วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

2551-07-19 สถานธรรมฉือเหริน จ.นครศรีธรรมราช

西元二OO八年 歲次戊子 六月十七日 大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่  ๑๙  กรกฎาคม  พุทธศักราช  ๒๕๕๑  สถานธรรมฉือเหริน จ.นครศรีธรรมราช
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
จงพอใจในสิ่งที่ตนเป็นอยู่ หากไม่รู้ได้ไม่เท่ากับเสีย
อันความโลภดุจภัยมาลามเลีย จะต้องเสียไม่เหลือแม้แต่ตนเอง
               เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์  เคียมคัล
องค์มารดา                 ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
           ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง      ฮวา  ฮวา


ความผูกพันทำให้คนนั้นดิ้นรน แม้ว่าบ่นแท้จริงก็แสนรัก
ผู้บำเพ็ญจงรู้เบาบางหนัก จงรู้หลักรู้รองคลองวิญญา
ในชีวิตเกิดมาชาติหนึ่งนี้ ล้วนได้มีโอกาสรับธรรมหนา
จงเปิดตาเปิดใจใช้ปัญญา จงรู้ค่าตนบำเพ็ญให้เป็นบุญ
การหลุดพ้นเวียนว่ายใช่เรื่องง่าย แต่ทุกคนย่อมทำได้ไม่เกินเอื้อม
แม้กิเลสมากมายมาลายเลื่อม จิตกระเพื่อมแค่รู้ทันกิเลสลดลง
ฟังธรรมะฟื้นฟูจิตพัฒนาใจ ขอจงใคร่ปฏิบัติจนเกิดผล
การบำเพ็ญเป็นเรื่องเฉพาะตน การช่วยคนกลับคืนฟ้าต้องช่วยกัน


สองวันนี้น้องคนบุญมาฟังธรรม ขอจงนำจิตใจให้เปิดรับ
หลักธรรมนั้นจะต้องรู้นำกลับ และกำชับตนเองศึกษาจริง
อยู่ในโลกแท้จริงไม่มีอะไรมาก เป็นคนยากก็อย่าได้หละหลวม
เป็นคนง่ายก็อย่าไม่สำรวม คิดประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ
อยู่ด้วยกันรักษาพุทธระเบียบ อย่าให้เงียบความเข้าใจต้องดังลั่น
การศึกษาธรรมะต้องทันกัน การแบ่งปันดั่งพี่น้องต้องเนืองเนือง
อย่าคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ อย่าใกล้เกลือกินด่างให้ต้องโศกศัลย์
ฟ้านั้นแพ้ผู้ที่บำเพ็ญทุกวัน เมื่อถึงวันต้อนรับผู้ฝึกกายใจ
ในวันนี้พี่มาคุมชั้นเรียน หวังน้องเปลี่ยนเป็นคนใหม่ในคนเก่า
การฝึกฝนต้องทำแต่วัยเยาว์ หากว่าเราหาใช่แล้วทำทันที
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป และหวังใจน้องทำให้ดีที่สุด
หากยังไม่ถึงฟ้าอย่าได้หยุด กรรมตามฉุดอย่าได้ท้อก่อนถึงเลย
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา  ฮวา  หยุด






วันเสาร์ที่ ๑๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑ สถานธรรมฉือเหริน  จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทพระนาจา


พระมหากรุณาธิคุณฟ้าปกแผ่กว้าง ช่วยเปิดทางให้กับผู้ลุ่มหลง
ดัดจิตใจที่คดงอให้กลับตรง ลัดนิ้วส่งตรงสู่พระนิพพาน
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกคนฟังธรรมะเบื่อไหม


ปัญหาโลกง่ายก็ง่ายเหมือนโชค มนุษย์โลกดีก็ดีใจหาย
คนประมาทใช้อารมณ์ใจวุ่นวาย ตามใจเหลิงใจจำหน่ายแต่อารมณ์
เรื่องอะไรในหล้าดั่งใจคิด นิสัยติดอารมณ์ร้ายก็ถูกข่ม
ควบคุมใจเสียเพลิงแห่งอารมณ์ อารมณ์เป็นใหญ่ไหลไปจมนรกานต์
คนมีเหล่ากิเลสเหตุเวียนว่าย สุขทุกข์ไปตามปัจจัยหลายสถาน
ใจไม่ใจโรคเป็นแต่วิญญาณ เห็นอีกด้านของตนไม่เรื้อรัง
ใจเป็นเจ้าตนรักษาด้วยธรรมะ ฝึกตบะไม่ว่าจะแค้นคลั่ง
ยามละโมบผู้เป็นล้วนน่าชัง พึงระวังบำเพ็ญหรือไม่สำรวจตน
บำเพ็ญต้องมีปัญญามีใจสู้ วาสนาอยู่ดวงอยู่ใจสุขล้น
ไร้กุศลหนึ่งสับสนสองกังวล บำเพ็ญตนอันแสนจะต้องพยายาม
แม้ชีวิตมีทุกข์ไม่ได้ห่าง อย่าทำอย่างทำอยู่เฝ้าผลีผลาม
ทบทวนก่อนไม่ให้ต้องแก้ตาม ละวู่วามดิ้นรนค้นพบสัจธรรม
ในความสุขตนหาปราศจากสุข ในท่ามกลางทุกข์อย่างเคยกระหน่ำ
อาจพบสุขได้จริงเป็นประจำ การกระทำของตนบอกดวงดาว
ฮิ ฮิ  หยุด












พระโอวาทพระนาจา


คุณค่าของมนุษย์อยู่ที่การประพฤติปฏิบัติใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ามนุษย์รู้จักประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ดี คุณค่าที่เราแสดงออกก็กลายเป็นสิ่งที่ดี  และคุณค่าอย่างหนึ่งที่มนุษย์สามารถแสดงออกได้ทุกผู้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ มีการศึกษาหรือไม่มีการศึกษา  สิ่งหนึ่งที่เป็นคุณค่าของคนที่ขาดไม่ได้ก็คือ  ความอดทน   อดกลั้น  
ถ้าเกิดเป็นคนแล้วขาดซึ่งความอดทน อดกลั้น  แม้จะเรียนสูง  แม้จะโตเป็นผู้ใหญ่  มองดูแล้วก็ไม่น่ารัก  อายุก็มากแล้ว ความอดทนอดกลั้นไม่มี  อย่างนี้น่ารักไหม (ไม่น่ารัก)  เด็กๆยังรู้จักอดทนอดกลั้น คนก็ว่าเก่ง เด็กๆ ทนได้ผู้ใหญ่ต้องทนได้มากกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคุณค่าของมนุษย์ที่ขาดไม่ได้คือ ความอดทน
วันนี้แม้จะฟังแล้วไม่ได้อะไรมาก หรือฟัง (ไม่เข้าใจ) บ้าง แต่สิ่งที่ได้คือ เรามีความอดทน  ระหว่างอากาศร้อนกับอากาศเย็นชอบอยู่แบบไหนมากกว่ากัน  แปลว่าตัวเองก็ยังตัดสินใจไม่ได้เลย บางทีก็อยากร้อน บางทีก็อยากเย็น ส่วนใหญ่ชอบร้อนหรือเย็น (เย็น)  แต่ทำไมฝนตกทีไรชอบบ่นทุกที อยู่นอกบ้านก็บ่น อยู่ในบ้านก็บ่น  ใช่หรือเปล่า
ระหว่างนกขมิ้น กับนกกระจิบนกกระจอก ชอบอย่างไหนมากกว่ากัน  หรือระหว่างนกเขากับนกอีกาชอบอย่างไหนมากกว่ากัน (นกเขา)  เพราะอะไร มันขันเสียงเพราะ แล้วทำไมเมื่อมันขันไม่หยุด จึงบอกว่าหนวกหู  
ระหว่างดอกไม้กับต้นหญ้าชอบสิ่งไหนมากกว่ากัน (ดอกไม้) ตัดดอกไม้หรือตัดต้นหญ้าบ่อยกว่า (ต้นหญ้า)  ต้นหญ้าไม่ค่อยตัด ส่วนใหญ่จะไปตัดดอกไม้ ชอบดอกไม้มากกว่าแต่ก็ทำลายบ่อยกว่าจริงหรือไม่ อยากบอกท่านว่า มนุษย์นั้นแปลกอยู่อย่างคือ ตัวคิดอย่างแต่ทำอีกอย่าง   
ระหว่างเงาะกับทุเรียนชอบอะไรมากกว่ากัน  (เงาะ, ทุเรียน) บางคนถ้าเน้นปริมาณก็บอกว่าทุเรียนดีกว่า  แต่บางคนเน้นซึ่งอารมณ์เป็นใหญ่ ก็จะบอกว่าทุเรียนเหม็น เงาะดีกว่า แปลว่าอารมณ์ของมนุษย์นั้น เอาอะไรเป็นพื้นฐาน เอาอะไรเป็นสิ่งที่วัดใจ ว่าชอบอย่างไหนไม่ชอบอย่างไหน ดูยาก ใช่ไหม ปากชอบอย่างหนึ่งใจชอบอีกอย่างหนึ่งแต่ทำอีกอย่างหนึ่ง   ปากชอบอากาศเย็นแต่พอฝนตกอากาศเย็นกลับบ่นว่า ฝนตกหนักไม่หยุด ถูกหรือไม่  (ถูก)   บอกไม่ชอบอากาศร้อน แล้วบ่นไหม (บ่น)  เลยไม่รู้ว่าควรจะเย็นหรือร้อนดีใช่ไหม (ใช่)  
เหมือนเวลาทำดีมากๆ  ท่านท้อแท้ไหม ทำดีมากๆ คนก็บอกว่าดีเกินไปใช่หรือไม่ (ใช่)   แต่พอทำไม่ดี คนก็บอกว่าไม่ดีเหลือเกิน แต่บางคนแปลกพอทำดีเขาก็บอก เธอไปจากชีวิตฉันเสียเถอะ เธอดีเกินไป แต่อีกคนไม่ดีมากๆ แต่เรากลับบอกว่าเธอมาอยู่ใกล้ๆ ฉันชอบ คนดีไม่รัก กลับไปรักคนที่ไม่ดี ส่วนคนที่บอกว่า เราไม่ดีไม่ชั่วดีกว่า เป็นอย่างไร ชอบไหม  ตอนแรกก็ชอบแต่พอนานไปก็รำคาญ  
ฉะนั้นเราถามท่านกลับว่า การเป็นคนดีในโลกนั้นยากไหม (ไม่ยาก)  ไม่ยากแล้วทำไหม (ไม่ค่อยทำ) เพราะมนุษย์มักจะบอกว่า ทำดีแล้วไม่ได้ดี  ความดีไม่เห็นจะชนะความชั่วได้เลย อย่างนั้นท่านก็ดูง่ายๆ หันกลับมาดูตัวเรา พอถึงเวลาได้มา  บ่นโน่น บ่นนี่  บ่นนั่น ก็บอกสิ่งนี้ไม่ชอบ  แต่พออยู่นานไปก็กลับกลายเป็นชอบ แล้วทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ดีมากๆ ก็รำคาญ  บางทีไม่ดีมากๆ กลับชอบก็มี ยกตัวอย่างขาวกับดำ ยิ่งอยู่ใกล้กัน  ขาวยิ่งขาวมากเท่าไหร่ ดำก็ยิ่งดูดำชัดมากเท่านั้น  ฉะนั้น ทำไมเวลาเราทำดีมากๆ คนไม่ชอบ ยิ่งท่านดีมากเท่าไหร่ คนที่ไม่เคยทำดี เขาจะรู้สึกว่าทำไมฉันแย่จัง เธอไปไกลๆ เถอะ ยิ่งเธออยู่ใกล้ฉันมากๆ ฉันยิ่งรู้สึกว่าฉันไม่ได้เรื่อง  
ฉะนั้นไม่ใช่ทำดีแล้วไม่ได้ดีหรอก แต่บางทีความดีของเรานั้นมันแสบตาจนทำให้คนรู้สึกว่าตัวเองมืดดำเหลือเกิน ในทางตรงกันข้ามถ้าเราไม่ดี ไปอยู่กับคนที่ธรรมดาๆ จะทำให้เขาเป็นคนดีขึ้นมาทันที ฉะนั้นคนไม่ดีที่อยู่กับคนธรรมดาเขาถึงชอบ เพราะว่าเมื่อเธอไม่ดี ทำให้ฉันกลับเป็นคนดี แต่เมื่อเธอดีมากๆ ทำให้ฉันเป็นคนที่เหมือนไม่มีอะไรดี ฉะนั้นเวลาทำดีก็อย่าเพิ่งท้อ  แต่ต้องรู้จักจังหวะและเวลา

สมมติว่ามีไฟกองเล็กอยู่หนึ่งกอง แต่เราอยากดับไฟ เรายกน้ำถังใหญ่มาดับได้ไหม (ได้)  เหมือนคนผิดแค่นิดเดียว แต่เราร่ายความดีเสียใหญ่โต เลยกลายเป็นว่าสิ่งที่ผิดนิดหน่อย กลายเป็นความชั่วที่ร้ายกาจมากๆ ในทางกลับกัน



   ไฟกองใหญ่ น้ำถังเล็ก
ถ้ามีไฟกองเท่านี้  แต่ท่านมีความดีให้เขา แค่นี้ จะดับหมดไหม (ไม่หมด)  เอาชนะความไม่ดีไม่ได้ ได้ไหม (ไม่ได้) เป็นเพราะว่าดี เอาชนะชั่วไม่ได้ ใช่ไหม (ไม่ใช่) แต่เพราะว่าเรามีดีน้อยเกินไปที่จะไปดับไฟ




กองไฟเท่ากับน้ำ
แต่อีกทาง ความชั่วมีพอๆ กับความดี ล่ะ  เป็นเพราะว่าทำดีไม่ได้ดีไหมแต่เพราะว่าบางครั้งเราดับแค่ครั้งเดียว  แต่ไม่รู้จักทำให้สม่ำเสมอ บางทีทำครั้งเดียวดับไม่ได้  ไม่ทำแล้วได้ไหม  ต้องทำให้สม่ำเสมอ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตอนนี้คนที่อยู่ตรงข้ามเราเป็นความร้ายที่น่ากลัวยิ่งใหญ่ หรือเป็นความร้ายที่น่ากลัวนิดเดียว แล้วเรารู้หรือยังว่าเราเป็นความดีที่ใหญ่พอจะไปดับความร้ายขนาดนี้ได้ไหม
ก่อนจะมองว่าทำดีไม่ได้ดี หรือดีไม่เคยชนะชั่วเลย ต้องหันไปมองคนตรงข้าม และตัวเราด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่) ไม่เช่นนั้นเราจะกลายเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลย ฉะนั้นทำดีต้องมองให้ออกทั้งเขาและมองให้ออกทั้งเราเหมือนเราอยู่กับคนอื่นสองคน  ทำไมจึงเกิดปัญหากันบ่อยๆ  เราอยู่กับใครถึงมีปัญหาโน้นปัญหานี้  ใช่เพราะความแตกต่างกันอย่างเดียวไหม (ไม่ใช่) แต่เพราะความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้องและดีงามต่างหาก  ท่านก็คิดว่าท่านมีดี เราก็คิดว่าเราก็มีดีใช่หรือเปล่า แล้วดีกับดีมาเจอกัน ไม่มีใครยอมกันเลย มันก็มีแต่ปัญหาและความขัดแย้งไม่จบสิ้น   อีกคนก็เป็นไฟอีกคนก็เป็นน้ำ  ตอนนี้เราเป็นน้ำ เขาเป็นไฟ เดี๋ยวเราเป็นไฟเขาเป็นน้ำ เมื่อต่างคนต่างยึดมั่น ปัญหาก็เกิดได้ทุกๆ วัน
เหมือนลูกหลานทำผิด  สามีภรรยาทำผิดนิดหน่อย  เราว่าเขาประจานเสียหายจะดีไหม (ไม่ดี)  แต่เราควรจะใจเย็นๆ ถ้อยทีถ้อยอาศัยให้อภัย ยิ่งอยู่ร่วมกันเวลาเล่าเรื่องดีๆ ให้ฟังเรารู้สึกว่าคนฟังได้กำลังใจจากเรื่องดีๆ นั้นโดยไม่รู้ตัว  แต่ถ้าอยู่ร่วมกันเราเอาแต่ประจานข้อไม่ดีของกันและกัน เอาแต่ตอกย้ำเรื่องที่ผ่านมานาน  เอามาเล่าแล้วเล่าอีกไม่จบดีไหม (ไม่ดี) คนเล่าก็เจ็บปวดคนฟังก็ทุกข์ทรมาน ฉะนั้นอยู่ร่วมกันจึงต้องรู้จักเปิดใจกว้าง ถ้อยทีถ้อยอาศัย ให้อภัยซึ่งกันและกัน  อย่าลืมในโลกนี้แม้แต่ต้นไม้ยังมีประโยชน์ เฉพาะบางส่วน ไม่มีอะไรที่มีประโยชน์ตั้งแต่หัวจรดราก แม้มีก็มีไม่กี่ชนิด แล้วเราเป็นประเภทที่มีประโยชน์ตั้งแต่หัวจรดรากไม่มีข้อติเลยไหม (ไม่ใช่)  เรายังเป็นต้นไม้บางประเภทที่มีแต่ดอกหอมแต่ผลไม่อร่อย หรือประเภทผลที่ไม่หอม ดอกก็ไม่สวย แต่ต้นแข็งแรงบึกบึน
ฉะนั้นเราอยู่ร่วมกันในโลก เราจึงต้องมองให้ออกและเปิดใจกว้างรับความเป็นจริงนี้ให้ได้  เราอยู่ในโลกเราอยู่เพื่อความเป็นจริง หรืออยู่เพื่อความถูกใจ  (ความเป็นจริง) เราอยู่บนการตามใจหรืออยู่บนการตามความเป็นจริง (ตามความเป็นจริง) คนบางคนอยู่บนโลกด้วยการตามใจมากกว่าตามความเป็นจริง  แล้วบางคนอยู่บนความเป็นจริงก็ลืมตามใจบ้าง ตอนนี้ตามใจจนเคยตัว แต่พอเป็นโรค ก็อยู่บนความเป็นจริง   ฉะนั้นอยู่บนโลกนี้บางครั้งต้องรู้จักความจริง และบางครั้งรู้จักตามใจ แต่ไม่ใช่ตามใจจนเห็นแก่ตัว
เราอยู่บนโลกตามความสวย ตามความดูดี จะเป็นคนโกรธง่ายไหม (ไม่)  เพราะอารมณ์โกรธจะทำให้เหมือน (ยักษ์)  เพราะฉะนั้น คนที่ตามความสวยและตามความดูดีต้องไม่โกรธง่าย ไม่ขี้บ่น ไม่จู้จี้จุกจิก ไม่กินเหล้า  ไม่เล่นการพนัน  ไม่รังแกสัตว์ ไม่เอาสัตว์มาชนกันใช่ไหม (ใช่)
(ศิษย์พี่นาจาเมตตาให้นักเรียนในชั้นทำท่าปรบมือ, ผงกศรีษะ,
ย่ำเท้า)
ใจมนุษย์เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เดี๋ยววันนี้ดีวันหน้าก็หน่าย  เดี๋ยววันหน้าหน่ายก็กลับมาดี วันนี้ทำอย่างนี้ วันต่อไปก็ทำอีกอย่างหนึ่ง พอวันต่อไปทำอีกไหม ยุ่งยากเพิ่มไปอีกอย่างหนึ่ง ชีวิตเหมือนไม่จบสิ้นยิ่งมีก็ยิ่งวุ่นวายไปเรื่อยๆ มีใครเคยย่ำอยู่กับที่ไหม ถ้าไม่เคยย่ำอยู่กับที่ก็ต้องมีสามขั้นตอนสามแบบให้จำ
เห็นไหมว่าชีวิตนี้ยิ่งอยู่ยิ่งวุ่นวาย ยิ่งอยู่ยิ่งเพิ่มปัญหาท่านก็บอกว่าไม่ไหว  แต่ทำไมชีวิตเราอยู่คนเดียวยังเอาตัวไม่รอดแล้ว เรายังอยากเพิ่มปัญหาให้กับตัวเองอยู่ทุกๆ วัน คนเดียวก็เอาตัวไม่รอดแล้วอยากหาห่วงมาผูกคอ
มนุษย์มักจะชอบอยู่ตามอารมณ์มากกว่าอยู่ตามความเป็นจริง อยู่ตามสิ่งที่พอใจมากกว่าสิ่งที่ควรจะเป็นไป เหมือนง่ายๆ วัตถุเดียวกันแต่พอเวลาผ่านไป มุมมองก็ผ่านไปเราก็มองสิ่งนั้นแตกต่างออกไป สมัยเด็กๆ เงินสิบบาทมีค่ามาก แต่ทำไมพอโตแล้วสิบบาทค่ามันเล็กลงๆ ทั้งที่สิบบาทมันเท่าเดิม เพราะอะไรถึงเปลี่ยน
ตอนเด็กๆ เราเห็นสิบบาท ตาโตเท่าไข่ห่านเลย แม่ให้เงินตั้งสิบบาท แต่พออายุมากขึ้นสิบบาททำไมดูเล็กลงๆ เหมือนสมัยก่อนเราว่าหนึ่งร้อยก็มากแล้ว แต่พอเราโตขึ้น หนึ่งร้อยกลับนิดเดียว อะไรเปลี่ยนไป กาลเวลาเปลี่ยนทำให้ค่าเงินเปลี่ยน ลองถามเด็กสิ ตอนนี้สิบบาท ไม่พอต้องเอายี่สิบบาท  พอนานไปเขาจะเห็นยี่สิบบาทมีค่ามากเท่าเดิมไหม (ไม่) เพราะว่าค่าเงินเปลี่ยนหรือ ค่าเงินก็เป็นหนึ่งตัวแปร แต่อีกหนึ่งตัวแปรคือ มีคำกล่าวอยู่คำหนึ่งมนุษย์มักชอบพูดกันแม้แต่ปราชญ์โบราณก็บอกว่า “ดาบที่อยู่ในมือ ไม่น่ากลัวเท่ากับดาบที่อยู่ในใจ”  สิ่งที่มองเห็นมนุษย์มักจะบอกว่า เป็นสิ่งที่มีคุณค่า แต่มนุษย์ลืมไปว่า สิ่งที่มากกว่าคุณค่า มากกว่าสิ่งที่มองเห็นนั้น คือสิ่งที่อยู่ในหัวใจ หมายความว่า ทำไมวันนี้เราถึงบอกว่า เหรียญสิบบาทดูค่าน้อย เพราะเวลาเปลี่ยน แต่อีกอย่างหนึ่ง อย่าลืมมอง เพราะหัวใจเราเปลี่ยนไปด้วย เหมือนแต่ก่อน ตอนเด็กๆ  รู้จักไหมว่าอันนี้คือส้ม แต่พอเราเริ่มเรียนรู้ก็เลยเรียกว่าส้ม พอเรารู้จักมากขึ้น เราจะเห็นว่าส้มไม่ใช่ส้ม  เพราะว่าเราไม่ชอบกินส้ม เริ่มเห็นส้มไม่ใช่ส้ม เพราะเห็นว่าส้มเป็นผลไม้ที่เด็กไม่ชอบ เขาเรียกว่าหัวใจเราเปลี่ยนทำให้สิ่งที่มองเห็นนั้นเปลี่ยนแปลงไปด้วย  
ยกตัวอย่างง่ายๆ  แต่ก่อนเราเห็นแฟนเรา ตอนที่เขายังไม่เป็นแฟนเรา เรารู้สึกว่าอะไรก็ดูดีหมด แต่พอมาเป็นแฟนเรา อยู่กับเรานานๆ แฟนเราก็ไม่อยากจะใช่แฟนเราใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกันตอนแรกเริ่มรู้จักส้ม พอรู้จักส้มนานๆ  ส้มก็ไม่ค่อยจะเหมือนส้มใช่หรือไม่  แต่พออยู่ไปนานๆ  ก็กลับมาเป็นส้มเหมือนเดิมเข้าใจไหม  เหมือนเสื้อในตู้กับเสื้อในร้าน ตอนแรกๆ เสื้อในร้านก็ดูสวย แต่พอเมื่อไหร่เสื้อในร้านมาแขวนในตู้ของเรา ก็เหมือนผ้าขี้ริ้วเลยเป็นเพราะจิตใจอย่างเดียวไหม แต่เป็นเพราะอารมณ์ครอบงำจิตใจ จึงทำให้มุมมองที่เคยมีนั้นอาจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง  เหมือนดังคำกล่าวที่ว่า มนุษย์นั้นถ้าเน้นนอกเกินไปก็มองไม่เห็นภายใน ถ้ามนุษย์เน้นภายในเกินไปก็มองไม่เห็นคุณค่าภายนอก
เวลาซื้อของ อันนี้สวยดี แต่พอซื้อมาแล้ว ประโยชน์ใช้สอยตั้งสิบอย่าง แต่พอเอามาเก็บ แล้วมันจะไปอยู่กับพวกไหนดี พัดลมก็ไม่ใช่ โคมไฟก็ไม่เชิงมีสารพัดแบบ ถ้าเราเน้นประโยชน์เกินไปจนลืมความสวยงาม ก็กลายเป็นดูไม่ค่อยดี เหมือนตัวคนถ้าเวลาเราอยู่ร่วมกับเขา เรามองเห็นใจเขา เราก็จะลืมเห็นคุณค่าอย่างอื่น เราเห็นคุณค่าความสวยงามภายนอก เราก็ลืมเห็นคุณค่าภายในหัวใจ ฉะนั้นเราอยู่ในโลกอย่าให้สายตาบดบังความจริง และอย่าให้ความจริงบดบังความสวยงามที่สายตาต้องมองบ้าง  
ยกตัวอย่างไปซื้อเก้าอี้ ต้องดูว่าเราอยากได้เก้าอี้มีพนัก หรือไม่มีพนัก แต่ถ้าเราอยากได้เก้าอี้ธรรมดาที่ทำให้เรานั่งแล้วหายเหนื่อย ราคาไม่เกินร้อยบาท แต่พอไปดู ร้อยหนึ่งก็ไม่พอ เพราะมัวเน้นภายนอกจนลืมคุณค่าใช่หรือไม่ (ใช่) เอาเก้าอี้แบบสวยงามราคาแพง แบบนี้ดีที่สุดเลย แต่ลืมมองสภาพตัวเองว่าเอาตัวไม่รอด แล้วเราเป็นอย่างนั้นบ่อยไหม  ฉะนั้นอย่าปล่อยให้อารมณ์ครอบงำจนกลายเป็นทาสของความคิด ทาสของวัตถุ รูปนามที่เรายึดติด เพราะเดี๋ยวนี้มนุษย์วิ่งตามอารมณ์มากกว่าความจำเป็น แต่บางคนอยู่ตามความจำเป็นเกินไป ก็กลายเป็นคนไร้รสชาติ ฉะนั้นจึงต้องมีสมดุลให้เหมาะสม
เก้าอี้ธรรมดา นั่งๆ ไปก็เหมือนกันหมด เลยซื้อเก้าอี้ไม่มีพนักมาให้นักเรียนนั่ง เน้นความจริงจนลืมความรู้สึกก็ไม่ดี นึกถึงความรู้สึก จนลืมถึงความจริงก็ไม่ได้ ไม่ได้มาห้องพระต้องนั่งดีๆ  อะไรๆ ก็ต้องดีหมด ฉะนั้นความคิดของคนบางครั้ง ไม่ได้อิสระ บางคนติดหลุม ติดหล่ม ก็เพราะว่า ยึดติดอะไรมากเกินไป จนทำให้ชีวิตขาดสมดุล เหมือนนั่งมากเกินไปก็ไม่ดี ยืนมากเกินไปก็ไม่ได้
มนุษย์ก็แปลกเวลาตัวเองหิว ตัวเองทุกข์ ก็นึกถึงน้ำจิตน้ำใจว่าตัวเองเคยไปช่วยใครบ้าง แต่เวลาตัวเองอิ่มกลับนึกถึงจะเอาอะไรจากใครบ้างดี  ฉะนั้นจิตใจของมนุษย์จึงเป็นสิ่งที่น่ากลัว มนุษย์จึงต้องรู้จักควบคุมใจของตัวเองให้เป็น  เพราะนำพาให้ดีก็พาชีวิตมีสุข และมีชีวิตอย่างสมดุล  แต่ถ้านำพาไม่ดี  เราก็คือคนที่พาตัวเองไปจมอยู่ในวังวนของทุกข์  มีคนที่เคยตายเพราะความคิดของตัวเอง ทุกข์เพราะความคิดของตัวเอง ถ้าอย่างนั้นศิษย์พี่ถามหน่อยว่าคิดอย่างไรถึงทำให้ตัวเองตายทั้งเป็น เช่น นั่งตรงนี้ แล้วคิดว่าเมื่อไหร่จะจบๆ ตายทั้งเป็นไหม คิดว่าพูดไม่รู้เรื่อง ฟังก็ไม่รู้เรื่อง ตายทั้งเป็นไหม เหมือนอยู่กับแฟนอยู่กับคนรัก เมื่อไหร่เธอจะหายขี้บ่น  คิดอย่างนั้นตายทั้งเป็นไหม  ถ้าอย่างนั้นก็บอกว่า เธอบ่นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ฉันจะได้ไม่ต้องเปิดวิทยุฟัง  จากทุกข์ก็เปลี่ยนเป็นสุข แล้วคิดในสิ่งที่ไม่ควรคิดที่ทำให้เราตายทั้งเป็นได้  เช่น คิดไม่ให้อภัย คิดไม่ยอมรับความเป็นจริง เขาน่าเปลี่ยนแปลงมากกว่านี้ เขาน่าจะดีกว่านี้ เขาไม่น่าจะขี้บ่น หรือมัวคิดจมอยู่กับอดีต เช่น ทำไมเขาไม่เหมือนเมื่อก่อน ทำไมเขาไม่ดีเหมือนเมื่อก่อนคิดอย่างนี้ทำร้ายตัวเองไหม อย่าลืมว่าคนเราเปลี่ยนแปลงได้ อย่ามัวแต่คิดว่า ทำไมเธอไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน ทำไมชีวิตฉันไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน ทำไมหน้าตาฉันไม่เหมือนเมื่อก่อน ทำไมหน้าตาฉันเหี่ยวกว่าเมื่อก่อน  ทำไมตอนนี้ร่างกายฉันไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน ฉะนั้นอย่าคิดแบบไม่ยอมรับความเป็นจริง เราต้องมีชิวิตอยู่กับปัจจุบัน และอยู่กับสิ่งที่เป็นจริงที่เรามี แม้สิ่งที่มีนั้นจะบกพร่องไปบ้าง แต่เราก็สามารถหาความสุขได้ อย่าปล่อยให้ความคิด ที่ไม่ควรจะคิดมาทำร้ายหัวใจเรา เพราะผู้คนส่วนมากปล่อยให้ความทุกข์ความเจ็บแค้น การไม่อยู่กับปัจจุบัน การไม่อยู่กับความเป็นจริง ทำร้ายจิตใจบ่อยครั้ง  แล้วก็เปิดใจรับมัน ทั้งที่เปิดแล้วจะทำให้เจ็บก็ยังเปิดใจรับ ส่วนเรื่องที่ควรคิดแล้วทำให้มีความสุข อย่างเช่นตอนนี้คิดว่าถ้าเป็นเด็กมาสอนก็จะมีความทุกข์ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเราต้องรู้จักอยู่บนโลกใช้หัวใจที่กว้างใหญ่รับได้ทุกสภาพ เพราะมีแต่หัวใจที่เข้มแข็งและยอมรับความจริงเท่านั้น ที่แม้โลกจะเลวร้ายก็สามารถพลิกให้กลายเป็นเรื่องดี แม้ความทุกข์จะโหมกระหน่ำ แต่ความทุกข์นั้นก็ให้คุณค่าและประสบการณ์ชีวิต เพราะคิดเป็นและคิดได้ และคิดอย่างคนมีธรรมะ
มนุษย์มักจะพูดว่า อายุมากๆ  ค่อยมาฟังธรรมะ แต่พออายุมากแล้วถามว่า นั่งฟังไหวไหม ขนาดตอนนี้อายุยังไม่มาก แต่ยังนั่งฟังไม่ค่อยไหว เรารู้ว่านั่งอย่างนี้เป็นวัน เป็นชั่วโมงเป็นเรื่องที่ลำบากไม่ใช่น้อย ฉะนั้นตอนแรกเราถึงให้กำลังใจว่าท่านเป็นคนอดทนไม่น้อย
การศึกษาธรรมะ ไม่ใช่สอนให้ท่านงมงาย แต่สอนให้ท่านยืนอยู่บนความเป็นจริงและสอนให้ท่านมีจิตใจที่กล้าสู้กับความเป็นจริงด้วยปัญญาและสติ ผู้ที่มีปัญญาและสติในการดำเนินชีวิต จะสามารถมองสรรพสิ่งได้อย่างเป็นกลางและมีใจที่เมตตาและเปิดกว้าง อย่าใช้ใจด้วยอารมณ์ความรู้สึก เพราะถ้าทำอะไรด้วยอารมณ์ความรู้สึกเป็นใหญ่แล้ว ก็ง่ายที่จะลำเอียงและไม่ยุติธรรม
ถ้าเกิดไม่ตั้งใจฟังหรือฟังแล้วไม่เอาไปคิดพิจารณา สิ่งที่มานั่งฟังก็จะเสียเปล่า เราก็จะเสียเวลาสองวันโดยที่ไม่ได้อะไรเลย กลับไปแล้วก็ยังเหมือนเดิม
เรื่องมีอยู่ว่ามีคนสองคนเป็นเพื่อนกัน อีกคนรักดี แต่อีกคนรักชั่ว คนที่รักดีพอตายไปก็เป็นเทวดา อีกคนไม่รักดีชอบทำแต่สิ่งที่ไม่ดี ตายไปก็ไปเป็นหนอนในส้วม เพื่อนคนที่เป็นเทวดาก็อยากจะลงมาช่วยเพื่อน แต่อย่าลืมว่าฟ้าจะช่วยคนที่รู้จักช่วยตนเอง ทำไมฟ้าจึงไม่บังคับให้มนุษย์ทุกคนเป็นคนดีให้หมด เพราะสิ่งที่บังคับจะทำให้เขาเป็นได้ไม่นาน ไม่เหมือนสิ่งที่กลั่นกรองออกมาจากใจ เป็นได้นานทั้งคุณค่าและปริมาณมากกว่า เขาก็เลยไปโน้มนำเพื่อนที่เป็นหนอน บอกว่าเป็นเทวดาดีนะ นึกอยากจะกินอาหารอะไร อาหารก็ออกมาทันที อยากได้บ้าน บ้านก็ออกมาทันที แต่เพื่อนกลับบอกว่าเธอยังต้องเสียเวลานึก ฉันไม่ต้องนึกแค่อ้าปากก็ได้กินแล้ว นั่งอยู่เฉยๆ ก็ได้กินตลอด คนบางคนเมื่อฟังธรรมะก็พยายามที่จะประพฤติปฏิบัติให้ดี แต่คนบางคนฟังธรรมะกี่ครั้งก็เหมือนเดิม  ฉะนั้นจึงทำให้มนุษย์แม้จะเกิดมาพร้อมๆ กันแต่ก็มีคุณค่าแตกต่างกัน เพราะอะไร (ใจ)  ความมุ่งมั่นในหัวใจต่างหาก มีใจมีเหมือนกันแต่มีความมุ่งมั่นไปให้ถึงที่สุดมีไม่เท่ากัน แล้วใครล่ะที่สามารถมีใจที่ดีและมุ่งมั่นไปให้ถึงที่สุด ลำบากขนาดไหนก็ไม่ยอมแพ้ ซึ่งหาได้ยาก
จึงทำให้บนฟ้ามีเทวดานับองค์ได้ แต่ใต้ดินมีนับไม่ถ้วนเลย แล้วเราอยากจะเป็นคนที่นับไม่ถ้วนหรือนับได้ดีล่ะ (นับได้) นับได้และเป็นหนึ่งในนั้นนะ จึงต้องพยายามรู้จักฝืนใจฝืนอารมณ์ตัวเองบ้าง อย่าปล่อยตัวเองไปตามอารมณ์ตลอด คนที่ทำอะไรตามใจตัวเองโดยไม่คำนึงถึงส่วนรวม นึกถึงแต่ตัวเอง โดยไม่นึกถึงคนรอบข้างก็ง่ายที่จะไหลลงต่ำมากกว่าขึ้นสู่ที่สูง ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ศิษย์พี่เมตตาให้นักเรียนในชั้นทำท่าทางให้ตรงข้ามกับคำสั่ง)  
(ศิษย์พี่นาจาเมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมเอาผ้าเช็ดหน้ามาให้นักเรียนในชั้นเช็ดหน้า)  หายง่วงไหม (หาย)  
อยู่ในโลกนี้การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็ต้องมีดับไปใช่หรือไม่ (ใช่)  เรื่องราวถึงจะทำให้เราทุกข์ขนาดไหน แต่ถึงเวลาก็ทำให้มันจบลงได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นใครที่ให้เราเจ็บแค้น ใครที่ทำให้เราไม่สบายใจ ถึงเวลาเมื่อมากระทบใจ ถึงเวลาก็ต้องปล่อยวางใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะคนเรามีบุญมีกรรมไม่เท่ากัน  บุญดีก็เจอแต่คนน่ารัก บุญน้อยก็เจอแต่คนน่ารักน้อยหน่อยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจะต้องฝึกหัวใจให้มีเมตตาและพยายามทำความเข้าใจกับใจของตน เหมือนคนอารมณ์ดีก็ยิ้มบ่อย อารมณ์ไม่ดีก็หน้าตาบึ้งบ่อยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นที่เขาทำหน้าบึ้งๆ ใส่เราไม่ใช่เพราะว่าเกลียดเราหรอก แต่เป็นเพราะว่าเราอารมณ์ไม่ดีใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นก็อย่าคิดร้ายเลยใช่หรือเปล่า  
ชีวิตนี้ก็เหมือนอากาศใช่ไหม เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวมีฝน เดี๋ยวไม่มีฝน วันนี้สุข พรุ่งนี้ทุกข์  ฉะนั้นอย่าปล่อยให้หัวใจวุ่นวายไปกับสิ่งที่กระทบอารมณ์บ่อยๆ บางทีต้องรู้จักทำใจให้เป็นบ้าง วางใจให้เป็นกลางบ้างใช่หรือไม่ วันนี้มีได้พรุ่งนี้ก็มีเสีย วันนี้เสียพรุ่งนี้ก็อาจจะได้ วันนี้มีน้ำตาพรุ่งนี้อาจจะมีรอยยิ้ม ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นเราอย่าตกเป็นทาสของอารมณ์บ่อยๆ บางทีอารมณ์ใดมากระทบเราต้องตั้งสติรับให้ทัน  แล้วมองให้เห็นความเป็นจริง ชีวิตเราก็จะไม่หวั่นไหวไปกับทุกข์สุขในโลก หรือทุกข์สุขในโลกก็จะทำอะไรหัวใจเราไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่ )  เพราะเรามีสติและเราเข้าใจว่า มันเป็นอย่างนี้ๆ เดี๋ยววันนี้ฉันเสียพรุ่งนี้ฉันอาจจะได้  หรือวันนี้ฉันเสียพรุ่งนี้ก็อาจจะเสียอีกก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นคิดให้ดีเราก็จะมีสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  
วันนี้ศิษย์พี่ก็มาผูกบุญกับศิษย์น้องแค่นี้ถึงเวลาศิษย์พี่ก็ต้องไป ชีวิตของศิษย์น้องก็เหมือนกัน เราเกิดมาเพื่อตายไปแค่นั้นหรือเปล่า แล้วเราเกิดมาเพื่อสนองความอยากของตัวเองให้สะใจใช่ไหม (ไม่ใช่) ฉะนั้นเราเกิดมาเพื่ออะไร เกิดมาเพื่อสนองความอยากให้เต็มที่หรือเกิดมาเพื่อสร้างคุณค่าของตนให้เป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐอย่างที่คนอื่นเขากล่าวขวัญกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วสิ่งที่มนุษย์ผู้ประเสริฐควรจะทำกันคืออะไร  (ความดี) ความดีอย่างเดียวไหม การทำอย่างผู้ที่เรียกว่ามนุษย์อันประเสริฐนั้นก็คือ ลดอัตตาตัวตน  ลดความยึดมั่นถือมั่น  ลดอันนี้ของฉันอันนี้ของเขา บางทีเราต้องรู้จักปล่อยวาง เพราะทุกอย่างในโลกแท้จริงแล้วหาใช่ของเราไม่  วันนี้อยู่กับเราแต่พรุ่งนี้อาจจะไม่ใช่ของเราใช่หรือไม่ (ใช่) แบงก์ร้อยแบงก์พันที่ท่านถือผ่านมากี่มือแล้วมีใครเป็นเจ้าของแบงก์ร้อยแบงก์พันที่แท้จริงบ้าง เพราะฉะนั้นอย่าปล่อยให้เงินนั้นมาครอบงำใจ แต่เราต้องมีอำนาจเหนือเงิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้ได้เงินพรุ่งนี้เสียเงินก็เป็นธรรมดา แต่บางครั้งต้องรู้จักเสียเงินเพื่อสร้างความประเสริฐให้กับคุณค่าของชีวิตบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเสียเงินแล้วได้ลดความตระหนี่ถี่เหนียวทำไมไม่ยอมเสียบ้าง  ถ้าให้อภัยแล้วได้ลดความโกรธ ความโมโห  ความเคืองแค้น ทำไมไม่รู้จักให้อภัยบ่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการฝึกฝนบำเพ็ญธรรมก็คือการมีชีวิตอยู่  รู้จักให้มากกว่ารับ  แล้วเราให้อะไรที่สามารถทำให้มนุษย์เป็นผู้ประเสริฐและมีคุณค่าอย่างแท้จริง  นั้นคือให้แล้วกลายเป็นคนที่เบาบางไม่ยึดมั่นถือมั่น นั่นแหละที่เรียกว่าให้ธรรมะอย่างแท้จริง  
เหมือนวันนี้เราให้เวลากับการฟังธรรมะ ทำให้เราลดห่วง ที่เราห่วงอยู่ทุกวันไม่เคยปล่อยสักที แล้วถึงเวลาเราต้องปล่อยไหมห่วงนี้ ฉะนั้นสองวันนี้มาปล่อยห่วงไม่ดีหรือ ทั้งที่ถึงเวลาห่วงนี้ก็ไม่ช่วยอะไรเราเลย  ตายไปแล้วก็มีตัวเราคนเดียวที่ต้องขึ้นไปใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการมาฟังธรรมะเพื่อลดห่วง ลดความยึดมั่นถือมั่น ลดอัตตาตัวตน เพราะจิตที่จะขึ้นสวรรค์แล้วไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดได้ คือ “จิตที่ไม่ยึดติดแม้ตัวตน  แม้บุญกุศล ทำอะไรก็ไม่ต้องหวังผล”  ถ้าทำบุญแล้วเอาชื่อติดไว้  ทำอย่างนี้ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทำบุญอย่างหวังผล  ทำบุญอย่าขอ บุญนั้นถึงจะยิ่งใหญ่  อย่างเช่นทำบุญแล้ว ทำโดยไร้ตัวตน  เพราะมีตัวตนจึงทำให้มีทุกข์อยู่  เพราะมีชื่อจึงทำให้มีทุกข์  ทุกข์ที่ชื่อนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทำบุญไร้ชื่อบ้างจะได้ไม่ต้องทุกข์ถูกไหม (ถูก)  แล้วชื่อนั้นเป็นของท่านจริงๆ ไหม ถึงเวลาตายไปเอาชื่อไปได้ไหม มีแต่เอาความดีงามที่เบาบางไป ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอย่ายึดมั่นถือมั่น ถึงเวลามาฟังธรรมะ ปล่อยได้ปล่อย วางได้วาง  เพราะสิ่งที่เรายึดมั่นถือมั่นนั่นแหละทุกข์ที่สุด แล้วทุกข์อะไรมากที่สุด ก็เรื่องตัวเรานี่แหละ ฉะนั้นปล่อยตัวเองบ้างไม่ดีหรือ (ดี)  เราทุกข์เพราะเรามีตัวตน  เราทุกข์เพราะเรายึดมั่นถือมั่นแม้กระทั่งความคิดก็ยึดติดใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉันพูดอย่างนี้ เธอก็ต้องฟังฉันอย่างนี้ พอเธอไม่ฟังฉันอย่างนี้ ทำไมเธอไม่ฟัง ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทุกข์เพราะ ยึดมั่นในความคิด แม้กระทั่งความคิดที่ดีก็ยังยึดถูกหรือไม่ แล้วคิดดีเขาไม่ทำดีเหนื่อยเปล่าๆ อย่าไปทุกข์เลยถูกหรือไม่ (ถูก)  ถึงเวลาก็ปล่อยๆ เขาไป  
แม้กระทั่งสัตว์ก็ทุกข์ไหม (ทุกข์) เสื้อผ้าก็ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทุกข์ไปทุกอย่างเลยใช่หรือเปล่า แล้วแบกไว้ไม่น่ากลัวหรือ ฉะนั้นวันนี้มาฟังธรรมะปล่อยวางบ้างดีไหม (ดี)  ส่วนที่มีก็ต้องมีอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใช้ให้เป็น ใช้ให้ถูก รู้จักพลิกแพลงให้เหมาะสมตามสภาพ  แล้วธรรมะจะโอบอุ้มชีวิตเราให้พาไปสู่ความสุขอันแท้จริง  แล้วสุขอันแท้จริงคืออะไร คือความสงบที่มนุษย์ทอดทิ้งไป อยู่ที่ไหน ไม่ได้อยู่ที่ไกล ไม่ได้อยู่ที่วัด แต่อยู่ที่หัวใจเรา พอได้ก็สุขเมื่อนั้น รับได้ก็ยิ้มได้เมื่อนั้น  เพราะไม่พอ เพราะรับไม่ได้ก็เลยสุขไม่ออก ยิ้มไม่ลงใช่ไหม (ใช่)  
ฉะนั้นอะไรจะเกิดก็ต้องยอมรับเพราะเราเลือกมาแล้วใช่ไหม (ใช่)  เหมือนสามีไม่ได้ดั่งใจ ลูกไม่ได้ดั่งหวัง ยอมรับเสียเถอะได้แค่นี้ก็ดีหนักหนาแล้วใช่ไหม (ใช่)  ไปดึงหน้าแล้วหน้าไม่ตึงอย่างที่หวัง เท่านี้ก็ดีแล้วนะ  ทำงานมาแทบตายเขายังมาขโมยไปอีก ทำใจเถอะ เขาขโมยแต่ของ เขาไม่ได้ขโมยใจที่ขยันขันแข็งใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นใจขยันขันแข็งถึงอย่างไรงานก็ออกมาได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เขาขโมยของของเราแล้วอย่าให้เขาขโมยความขยันของเราไปด้วย บางคนถูกขโมยไปสามรอบ ไม่ทำมันแล้วขี้เกียจเลยได้ไหม (ไม่ได้) ใครขโมยอะไรก็ขโมยได้แต่อย่าขโมยหัวใจอันดีงามของท่านออกไปจากใจนะ
ไปแล้วนะ รักษาตัวเองให้ดี มีโอกาสกลับมาศึกษาบำเพ็ญมากๆ  มีโอกาสค่อยมาผูกบุญกันอีก
วันอาทิตย์ที่ ๒๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑ สถานธรรมฉือเหริน  จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


