว่า  เพื่อจะได้ยืนกับคนอื่นแล้วรู้สึกสง่างามกว่า จริงไหม ตอนแรกก็บอกเพื่อตน เพื่อความสบาย แต่ถึงเวลามีเงินแล้วแต่เทียบกับคนที่มีทอง ภูมิใจไหม (ไม่)  ฉะนั้นถึงที่สุดมนุษย์เรามีเงินเพื่ออะไร บางทีตอนแรกเราบอกว่ามีเงินเพื่อดูแลชีวิต แต่ไปๆ มาๆ เรากลายเป็นมีเงินเพื่อเอาไว้ข่มผู้อื่น เพื่อรู้สึกว่าขับรถคันใหญ่ๆ โก้กว่าผู้อื่น เพื่อเรียนสูงๆ แล้วมีหน้ามีตากว่าผู้อื่น ใช่หรือไม่ ฉะนั้นเราอย่าบิดเบือน จึงบอกว่าเกียรติยศเป็นสิ่งที่น่ากลัว เมื่อใครหวังจะมีเกียรติยศมีชื่อเสียงจะไม่มีวันมีตาแล้วใช้มองเห็นได้อย่างแท้จริง มีหูแล้วได้ยินเสียงอย่างถูกต้อง มีจิตใจแต่ไม่สามารถดำเนินชีวิตตามจิตใจได้อย่างอิสรเสรี เพราะเกียรติยศมันบังคับ ทำให้เราไม่สามารถเห็นคนได้อย่างแท้จริง ฟังคนได้อย่างแจ่มชัด จริงหรือไม่
ธรรมเป็นสิ่งที่ต้องรู้ตื่นเอง ปฏิบัติเองและแจ้งเอง เราเป็นแค่ผู้ชี้ทาง ส่วนคนที่จะรู้แจ้งและเห็นจริงคือคนที่นำสิ่งนั้นไปปฏิบัติ อย่าลืมที่เราบอกท่านตั้งแต่ต้นว่า “ธรรมะคือรากฐานความเป็นจริงของชีวิต” เราอยากเรียนรู้ชีวิตแล้วนำพาชีวิตให้ถูกต้อง แต่ถ้าเราไม่ศึกษาหลักธรรมเราจะนำพาชีวิตและเรียนรู้ชีวิตได้ถูกต้องได้อย่างไร อย่ามองเห็นธรรมเป็นเรื่องภายนอก อย่ามองเห็นธรรมเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับชีวิต  ถ้าเราศึกษาให้กระจ่าง จะเห็นว่าแท้จริงแล้วธรรมเกี่ยวกับชีวิตโดยตรง เป็นรากฐานของความเป็นคนและเป็นความสัมพันธ์ในการอยู่ร่วมกับคน จริงหรือไม่ (จริง)
อย่าลืมนะว่า “ถ้าเริ่มต้นดีก็มีชัยไปกว่าครึ่ง” ฉะนั้นสิ่งที่เราพูดวันนี้คือการวางรากฐานจิตใจของตนให้ถูกต้อง ถ้ามนุษย์มีความคิดที่ผิด การดำเนินชีวิตก็ผิดพลาด  ถ้ามนุษย์มีความยึดมั่นที่ไม่ถูกต้อง ชีวิตก็สามารถอับจนหนทางได้  ฉะนั้นเราจงวางชีวิตให้อยู่ในความถูกต้องด้วยการใช้คุณธรรมเป็นหลักในการดำเนินชีวิต ทำได้หรือเปล่า (ทำได้)
สิ่งที่เราบอกนั้นคือ ห่วงภายนอกทั้งสี่ ต้องรู้จักปล่อย รู้จักวางบ้างเพราะถึงเวลาแม้เราจะห่วงลูกห่วงหลานขนาดไหน เราสร้างสมบัติเราทำให้ชีวิตมีเกียรติยศชื่อเสียง แต่ถึงเวลาลูกไม่รักษาเกียรติยศชื่อเสียงด้วยตัวเอง สมบัติที่เราสร้าง ชื่อเสียงที่เราปูมาก็มีวันเสื่อมหายและหมดได้ เราจึงดูแลเขาได้แค่ช่วงขณะหนึ่ง ถึงเวลาเราก็ต้องปล่อยเขาไปตามทาง ชีวิตก็เหมือนกันเป็นของเราแค่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ถึงเวลาเราก็ต้องปล่อยไปตามความเป็นไป แล้วความเป็นไปที่ว่านั้น เราพร้อมที่จะปล่อยกันหรือยัง ปล่อยลงไหม ไม่ลงใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นทำไมเราถึงบอกว่าว่างๆ จงมาฟังธรรมและมาปฏิบัติธรรม เพราะทำให้มนุษย์นั้นรู้จักปล่อยวางความยึดมั่น ปล่อยวางในหน้าที่ ปล่อยวางในทรัพย์สิน แล้วมาทำสิ่งที่แท้จริงคือการรู้จักตน  วันนี้เรามาฟังธรรมะไม่ใช่มาทำความรู้จักคนอื่น แต่เพื่อรู้จักตนเองให้แท้จริงยิ่งขึ้น แล้วสิ่งที่เป็นสิ่งที่แท้จริงของตัวคนนั่นก็คือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และว่างเปล่า
ฉะนั้นเรามาเพื่อยึดติดหรือมาเพื่อปล่อยวาง (ปล่อยวาง)  ยึดก่อนแต่ถึงเวลาก็ต้องปล่อย จริงไหม (จริง)  บอกให้ท่านปล่อยเลย ท่านทำได้ไหม (ไม่ได้)  เอามาแล้วก็ต้องปล่อยวางเป็น เห็นมือไหม ที่เรียกว่าชีวิตเพราะขยับได้ทุกทิศทุกทาง แต่ไร้ชีวิตเพราะอ้าแล้วไม่หุบ หุบแล้วอ้าไม่ได้ แล้วใจของเราเป็นอย่างนี้ไหม หุบแล้วอ้าไม่ได้ อ้าแล้วหุบไม่ได้ พลิกไปซ้ายไปขวาไม่คล่องแคล่ว เพราะความยึดมั่นถือมั่นที่ผิดๆ ที่ทำให้เราไม่สามารถมีชีวิตแล้วเปิดกว้างเรียนรู้สรรพสิ่งและเห็นแจ้งสรรพสิ่งได้อย่างถ่องแท้
วันนี้เราคงมาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านเท่านี้ ประโยคสุดท้ายเราทิ้งไว้ให้ทุกท่าน เจอคนไม่เข้าที่ไม่เข้าทาง ความผิดพลาดเป็นเรื่องของมนุษย์ แต่การรู้จักให้อภัยเป็นนิสัยของเทวดา และผู้มีใจสูงส่ง
ฉะนั้นอยู่ในโลกนี้หรือมาฟังธรรมวันนี้เจอใครไม่เข้าที่ไม่เข้าทางอยากเป็นมนุษย์หรืออยากเป็นเทวดา (เป็นเทวดา)  วันนี้กินก๋วยเตี๋ยว อร่อยไหม กินข้าวอร่อยไหม (อร่อย)  ถ้าหงุดหงิดกับเรื่องกินข้าวเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้ไม่ไหวแล้ว อย่าติดในรสชาติมากเกินไป อยู่เรียบง่าย อะไรๆ ก็ทนได้ อะไรๆ ก็รับไหว นี่แหละคือจิตใจของผู้ใฝ่สูง
วันนี้เราคงต้องไปแล้ว ปล่อยได้ก็ปล่อย วางได้ก็วาง สร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามเพื่อคนอื่นบ้าง อย่าปล่อยให้ความเห็นแก่ตนทำลายคุณค่าความเป็นคนในชีวิตเลย รวยแล้วได้อะไรถ้าแล้งน้ำใจ สู้จนแล้วมีน้ำใจช่วยเหลือคนอื่นดีกว่า เก่งกล้าสามารถแต่เห็นใครโง่ๆ ก็ดูถูกเขา อย่างนี้จะเก่งไปทำไม เราเก่งแล้วแต่เวลาสอนคนอื่นแล้วเขาเรียนรู้ได้ช้า เราหงุดหงิด รำคาญ และโกรธไหม (หงุดหงิด, รำคาญ, โกรธ)  ถ้าท่านเก่งแล้วไปดูถูกคน เหยียดหยามคน ก็สู้เป็นคนโง่ดีกว่า ไม่เคยดูถูกใคร ยอมรับได้ทุกแบบ
วันนี้เราคงมาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านเพียงแค่นี้ ถึงเวลาเราก็คงต้องไป ชีวิตไม่แน่นอน จงยอมรับให้ได้แม้โลกจะพลิกผันแปรเปลี่ยนไปขนาดไหนก็ตาม เพราะนั่นแหละเรียกว่าชีวิต จะเกิดจะตายก็ไม่กลัว เพราะเข้าใจแล้วว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร ทำดีที่สุดแล้ว ชีวิตก็ไม่ต้องกลัวตาย จริงหรือไม่ (จริง)






วันอาทิตย์ที่ ๓๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

คนไม่บำเพ็ญเห็นคนบำเพ็ญง่าย คนบำเพ็ญเห็นคนบำเพ็ญยาก
ส่องกระจกเห็นผู้ปฏิบัติธรรมง่าย ส่องนัยน์ตาเห็นผู้ปฏิบัติธรรมยาก
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถานไท่อิน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักตื่นหรือยัง

ติดอยู่ในคิดในดวงจิต อยู่ในวันวาน  ลืมปัจจุบันหัวใจทำงาน ใจคนอยู่ไหน แค่คนติดคิดเล่ามาเรื่องเดิม ทำใจดีไหม ติดกับดักคิดวนเวียนเรื่องเก่า  ไม่ทนแก่ไหว ปีกกางไม่ไหว(ไหว) สองคนเรื่องมา
เกิดเป็นนักคิด กาวต่อติดอยู่ในสมอง น้ำพรายพร่างฟอง  ถือเป็นเรื่องราวหลักหลักไม่ได้  เป็นศิษย์ช่างคิดยากยิ่งจะสุขบรรลุจุดหมาย เกิดมาต้องแพ้ ต้องแพ้ให้เป็น  พลิกผืนจิตใจ ฉลาดด้านที่ทำลาย กลับกลายเป็นโทษทันควัน
* บำเพ็ญฝัน วาดเอามีแต่ยังคิด  ลงแรงอีกนิด ชีวิตถึงได้สุขสันต์   เผยจากภายในคิดพูดดีทำมีความกวดขัน   ความทุกข์ไม่มีชนชั้น บำเพ็ญต่างกันก็เปล่า
 ** จะยากแค่ไหนอันดับหนึ่งต้องให้เวลา จงใช้ปัญญาเห็นว่าง่ายดายอาจอยู่ที่เก่า ฝึกดังหยดน้ำที่ไม่หยุดหย่อน  กัดกร่อนความเฉา  ต้องฝึกหัดคิด เรื่องแย่เรื่องหนัก เรื่องเดิมอย่าเหมา  ให้ธรรมเปิดฟ้าใจเรา ที่คิดเหลือ เหลือแค่กังวล
ชื่อเพลง คนกรุงคิดมาก
ทำนองเพลง  มีคนเหงารออยู่เบอร์นี้

(หมายเหตุ : เพลงพระโอวาทย่อหน้าแรกมาจากพระโอวาทซ้อนพระโอวาท
คำว่า “เวลา โอกาส คำพูด”)
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อาจารย์ขอถามศิษย์ว่า เราเกิดมาทำไม (เกิดมาใช้กรรม)  ใช้กรรมดีหรือกรรมไม่ดี (กรรมไม่ดี)  ศิษย์เคยได้ยินไหมว่าคนที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ต้องมีกรรมดีกับกรรมชั่วเท่าๆ กัน แล้วศิษย์คิดว่าศิษย์ใช้กรรมดีหรือกรรมชั่วอยู่ตอนนี้ ใช้ทั้งสองอย่างเลยใช่หรือไม่ แต่อาจารย์ว่าศิษย์ใช้กรรมดีมากกว่ากรรมชั่ว
เราเคยคิดจะสร้างกรรมต่อไหม (ไม่สร้าง)  แค่คิดไม่ให้อภัยเขาก็คือการจองเวรแล้ว เป็นการสร้างกรรมชั่วโดยไม่รู้ตัว ฉะนั้นถ้ามนุษย์รู้ว่าเรามาจากไหน เราก็จะรู้ว่าเราต้องไปที่ใด ถ้ามนุษย์รู้ว่าเราควรตายอย่างไร เราก็จะเข้าใจว่าชีวิตเกิดมาเพื่ออะไร แต่ถามศิษย์ตอนนี้ศิษย์รู้ไหมว่าศิษย์มาจากไหน มาจากบ้าน ถูกไหม (ถูก)  ถึงเวลาแล้วศิษย์ก็ต้องกลับบ้าน กายนี้มีบ้านแล้วจิตนี้มีบ้านเดิมไหม (มี)  บ้านเดิมอยู่ที่ไหน ข้างบนหรือข้างล่าง ฉะนั้นการทำอะไรก็ตามที่ทำให้จิตใสเบาบริสุทธิ์ก็คือการกลับคืนข้างบน แต่การกระทำที่อะไรหนัก น่ารังเกียจ ขุ่นมัว นั่นก็คือการลงข้างล่าง อาจารย์บอกว่าถ้าเรารู้ว่าเราจะตายอย่างไร เราก็จะรู้ว่าเรามีชีวิตเพื่ออะไร
แต่ตอนนี้ศิษย์รู้หรือยังว่าศิษย์จะตายอย่างไร ใครๆ ก็รู้ว่าเกิดมาต้องตาย แต่ตายอย่างไรรู้ไหม  เรามีชีวิตอยู่เพื่อหายใจไปวันๆ หรือว่ามีชีวิตอยู่เพื่อตอบสนองกิเลสตัณหา หรือมีชีวิตอยู่เพื่อรู้จักให้และแบ่งปัน การให้ที่ประเสริฐที่สุดเหนือการให้ทั้งมวลก็คือ “การให้ธรรม ชนะการให้ทั้งมวล” ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราเป็นแบบไหน
จริงๆ แล้วมนุษย์ตายเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือการกลับไปสู่ความว่าง แต่วิธีการตายที่เดินไปสู่ความว่างอาจจะแตกต่างกัน ฉะนั้นถ้ามนุษย์รู้ว่าคนทุกคนตายก็คือการเดินกลับไปสู่ความว่าง แล้วเราจะรู้ว่าเรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร แล้วตอนนี้ศิษย์รู้หรือยัง ชีวิตนี้จะรอดไปได้อย่างไรถ้ายังไม่รู้อะไรเลย ใช่ไหม (ใช่)  เคยคิดไหมว่าชีวิตเป็นอย่างไร เดี๋ยววันนี้ดี เดี๋ยววันนี้ร้าย เราอยากให้ชีวิตอยู่ในกำมือเรา หรือปล่อยให้ฟ้าลิขิต (ฟ้าลิขิต)   แน่ใจหรืออยากให้ฟ้าลิขิต เวลาที่ฟ้าลิขิตให้ร้อน เราบอก “ไม่ได้ ต้องเปิดแอร์ให้เย็น” ใช่ไหม (ใช่)  ไม่มีใครตามใจฟ้าจริงๆ ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้น ถ้ามนุษย์รู้ว่าตัวเองมาจากไหน มนุษย์ก็จะรู้ว่าตัวเองจะกลับไปที่ใด ถ้ามนุษย์รู้ว่าตัวเองจะตายอย่างไร ก็จะเข้าใจได้ว่าเรามีชีวิตอยู่ควรทำสิ่งใด วันนี้อาจารย์รู้ว่าศิษย์มาจากหลายที่ ไม่ว่าจะมาจากเหนือใต้ออกตก ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือคนต่างประเทศ สิ่งเดียวที่เหมือนกันและสามารถผูกสัมพันธ์กันได้ คือหัวใจแห่งธรรม ทุกคนมีเหมือนกันหมดคือหัวใจแห่งธรรม จะต่างกันตรงที่จิตสำนึกในธรรมมากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง ถ้ามองกันในความเป็นคนแล้ว เราจะทำลายกันลงหรือ แต่ถ้ามนุษย์บอกว่า
“นี่ ไม่ใช่คนไทยไม่ต้องรัก” พอไม่มีคนต่างประเทศแล้วเหลือแต่คนไทย ก็บอกว่า “คนนี้ไม่ใช่คนภาคใต้ไม่ต้องสนใจ” เราแบ่งแยกแค่นี้ไม่พอ พอเหลือแต่คนภาคใต้ ก็แบ่งว่า “คนนี้ไม่ใช่คนบ้านเราไม่ต้องไปสนใจ”
พอถึงเวลาเห็นแก่ตัวมากๆ จิตมโนธรรมต่ำลงๆ คนนี้ไม่ใช่ลูกหลานเราไม่ต้องสนใจ พอถึงเวลาลูกหลานก็คิดว่าพ่อแม่ทำให้ฉันทุกข์ ฉันก็ไม่ไปสนใจ ห่วงตัวเองก็พอ ถูกหรือไม่ (ถูก)  พอจิตมโนธรรมสำนึกเราต่ำลงๆ ตัวเราเองก็คือคนที่ตัดตัวเองออกจากสังคมและผู้คน ฉะนั้นเราศึกษาธรรมเพื่อทำให้เรารู้ว่าทุกคนมีหัวใจเดียวกันได้ ขอเพียงมีจิตสำนึกแห่งคุณธรรมที่ดีงาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนที่ศิษย์มักจะถามอาจารย์เสมอ “เกิดมาเป็นคนทำไมต้องเป็นคนดี” เป็นคนดีนั้นเหนื่อยมาก จริงหรือไม่ (จริง)  ศิษย์มักจะพูดว่า “ทำไมต้องเป็นคนดีล่ะ เวลาจะดีสักทีก็เหนื่อยเหลือเกิน” แต่อาจารย์ถามศิษย์ ถ้ามีเสื้อตัวใหม่กับเสื้อตัวเก่า ศิษย์ใส่ตัวไหน (ตัวใหม่)  มีแอปเปิ้ลดีกับแอปเปิ้ลเสีย ศิษย์จะกินแอปเปิ้ลลูกไหน (แอปเปิ้ลดี)  มีคนดีกับคนร้ายเลือกคนไหน (คนดี)  คำว่า “ดี” เมื่อไปเติมอะไรก็เหมือนมีพลังที่ทำให้รู้สึกว่าดี ศิษย์เข้าใจแล้ว ใช่ไหม คำว่า “ดี” เมื่อไปเติมอะไร อย่างเช่น ศิษย์ดี เราก็รู้สึกดีใช่ไหม (ใช่)  เสื้อธรรมดาแต่เสื้อตัวนี้ดี ศิษย์รู้สึกสนใจทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความดีมีพลังอย่างหนึ่งที่อาจารย์อยากบอกว่าทำไมทุกคนถึงต้องทำ อีกอย่างหนึ่ง จิตของมนุษย์มีพื้นฐานเดิมที่ว่า “หนีจากความดีไม่ได้” เลือกผลไม้ก็ต้องเลือกดีที่สุด พลังแห่งความดีดึงดูดให้เราต้องทำดีอยู่เสมอ นั่นก็คือหัวใจเรารักความดี ใช่ไหม (ใช่)  แล้วหัวใจของเรามีนิสัยอยู่อย่างหนึ่งที่ศิษย์ต้องระวังคือ เมื่อคิดดีต้องรีบทำทันที ถ้าช้า ลังเล รีรอ ใจก็จะไม่เอาเลย จริงไหม (จริง)  เย็นนี้อยากไปทำบุญ แต่พอสักพักหนึ่ง เริ่มลังเล เดี๋ยวต้องตื่นแต่เช้า กับข้าวก็ยังไม่ซื้อ ศิษย์ก็จะเปลี่ยนใจไม่ทำบุญทันที จริงไหม (จริง)  ฉะนั้น ถ้าเมื่อไหร่เราอยากทำดีจงรีบทำทันที เพราะไม่อย่างนั้นใจของมนุษย์จะง่ายที่จะน้อมลงสู่ที่ต่ำ และจากที่คิดจะทำดีก็กลายเป็นไม่ทำเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นแม้หัวใจมนุษย์จะเรียกร้องว่า “ทำดีเถอะๆ” พอทำดีไปสักพักหนึ่ง ความดีนั้นก็เกิดพลัง แต่สิ่งชั่วร้ายศิษย์ไม่เคยตัดทิ้ง เกิดพลังเสร็จเจอความชั่วร้าย ศิษย์ก็เริ่มรู้สึกเหนื่อย ท้อและเบื่อ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ศิษย์อย่าลืมนะว่า คนที่รู้จักสั่งสมความดีบ่อยๆ ความดีจะหนุนนำให้เขาได้ขึ้นสู่สวรรค์ ใช่ไหม (ใช่)  แต่อย่าลืมว่า แม้จะทำดีขนาดไหนแต่เมล็ดพันธุ์แห่งความชั่วศิษย์ไม่เคยตัดทิ้ง แม้จะขึ้นสวรรค์แต่ถ้าเมล็ดพันธุ์แห่งความชั่วยังเต็มหัวใจอยู่ สวรรค์ก็กลายเป็นนรกได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น พุทธะจึงพยายามอยากสอนให้มนุษย์รู้ว่า ถ้าจะทำดีให้ถูกต้อง ควรทำอย่างไร ด้านหนึ่งทำความดี อีกด้านหนึ่งพยายามลดละความชั่ว สิ่งที่ทำร้ายความดีมากที่สุดนั่นก็คือ ความชั่ว และความชั่วมีบ่อเกิดมาจากกิเลส ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าตัดกิเลสสิ้น ความชั่วไม่มีความดีก็คงเจิดจรัส ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วมนุษย์จะสามารถตัดกิเลสได้ด้วยอะไร (ปัญญา, ไม่ยึดติด, ธรรมะและความยึดติด, ความอยาก, สติ, ใช้ธรรมะ)  จริงๆ มีคนตอบอาจารย์ถูกแล้วนะ อะไรที่จะสามารถช่วยให้เราตัดกิเลสแล้วความชั่วไม่บังเกิด ความดีเจิดจรัสขึ้นมาอีกหน อย่าลืมว่ากิเลสเหมือนฝุ่น เหมือนธุลี เหมือนเมฆหมอก เมื่อไรที่ครอบงำจิตใจจะทำให้จิตใจนั้นขุ่นมัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราก็เลยหันมานั่งสมาธิเพื่อทำให้จิตใจนั้นว่างและตัดกิเลส ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ใช่การนั่งสมาธิไหม (ไม่ใช่)  นั่งสมาธิทำใจให้ว่างจะได้ไม่มีอะไรมาครอบงำจิตใจ แต่พอลุกจากสมาธิเจอคนด่าก็โมโหใหม่ ใช่ไหม แล้วใช้อะไร (สติ, บำเพ็ญปฏิบัติธรรม)
เมื่อวานท่านหลี่เถียไกว่มา ท่านบอกว่าท่านอัปลักษณ์ที่สุดใช่ไหม อาจารย์ว่าอาจารย์อัปลักษณ์กว่านะ ผอม แห้ง ใส่เสื้อขาดๆ ตัวก็เหม็นๆ น้ำก็ไม่ค่อยอาบ อาจารย์ว่าอาจารย์อัปลักษณ์ที่สุด แข่งกันเพื่อสวย แข่งกันเพื่อดี แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แข่งกันว่าใครอัปลักษณ์ที่สุด เพราะจิตที่อยู่ต่ำที่สุดจึงสามารถน้อมนำสรรพสิ่งได้อย่างแท้จริง
ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม อยากนั่งไหม (อยาก) การเลี้ยงลูกตามใจก็ไม่ดีใช่ไหม (ใช่)  เพราะถ้าเลี้ยงลูกแบบตามใจแล้วจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว เอาแต่ใจตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์บอกอยากนั่ง อาจารย์จะให้ยืน ถ้าศิษย์บอกอยากยืน อาจารย์จะให้นั่ง ตอนนี้อาจารย์ถามอยากยืนหรืออยากนั่ง (อยากยืน)  แต่อาจารย์บอกแล้วว่าถ้าเลี้ยงลูกตามใจทำให้ลูกเป็นอย่างไร (ดื้อ)  บางครั้งก็ต้องสอนให้ลูกรู้จักสิ่งที่ขัดใจบ้าง ตามใจเกินไปก็เอาแต่ใจใช่ไหม (ใช่)  ในสิ่งที่ร้ายที่สุดยังมีสิ่งที่ดีที่สุดและในสิ่งที่มีคุณที่สุดก็ยังมีโทษมากที่สุด ฉะนั้นอยากจะหล่อหลอมทองให้สุกปลั่งก็ต้องใช้การตบและการตีถูกหรือไม่
ผู้บำเพ็ญเพราะเป็นคนบำเพ็ญได้ดีก็ต้องผ่านการขัดผ่านการเคี่ยวกรำ เมื่อสักครู่อาจารย์เฉลยคำตอบว่าคือสติ ทำเราให้รู้เท่าทันความคิดที่เข้ามาครอบงำจิตใจ ถ้าตามด้วยปัญญาจะทำให้เราเห็นแจ้ง ถ้าตามด้วยมโนธรรมจะทำให้เรารู้จักยับยั้งผิดชอบชั่วดี ถ้าตามด้วยเมตตาธรรมจะทำให้เรารู้จักเห็นใจสงสารคนอื่น ฉะนั้นสติกอปรด้วยเมตตา กอปรด้วยปัญญา กอปรด้วยมโนธรรมสำนึก กอปรด้วยจริยธรรม มนุษย์จะไม่สามารถทำผิดบาปให้เกิดขึ้นกับชีวิตตนได้ แต่บางครั้งเราทำอะไรโดยขาดสติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ความหมายของจิตว่างที่แท้จริงก็คือ การไม่ปล่อยจิตไปตามอารมณ์กิเลสที่ถูกครอบงำ การนั่งสมาธิทำให้จิตว่าง แต่ถ้าศิษย์ไม่สามารถมีสติตลอดเวลา ถึงเวลาลืมตา การนั่งสมาธินั้นก็เปล่าประโยชน์ เพราะการเข้าถึงความว่างที่แท้จริง ก็คือการมีสติรู้เท่าทันจิตที่ถูกครอบงำด้วยกิเลสอารมณ์ที่มองเห็น ที่ได้ยิน ที่สัมผัส ที่รู้สึก เมื่อเห็นตอนนี้มีสติ คิดอยู่ว่าเห็นแล้ว ทำให้เรามีเมตตาไหม ทำให้เราขาดมโนธรรมสำนึกความเป็นคนไหม เห็นแล้วทำให้เรากลายเป็นคนพูดมากเสียคำสัตย์ไหม เห็นแล้วทำให้เราขาดจริยธรรมไหม ฉะนั้นสู้ไม่เห็นดีกว่า พูดแล้วกลายเป็นคนแล้งน้ำใจ พูดแล้วเหมือนคนไม่มีปัญญา ควรพูดไหม
ฉะนั้นถ้ามนุษย์ทำอะไรอย่างมีสติควบคู่ไปกับคุณธรรมทั้งห้า มนุษย์จะสามารถดำเนินชีวิตอย่างไม่ผิดพลาดและก่อเรื่องเลวร้ายให้ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ฉะนั้นสิ่งที่อาจารย์พูดว่าคุณธรรมทั้งห้า ก็คือการมีศีล เมตตาก็คือการไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ผิดลูกผิดเมียก็คือ (จริยธรรม)  แล้วเรามีสติ มีธรรมไหม (มี)  ตอนไม่เกิดอะไรก็มี แต่พอเกิดก็ไม่มี ใช่ไหม เพราะไม่รู้หายไปไหน ใช่หรือเปล่าศิษย์ เมื่อศิษย์สามารถสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามได้ สิ่งที่ยากต่อไปอีกอย่างหนึ่งก็คือ การรักษาความดีให้คงอยู่กับตัวเราไปตลอดก็เป็นเรื่องที่ยากขึ้นไปอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะสามารถรักษาความดีให้อยู่กับเราตลอดได้ด้วย (ความไม่ประมาท)  มีสติรู้เท่าทันและไม่นิ่งนอนใจ ไม่ประมาทตนเอง ตราบที่ไม่สิ้นกิเลสจะไม่นอนใจในการควบคุมดูแลชีวิตตน นั่นก็คือการไม่ประมาทนั่นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อวานท่านแปดเซียนก็บอกไว้คนประมาทคือคนที่มีชีวิตใกล้กับความตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วชีวิตมีอีกอย่างหนึ่งที่ตอนนี้ศิษย์ก็เป็นกัน นั่นก็คือช่างทุกข์ ทุกข์ได้ทุกเรื่อง ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เคยได้ยินคำว่า “มนุษย์อยู่กับความทุกข์” ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหยุดคิดสักนิดหนึ่ง เปลี่ยนความคิดชีวิตก็เปลี่ยน  อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ มีคนบอกให้ศิษย์เดินตรงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสุดกำแพงนั้น ศิษย์จะเดินต่อไหม (ไม่เดิน)  
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายในชั้นคนหนึ่งออกมาทำท่าเดินตรงไปเรื่อยๆ จนเจอกำแพง) ศิษย์ทำอย่างไร (เดินย้อนกลับ) ทำไมตอนนี้คิดได้ แต่ถึงเวลาเจอทุกข์แล้วกลับยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์   ศิษย์คิดปล่อยไหม (ไม่ปล่อย)  เมื่อไรจะหันหลังกลับ ยังมีการเจาะกำแพงปีนกำแพง ถ้าปีนกำแพงไปเจอหน้าผาก็กระโดดลงไป เป็นอย่างนั้นไหม เหมือนความรักถ้ารักแล้วไม่สมหวัง ฝ่ากำแพงไปแล้วเจอเหว ก็ฆ่าตัวตายเลยอย่างนั้นถูกต้องไหม (ไม่ถูก)  แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม (ไม่เป็น)  เป็น  ฉะนั้นศิษย์จำไว้ว่าทุกข์แก้ได้ด้วยการหยุดคิด เปลี่ยนความคิดชีวิตก็เปลี่ยน  
(พระอาจารย์เมตตานั่งที่เก้าอี้ของนักเรียนชายที่ลุกออกไปแสดงท่าเดิน แล้วให้นักเรียนชายท่านนั้นไปนั่งที่เก้าอี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์แทน)
ไปนั่งโน่นแล้วกันนะอาจารย์จะนั่งที่ตรงนี้แทน เอาไหม (ไม่เอา) ทำไมล่ะ (คิดไม่เป็น)  ก็หัดคิดให้เป็น เหมือนกันบางทีถ้าศิษย์รู้ว่าไม่เหมาะกับศิษย์ ถ้ารู้ว่าหวังแบบนั้นแล้วไม่ใช่ เหมือนอาจารย์นั่งเก้าอี้ตรงนี้ แล้วบอกให้ศิษย์ไปนั่งเก้าอี้ตรงโน้น ลึกๆ อยากไปนั่งไหม (ไม่อยาก)  บางคนอยากแต่นั่งแล้วมันร้อน บางคนก็อยาก ทั้งที่บางทีรู้ว่าไม่เหมาะกับตัว  
ยกตัวอย่างง่ายๆ บางคนที่รู้ว่าความสามารถไม่ถึงแต่ก็ยังอยากเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ เป็นคนที่คนอื่นนับถือ ถามว่าเวลานั่งแล้วเป็นสุขไหม (ไม่เป็นสุข)  ศิษย์อยากให้คนเคารพ อยากนั่งที่ใหญ่ๆ อยากนั่งที่สูงๆ กว่าคนอื่น ตอนแรกนั่งก็มีสุขดี แต่พอเริ่มมีคนยกมือไหว้ ก็เริ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เพราะความเป็นตัวของเราไปไม่ถึง ทุกข์ของมนุษย์ที่บางครั้งยังทุกข์อยู่เพราะต้องคอยระวังสิ่งที่เกินเอื้อมไป ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์หยุดคิดเปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยน ความทุกข์แก้ไม่ยาก แต่ต้องมองตัวเองให้ออก ดังที่อาจารย์จะบอกว่า ถ้ามนุษย์รู้จักเหตุก็จะทุกข์น้อยลง ถ้ามนุษย์สามารถหยุดเหตุได้ทุกข์ของมนุษย์ก็จะไม่มี จะรู้ได้อย่างไรว่าทุกข์นั้นเกิดจากไหน ไม่ใช่ดูคนอื่น แล้วก็ไปโทษว่าเขาเป็นต้นเหตุ แต่ต้องหันกลับมาดูที่ตัวเราเองว่าทุกข์เพราะอะไร แล้วจะดับทุกข์ที่ไหน
มนุษย์ทุกข์เพราะอะไร (ทุกข์เพราะกิเลส, ความอยาก, ความโลภ, ตนเอง, ไม่ยอมปล่อยวาง, อยากได้สิ่งที่เกินตน, ยึดติดอวิชชา, อยากได้อยากมี, อยากได้ของสูง)  ศิษย์เอ๋ยสิ่งที่สูงที่สุดก็คือสิ่งที่ต่ำที่สุด (ทุกข์เพราะอยากดีอยากเด่นกว่าเขา, มีตัวตน)  ตัวตนอะไรที่ทุกข์เหลือเกิน (ตัวตนที่ไม่รู้จักพอ, เป้าหมายของชีวิตไม่ชัดเจน, ไม่ปล่อยวาง, ความโลภ, ความหลง)
(ทุกข์เพราะความห่วง, ทุกข์เพราะขาดสติ, ทุกข์เพราะความหลง, ไม่สมหวัง, โกรธแล้วไม่ให้อภัย, ทุกข์เพราะอยากรวย, ทุกข์เพราะไม่ให้อภัยตนเอง, ทุกข์เพราะไม่ทันคิด, ทุกข์เพราะรู้ว่าไม่ดีก็ยังทำ, ไม่รู้จักพอ, ทุกข์เพราะความเห็นแก่ตัว, สูญเสียของที่รัก, ทุกข์เพราะลูกหลาน, ทุกข์เพราะความทุกข์ตัวเอง, ทุกข์เพราะตัณหา, ทุกข์เพราะผิดหวัง, ทุกข์เพราะไม่มีสุข, ทุกข์เพราะลูกหลาน, ทุกข์เพราะผิดหวัง, โลภ โกรธ หลง)  
ทุกข์เพราะมีตัวตนที่ไม่รู้จักพอ เช่นดื่มน้ำแล้วก็ต้องดื่มน้ำอีก หิวแล้วก็ต้องหิวอีก แต่ไม่ใช่หิวเวลาเดียวกันบ่อยๆ ไม่เช่นนั้นจะท้องแตกได้ มนุษย์ทุกข์เพราะตัวตน เพราะความที่มีตัวตนก็เลยมีของๆ ตน ตัวตนนี้แท้จริงคือความว่างเปล่า หรือที่พุทธะเรียกว่า รูปกับนาม กายเรียกว่า “รูป” ใจหรือจิตเรียกว่า “นาม” เราพยายามหาทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อมาสนองให้กับรูปที่ว่างเปล่าและนามที่ไม่มี แล้วของที่เราหามาได้และพยายามยื้อยุดให้มาเป็นของๆ เรานี้ นั่นคือการยืมเขามาใช้ทั้งนั้น ถึงเวลาเราต้องคืนเขาไป ถ้าเราคิดอย่างนี้เราจะโลภไหม (ไม่โลภ)  อาจารย์จึงไม่เข้าใจจริงๆ รู้ขนาดนี้แล้วถามว่ายังอยากไหม อยาก ทุกข์ไหม ก็ยังทุกข์เพราะตัวตน
ชีวิตของเรา เราสามารถครอบครองอะไรได้บ้าง มีสิ่งเดียวที่เราสามารถครอบครองได้ ก็คือ ปัจจุบัน ชั่วขณะนี้ ตอนนี้ แม้ศิษย์จะจำได้ว่าศิษย์มีเงินในธนาคารเท่าไร แต่อาจารย์ขอถามว่าถ้าวันหนึ่งธนาคารนั้นล้มละลาย เงินที่ศิษย์บอกว่าเป็นของศิษย์ ศิษย์เอามาได้ไหม (ไม่ได้) แม้จะมีเงินมหาศาล แต่เมื่อถึงเวลาแล้วศิษย์จะสามารถพกเงินมหาศาลนั้นไปกับตัวตลอดเวลาได้ไหม (ไม่ได้)  แม้ศิษย์จะมีรถหรูๆ โก้ๆ หลายคันแต่ถึงเวลาศิษย์ขับได้กี่คัน (คันเดียว)  ศิษย์มีเสื้อผ้าสวยๆ กี่ชุด (มากมาย)  แล้วใส่ได้กี่ชุด (ชุดเดียว)  แล้วเอาไปได้กี่ชุด (เอาไปไม่ได้เลย)
ฉะนั้นคิดให้ดีๆ ขณะนี้สิ่งที่อยู่กับศิษย์และสำคัญกับศิษย์ที่สุดคือ “เวลาตอนนี้” ถึงศิษย์จะบอกว่าศิษย์มีเงินมากมาย แต่เงินมากมายตอนนี้ช่วยให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้)  แม้เงินสิบบาทตอนนี้ทำให้ศิษย์มีสุขและยิ้มได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่ได้เท่ากับความดี เพราะความดีนึกถึงเมื่อไรก็ปิติสุขเมื่อนั้น แต่เงินเมื่อนึกถึงเมื่อไรก็กังวลเมื่อนั้น ฉะนั้นต้นเหตุแห่งทุกข์ที่แท้จริงก็คือมีตัวตนและมีของๆ ตน ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงว่า ตัวตนนั้นไม่มี ของนั้นไม่ใช่ของตน เราจะทุกข์กับสิ่งนี้ไหม
แล้วเราจะโลภไปเพื่ออะไร เพราะตัวตนนี้อยู่ยาก กินยาก  เรื่องมากด้วย ใช่ไหม (ใช่)  ทั้งที่ถึงเวลากินก็แค่อิ่ม แต่ต้องไปร้านหรูๆ ต้องไปภัตตาคาร ใช่ไหม (ใช่)  กินข้างถนนเป็นไหม (เป็น)  แต่พอกินข้างถนนบ่อยๆ กินข้าวในบ้านเป็นไหม (ไม่เป็น)  
มนุษย์เป็นผู้สรรหาความยุ่งยากให้กับชีวิต อาจารย์จึงบอกว่าบางครั้งต้องกลับไปสู่ความเรียบง่าย แล้วทุกข์จะน้อยลงไป ความทุกข์อีกอย่างที่อาจารย์อยากบอกก็คือ เมื่อเราเจอทุกข์แล้วไม่ยึดมั่นในทุกข์ เราก็จะเห็นหนทางดับทุกข์
เราจะรู้ว่าจริงๆ  แล้วทุกข์มันก็คือความธรรมดาที่เกิดขึ้นชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น เช่นศิษย์ไม่เคยเจ็บแล้วตอนนี้เกิดเจ็บขึ้นมาศิษย์ทุกข์ไหม (ทุกข์)  มีใครไม่เจ็บ มีใครไม่พลัดพรากไหม มีใครไม่โดนด่าไหม มีใครไม่โดนว่าไหม แต่พอคำว่า คำด่า ความเจ็บ ความพลัดพราก มาเฉียดหัวศิษย์นิดเดียวก็ทุกข์เหลือเกินใช่ไหม (ใช่)  แท้ที่จริงแล้วภูเขาไม่หวั่นแรงลมได้ แต่ภูเขาพอเจอลมนิดหน่อยสั่นทั้งตัวและหัวใจเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคิดให้ดีๆ  แล้วเราจะรู้ว่าจริงๆ  แล้วอาจจะไม่ทุกข์ก็ได้หรือที่เราทุกข์ใครๆ  ก็ทุกข์ทั้งนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นวิธีที่เราจะดับทุกข์ในโลกนี้ก็คือ จงจำไว้เมื่อปัญหามากระทบตัวกระทบใจ เรามีสิทธิ์เลือกได้ว่าจะเอามาอยู่กับใจหรือตัดมันออกไปจากใจ ไม่ใช่ปัญหามา กิเลสมาก็ไปตามหมดเลย อย่างนั้นถูกไหม (ไม่ถูก)  เมื่อปัญหามา กิเลสมา ความทุกข์มา ตั้งสติให้ดีเรามีสิทธิ์เลือกได้ เลือกว่าจะเอาหรือไม่เอา เลือกว่าจะเป็นนายหรือตกเป็นทาส ถ้าเรารู้จักควบคุมได้ก็ไม่ยากเลยที่จะควบคุมใจเรา มนุษย์ควบคุมคนอื่นได้ตั้งเยอะ ชี้สั่งคนได้ตั้งเยอะ แต่ตัวเองสั่งตัวเองกลับไม่ได้เลยใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมนักเรียนชายในชั้นคนหนึ่งที่แต่งตัวทันสมัย กางเกงเอวต่ำ)
แต่งตัวแบบนี้เป็นแฟชั่น ใช่ไหม ถ้าถามพ่อแม่ว่าลูกเป็นแบบนี้เป็นปัญหาไหม ถ้าเขาไปอยู่กับเด็กรุ่นเดียวกันแต่งตัวแบบนี้ก็จะไม่ใช่ปัญหา แต่ตัวเรานั่นแหละที่เป็นปัญหา เขาก็จะบอกว่า “แม่ไม่เข้าใจเลย นี่ไม่ใช่ปัญหา แต่แม่นั่นแหละมีปัญหา” ฉะนั้นเปิดใจกว้างนะศิษย์แม้ว่าเขาจะเป็นอย่างนี้ก็ตาม ถึงลูกแต่งตัวอย่างไรไม่ว่า ขอเพียงแต่ให้ลูกเป็นคนดีก็พอ สอนแค่นี้ก็ได้ เราควบคุมทุกอย่างของคนบนโลกไม่ได้ เหมือนอย่างที่เราควบคุมชีวิตให้เป็นเหมือนดังที่ใจเรานึกไม่ได้ แม้ฟันจะเป็นอย่างนี้ กางเกงจะเป็นอย่างนี้ หรือแม้จะเดินหรือยืนอย่างนี้ก็ต้อง (ทำใจ)  เพราะอันนี้ไม่ใช่ปัญหา เมื่อไรที่เราคิดว่าอันนี้คือปัญหา ตัวเรานั้นแหละที่คือตัวปัญหา
เวลาใกล้จะหมดแล้วนะ อาจารย์อยากบอกศิษย์ว่า ในโลกแห่งความทุกข์นี้ ขอให้ศิษย์อย่าได้กลัว จงกล้าที่จะเผชิญความทุกข์ในทุกรูปแบบด้วยสติปัญญา อย่าปล่อยให้จิตของตัวเองถูกความทุกข์ครอบงำจนแยกแยะไม่ออกซึ่งผิดถูกดีชั่ว คุณธรรมมโนธรรมสำนึกเลือนหายไปเพียงเพราะอารมณ์ที่มากระทบจิตกระทบใจ การบำเพ็ญธรรมก็คือ บำเพ็ญตอนที่มีอารมณ์มากระทบ มีคนมาว่า ศิษย์ทำใจไม่ให้โกรธได้ไหม ศิษย์ทำใจให้รู้เท่าทันกิเลสที่มากระทบได้ไหม ถ้าศิษย์สามารถทำใจเท่าทัน ไม่ปล่อยให้กิเลสครอบงำ รู้คิด รู้แจ้ง รู้ทัน กิเลสอารมณ์ก็ไม่สามารถที่จะนำพาจิตเราให้ตกต่ำได้ และชั่วขณะนั้นเอง เราก็สามารถพลิกเรื่องร้ายให้เป็นเรื่องดี ตัดการเวียนว่ายตายเกิดด้วยการไม่ก่อเมล็ดพันธุ์แห่งความโลภ โกรธ หลงให้อยู่ในใจ บำเพ็ญธรรมไม่ใช่เข้าสถานธรรม เข้าวัดแล้วถึงบำเพ็ญนะ แต่บำเพ็ญคือบำเพ็ญทุกขณะจิตที่โดนอะไรมากระทบใจ ถ้าเขาด่าว่า “ไอ้บ้า” ช่วงขณะนั้นศิษย์คิดอย่างไร มีสติไหม มีสติแล้วคิดแบบไหน คิดเท่าทัน (ทำใจ) ใจอะไร ใจที่มีเมตตา ใจที่มีมโนธรรมสำนึก ใจที่ละอายเกรงกลัวต่อบาป ใจที่รู้จักคุณธรรม แล้วจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  เมื่อไม่โกรธ ศิษย์สามารถหยุดยั้งเมล็ดพันธุ์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้ ศิษย์สามารถเพิ่มหน่อเนื้อแห่งธรรมให้เกิดขึ้นในใจได้  ฉะนั้น จำคำอาจารย์ให้ดีๆ นะ บำเพ็ญธรรมไม่ใช่แค่มาไหว้พระถึงจะบำเพ็ญ แต่เราสามารถบำเพ็ญได้ทุกๆ ที่ เพราะจิตของมนุษย์ไม่ใช่ถังขยะที่รับทุกสิ่งทุกอย่าง เราเป็นอย่างนั้นไหม  ทิ้งทุกอย่างลงไปในใจ สิ่งดีก็ทิ้ง สิ่งไม่ดีก็ทิ้ง แล้วถึงเวลามันเน่าขึ้นมา หน้าเราก็เหยเกใช่ไหม แต่จริงๆ แล้วจิตของมนุษย์ที่แท้จริงคืออะไร ศิษย์เคยรู้ไหม (ความว่างเปล่า)  ถ้าพูดว่า “ความว่างเปล่า” ศิษย์ก็คงนึกไม่ออก อย่างนั้นอาจารย์เปรียบเทียบง่ายๆ จิตของมนุษย์สามารถเหมือนฟ้าได้ ตัวของมนุษย์สามารถเลียนแบบดินได้ นั่นคืออดทน หนักแน่น รองรับทุกสิ่ง ใจเปิดกว้างแจ่มกระจ่าง เมื่อฟ้ากับดินรวมกันจึงเกิดสรรพสิ่ง  ฉะนั้นเมื่อใจกับกายรวมกันจึงเกิดสิ่งที่ดีงาม  แต่ใจนั้นต้องแจ่มกระจ่าง ตัวดินนั้นต้องหนักแน่นไม่หวั่นไหว เมื่อฟ้าแจ่มกระจ่างจึงเกิดความบริสุทธิ์ เมื่อดินหนักแน่นไม่หวั่นไหวจึงเกิดมหาธรรม และเมื่อฟ้าและดินรวมตัวกันจึงเกิดสรรพสิ่งและชีวิตที่แท้จริง อาจารย์พูดธรรมะง่ายๆ เยอะแล้ว ตอนนี้อาจารย์พูดสรุปยากๆ แต่เข้าใจไม่ยาก ถ้าศิษย์ลองพินิจพิจารณา
จิตของมนุษย์คือฟ้า ร่างกายของมนุษย์ไม่ต่างอะไรกับดิน เมื่อฟ้ากระจ่าง สว่าง และเป็นหนึ่ง ดินสงบ หนักแน่น ไม่หวั่นไหว เมื่อฟ้าและดินรวมกันเป็นหนึ่ง จึงสามารถสร้างสิ่งต่างๆ ได้ พอเข้าใจไหม (เข้าใจ)  แต่จิตของมนุษย์ไม่กระจ่าง หมองมัวเพราะกิเลส หม่นหมองและเปลี่ยนแปลงเพราะถูกอารมณ์ครอบงำ ศิษย์คงเคยเห็นฟ้า ตอนที่ดวงอาทิตย์มีเมฆมาบดบัง ฟ้าก็จะหม่นหมอง เช่นเดียวกันเมื่อไรที่มีกิเลสมาครอบงำจิตใจ ศิษย์ก็ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อย่างแจ่มชัด ฉะนั้นจิตในขณะนั้นเหมือนฟ้าไหม ทุกวันตื่นมาศิษย์ต้องมองฟ้าก่อน เมื่อมองฟ้าแล้วก็ต้องหันมามองใจเรา
เรามีชีวิตเพื่อเวียนว่ายตายเกิดครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อทุกข์แล้วก็ทุกข์อีกเท่านั้นหรือ ทุกข์หนึ่งครั้งศิษย์รู้สึกว่าเจ็บปวดไหม (เจ็บปวด)  ทุกข์สองถึงสามครั้ง ทุกข์บ่อยๆ เจ็บปวดไหม (เจ็บปวด)  ศิษย์ทุกข์เพราะโลภ โกรธ หลง ศิษย์ตัดเหตุแห่งทุกข์ หรือตัดโลภ โกรธ หลง ด้วยสติปัญญา ศิษย์จึงจะไม่ก่อเกิดเมล็ดพันธุ์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดอีก เราโกรธแล้วเราได้อะไร ความโกรธคือความยึดมั่น ความโกรธคือการก่อการเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น ทุกข์มามากแล้ว หันหลังกลับมาแล้วจะพบกับความสุขที่แท้จริง ศิษย์ก็เหมือนกัน ทุกข์มามากแล้ว เมื่อไรจะหาทางพ้นทุกข์ การยึดมั่นถือมั่นได้อะไร THE TRUTH IS NOT DEMONSTRABLE. ความจริงไม่สามารถพิสูจน์ได้ GOD HELPS THOSE WHO HELP THEMSELVES พระเจ้าช่วยคนที่รู้จักช่วยตัวเอง

(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “เวลา โอกาส คำพูด”)
นี่เป็นสามอย่างที่ไม่มีใครแย่งศิษย์ไปได้ ขอให้รักษาให้ดี เวลาของศิษย์มีแค่ขณะนี้ขณะเดียว ศิษย์แน่ใจหรือว่าศิษย์จะมีอนาคต ถ้าปัจจุบันไม่ทำให้ดีที่สุด ถูกไหม
ศิษย์น่าจะรู้ว่าศิษย์ยังมีลูกหลานมีชีวิตที่ดีงาม ถ้าตอนนี้ศิษย์ไม่ทำตัวเองให้ดี ลูกหลานก็อาจจะไม่เอาก็ได้จริงไหม (จริง)  ศิษย์น่าจะรู้ว่าตอนนี้ศิษย์มีเงินมากมาย แต่วันหนึ่งเงินที่ศิษย์บอกว่ามากมายนั้นก็สามารถหายไปในพริบตาได้ ฉะนั้นเวลาและโอกาสจึงมีแค่ปัจจุบันและขณะนี้ ส่วนคำพูดขอให้ระมัดระวัง พูดน้อยหน่อยก็ไม่เป็นอะไร คำพูดขอให้พิจารณา 4 อย่าง
1. พูดแล้วเป็นจริงไหม
2. พูดแล้วดีไหม
3. พูดแล้วสมานไมตรีไหม
4. พูดแล้วพูดเพราะไหม
ถ้าครบสี่อย่างนี้ควรพูด แต่ถ้าไม่ครบสี่อย่างนี้อย่าพยายามพูดเลยเพราะพูดไปแล้วก็ทำร้ายตัวเองเปล่าๆ  ใช่หรือไม่ (ใช่)  
อาจารย์ก็คงต้องกลับแล้ว เหนื่อยไหม หน้าตาเปื้อนทุกข์เหลือเกินศิษย์ของอาจารย์ทุกคน เข้มแข็งหน่อยนะ ชีวิตบางคนยังมีอีกยาว ความทุกข์ยังมีอีกเยอะ แต่ขอให้มีสติกล้าหาญที่จะต่อสู้กับทุกสิ่ง มีสติปัญญาของตัวเอง อาจารย์ยังให้กำลังใจศิษย์อยู่ บางทีอาจารย์ก็เห็นศิษย์ท้อเพราะว่าที่ควรคิดศิษย์ไม่คิด บางทีชีวิตก็เป็นไปตามกรรมของศิษย์ แต่อาจารย์อยากจะบอกว่าถ้าคิดได้ปลงตก ปล่อยวางสิ่งที่ทุกข์มันก็อาจจะไม่ใช่ทุกข์เลยก็ได้
ถ้าไม่ศรัทธาอาจารย์ก็ขอให้ศรัทธาตนเอง  
ถ้าจะให้บรรลุความตั้งใจ แต่ยังเชื่อไม่ถึงที่สุดก็ยากที่จะทำได้นะ เลือกทำสิ่งที่ถูกต้องอย่าทำผิดบ่อย ๆ  เข้าใจไหม คิดดีพูดดีและทำสิ่งที่ถูกต้องด้วยจิตใจที่เมตตา ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนดีที่เมตตาอย่างแท้จริงได้ ขอเพียงงดอัตตาตัวตน ผิดบ้างโดนว่าบ้างไม่เป็นไร เริ่มลงมือปฏิบัติได้บ้างนะ กลับมาช่วยอาจารย์ได้ไหม มีโอกาสกลับมานะ ให้จบสักทีนะ รู้ใช่ไหมอาจารย์จะพูดอะไรศิษย์ดื้อ
ไหวไหมอยู่ที่หัวใจของเรา ถ้าไหวก็สำเร็จถ้าไม่ไหวก็ไม่สำเร็จนะ ต้องเข้มแข็งไว้ งานของอาจารย์ งานฟ้าต้องพึ่งศิษย์อีกเยอะ เพื่อช่วยผู้อื่นอย่าท้ออดทนเข้มแข็ง อย่ามัวหลงกับทางโลกมากอย่าดูเบาความสามารถตัวเอง
ปาดน้ำตาแล้วกลับมาเข้มแข็งเหมือนเดิมใช่ไหม ไปแล้วนะ

เชื่อยากใช่ไหม มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีกนะ ศิษย์นะ อาจารย์ไม่เคยทิ้งศิษย์ กลัวอย่างเดียวศิษย์ทิ้งอาจารย์ ใช่ไหม

พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท  “เวลา โอกาส คำพูด”
มีสามอย่างเมื่อผ่านพ้นล่วงเลย แล้วไม่เคยเรียกคืนกลับมาได้
คือโอกาสเวลาคำพูดทั้งหลาย ต้องรู้ใช้คุณอเนกอนันต์

ติดอยู่ในคิดในดวงจิตอยู่ในวันวาน ลืมปัจจุบันหัวใจทำงานใจคนอยู่ไหน แค่คนติด
คิดเล่ามาเรื่องเดิม ทำใจดีไหม ติดกับดักคิดวนเวียนเรื่องเก่า ไม่ทนแก่ไหว ปีกกางไม่ไหว
สองคนเรื่องมา



อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา