วันเสาร์ที่ ๒๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๗ สถานธรรมฉือฮุ่ย ต.จันดี จ.นครศรีฯ
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
ใช้ชีวิตทุกวันให้มีคุณค่า ยามชราอย่าได้เฝ้าแต่วิตก
เหลือคุณงามความดีไว้เป็นมรดก อย่าวิตกหลังตายไปคือวันนี้ที่ทำ
เราคือ
พระพฤฒาชันษาแห่งทักษิณาลัย รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฉือฮุ่ย กราบ
องค์มารดา ถามเมธี หลานทั้งหลายสบายดี
ขอทุกคนจิตสงบแลตั้งใจ ฮา ฮา
อันความสุขยังมีได้ทุกวัน เมื่อรู้ทันชีวิตตนไม่เคว้งคว้าง
การปล่อยวางยังต้องมีตลอดทาง ทำใจกว้างสู้ร่างกายที่ร่วงโรย
ชีวิตนี้บำเพ็ญให้หลุดพ้นไป คนต่างวัยต่างต้องการความเข้าใจ
คนชราต้องการคนมาเข้าใจ วัยหนุ่มสาวต้องการคนให้โอกาส
ขอให้อยู่ร่วมกันด้วยความสุข อย่าสร้างทุกข์เพราะไม่เข้าใจซึ่งกันเลย
ขอให้ต่างจริงใจไม่เมินเฉย อย่าละเลยต่อกันให้อดทน
เมื่ออายุล่วงเลยแล้วไม่หวนกลับ ขอให้จับความเมตตามาฝึกจิต
ยิ่งมีมากตามอายุทุกเมื่อคิด จงพิชิตความอ่อนเพลียแห่งกายใจ
ในวันนี้หลานทั้งหลายมีบุญมาก ต้องขอฝากให้บำเพ็ญปล่อยวางบ้าง
กายสบายใจสบายเพราะปล่อยวาง เดินเส้นทางแห่งธรรมต้องเอาจริง
อย่าได้เห็นเป็นเรื่องเล่นไม่ตั้งใจ ความเข้าใจมีขึ้นได้ด้วยศึกษา
กายชราปัญญาไม่ชรา แรงกายน้อยแรงใจกล้ายังท่วมท้น
ในวันนี้เป็นวันแรกตั้งใจก่อน วันสองอย่านอนใจเร่งค้นจิต
อายุมากความผิดก็ยังฝังจิต เวลาที่เหลือแห่งชีวิตมาชำระ
ขออดทนต่อความสูงบ้านสองชั้น คนมีใจทุกวันว่าไม่สูง
ยิ่งบำเพ็ญยิ่งมาเฝ้าปรับปรุง แม้บ้านยุ่งใจสงบจบที่ใจ
หลานทั้งหลายยืนนานก็คงเมื่อย ขอฝากคำอย่าเรื่อยเปื่อยชีวิตนี้
ทองหลอมนานยิ่งบริสุทธิ์ขึ้นทุกที ในชาตินี้มาหลุดพ้นกันดีไหม
ไม่กล่าวความให้มากไป ขอตั้งใจอยู่ให้ครบให้เข้าใจ
กราบลาพระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา จรดวางพู่กันลง
ฮา ฮา ถอย
วันเสาร์ที่ ๒๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๗
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
ต้องรู้ว่าทนอยู่เพื่ออะไร ต้องช่วงใช้ปัญญามาคิดอ่าน
เปิดใจกว้างปลงให้ตกตามให้ทัน ที่พ่ายนั้นเพราะอารมณ์เพียงวูบเดียว
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฉือฮุ่ย แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนเหนื่อยไหม
รับอุทิศถ่ายเดียวใจไม่ชื่น มีส่วนคืนความปิติจึงห้อมล้อม
ทางใหญ่ยังขาดคนเก่งประนีประนอม กระจ่างความอับจนล้อมเพราะอะไร
รู้จักยอมอดทนจึงถึงที่สุด อะไรหยุดไม่มีหยุดจุดหมาย
ขณะทนจงหย่อนคลายจิตใจ อย่าปล่อยให้ฤทัยช่างแสนงอน
อุปสรรคเกิดที่สิ่งทำกรรมอำนวย รู้เพราะสอนขึ้นด้วยประสบการณ์สอน
ใจร้อนทำให้เสียโอกาสก่อน บำเพ็ญอย่าใจร้อนพึงฟังกัน
ชีวิตนานไม่ทนตัดไม่ขาด ความประมาททำคนพลั้งตกสวรรค์
ตายทั้งเป็นให้รู้ที่ประมาณ อย่ามัวคร้านให้ปราบโมหะเกลี้ยง
นิวรณ์ภัยสยบจริงจะรู้สึกได้ ขัดเกลาอย่าได้ให้จิตใจเลี่ยง
อุปาทานต้องคั้นบีบรีบเอนเอียง ทัศนะเที่ยงอันชัดทำคืนตรง
เคยรับมารู้แล้วเมตตาเย็น เมตตาเป็นเช่นนั้นสืบต่อส่ง
อดทนสิ่งนั้นคนทนไม่ลง ใจตรงส่งสูงไมตรีงามน้ำใจ
ฮิ ฮิ หยุด
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
ต้นไม้อายุมากแล้ว ให้เงาร่มเย็นใช่หรือไม่ ใครอยู่ใกล้ตัวเราก็ยิ่งต้องร่มเย็นใช่หรือไม่ ลูกหลานอยู่กับเราร่มเย็นไหม (ร่มเย็น) ฉะนั้นตัวแก่แต่ใจต้องไม่แก่ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ใจเรานั้นเป็นนายเหนือกาย จริงหรือไม่ อย่าให้กายนั้นสั่งใจ อย่าให้กายบอกว่าโอยเราแก่แล้ว เราไม่ไหวแล้ว แย่แล้ว ก็ยิ่งแย่ไปใหญ่ ยิ่งอายุมาก เราต้องกระปรี้กระเปร่า ต้องสดชื่น
คนเราเกิดเป็นคนนั้น ได้เกิดมาเป็นคนร่างกายสมบูรณ์แบบ รู้สึกว่าโชคดี เกิดมาเป็นคนไม่มีโรคไม่มีภัย นี่ก็เป็นข้อดีอีกอย่างหนึ่ง แล้วเราเกิดมาเป็นอย่างไร อายุยืน นั้นก็เป็นข้อดีอีกอย่างหนึ่ง เห็นไหมว่ามีแต่ข้อดี ฉะนั้นตอนนี้เราอายุมากแล้ว เราต้องรู้สึกเป็นสุขกับข้อดีทั้งสามอย่างนี้ แล้วจะอมทุกข์กันทำไม หมากอมนานๆ มันก็เริ่มเฝื่อน ทุกข์เจ็บนานๆ รสชาติมันก็จาง คายมันทิ้งเหมือนคายหมากเคี้ยวหมดรสแล้วยังต้องรีบกลืน แล้วความทุกข์ล่ะเราจะแบกมันไว้ทำไม ให้มันคิดมากแล้วหัวก็ยิ่งหงอกเข้าไปใหญ่ คิดมากก็กลุ้มใจมาก ก็ยิ่งย่นเข้าไปอีก แล้วจะคิดมากให้หน้าย่นหัวหงอกเพิ่มไปทำไมล่ะ ใช่ไหม ต้องรู้จักปล่อยวางแล้วก็ยิ้มเข้าไว้
บางครั้งรู้สึกว่าชีวิตต้องอดทน อดทนที่ลูกไม่รัก สามีไม่รัก หรือ อดทนที่ภรรยาไม่รัก ถ้าภรรยาไม่รักเราต้องถามตัวเองว่าทำอย่างไรเขาถึงไม่รัก ฝ่ายหญิงมีเยอะกว่าฝ่ายชาย แปลว่าผู้หญิงอายุยืนกว่า ขี้บ่นแต่ก็อายุยืนกว่า ผู้ชายก็ฟังจนเหี่ยวเฉากันไปหมดแล้วนะ เราอยู่ในโลกนี้เราคิดอะไรแคบๆ มองแต่ตัวเอง แล้วทำให้เราหดหู่ ห่อเหี่ยว อับเฉา จริงไหม แต่ถ้าคิดว่าลูกบ้านนี้ก็ว่าแม่ บ้านเราลูกก็ว่าแม่เหมือนกัน ไม่ต้องกังวลหรอก คิดอย่างนี้ทำใจได้ใช่ไหม ลองมองให้ดีๆ คิดอย่างนี้แล้วก็ไม่โกรธลูก ลูกเราก็เหมือนธรรมดาทั่วไป บางทีต้องหันกลับมาย้อนมองว่าเราต่างหากที่สอนลูกอย่างไรลูกจึงย้อนกลับมาว่าเราได้ ไม่ใช่ว่าลูกไปเอาแบบมาจากบ้านโน้นมา เลยว่าบ้านโน้นหรือบ้านนี้มันไม่ดี เหมือนปู ปูมันเดินตามแม่ปูหรือเดินตามเพื่อนแม่ปู ตามแม่ปู ใช่หรือไม่ ลูกไม่ดีไปโทษเพื่อนแม่ปูได้อย่างไร ต้องโทษแม่ปู นำไม่ดี ไปโทษสังคมมันไม่ดีเลยทำให้ปูมันเดินเบี้ยว ได้ไหม ถ้าเราอบรมมาดี ลูกก็ไม่บิดพลิ้ว เพี้ยนไป
บางครั้งถ้าเราคิดไม่ตก ปลงไม่ตก ทำใจไม่ได้ อารมณ์ที่มันพัดพาเราก็ทำให้เรานั้นเศร้าไปได้ ที่ทนๆ มาทนไม่ไหว อย่าให้อารมณ์นั้นเป็นนายเหนือปัญญาเหนือสติกำลังความสามารถของเรา ต้องรู้ว่าทนอยู่เพื่ออะไร บางครั้งเกิดมาบางคนเจอมาหลายร้อยหลายพันเรื่องถามตัวเองว่าจะอยู่ไปทำไม ลูกก็ไม่รัก สามีก็ไม่เอา ทนนะ ทนไว้ แล้วทนด้วยอะไร เราต้องมีจุดหมายในชีวิต เกิดเป็นคนทั้งทีถึงแม้ไม่มีอะไรที่เป็นความสุข ปลอบใจชีวิต แต่อย่างน้อยอย่าประหัตประหารชีวิตด้วยทุกข์ใช่หรือไม่ คนเราคิดสั้นเพียงเพราะทุกข์ ปลงไม่ตก คิดไม่ได้ คนๆ นั้นโง่ไหม (โง่) ลองดูง่ายๆ วัว เวลาเราตีมันเจ็บทำไมมันไม่เห็นคิดผูกคอตายเลย หมาเราเตะมันจนขาหัก ชนมันจนขาเจ็บ มีบ้างไหมมันจะเดินกะโผลกกะเผลกไปหาที่ชน ให้ตัวมันตายเลยมีไหม แล้วนับประสาอะไรกับคนล่ะ เจ็บใจแค่นี้จะตายให้ได้ ก็สู้อะไรไม่ได้กับหมากับวัวเลยนะ เวลาตอบก็ต้องตอบให้เสียงดังๆ เอาให้เด็กวัยรุ่นอายไปเลย เวลาวัยรุ่นดูคอนเสิร์ตเย้ เย้ดังๆ แต่เราฟังธรรมะเราจะ เฮ้ เฮ้ ดีไหม ให้ปลุกใจเราตื่นด้วยนะ
โบราณกล่าวไว้ว่า เด็กทำผิดผู้ใหญ่ยังให้อภัย มองแล้วยังน่ารัก ฉะนั้น เรายิ่งอายุมาก เรายิ่งต้องสุขุม ใจเย็น และรู้จักระมัดระวัง ทั้งการกระทำและคำพูด ไม่ใช่อายุมากแล้ว แต่ใจร้อนเป็นวัยรุ่นเลย ได้หรือเปล่า ต้องใจเย็นๆ
ศิษย์พี่มาทั้งที ศิษย์น้องต้อนรับแค่เพียงเท่านี้ก็กระไรอยู่ อย่างนั้นต้องต้อนรับแบบไหนดี ที่จะทำให้ศิษย์พี่รู้สึกอบอุ่น สงสารผู้สูงอายุ ไม่ไหวใช่ไหม ถ้าใจเราสู้เสียอย่างแม้ขาก็ไม่มีทางเป็นนายมาสั่งใจเราให้นั่งได้ ใช่หรือเปล่า ตอนนี้เราจงตัดใจจากขาทิ้ง แล้วจงเอาใจอยู่เหนือขา อยู่เหนืออารมณ์ อย่าปล่อยให้อารมณ์ครอบงำ เกิดเป็นคนต้องให้สติปัญญาเป็นผู้นำชีวิต อย่าให้อารมณ์มานำชีวิต เพราะอารมณ์นั้นมีดีและก็มีร้าย เหมือนเวลาคิดถ้าคิดดี อารมณ์มันก็พาเราไปดี แต่พออารมณ์มันคิดร้ายมันก็พาเราไปร้าย ขึ้นๆ ลงๆ ไม่แน่นอน แต่ถ้าหากเราใช้สติปัญญา ค่อยๆ คิด พิจารณามันจะไม่พาเราไปร้ายได้ง่ายๆ จริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นเราจงอยู่ด้วยสติปัญญา อย่าอยู่ด้วยอารมณ์ เวลาเรามีชีวิตอยู่ อย่าให้อารมณ์เป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิต ถ้าเรารู้จักควบคุมอารมณ์ได้ เราก็จะรู้จักควบคุมการกระทำ คำพูดได้ แต่ถ้าหากมนุษย์ไม่รู้จักอารมณ์ตัวเอง เราก็จะตกเป็นทาสของอารมณ์ เหนื่อยหรือยัง (เหนื่อยแล้ว) ต้องยืนให้รู้สึกเหมือนไม่มีขา ยืนได้ไหม (ยืนได้) ตัวมนุษย์เราก็ตั้งตรง เราลองยืนเหมือนไม่มีขาสิ ขาฉันหายไปหนึ่งข้าง ขาฉันหายไปสองข้าง ตอนนี้ฉันไม่เหลือขาเลยสักข้าง ฉันก็ยืนได้ไหว
คนเราเกิดมาความไม่มีคือของเดิมของเรา แต่เรามักจะทำใจไม่ได้ มัวแต่คิดอยู่อย่างเดียวว่าตัวเองนั้นดี ตัวเองนั้นมี พอสูญเสียเราก็ทำใจรับไม่ทัน ศิษย์พี่ขอถามว่า แต่ก่อนเราเกิดมานั้น เรามาตัวเปล่า ตัวคนเดียวเรามีอะไรหรือยัง (ยังไม่มี) สักพักก็ค่อยมีหนึ่ง จากหนึ่งก็มีสอง จากสองก็มีสาม จากสามก็มีสี่ ต่อไปนี้ชีวิตจะเริ่มจากสี่ก็เหลือสาม จากสามก็เหลือสอง จากสองก็เหลือหนึ่ง จากหนึ่งก็เหลือศูนย์ ตอนนี้เหมือนเรากำลังเดินกลับไปสู่ความเป็นต้นเดิมของเรา คนทุกคนมีจุดเริ่มต้น มีจุดท่ามกลาง และมีจุดสิ้นสุด แล้วเราล่ะ จะยอมรับคำว่าสิ้นสุดของชีวิตไหม ถ้าวันนี้ไม่มีจิตใจยอมรับ ถึงเวลาก็ต้องยอมรับให้ได้ วันนี้ไม่เคยสูญเสีย ถึงเวลาก็ต้องเตรียมใจรับความสูญเสียให้ได้ เราต้องยอมรับ เมื่อถึงเวลาคนที่ไปกับท่านคือตัวท่านคนเดียวเท่านั้น เวลาชีวิตเราดับไป มีเพียงตัวเราเท่านั้นที่ไปกับเรา ลูกหลาน สามีภรรยา ไม่ได้ไปด้วย ฉะนั้นเราต้องรู้จักนับถอยหลังให้กับชีวิตเราบ้างแล้ว ไม่ใช่เกิดมาเพื่อเพิ่ม แต่ตอนนี้ถึงแม้อายุเพิ่มขึ้น แต่จิตใจของเราล่ะ ต้องมีแต่ลดน้อยลง ฉะนั้นธรรมะจึงสอนเรื่องจุดเริ่มต้น ท่ามกลาง และสิ้นสุด
จุดเริ่มต้นนั่นก็คือ เมื่อเราเกิดเป็นคน ต้องรู้จักมีศีล มีธรรม
จุดท่ามกลางของการบำเพ็ญธรรมะนั่นคืออะไร ต้องรู้จักมีความสงบ
จุดสิ้นสุดของการบำเพ็ญธรรมนั้นคือคำว่า “หลุดพ้น”
เราหลุดพ้นจากกายหนึ่งไปสู่อีกกายหนึ่ง หรือเราหลุดพ้นจากกายหนึ่งไปสู่ที่ที่ไม่มีอะไรเลย ถ้าเราทำได้ตั้งแต่มีกายเป็นมนุษย์ กลับขึ้นไปก็ขึ้นสรรค์ แต่ตอนเป็นมนุษย์ยังทำใจไม่ได้ ยังแก้ไม่ได้ยังไงก็ต้องลงไปชดใช้กรรม แล้วอยากให้ชีวิตนี้เป็นชีวิตที่เป็นจุดเริ่มต้นเพื่อไปเวียนไม่สิ้นสุด หรือเป็นชีวิตที่เป็นจุดเริ่มต้นแล้วสิ้นสุดลงเมื่อเราตายไป อยากเป็นแบบไหน อย่างน้อยก็ให้จบแล้วจบเลยไม่ต้องมาเวียนอีก แต่ตอนนี้ใจเรายังยึดติดกับอะไรล่ะเรายังติดในอารมณ์ ติดในความอยาก ติดในความรัก ติดในตัวตน ถ้าเรายังติดอยู่ ก็ยังต้องเวียนวน แต่ถ้ารู้จักปล่อยได้ก็จะชนะได้ เป็นนายเหนืออารมณ์ได้ เมื่อนั้นเราก็ไม่ต้องเวียนวน ชีวิตนี้ก็หมดสิ้น อายุเท่านี้อยากไปเวียนวนไหม แล้วเราก็ไม่รู้จะไปเวียนเป็นคนหรือเป็นสัตว์
เวลามีคนให้บ่อยๆ เรารู้สึกเกรงใจ บางครั้งอยากให้คืนกลับบ้าง ใครบ้างชอบเป็นคนรับอย่างเดียว ยกมือขึ้น คนที่รับอย่างเดียวคนนั้นเรียกว่า “ขอทาน” ขอทาน ให้คนอื่นไม่เป็น ขอทาน รับเป็นอย่างเดียว เกิดเป็นคนทั้งทีอย่าเป็นขอทานเชียวนะ รับมาแล้วต้องรู้จักคืนบ้าง เพราะของที่เขาให้มักจะสำแดงให้เรารู้จักสำนึกบุญคุณเสมอ ใครบ้างที่รับของคนอื่น กินของเขา แล้วนึกถึงเขาบ้าง ฉะนั้นเราเกิดเป็นคนอย่ารู้จักแต่รับ แต่ต้องรู้จักให้ด้วย
ใครอยู่ในโลกไม่เคยใช้คำว่าอดทนในชีวิตบ้าง ใช้บ่อยไหม ต้องอดทนในเรื่องอะไรบ้าง (อดทนในความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง) ส่วนใหญ่สิ่งที่ทำให้เราต้องใช้คำว่า “อดทน” คือสิ่งที่เราไม่ถูกใจ ไม่พึงใจและไม่ต้องใจ ทำให้เราต้องใช้ความอดทนอย่างมาก แล้วอะไรบ้างที่ทำให้ศิษย์น้องไม่พอใจ ไม่ต้องใจ ต้องอดทนนั่งฟังเพราะว่าความรู้สึกนั้น พอใจและไม่พอใจในขณะเดียวกัน
วันนี้ศิษย์พี่จะบอกเรื่องธรรมะง่ายๆ แค่ข้อเดียว และสามารถใช้ได้ตลอดชีวิตเลย นั่นก็คือการรู้จักการมีน้ำใจ หรือพูดง่ายๆ เป็นภาษาปากก็คือ “การรู้จักให้” หรือพูดให้เพราะๆ ก็คือการรู้จักเสียสละ คนเรานั้นถ้าเกิดเป็นคนมีน้ำใจ คนมีน้ำใจจะไม่ริษยาคน มีแต่เห็นใจ และคนที่มีน้ำใจรู้จักช่วยเหลือคน จะไม่เห็นแก่ตัวและรู้จักที่จะไม่ทำร้ายใคร ฉะนั้นคนในโลกศิษย์น้องเอ๋ย ทำธรรมะข้อไหนไม่เป็นไม่เป็นไร ขอเพียงมีข้อเดียวมีน้ำใจ คำว่ามีน้ำใจจะทำให้ศิษย์น้องทำร้ายใครไม่เป็น เห็นแก่ตัวไม่ได้และริษยาคนไม่ออก เอาข้อนี้ทำให้ได้ ศิษย์น้องทำตั้งแต่เล็กจนโตเกิดเป็นคน มีน้ำใจ ทำให้ได้ ทำให้ดี และทำให้ถึงที่สุดคนนั้นก็เลิศคนแล้ว
ขณะที่เรามีน้ำใจยื่นให้เขาไป เราให้ไปด้วยใจที่รู้สึกไม่หวังผลตอบแทน ไม่รู้สึกขัดแย้ง ไม่รู้สึกชิงชัง การให้นั้นจะเป็นการให้ที่เป็นอิสระไม่ถูกผูกมัดด้วยสิ่งของ และไม่ถูกผูกมัดยึดติดด้วยอารมณ์ แล้วการให้นั้นจะเป็นไทยแก่ตัว และการให้นั้นจะเป็นการให้ที่มากด้วยคุณค่า เหมือนเวลาเราให้ ถ้าเราให้เขาด้วยปัญญาจะไม่เกิดความตระหนี่ เสียสละด้วยสติปัญญา จะไม่เกิดความเห็นแก่ตนไม่กลัวความลำบาก และก็ไม่หวังผลตอบแทน การให้นั้นคนรับจะรู้สึกเอิบอิ่มในคุณค่าที่เราได้รับ และจะสะท้อนสะเทือนให้คนที่รับนั้นต้องตอบแทนบุญคุณและรู้สึกให้กลับบ้าง และถ้าเกิดทุกคนในโลกรู้จักที่จะมีน้ำใจแล้วให้ จะไม่มีใครในโลกฆ่ากันได้ลง แล้วคนใต้ก็จะรักคนใต้ ไม่ใช่คนใต้รักให้คนตาย
ฉะนั้นจงจำไว้ว่าใช้ธรรมะข้อนี้ มีน้ำใจไปอยู่ที่ไหนก็รอดปลอดภัย แต่ถ้าจะตายเพราะว่ามีน้ำใจ ไม่ต้องห่วงสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะเอาไปอยู่บนสวรรค์ด้วย ขอให้ศิษย์น้องทำให้ถึงที่สุด แม้ตายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เอาไป แต่ถ้าทำไม่ถึงที่สุดแม้ตายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อยากรับ ศิษย์พี่เคยได้ยินศิษย์น้องมักจะบ่นๆ ว่า ทำดีมาตลอดชีวิตแต่ทำไมซวย ศิษย์พี่อยากจะบอกว่า อดีตชาติ ศิษย์น้องสร้างอกุศลกรรมไว้มาก ทำให้ปัจจุบันชาติยังหนีไม่พ้น ฉะนั้นแม้จะซวยก็อย่าซวยในคราบคนชั่ว จงซวยแล้วแต่ก็ยังเป็นคนดี ไม่ใช่ซวยแล้วใจยังซวยด้วย มันก็ยิ่งไม่ดี แม้จะซวยแต่ถ้าใจเราดี ใครๆ ก็ยกย่อง ถ้าทำความดีให้ถึงที่สุด ความดีย่อมคุ้มครองเรา และความดีนั้นย่อมเป็นฐานรองรับให้เราเป็นคนดีจริงๆ แต่ทำไมทำดีแล้วยังไม่ได้ดีก็เพราะว่าน้ำหนักแห่งความดีนั้นยังไม่หนาแน่นพอ แล้วนับประสาอะไรกับศิษย์น้องบางคนที่ทำสามวันดีสี่วันไข้ แล้ววันไหนจะได้ดี พอเข้าใจบ้างหรือยัง
การบำเพ็ญธรรมะไม่ใช่เรื่องยาก ขอเพียงมีน้ำใจเราก็เป็นคนที่บำเพ็ญธรรมะและเป็นคนที่ดีในสังคมได้ แล้วเราควรจะให้น้ำใจของเราก่อน การให้มีตั้งมากมาย การให้ความรักต้องให้ด้วยความยุติธรรม ถ้าลำเอียงความรักก็เป็นพิษได้
หลักธรรมระหว่างคำพูดกับการกระทำ การกระทำดีกว่า ศิษย์พี่อาจจะสู้ศิษย์น้องไม่ได้ถ้าศิษย์น้องรู้จักเอาไปทำ
เวลาเขาทำผิดนอกจากให้อภัยแล้ว ต้องให้แง่คิด แล้วยังต้องให้โอกาสได้แก้ไขด้วย นอกจากให้โอกาสแล้วยังต้องให้อภัย ให้ความรักซึ่งกันและกัน ให้การเคารพบูชาแล้วเคารพคนที่เราควรเคารพ (ให้วิชาความรู้สิ่งที่ดีแก่ผู้ด้อยกว่า) ตอบได้ดี รู้จักสอนวิชาให้คนอื่นก็ถือว่าเป็นครูคน ตอบได้อีกไหม (ให้แรงกายเป็นทาน ให้คำพูด ให้การพึ่งพา ให้ความเกรงใจ ให้มีความสุข ให้ศีล ๕ ประกอบกับหลักธรรม) ให้ศีล ๕ ประกอบกับการกระทำดีกว่า (ให้พรหมวิหาร ๔ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) พรหมวิหาร ๔ ทำใจให้เป็นกลาง ไม่ริษยาแล้วการทำให้คนมีความสุข ก็เป็นการฝึกเมตตา จริงๆ แล้วตอบว่าให้พรหมวิหาร ๔ ก็รอดแล้ว พูดได้คล่องแต่สู้ทำได้คล่องไม่ได้
บางครั้งลูกไม่ต้องการอะไร เพียงแค่พ่อแม่มีความเข้าใจเขา เหมือนสามีหรือคนที่เรารัก บางครั้งเขาไม่ต้องการเงินทองของเราหรอก แต่เขาต้องการความเข้าใจในการอยู่ร่วมกัน การรับฟังเหตุผล ให้โอกาสเขาได้แก้ตัวบ้าง ให้ตัวเรานั้นพยายามทำความเข้าใจเขาบ้าง
การศึกษาธรรมะ สิ่งที่สำคัญอย่างแรกนั้นต้องเรียกร้องตนเอง คนเราอยู่ร่วมกันก็เหมือนกับส่องกระจกหากัน ถ้าเขายิ้มก็แปลว่าเรานั้นต้องยิ้มก่อน และถ้าเรายิ้ม กระจกมันไม่ยิ้มก็แปลว่า เรายังยิ้มไม่เต็มที่ เหมือนศิษย์น้องรักคนในครอบครัวไหม แต่ทำไมเขาไม่รักตอบ ก็ต้องมองว่าความรักความเมตตานั้น ได้รักเต็มที่ขนาดไหน เมตตาเขาเต็มที่ขนาดไหน มีธรรมพอที่เขาจะรักตอบได้จริงหรือไม่ ศิษย์น้องปกครองดูแลเขา แต่เขาไม่ได้ดีอย่างที่เราอยากปกครอง ก็ต้องหันมามองว่าเราใช้สติปัญญา คุณธรรมความรู้ความสามารถ เก่งกาจเพียงใด หรือน้อยไปหรือเปล่า เขาจึงไม่ได้ดีเท่ากับที่เราอยากให้ดี บางครั้งเราอ่อนน้อมเขา แต่เขาไม่เคารพกลับ ก็ต้องหันมามองตัวเองว่า มือที่เราน้อม ใจที่เราน้อมนั้น น้อมด้วยความจริงใจหรือไม่
ฉะนั้นการที่เราอยู่ในสังคมนั้น สังคมจะร่มเย็นได้ เรามองแล้วแก้ไขตัวเอง ไม่ใช่โทษ แล้วไปแก้ไขคนอื่น มาอยู่ร่วมกันเหมือนเสียงกับเงาสะท้อน เหมือนเรากับกระจกเงา ถ้าตัวเองถูกต้องเที่ยงธรรมคนอื่นก็ต้องเที่ยงธรรม แต่ถ้าตัวเองไม่ถูก คนอื่นไม่เชื่อฟังและไม่รับฟังเรา ขอให้ทำให้ถึงที่สุด จงมองตัวเอง โบราณเขากล่าวไว้ คนอื่นเขาจะเข้าใจเราหรือไม่ สำคัญขอเพียงเราเข้าใจตัวเอง และที่สำคัญต้องมองคนอื่นให้เป็นด้วย เราจึงไม่ถูกเขาช่วงใช้
เอาอย่างง่ายๆ ถ้าเขาดูออกว่าศิษย์น้อง ชอบ เกลียด อะไร ถ้าคนฉลาดเขาจะให้ชอบก่อน แล้วเอาความเกลียดของศิษย์น้องนั้นไปฆ่าคน โดยที่ตัวเองไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ยืมมือศิษย์น้องนั้นฆ่าคน ฉะนั้นเราอยู่ร่วมกันในสังคม ไม่ต้องสนใจว่าเขาเข้าใจเราหรือไม่ เพียงเราดูเขาออก เราก็ไม่ถูกเขาช่วงใช้
ชอบหวยใช่ไหม ทำอย่างไรจึงจะหลอกได้เงินศิษย์น้องดี ก็แกล้งปล่อยสองตัวไปให้แรงๆ เดี๋ยวก็กลับมาซื้อเยอะๆ ถ้าบังเอิญถูกก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้าบังเอิญผิด คนที่รวยก็คือเจ้ามือ แต่เราก็ยังยินยอมให้เจ้ามือรวยทุกงวด ความทุกข์ของมนุษย์ก็เกิดตรงนี้แหละ รู้แล้วก็ยังทำ
วันนี้ศิษย์พี่ไม่พูดธรรมะอะไรมากนะ ศิษย์พี่บอกว่าให้มีน้ำใจ เพราะใช้ได้กับทุกเพศทุกวัย และใช้ได้ตลอดชีวิต ใช้แล้วทำให้เป็นคนดีมีน้ำใจ ไม่ริษยา รู้จักให้โดยไม่หวังผล แล้วยังทำให้เราบำเพ็ญแล้วสมบูรณ์พูนผล จำอันนี้ไว้อันเดียวศิษย์พี่ไม่เน้นอย่างอื่น แต่การให้มีหลายแบบ รู้จักให้คำว่า ขอบใจ ให้อภัย ให้ความรักอย่างยุติธรรม ให้โอกาส มีอยู่เต็มเปี่ยมในตัวเรา อยู่ที่ว่าเราจะให้แบบไหน ให้ได้เหมาะสมเขาก็จะมีความสุข เราจะได้ปิติที่ทำบุญ ทำบุญกับพระกับเจ้า ทำบุญกับพี่น้องหมู่ชนก็ได้กุศลเหมือนกัน ทำให้คนยิ้มได้เรารู้สึกดีใจไหม กุศลหรือบุญไม่ใช่อยู่ที่การตักบาตรให้ทานนะศิษย์น้อง แต่ยังอยู่ที่เราพูดระวังไหม ทำดีไหม ถ้าทั้งพูดดี ระวังและไม่ทำผิดคิดร้ายก็เกิดเป็นบุญกุศลหนุนนำให้คนๆ นี้เป็นคนดีได้ เป็นคนประเสริฐได้
อย่าลืมนะว่าสายน้ำไหลไปแล้วไม่อาจเรียกหวนคืน คนเราถ้าคิดผิดเพียงวูบเดียวคนก็จะจำจนวันตาย ศิษย์น้องลองด่าคนสักคำหนึ่งสิ แม้ทุกวันจะพูดดีแต่ถ้าเผลอด่าเขาคำเดียว เขาจะว่าศิษย์น้องตลอดชีวิตเลยว่า “คนนี้ปากจัด” ฉะนั้นเราอายุมากแล้ว ระวัง สุขุมรอบคอบ ใจเย็น ยังต้องมีไว้อยู่ในตัวเสมอนะ ตั้งสติให้ดี
คนเราถ้ากลัวความผิดความชั่วเหมือนกลัวการถูกลงโทษอย่างเห็นได้ชัด ก็คงไม่มีใครทำผิดทำพลาด แต่กฎหมายยิ่งเข้มงวด บางครั้งคนกลับยิ่งฉลาด แอบทำผิดจนได้ ฉะนั้นกฎหมายก็สู้จิตสำนึกในตัวตนไม่ได้ ความละอายเกรงกลัวในจิตใจของศิษย์น้อง เราทำผิดคิดร้ายอย่าคิดว่าฟ้าไม่รู้ คนไม่เห็น ตะแกรงฟ้าเมื่อเวลาร่อนคนดี คนชั่ว ล้วนชัดเจน เราบอกตัวเองว่าแอบทำสิ่งศักดิ์สิทธิ์มองไม่เห็นหรอก ยิ่งมืด ยิ่งสว่างบนฟ้า จำไว้นะ อย่าทำผิดแม้ชั่ววูบเดียวเลย ไม่คุ้มหรอก เกิดเป็นคนทำดีให้จงได้ ดีข้อไหนล่ะ มีน้ำใจ ใจเย็น รอบคอบ ได้ไหม
ฉะนั้นเกิดเป็นคนทำดีก็ต้องทำดีให้ตลอดรอดฝั่ง อย่ายอมแพ้คนที่ไม่ดี เขาไม่ดีช่างเขา แต่เรายังดี เขานินทาช่างเขาแต่เราไม่นินทา เขาพูดมากช่างเขาเราไม่พูดมาก พูดน้อยๆ ก็ผิดน้อย พูดมากก็ผิดมาก
เป็นคนขอให้มีน้ำใจงาม น้ำใจงามไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำ บำเพ็ญธรรมคือทำความดี ความดีคือความมีน้ำใจ ธรรมะไม่ว่าศาสนาใดก็เหมือนกันหมด สำคัญอย่างหนึ่งคือเป็นคนมีศาสนา แต่มีศาสนาแล้วมีธรรมหรือเปล่า
วันนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาที่นี่ ศิษย์พี่มาที่นี่เพื่อเรียกร้องให้ศิษย์น้องมีศีลมีธรรม แล้วคนที่มีศีลมีธรรมก็คือคนที่มีศาสนา แต่ตอนนี้ศีลยังไม่ครบ ธรรมยังขาดๆ แหว่งๆ ฉะนั้นจึงยังไม่เรียกว่าเป็นผู้มีศาสนาอย่างถ่องแท้ ศิษย์พี่มาวันนี้มาฟื้นฟูให้ศิษย์น้องรู้จักเอาธรรมะมาใช้ในชีวิต และรู้จักรักษาศีลให้ครบ ทำให้ได้ แค่นี้เองนะ บำเพ็ญธรรมต้องอดทน ต้องใฝ่ในการเรียนรู้และต่อสู้ต่อความยากลำบากอย่างไม่ย่อท้อ แล้วก็ต้องขยันสร้างกุศล อย่ามัวแต่เที่ยวเถลไถล มนุษย์ใช้เวลาตอนเช้า ถ้ากลางคืนนั้นไม่เรียกว่ามนุษย์ อะไรชอบอยู่ในที่มืด ไส้เดือน กิ้งกือ ส่วนคนที่ชอบเที่ยวมืดๆ ก็แปลว่าเป็นไส้เดือน กิ้งกือ ไม่ใช่มนุษย์ จำไว้นะศิษย์น้อง เป็นลูกศิษย์อาจารย์จี้กงต้องรู้จักบำเพ็ญให้ดี เข้าใจนะ อะไรที่ไม่ดี นิสัยความเคยชิน ชอบพูดมาก ขี้น้อยใจ ยอมแพ้ง่ายๆ ก็ตัดทิ้งไปเสีย ต้องอดทน ต้องวิริยะอุตสาหะ ตั้งใจฟังธรรมะให้ดี วันนี้แค่วันแรก ยังมีพรุ่งนี้อีกหนึ่งวัน ฟังให้ครบแล้วกลับไปพบกันเบื้องบน ชีวิตหนึ่งทำดีให้ได้ ทำดีให้ถึงที่สุด หลับตาตายไปก็คุ้มแล้วที่เกิดมาเป็นคน ฉะนั้นเวลาตายไปเราจะได้หลับได้สงบ เพราะว่าเราทำดีถึงที่สุดแล้ว เรามีน้ำใจอย่างเปี่ยมล้นให้กับทุกคนแล้ว มีโอกาสก็กลับมาห้องพระ มาศึกษาเพิ่มเติม มาสร้างกุศลบ้างนะ อย่ามาแค่เพียงประชุมธรรมสองวันแล้วก็หายไปนะศิษย์น้อง รับปากกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วห้ามตุกติกด้วย
วันอาทิตย์ที่ ๒๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๗
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ความสุขแสดงออกมาทางรอยยิ้ม ความสุขพริ้มออกมาทางเสียงหัวเราะ
ความสุขไม่เป็นของใครจำเพาะ แต่สามารถเพาะความสุขออกมาจากใจ
เล็บยาวแล้วไม่ตัดก็ไม่ได้ ผมยาวแล้วไม่ตัดก็ไม่ได้
ตายาวแล้วไม่แก่ก็ไม่ได้ พูดยาวแล้วไม่ตัดก็ไม่ได้
เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์ทุกคนอาหารถูกปากไหม
ทุกข์จะมากอย่างไรขอให้ปลงได้ จะสลายทุกข์ไปไม่มีเหลือ อย่าเดินหนีใจตนเพื่อ ได้กลับคืนความสุขศานต์ แม้ข้างหน้ายากเดาเหมือนเข้าเตาหลอม ออมซึ่งสามัคคีจะมีขวัญ เข้าใจซึ่งกันจึงผ่านทุกข์นั้นด้วยกันไม่ร้างแรมรา
ความทุกข์ทำหนักใจแล้วกว่าจะรู้ แม้ปัญญาก็ยังถูกจำกัดหนา การทำใจเช็ดคราบของรอยน้ำตา แก้ไขตนดีกว่ามาเกี่ยงกัน ล้อมคนด้วยเมตตา ล้อมรักในบ้าน เกิดสวรรค์ ณ ใจ ให้สุขสันต์ เก็บปัญหามาคิดอ่านขอทุกข์อย่านานจนถึงจนใจ
ชื่อเพลง : ขอศิษย์อย่าทำให้ตัวเองทุกข์
ทำนองเพลง : ไกลบ้าน
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ตัวของเรานี้ ตาก็ฝ้าฟางแล้ว หูก็ตึงแล้ว ปากเวลาให้กินข้าวก็ไม่ค่อยรู้รส ตัวก็ไม่ค่อยมีแรง เดี๋ยวเมื่อยหลัง เดี๋ยวเมื่อยขา เดี๋ยวเมื่อยแขน เยอะแยะไปหมดเลย แต่มีอยู่อย่างเดียวในตัวของเรานี้ ยิ่งนานวันยิ่งแข็งแรง คืออะไร (ปาก) ปากของเราใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้ถ้าหากว่าเราขี้บ่นก็ยังไม่ศักดิ์สิทธิ์ ทำอย่างไร ให้ศักดิ์สิทธิ์ได้ ถ้าหากอยากให้องค์พระศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องไปตั้งไว้ในวัดใช่หรือเปล่า (ใช่) อยู่บ้านเรา เราไหว้คนเดียว ถ้าอยู่ในวัดใครไปใครก็ไหว้ เพราะฉะนั้นต้องตั้งไว้ให้ถูกที่ ต้องพูดให้ถูกเรื่อง จากที่เคยขี้บ่นมากๆ มาทำปากของเราให้ศักดิ์สิทธิ์ด้วยการพูดธรรมะให้เขาฟัง เขาจะฟังได้มากกว่า พูดมาตั้งหลายปีแล้ว เขาไม่ยอมฟังเลย เพราะว่าเราพูดแต่ไม่ดี ไม่ได้ ไม่ถูก ไม่เอา ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเรามาบ่นเป็นภาษาธรรมะดีไหม (ดี) เอาธรรมะมาสอนเขา แล้วปากที่มีแรงอยู่แล้วจะยิ่งแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ใครบอกว่าคนที่อยู่ที่นี่เป็นคนแก่ อาจารย์เห็นคนผมขาวอยู่ไม่กี่คน ยอมให้ขาวหมดหัวมีอยู่ไม่กี่คนเอง แสดงว่าตัวแก่แต่ใจไม่แก่เลย แม้ใจไม่แก่แต่ว่าสังขารนี้ไม่สู้แล้ว เราก็ยังจะสู้อยู่ ที่เคยเดินได้ร้อยเมตรสบายๆ มันก็เหลือประมาณสักห้าเมตรก็เหนื่อยแย่แล้วใช่หรือไม่ (ใช่) ใจเราไม่แก่แต่ว่าสังขารมันไม่สู้ ทีนี้ก็ต้องเอาใจออกมาทำอะไร ต้องเอาใจออกมาสู้ ต้องเอาใจออกมาบำเพ็ญใช่หรือไม่ (ใช่)
คนทั่วไปก็พูดกันว่า ธรรมะเป็นของคนแก่ ฟังธรรมะต้องให้คนแก่ฟัง ตอนนี้คนที่อยู่ที่นี่เกือบจะทั้งหมดเป็นคนที่สูงวัยแล้ว ถามหน่อยว่านั่งฟังสองวัน เมื่อยไม่เมื่อย (ไม่เมื่อย) ปวดเข่าก็ไม่ปวด (ไม่ปวด) ปวดหลังก็ไม่เป็น (ไม่เป็น) ถ้าหากว่าใครตอบว่ายังไม่เป็น ก็ยินดีด้วย แสดงว่าสังขารยังไม่ร่วงโรยมาก แต่คนส่วนใหญ่ที่ไม่ตอบนี้เป็น เพราะว่าคนนั้นหลีกหนีไม่พ้นใช่หรือเปล่า เหมือนน้ำไหลก็ต้องไหลลงไปในทางที่ต่ำ ตกลงข้างล่าง ร่างกายคนก็เหมือนกัน ยิ่งทีก็ยิ่งร่วงโรยไป แต่ใจจะต้องสู้ ไม่ใช่ห่อเหี่ยว ไม่ใช่หดหู่ ไม่ใช่เบื่อ ไม่ใช่เซ็ง ไม่ใช่คิดมาก ไม่เอาใจมาใช้ในเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แต่เอาจิตใจมาใช้ในเรื่องที่ถูกต้อง คือเอาใจมาคิด ไม่ใช่คิดมาก แต่เป็นคิดดี ไม่ใช่ปล่อยใจไปเรื่อยๆ ทุกๆ วัน แต่เอาจิตใจมาบำเพ็ญ
ชีวิตจะมีคุณค่าที่สุดก็ตอนนี้แหละ เพราะสมัยก่อนตอนเด็กๆ จนถึงสาวก็ทำงานหาเงิน ทำงานมาตลอด พอถึงวัยต้องแต่งงาน เราก็ขาดหรือหมดอิสรภาพตั้งแต่หลังจากที่เราแต่งงานมีลูก ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนทำงานหาเงินมาได้เราก็ใช้เองใช่ไหม (ใช่) แต่ตอนมีลูกแล้วก็ต้องให้ลูกใช้ ตอนที่เริ่มจะแต่งงานกันใหม่ๆ ทุกคนจะเป็นเหมือนกันหมด คืออึดอัดต้องปรับตัว แต่จากนั้นล่วงเลยไปเป็นสิบๆ ปีแล้ว เพราะเหตุใดจึงเกิดความเคยชินกับการมีลูก กับการมีสามี กับการมีภรรยา กับการมีครอบครัว เคยชินกับพันธะทุกอย่างที่เป็นหน้าที่ของเราทุกๆ วัน แต่พออายุเริ่มมากขึ้น เขาให้เราทำงานอีกไหม จากสิบส่วนก็ลดลงเหลือแค่เพียงสองส่วนเต็มที่ ฉะนั้นตอนนี้อิสระขึ้นเพราะได้แปดส่วนคืนกลับมา ชีวิตสิบส่วนที่เคยหมดเสรีเพราะมีลูกที่ต้องรับผิดชอบตามหน้าที่ ต้องดูแลบ้าน ต้องดูแลทุกอย่าง ตอนนี้ได้คืนกลับมาแปดส่วน วันๆ หนึ่งมีเวลาว่างแต่ส่วนใหญ่หมดเวลาว่างไปกับการคิดมาก ตอนนี้มองชีวิตกลับไปใหม่ เมื่อตอนเราเล็กๆ เรามีลูกไหม (ไม่มี) มีสามี มีภรรยาไหม (ไม่มี) แล้วเรามีเงินไหม (ไม่มี) ตอนนี้ไม่มีเหมือนเดิม มีสามีก็เหมือนไม่มีเพราะเขาไม่อยู่ใช่ไหม (ใช่) มีภรรยา ภรรยาอยากอยู่กับเขาไหม ตอนนี้ไม่อยากอยู่แล้วนะ มีลูก ลูกอยู่ไหม (ไม่อยู่) มีเงินเหมือนไม่มีใช่ไหม (ใช่) ตอนนี้กลับไปเป็นเด็กเหมือนเดิม ตอนนี้กลับไปเป็นไม่มีอีกแล้ว อิสระไหม (อิสระ) คิดอย่างนี้มีความสุขเพิ่มขึ้นไหม (มีความสุข)
ตอนนี้ชีวิตคืนกลับมาตั้งแปดส่วน ยิ่งอายุมากเท่าไรชีวิตก็คืนกลับมามากเท่านั้น มาอยู่ในสภาพที่ไม่มีเหมือนเดิม แล้วทำไมเราต้องเอาใจของเราไปห่วงนั่นห่วงนี่ห่วงโน่นให้มากไปหมด ตอนนี้ไม่มีดีไหม รู้สึกเบาไหม ลูกก็ไม่มี มีลูกก็เหมือนไม่มี มีเงินก็เหมือนไม่มี
“ความสุขแสดงออกมาทางรอยยิ้ม ความสุขพริ้มออกมาทางเสียงหัวเราะ”
ทุกวันเฝ้าแต่ย้ำกับตัวเองว่าอายุมากแล้ว แก่แล้ว ทุกวันยิ้มหรือยัง (ยิ้มแล้ว) คนที่มีคนอายุมากอยู่ที่บ้าน แล้วเราทำให้คนสูงวัยในบ้านยิ้มได้ หัวเราะได้ ถือเป็นการทำบุญใกล้ตัว เราทำให้เขายิ้มได้ตรงไหน เรารู้อยู่แล้ว รู้นิสัยของคนในบ้านของเรา รู้ว่าคนที่เป็นบุพการี รู้ว่าเป็นคนที่มีพระคุณต่อเราที่อยู่ในบ้านที่สูงวัยมากกว่าเรา เขาจะหัวเราะ เขาจะยิ้มได้เพราะเรื่องอะไร ไปทำให้มาก แล้ววันหนึ่งถ้าไม่มีเขาเราจะไม่เสียใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
“ความสุขไม่เป็นของใครจำเพาะ แต่สามารถเคาะความสุขออกมาจากใจ”
ทำไมถึงใช้คำว่าเคาะ เพราะว่าแต่ละคนนั้นถ้าเทียบเป็นหัวใจ ยิ่งอายุมากเท่าไรก็เหมือนกับหัวใจที่มันขึ้นสนิม ฝุ่นเกาะ แล้วก็ไม่ค่อยจะมีความสุขเท่าไร ฉะนั้นต้องสร้างความสุขให้กับคนในบ้านด้วยตัวของเรา บางทีเราเครียด เครียดกับทุกคนเลย แต่เราลองฝืนใจไปสร้างความสุขให้กับสภาพแวดล้อมที่เราอยู่ คนในบ้าน ที่ทำงานหรือว่าสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวเรา ให้คำพูดที่ดี สิ่งที่ดีๆ กับคนรอบข้าง เมื่อความสุขห้อมล้อมตัวเรา ถามว่าเราจะไม่มีความสุขหรือ ฉะนั้นถ้าหากจะรอให้ความสุขมาห้อมล้อมตัวเราได้ไหม (ไม่ได้) มันอาจจะห้อมแต่มันไม่ล้อม มันอาจจะมาเป็นวงแต่ไม่กลมเลย เพราะถ้าหากให้กลมต้องกลมจากไหน กลมจากตัวเราไปสร้าง ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นยิ่งเครียดยิ่งต้องสร้างความสุขให้กับคนรอบข้าง แล้วความสุขจะห้อมล้อมเรา แล้วเราจะเป็นผู้ที่มีความสุขอยู่เสมอ ทำได้ไหม
พอแก่แล้วกระดูกมันสั้นลงจึงต้องเจ็บเป็นธรรมดา แต่หากรักษาสุขภาพดีๆ มันก็จะชะลอ ฉะนั้นสุขภาพของเรา เราต้องรักษาเอง คนอื่นจะรักษาได้ไหม ถ้าเราเป็นคนแก่เป็นโรคลืมกินยา คนอื่นเอายามาป้อนให้เรากิน เขาจะส่งให้เรากินนานเท่าไร ๑๐ วันเขาเบื่อหรือยัง ถ้าเป็นเราต้องส่งยาให้เขา ๑๐ วันเราเบื่อไหม (เบื่อแล้ว) คนอื่นเขาก็จะเบื่อ เพราะฉะนั้นสุขภาพของเรา เราต้องรักษาเอง เมื่อว่างแล้วไม่มีอะไรทำ ก็ลุกขึ้นมายืดแข้งยืดขาเสียหน่อย อย่ามัวแต่นั่งเฉยๆ เพราะยิ่งนั่งก็ยิ่งเมื่อย มีอะไรที่ยาวอีกไหม (หายใจ) การหายใจยาวเป็นเรื่องดี หายใจยิ่งยาวก็ยิ่งทำให้อายุยืนมากขึ้น หายใจเข้าให้ยาว หายใจออกให้ยาว หัดทำบ่อยๆ อายุจะได้ยืนมากขึ้น คนที่หายใจได้ยาวแสดงว่ามีสุขภาพดี ฉะนั้นการฝึกหายใจนี้ก็เป็นสิ่งที่ทำได้เหมือนกัน
พูดยาวแล้วไม่ตัดก็ไม่ได้ จะได้พูดสั้นหน่อยดีไหม แล้วคนพูดสั้นทำอย่างไร พูดสั้นๆ ได้ใจความไหม แต่ส่วนใหญ่คนที่พูดสั้นๆ เพราะว่ากำลังขุ่นใจกำลังโกรธคนนั้นอยู่จึงพูดสั้นลงเรื่อยๆ พอพูดปุ๊บแทนที่จะตอบยาวหน่อย ก็ตอบเพียงสั้นๆ ฉะนั้นถ้าเราเจอคนพูดสั้นๆ เราต้องนึกไว้ก่อนว่าเขาโกรธเราหรือเปล่า นึกไว้เพื่ออะไร นึกไว้เพื่อมองตัวเอง และกลับมาย้อนมองส่องตนว่า เราทำอะไรผิดไปหรือเปล่า เขาจึงได้โกรธเคืองเรา จนพูดสั้นเหลือแค่คำเดียว ใครเคยพูดสั้นๆ บ้างยกมือขึ้น แสดงว่าทุกคนมีความโกรธหมด
อันที่จริงแล้วในประโยคของกลอนนำบทท่อนสุดท้ายนี้ อาจารย์อยากจะสอนศิษย์ทุกคน ที่เอาเรื่องเล็บยาวผมยาวตายาวมาพูด เพราะว่ามีความนัยสุดท้ายที่อยากบอกเหมือนกัน มีอยู่อย่างหนึ่งที่ยาวยืดตั้งแต่เล็กจนโตสิบปีเหมือนวันเดียว ที่อยากบอกคืออันนี้ ทุกข์นานๆ ไม่ตัดก็ไม่ได้นะ ขนาดเล็บยาวเรายังตัด ตาฝ้าฟาง ตายาวแล้วก็ยังไปตัดแว่นมาใส่ แต่ว่าความทุกข์ที่มีนานๆ กลับไม่ยอมตัด คนอายุมากบางคนเป็นคนที่จดจ่อกับอดีตมาก แต่ถ้าหากว่าเป็นสิบๆ ปี แล้วไม่ลืมมันก็คงสร้างความทุกข์ให้ตัวเองอย่างมหาศาล แต่คนอายุมากก็ยังดีกว่าคนหนุ่มสาว เพราะว่าคนหนุ่มสาวเมื่อมีความแค้นมีศัตรู มักจะมุ่งทำร้ายถึงที่ ไม่ทำร้ายด้านร่างกายก็ทำร้ายด้านจิตใจ เพราะฉะนั้นความอาฆาตมาดร้ายก็ไม่ใช่สิ่งดี เพราะว่าสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่สั่งสมอยู่ในใจ เหมือนของเน่าของเหม็นที่อยู่ในใจ
เคยเห็นของดองไหม ของดองนานๆ พอเปิดครั้งแรกจะดังโป๊ะ เพราะมีแก๊สอัดไว้ข้างใน เหมือนกันของที่เรานั้นเอาเก็บเข้าไว้เป็นความอาฆาตมาดร้าย พอนานๆ เข้ามันอัดอยู่ข้างในแล้วเราเปิดไหม เราไม่ได้เปิดใจของเราเลย ไม่ได้ปล่อยมันออกมาเลยมันจะระเบิดอยู่ข้างในหรือเปล่า มันจะระเบิดอยู่ภายในตัวของมันเอง ฉะนั้นจึงต้องหัดที่จะอภัย ต้องเปิดให้ของดองที่อยู่ในจิตใจเราปล่อยให้มันดังป๊อกขึ้นมาทีหนึ่งแล้วอย่าปิดต่อนะ ต้องเททิ้งเพราะว่าของดีๆ ถ้าเข้าไปดองไว้ ถ้าหากเอาของดีเอาผักไปดองๆ ไว้ แรกๆ กลิ่นหอม พอเอาไปดองไว้ในจิตใจนานๆ เหม็นไหม ใครได้กลิ่น มีแต่ตัวเราเองได้กลิ่นนี้ ฉะนั้นจึงต้องหัดที่จะอภัยคนบำเพ็ญธรรมจึงต้องอภัยให้มากๆ ที่อาจารย์พูดถึงว่าให้ตัดก็คือให้ตัดสิ่งนี้เข้าใจไหม
อาจารย์จะสอนวิธีนับอายุใหม่ดีไหม คนที่อายุหกสิบกลับกันเป็น (สิบหก) เจ็ดสิบเป็น (สิบเจ็ด) ทีนี้คนที่อายุสี่สิบห้าล่ะ คนที่อายุสี่สิบห้าเอาห้าสิบตั้งหักลบมา เหลือสิบปี ตามทันไหม คนที่อายุสี่สิบห้า ห้าสิบยังเหลือสิบห้า ถ้าเกิดว่าสี่สิบเก้าจะเหลือ สิบสี่ สี่สิบแปดเหลือเท่าไร (สิบสาม) สี่สิบเจ็ดเหลือเท่าไร (สิบสอง) สี่สิบหกเหลือเท่าไร (สิบเอ็ด) แล้วที่นั่งอยู่ที่นี่ยังเด็กอยู่ทั้งนั้นเลยใช่ไหม เวลาก็มีเยอะแยะใช่ไหม จิตใจของเราก็อิสระเสรี ใช่ไหม เด็กอายุสิบขวบกลัดกลุ้มหรือไม่กลัดกลุ้ม (ไม่กลัดกลุ้ม)
คนอายุสิบ ขวบ วิตกกังวลหรือเปล่า (ไม่วิตก) คนอายุสิบ ขวบคิดมากไหม (ไม่คิดมาก) เพราะฉะนั้นที่นั่งอยู่นี่ เพิ่งอายุสิบ กว่าทั้งนั้นเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) เราต้องไม่คิดมากต้องไม่วิตก วิตกคืออะไร วิตกคือเรื่องราวที่มาไม่ถึงแล้วคิดไปก่อน เป็นไหม (เป็น) เรื่องราวยังมาไม่ถึง พอคิดไปเสร็จ พอเรื่องราวมาถึงเป็นอย่างไร ตกใจเหมือนเดิม เพราะว่ายังไม่ได้คิดว่าจะทำอย่างไรใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอย่าคิดมาก บางคนบอกว่าลูกหลานไม่ดูแลเลย ไม่เอาใจใส่ดูแลเราเลย เจอแบบนี้บ่อยไหม (บ่อย) เป็นเรื่องรันทดใจไหม เป็นเรื่องเศร้าใจของคนอายุมากหรือเปล่า (เศร้า) เป็นเรื่องน่าเศร้าของคนอายุมาก แต่เรื่องรันทดยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้า เรื่องที่เศร้าใจยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้า เพราะฉะนั้นคิดทำไม เลิกคิดดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่) เราเคยคิดไหมว่า ทุกคนที่มาอยู่ที่นี่เป็นคนที่โชคดีมากๆ โชคดีตรงไหน เคยเห็นคนข้างบ้านเราเดินแล้วต้องใช้ไม้เท้าไหม (เคย) แล้วเราต้องใช้ไหม (ไม่ต้องใช้) เรายังไม่ต้องใช้ เราแค่เมื่อยเข่า ใช่ไหม (ใช่) เคยเห็นบางคนที่เขาเดินไม่ไหวแล้วนอนอยู่กับเตียงเฉยๆ ไหม (เคย) เรายังลุกขึ้นมาได้อยู่ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเรายังดีอยู่หรือเปล่า (ดี) ยังโชคดีอยู่ ตอนนี้เราไม่ถึงกับนอนอยู่บนเตียง เราแค่ปวดหลังแค่นั้นเองใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเวลาที่เรารู้สึกแย่ๆ จะต้องหาข้อเปรียบเทียบกับคนที่โชคร้ายกว่าเรามาเปรียบเทียบ เพื่อให้เราดีขึ้นแต่อย่าได้ใจ เพราะว่าเมล็ดพันธุ์แห่งความชรานั้นมีเพาะอยู่ในตัวของคนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็กอายุห้าขวบ ไม่ว่าจะเป็นคนอายุสิบขวบก็มีอยู่แล้ว ทุกคนนั้นดำเนินไปสู่ความชราอยู่แล้ว ไม่มีคนไหนสักคนหนึ่งหลีกพ้น เราต้องชราอย่างมีความสุข ต้องมีความสุขที่มีชีวิตอยู่ ไม่ใช่คิดไปถึงเรื่องความตาย เราต้องคิดถึงเรื่องอยู่ แล้วต้องอยู่อย่างมีความสุขที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกวันทุกเวลาทุกนาทีของเรา ต้องพูดดี ต้องคิดดี ต้องทำดี ต้องทำให้จริงๆ ด้วย เพราะว่าเราเหลือเวลาอยู่ไม่นาน แล้วใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นทุกเวลาทุกนาทีของเราต้องเอาจริงเหมือนคนเข้าสนามสอบ ถ้าหากว่าสอบตกครั้งนี้ไม่มีให้สอบซ่อม ฉะนั้นตอนนี้เหมือนกับเราไปเป็นทหารเราจะต้องฝึกอย่างเข้มงวด ต้องให้ปากของเราศักดิ์สิทธิ์ให้ได้ เราจะไม่บ่นอีกแล้ว เราจะเลิกเครียด ให้มีความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาวงพระโอวาท) เห็นอย่างนี้แต่มิใช่ว่าคนที่มาบำเพ็ญธรรมมาสถานธรรมทุกคนจะต้องเป็นคนที่มีความรู้ เพราะว่าคนมีความรู้ เป็นเรื่องของวัยหนุ่มสาวที่เขามี และต้องถูกดึงออกมาใช้ อาจารย์ต้องหาวิธีที่จะรองรับศิษย์ทุกคนที่เป็นวัยหนุ่มสาว แต่วันนี้มาถึงทีนี่ ศิษย์ของอาจารย์ในวัยนี้ความรู้ไม่ใช่เรื่องสำคัญแต่สำคัญอยู่ที่ใจ เพราะว่าในวัยนั้นของเขาเป็นวัยที่มีเลือดลมแรงและร้อน จึงให้เขาทำงานเพื่อที่เขาจะได้เป็นการฝึกตัวเอง แต่ของศิษย์ในวัยนี้เน้น “ปฏิบัติ” ไม่ว่าจะฟังสิ่งใดก็แล้วแต่ให้ทำเลย ลงมือปฏิบัติเอาใจของเราออกมา เพราะว่าใจของเรายังสู้ใช่ไหม เอาใจออกมาปฏิบัติธรรม ทำบุญให้เป็นบุญ ทำทานให้เป็นทาน ทำใจให้เป็นกุศลและทำสิ่งที่ดีๆ เท่านั้นเพื่อเป็นการที่จะลบล้างในสิ่งที่เคยไม่ดีไว้ ในวัยหนุ่มสาวเคยทำสิ่งใดที่ผิดไว้ ให้ชำระล้างด้วยการฝึกในตอนช่วงนี้ดีหรือไม่ (ดี) อย่าไปบังคับเขานั่งตัวตรงเลย เวลาหนุ่มๆ สาวๆ ยังนั่งตรงไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นดีที่สุดแล้ว ที่นั่งมาได้ตั้งสองวัน อาจารย์ยังนึกชม ว่าศิษย์ของอาจารย์เป็นคนที่ใจสู้จริงๆ เหมือนที่พูด
คนยิ่งมีความรู้มีสตางค์เยอะ ศิษย์ประเภทนี้รับมือยากที่สุด เพราะว่ามีอัตตาตัวตนเยอะมากไปหน่อย ความรักของอาจารย์นั้น เวลาอาจารย์รักศิษย์ไม่ได้มองตรงที่เงิน ไม่ได้มองตรงที่ความฉลาด ยิ่งฉลาดยิ่งกลุ้ม เพราะบางทีอาจารย์อาจจะฉลาดน้อยกว่าศิษย์ ต่างกันตรงที่ว่าอาจารย์บำเพ็ญจนบรรลุแล้ว ส่วนศิษย์นั้นยังถูกความฉลาดบดบังตาอยู่ เวลาอยากจะขี้เกียจขึ้นมา คนฉลาดก็ต้องไปหาแพะ มาทำงานแทนตัว แล้วก็แอบไปขี้เกียจ อย่างนี้ ไม่น่ารัก คนฉลาดเวลาอยากจะทำอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่ง ไม่ตรงไปตรงมา ไม่เปิดเผย ไม่จริงใจ ฉะนั้นเปลี่ยนใหม่ต้องเปิดเผย จริงใจและตรงไปตรงมา ถ้าหากว่าทำได้อย่างนี้จริงๆ คนรอบข้างจะรู้สึกได้ เหมือนกัน คนฉลาดมากเวลาคิดไม่ออกนึกไม่ออก เขาก็แกล้งทำเป็นรอบคอบคิดนาน แต่อันที่จริงคือคิดไม่ออก ไม่กล้าตัดสินใจ ไม่กล้ารับผิดชอบ แล้วก็ใช้เวลาคิดนานมาก แล้วบอกว่า ตัวเองรอบคอบ เข้าข้างตัวเองหรือเปล่า อย่างนี้เป็นคนชอบเข้าข้างตัวเอง ใครไม่รู้แต่ตัวเองรู้ดีที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นำพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “สูงส่ง” ที่ท่านพฤฒาชันษาแห่งทักษิณาลัยให้ไว้ที่ อ. กระสัง จ. บุรีรัมย์ออกมา)
อันนี้เป็นของคราวก่อน แต่ที่นำออกมาต่อเพราะว่าในชั้นนั้น ท่านผู้เฒ่าท่านได้เมตตาให้ไว้เพื่อเป็นข้อเตือนใจว่าคนทุกคนนั้นสูงส่งได้แต่มักมีกำแพงขึ้นมากั้น กำแพงอันนี้ได้แก่อัตตาตัวตนทั้งหลาย กำแพงอันนี้ได้แก่ความเป็นตัวตนยึดมั่นถือมั่นทั้งหลาย อะไรๆ ก็เป็นของเรา อะไรๆ ก็เราทั้งหมด ฉะนั้นการที่คนนั้นไม่สามารถขึ้นไปถึงความสูงส่งได้ก็เพราะว่าตัวของตัวเองนั่นเอง ในวันนี้อาจารย์จึงเอาโอวาทซ้อนให้เชื่อมกับข้างหน้า เพื่อทลายกำแพงของศิษย์นั้นลง จะได้เป็นมงคลทั่วกัน
ใครเป็นโรคมือเย็นเท้าเย็นบ้าง อาจารย์จะแนะนำวิธีรักษาโรคให้ ออกกำลังกายมือ ออกกำลังกายเท้าทุกวัน ถ้านั่งมากเกินไปก็เลยเย็น เพราะฉะนั้นถ้าเดินไปเดินมาก็จะไม่เย็น แต่ว่าที่บอกว่าเย็นมักจะเย็นตอนกลางคืน คือร่างกายนั้นซึมซับไอของจันทรา ไอของค่ำคืนมาไว้ที่ตัวของเราจึงทำให้ตัวของเราเย็น บางคนนั้นซึมซับได้เก่งจึงมือเย็นเท้าเย็นผิดปกติ ทำอย่างไร สะบัดมือเบาๆ สะบัดไปเรื่อยๆ สะบัดสักพักแล้วเอามาถูกัน ร้อนหรือไม่ร้อน (ร้อน) แล้วอย่างนี้เป็นโรคมือเย็นได้อย่างไร เท้าเย็นไหม (เย็น) สะบัดเท้าแล้วเอาผ้าห่มมาคลุมเย็นไม่เย็น (ไม่เย็น) คนที่เป็นแสดงว่าไม่ค่อยออกกำลังกายใช่ไหม (ใช่) แต่อย่าสะบัดมือแรงไปเดี๋ยวข้อหลุด อย่าสะบัดขาแรงไปเดี๋ยวขาหัก
ใจเป็นสวรรค์ก็ได้ เป็นนรกก็ได้เพราะว่าอะไร ใครเป็นคนคุมใจนี้ อย่าใช้ตัวเราคุมใจแต่ให้ใช้จิตมาคุมใจ จิตกับใจอันเดียวกันไหม อันเดียวกันอีกนั่นแหละ แต่อย่าใช้คำว่าตัวเราคุมใจ เพราะว่าตัวเรานี้เป็นอัตตา จึงอย่าใช้ตัวของเรานั้นไปคุมใจ แต่ให้ใช้จิตไปคุมใจเพราะว่าจิตนั้นละเอียดกว่า ใจนั้นละเอียดรองลงมา รองลงมาก็คือ หลังจากใจนี้ก็เป็นหัวใจเป็นกิเลสไปแล้ว
ขอทุกข์อย่านานจนถึงจนใจ ขอนี้อาจารย์ขอใคร อาจารย์ขอกับเทพเจ้าองค์ไหนดับทุกข์ให้ศิษย์ไม่ได้ ขอทุกข์อย่านานนี้ขอกับตัวของศิษย์เอง เพราะว่าคนเรานั้นอยากมีสุขได้ทุกเมื่อที่อยากมี คนเรามีทุกข์ได้เสมอที่ปล่อยวางไม่ได้ ฉะนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตอนนี้ขอศิษย์แล้ว ขอให้ศิษย์นั้นอย่ามีทุกข์ ด้วยการที่ตัวของศิษย์นั้นกำราบตัวของตัวเองได้ ให้รู้จักปล่อยวาง เวลาที่เราป่วยมีใครมาป่วยแทนเราไหม (ไม่มี) เวลาที่เราไม่ปล่อยวางวันนี้ พรุ่งนี้เราต้องปล่อยวางไหม (ปล่อยวาง) ต้องปล่อยวางอยู่ดี มีนิทานเรื่องหนึ่งเล่ามาตั้งหลายรอบหลายตลบแล้วบอกว่าพญายมราชนั้นส่งจดหมายให้กับคนๆหนึ่งส่งไปหลายฉบับในที่สุดพอถึงวันที่คนนี้ตายไปคนๆนี้ลงมา บอกว่าทำไมไม่เตือนฉันทำความดี พญายมราชบอกว่าเตือนไปหลายรอบแล้วส่งจดหมายไปหลายฉบับแล้วแต่คนๆนี้นั้นไม่รู้เขาบอกว่าเขาไม่รู้จดหมายฉบับแรกว่าอย่างไร
จดหมายฉบับแรกว่าอย่างไร คือ ปวดเข่า จดหมายฉบับที่สองว่าด้วยเรื่องปวดหลัง จดหมายฉบับที่สามว่าด้วยเรื่องตาฟาง จดหมายฉบับที่สี่ว่าด้วยเรื่องหูตึง และจดหมายฉบับที่ห้าว่าด้วยเรื่องผมขาว หมดหัวแล้ว ถูกเตือนบ้างแล้วหรือยัง โดนไปหลายฉบับแล้วจะรู้หรือเปล่า จะรู้หรือไม่ว่าตัวเองนั้นอายุมากแล้วสมควรที่จะบำเพ็ญ ทำความดีได้แล้ว รู้หรือไม่ว่าอยู่ที่ตัวของตัวเอง
เพลงนี้อาจารย์ให้คำว่าทุกข์นั้นเยอะมาก ที่พูดคำว่าทุกข์นี้เพราะไม่อยากให้ศิษย์ทุกข์ เพราะฉะนั้นชื่อเพลงก็คือ ขอศิษย์อย่าทำให้ตัวเองทุกข์ อย่าให้ทุกข์ในเวลาที่ควรจะมีทุกข์ หากจำเป็นต้องคิดก็ให้คิดสักสองสามรอบ อย่าคิดเรื่อยเปื่อย อย่าคิดฟุ้งซ่าน อย่าคิดไปเรื่อยๆ อย่าเอาความน้อยใจ ความเสียใจ ความผิดหวังมาปะปนอยู่ในความคิด เพราะว่า คนชอบที่จะใช้ความรู้สึกมากมาย พอสุดท้าย ความรู้สึกส่วนใหญ่นั้นเป็นความรู้สึกที่เข้าข้างตัวเอง เราเคยคิดไหมว่าเราทุกข์ คนอื่นก็ทุกข์ เราเจ็บคนอื่นก็เจ็บ เวลาเราพูดให้คนอื่นเสียใจเราไม่เคยคิด คนอื่นพูดให้เราเสียใจแม้แต่เล็กน้อยคิดเป็นตุเป็นตะ อะไรไม่ได้ดั่งใจเราก็พาลไปหมด อย่างนี้ถ้าเป็นท่าทีของผู้บำเพ็ญจำเป็นต้องแก้ไขอย่างยิ่ง
พระอาจารย์เมตตาประทานโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “อดทนทำให้คนสูงส่ง” อดทนทำให้คนสูงส่ง ศิษย์ของอาจารย์มีความอดทนหรือยัง (มี) เราอดทนต่อความอับอายเป็นหรือเปล่า เราอดทนต่อการเสียชื่อเป็นหรือเปล่า เราอดทนต่อความผิดที่เราไม่ได้ทำได้ไหม (ได้) เราอดทนต่อคนรอบข้างเป็นไหม (เป็น) คำว่า “อดทน” นั้นจะใช้ก็ต่อเมื่อจิตใจของเรานั้นไม่ได้เกิดความยินยอม เราจึงจะอดทน ถ้าหากว่าเราทำถูก ทำดีแล้วเบิกบานใจจะต้องใช้คำว่าอดทนหรือเปล่า (ไม่ต้อง) เพราะฉะนั้นสภาวะของคำว่าอดทนก็เพื่อที่จะทำให้ศิษย์ทุกคนนั้นต้องอดทนจริงๆ ต้องมีจิตใจที่ฝืนออกมารับจริงๆ ทนที่ยากที่สุดคือทนต่อความอับอาย ทนที่ยากอีกอย่างหนึ่งก็คือ ทนต่อความผิดที่ตัวเองนั้นไม่ได้ทำ ทำไมถึงบอกว่าทนต่อความผิดที่ตนเองไม่ได้ทำ เพราะหลายๆ ครั้งนั้นเราอธิบายเท่าไร คนอื่นก็เข้าใจไม่ถูกสักทีใช่ไหม (ใช่) เขาก็เข้าใจเราผิดๆ ตลอดไปเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)
บางเรื่องนั้นต้องรอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ การที่จะบอกว่าเรานั้นดีแล้ว เราทำถูกต้องแล้ว ต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ บางทีเราอธิบายไปนั้นไม่มีประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่) ต้องให้ตัวของเรานั้นพิสูจน์เอง บางคนนั้นเวลาเห็นอื่นทำดีชอบไปว่าเขา บอกว่าเขานั้นเสแสร้งแกล้งทำดี อาจารย์ไม่ชอบ ศิษย์ที่เป็นอย่างนี้เลย เพราะว่าถึงเขาจะแสร้งแกล้งทำดี แต่เขาก็ทำดีอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่) บางทีศิษย์ยังต้องฝืนใจตัวเองในการทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เขาก็เช่นเดียวกัน
ไม่ว่าจะเป็นทำดีเอาหน้า ทำดีเอาตัวรอด ทำดีเพื่อให้ตัวเองนั้นสบาย อาจารย์ก็ยังชม เพราะว่าอะไร เพราะว่าเขาทำดี ทำดีคือทำดี เสแสร้งคือเสแสร้ง ไม่ใช่อันเดียวกัน ฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ไม่ใช่ศาลที่จะไปตัดสินว่าใครนั้นทำไม่ดี แต่เป็นหน้าที่ของคนๆ นั้นที่จะปรับปรุงตนเองให้เลิกเสแสร้งสักที เป็นหน้าที่ของเขาที่จะล้างมือต่อความเสแสร้งนั้นๆ ไม่ใช่หน้าที่ของศิษย์นั้นไปตัดสินใคร เข้าใจไหม (เข้าใจ) เพราะฉะนั้นเวลาเจอคนที่เสแสร้งแกล้งทำดี ศิษย์คิดว่าถ้าเขาเสแสร้งจริงเขาจะทำได้นานแค่ไหน คำพูดๆ แล้วจบไป พูดให้ดีสวยหรูเท่าไรก็ทำได้ แต่การกระทำจะแสร้งได้เยอะไหม (ไม่เยอะ) การกระทำแสร้งได้ไม่เยอะ การกระทำแสร้งได้ไม่นาน เพราะฉะนั้นเราอย่าไปยุ่งกับคนอื่น จะได้ไม่ต้องเกิดเรื่องนินทา ไม่ต้องเกิดเรื่องว่าร้ายป้ายสีกัน ใครดีอาจารย์ก็รู้ว่าดี ใครไม่ดีอาจารย์ก็รู้ว่าไม่ดี บางครั้งอาจารย์ชมไป ก็คือเป็นการที่จะย้ำเขา เพราะว่าพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น คนที่เป็นพุทธะแล้วไม่คิดที่จะว่าใคร ศิษย์ของอาจารย์ก็เหมือนกันอย่าคิดไปว่าใคร อย่าพูดว่าใครให้เจ็บ อย่าทำเรื่องที่ไม่ดีแล้วหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง มันไม่ได้ดีเลย
ทุกๆ คนที่อยู่ในที่นี่เหมือนเป็นคนที่เข้าเตาหลอม เหมือนเป็นคนที่กำลังฝึกหัดบำเพ็ญ ทุกๆ คนทำให้ดีให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น แล้วอาจารย์จะคอยอวยพร ทุกๆ วัน อยากให้ศิษย์นั้นเป็นคนที่สูงส่ง ศิษย์ของอาจารย์ก็ต้องอดทนให้เป็น อดทนต่อตัวเอง อดทนต่อผู้อื่น อดทนต่อสิ่งที่ยั่วเย้าจิตใจ กิเลสมากมาย เข้าใจไหม (เข้าใจ) ศิษย์เป็นคนดีได้จึงเป็นผู้บำเพ็ญได้ ศิษย์ดีไม่ได้ก็เป็นคนบำเพ็ญไม่ได้ บางทีเราเจอคนนี้เขาแข็งมากเกินไป แต่เราก็ยังแข็งเหมือนกัน แต่เราแข็งและเราพูดกับตัวเองคนเดียว แต่คนอื่นแข็งเราก็พูดออกมา ไม่มีอะไรต่างกันระหว่างคนสองแบบนี้
เวลาปรารถนาดีอยากจะตักเตือนใครพูดได้ไหม อาจารย์ไม่เคยห้าม แต่ศิษย์ตักเตือนด้วยน้ำเสียงแบบไหน เวลาพูดคนไม่ฟังว่าศิษย์พูดอะไร การพูดนั้นมีอยู่สามอย่างคือ ใครพูด พูดอะไร พูดอย่างไร เขาสนใจอะไรมากที่สุด (ใครพูด) ถ้าศิษย์สนใจว่าใครพูดก็แย่มากๆ แล้ว เพราะว่ามัวแต่มองเขาก็เลยไม่ได้ฟังที่เขาพูด แต่คนส่วนใหญ่นั้นจะสนใจคำว่าพูดอย่างไรมากกว่า คือพูดแข็งไปไหม พูดเอาหน้าไหม พูดแล้วมีความรับผิดชอบไหม พูดแล้วคำนึงถึงจิตใจฝ่ายตรงข้ามไหม คนนั้นให้ความสำคัญกับความรู้สึกมาก ฉะนั้นคนส่วนใหญ่จะสนใจคำว่าพูดอย่างไร ไม่ได้ฟังเลยว่าเขาพูดอะไร มองแต่สีหน้าท่าทาง มองแต่สิ่งที่ส่งออกมา ส่วนพูดอะไรนั้นแทบจะไม่ได้ฟัง คนที่อยู่ในวัยที่เป็นคนเจ้าคิด เป็นคนมีเหตุผล ก็มักจะใช้เหตุผล แต่ยิ่งมีเหตุผลมากเท่าไรก็ยิ่งใช้ท่าทีรุกรานที่มากขึ้นเท่านั้น ฉะนั้นเวลาที่คนฟัง ยิ่งฟังแล้วจะยิ่งรู้สึกกลุ้มใจ เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าศิษย์กำลังต้องการอะไรกันแน่ ฉะนั้นเวลาที่เราไปพูดแม้มีเหตุผลดีเท่าไร แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ฟังว่าศิษย์พูดอะไร ก็ไม่มีประโยชน์ สรุปว่าพูดให้ดี พูดให้รู้ที่ประมาณ รู้หยุด รู้ปล่อยเขา แล้วศิษย์ของอาจารย์จะได้พูดแล้วมีคนฟัง แต่ถ้าสำหรับคนในวัยนี้ ที่นั่งอยู่ที่นี่เป็นส่วนมาก เขาไม่ได้ถือเหตุผลกันอย่างเอาเป็นเอาตายแล้ว ฉะนั้นศิษย์ต้องเข้าไปพูดด้วยท่าทีที่อ่อนน้อม เพราะว่าในน้ำเสียงของศิษย์นั้นก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าศิษย์ต้องการอะไร เพียงแต่ว่าเขาจะเชื่อหรือเปล่าเท่านั้น
ทุกๆ คน กลับไปบ้านย้อนมองส่องตนทุกวันนะ คิดถึงเรื่องที่ผ่านมา คิดถึงเรื่องที่เราจะแก้ไข ไม่ต้องไปคิดถึงว่าใครเป็นยังไง ใครทำอะไรอยู่ที่ไหน เป็นยังไง อะไรทั้งหลาย เป็นเรื่องที่ไม่ควรที่จะคิดมากเกิน แต่ให้เข้ามาคิดว่าเราจะบำเพ็ญอย่างไร ใครจะเอาหน้า ใครจะอยากได้ชื่อ ใครอยากจะทำอะไรก็ปล่อยเขา เพราะว่าการกระทำนั้นย่อมพิสูจน์คนอยู่แล้วใช่หรือไม่ (ใช่)
หลังจากสองวันนี้ไปแล้วจะมาศึกษาหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่ที่ตัวของศิษย์เอง ร่างกายมาไม่ไหวใจสู้หรือเปล่า ดูจากสองวันนี้ ไม่มีอะไรที่ให้ศิษย์ได้เข้าใจได้ทันทีทันใด ทุกอย่างต้องใช้เวลาเท่านั้น อยู่ที่ว่าศิษย์จะให้เวลาไหม อยู่บ้านก็มีความสุขบ้างมีความทุกข์บ้าง มาสถานธรรมก็มีความสุขมากกว่าอยู่หน่อย จะเลือกอยู่บ้านไม่ศึกษาธรรม หรือว่ามาศึกษาธรรมก็แล้วแต่นะ อาจารย์ห่วงใยทุกคน อยากให้หลังจากที่จบชีวิตนี้ไปแล้ว กลับไปอยู่สวรรค์อยู่นิพพานอยากไปหรือเปล่า ขึ้นอยู่กับเรา เมื่อพูดคำว่าอยากเราก็ไปได้แต่มันต้องลงแรงลงมือมากกว่านั้น ถ้าหากเขาเรียกให้มาศึกษาธรรมก็มาศึกษาดีหรือไม่ดี (ดี)
คงได้เวลาที่อาจารย์จะกลับแล้ว คำว่าลานี้พูดยากจริงๆ อาจารย์มาที่นี่เพียงชั่วเวลาสั้นๆ ก็เหมือนที่อาจารย์บอกตั้งแต่เริ่มมาแล้วว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่ต่างกับเด็กอายุสิบกว่าขวบ
ไม่ต่างกันเด็กอายุสิบกว่า แต่เป็นเพราะศิษย์ของอาจารย์นั้นเฝ้ามองแต่รูปลักษณ์ภายนอก อาจารย์นั้นยืมร่างผู้หญิงคนนี้มาพูด เดินไปเดินมา เพราะฉะนั้นศิษย์ก็รับรู้ได้แต่เพียงว่า อาจารย์นั้นดูแล้วเด็กกว่า แต่จริงๆ อาจารย์ไม่ได้เด็กกว่าศิษย์ พูดทั้งหมดนี้ด้วยประสบการณ์ อยากให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นบำเพ็ญหลุดพ้น ไม่อยากให้เวียนว่ายตายเกิด ความทุกข์ที่ศิษย์บอกว่าทุกข์ มันเทียบไม่ได้กับความทุกข์ในชาติต่อๆ ไป หากว่าศิษย์นั้นจะทุกข์โดยที่ศิษย์ไม่รู้ว่า ทำไมถึงต้องทุกข์ขนาดนี้ เหมือนที่ชาตินี้ตั้งคำถาม แต่ชาติหน้ายังมีอีกหรือเปล่า
การหลุดพ้นเป็นเรื่องของคนบำเพ็ญเท่านั้น ไม่บำเพ็ญก็ไม่พ้น จะเอาจริงกับชีวิตหรือยัง ชีวิตมันเหลือแค่นี้ อีกห้าสิบปี อาจารย์ยังว่าน้อยไปเลย อย่าว่าแต่บางคนเหลือไม่เท่าไรเลย อย่ามัวเสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระ การยึดมั่นถือมั่นเป็นเจ้าของ นินทาว่าร้ายกัน ว่าคนนั้นที ว่าคนนี้ที มัวแต่มองคนอื่นนะ ตัวเองน่ะมองน้อยไปนิดหนึ่ง รักอาจารย์ก็บำเพ็ญให้ดีๆ นะ