หัดฝืนใจตัวเองวันละครั้ง ศิษย์รักจะมีพลังจิตสูงขึ้น
ตอนฝืนใจก็อย่าฝืนใจแบบมึนมึน จิตสูงขึ้นต้องสูงขึ้นแบบตั้งใจ
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฉือเหริน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนอยากจะพ้นทุกข์หรือเปล่า


จิตหนึ่งใจเดียวในทางธรรม ความทุกข์ความหวังปนเปไป บางครั้งเหมือนคล้ายแค่เพียงท่าทาง กล่าวคำวาจาไปตรงตรง มีคนอิดหนาเราควรตรวจทาน ไม่เห็นปัญหาจะเดินเลย
บางสิ่งที่เห็นเป็นมายา ดั่งเมฆแน่นฟ้าขืนคว้ากลับไร้ ชีวิตมาไกลส่วนเกินมากตาม ถูกบ่นว่าเตือนน้อยใจที   ผู้บำเพ็ญรู้ไฟยังลาม วันนี้เข็ดแล้วควรทำอะไร เด็กจนโตขัดเกลาเช่นกัน โทษของเรื่องความเกียจคร้านไม่เคยเว้นใคร
กลบเกลื่อนเรื่องบางเรื่องไว้มิด สิ่งที่คิดได้ไม่มีหวัง บาปในใจสร้างมาซ่อนเงื่อนมากมาย เปิดออกโล่งใจให้หายทุกข์ อย่าเป็นคนเลือกทำเลือกทำ จิตตอกย้ำถึงใครไม่ดีเราต้องดี
จิตหนึ่งใจเดียวมีเพียงธรรม กี่ศาสตร์ความรู้จำเป็นไฉน ลงท้ายจิตใจหนึ่งเดียวสำคัญ ถ้าหากไม่มีใจก้าวไป ให้ไกลแค่ไหนก็ต้องหยุดฝัน เรียกไม่มีหันเมื่อเจ้าใจยังหลง


                                     ทำนองเพลง : ขอนไม้กับเรือ เพลง : เปลือกนอกและเนื้อใน



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


การเป็นคนรู้มากดีหรือไม่ดี  จะว่าดีก็ไม่ใช่ จะว่าไม่ดีก็ไม่เชิง  คนที่รู้มากต้องรู้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์จึงจะดี รู้มากแต่สิ่งที่ทำให้เราเป็นทุกข์ อย่างนี้รู้มากดีหรือไม่ (ไม่ดี)  เหมือนกันมีหลายๆ คนศึกษาธรรมะมาตั้งหลายปี บำเพ็ญธรรมมาตั้งนาน เป็นผู้รู้มาก แต่ถามว่าเป็นผู้ร้มากมีประโยชน์หรือไม่ ทำในสิ่งที่เรารู้หรือเปล่า เราศึกษาธรรมมามาก แล้วเราได้ปฏิบัติในสิ่งที่เรารู้หรือไม่ ถ้าหากว่าเรารู้มาก แต่เราปฏิบัติน้อยสมดุลไหม (ไม่สมดุล)  เรารู้มาก เราปฏิบัติน้อยเราก็เป็นทุกข์ คนที่บำเพ็ญธรรมจึงมักพูดว่า เรายังไม่ดีเลย เพราะว่าการรู้กับการปฏิบัติยังไม่สมดุล เพราะว่าเรารู้มาก รู้ว่าควรทำอย่างนั้น ควรทำอย่างนี้ ควรเป็นอย่างนั้น รู้ว่าควรเป็นอย่างนี้ แต่เราก็ไม่ได้ทำ อย่างที่ควรทำ เพราะฉะนั้นเราจึงเกิดความทุกข์ เป็นความทุกข์ที่เรานั้นมีความรู้สึกว่าเราควรจะดีกว่านี้ แต่เรายังไม่ดี ถ้าเราอยากจะทุกข์น้อยลงก็ต้องทำมากขึ้น ถ้าหากจะทุกข์น้อยลงก็ต้องบ่นน้อยลงด้วย ถ้าหากว่าคนอื่นเขาปิดๆ บังๆ เรา แล้วเราก็ยอมให้เขาปิดบังอย่างนี้ถือว่าเราโง่หรือเปล่า (ไม่โง่)  เราไม่ได้โง่ เพราะว่าจริงๆ แล้วคนปิดก็ปิดบังไป  ส่วนเราไม่รู้ก็ไม่รู้ไป รู้ทีหลังอย่าเรียกว่าโง่  คนที่รู้กับคนไม่รู้ทำตัวแตกต่างกัน คนที่รู้ต้องลงแรงทำสิ่งที่รู้ ส่วนคนที่ไม่รู้เขาทำน้อยหน่อยเขาผิดไหม (ไม่ผิด)  ฉะนั้นตอนนี้ถามตัวเองว่าเราเป็นคนรู้มากไหม  เราเลยอยากรู้มาก เรื่องชาวบ้านเรื่องใครเรื่องไหนก็อยากรู้ไปหมดจริงหรือเปล่า (จริง)  
มีไม่รู้อยู่เรื่องเดียว เรื่องที่เรารู้น้อยที่สุดคือเรื่องของตัวเอง ปัจจุบันเรารู้ว่าเราเป็นคนชอบผมยาวหรือผมสั้น เรารู้ว่าเราชอบสีอะไร ชอบกินอะไร ชอบทำอะไร อยากจะได้อะไร นี่คือสิ่งที่เราร้ แต่สิ่งที่อาจารย์พูดว่า  รู้จักตัวเองน้อย ไมใช่ด้านนี้ ในด้านที่เราไม่รู้จักตัวเองเลยคือ เราไม่ร้ว่าที่แท้จริงแล้วจิตใจของเราเป็นอย่างไร ขาดและบกพร่องตรงไหน เราควรจะทำอะไรจริงๆ ไม่ใช่จะทำตามอารมณ์ ที่เราทำทุกวันนี้เป็นเรื่องของอารมณ์ทั้งสิ้น สิ่งที่เรารู้ก็  เกิดจากเอาตาไปดู เอาหูไปฟัง ไปสัมผัสและเกิดความอยากได้ นี่คือสิ่งที่เรารู้ทั้งนั้น แต่สิ่งที่เราไม่เคยสัมผัสเลยคือ จิตใจของเรา เราเคยสัมผัสจิตใจตัวเองไหม เราร้ว่าเรารู้สึกทุกข์ เรารู้สึกทรมาน แต่เราเคยรู้ไหมว่าจิตใจของเราจริงๆ เป็นอย่างไร  เคยรู้ไหมว่าที่เราทุกข์ทุกวันนี้เพราะอะไร และร้ไหมว่าจะออกจากปัญหาของตัวเองไปได้อย่างไร เรายังไม่เคยรู้ความรู้ประเภทนี้เลย ความรู้ประเภทนี้เรียกว่า ความรู้ทางธรรม ส่วนความรู้ที่ศิษย์รู้มาตลอดชีวิต จนถึง ณ วินาทีนี้คือความรู้ทางโลก เป็นความรู้ที่เอาตาไปดู เอาหูไปฟัง เอาใจหยาบๆ ไปรู้สึก เป็นใจของเราที่มีกิเลสอยู่มากมายเอาไปสัมผัสเรื่องนั้นเรื่องนี้ แล้วสิ่งที่เรารู้สึกมาเป็นความรู้สึกที่ปนไปด้วยกิเลสความอยากได้ ความโลภ ความหลง  เพราะฉะนั้นแนวทางที่ศิษย์เดินมาตลอดชีวิตนั้นเป็นเหมือนทางเส้นเดียวกับทางธรรมะไหม  (ไม่เหมือน)  อันว่าปุถุชนนั้นมีลักษณะคือความวุ่นวาย มีลักษณะจอมปลอม  วันนี้ถามว่าความวุ่นวายในจิตใจ ความจอมปลอมสร้างปัญหาให้กับเราหรือยัง (สร้างแล้ว)  ความวุ่นวายในจิตใจ ความจอมปลอมของกายสังขารนี้สร้างปัญหา ให้กับคนทุกๆ คน วันแล้ววันเล่า แล้วเมื่อเรามีปัญหาที่ความวุ่นวายแล้ว เราอยากพ้นจากความวุ่นวายนี้เราทำเหมือนเดิมได้หรือไม่ (ไม่ได้)  เราจะต้องเปลี่ยน ต้องแก้ไข และจะต้องซ่อมแซม เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนจิตใจ เปลี่ยนการกระทำ เปลี่ยนคำพูด เปลี่ยนใหม่หมด ยากไม่ยาก  
วันนี้เรามีศัตรูไหม วันนี้เรามีมิตรไหม วันนี้เรามีคนที่ชอบใจและไม่ชอบใจหรือไม่ (มี)  คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสนาม คนเหล่านี้จะเป็นครูให้กับเรา เราพูดดีๆ กับคนที่เรารัก  เราเก็บคำพูดที่ไม่ดีไว้พูดกับคนที่ไม่ชอบ เราต้องการจะเป็นผ้าสีขาวหรือผ้าสีดำๆ (สีขาว)  ฉะนั้นเราจำเป็นที่จะต้องพูดคำดีๆ กับคนที่เราชอบและพูดคำดีๆ กับคนที่เราไม่ชอบ สุดยอดของความไม่ชอบก็อาจจะเป็นสามีภรรยาที่บ้านและสุดยอดของความชอบก็อาจจะเป็นสามีภรรยาที่บ้านเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นเราก็ต้องพูดดีๆ กับเขาเสมอ แล้วเวลาที่เราไม่ชอบเขา เราก็เห็นเขาเป็นท่านครูเลย  เพราะเขายั่วโมโหเราได้มากที่สุด การบำเพ็ญธรรมก็ไม่ต้องบำเพ็ญที่ไหนไกล ครูก็อยู่ใกล้ๆ ศัตรูก็อยู่ใกล้ๆ มิตรก็อยู่ใกล้ๆ ถ้าหากว่าเราเอาชนะได้ทุกเรื่อง คนที่ได้รับผลดีคือใคร (ตัวเราเอง)  อยากจะเป็นคนดีของบ้านไหนเมืองไหน ก็ไม่ภูมิใจเท่ากับเป็นคนดีของบ้านเรา คนอื่นบ้านอื่นเห็นว่าเราดี แต่คนในบ้านเห็นว่าเราเป็นอย่างไร (ไม่ดี)  เขาก็ไม่เชิงเห็นว่าเราไม่ดี แต่จะให้ชมว่าดีก็ไม่ชม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แสดงว่าเรายังไม่ดีเท่าไหร่ คนรอบตัวเราไม่ชอบชมกันเอง และเป็นเพราะเราเองก็ไม่ชอบชมคนรอบตัวเราด้วยเหมือนกัน เราเคยชมคนที่อยู่ในบ้านบ้างหรือเปล่า เพราะฉะนั้นอาจารย์จะให้คำพูดหนึ่งคำเป็นเคล็ดลับฝังไว้ในใจ  ฝืนใจตัวเองวันละหนึ่งครั้ง  ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาไม่ได้จริงใจกับเรา แต่เราก็ทำเป็น (ไม่รู้)  เราก็ใช้ความไม่รู้ให้เป็นประโยชน์โดยการฝืนใจทำดีไปวันละครั้ง หมายความว่าทุกครั้งที่มีคนทำไม่ดีกับเราหรือมีคนบอกว่าเราโง่ เราก็แสร้งทำเป็นโง่ แล้วก็ฝืนใจตัวเองทำในสิ่งที่เราไม่เคยทำเลยวันละครั้ง
เพราะฉะนั้นการฝืนใจตัวเองทำให้มีพลังจิตสูงขึ้น อย่างเช่นเด็กๆ วันนี้อยากจะออกไปเที่ยว ทำอย่างไรดี ก็ฝืนใจตัวเองว่าวันนี้ไม่เที่ยว วันนี้อยากซื้อเสื้อก็ฝืนใจตัวเองว่าไม่ซื้อเสื้อ วันนี้แฟนเราชวนทะเลาะ  เราก็ฝืนใจว่าวันนี้เราก็โง่ซะดีกว่าวันนี้เราไม่ทะเลาะ วันนี้แฟนเรามาทวงเงิน ถ้าไม่ให้ก็ถูกอะไร (ถูกซ้อม) ส่วนใหญ่พอถูกซ้อมเสร็จก็ต้องให้ไป ถ้าเราให้ดีๆ เราก็กลัวว่าคราวหน้าจะเหลิงได้ใจ เพราะว่าเราเป็นคนรู้มาก เราก็เลยคิดมาก วันนี้ยังไม่ได้กินข้าวเลย นึกไปถึงข้าวของวันพรุ่งนี้แล้ว วันนี้เรายังไม่ถูกซ้อมเลย เราก็คิดว่าถ้าเราให้วันนี้เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็มาอีก เป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ เราชอบเป็นหมอดู เราชอบเป็นหมอเดา เราไม่คิดหรือว่าวันนี้ให้ไปดีๆ วันหน้าเขาอาจจะเกรงใจเรามากขึ้น  แน่นอนคนในโลกนี้ชอบพูดว่าทำดีไม่ได้ดี ทำดีไปรอบสองรอบบอกว่าทำดีไม่ได้ดี ทำดีอยู่เรื่องเดียว แล้วบอกว่าทำดีไม่ได้ดี ถ้าหากว่าเราอยากทำดีแล้วได้ดี ไม่ใช่ทำเฉพาะแค่ความดีเรื่องนี้เรื่องเดียว เรายังต้องทำเรื่องอื่นๆ ประกอบกันด้วย เหมือนกับว่าวันนี้เงาะ 1 ลูก ถ้าเปลือกเงาะเน่าเราจะกินเงาะไหม  ถ้าวันนี้เนื้อในเงาะเน่าแต่เปลือกดีกินไหม  วันนี้เม็ดเน่าแล้วเปลือกก็ดีเนื้อก็ดีถามว่ากินเงาะไหม โยนทิ้งทั้งนั้นใช่หรือไม่ เราเป็นคนที่เม็ดในดี คือจิตใจของเราดีแต่เนื้อเงาะของเราเน่าแล้ว เปลือกของเราก็ไม่เน่า แต่เนื้อเน่า เม็ดไม่เน่า ถามว่าคนนี้เอาความดีอันนี้ เงาะอันนี้ไปยื่นให้คนอื่นกิน ถามว่าคนอื่นจะกินไหม  ถามว่าให้ตัวเองกิน จะกินไหม แล้วอย่างนี้เรียกว่าทำดีได้ดีไหม เราก็เลยสับสน เพราะว่าเราเป็นคนที่ทำดีเท่าไหร่ก็ไม่ได้ดี ใช่หรือไม่ ก่อนที่เราจะทำความดีใดๆ ออกไปต้องหันกลับมามองตัวเอง ผู้ทำความดีต้องหันกลับมามองจิตใจตัวเอง ผู้สร้างความดีนั้นๆ ไม่ใช่ว่าเราสักแต่ทำความดีออกไป บางทีเราทำความดีออกไปแต่ว่าคนที่เขารับความดีจากเรามองว่าเราเป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอก เป็นพวกไม่จริงใจ เราทำความดีออกไป ถามว่าคนอื่นอยากรับไหม สมมติว่าเราเป็นคนมีปัญหาสำหรับเขา เราทำความดีออกไป ความดีของเราดีมากที่สุด เราจริงใจกับใครไม่มาก แต่ถ้าภาพพจน์ของเราภาพลักษณ์ของเราไม่ดีเลย ถามว่าเราทำความดีออกไปคนอื่นอยากรับไหม  แล้วเราก็พูดว่าเราทำดีแล้วไม่ได้ดี เห็นไหมดีกับเขาแต่เขาไม่ดี จริงหรือเปล่า
เวลาที่เราทำความดีใดๆ ออกไป ก่อนที่เราจะทำดี เราต้องมาดูตัวเราก่อนว่าเราเป็นคนที่มีจิตใจดี จิตใจดีแล้วการกระทำของเราดี การกระทำดีแล้วคำพูดของเราดี บางคนก็เป็นคนชอบพูดแบบคนไม่ชอบฟัง แต่ว่าทำดี พูดไม่ดี คนอื่นไม่ชอบ  บางคนทำดีพูดไม่ดี ใจก็ไม่ดีอีก วันหนึ่งเราทำดีออกไปเพียงคำพูด ความคิด การกระทำของเรามีอย่างหนึ่งไม่ดี เราก็ทำดี ไม่ได้ดีแล้ว  เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะทำดีในวันพรุ่งนี้ ก่อนที่เราจะกลับไปทำดีที่บ้านในวันนี้ เราต้องมาตรวจสอบตัวเราก่อนว่าเรามีคำพูด การกระทำ และความคิดที่ดีหรือไม่ เราต้องมาตรวจสอบจิตใจของตัวเองให้จริงจัง ในซอก ในรู ในความคิดของเรา ในแง่มุมต่างๆ ของเรา ในการกระทำของเรา ขอให้เราฟื้นบ้านร้าง ฟื้นซอกร้าง ขัดล้างจิตใจของเราให้สะอาด แล้วเราจะเป็นคนที่ทำดีได้ดี ให้เวลากับตัวเองสักหน่อย ในการทำดีได้ดี ทำวันนี้ยังไม่มีผลดี ทำพรุ่งนี้ พรุ่งนี้ยังไม่มีดี ทำมะรืนนี้   ในเมื่อศิษย์ของอาจารย์มั่นใจว่าโลกนี้เป็นที่ๆ มีความไม่แน่ไม่นอน อยู่สูง อยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์เมื่อตั้งอยู่ในโลกนี้ ก็ต้องทำตัวเองให้มั่นคง ให้จริงใจ ให้อยู่รอดด้วยความดี
มนุษย์ก่อนที่จะทำอะไรเราต้องคิดก่อนว่าจะทำอะไรให้พอดี  อาจารย์เห็นคิดจนดึกนอนไม่หลับ แล้วบอกว่าคิดมันเหนื่อย เพราะเรื่องที่คิดอยู่มีแต่เรื่องที่จับต้นชนปลายเอาเอง แล้วก็เป็นเรื่องที่ไร้สาระ เรื่องที่หาเหตุผลไม่ได้ เรื่องที่เป็นเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก เรื่องที่เดาใจชาวบ้านเขาอยู่  เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเหนื่อย เพราะไม่ได้ตั้งอยู่บนความเป็นจริงเลย ขอให้ใช้ความคิดเรื่องที่ใช้เหตุใช้ผล ใช้ธรรมะ และคิดให้มันจบ ไม่ใช่คิดให้มันต่อ คิดให้มันหยุด  บอกไม่ให้คิดเลยคงทำไม่ได้ เพราะยังเป็นคนอยู่ หยุดคิดทันที ทำได้ยากมาก นอกจากเป็นคนที่มีสมาธิ  เพราะฉะนั้นจงคิด แต่คิดด้วยเหตุด้วยผล และคิดให้มันหยุด อย่าคิดให้มันต่อได้ บางคนคิดมาก  สะเทือนร่างกาย อยากให้ร่างกายดีต้องหยุดคิด ทำได้ไหม  อยากให้ร่างกายดีต้องหยุดพูดด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  พูดแต่ที่มีสาระมีประโยชน์  พูดแต่สิ่งที่คนอื่นนั้นจะฟัง  แต่สิ่งทีคนอื่นนั้นไม่ฟัง ก็อย่าไปพูด  เราจะพูดได้กรณีเดียวคือ เราเป็นผู้ที่มีวุฒิภาวะและเป็นผู้ที่เขาเคารพรัก มากกว่า เขาก็จะฟังเรา แต่ถ้าเป็นผู้ที่ไม่มีวุฒิภาวะเลย แล้วเราก็เป็นผู้ที่เขาไม่เคารพรักเลยสิ่งที่เราพูดเป็น เหมือนขยะ เราพูดไปเขาก็เอาไปโยนทิ้ง  อยากให้ร่างกายดี ต้องหยุด หยุดคิด หยุดพูด หยุดการกระทำอันไร้สาระหาประโยชน์ไม่ได้ของเราด้วย การกระทำบางเรื่องเมื่อทำออกมาแล้วก็ไร้สาระหาประโยชน์ไม่ได้ ทำออกมาแล้วก็เป็นโทษกับตัวเองเสียมากกว่า  เพราะว่าคนอื่นนั้นเขาคอยใช้สายตาประเมินเราอยู่เสมอ เมื่อเรามั่นใจว่าในโลกนี้มีคนไม่ดีอยู่มาก เราทำอะไร ก็ต้องระมัดระวังด้วย ทั้งความคิด คำพูด และการกระทำของเราจะต้องมีประโยชน์มีเหตุมีผล  เข้าอกเข้าใจได้เสมอ
การจะพ้นทุกข์นั้นเป็นเรื่องที่ทำยากหรือทำง่าย (ทำยาก)  ทุกวันนี้ความทุกข์เป็นกี่ส่วนของชีวิต ชีวิตสิบส่วนมีความทุกข์อยู่กี่ส่วน
เวลาอาจารย์ไม่มาก็เป็นการทดสอบความยึดติดถือมั่น ในตัวของศิษย์เอง พบสิ่งศักดิ์สิทธิ์พบแล้วก็ต้องเอาสิ่งที่ท่านสอนนั้นไปปฏิบัติ  อาจารย์สอนศิษย์มาไม่รู้จะนับปีอย่างไร  แต่ศิษย์ที่นำเอาสิ่งที่อาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ไปปฏิบัตินั้นมีน้อยเต็มที มีแต่ความรู้สึกที่อยากเจอและอยากพบ แต่หาประโยชน์อันใดไม่ได้ ความยึดติดถือมั่นก็ยังพอกพูนมากมายอยู่ ศิษย์ก็เป็นคนในภาคใต้ ในภาคแรกที่ถูกทดสอบได้หลายครั้งอย่างนี้  เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ก็ต้องคิดแล้วคิดอีกว่า ความยึดติดถือมั่นในตัวเราคืออะไร ธรรมะบำเพ็ญปฎิบัตินั้นจริงๆ  แล้วการที่จะให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาบ่อยๆ จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่จะดีเท่าไร เป็นเหมือนดาบสองคม ที่มีทั้งด้านดีและด้านที่ไม่ดี แต่ย่อมดี ถ้าศิษย์ของอาจารย์นั้นได้รับแล้วนำสิ่งที่อาจารย์ให้นั้นไปปฏิบัติ ฉะนั้นวันนี้ในคำถามว่า ศิษย์ของอาจารย์อยากพ้นทุกข์ไหม  ทุกคนนั้นอยากจะพ้นทุกข์ แต่ทุกคนนั้นไม่เดินออกจากความทุกข์เลยแม้แต่น้อย ถ้าหากว่าชีวิตนี้เป็นทุกข์ ให้เราตายจากชีวิตนี้เอาไหม ศิษย์ก็บอกว่ายังไม่พร้อม ถ้าหากว่าสามีทำให้เป็นทุกข์ดังนั้นแยกกันอยู่ดีไหม ไม่มีสามีคนนี้ดีไหม ศิษย์ก็บอกว่าไม่ดี ภรรยาทำให้ทุกข์ใช่ไหม  แยกจากภรรยาคนนี้ดีไหม ศิษย์ก็บอกไม่ดี  ลูกทำให้เป็นทุกข์ แยกจากลูกดีไหม ศิษย์ก็บอกว่าไม่ดี เงินทองทำให้เป็นทุกข์ ไม่มีเงินดีไหม ศิษย์ก็บอกว่าไม่ดี ทุกวันนี้ศิษย์ของอาจารย์อยากจะพ้นทุกข์แต่สิ่งที่ศิษย์กำลังทำคือหาวิธีอยู่กับความทุกข์ไม่ใช่หาวิธีพ้นทุกข์เลย เพราะศิษย์ยังไม่พร้อมที่จะไปพ้นไปจากสิ่งใดในโลกนี้ใช่หรือไม่  (ใช่)  แม้กระทั่งตัวเองก็ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ ถามว่าการสละตัวเองไปง่ายที่สุด ถามว่าศิษย์พร้อมไม่พร้อม
ในโลกนี้มีคนอยู่สองคน คือตัวเรา และคนอื่นใช่หรือไม่ มีธรรมะอยู่หลายๆ ข้อที่ต้องใช้กับตัวเราเอง ใช้กับคนอื่นไม่ได้  อย่างเช่น  เรื่องของการติ ถามว่าติตัวเราหรือติคนอื่น (ตัวเอง)  มีธรรมะอยู่ข้อหนึ่งที่ใช้กับคนอื่นไม่ได้ คือ ชม ต้องชมใคร (ชมคนอื่น)  แต่เรามักจะกลับกันใช่หรือไม่ เรามักจะติคนอื่น แล้วชมตัวเอง เป็นการให้กำลังใจตัวเองใช่หรือเปล่า ให้กำลังใจแบบนี้ถามว่าจะดีขึ้นหรือไม่ (ไม่ดี)  เพราะฉะนั้นโลกนี้มีอยู่แค่ตัวเราและคนอื่น พ่อ, แม่, ลูก, พี่น้อง, ญาติและเพื่อนเรา ทุกคนที่เป็นคนแปลกหน้าล้วนแล้วแต่เป็นคนอื่นทั้งสิ้น  ถ้าหากเราแบ่งแยกไว้อย่างนี้ดีไม่ดี  แต่ว่าเรามักจะแบ่งอย่างไร ถ้าเป็นพ่อ, แม่, พี่, น้องและลูกเรานี่เป็นพวกเราใช่หรือเปล่า ส่วนลูกจ้าง ลูกน้อง เพื่อนบ้านนั้นเป็นอะไร (คนอื่น)  เพราะฉะนั้นนอกจากเราจะมีอัตตาของเราเองแล้ว เรายังมีอัตตาที่พวกพ้องของเราอีกใช่หรือไม่เพราะฉะนั้นในซอกในมุมของเราก็ดี จะเป็นก้อนใหญ่โตใช่หรือเปล่า  ส่วนคนอื่นนั้นเป็นอย่างไร ก็ช่าง อย่างนี้เราจะสร้างความสุขให้กับใครบ้าง  พี่, น้อง, ลูก, พ่อแม่ และญาติเราใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนคนอื่นเราสร้างความสุขให้ไหม ถามว่าถ้าเป็นอย่างนี้แล้วเราจะเป็นผู้ที่พ้นทุกข์หรือเปล่า (ไม่พ้น)  เพราะว่าเวลาที่ดีก็จะดีเฉพาะพวกเรา  เพราะฉะนั้นเราผู้เป็นลูก เราก็ต้องทำหน้าที่ลูกให้ดี  เราเป็นพ่อ เราเป็นแม่ เราก็ต้องทำหน้าที่ของพ่อแม่ให้ดี เราเป็นน้อง เราต้องทำหน้าที่ของน้อง เราเป็นพี่ เราต้องทำหน้าที่ของพี่ให้ดี  เราเป็นเพื่อน เราก็ต้องทำหน้าที่ของเพื่อน  เราเป็นญาติเราต้องทำหน้าที่เป็นญาติ  แต่เราอย่ามองว่านี่คือพวกเรา  การที่เราเป็นลูกทำหน้าที่ลูกต่อพ่อแม่สมควรไหม (สมควร)  แต่ถามว่าพ่อแม่เป็นคนอื่นที่นอกเหนือจากเราหรือไม่
มีวิญญาณคนละหนึ่งดวง  เราคลอดลูกของเราออกมา เรากับลูกก็เป็นวิญญาณคนละดวง  เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากจะพ้นทุกข์ ขอให้เรามองว่าในโลกนี้มีผู้อื่น กับตัวเราเราเข้มงวดกับตัวเอง ขอให้เรารู้จักตัวเอง ขอให้เรากวดขันกับตัวเอง ขอให้เราเข้าใจตัวเอง ส่วนที่เหลือนั้นความสุขใดๆ ไม่ว่าจะเกิดจากวัตถุ สิ่งของ เงินทอง เครื่องอุปโภคและบริโภคต่างๆ ขอให้ผู้อื่นมีความสุข เมื่อเราเห็นผู้อื่นมีความสุข เราก็มีความสุข แต่หากว่าเรามีชื่อเสียงเงินทองเครื่องอุปโภคบริโภค มีทุกสิ่งทุกอย่างแล้วเรากองเข้าหาตัวเอง รถมีกี่คัน พ่อแม่พี่น้องลูกหลานมีอะไร เราต้องมองไปหมด ถามว่าตาเราได้มองอย่างอื่นไหม ตาเราไม่ได้มองอย่างอื่นเลย เรามีของพวกนี้แล้วเราทุกข์ ถ้าเราไม่มี เราจะทุกข์ไหม คนที่ปล่อยวางไม่ได้ ก็บอกว่าถ้าไม่มีแล้วจะทุกข์ แต่จริงๆ แล้วมีของพวกนี้ทำให้ทุกข์ ถ้าไม่มีของพวกนี้แล้ว ก็ไม่มีทุกข์ แต่เราจะปล่อยวางตัดทิ้งปลดออกไป เราต้องมาฝึกจิต เราไม่ใช่มาฝึกการเอาบ้าน เอารถไปให้คนอื่น อย่างนี้เราไม่ได้ฝึกจิต แต่ถ้าเราฝึกว่าบ้านนี้ไม่ใช่ของเรา จิตของเราได้รับการฝึก ยกระดับแล้วเราจะเกิดอาการปล่อยบ้าน ปล่อยคน ปล่อยเครื่องอุปโภคบริโภค ปล่อยเงินทองทรัพย์สินไปได้เอง เพราะฉะนั้นการฝึกนั้นต้องฝึกที่ใจของตัวเราเอง เมื่อใจของเราได้รับการฝึกแล้ว ยกระดับขึ้นแล้ว ความทุกข์ต่างๆ แม้ยังมีอยู่แต่จิตใจของเรานั้นก็ไม่เกิดความรู้สึกร้อนรน ไม่เกิดความรู้สึกทุรนทุราย ไม่เกิดความรู้ว่าอยู่ไม่ได้เพราะมีความทุกข์เหล่านี้ เพราะว่าเราเข้าใจว่าทุกข์คือทุกข์ เราคือเรา ทุกข์และเราอยู่ร่วมกัน แต่ไม่สามารถจะสร้างความเดือดร้อนให้ซึ่งกันและกัน หากว่าเราทำได้อย่างนี้ เราก็จะมีความทุกข์น้อยลง ถ้าหากว่าตอนนี้ความทุกข์เป็นของเรา สิ่งที่อาจารย์พูดไปนั้นแสดงว่าศิษย์ยังไม่ได้ฟัง ทุกข์คือทุกข์ เราคือเรา ความทุกข์และเราไม่สามารถสร้างความเดือดร้อนให้ซึ่งกันและกัน เพราะว่าจิตใจของเราได้รับการฝึก ยกระดับแล้ว เข้าใจความทุกข์แล้ว เห็นทางแก้ในความทุกข์แล้ว ความทุกข์ใดควรปล่อยก็ให้ปล่อย ความทุกข์ใดถ้าหากยังปล่อยไม่ได้ก็ขอให้รู้ว่ามีทุกข์อันนี้
ถ้าหากความทุกข์ใดควรดับได้ ก็ให้ดับ หากยังดับไม่ได้ก็รู้ว่ามีทุกข์อันนี้ ถ้าหากว่าเราทำใจได้อย่างนี้ ถามว่าใจของเราทุกข์ไหม แล้วถามว่าความทุกข์ยังมีไหม ความทุกข์ก็ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ จนถึงกระทั่งไม่มีเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากพ้นทุกข์ไหม (อยาก)  บ้านเป็นของเราหรือเปล่า (เปล่า)  แฟนเป็นของเราหรือเปล่า (เปล่า)  ลูกเป็นของเราหรือเปล่า (เปล่า)  เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าธรรมะที่ฟังต้องเอากลับไปปฏิบัติ  ถ้าหากไม่ปฏิบัติ ธรรมะก็คือธรรมะ เราก็คือเรา สิ่งที่ฟังไปก็แค่เรื่องราวดีๆ ที่ได้ฟังผ่านหู แต่หากว่าเราได้จับธรรมะข้อไหนมาปฏิบัติแล้ว ไม่ว่าสิ่งนั้นอาจจะไม่ใช่จากอาจารย์พูด แต่อาจจะเกิดจากอาจารย์บรรยายธรรม อาจจะเกิดจากเด็กเล็กๆ คนหนึ่งพูด แต่หากว่าเราสามารถที่จะปฏิบัติได้แล้ว แม้ธรรมะข้อเล็กๆ ก็จะกลายเป็นส่วนที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตเรา สามารถที่จะพลิกชะตาฟื้นคืนชีพ ฟื้นคืนความสดใส ฟื้นคืนสติปัญญาให้กับเราได้ กลัวแต่ว่าเราให้ธรรมะเป็นธรรมะ และเราเป็นเรา  เรานำมาปฏิบัติในเฉพาะหมู่คนดีเท่านั้นหรือ (ไม่จริง)  ธรรมะดีต้องปฏิบัติทุกๆ ที่ กับคนที่เขายั่วโมโหเรา เราต้องปฏิบัติไหม  คนยั่วโมโหอยู่ที่ไหน (ที่บ้าน)  วันนี้กลับไปเจอการปฏิบัติธรรมครั้งแรกเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากเขาเสียงดังมา เราเงียบดีกว่าตอบใช่หรือเปล่า (ใช่)    
ก่อนที่จะกลับไปยิ้มให้คนที่บ้าน ลองหันไปหาคนข้างๆ เราแล้วยิ้มสวยๆ ให้คนข้างๆ เป็นการยิ้มครั้งแรกในรอบหลายๆ ปี สามีกับภรรยาเกือบทุกบ้านก็เหมือนกัน   ก็ควรจะดูตาม้าตาเรือ ดูในสิ่งที่เหมาะสม และสมควรเพราะว่าเราต้องท่องไว้คำหนึ่งเวลาอยู่ในบ้านคืออย่ามีเรื่อง อย่ามีเรื่องคือความมงคลของบ้าน  เวลาเราดูหนังข้างหนึ่งก็เป็นตัวเอก ข้างหนึ่งก็เป็นตัวโกง ตัวโกงก็มักจะแพ้ เพราะฉะนั้นวันนี้เราเข้าไปอยู่ในบ้าน ไม่ใช่หนัง ชีวิตไม่มีใครเป็นข้างตัวเอก และไม่มีใครเป็นข้างตัวโกง  ถ้าเราชนะเขา วันหลังเขาจะเอาคืน ต้องรู้ไว้ว่าอย่ามีเรื่องเป็นมงคลของบ้าน เราต้องท่องไว้เพราะว่าแฟนเราไม่ใช่ตัวโกงแล้วเราก็ไม่ใช่ตัวเอก ไม่ว่าใครจะแพ้ ไม่ว่าใครจะชนะ ก็ทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นธรรมะที่ดีธรรมะที่ประเสริฐใช้ที่ใจของเรา และเมื่อเราอยู่ในบ้านเราก็ใช้ธรรมะ เมื่อเราอยู่ในสังคมเราก็ใช้ธรรมะ เมื่อเราอยู่กับลูกก็ใช้ธรรมะกับลูก เมื่อเราอยู่พ่อแม่เราก็ใช้ธรรมะกับพ่อแม่ เมื่อเราอยู่กับคนแปลกหน้าก็ต้องใช้ธรรมะเช่นเดียวกัน
โลกนี้มีอยู่แค่สองคนคือตัวเรากับผู้อื่น อะไรที่จะใช้กับเราระหว่างความลำบากกับความสบาย อะไรที่จะใช้กับคนอื่น ทำให้คนอื่นสบายใจ แล้วตัว เราก็สบายใจ ถ้าทำให้คนอื่นมีความทุกข์ลำบากใจตัวเราเป็นทุกข์ด้วย เพราะฉะนั้น การที่เราได้เปรียบผู้อื่นก็ทำให้ตัวเราทุกข์เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเวลาที่เราถูกผู้อื่นเอาเปรียบก็ถูกอยู่แล้ว โลกนี้มีคนได้เปรียบ มีคนเสียเปรียบถ้าหากว่าเราได้เปรียบคนอื่นเราจะมีความสุขไหม เราต้องให้คนอื่นเขาได้เปรียบเราก็ถูกแล้ว สละให้กับได้รับมา  ถามว่าเรานั้นเป็นผู้สละหรือผู้ได้รับ เราต้องเป็นผู้สละให้ และผู้อื่นนั้นต้องเป็นผู้ได้รับ เราจะมีความสุข
พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าต้องการให้ศิษย์โดนกลั่นแกล้งถูกเอารัดเอาเปรียบแต่หากว่าศิษย์นั้นเต็มใจทำทุกอย่างเต็มใจให้ผู้อื่นมีความสุขออกจากใจ ตัวศิษย์จะมีความสุขที่แบ่งไม่หมด แต่หากวันนี้ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนที่เอาเปรียบคนอื่น เป็นคนโกงคนอื่น เป็นคนที่เห็นคนอื่นมีความสุขแล้วเรามีความทุกข์ อย่างนั้นความสุขที่ศิษย์ได้มามันรักษายาก ความสุขที่ศิษย์ได้มาหมด ยิ่งหายและหาไม่เจอ และจะให้ศิษย์นั้นมีความสุขคงเป็นไปไม่ได้ฉะนั้นถ้าหากว่าศิษย์นั้นอยากจะมีความสุขขอให้ศิษย์นั้นรู้จักที่จะลำบาก คนที่ไม่เคยมีอุปสรรคย่อมไม่รู้จักวิธีการที่จะเอาชนะอุปสรรค คนที่ไม่เคยมีความลำบาก ย่อมไม่รู้ว่าจะพ้นไปจากความลำบากได้อย่างไร คนที่สบายมาตลอดย่อมไม่สามารถที่จะอยู่กับความทุกข์ได้เลย ฉะนั้นการที่เรามีความทุกข์การที่เรานั้นมีอุปสรรค มีความไม่สบายใจใดๆ ก็ตาม ขอให้ร้ว่านี่คือวิธีการพ้นทุกข์ วิธีการออกจากทุกข์ อยากที่จะพ้นทุกข์จะต้องเข้าไปหาความทุกข์แล้วสู้กับอะไร ไม่ใช่สู้กับความทุกข์ สู้กับจิตใจของตัวเอง ให้รู้สึกมีความสุขที่อยู่ในความทุกข์นั้นได้  แล้วสักวันหนึ่งศิษย์ของอาจารย์ก็กลายเป็นคนที่มีความสุขเพราะอยู่ในโลกนี้ถามว่าใครมีความสุขไม่มีทุกข์มีบ้างไหม (ไม่มี)  ทุกคนล้วนแล้วแต่มีความทุกข์ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นมีใครคนหนึ่งบนโลกนี้บอกว่าเขาเป็นคนมีความสุขไม่มีความทุกข์เลยเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  อาจารย์ก็อยากให้ศิษย์นั้นตั้งอยู่บนความจริง อยู่กับความทุกข์นี้แหละ อยู่กับความทุกข์ให้เป็นอยู่กับความทุกข์ให้รอด อยู่กับความทุกข์ให้รู้จักความทุกข์และรู้จักตัวเองและศิษย์นั้นจะกลายเป็นคนที่อยู่ในโลกนี้อย่างมีความสุขที่สุด ดีหรือไม่ (ดี)  อาจารย์ไม่ได้บอกว่าศิษย์เอ๋ยต้องพ้นทุกข์ แล้วทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วพ้น ไม่มี เพราะว่าอยู่บนโลกนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์นั้นต้องทุกข์ทั้งสิ้น ศิษย์เองก็ต้องทุกข์เช่นกัน แต่ต้องรู้จักความทุกข์และรู้จักตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหนื่อยหรือยัง (ไม่เหนื่อย)  
ถ้าอยากจะพ้นทุกข์ต้องรู้จักสองอย่างคือ  (ตัวเอง,คนอื่น)  
วิธีหนึ่งที่ศิษย์ของอาจารย์จะใช้ก็คือ เป็นการเอาวิธีของคนทางโลกไปใช้กับคนทางโลก  เป็นวิธีทางโลกีย์งัดโลกีย์คืออะไร  เวลาจะให้ใครทำอะไร  ถ้าหากว่าเขาไม่ทำนี่ ก็ต้องเอาอะไรให้ (รางวัล)  เราต้องให้ผลประโยชน์  เพราะว่าคนมีจุดอ่อนที่ความโลภใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไหร่ก็แล้วแต่ที่ได้รับผลประโยชน์แม้เพียงจะน้อยนิด เขาจะทำอย่างเต็มใจและหน้าชื่นตาบานจริงหรือไม่  รวมทั้งตัวเราเองด้วยใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นเวลาที่เราให้คนอื่นทำอะไร  บางทีเราใช้เขาแล้วไม่เดินเลย  เราต้องรู้ว่า  เราต้องให้ผลประโยชน์แก่เขาด้วยใช่หรือไม่  แต่ถ้าคนทำงานจริงๆ เขาไม่เรียกว่าให้ผลประโยชน์ แต่เขาเรียกว่าให้น้ำใจใช่หรือเปล่า (ใช่)  ตราบใดก็แล้วแต่ที่ศิษย์นั้นยังอยากได้ผลประโยชน์แสดงว่าศิษย์นั้นยังอยู่ทางโลกมากเกินไป  ถ้าหากว่าวันหนึ่งศิษย์นั้นให้คนอื่นไป แล้วศิษย์แค่อยากจะได้คำว่าขอบคุณ หรือว่าคำขอบคุณก็ไม่ต้องการ อย่างนี้แสดงว่าศิษย์นั้นมาทางธรรมเยอะมากยิ่งขึ้นใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นผลประโยชน์นั้นเป็นสิ่งที่คนทางโลกประสงค์  แต่ว่าเป็นสิ่งที่ให้แล้วไม่มีบุญคุณ ศิษย์ก็กลายเป็นคนที่ไม่เหลือแม้แต่บุญคุณให้ใครเลย เมื่อวันหนึ่งศิษย์เดือดร้อนมีใครช่วยไหม (ไม่มี)  เพราะว่าไม่เคยมีบุญคุณกับใครใช่หรือไม่  เพราะฉะนั้นเวลาที่ทำอะไรให้ไปแล้วเขาไม่มีแม้แต่คำว่าขอบใจกลับมานี่ ถามว่าเสียใจไหม อย่าเสียใจ
ส่วนเกินมากตาม  ถูกบ่นว่าเตือนน้อยใจที  ผู้บำเพ็ญรู้ไฟยังลาม  วันนี้เข็ดแล้วควรทำอะไร
เวลาเราเข็ดแล้วทำอะไรสักอย่างหนึ่ง  แล้วตอนนี้มันได้รับผลเสียแล้วเราเข็ดแล้วนี่  ถามว่าเราจะเข็ดอยู่เฉยๆ ไหม เราต้องรู้ว่าเราเองคืออดีต  ตัวเราเองคือปัจจุบัน  และตัวเราเองคืออนาคต  หมายความว่า  อดีตที่ผ่านมาทำให้ปัจจุบันเรารับผลแล้วเราเกิดความเข็ด  เราต้องรู้จักที่จะกำหนดอนาคตของเราด้วยการที่ปรับปรุงพฤติกรรม  เปลี่ยนแปลงจิตใจ  และซ่อมแซมในสิ่งที่เรานั้นเคยทำพลาดมา  เพื่อที่จะให้เรานั้นได้รับผลที่ดีมากขึ้น  และก็ไม่ต้องเข็ดซ้ำเข็ดซากอยู่อย่างนี้ใช่หรือไม่  คนเราผิดได้  พลั้งได้  เผลอได้  พลาดได้  เพียงแต่ว่าไม่แก้ไม่ได้ ต้องแก้ไขเท่านั้น บางทีเรื่องที่เราผิด  เราไม่รู้คนอื่นรู้  เรารู้คนอื่นไม่รู้  มีทั้งสองกรณีเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นเรียนวงพระโอวาทซ้อน)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นวงคำในพระโอวาท)    แล้วร้ได้อย่างไรว่าจะโชคดี  เหมือนเวลาเราไปซื้อหวยรู้ได้อย่างไรว่าเราจะโชคดี  มีแต่การเสี่ยงทั้งนั้นเลย แล้วเรายอมเสี่ยงไหม (ยอม)   เรายังยอมเสี่ยงไปได้  ความแน่นอนคือความไม่นอน ก็เลยเสี่ยง ความไม่แน่นอนคือความไม่แน่นอน หวยเป็นยิ่งกว่าความไม่แน่นอนอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  การพนันถ้าใครลองเล่นนิดเดียวติดไม่ติด  (ไม่อยากติด)  อยากได้ตังค์ไหม อยากได้ มันก็เลยติด อยากจะได้ประโยชน์ แต่ไม่อยากได้โทษถึงเวลาโทษมาประโยชน์อยู่ไหน ไม่มี  เสียเงินไปเท่าไร ยี่สิบบาท แปดสิบบาท  หวังจะได้ยี่สิบล้าน ยี่สิบบาทยังเสียให้เขาไปเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  
(พระอาจารย์เมตตาให้ฝึกร้องเพลงพระโอวาท) ต้องให้คนร้องเพลงเก่งๆ  ข้างหลัง มาช่วยหรือเปล่า ต้องหัดกันทุกคนใช่หรือไม่   การร้องเพลงเป็นการผ่อนคลายความเครียด  ถ้าเครียดมากก็ต้องร้องเพลงใช่หรือเปล่า แต่เราร้องเพลงให้ตัวเองฟังคนเดียวมันไม่ขำใช่ไหม มันต้องเอาเสียงหลงๆ ของเราไปร้องให้คนอื่นฟังด้วย มันถึงจะขำใช่หรือเปล่า  ร้องเพลงไม่หายเครียดถ้าเอาเสียงเพี้ยนของเราไปให้คนอื่นฟังแล้วจึงจะหายเครียด เพราะฉะนั้นคนร้องเพลงดีในโลกนี้มีกี่คน มีไม่กี่คนใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนร้องเพลงเพี้ยนๆ มีเยอะเลยจริงหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเราก็เป็นคนส่วนใหญ่ของโลกส่วนพวกเขาร้องเพลงเพราะๆ  เป็นพวกประหลาด จริงหรือไม่  เพราะฉะนั้นเราก็อยู่กันอย่างเพี้ยนๆ  แบบนี้ดีไหม (ดี)   ร้องเพลงบ้าง สวดมนต์บ้าง บางทีเราร้องเพลงอยู่คนบอกว่าเราสวดมนต์
(พระอาจารย์เมตตาให้พระโอวาทซ้อนพระโอวาทซ้อน คำว่า ควบคุมอารมณ์)  ควบคุมอารมณ์ในที่ที่คนมากๆ อารมณ์เป็นตัวเคลื่อนสำคัญของงานทุกๆ งาน ของเรื่องทุกๆ เรื่อง ยิ่งคนมาก เราก็ต้องทำอารมณ์ของเราให้เล็กลงๆ จนถึงขั้นไม่มีอารมณ์ ถ้าหากว่าในที่ที่มีคนแค่สองสามคน มีใครมีอารมณ์ขึ้นมาสักคนหนึ่ง ถึงจะมีอารมณ์มากหน่อยก็ดูเป็นเรื่องเล็ก  แต่ในที่ที่คนเป็นร้อยหรือคนเป็นสิบยี่สิบคน สามสิบคน ห้าสิบคน ถ้าใครมีอารมณ์ขึ้นมาสักนิดเดียว อารมณ์นิดเดียวนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่  แล้วคนทุกคนก็มีปาก ปากต่อปาก ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่  เพราะฉะนั้นการทำงานในที่ที่มีคนมาก อารมณ์ของเราต้องเล็กจนถึงไม่มี เหมือนกับเวลาที่เราอยู่บ้าน ถึงเราจะมีอารมณ์มากหน่อย แต่ก็เป็นเรื่องเล็กเพราะเป็นเรื่องในบ้าน  แต่ว่าเราไปเกิดอารมณ์แบบนี้กับที่อื่น ที่คนมาก เราแสดงอารมณ์นิดเดียว แค่ชักสีหน้าหน่อยเดียว พูดนิดเดียวก็กลายเป็นเรื่องใหญ่  เพราะฉะนั้นในที่ที่มีคนมาก เราต้องทำอารมณ์ของเราให้เล็กถึงขั้นไม่มี แต่ในที่ที่คนน้อย เรามีอารมณ์มากหน่อยก็ยังไม่เป็นเรื่องใหญ่ แต่จะให้ดีก็คือไม่มีอารมณ์ เพราะคนที่ใช้อารมณ์พูดกับคนที่ใช้เหตุผลพูดย่อมต่างกัน คนที่ใช้อารมณ์พูดกับใครก็ไม่รู้เรื่อง ถ้าเราใช้เหตุผลพูด เราจะพูดอะไรก็จะประสบความสำเร็จได้
การรักษาอารมณ์  อารมณ์มาจากที่ไหน (ใจ)  อารมณ์มาจากจิตใจของเรา ซึ่งหมายความว่า อารมณ์บ่งบอกว่าภายในจิตใจของเรามีลมประเภทไหนอยู่ บางทีเราอารมณ์ร้อน บางทีเราอารมณ์เย็น เวลาเราอารมณ์เย็นพูดออกมามันก็เย็น เวลาเราอารมณ์ร้อนพูดออกมาก็ร้อน เพราะฉะนั้นอารมณ์มันบ่งบอกถึงภายในของเราว่า ภายในของเราเป็นอย่างไรถูกต้องไหม (ถูก)  เพราะฉะนั้นการรักษาอารมณ์ของเราก็เหมือนกับการรักษาจิตวิญญาณของเรา การรักษาจิตวิญญาณก็เป็นเจ้าของเรือนกายของเรา เพราะฉะนั้นการที่จะรักษาอารมณ์ก็คือ การที่เรารักษาเจ้าของกายเนื้อของเราก็คือวิญญาณของเรานั่นเอง ฉะนั้นการรักษาอารมณ์นั้นทำให้เราเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น  ทำให้เราอยู่ได้อย่างปกติสุขมากขึ้น ทำให้เรามีความผาสุกมากยิ่งขึ้น ถ้าหากว่าเราเพียงแต่รักษาอารมณ์ หัดควบคุมอารมณ์ให้อยู่ หลายๆ คนเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ หมายความว่า เวลามีอารมณ์ทีเหมือนโลกแตกใช่หรือไม่ (ใช่)  โดยเฉพาะเราเป็นคนใต้ คนใต้เขาบอกว่าใจร้อนจริงหรือเปล่า (จริง)  อาจารย์ว่าคนทั่วประเทศไทยก็ใจร้อนใช่หรือไม่  แต่ว่าโดยภาพรวมแล้วเราใจร้อนมากกว่าเท่านั้นเอง แต่จริงๆ แล้วไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ขอให้เหยียบอยู่บนพื้นโลกนี้ก็จำเป็นที่จะต้องควบคุมอารมณ์ด้วยกันทั้งสิ้น  การควบคุมอารมณ์ของเราทำให้เรื่องราวไม่ใหญ่โตลุกลาม การควบคุมอารมณ์ของเรานั้นทำให้เราเป็นผู้บำเพ็ญมากยิ่งขึ้น การเป็นผู้บำเพ็ญของเราสำคัญหรือไม่ ชีวิตเราที่ผ่านมามีแต่ความทุกข์ใช่หรือเปล่า  การที่เราบำเพ็ญนั้นเพื่ออะไร เพื่อให้เรานั้นปกติมากขึ้น จิตใจเป็นปกติ ตอนนี้จิตใจเราเป็นปกติไหม อาจารย์ไม่ได้หมายถึงว่า จิตใจในด้านที่ศิษย์เป็นอยู่ทุกวันนี้ ถามว่าจิตใจของเราเป็นปกติหรือไม่  จิตใจของเรานี่ก็ดิ้นรนแสวงหา มีความโลภ มีความรัก มีความโกรธไม่เป็นปกติใช่หรือไม่ (ใช่)   เพราะฉะนั้นจิตใจของเรายังเป็นจิตใจที่ยังไม่ปกติ จึงต้องได้รับการควบคุม  สิ่งแรกที่อยากให้กลับไปควบคุมหลังจากสองวันนี้ คือ หัดควบคุมอารมณ์ของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราควบคุมอารมณ์ได้ สีหน้าของเรา  คำพูดของเรา และการกระทำของเราก็ควบคุมได้  เมื่อเราควบคุมได้ดังนี้ชีวิตของเราก็ถูกยกระดับมากยิ่งขึ้น  เราอาจจะสังเกตเห็นว่าคนอื่นนั้นพูดดีกับเรามากขึ้น  อาจจะเห็นคนที่ยิ้มกับเรามากขึ้น  วันนี้ใครยังไม่ได้ผลไม้ยกมือขึ้น  ยังมีอีกหลายคนเหมือนกันใช่หรือไม่ อาจารย์จะแจกของฟรีแล้วเอาหรือเปล่า ของฟรีเล็กๆ หน่อย (พระอาจารย์เมตตาแจกผลไม้ให้นักเรียนที่ยังไม่ได้ผลไม้ในชั้น)  ดูซิว่าเงาะที่เราได้ไปนี่เม็ดมันเน่า เนื้อมันเน่า หรือเปลือกมันเน่าหรือเปล่า  
บำเพ็ญมาก่อนก็อย่ามีอัตตาสูง ยิ่งบำเพ็ญยิ่งต้องอ่อนน้อมถ่อมตน รู้อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ ก็ทำในสิ่งที่ควรทำ
บางทีเรารู้อะไรควรทำ แต่เราใช้อารมณ์ก็ไม่ชนะใคร ตัวเองยังชนะไม่ได้เลย จะชนะใครได้
เปลือกนอกและเนื้อใน อาจารย์พูดว่าจิตหนึ่งใจเดียวมีเพียงธรรม  แม้ว่าจะสอบความรู้อะไรก็ไม่จำเป็น เพราะว่าการบำเพ็ญธรรมนั้น ลงท้ายจิตใจเท่านั้นที่สำคัญ ถ้าหากว่าคนที่ไม่มีใจจะทำ ไม่มีใจจะกล้า ไม่มีใจจะบำเพ็ญ ให้ไปไกลแค่ไหน บำเพ็ญมาสิบปีก็ต้องหยุดอยู่ดี บำเพ็ญมายี่สิบปีก็อาจจะหยุดได้อยู่ดี เพราะฉะนั้นใจต่างหากที่สำคัญยิ่งกว่าความรู้  คนบำเพ็ญธรรมมีนิสัยเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ นิสัยดื้อรั้น แล้วก็มีอัตตา และก็ทิฐิสูงมากกว่าคนที่ไม่ได้บำเพ็ญธรรม  เพราะถือว่าตัวมีดี จึงมีอัตตาสูง  เพราะฉะนั้นโลกของคนที่บำเพ็ญธรรมจึงเป็นโลกที่เรานั้นมักจะถูกปล่อยให้อยู่คนเดียว รู้สึกเหงา รู้สึกโดดเดี่ยว ท้อแท้ทั้งๆ ที่อยู่ท่ามกลางคนเป็นร้อย  ไม่ใช่ว่าเราจะไปรักษาโรคให้คนอื่นตลอดเวลา ต้องหันกลับมารักษาโรคให้กับใจตัวเองด้วย
ไม่เห็นปัญหาจะเดินเลย หมายถึงอะไร  ถ้าเราเป็นคนที่อยู่กับเรื่องราวต่างๆ ที่มีปัญหา แล้วเรามองไม่เห็นปัญหา เพราะว่ามันเล็กเกินไป หรือเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เราไม่ใส่ใจก็แล้วแต่ แต่เราจะเดินเลยปัญหานั้นไป ปล่อยให้ปัญหานั้นใหญ่ขึ้นแล้วเราก็ต้องมาแก้ จะต้องมองให้ละเอียด ถ้าเราเป็นคนละเอียด เราจะมองเห็นปัญหาทุกๆ ปัญหา เห็นปัญหาแต่อาจจะยังไม่แก้  แต่ว่าอย่างน้อยไม่ทำให้ปัญหานั้นใหญ่โตมากขึ้น
กลบเกลื่อนเรื่องบางเรื่องไว้มิด สิ่งที่คิดได้ไม่มีหวัง  บาปในใจสร้างมาซ่อนเงื่อนมากมาย  หลายๆ คนนั้นมีเรื่องเฉพาะตน มีความลับบางอย่างเป็นของตน  แต่ว่าให้เราดูว่าสิ่งที่เป็นความลับของเรานั้นกระทบกระเทือนต่อส่วนรวมหรือไม่  การที่เรากลบเรื่องบางเรื่องไว้  ทำให้เรานั้นปิดทางออกบางปัญหาของเราไว้อยู่ เพราะฉะนั้นเป็นแบบที่ใจเรานั้นซ่อนเงื่อนไว้มากมายไปหมด
เปิดออกโล่งใจให้หายทุกข์  ให้เรารู้จักที่จะเป็นคนที่รู้จักเปิดเผย  เปิดกว้าง จริงใจ  บางเรื่องเรามองว่าเป็นความผิด แต่ถ้าหากว่าเรายอมรับผิดสักครั้งหนึ่ง เราจะสบายใจขึ้น เพราะว่าเดิมทีเรากลัวผิด เราก็เลยดำเนินไปในทางปิดบัง แต่หากว่าเรายอมรับผิดขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง เราก็โล่งสบาย
วันนี้อาจารย์มาที่นี่เป็นเวลาหลายชั่วโมงให้สมกับที่ศิษย์นั้นคิดถึงอาจารย์ ให้สมกับที่อาจารย์นั้นคิดถึงศิษย์ ให้เรานั้นได้ถ่ายทอดความในใจ ให้อาจารย์นั้นได้สอนศิษย์อย่างที่ใจคิดให้ศิษย์นั้นได้อิ่มใจที่มีอาจารย์ ขอให้ศิษย์นั้นรู้จักรักษาตัวเองไว้ให้ดีๆ  ให้ศิษย์นั้นประคองใจตัวเองไว้ให้ดีๆ
เป็นเพราะว่าเป็นวาระ เป็นยุคสามวาระปลายการปรกโปรด ศิษย์อาจารย์ถึงได้ยังมีโอกาสที่จะรับธรรมะและเป็นเพราะศิษย์พี่ทุกๆ คนของศิษย์นั้นมีความขยันเป็นที่ตั้ง มีความมานะมีความวิริยะเป็นที่ตั้ง ศิษย์ถึงมีโอกาสมานั่งฟังธรรมะ ในวันนี้ มาเจออาจารย์ในครั้งนี้ มาเป็นลูกศิษย์อาจารย์ในชาตินี้ เพราะฉะนั้นศิษย์เอ๋ยจะพูดว่าศิษย์เป็นคนโชคไม่ดีก็คงไม่ใช่ ในสากลโลกนี้มีดวงวิญญาณที่น่าสงสารกว่าศิษย์นั้นร้อยเท่าพันทวี ถึงขั้นไม่อาจจะเปรียบเทียบได้ มากมายทุกๆ ที่ ทุกๆพื้นที่ไป ฉะนั้นวันนี้ขอให้อยู่บนความโชคดี  โชคดีของเราอาจจะป่วยไข้บ้าง ในความโชคดีของเราอาจจะมีเรื่องไม่เป็นดั่งใจบ้าง  ในความโชคดีของเราอาจจะมีความไม่สมหวังบ้าง ศิษย์เอ๋ยเกิดเป็นคนอยู่ในโลกก็จำเป็นที่จะต้องมีทุกข์ มันหนีกันไม่รอด หลีกกันไม่พ้น อาจารย์เพียงหวังวอนให้ศิษย์ทุกคนนั้นบำเพ็ญตนให้ดี รู้จักตนช่วยเหลือตนก่อนจะสายเกินไป ก้มหน้าเยียวยารักษาจิตใจของตัวเอง เอาเวลาที่ศิษย์มีนั้นทุ่มเทช่วยทั้งความรู้ความสามารถทั้งชีวิตจิตใจทั้งเวลาทุกๆ อย่างนั้นทุ่มเทช่วยงาน แล้วศิษย์จะได้กลับคืนมาคือการรู้จักตัวเอง เข้าใจตัวเอง ไม่ใช่มัวมานั่งเห็นใจตัวเองอย่างทุกวันนี้ ฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ที่มีกายเป็นมนุษย์ทุกๆ คนล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีความโชคดีในตนทั้งสิ้น ขอให้ใช้ความทุกข์นั้นมาเข้าใจชีวิตนี้ให้มาก อย่าท้อแท้กับชีวิตเพราะว่าตัวเองนั้นมีทุกข์ อาจารย์พูดจนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรอีกต่อไปแล้ว อาจารย์ก็หวังว่าอาจารย์นั้นเข้าไปนั่งอยู่หัวใจของศิษย์ แต่อาจารย์ไม่อยากจะนั่งอยู่ในหัวใจของศิษย์นั้นเฉยๆ อาจารย์อยากนั่งอยู่ในหัวใจของศิษย์ผู้ที่ยกธรรมะขึ้นอยู่เหนือบัลลังก์ ผู้ที่ใช้ธรรมะเป็น ผู้ที่มีใจเมตตาช่วยเหลือผู้อื่น ขอให้ใจศิษย์นั้นยิ่งใหญ่และอาจารย์จะนั่งอยู่อย่างภาคภูมิใจ แต่หากว่าใจของศิษย์เป็นใจที่เห็นแก่ตนแล้ว อาจารย์เข้าไปนั่งอยู่ก็ไม่ภูมิใจแต่อย่างใดเลย  รักษาจิตใจของตัวเองให้ดีๆ  
วันนี้สำหรับศิษย์ใหม่แล้ว ศิษย์อาจจะมีความลังเลสงสัย แต่หากว่าอาจารย์ไม่ใช่สิ่งที่แน่นอนสำหรับศิษย์ อาจารย์มาเพียงไม่กี่ชั่วโมงอาจจะต้องกลับ แต่ศิษย์ต่างหากที่จะต้องมาศึกษาเรียนรู้เข้าใจธรรมะแล้วนำไปใช้กับชีวิตประจำวัน ก็มีประโยชน์กับชีวิตประจำวัน  นำไปใช้กับจิตใจของศิษย์ ก็มีประโยชน์ต่อจิตใจของศิษย์ ซึ่งไม่ใช่ประโยชน์ของอาจารย์เลย และอาจารย์ก็หวังว่าในสุดยอดของประโยชน์นั้น จะเป็นหนทางที่จะทำให้ศิษย์นั้นหลุดพ้นไปจากความทุกข์จริงๆ อย่าได้เวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้  การเวียนว่ายตายเกิดเป็นเรื่องที่ทรมานมาก แล้วศิษย์ก็เวียนว่ายมาหลายชาติ อาจารย์หวังว่าเมื่อเป็นศิษย์อาจารย์ในชาตินี้ ขอให้เป็นชาติสุดท้าย ขอให้รู้จักตัวเอง เท่าทันตัวเอง เอาชนะตัวเอง ควบคุมอารมณ์ของตัวเองนะศิษย์นะ ลาก่อนนะ





พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ควบคุมอารมณ์”

อารมณ์ดีก็ดีใจจนใจเหลิง อารมณ์ร้ายก็ดั่งเพลิงเสียใจใหญ่
ไหลไปตามเหล่ากิเลสเหตุปัจจัย เป็นโรคใจไม่รักษาเจ้าของตน
ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญหรือไม่ ล้วนมีใจอยู่ดวงหนึ่งอันแสนสับสน
จะอยู่อย่างทุกข์ทำไมให้ต้องดิ้นรน ค้นหาตนสุขกลางทุกข์อย่างเคย




พระอาจารย์เมตตาแก้ไขเพลง ชีวิตใช่เป็นของตน
ของสถานธรรมเต๋อฮว่า 14-15 มิย. 51
(มีแก้ไข 3 จุด เพิ่มเติม 1 จุด)

โลกคงออกตามหา ฉันซึ่งดูแปลกไป หลายคำที่ก้าวร้าวก็เริ่มบ่อย พูดคำที่ทำร้าย ไม่แคร์ใคร อยากอย่างใจร้าย ทำหัวใจเด็กจำเดิมไปไหน
*เงาแห่งวัยเยาว์ยังชัดเจน กฎเกณฑ์อันแข่งขันแขงขัน ไม่พบสักวันชอบกฎเหล่านี้ ไม่มีใครคอยดึง เคร่งครัดให้เต็มที่ ฉันคงไม่ดีอยู่อย่างนี้
คิดดูจะซาบซึ้ง เมื่อยามคนเราเติบโต ใช่ไม่ได้ด้วยตัวเองเท่านั้นพอ อุ้มชูอยู่เบื้องหลัง พ่อเอาใจใส่เพียงนั้น แม่ทุกวันโอบอุ้มเราเพียงไหน
** ตอบแทนบุญคุณกันทุกวัน กล่าวคำที่หวานๆ หวังว่าต้องดีกันขึ้นกว่านี้ สนุกไปวันๆ ทะเลาะแล้วใครดี รู้ตนเองไม่มีสายเกิน (ชีวิตใช่แต่เป็นของตน)

ทำนองเพลง:  ดอกไม้ในหัวใจ
ชื่อเพลง: ชีวิตใช่เป็นของตน

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา