วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

2552-05-16 สถานธรรมเซิ่งเต๋อ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์



西元二○○九年歲次己丑四 月廿二日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒ สถานธรรมเซิ่งเต๋อ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่
ชอบลงแรงไม่ชอบศึกษาธรรม ความไม่รู้ครอบงำทางไร้เส้น
ชอบศึกษาแต่ลงแรงไม่เป็น มองไม่เห็นธรรมะนอกตำรา
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลี่เถียไกว่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ แฝงกายกราบประณตน้อม
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ


ติณชาติถอนทิ้งแต่คงไว้ราก สะดวกมากที่ใจกลับยิ่งบริโภค
ในยุคคนในธรรมปฏิพัทธ์โลก ดำรงอยู่ด้วยสิ่งโศกเป็นสำราญ
สัมผัสได้ไม่สมมติคือฝึกฝน ให้ชำระใจตนแจ้งในขันธ์
พึงรู้หยุดใจก่อนเป็นสำคัญ ชำระได้ไม่ใสนานเพราะงมงาย
สงบยินเสียงเรียกมาจากกมล สำนึกในส่วนจากก้นบึ้งผึ่งผาย
คนดีพร่ำแก้ไขเพราะว่าง่าย เที่ยงเป็นใจทุกข์ไม่รู้ทรมาน
รู้จักตนหันมาเปลี่ยนนิสัย เสียกลับมาเป็นได้ทุกสถาน
ญาณแท้ที่มนุษย์ปล่อยไว้นาน ต้องเอาจริงขยันตามกลับมา
โมหะวิ่งใช่หากระแสมาบงการ ไม่เป็นอันสู่สงบจบปัญหา
สังคมสับสนปลีกวิเวกไปในป่า ขาดศรัทธาในตนฝึกเวียนวน
ในกระแสธรรมต้องฝนลมกระหน่ำ ผิดเป็นครูอย่าทำปัญญาหล่น
ชีวิตล้วนลำบากความดีฉุดพ้น ฉลาดแต่เห็นแก่ตนไกลบำเพ็ญ
ฮา  ฮา  หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่
ฟังธรรมะแล้วเบื่อไหม (ไม่เบื่อ)  เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  อย่าเพิ่งเหนื่อยนะ เพราะยังเหลืออีกตั้งวันกว่าๆ หรือจะพูดว่าเหลือแค่วันกว่าๆ คำว่า “ตั้ง” กับคำว่า “แค่” ก็ให้ความรู้สึกที่ต่างกันแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าบอกว่า “แค่” แปลว่าเหลือแค่นิดหน่อย แต่ถ้าบอกว่า “ตั้ง” แปลว่าอย่างไร (เยอะ)  เหลือเยอะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้ทานข้าวกันอิ่มไหม (อิ่ม)  วันนี้เป็นโอกาสดีและเป็นฤกษ์ดีที่เราได้มีโอกาสมาร่วมผูกบุญสัมพันธ์กัน แต่ขึ้นชื่อว่ามนุษย์แล้ว เกิดขึ้นมาก็หนีไม่พ้นเรื่อง กฎแห่งกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์ทุกคนหนีไม่พ้นเรื่องวิบากกรรม หนีไม่พ้นกรรมที่ตัวเองก่อไว้ ทำไมบางคนเกิดมาโชคดี ร่ำรวย แต่บางคนเกิดมากลับยากลำบาก ทำไมคนบางคนเกิดมาสุขภาพดี แข็งแรง แต่คนบางคนเกิดมาพร้อมกับความเจ็บป่วย ความอ่อนแอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมบางคนเกิดมาร่างกายสมประกอบ แต่บางคนเกิดมาร่างกายพิกลพิการ บางทีเกิดมาไม่ได้พิการ แต่ชะตาพลิกผันทำให้จากคนปกติกลายเป็นคนต้องพิการ
ฉะนั้นเราอย่าบอกว่าเมื่อเผชิญวิบากกรรม เผชิญกับความทุกข์ยากแล้ว จะโทษกรรมไปทั้งหมด แล้วเราต้องจนตรอกกับกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนเกิดมาวาสนาดีก็ลำพองใจ แต่บางคนเกิดมาวาสนาไม่ดีก็ท้อใจ เช่นนั้นถูกต้องหรือ (ไม่ถูกต้อง)  กรรมได้สอนให้มนุษย์รู้จักตระหนักและพึงรู้ไว้ว่าชะตาชีวิตหรือกรรมเกิดขึ้นก็เพราะการกระทำ ทำไมปัจจุบันเราจึงเป็นอย่างนี้ ก็เพราะอดีตเราเคยทำมา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอนาคตจะดีขึ้นกว่านี้หรือแย่ลงกว่านี้ ก็อยู่ที่ปัจจุบันเราจะกำหนดใจเราอย่างไร ถึงแม้ว่าชีวิตแต่ละคนฟ้าจะให้ทุนมาไม่เท่ากัน แต่สิ่งหนึ่งที่เรามีเท่าเทียมกันอยู่ก็คือ อิสระของจิตใจ อิสระที่จะวางใจ ฟ้าให้ท่านทุกข์ แต่ใจเราจำเป็นต้องทุกข์ไหม (ไม่จำเป็น)  ฟ้าให้ตัวเราต้องกลายเป็นคนพิการ แต่ใจเราต้องพิการไหม (ไม่จำเป็น)  ฉะนั้นใจเรามีอิสระ เงินสามารถซื้อได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ซื้อใจเราไม่ได้ ฟ้าทำลายร่างกายเราได้ แต่ฟ้าเปลี่ยนใจเราไม่ได้ ท่านเคยได้ยินคำพูดของคนๆ หนึ่งพูดไหมว่า “แม้ฟ้าจะกำหนดให้ฉันลำบาก แต่ฉันจะพยายามพลิกหาความสบายให้เจอ ด้วยความขยันหมั่นเพียรและซื่อตรง แม้ฟ้าจะให้เราทุกข์ แต่ใจเราจะพยายามหาความสุขให้เจอ” นั่นแปลว่า ถึงแม้ว่าเราจะได้ทุนมาไม่เท่ากัน กรรมมาทำให้เราลำบากแตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ทั้งฟ้าและคนในโลกทำอันตรายเราไม่ได้ก็คือ หัวใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฟ้าก็เล่นตลกกับชีวิตได้ แต่เล่นตลกกับใจเราไม่ได้ ใจเราสามารถมีอิสระเหนือทุกสิ่งทุกอย่างได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  เหมือนวันนี้แม้ฟ้าหรือแม้แต่คนจะบังคับให้ท่านนั่งอยู่ตรงนี้ แต่หัวใจเราสามารถเป็นอย่างไร อาจจะไม่นั่งตรงนี้ก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาบังคับได้แค่ตัวท่าน แต่หัวใจท่านบังคับไม่ได้ เหมือนเขาบังคับให้ท่านต้องฟัง ตัวอาจจะอยู่แต่ใจไม่จำเป็นต้องฟัง ทำไมทีอย่างนี้ท่านรู้จักเล่นแง่ได้ รู้จักพลิกผันได้ แต่เมื่อความทุกข์และความยากลำบากมาเจอกับตัว ทำไมเราถึงไม่รู้จักเอาใจนี้สู้ให้ได้
ฉะนั้นถ้าฟ้าทำให้ท่านต้องสูญเสีย ใจเราต้องสูญเสียด้วยไหม (ไม่)  ถ้าฟ้าทำให้เราเจ็บปวด ใจเราต้องเจ็บปวดด้วยไหม (ไม่)  หรือเราเป็นทาสที่ซื่อสัตย์ กายเป็นอย่างไรใจก็เป็นอย่างนั้น ท่านเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า (ไม่)  บางครั้งเราก็ดื้อออกจะบ่อยมิใช่หรือ กายไปอย่างหนึ่ง แต่ใจก็ไปอีกอย่างหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถึงแม้ว่าใครจะบังคับตัวท่านได้ แต่หัวใจบังคับไม่ได้ ถูกหรือเปล่า (ถูก)
สนใจขาเราจังเลย ก็เป็นแค่ขาๆ หนึ่งที่บางครั้งมีปกติได้ ก็มีผิดปกติได้ เหมือนใจเราใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งก็ดี บางครั้งก็ทำตัวให้ผิดปกติได้ แล้วเวลาผิดปกติบ่อยๆ ดีไหม (ไม่ดี)  น่ารักไหม (ไม่น่ารัก)
เราถามท่านว่า ถ้าหากในโลกนี้มีแต่คนดี เราต้องเรียกร้องคนดีให้ปรากฏไหม (ไม่)  เราจะชื่นชมคนดีที่อยู่ๆ เขาดีขึ้นมาไหม (ไม่)  ถ้าในโลกทุกคนเป็นคนดีหมด เราคงไม่ยกย่องคนดีว่าดีหรอก เป็นเพราะว่าในสังคมไม่มีคนดี พอมีคนดีสักคนหนึ่ง เราจึงให้เกียรติและยกย่อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเกิดเราไม่เจอคนเลวร้ายมาตลอดชีวิต ใจลึกๆ เราคงไม่โหยหาคนดีหรอก ถูกหรือไม่ (ถูก)
เหมือนกันถ้าในโลกนี้มีแต่คนยุติธรรม บริสุทธิ์ และเที่ยงตรง ท่านก็คงไม่ต้องร่ำร้องหาคนบริสุทธิ์ยุติธรรมหรอก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เพราะเราเห็นเราเจอมากับชีวิตแล้วว่า คนที่คดโกงคนอื่นนั้น ทำร้ายชีวิตผู้อื่นให้เจ็บปวดมามากมายแค่ไหน คนที่ไม่ดีนั้นทำให้คนรอบข้างต้องเดือดร้อนมากแค่ไหน เมื่อมีคนไม่ดีเยอะ การมีคนดีสักคนหนึ่งก็เลยเป็นที่ชื่นชมถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ถ้าเกิดในโลกมีคนดีหมด เราจำเป็นต้องชื่นชมคนดีอีกไหม (ไม่จำเป็น)  ที่เราต้องพยายามชื่นชมและเรียกร้องให้มีคนดีอยู่เต็มไปหมดในโลก ก็เพราะว่าสังคมขาดคนดีแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมบ้านเมืองจึงต้องมีกฎหมาย ก็เพราะว่ามนุษย์ไม่เคารพและละอายเกรงกลัวต่อบาปแล้ว กฎหมายจึงต้องมีบังคับจิตใจมนุษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ชอบลงแรงไม่ชอบศึกษาธรรม ความไม่รู้ครอบงำทางไร้เส้น
ในที่นี้ถ้าถามว่าให้ลงแรงไปปฏิบัติธรรม ไปลงแรงไปช่วยคน บางคนขอบอกว่าเลือกลงแรงดีกว่าเลือกนั่งฟังธรรม ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าเราไม่ศึกษาให้เข้าใจ พอลงแรงไปสักพักเจอความเหนื่อย เจอความลำบาก ท่านก็บอกว่าไม่เอาแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเราต้องเข้าใจว่าการลงแรงปฏิบัติธรรม ลงแรงไปเพื่ออะไร ถ้าเราตอกย้ำความเข้าใจตรงนี้ให้ชัดเจน เมื่อเจอความยากลำบาก ความเข้าใจจะช่วยดึงความลำบาก ความท้อ ให้เป็นพลังต่อสู้ก้าวเดินต่อไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดไม่เข้าใจแล้ว พอไปลงแรง เจออุปสรรคเจอความยากลำบาก ท่านก็ต้องท้อและพับเก็บกลับบ้าน จริงไหม (จริง)  เหมือนวันนี้นั่งฟังท่านเหนื่อยมากๆ ไม่รู้ว่าต้องมาฟังเพื่ออะไร วันนี้ก็คงฟังแค่วันเดียวไม่มาฟังต่ออีกในวันพรุ่งนี้ ใช่หรือเปล่า
มีร่างกายเป็นเรื่องทรมานไหม สำหรับท่านไม่ทรมานแล้วใช่หรือไม่ มองเราอาจจะทรมาน แต่จริงๆ เราพ้นความทรมานแล้ว แต่มองท่านอาจจะไม่ทรมาน แต่จริงๆ ท่านยังไม่พ้นทรมาน ใครเข้าใจความหมายเราบ้าง มองเราดูทรมาน แต่จริงๆ เราพ้นทรมานมานานแล้ว มองท่านอาจจะสบาย แต่จริงๆ แล้วท่านยังไม่พ้น ยังคงต้องทรมานอยู่ จริงหรือไม่ (จริง)
ไม่ง่ายเลยนะที่จะมีโอกาสมาผูกบุญสัมพันธ์กันแบบนี้ อาจจะแปลกตาไปสักหน่อย แต่ไม่นานก็คงคุ้นเคย วันนี้มาก็เพื่อจะมาฟังธรรมะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วได้ธรรมะอะไรไปบ้างไหม ได้ธรรมะข้อไหนไปบ้าง
(สัจธรรมของมนุษย์)  สัจธรรมของมนุษย์คืออะไร (เกิด แก่ เจ็บ ตาย)  สิ่งที่มนุษย์ต้องพึงระลึกไว้เสมอนั่นก็คือ มนุษย์หนีไม่พ้นเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย  ฉะนั้นสิ่งที่สวยงามที่สุดมักจะมีสิ่งที่ไม่สวยงามซ่อนอยู่ สิ่งที่ดีที่สุดมักจะมีสิ่งที่ไม่ดีแอบแฝงอยู่
ฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่าสุขที่สุด ก็อาจจะมีทุกข์ที่สุดแฝงอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ามนุษย์พึงระลึกอยู่เสมอ มนุษย์ก็คงไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต และรู้จักจัดการความทุกข์ให้เป็นความสุขได้ และคงไม่หลงใหลได้ปลื้มความสุขเล็กๆ น้อยๆ จนกลายเป็นความทุกข์ไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราอยากจะบอกว่าจริงๆ แล้วมนุษย์ทุกคนนั้น แม้ชะตาชีวิตจะต้องลำบากขนาดไหน หรือชีวิตจะพบความทุกข์ยากเพียงใด แต่สิ่งสำคัญที่สุดนั่นก็คือ หัวใจของเรา เราสามารถวางใจให้อิสระเหนือทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่ทำอย่างไรเล่า ในเมื่อตัวยังอยู่บนโลก ใจก็เลยอดเปื้อนธุลีกิเลสไม่ได้
ฉะนั้นสิ่งที่มนุษย์ต้องระวังที่สุดสำหรับหัวใจอันเป็นอิสระนั่นก็คือ อารมณ์และกิเลส ถ้ามนุษย์ไม่รู้จักระมัดระวังกิเลสอารมณ์ของตน กิเลสอารมณ์จะทำให้ใจที่อิสระกลายเป็นใจที่คับแคบ จริงหรือเปล่า (จริง)  อย่างเช่นง่ายๆ ถ้าเราปล่อยให้ความอยากครอบงำมากเกินไปโดยไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี โดยไม่รู้จักเมตตาสงสารแล้ว ความอยากนั่นแหละก็อาจจะทำให้เรากลายเป็นคนเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตใจที่จะอิสระรักคนอื่นก็อาจจะรู้จักเลือกที่รักมักที่ชัง เมื่อเราเลือกที่รักมักที่ชังการดำเนินชีวิตย่อมเกิดการแบ่งแยกและปฏิบัติอย่างแตกต่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งที่มนุษย์ชอบที่สุดคืออะไร (ความสุขสบาย)  แต่ความสุขสบายกว่าจะได้มาต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและแรงกาย สิ่งที่มนุษย์ต้องการจริงๆ คือ เงิน ถูกไหม (ถูก)  มนุษย์ทุกคนคิดว่าเงินสามารถซื้อความสะดวกสบายได้ เงินสามารถซื้อความสุขได้ เมื่อใดที่ปรารถนาเงินจิตใจของเราเริ่มจะไม่อิสระ ถูกหรือไม่ (ถูก)  เพราะว่าความอยากบังคับให้เราต้องทำงาน แต่ท่านเคยได้ยินไหมว่า “แม้เงินไหลมาเท่าห่าฝนก็ยากจะทำให้มนุษย์เติมเต็มหรือพอใจได้”  แม้มนุษย์จะได้เงินมากกว่าอดีต ซึ่งแต่ก่อนอดีตบอกว่าถ้าอดีตมีเงินเท่านี้ก็คงจะเป็นสุขแล้ว แต่พอมีเท่ากับที่อดีตคิด เรากลับพูดว่าน่าจะได้มากกว่านี้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ก่อนเราไม่เคยมีเงิน พอได้เหรียญบาทเหรียญหนึ่งเราก็ดีใจ แต่พอเราได้เหรียญบาทมาบ่อยๆ เราก็อยากเปลี่ยนเป็นเหรียญสิบ แต่พอได้สิบบาทเหรียญเดียวเราก็ไม่พอ เรายังอยากได้อีก
เมื่อความทะยานอยากเพิ่มมากขึ้นๆ แต่ผลที่สุดแล้วพอหาไปได้เยอะๆ เรากลับรู้สึกว่าเงินซื้ออะไรก็ได้ แต่เงินซื้อสิ่งหนึ่งไม่ได้คือ (จิตใจ)  ซื้อจิตใจคนไม่ได้ (ความตาย)  ซื้อความตายไม่ได้แต่บางทีก็ยื้อได้หน่อย แต่พอกระทั่งเราหาไปได้สักระยะหนึ่ง เราจึงรู้ว่าเงินซื้อความสุขไม่ได้ เงินซื้อใจคนไม่ได้ เงินซื้อคนที่รักเราจริงไม่ได้ และเงินก็ซื้อคนที่ซื่อตรงไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราทำไมไม่ทำงานไปด้วยแล้วสามารถสร้างคนแล้วทำให้คนรักไปด้วย ทำไมเราไม่หาเงินไปด้วยแล้วทำให้คนรักเราไปด้วย แต่กลายเป็นว่าการหาเงินของเราด้านหนึ่งกลับฆ่าคนอีกด้านหนึ่ง เราเป็นอย่างนั้นไหม เคยไหมว่าการหาเงินของเราก้อนหนึ่ง แต่กลับกลายเป็นการฆ่าเพื่อนไปครึ่งหนึ่ง เคยไหม (เคย)  การหาเงินของเราก็เหมือนการฆ่าชีวิตจิตใจอันดีงามของเราไปค่อนชีวิต ตอนแรกก็ไม่โกหก แต่เพื่อให้ได้เงินก็ยอมเป็นคนโกหก ตอนแรกเราก็เป็นคนมีจิตเมตตา แต่พอเพื่อเงิน เราลืมความเมตตาไป ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอย่าโทษฟ้าว่าฟ้าทำให้เรามีกรรมอย่างนี้ แต่บางทีต้องอย่าลืมว่า ที่เราเป็นอย่างนี้เพราะเราเป็นผู้กระทำทั้งสิ้น เคยไหมหาเงินมาเยอะๆ แต่ถึงเวลาก็กลายเป็นคนโดดเดี่ยว เพราะไร้คนที่รักแท้จริง และมนุษย์ก็เลยบอกว่า ฉันจะมีอิสระได้ ฉันจะมีความสุขได้ นอกจากฉันจะมีเงินมากมายแล้ว อีกสิ่งหนึ่งก็คือ ต้องเป็นผู้ชนะ แพ้ไม่ได้ แต่ลืมไปไหมว่า เมื่อชนะครั้งหนึ่ง เรากลับกลายเป็นผู้สร้างการรบที่ยืดเยื้อ ชนะแล้วเราก็ต้องออกไปสู้รบกับเขาอีกเพื่อให้ชนะอีก วันนี้ท่านชนะใจคนนี้ได้ แต่ต่อไปเรายอมแพ้เขาไหม เราก็ต้องพยายามรักษาความชนะไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ชีวิตของมนุษย์ที่ไม่สามารถอิสระได้ก็เพราะว่า ใจเรามักจะกำหนดว่า ฉันจะมีความสุขได้ ฉันจะมีอิสระที่แท้จริงได้ ก็ต่อเมื่อมีเงินมากมาย เป็นผู้ชนะ และเป็นคนสำเร็จ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากว่าได้เงินมามากมาย แต่ฆ่าผู้อื่นไปเยอะ เงินนั้นสมควรได้หรือ (ไม่สมควร)  ได้เป็นผู้ชนะ แต่ทำให้ผู้อื่น (เดือดร้อน)  ฉะนั้นผู้ชนะที่แท้จริงคือ รู้จักแพ้เป็น แพ้ได้  ฉะนั้นอย่าให้ความปรารถนาในความอิสระ ความปรารถนาในความสุข ทำลายตัวเองและทำลายผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว
ฉะนั้นสิ่งที่มนุษย์มีเท่าเทียมกันคือ ความอิสระของจิตใจ ไม่มีใครบังคับใจท่านได้ แม้ความทุกข์จะมาอยู่ตรงหน้า ร่างกายอาจจะทุกข์ แต่ใจท่านไม่ทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำอย่างไรใจเราถึงจะสามารถเป็นผู้มีอิสระอย่างแท้จริง ผู้ที่จะสามารถมีอิสระอย่างแท้จริงในหัวใจได้ ต้องเป็นผู้ที่กล้ายอมรับทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ว่าโลกนี้จะสุขหรือจะทุกข์ก็ตาม หรือแม้ว่าโลกนี้จะมีแต่ทุกข์ และไม่มีสุขก็ตาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะคนที่จำกัดว่าชีวิตต้องมีแต่สุข ห้ามทุกข์ คนนั้นคือคนที่ทำให้ชีวิตไร้อิสระ ไม่มีวันพบความสุขที่แท้จริงในทุกข์ได้
ฉะนั้นถ้าเราอยากเข้าใจว่าการวางใจให้เป็นสุข และการวางใจให้เป็นอิสระอย่างแท้จริงทำอย่างไร ไม่ยากเลย รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนเองมีหรือยัง รู้จักยินดีในสิ่งที่ตนเองได้หรือยัง ถ้าพอใจในสิ่งที่ตนเองมี ยินดีในสิ่งที่ตนเองได้ หัวใจมนุษย์ก็จะสามารถมีอิสระได้อย่างแท้จริง ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่สิ่งที่มนุษย์ยังทำให้ไม่สามารถพบอิสระที่แท้จริงได้ ก็เพราะว่า ยังอดพอไม่ได้สักที ตายังมองผู้อื่นแล้วเปรียบเทียบอยู่วันยันค่ำ
ถามท่านว่าอยู่ๆ เดินๆ ไปเจอแบงก์ร้อย ดีใจไหม (ดีใจ)  กลับไปบ้านไปบอกแฟนว่า “เจอแบงก์ร้อย” แต่แฟนบอกว่า “ฉันก็เจอเหมือนกัน แต่ฉันเจอแบงก์พัน” จากสุขกลายเป็นทุกข์ จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะอะไร (เพราะเปรียบเทียบ)  เหมือนง่ายๆ ท่านมองชีวิตปกติบางครั้งท่านก็เบื่อ หน้าก็เหี่ยว ผมก็ขาว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พอไปเจอคนหน้าเหี่ยว ผมขาว แต่ตายไปแล้ว เรากลับรู้สึกว่าดีใจที่ยังมีชีวิต ถูกหรือไม่ (ถูก)  หรือพอเราไปเห็นคนหนุ่มๆ สาวๆ ทำไมเรากลับรันทด เราแก่แล้วหรือ ทำไมไม่คิดกลับกันว่า “ดีนะ ฉันผ่านวัยนี้มาได้ จนอยู่ถึงปัจจุบันนี้” ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถมีอิสระหรือมีสุขที่แท้จริงได้เพราะ “ความคิด” ไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนถามว่าแบงก์ร้อยที่เรามี เรามีไหม (มี)  แต่ทำไมยังอยากได้แบงก์ร้อยของคนอื่น ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นเกิดจากอะไร ล้วนเกิดจากความคิดที่ไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมี เราจึงเป็นผู้ที่อยู่ไกลกับความสุข ถูกหรือไม่ (ถูก)  เหมือนตอนนี้ฟังเราพูด แต่ในใจลึกๆ กลับไปนอนตีพุงดูทีวีดีกว่าอีก ถ้าคิดอย่างนี้ นั่งตรงนี้นั่งอย่างไรก็ไม่สบาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นจิตที่อิสระ กลายเป็นจิตที่คับแคบ จิตที่อิสระสามารถมีสุข กลายเป็นจิตที่มีทุกข์ เพราะไม่รู้จักพอและไม่รู้จักนำความคิดให้เป็น หรือนำชีวิตให้ถูก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ได้ตรงนี้ก็อยากได้ตรงโน้น ก็ไปเรื่อยๆ แต่เคยไปเรื่อยๆ แล้วก็อยากกลับมาตรงนี้ไหม (เคย)
เราจะเปรียบเทียบง่ายๆ ให้ท่านฟัง มีชายคนหนึ่งอยากร่ำรวยก็เลยพยายามหาวิถีทางเพื่อที่จะทำให้ตนเองร่ำรวย แต่พอลงทุนไปร้อยกลับได้มาห้าสิบ พอลงทุนไปห้าสิบกลับได้ติดลบห้าสิบ เขาเลยรู้สึกว่ารู้อย่างนี้ไม่ลงทุนก็ดี ชีวิตเป็นอย่างนั้นไหม มนุษย์เกิดมาเริ่มต้น คิดว่าต้องกำไรๆ พอทำไปทำมาได้กำไร แต่พอยิ่งทำกลับกลายเป็นขาดทุนแถมเข้าเนื้อ เลยรู้สึกว่าไม่ลงทุนดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราคิดว่าแสวงหาข้างหน้าคือความสุข มั่นใจหรือว่าคือความสุข มั่นใจหรือว่าข้างหน้าคือกำไร อย่าลืมนะว่าบางทีข้างหน้าอาจจะไม่ใช่กำไร แต่อาจจะเป็นขาดทุนหรือเท่าทุนก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ลงทุนไปร้อยแล้วหมดร้อยขาดทุนไหม (ขาดทุน)  เท่าทุน เพราะแต่ก่อนเราก็ไม่มีไม่ใช่หรือ  ฉะนั้นชีวิตสอนให้เรารู้จักกลับมาเท่าทุนเหมือนเดิม เหมือนแต่ก่อนเราเคยมีลูก มีภรรยา มีเงินเยอะขนาดนี้ไหม (ไม่มี)  แล้วตอนนี้ได้รู้จักการเสียลูก เสียภรรยา เสียเงิน ทำไมต้องบอกว่าขาดทุน แต่เรากำลังกลับมาเท่าทุน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าคิดได้แล้วเรากำลังเสียอะไรล่ะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่เสียจริงๆ คือ เสียใจอันอิสระต่างหาก ใช่ไหม (ใช่)  เพราะความยึดมั่นถือมั่นในความคิด ในอารมณ์เพียงชั่ววูบ
แล้วอะไรที่ครอบงำจิตใจของมนุษย์ ทำให้มนุษย์ไร้อิสระได้มากที่สุด (กิเลส)  กิเลสอะไรที่ครอบงำใจของเรา แล้วทำให้เรานั้นกลายเป็นคนที่ไม่สามารถมีอิสระที่แท้จริงในชีวิต (ความโลภ ความโกรธ ความหลง)  ความโกรธนี่น่ากลัว ทำให้มนุษย์ร้อนเป็นไฟได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จริงๆ แล้วพระพุทธะล้วนกล่าวไว้ว่าไม่ว่าโลภ โกรธ หลง เหมือนดุ้นไฟที่มนุษย์เมื่อไรที่ถือแล้วถ้าไม่รู้จักปล่อยวาง ดุ้นไฟนี้ก็มีแต่จะเผาลนจิตใจให้เป็นทุกข์ไม่ว่าเช้า กลางวัน เย็น ไม่ว่าตื่นหรือหลับ แม้แต่นอนหลับแต่คิดว่าอยากได้ๆ จะหลับหรือไม่หลับ (ไม่หลับ)  หรือแม้แต่ความหลง ถ้าหลงอยากได้เสื้อตัวนั้น หรือหลงหญิงสาวคนใดคนหนึ่ง แม้อยู่ก็ไม่เป็นสุขต้องได้เห็นหน้าถึงจะเป็นสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความโลภ ความโกรธ ความหลง จึงเปรียบเหมือนดุ้นไฟ ถ้าผู้ถือไม่รู้จักถือให้เป็น ดุ้นไฟนั้นก็มีแต่เผาลนใจให้มอดไหม้ทุกคืนทุกวัน  ฉะนั้นพระพุทธะจึงบอกให้มนุษย์รู้จักห่างจากโลภ โกรธ หลง ด้วยใจที่รู้จักพอบ้าง ใจที่รู้จักสุขในความเรียบง่ายบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าไม่รู้จักพอในความเรียบง่าย ไม่รู้จักสุขในความธรรมดาสามัญ มนุษย์ก็คือผู้ที่ยินยอมถือดุ้นไฟโลภ โกรธ หลง ไม่จบไม่สิ้นจริงหรือไม่ (จริง)
(ความรัก)  ความรักสามารถครอบงำใจได้ ถ้ารักนั้นเห็นแก่ตัว รักนั้นเอาแต่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  รักที่เป็นแต่ผู้รับแต่ไม่เป็นผู้ให้ แล้วเราเป็นรักแบบนั้นหรือเปล่า รอรับอย่างเดียวไม่เคยคิดให้ ปรารถนาอย่างเดียวแต่ไม่เคยเสียสละให้ เหมือนกันถ้ามนุษย์รู้จักแสวงหา แต่การแสวงหานั้นไม่รู้จักแบ่งปัน การแสวงหานั้นก็พร้อมจะกลับกลายเป็นความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นรู้จักแสวงหาแล้วอีกด้านหนึ่งต้องรู้จักแบ่งปัน แล้วความแสวงหานั้นก็จะไม่กลายเป็นความโลภที่เห็นแก่ตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีอะไรอีกไหมที่ทำให้มนุษย์กลายเป็นคนที่ไม่สามารถมีอิสระ มีชีวิตเหมือนถูกกรงขัง มีชีวิตเหมือนถูกพันธนาการ “ความห่วง” เป็นไหม (เป็น)  ห่วงทรัพย์สมบัติห่วงไหม (ห่วง)  ถ้าอย่างนั้นไม่หามาดีไหมจะได้ไม่ห่วง สิ่งหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถเป็นอิสระ ก็อย่างที่เราบอกตั้งแต่ต้น
มนุษย์ชอบสุขแต่ไม่รักทุกข์ ชอบการได้แต่ไม่ชอบการเสีย แล้วเป็นไปได้ไหมในโลกนี้ที่มีแต่ได้ไม่มีเสีย มีแต่สุขไม่มีทุกข์ ผู้ที่หวังแต่จะได้แล้วไม่เสีย ก็ไม่ต่างอะไรจากการดำเนินชีวิตเหมือนขอทาน หวังแต่จะได้อย่างเดียวแต่ไม่เคยให้ใคร เขาก็ไม่ต่างอะไรกับมีชีวิตแล้วไม่ต่างจากขอทานที่แต่งตัวดีเท่านั้นเอง ถูกหรือเปล่า (ถูก)  ฉะนั้นเกิดเป็นคน หามาได้ก็ต้องรู้จักให้เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เช่นนั้นแล้วการแสวงหาของเราจะกลายเป็นความโลภและเห็นแก่ได้ เหมือนที่เราบอกไว้แต่ต้น
ฉะนั้นใครที่นั่งฟังตรงนี้แล้วรู้สึกว่าทรมาน เราจึงอยากบอกท่านว่า ท่านกำลังเปรียบเทียบกับอะไร ถ้าเปรียบเทียบกับตอนก่อนอยู่บ้าน ตอนนี้ก็อาจจะทรมาน แต่ถ้าเปรียบเทียบกับเรา ท่านก็สบายแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความสุขหรือความทุกข์ ที่มนุษย์บอกว่าสุข ทุกข์ แท้จริงเรากำลังเปรียบกับอะไร ที่มนุษย์บอกว่ามีแล้วกลายเป็นไม่มี นั่นเรากำลังเปรียบเทียบกับอะไร ถ้าเปรียบเทียบกับเด็กๆ ตอนนี้ก็ถือว่ามีเยอะแล้ว แต่ถ้าเปรียบเทียบกับอดีตก็อาจจะบอกว่าน้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือเปรียบกับอนาคต หรือเปรียบกับผู้อื่น เราก็บอกว่าน้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าคิดอย่างนี้ชีวิตก็จะหาสุขไม่ได้เลย มีแต่ทุกข์อยู่ร่ำไป
ฉะนั้นสุขสามารถหาได้ ขึ้นอยู่กับว่าความคิดของเรากำลังเปรียบกับใคร หรือความคิดของเรากำลังอยู่กับปัจจุบัน หรือเพ้อฝันแต่อนาคต จนลืมคุณค่าปัจจุบันที่เราควรแสวงหาและมีสุข มนุษย์มักจะบอกว่าความสุขของมนุษย์คือการได้สิ่งใหม่ ได้ของต้องใจ แต่ถามว่าสิ่งใหม่และของต้องใจ พอบ่อยเข้าหลายๆ ครั้งก็กลายเป็นความเบื่อหน่าย ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถามท่านว่าถ้ากินอาหารก็ต้องอร่อย แต่ถามท่านว่าถ้าอาหารอร่อยกินทุกมื้อๆ ทำไมกลายเป็นไม่อร่อย ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นอร่อยไม่อร่อย จริงๆ แล้วอยู่ที่ใจ สุขหรือทุกข์มนุษย์สามารถปรับเปลี่ยนได้ด้วยความคิด และหัวใจของเรา  ฉะนั้นอิสระอยู่ที่ตัวท่านเอง แต่คนที่ทำลายอิสระและทำลายความสุขของชีวิตก็คือ ความคิดของท่านนั่นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่สิ่งที่มนุษย์ชอบเป็นก็คือ มองเห็นผู้อื่นได้ชัดแต่มองเห็นตัวเองไม่ชัด เข้าใจผู้อื่นได้ดีแต่หาความเข้าใจตัวเองสักนิดไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าหันมองออกจนลืมมองเข้า อย่ามัวแสวงหาจนลืมบ่มเพาะคุณธรรมภายใน เราอยากจะบอกว่ามนุษย์สามารถทำงานไปด้วย บ่มเพาะคุณธรรมไปด้วย มนุษย์สามารถทำงานไปด้วยและปฏิบัติธรรมไปด้วย เคยทำได้อย่างนี้ไหม มีคำกล่าวว่า “งานสร้างคนแต่คนก็สร้างงานได้ด้วย” ใช่หรือไม่ (ใช่)  งานสร้างคนให้รู้จักรับผิดชอบ แต่งานก็สร้างคนให้กลายเป็นคนใจร้อน หงุดหงิดง่ายและก็เร่งร้อนโดยไม่จำเป็น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  และก็กลายเป็นคนขาดเมตตาโดยไม่มีเหตุผล จริงไหม (จริง)  แล้วเราจะทำอย่างไรให้การทำงานของเรา หรือการแสวงหา หรือการดำเนินชีวิตนั้น ควบคู่ไปกับการปฏิบัติธรรมและบ่มเพาะคุณธรรม นั่นก็คือเราสามารถทำใจรับได้ไหมว่าสำเร็จ ไม่สำเร็จ จะแพ้จะชนะ จะสุขจะทุกข์ก็ไม่เป็นไร ถ้ารับได้กับสามสิ่งนี้ มนุษย์จะสามารถทำให้งานสร้างคนและคนสร้างงานได้ ด้วยการยอมรับสามสิ่งนี้ให้ได้ก่อน หลังจากนั้นเอาใจใส่ขณะที่กระทำ และทุกขณะที่กระทำทำให้ดีที่สุดด้วยใจที่จดจ่อ เมื่อนั้นจะเกิดสมาธิ และสติจะคุ้มครองรักษาในการทำงาน นี่เรียกว่า ทำงานไปด้วยบ่มเพาะไปด้วย แต่ในลึกๆ ของมนุษย์กลับกัน ทำงานไป จะได้ไหมจะสำเร็จไหม กังวลอยู่ตลอดเวลา กลายเป็นว่ายิ่งทำงานก็ยิ่งบ่มเพาะจิตใจที่เร่งร้อน จิตใจที่ต้องเอาแต่ได้ ต้องเอาชนะ ต้องสำเร็จ โดยไม่รู้ตัว
ฉะนั้นเราสามารถทำงานไปด้วยบ่มเพาะคุณธรรมไปด้วย ด้วยการที่สำเร็จหรือไม่สำเร็จ แล้วปล่อยวางได้ไหม แพ้ชนะไม่เป็นไรได้ไหม โดนชมหรือโดนว่าก็ไม่ต่างกันได้หรือเปล่า ถ้าเรารับสามสิ่งหรือสี่สิ่งที่เราพูดนี้ได้ เราจะสามารถทำงานด้วยใจจดจ่อ และเอาใจใส่และทำให้ดีที่สุดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่แหละเรียกว่า ทำงานด้วยใจว่าง แล้วเมื่อนั้นการทำงานก็คือการปฏิบัติธรรม แต่ทุกครั้งเวลาเราทำงาน เราคิดว่าฉันต้องได้ ฉันต้องชนะ ฉันต้องเหนือกว่า เมื่อคิดแบบนี้ความเมตตาหายไป ความผิดชอบชั่วดีลืมนึกถึง ความเคารพให้เกียรติกันไม่จำเป็นต้องมี มองอยู่อย่างเดียวคือเป้าหมายต้องสำเร็จ แต่เราลืมไปว่าไปถึงเป้าหมายแต่เราได้ฆ่าคนระหว่างทาง และฆ่าใจอันดีของเราระหว่างทางไปเท่าไรแล้ว
ฉะนั้นท่านสามารถทำงานไปด้วยปฏิบัติธรรมไปด้วย ด้วยการที่สำเร็จ ไม่สำเร็จ รับได้ไหม ชมเชยหรือตำหนิทนได้หรือเปล่า แพ้หรือชนะไม่เป็นไรได้ไหม ถ้ารับได้ท่านจะสามารถมีสมาธิจดจ่อ และทำตรงนี้ให้ดีที่สุด ทุกขณะที่ก้าวก็จะรู้สึกสงบเย็น ไม่วิตก ไม่ทุกข์ร้อน ไม่กลุ้มกังวล แต่นั่งตรงนี้ก็คิดว่าเมื่อไรจะจบ กลายเป็นว่ายิ่งนั่งฟังธรรมะ จะบ่มเพาะให้ใจกลับเย็น กลายเป็นใจยิ่งร้อน วันนี้จะได้ความใจเย็นกลับได้ความหงุดหงิดและใจร้อนไป
ฉะนั้นเราสามารถทำงาน นั่งฟังธรรม หรือทำอะไรก็แล้วแต่ สามารถบ่มเพาะคุณธรรมไปได้ด้วย ถ้าเราทำด้วยใจจดจ่อและเป็นสมาธิหนึ่งเดียว หรือเป็นจิตหนึ่งใจเดียว จบอย่างไรก็ได้ รับได้ทุกแบบ เพราะถึงที่สุดแล้ว สิ่งที่ดีก็แฝงอยู่ในสิ่งที่ไม่ดี และสิ่งไม่ดีก็แฝงอยู่ในสิ่งที่ดี ได้รับคำชมแต่ก็มีคำติหนีไม่พ้นหรอก ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นมนุษย์สามารถทำงานไปด้วย บ่มเพาะคุณธรรมไปด้วย ฟังธรรมะไปด้วย อบรมใจให้เย็นไปด้วย อย่ากลายเป็นฟังธรรมะไปด้วย แต่กลับอบรมใจให้ยิ่งร้อนไปด้วย ไม่น่าเลยนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเราอยู่กับสามี ลูก รู้ว่าลูกพูดอะไรไม่เคยเรียบร้อย พูดเอะอะไม่ไพเราะ หรือสามีชอบเอะอะ ในใจเราบ่มเพาะความใจเย็นได้ไหม ได้นะถ้าเราไม่ยึดมั่นว่าจะต้องให้สามีเป็นแบบนี้ๆ ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น และสิ่งที่เขาเป็นจะช่วยอบรมใจเราให้เย็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
กับคนที่ท่านเกลียด ยอมรับในสิ่งที่น่าเกลียดของเขา แล้วเราจะบ่มเพาะความอภัยและเมตตาได้  ฉะนั้นอยู่ในโลก อยู่ในสังคม เราสามารถอบรมบ่มเพาะคุณธรรมได้ท่ามกลางสภาวะแวดล้อมที่เลวร้าย เราบอกท่านแล้วว่ามนุษย์ได้ทุนมาไม่เท่ากัน แต่สิ่งที่เท่าเทียมกันก็คือ อิสระของจิตใจ ว่าท่านจะปล่อยอิสระให้ตกไปอยู่ตามสภาพที่เขากำหนด หรือจะวางให้เหนือ หรือจะทำให้สภาวการณ์นั้นยกใจเราให้ยิ่งสูงขึ้น แม้กรรมจะผลักดัน แต่กรรมก็สามารถยกชูคนให้ขึ้นเหนือสูงกว่าผู้อื่นได้เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะวางใจตัวเองเช่นไร ใช่ไหม (ใช่)
ชีวิตเราก็ไม่มีอะไรสวยแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยังห่วงสวยเพื่ออะไร ถึงที่สุดแล้วหน้าตาดีอย่างไร หล่ออย่างไร ผลสุดท้ายก็ต้องมาอัปลักษณ์ ไม่ต่างกันทุกคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจะยื้อยึดไว้ทำไม ถึงเวลาจะต้องรู้จักทำใจและเปิดใจให้กว้าง จิตใจที่รับได้ทุกสภาวะคือจิตใจที่มีอิสระอย่างแท้จริง เคยได้ยินไหมว่ากายทุกข์แต่ใจไม่ทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้เราก็มาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านในระยะเวลาเพียงแค่นี้ คนที่บอกว่าชีวิตลำบาก เราอยากจะบอกว่าเราลำบากกว่าท่านอีก แต่ความลำบากของเราเป็นความลำบากเพื่อทำให้เราพ้นทุกข์ และรู้ทางออกของชีวิตและจิตใจแล้ว แต่ท่านล่ะ ที่ยังทุกข์อยู่นั้น หาทางพ้นทุกข์ พ้นลำบากได้หรือยัง เราพ้นทุกข์พ้นลำบากได้ด้วยปัญญาด้วยสติของเราเอง และอะไรที่จะช่วยให้ปัญญาและสตินำพาชีวิตให้พ้นทุกข์ได้ นั่นก็คือ “ธรรมะ” ธรรมะสอนให้มนุษย์รู้จักมีสติยั้งคิด และรู้จักใช้ปัญญาขัดเกลาปัญหาแต่ละปัญหาให้มีทางออก ถึงเวลาเราก็คงต้องไป เรารู้ทางพ้นทุกข์แล้ว เรารู้ทางพ้นลำบากแล้ว  ฉะนั้นมนุษย์อย่าหาชีวิตเพิ่มความทุกข์ความลำบากให้กับตัวเองด้วยความคิดที่ไม่ถูกต้องเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  พึงตั้งตนให้ถูกแล้วชีวิตจะมีความสุขอันแท้จริง ร่างกายก็เป็นธรรมดา มีสุขสบายก็ต้องมีเจ็บปวด ถ้าวันไหนสบายก็จงระมัดระวังความเจ็บปวด แต่ถ้าเมื่อไรเจ็บปวดก็อย่าได้เศร้าเสียใจจนลืมความสบายใจไปล่ะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกข์หรือสุข แข็งแรงหรือเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดาเราหนีไม่พ้น แต่อย่าลืม ป่วยกายต้องไม่ (ป่วยใจ)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกข์กายต้องไม่ (ทุกข์ใจ)  ทำให้ได้นะ


วันอาทิตย์ที่ ๑๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒ สถานธรรมเซิ่งเต๋อ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
มองเรื่องราวความเป็นจริงบนโลกนี้ ความยินดียินร้ายจางหายสิ้น
หยุดรักโลภโกรธหลงปลงอาจิณ อุทิศชีวินเป็นสายธารเพื่อเวไนย
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ  แฝงกายก้มกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม


ศิษย์เอยศิษย์รักเหตุใดจิตใจทุกข์เหลือ เหตุห่วงเพื่อตนเองถึงจนใจ ห่วงส่วนตัวมากนัก จักไม่ยอมช่วยใคร น้ำใจแคบลงแห้งติดเนื้อแท้ ทำไมชอบหวังใครใครเห็นใจช่วยตน ทนได้ไหมแม้โดนรังแก ลดละตัวตนหนา มองหน้าไม่ติดคิ้วแล รักการได้เป็นผู้แพ้เพราะโดนสอนใจ
* นึกถึงเจ้าเป็นคนหนอ แล้วพอจะรับกันได้ไหม หากยอมแล้วเจ็บช้ำ เดินร่วมกันยังไง กำแพงหายไปได้มองหน้ากัน
** ศิษย์เป็นคนดี สิ่งที่ต้องการคือใจ ไม่รู้ก็เก็บไปถือมั่น ถ้ารักความสบาย ช่วยคนจะห่วงสังขาร ศิษย์เอยฐานบัวเก้าชั้น ขอฝันลืมตา
(ซ้ำ *, **)
ชื่อเพลง :  ศิษย์รักเอยเจ้าเหนื่อยไหม
ทำนองเพลง :  เพลงรักข้ามภพ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
มองสิ่งใดอย่ามองแต่ภายนอก ถ้ามัวมองแต่ภายนอกมากเกินไป ก็จะไม่เห็นภายใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนรูปลักษณ์ภายนอก บางครั้งเราคิดว่ารูปลักษณ์ภายนอก เป็นตัวบ่งบอกธาตุแท้ภายในใจ แต่เคยเห็นไหมว่าแต่งตัวแบบหนึ่งแต่ใจเป็นอีกแบบหนึ่ง  ฉะนั้นบางครั้งเรื่องการแต่งตัวของมนุษย์จะมองข้ามไม่ได้ เพราะการแต่งตัวภายนอก สามารถบ่งบอกเนื้อแท้ภายในได้ส่วนหนึ่งเหมือนกัน คนบางคนแต่งตัวอย่างหนึ่ง แต่หัวใจเป็นอีกอย่างหนึ่งก็มี อย่าคิดว่าเขาแต่งตัวดี ภายในจะดูดี หรือบางครั้งแต่งตัวไม่ดี ภายในจะดูไม่ดีไปด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  รูปแบบกับเนื้อหาภายใน บางทีก็มีสอดคล้อง แต่บางทีก็มีขัดแย้ง บางครั้งนึกอยากจะแต่งตัวธรรมดา แล้วใจรู้สึกอย่างนั้นหรือเปล่า (ไม่)  บางคนแต่งตัวธรรมดา แต่ทำตัวไม่ธรรมดาก็มี
ฉะนั้นเนื้อหากับรูปแบบบางครั้งเราจึงไม่สามารถมองข้างนอกแล้วตัดสินข้างใน ดูสิ่งใดจะต้องดูให้นานๆ อย่าดูเพียงชั่วครู่แล้วตัดสินใจเชื่อมั่นว่าเขาต้องเป็นแบบนั้น บางทีก็ไม่จริงเสมอไป ใช่หรือเปล่า (ใช่)  มนุษย์กล่าวไว้ว่า อยากจะดูว่าคนนั้นเป็นคนเห็นแก่ได้หรือเปล่า ให้ดูตอนที่มีผลประโยชน์อยู่ตรงหน้า
ร้อนไหม (ไม่ร้อน)  อย่าใจร้อนก็แล้วกัน เลือกคนเขียนกระดานแล้วใช่ไหม ไม่ว่าเมื่อวานหรือวันนี้เขียนตัวหนังสือได้สวยจริงๆ มีช่องก็เขียนไม่ตรงช่อง จะเอาอย่างไรตัดสินใจให้ดี จะเขียนช่องเดียวหรือจะเขียนสองช่องก็ให้แน่นะ ไม่เป็นไรคราวหน้าเขียนให้ดีก็แล้วกัน อาจารย์แค่เตือนไว้ เพราะเวลาเราเขียนไม่ใช่เขียนให้ตัวเองดู แต่เราเขียนให้ (คนอื่นดู)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าคิดว่าสิ่งที่เรากระทำอะไรก็ตามแค่รับผิดชอบหน้าที่ไปเป็นครั้งคราวก็พอแล้ว บางทีก็มีผลกระทบเหมือนกัน ต้องดูว่าตัวเองมีความสามารถถึงไหม อาจารย์ไม่ได้ว่าท่านคนเดียว แต่อาจารย์พูดรวมๆ ไม่ต้องน้อยใจไป
มนุษย์ทุกคนชอบที่จะมีคนให้ความสำคัญและให้เกียรติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเขายกย่องให้เกียรติให้ความสำคัญแล้ว แต่ถ้าเกิดความสามารถเราไม่ถึง เราควรที่จะรับไว้ไหม (ไม่ควร)  ถ้ารู้ว่ารับแล้วทำไม่ได้ ทำไม่ดี ทำไม่ถึง บางครั้งเราก็ต้องรู้จักถอยมาบ้าง หรือถ้าจะรับก็ต้องพยายามฝึกให้ได้ แล้วฝึกให้ถึงอย่างที่เขายกย่องให้เราเป็น ถูกหรือไม่ (ถูก)  ไม่เช่นนั้นจะเสียใจตัวเองเปล่าๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นเกมให้ลุกและยืนตามที่
สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาถ้าทำได้พร้อมกัน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จะแจ้งพระนาม)  กินมากๆ ถ้าไม่ออกกำลังเดี๋ยวก็จะง่วง ออกพอประมาณ อาจารย์ไม่ให้ออกจนเหนื่อย เดี๋ยวพอเหนื่อยเกินไปศิษย์ก็ง่วงอีก
อย่างนั้นศิษย์ก็จงจำไว้เถอะเรื่องง่ายๆ ยังผิดพลาดได้เลย ฉะนั้นนับประสาอะไรกับเรื่องยากๆ แต่จริงๆ อาจารย์อยากจะบอกว่าถ้าเรื่องเล็กๆ เราไม่มองข้ามรู้จักระมัดระวัง รู้จักเตรียมตัวให้พร้อมเรื่องใหญ่ๆ ศิษย์ก็จะรับมือได้ทัน ปรับตัวและปรับหัวใจได้ทันเวลา แต่ถ้าเกิดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ถ้าศิษย์มองข้ามไม่มีความละเอียด ไม่มีความเตรียมพร้อม เมื่อเจอเรื่องหนักศิษย์จะรับไหวหรือ ใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความทุกข์และง่ายที่จะผิดพลาด เพราะชอบตั้งตนอยู่ในความประมาท ใช่หรือไม่ (ใช่)  และชอบมั่นใจในตนเองว่าตนเองแน่และเก่ง พอถึงเวลาเจอปัญหาจริงๆ เรื่องง่ายๆ ก็กลับพลาดได้
มือซ้าย มือขวา เรารู้จัก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางครั้งถึงแม้ว่าเราจะมีสองมือก็ตาม แต่ก็สามารถผิดพลาดได้เหมือนกัน เพราะว่าขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ย่อมง่ายที่จะผิดมากกว่าถูก  ฉะนั้นถ้าเกิดเราเจอคนทำผิดพลาด เราก็อย่าได้ตีโพยตีพาย ทำโมโหโกรธา เพราะนับประสาอะไรกับตัวเราก็ยังผิดพลาดได้ เพราะเรื่องง่ายๆ ก็ยังหลงลืมได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเพราะอะไรเราถึงผิดพลาดได้ง่ายๆ เพราะประมาทและขาดสติ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอยู่ในโลกอย่าประมาทและขาดสติในการดำเนินชีวิต เท่านั้นยังเพียงพอไหม (ไม่พอ)  เราต้องมีอะไรคอยควบคุมจิตใจเราอีก (มีคุณธรรม)  มีคุณธรรมเป็นตัวหล่อเลี้ยงหัวใจของเรา เป็นตัวย้ำเตือนหัวใจของเราว่าอย่าประมาท ใช่หรือไม่ (ใช่)  ให้มีสติในการครองชีวิต เมื่อไรที่เราเรียนรู้ธรรมะ ให้ธรรมะเป็นที่พึ่งของชีวิต เราจะรู้จักดำเนินชีวิตอย่างผู้มีปัญญา ไม่ประมาทและใช้สติเป็น
บางครั้งถ้ามีแขกมา ก่อนที่เราจะนั่ง เราต้องให้แขกนั่งก่อน แล้วเราถึงจะ (นั่ง)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  มารยาทพื้นฐานเราลืมไปแล้วหรือ อาจารย์บอกว่า รูปแบบภายนอกก็จะมีส่วนสำคัญต่อภายในจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดเราเน้นหาภายนอกจนลืมสนใจภายในก็ไม่ถูก ศิษย์เคยเห็นต้นไม้เติบโตอย่างแข็งแรงและมั่นคงได้นั้นต้องมีรากที่หยั่งลึกและแข็งแรงเฉกเช่นเดียวกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์ทุกคนปรารถนาที่จะแสวงหาสิ่งภายนอกมาบำรุงเลี้ยงชีวิตของตัวเองให้เติบโตและยิ่งใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราบำรุงเลี้ยงชีวิตภายนอกแต่ลืมบ่มเพาะจิตใจภายใน จิตใจที่ยิ่งโตเท่าไรแต่ภายในอ่อนแอและปวกเปียกก็ง่ายที่จะล้ม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วมนุษย์เคยไหม ที่ทุกวันแสวงหาภายนอกแต่ได้อบรมบ่มเพาะภายในไปด้วย ไม่เคยใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามัวแต่ตกแต่งภายนอก แสวงหาภายนอก จนลืมบ่มเพาะความเข้มแข็งมั่นคงภายใน
อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ  ถ้ามีชีวิตๆหนึ่ง เกิดขึ้นมาแล้ว และเขาได้ร่วมกับอีกชีวิตหนึ่งเพื่อสร้างครอบครัว แต่พออยู่ไปอยู่มาไม่นาน เขาคิดอยากจะกลับบ้าน พอสร้างครอบครัวขึ้นมาแล้ว ย่อมมีลูกมีหลานใช่หรือไม่ (ใช่)  และช่วงที่เขากำลังจะกลับนั้น กลับกลายเป็นต้องเสียทั้งสามีและเสียทั้งลูก พอไปถึงบ้าน พ่อแม่ก็สูญเสีย ฉะนั้นต้นไม้ที่เติบโตแข็งแรงล้มทลายภายในวันเดียว จิตใจที่ไม่เคยได้บ่มเพาะ ไม่เคยได้ฝึกฝน ไม่เคยได้รับรู้ ไม่เคยได้ขัดเกลา ศิษย์ว่าจะรับความจริงบนโลกนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  รับไหวไหม (ไม่ไหว)  กว่าจะสร้างชีวิตมาได้ มีครอบครัว ลูก จนกระทั่งมีบ้านเป็นของตัวเอง พอถึงเวลาอยากจะกลับไปเยี่ยม แต่กลับกลายเป็นต้องเสียสามีและลูก พอไปเยี่ยมพ่อแม่ ก็รู้ว่าเสียพ่อแม่ จิตใจกลับรับไม่ไหวทนไม่ได้
ฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกว่า มนุษย์แสวงหาสิ่งภายนอกแต่อย่าลืมอบรมบ่มเพาะความเข้มแข็งภายในจิตใจ อะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ที่สามารถเป็นที่พึ่งกับใจได้ แต่ก่อนศิษย์บอกว่า มีเงินเป็นที่พึ่งของชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  พอมีเงินไปสักระยะหนึ่ง ศิษย์บอกว่า มีสามี มีภรรยา เป็นที่พึ่งของหัวใจ พอสามีภรรยาไม่ได้ดั่งใจก็ถือลูกเป็นที่พึ่ง แต่ถึงเวลาลูกพึ่งได้ไหม สามีพึ่งได้หรือเปล่า เงินทองล่ะช่วยเราได้ไหม สิ่งที่พึ่งได้คือ (ตัวเรา)
ถึงเวลานั้นศิษย์ว่าจิตใจคือสิ่งที่พึ่งได้ใจศิษย์ก็รับไม่ไหว เพราะไม่เคยได้ฝึกฝนอบรมมา หรือถูกอบรมฝึกฝนมาว่าคนเราเกิดมาต้องแก่ เจ็บ ตาย รู้ไหม (รู้)  ถึงเวลารับไหวไหม (ไม่ไหว)  ทำไมไม่ไหวในเมื่อเราก็รู้ เพราะเราไม่เคยอบรมจิตใจให้ทนทานและแข็งแกร่งกับความเป็นจริงบนโลกนี้ ฉะนั้นธรรมะจึงสอนให้มนุษย์รู้จักความจริงบนโลกนี้ที่ต้องพึงตระหนักและลืมเลือนไม่ได้ ดังคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ถ้ามนุษย์เข้าใจความเป็นจริง ไยต้องวิตกทุกข์ร้อน ถ้ามนุษย์เข้าใจว่าชีวิตมีสองด้าน ทุกวันคือวันแห่งความสุข” แต่เราสามารถเข้าใจเช่นนั้นได้ไหม พอถึงเวลาปัญหามาถึงตัว เรากลับไม่สามารถเอาอะไรมาเยียวยาหัวใจได้
ฉะนั้นการศึกษาธรรมะพึงต้องการให้มนุษย์รู้ว่า จงเอาธรรมะเป็นโอสถชั้นดีเยียวยาหัวใจเมื่อเกินจะทน เยียวยาหัวใจเมื่อต้องแบกรับความทุกข์ที่ยากเกินรับไหว รู้บ้างไหมว่าจริงๆ แล้วเรามียาอันวิเศษที่ไม่ต้องไปหาจากที่ใดนั่นก็คือ “ธรรมะ” ธรรมะทำให้เรามีสติยั้งคิด ธรรมะทำให้เรามีปัญญาฟอกจิตใจอันสกปรกให้ขาวสะอาดได้ แต่เพราะอะไรเราจึงมองข้ามธรรมะไป เรามัวแต่สนใจความสวยภายนอกแต่อ่อนแอภายใน รอให้เวลาล้มจึงค่อยเห็นคุณค่าของธรรมะ ไม่สายไปหรือ
อาจารย์อยากถามศิษย์ว่าเมื่อไรที่ศิษย์มีเรื่องยินดีและหัวเราะดังๆ เมื่อนั้นศิษย์ก็ต้องยอมรับเรื่องเศร้าและเรื่องร้องไห้ดังๆ เช่นกัน ถูกไหม (ถูก)  เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม (เข้าใจ)  นั่นก็คือ เมื่อไรที่เรายินดีในสิ่งที่ได้มา เมื่อนั้นเราต้องเสียใจเมื่อของนั้นสูญเสีย นี่คือเมื่อไรที่เราสามารถมองเห็นสิ่งหนึ่งแล้วมองเห็นด้านตรงข้ามอีกสิ่งหนึ่งได้ เราจะเรียนรู้ความเป็นจริงของชีวิตได้อย่างเป็นสุข หรือพูดง่ายๆ ก็คือเมื่อไรที่ศิษย์ยินดีกับคำสรรเสริญ เมื่อนั้นศิษย์ต้องเสียใจกับคำนินทาว่าร้าย แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์เห็นว่าคนชมสักพักต้องมีคนว่า ศิษย์จะหลงลำพองดีใจที่วันนี้ได้รับคำชมไหม (ไม่)  เพราะคิดว่าสักวันหนึ่งก็ต้องโดนคนว่า วันนี้ศิษย์ยินดีที่มีสุข ศิษย์จะเสียใจที่มีทุกข์ไหม ถ้าเกิดว่าทุกขณะที่ศิษย์ได้รับสุข ศิษย์คิดว่าสักวันต้องทุกข์ ความสุขก็จะทำให้เราไม่ลิงโลดจนเกินไป แล้วความทุกข์ก็จะไม่ทำให้เราเจ็บช้ำจนเกินไป หรืออาจารย์พูดง่ายๆ ถ้าในหัวใจของศิษย์ทุกคนไม่แบ่งว่าสิ่งนี้เรียกว่ารัก สิ่งนี้เรียกว่าชัง เมื่อเจอสิ่งที่น่าเกลียดศิษย์ก็จะไม่รู้สึกน่ารังเกียจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนศิษย์ทุกคนชอบไหมวัยหนุ่มสาว (ชอบ)  ชอบไหมวัยแก่ (ไม่ชอบ)  ทำไมจึงไม่ชอบ ถ้าเรามองออกว่ามีหนุ่มก็ต้องมีแก่ เราจะชอบสิ่งใดมากกว่ากันไหม น่าจะดีใจว่าชีวิตนี้ได้หนุ่มแล้วยังได้ (แก่)  ดีกว่าหนุ่มแล้วไม่ (แก่)  ฉะนั้นเราอยู่บนโลกนี้อย่าลืมว่าเมื่อเรารักผมดำ เราก็ต้องรักผมขาว เมื่อเรารักหน้าตึง เราก็ต้องรักหน้า (เหี่ยว)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเรารักคนดี เราก็ต้องรักคน (เลว)  รักลงไหม (ไม่ลง)
ถามใจศิษย์ว่าใจศิษย์เองมีความดีและความชั่วพอๆ กันไหม เป็นทั้งเทวดาและซาตานไหม ฉะนั้นวันหนึ่งศิษย์เห็นหน้าเขาเป็นซาตาน เพราะว่าวันนี้เขาอาจจะลืมหน้านางฟ้า หน้าเทวดาไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรามองเห็นว่าคนทุกคนมีสองหน้า เราก็คงไม่โกรธและเกลียดจนเกินไป หรือไม่รักจนลุ่มหลงเกินไป ถูกหรือไม่ (ถูก)  ในหน้าสองหน้าก็คือคนๆ เดียวกัน เราต้องไม่แบ่งแยกจนมองเห็นความแตกต่างและมองไม่เห็นความเป็นจริงของคนๆ นั้น ฉะนั้นอย่าเป็นเพราะความรังเกียจหรือเป็นเพราะความรักจึงมองไม่เห็นความเป็นจริงของสรรพสิ่ง เคยไหมเพราะรักมากๆ เราจึงเห็นได้ไม่หมด เพราะเกลียดมากๆ เราจึงรู้ได้ไม่ถ้วนทั่ว เป็นไหม (เป็น)  อาจารย์จึงบอกว่าเมื่อไรที่มองสรรพสิ่งในโลก เห็นสิ่งหนึ่งต้องเห็นอีกสิ่งหนึ่ง เพื่อจะทำให้จิตใจเราไม่หลงและรังเกียจจนเกินไป สามารถทำทุกๆ วันให้เป็นวันแห่งความสุขได้ ทำยากไหม (ไม่ยาก)  เหมือนชีวิตศิษย์นั่งแล้วจะยืนไหม (ยืน)  ยืนแล้วจะนั่งไหม (นั่ง)  วันนี้ยิ้มแล้วจะร้องไห้ไหม (ร้อง)  วันนี้ได้เงินพรุ่งนี้จะเสียเงินไหม (เสีย)  ฉะนั้นถ้าทุกขณะที่เรามองออกและเราเห็นชัด เราจะกลุ้มกังวลอะไร เพราะทุกสิ่งล้วน (ไม่เที่ยง)  ฉะนั้นเรารู้ว่าทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยงหาความแน่นอนได้ยาก แล้วในที่สุดก็ไร้ตัวตน อะไรคือความทุกข์ อะไรคือสิ่งที่ต้องวิตกกังวล ถ้าเรามองเห็นความเป็นจริงของโลกใบนี้ พูดจนถึงที่สุดก็ยังทุกข์อยู่ดี ใช่ไหม (ใช่)
เพราะอะไรจึงทุกข์ (อิจฉาผู้อื่น,เห็นแก่ตัว)  แล้วจริงๆ อิจฉาหรือเปล่า ถ้าไม่มอง ไม่เปรียบเทียบ พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ วางใจเป็นกลาง ยินดีที่เขามีสุข นั่นจะเป็นจิตใจที่โปร่งเบามากกว่า ทำได้ไหม ถ้ามองแล้วคิดอิจฉาก็มองให้น้อยๆ ดีหรือเปล่า
ทุกข์เพราะ (ยึดติดและห่วง)  ยังมีอะไรให้ห่วงอีกหรือ (ความคาดหวัง)  ถ้าทำเต็มที่แล้ว ได้หรือไม่ก็แล้วแต่ฟ้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  กลุ้มกังวลไปก็เครียดเปล่าๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  (ความอยาก)  อยากได้แอปเปิ้ลจากอาจารย์หรือเปล่า อย่างนั้นอยากให้น้อยๆ แล้วคุณค่าหรือของที่ตนเองมีอยู่ก็จะเพิ่มคุณค่าขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งอยากมากๆ ของที่มีอยู่ที่ตัว กลับยิ่งด้อยค่า เคยคิดไหม (เคย)  มีเสื้อตัวเดียว เรารู้สึกว่าเสื้อตัวนี้มีความสำคัญและจำเป็น แต่พอมีเสื้อหลายๆ ตัวเข้า เสื้อตัวนี้จะจำเป็นอีกหรือไม่ (ไม่)  ตัวใหม่ๆ ก็มีคุณค่า แต่พอกลายเป็นตัวที่สอง ตัวที่สาม เสื้อตัวใหม่ตัวนี้ก็กลายเป็นด้อยคุณค่าทันที ฉะนั้นถ้ารู้จักพอ ของเดิมที่มีอยู่แล้วก็จะเพิ่มคุณค่าขึ้นมาทันที แต่ถ้าไม่รู้จักพอ ของเดิมที่มีอยู่แล้วจะลดคุณค่าลงมาทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เข้าใจเขา หรือไม่เข้าใจเรื่องราว ใช่หรือไม่ บางครั้งนิสัยของคนบางคนยากเกินจะเข้าใจ ยากเกินจะรับไหว แต่ถ้าเราฝึกจิตใจให้มีความเมตตา ฝึกจิตใจให้รู้จักอภัย แม้วันนี้ไม่เข้าใจ สักวันหนึ่งเราย่อมจะเข้าใจได้ เพราะบางครั้งมนุษย์เราก็ชอบทำอะไรโดยไร้เหตุผลเหมือนกัน จริงหรือไม่ (จริง)
(ทุกข์เพราะอยากได้แล้วไม่ได้)  แล้วแอบเปิ้ลอยากได้หรือไม่ (อยากได้)  แล้วถ้าไม่ได้จะทำอย่างไร แล้วทุกข์นั้นจะกลายเป็นสุขได้ไหม (ได้)  ด้วยการพยายามลองใหม่อีกสักครั้งหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าลองแล้วไม่ได้ บางครั้งเราก็ต้องทำใจและรับให้ได้กับความทุกข์นั้น แล้วแปลทุกข์นั้นให้เป็น (ความสุข)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ล้มเหลวสิบครั้งจึงจะสำเร็จหนึ่งครั้ง ไม่ใช่หรือ มีใครบ้างไม่เคยล้มเหลวแล้วประสบความสำเร็จเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนั้นจะลองล้มเหลวสักครั้งหนึ่งได้ไหม
(ความแค้น)  แค้นเพราะอะไรหรือ เขาทำเราเจ็บปวดหรือเปล่า (ทุกข์เพราะความผิดหวัง)  สมหวังแล้วไม่ผิดหวัง ใช่ไหม (ใช่)  แล้วไม่ใช่ว่าผิดหวังแล้ว เราจะไม่สมหวังอีก ถ้าเราลองพยายามต่อไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเราต้องถามใจตัวเองว่าอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร ถ้าเรารู้ว่าเรามีจุดยืนของตัวเรา แม้จะไปไหนเราก็ไม่เสียจุดยืน แต่ถ้าหากเราไม่มีจุดยืนของตัวเราเอง เวลาไปไหนเราก็จะไม่รู้ว่าทำตัวอย่างไร  ใช่หรือไม่ (ใช่)  กลายเป็นคนที่ไม่เข้าใจตัวเองและหาตัวเองไม่เจอ
ทุกข์เพราะ (ทำไม่ดีในอดีต และพยายามจะแก้ตัว)  อดีตผ่านไปแล้ว ตอนนี้อนาคตขึ้นอยู่กับปัจจุบัน ถ้ามัวจมอยู่กับอดีต ก็กลายเป็นว่า อนาคตก็จะมีอดีตที่แย่ๆเต็มไปหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกข์เพราะ (แม่มีแฟนใหม่ สงสารหลาน)  อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่า ชะตากรรม เรื่องของแต่ละคนทำมา ถึงแม้เราจะพยายามประคับประคองให้เขาดีขนาดไหน แต่ว่ากรรมก็คือกรรม แต่ละคนล้วนมีกรรมเป็นของตัวเอง ฉะนั้นศิษย์พยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุดก็พอ เขาเรียกว่าอุปสรรคไม่มี บารมีไม่เกิด คนดีไม่กลัวการทดสอบ ทุกข์เพราะ (ในกายมีโรค, เครียด)  ยอมรับความจริง เคยเห็นว่าคนที่เป็นโรคบางคน จิตใจแข็งแรงและเข้มแข็งกว่าคนไม่เป็นโรคอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ความเจ็บป่วยจะเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่ใจที่ใฝ่รู้จะทำให้โรคเป็นสิ่งที่สนุกสนานได้ พยายามเอาชนะโรค ปรับกายก็ต้องปรับใจด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกข์เพราะ (พลัดพรากจากสิ่งที่รัก)  เป็นไปได้ไหม ชีวิตนี้ มีใครในโลกนี้ไม่เคยพลัดพรากจากสิ่งที่รักบ้าง (ไม่มี)  ฉะนั้นเราก็คือหนึ่งในคนที่ล้วนต้องประสบพบเจอ เป็นธรรมดา ถ้าเรามองเห็นเรื่องพลัดพรากเป็นเรื่องธรรมดา ความพลัดพรากก็คงจะไม่ทำให้เราเจ็บปวดมากนัก ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์เคยบอกไว้ว่า ถ้าเราทำให้ถึงที่สุด สิ่งที่คาดหวังนั้น บางครั้งก็ไม่ต้องไปคาดหวังเลย ศิษย์เคยไหม ว่าอยากจะไปให้ถึงเส้นชัย แต่มัวคาดหวังทำให้ทุกข์ไปร้อยก้าว แต่พอไปถึงก้าวสุดท้าย ถึงรู้ว่า (ผิดหวัง, สมหวัง)  ในผิดหวังย่อมมีสมหวัง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าทำให้ดีที่สุด อย่าเพิ่งกลุ้มกังวล พอไปถึงที่นั่น เราก็ทุกข์แค่วันเดียวที่ต้องเจอ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ถ้าทำไปทุกข์ไป ร้อยวันศิษย์ต้องทุกข์ กลายเป็นทุกข์ร้อยหนึ่งวัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าทำดีที่สุดแล้ว เราก็ไม่ต้องทุกข์ในร้อยวัน แต่จะไปทุกข์ในวันสุดท้ายที่จะต้องเจอ เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม (เข้าใจ)  ทุกข์เพราะ (เกิดความโลภในจิตใจ)  อยากได้หนึ่งแล้วอยากได้ (สอง)
(ความคิด)  ทุกข์เพราะความคิด สิ่งที่ดีๆ ไม่คิด ชอบคิดในสิ่งที่ (ไม่ดี)  อยู่ร่วมกันกับมนุษย์ระวังได้แต่อย่าระแวง ถ้าระแวงจะไม่เป็นสุข ทุกข์เพราะ (ไม่รู้จักพอ, เรายังดับทุกข์ไม่ได้)  เคยชินกับการปล่อยตัวเองไปตามอารมณ์ พอจะควบคุมอารมณ์ก็เลยดับได้อยาก ทุกข์เพราะ (ไม่มีความซื่อสัตย์)  อันนี้ทุกข์เพราะตัวเองแท้ๆ (จากคนรอบข้าง)  ถ้าเราซื่อสัตย์แล้วเจอคนไม่ซื่อสัตย์ด้วยเราจะรับไหวไหม (เราก็เป็นทุกข์ เขาโกหกเขาก็เป็นทุกข์ด้วย ตัวเองก็อยู่เหมือนวัวสันหลังหวะ)  ทำไมต้องกลัว ถ้าเราทำถึงที่สุดแล้วใครจะปฏิบัติต่อเราอย่างไรก็เรื่องของเขา เพราะถึงเวลาแล้ว คนที่จะได้รับผลของการกระทำก็คือตัวเขา แม้เราจะได้บ้างแต่ถ้าเราบริสุทธิ์แล้ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็บริสุทธิ์ ขอเพียงอย่าเผลอทำกับพ่อแม่ก็แล้วกัน
ทุกข์เพราะ (เรียนไม่เก่ง)  ทำไมถึงเรียนไม่เก่ง มีสมาธิในการฟังหรือเปล่า  ตัวอยู่ตรงนี้แต่ใจไปอยู่ข้างนอก ถึงเวลาได้อ่านหนังสือบ้างไหม ไม่ได้อ่าน ถ้ารักสบายจะทุกข์ถนัด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยอมลำบากตอนนี้ต่อไปจะสบาย แต่ถ้ายอมสบายตอนนี้ต่อไปท่านจะลำบาก จำคำที่เราพูดไว้ ทุกข์เพราะ (ความรัก)  ทุกข์เพราะรัก ถ้ารักเป็นจะทุกข์ไหม รักที่รู้จักให้ ไม่ใช่รักที่รู้จักแต่เอา ใช่หรือไม่ (ใช่)  รักที่รู้จักให้ไม่หวังผลจะเป็นรักที่บริสุทธิ์ และจะเป็นรักที่ไม่ทุกข์ได้ มนุษย์ทุกข์เพราะ (ห่วง)  ห่วงไม่ห่วงตัวเองก็ห่วงทรัพย์สิน
(การยืดมั่นถือมั่น)  ทุกข์เพราะยึดมั่นถือมั่น (ไม่รู้จักพอ)  จริงๆ แล้วความทุกข์ของมนุษย์ในโลกสามารถมลายหายไปได้ ถ้ามนุษย์ยอมรับความจริง อย่างที่อาจารย์บอก คนเราเกิดมาก็ต้องเจ็บ เจ็บแล้วต้องตาย เป็นสิ่งที่เราหนีไม่พ้น ถึงที่สุดแล้วถ้ามนุษย์ยอมรับความจริงในเรื่องนี้ มนุษย์ก็จะปลดทุกข์ไปได้เรื่องหนึ่ง มนุษย์หนีไม่พ้นเรื่องภาวะเป็นคู่ เมื่อมีเรื่องยินดีก็ต้องมีเรื่องไม่น่ายินดี เมื่อมีความสำเร็จก็ต้องมีความล้มเหลว เมื่อมีความสุขก็ต้องมีความ (ทุกข์)  ถ้าทุกขณะศิษย์พึงสังวรไว้อยู่ตลอดเวลา วันนี้ศิษย์สุข ความสุขนั้นก็จะทำให้เราไม่ลำพองจนเกินไป และไม่คาดหวังจนรับไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อาจารย์บอกศิษย์ไว้แล้วถ้ามนุษย์เข้าใจแจ่มแจ้งในชีวิต จะไม่มีเรื่องวิตกทุกข์ร้อนให้กังวล ถ้ามนุษย์เข้าใจว่าชีวิตมีสองด้าน ทุกสิ่งในชีวิตจะเป็นเรื่องดีได้ ถ้าเรามองออก ถูกหรือไม่  อาจารย์อยากถามว่าความทุกข์มีข้อดีอย่างไร ความสุขมีข้อเสียอย่างไร ลองใช้ปัญญาขบคิดดูไหม ถ้าเรารู้ว่าทุกข์มีข้อดีอย่างไร เวลาเราเจอทุกข์เราจะไม่ท้อ เวลาเราเจอสุขเราจะไม่หลง แต่จะรู้จักวางตนให้ไม่ประมาท ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกข์มีข้อดีอย่างไร (ทุกข์ทำให้เราหาสาเหตุของความทุกข์ให้เจอ, ทุกข์ทำให้เราเข้มแข็ง)  ทำให้เข้มแข็งจริงๆ นะ (ทุกข์ทำให้รู้ว่าสุขนั้นเป็นอย่างไร)  เข้าใจตอบจริงๆ นะ (ทุกข์ทำให้รู้จักคิด)  อย่างนั้นเวลาเจอปัญหาตั้งสติให้ดีๆ รับให้ได้นะ (ทุกข์ทำให้เราประสบความสำเร็จในวันข้างหน้า, ทำให้เรารู้จักปล่อยวาง)  ทุกข์ทำให้เรามองเห็นสัจจะความเป็นจริง ไม่ใช่หรือ (ใช่)  แล้วบางครั้งทุกข์ก็ทำให้เรารู้จักตัวตนเองมากยิ่งขึ้น ใช่ไหม (ใช่)  แต่ก่อนพูดว่า ตนเองเข้มแข็ง พอมีทุกข์จึงรู้ว่าจริงๆ แล้วหัวใจเราอ่อนแอเพียงไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  (ทำให้เรารู้จักอดทน, ทุกข์ทำให้เราคิดอะไรไม่ได้ จึงทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จ)  ทุกข์มีดีอะไรหรือ ทุกข์ทำให้ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ คิดอะไรก็ไม่ได้ แล้วเราก็จะปล่อยให้ชีวิตจมอยู่กับความไม่สำเร็จนั้นหรือ (ทำให้เราเข้มแข็ง, ทำให้เก่ง)  ทำให้เก่งหรือ ก่อนจะเก่งต้องยอมเป็นผู้แพ้ (ทำให้เกิดความพยายาม)  ก่อนพยายามต้องเอาชนะใจตนเองให้ได้ ใช่ไหม (ทุกข์ทำให้เรามองเห็นผู้อื่นดีขึ้น)  ต่อไปก็คงไม่อิจฉาเขาแล้วใช่ไหม
(ทุกข์ทำให้รู้จักวิธีแก้ปัญหา, ทุกข์ทำให้รู้จักเสียสละ)  บางครั้งเราก็ต้องยอมเป็นผู้แพ้ บางครั้งเราก็ต้องยอมเป็นผู้ให้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  (ทุกข์ทำให้ใจเข้มแข็ง)  แล้วเข้มแข็งจริงๆ หรือเปล่า อย่าแข็งนอกและอ่อนใน (ทุกข์ทำให้มีสติ, ทุกข์กับสุขเป็นของคู่กัน)  แล้วทำให้เรามองอะไรดีๆ ได้จากทุกข์หรือ (ทุกข์ทำให้รู้จักตนเอง, ทำให้เราฝ่าฟันอุปสรรคไปได้)  ฉะนั้นศิษย์อย่าได้กลัวความทุกข์ยาก เพราะบางครั้งความล้มเหลวในชีวิตครั้งนี้ อาจจะทำให้เราพบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในครั้งหน้าได้
แล้วความสุขความสำเร็จมีข้อเสียอย่างไร (ทำให้คนหลง, ทำให้ลืมตัว, ทำให้รู้จักเจ็บ)  ฉะนั้นชีวิตมีแค่ครั้งเดียวพลาดไปแล้วเรียกกลับมาได้ แต่ถ้าต่อไปพลาดอีกอาจารย์ไม่รับประกันแล้วนะ
ถ้าศิษย์ศึกษาธรรมมามากมาย เข้าใจว่าการปฏิบัติดีและบำเพ็ญดีเป็นอย่างไร แต่ถ้ารักตัวเองมาก ศิษย์ก็จะช่วยใครไม่ได้เลย ถ้าห่วงแต่ตัวเองมาก ศิษย์ก็จะไม่มีเวลาแม้จะช่วยใครเลยสักนาทีเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “มนุชที่แท้จริง”)
คำว่า “มนุช” คำนี้ของอาจารย์ไม่เหมือน “มนุษย์” ที่ศิษย์รู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์ที่ศิษย์รู้เป็นอีกตัวหนึ่งที่เต็มๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์ที่อาจารย์ต้องการให้ศิษย์เป็นและไปให้ถึงนั่นก็คือ ความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงต้องไม่ห่างจากสภาวะแห่งพุทธะเดิมแท้ ศิษย์คือสิ่งหนึ่งขององค์มารดา ศิษย์คือส่วนหนึ่งของพุทธจิตธรรมญาณขององค์มารดาที่ได้กลับมากำเนิดเกิดกาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นจิตเดิมแท้ที่ใกล้กับฟ้าเบื้องบนก็คือมีรากฐานแห่งความเมตตา จิตที่มีรากฐานแห่งความเมตตาคือจิตแห่งมนุษย์ จิตที่มีรากฐานแห่งความผิดชอบชั่วดีคือจิตแห่งมนุษย์ จิตที่รู้จักเคารพนบนอบถ่อมตนไม่เย่อหยิ่ง ไม่จองหองคือจิตแห่งมนุษย์อันประเสริฐ จิตที่รู้จักผิดชอบชั่วดี ถูกต้อง นี่คือจิตแห่งมนุษย์อันประเสริฐ จิตที่รู้จักรักความสัตย์ ความซื่อสัตย์ ซื่อตรง คือจิตแห่งมนุษย์อันประเสริฐ
มนุษย์อันประเสริฐที่แท้จริงล้วนอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน ล้วนอยู่ในตัวของศิษย์ทุกคน อยู่ที่ว่าศิษย์จะฟื้นฟูจิตใจอันดีงามนี้กลับคืนมาได้ไหม จิตที่มีเมตตา จิตที่รู้จักสงสารผู้อื่น สัตว์เล็กก็ไม่ปล่อยปละรู้จักเมตตาสงสารไม่เบียดเบียนทำร้ายเขา จิตที่รู้จักเคารพนบนอบ จิตที่รู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาป ขึ้นชื่อว่า “มนุษย์” จะเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐได้อย่างไรถ้าไร้ซึ่งจิตเมตตา ไร้ซึ่งจิตที่รู้จักผิดชอบชั่วดีและละอายเกรงกลัวต่อบาป และไม่รู้จักเคารพนบนอบผู้อื่น แม้สัตยธรรมก็ยังรักษาไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นขึ้นชื่อว่ามนุษย์ผู้ประเสริฐ ถ้าปราศจากซึ่งศีลธรรมก็ยากที่จะเข้าใกล้มนุษย์ผู้ประเสริฐได้ แต่มนุษย์ที่แท้ในสมัยโบราณคือ ไม่รู้จักรักการเกิดและไม่รู้จักเกลียดการตาย มีชีวิตผ่านมาและผ่านไป ไม่มีอะไรยึดยื้อ ไม่มีอะไรห่วงหา  เกิดมาแล้วก็จากไปโดยไร้ร่องรอย มนุษย์ยังห่างไกลนัก ศิษย์ในที่นี้ก็ยังห่างไกลนัก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่ถามว่ามนุษย์ผู้ประเสริฐต้องมีคุณธรรมอะไรบ้าง ศิษย์ยังแทบจะนึกไม่ออกแล้ว คุณธรรมของความเป็นคนคืออะไรบ้าง ศิษย์เคาะเท่าไรก็แทบจะเคาะไม่ออกมาจากใจ
ฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกว่า มนุษย์ที่แท้จริงคือผู้ที่มีเมตตาธรรมสูงส่ง คือผู้ที่รู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาป คือผู้ที่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนไม่เย่อหยิ่ง ไม่จองหอง ไม่ถือดี และมั่นใจในความรู้ของตัวเอง เป็นผู้ที่รู้จักผิดชอบชั่วดีและมีความสัตย์ซื่อ ทำให้ได้นะการบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องยาก ถูกหรือไม่ (ถูก)  ยากตรงที่ไม่ยอมทำ บำเพ็ญธรรมก็คือเห็นแต่ความผิดพลาดของตัวเอง ไม่เห็นความผิดพลาดของผู้อื่น นี่แหละเรียกว่าผู้บำเพ็ญธรรม ทุกวันมีแต่ตรวจสอบขัดเกลาตัวเอง ไม่คิดจะไปตรวจสอบขัดเกลาผู้ใด เริ่มต้นเรียกร้องตัวเอง แต่ไม่เรียกร้องผู้ใด ถ้าทำตนได้ถูกต้อง ผู้อื่นก็จะเดินตามความถูกต้องของเราเองโดยที่ไม่ต้องอ้าปากเรียกร้องผู้ใด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศึกษาธรรมเริ่มต้นที่ตัวเราแล้วค่อยนำพาผู้คน ถึงแม้ตัวเองจะไม่ดีแต่มีจิตใจเมตตาที่จะช่วยให้คนอื่นได้ดีนั่นก็เรียกว่า ผู้ประเสริฐได้ ใช่หรือไม่  วันนี้ที่อาจารย์มาก็ถึงเวลาสมควรแล้ว แม้อาจารย์เองศิษย์ก็ยังยึดหรือพึ่งไม่ได้ สิ่งที่ศิษย์พึ่งได้คือธรรมะ จำไว้นะ แล้วธรรมะข้อไหนที่จะนำพาชีวิตไปสู่ทางที่ถูกทางที่สุข นั่นก็คือ สติปัญญา ทำอะไรต้องรู้จักละเอียดรอบคอบ อย่าประมาทในเรื่องเล็กๆ ไม่อย่างนั้นชีวิตจะผิดพลาดในเรื่องใหญ่ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถึงเวลาอาจารย์ก็คงต้องไปแล้ว คิดถึงว่าศิษย์เป็นคนอาจารย์ก็ยังต้องจนใจ เพราะขึ้นชื่อว่าคนก็ยังมีดีแล้วก็มีร้าย ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าศิษย์คิดอยู่อย่างนี้ก็คงต้องให้อภัยซึ่งกันและกันและพยายามเข้าใจกันและกันให้ได้ คนทุกคนก็รักความสบาย  ฉะนั้นถ้าเราทำมากหน่อยให้คนอื่นสบายหน่อยก็ช่างปะไร ใช่ไหม (ใช่)  ถ้ามาคิดเปรียบเทียบ คิดแบ่งเขาแบ่งเรา ทำไปก็ทุกข์ไปเปล่าๆ
ฉะนั้นปล่อยเราหนักหน่อยเขาสบายหน่อยไม่เป็นไร นี่คือกุศลอันแท้จริงถ้าทำด้วยจิตบริสุทธิ์ แต่ถ้าทำเพราะคิดเปรียบเทียบแบ่งเขาแบ่งเรา จิตจะทำไปด้วยอกุศล ฉะนั้นทำงานธรรมะอย่าเลือกงานหนักงานเบา ขึ้นชื่อว่าศิษย์ของอาจารย์จี้กง งานหนักศิษย์ขอเอางานเบาขอให้ผู้อื่นได้ไหม (ได้)  เบื้องหน้าให้คนอื่นไป เราขอถนัดงานเบื้องหลัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะเรียกว่ากุศลอันแท้จริง นี่คือปิดทองหลังพระ ทำดีโดยไม่หวังผล ทำดีโดยไม่เอาหน้า ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  ทำดีโดยไม่เขียนชื่อด้วย ทำได้ไหม (ได้)

ถึงเวลาอาจารย์จะต้องไปแล้ว ถึงเวลาก็คงต้องกลับแล้ว มีโอกาสกลับมาศึกษาอีกดีไหม อย่าดูเบาตัวเอง ดูแลตนเองดีๆ



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “มนุชที่แท้จริง”
ในยุคที่คนอยู่ด้วยสิ่งสมมติ ไม่ได้หยุดชำระใจตนให้ใส
ไม่ได้ยินเสียงเรียกมาจากส่วนใน พร่ำทุกข์ใจเป็นเพราะไม่รู้จักตน
หันกลับมาเป็นมนุษย์ที่แท้จริง หาใช่วิ่งตามกระแสอันสับสน
ปลีกวิเวกสู่กระแสธรรมในตน ต้องฝึกฝนความลำบากล้วนเป็นครู

หมายเหตุ
มนุช คือ  “ผู้เกิดจากมนู” หรือ คน
มนู คือ  ชื่อพระผู้สร้างมนุษยชาติและปกครองโลก
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา