PDF 2544-12-15-เจิ้งซิน #16.pdf
วันเสาร์ที่ ๑๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
ยอมรับความลำบากในลำบาก จึงรู้จักชีวิตที่ก้าวหน้า
คนเหนือคนด้วยฝึกฝนตนเองนา ใช้ความกล้าอีกปัญญานำตนเดิน
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
รวงข้าวอ่อนน้อมถึงเวลาเกี่ยว พริบตาเดียวชีวิตผ่านไปมาก
พบเจอทั้งความสุขความลำบาก แล้วยังอยากเป็นเช่นนี้นานเท่าไร
หลงก็หลงรู้ก็รู้ไม่ยอมตื่น ลืมตาฝืนในทุกเช้าวันใหม่
จงแก้ไขตนเองให้สุขใจ อันทางไกลกลายใกล้เพราะเดินทุกวัน
มีจุดหมายให้ชีวิตแข็งแรงขึ้น อย่าเมามึนดูถูกตนต่างพ้นได้
บำเพ็ญจิตต้องมีแค่หนึ่งใจ ชำนาญไม่อาจสู้คนรู้จักตน
รู้จักตนทำให้เป็นคนประเสริฐ เมื่อได้เกิดเป็นคนมีบุญใหญ่
ได้รับธรรมสามชาติสร้างบุญไว้ ขอน้องได้รักษาโอกาสที่ตนมี
ในวันนี้ประชุมธรรมฟื้นฟูจิต ชราคิดตนคือไม้ใกล้ฝั่ง
แต่จงไปใกล้ฝั่งนิพพานฝั่ง ขอพลังศรัทธามีในทุกคน
บางคนที่ยังสงสัยให้เปิดจิต หนึ่งความคิดอย่าพาไปกู่ไม่กลับ
คนเกิดมาไม่แคล้วว่าต้องดับ จงยึดจับสายทองให้มั่นคง
สองวันนี้ให้ตั้งใจฟังธรรมะ ใจเป็นพระประธานอันสง่า
ฟังธรรมคลายความข้องใจแต่ก่อนหนา สำคัญพาจิตตนให้สุกสกาว
ในวันนี้พี่รับพระบัญชา คุมชั้นเรียนหวังว่าน้องจิตกุศล
บำเพ็ญธรรมละกิเลสในตัวตน ธรรมแยบยลอยู่ที่การปฏิบัติจริง
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป จงตั้งใจรักษาพุทธระเบียบ
เมื่ออยู่ในชั้นเรียนเสียงต้องเงียบ ขอให้มีความเรียบร้อยทั้งสองวัน
มีโอกาสค่อยมาศึกษาเพิ่ม จงส่งเสริมซึ่งกันเสมอเสมอ
หากไม่เริ่มวันนี้ก็จะเผลอ เมื่อไหร่เจอเริ่มได้ถามตนเอง
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา หยุด
วันเสาร์ที่ ๑๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง
ถึงจะฉลาดมิประมาทกันแต่อย่างไร เหนือฟ้าก็ยังมีฟ้า ใจต้องฝ่าโลกตามความจริง โปรดเกรงใจแม้สนิท ขาดมิตรถ้าหากแข็งเกิน มีแล้วเพลิน มีเงินอยู่ในกระเป๋า อ่อนน้อมน่ารักที่สุด บำเพ็ญรู้รุดไม่เบา ห้ามลงด้ามพร้าด้วยเข่า แตกร้าวด้วยความร้อนใจ
ทำนองเพลง : ฝนตกแดดออก
เราคือ
เสี่ยวเซี่ยวฝอถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่แดนโลกีย์ แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามพุทธะใหญ่น้อยทุกท่านสบายดีไหม
มีดวงจิตสว่างเป็นทุนชีวิต มีดวงจิตมืดผดุงอะไรได้
การบำเพ็ญต้องใช้ธรรมท้วงใจ ดำเนินไม่ผิดทางเดินด้วยปัญญา
มนุษย์เฝ้าห่วงหน้ามือซึมเหงื่อ สามทานอย่าอุทิศเมื่อยังกังขา
ทำอะไรพะวงหลังคนจึงช้า ซึ่งประหม่ามีภัยเข้าห้อมล้อม
ครวญอดีตผ่านมาดังนั่งชม วาสนาท่วมถมเมื่อเด่นไปน้อม
คนสังคมด้วยคนใจกลางพร้อม เป็นผู้ยอมเมตตาอยู่เบื้องหลัง
จิตเที่ยงด้วยปัญญาเร่งแยกแยะ คำค่อนแคะบำเพ็ญใช้สติตั้ง
รู้ไตร่ตรองนาวาล่องเต็มกำลัง ฝ่าพลังคลื่นรุดสู่แดนมาตุภูมิ
คนย่อมดีที่วันชนะใจ เชื่อมั่นในตนเองเคารพกลุ่ม
ขอให้ศรัทธามีกว่างมงายทุ่ม ใช้สุขุมถ่วงดุลคุณค่าตามมา
แม้เหนื่อยนักพัฒนาเพิ่มความเข้าใจ ยอมแม้ใช้ทั้งชีวิตเพื่อศึกษา
จงแข็งใจจากมาไกลอวิชชา เปี่ยมตั้งใจมานำบำเพ็ญตน
ฮิ ฮิ หยุด
พระโอวาทท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง
วันนี้นั่งฟังธรรมะเมื่อยไหม (ไม่เมื่อย) สะบัดแขน สะบัดขา ทั้งซ้ายทั้งขวา สะบัดเอว โยกซ้ายโยกขวา หมุนไหล่ ทำหรือยัง อายุมากมีข้อดีหรือข้อเสียมาก (ข้อเสียมาก) เราว่าอายุมากข้อดีมาก ทำอะไรเขาก็บอกว่าไม่ต้องทำ เพราะอายุมากแล้ว ใช่ไหม (ใช่) ทำอะไรเขาบอกว่าป้าไปนั่ง ให้เด็กทำแทน ใช่ไหม (ใช่) เห็นไหมมีข้อดี ใครว่าไม่ดี ใช่หรือเปล่า (ใช่) อย่ารังเกียจที่ตัวเองอายุมาก ต้องดีใจที่ใช้มาคุ้มเหลือเกิน ใช่ไหม (ใช่) ต้องดีใจที่เรามีร่างกายที่อายุเท่านี้ อย่าไปรังเกียจ ใช่ไหม (ใช่) เห็นกระจกแล้วมองหน้าตัวเอง สวยจังเลย ให้กำลังใจตัวเองบ้างแต่ก็อย่าได้หลงตัวเองจนเกินไป กระจกส่องแล้วสะท้อนความจริง ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อมองกระจกอย่าไปอยู่ในความฝัน เมื่อเรามองกระจกสิ่งที่อยู่ในกระจกคือ ความจริง แต่ไม่ใช่พอเห็นกระจกแล้ว ฉันอยากสวยกว่านี้ อยากหล่อกว่านี้ ผมอยากดำกว่านี้ มีใครบ้างไหมอยากมีผมขาวเป็นหย่อมๆ ไม่สวย ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง เราก็ต้องยอมรับในสิ่งที่จริง อย่ามีชีวิตอยู่บนความฝัน หลายต่อหลายคนมักชอบฝัน ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่พออายุปูนนี้ฝันอีกไหวไหม (ไม่ไหว, ไหว) แต่หากฝันในสิ่งที่เป็นไปได้ก็ยังไหว อย่าไปฝันในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ไม่มีมูลความจริงอย่างนั้น แม้อายุเท่านี้ก็ไม่ไหว ใช่หรือไม่ (ใช่) พระพุทธองค์สอนไว้ว่า “ควรพยายามในสิ่งที่ต้องพยายาม ควรละความพยายามในสิ่งที่ไม่ควรพยายาม ก็คือ ละทิ้ง” ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วมนุษย์พยายามอะไรกัน หลายคนพยายามหาสิ่งที่ทำให้ตนเองมีความสุขและละทิ้งจากความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเราอยากหาสิ่งที่มีความสุข หากไม่ได้เราต้องศึกษาหาความรู้ ต้องหมั่นซักถามคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะความรู้ทำให้เรารู้จักแสวงหาสิ่งที่เราต้องการได้ไวขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) การศึกษานั้นมีประโยชน์ ศึกษาทางโลกก็ได้เรื่องทางโลก ศึกษาทางธรรมเราก็ได้เรื่องทางธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้เรามาศึกษาทางโลกหรือทางธรรม (ทางธรรม) ได้โลกหรือได้ธรรม (ได้ธรรม) ทำอะไร ทำให้ตัวเองหลับ ใช่หรือเปล่า (ใช่) มีใครได้ธรรมะแล้วยิ่งตื่น มีไหม ทำไมยิ่งฟังไปก็ยิ่งหลับ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เราศึกษาทางโลก ทางโลกสอนให้เราต้องฉลาด ต้องเก่ง ต้องกล้า ใช่หรือไม่ (ใช่) ธรรมะสอนให้เราต้อง (ทำความดี)
เราชื่อเสี่ยวเซี่ยวนะเป็นเด็กผู้ชายแต่มาอยู่ในร่างของผู้หญิง รู้จักชื่อเราแล้วนะ ยินดีต้อนรับเราไหม วันนี้เราจะให้ท่านฟังธรรมแบบมีความ
สนุกสนาน และได้ความรู้ดีไหม (ดี) ฟังแล้วได้ธรรมะนำไปใช้ในชีวิต ไม่ใช่ฟังแล้วยิ่งหลับใช่หรือเปล่า (ใช่) ชื่อเราแปลว่ายิ้ม ยิ้มเล็กๆ ฉะนั้นอยู่กับเราก็ยิ้มให้เราหน่อยสิ มีคนยิ้มต่อหน้าเรายังยิ้มไม่ออกอีกหรือ ทำไมเป็นเสือยิ้มยากกันจังเลย เมื่อตอนต้นเราพูดว่า “การเรียนรู้เป็นสิ่งที่ดี” ถ้าเราเรียนทั้งทางโลกทางธรรมยิ่งเป็นสิ่งที่ดีใหญ่ใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งการเรียนรู้ก็มักจะทำให้เราถูกความเรียนรู้นั้นบดบังดวงใจและบดบังดวงตา ทำให้เราไม่สามารถมองเห็นความเป็นจริงได้ บางทีก็ถูกความเป็นจริงนั้นยึดมั่น จนทำให้ไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่เหนือกว่าใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งก็ถูกสายตานั้นลวงหลอก จนทำให้มองไม่เห็นความเป็นจริงใช่หรือไม่ (ใช่) ทำไมเราจึงพูดแบบนี้ ถ้าหนึ่งกับหนึ่งบวกกันเป็นสอง สองกับสองบวกกันเป็นสี่ และถ้าสาลี่บวกสาลี่ รวมกันเป็นอะไร สองสาลี่ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วถ้าสมมุติว่าคนหนึ่งคนรวมกับคนอีกหนึ่งคนที่เป็นผู้ชายเหมือนกันเป็นอะไร (ผู้ชายสองคน) ผู้ชายกับผู้ชายรวมกันเป็นอะไร (ผู้ชายสองคน, สองชาย) สิ่งนี้จะตอบเป็นอะไร ตอนแรกเราบอกว่าหนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง สาลี่บวกสาลี่เป็น (สองสาลี่) เพราะคำตอบอยู่ที่เรา เราเป็นคนตั้งคำถามใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ครั้งนี้ผู้ชายกับผู้ชายบวกกันเป็นอะไร คำตอบนั้นต้องอยู่ที่ใคร อยู่ที่เขาสองคน ผู้ชายบวกกับผู้ชายอาจจะเป็นหนึ่งผู้ชาย หรือผู้ชายบวกกับผู้ชายอาจจะเป็นสองผู้ชายหนึ่งผู้หญิง หรืออาจจะเป็นสองผู้ชายสามผู้ชายก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าใจเขาสองคนรวมกันได้หรือไม่ หากเขามาอยู่ด้วยกันสนิทกัน เขารับกันได้ ทนกันได้ เขายอมให้อภัยกันได้ ก็อาจจะเป็นสองคนและถ้าหากว่าอีกคนหนึ่งอยากให้มีอีกคนหนึ่ง และอีกคนหนึ่งไม่อยากให้มีอีกคนหนึ่งยังไงก็ยังต้องสองใช่หรือไม่ (ใช่) พอเข้าใจไหม ถ้าผู้ชายหนึ่งผู้ชายบวกอีกหนึ่งผู้หญิงเป็นอะไร รวมกันเป็นอะไรขึ้นอยู่กับใจของเขาทั้งสองคนใช่หรือไม่ (ใช่) และถ้าหากสองหญิงหนึ่งชายรวมกันเป็นอะไร (แล้วแต่เขา) เขาไหน (เขาทั้งสามคน) ไม่ใช่แล้วแต่เขาคนใดคนหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้แม้เราต้องเรียนรู้ความเป็นจริง แต่บางครั้งก็อย่าให้กรอบของความเป็นจริงปิดกั้นจนเรามองไม่เห็นสิ่งที่จริงมากกว่าจริง เข้าใจไหม เหมือนเวลาท่านวาดเส้นหนึ่งเส้นแบบนี้ กับวาดเส้นอย่างนี้ อย่าให้สายตาหลอกลวงเรา เท่ากันไหม (ไม่เท่ากัน) บางครั้งเราไม่อาจคาดเดาได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) ถึงแม้ว่าเราจะศึกษาก็ตาม แต่บางครั้งตา หู และใจของเราอาจจะหลอกลวงเราก็เป็นได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นแม้ว่าเราจะเรียนรู้ทั้งทางโลกทางธรรม เรียนสิ่งใดก็ตาม เรียนมาเพื่อประกอบความคิด หรือเรียนมาเพื่อค้านความคิดก็เป็นได้ ขอเพียงเราไม่ยึดติด ยึดมั่น เราก็จะสามารถมองโลกเหนือโลกนี้ได้ มองชีวิตให้มากกว่าชีวิตที่เข้าใจก็เป็นได้เข้าใจไหม แขนสองแขนรวมกันเป็น (หนึ่งชีวิต) แล้วหูหนึ่งหูรวมกับหูอีกหนึ่งหูเป็นอะไร (หนึ่งชีวิต)
ปัญหาในโลกนี้หรือความทุกข์ยากในโลกนี้ แม้จะเกิดขึ้นมากมายก็ตามบางคนหาคำตอบ หาทางออกให้กับชีวิตได้ แต่บางคนหาทางออกให้กับชีวิตไม่ได้ เพราะบางครั้งหูหนึ่งหู รวมกับหูอีกหูหนึ่งเป็นอะไร (สองหู) แต่เขาบอกไม่ใช่ หนึ่งหัวเราก็คิดใหญ่ หนึ่งหัวแต่เราตอบว่าสองหูมันผิดตรงไหน คนเราบางครั้งเมื่อเวลามีทุกข์มีความยากลำบาก เรามักไม่พ่ายแพ้ในความทุกข์ความยากลำบาก แต่เราพ่ายแพ้เพราะความฟุ้งซ่าน คิดไม่ตก กลัวความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) หรือฟุ้งซ่านคิดไม่ตกเพราะกลัวไม่ถูกใจ ใช่ไหม กลัวผ่านออกไปแล้วไม่ได้ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นความทุกข์ไม่เคยทำให้คนตายแต่ความคิดฟุ้งซ่านคิดไม่เป็น คิดแบบยึดติด ทำให้คนตายทั้งเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนลูกทำไมเขาไม่ไหว้เรา ใช่หรือไม่ ลูกทำไมไม่เรียกฉันกินข้าว ทำไมไม่เคารพแม่ ชอบว่าแม่ หากเราติดว่าลูกต้องชมแม่ เหมือนตอบว่า หูต้องมีสองหู ทำไมตอบหนึ่งหัว คนที่ทุกข์คือคนที่คิดฟุ้งซ่าน คิดยึดติดในคำตอบ ใช่หรือไม่ (ใช่) ความสุขในโลกนี้ก็อยู่ตรงหน้า อย่าไปกำหนดอย่าไปยึดมั่น อย่าไปผูกพันไว้มาก เหมือนเราชอบเขาแต่เขาไม่ชอบเรา เราทุกข์ไหม เพราะคำตอบไม่ตรงกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเกิดว่าเราชอบเขาแล้วเขาไม่ชอบเรา แม้คำตอบไม่ตรงกันแต่เราก็สุขได้ เพราะเราไม่คิดฟุ้งซ่าน ไม่ยึดมั่นว่าคำตอบต้องเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) เงินหนึ่งบาทบวกเงินอีกหนึ่งบาทเป็นเท่าไร (สองบาท) หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง ยิ่งตอบหนักแน่น มั่นใจเท่าไร ทุกข์ก่อนคนนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) หนึ่งบาทบวกกับอีกหนึ่งบาทอาจเป็นสี่บาทก็ได้ ใช่ไหม พูดมาถึงตรงนี้ หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสี่บาท ท่านว่ามีไหม (มี) ซื้อขนมมาหนึ่งห่อด้วยราคาหนึ่งบาท ซื้อขนมมาอีกหนึ่งห่อด้วยราคาอีกหนึ่งบาท สองหรือนับไม่ถ้วน นับได้ถ้วนเหมือนกัน แต่หนึ่งบวกหนึ่งต้องเป็นสองเสมอไปหรือไม่ เมื่อสักครู่คนที่ตอบว่าสี่ไม่ได้ ตอนนี้เชื่อเราหรือยัง ต้องยกหลักฐานอ้างอิง ใช่หรือไม่ (ใช่) คนรวมกันอีกหนึ่งคนอาจจะเป็นศูนย์ก็เป็นได้ ผู้หญิงบวกกับผู้ชายที่รักกัน ทั้งคู่อาจจะไม่ลงด้วยคู่กันก็ได้หรืออาจจะเป็นศูนย์ก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เงินหนึ่งบาทบวกอีกหนึ่งนึกว่าจะได้หนึ่งบางครั้งอาจจะได้ศูนย์ เมื่อได้ศูนย์ ได้สอง หรือได้สี่ เราไม่ยึดติดเราทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) เราไม่กำหนดคำตอบเราเศร้าไหม (ไม่เศร้า) แต่ถ้าเมื่อไรเรากำหนดคำตอบเรายึดติด เราทุกข์หรือเราสุข (ทุกข์) หนึ่งคุณยายกับหนึ่งคุณหลานรวมกันทุกข์หรือสุข ไม่รู้ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่มีใครรู้ แม้ตัวท่านเองก็ยังไม่รู้ คิดว่าเรารักหลานและหลานก็รักเรา แล้วหลานก็น่าจะอยู่กับเรา แต่ไปๆ มาๆ ทำไมหนึ่งบวกหนึ่งจึงเหลือแค่หนึ่งเพราะหลานทิ้งเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) เราพูดเรื่องง่ายๆ เข้าใจไหม (เข้าใจ) คิดว่าอะไรที่น่าจะอยู่กับเรา แต่บางครั้งก็ไม่อยู่กับเรา บางทีเขาก็หายไปจากเราได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนเงินคิดว่าต้องอยู่กับเราแต่ทำไมยิ่งเก็บก็เหมือนยิ่งหาย จริงหรือเปล่า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่งกเงินแล้วนะ แต่มนุษย์ยังงกอยู่ ท่านเคยเห็นไหมการเสียสละ การให้ทานก็เหมือนกับการรดน้ำต้นไม้ ท่านรดที่โคนแต่ออกดอกออกผลที่ปลายกิ่ง เพราะผลไม้อยู่ที่ปลายกิ่งหรือไม่ก็ปลายขั้ว เป็นปริศนาแฝงไว้ว่า มนุษย์เรานั้นการจะเสียสละ การจะให้อะไรเราต้องให้ที่โคนให้ที่ต้นให้ที่รากแล้วผลนั้นจะได้รับเมื่อยามบั้นปลาย แต่เวลาเราสะสมเงิน สะสมทองสะสมแล้วได้ผลไหม ให้ผลเหมือนกันแต่ผลของการสะสมเงิน สะสมทองคืออะไร คือความกังวล ใช่หรือไม่ (ใช่) คือความเป็นห่วง ความตระหนี่ ความวิตก แต่การสะสมทานหรือการให้ทานผลจะลงที่ปลาย แล้วผลที่ลงที่ปลายนั้นเป็นผลที่สุกแล้วน่ากินแต่เวลาให้ต้องค่อยๆ ให้ ให้ครั้งเดียวต้นไม้จะออกผลไหม (ไม่ออก) สิ่งที่เราอยากบอกก็คือ มนุษย์เราหากมีเงิน มีทอง มีชื่อเสียง สะสมแล้วให้ทุกข์มากกว่าให้สุข แต่ถ้าเกิดว่าท่านมีเงินมีทองแต่รู้จักให้ แล้วท่านจะได้ผลเมื่อยามบั้นปลายคือความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่) เราก็รู้อยู่เกิดมาก็มาแต่ตัว กลับก็ต้องกลับแต่ตัว แต่สิ่งที่ติดตัวไปได้นั้นก็คือ การเสียสละ เราลองคิดว่าความดีกับความไม่ดีมีอยู่ในตัวท่านหรือไม่ (มี) เมื่อสักครู่เราถึงบอกว่า “อะไรที่จะบอกว่าเราเป็นคนดีหรือคนไม่ดี” ใช่หรือไม่ (ใช่) ความดีหรือความไม่ดี วัดกันที่
ศีลธรรมหรือชาติกำเนิดได้ไหม (ไม่ได้) แล้ววัดกันที่ไหน (จิตใจ) ความประพฤติ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้ามนุษย์เรารู้จักประพฤติดี มีศีลธรรม สุจริตใจ จิตใจย่อมมีความสุขทั้งโลกนี้และโลกไหนๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเพราะอะไรเราจึงต้องประพฤติตนเป็นคนดี มีศีลมีธรรม มีความสุจริตใจ เพราะว่าให้คนนับถือ ให้คนยกย่องหรือก็ไม่ใช่ แต่เราประพฤติดีก็ให้เรามีความสุขุม ระมัดระวังในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะพูดจาหรือทำสิ่งใด ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราประพฤติดีเพื่ออะไร เพื่อจะได้รู้จักละสิ่งที่ไม่ดี ไม่ประพฤติปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นอบายมุข กินเหล้า สูบบุหรี่ นารี พาชี กีฬาบัตร ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเราคิดจะประพฤติดี เราต้องรู้จักลด ละ เลิก ในสิ่งที่ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เราคิดว่า ลด ละ เลิก ทั้งหมดไม่ได้ เราต้องพูดว่า “ความประพฤติดีช่วยทำให้เรารู้จักสุขุม สุขุม คือ รอบคอบ รู้จักระมัดระวังในสิ่งที่ไม่ดี และไม่ลุ่มหลงในสิ่งที่น่ายินดีจนเกินไป มนุษย์เราเมื่อติดในรัก ก็ติดในสิ่งที่เรียกว่าของสวยงาม ใช่หรือเปล่า (ใช่) เวลาเรามีความสุขหรือคนให้เงิน เรามักจะลุ่มหลงเงิน ใช่ไหม (ใช่) มีคนมาบอกว่า “เราน่ารัก เราสวย“ เราลุ่มหลงไหม (ลุ่มหลง) การประพฤติไม่ดี ไม่ใช่จำกัดแค่ว่า “พูดดี ทำดี” ยังไม่เพียงพอ สิ่งที่จะเพียงพอให้เรียกว่าเป็นคนดีที่แท้จริงคือ 1. ต้องสุขุม 2. ต้องรู้จักละในสิ่งที่ไม่ดี 3. ต้องรู้จักไม่ติดในสิ่งที่น่ายินดีจนเกินไป 4. ต้องรู้จักดับทุกข์ที่เป็นต้นเหตุให้เกิดความทุกข์ยากทั้งมวล หากท่านปฏิบัติได้ทั้งสี่อย่างนี้ เรียกได้ว่าเป็นคนดีที่แท้จริง ทำได้ไหม (ได้) สิ่งใดที่ไม่ดีละทิ้ง เช่น ไม่ว่าคนอื่น ไม่โมโหคนอื่น ได้ไม่ได้ (ได้) ถ้าจะเป็นคนดีต้องทำให้ได้อย่างที่เราบอกทั้งสี่อย่างนี้ เพราะว่าเรียนอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับเรียนแล้วสามารถทำให้มนุษย์เราตัดมวลเหตุแห่งความทุกข์ทั้งปวง และหลุดพ้นจากการเวียนว่ายวัฏสงสาร เรียนสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีและประเสริฐที่สุด เอาไหม บางคนก็บอกว่าเอาดีไม่เอาดี จะเป็นคนดีต้องกล้าให้ถึงซึ่งความดี นั่นก็คือการฝึกฝนบำเพ็ญตน ม้าถ้าฝึกมาดีเพียงไรก็ไม่พยศแน่ ใช่หรือไม่ (ใช่) และคนถ้าฝึกได้ดีจะเป็นอย่างไร คนที่ฝึกได้ดีอดทนได้ดีและประพฤติได้ดี คนนั้นจะเป็นคนที่ทนได้ในสิ่งที่คนอื่นทนไม่ได้ รับได้ในสิ่งที่คนอื่นรับไม่ได้ หากเรารู้จักฝึกฝนโดยใช้คุณธรรมตัดเหตุแห่งความทุกข์ยากทั้งปวง โดยการที่จะสุขุม ละ และไม่หลงยินดีในสิ่งที่น่ายินดี และรู้จักดับทุกข์ทั้งมวล หากทำได้สี่อย่างนี้จะเป็นคนที่ประพฤติดีและเป็นบุรุษหรือสตรีอาชาไนย เคยได้ยินคำนี้ไหม ไม่ใช่อาชาไนยที่แปลว่า “ม้า” แต่แปลเป็นอีกอย่างหนึ่งว่า “ผู้ที่ฝึกมาดีแล้ว” ผู้ที่ควบคุมตนเองได้ดีแล้ว มนุษย์เราหากเป็นคน สิ่งที่น่ากลัวอย่างหนึ่งก็คือ ควบคุมกายได้แต่ควบคุมใจไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่) นั่งอยู่ตรงนี้ใจก็คิดนั่นคิดนี่ ใช่ไหม (ใช่) ก็เพราะว่ามนุษย์เราเมื่อยามหลับหนึ่งคืนเคยหลับยากไหม และรู้สึกว่าราตรีนั้นยาวนานเหลือเกินใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาที่เราเดินทางไกลด้วยเท้าเปล่า ใจเรารู้สึกล้าสิบก้าวก็เดินไม่ไหว มีคำพูดกล่าวไว้ว่า “มนุษย์เรานั้นหากนอนไม่หลับ แม้หนึ่งราตรีก็ยาวนานเหมือนหนึ่งพันวัน” ใช่หรือไม่ (ใช่) หากเดินไม่ไหวใจท้อ แม้สิบก้าวก็ยังว่าไกล แต่วัฏสงสารที่มนุษย์ยังลุ่มหลง ยังยึดติดในรัก โลภ โกรธ หลง ทรัพย์สินเงินทอง มีความรัก มีความอยาก สังสารวัฏที่มนุษย์จะติดอยู่นั้นยาวนานยิ่งกว่าหนึ่งคืน และยาวนานยิ่งกว่าสิบก้าวเดินที่คนท้อล้าอีก ฉะนั้นเกิดเป็นคนหนึ่งคน เราสามารถตัดภพตัดชาติได้หนึ่งครั้งด้วยหนึ่งชีวิตนี้ ถ้ารู้จักดับทุกข์เป็นและไม่ก่อให้เกิดเหตุแห่งทุกข์อีกต่อไป ตัวท่านเป็นคนหนึ่งคนที่สามารถหลุดพ้นเวียนว่ายตายเกิด ตัดภพตัดชาติด้วยตัวท่านเองเพียงหนึ่งคน แต่จะทำอย่างไร ก็ทำด้วยใจของเราที่หมั่นฝึกฝนตนเองในการทำความดี รู้จักลดละในสิ่งที่ไม่ดี ไม่ลุ่มหลงในสิ่งที่น่ายินดีจนหยั่งถอนตัวไม่ขึ้น หรือไม่ปล่อยให้อะไรมาบังตา จนปิดบังมองเห็นความจริงแห่งชีวิต สนใจไหม (สนใจ) และท่านคิดว่าตัวท่านเองคนนี้ สามารถตัดภพตัดชาติและหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิดได้หรือไม่ (ได้) และทำอย่างไร ยิ่งอายุมากแล้วเขาว่าโชคดี ท่านก็ต้องไม่อยากแล้วเพราะอยากมาจนสุดชีวิตแล้ว ฉะนั้นการที่จะลดความอยากก็ลดได้ง่าย ไม่เหมือนหนุ่มสาวใช่ไหม (ใช่) หนุ่มสาวก็สามารถลดได้ถ้ารู้จักอยากจะลด รู้รักที่จะลด มนุษย์ทุกคนสามารถเป็นพุทธะ ตัดภพตัดชาติ ตัดการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏได้ด้วยใจท่านเอง แต่ต้องรู้จักตัดและตัดที่ไหนก็ต้องตัดที่ต้นเหตุแห่งทุกข์ ใจที่ท่านอยากนั่นแหละ อยากมี อยากได้ อยากรัก ตัดให้เหลือน้อยที่สุด เหมือนง่ายๆ ท่านเคยเห็นกระบือไหม โดยปกติธรรมชาติของกระบือมีอะไรมาเทียมไหม (ไม่มี) แต่พอมีอย่างอื่นมาเทียมต้องทำอย่างไร ก็ลากและไถอย่างไม่หยุดหย่อนจนกว่าเทียมนี้จะออกจากตัวเราใช่หรือไม่ มนุษย์เราเมื่อไม่อยากก็นั่งเฉยๆ แต่เมื่อไรที่มีความอยากก็จะเหมือนเกวียนที่มาเทียมใจของเรา ทำให้เราไถและลำบากหาไม่หยุด เหมือนโคไหม (เหมือน) ไม่มีคนคุมแส้คอยตี แต่ท่านก็ก้มหน้าหาไปใช่หรือไม่ (ใช่) และเมื่อความอยากมาเทียม เราอยากแค่เพียงหนึ่งอย่างหรือเปล่า (ไม่) สรุปแล้วก็ยังมีเทียมซ้ายเข้าไปอีก และก็ยังไม่พออีกใช่หรือไม่ (ใช่) และเมื่อไรเราจะปลดแอกออกบ้าง
มนุษย์เรามีความทุกข์อยู่แล้วเป็นธรรมชาติคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ถ้าหากเราอยากได้อีก ความเกิดก็เป็นสองความเกิด มีทุกข์เป็นสองเท่าของความทุกข์ มีความเปลี่ยนแปลงเป็นสองความเปลี่ยนแปลงใช่หรือไม่ (ใช่) เรามีความอยากสวยก็แบกไว้ เพื่อให้เราได้ความสวย แต่ช่วงที่เราพยายามอยู่นั้น ต้องมีการเปลี่ยนแปลง อยากสวยจะเป็นอย่างไร ขูดคิ้วทิ้ง กรีดหนังตาออกให้เป็นสองชั้นใช่ไหม (ใช่) พอเปลี่ยนแปลงแล้วเจ็บไหม (เจ็บ) ใช่หรือไม่ (ใช่) พอตาเจ็บแล้วสวยเป็นสองชั้น แล้วตาสองชั้นกับตาชั้นเดียว สุดท้ายต้องตายเหมือนกันไหม (ตาย) แล้วทำไมต้องไปกรีดให้เจ็บอีก ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนเรามีเงินแค่นี้ หางานทำแค่นี้ พอเลี้ยงชีพไหม (ไม่พอ) ไม่พอไม่เป็นไร แต่ถ้าหาเท่านี้อีก ช่วงที่ท่านหา ท่านต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดการต่อสู้ไหม (เกิด) มีความเปลี่ยนแปลงในตัวเองไหม (มี) มีความทุกข์ในตัวเองไหม (มี) แล้วถ้ามีงานหนึ่งงานกับหนึ่งชีวิตเป็นทุกข์สองทุกข์แล้ว ใช่ไหม (ใช่) เราจะอยากอีกอย่างหนึ่งเป็นสามอย่าง คราวนี้เป็นความทุกข์จากดับเบิ้ลทุกข์ ถ้าอยากเพิ่มอีกสี่อย่างเป็นอะไร (เป็นดับเบิ้ลความทุกข์) เราก็จะเพิ่มความทุกข์ขึ้นไปเรื่อยๆ ฉะนั้นเรา
ฝึกฝนบำเพ็ญกันเพื่ออะไร เพื่อยามมีชีวิตอยู่นี้ให้มีการเกิดน้อยที่สุด เมื่อเกิดน้อยทุกข์ก็น้อยตามการเกิด ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อทุกข์น้อยชีวิตเราก็ไม่มีเหตุที่จะทำให้เราต้องเวียนว่ายไปกระทบกระทั่งใคร ไปเบียดเบียนทำร้ายใคร เพราะความอยากของเราลดน้อยลงแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) อายุมากปานนี้แล้วจะเทียมเกวียนไปกี่อัน ใช่หรือไม่ (ใช่) ปลดแอกบ้างได้แล้ว ปล่อยวางบ้างได้แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าอายุน้อยอย่างนี้ ปล่อยวางได้ ดีไม่ดี (ดี) แต่ทำไมเราจึงอยากเป็นโคที่เทียมเกวียนอีก ใช่หรือไม่ (ใช่) เราอยากบอกท่านว่า แม้อายุเท่านี้ ก็สามารถมีชีวิตและกลับคืนเบื้องบนได้ ด้วยการฝึกฝนเป็นคนดี รู้จักหาเหตุแห่งการดับทุกข์ ตัดมูลเหตุแห่งทุกข์นั้น สิ่งที่ท่านต้องการมากที่สุดเมื่อยามมีชีวิตคือ มีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่อยากมีทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วการจะมีความสุขนั้นทำอย่างไร อยากรู้ไหม (อยากรู้) การจะมีความสุขดับทุกข์ให้น้อยที่สุด ตัดเหตุแห่งทุกข์ออกให้หมด แล้วสุขจะบังเกิด ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่มนุษย์คิดไม่เหมือนพุทธะ มนุษย์คิดว่าอยากหาสุข ก็ไปแสวงหาสุข จะมานั่งดับทุกข์ทำไม ไปหาสุขในความรัก ความอยาก ไปหาสุขในการมีเงิน มีทอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ไปหาสุขในการเล่นไพ่ เขย่าๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) การที่จะหาความสุขที่แท้จริงคือดับเหตุแห่งทุกข์ทั้งมวล เมื่อไรที่เราดับเหตุแห่งทุกข์ทั้งมวลได้ สุขจะบังเกิด ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าท่านวิ่งไปหาสุข แต่พอได้สุขมาแล้ว อย่างเช่น ความรัก มีทุกข์ตามมาไหม (มี) มีคำกล่าวว่า “รักหนึ่งก็ทุกข์หนึ่ง รักสิบก็ทุกข์สิบ” ชีวิตนั้นเหมือนน้ำที่ราบเรียบ ความรักเหมือนลมพัดน้ำ เมื่อไรที่ลมพัดน้ำ น้ำก็กระทบกระทั่ง ชีวิตเหมือนน้ำที่ราบเรียบ มีความอยากเมื่อไร ความอยากนั้นก็เหมือนน้ำที่ทำให้เกิดคลื่นแปรปรวน ใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตก็เหมือนน้ำที่ราบเรียบ ความต้องการปรารถนาก็เหมือนกับทำให้น้ำกระทบกระทั่ง เข้าใจไหม (เข้าใจ) เราอยากให้น้ำราบเรียบหรืออยากให้น้ำกลายเป็นคลื่นกระทบกระทั่งกัน (ราบเรียบ) หรือสาดซัดแตกฟองฝอยกระเซ็น พอชนฝั่งก็หายวับไปกับตา เอาแบบไหนกัน ที่เป็นน้ำราบเรียบ พอถึงเวลาก็ไปอย่างราบเรียบ ชนฝั่งก็กลับได้อย่างสุขสบาย ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ความปรารถนาของมนุษย์เหมือนลมที่พัดทีหนึ่งก็เจ็บทีหนึ่ง แม้ตอนแรกจะสุข แต่ตอนหลังตรอมตรมในทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนความรัก รักมากก็ทุกข์มาก ใช่หรือไม่ (ใช่) หายวับไปกับตา มนุษย์เราก็ทุกข์เพราะสังขารมามากแล้ว ใช่ไหม (ใช่) เจ็บปวดก็ร้องโอดครวญ บางครั้งเวลาเจ็บก็ทำใจให้เข้มแข็งไว้บ้าง จะได้ไม่เจ็บสองเจ็บ ใช่ไหม (ใช่) แต่ชีวิตไม่ง่ายแบบนี้ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ง่ายอย่างที่เราพูดและไม่สนุกสนานเสมอไปใช่หรือไม่ (ใช่) ท่านต้องรู้จักรับมือให้เป็นและใช้ปัญญาตามให้ทันตลอดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าเหตุการณ์จะพลิกไปมากแค่ไหน ท่านก็ต้องสามารถใช้สติปัญญาพลิกตามให้เท่าทันอย่าปล่อยให้ความทุกข์มายึดกุมจิตใจ เมื่อไรที่มีความทุกข์จงตั้งสติให้ดีอย่าคิดฟุ้งซ่าน อย่าปล่อยให้ตัวเองพ่ายแพ้กับความฟุ้งซ่านในใจตน และอย่าปล่อยให้ตัวเองตายทั้งเป็นเพราะความยึดมั่นเวลาที่เจอทุกข์เข้าใจไหม แต่เวลาท่านก้าวผิดพลาดไป บางครั้งเจอเหตุการณ์ใดไม่มีใครคอยควบคุม ไม่มีใครคอยจับผิดท่านใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเราดำเนินชีวิตพบความผิดพลาด พบความทุกข์ เราบอกว่าต้องตั้งสติให้ดีใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่มีใครลงโทษท่าน ไม่มีใครช่วยท่านแก้ไขได้ ไม่มีใครดึงท่านขึ้นมาจากความทุกข์ได้นอกจากตัวท่านเองใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นแม้จะมีคนสมน้ำหน้า แม้จะมีคนต่อว่าเมื่อเราผิดพลาดเราอย่ายอมแพ้ เราจงลุกขึ้นสู้ อย่าให้ความทุกข์หรืออย่าให้คำพูดใครมาฆ่าเราให้ตายทั้งเป็น จงเข้มแข็งเมื่อยามมีชีวิต แล้วฝ่าฟันทุกข์อย่างถูกต้องนี่แหละเรียกว่าเป็นคนดี เรียกว่าเป็นคนที่รู้จักฝึกตนมาดีแล้ว แม้ใครจะว่าเราเป็นสิบครั้ง ทำไมเราทนได้ ก็เพราะว่าเราได้ฝึกตัวเองมาแล้ว ฝึกโดยการใช้ธรรมะมาน้อมนำมาขัดเกลาให้รู้จักอดทนให้อภัย และมีเมตตาต่อคนที่ต่อว่า แต่ถ้าคนไม่เคยฝึกตนมาเลย เวลาโดนคนว่าทีก็หวั่นไหว แต่ถ้าคนฝึกมาดีแล้ว เมื่ออะไรมากระทบก็ตั้งสติให้มั่น ไตร่ตรองให้รอบคอบใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเมื่อมาฝึกฝนบำเพ็ญธรรมได้หนึ่งวันต้องตั้งสติให้ดี เจอเหตุการณ์ใดอย่าหวั่นไหวอย่าฟุ้งซ่าน เป็นคนดีทำอย่างไรบ้างใครตอบได้ลุกขึ้นเร็วเรามีผลไม้ให้ (สุขุมรอบคอบ, ให้ยินดีในสิ่งที่น่ายินดี, ดับทุกข์, อ่อนน้อมถ่อมตน) รู้จักดับทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วทุกข์มีอะไรบ้างที่ต้องดับ (ความอยาก, ความโลภ, ความโกรธ, ความหลง) ดับให้เหลือน้อยที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ใช่หมดเลยยังอยากที่จะเป็นคนดีอยู่ ยังอยากที่จะทำดีอยู่ (รู้จักลดละในสิ่งที่อยากจะได้และในสิ่งที่ไม่ดี) รู้จักลดละในสิ่งที่อยากจะได้และในสิ่งที่ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) (ไม่ยินดีในสิ่งที่น่ายินดี, ไม่ยึดถือ, ต้องเสียสละ, รู้จักการให้อภัย) รู้จักให้อภัยและเปิดใจกว้าง ใครว่าเรา ใครตีเราก็รู้จักให้อภัย (ใช้สติปัญญาแก้ปัญหา, เอาชนะใจตนเอง) มีสติตอนนั่งสมาธิอย่างเดียวพอไหม เวลามีปัญหาและทุกเวลาขณะที่ก้าวเดินเมื่อยามมีชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะเราเผลอเราจึงเกิดทุกข์ เพราะสติไม่สมบูรณ์เราจึงทำผิดพลาดใช่หรือไม่ (ใช่) (มีใจกว้างขวางเผื่อแผ่พี่น้องหมู่เฮาทุกคนให้สามัคคีกัน) เมื่อเวลาให้อย่าเพิ่งไปเรียกร้อง ถ้าจะเรียกร้องก็ให้เรียกร้องทีหลัง อย่าให้ไปแล้วหวังผลทันที ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่อยากรับใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเราตั้งใจจะให้ก็ให้ไปเลยอย่าให้แล้วรอผล อย่าให้แล้วบอกว่าเราให้อย่างนี้ต้องทำอย่างนี้เขาก็ไม่อยากรับใช่หรือไม่ (ใช่) (รู้จักเกรงใจ) ใครแอบสูบบุหรี่ยังสูบบุหรี่อยู่หรือเปล่า สูบบุหรี่กินเหล้าเป็นสิ่งไม่ดี ใครยังแอบเล่นการพนันอีก ใครยังเล่นหวยใต้ดินอีกต่อไปต้องรู้จักลดใช่หรือไม่ (ใช่) ความโลภถ้าเมื่อไรเราต้องการความโลภ มนุษย์มักจะหลอกลวงกันด้วยความโลภ เอาความโลภมาหลอกล่อแล้วก็หลอกเอาเงินเราไป ฉะนั้นเราอย่าเปิดช่องว่างให้เขาเห็นไม่อย่างนั้นจะโดนหลอกลวงใช่หรือเปล่า (ใช่) (รู้จักเสียสละให้โดยไม่หวังผลตอบแทน) เมื่อเวลาเราอยู่ร่วมกันต้องใช้ท่าทีถ้อยทีถ้อยอาศัย อย่าใช้แข็งกับแข็ง มิฉะนั้นจะไม่เกิดประโยชน์ เหมือนเวลาเราอยู่ร่วมกันมีปัญหาอย่าใช้อารมณ์คุยกัน เมื่อไรที่อารมณ์คุยกับอารมณ์มักจะไม่รู้เรื่องใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จงใช้สติคุยกันอย่างมีสติใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วสติแบบไหนล่ะ สติอย่างเป็นกลางไม่ใช่สติแบบเข้าข้างตนด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเราเกิดเป็นคนทำดีได้อย่างเหมาะสมถูกต้องแล้ว การจะเรียกร้องให้คนอื่นหรือการจะดึงคนอื่นไปช่วยคนอื่นก็เป็นการง่ายใช่หรือไม่ (ใช่)
มีโอกาสก็ไปฉุดช่วยคน ให้ธรรมะเขาในการเป็นคนดี เพราะเมื่อไรที่เราทำได้ดี ความดีนั้นไม่ไปไหน ย่อมนำความสุขมาให้ ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนๆ จำไว้นะ มนุษย์เรานั้นเกิดมาเวียนว่ายตายเกิดมาตั้งหลายหมื่นปี เรายังต้องรู้จักกลับบ้านบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่) บ้านของเราคือหลังไหน หลังที่สร้างนี่หรือ (ไม่ใช่) บ้านของเราที่แท้จริงอยู่ข้างบน เมื่อไรท่านสามารถขัดเกลาจิตใจกลับคืนเบื้องบนได้ล่ะ ก็พยายามคิดน้อยๆ ไม่โมโห ไม่โลภมาก เมื่อไรที่ใจเราใสสงบสะอาดทำบุญทำทานกลับคืนเบื้องบนย่อมง่าย แต่ถ้าใจเต็มไปด้วยความสกปรก นินทาว่าร้าย ขี้โมโหหงุดหงิดง่ายใจย่อมหนักกลับคืนเบื้องบนย่อมยาก เป็นคนดีไม่ยากเลย เป็นอย่างไร พูดน้อยๆ ใจเย็นๆ รักษาคำพูดไม่โกหก ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ขี้โมโหใจร้อน ใช่ไหม (ใช่) ไม่รักสวยรักงามจนลืมคุณธรรมเกินไป ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นทำดีไม่ใช่เรื่องยาก เมื่อไรที่ทำดีได้อย่างมั่นคงแล้วก็ก้าวไปสู่การเป็นพุทธะ เมื่อก้าวไปสู่พุทธะแล้วก็จงมีจิตใจเผื่อแผ่เมตตาช่วยเหลือคนด้วย ทำได้ไหม (ได้) เมื่อยามมีชีวิตจงทำดีให้สุดลมหายใจ สุดกำลังใจที่ทำได้แล้วจะไม่เสียชาติเกิด ตายก็สบายใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่) อย่าห่วงร่างกายนี้จนมากเกินไปอย่ายึดมั่นเกินไปไม่ดีหรอก ที่นี่จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ จะมีคนหรือไม่ก็อยู่ที่ท่านว่าจะมาหรือไม่มา ใช่หรือไม่ (ใช่) ห้องพระจะเป็นห้องพระที่สามารถฉุดช่วยคนได้ก็ต่อเมื่อทุกๆ คนร่วมมือกัน ธรรมะจะแผ่ได้กว้างไกลไพศาลก็ต่อเมื่อทุกๆ คนมีธรรมอยู่ในใจและรู้จักเอาธรรมที่มีอยู่ในใจนั้นให้คนอื่น ใช่ไหม (ใช่) ไปแล้วนะ ตั้งใจศึกษาให้ดีอย่ามัวแต่ง่วงเหงาหาวนอน ตั้งใจฟังให้ดี
วันอาทิตย์ที่ ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อย่านำเอาความฉลาด ผูกมัดเพื่อเอาเปรียบคน คนหนอคน เพื่อตนเที่ยวเอาเปรียบเขา ถ้าแม้นซื่อกินไม่หมด น่าเสียดายคดกินไม่นาน เป็นคนคิดมากเสียการณ์ ใช้ความหาญพลิกยากให้ง่าย
ทำนองเพลง : ฝนตกแดดออก
เราคือ
จี้กงอรหันต์อนุเคราะห์ชาวโลก รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ แฝงกายเคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนเหนื่อยหรือเปล่า
ใช้วัตถุและความคิดให้ถูกงาน บุปผาบานสวยงามแค่ช่วงหนึ่ง
รู้กาลเทศะเบาลงกึ่ง ขอศิษย์พึงตีเหล็กเมื่อยามร้อน
ทุกวันนี้ยังน้อยคนมุ่งทางธรรม หากยังทำเป็นเล่นกรรมไม่ผ่อน
คนมีกรรมไม่หนักแน่นชอบใจร้อน ดั่งเร่ร่อนอยู่ในสับสนใจ
บรรยากาศธรรมดีเพราะบำเพ็ญดี ขอศิษย์มีปัญญาสว่างไสว
อย่าบำเพ็ญไปแกนแกนให้เหนื่อยใจ ขอวันใหม่เริ่มขึ้นคลายความเหี่ยวเฉา
ศิษย์รักต่างเป็นความหวังในใจข้า จงก้าวหน้าขึ้นไปก้าวต่อก้าว
คนเอาแต่อารมณ์มักสร้างเรื่องเศร้า ใจสีเทาเร่งขัดเกลาขาวดังเดิม
ฮา ฮา หยุด
ถึงจะฉลาดมิประมาทกันแต่อย่างไร เหนือฟ้าก็ยังมีฟ้า ใจต้องฝ่าโลกตามความจริง โปรดเกรงใจแม้สนิท ขาดมิตรถ้าหากแข็งเกิน มีแล้วเพลิน มีเงินอยู่ในกระเป๋า อ่อนน้อมน่ารักที่สุด บำเพ็ญรู้รุดไม่เบา ห้ามลงด้ามพร้าด้วยเข่า แตกร้าวด้วยความร้อนใจ
อย่านำเอาความฉลาด ผูกมัดเพื่อเอาเปรียบคน คนหนอคน เพื่อตนเที่ยวเอาเปรียบเขา ถ้าแม้นซื่อกินไม่หมด น่าเสียดายคดกินไม่นาน เป็นคนคิดมากเสียการณ์ ใช้ความหาญพลิกยากให้ง่าย
ทำนองเพลง ฝนตกแดดออก
(หมายเหตุ : ย่อหน้าแรกเป็นเพลงพระโอวาทของท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง และ ย่อหน้าที่สองเป็นเพลงพระโอวาทของพระอาจารย์จี้กง)
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
หนึ่งคนทำงาน แล้วทุกคนกินพอไหม (ไม่พอ) แล้วถ้าหากว่าทุกคนทำงาน แล้วทุกคนกิน พอไหม (พอ) เพราะฉะนั้นเวลาที่เรามานั่งเรือธรรมะ ต่อให้เราพายเป็น พายไม่เป็น ก็ต้องพยายามพาย ใช่หรือเปล่า (ใช่) คนมีแรงน้อยพายได้ใกล้ คนมีแรงมากพายได้ไกล ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าการที่เราบำเพ็ญธรรมนั้น ไม่ใช่ต่างคนต่างเอาตัวรอด แต่ต้องเป็นอะไร คนที่มีแรงมากฉุดคนที่มีแรงน้อย คนที่มีแรงน้อยฉุดคนที่ไม่มีแรง ใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกอย่างถึงลงตัวและมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การบำเพ็ญธรรมะและการมีชีวิตอยู่ จะมีความสุขขึ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นการพายเรือเป็นการออกกำลังกายแค่ช่วงสั้นๆ นี้ สามารถสอนธรรมะให้เราได้เช่นกัน สิ่งที่สำคัญอย่างของการที่จะอยู่ร่วมกันคืออะไร (ความสามัคคี) คำๆ นี้เป็นคำง่ายๆ มีแค่สามคำเท่านั้นคือ “สามัคคี” ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ว่าเราอยู่ที่ไหน ถ้าหากมีความสามัคคีอยู่ร่วมกันก็จะมีความสุข แต่หากว่าเราไม่มีความสามัคคี เราจะมีความสุขไหม (ไม่มี) เราไม่ทะเลาะกับคนอื่น แต่คนอื่นทะเลาะกับเรา เรามีความสุขไหม (ไม่มี) แต่ในชีวิตจริงไม่ใช่จะเป็นอย่างนั้น ถ้าคนอื่นไม่ทะเลาะกับเรา แต่เราไปทะเลาะกับคนอื่น ใช่หรือเปล่า (ใช่) แสดงว่าเราอยากให้คนอื่นสามัคคีกับเรา หรือเราอยากสามัคคีกับคนอื่น คนมีแขนซ้าย แขนขวา ต้องเป็นทั้งสองอย่าง เราต้องรู้สึกว่าอยากสามัคคีกับคนอื่น แล้วคนอื่นต้องสามัคคีกับเรา ใช่หรือเปล่า (ใช่) ทุกอย่างจึงก้าวหน้าไปได้ตลอดรอดฝั่ง ก้าวหน้าอยู่คนเดียวได้ไหม (ไม่ได้) ก้าวหน้าไปมากเลยได้ไหม (ได้) ไม่กลัวก้าวหน้ามากไม่ได้ กลัวแต่ไม่ก้าวหน้าเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) ทีนี้อย่ามีใครกินแรงใครอีก ใช้ได้หรือไม่ได้ก็พยายามหน่อย ดีหรือไม่ (ดี)
เพลงเมื่อวานนี้ร้องเป็นหรือเปล่า อาจารย์จะให้อีกท่อน แล้วเดี๋ยวร้องให้อาจารย์ฟัง เวลาอาจารย์หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เพลงที่นี่ทีไรไม่มีใครร้องได้สักที เพราะหัวใจเราเป็นลูกทุ่งหรือ ก็ยังไม่ถูกต้องตามที่อาจารย์บอก แสดงว่าฟังไม่เข้าใจ แต่ว่าไม่เป็นไร คนที่นำพาไม่ว่าจะนำพาในการบรรยายธรรมหรือการบำเพ็ญธรรม หากว่ามั่นใจก็ดีกว่าไม่มั่นใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ว่ามั่นใจถ้าหากลงจากตรงนี้ไปแล้ว หมดจากหน้าที่ที่ต้องนำคนแล้ว เราต้องไปดูว่าถูกต้องหรือเปล่า
เวลาที่เราฟังธรรมะ เราสงสัยใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นอีกเวลาหนึ่งที่เราจะต้องเหนื่อยใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าเหนื่อยไม่เหนื่อยอยู่ที่ไหน (อยู่ที่ตัวเรา) เหนื่อยนั้นอยู่ที่กาย ใจนั้นเหนื่อยกว่ากายอีกใช่หรือไม่ (ใช่) หากว่าเราทำสิ่งใดแล้วทำไม่ได้รู้ทั้งรู้ว่าเป็นสิ่งที่เราไม่ได้ทำตามสิ่งที่เราฟัง จะทำให้เราเหนื่อยมากไหม จะทำให้เราเกิดความรู้สึกเหนื่อย จะทำให้เรารู้สึกเหนื่อยมาก ฉะนั้นเมื่อเรามีโอกาสจะช่วยสักคราวหนึ่ง เมื่อมีโอกาสที่จะลำบากสักคราวหนึ่ง อย่าคิดแต่ว่าเป็นความลำบาก อย่าคิดแต่ว่าเป็นความทุกข์ อย่าคิดแต่ว่าเป็นสิ่งที่
เลวร้ายที่สุดในชีวิตของเรา อย่ามัวแต่คิดอย่างนั้น เคยมีใครสักคนหนึ่งไหมที่จะเคยคิดว่าความทุกข์นั้นเป็นบทเรียนให้แก่เรา ความลำบากเป็นสิ่งที่เราหายากจริงหรือเปล่า เจอความลำบากกันทุกวันไหม (ทุกวัน) ไม่ใช่อยู่กับความลำบากมากๆ แล้วเรารู้สึกคุ้นเคยและเคยชินกับความลำบากนั้นๆ สมมติว่าบ้านเราไม่มีน้ำใช้แล้วเราต้องไปหาบน้ำเข้ามา ถ้าหาบทุกวันๆ ถามว่าชินไหม โดยอัตโนมัติบ่าของเราก็จะสามารถรับน้ำหนักที่หนักๆ เช่นนี้ได้ พอผ่านไปหลายๆ ครั้ง ไปหลายๆ วัน ไปหลายๆ ปี ความลำบากอันนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องธรรมดาใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าวันหนึ่งหาบน้ำรอบเดียวไม่เป็นไร เกิดวันไหนต้องหาบน้ำหลายๆ รอบขึ้นมาก็ลำบาก ฉะนั้นทุกวันนี้ที่มีชีวิตอยู่นี้อาจารย์ก็รู้ว่าศิษย์ลำบาก ลำบากตั้งแต่มีชีวิตเกิดขึ้นมาจนกระทั่งแก่เลย ทำไมหนีไม่พ้นสักทีก็ไม่รู้ แต่ความลำบากที่เราเจอขึ้นเจอลงทุกๆ วัน ขึ้นๆ ลงๆ อยู่ทุกวันเรารู้สึกเคยชินกับมันบ้างไหม รู้สึกคุ้นเคยกับความลำบากของเราบ้างหรือเปล่า ทำไมเราถึงไม่คุ้นเคย ถ้าเราไม่คุ้นเคยก็แสดงว่าเราไม่ยอมรับในชะตาชีวิตของตัวเอง ที่ลำบากที่สุดก็คือลำบากตรงไหน ลำบากที่ไม่ยอมรับตัวเองว่าเป็นตัวเองนั่นแหละใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นลองมาคิดใหม่ ความลำบากนั้นเจอทุกวันไหม ไหนใครคิดว่าตัวเองยังเจอความลำบากทุกวันบ้าง ทีนี้คนที่เจอความลำบากทุกวัน อาจารย์พูดใหม่ ฟังนะ ศิษย์คิดว่าในโลกนี้มีคนลำบากกว่าเราไหม เพราะฉะนั้นความลำบากของเราเป็นเรื่องเล็กหรือเปล่า (เล็ก) ก็จะเล็กลงไปอีก ความลำบากของเราดูว่ามันเล็กลงเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วโลกนี้อะไรที่เรียกว่าความลำบากหรือความทุกข์อย่างแท้จริง ถามศิษย์รักทุกคนเหนื่อยหรือเปล่า โลกนี้อะไรที่เรียกว่าความลำบากอย่างแท้จริงมีไหม มีอะไรที่เป็นความลำบากอย่างแท้จริงบ้าง (การเวียนว่ายตายเกิด) ก็เป็นอีกหนึ่งความลำบาก (การประกอบอาชีพ) บางทีศิษย์ของอาจารย์อาจจะรู้จักความทุกข์ยากในโลกนี้อย่างคนที่สับสนอลหม่านในจิตใจมากๆ ทุกๆ วันก็คือความเหนื่อย ความยาก ความลำบาก แต่จริงๆ แล้วความเหนื่อยยากมันอยู่ตรงไหน ความเหนื่อยยากแท้จริงในโลกนี้มีไหม ความเหนื่อยยากแท้จริงในโลกนี้มี ตอนที่ศิษย์เจอความเหนื่อยยากวันแรก ครั้งแรกนาทีแรกนั่นเป็นความทุกข์ยาก แม้ปัญหาง่ายๆ ก็ดูจะยากไปหมดใช่หรือไม่ (ใช่) แต่หากว่าเจอเข้าบ่อยๆ ใน
คำถามเดียวกันในความยากลำบากอันเดียวกัน เจอเข้าบ่อยๆ ความชำนาญหรือสิ่งที่เอามาแก้ปัญหาก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่) สมมติว่าอาจารย์ให้ศิษย์ทำโจทก์ชีวิตที่ยากโจทก์หนึ่ง แต่ให้เวลาศิษย์สามปีๆ นี้พอจะแก้อะไรได้ไหม โจทก์ชีวิตที่ว่ายากเราต้องมีวิธีคิด เราต้องมีวิธีการที่จะแก้ปัญหา หยิบฉวยอาวุธ หยิบฉวยสิ่งต่างๆ เราแก้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ตอนที่เจอความยากลำบากวินาทีแรกรู้สึกอย่างไรบ้าง ให้เวลาแก้สามปี แต่ว่าตอนเจอสามนาทีแรกเป็นอย่างไรเหมือนใครเอาของแข็งๆ มาทุบหัวเลยใช่หรือไม่ (ใช่) ความยากลำบากที่เราเจอนั้นไม่เจอมาแค่สามปีแต่เจอมามากกว่านั้นใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นต้องคิดให้ดีว่าชีวิตนี้มีความยากลำบาก ความยากลำบากที่เราเจอจนเรารู้สึกคุ้นเคย แล้วจัดความยากลำบากให้มีลำดับ ตามลำดับคือยากมาก ไม่ค่อยยาก ไม่ยากเลย อย่างนั้นจัดให้ชีวิตของเราอย่าไปรับความยากลำบากมาใส่ใจไว้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ชีวิตของเราจะได้รู้สึกถึงความสุขมากขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่) ทำได้ไหม (ได้) เมื่อเราคิดว่าเราลำบากถึงที่สุดแล้วก็ให้คิดถึงผู้อื่น ผู้อื่นมีความลำบากมากกว่าเราใช่หรือไม่ (ใช่) เรามีปัญหาครอบครัว แต่คนอื่นมีปัญหาเรื่องการงาน คนนั้นมีปัญหาเรื่องคู่ครอง มีปัญหาเรื่องลูก เราแต่ละคนเกิดมามีปัญหาไม่เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่เราใช้รับมือกับปัญหาทุกอย่างนั้นคืออะไร (คือปัญญาของคน) มีกี่คนที่อยู่ที่นี่ที่คิดว่าตัวเองมีปัญญาไหนยกมือขึ้น มีอยู่ไม่กี่คนที่มั่นใจว่าตัวเองมีปัญญา แต่คนที่ไม่มีนั้นมีสิทธิ์ที่จะมีได้ไหม (ได้) ปัญญานั้นมาจากการเรียน อาจจะมาจากการฝึกฝน ปัญญาอาจจะได้มาจากประสบการณ์ ซึ่งในที่สุดแล้วถ้าหากว่าเราไม่ได้มีมาแต่กำเนิดขอให้ทุกคนสามารถไปบรรลุในสิ่งเดียวกันคือคำว่าปัญญาใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าคนที่จะมีปัญญาได้ไม่ใช่วันๆ คิดถึงแต่ตัวเอง คนที่มีปัญญาคือคนที่ต้องรู้จักคิดถึงผู้อื่น คนที่มีปัญญาคือคนที่ตัองขยันที่จะคิดและก็คิดในสิ่งที่ดี ทุกวันนี้ในสมองของเราคิดเรื่องอะไรบ้าง ทุกวันนี้คิดถึงแต่เรื่องลูก สามีภรรยา หรืออาจจะคิดถึงสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด และที่คิดถึงมากที่สุดคือตัวเราใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นคนที่มัวคิดถึงแต่ตนเองมีปัญญาได้ไหม (ไม่ได้) อยากมีปัญญาไหม (อยาก) ถ้าหากศิษย์มีปัญญาขึ้นมาวันไหน ศิษย์จะไม่รู้สึกยากลำบากกับสิ่งที่เจอ เราจะมีสิ่งหนึ่งที่ไม่ต้องซื้อหามาด้วยเงินทอง ไม่ต้องแลกมาด้วยชีวิต ไม่ต้องเสียน้ำตาเพื่อที่จะได้มา นั่นคือปัญญา ไว้สำหรับรับปัญหาทุกสิ่งในชีวิต ทั้งการงานทางโลก และทางธรรม เพียงแต่ว่าคนมีปัญญานั้นมีน้อยกว่าคนที่ไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าถ้าทุกคนอยากมีก็มีได้ เพียงแต่ว่าเราไม่อยากมี เพราะวันๆ มัวแต่คิดถึงแต่ตัวเอง วันๆ คิดถึงแต่สภาวะของตัวเอง แล้วคิดว่าทำอย่างไรให้ตัวเองสบายที่สุด ก็จะมีปัญญาไม่ได้ วันนี้ที่เรามาฟังธรรมะในวันที่สอง อยากให้ศิษย์ไปไหน (ไปหลุดพ้น, ไปนิพพาน) แต่ถ้าหากว่าเรามีชีวิตอย่างที่เรามีอยู่ทุกวันนี้จะไปได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นจะต้องรู้จักมาแก้ไขตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์ลองคิดดูว่าตอนนี้เราอายุเท่านี้ คิดไปถึงตอนที่เราต้องเสียชีวิตไป แล้วเราเป็นอย่างนี้ไปตลอดชีวิต เราจะสามารถไปสู่ความหลุดพ้นได้หรือไม่ (ไม่ได้) แล้วถ้าเราทำตัวดีกว่านี้ละ เป็นไปได้ไหม (ได้) ดีอย่างไรล่ะ ดีแบบคนที่เป็นคนดีของโลก คนดีที่คนในโลกยกย่องว่าเราเป็นคนดี แล้วถ้าหากดีต่อไปล่ะ ดีที่ตัวเอง ดีระดับเทวดา ดีเหมือนพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทุกคำๆ ทุกระดับอาจารย์ใช้คำว่าดีคำเดียวพอ ไม่พูดถึงรายละเอียดของคำว่าดี เราคิดว่าเราสามารถที่จะเป็นไปได้ไหม ที่เราจะเปลี่ยนแปลงตนเองให้ดี เป็นคนดีของโลกได้ไหม (ได้) ตอนนี้ไม่ใช่ว่าทุกคนเป็นคนไม่ดี ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เป็นคนดีเฉพาะตัวเองหรือดีเฉพาะสิ่งแวดล้อมที่ตัวเองอยู่เท่านั้นเอง จึงเป็นการยากที่เราจะเป็นคนดีขึ้นมาจริงๆ ดีแบบเทวดาเดินดินเลยนะ ถ้าหากว่าเราอยู่ในโลกนี้แล้วคนเขาเรียกว่าเราเป็นเทวดาเดินดิน เวลาเราตายไปเราเป็นอะไร (เทวดา) ถ้าหากว่าเราอยู่บนโลกแล้วคนเขาบอกว่าคนนี้ดีแบบโพธิสัตว์ทีเดียว เวลาเราตายไปเราเป็นอะไร (โพธิสัตว์) เพราะฉะนั้นการที่จะหลุดพ้นได้ หรือการที่จะเป็นคนดีได้ ดีจากตรงไหน ไม่ใช่ดีตอนที่ตายไปแล้ว กุศลเราสร้างไว้ไม่ใช่ว่าจะเห็นได้ ฉะนั้นเราจะให้เห็นได้อย่างไร เราก็ดูสิว่าในโลกนี้คนเขาเรียกเราว่าเป็นอะไร หรือเราเรียกตนเองว่าเราเป็นอะไร ถ้าเราเรียกตนเองว่าเราเป็นคน หรือคนกึ่งดีกึ่งไม่ดี ตายไปเราก็เป็นผีที่กึ่งสวรรค์กึ่งนรกใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นจะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ ไม่ใช่ว่าตายไปถึงรู้ผลว่าเราจะหลุดพ้นหรือเปล่า ตอนที่อยู่ในโลกในวินาทีนี้ที่มองตัวเองเราก็เห็นแล้วว่าเราสมควรจะหลุดพ้นหรือเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่) แต่หากเราให้เวลาตนเอง ให้เวลาตนเองเลี้ยงลูก ให้เวลาตนเองทำมาหากิน ให้เวลาตนเองทำงาน แล้วเราให้เวลาตนเองบำเพ็ญไหม การให้เวลาตนเองบำเพ็ญ คิดเสียว่าการบำเพ็ญเป็นงานชนิดหนึ่ง คิดอย่างนี้การบำเพ็ญของเราก็จะก้าวหน้าขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกับที่นี่ผ่านไปกี่ปีกี่ปีก็เป็นน้องใหม่อยู่ทุกปีๆ เลย เป็นอย่างนี้ไม่สามารถที่จะไปไหนได้ พายเรือวนอยู่ในอ่าง พายมานานแสนนานแต่ว่าในที่สุดแล้วก็อยู่ที่เดิม อย่างนั้นทำมาเป็นเวลานานก็ไม่มีผลที่ทำให้เราดีขึ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่) อยากให้ทุกคนขยันบำเพ็ญจิตใจของเราให้งดงามกว่านี้ สวยงามกว่านี้ เหมือนกับเราพูดถึงแก้วดวงหนึ่ง เดิมแก้วของเรามีความใส แต่เมื่อเราอยู่ในโลกนี้แก้วของเราก็ขุ่นขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเรารู้ตอนนี้เราได้มอง เราได้ยกแก้วจากจิตใจของเราออกมามอง เห็นว่าแก้วของเรานั้นขุ่น ทำอย่างไร ฝุ่นที่เกาะนี้เป็นฝุ่นที่เปื้อนแค่ภายนอกเท่านั้น ฝุ่นหรือกิเลสที่เกาะอยู่บนแก้ว หรือจิตใจของศิษย์ก็อยู่แค่ภายไม่ได้เปื้อนเข้าไปภายใน เพราะจิตใจเดิมแท้หรือจิตที่สว่างนั้นอย่างไรก็สว่าง เพียงแต่เมื่อก่อนเราไม่เคยยกออกมาดูเลยว่า แก้วของเรานั้นเปื้อนฝุ่น แต่ตอนนี้เรายกออกมาดูแล้ว ไหนลองหลับตาแล้วยกแก้วในจิตใจออกมาดูสิว่ามีฝุ่นเปื้อนไหม ลองใช้ใจของเรามองแก้วในใจของเราเองสิ ไหนใครว่าของเราเปื้อนฝุ่นมากยกมือขึ้น ไหนใครว่าของเราฝุ่นก็ไม่มากเท่าไรยกมือขึ้น อาจารย์หวังว่าไม่ได้หลอกตัวเองนะ เพราะบางคนมักจะมีความมั่นใจในแบบผิดๆ ก็คือ มั่นใจว่าเราดีกว่าผู้อื่นเสมอ แต่ในโลกนี้เหนือฟ้าก็ยังมีฟ้าใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกคนมีจิตใจเหมือนๆ กันแต่อย่าคิดว่าเรานั้นดีกว่าผู้อื่นเสมอ เพราะถ้าหากว่าเราคิดอย่างนั้นก็จะเป็นการฆ่าตัวตายทางอ้อม เพราะว่าความมั่นใจของเรา บางทีต้องใช้ให้ถูกที่ ใช้ไม่ถูกที่ก็อาจจะเป็นการให้ร้ายตนเองได้ การนั่งฟังสองวันก็เพื่อหาวิธีในการเช็ดแก้วดวงนี้ให้สะอาด ถ้าอาจารย์ให้ทุกคนในห้องนี้วิ่งหาผ้ามาเช็ดแก้วของตัวเอง จะได้ผ้าที่ลายไม่เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) ในการวิ่งไปหาผ้าผืนหนึ่ง แต่ละคนก็วิ่งไปในที่ที่ไม่เหมือนกัน ต่างคนอาจจะเข้าบ้านตนเองหาผ้าหนึ่งผืน บางครั้งก็ได้ผ้าลายดอก ผ้าสีขาว ผ้าสีดำ บางคนคิดว่าสีดำเช็ดแล้วจะได้ไม่สกปรกใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนเอาผ้าสีขาวเพื่อจะได้รู้ว่าเช็ดแล้วเลอะแค่ไหน แต่บางคนเลือกผ้าลายดอกแต่ไม่ได้คิดอะไร คิดว่าเช็ดให้สะอาดก็พอ แต่ละคนมีความคิดไม่เหมือนกัน การที่เรามาสองวันนี้ก็เพื่อที่จะให้เราหาวิธี ส่วนการกลับไปหาผ้า หาอย่างไร หาที่ไหน ก็คือกลับไปหาที่ที่เราอยู่ที่ที่เรามีใช่หรือไม่ (ใช่) ซึ่งแต่ละคนก็จะมีที่ๆ จะหาผ้าไม่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเราจะหาหรือเปล่า ถ้าหากว่าเราหาผ้าไม่เจอ เราหาความเป็นตัวของตัวเองไม่ได้ เราจะคิดว่าค่อยๆ หาก็แล้วกัน ไหนๆ ก็เลอะมาตั้งนานแล้วใช่ไหม
เกิดมาชาตินี้มีทุกข์อยู่แล้ว เราจะให้ตัวของเราทุกข์ไปมากกว่านี้ไหม หรือคิดว่าชาติหน้าเกิดมาจะสบายกว่านี้ดีกว่านี้ ชาติหน้าก็คือชาตินี้ที่ติดพัน ชาตินี้เราทำดีแล้วเราจะไปดีกว่านี้ไหม คงตอบยาก ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นขอให้เชื่อว่าเราจะหลุดพ้น ส่วนจะหลุดพ้นหรือไม่นั้นอยู่ที่ตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้อาจารย์จะชี้ทางให้ศิษย์แล้ว แต่ถ้าว่าศิษย์เอาทางไปวางเฉยๆ เห็นทางแล้วแต่ไม่เดิน พอตายไปก็อยู่ที่เดิม ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเวลาที่คนชวนมารับธรรมะ ที่เขาบอกว่าหลุดพ้นได้ ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าเราไม่ทำอะไรเลย รู้ทัน รู้ทางแต่ไม่อยากบำเพ็ญ ในที่สุดแล้วก็คงจะไม่ไปไหน คงจะอยู่ที่เดิมตลอดไป ใช่หรือเปล่า (ใช่) อาจารย์หวังว่าเอาธรรมะที่นั่งฟังแล้วนำไปปฏิบัติ
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมนักเรียน) “รักษา” แปลว่าอะไร รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ใช่ไหม (ใช่) (รักษาหมู่เวไนย) รักษาอย่างไร (ฉุดช่วย) ที่นี้วงคำนี้ต้องนำคำนี้ไปทำ ในเมื่อเราตีว่าเป็นการรักษาฉุดช่วยเวไนย ก็ต้องไป
ฉุดช่วยเวไนย ใช่ไหม (ใช่) “โพธิสัตว์” อยากเป็นคนที่มีหน้าที่ช่วยเวไนยหรืออยากจะช่วยตัวเอง (ช่วยตัวเอง) อาจารย์บอกแล้วมนุษย์สมัยนี้คิดถึงแต่ตัวเอง เห็นไหม อาจารย์หวังว่า รีบๆ ช่วยตัวเองให้เร็วๆ แล้วจะได้เอาที่เหลือไปช่วยเวไนย ในเมื่อเราอยากเป็นมนุษย์ ก็ต้องเป็นมนุษย์ที่ดี เมื่อเป็นมนุษย์ที่ดีได้ เราถึงช่วยผู้อื่นได้ อย่ามัวแต่ห่วงตัวเอง จริงๆ แล้วตอนนี้เราก็ไม่เลวนะ ดีกว่าตั้งหลายคน ถ้าหากว่าตอนนี้เราไม่เอาเวลาของเราที่มีอยู่บ้างเล็กน้อยไปช่วยคนอื่น อีกหน่อยไม่มีเวลาจะช่วยแล้วจะทำอย่างไร
มีคำว่าอะไรที่ต่อข้างหน้าคำว่า “ธรรม” มากที่สุดเท่าที่เราฟังมา “บำเพ็ญ” ใช่หรือเปล่า (ใช่) คนที่นี้พูดถึงแต่คำว่า “บำเพ็ญธรรม” เท่านั้นเอง อาจารย์อยากให้กลับไปบำเพ็ญธรรมด้วย มีเวลาว่างศึกษาเพิ่มเติมให้รู้มากๆ แล้วเราจะได้รู้ว่าบำเพ็ญธรรมนั้นเป็นอย่างไร
(พระอาจารย์เมตตาเรียกผู้ปฏิบัติงานธรรมที่เสริมปณิธานออกมาหน้าชั้นและแบ่งเป็นสองฝั่งระหว่างคนพื้นที่และคนต่างพื้นที่) อาจารย์ตั้งความหวังไว้ที่นี่ตั้งแล้วล้มมาหลายรอบแล้ว คนที่ลงปณิธานทานเจที่นี่คนไหนเป็นความหวังให้อาจารย์ได้บ้าง อาจารย์จะบอกให้ว่าการทานเจไม่ใช่เรื่องง่าย และการทานเจโดยตั้งปณิธานทานเจยิ่งไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ว่าเมื่อเราตั้งปณิธานทานเจก็เหมือนกับเราเอาตัวของเราย่างเข้าไปในแดนพุทธะ ถ้าหากว่าศิษย์ทำไม่ได้ถอยกลับมาก็คือตกนรก เพราะฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์ระมัดระวังแต่ไม่ใช่ระแวง การทานเจให้ทานอย่างเป็นธรรมชาติ ทานอย่างมีความสุข ขอให้ใช้ปณิธานของเรานำพาไปสู่การทำหน้าที่อื่นที่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นการหาความก้าวหน้าให้กับตัวเราเอง และเมื่อก้าวหน้าก็หมายความว่าคนที่บำเพ็ญธรรมะก้าวหน้าไปเพื่อช่วยงานธรรมไม่มีสิ่งอื่นมากกว่านี้ อยากให้ทำจิตใจของเราให้เข้มแข็งและมีความสุข และเอาความสุขนี้ไปมอบให้ผู้อื่น ทำจิตใจของเราให้หลุดพ้นจากความทุกข์และเอาความหลุดพ้นไปมอบให้กับผู้อื่น ให้คนเห็นธรรมะนี้ดีจากการปฏิบัติตัวของเรา สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่อยากเตือนศิษย์ไว้ การบำเพ็ญธรรมะไม่มีรูปแบบของปาฏิหารย์ ไม่มีรูปแบบของสิ่งที่เป็น
ไสยศาสตร์ ขอให้เรารู้และพยายามที่จะบำเพ็ญธรรมให้ถูกครรลองและแนวทาง มิฉะนั้นแล้วเหมือนกันเราเดินอยู่บนทางที่ถูก แต่เขาจะแกว่งไปนอกเส้นทางอยู่เรื่อย ขอให้เราบำเพ็ญธรรมะอย่างคนที่ใช้สัจธรรมชีวิต และขอให้ใช้
สัจธรรมนำผู้อื่นเข้าใจไหม สิ่งที่เป็นปาฏิหารย์ สิ่งที่เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อทั้งหลาย ในเมื่อศิษย์มองไม่เห็นแล้วศิษย์จะไปใส่ใจเรื่องพวกนี้ทำไม มีแต่ธรรมะเท่านั้นที่ทำให้เราไปสู่ความถูกต้อง มีเหตุมีผล พูดง่ายๆ ก็คือใช้ธรรมะที่เราสามารถพูดได้ ใช้ธรรมะที่เราสามารถปฏิบัติออกไปนำพาผู้อื่นแล้วศิษย์จะไม่ผิดหวังกับสิ่งที่อาจารย์พูดให้ฟังในวันนี้ ถ้าหากว่าศิษย์ทำได้เข้าใจไหม
คนอายุมากนั่งๆ แล้วก็เหนื่อย ไม่อยากหลับก็หลับ คนน้อยทำงานกันง่ายไหม อาจารย์ยกสถานธรรมนี้ให้พวกเรา โต๊ะพระ ผลไม้ก็ยกให้ ทุกอย่างยกให้หมด อนาคตนักเรียนในห้องนี้ก็ยกให้
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาส่งเสริมฐันจู่) ทุกอย่างอยู่ในมือเรา เราต้องพยายามที่จะมุ่งหน้าไปอย่างคนที่ตั้งใจที่จะมุ่งหน้า มีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปเปลี่ยนแปลงมา หลายสิ่งหลายอย่างไม่แน่นอน มีอย่างเดียวที่เราต้องแน่นอนคืออะไร (ความศรัทธา, จริงใจ, ความมุ่งมั่น) ความมุ่งมั่นในการที่เราจะพาสถานธรรมนี้ให้เจริญขึ้น เจริญแบบไหน เจริญแบบกระฉับกระเฉงไม่ซบเซา เหมือนดอกไม้ที่งอกขึ้นมาจากกิ่งที่พึ่งจะบานทีเดียว แต่ตอนนี้เราอยู่ในช่วงไหน เราเหมือนดอกไม้ที่บานแล้วก็จะโรย ถ้าจิตใจของพวกเราเป็นจิตใจที่ยังดีอยู่ แต่เราหมดแรง อาจารย์ถามว่า เราเคยทุ่มให้สุดแรงไหม คนที่ใช่ก็คงจะพยักหน้าได้ ส่วนคนที่ยังก็คงพยักหน้าไม่ออก ศิษย์ของอาจารย์ก็น่ารัก เพียงแต่ว่าอาจารย์อยากจะบอกไว้อย่างหนึ่งว่า อาจารย์ไม่เคยหมดหวังในตัวศิษย์คนไหนและไม่เคยหมดหวังในที่นี่ แต่ว่าความจริงก็ยังเป็นความจริง สิ่งที่อาจารย์พูดมานี้ เป็นการหลอกตัวเองและเป็นการให้กำลังใจศิษย์ ขอให้ศิษย์ยังมีกำลังใจในส่วนนี้ อาจารย์ยังให้กำลังใจศิษย์ไปทำในสิ่งที่ดีกว่า อาจารย์ไม่ได้หวังให้ศิษย์เปิดประชุมธรรมทุกปีและต้องลำบากหาคนมาทุกปี แต่อาจารย์อยากให้คนที่มีอยู่แล้วในที่นี่ทุกๆ คนไหว้พระเป็น อยากให้วงการธรรมะเจริญรุ่งเรือง ไม่จำเป็นต้องเปิดประชุมธรรมทุกปีก็ได้ ถ้าเป็นความลำบากและไม่สำคัญว่าศิษย์ต้องเจออาจารย์ทุกปี แต่สำคัญตรงที่ว่า ศิษย์ที่อยู่ตรงนี้ทุกคนได้ไหว้พระเป็น บำเพ็ญจิต ฝึกจิตใจ บำเพ็ญธรรม ธรรมะเอาให้ดี อารมณ์โมโหก็ต้องลดลง ความตั้งใจต้องเพิ่มมากขึ้น เราเป็นคนที่คนเขาเข้าใจผิดเราอยู่เรื่อย เพราะอะไรไม่รู้ ลองดูตัวเอง เพราะจริงๆ แล้วตรงนี้ ก็เป็นคนที่มีความมุ่งมั่นมากที่สุด ศิษย์ก็เหมือนกันต้องรักษาสุขภาพให้ดีๆ เมื่อตั้งใจมาที่นี่ เพราะว่าเราต้องการที่จะนำพาคน การบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญจิตใจ และในสิ่งที่เรารู้ให้มากขึ้น ให้ดีขึ้น อย่ายิ่งบำเพ็ญแล้วไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่ กล้วยเหมือนอะไร (เรือ) ให้เรือคนละลำไปนำพาตนเองให้ขึ้นฝั่ง อย่าลืมว่าอาจารย์ยังมีความหวังในตัวศิษย์ทุกคน หวังว่าบำเพ็ญให้ดีขึ้นและงานธรรมะจะค่อยตามขึ้นมาเอง อาจารย์ให้กลอนพระโอวาทวันนี้ เหมาะสมกับคนที่นี่มากที่สุด วันนี้อาจารย์ไม่ได้คุยกับนักเรียนใหม่อย่างเดียว ความราบเรียบและความเฟื่องฟู ศิษย์ของอาจารย์มีครบทั้งศรัทธา ความเมตตา กล้าหาญ แต่ขาดอีกอย่างหนึ่งคือ ปัญญา ปัญญาที่อาจารย์พูดถึงตั้งแต่ต้น คนเราไม่ได้มีปัญญามาตั้งแต่เกิด แต่จะมีปัญญามากขึ้น ในตอนที่เราใช้ชีวิตด้วยเหตุผล สิ่งที่เราควรต้องระวังก็คือ สิ่งที่เป็นปาฏิหารย์ เรื่องที่ไม่น่าเชื่อ เราต้องบำเพ็ญเข้าสู่แนวสัจธรรมมากขึ้น เพื่อเราจะได้นำคนอื่นได้ ไม่พาคนขึ้นเรือจากฝั่งนี้ไปตกทะเลอีกฝั่งหนึ่ง อาจารย์หวังให้ศิษย์ใช้ปัญญาให้มากขึ้น ปัญญาที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ ปัญญาที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้สัจธรรม ปัญญาที่เกิดจากการช่วยคนและอดทนให้มากๆ การบำเพ็ญจำต้องลงลึกไปถึงรากของหัวใจ เมื่อศิษย์มองบรรยากาศเมื่อสักครู่นี้ที่เกิดขึ้น ก็พอจะรู้ว่าคนบำเพ็ญต่างก็มีปัญหา แล้วก็เป็นปัญหาที่ยากจะแก้ไข สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะอะไร เกิดขึ้นเพราะเราจะบำเพ็ญธรรม แต่เราไม่สามารถละความ โลภ โกรธ หลงได้ เกิดจากการที่เราจะบำเพ็ญธรรม แต่เรานั้นยังไม่เป็นตัวของตัวเองมากพอ ยังไม่รู้จักที่จะแยกแยะสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด ไม่ใช่ว่าคนที่ไม่มีปัญหา ก็คือคนที่ไม่มีตลอดไป แต่เป็นเพราะว่าศิษย์ยังไม่เจอปัญหา ถ้าหลายๆ คนที่อยู่ที่นี่มีปัญหาขึ้นมาพร้อมๆ กัน ส่อให้เห็นถึงการบำเพ็ญธรรมของเราไม่ดี แต่ทำไมเขายังบำเพ็ญธรรมต่อไป ทำไมไม่เลิกบำเพ็ญธรรมไปให้รู้แล้วรู้รอด ก็เพราะเขารู้และเข้าใจว่าสิ่งที่เขาได้รับมาและเข้าใจในธรรมะว่าดีอย่างไร เพียงแต่ว่าในเมื่อปุถุชนก็ยังเป็นปุถุชน การเอาชนะกิเลสจึงเป็นเรื่องยาก แต่สิ่งที่เพิ่มเติมที่คลายความยากนี้ ก็คือความพยายามฝืนใจตัวเอง รู้ว่าตัวเองทำอะไรและรู้ว่าจะต้องแก้ไขอย่างไร สิ่งที่อาจารย์พูดมานั้น พูดมาเรื่อยๆ สอนศิษย์มาเรื่อยๆ หลายๆ อย่าง ศิษย์ของอาจารย์รู้ว่ากำลังเจออะไร แต่ไม่ได้เอาธรรมะนั้นไปใช้ ในที่สุดแล้วศิษย์ของอาจารย์ก็มีชะตาแห่งปุถุชน ไม่มีชะตาแห่งพุทธะเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย ฉะนั้นทุกคนที่อยู่ที่นี้ เมื่ออาจารย์ไม่พูด ไม่ได้หมายความว่าศิษย์ของอาจารย์ไม่มีปัญหา แต่หมายความว่าปัญหานั้นยังไม่กระทบกระเทือนผู้อื่น อาจารย์หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึง ขอให้ศิษย์รู้และแก้ไขตนเอง คนที่อยู่ที่นี่ ที่นั่งเรียนสองวันนี้ อยากให้รู้จักแก้ไขนิสัยความเคยชินที่ไม่ดี ความผิดต่างๆ ที่มากมายรอบตัว อย่ามัวแต่โทษคนอื่นว่าคนอื่นนั้นผิด อย่ามัวแต่คิดว่าคนอื่นทำไม่ถูก เราลองคิดว่า ในเมื่อเราเห็นคนอื่นทำไม่ถูก แล้วคนอื่นเห็นว่าเราทำไม่ถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่) ในเมื่อหนึ่งคนตบไป อีกคนหนึ่งตบมา ตบบอลที่อยู่ตรงกลางนี้ ในที่สุดก็จะไปชนอะไรสักอย่างหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเรารู้เช่นนี้ขอให้เรารับความผิดอันนี้ไว้แล้ววาง ถ้าเราเป็นคนที่ยอมผิด แล้วเรื่องราวทุกอย่างจบ ทำไมศิษย์ไม่ยอมจบ อยากจะตบไปมาให้สักวันหนึ่งบอลมันเด้งไปโดนหัว โดนแขน รอให้วันหนึ่งมันเด้งไปชนใครที่มากกว่าคนสองคนที่กำลังทะเลาะกันอยู่ แล้วศิษย์พอใจอย่างนั้นหรือ ฉะนั้นเกิดมาเป็นคนบนโลกนี้ บางทียอมผิด ยอมอภัย ยอมให้ บางทียอมรับสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ เข้ามาสู่ตัว ถ้าศิษย์มั่นใจว่า เบ้าหลอมหรือเตาหลอมที่อยู่ในใจของศิษย์เป็นเบ้าหลอม เตาหลอม ที่สามารถหลอมได้แม้กระทั่งทอง แสดงว่าศิษย์เป็นคนที่บำเพ็ญได้ก้าวหน้าแล้ว แต่กลัวว่าเบ้าหลอมที่อยู่ในใจของศิษย์ ไม่สามารถหลอมจิตใจได้ เมื่อปัญหาเข้ามาสู่เบ้าหลอมของศิษย์นั้น ต่อไปเป็นปัญหาที่หนักมากขึ้น อย่างนี้อาจารย์เห็นประจำ อยากให้แก้ไขและให้มุ่งที่จะก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ จริงๆ แล้ว เขาก็พยายามให้คนที่เป็นนักเรียนที่นี่นั่งฟังที่นี่ให้ได้รับความสบายมากที่สุด ถึงอย่างไรจำนวนคนที่มากก็ไม่สามารถทำให้แอร์เย็นทั่วห้องได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นในเมื่อแอร์ไม่เย็น เราก็เย็นใจดีกว่านะ ทำใจให้เย็นๆ ดีหรือไม่ โอวาทฉบับนี้เหมาะกับคนที่นี่ที่สุด ดูสิว่าให้คำว่าอะไร
พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนโอวาทคำว่า “คงเส้นคงวา” อาจารย์มีความหวังในตัวศิษย์อย่างมากมาย แต่ขอแค่ไม่แย่ลงไปกว่านี้ ขอให้ความที่เป็นอยู่ ไม่แย่ไปกว่านี้ อาจารย์หวังว่าปีหน้า ถ้าหากว่าสามารถที่จะรักษาได้ ก็คือรักษาให้ได้เท่านี้ ถ้าหากว่าสามารถที่จะดีกว่านี้ ก็คือให้เจริญยิ่งกว่านี้ขึ้นไปอีก แต่ไม่เอาแย่กว่านี้ได้หรือไม่ (ได้) เพราะว่าถ้าเกิดแย่กว่านี้ ก็ไม่รู้ว่าเปิดประชุมธรรมไปแล้วจะมีอะไรเกิดขึ้นสำหรับนักเรียนใหม่ ในเมื่อวันนี้สละเวลามาฟังธรรมะได้ ต่อไปก็สละเวลามาฟังธรรมะเพิ่มเติม มิต้องให้คนอื่นเซ้าซี้ แล้วก็บอกว่าไม่มีเวลา เพราะว่าคนเราบอกว่าไม่มีเวลาทีไร ก็ยังไม่มีเวลามากขึ้นไปอีก ขอให้ขยันและรู้ว่าการบำเพ็ญธรรม ทำให้เปรียบเสมือนหน้าที่ของเรา หน้าที่ที่เราจะต้องทำให้สำเร็จพ้นจากการเป็นปุถุชนนี้ให้ได้ เพื่อที่เราจะได้สูงขึ้นกว่านี้ ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายเวียนทุกข์อีกรอบหนึ่งดีหรือไม่ (ดี) ไหนลองบอกซิว่าหลังจากกลับจากสองวันนี้จะไปตั้งใจทำอะไร เพื่อเป็นการแสดงออกว่าเรากำลังบำเพ็ญธรรม (เราจะไปปฏิบัติสองวันที่ได้รับการอบรมธรรมะจากที่นี่) ปฏิบัติอะไร (ปฏิบัติธรรมะ) ปฏิบัติธรรมะข้อไหน (ธรรมะข้อรู้จักอภัยซึ่งกันและกัน) แล้วทุกวันนี้ทำหรือเปล่า (ทำ) ทำมากไหม (ทำแต่จะพยายามทำมากยิ่งขึ้นไปอีก) อย่าหวังผลการทำความดีที่ได้กุศลได้บุญก็คือไม่หวังผล เช่น ให้เงินขอทานไปห้าบาทแล้วบอกว่าจะต้องได้ห้าร้อยบาท ปักธูปหนึ่งดอกแล้วบอกว่าอยากจะรวยเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) (กลับไปไตร่ตรองใช้ปัญญาแก้ปัญหาให้ถูกต้อง, ทำจิตใจให้สงบ, ปฏิบัติธรรมะให้สงบในจิตใจของตนเอง) มีอย่างอื่นไหม (รู้จักให้อภัยและไม่โกรธ, กลับไปจะเข้าใจคนใกล้ชิดให้ดีขึ้น) อบายมุขข้อไหนที่เราทำบ่อยที่สุด (สุราเมระยะมัชฌปมา) แปลว่าอะไร (กินเหล้ากับเบียร์) กินแล้วเมาไหม (เมา) เมาแล้วมีสติไหม (มีแต่ไม่เต็มที่) เวลากินเหล้าแล้วใครเมา เหล้าเมาหรือเราเมา เวลาเหล้าอยู่ในขวดเหล้าไม่เมาตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเราตั้งขวดเหล้าแล้วเหล้ามันโอนไปเอนมา แต่พอเรากินมันเข้าไปแล้วเป็นอย่างไร เราก็โอนไปเอนมา คนอื่นว่าไง (จะพยายามทำความดีให้ดีที่สุด) เรียกแม่ครัวให้อาจารย์ด้วยนะ (จะพยายามควบคุมอารมณ์ให้มากขึ้น) เวลาอาจารย์อยากให้ตอบก็ไม่ยอมตอบ เวลาที่ไม่ให้คุยก็นั่งคุยกันใช่หรือไม่ (ใช่)
อาหารที่นี้อร่อยไหม (อร่อย) ไม่อร่อยมื้อเย็นอดนะ (พระอาจารย์เมตตาแม่ครัว) และเนื่องจากที่นี่ค่อนข้างจะไกลจากกรุงเทพฯ และทุกที่ที่ศิษย์มาเดี๋ยวให้มาเอาลูกอมไปแจกคนที่มาจากที่ไกลๆ คนที่มาจากที่ไกลอย่างน้อยกลับไปก็ยังมีลูกอมคนละลูกสองลูก ทุกคนที่มาที่นี่ล้วนมาด้วยแรงใจ ล้วนมาด้วยความตั้งใจ มาเพื่อที่จะช่วยงาน ยกน้ำ ทำกับข้าวให้กับศิษย์ที่อยู่ที่นี่ทุกคน ศิษย์ที่อยู่ตรงนี้แม้ว่าเราจะอ่านหนังสือไม่ออก แม้ว่าเราจะไม่รู้ว่าธรรมะคืออะไรเลย แต่เขาเหล่านี้ก็เต็มใจที่จะเสียสละให้กับพวกเราทุกคน โดยที่ไม่ได้คิดว่าเราทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่คือใครบ้าง ฉะนั้นศิษย์ทุกคนมีค่าเหมือนกับเพชร มีค่าเหมือนกับพลอย มีค่าที่เราหนึ่งคนจะสามารถไปบำเพ็ญธรรมให้ดีๆ ให้เกิดสิ่งที่ดีขึ้นในโลกและในประเทศนี้ ฉะนั้นทุกๆ คนล้วนเป็นคนที่มีคุณค่าหากสร้างคุณค่าชีวิตให้กับตนเอง อย่าลืมว่าเราเกิดมาเป็นคนและเรามีหน้าที่ที่ต้องดีแบบคนที่ดี ถ้าหากว่าเราเกิดมาเป็นคนแล้วเราไม่สามารถจะสร้างความดีได้แล้ว เราจะมีคุณค่าอะไรมากไปกว่าสัตว์เดรัจฉานที่เราฆ่าเขากินใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นทุกๆ วันที่ผ่านไปอาจารย์อยากให้ศิษย์สงสารเขาด้วย สิ่งดีๆ จะเกิดขึ้น
ในวันนี้อาจารย์มาในช่วงไม่นาน จริงๆ แล้วอาจารย์อาจจะไม่มาในวันนี้ด้วยซ้ำ แต่เห็นว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คนล้วนเป็นคนตั้งใจ อาจารย์อยากให้ทุกคนเป็นคนดี ช่วยสร้างบรรยากาศธรรมให้ดีมากยิ่งขึ้นกว่านี้ อย่ามัวแต่ซุบซิบนินทาเรื่องของชาวบ้านเขา อย่ามัวแต่โทษกัน อย่ามัวแต่ใช้อารมณ์ อย่ามัวเห็นแก่ตน เราทุกๆ คนบำเพ็ญธรรม เมื่อทุกคนเข้าใจและทำงานให้ดีก็ขอให้บำเพ็ญให้ดีต่อไปในภายภาคหน้า ทุกๆ คนก็คือความหวัง ทุกๆ คนก็คือแรงใจที่ให้อาจารย์สามารถที่จะทำงานธรรมะต่อไปให้ได้ และเราเองก็อาจเป็นแรงใจให้ผู้อื่นทำงานธรรมะต่อไปได้เหมือนกัน อย่ากลัวความยากลำบาก คนที่เป็นฐันจู่อย่ากลัวว่าเวลาที่ญาติธรรมมาแล้วเราต้องดูแลรับผิดชอบ คนที่ทำมากย่อมหมายความว่าเป็นสิ่งที่ดีมากยิ่งขึ้น ถ้าหากเราเข้าใจมากเราสามารถทำให้คนเข้าใจมากขึ้น หากว่าเราเข้าใจน้อยเราก็ทำให้คนอื่นเข้าใจน้อยมากขึ้น ทุกๆ คนเป็นคนเก่งเป็นคนมีความสามารถ แต่ความสามารถเหล่านี้มีจริงหรือเปล่า ขอให้เราพิจารณาตัวเอง พิจารณาไม่ใช่แบบบริษัทฯ ที่พิจารณาเพื่อไล่ออก แต่พิจารณาเพื่อก้าวหน้ามากกว่านี้ อย่างน้อยให้เรารู้อยู่แก่ตัวของเราเองว่าเราได้ก้าวหน้ามากขึ้น วันนี้เราละอารมณ์มากขึ้น โมโหน้อยลง วันนี้เราช่วยคนอื่นโดยที่เรามีใจรู้สึกไม่อยากได้ผลตอบแทนเลยสักนิดเดียว เคยมีความรู้สึกเช่นนี้ไหม ขอให้เรามีใจที่จะย้อนมองส่องตนเองทุกๆ วัน ให้ใจของเราเปล่งแสงสว่างมากยิ่งๆ ขึ้น
ศิษย์อาจจะไม่เจออาจารย์ อาจจะไม่เจอนักธรรมอาวุโสรอบข้างมากมายขนาดนี้ แต่ธรรมะอยู่ในจิตใจของเรา ธรรมะอยู่ในสายเลือดของเรา อาจารย์อยู่ทุกๆ ที่ในยามที่ศิษย์มีการบำเพ็ญ อย่าเอาเรื่องที่ไม่สำคัญ
ไร้สาระมาเป็นเรื่องสำคัญของชีวิต และอย่าเอาเรื่องสำคัญๆ ของชีวิตอย่างเช่นการบำเพ็ญธรรมทิ้งขว้างเหมือนของที่ไร้ค่า อาจารย์นั้นวิปลาส ตาลปัตร แต่ตาลปัตรมาสู่จิตใจอันรู้แจ้ง แต่ศิษย์อาจารย์ตาลปัตรไปมา วิปลาสไปมา อยู่บนความสับสนของชีวิต บำเพ็ญให้ดีๆ ถ้าอยากวิปลาสตาลปัตรเป็นเหมือนที่อาจารย์เป็น อย่าเป็นอะไรที่นอกเหนือจากนี้ จงรักเวไนย เมื่อคนเรามีเมตตาทุกเรื่องที่ว่ายากมันก็จะง่าย บรรยากาศธรรมที่ขาดแคลน ก็จะดีมากขึ้น เพราะว่าเรารักคนอื่น ไม่ได้รักตนเอง จำไว้นะ รักษาจิตใจของเราให้สะอาด แล้ววันหน้าอาจารย์มาอีก ก็หวังจะได้เจอศิษย์อีก ต่อเมื่อแรงศรัทธาของศิษย์ส่งไปให้อาจารย์มาเคียงข้างศิษย์ได้ ลาก่อนนะ
พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “คงเส้นคงวา”
ใช้จิตมืดผดุงธรรมเดินทางผิด เมื่ออุทิศอย่าห่วงหน้าพะวงหลัง
คนมีภัยมาถมเมื่อเด่นดัง เข้าไปนั่งกลางใจคนด้วยเมตตา
บำเพ็ญด้วยปัญญาเร่งรุดตรอง นาวาล่องสู่วันที่ดีกว่า
มีศรัทธาในตนนักพัฒนา เพิ่มคุณค่าชีวิตมาจากใจ