วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552

2552-12-12 สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง จ. อุตรดิตถ์


西元二○○九年嵗次己丑十月二十六日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒ สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง จ. อุตรดิตถ์
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

อย่าออมแรงในการฝึกบำเพ็ญ ความเคยชินทั้งหลายเร่งรู้ลดละ
การฝึกฝนขาดไม่ได้ซึ่งมุมานะ เมื่อพูดจะทำจะทำเมื่อไหร่ทำ

เราคือ
หนึ่งในแปดเซียน หลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซิ่ง แฝงกายกตัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

ถ้าหากใจไม่ปล่อยวางไม่ขัดเกลา ชีวิตเล่าตัวเองอย่างเนื้อติดกระดูก
ห้อมล้อมหลังล้อมหน้าใจคือทุกข์ ย่างเข้าทุกข์หน้าเขตขอบรอบกังวล
ใช้หัวตามองไปไม่วอกแวก ธรรมใดเล่าเหมือนแปลกอย่าไปสน
อวิชชาเป็นแดนทุกข์แห่งคนสร้างตน มองแต่หน้าจ้องสนนไม่สุขจริง
คนเหมือนทุกข์ไม่ได้ทุกข์แล้วร้อน ทุกข์เตือนเราอาจสอนได้ทุกสิ่ง
ทิ้งงานเล่นบรรเทาความเครียดไม่จริง ทุกข์แม้ยิ่งแผดเผาเราเชาวน์ยิ่งมา
โศกทุกข์พบชีวินกลายติดดินง่าย คนรู้ค่าทุกข์ให้คุณเสมอหนา
สุขมามักยากจะปลงได้นา ทุกข์สอนคราก่อนเจียนจะขาดใจ
อย่าเป็นทุกข์ด้วยประชดตัวตนเอง ฉลาดเก่งสิ้นเรื่องยากไม่สิ้นไส้
หาทุกข์กินทำตัวเมื่อปล่อยใจ เป็นเพราะไม่อาจจะชินบำเพ็ญธรรม
มองไปเจอตาจ้องเราอยู่ก่อน กิเลสโลกหินเต็มวอนวางตัวต่ำ
บำเพ็ญจิตชำระใจจงหมั่นฟังธรรม สิ่งที่ทำขัดเกลาเสมอคือตัวตน

ฮา ฮา  หยุด


พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ


ชีวิตมนุษย์มีแต่ความเร่งรีบ รีบร้อนอยู่เสมอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาทำอะไรก็ต้องให้ได้ไวๆ แต่เราอาจจะลืมไปว่าการอดทนรอคอยก็มีคุณค่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราเคยอดทนรอคอยอะไรได้บ้างไหม เหมือนเวลาอยากจะคุยอะไรแล้วก็ต้องให้ได้คุยทันทีใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนเวลาอยากจะไปไหน ก็ต้องให้เร็วที่สุด ถึงให้ไวที่สุด แต่ถ้าไม่มียานพาหนะ ไม่มีอุปกรณ์ในการสื่อสาร เราจะทำอย่างไร คงอึดอัดใจกันมากแน่ๆ เลย ถ้ามีรถแล้วใช้รถไม่ได้ มีอุปกรณ์สื่อสารแต่สื่อสารได้ไม่เป็น ถึงจะได้ไว ได้เร็วก็ไม่มีประโยชน์
บางครั้งความอดทนไม่ใช่ใช้กับคนที่ยากทน แต่บางครั้งใช้สำหรับการรอโอกาสบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  โอกาสที่เราคิดว่าจะมีหรือไม่ แต่ไม่แน่ก็อาจจะมี ถ้าเรารู้จักใจเย็นๆ สักหน่อย เหมือนวันนี้คนเก่าๆ และผู้ปฏิบัติงานธรรมคงจะรู้สึกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์คงจะไม่มาแล้ว แต่นักเรียนคงไม่รู้สึก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้ามีสุขเวลาผ่านไปเร็ว แต่ถ้ามีทุกข์เวลาคงผ่านไปอย่าง (ช้า)  แล้ววันนี้เวลาผ่านไปเร็วหรือช้า (เร็ว)  ยังมีคนตอบว่าช้าเป็นธรรมดา เพราะเราไม่เคยนั่งฟังทั้งวันแบบนี้ เราไม่เคยต้องอดทนนานขนาดนี้ ฉะนั้นวันนี้ท่านลองปรบมือให้กับตนเองที่อดทนมาได้หนึ่งวัน รู้สึกว่าเราก็เก่งไม่ใช่ย่อยเลย การให้กำลังใจตัวเองบางครั้งก็เป็นส่วนที่ทำให้เรามีพลังในการต่อสู้ การคิดแต่ท้อถอยเสียอกเสียใจ กลับทำให้พลังในการต่อสู้หมดแรงลงไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นชีวิตบางครั้งต้องรู้จักคิดให้ดีคิดให้เป็นแล้วจะมีสุขได้ และจะมีกำลังใจในการต่อสู้ชีวิตได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าคิดให้ดีคิดให้เป็นไม่ได้ เราก็คือคนที่ต้องจมอยู่กับความทุกข์ไม่มีวันพบความสุขได้เลย
เมื่อพูดจะทำจะทำเมื่อไหร่ธรรม
เป็นอย่างนั้นไหม มนุษย์ก็รู้สิ่งใดที่ดี เราก็ควรรู้จักที่จะฟังเข้าไว้เยอะๆ เพื่อสร้างสรรค์ความรู้ความสามารถให้ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไมรู้ว่าการฟังธรรมะดี แต่เวลาบอกว่าจะมาจะมาแต่ถึงเวลาก็ (ไม่มา)  จะทำจะทำ แต่ถึงเวลาก็ (ไม่ทำ) ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นแค่รู้จึงไม่มีประโยชน์ถ้ารู้แล้วไม่ (ได้ทำ) เมื่อยกันหรือยัง (ไม่เมื่อย)  เมื่อยที่จะยืน หรือเมื่อยที่จะนั่ง หรือไม่ว่ายืน ไม่ว่านั่งก็เมื่อยได้ทั้งนั้น ถ้าตอนนี้ให้ท่านเลือกว่าระหว่างเมื่อยที่จะนั่ง กับเมื่อยที่จะยืน ท่านจะเลือกแบบไหน เลือกว่าจะยอมเมื่อยที่จะยืน หรือเมื่อยที่จะนั่งดี ว่าอย่างไร (เมื่อยที่จะยืน, เมื่อยที่จะนั่ง)  เพราะเมื่อยที่จะนั่งมาเต็มที่แล้ว ตอนนี้ก็เลยขอที่จะยืนเพื่อเมื่อย ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  อย่างนั้นวันนี้อยากจะเมื่อยที่จะนั่ง หรือเมื่อยที่จะยืน (ยืน)  ท่านนั่งฟังตั้งแต่เช้าจนกระทั่งถึงตอนนี้ ท่านเบื่อที่จะนั่ง อยากออกไปยืนเพื่อยืดเส้นยืดสาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ว่าจะนั่งหรือจะยืนก็ล้วนมีอาการเมื่อยได้ทั้งนั้น จริงไหม (จริง)  อย่าคิดว่าเป็นตรงนี้แล้วแย่กว่าตรงนั้น บางทีไม่แน่ว่าตรงนี้หรือตรงนั้นก็อาจจะแย่ทั้งคู่ก็ได้ มนุษย์ชอบเป็นอย่างนี้ ถูกไหม (ถูก)  นั่งตรงนี้แต่คิดถึงการยืนตรงนั้น เป็นคนตอนนี้แต่มักจะชอบคิดถึงการเป็นคนยิ่งกว่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความทุกข์จึงเกิดเพราะแค่ความคิดที่ไม่ยอมรับสภาพที่ตัวเองเป็น จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเราคิดให้ดี คิดให้เป็นอย่างที่เราพูด นั่งเมื่อยตอนนี้หรือยืนเมื่อยตอนนี้ก็เมื่อยเหมือนกัน บางครั้งเราคิดว่า เป็นคนตอนนี้สู้เป็นคนแบบนั้นไม่ได้ แต่พอถึงแล้วทำแล้ว ทำจนแล้วจนรอด พยายามเป็นให้ได้อย่างคนแบบนั้น ก็ทุกข์ไม่ต่างกับเราที่เคยเป็นแบบนี้ จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นถ้าเกิดเราไม่เคยพึงพอใจ ไม่สามารถมีสุขกับการนั่งนี้ได้ ความทุกข์ก็เป็นอันหาได้ง่ายในชีวิตนี้ อย่างที่มนุษย์ชอบพูดว่า “มนุษย์ทุกข์เพราะความคิด” ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความทุกข์เป็นสิ่งแรกเริ่มที่ไม่มีใครอยากมี และเป็นสิ่งสุดท้ายที่ทุกคนต้องมี ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์จึงพยายามแสวงหาความสุขเพื่อหนีความทุกข์ แต่ถ้าเราเข้าใจความทุกข์แล้วสามารถจัดการกับความทุกข์ได้ ความสุขไม่ต้องไปหา เมื่อเข้าใจความทุกข์ ทุกข์ก็จะเปลี่ยนเป็นสุขได้ทันที เพราะชีวิตก็คือความทุกข์ ถ้าเข้าใจชีวิตก็เข้าใจความทุกข์ ฉะนั้นการมุ่งแสวงหาความสุขโดยที่ไม่เข้าใจความทุกข์ ก็เท่ากับเรากำลังหลอกตัวเอง หนีความจริง
วันนี้ท่านนั่งฟังธรรมะทุกข์เหลือเกิน แต่เมื่อท่านกลับไปอยู่บ้านทุกข์ไหม มนุษย์เราพออยู่บ้าน เราก็บอกว่าทุกข์เหลือเกิน ออกไปข้างนอกเผื่อจะ (สบาย)  แต่พอได้ออกไปข้างนอกจึงรู้ว่าทุกข์เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นก่อนจะหนีความทุกข์สู้เรียนรู้และเข้าใจทุกข์ให้ถูกต้องไม่ดีกว่าหรือ จริงไหม (จริง)  ความสุขไม่ต้องดิ้นรนก็จะมาหาเราเอง เพราะเราเข้าใจว่าทุกข์คืออะไร ตอนนี้อยากยืนอย่างเป็นทุกข์หรืออยากนั่งอย่างเป็นทุกข์ (นั่ง, ยืน)  ไม่ว่าท่านยืนหรือนั่ง ถ้าทำนานๆ ก็สามารถบังเกิดความทุกข์ได้ถ้าคิดไม่เป็น จริงไหม (จริง)  อย่างนั้นตอนนี้อยากนั่งอย่างมีความทุกข์หรืออยากยืนอย่างมีความทุกข์ (อยากนั่งอย่างมีความทุกข์)  ไม่คิดช่วยตัวเองหรือ ใครชี้นำไปอย่างไร ท่านก็เดินตามอย่างนั้นเลยหรือ ทำไมไม่พูดว่า อยากยืนก็อยากมีความสุข นั่งก็อยากมีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตนี้จะสุขหรือทุกข์ไม่ใช่ผู้อื่นกำหนด แต่ล้วนอยู่ที่ตัวเรา ถ้าเข้าใจชีวิตใครจะพูดชม ใครจะพูดว่า ก็ทำร้ายท่านไม่ได้ แต่ถ้าท่านไม่เข้าใจชีวิต ไม่เข้าใจตัวเอง ใครชมก็ดีใจ ใครว่าก็เศร้าใจ อย่างนั้นจะปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามคนชมคนว่าอีกสักกี่ครั้งกันเล่า
ชีวิตเราอยู่ที่ตัวเราเองดีกว่าไปอยู่ที่ใจของคนอื่นใช่ไหม ฉะนั้นตอนนี้อยากนั่งอย่างมีสุขหรืออยากนั่งอย่างมีทุกข์ (อยากนั่งอย่างมีสุข)  อยากยืนอย่างเป็นทุกข์หรืออยากยืนอย่างเป็นสุข (อยากยืนอย่างเป็นสุข)  ถ้าอย่างนั้นไม่ว่าท่านจะนั่งหรือจะยืนก็สามารถมีความสุขได้ เพราะขึ้นชื่อว่ามนุษย์เดี๋ยวดีใจเดี๋ยวเสียใจ เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ ล้วนเป็นอารมณ์ที่เรียกว่า “มนุษย์ปุถุชน” ใช่หรือไม่ ถ้าไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ให้ดีก็อาจทำให้คนอื่นบงการชี้นิ้วใช้ได้ และถ้าไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ดีอารมณ์นี้ก็อาจจะย้อนกลับมาทำร้ายให้เราเจ็บปวดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้ท่านอยากยืนหรืออยากนั่งดี (อยากนั่ง)  นั่งก็ดีไม่นั่งก็ดีใช่ไหม
มนุษย์นั้นหนีไม่พ้นเรื่องอารมณ์ บางครั้งดีใจก็ปล่อยไปตามอารมณ์ดีใจ เสียใจก็ปล่อยไปตามอารมณ์เสียใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีคำกล่าวคำหนึ่งว่า “มนุษย์ถ้าปราศจากผม แม้จะสระผมหรือไม่สระผมสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยก็มาทำอันตรายไม่ได้ เพราะไม่มีผมให้อาศัย” เหมือนกับจิตใจถ้าพ้นจากอารมณ์ ตัดขาดจากการปรุงแต่ง ความทุกข์จะมากล้ำกรายชีวิตไม่ได้ เข้าใจความหมายนี้ไหม (เข้าใจ)  เมื่อไรมนุษย์สามารถรู้จักควบคุมตัวเองได้ ไม่ให้ชีวิตปล่อยไปตามอารมณ์การปรุงแต่ง มนุษย์ก็จะสามารถควบคุมไม่ให้ทุกข์มาทำอะไรชีวิตได้ และเราสามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ไหม ค่อนข้างยากใช่ไหม (ใช่)  ถ้าจิตเป็นสิ่งที่ข่มได้ยาก ง่ายที่จะเปลี่ยนแปลง และง่ายที่จะลื่นไหลไปตามอารมณ์ที่ตัวเองชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าปล่อยไปตามอารมณ์ตลอด ไม่รู้จักควบคุมก็ไม่ดีใช่ไหม
ฉะนั้นเราจึงต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ให้ดี เพื่อไม่ให้อารมณ์ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเรา แล้วการควบคุมให้ดีมีประโยชน์อย่างไร ท่านเคยเห็นไหม น้ำยิ่งใสใจยิ่งเย็น ยิ่งสะท้อนให้เห็นธาตุแท้ของสรรพสิ่งได้อย่างแจ่มชัด จิตใจเมื่อเผชิญปัญหาใดๆ ก็ตาม รู้จักสงบ รู้จักสุขุม รู้จักใจเย็น ย่อมสามารถสะท้อนให้เห็นถึงสติปัญญาความสามารถ และธาตุแท้ของสรรพสิ่งได้ อย่างแจ่มชัด จริงหรือไม่ (จริง)
ฉะนั้นคุณประโยชน์ของการนิ่ง จึงสามารถทำให้เรามองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ อย่างไม่บิดเบือน แต่การปล่อยตัวเองไปตามอารมณ์กิเลสมักง่ายที่จะถูกบดบังและครอบงำทำให้เราหลงผิดได้ จริงหรือไม่ (จริง)  
มนุษย์ทุกคนล้วนมีจุดอ่อน ถ้าไม่รู้จักควบคุมจุดอ่อนให้ดี จุดอ่อนนี้จะวกกลับมาทำร้ายตัวเรา และจุดอ่อนที่มนุษย์มีกันทุกคนก็คือ “ความสงสาร” ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเมื่อไรเราสงสารตัวเองก็ฟังใครไม่รู้เรื่อง เหมือนตอนนี้ถ้านั่งแล้วรู้สึกว่า “เมื่อยเหลือเกิน ทำไมตัวเองเหนื่อยเหลือเกิน” คนพูดธรรมะแม้จะดีขนาดไหน ก็ฟังไม่รู้เรื่อง ฉันใดก็ฉันนั้นมนุษย์เราเมื่ออยู่ในโลกถ้าสงสารตัวเองมากก็จะไม่คิดสงสารใคร ถ้าเห็นใจตัวเองมากก็จะไม่เห็นใจใคร ถ้ารักตัวเองมากก็จะไม่รักใคร ฉะนั้นจุดอ่อนของมนุษย์ทุกคนที่มีเหมือนกันก็คือ “ความขี้สงสาร” ถ้าสงสารตัวเองรักตัวเอง เราก็จะกลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัวได้ง่าย จริงหรือเปล่า (จริง)
ถ้าเรารู้จักสงสารผู้อื่น เห็นใจผู้อื่น อย่างน้อยเราก็จะเป็นคนที่ฟังคนอื่นรู้เรื่องบ้าง หรืออย่างมากก็คือ เมื่อเวลาเราสงสารผู้อื่น รักผู้อื่นมากกว่าตัวเอง เราจะกลายเป็นคนที่ยอมทำให้ผู้อื่นสบายทุกๆ อย่าง แม้ตัวเองจะลำบากก็ตาม จริงไหม (จริง)  การทำแบบนี้อาจจะกลายเป็นการบ่มเพาะ การไม่สู้ความลำบากให้กับคนที่ตัวเองรักก็เป็นได้ จริงไหม (จริง)  มนุษย์ขี้สงสารกับคนสองแบบ หนึ่งคือตัวเอง สองคือลูกหลานและคนที่ตัวเองรัก ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าสงสารลูกหลานหรือคนที่ตัวเองรักมากจนตัวเองทำทุกอย่างให้เขาหมด ไม่ให้เขาลำบากเลย การสงสารแบบนี้ก็เป็นสิ่งที่ดี แต่อาจจะทำให้เขาลำบากไม่เป็น และบ่มเพาะนิสัยเสียให้เกิดขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอย่าได้มีจุดอ่อนขี้สงสารแบบผิดๆ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตน และกลายเป็นคนที่ทำให้คนที่เรารักเสียนิสัย จริงหรือไม่ (จริง) แล้วเราเป็นไหม (เป็น)  ชีวิตวนเวียนอยู่กับสองอย่างนี้ ไม่สงสารตัวเอง ก็สงสารลูก แต่สงสารลูกทำให้ลูกหมดทุกอย่าง เท่ากับเรากำลังบ่มเพาะให้เขาลำบากไม่เป็น สู้อะไรไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นสงสารก็ต้องสงสารให้พอเหมาะพอควร ไม่อย่างนั้นแล้วความสงสารจะบ่มเพาะนิสัยที่ผิดๆ ให้เกิดขึ้น จริงหรือไม่ (จริง)
นิสัยอีกอย่างหนึ่งที่มนุษย์ชอบเป็น นั่นคือ “ชอบคนชม” ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้ามีคนชมว่าเก่งจังเลยวันนี้ปรบมือให้ตัวเองหน่อย เห็นยิ้มเป็นแถวเลย มนุษย์ยอมทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง เพียงเพราะว่าคนเขาชมว่าเราทำงานเก่ง จริงไหม (จริง)  ลืมความเหน็ดเหนื่อยไปเลย เพราะเขาบอกว่าเราทำเก่ง มีแต่เราคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้ดี ทำได้เหมาะ เราก็ทำจนหัวไม่วางหางไม่เว้นเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
จุดอ่อนของมนุษย์อีกอย่างหนึ่งที่ต้องระมัดระวังให้ดีก็คือชอบคำชม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครชมเราหน่อยก็ทำให้เขาสุดใจ อย่าลืมว่า คนมุ่งผลประโยชน์อาศัยคำชมเป็นการยืมมือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่ต้องระมัดระวังมากที่สุดนั่นก็คือ เมื่อไรที่ได้รับคำชม เมื่อนั้นจงไตร่ตรองให้จงหนักว่า เขาชมเพราะเขาหวังอะไรในตัวเรา แล้วคำชมนั้นก็จะไม่ก่อให้เกิดพิษแก่ตัวเรา จริงหรือไม่ (จริง)  หรือดั่งที่พระพุทธะกล่าวไว้ว่า “ภูผาไม่หวั่นแรงลม” ถ้ามนุษย์เข้าใจตัวตนและรู้จักดำรงตนให้เป็น คำชมคำว่า “มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ” ก็ไม่สามารถทำให้คนผู้นั้นเปลี่ยนแปลงความเป็นคนที่ดีได้ จริงไหม (จริง)
อีกสิ่งหนึ่งที่มนุษย์ชอบเป็นก็คือ ทำอะไรแล้วถ้ารู้สึกดี ก็ทำให้ถวายหัว แต่ถ้ารู้สึกไม่ดีแล้ว นิดหน่อยก็ไม่คิดที่จะ (ทำ)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อย่าลืมว่า ถูกใจไม่ดีเท่ากับถูกต้อง อย่าเห็นอะไรถูกใจก็ทำๆ แล้วไม่ไตร่ตรอง ไม่อย่างนั้นเราอาจจะถูกใช้โดยง่าย จริงไหม (จริง)  หรือถูกยืมมือใช้ให้ทำผิดได้โดยไม่รู้ตัว และอีกสิ่งหนึ่งที่มนุษย์ชอบเป็นกันก็คือ ทำอะไรแล้วมีประโยชน์ไหม ถ้ามีฉันจะไปทำ ถ้าฉันไม่ได้รับประโยชน์อะไร ฉันก็จะไม่ทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ชีวิตที่ดีที่แท้จริง ใช่ชีวิตที่เกิดจากทำแล้วต้องมีประโยชน์ หรือทำแล้วเราต้องได้หรือ บางครั้งประโยชน์อาจจะไปตกที่ผู้อื่น บางครั้งการได้อาจจะไปอยู่ที่ผู้อื่นก็มีคุณค่าที่ควรทำเหมือนกันไม่ใช่หรือ (ใช่)
แต่มนุษย์ส่วนใหญ่นิสัยไม่ดีอย่างหนึ่งตรงที่ถ้าทำแล้ว ฉันไม่ได้หน้า ถ้าทำแล้วฉันไม่ได้อะไรก็จะไม่ทำ ฉะนั้นเวลาจะยืมมือท่านให้ทำอะไร ก็ต้องพูดถึงแต่สิ่งที่ดี สิ่งที่ไม่ดีอย่าพูด แล้วเราจะใช้เขาได้ แล้วเราจะทำให้เขาเดินหน้าได้ นี่ล้วนเป็นอันตรายอย่างยิ่ง มนุษย์ถูกหลอกลวงก็เพราะผลประโยชน์ทั้งสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีอีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องระวังให้หนักเป็นจุดอ่อนที่ใครๆ ก็มีนั่นก็คือที่มนุษย์ชอบพูดว่าทำอะไรแล้วฉันต้องชนะแพ้ไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ก็เพราะการคิดเอาแต่ชนะที่มักจะก่อให้เกิดภัยและอันตรายตามมาเสมอ ผู้ที่รู้จักชนะได้แพ้ได้จึงเรียกว่าคนที่ดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างแท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์ควรจะระวังและเรียนรู้ตัวเองให้เข้าใจ ทำไมเราถึงพูดจุดอ่อนของท่าน เพราะถ้าเรารู้จุดอ่อนของตัวเอง เข้าใจชีวิตตัวเอง ความทุกข์ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะจัดการและรับมือ แต่ถ้าเราไม่เข้าใจจุดอ่อนตัวเอง ไม่เข้าใจชีวิตตัวเอง ความทุกข์ก็เป็นเรื่องที่เราต้องหนีอยู่ทุกๆ วัน จุดอ่อนของเราคืออะไร (ไม่รู้จักคำว่าพอ) เอาดอกไม้หรือผลไม้ดี (แล้วแต่ท่านเมตตา)  อย่างนั้นเราให้ออกดอกก่อนแล้วค่อยตกผลดีไหม (จุดอ่อนที่กลัวว่า ตัวเองจะไม่เป็นที่รัก)  ถ้าทำดีจนถึงที่สุดแล้ว แม้แต่พระพุทธะยังมีคนเชื่อและคนไม่เชื่อ มีคนชมและคนว่า นับประสาอะไรกับมนุษย์เรา เป็นธรรมดาที่มีคนชมและคนว่า เหมือนดอกไม้ดอกนี้บางคนก็บอกว่าสวย บางคนก็บอกว่าไม่สวย นับประสาอะไรกับเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
(เรื่องที่จะทำแต่ยังไม่ทำ คิดว่าจะทำแต่ก็ยังไม่ได้ทำ)  จุดอ่อนของมนุษย์อีกอย่างหนึ่งก็คือ รู้อะไรดีแต่ไม่ค่อยลงมือทำเสียที ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้จะไม่กล้าทำแต่ก็ลองทำดูดีไหม เริ่มจากเล็กๆ ก่อน แล้วค่อยๆ สะสมเป็นใหญ่
จุดอ่อนอีกอย่างหนึ่งของมนุษย์ที่น่ากลัวคืออะไร ตอนนี้เราให้โอกาสท่านตอบก่อนที่เราจะเฉลย
(ความอิจฉาริษยา)  ความอิจฉาริษยาหรือ อย่างนั้นก็มีให้น้อยๆ หรือพยายามอย่ามีเลยดีไหม คนอื่นได้ดอกไม้ดอกใหญ่ ท่านได้ดอกเล็กสุดคงไม่เสียใจนะ
(ความโกรธ)  ปรบมือให้ท่านนี้หน่อย (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานดอกกุหลาบให้นักเรียนที่ตอบ)  ความโกรธก็เหมือนหนามของดอกกุหลาบ จับให้ดี ถ้าจับไม่ดีจะโดนหนามตำได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์ทุกคนล้วนมีสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ อยากให้คนนี้ทะเลาะกับคนนั้น จะทำอย่างไรให้เขาทะเลาะกัน ก็แค่จับจุดอ่อนที่เขาไม่ชอบ แล้วก็บอกว่าคนนั้นพูดในสิ่งที่ท่านไม่ชอบอย่างนี้ เป็นเรื่องไหม มนุษย์ถ้าไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ให้ดี เราอาจจะถูกบงการให้เราทะเลาะกับคนอื่นได้โดยไม่รู้ตัว จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นอย่ามัวแต่พยายามควบคุมอารมณ์คนอื่น แต่ควรที่จะเรียนรู้ควบคุมอารมณ์ตัวเองและเข้าใจตัวเองให้ได้ก่อน
ปัญหาและความทุกข์ต่างๆ ที่เราพยายามหลีกหนีล้วนเกิดมาจากอารมณ์ที่เรียกว่า “จุดอ่อนของมนุษย์” ทั้งสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าให้ตัวเองโมโหทำอย่างไร ก็ต้องทนในสิ่งที่ยากทน ถ้าทนไม่ได้อารมณ์ก็ระเบิดออกมา จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ถ้าทนได้ ขันติหรือความอดทน
อดกลั้นก็บังเกิด ฉะนั้นชั่วขณะของความคิด ชั่วขณะของอารมณ์ถ้าแย่แล้วเราตอกย้ำให้แย่อีก เราก็คือคนที่ไม่มีวันดีได้เลย แต่ถ้าแย่แล้วเราพยายามคิดให้ดี เราก็คือคนที่สามารถเป็นคนดีคนหนึ่งได้ ถ้าอย่างนั้นเราจะบอกท่านว่า การเป็นคนดีกับการเป็นคนไม่ดีต่างกันตรงไหน ต่างกันแค่เพียงคนดีมีรากฐานแห่งสติสัมปชัญญะ แต่คนไม่ดีมีรากฐานมาจากความไม่รู้ตัวตน ตั้งตนอยู่ในความประมาท อยากเป็นคนดีจึงไม่ยากเลย อยู่ที่เราดำเนินชีวิตมีสติรู้ตัวรู้ตนไหม เพราะคนที่มีสติรู้ตัวตน ย่อมยากที่จะทำผิดคิดร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่คนที่ดำเนินชีวิตอย่างประมาท และปล่อยให้อารมณ์ครอบงำนั้นง่ายที่จะทำผิดและคิดร้าย จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นอยากเป็นคนดีเริ่มต้นคือมีสติรู้ตัวตนหรือยัง ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเรารู้จักควบคุมตัวเอง ควบคุมอารมณ์ของตน ความทุกข์ก็ไม่สามารถที่จะมาทำร้ายจิตใจได้
จริงหรือไม่ (จริง)  นั่งฟังธรรมะนี้ยังเบื่ออีกหรือใช่ไหม สดชื่นไม่ได้
ใช่หรือไม่
ฉะนั้นการจะเข้าถึงธรรมนั่นก็คือ การรู้จักมีสติรู้ตัวรู้ตน เราก็จะสามารถเป็นผู้ที่เข้าถึงธรรมได้ง่าย แต่ผู้ที่ชอบพลั้งเผลอปล่อยชีวิตไปตามอารมณ์กิเลสที่กระทบที่กระเพื่อมไหว ก็ง่ายที่จะขาดธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราขึ้นชื่อว่า “มนุษย์” สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับความเป็นคนและเป็นคนได้ดี นั้นก็คือการรู้จักใจเย็น การทำอะไรถ้าใจร้อนมักจะ (เสีย) เหมือนการนั่งฟังธรรมะในวันนี้อยากจะให้หนึ่งวันนี้จบเร็วๆ และผ่านไปไวๆ
ใช่ไหม ใจร้อนมักไม่ได้ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใจเย็นมักดีกว่า เพราะคนที่มีสติรู้ตัวสม่ำเสมอมีคุณประโยชน์หลายประการรู้ไหม คนที่มีสติรู้ตัวสม่ำเสมอจะเป็นคนที่มีจิตใจแจ่มใส สามารถรู้เท่าทันสภาวะเหตุการณ์รอบตัว และสามารถคาดเดาใจคนได้ ไม่สับสน ไม่กังวล ไม่เป็นทุกข์ เพราะมีความสุขุมและใจเย็น คนที่ยิ่งเย็นได้มากเท่าไหร่จะสามารถมองใจคนได้แจ่มชัดมากเท่านั้น ตัดสินใจได้เด็ดขาดมากเท่านั้น จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นมนุษย์อยากเป็นคนที่ทำอะไรก็ตัดสินใจได้เด็ดขาด อยากมองอะไรก็มองทะลุปรุโปร่ง อย่างนั้นสิ่งที่ไม่ควรขาดไปจากใจก็คือ มีสติและใจเย็นๆ
เพราะความใจเย็นและมีสติจะสามารถทำให้เรามองสรรพสิ่งในโลกนี้ได้ ท่านเคยเห็นน้ำไหม น้ำยิ่งเรียบเท่าไร ยิ่งสามารถสะท้อนสรรพสิ่งได้อย่างแจ่มชัดมากเท่านั้น ฉันใดก็ฉันนั้นจิตใจเมื่อกระทบกับสิ่งใดแล้ว เรารู้จักสุขุมนิ่งและคงความมีสติไว้ เราก็จะสามารถมองสรรพสิ่งได้อย่างถ่องแท้ เห็นทั้งด้านหน้าเห็นทั้งด้านหลัง เห็นทั้งด้านนอกเห็นทั้งด้านใน เห็นทั้งสิ่งที่ดีและสิ่งที่ร้าย ไม่ปล่อยให้ความรู้สึกดีครอบงำจนไม่เห็นร้าย และไม่ปล่อยให้ความรู้สึกร้ายครอบงำจนไม่เห็น (ดี)  จริงหรือไม่ (จริง)  
ฟังไม่รู้เรื่องหลับเลยดีไหม (ไม่ดี)  อย่างนี้เขาเรียกว่าคิดดีไม่ขึ้น
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นฟังไม่รู้เรื่องอย่างไรก็จะพยายาม (ฟัง)  ไม่ใช่ฟังไม่รู้เรื่องก็หลับเลย หรือฟังไม่รู้เรื่องก็ว่าคนพูด ว่าคนชวนเลยได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราแอบว่าคนที่ชวนมาไหม (ไม่ว่า)  ถ้ารักษาดีไม่ได้ก็อย่ากลายเป็นร้าย เพราะน่ากลัวยิ่งนัก
ฉะนั้นถ้าอยากมีทุกข์ก็จงปล่อยเนื้อปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์ ความทุกข์ย่อมเกิดแน่ ถ้าไม่อยากทุกข์ก็จงรู้จักควบคุมอารมณ์ มีคนๆ หนึ่งเวลาดีใจเขาก็ยิ้ม เวลาเสียใจเขาก็ร้องไห้ เจอใครพูดถูกใจก็หัวเราะร่วน เจอใครพูดขัดใจก็ชักสีหน้า คนที่มีชีวิตเช่นนี้น่าอันตรายนะ แล้วมนุษย์ทุกคนล้วนเป็นเช่นนี้ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าไม่อยากถูกเขาใช้ ถ้าไม่อยากถูกความทุกข์ หรืออารมณ์กัดกร่อนจนทำให้ชีวิตต้องแผดเผาอยู่ในความทุกข์จนโงหัวไม่ขึ้น ก็จงรู้จักควบคุมอารมณ์และรู้จักใจ (เย็น)  ยากไหม (ไม่ยาก)  การควบคุมทุกข์ของท่านวันนี้ จึงเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุดสำหรับตัวท่านแล้ว ใช่ไหม (ใช่)
เมื่อเจออะไรขอให้ใจเย็นเข้าไว้ อย่าได้ใจร้อน เมื่อไรที่อารมณ์ความโกรธ ความไม่พอใจมากระทบใจ เราสามารถดึงตัวเองออกจากอารมณ์แล้วค่อยๆ หันกลับไปมองอารมณ์ที่มากระทบได้ไหม ทำไมเราจึงโกรธ ไตร่ตรองให้ดีว่าควรโกรธไหม ทำไมเราจึงบอกว่า ดึงอารมณ์ออกมาก่อน ออกมาจากตัวตนก่อนแล้วหันมองกลับไปใหม่ ทำไมเราจึงอยากว่าเขา เขาไม่ดี เราก็ไม่ดี เขาน่าโมโห เราก็น่าโมโห ใช่ไหม (ใช่)  เพราะเรารักตัวเองเราไม่รักเขา หรือเรารักเขาแบบที่อยากให้เขาเป็นดั่งที่ใจเราคิด แต่เขาไม่เป็น เราจึงโมโหและโกรธ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นอยู่บนโลกมองให้ดีอย่าเข้าข้างตัวเอง อย่าเห็นใจตัวเองแต่เห็นใจผู้อื่นไม่เป็น หรืออย่าเห็นใจผู้อื่นจนลืมเห็นใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นมนุษย์ถึงจะดีขนาดไหน แต่ถ้าจุดอ่อนของตัวเองควบคุมไม่ได้ จุดอ่อนนั้นก็อาจจะก่อให้เกิดความร้ายและความไม่ดีได้ จริงไหม (จริง)  ถ้าเป็นคนดีต้องเป็นคนดีที่ใครว่าก็รับฟัง รับได้ ไม่เป็นคนดีที่ใครก็ว่าไม่ได้ พูดไม่ฟัง อย่างนี้ไม่อาจดีได้อย่างแท้จริง เชื่อมั่นแต่ตัวเอง แต่ไม่เคยเชื่อมั่นใคร อย่างนี้ก็อันตรายและโดดเดี่ยวเป็นแน่แท้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้เรามาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านเพียงแค่นี้ แม้จะได้ดอกไม้ที่สักวันหนึ่งต้องโรยรา แต่ก็อาจจะสะท้อนใจให้เรารู้ว่า ชีวิตของเราก็ไม่ต่างกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าลืมนะว่า มนุษย์ทุกคนมาคนเดียวกลับคนเดียว มัวแต่ห่วงคนอื่นเป็นทุกข์เปล่าๆ นะ แล้วอย่าลืมว่าทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป มีใครในโลกบ้างที่ไม่เปลี่ยนแปลง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการมีสติ รู้ตัวรู้ตนอยู่เสมอ จะช่วยทำให้เรารับความเปลี่ยนแปลงที่ไม่แน่นอนของโลกใบนี้ได้อย่างเข้มแข็ง และมองทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างแจ่มชัด และรู้ว่าตัวเองจะทำตัวอย่างไร เมื่อเจอภาวะที่น่าตกใจ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้น ทำอะไรขอให้มีสติ เพราะสติจะช่วยให้เรารับมือกับเรื่องราวในโลกใบนี้ที่เปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้า ให้เรารู้จักดำเนินชีวิตให้เป็น ไม่เศร้าเสียใจจนเกินไป และไม่ดีใจจนหลงระเริง เพราะโลกนี้ล้วนไม่แน่นอน จริงหรือไม่ (จริง)
วันนี้เราก็คงมาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านแค่นี้ ชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่ยากเกินที่เราจะรับมือและฟันฝ่าให้พบความสุขอันแท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเรารู้จักควบคุมจุดอ่อนของเราให้เป็นด้วยสติ และความใจเย็น ความทุกข์ก็ทำอะไรใจเราไม่ได้หรอก ใช่หรือไม่ อย่างนั้นวันนี้เท่านี้นะ


วันอาทิตย์ที่ ๑๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ทุกข์มา  ทุกข์ไป  เปลี่ยนหมุนเวียนไป  คิดให้ออกถึงทำใจเหมือนไข้สร่างหนา  ใช้ความแน่ใจ  ก้าวพ้นวุ่นวาย  ไม่ติดอะไรต่อกัน
ล้อมหลังล้อมหน้า  ทุกข์ไม่คุ้นตา  เห็นทุกข์คืบมาใจสั่น  ความทุกข์ร้อยเล่ห์เชิงชั้น  เป็นทุกข์ด้วยปากฟาดฟัน  ตื่นเป็นสุขนั้นรอไกล
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซิ่ง  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนเบื่อฟังธรรมะหรือยัง

หากตัวเองยังไม่รักแล้วล่ะก็ การจะขอให้รักใครนั้นคงยาก
คนมักดีกันแค่เพียงลมปาก คนโดยมากรักคือความเห็นแก่ตน
ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุ จากกิเลสจากกุศลบันดาลผล
กำลังแห่งเจตนามักซ่อนกล จิตเวียนวนในความดีนี้ผ่อนคลาย
หากติดขัดเงินทองและเวลา ไม่ติดขัดปัญญาตามขวนขวาย
ย้ายภูเขาที่ยากแต่ทำได้ เรื่องง่ายง่ายคงไม่เหลือถึงมือนา
ทุกเรื่องราวที่ผ่านมาแล้วผ่านไป ไม่เหลือสิ่งใดค้างคาหนา
นำเหตุการณ์มาฝึกสอนชีวา จิตเปรียบเทียบมาทำร้ายใจ
ฮา ฮา หยุด
ล้อมหลังล้อมหน้า  ทุกข์เข้าหัวตามองไปเขตแดนใดเล่า  เหมือนทุกข์จ้องหน้าแต่เรา  เหมือนทุกข์ไม่อาจบรรเทา  เล่นงานแผดเผาชีวิน
พบทุกข์รู้ค่า  ทุกข์ยากมักมา  สอนคราก่อนเจียนจะสิ้น  เป็นทุกข์ด้วยเรื่องทำกิน  ทุกข์เพราะไม่อาจจะชิน  เมื่อเจอโลกหินเต็มตา
* ทุกข์มา  ทุกข์ไป  เปลี่ยนหมุนเวียนไป  คิดให้ออกถึงทำใจเหมือนไข้สร่างหนา  ใช้ความแน่ใจ  ก้าวพ้นวุ่นวาย  ไม่ติดอะไรต่อกัน
ล้อมหลังล้อมหน้า  ทุกข์ไม่คุ้นตา  เห็นทุกข์คืบมาใจสั่น  ความทุกข์ร้อยเล่ห์เชิงชั้น  ขืนทุกข์ด้วยปากฟาดฟัน  ตื่นเป็นสุขนั้นรอไกล
( ซ้ำ  *  จนจบ )

ชื่อเพลง : ล้อมหลังล้อมหน้า
ทำนองเพลง : รักเอ๋ยรักข้า


หมายเหตุ : สองย่อหน้าแรก มาจากพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เปิดตาเปิดใจ”  ท่อนที่เหลือมาจากกลอนนำของพระอาจารย์จี้กง
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ว่าอย่างไรรู้สึกว่าการร้องเพลงมีความสุขไหม (มี)  แต่ทำไมความสุขช่างแสนสั้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ความทุกข์ช่างแสนยาว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วอะไรคือความทุกข์ แล้วอะไรคือความสุข ร้องเพลงคือความสุข นั่งฟังธรรมะคือความทุกข์หรือ ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  เมื่อสักครู่บอกว่าร้องเพลงก็มีความสุข อย่างนั้นนั่งฟังธรรมะมีความสุขไหม (มี)  จริงหรือ (จริง)  หลอกใครก็หลอกได้แต่อย่าหลอกอาจารย์เลยนะ ความสุขจริงๆ ยิ่งนั่งยิ่งฟังก็ยิ่งยิ้มแย้ม ยิ่งฟังก็ยิ่งกระปรี้กระเปร่า ยิ่งสดชื่น ไม่ใช่ยิ่งฟังแล้วยิ่งห่อเหี่ยวหมดเรี่ยวหมดแรง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราฟังแล้วเป็นอย่างไร (สดชื่น)  หน้าตาคนฟังธรรมะอย่างสดชื่นเป็นแบบนี้เองหรือ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อาจารย์จะได้จำไว้นะ
แล้วกินข้าวอิ่มไหม (อิ่ม)  อาหารเจอร่อยไหม (อร่อย)  อร่อยบางคนไม่ค่อยเต็มปากเต็มคำเลยนะ แล้วเรากินเพื่ออร่อยหรือกินเพื่ออยู่ (เพื่ออยู่)  ใช่หรือไม่ แต่ถึงเวลากินเราเลือกกินไหม (ไม่เลือก)  จริงหรือ (จริง)  ผักเอาไว้ข้างหนึ่ง เนื้อสัตว์เอามาข้างนี้ ใช่ไหม เรากินเพื่ออยู่หรือเรากินเพื่ออร่อย (กินเพื่ออยู่)  อย่างนั้นเวลากินก๋วยเตี๋ยวต้องไม่ (ไม่เติม)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เสื้อผ้าเราใส่เพื่อปกปิดร่างกายหรือคลายอุ่น ดับร้อน หรือเพื่อสวยงาม ว่าอย่างไร (ปกปิดร่างกาย)  จริงหรือ (จริง)  อย่างนั้นแปลว่าจะเก่าอย่างไร ก็ยังใส่ไม่ซื้อใหม่ ใช่ไหม (ไม่ซื้อ)  จริงหรือ ไม่อย่างนั้นชีวิตเราก็คงไม่วุ่นวายกับการหาเงินเพื่อจะซื้อเสื้อใหม่ๆ บ่อยๆ หรอกนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ามนุษย์เข้าใจชีวิตอย่างถ่องแท้ เรากินเพื่ออยู่ เราสวมใส่เพื่อปกปิดร่างกาย ชีวิตเราก็คงไม่วุ่นวายมากกว่านี้ แต่บางทีมันไม่ใช่อย่างนั้นนะศิษย์ กินเพื่ออะไร กินเพื่ออร่อย เพื่อตามใจอยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใส่เพื่ออะไร (ใส่เพื่อสวย)  ใส่เพื่อสวย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรียนรู้เพื่ออะไร เรียนรู้เพื่อจะสามารถเอามาใช้ในการดำเนินชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ไม่ใช่เรียนรู้แล้วไปข่มคนอื่น ถูกหรือเปล่า (ไม่ถูก)  แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม (ไม่เป็น)  พอใครพูดแล้ว เราพูดแล้วพูดอีก พูดแล้วฟังไม่รู้เรื่อง โมโหไหม (โมโห)
ฉะนั้นไม่ว่าเราจะทำอะไร เราต้องไม่ลืมจุดยืนของความเป็นคนอันแรกเริ่ม มิฉะนั้นแล้วเราอาจจะหลงทิศหลงทางในการดำเนินชีวิตก็เป็นได้ จริงไหม (จริง)  กลายเป็นว่าหาเพื่ออะไร หาเพื่อฉันสวย หาเพื่อฉันหล่อ หาเพื่อฉันเก่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนที่เก่ง แล้วเคยได้ยินไหมว่ายิ่งสูงก็ยิ่ง (หนาว)  ทำไมถึงหนาว  ตอบได้น่ารักมากเลยศิษย์ของอาจารย์ ทำไมยิ่งสูงยิ่งหนาว ยิ่งสูงยิ่งโดดเดี่ยว เพราะว่ายิ่งทำตัวเก่ง ยิ่งทำตัวเลิศเลอ ยิ่งไม่มีใครรัก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น อยากจะรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี เก่งแล้วก็ต้อง (อ่อนน้อม)  ศิษย์ก็รู้นี่ แม้จะเก่งขนาดไหนก็ต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน แม้จะเก่งขนาดไหนก็พร้อมที่จะโง่ได้เหมือนกัน ถ้าเก่งอย่างเดียวแล้วไม่รับฟังใครสักวันหนึ่งก็ต้องโง่แท้ๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าศิษย์คิดว่าตัวเองเก่งแล้วศิษย์ไม่ฟังใครเลย สักวันศิษย์ก็คือคนโง่ที่สุด ฉะนั้นคนที่อาจารย์อยากจะบอกแล้วดำเนินชีวิตให้รู้จักอยู่รอดและปลอดภัย นั่นก็คือหัดยอมรับผิดบ้างจะได้เป็นคนที่สมบูรณ์ ถ้าคิดว่าตัวเองถูกเสมอๆ สักวันหนึ่งศิษย์จะเป็นคนที่ผิดอยู่วันยังค่ำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้ารู้จักว่าตัวเองผิดบ้าง แก้ไขสิ่งที่ไม่ดีในตัวเอง ศิษย์ก็จะกลายเป็นคนที่สมบูรณ์แบบได้สักวันหนึ่ง
คนดีกับคนพาลต่างกันตรงไหน รู้ไหมศิษย์ (คนดีคือคนมีสติ)  เพราะเมื่อวานท่านแปดเซียนมาสอนหรือ คนดีคือคนมีสติแต่อาจารย์อยากจะบอกให้ศิษย์แตกต่างกันอีก คนดีนอกจากมีสติแล้ว คนดียังรู้จักบุญคุณต้อง (ทดแทน)  ความแค้นต้อง (ชำระ)  นั่นล่ะ กลายเป็นคนพาลทันที ฉะนั้นคนดีถ้าก้าวพลาดนิดเดียวก็กลายเป็นคนพาลได้ทันที คนพาลคือคนที่ไม่รู้จักผิด ใครขอขมาแล้วไม่รับขมา เรียกว่าคนพาล แต่คนดีคือคนที่รู้บุญคุณคนแล้วตอบแทนคุณคน ต่างกันตรงนี้เอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น ผู้ที่รู้จักยอมรับผิดเสมอๆ จะกลายเป็นคนที่สมบูรณ์แบบได้
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผู้ที่รู้จักยอมถอยจึงกลายเป็นคนที่กว้างใหญ่ได้ ผู้ที่รู้จักน้อมต่ำ อ่อนน้อมถ่อมตนจึงกลายเป็นคนที่มีแต่ใครอยากจะให้ความรู้ มีแต่ใครอยากจะเติมให้เต็ม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนที่อวดดี ถือดี มีใครบ้างล่ะ อยากจะช่วย อยากจะแก้ไข ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วศิษย์ล่ะ เป็นคนที่เก่งหรือไม่เก่ง (ไม่เก่ง)  เป็นคนที่ฉลาดหรือคนโง่ (คนโง่)  จะเรียนรู้กับอาจารย์ อาจารย์ต้องถามศิษย์ก่อนว่าเป็นคนเก่งไม่เก่ง (ไม่เก่ง)  ฉลาดไม่ฉลาด (ไม่ฉลาด)  ถ้าศิษย์บอกว่าศิษย์เก่ง ศิษย์ฉลาด อาจารย์ก็พูดแค่นี้ เพราะไม่มีอะไรต้องสอนอีกแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เก่งไม่เก่ง (ไม่เก่ง)  โง่ไม่โง่ (โง่) จริงหรือ (จริง)  โง่น้อยๆ หรือโง่มากๆ (โง่มาก)  แล้วโง่มากแบบนี้จะพร้อมเป็นคนที่ฉลาดขึ้นบ้างหรือยัง (พร้อม)  ฉลาดที่รู้จักแก้ไขนะ ไม่ใช่ดีแต่แก้ตัว ไม่ใช่ฉลาดที่เอาแต่ตัวรอด แต่ไม่สนใจคนรอบข้างไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยู่ในโลก เมื่อไรที่เราได้ชื่อว่าเป็นคนเก่งเป็นคนดี เราก็ต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน รับฟังคำชี้แนะ พร้อมจะเป็นคนที่ไม่รู้ได้บ้างเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไรที่ทำงานร่วมกัน แต่เราคือคนที่ออกแรงเยอะจนเรื่องราวนี้สำเร็จ เราก็สามารถหลีกถอยแล้วบอกว่า ไม่ใช่ฉันเป็นคนทำคนเดียว แต่เกิดจากทุกๆ คนร่วมกันทำ
เคยเห็นเราในรูปภาพที่มนุษย์จินตนาการไหม เคยเห็นอาจารย์ไหม อาจารย์แต่งตัวอย่างไร ขาดก็ยังใส่ได้เพราะว่าอาจารย์เป็นพระที่ไม่ค่อยอยู่ในวินัยใช่ไหม ถ้าอาจารย์อยู่แต่ในวัด อาจารย์ก็เอาแต่นั่งรอคนมา
ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเมื่อไรอาจารย์ได้ก้าวออกไปนอกวัด และยอมคลุกคลีกับเวไนย อาจารย์จะช่วยได้มากกว่า หรือว่านั่งอยู่ในวัดแล้วช่วยได้มากกว่ากัน (นอกวัด)  ถ้าอาจารย์ทำเป็นพระที่สูงส่งกับเป็นพระที่ธรรมดาติดดินเนื้อตัวมอมแมม แบบไหนอาจารย์ถึงจะช่วยคนได้มากกว่า ใช่หรือไม่ ที่อาจารย์ไม่ยอมเป็นพระที่สูงส่งแต่ยอมเป็นพระธรรมดาติดดิน ยอมทำตัวมอมแมมยอมทำตัวสกปรก เพราะในโคลนตมสกปรกแต่แฝงด้วยเพชรอันล้ำค่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะในมนุษย์ที่ยากจนยากไร้ก็ปรากฏบุคคลที่บริสุทธิ์และกตัญญูยิ่งกว่าคนที่มั่งมีเงินทองเกียรติยศชื่อเสียง คุณธรรมความดีงามนั้นอาจจะปรากฏได้ เมื่อผู้คนนั้นผ่านการขัดเกลาท่ามกลางความยากไร้ เปรียบเหมือนคนปัจจุบันนี้ ถ้ามั่งมีเงินทองเต็มไปด้วยเกียรติยศชื่อเสียง แต่ถามว่าจิตใจเขากับจิตใจของคนธรรมดา ใครที่จะไม่หลงระเริงไปมากกว่ากัน ในความคิดของศิษย์ ศิษย์ว่าใครหลงมากกว่ากัน คนที่เต็มไปด้วยเกียรติยศชื่อเสียง กับคนที่รอบตัวมีแต่ความธรรมดา จิตใจใครที่จะรักษาความบริสุทธิ์ได้มั่นคงกว่า (คนธรรมดา)  ใช่หรือไม่ ยิ่งมั่งมีเงินทองก็มีคนที่ประจบเอาใจท่านพร้อม ยิ่งเป็นคนธรรมดาสามัญ เรายิ่งมองเห็นแก่นแท้นิสัยพื้นเพของคนได้เด่นชัด แต่ฉันใดก็ฉันนั้นขึ้นอยู่กับภูมิแห่งธรรมของเขาด้วย บางคนอยู่ในที่ต่ำแต่ก็ทำตัวได้สมกับที่ต่ำ แต่บางคนอยู่ในที่ต่ำแต่ทำตัวได้ยิ่งใหญ่
ฉะนั้นมนุษย์ต่างกันตรงที่จิตสำนึกแห่งความดีงาม จิตสำนึกแห่งความละอายเกรงกลัวต่อบาป จิตสำนึกแห่งความดีงามและละอายเกรงกลัวต่อบาปมีหรือไม่ ถ้ามีคนนั้นก็สามารถเทียบได้เท่ากับพุทธะองค์หนึ่งที่อยู่บนโลก ถ้าไม่มีคนนั้นก็อาจจะอยู่ไกลจากความเป็นพุทธะ แล้วอาจารย์คิดว่าศิษย์ในชั้นนี้ทุกคนมีจิตสำนึกแห่งความดีงามไหม มีจิตสำนึกแห่งความละอายเกรงกลัวต่อบาปไหม (มี)  อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ให้คนคนหนึ่งแอบไปขโมยเงินผู้อื่น กล้าทำไหม ขโมยเงินแม่เราพ่อเรานี่แหละกล้าไหม แล้วทำไหม (ไม่เคยทำ)  จริงหรือ ไม่เคยเลยใช่ไหม แน่ใจนะ (แน่ใจ)  โกหกอาจารย์นะ หยิบโดยที่ไม่ขอ เด็ดดอกไม้โดยที่ไม่ได้ถามเจ้าของนี่ไม่เรียกว่าขโมยหรือ
เขาไม่ให้มองแต่แอบมองเรียกว่าขโมยไหมและเขาไม่ให้ฟังแต่เราไปแอบฟัง เรียกว่าขโมยไหม (ขโมย)  ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอย่าคิดว่าตัวเองไม่ผิด เมื่อไรที่คิดว่าตัวเองไม่ผิด ศิษย์ก็ยังเป็นคนพาล คนไม่ดีอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นต้องรู้จักว่าตัวเองก็เคยทำผิดมา ผิดแล้วพร้อมจะแก้ไขจึงจะเป็นคนดีคนหนึ่งได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาถามหัวหน้าชั้นถึงจำนวนนักเรียนในชั้นเรียน)
หัวหน้า นักเรียนมีกี่คน ไม่รู้เรื่องเลยหรือ หัวหน้าตอบไม่ได้ งั้นต้องเป็นรองหัวหน้า ตอบสิเท่าไร ถ้าตอบไม่ได้ก็ไม่ได้นั่งทั้งคู่นะ ถ้าหัวหน้าไม่ได้นั่ง นักเรียนในชั้นก็อด (๑๒๐ คน)  ใช่หรือ (๑๒๕ คน ต้องฟังคนข้างเคียง)  ฟังปุ๊บใช้ทันทีใช่ไหม ยอมเป็นคนโง่ต้องรู้จักฟังคนข้างเคียงจะได้ฉลาดขึ้น หัวหน้านี่หัวไวไม่ใช่ย่อยนะ ถ้าอย่างนั้นคิดว่าอาจารย์จะให้ยืนหรือให้นั่ง (ให้นั่ง)  ว่าอย่างไร (ให้นั่ง)  แต่ส่วนใหญ่อาจารย์ให้นั่งหรือให้ยืน (ให้นั่ง)  อย่าลืมนะว่าโลกนี้มันไม่เที่ยง คิดอย่างมักจะได้อย่างนะศิษย์นะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อุตส่าห์บอกอย่างนี้แล้วน่าจะรู้จักมีสติพลิกให้ทัน คิดว่าจะได้ยืน ใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดว่าจะได้นั่งหรือได้ยืน (นั่ง)  อุตส่าห์ถามใหม่ให้โอกาสแล้วนะ คิดว่าจะได้นั่งหรือได้ยืน (ได้ยืน)  แต่บางครั้งสมหวังก็อาจจะพบกับคำว่า (ผิดหวัง)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดว่าจะนั่งหรือยืน (ยืน, นั่ง)  เริ่มสับสนในตัวเองแล้ว ถ้าอย่างนั้น อาจารย์คิดว่าจะให้นั่งหรือให้ยืนดีนะ ว่าอย่างไร แล้วแต่อาจารย์ใช่ไหม (ใช่)  ขึ้นชื่อว่าลูกศิษย์ของอาจารย์ อาจารย์ทำอะไรศิษย์ก็ต้องทำอย่างนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์ยืนศิษย์ก็จะ (ยืน)  อาจารย์นั่งศิษย์ก็ (ยืน, นั่ง)  ถามทุกที่แต่ก็ขาดปฏิภาณไหวพริบทุกที่เลยนะ ถ้าอาจารย์ยืนศิษย์จะ (ยืน)  ถ้าอาจารย์นั่งศิษย์จะ (ยืนจนกว่าอาจารย์จะให้นั่งค่ะ)  ตอบได้ดี เขาบอกว่าจะยืนจนกว่าอาจารย์จะให้นั่ง อาจารย์ก็บอกแล้วมนุษย์ทุกคนมีจิตเมตตา มีจิตที่สงสาร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอาจารย์ได้นั่ง อาจารย์จะทนให้ศิษย์ได้ยืนหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วขึ้นชื่อว่าเป็นอาจารย์ของศิษย์มีหรือจะให้ตัวเองสบายแล้วศิษย์ลำบาก ก็มีแต่ให้ศิษย์สบายแล้วตัวเองลำบากนี่จึงจะเรียกว่า “อาจารย์” ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเชิญศิษย์นั่งเถอะนะ หลอกได้ทุกที่เลยนะ (อาจารย์ชอบหลอกนะ)  ก็ศิษย์ชอบกลัวอาจารย์หลอก อาจารย์ก็เลยหลอกให้เห็นเลยดีไหม ถ้ามีสติจะโดนหลอกได้หรือ เพราะไร้สติจึงถูกหลอกได้ง่ายๆ จริงไหม (จริง)  ถ้าทำอะไรรู้จักมีสติปัญญาเสมอ ศิษย์จะโดนใครหลอกได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เพราะเราขาดสติเบาปัญญา
(พระอาจารย์เมตตานับหนึ่งถึงสาม เพื่อให้นักเรียนนั่ง)
ยังมีคนช้าอีกนะ ใช่ไหม เริ่มใหม่ยืนขึ้น ฉะนั้นถ้าไม่อยากถูกคนในโลกหลอก ศิษย์ก็ต้องรู้จักมีสติและมีปัญญาตามให้ทัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียนว่า “ศิษย์ว่าเขาจำได้ไหม (ไม่ได้) แล้วศิษย์จำได้ไหม (ไม่ได้)”)
ถ้าคิดว่าอาจารย์ท่องจำมา เมื่อสักครู่อาจารย์บอกไปวรรคหนึ่งศิษย์จำได้ไหม (ไม่แน่ใจ)  ถ้าใครคิดว่าอาจารย์ท่องจำมา อาจารย์คงบอกไปครู่หนึ่ง ศิษย์จำได้ไหม ทำไมลืมง่ายจังล่ะ
ฟังธรรมะมามาก อาจารย์เปลี่ยนเป็นฟังนิทานบ้างดีไหม (ดี)  อันนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดในสมัยพุทธกาล อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ นะ ถ้าศิษย์ได้ศึกษาหลักธรรม ศิษย์คงได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง เคยได้ยินไหมว่า ในสมัยพระพุทธองค์นั้นมีพระรูปหนึ่งที่บำเพ็ญได้ดีพอสมควร แต่สิ่งหนึ่งที่เขายังตัดไม่ได้ก็คือความอาลัยรักในเสื้อผ้า หรือที่พระโดยส่วนใหญ่เรียกว่าจีวร ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าพระอย่างอาจารย์ก็เรียกว่าจีวร แต่ถ้าพระทางพระพุทธศาสนาเรียกว่าอะไร เครื่องนุ่งห่มของพระเรียกว่าอะไร (สบง)  ท่านบำเพ็ญเรื่องญาณ บำเพ็ญเรื่องบุญบารมีได้ดี แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านตัดไม่ได้ก็คือ ผ้าผืนที่ท่านนุ่งห่มอยู่นี้ จนกระทั่งวันหนึ่งชีวิตท่านต้องดับสิ้นไป แต่ความอาลัยรักในผ้าผืนนี้ก็ยังตัดไม่ขาด วางไม่ลง จึงทำให้ท่านต้องกลับมาเกิดเป็น ริ้นไรที่เฝ้าผ้าผืนนี้ ใครจับผ้าผืนนี้จะต้องโดนกัด โดนทำร้ายเจ็ดวัน พระพุทธองค์มีญาณหยั่งรู้จึงพยายามไม่ให้ผ้าผืนนี้ตกไปสู่มือใคร เพราะไม่อย่างนั้นกรรมที่ควรจะชดใช้เจ็ดวันจะกลายเป็นกรรมที่เกิดไม่จบไม่สิ้นด้วยความอาฆาตแค้นที่ใครมาเอาผ้าผืนนี้ไปใช้ ฉะนั้นภายในเจ็ดวันพระพุทธองค์จึงบอกว่าห้ามใครถือผ้าครองต่อจากพระองค์ที่ ดับสิ้นไป ภายในเจ็ดวันริ้นไรตัวนี้ก็ตายไป แล้วก็กลับไปเสวยเป็นเทพอยู่วิมานชั้นฟ้า ศิษย์เข้าใจเรื่องที่อาจารย์พูดนี้ไหม หมายความว่าอะไร รู้ไหม (ไม่ยึดติดกับเครื่องนุ่งห่ม) ไม่ยึดติดกับเครื่องนุ่งห่ม แล้วมนุษย์เรายึดติดกับเครื่องนุ่งห่มไหม เพราะเห็นเป็นสิ่งที่รัก พระไม่มีอะไรรักเท่ากับเครื่องบริขาร ใช่ไหม แต่สิ่งที่อาจารย์ต้องการชี้นำให้เห็นก็คือว่าทุกคนรักการทำบุญ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบุญก็ส่วนบุญ กรรมก็ส่วนกรรม ถูกหรือไม่ (ถูก)  จิตที่ยังไม่สามารถตัดเรื่องรัก โลภ โกรธ หลงได้ จะเป็นเหตุแห่งการเวียนว่ายโดยไม่รู้ตัว ฉะนั้นมนุษย์ถึงจะทำบุญมามากแค่ไหน แต่ถ้าจิตใจยังตัดเรื่องรัก โลภ โกรธ หลงไม่ได้ ศิษย์ก็ยังหนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด แล้วจิตใจของศิษย์แต่ละคนผูกพันอยู่กับอะไร
บางคนผูกพันอยู่กับหน้าตา บางคนผูกพันอยู่กับลูกหลาน บางคนผูกพันอยู่กับสิ่งของ เหมือนคนที่ร่วมปฏิบัติอยู่กับอาจารย์คนหนึ่งผูกพันอยู่กับห้องที่ตัวเองพัก พอตายไปแล้วเกิดมาเป็นจิ้งจก ใครเข้าห้องเขาก็จะร้อง จก จก จก หรือถ้าเข้ามาแล้วยังมาทำอะไรข้าวของอีก เขาก็จะตกใส่หัว แต่พอครบกรรมของเขา กรรมของเขาหมดสิ้น เขาก็ไปเสวยบุญของเขา ฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกว่า ถึงแม้ศิษย์ขยันทำบุญมากขนาดไหน แต่ถ้าจิตใจของศิษย์ยังตัด รัก โลภ โกรธ หลง ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ ศิษย์ก็ยังคงเป็นผู้สร้างเหตุแห่งการเวียนว่ายไม่จบสิ้น บุญสร้างมาเท่าไหร่กรรมก็ตามไปเท่านั้น
ฉะนั้นเราบำเพ็ญธรรมเพื่อสะสมบุญหรือ ไม่ใช่ แต่การบำเพ็ญธรรมเพื่อตัดเหตุแห่งการเวียนว่าย โดยการควบคุม รัก โลภ โกรธ หลง ให้ดี ไม่ก่อให้เกิดเป็นเหตุแห่งการเวียนว่าย อย่างนั้นเราลองหันกลับมาดูจิตดูใจเราว่า เหตุแห่งการเวียนว่าย เกิดได้จากอะไร เมื่อไหร่ที่เรามองเห็นสรรพสิ่ง ใจเราเริ่มคิด ธรรมญาณเริ่มเคลื่อนไหว แปรสภาพกลายเป็นจิต จิตโดยธรรมชาติมีความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เมื่อจิตเปลี่ยนแปลงแล้วจึงเกิดการสร้างสรรค์ สร้างสิ่งต่างๆ แม้กระทั่งตัวตน ตัวของตนให้เป็นรูปลักษณ์ แล้วก็ยึดมั่นถือมั่น จากธรรมญาณกลายเป็นจิต จากจิตกลายเป็นใจ เมื่อธรรมญาณกลายเป็นจิต จิตกลายเป็นใจ เราจึงมองไม่เห็นสภาวะเดิมแท้ของธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  สภาวะเดิมแท้ของธรรมจะปรากฏได้เมื่อเราปล่อยวางความยึดมั่น ปล่อยวางความคิด ดั่งคำกล่าวว่า “ไม่คิดก็ไม่มีจิต ไม่มีจิตก็พบธรรม” ฉะนั้นธรรมอยู่ที่ไหน ธรรมไม่ใช่อยู่ที่พระไตรปิฎก ธรรมไม่ใช่อยู่ที่อาจารย์ ธรรมไม่ใช่อยู่แค่องค์พระ แต่ธรรมมีอยู่ในตัวของศิษย์ทุกๆ คน แต่เพราะอะไร สภาวธรรมจึงหายไป เมื่อไหร่ที่ศิษย์คิดแบบนี้เรียกว่ารัก แบบนี้เรียกว่าชอบ สภาวธรรมไม่สามารถเที่ยงธรรมได้ เกิดการแบ่งแยก เกิดความเอนเอียง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่เราปล่อยวางความคิด ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น เมื่อนั้นศิษย์จะพบสภาวธรรมอันเดิมแท้ที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง เข้าใจไหม เห็นถึงธรรมบ้างหรือยัง ยังไม่มีดวงตาแห่งธรรมเลย ใช่ไหม อาจารย์พูดถึงเริ่มต้นแห่งจิตเลยนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นแล้วเราจะเข้าใจได้อย่างไร พูดให้ลึกลงไปอีกตัวเรานี้เกิดเป็นรูปลักษณ์ขึ้นมานี้ แท้จริงแล้วเป็นที่รวมของขันธ์ทั้งห้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดั่งที่เขาพูดกันว่า มนุษย์มักจะพูดกันว่า รูปลักษณ์นี้มาจากดิน น้ำ ลม ไฟ ถึงเวลาก็กลับสู่ (ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ)  ฉะนั้นเราอย่าลืมว่าเรามา มาแต่ตัวหรือ  เรามาตัวเปล่านะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นหันเข้าไปดูจิตของศิษย์สิ จิตของศิษย์ที่ศิษย์บอกว่า “โอ้ย อาจารย์ช่วยรักษาใจของศิษย์ที ใจศิษย์ทุกข์เหลือเกิน ใจเจ็บเหลือเกิน ใจปวดเหลือเกิน” ควักมาให้อาจารย์ดูสิ ใจเป็นอย่างไร จิตญาณเดิมของศิษย์ทุกคนไม่มีรูปร่าง แต่ถูกสร้างรูปร่างด้วยความรู้สึกนึกคิด สร้างรูปร่างด้วยการปรุงแต่งว่าตัวเองนิสัยแบบนี้ ตัวเองเป็นคนแบบนี้ ตัวเองเป็นคนแบบนั้น แล้วใจฉันก็เป็นแบบนั้น แล้วใจฉันก็เป็นแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วเป็นแบบนั้นไหม ถ้าเป็นต้องเป็นตลอดไม่หยุดนิ่ง ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ใจของมนุษย์เปลี่ยนได้ เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวใจดี เดี๋ยวใจร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเป็นใจของศิษย์เองเป็นอย่างไร ไม่มีวันเปลี่ยน อย่างไรก็อย่างนั้น แล้วใจเดิมศิษย์เป็นอย่างไร แท้จริงแล้วคือความว่าง สิ่งที่ศิษย์พยายามอยากจะมีกัน เงินทอง ชื่อเสียง ความรัก แท้จริงแล้วคืออะไร ถึงที่สุดก็คือความว่างไม่ต่างกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เพราะความอยากมี สรรพสิ่งนั้นจึงทำให้ศิษย์เกิดโลภ โกรธ หลง แล้วเกิดรัก แล้วเกิดการเวียนว่ายตายเกิด เดี๋ยวยิ้ม เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ แล้วก็กลับไปยิ้ม หัวเราะ ร้องไห้ ใช่ไหมที่ศิษย์เป็นผู้สร้างวัฏฏะแห่งอารมณ์ วัฏฏะแห่งการเกิดดับถูกไหม ถ้าศิษย์เข้าใจและเข้าถึง รู้ตื่นในสรรพสิ่งไม่ว่าตัวเอง ใจและสรรพสิ่ง ศิษย์ก็ไม่ต่างอะไรจากพุทธะ ถ้าศิษย์เข้าถึงแล้ว รู้แจ้งแล้ว ดำเนินได้อย่างสอดคล้องกลับคืนสู่ใจอันบริสุทธิ์ ศิษย์กับอาจารย์ก็คือพุทธะเหมือนกัน แต่ถ้าเมื่อไรยังไม่เข้าถึง ยังไม่รู้แจ้ง ยังกลับคืนสู่ความบริสุทธิ์ไม่ได้ ศิษย์ก็ยังเป็นปุถุชน อาจารย์ก็คงเป็นพุทธะที่รอปุถุชนเมื่อไหร่ถึงจะรู้แจ้ง จริงหรือไม่
ฉะนั้น อาจารย์มาวันนี้ให้ศิษย์มานับถืออาจารย์หรือ ไม่ใช่ ถ้าศิษย์ศึกษาธรรมให้ดี ศิษย์จะรู้ว่า พระพุทธองค์กล่าวไว้คำหนึ่ง ก่อนที่ท่านจะดับขันธ์ปรินิพพานทิ้งสรีระร่างกายนี้ พระอานนท์ทูลถามพระพุทธองค์ว่า “ถ้าท่านดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว สาธุชนและพระภิกษุสงฆ์จะถืออะไรเป็นที่พึ่ง” พระพุทธองค์ตอบว่า “ให้ถือธรรมเป็นที่พึ่ง แม้ไม่มีเราจงถือธรรมเป็นที่พึ่ง ท่านก็จะได้ดวงตาแห่งธรรมได้” เราไม่รู้ก็เลยมัวแต่ทำบุญๆ เก็บบุญๆ ทำบุญเท่าไหร่ก็ยังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด ถ้าไม่รู้จักตัดกิเลส ตัดรัก โลภ โกรธ หลง ใช่หรือไม่ ศิษย์ซื้อเสื้อเป็นร้อยเป็นพันชุดได้ แต่ทำบุญเป็นร้อย ศิษย์คิดแล้วคิดอีก ใช่ไหม กินอาหารอร่อย ภัตตาคารดีๆ จ่ายได้แต่ไปทำบุญ ศิษย์เอาผักธรรมดา ของธรรมดา ขนมซื้อห้าบาท แล้วศิษย์แน่ใจหรือว่าบุญของศิษย์จะทำให้ศิษย์มีโอกาสเกิดมาเป็นคนอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม
แล้วธรรมะอะไร ที่เราควรถือเป็นที่พึ่งแล้วทำให้เรารู้แจ้งเห็นจริง และคืนสู่ความบริสุทธิ์ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่แน่นอน เดี๋ยวผมดำกลายเป็นผมขาว เดี๋ยวหน้าตึงๆ กลายเป็นหน้า (เหี่ยว)  นั่นล่ะเขาเรียกว่าความไม่เที่ยง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์มักจะบอกว่าโลกนี้ไม่เที่ยงธรรม แต่จริงๆ ความไม่เที่ยงธรรมมักมีความเที่ยงธรรมแอบแฝงอยู่นะศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงจำไว้ว่าโลกไม่เที่ยง แต่ในความไม่เที่ยงนั้นมีความเที่ยงอยู่เสมอนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น ถ้าเราพึงสังวรว่าร่างกาย ทรัพย์สิน เกียรติยศ คนรัก ลูกหลานที่เรามีนี้ ล้วนไม่เที่ยง ล้วนเปลี่ยนแปลงได้ เราก็คงไม่สูญเสียธรรมในหัวใจหรอก จริงไหม (จริง)  แล้วมีอะไรอีก
หัวหน้ากับรองหัวหน้าไม่ตอบบ้างหรือ (ความไม่ยึดติด)  ความยึดติดเพราะรู้ว่าสรรพสิ่งนั้น (ไม่แน่นอน)  ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ โดยเมตตาถามนักเรียนที่ตอบคำถามว่า “รับไม่รับ”)
ชีวิตนี้ขออย่างเดียวไม่ได้นะ บางทีต้องรู้จักไขว่คว้า ใช่ไหม (ค่ะ)  ค่ะๆ แต่ก็ก้มลงแล้วเมื่อไหร่จะคว้า คว้าไหม (ทำให้เราหลุดพ้น)  ยังไม่ต้องหลุดพ้นก็ได้ มองให้เห็นธรรมในชีวิตก่อน ถ้าศิษย์ยังไม่เห็นธรรมในชีวิตศิษย์ก็ยังพ้นอะไรไม่ได้แม้ตัวตนเอง (ธรรมที่ควรจะระลึกถึงนั้น ก็ต้องเป็นเหตุเป็นผลโดยที่ในธรรมะข้อนี้ได้แก่ เห็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค)  อย่างนั้นอาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่า เห็นทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา ใช่หรือไม่
อย่างที่สองที่มนุษย์ควรจะรู้ไว้ก็คือ ในโลกนี้มีใครบ้างไม่ทุกข์ ถ้าเรามองเห็นทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา เราจะกลัวแล้วเราจะกล้าเผชิญไหม (กล้า)  ก็กล้าใช่หรือไม่ และจะทำให้เรามีสติยิ่งขึ้นในการที่เผชิญเพราะว่าใครๆ ก็มี ทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา แต่มนุษย์มักเห็นทุกข์เป็นเรื่องไม่ธรรมดา เลยรับมือไม่ได้ เอาแต่หนีวันยันค่ำ ฉะนั้นความจริงอีกข้อหนึ่งที่ทำให้มนุษย์สามารถเห็นถึงธรรมในตัวตน เห็นถึงธรรมในชีวิตก็คือ “คนทุกคนล้วนมีทุกข์เป็นธรรมดา” ทุกข์ในความเกิด ทุกข์ในความแก่ และทุกข์ในความ (ตาย)  เป็นเรื่องธรรมดาไหม แต่ถ้าเราทำได้ดีที่สุด สิ่งที่ธรรมดาก็กลายเป็นไม่ธรรมดาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเกิดมารู้จักเสียสละเพื่อผู้อื่น ไม่ใช่เป็นการเกิดแต่กิเลส เกิดแต่ความอยาก แต่รู้จักเกิดการให้ เกิดการเสียสละ เกิดการให้อภัย และอีกสิ่งหนึ่งคือ (ความไม่มีตัวตน)  ตอบได้ดีนะ ไม่มีตัวเรา ไม่มีตัวเขา ฉะนั้นต้องใช้ประโยชน์ให้เต็มที่แล้วก็ปล่อยวางเมื่อถึงคราวปล่อย ดังที่มนุษย์รู้ “เลาะเปลือกออกเพื่อค้นหาแก่นแท้” ฉะนั้นวันนี้สิ่งที่มนุษย์พยายามแสวงหา ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง เราหาเพื่ออะไร แก่นแท้ก็เพื่อดูแลร่างกายให้อยู่รอดไปวันๆ หนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่หาเพื่อเกี่ยวกรรมไปทุกๆ วันแล้วก็สร้างเหตุแห่งการเวียนว่ายไม่จบไม่สิ้น อย่างนี้หาผิดทางนะศิษย์ ใช่หรือไม่
ฉะนั้น เกี่ยวพันแต่ไม่ผูกพันได้ไหม อยู่ร่วมกันแต่ไม่ติดยึดได้ไหม (ได้)  จริงหรือ (จริง)  ถ้าศิษย์ทำได้ศิษย์ก็จะมีชีวิตอย่างคนที่ผ่านมาผ่านไป ไม่เหลือสิ่งใดค้างคา แต่มนุษย์ไม่ใช่ มีเงินก็ฝันถึงพรุ่งนี้ฉันจะได้เงินอีกก้อนไหม มีรักพรุ่งนี้ก็อดคิดไม่ได้อีกว่า พรุ่งนี้ฉันจะได้รักจริงไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอได้รักแล้วนอนหลับไหม พอได้เงินแล้วนอนหลับไหม (ไม่หลับ)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอะไร เกี่ยวแล้วอดผูกพันไม่ได้ มีแล้วอดติดยึดไม่ได้ ทั้งที่ถึงเวลาแล้ว ทุกสิ่งล้วนไม่มีตัวตน ทุกสิ่งล้วนมีสาเหตุแห่งทุกข์ แล้วทุกสิ่งที่ศิษย์หาก็ล้วนอยู่ในความไม่เที่ยง จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วศิษย์รู้อีกอย่างหนึ่งไหมว่า ทุกสิ่งในโลกล้วนมีเหตุปัจจัย ทำไมอยู่กับเรา แต่ไม่อยู่กับเขา ทำไมอยู่กับเขาแต่ไม่หันมามองเรา เพราะบุญกรรมทำมาไม่เท่ากัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  (รู้จักปล่อยวาง)  รู้จักปล่อยวาง ปล่อยวางได้จริงๆ หรือ
อาจารย์รู้ เวลาศิษย์เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ศิษย์ก็อยากได้เงินทอง ขอให้รวย อยากให้อาจารย์รักษาให้ศิษย์แข็งแรง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อาจารย์อยากจะบอกนะรวยเงินทองหรือแข็งแรง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุปัจจัยนะ ถึงอาจารย์จะชี้นำว่าถ้าศิษย์เดินทางนี้ศิษย์จะรวย แต่ถ้าขาศิษย์ไม่ขยับ มือศิษย์ไม่เขยื้อน ใจศิษย์ไม่รู้จัก ศิษย์ก็เดินไปไม่ถึงหรอก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วอีกอย่างหนึ่ง ศิษย์ต้องพึงสังวรไว้ นั่นก็คือ สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดคือสิ่งที่บกพร่องที่สุด มนุษย์พยายามหาสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุด แต่ศิษย์เคยไหม พอไปหาสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุด หนสุดท้ายก็คือสิ่งที่พร่องที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อไรเราทำใจรับกับสิ่งที่บกพร่องได้ เมื่อนั้นศิษย์ก็จะเห็นสิ่งที่สมบูรณ์ได้ แล้วมันอยู่ที่ไหน สิ่งที่พร่องที่สุดและสมบูรณ์ที่สุด นั่นก็คือหัวใจของศิษย์ทุกคน เราพยายามหาความรักที่เติมเต็มหัวใจของเรา เราพยายามหาสิ่งที่เติมเต็มชีวิตของเรา แต่ทำไมหนอ เติมเท่าไรก็ไม่เต็ม แต่ถ้าเมื่อไรเรายอมรับความไม่เต็มนั้นได้ เราก็สมบูรณ์ได้ไม่ใช่หรือ จริงไหม (จริง)  แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม ยอมรับความบกพร่องก็จะเห็นความสมบูรณ์ในตัวเอง แต่ถ้าไม่ยอมรับความบกพร่อง ศิษย์ก็จะกลายเป็นคนที่ไม่มีวันสมบูรณ์ได้เลยในชีวิต จริงหรือไม่ (จริง)
อาจารย์ถามต่อว่า มีอะไรอีกไหม ศิษย์ตอบอาจารย์ ได้ไหม เงียบ ไม่คิดจะตอบอาจารย์เลยหรือ ปกติอาจารย์จะถามคำถามง่ายๆ อะไรคือความทุกข์ ศิษย์ก็จะตอบได้หมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ตอนนี้อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้ อะไรที่ทำให้ศิษย์เห็นธรรม ไม่ใช่ความเป็นจริงของคนในโลกหรือ ไม่ใช่ความเป็นจริงของตัวเราหรือ ที่ทำให้เราเห็นธรรมได้ ไม่ต้องหลุดพ้นก็ได้ เอาให้เห็นธรรมในตัวตนเองก่อน ไม่ใช่แค่ว่างนะศิษย์ แต่ให้รู้จักพอ พอในสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติที่สุด ใช่หรือไม่ เพราะความว่างของศิษย์นั้น อาจารย์อยากจะบอกว่ามีอยู่ในตัวทุกคน เมื่อไหร่ที่เรานิ่งแล้วรู้จักพอ ความว่างจะปรากฏเองในใจของศิษย์ ศิษย์ทำงานอย่างมีความสุข เป็นอะไรอย่างมีความสุข ศิษย์ก็สามารถพบความว่างในความสุขได้ แล้วอะไรคือธรรมชาติในใจของศิษย์ ตอบอาจารย์สิ อย่าพยายามหาคำตอบข้างนอก กลับเข้าไปหาในตัวเรา ตัวศิษย์เองมีธรรมชาติแห่งใจอันเดิมแท้อยู่แล้วในตัวเอง แต่เพราะอะไรเราจึงมองไม่เห็น เพราะเรายังคิดว่าเรายังชั่ว เรายังไม่ดี เรายังไม่สงบ แต่ถ้าเมื่อไหร่เราพอ ชั่วไม่ดี สงบ ก็หายไปได้และพบธรรมได้ด้วยตัวเอง อาจารย์ชี้แนะแล้ว แต่ศิษย์เมื่อไหร่จะไปถึงที่อาจารย์พูดสักที ใช่ไหม ความว่าง ความสุข สามารถพบได้เมื่อศิษย์รู้จักพอในธรรมดาสามัญ ใช่ไหม (ใช่)  ผมดำผมขาวศิษย์ก็พอ ไม่ขาวไม่ดำก็พอ ใช่ไหม (ใช่)  มีไม่มีศิษย์ก็พอ มีไม่มีจะสุขจะทุกข์ก็ทำอะไรใจไม่ได้เพราะใจเราไม่กระเพื่อมไหวไปกับแรงชั่วประเดี๋ยวประด๋าว จริงหรือไม่ เมื่อไหร่เราคิดจิตเราก็ห่างจากธรรม แต่เมื่อไหร่เราหยุดคิดจิตเหล่านั้นก็คือธรรม ธรรมคืออะไร คือไม่แบ่งแยก นี่ก็ขาว นี่ก็ดำ นี่ก็กลาง นี่แหละเรียกว่าธรรมในตัวจิตของศิษย์เอง แต่เพราะมนุษย์ยึดติดแบ่งแยก นี่ฉัน ที่เขา นี่แบบที่ชอบ นี่แบบที่เกลียด นี่แบบที่สุข นี่แบบที่ทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  พออะไรผ่านมาตรงกับแบบที่ชอบใจก็เอียง ใจก็ขาดธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  พออะไรกระทบกับใจที่มาแล้วรู้สึกไม่ชอบก็เกลียด ศิษย์ก็เอียงไปทางเกลียด เอียงไปทางนรก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเกลียดเมื่อไหร่ก็ใกล้กับนรกเมื่อนั้น
ฉะนั้นนรก สวรรค์ จึงเกิดแค่ชั่วขณะคิด คิดชอบคิดดีก็เหมือนขึ้นสวรรค์ คิดร้ายคิดไม่ดีก็เหมือนตกนรก แต่ถ้าหมดซึ่งความคิดศิษย์ก็คือหลุดพ้น เข้าใจยากไหม ไม่ยากนะถ้าศิษย์หันกลับมาตามเท่าทันตัวเองด้วยสติปัญญา ฉะนั้นคนจะดีได้ คนจะประเสริฐได้ และมนุษย์จะพบธรรมได้เพียงมีสติปัญญารู้เท่าทันสิ่งที่มากระทบใจ กระทบตัว เหมือนอาจารย์ตีอย่างนี้ โกรธไหม ตีอย่างนี้โมโหไหม ถ้าศิษย์หยุดความคิดได้ ศิษย์ก็ไม่ขึ้นสวรรค์และไม่ตกนรก แต่เป็นกลางและพบธรรม ถ้าเขาตีศิษย์โกรธ ศิษย์ก็สร้างนรก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์โมโห ศิษย์แค้น ศิษย์ผูกใจเจ็บ ศิษย์ก็ก่อเกิดภพภูมิแห่งการเวียนว่าย ฉะนั้นแค่ชั่วขณะที่อาจารย์ตี ถ้าศิษย์ไม่คิดอะไร ศิษย์ก็ไม่ก่อเหตุแห่งการเวียนว่าย แต่ถ้าศิษย์คิด ตีทำไม ทำไมต้องตี คนอื่นก็มีเยอะแยะ ศิษย์เริ่มผูกใจเจ็บ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และยังกลับมาตีอีก แล้วไม่ตีคนอื่น ศิษย์เริ่มเคืองแค้น ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อเคืองแค้นและผูกใจเจ็บ ศิษย์ก็สร้างภพ สร้างชาติ ด้วยความคิดของตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าเกิดเก็บไว้ในสัญญา จำไม่ลืมด้วย ศิษย์เอยชาติหน้าก็จะต้องโดนตีไปอีกจนกว่าจะหาย ใช่ไหม และอาจจะไม่ใช่ถูกตีด้วย แต่อาจจะไปตีเขาอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  กลายเป็นไปตีเขา แล้วถ้าเกิดเขาคิดแบบศิษย์ เขาต้องกลับมา (ตีซ้ำ)  เข้าใจหรือยังว่ากรรมเวรมาได้อย่างไร เพราะศิษย์ไม่หยุดความคิด ไม่ตัดรัก โลภ โกรธ เกลียด ถ้าศิษย์ตัดได้ หยุดได้ ศิษย์ก็สามารถหยุดภพภูมิได้ด้วยการรู้จักควบคุมตัวเอง ทำได้ด้วยการมีสติ
ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้เท่าทันสิ่งที่มากระทบ ถูกไหม (ถูก)
อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยว่า “ความทุกข์มีดีอะไร” ตอบอาจารย์ได้ไหม (ทำให้เกิดการเรียนรู้)  ความทุกข์บางทีทำให้มองเห็นตัวเองได้ชัดขึ้น ใช่ไหม ความทุกข์มีดีอะไร (ทำให้เรารู้จักเข้มแข็ง)  ความทุกข์ทำให้เราเข้มแข็ง แล้วทุกข์ทำให้อ่อนแอไปกี่รอบแล้ว มีอะไรอีก ทำให้เราแก้ปัญหาเป็นไหม หรือเอาแต่หนีตลอด (แก้ปัญหาเป็น)  จริงหรือ (จริง)
(ความทุกข์ทำให้เราพ้นทุกข์)  ความทุกข์ทำให้เราพ้นทุกข์ ปรบมือให้หน่อยนะ เข้าใจตอบจริงๆ มีใครตอบได้อีก
(ความทุกข์ทำให้เราปล่อยวาง)  ความทุกข์ทำให้เราปล่อยวาง แล้วปล่อยได้จริงๆ ไหม (ได้)  แม้จะเจ็บป่วยก็ปล่อยวางได้ใช่ไหม (ได้)  ป่วยแต่กายแต่ใจไม่ป่วย ใช่ไหม (ใช่)
(ความทุกข์ทำให้เราสบาย)  ความทุกข์ทำให้เราสบาย (ทุกข์แล้วก็จะได้สบายในภายภาคหน้า)  ความทุกข์ทำให้สบายใจในภายภาคหน้า จริงหรือ ถ้าเราเข้าใจทุกข์และหยุดทุกข์เป็นนะ
(ความทุกข์คือสิ่งที่เรากระทำไว้)  บางทีแค่คิดก็เป็นทุกข์ได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่
(สามารถเป็นบทเรียนสอนเราได้)  สามารถเป็นบทเรียนสอนเราได้ แล้วตอนนี้รู้หรือยังว่าบำเพ็ญคืออะไร และทำไมถึงต้องช่วยคน ถ้าศิษย์ยังเข้าใจตรงนี้ไม่ได้ ศิษย์ก็ยังดูแลห้องพระไม่ได้ เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม
(ความทุกข์ทำให้ใจเข้มแข็ง) ได้แล้วยังได้อีก เอาอีกเหรอ (เอา) ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ไม่ให้ เพราะเดี๋ยวจะเกิดความโลภแล้วกลายเป็นทุกข์นะ
(ให้อภัย)  เพราะคิดเสมอว่าเขาทำเราใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางทีเราเคยถามไหมว่า เราเคยทำอะไรเขามาหรือเปล่า ฉะนั้น คิดให้อภัยจะได้มีสุขนะ
ทุกข์ไม่มีวันจบสิ้น ถ้าศิษย์ไม่มีวันเอาชนะใจตัวเองได้ อาจารย์ช่วยได้ก็แค่เพียงชี้ทาง แต่ถ้าศิษย์ไม่เดิน อาจารย์ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ใช่หรือไม่

(พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อสถานธรรมที่ ต.หนองบอน
อ.บ่อไร่ จ.ตราด)
อยากได้ชื่อห้องพระไหม แรงคนเดียวคงไม่ไหวใช่ไหม มีแรงใครอีก อาจารย์ให้ชื่อว่า “หมิงเหยิน” ที่ตราดนะ
ศิษย์เอ๋ยยังไม่ถึงเวลานะ ใจเย็นๆ ขอเพียงศิษย์มีความมั่นคงก่อน ถ้าศิษย์ยังไม่มั่นคงอาจารย์ก็ยังให้ไม่ได้ แล้วการจะสร้างห้องพระ ไม่ใช่เกิดจากแรงเราคนเดียว ต้องเกิดจากปณิธานหลายๆ คนร่วมกันถึงจะเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ ใช่หรือไม่ ศิษย์แน่ใจหรือพลังศิษย์คนเดียวจะผลักดันให้เกิดขึ้นได้ ต้องหันไปมองเพื่อน ใช่หรือไม่ จิตใจที่ดี ตั้งมั่น ก็ขอให้รักษาความตั้งมั่นให้ดีไว้ตลอดนะ อาจารย์อยากให้ที่นี่ก่อน ศิษย์ดูสิรุ่นนี้แล้วคงเปลี่ยนใจไม่ได้แล้ว ใช่หรือไม่ เมื่อมุ่งมั่นแล้วจงทำให้ถึงที่สุด เมื่อเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้ว จงกระจ่างจนไม่มีวันเสื่อมถอยนะ เข้าใจไหม ความกระจ่างที่เต็มไปด้วยจิตใจเมตตา ทำไมเราถึงต้องบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญธรรมเพื่อช่วยตัวเอง แล้วทำไมเราถึงต้องช่วยผู้อื่น เพราะว่าทุกคนมีจิตเมตตาสงสาร ตัวเองรอดแล้วจะไม่ช่วยคนอื่นรอดหรือ นี่คือ จุดมุ่งหมายของการบำเพ็ญธรรม ช่วยเหลือเวไนย เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม
ฉะนั้นขอให้ร่วมแรงร่วมใจ สมัครสมานสามัคคี ถ้อยทีถ้อยอาศัย หนักนิดเบาหน่อยก็ให้อภัยกัน ยิ่งถ้าห้องพระมีห้องพระเดียวแต่เกิดจากจิตหลายๆ คนร่วมแรง การกระทบกระทั่งเป็นเรื่องธรรมดา ใช่หรือไม่ แต่การกระทบกระทั่งแล้วต้องอภัย อย่าเป็นแก้วที่ร้าวแล้วพร้อมจะแตก ไม่มีประโยชน์ในการบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญธรรมเพื่อลดอัตตาตัวตนไม่ใช่เพิ่มอัตตาตัวตน บำเพ็ญเพื่อให้อภัยไม่ใช่เคืองแค้น บำเพ็ญเพื่อช่วยตนและช่วยคน เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม ขอให้เป็นเรือลำหนึ่งที่ไปให้ถึงฝั่ง ถึงจะไม่ได้ตั้งปณิธานอาจารย์ก็ให้ด้วยนะ จะได้ไม่น้อยใจกัน ใช่หรือไม่ แต่อย่างไรเราก็ต้องให้เกียรติผู้ดูแลเขา ใช่หรือเปล่า เพราะเขาเสียสละก่อนเรา จริงหรือไม่ แล้วต่อไปจะกลับมาช่วยเขาไหม ขอให้เป็นแรงหนึ่ง ช่วยที่นี่นะศิษย์
ศิษย์ต้องการให้อาจารย์ช่วยรักษาหรือ เวรกรรมของศิษย์ ศิษย์ก็ต้องใช้ให้หมดนะศิษย์นะ ดูอย่างอาจารย์อาวุโสของท่านสิ เขาไม่เคยเรียกร้องให้อาจารย์ช่วยเลย ใช่หรือไม่ ฉะนั้นกินอาหารให้ครบ ดูแลสุขภาพให้ดีก็เป็นสิ่งสำคัญนะ ให้อาจารย์ช่วยแต่ศิษย์กลับทำร้ายร่างกายตัวเองก็ไม่มีประโยชน์ เข้าใจให้ถูกนะ ถ้ามาก็ต้องมาพร้อมกันจึงเกิดพลังที่ยิ่งใหญ่ ขอให้ศิษย์เป็นต้นแรงและมีโอกาสหนุนนำเพื่อนๆ ให้เข้าใจในธรรมะ ขอให้เป็นต้นแรงที่ดีและเป็นต้นน้ำที่ดีที่พร้อมจะรินหลั่งน้ำที่บริสุทธิ์ตามมาด้วยนะ ศิษย์นะ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลงพระโอวาท)
ชื่อเพลง “ล้อมหลังล้อมหน้า” ฉะนั้นมีชีวิตอย่าพ่ายแพ้กับความทุกข์เสียก่อน จงเอาทุกข์มาเป็นเพื่อน จงเอาทุกข์มาเป็นหนทางแห่งความสุข ทำได้ไหม (ได้)  ศิษย์เคยมองเห็นองค์พระที่ตั้งอยู่ข้างหน้าศิษย์ตรงนี้ไหม สังเกตไหมว่าเวลาพระทุกองค์ที่เขาปั้น จะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันอยู่คือ ตาท่านจะไม่เบิ่งออก แต่ตาท่านจะมองต่ำ ใช่หรือไม่ นั่นหมายความว่าจิตที่เอาแต่มองออกก็อดไม่ได้ที่จะเกิดกิเลส เกิดความคิด เกิดปัญหา แต่จิตที่รู้จักหันมามองตัวเอง ย้อนมองส่องตนตัวเองจึงทำให้บังเกิดดวงตาแห่งธรรมได้ แต่จิตที่พยายามมองออกแล้วจับผิด มองออกแล้วไขว่คว้า กลับเป็นจิตที่มีแต่ความวุ่นวายสับสน ฉะนั้นคำที่อาจารย์อยากจะให้คือคำว่า
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า
“เปิดตาเปิดใจ”)
“เปิดตา” ในความหมายของอาจารย์ ไม่ใช่หมายถึงตาที่เป็นเนื้อมนุษย์ แต่เป็นเปิดตาแห่งธรรม เปิดใจแห่งธรรม ที่อยู่ในตัวของศิษย์ทุกคน มนุษย์เปิดตาทุกวัน ไขว่คว้าหาสรรพสิ่ง แต่หาไม่ได้อยู่สิ่งเดียวคือ “ธรรมในหัวใจตน” มนุษย์เข้าใจผู้อื่นมากมาย แต่ไม่เข้าใจหัวใจของตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเมื่อไรมนุษย์มีดวงตาแห่งธรรม เมื่อนั้นมนุษย์จะค้นพบใจแห่งธรรมไม่ได้ห่างกายเลย อยู่ในตัวเรานี่ แล้วดวงตาแห่งธรรมและดวงใจแห่งธรรมจะปรากฏได้อย่างไร ถ้ามนุษย์ยังขาดสติและไร้ความรู้ตื่นใช่หรือไม่ ฉะนั้นขอให้มีสติ ระลึกอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้จิตผูกพันกับรัก โลภ โกรธ หลง จนก่อเหตุเวียนว่ายไม่จบสิ้นเลย เราบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญเพื่อช่วยเหลือตัวเอง และมีโอกาสนำจิตใจที่เข้าใจถึงความทุกข์ยากของตัวเองนั้นไปช่วยผู้อื่นด้วยจิตเมตตา ตัวเองรอดแล้ว เราไม่สงสาร ไม่อยากให้คนอื่นรอดด้วยหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบำเพ็ญธรรมช่วยตน อย่าลืมช่วยผู้คน เข้าใจแล้วจงรีบนำสิ่งที่เข้าใจไปโปรดช่วยฉุดคนได้หรือไม่ ศิษย์ (ได้)  อย่าปล่อยให้ชีวิตจมอยู่กับความทุกข์ จนช่วยใครไม่ได้เลยแม้กระทั่งตัวตนเอง แต่จงนำความทุกข์เป็นหนทางอันประเสริฐที่ทำให้เราพบธรรมในตน ยิ่งทุกข์มากเท่าไรยิ่งเห็นชีวิตชัดมากเท่านั้นไม่ใช่หรือ
ดังที่ศิษย์พูดไว้แล้ว ความเป็นจริงของชีวิตในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดคงอยู่ถาวร ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้สิ่งที่ศิษย์เห็นมี พรุ่งนี้ก็คือไม่มี ตอนนี้สิ่งที่ศิษย์เห็นได้ อีกไม่กี่นาทีศิษย์ก็ไม่มีวันได้เห็นอีกต่อไป ไม่เห็นอาจารย์แต่เห็นธรรมในตัวเองได้ไหม (ได้)  พบอาจารย์แล้วนับจากนี้พบธรรมในตัวเองได้ไหม หรือการรู้แจ้งเห็นจริงในสรรพชีวิต ทุกสิ่งผ่านมาผ่านไป เหมือนตัวเราผ่านมาผ่านไป แต่เราเหลืออะไรให้คนระลึกได้ ถ้าไม่ใช่ความดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความดีที่แม้เราสูญสิ้นร่างกายแล้ว แต่คนก็ยังนึกถึงและจำไม่รู้ลืม ความดีอะไร ถ้าไม่ใช่จิตแห่งความเมตตา จิตที่รู้จักเสียสละตัวเองช่วยผู้อื่น ไม่ใช่มัวแต่สงสัยแล้วฟังไม่รู้เรื่องนะ วันนี้เป็นศิษย์อาจารย์กัน ต่อไปก็ยังเป็นศิษย์อาจารย์กันได้ ถ้าศิษย์ไม่ทอดทิ้งธรรมในตนนะ มีโอกาสกลับมาช่วยอาจารย์ ศึกษาเพิ่มเติมให้มากแล้วศิษย์จะเข้าใจชีวิตและเข้าใจตัวเองนะ
อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์ยึดติดรูปลักษณ์ เพราะถึงเวลาอาจารย์ก็ต้องไป สิ่งที่ศิษย์ควรจะยึดติดคือธรรม ไม่ใช่หัวใจของอาจารย์ อย่างนั้นก็จงเข้มแข็ง ไม่อ่อนแอ จะรู้หรือว่าอะไรเรียกว่าเข้มแข็ง แน่ใจหรือว่าความตายจะทำให้ชีวิตจบสิ้น ไม่จริงหรอกนะศิษย์ ความตายอาจจะก่อเกิดการเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น ถ้าศิษย์ยังไม่เข้าใจชีวิตอย่างถ่องแท้ ถูกหรือไม่ เปลี่ยนจากซับเหงื่ออาจารย์มาเป็นซับน้ำตาศิษย์ไม่ดีกว่าหรือ เข้มแข็งนะ อาจารย์เช็ดแล้วที่เหลือศิษย์ต้องเก็บไว้เช็ดน้ำตาตัวเอง ร้องวันนี้แล้วจะไม่ร้องอีกต่อไปนะศิษย์ ใช่ไหมศิษย์ดื้อ ใช่ไหมคนหัวแข็ง เข้าใจความหมายที่อาจารย์พูดไหม
เป็นคนมีความรู้ความสามารถ ทำไมไม่เอาความรู้ความสามารถช่วยคนให้ถูกทาง ทำอย่างไรให้คนไม่คิดผิดคิดร้าย เริ่มต้นที่ตัวเราก่อน ใช่หรือไม่ ทุกๆ คนเรียกร้องตัวเองไม่ต้องเรียกร้องใคร ทำได้หรือเปล่า เริ่มต้นที่ตัวศิษย์เองก่อน น่าเสียดายที่นักเรียนชั้นนี้ใจแข็งไม่ตอบอาจารย์เลย ถึงอาจารย์จะพูดลึกขนาดไหนก็ยังคงนั่งนิ่ง ตอบแต่อยู่ในใจ ค้านแต่อยู่ในใจ อาจารย์ก็ไม่รู้จะพูดอะไร ชีวิตของศิษย์ ศิษย์ต้องเลือกเอง ทำอะไรถ้าคิดพลาดคิดผิดคนที่ต้องรับผลก็คือตัวเราเอง ใช่ไหม
กลับมาอีกนะ มาช่วยอาจารย์ได้ไหม ศิษย์ดื้อเอ๋ย อายุยังน้อย มีโอกาสกลับมาช่วยได้หรือเปล่า แค่จับจะได้ผลหรือ ถ้าฟังไม่รู้เรื่อง รู้จักดำเนินชีวิตให้เป็น ความทุกข์ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ใช่ไหม รับปากอาจารย์แล้วทำให้ได้นะศิษย์ ฟังมากี่ครั้งแล้ว แล้วเมื่อไหร่ จะเอาไปทำ เอาไปช่วยคน จดไม่มีประโยชน์ถ้าใจศิษย์ไม่เข้าใจเรื่องหลักธรรม มีโอกาสลองเอาธรรมะไปช่วยคนไปช่วยเพื่อนของศิษย์ได้ไหม  แล้วทำให้มั่นคง แล้วทำให้ดีที่สุด ความมั่นคงในการบำเพ็ญธรรมต้องยาวไกลนะศิษย์นะ ถ้าไม่เกิดจากความเข้าใจตัวเอง มันก็อาจจะหดสั้นลงได้ เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม ดูแลตัวเองนะศิษย์นะ วันนี้ไม่ปล่อย คืนนี้ก็ต้องปล่อยแล้วนะ ฉะนั้นศิษย์ดูแลตัวเองให้ดีๆ คิดในสิ่งที่ควรคิดจะได้ไม่เจ็บ ไม่ทุกข์นะศิษย์นะ เป็นศิษย์ของอาจารย์ต้องเข้มแข็งสิ ทำให้ดีที่สุดนะ ทำใจอย่ายอมแพ้ ดูแลตัวเองให้ดี บำเพ็ญให้ดีเพื่อตัวเอง มั่นคงในการบำเพ็ญธรรม ไม่ถอยสักก้าว อาจารย์เป็นขวัญกำลังใจให้ศิษย์ดำเนินชีวิตแล้วค้นพบความเป็นจริงแห่งชีวิต พ้นจากทุกข์ จากโลกใบนี้เสียที หยุดการเวียนว่ายตายเกิดเสียทีด้วยตัวตนเอง เข้าใจชีวิตอย่างถ่องแท้ ไม่ใช่เพราะอาจารย์พูด แต่เข้าใจที่จิตของตัวเอง รู้ตื่นด้วยตัวเอง ได้ไหม (ได้)  คนที่อาจารย์ไม่ได้สัมผัส แต่ใจอาจารย์ก็คงยังอยู่กับศิษย์เสมอนะ เข้มแข็งไว้นะ ศิษย์นะ บำเพ็ญหนทางยาวไกล แต่ใจศิษย์ต้องมั่นคงไม่หวั่นไหว มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก ทำให้ได้นะ
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานธรรมด้านนอก)
ไม่ต้องคุกเข่าหรอกนะ อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์เจ็บ (ทนได้)  ขึ้นชื่อว่าศิษย์ของอาจารย์จี้กงรักสบายหรือรักลำบาก (รักลำบาก)  จริงหรือ เพราะอาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่าขึ้นชื่อว่าศิษย์ของอาจารย์จี้กงต้องยอมลำบากเพื่อ (คนอื่น)  ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธองค์ หรือไม่ว่าจะเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ล้วนพร้อมที่จะยอมกระโจนเข้าไปสู่ความลำบากเพื่อโปรดเวไนยสัตว์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าศิษย์เป็นศิษย์ของอาจารย์จี้กง อาจารย์ไม่ได้ต้องการศิษย์ที่รักสบาย เห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ แต่ศิษย์ต้องเป็นศิษย์ของอาจารย์ที่กล้าลำบากเพื่อผู้อื่น ยอมทนทุกข์ยอมเจ็บปวดเพื่อผู้อื่น เพราะเมื่อไรที่เรากล้าทุกข์กล้าเจ็บปวด แปลว่าเราลืมตัวลืมตน เพราะตัวตนเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไหร่เราพร้อมลืมตัวลืมตน ทุกข์ก็ไม่มีให้เราต้องบังเกิด
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าศิษย์อาจารย์จี้กงต้องไม่กลัวลำบาก ต้องไม่รักสบาย ต้องไม่เอาแต่ใจ ถ้ายังรักสบายเอาแต่ใจ นั่นก็ไม่ใช่เรียกว่าหนทางการบำเพ็ญแล้วเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์นะ ได้ยินไหม (ได้ยิน)  เข้าใจกันนะ (เข้าใจ)
ฉะนั้นเจอทุกข์เจอความยากลำบากจงยิ้มสู้ ไม่ตัดพ้อต่อว่าฟ้าดิน ยอมรับชะตากรรมที่ตัวเองเป็นคนสร้างมาและยินดีชดใช้ให้หมดสิ้น ถึงเวลาแล้วนะศิษย์ที่ศิษย์ต้องแบกรับกรรมด้วยตัวเอง อาจารย์ไม่สามารถยื้อยั้งฉุดได้อีกต่อไปแล้ว ฉะนั้นเวรกรรมของใคร ใครสร้างมาเท่าไหร่ศิษย์ต้องกลับไปรับเท่านั้นนะ แต่อาจารย์อยากจะบอกว่า จงรับด้วยความเต็มใจ รับด้วยจิตใจที่รู้จักขอขมาเขา ได้ไหม (ได้)  ให้อภัยเขาไม่ถือโกรธจะได้จบแล้วจบกัน ใครทำอะไรมาศิษย์ปล่อยวางไม่ถือโกรธ ใครว่าอะไรศิษย์มา ศิษย์ให้อภัย ไม่เจ็บแค้น ไม่ฝังใจจำ เราจะเป็นคนที่ตัดภพตัดชาติด้วยหัวใจแห่งธรรมของศิษย์เอง อย่ารอให้อาจารย์พูด ศิษย์ต้องตัดด้วยตัวศิษย์เอง ศิษย์ต้องคิดได้ด้วยตัวศิษย์เอง ถึงจะตัดได้หมดจริงๆ ถ้าศิษย์ยังคิดไม่ได้ ศิษย์ก็ยังตัดได้ไม่หมดนะ เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม (เข้าใจ)  ฉะนั้นใครร้ายมาจงดีตอบเท่านั้นเองนะศิษย์


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เปิดตาเปิดใจ”
ล้อมหลังล้อมหน้าทุกข์เข้าหัว  ตามองไปเขตแดนใดเล่าเหมือนทุกข์จ้องหน้า  แต่เราเหมือนทุกข์ไม่อาจบรรเทา เล่นงานแผดเผาชีวิน  พบทุกข์รู้ค่า ทุกข์ยากมักมาสอนคราก่อนเจียนจะสิ้น  เป็นทุกข์ด้วยเรื่องทำกิน ทุกข์เพราะไม่อาจจะชิน  เมื่อเจอโลกหินเต็มตา
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา