วันอาทิตย์ที่ ๒๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๐ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กทม.
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เป็นฐันจู่รู้จริงเดินสะดวก เป็นฐันจู่ลวกลวกเดินเละเทะ
คนกับการบำเพ็ญไม่สะเปะ ศิษย์จงเอะใจเมื่อโดนมองหน้าเอย
เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกมนุษย์ แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนบำเพ็ญธรรมแล้วท้อกันหรือเปล่า
ข้อควรระวัง
๑. น้ำใสไหว้พระ อย่าเก็บในลักษณะนอนนิ่งนานปี
๒. อย่ากินอาหารเลียนแบบมาก
๓. แต่งตัวอย่างสุภาพชน
๔. อย่าขายของในสถานธรรม หรือ อย่าวางขายที่ปากประตู แต่ไม่ได้หมายความว่า
ขายปากประตูไม่ได้ไปขายหลังบ้าน หมายความว่าให้หาที่เหมาะสมในการขาย
ขายปากประตูไม่ได้ไปขายหลังบ้าน หมายความว่าให้หาที่เหมาะสมในการขาย
๕. อย่าคุยเรื่องงานธรรมะในที่ๆ ไม่เหมาะสม
๖. อย่าขอเงินบริจาคหรือรับเงินบริจาคโดย...(ถ้ารับมาจำเป็นที่จะต้องผ่านการ
ประชุมแล้ว เห็นชอบแล้ว ใช้เงินนั้นไปในทางเพื่อส่วนรวม จึงจะสามารถหยิบฉวย ใช้ได้ อย่างนี้จึงไม่มีกรรม)
ประชุมแล้ว เห็นชอบแล้ว ใช้เงินนั้นไปในทางเพื่อส่วนรวม จึงจะสามารถหยิบฉวย ใช้ได้ อย่างนี้จึงไม่มีกรรม)
อาบัติหกข้อ คือ
๑. ไม่ละอาย
๒. ทำโดยไม่รู้ว่าผิด
๓. เห็นว่าผิดแล้วยังทำ
๔. เห็นควรในสิ่งที่ไม่ควร
๕. เห็นไม่ควรในสิ่งที่ควร
๖. ลืมสติ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนชั้น ๓)
เคยแอบน้อยใจไหม แล้วเคยแอบนอกใจไหม (ไม่เคย) ไม่เคยน้อยใจอยู่ในใจ แต่เคยแอบน้อยใจอยู่นอกใจ คนยิ่งบำเพ็ญมาก ยิ่งอยู่ร่วมกับคนมากก็ยิ่งน้อยใจมากใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่) ถ้าไม่ใช่ก็ดี ถ้าใช่ก็ (ไม่ดี) คนที่อยู่ตรงนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่อายุมากใช่หรือไม่ (ใช่) แต่คนที่อายุมากแล้วก็ยังจำเป็นต้องบำเพ็ญธรรม เรายิ่งมีเวลาเหลือน้อยก็ยิ่งต้องบำเพ็ญให้มาก มากแล้วต้องมากแล้วดีด้วย ไม่ใช่มากเฉยๆ เพราะว่าคนอื่นมีเวลามาก แต่เรามีเวลาน้อยกว่า เพราะฉะนั้นคนบำเพ็ญธรรมที่มีอายุมากแล้วจำเป็นที่จะต้องบำเพ็ญกี่ส่วน คนอายุมากแล้วต้องพักเจ็ดส่วน บำเพ็ญสามส่วน ทำไมถึงพูดอย่างนี้ อาจารย์บอกว่าบำเพ็ญให้มาก แต่ทำไมถึงเวลาบอกว่าพักตั้งเจ็ด เพราะว่าการบำเพ็ญไม่ได้หมายถึงการที่เรานั้นต้องไปออกแรงอย่างเดียว คนมีอายุจะมีปัญหากับการออกแรงใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าไม่ต้องออกแรงมีปัญหาไหม (ไม่มี) ถ้าไม่ต้องออกแรงเราก็ไม่มีปัญหา ไม่ต้องออกแรงแล้วออกอะไร ก็ให้ออกแรงที่ใจเยอะๆ แรงกายไม่มี แรงใจต้องมีใช่หรือเปล่า แล้วสิ่งที่ฟังไปเราต้องปฏิบัติ นี่คือการบำเพ็ญ
คนที่รู้มากทำไม่ได้ พูดได้ทำไม่ได้ ฟังได้ทำไม่ได้ เรียกว่าบำเพ็ญไหม เพราะฉะนั้นเมื่อครู่ หลีเตี่ยนฉวันซือพูดบอกว่า มีฐันจู่เท่าไร เจี่ยงซือเท่าไร วันนี้มีคนเท่าไร น่าภาคภูมิใจมากใช่หรือเปล่า อาจารย์บอก เฮ้อ คนบำเพ็ญมีเท่าไร ในคนบำเพ็ญหนึ่งคน ในหนึ่งคนมีการบำเพ็ญภายในตัวเองเท่าไร คนคนนั้นกล้าพูดไหมว่าตัวเราบำเพ็ญแล้ว เราเคยแก้ไขเรื่องอะไรจนลุล่วง แล้วไม่มีการย้อนกลับมาไหม เคยหรือยัง เกือบทุกเรื่องของเรามันเป็นวงจรชีวิตที่แก้แล้วก็วน แก้แล้วก็วนใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะว่าอะไร ตอนเรามีใจ ใจเรามีแรงเราก็ไปแก้ พอใจเราหมดแรงอะไรเหนือ กิเลสเหนือปัญญาต่ำ ใช่หรือเปล่า (ใช่ ) เพราะฉะนั้นเราจำเป็นที่จะต้องบำเพ็ญธรรมอย่างคงเส้นคงวา มาสถานธรรมทุกวัน อยู่สถานธรรมทุกวัน ที่บ้านมีสถานธรรมก็ตามแต่ ไม่ว่าวันนี้จะได้ชื่อว่าเป็นคนชิงโข่วแล้ว ขึ้นทะเบียนพุทธะแล้ว เป็นฐันจู่ที่บ้านมีสถานธรรม ดูแลรับผิดชอบสถานธรรมส่วนรวมอยู่ หรือใดๆ ก็ตาม การบำเพ็ญของเราได้บำเพ็ญหรือเปล่า ตรงนี้สำคัญกว่าไหม (สำคัญกว่า) ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกคนที่มีจำนวนมากเป็นพันที่อยู่ในวันนี้บำเพ็ญตัวเองจริงๆ เป็นบุคคลที่มีคุณภาพอย่างนี้จึงน่าภาคภูมิใจจริงไหม (จริง) แม้กระทั่งคนอื่นไม่ภูมิใจศิษย์ เรายังภูมิใจตัวเองใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่วันนี้เราอยากให้คนอื่นชมเรา คนอยากให้คนชม แต่เวลาเราชมตัวเองเรากล้าชมไหม (ไม่กล้า) เรามีแต่ยอตัวเอง แต่เรานั้นไม่กล้าชมตัวเองจริงๆ เพราะอะไร เพราะว่าทำไม่ดีมันก็อายจริงไม่จริง (จริง) ทำได้ดีก็ไม่อายจริงไหม อายไม่อาย อายก็ไปแล้ว
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนชั้น ๕)
ชั้นนี้ชั้นอะไร ต้องบอกว่าชั้น ๕ คนอยู่ชั้น ๕ ถือว่าอยู่เบื้องบนเลยนะ ใช่หรือเปล่า เขากักตัวนางฟ้า เทวดาให้ลอยอยู่ข้างบน ไม่ให้ลงไปเกลือกกลั้วข้างล่างเลย ใช่หรือเปล่า แล้วยิ่งอยู่ชั้น ๕ เป็นเซียนพุทธะเนี่ย ก็ยิ่งลำบากใหญ่เลย เพราะว่าฐานบัวของเราไม่มีพนัก ลำบากหรือไม่ลำบาก (ไม่ลำบาก) เวลาที่เราเจอเรื่องที่ยากๆ เราก็ยังจำเป็นที่จะต้องมุ่งมั่นถูกหรือไม่ (ถูก) เวลาที่เราเจอเรื่องที่ง่ายๆ เราก็ยังจำเป็นที่จะต้องมีความมุ่งมั่นเช่นเดียวกัน ชีวิตคนมีแต่เรื่องง่ายหรือเปล่า ชีวิตคนมีแต่เรื่องยากหรือเปล่า (ไม่) ตอนนี้ศิษย์ที่อยู่ข้างบนนี้โดยส่วนใหญ่ผมยังดำอยู่เลย ผมดำถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีว่าเรายังไม่ชรา ไม่ชราขี้บ่นไหม ไม่ชราปวดเมื่อยไหม ไม่ชราแต่ความคิดเหมือนคนชราหรือเปล่า ทุกคนมีความชราภาพอยู่ภายใน มีความชราภาพพร้อมที่จะผลิดอกออกผลอยู่ภายในเสมอๆ บางทีเราไม่เหนื่อย แต่ใจเราเหนื่อย ใช่หรือไม่ (ใช่) เราจำเป็นที่จะต้องมาทำความเข้าใจกับตัวเองสักนิดหนึ่ง ว่าเรารู้สึกยังไงกับการโปรดโลกยุคปลายนี้ เราให้ความสำคัญมากแค่ไหน ถ้าเรารู้สึกว่าเป็นภาระของเรา เราก็จะให้น้ำหนักในการที่จะเอาใจใส่งานธรรมะมากกว่านี้ แต่หากว่าเราไม่เห็นความสำคัญเพราะว่าไม่ใช่หน้าที่เรา ไม่ใช่เรื่องของเรา หรือคนอื่นทำอยู่ นานๆ เราก็กลับไปทำทีหนึ่ง เวลาทำทีก็ทุ่มสุดชีวิตขาดใจ แล้วก็ขาดใจอยู่ตรงนั้นจริงๆ พูดจนสุดเสียงยังไม่มีใครอยากจะฟังเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่) ถามว่าถ้าอาจารย์นั้นไม่ได้มาหาศิษย์บ่อยๆ ไม่สนิทสนมกับศิษย์ สิ่งที่อาจารย์พูดศิษย์จะรู้สึกคุ้นเคยไหม (ไม่คุ้นเคย) ฉะนั้นการที่ศิษย์นั้นเป็นคนที่ไม่มาสถานธรรมบ่อยๆ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการโปรดยุคสาม หรือการบำเพ็ญตนอย่างแท้จริง ก็ไม่สามารถที่จะมีความสำคัญได้
ฉะนั้นวันนี้ต้องพิจารณานิดหนึ่ง เราถูกจัดให้อยู่ชั้น ๕ บางคนน้อยใจ ใช่ไหม (ไม่ใช่) อย่าน้อยใจ เราเสียสละหนึ่งที่ก็มีคนได้นั่งสบายกว่าเราอีกหนึ่งที่ เขาก็มีกำลังใจมาสถานธรรมบ่อยขึ้นจริงหรือไม่ (จริง) นี่ก็เป็นการให้ทานชนิดหนึ่ง มันอยู่ที่ว่าศิษย์จะใช้แง่มุมไหนไปคิด เรื่องทุกเรื่องถ้าคิดอย่างคนที่เอาเปรียบคนอื่น เห็นแก่ตัว หรือไม่มีมุมมองวิสัยทัศน์ที่กว้างพอ มองไปแล้วก็เป็นความทุกข์ทั้งนั้น จริงหรือเปล่า (จริง) อยากมีทุกข์ไหม (ไม่อยาก) ไม่อยากมีทุกข์จึงจำเป็นต้องปลดพันธนาการที่อยู่ในจิตใจของตนเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนชั้น ๔)
คนแน่นๆ อย่างนี้ร้อนไม่ร้อน (ไม่ร้อน) นั่งฟังธรรมะมาสองวัน อาจจะเหนื่อย อาจจะเมื่อย แต่ว่าจิตใจรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำไมถึงบอกว่าร่างกายเหนื่อย ร่างกายเมื่อย แต่ใจของเรากลับสบายยิ่งขึ้น เพราะว่าธรรมะนั้นสามารถเข้าได้ดีกับสภาพของจิต ธรรมะเป็นบวก จิตใจเป็นบวกก็เข้ากันได้ ธรรมะเป็นบวก จิตใจเป็นลบเข้ากันได้ไหม (ไม่ได้) เราเคยคิดแง่บวกไหม เราเคยคิดแง่ลบไหม (เคย) เมื่อไหร่ที่คิดแง่ลบ แล้วเราเป็นคนบำเพ็ญธรรมด้วย เราจะรู้สึกทุกข์ทรมานใจอย่างยิ่ง อะไรที่ควรทำ แล้วเราไม่ได้ทำ เราจะรู้สึกทุกข์ทรมานใจอย่างยิ่ง เพราะว่าอะไร เพราะว่าการคิดร้าย คิดอกุศล คิดไม่ดี ไม่สามารถเข้ากับธรรมะได้ จึงทำให้เราเกิดความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นตอนนี้เราตัดสินใจเป็นผู้บำเพ็ญธรรมเต็มตัวหรือยัง (เต็มตัว) ตอนนี้เราตัดสินใจเป็นผู้บำเพ็ญธรรมเต็มใจหรือยัง (เต็มใจ) เมื่อเราเป็นผู้บำเพ็ญธรรมอย่างเต็มใจแล้ว ถามใหม่ เราบำเพ็ญธรรมเต็มกำลังหรือยัง (ยัง) ถามอีกทีหนึ่ง เราบำเพ็ญธรรมเต็มความสามารถหรือยัง (ยัง) เราบำเพ็ญธรรมเต็มที่หรือยัง (ยัง) อย่างนั้นอาจารย์กลับดีกว่า
ชั้นนี้เป็นชั้นอะไร (ชิงโข่ว ฐันจู่) คนที่ชิงโข่วมีมากมาย คนที่เป็นฐันจู่มีน้อยนิด จริงหรือเปล่า วันนี้ที่เราเป็นฐันจู่ เรายังมีอีกอย่างหนึ่ง คือบำเพ็ญธรรมเต็มภาคภูมิ ใช่ไหม เพราะอะไร เพราะว่าในส้มหนึ่งเข่ง มีส้มที่ติดตราฐันจู่อยู่ไม่กี่ใบ ใช่หรือเปล่า แต่เวลาไหว้พระเขาลอกตราออก มีใครลอกตราเห็นตำหนิรีบปิดลงไปทันที เวลาเห็นตำหนิทำอย่างไร ใครฐันจู่ยกมือขึ้น เห็นตำหนิทำอย่างไร (เปลี่ยนลูกใหม่ ไม่ดีคัดออก) แต่คัดออกเปลืองเงินนะ อาจารย์ไม่สนใจตำหนิผลไม้ อาจารย์เพียงแต่ดูใจของศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่) เปิดมาเห็นตำหนิทำอย่างไร เปลี่ยนลูกใหม่ดีไหม อย่างนั้นตายแล้วเกิดใหม่ ได้ไม่ได้ (ไม่ได้) คนไม่ใช่ผลไม้ คนจึงสามารถที่จะเปลี่ยนพฤติกรรม คำพูด และความคิดของตัวเองได้ แล้วเราเปลี่ยนหรือยัง เราเปลี่ยนพฤติกรรม คำพูด และความคิดเหมือนผู้บำเพ็ญธรรมแล้วหรือยัง (ยัง) ไหนใครว่าตัวเองเปลี่ยนแล้วสักห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เวลาที่เรารู้สึกว่าเราเปลี่ยนตั้งห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ถ้าคนอื่นเขามองหน้าเรา เรามองสายตาเขาหน่อย ว่าเขารู้สึกว่าเราห้าสิบหรือยัง ใช่หรือไม่ (ใช่)
โลกนี้คนที่เราควรที่จะไปมองหน้าเขาคือใคร คนที่เราควรจะมองหน้าเขาที่สุดคือคนที่ชอบพูดจาตรงไปตรงมา เพราะว่าโลกนี้มีคนหลายประเภท คนประเภทโผงผาง พูดจาตรงตรง ว่าเป็นว่า ดุเป็นดุ ดีเป็นดี ร้ายเป็นร้าย ประเภทนี้มีประโยชน์ไหม (มี) คนประเภทนี้มีประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการที่จะฝึกตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่คนประเภทนี้จะเป็นโทษสำหรับคนที่เป็นญาติธรรมใหม่ ถูกหรือเปล่า (ถูก) ตอนนี้ลองมองตัวเองหน่อยหนึ่ง เราเป็นพวกโผงผาง ตรงไปตรงมา มุทะลุดุดัน แล้วก็ชอบใช้อารมณ์หรือเปล่า ไหนใครใช่ยกมือขึ้น ที่นี้คนที่ใช่ยกมือค้างไว้ มุทะลุดุดัน พูดจาโผงผาง ตรงไปตรงมา ชักสีหน้าใส่คนอื่นยกค้างไว้ สูง เด่น ที่นี้ถ้าใครไม่ใช่ฐันจู่เอามือลง ถ้าใครเป็นฐันจู่ยกมือค้างไว้ นี่เป็นสิ่งที่ฐันจู่ควรเป็นไหม (ไม่ควร) ใครที่รับผิดชอบสถานธรรมส่วนตัว คือมีแต่สถานธรรมในบ้านเอามือลง ใครที่รับผิดชอบสถานธรรมส่วนรวมค้างไว้ อาจารย์บอกเลยนี่เป็นพฤติกรรมต้องห้ามของคนที่เป็นผู้ดูแลสถานธรรม ฐันจู่ที่รับผิดชอบสถานธรรมส่วนรวม นี่เป็นสิ่งที่อันตรายที่สุด ใช่หรือเปล่า (ใช่) เมื่อยแล้วเชิญเอามือลงได้ หวังว่าความเมื่อยแขนจะช่วยเตือนสติ เพราะฉะนั้นญาติธรรมมาสถานธรรมเจอหน้าใคร (ฐันจู่) เวลาญาติธรรมมาสถานธรรมเจอฐันจู่
ฐันจู่มีงานทางโลกด้วย มีงานทางธรรมไหม (มี) ต้องรู้จักแบ่งเวลา เคยผ่าแตงโมไหม (เคย) แตงโมดีๆ ผ่าตรงไหน (ตรงกลาง) ผ่าข้างๆ ได้ไหม (ไม่ได้) ผ่าเอียงข้างซ้ายได้ไหม (ไม่ได้) ผ่าเอียงข้างขวาได้ไหม (ไม่ได้) ผ่าแตงโมต้องผ่ากลางๆ เหมือนเวลาที่เราแบ่งเวลาเราก็ต้องแบ่งเวลาให้กลางๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าใจเราเอียงไปทางโลกเราก็แบ่งแตงโมซ้ายมากหน่อย ขวาน้อยหน่อย สมมติคนนี้ชอบทำงานทางธรรมก็แบ่งขวามากหน่อย ซ้ายน้อยหน่อย ถามว่าดีไหม (ไม่ดี) ก็ไม่ดีทั้งสองอย่าง ใช่หรือไม่ (ใช่) เราต้องแบ่งให้กลางๆ กลางอยู่ตรงไหน แตงโมสามารถหาตรงกลางได้ ชีวิตเราหาตรงกลางได้ไหม (ได้) ทางโลกมีพันธะ ทางธรรมมีพันธะ พันธะทางไหนดึงเรามากกว่ากัน (ทางโลก) พันธะทางโลกฉุดดึงเราไว้มากยิ่งกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ภาระทางโลกที่เราอ่อนไหวให้ เพราะส่วนใหญ่ภาระทางโลกมีผลประโยชน์ บางทีผลประโยชน์ที่เราได้ เราจำเป็นต้องได้ บางทีผลประโยชน์ที่เราได้ เป็นเพราะเราโลภอยากจะได้ ถามว่าผลประโยชน์แบบไหนที่เราต้องตัดทิ้งก่อน ผลประโยชน์ทางโลกที่เกิดจากความโลภ จำเป็นต้องตัดทิ้งให้มาก ใช่หรือไม่ (ใช่) เราได้แต่เฉพาะที่เราควรจะได้ ดีหรือไม่ (ดี) เรามีเฉพาะที่เราควรจะมีดีหรือไม่ (ดี)
เวลาที่เรามีถ้าไปเทียบกับคนอื่นเรียกว่าจน ได้ไหม (ได้) ยังไหวไหม (ไหว) คนรวยบำเพ็ญยาก แต่คนจนบำเพ็ญ (ง่าย) เพราะอะไร เพราะคนจนไม่มีอะไร เหมือนตอนนี้เรามีอะไรไหม (ไม่มี) ใจมีอะไรไหม (ไม่มี) ตัวเราไม่มีอะไร แต่ใจเรามีเยอะเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) ขยะข้างนอกเราเอาไปทิ้ง แต่ขยะในใจทิ้งเท่าไหร่มันก็เหวี่ยงกลับมา ถ้ากินของเข้าไปแล้วไม่ถ่ายเป็นอย่างไร ตอนนี้เรากินเข้าไปเยอะใช่หรือเปล่า ถ่ายบ้างหรือยัง (ยัง) ใครถ่ายแล้วยกมือขึ้น ใครยังไม่ถ่ายยกมือขึ้น ไหนใครยังไม่รู้ว่าถ่ายหรือยัง ยกมือขึ้น เวลาถ่ายก็ถ่ายวันละรอบ จริงหรือเปล่า (จริง) อาจารย์ไม่ได้พูดไม่สุภาพนะ ถ่ายวันละรอบ แต่ใจของเรากี่วันถ่ายรอบ ถ้าถ่ายทุกวันสุขภาพก็ดี จริงหรือเปล่า (จริง) แต่ถ้าเกิดว่าใจเราสามวันถ่ายที ไหวไหม (ไม่ไหว) อาจารย์ว่าคนที่ยังไม่ถ่ายเป็นเดือนเลย บางคนบำเพ็ญมากี่ปีก็อยู่เท่านั้นปีเลย ฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องทำอะไรตัวเอง ตอบพร้อมๆ กันดีไหม มาทำอะไร (ขัดเกลาตัวเอง) ขัดเกลาจิตใจของตนเอง คนอื่นไม่รู้ว่าเราไม่ดีอย่างไร แต่เรารู้ไหม (รู้) วันดีคืนดีเราก็เผลอคิด เผลอทำ เผลอพูด ในสิ่งที่เราก็ไม่ได้อยากพูดอย่างนี้เลย เป็นหรือไม่ (เป็น) อย่างนี้เรียกว่าอะไร (ไม่มีสติ)
“เป็นฐันจู่รู้จริงเดินสะดวก เป็นฐันจู่ลวกลวกเดินเละเทะ”
การบำเพ็ญธรรมกับความรู้สำคัญไหม (สำคัญ) จริงๆ ความรู้ไม่ได้สำคัญสำหรับการหลุดพ้น แต่ความรู้สำคัญกับการที่เราจะต้องพูด คนยิ่งพูดมากยิ่งต้องรู้เยอะ คนพูดน้อยๆ ไม่ต้องรู้เยอะเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นตอนนี้เราเป็นคนพูดมากหรือพูดน้อย พูดต่อหน้าหรือว่าลับหลัง ส่วนใหญ่ถ้าพูดต่อหน้าคนจำนวนมากเราพูดธรรมะใช่ไหม แต่พูดลับหลังพูดอะไร เรารู้สึกไหมว่าตัวเราคนเดียวมีสองด้าน เรารู้สึกว่าตัวเรามีสองด้าน แล้วด้านไหนเป็นด้านดีรู้หรือเปล่า (รู้) ด้านไหนเป็นด้านร้ายรู้หรือเปล่า (รู้) เราก็รู้ด้วยว่าด้านไหนดีด้านไหนร้าย แล้วเราเลือกดีไว้หรือเลือกร้ายไว้ หรือเราเป็นคนที่ปล่อยตามน้ำ หากตอนนี้กำลังพูดกันเมามัน เราก็นินทาตามไปด้วย การนินทาเป็นสิ่งอันตรายมาก คนบำเพ็ญธรรมนินทากัน ไม่น่าฟังเลย ใช่หรือเปล่า คนดีก็ยังเป็นคนดี คนไม่ดีก็ยังเป็นคนไม่ดี มันสำคัญอยู่ที่ว่าเราเป็นคนดีหรือเปล่าเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นฟังให้เป็น พูดให้น้อย ทำได้หรือเปล่า แต่ถ้าหากเราเป็นอาจารย์บรรยายธรรมพูดให้น้อยได้ไหม (ไม่ได้) เป็นฐันจู่พูดให้น้อยได้ไหม เป็นฐันจู่ยิ้มให้เยอะ แต่เป็นเจี่ยงซือต้องพูดให้ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) จะดีได้ก็อยู่ที่ขยันอ่านหนังสือหรือเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าไม่ขยันอ่านหนังสือพูดดีได้ไหม (ไม่ได้) พูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดมากปากจะมีสี ตอนนี้ปากใครมีสีบ้าง อาจารย์รู้สึกว่าปากศิษย์จะมีสีแดงๆ กันทุกคนเลย ใช่หรือไม่
“คนกับการบำเพ็ญไม่สะเปะ ศิษย์จงเอะใจเมื่อโดนมองหน้าเอย”
เคยมีคนมองหน้าเราไหม (เคย) อาการแรกคือโดนคนมองหน้า แต่อาการหนักกว่าคือหน้าเขายังไม่อยากมอง ใครเจออาการแรกบ้าง แล้วยังไม่รู้ตัว ต่อไปเขามองหน้าเราไหม (ไม่มอง) แม้แต่หน้าเราเขายังไม่อยากมองเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนมีคนมองหน้ารู้สึกอึดอัดมาก ไม่ชอบเป็นที่รักของคน เวลาไม่มีคนมองหน้ารู้สึกสบายมาก แต่กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็โดนทิ้งไปแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาถามว่าบำเพ็ญธรรมแล้วท้อกันหรือเปล่า)
(ไม่ท้อ) ถ้ายังไม่เคยท้อ ก็ไม่ใช่ของแท้ เพราะว่าท้อกับแท้อะไรมาก่อน (ท้อ) ท้อแท้ ถ้าท้อนี่ของแท้ ถ้าไม่ท้อก็ไม่แท้ ใช่ไม่ใช่ (ใช่) เพราะฉะนั้นใครท้อเชิญนั่ง ไม่มีใครท้อเลยหรือ ไม่ท้อเลยไม่นั่งเลยหรือว่าเห็นคนไม่นั่งก็เลยไม่นั่ง ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่) ใครท้อแล้วไม่ถอยเชิญนั่ง อาจารย์นั่งก่อนนะ อาจารย์เห็นคนแอบนั่งไปตั้งเยอะ พอเห็นคนอื่นยืนก็ไม่กล้านั่งอีกแล้ว เวลาบำเพ็ญธรรมต้องมองตามคนอื่นหรือเปล่า (ไม่ตาม) หรือว่าตามใจตัวเองอย่างเดียว ตามคนอื่นไม่ตาม ตามใจตัวเองอย่างเดียว ใช่หรือไม่ แล้วตามใครล่ะ (ตามอาวุโส) ใครตามอาวุโสเชิญนั่งลง ตามอาวุโสหมดเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) อาวุโสดีหรือเปล่า (ดี) อาวุโสดีหรือเปล่านั้น เราเองก็ยังเคยว่าเลย จริงหรือเปล่า (จริง) แล้วตกลงว่าดีหรือเปล่า (ดี) คนที่ไม่ได้เกิดมาเป็นพ่อ เป็นแม่ พี่น้อง ญาติกับเรา มาอยู่ร่วมกัน เราก็มีอาวุโสที่ไม่ใช่พ่อแม่ของเรา แต่เขารักเราไหม (รัก) บางทีถูกดุ บางทีถูกว่า ถูกเตือนแรงหน่อย เราต้องรับให้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นในเมื่อเรายังไม่ดี โลกนี้ก็ยังไม่มีอะไรดี ถ้าเมื่อไหร่ที่เราดี โลกนี้ก็ดีทุกอย่าง พูดอย่างนี้เหมือนเป็นการตั้งคำถามที่ยากเกินไปให้เราทำหรือเปล่า ถ้าเราไม่ดีโลกนี้ก็หาอะไรดีไม่ได้ เพราะแม้ตัวเราก็ยังไม่ดี เราเคยสงสัยปัญหาหลายเรื่องที่เราเคยเจอ แต่ว่าปัญหานั้นแก้อย่างไร ทุกครั้งที่ศิษย์เจอปัญหา ไม่ว่าเล็ก ไม่ว่าใหญ่ แก้ออก แก้ไม่ออก ให้เราคิดตั้งต้นว่า เราดีหรือยัง ตั้งต้นตรงนี้ดีไหม (ดี) แต่ถ้าคำตอบออกมาว่ายังไม่ดี ทำอย่างไรต่อ เราก็ต้องคิดต่อไปว่าแล้วเราไม่ดี แล้วเราแก้ตรงไหนดีล่ะ มาแล้วร้อยข้อ โอ้ แก้ไม่หมดอาจารย์ จริงไหม อย่างนั้นเราต้องเลือกข้อแรกก่อน ข้อแรกอยู่ที่ไหน อะไรที่ใกล้ชิดกับตัวเรามากที่สุด สามีใกล้เราไหม (ใกล้) ภรรยาใกล้เราไหม (ใกล้) ลูกใกล้เราไหม (ใกล้) หรือนิสัย อะไรใกล้ที่สุด (นิสัย) เราอยากเปลี่ยนลูก เปลี่ยนแฟน เปลี่ยนคนอื่น หรือเปลี่ยนนิสัยตัวเราเอง (นิสัย) สิ่งที่ใกล้ตัวเราที่สุดคือนิสัยของตัวเอง เป็นคนบำเพ็ญธรรมขี้โมโห ได้หรือไม่ (ไม่ได้) เป็นคนบำเพ็ญธรรมยังขี้เกียจ ได้หรือไม่ (ไม่ได้) เป็นคนบำเพ็ญธรรมยังขี้หงุดหงิด ได้ไหมได้ (ไม่ได้) เป็นคนบำเพ็ญธรรมยังเถียงเก่ง ได้หรือไม่ (ไม่ได้) เป็นคนบำเพ็ญธรรมพูดไม่คิด ได้หรือไม่ (ไม่ได้) เป็นคนบำเพ็ญธรรมตามใจปากของตัวเอง ได้หรือไม่ (ไม่ได้) มีอะไรไม่ได้อีก (ไม่ก้าวร้าว, ไม่ขี้อิจฉา, ไม่เห็นแก่ตัว, ไม่เอาแต่ใจตัวเอง, ไม่ขี้ใจน้อย)
หวังว่าอะไรที่เป็นข้อเสียก็ไปแก้ให้หมด ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน ก็เริ่มตรงไหนมันสักหนึ่งข้อ ใช่หรือไม่ (ใช่) ข้อที่ชัดๆ มันยาก ส่วนใหญ่ที่เห็นชัดๆ ทำยาก เรื่องง่ายๆ อย่างเช่นเรื่องขี้เกียจ จะเป็นเรื่องที่แก้ยากที่สุด แต่เป็นเรื่องเล็กที่สุด ฉะนั้นเราควรจะแก้อะไรก็แล้วแต่ ที่กระทบต่อคนอื่นก่อน จำเป็นต้องแก้เป็นอันดับแรก เพราะว่าคนที่อยู่ตรงนี้ทุกคน หลายๆ คนเป็นผู้มีภาระหน้าที่ หลายๆ คนมีปณิธาน มีความมุ่งมั่น ฉะนั้นเราจึงเป็นบุคคลที่ดูโดดเด่น เราเป็นคนโดดเด่นที่อยู่ในพื้นที่ของเราเอง วันนี้นั่งอยู่ตรงนี้ไม่เด่น กลับไปอยู่ที่สถานธรรมตัวเอง เด่นไม่เด่น (เด่น) เพราะฉะนั้นคนที่โดดเด่นและสูงส่ง จึงจำเป็นต้องดูสง่างาม พูดมากเกินไป ไม่สง่างาม ฟังเรื่องที่ไม่ควรฟัง ไม่สง่างาม ทำเรื่องไม่ควรทำ ไม่สง่างาม แม้กระทั่งคิดเรื่องที่ไม่ควรคิด ก็ไม่สง่างาม แต่ที่สำคัญทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างคือ พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด ไม่สง่างาม ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ว่าต่อหน้าหรือลับหลังจำเป็นต้องมีความเหมือนกัน เพราะว่าบนฟ้าไม่มีที่ให้ศิษย์เป็นบ้านส่วนตัว วันนี้เราอยู่บ้านของเรา ใช่หรือเปล่า (ใช่) มาสถานธรรมแบบหนึ่ง กลับไปอยู่ที่บ้านอีกแบบหนึ่ง เรามีโลกส่วนตัว เรามีที่ส่วนตัว แม้กระทั่งอยู่ในสถานธรรมเอง คนก็ยังมีโลกส่วนตัว และมีที่ส่วนตัวของตัวเองอยู่เลย อยู่บนฟ้ามีไหม (ไม่มี) จับศิษย์ไปแขวนอยู่บนฟ้านี่ มีที่ส่วนตัวไหม ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าโดนแขวนอยู่ข้างบนแล้วเป็นอย่างไร แขวนอยู่ข้างบนคือการที่ทั้งร้อยทิศมองมา ทุกที่ทุกทาง ทุกสายตาสามารถเห็นศิษย์แล้วกลม กลมนี่คือ ใจกลม รัศมีที่ออกมาก็กลม จิตสว่าง รัศมีที่ออกมาก็กว้าง ใช่หรือเปล่า (ใช่) เหมือนดังพระอาทิตย์ ถ้าหากเป็นคนใจแคบ รัศมีธรรมของศิษย์ก็แคบ ใจศิษย์มันหมองเศร้า รัศมีธรรมของศิษย์ก็หมองเศร้า ถ้าหากว่าศิษย์มีกิเลสเป็นอย่างไร เคยเห็นเทวดาตกสวรรค์ไหม เป็นอย่างไร ขึ้นไปได้อยู่ไม่ได้ หล่นหรือไม่ เหลาหมู่เบื้องบน อาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ให้ศิษย์อยู่หรือเปล่า สิ่งที่ไม่ให้ศิษย์อยู่คือกิเลสหนักๆ ที่อยู่ในใจของศิษย์ ทำให้เราไม่สามารถที่จะอยู่เบื้องบนได้
ฉะนั้นจะละกิเลสไปละที่ไหน เอาอะไรไปขัดหินดี เอาธรรมะไปขัดหิน ใช่หรือไม่ (ใช่) ธรรมะขัดหินไม่เรียบ ไม่กลม สิ่งที่ขัดหินให้กลมได้ดี สิ่งที่จะขัดแล้วให้เรากลมเกลี้ยงคืออะไร เจอทุกวันเลยแต่อยากหนีให้ไกลๆ บางทีก่อนนอนก็เจอ ตื่นเช้ามาก็ยังเจอ เดินไปไหนตามยิ่งกว่าเงาอีก ใครตอบได้ (ความทุกข์) อาจารย์เอาธรรมะลับปัญญาของศิษย์ แต่ว่าสิ่งที่จะลับศิษย์ให้เกลี้ยงให้กลมให้ใสคือความทุกข์ที่ศิษย์มี ใครไม่มีทุกข์มีไหม (ไม่มี) มนุษย์มีทุกข์เป็นเรื่องธรรมดาหรือเปล่า (ธรรมดา) มนุษย์มีทุกข์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และความทุกข์นี้เป็นดั่งหินลับมีด ที่ใช้ลับมีดให้คมทีเดียว แต่อาจารย์ไม่ต้องการให้ศิษย์คม อาจารย์ต้องการให้ศิษย์กลมเกลี้ยง เบาใส จงใช้ความทุกข์ที่มีในทางที่เป็นประโยชน์ สำหรับลับจิตใจของตัวเองให้เกลี้ยงมากกว่านี้ ดีหรือเปล่า (ดี) ตอนนี้เบื่อความทุกข์ไหม (ไม่เบื่อ) นึกว่ายังเบื่ออยู่ ต้องเลิกเบื่อได้แล้ว คนขัดใจเราก็ดี คนไม่ชอบเราก็ดี คนมองหน้าเราจะหาเรื่องก็ดี คนด่าเราก็ดี ไม่มีข้าวกินก็ดี วันนี้มีข้าวกินมากเกินไปท้องอืดก็ดี ที่สำคัญไม่มีเงินใช้ก็ (ดี)
โลกนี้ไม่มีอะไรที่ไม่ดีเพียงแต่อยู่ที่เรานั้นคิดอย่างไรกับความทุกข์ ถ้าเรายิ่งวิ่งหนี ความทุกข์เหมือนกับเงา ใช่หรือเปล่า แล้วความสุขนั้นเป็นอย่างไร ยิ่งวิ่งเข้าใส่ยิ่งเป็นอย่างไร ความสุขเหมือนแมว เป็นอย่างไร วิ่งใส่แล้วทำไม เวลาเราอยู่เฉยแล้วแมวมาหาเรา แต่ถ้าเราวิ่งจับแมววิ่งไปเลย ยิ่งจะจับยิ่งวิ่งไกลเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นอยากมีสุขจงอยู่เฉยๆ นี่คือให้นั่งทั้งวันหรือเปล่า ให้นอนทั้งวันหรือเปล่า (ไม่ใช่) คำว่าอยู่เฉยๆ ไม่ใช่ให้นั่งๆ นอนๆ อยู่เฉยๆ คือให้ทำใจอยู่เฉยๆ ล้างชามไป ใจ (เฉยๆ) ทำงานเหงื่อตกซิกๆ ใจ (เฉยๆ) วิ่งตามรถเมล์ที่วิ่งไปทางโน้นใจ (เฉยๆ) โดนด่ามาเมื่อกี้นี้ (เฉยๆ) ไม่มีใครรักเราเลย เฉยไหม (เฉย) ไม่มีเงินใช้เฉยไหม (เฉย) ใจอยู่เฉยๆ นิ่งๆ ถ้าศิษย์อยู่นิ่งได้ทุกอย่างจะราบรื่น ถ้าศิษย์อยู่นิ่งไม่ได้ ไม่มีเรื่องอะไรที่จะราบรื่นเลย เพราะว่าเราทำใจไม่ได้ หรือที่ทำใจไปยังไม่พอ ฉะนั้นจงหัดอยู่นิ่งๆ เฉยๆ ด้วยใจที่นิ่งๆ เฉยๆ
วันนี้ที่อาจารย์มา อาจารย์จะปรับศิษย์ด้วย ปรับไม่ใช่หมายความว่าปรับเงินนะ อาจารย์จะสุ่มแถวนี้ คนนี้ออกมา แถวนี้ คนนี้ออกมา
(พระอาจารย์เมตตาสุ่มเลือกนักเรียนชาย-หญิงออกมาหน้าชั้น)
ไหนใครคิดว่าตัวเองแต่งตัวเรียบร้อยออกมา ก่อนที่จะเข้าเรื่องนี้ เกริ่นนำนิดหนึ่ง การบำเพ็ญธรรม ๑.ต้องมีการศึกษา ๒.ทำความเข้าใจ ๓.ให้เวลา ๔.ปฏิบัติ ที่ทำอยู่ครบหรือเปล่า เราทำครบไหมสี่ขั้นตอน ครบไหม (ไม่ครบ) ไม่ครบก็แย่แล้ว ด่านแรกยังไม่ผ่านเลย ศึกษา ทำความเข้าใจ ให้เวลา ปฏิบัติ สี่เรื่อง เวลาเรามาสถานธรรม เรามาประชุมธรรม เรากลับไปคิดพิจารณา ให้เวลากลับมาสถานธรรม ปฏิบัติตัว ใช่หรือไม่ (ใช่) เราทำครบสี่ประการ ไม่ได้หมายความว่าใช้เวลาหนึ่งวัน สองวัน สามวัน หรือสองปี สามปี ถ้าเราทำครบวงได้อย่างเต็มวง เราจะเป็นญาติธรรม เราเป็นญาติธรรมแล้ว เราต้องศึกษา ทำความเข้าใจ ให้เวลา ปฏิบัติอีก ครบวงเราก็เป็นผู้ปฏิบัติงานธรรม เราทำไปอีกครบวง เราก็กลายเป็นฐันจู่ เจี่ยงซือ แต่ว่าปัญหาคือ เราทำทุกอย่างนี้ในวงของเรา ในขั้นตอนแรกเราทำไม่เต็มวง ขั้นตอนที่สองก็ทำไม่เต็มวง ขั้นตอนที่สามก็ไม่เต็มวง ถึงแม้ ณ วันนี้เราจะเป็นฐันจู่ เราเป็นคนชิงโข่ว เป็นคนบำเพ็ญธรรม เป็นเจี่ยงซือก็ดี เรายังมีความบกพร่องแบบคนใหม่อยู่เลย เพราะว่าเดิมทีที่มาเราก็ไม่ได้ทำเต็มที่ เราไม่สมบูรณ์ในวงแรก วงที่สองเข้าไปก็ไม่สมบูรณ์ วงที่สามเข้าไปก็ไม่สมบูรณ์ ฉะนั้นคนที่แม้ว่าจะมาบำเพ็ญธรรม มาช่วยงานอาจารย์นานแล้ว จึงยังมีข้อบกพร่องแบบญาติธรรมใหม่อยู่เลย แล้วเมื่อศิษย์แม้กระทั่งตัวเองยังพึ่งไม่ได้ จะให้คนอื่นพึ่งได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นเราจึงจำเป็นต้องดูพิจารณาตัวเองว่า เรามีข้อบกพร่องแบบจุดด้อยที่เป็นจุดอ่อน แบบอ่อนๆ อยู่หรือเปล่า คือเรื่องที่ไม่ควรเป็นแต่ดันเป็น จึงจำเป็นต้องตรวจสอบอย่างจริงจังว่า สิ่งที่เราเคยแก้ไป เราแก้ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดหรือเปล่า แล้ว ณ วันนี้ที่เราเป็นอยู่นี่ เราถูกกระแสน้ำทะเลทุกข์พาไปเป็นแบบเก่าที่มันไม่ควรเป็นหรือเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าศิษย์ทำได้อย่างนี้ ตรวจสอบ ทบทวนตัวเองบ่อยๆ ศิษย์ก็จะก้าวสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่หากว่าศิษย์ไม่ตรวจสอบตัวเองแล้ว การจะสูงขึ้นทำได้ไหม (ไม่ได้) ก็เป็นแบบที่อาจารย์ชอบพูด ก้าวไปข้างหน้าห้าก้าว ถอยไปข้างหลังสามก้าว ก้าวไปอีกสามก้าว ถอยกลับมาอีกสองก้าว ขึ้นหน้าไปอีกห้าก้าวถอยมาอีก ยิ่งเดินยิ่งไกลก็ถอยกลับมายิ่งเยอะ อย่างนี้ถามว่าคนที่ก้าวไปเรื่อยๆ กับเราคนที่ก้าวถอยๆ ใครก้าวหน้ากว่ากัน
เพราะฉะนั้นในวันนี้จึงมีสภาพการณ์ที่มีญาติธรรมใหม่ หรือมีเจี่ยงซือที่อาวุโสน้อยกว่าเรา มีฐันจู่ที่อาวุโสน้อยกว่าเรา แต่เขาบำเพ็ญธรรมได้ก้าวหน้ามากกว่าเรามาก ถึงตอนนั้นเรามาคิดว่าเราเป็นอาวุโสนะ ต้องฟังฉัน ฟังไม่ฟัง ถ้าศิษย์ยังฟังศิษย์ก็ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ เพราะอาจารย์บอกแล้วว่าฟังไม่ขาดทุน แต่ใครที่มีนิสัยความเคยชินในทางธรรมประเภทนี้ จำเป็นต้องมาตรวจสอบตัวเองอย่างจริงจัง เพราะเราจะกลายเป็นอุปสรรคของผู้อื่นทันที ใช่หรือไม่ (ใช่) การบำเพ็ญธรรมจึงเป็นเรื่องที่ต่างคนต่างทบทวนตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) เราพูดให้คนอื่นฟังด้วยความปรารถนาดีได้ แต่คนอื่นไม่ฟังเรา ต่างอะไรกับพูดให้กำแพงฟังไหม (ไม่ต่าง) เวลาที่เราพูดให้ผู้อื่นฟัง แต่เขาไม่ฟัง จึงจำเป็นต้องพูดต่อไป ใช่ไหม (ใช่) พูดแล้วเขาไม่ฟังนี่พูดต่อดีไหม (ไม่ดี) เขาพูดไม่ฟังก็เหมือนตอนนี้แฟนบ่นเรา แล้วเราไม่อยากฟังนั่นแหละ สิ่งที่เขาพูดมาก็ดีๆ ทั้งนั้น แต่เราไม่ฟัง ฉะนั้นเวลาที่เราพูดให้คนอื่นฟัง และถ้าผู้อื่นไม่ฟังก็ไม่ต้องพูด หันมาดูตัวเองว่าทำไมเขาไม่ยอมฟังเราพูด สงสัยหน้าเราจะขิ้วขมวดหรือเปล่า หรือเราปากเเบะๆ ไหม หรือเราทำตาดุๆ หรือเปล่า หรือสิ่งที่เราพูดออกมาไม่น่าฟัง ใช่หรือไม่ (ใช่)
การที่อาจารย์พูดถึงเรื่องการบำเพ็ญธรรมสิ่งนั้นเป็นเรื่องของภายใน คนที่มองเห็นศิษย์นั้นจำเป็นที่จะมองเห็นศิษย์จากภายนอก จริงหรือไม่ (จริง) อะไรที่มองเห็นจากภายนอก การกระทำ ถูกหรือเปล่า (ถูก) ความประทับใจเวลาที่เรามองเจอ ประทับใจหรือเปล่า (ประทับใจ) อันนี้พูดถึงอะไร พูดถึงเรื่องการแต่งตัวหัวจรดเท้า ต้องแต่งตัวให้ดูเรียบร้อยสมฐานะ สิ่งแรกทรงผม ผู้หญิงไว้ยาวต้องมัด ไว้สั้นก็ต้องพอประมาณ เสื้อขาว ไม่ต้องเสื้อใหม่ เสื้อขาดๆ แล้วปะก็ไม่เป็นไร แต่เสื้อต้องมีปก สีบนเสื้อมีมากกว่าสีขาวหรือเปล่า มากกว่าเกินงามหรือเปล่า คนนี้มีปกแต่ปกเป็นลายลูกไม้ ใช่ได้ไหม ก็พอไหวนะ ตัวนี้ไม่มีปก กระโปรงผู้หญิง ควรยาวดีหรือควรสั้นดี สั้นหรือยาวก็ได้ประมาณคลุมเข่า แต่ถ้าหากว่าจะมากกว่านั้นก็ต้องดูว่าตัวเองเป็นอะไร เป็นเจี่ยงซือหรือฐันจู่ ถ้าเป็นฐันจู่ยาวจนเกือบถึงตาตุ่ม มันก็ไม่ค่อยดี แต่ถ้าเป็นปั้นซื่อเขายาวถึงตาตุ่มว่าเขาดีไหม ก็ไม่ดีเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราแต่งตัว อาจารย์พูดถึงเรื่องแต่งตัว กลับไปอย่าไปว่าใครเลย แต่ให้เปลี่ยนตัวเองเท่านั้น เมื่อศิษย์เปลี่ยนตัวเองให้มีราศีจับ เปลี่ยนตัวเองให้งามเหมาะสมทุกครั้งที่ไปสถานธรรม คนจะทำตามศิษย์เองโดยไม่ต้องพูด
ผู้หญิงใส่ถุงน่อง บางคนชอบใส่ถุงน่องแล้วม้วน ถ้าอยากม้วน ม้วนเลยน่องขึ้นไป รองเท้าถ้าหาได้ สีดำดีกว่า ฉะนั้นเราต้องดู ถ้าเราใส่ถุงเท้า ก็เป็นถุงเท้าขาวดีกว่า สำหรับผู้หญิงนะ อย่าเอาถุงเท้าแบบโป๊เห็นหมด หรือถุงน่องแบบถุงเท้าสั้นๆ ถุงเท้าก็ถุงเท้าขาวๆ คลุมตาตุ่ม ถ้าเกิดว่าเป็นรองเท้าก็รองเท้าคัดชูสีดำดีกว่าสีขาว จะได้ดูเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) ผมหวีให้เรียบร้อย พอหรือยังผู้หญิง แค่นี้ก็กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอุตลุดแล้ว
ผู้ชายไม่ชอบใส่รองเท้า อยากจะเป็นอาจารย์แย่แล้ว เลียนแบบกันมาติดๆ เลย ผู้ชายเรียกรองเท้าอะไร (รองเท้าหุ้มส้น) ไม่ว่าที่นั้นจะมีที่ให้ศิษย์ใส่รองเท้าหุ้มส้นหรือเปล่า ศิษย์ก็ต้องใส่หุ้มส้นไว้ หุ้มส้นยังไม่พอขอถุงเท้าด้วย อย่าไปเท้าเปล่ากับรองเท้าหุ้มส้น
กางเกงสีน้ำเงิน เสื้อแขนสั้นอนุโลมให้ เพราะเมืองไทยร้อน ใช่ไหม (ใช่) ผู้หญิงเหมือนกันแขนสั้นก็ได้ แต่ขอให้เป็นเชิ้ตที่มีความเรียบร้อย สังเกตว่าคนที่ติดกระดุมปกจะดูเรียบร้อยกว่าคนไม่ติดกระดุมปก ถ้ามีกระดุมตรงไหนก็ต้องติด ผู้ชายไม่มีใครใส่คอกลมมา ใช่หรือเปล่า (ใช่) เน็คไท ทรงผม และที่สำคัญต้องยิ้ม ไม่ต้องยิ้มจนเห็นฟัน เอาแบบอมยิ้มแล้วดูสุภาพชน เวลาพูดออกมาก็เอาแบบเสียงพอดีๆ เพราะผู้ชายเสียงดังอยู่แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
เวลาโมโหเป็นอย่างไร ถ้าเกิดว่าอยู่ฝากนี้ แล้วตะโกนจนคนฝากโน้นได้ยิน ดังไปหรือยัง (ดัง) ถ้าคุยกันระยะสามสี่ก้าวได้ยินก็พอ แต่หากว่าพูดด้วยการใช้เสียงดังเท่านี้ก็พอ ไกลกว่านี้เดินไปหา ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องทำตัวเป็นสุภาพชน ถ้าทำได้เช่นนี้ดูภายนอกศิษย์ก็ดูเป็นสุภาพชนแล้ว แม้ว่าอาจารย์จะไม่เรียบร้อย แต่ศิษย์อาจารย์ทุกคนต้องเรียบร้อย แม้ว่าอาจารย์กินเหล้า ศิษย์กินเหล้าได้ไหม (ไม่ได้) ทานเจแล้วตั้งปณิธานแล้วไม่เหมือนกับการทานเจตอนที่ยังไม่ตั้ง จำเป็นต้องระมัดระวังการกินมากขึ้น เวลาศิษย์ทานเจ คนที่ชิงโข่วแล้ว การชิงโข่วแล้วจำเป็นที่จะต้องเข้มงวดกับตัวเองมากขึ้น ระมัดระวังมากขึ้นในการที่จะกินอะไรเข้าปากตัวเอง แต่ระวังไม่ใช่ระแวง อาหารเจที่เลียนแบบของจริงก็กินให้มันน้อยๆ หน่อย เห็นกินแล้วก็กลัว แต่กลัวแล้วก็กินใช่ไหม อย่างนี้เวลาอาจารย์พาศิษย์กลับไปที่ด่านซันกวันต้าตี้ อาจารย์บอกคนนี้ชิงโข่วแล้ว ถามว่าชิงโข่วแล้วเป็นอย่างไรบริสุทธิ์ดีไหม ก็มีกินเนื้อเทียมด้วย กินเนื้อเทียมเยอะมากไหม เยอะ แล้วบอกว่ามันเป็นบริสุทธิ์ไหม ไม่กล้าตอบ แล้วพอถามว่ากลัวไหมที่กิน กลัว กลัวแล้วก็กิน ตอบได้ไหม
ศิษย์ไม่เจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์จอมเทพทั้งหลายที่เข้มงวด และบำเพ็ญมาอย่างเข้มงวด ศิษย์เจอแต่อาจารย์บ่อย ศิษย์ก็เลยนึกว่าการบำเพ็ญเป็นเรื่องง่ายๆ สบายๆ แต่อาจารย์ก็ไม่ได้เชิญท่านเหล่านั้นลงมา เพราะว่าไม่อยากให้ศิษย์นั้นรู้สึกว่าเข้มงวดมากเกินไป ฉะนั้นให้เข้มงวดกับตัวเอง โดยที่ไม่ต้องเจอของจริงว่าแต่ละท่านเป็นอย่างไร ไม่ต้องรู้มากแต่บำเพ็ญให้ดี
สถานธรรมขายของได้หรือไม่ สถานธรรมกับการขายของเป็นคู่ปรับ เพราะว่าการขายของทำให้บรรยากาศธรรมนั้นดีและไม่ดี บางที่ก็ยืมการขายของเป็นการเรียกลูกค้า แล้วญาติธรรมก็รู้สึกเขินอายในการที่จะซื้อหรือไม่ซื้อ สุดท้ายไม่ใช่ตัดสินใจว่าซื้อหรือไม่ซื้อ ตัดสินใจว่ามาสถานธรรมดีหรือไม่ดี บุญก็เลยกลายเป็นบาป ตอนแรกกะว่าจะขายอาหารเจ ขายของเพื่อที่จะให้มีญาติธรรม แต่กลับกลายเป็นการสร้างความอึดอัด ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นสถานธรรมขายของ อย่าขายของตรงปากทางเข้าประตู พอเดินเข้ามา เห็นฐันจู่กำลังขายของอยู่ งามไม่งาม (ไม่งาม) สง่าไหม ไม่สง่าเลย
คนเป็นฐันจู่ เจี่ยงซือก็ดี ไม่ขอรับบริจาคเงินจากคน อย่างสเปะสปะ ต้องดูคนด้วย และเมื่อรับเงินมาต้องมีความเปิดเผยชัดเจน รู้ว่าตัวเองควรรับหรือไม่ควรรับ บางทีต่อให้เราทำเปิดเผยแต่ไม่มีใครเชื่อ เพราะว่าเราหน้าตา งกเหลือเกิน อย่างนั้นก็อย่ารับดีกว่าดีหรือไม่ (ดี) เดี๋ยวทำให้คนมีคำถามในใจ
สถานธรรมในบ้าน สถานธรรมส่วนรวม เก็บน้ำเหลาหมู่ไว้เยอะ ใช่หรือเปล่า (ใช่) น้ำเหลาหมู่ศักดิ์สิทธิ์แต่ตะไคร่ขึ้นแล้ว กะจะเก็บไว้รอเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าท่าเดียว พอเวลาจะกินทีน้ำเสียแล้ว กินเข้าไปเป็นโรคไหม (เป็น) พอผ่านเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าไปเป็นโรคตาย ตอนนั้นไม่มีหมอแล้ว ทำอย่างไร อาจารย์จะบอกให้ น้ำใส ไหลเท เทเข้าเทออก น้ำมีชีวิต น้ำนิ่งๆ คือน้ำที่ตายแล้ว ฉะนั้นการเก็บต้องเก็บอย่างผู้ที่มีปัญญาด้วย ต่อให้ศิษย์นั้นกินน้ำเหลาหมู่ให้หมด แล้วไม่เหลือไว้ใช้สำหรับอนาคตของศิษย์ ถึงเวลา ต้องตายไปก็ไม่เป็นไร อย่าเก็บจนกลายเป็นนิสัยฐันจู่ หมดหรือยัง วันนี้พูดสะใจเลยไหม (สะใจ) วันนี้พูดให้ลึกๆ หน่อย มีอีกเรื่องหนึ่ง
เวลาคุยกัน คุยเรื่องสถานธรรมคุยที่ไหน ถ้ามีห้องพระใช้ห้องพระ ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่มีห้องพระไปใช้ชั้นล่างห้องพระก็ได้ แต่ไปคุยที่ร้านอาหารได้ไหม (ไม่ได้) คนที่อยู่ร้านอาหารเจจะรู้ดีมาก เรื่องสถานธรรมคุยที่สถานธรรม อย่าไปคุยข้างนอก คนร้อยพ่อพันแม่ ศิษย์ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร หากว่าศิษย์คุยไปเรื่อยในทุกๆ ที่ บางทีมีนินทาเตี่ยนฉวันซือ บางทีนินทาเจี่ยงซือ ฐันจู่ บางทีก็นินทาญาติธรรม บางทีก็พูดถึงเรื่องความปรารถนาดีต่อญาติธรรม บางทีก็พูดถึงเรื่องงานธรรมะที่ดีๆ ทั้งแง่บวกแง่ลบมีหมด แต่ว่าควรไม่ควร (ไม่ควร) ไม่ควรเลย เราเคยพูดอะไรแบบนี้ข้างนอกไหม อาจารย์จะบอกให้ คนที่เคยแสดงว่าสนใจงานธรรมะมากทุกลมหายใจเข้าออก ส่วนคนที่ไม่เคย บางทีเป็นเพราะไม่ค่อยสนใจมากเท่าไหร่ แต่ว่าคนยิ่งสนใจมากก็ยิ่งผิดพลาดมาก จริงหรือไม่ (จริง) คนทำงานเยอะก็ผิดเยอะ จริงหรือเปล่า (จริง) เพราะอาจารย์ก็มองศิษย์แล้ว จริงๆ ศิษย์เป็นคนมีใจ มีไฟด้วย มีปากด้วย ฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องระวังกว่านี้อีกสักนิดหนึ่ง ดีหรือเปล่า หากว่าศิษย์นั้นคุยในสถานธรรมไม่เป็นไร หากไปคุยข้างนอกในที่ที่ไม่เหมาะสม ศิษย์จะทำการไม่ปกป้อง ไม่พิทักษ์ธรรม จะผิดไปอีกหนึ่งประตู ผิดพุทธระเบียบไปอีกหนึ่งข้อ เรื่องทุกเรื่องไม่ได้หมายความว่า ศิษย์อาวุโสแล้ว รับธรรมะนานแล้ว รู้มากแล้วจะรับผิดชอบได้ทุกเรื่อง อาจารย์เคยพูดเสมอว่า ไม่ใช่พูดบอกว่ารับผิดชอบได้ก็รับผิดชอบได้ บางทีมันเกินมือ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจำเป็นต้องระวังไหม (ระวัง) ระวังตัวโดยการระวังคำพูดของเรา ถูกหรือเปล่า (ถูก)
ไหนลองทบทวนสิว่า อาจารย์พูดถึงเรื่องอะไรบ้าง (การเป็นสุภาพชน, คิดเป็น พูดน้อย, ศึกษา, ทำความเข้าใจ, ให้เวลา, ปฏิบัติ, เรียนรู้)
ข้อควรระวัง
๑. น้ำใสไหว้พระ อย่าเก็บในลักษณะนอนนิ่งนานปี เก็บได้บางส่วน
๒. อย่ากินอาหารเลียนแบบมาก
๓. แต่งตัวดั่งสุภาพชน เพราะว่าโดยทั่วไปแล้วถ้าเอาแค่มาตรฐานแต่งตัวสุภาพ ศิษย์อยู่ตรงนี้สุภาพทุกคนเลย อากาศร้อนจะตายคนไทยไม่ใส่ถุงเท้า แต่เราใส่ เขาใส่แขนสั้นเราใส่แขนยาว ผู้หญิงเขาใส่สายเดี่ยว เราใส่มีแขน ใช่หรือไม่
๔. อย่าขายของในสถานธรรม หรือ อย่าวางขายที่ปากประตู แต่ไม่ได้หมายความว่าปากประตูไม่ให้ขาย ไปขายหลังบ้าน ความหมายคือให้หาที่เหมาะสมในการขาย
๕. อย่าคุยเรื่องงานธรรมะในที่ที่ไม่เหมาะสม ไม่ใช่บอกว่าไม่ให้คุยที่ร้านขายอาหารเจ ก็เลยไปคุยในสวนสาธารณะเลย ธรรมะคุยได้ทุกที่ แต่อย่าคุยเรื่องงานธรรมะในที่ที่ไม่เหมาะสม
๖. อย่าขอบริจาคหรือรับเงินบริจาคโดย..เพราะว่ามีเยอะมากบางคนก็เป็นคนที่รับได้แต่ รับได้ก็ใช้ไม่ได้ ถ้าใช้ได้จำเป็นที่จะต้องมาผ่านการประชุมแล้ว เห็นชอบแล้ว ใช้เงินนั้นไปในทางเพื่อส่วนรวม จึงจะสามารถหยิบฉวยใช้ได้ อย่างนี้จึงไม่มีกรรม แต่ถ้าเขียนเข้าไปมันจะยาว
หมดหรือยัง ชั้นฐันจู่ ชิงโข่วเอาข้อควรระวังไปแค่นี้ก็พอ แต่ไม่ได้หมายความว่าเรื่องอื่นไม่ต้องระวัง เรื่องอื่นก็ยังต้องระวังอยู่ จริงหรือเปล่า (จริง) เพียงแต่ว่าเด่นๆ ที่อาจารย์เอามาพูดในชั้นนี้ เอาเท่านี้ แค่นี้ก็แก้กันปวดหัว ใช่หรือไม่ (ใช่) จากที่ตอนแรกเก็บกันอุตลุด ตอนนี้ต้องเลิกเก็บแล้ว เก็บได้บางส่วน สับเปลี่ยนหมุนเวียนถ่ายเท อย่าให้มันหมักหมมแล้วก็ลืมไป ไปดูขวดแรกของศิษย์สิ ขวดแรกตะไคร่ขึ้นแล้ว ขวดสุดท้ายยังใสอยู่เลย ใช่หรือเปล่า (ใช่) ภาชนะที่เก็บควรจะเป็นแก้ว มากกว่าพลาสติก
อาจารย์เล่าเรื่องจริงให้ฟังเอาไหม เป็นเรื่องขำขันของอาจารย์ แต่ไม่ขำของศิษย์ เวลาทำงานในสถานธรรม มักมีคนทำหน้าที่เป็นแผนกจัดซื้อ คุมคลังสินค้า ข้าวของเครื่องใช้ และมีคนที่ทำหน้าในการต้องนำของไปใช้ทำงานต่างๆ คนคุมคลัง อาจารย์ให้ชื่อ คทาชายนาย ก. ส่วนคนเบิกของ อาจารย์ให้ชื่อ คทาชายนาย ข. ทั้งสองคนทำหน้าที่ได้ดีมาก คนคุมคลังก็มีนิสัยเก็บ ส่วนคนที่มีหน้าที่เบิกของ จะมีหน้าที่ คว้าไปใช้ ดึงไปใช้ อีกคนหนึ่งดึงอีกคนหนึ่งเก็บ เป็นอย่างไร เกิดอะไรขึ้น เหมือนชักเย่อไหม (เหมือน)
โดยปกติคนที่ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสต้องไปทำหน้าที่ต้อนรับ คนที่มีความละเอียดรอบคอบเรื่องตัวเลขไปทำหน้าที่บัญชี คนที่ทำกับข้าวเก่งก็เข้าครัวไป คนชอบใช้แรงงานก็ทำงานหนักไป ยกๆ ย้ายๆ คนที่ชอบฟังธรรมเป็นจริตก็ขึ้นมาฟังธรรมะ แล้วเราจริตไหนล่ะ หรือจริตของเรามั่วๆ ปนๆ บางทีก็ฟังธรรมะนิดหน่อยลงไปแล้ว อยู่นานไม่ได้ เข้าไปในครัวแตะอีกนิดหนึ่ง ชั่วโมงหนึ่งหลุดออกมาอีกแล้ว ไปเฝ้าหน้าบ้าน ไปเฝ้าหน้าสถานธรรม อยู่สักพักหนึ่งเหงาจังเลย ไปอีกแล้ว อย่างนี้เรียกว่ามีจริตไหม (ไม่มี) อย่างนี้เรียกว่าไม่มีจริต ฉะนั้นคนที่ถูกระบุให้นั่งชั้นห้า แล้วไม่ขยับไปไหนเลยเก่งไหม (เก่ง) คนที่นั่งชั้นสี่ แล้วเรานั่งฟังธรรมะอย่างตั้งอกตั้งใจ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ความรู้ เก่งไม่เก่ง (เก่ง) แต่ถ้าเราเป็นประเภทเดี๋ยวนั่งนี่ เดี๋ยวไปโน่น เดี๋ยวไปนั่น ทำอันนี้นิดหนึ่ง ทำอันนั้นหน่อย เราไม่ลำบาก แต่เรามีผลงานไหม (ไม่มี) เหมือนกันเวลาศิษย์บำเพ็ญธรรมจึงจำเป็นต้องย้ำๆ เวลาที่เรามีข้อเสียอะไรคนก็มาย้ำๆ เบื่อไหม (เบื่อ) เบื่อเขา เบื่อเราไหม (ไม่เบื่อ) อาจารย์จะบอกให้ตอนนี้ ถ้าหากใครยังโดนคนจ้ำจี้จ้ำไช ตอกย้ำ ศิษย์ยังเป็นคนที่มีความโชคดี มีบุญวาสนา ใช่หรือไม่ (ใช่)
กลับมาเรื่องจริงของเราใหม่ สองคนนี้คนหนึ่งทำหน้าที่คุมคลัง อีกคนหนึ่งทำหน้าที่เบิกจ่าย คนทำหน้าที่คุมคลังมีกี่คน (คนเดียว) คนที่ทำหน้าที่เบิกมีกี่คน (หลายคน) เพราะฉะนั้นคนที่คุมคลังจะถูกนินทาลับหลังจากคนอื่นว่า เข้มงวดมากเกินไป ส่วนคนที่ทำหน้าที่เบิก เบิกไม่ได้ก็หาพวก แล้วเรื่องออกมาดีไหม (ไม่ดี) เรื่องออกมาไม่ดีแต่มีทุกสถานธรรมเลย ฉะนั้นคนสองคนคิดแตกต่างกัน จุดยืนคนละจุด จึงมีมุมมองที่แตกต่างกันสองคน สองฝั่งก็ปะทะกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) ทีนี้เราจะทำอย่างไรดี เราเป็นผู้บำเพ็ญ ต้องคิดถึงใจเขาใจเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) คนอยากได้ ไม่ใช่อยากได้อย่างเดียว คนที่ทำหน้าที่ให้ก็ไม่ใช่เก็บอย่างเดียว ต้องสมดุลซึ่งกันและกัน ใช่หรือไม่ นี่เป็นเรื่องจริงที่อาจารย์ยกตัวอย่างมา เพื่อเป็นเรื่องเตือนศิษย์ เป็นเรื่องเล็กๆ ในสถานธรรม แต่อาจารย์ไม่กล้าพูดเรื่องใหญ่ เอาเรื่องเล็กๆ มาพูด เพื่อให้เห็นมุมมองที่แตกต่างของคนหลายฝั่งหลายฝ่ายที่ทำงานร่วมกัน หากศิษย์สามารถที่จะใช้ธรรมะในการทำงานร่วมกัน ศิษย์ก็จะเป็นผู้ที่ทำงานธรรมะอย่างมีความสุข ในวันนี้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนนั้น ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญ ฉะนั้นถ้าเปรียบไปแล้วก็เหมือนคนที่บวชพระ พระนั้นมีอาบัติอยู่หกข้อ อาจารย์เอามาสอนศิษย์ดีไหม (ดี)
อาบัติหกข้อ คือ
1. ไม่ละอาย
2. ทำโดยไม่รู้ว่าผิด
3. เห็นว่าผิดแล้วยังทำ
4. เห็นควรในสิ่งที่ไม่ควร
5. เห็นไม่ควรในสิ่งที่ควร
6. ลืมสติ
ข้อหนึ่ง ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีใครทำผิด ไม่ละอาย แต่ว่าถ้าลองเกิดความไม่ละอายขึ้นมาแล้ว ศิษย์ก็ทำในสิ่งที่ยากที่จะเรียกว่าอาจารย์ก็พูดไม่ออก
ข้อสอง ทำโดยไม่รู้ว่าผิด เป็นบ่อยๆ ไหม (บ่อย) ถึงแม้ว่าเราจะรู้ไปทุกเรื่อง เราจะคุ้นไปทุกคน แต่เราก็ยังทำผิดเพราะความไม่รู้ ทำผิดเพราะว่ายังมีอวิชชาอยู่ ทำผิดเพราะจิตอกุศลจิตอคติ ชอบและชังอิจฉาริษยา หรือเข้าใจผิด เราไม่รู้ว่าถูกหรือผิดแต่ว่าเรายังทำ มนุษย์ชอบบอกว่าคนไม่รู้คือคนไม่ผิด พูดบ่อยไหม เราก็เลยจงใจที่จะไม่รู้อะไรเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ไม่รู้อะไรเลย ทำไมไม่รู้ว่าผิดแล้วเป็นอาบัติ แสดงว่าไม่รู้แล้วผิดหรือไม่ (ผิด) แสดงว่าถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้ แต่เราก็มีความผิดเช่นเดียวกัน
ข้อสาม เห็นว่าผิดแล้วยังทำ เคยทำไหม (ทำ) รู้ทั้งรู้ว่าผิดแต่ก็ยังทำอยู่เลย เพราะฉะนั้นวันหลังถ้ารู้ว่าผิดทำได้หรือไม่ (ไม่ได้) บางทีรู้ว่าผิดแล้วยังทำมิได้เป็นบาป แต่เป็นอะไร (กรรม) ไม่ได้เป็นบาปแต่เป็นกรรม กรรมที่ดันทำ
ข้อสี่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ อย่างเช่น นินทานักธรรมอาวุโสเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ แต่เราทำไหม (ทำ) บางทีเราก็เผลอทำไป คือเราเห็นว่ามันควรนี่ บอกเขาเป็นอย่างนั้น บอกเขาเป็นอย่างนี้ ควรเป็นอย่างยิ่ง ควรต่อว่า ควรนินทา ควรโกรธ เราก็ทำ แต่ก็ทำในสิ่งที่ไม่ควรแล้ว
ข้อห้า เห็นไม่ควรในสิ่งที่ควร อย่างเช่นมาสถานธรรมรู้จักห้องอะไรมากที่สุด ห้องพระ ห้องครัว ห้องน้ำ รู้จักอยู่สามห้อง อาจารย์ยกตัวอย่างห้องน้ำ เวลาที่ศิษย์ของอาจารย์เข้าห้องน้ำเสร็จ เดินออกจากห้องน้ำ พื้นเป็นรอยย่ำเท้าของเราตามออกมาเลย เราเห็นไหม (เห็น) บางทีเราเห็นแต่ไม่สนใจ หนึ่งรอยเท้าผ่านไป สองรอยเท้าไป สิบรอยเท้าผ่านไป เลอะไหม (เลอะ) อย่างนี้เรียกว่าเห็นไม่ควรในสิ่งที่ควร ที่เราควร เราก็ควรจะเช็ด ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เราดันทำในสิ่งที่ไม่ควร คือทำเป็นเฉยๆ ไว้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ข้อหกสุดท้าย ลืมสติ ทุกคนมีสติแต่ลืม สิ่งที่ควรลืมก็ดันไม่ลืม สิ่งที่ไม่ควรลืมดันลืม แว่นตาลืมไหม (ลืม) กระเป๋าเงินลืมไหม (ลืม) คนอาการหนักหน่อยกระเป๋าเงินก็ลืมเหมือนกัน ใส่หมวกไว้บนหัวแล้วหาหมวกอยู่ไหน ลืมเหมือนกัน วันนี้มานั่งฟังธรรมะ ถ้าคนไหนเป็นฐันจู่แล้วยังไม่ได้ชิงโข่ว อาจารย์บอกเลยฐันจู่กับชิงโข่วจับคู่กัน ศิษย์ไม่รู้จะอยู่ตรงไหน ชิงโข่วก็ไม่ชิงโข่ว แต่ว่าเป็นฐันจู่ กินเจก็ไม่กิน อย่างนี้ได้มาตรฐานไหม (ไม่ได้) แม้ว่าอาจารย์อาวุโสจะหย่อนแล้วหย่อนอีก กลัวจะไม่เดิน แต่ว่าเราควรที่จะมีมาตรฐาน เมื่อเป็นฐันจู่แล้วก็ควรจะชิงโข่ว เมื่อชิงโข่วแล้วควรกินให้สะอาด ทำได้ไหม (ได้)
ที่สำคัญอย่าเป็นคนที่ละทางโลกมาติดทางธรรม กุศลเป็นสิ่งที่หอมหวน ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เราดมกลิ่นกุศลหรือเราจะไม่ดมกลิ่นกุศลถึงจะเป็นกุศลมากกว่ากัน เราอย่ายึดติดกลิ่นของกุศล แต่ให้เรามีกุศลด้วยการสัมผัสได้กับกุศลที่ไร้รูป อยู่ร่วมกันขอให้เคารพกติกาในการที่จะอยู่ร่วมกัน คนต้องมีมารยาทต่อกัน มีมารยาทกัน คนก็จะทนได้ คนเป็นฐันจู่ คนเป็นเจี่ยงซือก็ดี เป็นเตี่ยนฉวันซือก็ดี ศิษย์เอ๋ย อำนาจที่สามารถหยิบใช้ได้ ไม่ใช่ว่ามีอำนาจแล้วสามารถใช้ได้ทุกเรื่อง คนมีอำนาจจริงๆ คือสิ่งที่เราสร้างคุณธรรมบารมีขึ้นมาจึงจะเป็นอำนาจอย่างแท้จริง อำนาจของคนโง่คือการที่ใช้อย่างไม่เกรงใจใคร ส่วนอำนาจของคนฉลาดคือการที่มีอำนาจแล้วไม่กล้าใช้ คนฉลาดจึงมักจะถูกคนอื่นแย่งชิงไปด้วย อำนาจจึงมีการแย่งชิงกัน แต่เราเป็นผู้บำเพ็ญธรรม อำนาจของผู้บำเพ็ญธรรมคือการรู้จักปรับสมดุลให้กับสิ่งที่เรามี ปรับสมดุลให้กับอำนาจที่เราใช้ บางทียืนเฉยๆ ก็มีอำนาจแล้ว พูดมากกลับไม่มีอำนาจ บางทีพูดนิดเดียวก็พอ ไม่ต้องพูดเยอะ พูดเยอะแล้วกลายเป็นไม่มีคนฟัง ฉะนั้นต้องรู้ว่าตัวเองนั้นเป็นคนที่คนอื่นนับถือไหม จึงต้องมาดูว่า “ศิษย์จงเอะใจเมื่อโดนมองหน้าเอย” จงเอะใจเวลาที่คนอื่นเขามองหน้าศิษย์ เอะใจพิจารณา แต่อย่าคิดมาก อย่าฟุ้งซ่าน เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
วันนี้อาจารย์มานานแล้ว พูดเยอะด้วย เดี๋ยวเย็นนี้ยังต้องมีต่อใช่หรือเปล่า อาจารย์ห่วงศิษย์มาก การที่อยู่รวมกันเยอะ การที่มีศิษย์เยอะๆ มานั่งรวมกัน อาจารย์ถือเป็นความภาคภูมิมากๆ เป็นเกียรติให้กับงานยุคสามวาระปลาย ดีใจที่ศิษย์สามัคคีกัน รู้จักที่จะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักให้กำลังใจซึ่งกันและกัน นี่ก็เป็นสิ่งที่อาจารย์นั้นดีใจที่สุด แต่เวลาที่ศิษย์นั้นใช้ตานอก หูนอก กับใจในมาทะเลาะกันเอง เหมือนมือซ้ายมือขวาของอาจารย์ตีกันเอง ศิษย์เคยเอามือซ้ายมาตีมือขวาไหม (เคย)
ใบประกาศที่ได้ อาจารย์อาวุโสจะเป็นคนแจกให้ศิษย์เอง อาจารย์ไม่แจกให้ศิษย์ เพราะอาจารย์รอแจกมรรคผลให้ศิษย์ รอแจกสิ่งที่มีค่าที่สุดในการบำเพ็ญให้ศิษย์ อย่าได้มีใครรู้สึกดีกับการที่ได้ชื่อเสียงทางธรรมด้วยการที่ได้ใบประกาศแผ่นนี้ อย่านำไปเปรียบเทียบกัน และนี่ไม่ใช่มาตรฐานของการที่คนเรานั้นมาบำเพ็ญธรรม คนที่บำเพ็ญอย่างยากลำบาก ทำงานเยอะแยะสารพัดโดยที่ไม่มีใครรู้จัก แต่อาจารย์รู้จักศิษย์ จำไว้ ฉะนั้นอาจารย์แจกศิษย์ด้วยใจ ดีไหม (ดี) แล้วอาจารย์ก็แจกให้ศิษย์ทุกคนด้วย แจกศิษย์มานาน
วันนี้อาจารย์จะให้ผลไม้แบบสุ่มๆ ดีไหม เตรียมตัวรับทุกคน คนที่ได้ก็ถือว่าเป็นตัวแทนของคนที่ไม่ได้นะ
(พระอาจารย์เมตตาแจกแอปเปิ้ลให้กับนักเรียน)
กลับไปทำหน้าที่ฐันจู่ให้ดี กลับไปทำหน้าที่เจี่ยงซือของตัวเองให้ดี กลับไปทำหน้าที่ผู้บำเพ็ญที่ดี พอแล้วนะ
(อาจารย์เมตตาให้แจกผลไม้ให้กับนักเรียนคนที่สาม, คนที่เจ็ด, คนที่สิบ นับจากแถวหน้า ของนักเรียนที่นั่งชั้นห้า และชั้นสาม)
บำเพ็ญด้วยศรัทธาให้ผนวกปัญญาเข้าไปด้วย คนยิ่งเก่งก็ยิ่งต้องระมัดระวัง ธรรมะของคนเก่งบำเพ็ญยาก ธรรมะของคนโง่บำเพ็ญง่าย ธรรมะในใจศิษย์มีทั้งธรรมะที่เป็นสีขาว นวล จับตาสว่างไสว แล้วมีธรรมะที่ดำมืด นั่นเป็นเพราะว่าศิษย์ยังใช้ความคิดในการตัดสินใจที่จะมอง จงหัดเตรียมใจ รับในสิ่งที่ตัวเองคาดไม่ถึง หัดเตรียมใจคิดดูบ้าง ว่าถ้าเราเจอทุกข์ประเภทนั้น เจอทุกข์ประเภทนี้ เราจะรู้สึกอย่างไร เราจะทำตัวอย่างไร เราจะหลงระเริงไหม เราจะจมอยู่ทะเลทุกข์ไหม การเตรียมใจทำให้ศิษย์นั้นรับมือกับปัญหาง่ายไปกว่าครึ่ง มีเวลาว่างคุยกับจิตใจของตัวเอง โดยเอาธรรมะที่อาจารย์สอนนั้นไปใช้กับใจตัวเอง วิ่งตามใจตัวเองให้ทัน เท่าทันกิเลสที่มีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน งอกใหม่ได้เหมือนต้นหญ้า ไม่ขุดราก ไม่ถอนโคน ไม่สิ้นกรรม
เป็นเจี่ยงซือมีทั้งเก่า มีทั้งใหม่ มีทั้งแข็งมีทั้งอ่อน ยิ่งบำเพ็ญก็ยิ่งยากเพราะอะไร เพราะว่าเรามีนิสัยของตัวเองมากเกินไป ฉะนั้นจงมองธรรมะ มองคนอย่างที่อาจารย์มอง ศิษย์จะไม่ทุกข์ไม่ร้อน ไม่เครียดไม่กังวล
จริงๆ ศิษย์มีไม่กี่คนนะ เพราะฉะนั้นสามัคคีร่วมมือร่วมใจ อย่ามัวแต่วกวนอยู่กับปัญหาเดิมๆ จึงจะสามารถเจอฟ้าใหม่ สิ่งที่ดีกว่านี้อยู่ข้างหน้า อย่ามัวไปติดเรื่องเล็กๆ ทั้งหลาย หินก้อนเล็กที่ศิษย์สะดุดอยู่ ยังเทียบไม่ได้กับก้อนใหญ่ที่ต้องสะดุด เพราะฉะนั้นวันนี้ต้องร่วมแรงร่วมใจ คนหนึ่งเป็นหลังคาบ้าน คนหนึ่งเป็นเสาหลัก คนหนึ่งเป็นกำแพง คนหนึ่งจะเป็นหิน คนหนึ่งจะเป็นทราย เป็นอะไรก็ได้ให้เข้ากันได้ อย่าไปติดชื่อเสียงทางธรรม แล้วศิษย์มีส่วนสำคัญมากสำหรับการที่จะทำงานธรรมะ เพราะที่อาจารย์พูดไปทั้งหมดนี้เพื่อศิษย์ทั้งหลาย อาจารย์อยากให้ศิษย์ราบรื่นยิ่งขึ้น ขอเตือนศิษย์ทั้งที่อยู่ตรงนี้ทุกคน ใครก็แล้วแต่ที่ศิษย์นั้นได้รับการเกรงใจจากใครมากๆ ศิษย์จะเท้าไม่ติดพื้น ไม่ได้บำเพ็ญติดดินอย่างแท้จริง แล้วความหลงระเริงจะครอบงำศิษย์ได้ไวมาก คนชอบคนชม แต่ศิษย์ไม่ได้ชมใคร ฉะนั้นอย่ามัวที่จะต้องสร้างบารมีชนิดที่อยากจะให้คนอื่นนั้นเกรงอกเกรงใจ วันนี้เข้ามาเจอคนว่านิดว่าหน่อย อาจารย์บอกแล้ว มีคนว่าถือว่าศิษย์นั้นเป็นผู้โชคดี แต่ศิษย์อย่าว่าใคร ยิ่งบำเพ็ญนาน ยิ่งเราอยู่ในสถานะที่มีคนตามหลังเรามาเยอะ ยิ่งถูกเกรงใจอย่างมาก เท้าของศิษย์ไม่ติดพื้นแล้ว ถึงตอนนั้นยิ่งบำเพ็ญก็ยิ่งยากทวีคูณ จงจำไว้ รักษาตัวให้ดีๆ นะ