วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2544

2544-12-22 สถานธรรมฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น


PDF  2544-12-22-ฮุ่ยอวี้ #17.pdf


วันเสาร์ที่ ๒๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น
  สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

การยอมคนวัดใจในเรื่องอัตตา ยอมถูกว่าวัดใจเรื่องความถือมั่น
เหตุการณ์เปลี่ยนวัดใจเรื่องความไหวหวั่น ถูกคนถือมั่นในท่านดูการวางตัว
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรม  เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง  ฮวา  ฮวา

เรื่องง่ายกลายเรื่องยากเพราะจิตว้าวุ่น ใจเป็นคุณแปรความยากด้วยสติ
ฝึกหัดตนที่สุดย่อมชำนิ บุปผา  ผลิใช้เวลาฟูมฟักตน
เกิดเป็นคนอย่าเสื่อมถอยศีลธรรม อันบาปกรรมอย่าก่อให้เป็นเหตุ
ดวงจิตจงสุกสว่างดั่งดวงเนตร ล้างกิเลสที่เป็นดั่งฝุ่นเข้าตา
ขอให้มีปัญญามาฟังธรรม ขอให้นำสิ่งที่รู้ไปปฏิบัติ
หากรู้อย่างทำอย่างยากกำจัด กิเลสที่มาสันทัดในใจตน
บำเพ็ญจิตปรับปรุงตนเสมอ อย่าได้เผลอมีรักโลภเกินไปหนา
ชีวิตคนไม่อาจตีราคา จงสร้างค่าให้ชีวิตด้วยทำดี
ในวันนี้น้องชายหญิงมาพร้อมหน้า ฟังธรรมาต้องตั้งใจอย่างยิ่งยวด
การบำเพ็ญต่อตนเองต้องขันกวด ให้กิเลสงวดลงด้วยไฟสุขุม
ขอให้ใช้ชีวิตทั้งชีวิต มาลิขิตอนาคตในชาติหน้า
จงตั้งใจใช้ชีวิตคุ้มเวลา ทุกย่างก้าวเพื่อประชาฟ้าอุ่นใจ
ในสองวันจงมากันให้ครบ เรียนให้จบด้วยชีวิตแสนยิ่งใหญ่
จงช่วยเหลือตนเองอย่ารอใคร พุทธะล้วนสำเร็จไปจากปุถุชน
อย่าได้เห็นเป็นเรื่องเล่นไม่ใส่ใจ รู้เขาและรู้เราให้สร้างกุศล
กายเนื้อมีแต่ชราอย่าท้อบ่น ให้อดทนชีวิตหนึ่งเร่งบำเพ็ญ
เจียดเวลาศึกษาธรรมบำรุงจิต อันความคิดเป็นเรื่องควบคุมยาก
ทุกวันอย่าได้ห่วงแค่ท้องปาก ญาณเป็นรากหากรากดีชีวิตดี
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ศิษย์พี่ได้รับบัญชามาคุมชั้น
จะอยู่ร่วมดูแลน้องทั้งสองวัน ขอเร่งหมั่นเพียรบำเพ็ญพ้นเกิดตาย
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา หยุด

วันเสาร์ที่ ๒๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
พระโอวาทท่านอว๋า อวา เซียนหนวี่

ไม่มีลมต้นไม้ก็ไม่ไหว มีเมฆลมในน้ำก็มีคลื่น
สัจธรรมแห่งชีวิตพาคนตื่น วันและคืนเหตุและผลอยู่คู่กัน
เราคือ
อว๋า อวา เซียนหนวี่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยอวี้  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว พุทธะน้อยน้อยรักษาศีลห้าให้ได้นะ

ชื่อเสียงเงินลาภยศถายากปฏิเสธ คือกิเลสเรียกร้องให้รับขาน
พะวงอยากได้มาตนแสนทรมาน คือต้องการความถือนับหน้าตา
ต่างกับสุขสร้างดีด้วยอดทน ฟ้ามงคลทุกที่ที่คนเมตตา
สร้างความดีในจิตไม่ทรมา ฝั่งสุทธาไปถึงโดยบำเพ็ญญาณ
กระจกส่องตัวเราความเป็นจริง อุรายิ่งรักและห่วงมือสั่น
มุ่งช่วยคนดึงมาตนสำคัญ ใช่ขยันทำดีอยู่แค่ใจ
อย่าเป็นอื่นคนพึ่งในพยายาม สละยามอับจนรักการให้
รู้ความธรรมเป็นยารักษาใจ ลดความตึงร้อนใจอย่างแยบยล
อารมณ์เสียให้หย่อนหย่อนอย่าตึง ถึงปล่อยปละให้ตึงมัชฌิมาเป็นถนน
ประโลมจิตด้วยสุขผลเวียนวน กิเลสบนการบำเพ็ญใจตัดจริง
วงชีวิตที่ตนชนะและพ่าย โลกาไร้ความแน่นอนยวดยิ่ง
เพียงแต่อย่าไร้ความพยายามจริง ทุกทุกสิ่งสำเร็จที่ใจสำคัญ
ฮิ ฮิ หยุด

พระโอวาทท่านอว๋า อวา เซียนหนวี่

มาศึกษาจิตภายในดีไหม   (ดี)  ผู้หญิงเยอะจริงๆ ทำไมผู้ชายเหลือเท่านี้ ผู้ชายหายไปไหนหมด  เพราะว่าผู้หญิงสนใจธรรมะมากกว่าผู้ชายหรือ (ใช่)  เรามาจากเบื้องบนแล้วลงมาอยู่ตรงนี้เพื่อจะมาชวนพุทธะกลับคืนเบื้องบนเอาไหม (เอา)  การจะกลับคืนเบื้องบนนั้นก็ไม่มีอะไรยาก แค่ต้องแกะแล้วก็ปอกทิ้ง แล้วก็ปอกทิ้ง ได้ไหม (ได้)  ปอกทิ้งออกให้หมดอะไรที่เป็นเปลือกปอกทิ้งให้หมด เมื่อปอกทิ้งหมดแล้วเราก็จะเห็นเนื้อใน  แต่ช่วงที่เราปอกเปลือกนั้น เราจะต้องใช้ (วิจารณญาณ ดวงจิต ความพยายาม จิตใจ)  เราต้องใช้ความพยายาม ใช้กาย และใช้ใจ ปอกเสร็จแล้วทำอย่างไร (กิน)  ถ้าเราบอกว่าเราปอกเสร็จแล้ว  แล้วเราก็แจก แล้วเราก็แจก  เหลือไหม (ไม่เหลือ)  ทำไมหายไปหมดเลยล่ะ  เราก็เอามาใหม่ได้ใช่หรือไม่ พอเอามาใหม่แล้วเราก็ต้องทำอย่างไรอีก ชีวิตเราเหมือนกับส้มไหม (เหมือน)  เหมือนตรงไหนล่ะ  (ต้องปอกเปลือกออก)  ต้องปอกเปลือกออกพอพบเนื้อในก็กินๆๆ ใช่หรือเปล่า
ชีวิตของมนุษย์เรานั้นก็เหมือนกับส้ม ส้มที่เราค้นพบ  เวลาที่เรามีชีวิตอยู่ เราค้นพบความสามารถของชีวิตเราแต่ละวันไม่เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราค้นพบนั้นเรามองแค่เห็นเป็นส้มเพียงอย่างเดียวไหม ง่ายๆ ชีวิตเราก็เหมือนต้นไม้ที่ตอนแรกค่อยๆ เติบโตมา บางครั้งก็ให้ผลเป็นทุเรียนบ้าง บางครั้งก็ให้ผลเป็นเงาะ บางครั้งก็ให้ผลเป็นส้มบ้าง  พอเราได้ผลออกมาแล้ว ก็อยู่ที่ว่าเราแกะออกมาแล้ว เราจะให้กับตัวเอง หรือเราแกะออกมาแล้ว เราได้ผลออกมาแล้ว เราจะแบ่งปันให้กับคนอื่น (แบ่งปันให้กับคนอื่น)  พอเข้าใจหรือยัง (เข้าใจ)  ชีวิตเราไม่ใช่แค่เปลือกกับเนื้อในเท่านั้น แต่ชีวิตของเรานั้นเหมือนต้นไม้ที่ค่อยๆ เติบโตออกมา  บางคนเป็นต้นทุเรียน บางคนเป็นต้นส้ม บางคนเป็นต้นเงาะ  ทำไมจึงบอกว่าเป็นทุเรียน เพราะทุเรียนขึ้นเป็น (ต้น)  มีหนามใช่หรือไม่  แล้วขึ้นเป็นช่วงเป็นฤดูใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วทุเรียนนี้บางคนกิน บางคนไม่กิน  เหมือนกับการแสดงของเราบางคนชอบ บางคนไม่ชอบ  แล้วการแสดงของเรากว่าจะออกผลก็เป็นอย่างไร (ช้า)  บางคนต้องรอฤดูว่าต้องเป็นอย่างนี้ๆ แล้วถึงจะตกผลออกมาเป็นทุเรียนให้เขาใช่ไหม ถ้าเกิดใครเป็นส้มออกได้ทุกหน้า  ออกได้ทุกงวดคนนั้นดีหน่อย เพราะว่าเป็นอย่างไร ออกบ่อยใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าคนเป็นต้นกล้วย เป็นอย่างไร ไม่ว่าใบ ไม่ว่าก้าน ไม่ว่าดอก ไม่ว่าผล กินได้หมด จริงไหม (จริง)  แล้วเราลองดูซิว่าชีวิตเรานี้ตั้งแต่เกิดมาจนโตถึงตอนนี้ เราเป็นต้นอะไรกันบ้าง ใครยอมรับว่าตัวเองเป็นต้นกล้วยยกมือขึ้น  ที่ใช้ทุกส่วนใช้ทุกอย่างได้ แต่ทุกส่วนทุกอย่างที่ใช้ได้นั้นไม่ใช่หมายความว่าใช้กับตัวเองคนเดียวนะ เพราะกล้วยเนี่ยเป็นอย่างไร ไปบ้านไหนๆ ก็อยากปลูกใช่ไหม (ใช่)  แปลว่าไปอยู่บ้านไหน ใครก็รัก แปลว่าเป็นคนที่จิตใจดีเข้ากับคนได้ด้วย  ถ้าเป็นต้นทุเรียนเป็นอย่างไร  (มีหนาม)  ไม่เอาหรือ นานๆ ออกที ขายแล้วได้เงินเยอะเอาไหม (ไม่เอา)  ระหว่างต้นกล้วยกับต้นทุเรียนเอาต้นไหน (ต้นกล้วย)  ใครเอาต้นกล้วยยกมือขึ้น  ใครว่าต้นทุเรียนยกมือขึ้น แปลว่าคนส่วนใหญ่ชอบมีชีวิตสมถะง่ายๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะต้นกล้วยดินชนิดไหนก็ขึ้น ใช่หรือเปล่า โดนตัดทิ้งแล้วขึ้นอีกไหม (ขึ้น) ไม่รดน้ำขึ้นไหม (ขึ้น) แปลว่าต้นกล้วยทนแดดทนฝน ขึ้นได้ทุกสภาพ ขึ้นได้กับดินทุกชนิด ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ต้นทุเรียนเป็นอย่างไร (ปลูกยาก) แล้วใครอยากเป็นต้นข้าวบ้าง
เราพูดเรื่องง่ายๆ ในสิ่งที่ท่านอยู่คุ้นเคยกัน มนุษย์เราคุ้นเคยอยู่กับธรรมชาติ ต้นไม้ ดินฟ้าอากาศ แล้วธรรมชาติข้างนอกก็สามารถสอนเราได้ด้วย ฉะนั้นเราต้องคิดให้ดีๆ แล้วต้นข้าวมีประโยชน์ไหม (มี) มีเหมือนกันใช่หรือไม่ และสิ่งหนึ่งที่สำคัญของต้นข้าว ก็คือก่อนที่เราจะปลูกให้ได้ข้าว เราต้องทำอย่างไร จะปลูกข้าวเราต้องมีอะไรก่อน ถึงจะปลูกได้ จะปลูกข้าวต้องมีเมล็ดพันธุ์ก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเราหวงเมล็ด เราจะได้ต้นกล้าไหม แล้วเราจะได้ข้าวเป็นยุ้งเป็นฉางไหม ไม่ได้ ฉะนั้นไม่ว่าเราอยากจะได้สิ่งใด เราจะต้องยอมสละก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่) เห็นไหมสละหนึ่งเม็ดได้ต้นข้าวหนึ่งรวงด้วย แปลว่ามนุษย์เรานั้นนอกจากจะรู้คุณค่าของการมีชีวิต ยังต้องรู้จักคุณค่าแห่งการเสียสละเพื่อได้มาด้วย  แค่สองอย่างเองทำได้ไหม (ได้) อยากเป็นต้นกล้วย ต้องเป็นให้เหมือนต้นกล้วยนะ โดนตัดทิ้ง โดนตัดใบก็ยังออก ไม่หวั่นไม่ไหว ยังอยู่กับบ้านนั้นทุกเช้าทุกเย็น ไม่น้อยใจหดหัวอยู่ในดิน ได้ไหม เหมือนเราอยู่ในบ้าน โดนพ่อแม่ด่า โดนสามีด่า โดนภรรยาบ่น น้อยใจไหม (น้อยใจ) ยังน้อยใจอยู่อีกหรือเป็นต้นกล้วย อย่างนี้ถ้าน้อยใจไม่ใช่ต้นกล้วยแล้วนะ น้อยใจไหม (ไม่น้อยใจ รับได้) ยังออกใบออกดอกออกผลไปเรื่อยๆ ยังรับได้อยู่ ยังสู้ทนแดดทนฝนได้  และจะเป็นต้นกล้วยที่น่ารักของบ้านนี้ต่อไป กล้วยโดนตัด กล้วยบ่นไหม (ไม่บ่น) กล้วยเอาก้านมาตีไหม (ไม่ตี) เวลาออกหน่อผลแล้วผลแทงใครไหม (ไม่แทง) ไม่ว่าจะออกก้านออกหน่อแทงยอดออกมาก็ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน มีแต่ให้ประโยชน์ คราวนี้ต่อไปกลับบ้านไปไม่เป็นไร ฉันจะบำเพ็ญธรรมแบบต้นกล้วย เสียสละแบบต้นข้าว ได้ไหม (ได้) ง่ายๆ เองนะ
อย่าเพิ่งสงสัยนะว่าเราเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงหรือปลอม ค่อยๆ คุยกัน และพิจารณาสิ่งที่เราพูดดูว่าจริงหรือเท็จดีไหม ถ้าสิ่งที่เราพูดมาจริงก็จงเอาไปทำ เอาไปปฏิบัติ อย่าสนใจรูปลักษณ์ภายนอกเลยไม่มีประโยชน์  สนใจเนื้อหาภายในที่วันนี้เราจะให้ท่านดีกว่า  เหมือนกับวันนี้เรามาบอกให้ท่านปอกเปลือก ปอกออกให้หมดเราเอาแต่เนื้อในที่มีประโยชน์เท่านั้นเองใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนตัวท่านมองเราจะเป็นพุทธะหรือเปล่าหรือไม่ใช่พุทธะไม่ต้องไปสนใจ สนใจในสิ่งที่เราพูดมีประโยชน์มากกว่ารูปลักษณ์ภายนอกใช่หรือไม่
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลงแข่งขันกัน โดยให้ฝ่ายชายและหญิงสลับกันร้องนำและร้องตาม พร้อมลุกนั่งสลับกันทีละวรรค)
เห็นไหม อะไรก็ตาม ถ้าเราตั้งใจตั้งสติให้ดีๆ และหมั่นพยายามฝึกฝนบ่อยๆ ที่ว่าทำไม่ได้แน่เลย แล้วทำได้ไหม (ได้)  เหมือนเพลงนี้ แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไหร่ ต้องตั้งสติให้ดีๆ มีใจจดจ่อ ผิดพลาดไหม (ไม่ผิด) ไม่ผิด  แต่เวลามีผิดแล้วอย่าผลักความผิดให้คนอื่นอีก   เราไม่ว่าทั้งหญิงทั้งชายนะ เพราะพอๆ กัน เหมือนเวลาท่านอยู่ในบ้าน อยู่ในครอบครัว เราอยู่กันเป็นครอบครัว ย่อมมีทะเลาะเบาะแว้งเป็นธรรมดา  แต่เมื่อมีเรื่องผิดพลาดขึ้นมาไม่ใช่ต่างคนต่างผลักความผิดให้กับคนอื่น  เราต้องกลับมามองตัวเรา แล้วพยายามฝึกฝนแก้ตัวใหม่ให้ดีขึ้น ให้กำลังใจตัวเอง ไม่เป็นไรคราวหน้าแก้ตัวใหม่  ไม่เป็นไรคราวหน้าคุณทำให้ดีขึ้นก็ได้  ฉันผิดเองงวดนี้ฉันผิดเอง  แล้วรอยยิ้มก็จะมีอยู่ที่บ้านและครอบครัวของเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีคำกล่าวว่าอย่าไปเรียกร้องให้คนอื่นดีเลย เราดีก่อนเดี๋ยวอะไรก็ดีตามเอง  แต่ถ้าเกิดว่าเราไปเรียกร้องให้คนอื่นดี แต่ใจเราบอกว่าคนโน้นก็
ไม่ดี คนนี้ก็ไม่ดี มัวแต่เรียกร้องให้คนอื่นดี เราจะรู้สึกดีไหม (ไม่ดี)  เพราะใจตอนนี้เรารู้สึกว่าไม่มีอะไรดีเราถึงเรียกดีขึ้นมา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าสมมติว่าใจเรารู้สึกดี เราจำเป็นต้องเรียกไหม (ไม่)  ไม่เรียกใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเกิดเราอยู่ในบ้าน เรารู้สึกว่าเราเรียกสามีว่าสามีต้องเป็นอย่างนี้ แปลว่าเรานั่นแหละคือคนที่ไม่มีก่อน จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอย่ามองไกล จงหันมามองที่ตัวเองบ้างได้หรือไม่ (ได้)  การบำเพ็ญธรรมนั้น คืออะไรล่ะ วันนี้มาฟังธรรมะ ธรรมะเอาไปทำอย่างไร (เอาไปปฏิบัติ)  ไม่ได้ถามแต่ว่าพูดเหมือนเป็นคำถาม  บางครั้งการที่มีเรื่องมีราวกันเพราะว่าฟังกันไม่รู้เรื่อง ไม่ได้ว่าแค่บ่นๆๆ ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ได้อยากด่าลูกหรอก แต่ว่าลูกไม่ดีเลย ใช่ไหม (ใช่)
เราอยู่ในสังคม เราอยู่ในโลกนี้ สิ่งที่ขาดเสียไม่ได้  และสิ่งที่จะทำให้สังคมและโลกนี้เป็นสุขยิ่งนักก็คือการรู้จักมีคุณธรรม มีความดีอยู่ในใจ และคุณธรรมความดีนั้นคืออะไร ที่ง่ายๆ ก็คือศีลห้า เรามีศีลห้าครบหรือไม่ครบ วันนี้ใครไม่ฆ่าสัตว์ยกมือขึ้น  วันนี้ตั้งแต่เช้ามายุงยังไม่ตบสักตัวเลย วันอื่นไม่นับเอาวันนี้  ยกมือขึ้น  ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่มีหรือ ไม่มีไม่เป็นไร ไม่ลักทรัพย์  ไม่ประพฤติผิด (วันนี้)  ไม่ดื่มน้ำเมา (วันนี้)  ไม่โกหก (วันนี้)  ทำไมมีเฉพาะวันนี้ แต่ไม่เป็นไร มีหนึ่งวันก็ยังดีกว่าไม่มีสักวัน  นั่นก็แปลว่าอย่างน้อยคนเราเริ่มต้นการเป็นคนดีต้องมีศีลมีธรรมใช่หรือไม่   ถ้าไม่มีศีลจะมีธรรมไหม (ไม่มี)  แปลว่าวันอื่นไม่มีธรรม ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  ขอเลขเด็ดกับเล่นหวยนี่อยู่ในข้อไหนล่ะ (มุสา)  ซื้อหวยมุสาหรือ (ไปหลอกให้เขาโกหกไปถามเขา  เขาก็โกหกเรามา)  เราไม่ไปเขาก็ไม่โกหกจริงเปล่า ถ้าเราไม่ขอ เขาก็ไม่โกหกให้จริงไหม (จริง) เป็นเพราะเราชอบจริงหรือเปล่า  งั้นเลิกชอบไม่ดีกว่าหรือ  ถ้าบอกว่าต้องมีศีลมีธรรม แต่ในศีลในธรรมนั้น เราต้องรู้จักที่จะไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียน ไม่ลักเล็กขโมยน้อย ไม่โกหกในนั้นยังมีธรรมแฝงอยู่  ทำไมถึงบอกว่ามีศีลแล้วมีธรรม ไม่ฆ่าสัตว์ก็คือฝึกจิตใจให้มีเมตตา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราบอกว่าเราไม่ได้ฆ่าสัตว์ๆ แต่สั่งเขาฆ่า ไม่ได้ฆ่าแค่เขาช่วยฆ่าให้เรา แล้วเราก็กินเฉยๆ เมตตาไหม (ไม่เมตตา)  ไม่เมตตานะ คราวหน้าต่อไปจะรักษาศีลข้อหนึ่งให้มีใช่หรือไม่  ทำได้ไหม (ได้)  ถ้าทำได้ก็คือไม่กินเนื้อ ไม่กินเนื้อ ได้ไหม (วันนี้ได้)  ท่านบอกว่าวันนี้ได้ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วพรุ่งนี้เป็นวันพรุ่งนี้หรือเป็นวันนี้ (วันนี้)  พอถึงพรุ่งนี้เป็นวันนี้หรือพรุ่งนี้ (เป็นวันนี้)  แปลว่าทุกวันคือวันนี้ ท่านรับปากเองนะ
มีวันพรุ่งนี้ไหม พอถึงวันพรุ่งนี้ก็คือวันนี้ พอถึงวันมะรืนนี้ก็คือวันนี้ แปลว่าทุกวันท่านมีวันนี้วันเดียว ทำได้แล้วนะ ทำได้ไหม (ได้) เริ่มไม่แน่ใจแล้ว งั้นเริ่มต้นง่ายๆ ก็คืออย่าพยายามเป็นคนฆ่าได้ไหม (ได้) อย่าพยายามเป็นคนฆ่าหรือให้คนอื่นฆ่า  แม่อยากกินปลา ลูกฆ่าปลาให้แม่หน่อยนะ มีศีลไว้ทำไม มีศีลไว้ปกป้องมหาโจร จริงไหม งั้นเรื่องนี้เราข้ามไปก่อน ค่อยๆ เขี่ยออกแล้วกัน ไม่ใช่เขี่ยเข้า เพราะว่าทุกชีวิตล้วนมีจิตวิญญาณ เราเรียนหลักพุทธศาสนามา พระพุทธองค์สอนไว้ว่า ทุกชีวิตล้วนมีญาณแห่งพุทธะสิงสถิตอยู่ ไม่ว่าเป็นสี่ขา หรือสองขา เราเดินสองขาอยู่แน่ใจหรือวันหนึ่งเราอาจจะเดินสี่ขาก็ได้ ท่านเคยเดินสี่ขามาก่อนนะ อย่าหัวเราะ จริงหรือเปล่า ตอนเด็กๆ เกิดมาเดินกี่ขา (สี่ขา) ฉะนั้นไม่ว่าสี่หรือสองก็ล้วนมีชีวิต มีความรู้สึก ท่านใช้งานเขาอย่างเต็มที่ พอเขาแก่ตัวท่านฆ่าเขาทิ้ง ถ้าเกิดเราอยู่กับท่านเราใช้งานท่านเต็มที่ พอแก่ตัวขอกินเนื้อหน่อย ใจร้ายใช่หรือไม่ (ใช่) เรารักเราอยากได้อะไร เหมือนทำดีย่อมได้ดี ท่านรักการเบียดเบียน ท่านก็ต้องได้การเบียดเบียนกลับ นี่คือสัจจะความเป็นจริงของชีวิต
ท่านตีใครเจ็บ เราเจ็บด้วย เขาเจ็บด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) เราอย่ามองซิว่า เราตีเราเจ็บ เขาไม่เจ็บหรือ เจ็บใช่หรือไม่ ของมากระทบกันย่อมมีเสียง มนุษย์เราเบียนเบียนทำร้ายกันก็ย่อมมีเสียงและมีกรรม มนุษย์เราไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม แต่ว่ากรรมนั้นขอให้ตกเป็นผลพวงที่ดี อย่าให้กรรมนั้นหล่นมาเป็นผลพวงที่ต้องถูกจองล้างจองผลาญอีก เอาไหม (ไม่เอา) ท่านตีเขาหนึ่งที แต่เขาจะตีกลับท่านยี่สิบทีเอาไหม (ไม่เอา) แล้วมีใครบ้างโดนตีหนึ่งทีแล้วจะตีกลับหนึ่งที มีไหม (ไม่มี) ตีหนึ่งทีขอตีกลับหลายที ไม่ยอมขาดทุนเลยใช่ไหม เห็นไหมแค่มนุษย์คิดยังจะเอากำไรเลย แล้วสัตว์ล่ะ
คนเรายิ่งถ้าเกิดสะสมความโกรธแค้นมากเท่าใด ผลของการจองล้างจองผลาญยิ่งสูงขึ้นๆ ฉะนั้นเราเป็นคน เราเป็นมนุษย์ ศีลต้องรักษา ธรรมต้องบ่มเพาะขัดเกลา ใช่หรือไม่ (ใช่) มีศีลธรรมคอยควบคุมความประพฤติ ไม่ให้ใจกับกายนี้เถลไถลไปทำผิด มนุษย์เราพอผิดปุ๊บ ก็เสียทันที ฉะนั้นก่อนที่จะเสีย เราจงรักษาและปกป้องให้ดี ศีลธรรมก็เหมือนกั้นกำแพง ก่อหลังคา ถ้าหลังคากับกำแพงแข็งแกร่ง แดดมา ฝนมา ลมมา เราอยู่เป็นอย่างไร นั่งสบาย ฝนมา ฝนตกก็ไม่เปียก แดดมาไม่ร้อน ลมมาไม่หนาว ศีลธรรมจึงเหมือนเกราะป้องกันภัยให้มนุษย์พ้นจากแดด ลม ฝน ของโลก ทำให้มนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่ด้วยใจที่เป็นสุข แต่ถ้าเมื่อไร มนุษย์ไร้ศีล ไร้ธรรม ไม่รู้จักมีศีล มีธรรม เวลาแดดมาก็ร้อนรุ่ม เวลาฝนมาก็ตื่นตระหนก เวลาลมมาก็หวั่นไหว จริงไหม (จริง) และเราก็ไม่มีอะไรเป็นหลักเป็นฐาน ล่องไปทางนู้นที ลอยไปทางนี้ที แต่ถ้าเรามีศีลมีธรรม เราจะเหมือนคนที่มีหลักยึด มีเกราะป้องกันภัย และจิตต้องสงบ สำคัญที่สุด คนเรานั้นอยู่บนโลกนั้นบางครั้งจะเป็นอย่างไร ใจออกจะหวั่นไหวไปกับโลก ปรวนแปรไปกับสิ่งที่มากระทบอารมณ์ เพราะอะไรล่ะ เพราะเราขาดศีลขาดธรรม ฉะนั้นตอนนี้เราจึงต้องเรียกร้องตัวเองให้มี เมื่อไรที่เราอยู่ในบ้านได้อย่างสงบ ฝุ่นกิเลสตัณหาก็เริ่มเกาะน้อย เมื่อฝุ่นกิเลสตัณหาเกาะน้อย ใจก็เป็นอย่างไร ใจก็ค่อยๆ สะอาด ค่อยๆ สว่าง ไม่มืดมน ไม่อับจน แต่เวลาเราอยู่ในโลก พอเราไร้ศีล พอเราไร้ธรรม อยู่ในโลกเป็นอย่างไร ใครว่าก็ร้อน ใครด่าก็ทุกข์ ก็สั่นก็ไหว จริงไหม (จริง) แต่ถ้าเกิดคนมีศีลมีธรรม ใครว่าใครร้อนก็ยังจะรู้จักใช้ศีลใช้ธรรมข่มใจ คุมใจ ตีกรอบใจ ตีกรอบกายให้รู้จักไม่กระแทกกระทั้น ไม่กระทบกระทั่ง ต่อไปอีก ฉะนั้นมนุษย์เราหรือตัวท่านเองนั้นจึงต้องรู้จักรักษาศีลและบ่มเพาะคุณธรรม ทำได้ไหม (ได้) ถ้าทำได้แล้วเราจะอยู่บ้านได้อย่างสงบ ออกจากบ้านก็สบายใจ เพราะว่าใจนั้นมีศีล มีธรรมคอยปกป้องคุ้มครอง ถึงเรียกว่าตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เพราะอะไรล่ะ (มีศีลธรรม) แต่ทำไมโดนไฟทีไรไหม้ทุกที ตกน้ำทีไร ว่ายน้ำป๋อมแป๋มทุกทีเลยล่ะ ความหมายของไฟกับน้ำนี้ไม่ใช่ไฟกับน้ำในทางรูป แต่หมายถึงไฟกับน้ำในทางนามธรรม ไฟอะไรล่ะ ไฟแห่งโทสะ น้ำอะไรล่ะ น้ำแห่งราคะและโลภหลง และเรามักจะโดนไฟไหม้บ่อยหรือจมน้ำบ่อย ส่วนใหญ่โดนไฟบ่อยหรือจมน้ำบ่อย (ไฟ) รักกับโกรธอย่างไหนเกิดบ่อยกว่ากัน ใครโกรธบ่อยก็แปลว่ามีไฟบ่อย รักโลภบ่อยก็เป็นน้ำบ่อยใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นพยายามรักษาศีลกับธรรม จะช่วยทำให้เรานั้นดับไฟร้อนให้เย็นลง แล้วศีลกับธรรมช่วยดับความโลภ ความหลงให้เป็นน้ำที่ตื้นเขิน เปียกหน่อย แต่ก็เป็นอย่างไรไม่ถึงกับจมตายใช่หรือเปล่า (ใช่) ใครเคยจมน้ำตื้นบ้าง คือเหลืออยู่แค่ขอบตาตุ่ม ยังจมอีกไหม (ไม่จม) แต่ว่ารักโลภ โกรธ หลง เป็นอะไรที่บางครั้งก็ตัดยาก แม้จะรู้กันอยู่แต่เราก็ยังตัดยาก เพราะว่าอารมณ์มันพาใจไป ฉะนั้นเวลาเราเห็นอะไรที่จะทำให้เราเกิดชอบ พยายามมองเขาติๆ ไว้ ได้ไหม แล้วเราจะชอบน้อยลง และความชอบจะไม่ทำให้เราจมน้ำตายได้ไหม (ได้) แล้วเวลาเห็นใครจะทำให้เราโกรธ เราก็พยายามนึกถึงในสิ่งที่ดีๆ แล้วเราก็จะโกรธไม่ลง  เวลาใครทำให้เราหลงเราก็นึกถึงโทษของความหลง หลงแล้วจะเป็นอย่างนี้ หลงแล้วจะหมดเนื้อหมดตัว แล้วเราก็จะได้ไม่หลง
คนเรามีศีลมีธรรมอย่างเดียวไม่พอ ศีลและธรรมนั้นยังต้องรู้จักใช้ปัญญาในการดึงศีล ดึงธรรมมาควบคุมกายกับใจอีกด้วย ทุกท่านต่างมีปัญญา อย่าดูเบาปัญญาตัวเอง เมื่อไรที่ปลูกต้นข้าวขึ้น แปลว่ายังมีปัญญาอยู่ เมื่อไรยังตักข้าวเข้าปากพอดีไม่เอียงซ้าย ไม่เอียงขวา แสดงว่าปัญญายังมีอยู่ เมื่อยังตีเขา และตีได้ถูก ก็แสดงว่าปัญญายังมีอยู่ จะไม่มีปัญญาก็ต่อเมื่อไม่มีกายนี้แล้วต่างหาก นั่นแหละปัญญาหมดแล้ว ฉะนั้นอย่าดูเบาตัวเอง เมื่อเรามีศีลมีธรรมครบ มีปัญญาสามารถช่วงใช้ได้   แต่เวลามีปัญญานั้นก็ต้องแก้ไขให้ทันท่วงที ไม่ใช่บอกว่าเกิดเรื่องแล้วศีลธรรมเพิ่งมาไม่น่าทำผิดเลย อย่างนี้เรียกว่าศีลธรรมมาช้าไป มีแล้วต้องมีให้ทันการ  ไม่ใช่ให้ตกน้ำจนเปียกขึ้นมาแล้วใช่ไหม (ใช่) แล้วจะมีปัญญาทำไม เพราะมีแล้วใช้ไม่ได้จริงไหม (จริง) เราพูดง่ายมากแล้วนะ ไม่เข้าใจอีกหรือเปล่า
ชีวิตแม้จะเอียงซ้ายไป  เอียงขวาไป  แต่อย่าลืมจุดศูนย์กลางของตัวเอง คนเรานั้นแม้จะมีเรื่องให้มากระทบใจ ทุกข์บ้าง สุขบ้าง มีปัญหาบ้างแต่เราต้องไม่ลืมความเป็นคนของตัวเอง เกิดเป็นคน เรารักที่อยากจะมีเงินทอง  อยากมีชื่อเสียง อยากมีเพชรพลอย อยากมีที่นาเยอะๆ อยากปลูกข้าวได้กำไร ไม่อยากโดนคนว่า เราอยากมีให้มากที่สุดเท่าที่จะพยายามหาได้ แต่พอเรามีมาก เราเป็นสุขไหม เราเหนื่อยไหม (เหนื่อย) แล้วเรากังวลไหม (กังวล) แล้วยังอยากอีกไหม (อยากอีก) นั่นแหละที่เราไม่เข้าใจ ท่านเหมือนคนที่รักมือตัวเองแต่เกลียดนิ้ว   แล้วตัดนิ้วทิ้ง   ท่านรักชีวิต   แต่ทำร้ายร่างกายทุกวัน ไม่มีวันไหนให้ร่างกายพักผ่อนเลย รักไหมชีวิต (รัก) ห่วงไหม (ห่วง) แต่ตะบี้ตะบันใช้ มองจนใส่แว่นแล้วก็ยังอยากมอง หูเริ่มฝ้าฟางแล้วก็ยังอยากฟัง มือเริ่มสั่นแล้วก็ยังอยากไปหยิบ เตือนขนาดนี้แล้วต้องปิดบ้าง อย่าหูเบาลืมความเรียบง่ายไปเพราะนึกว่าชีวิตที่เรียบง่าย คือชีวิตที่หยุดนิ่ง ตายด้านไร้อารมณ์ ท่านลืมมองข้ามไปว่า ชีวิตที่เรียบง่ายคือชีวิตที่ทำให้มนุษย์สามารถเป็นสุขได้ด้วยการ กินง่ายๆ พอใจง่ายๆ แล้วก็อยู่ง่ายๆ เมื่อกินง่าย พอใจง่าย อยู่ง่าย เวลาเหลือไหม (เหลือ) เหลือพอมองชีวิตออกไหม (ออก) เอาไปช่วยคนได้ไหม (ได้) แล้วทำให้เราเห็นโลกแท้จริงได้ไหม (ได้) แต่ถ้าเกิดไปแสวงหาเงินหาทองตั้งแต่เช้าจรดเย็น เย็นจรดเช้า ท่านมีเวลามองชีวิต มีเวลาให้กับครอบครัว มีเวลาให้กับจิตใจหรือไม่ (ไม่มี) แล้วท่านจะเป็นสุขหรือไม่ (ไม่สุข) ดูเหมือนจะมีสุข แต่พอมีมากกลับทวีความกลุ้มกังวลและทุกข์ ฉะนั้นจงพอใจกับความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย เพราะการเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย แม้จะก้าวช้าๆ แต่ทุกก้าวล้วนเป็นสุขและพอใจ  แต่ถ้าก้าวแบบฉับๆ อันตรายไหม เพราะแต่ละก้าวเราไม่ได้มองดู แต่ละก้าวที่ก้าวเราไม่ได้ตรวจสอบชีวิต จึงมีหลายคนที่เวลาก้าวไปๆ ตายก่อนที่จะได้เงินทอง และชื่อเสียง  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรม จึงเรียกร้องให้ท่านรู้จักมีชีวิตอย่างเรียบง่าย  และเอาเวลาที่เหลือนั้นมาย้อนมองดูตัวเอง  ว่าชีวิตที่แท้จริงของตัวเองคืออะไร  โลกนี้ที่พยายามแสวงหานั้นมีสัจจะอะไรแฝงอยู่  และรู้ที่จะไม่ให้เกิดความเห็นแก่ตนด้วย ในการรู้จักมีชีวิตเรียบง่าย เพราะมนุษย์เราเบียดเบียนกัน ทำร้ายกัน ตีกัน เพราะความอยากมากเกิน อยากแล้วไม่รู้ว่าไปตีคนอื่นเขา แต่ถ้าทุกก้าวเราเดินชีวิตอย่างเรียบง่าย เราจะรู้ว่าก้าวนี้ตีเขาหรือเปล่า ก้าวนี้เตะเขาหรือเปล่า ฉะนั้นเราเป็นคนที่เมื่อมีศีลมีธรรมแล้ว ยังต้องรู้จักพึงพอใจในชีวิตที่ (เรียบง่าย)
บางครั้งมนุษย์นั้นพยายามหนีที่จะไม่ให้มีทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  ชีวิตนี้ใครๆ ก็รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนๆ กันใช่หรือเปล่า แต่สุขนั้นมีน้อยเหลือเกิน ใช่ไหม (ใช่)  เราจึงต้องตบตีแย่งกันเพื่อให้ได้มาใช่ไหม (ใช่)  ตอบได้เต็มปากเต็มคำดีนะ โหดจริงๆ เลย ฆ่าให้ตายไปเลยดีไหม ข้าวใครๆ ก็ปลูกใช่หรือไม่ (ใช่)  จะให้ราคาดีต้องฆ่าคนนี้ให้ตายเลย เอาไหม (ไม่เอา)  เราจะได้สุขคนเดียว เอาไหม    (ไม่เอา)  ไม่เอาหรือ แบบว่าข้าวมีสองพันธุ์ ข้าวนี้ชื้นหน่อย ข้าวนี้แห้งหน่อย ข้าวแห้งขายได้หน่อยเดียวเอง ก็เลยเอาชื้นกับแห้งผสมกันเลย แล้วเป็นอย่างไร ขายไม่ออก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นอย่าโกง จงมีความซื่อสัตย์ด้วยเมื่อยามมีชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  (อาจารย์บรรยายธรรมอธิบาย : คุณธรรมที่เราอยู่ใกล้ชิดก็คือเรื่องของความซื่อสัตย์ จริงๆ แล้วเราชาวบ้านแต่ไหนแต่ไรก็มีความซื่อสัตย์อยู่แล้ว อย่างการปลูกข้าว เราชาวนาตั้งแต่บรรพชนมาเราก็รักษาวัฒนธรรมนี้ไว้  แต่ปัจจุบันนี้ความโลภทำให้หลายคนเริ่มไม่ซื่อสัตย์เพราะอยากได้มากขึ้น เอาอันหนึ่งมาผสมกับอันหนึ่งให้มันมีน้ำหนักมากขึ้น จนสุดท้ายเมืองนอกเขาไม่ซื้อเรา ทุกวันก็กลับเป็นปัญหาตกถึงเราเหมือนเดิม ไม่ใช่แค่คนทำเดือดร้อน คนอื่นก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย เพราะฉะนั้นคุณธรรมก็คือความซื่อสัตย์ สร้างได้ก็คือมีศีลมีธรรม คนเราจะทำอะไรมีศีลมีธรรมกำกับ อย่าคิดแต่อยากได้เบื้องต้น  เพราะว่าสุดท้ายมันก็ตีกลับมาเป็นความทุกข์ของเรา ญาติเรา พี่น้องเรา เหมือนกันหมด  ทุกข์กันทั้งประเทศ)
ฟังมาตั้งเยอะแล้วพอเข้าใจบ้างไหม (เข้าใจ)  ถ้ารู้จักรักษาศีลมีธรรมะ ไม่โกหก ไม่ทำร้าย ไม่คดโกง ไม่ทำอะไรที่ไม่ดีเพิ่มขึ้นแต่ให้เหลือน้อยที่สุด แล้วเหลือแต่ความดี จิตใจย่อมสว่างไสว เมื่อจิตสว่างไสว ใจย่อมเป็นสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อใจเป็นสุขแล้ว เมื่อถึงเวลาเราก็ต้องปล่อยวางบ้าง  ใช่ไหม (ใช่)  ตอนนี้รู้จักการปฏิบัติแล้ว พอปฏิบัติได้ดีแล้ว สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้นั่นก็คือปล่อยวาง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ว่าเราจะทำดี เราจึงต้องรู้จักปล่อยวาง อย่ามัวรอผล อย่างสมมติเราทำดีให้กับคนหนึ่ง แล้วอีกคนหนึ่งเขาไม่ชมเรา ก็ไม่เป็นไร  เราก็ยังดีใจที่ได้ทำให้เขา  แล้วดีใจที่ความดีนั้นหอมติดใจเรา ใช่ไหม (ใช่)  เคยไหม (เคย)  เคยทำแล้วความดีนั้นหอมติดตรึงใจไหม (เคย)  จงทำบ่อยๆ เพราะความหอมนั้น เป็นเหมือนอาภรณ์ประดับกายและใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์เราแม้จะประดับด้วยชื่อเสียงเกียรติยศ   ตุ้มหู  ทองคำ แหวนเพชรมากมายก็ไม่งามเท่ากับคนที่ประดับด้วยศีลธรรม คุณงามความดี ใช่ไหม (ใช่)   และคุณงามความดีศีลธรรมนั้นยังผูกใจให้เขารักเรา  แล้วก็เห็นดีกับเรา แล้วก็ซื่อสัตย์กับเราด้วย  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เหมือนเกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทอง แม้ท่านจะให้เงินเขา ก็ไม่สู้ให้ความดี ให้สิ่งที่มีคุณค่าแก่เขาใช่หรือไม่ (ใช่)
การเลี้ยงลูกด้วยเงินกับเลี้ยงลูกด้วยคุณธรรมความดี ลูกใครจะกตัญญูกว่ากัน (ลูกที่เลี้ยงด้วยคุณธรรมความดี)  แต่ถ้าเกิดว่างวดนี้แม่เลี้ยงเราด้วยเงิน ลืมเลี้ยงเราด้วยคุณธรรม ลูกจะมีความกตัญญูไหม (ไม่มี) มีสิ กตัญญูอยู่ที่แม่หรืออยู่ที่ลูก (อยู่ที่ลูก)  ใช่ไหม เราบอกว่าถึงแม้ว่าถ้าแม่วางตัวได้ดี ลูกก็ดีตาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าตอนนี้แม่ไม่ดี แต่ลูกพยายามดีเพื่อให้แม่ดีตามลูกก็ได้เหมือนกัน  แต่ต้องใช้เวลา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกคนล้วนมีเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งเราเรียกร้องแม่ไม่ได้ ให้แม่สอนเรา ให้แม่พูดกับเราด้วยธรรมะ บางทีไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่เราจงเอาธรรมนี่แหละไปค่อยๆ ตะล่อม ให้แม่เห็นดีและทำดีตามย่อมดีกว่า  นี่คือหนทางที่ถูก เหมือนกันเราอยู่กับเพื่อน บางครั้งเพื่อนชอบเอาเปรียบเราเหลือเกิน ชอบกินแรงเรา  แล้วเราจะกินแรงเขาต่อหรือเอาไหม (แต่ต้องช่วยกัน) ช่วยกันอย่างไรนะ  ช่วยเขากินแรงต่อหรือ  ไม่สิ แต่ว่าเราต้องเป็นอย่างไร เอาความซื่อสัตย์ให้เขาเห็น แล้วค่อยๆ ตะล่อมๆ เปลี่ยนเขาให้เป็นคนซื่อสัตย์ตามเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนคนเรา ง่ายๆ ระหว่างส้มบนโต๊ะพระกับส้มบนถนน ส้มลูกไหนมีค่ามากกว่ากัน (ส้มบนโต๊ะพระ)  ส้มบนโต๊ะพระใช่หรือไม่ (ใช่)  ส้มบนถนนมีค่าไหม (ไม่มี) เราเปลี่ยนส้มบนถนนเป็นส้มบนโต๊ะพระได้ไหม (ได้)  อยู่ที่ว่าเราจะดีดหรือเหยียบ ใช่ไหม (ใช่)  คนที่ไม่ดีก็เหมือนกัน บางครั้งเขาเลือกที่จะเป็นไม่ได้ แต่เราช่วยเลือกกันประคับประคองให้เขาดีขึ้นมาได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ชีวิตท่านก็เหมือนกันแม้ท่านไม่ได้เกิดมาสวยหรูบนโต๊ะพระ แต่เกิดมาไม่ค่อยงามอยู่บนพื้น  แต่ท่านก็สามารถทำให้มันเปล่งประกายมีคุณค่าจนคนเขาโอ้โหได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดีกว่าอยู่บนโต๊ะใช่หรือไม่  (ใช่)  ฉะนั้นไม่ว่ายากดีมีจนเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับตัวเราจะเลือกทำ
อย่างไรให้ตัวเองเปลี่ยนแปลงแล้วมีค่าเจิดจรัสใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าไปจมอยู่กับสิ่งที่แก้ไม่ได้แต่จงมองในสิ่งที่สามารถแก้แล้วดีขึ้นได้  กายเราเปลี่ยนได้ไหมตอนนี้ (ไม่ได้)  แปรงแล้วแช่ไว้ในผงซักฟอกจะขาวได้ไหม (ไม่ได้) สะอาดหมดจด เอาผงซักฟอกถูตัวทุกวันเลย ได้หรือเปล่า (ไม่ได้) เราเปลี่ยนกายนี้ไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนใจนี้ให้สะอาดเหมือนเดิมได้ ใช่ไหม (ใช่)  สะอาดแล้วเจิดจรัส ทำให้ที่ตัวสีดำๆ นี้เปล่งประกายงดงามได้ด้วยใจนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วใจนี้ทำอย่างไรล่ะ ใจนี้ก็ต้องรู้จักพูดดี คิดดี ทำดี มอง (ดี) ฟัง (ดี)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นตอบคำถาม)
ต่อไปนี้ทำอย่างไรถึงจะเรียกว่าทำดี (ใจดี  วาจาดี  กายก็ดี พูดดี ทำดี ไม่ให้คนเดือดร้อน ทำดีให้คนรู้ว่าทำดี  ไม่นินทาว่าร้าย  ช่วยเหลือคนอื่น)  การให้เป็นสิ่งที่ดีแต่การให้ถ้าให้แล้วทำให้เขาเคยตัว เราต้องหยุดให้  (ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก  ถ้าเงินทองมีก็จะช่วยและช่วยให้กำลังใจ)  บางครั้งเงินทองไม่สำคัญสู้ช่วยให้กำลังใจเขา ให้ชีวิตใหม่เขาด้วยคุณธรรมไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  (กตัญญูต่อพ่อต่อแม่)  ขอเพียงไปไหนก็บอก  กลับมาก็บอก บางทีเท่านี้ก็กตัญญูแล้ว ไม่ใช่ไปก็ไม่บอก กลับมาก็ไม่บอก นี่แหละทำให้พ่อแม่ทุกข์ใจ (ทำบุญให้ทาน)  ให้ทานก็ดีนะแต่ต้องดูว่าให้แล้วทำให้เขาเป็น
ขอทานหรือเปล่า ไม่ดีนะ  อะไรคือการทำดี (ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น  ช่วยเหลือผู้อื่นไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน  รักษาศีลห้าโดยเคร่งครัด ทำความดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน  โดยเฉพาะวัยรุ่นทำดีโดยไม่หวังเงิน
เอาใจพ่อแม่โดยไม่หวังผล  ทำประโยชน์ให้แก่สังคม เช่น เห็นหน้าบ้านสกปรก แม้ไม่ใช่หน้าบ้านเรา ก็ยังเก็บให้)
ถ้าเริ่มต้นทำดีได้ ต่อไปในการบำเพ็ญก็ไม่ยุ่งยาก   การบำเพ็ญ
ขัดเกลาที่ใจ  ร่างกายของมนุษย์เรามีศัตรูที่น่ากลัวคือ โรคภัยไข้เจ็บ  ศัตรูที่น่ากลัวของจิตใจก็คือ (รัก โลภ โกรธ หลง)  หรือที่เรียกง่ายๆ ว่ากิเลสตัณหา เมื่อไรที่เราขจัดศัตรูของกายได้ร่างกายก็เป็นสุข แต่เมื่อขจัดศัตรูของร่างกายได้แล้วก็อย่าลืมขจัดศัตรูของใจด้วย เราจะรู้ได้อย่างไรว่าใจของเราป่วย เมื่อใดที่ใจเราทุกข์ เมื่อใดที่ใจเราเจ็บ นั่นแหละจงเอาธรรมะไปข่มใจ ดับใจ แล้วก็ล้างทุกข์ออกให้หมด เวลากายป่วยเรารู้ใช่ไหม มีอาการตัวร้อน เจ็บโน่นเจ็บนี่ไปหมด แต่เวลาใจป่วยเรารู้ไหม (ไม่รู้)  รู้ แต่ท่านดูไม่ออกเองว่ามันป่วย  ใจป่วยเป็นอย่างไรล่ะ เจ็บนั่นเจ็บนี่ แล้วก็ทุกข์นั่นทุกข์นี่ นั่นแหละตอนนั้นที่ใจป่วย  ป่วยกับไม่ป่วยอันไหนดีกว่ากัน  (ไม่ป่วย)  ไม่ป่วยย่อมดีกว่าใช่ไหม  อย่างที่พระพุทธองค์สอนการไม่มีโรคคือลาภอันประเสริฐ เราขอเพิ่มต่อว่าการไม่มีกิเลสตัณหาคือสุขอันแท้จริง ฉะนั้นจงพยายามอย่าให้ใจป่วย เพราะความโลภโกรธหลง หรือตัณหา ราคะในใจเราที่คิดผิดๆ หลงผิดๆ ที่คิดว่าเนื้อสัตว์กินได้ กินเหล้าแล้วไม่เป็นอะไร เขาเรียกว่ารักชีวิตแต่ทำลายชีวิตโดยไม่รู้ตัว เหมือนเราวิ่งหนีเงาตัวเอง แต่ยิ่งวิ่งเท่าไรเงาก็ยิ่งตาม จะทำอย่างไรล่ะ ก็หยุดวิ่ง  เหมือนกันโลภ โกรธ  หลง เป็นเหตุให้ใจเราทุกข์ ทำอย่างไรถึงจะหมด ก็โลภให้น้อย โกรธให้ไม่มี หลงให้ไม่เหลือได้หรือไม่
อายุมากแล้วถึงเวลาต้องรู้จักปล่อยวางบ้าง ชีวิตของคนเรานั้นมักจะมีอะไรสองอย่างอยู่เสมอ มีเกิดก็มีตายหรือดับ มีเช้าก็มีค่ำ มีตะวันขึ้นก็มีตะวันลง มีคนชมก็มีคนนินทา มีทุกข์ก็มีสุข มีโชคดีก็มีโชคร้าย เราตัดสิ่งหนึ่งแล้วไม่เอาอีกสิ่งหนึ่งได้ไหม (ได้)  ไม่ได้ เพราะเป็นของคู่กันเหมือนท่านชอบด้านหน้า แต่ด้านหลังไม่เอาได้ไหม ก็ต้องเอาเพราะมันติดมา มีใครมีด้านหน้าสองด้านบ้าง ทุกข์กับสุขก็เหมือนกัน โชคดีกับโชคร้ายก็เหมือนกัน เกิดกับดับก็เหมือนกัน คนชมคนด่าก็เหมือนกัน ฉะนั้นอย่าเลือกที่รักมักที่ชัง  เราพอใจในสุขก็จงยินดีในทุกข์  แต่ยินดีในทุกข์อย่างเข้าใจ ไม่ใช่หวานอมขมกลืน ไม่เช่นนั้นจะยิ่งทุกข์สองชั้น  เหมือนคนที่อยู่กับลูกหลาน อยู่กับสามี จะเลือกแต่ส่วนที่เราชอบได้ไหม ก็เขาเป็นเขาแล้วจะตัดทิ้งได้ไหม ฉะนั้นเราต้องมีสุขที่รู้จักสุขเป็น ไม่ว่าจะเจออะไรก็รู้จักมองให้เห็นสุขจนได้ การที่เราทำดีถึงแม้จะไม่ได้ดี แต่เราก็เป็นสุขที่ได้ทำดีจริงหรือไม่ ดีกว่าเกิดมาแล้วเสียชาติเกิด อบายมุขก็เลิกไม่ได้ เนื้อสัตว์ก็ขยันกิน โกหกก็ชอบโกหก
อยู่ด้วยกันเราต้องช่วยเหลือกัน ดูแลกัน วันนี้รักใครไม่เท่า (รักตัวเอง)  ก็รักตัวเองอยู่นั่นแหละ เลยไม่เลิกเป็นห่วง หัดคิดให้มากกว่านี้นะ รักใครก็รักให้เท่ารักตัวเอง แล้วเขาก็จะรักเราได้เหมือนกัน อย่าบอกว่าไม่รักใครเท่ารักตัวเอง เปลี่ยนความคิดได้แล้วนะ
แม้เราจะไม่มีชะตาชีวิต ทำให้เราอับจน  เราจงหมั่นมีใจที่จะให้ แล้วชะตาชีวิตจะเปลี่ยนแปลงให้เรา  ไม่ใช่พอไม่มีแล้วเรายังงกอีก ชะตาชีวิตก็จะทำให้ท่านอับจนไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเมื่อยามที่เราทุกข์ ท้อ สิ้นหวัง จงใช้ความดีนี้สู้ต่อไป และความดีนี้จะช่วยผลักดันให้ท่านดีขึ้นมาได้  ความดีเท่านั้นที่จะช่วยทั้งชีวิตและจิตใจของเรา ไปแล้วนะ  วันนี้มาแป๊บเดียวเองแต่ฟ้าค่ำแล้วมีมาก็ต้องมีไป  เหมือนตัวท่านก็เหมือนกัน วันนี้ถึงเวลาของเราแต่วันต่อไปถึงเวลาของท่าน  ตอนที่มีอยู่รักษาสิ่งที่มีนี้ให้ดีและเกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นบ้าง  อย่าเห็นแก่ตัวมากนัก  แล้วก็อย่าหลงโลกนี้มากเกินไป เพราะโลกนี้ไม่ได้ช่วยอะไรท่านได้เลย แต่ธรรมะเท่านั้นที่จะช่วยให้เราขึ้นแล้วก็ขึ้น จริงหรือเปล่า ไปแล้วนะ ผู้บำเพ็ญธรรมตั้งใจบำเพ็ญธรรม


วันอาทิตย์ที่ ๒๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ปีเอ๋ยปีใหม่ปีไหนดี ต้องเป็นปีนี้เป็นแน่แท้
เพราะเราตั้งใจจะเปลี่ยนแปร จะแก้ใจร้ายกลายเป็นดี
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรม แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนหนาวหรือเปล่า

ดำเนินชีวิตตนอย่างพอดี คนเป็นพี่อดทนอยู่ในหัว
คนเป็นน้องอย่าเอาแต่ใจตัว อาจารย์กลัวแค่ศิษย์ไม่รักกัน
เชื่อมือกันทำงานได้เรียบร้อย ที่รอคอยหาใช่โอกาสนั่น
แต่เป็นความศรัทธาที่มีต่อกัน แต่กระนั้นย้อนมองตนไม่โทษใคร
ในการเสียสละต้องเปี่ยมปัญญา อวิชชา ทำให้บรรลุไม่ได้
ขอศิษย์รักสว่างมาสว่างไป เวลาว่างขยันไว้ศึกษาธรรม
จงต่อสู้กับกิเลสในใจตน จงฝึกฝนช่วยตนเองไม่ท้อร่ำ
อาจารย์สอนอะไรแล้วศิษย์ต้องจำ อย่ามัวแต่เดินคลำทางฟ้ายามเย็น
ฮา  ฮา  หยุด

จิตใจยึดมั่น     ถึงคอยร้อนใจ สั่งฝนหรือหลั่งรู้พลันปล่อยวาง
ยึดความสุขไว้กับตน   ทุกข์ยิ่งวนไม่ซ้ำกัน
หากเอาทุกข์มารวมกัน  จะทนได้กันหรือไร   สายธารผ่านแล้วผ่านไป
รู้ความจริงต้องแข็งใจ  อย่าทำเหมือนคนเข้าใจ  หากใจเจ้ายังไม่มี (ซ้ำทั้งเพลง)
ทำนองเพลง : ไจ้สุ่ยอี๋ฟัง
เพลง : คลายยึดมั่นถือสา

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ใครมีความสุขยกมือขึ้น เมื่อวานนี้ใครมีความสุขยกมือค้างไว้ แล้วเมื่อวันก่อนนี้ใครมีความสุขยกมือค้างไว้ เมื่อวันก่อนเมื่อวันนั้นใครมีความสุขยกมือค้างไว้ เอาล่ะ ถามใหม่ พรุ่งนี้ใครมีความสุขยกมือค้างไว้ คนไม่ยกหมายความว่าอย่างไร
เราไม่รู้เรื่องวันพรุ่งนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เรื่องของวันพรุ่งนี้เป็นเรื่องของวันนี้กำหนดหรือเปล่า วันนี้กำหนดเรื่องของวันพรุ่งนี้ใช่หรือเปล่า เงินที่หามาวันนี้คือพรุ่งนี้ใช้หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นความสุขในวันพรุ่งนี้คือวันไหนกำหนด (วันนี้กำหนด)  วันนี้กำหนด ส่วนชาติหน้าก็คือชาตินี้กำหนด ชาตินี้ก็คือชาติที่แล้วกำหนดมา ให้เราลองนึกถึงตอนที่เราส่องกระจก คนที่อยู่ในกระจกนี้คือคนที่ชาติที่แล้วเรากำหนดมา เรากำหนดมาแค่นี้เอง รู้สึกว่ากำหนดมาน้อยไปหน่อยหรือไม่ กำหนดมาเงินก็น้อย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ความสวยก็ (น้อย)  บ้านก็ (น้อย)  รถก็ (น้อย)  อะไรน้อยอีก ทุกอย่างที่ชาติที่แล้วเรากำหนดมาดูจะน้อยเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เสร็จแล้วความทุกข์ก็ (มาก)    ความทุกข์ก็มาก ความเดือดร้อนก็มาก ไม่เคยที่จะมีวันไหนที่ไม่มีเรื่องเดือดร้อน ใช่หรือไม่ (ใช่)
โดยทั่วๆ ไปก็เดือดร้อนอยู่ทุกวันๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่เราหาเรื่องก็คนอื่นหาเรื่องให้เรา ใช่หรือเปล่า (ใช่)    เป็นอย่างนี้มีความทุกข์ไหม (มี)  แต่ว่าทุกข์กับสุขอยู่ที่ไหน (ตัวเรา)  ทุกข์หรือสุขเป็นความรู้สึกที่อยู่ภายในจิตใจของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเรารู้สึกว่าแม้ร่างกายของเราจะมีทุกข์ แต่ถ้าหากว่าจิตใจของเราไม่มี เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ความทุกข์หรือว่าความสุขนั้นขึ้นอยู่ที่จิตใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราก็มาเริ่มกำหนดชีวิตของเราดีหรือไม่  ให้ความทุกข์จากชาติที่แล้วที่กำหนดมากองใหญ่มากก็พยายามที่จะตัด เจียดให้มันกองเล็กกว่านี้ดีหรือไม่ (ดี)
ส่วนความสุขที่ชาติที่แล้วที่กองน้อยๆ กองแค่นี้ เราก็มาเพิ่มขึ้นๆ ให้มันมากขึ้นดีหรือไม่ (ไม่ดี)  ไม่ดีหรือ ไม่อยากมีความสุขหรือ มีความสุขดีไหม (ดี)  ความสุขที่ชาติที่แล้วที่กำหนดมาน้อยนั้นก็กำหนดให้มันมากขึ้นๆ แต่ว่าอาจารย์จะบอกให้ คนเรามีความสุขนั้นไม่ได้มีความสุขในเรื่องทรัพย์สินเงินทอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่ได้มีความสุขที่เห็นผู้อื่นนั้นทุกข์ ไม่ได้มีความสุขที่มีบ้านหลังใหญ่ๆ ไม่ได้มีความสุขที่มีรถคันโตๆ ไม่ได้มีความสุขที่มีที่นาเยอะแยะ แต่คนเรามีความสุขได้เพราะว่าเราเห็นคนอื่นนั้นมีความสุข  นี่เป็นความสุขที่ค้างอยู่ในจิตใจได้นานที่สุด  ความสุขที่เราได้ช่วยเหลือผู้อื่นนั้นเป็นความสุขที่มากที่สุด แต่ว่าคนสมัยนี้รวมทั้งศิษย์ของอาจารย์ที่จริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้อยู่ในตัวเมืองที่ยื้อแย่งแข่งขันกันมากมาย แต่ว่าในชีวิตของเรา เรากลับซึมซับเรื่องของการมีความสุขกับสิ่งที่เป็นแสงสี ต้องเป็นเสียง เป็นภาพมากมาย วันไหนไม่ได้ดูทีวีรู้สึกว่าทุกข์ไหม ทีวีกลายเป็นความเคยชินของเราที่เรามีอยู่ทุกวัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ละครเป็นสิ่งที่เราติดหนึบ แต่การบำเพ็ญธรรมเป็นสิ่งที่อย่างไร ติดยากหรือเปล่า ใช่ไหม
การบำเพ็ญธรรมเป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยจะชอบเลย ทำไมถึงไม่ชอบการบำเพ็ญธรรมล่ะ  ผีชอบโผล่มาตอนไหน ผีชอบโผล่มาตอนกลางคืน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ส่วนเทพเนี่ยเวลาเขาวาดภาพขึ้นมาต้องอยู่ในที่สว่างๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นจิตใจของเราถ้ามืดบ่อยๆ แล้วเรารู้สึกว่าการบำเพ็ญซึ่งเป็นเรื่องสว่างไสว เป็นเรื่องที่ติดยาก ส่วนมืดๆ ดูทีวีเป็นเรื่องติดง่าย เอ๊ะเราคิดว่าเราบำเพ็ญเป็นอะไร หรือเรามีชีวิตเป็นอะไร ตอนนี้เราฝักใฝ่โน้มไปทางไหนมากกว่ากัน ระหว่างไปสวรรค์กับลงนรกเนี่ยเราอยู่ข้างไหนมากกว่ากัน (ข้างสวรรค์)  ใจอยากไปสวรรค์แต่ความดีไม่ค่อยทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความดีทำยากไหม (ไม่ยาก)  ไหนใครว่ายากยกมือ เวลาออกเสียงคนเขาไม่รู้ว่าคนไหน แต่เวลายกมือนี่เห็นชัดๆ เพราะฉะนั้นยกมือก็เอาไว้ก่อน ถ้าให้ตอบก็พอไหว คนที่ว่ายากเอามือลง ส่วนคนที่เหลือยกมือขึ้นมา
โลกนี้มีผู้ชายกับผู้หญิงหรือเปล่า มีสีขาวกับมีสีดำ มียากแล้วก็มีง่ายทั้งสองอย่าง จะมามีเป็นกระเทย ดีก็ไม่ใช่ ไม่ดีก็ไม่ใช่ ยากก็ไม่ใช่ ง่ายก็ไม่ใช่ อย่างนี้นี่เป็นยังไง  คนนั้นชอบตรงกลางสีระหว่างขาวและดำ ชอบเป็นตรงกลางระหว่างผู้ชายและผู้หญิง ชอบเป็นสิ่งที่อยู่ตรงกลางระหว่างยากและง่าย อย่างนั้นหรือ อย่างนี้ศิษย์ของอาจารย์ก็เท่ากับเลือกไม่ไปสวรรค์แล้วไม่ไปนรกใช่ไหม
ทุกอย่างในโลกนี้สร้างขึ้นมาเป็นคู่กัน ทุกอย่างในโลกนี้มีอยู่แค่สองสิ่ง หากศิษย์บอกว่าการที่เรานั้นช่วยเหลือผู้อื่น การที่เรานั้นทำดีเป็นเรื่องยาก ก็เลือกคำว่ายาก แต่หากไม่เลือกคำว่ายาก ก็หมายความว่า เจ้ากำลังเลือกคำว่าง่าย ถูกหรือไม่ ถูกหรือเปล่า อาจารย์จะบอกให้ที่เราทำดีแล้วบอกว่าทำยาก เพราะว่าเราหวังผล เราหวังว่าช่วยเขาแล้วอย่างน้อยเขาก็ควรจะพูดขอบคุณเรา เมื่อทำดีต้องมีกุศลใช่หรือเปล่า แล้วเราก็หวังว่า ถ้าหากทำดีไปอย่างน้อยก็ไม่ถูกเขาว่าใช่หรือไม่ เพราะเรามีจิตใจพวกนี้เป็นอุปสรรค เราจึงรู้สึกว่าการทำดีนั้นยาก แต่หากเราช่วยก็คือช่วยไม่มีอย่างอื่น ไม่ต้องคิดว่าเขาจะต้องมาขอบคุณเรา ไม่ต้องคิดว่าเขาจะต้องมาช่วยเรากลับ แล้วไม่ต้องคิดว่าเขานั้นจะต้องมาดีกับเรา เราช่วยไปก็คือช่วยไป ช่วยไปก็จบ อย่างนี้ทำให้การที่จะทำความดีง่ายขึ้นไหม (ง่ายขึ้น) รวมทั้งถึงเวลาที่เราทำดีให้คนอื่นแล้ว คนอื่นนั้นว่าเรากลับมา ก็ไม่เป็นไรด้วย ทำได้ไหม อย่างนี้ ถ้าหากเราทำดีให้คนอื่นแล้วคนอื่นเขาว่าเรากลับมา แล้วเรารู้สึกว่าไม่เป็นไร อย่างนี้เวลาเราทำความดี เราก็จะรู้สึกว่าเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นใช่หรือไม่ ถ้ามัวมานั่งคิด ว่าถ้าเราทำดีไปแล้วจะต้องดีตอบ แล้วถ้าเราไม่ดีกับเขาแล้ว เขาก็ไม่ดีกับเรา ต้องเป็นเช่นนี้ ใช่หรือเปล่า เวลาที่เราไม่ดีกับเขาแล้ว อยากได้อะไรกลับ แปลกจริงๆ ว่าเวลาที่เราดีต่อเขา แล้วเขาจะต้องดีตอบมา แต่เวลาที่เราไม่ดีต่อเขา แล้วเขาก็ต้องดีตอบมาเหมือนกัน คิดอย่างนั้นใช่ไหม เวลาที่เราไม่ดีกับเขา แล้วเขาไม่ดีกลับมาอันนี้เป็นธรรมชาติใช่หรือเปล่า แต่หากเราดีกับเขาแล้วเราไม่หวังให้เขาดี อันนี้หมายความว่าเรานั้นมีการบำเพ็ญธรรม คือบำเพ็ญตบะ ในจิตใจของเราใช่หรือเปล่า (ใช่)
ตอนนี้ที่นี่เป็นสถานธรรมหรือเป็นแดนโลกีย์ (สถานธรรม) สถานธรรมที่มนุษย์มีโลกีย์วิสัยอยู่เรียกว่าแดนโลกีย์หรือสถานธรรม (สถานธรรม) ไหนบอกอาจารย์ว่าที่นี่เป็นแดนโลกีย์หรือสถานธรรม (สถานธรรม) ที่นี่เรียกว่าสถานธรรม  เพราะว่าศิษย์เลือกให้ที่นี่เป็นสถานธรรม แสดงว่าเป็นสถานที่มีแต่ธรรมะ จิตใจของเราก็ต้องมีแต่ธรรมะ ใช่หรือเปล่า ถ้าจิตใจของเรามีแต่ความอยาก ความใคร่ มีแต่ความไม่รู้จักพอ  มีแต่จิตใจที่เลวทราม มีแต่จิตใจที่ช่วงชิง แก่งแย่งมา แสดงว่าที่นี่นั้นถึงแม้ว่าจะเป็นสถานธรรม แต่เมื่อใจทุกดวงเป็นโลกีย์วิสัย ที่นี่ก็ไม่ใช่สถานธรรม แต่ว่าตอนนี้เป็นขณะเวลาที่จิตใจของเรานั้น มันเริ่มจะสุกสว่าง เหมือนกับมะม่วงที่เวลามันสุกแล้วเป็นสีเหลือง ตอนนี้จิตใจของเราเริ่มจะสุกสว่าง จิตนั้นเริ่มเปิดและเริ่มดีขึ้น ตอนนี้ที่นี่ก็เป็นสถานธรรม เพราะจิตใจของทุกคนนั้นเริ่มเป็นธรรมะ เป็นทุกที่ที่เราย่างไปถึง ทุกที่ที่เราอยู่ ทุกที่จะกลายเป็นโลกีย์ ทุกที่จะกลายเป็นสวรรค์ ขึ้นอยู่กับจิตใจของเรา ถ้าหากว่าจิตใจของทุกคนที่นี่ส่วนใหญ่เป็นใจเทวดา ที่นี่เป็นโลกีย์นั้นก็ไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่) แต่หากว่าที่นี่แม้จะเป็นสถานธรรม แต่ทุกวันก็มาทะเลาะกัน ทุกวันก็คิดแต่จะหาเงินหาทอง ทุกวันฟังธรรมะเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา  ที่นี่ก็ไม่ใช่สถานธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) )
อยู่บนนี้อบอุ่นใช่หรือไม่ (ใช่) นั่งติดๆ กันแล้วอบอุ่นใช่หรือไม่ แล้วอยู่บ้านเวลาเรานั่งติดๆ กับคนที่ไม่ชอบอบอุ่นไหม (ไม่อบอุ่น) ทำไมเราไม่อบอุ่นล่ะ เวลาที่สี่ห้าคนอยู่ข้างๆ เรา เราไม่ชอบหมดเลย เราอบอุ่นไหม (ไม่อบอุ่น) ทำไมล่ะ ถ้าหากว่าหนีได้เป็นหนี ใช่หรือไม่ แต่หากว่าหนีไม่ได้เป็นอะไร (ต้องทน) คนเราพอพูดถึงเรื่องว่าต้องทน นี่ก็เพราะว่าจิตใจมันรู้สึกว่าทนไม่ไหว ถึงได้พูดคำว่าต้องทน จิตใจของเรานั้น รู้สึกว่ารอบๆ ข้างเราไม่ชอบเราจึงต้องพูดว่าต้องทน แต่หากว่าจิตใจของเราเป็นจิตใจที่ไม่เกลียดชังใครเลย เราจะต้องพูดคำว่าต้องทนไหม (ไม่ต้องพูด) ทำอย่างนี้จะไม่มีเกิดขึ้น ฉะนั้นสิ่งที่อาจารย์ต้องการให้ปรับเปลี่ยนแก้ไข ในปีใหม่ที่จะถึงนี้ ก็เหมือนกับที่กระดานนี้ว่าไว้ คือ “จะแก้ไขใจร้ายกลายเป็นดี” คำว่าใจร้ายคำนี้ ไม่ได้เป็นใจร้ายทั่วๆ ไปที่ศิษย์นั้นพูดถึง ว่าคนนั้นใจร้าย คนนี้ใจร้าย คนนั้นใจดำ ไม่ใช่คำพูดนี้ แต่คำว่าใจร้ายเป็นอย่างไร ใจที่ยังมีความรู้สึกรัก ใจที่ยังมีความรู้สึกโลภ ใจที่มีความรู้สึกโกรธ ใจที่ยังหลง ใจที่เกลียดคนอื่น ใจที่ไม่สามารถปล่อยวางความรู้สึกใดๆ ลงได้ วันๆ หมกมุ่นแต่จิตใจของตนเอง ที่มันเป็นจิตใจที่ขุ่นมัวอยู่อย่างนั้น ใจดวงนี้จึงเป็นใจที่ร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเราจะเปลี่ยนแปลงใจดวงนี้ให้เป็นจิตใจที่ดี ก็เหมือนกับอะไร อาจารย์ยกตัวอย่างประจำ สมมติว่าแอปเปิ้ลลูกนี้ที่อาจารย์จับมีฝุ่นอยู่บ้าง เราต้องการจะเปลี่ยนแปลงดวงใจดวงนี้ทำอย่างไร ล้างหรือไม่ก็เช็ด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผลไม้บางลูกต้องใช้วิธีการล้างจึงจะสะอาด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่บางลูกก็เหมือนอย่างนี้ เช่น ส้มผลนี้ใช้วิธีการเช็ดก็พอ แต่ถ้าหากว่าเป็นองุ่นพวงนี้ใช้อะไร (น้ำ)  อันนี้ต้องทั้งล้างทั้งแช่เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตอนนี้ก็คือผลไม้ที่อาจารย์ยกตัวอย่าง แอปเปิ้ลนี้ต้องล้างหรือต้องเช็ด (เช็ด ล้าง) ล้างหรือเช็ด อาจารย์คิดว่าเช็ดนะ  ไหนใครว่าล้างยกมือขึ้น ไหนใครว่าเช็ดยกมือขึ้น แล้วคนไม่ยกมือล่ะ ก็มีให้เลือกอยู่สองอย่าง ไม่ให้ความร่วมมือเลยใช่หรือไม่ คนที่ไม่ให้ความร่วมมือเวลามาอยู่ที่นี่ก็เหมือนไม่ได้อยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาที่อาจารย์มองไปคนที่ไม่ให้ความร่วมมือ เหมือนอะไร เรามองเห็นผีไหม จริงๆ แล้วมันก็อยู่แถวนี้นะ แต่เราสนใจเขาไหม (ไม่)  เพราะอะไร (มองไม่เห็น)  มองไม่เห็น ถ้าอาจารย์ทำเป็นมองไม่เห็นคนไหนนี่ก็เหมือนผีแล้วกัน เพราะฉะนั้นผลไม้ลูกนี้จะว่าสะอาด ไหนลองจับดูสิว่าสะอาดไหม มีหลายคนอยากจับ เดี๋ยวให้คนจับหลายๆ คนส่งต่อไปให้คนข้างๆ ใครได้ผลไม้แล้วลูกที่อาจารย์ส่งไปเป็นตัวอย่าง ส่งไปข้างๆ ส่งไปให้คนที่อยากจะจับ ใครไม่อยากจะจับก็อย่าจับ ดูผลไม้ที่อยู่ในมือเรา ไปสุดที่ใครก็ถือเป็นความโชคดี  ผลไม้ลูกนี้ดูแล้วก็รู้สึกว่าสะอาด ใช่หรือเปล่า  แต่ก็มีจุดดำๆ เล็กๆ ทำให้รู้สึกว่าดูสกปรก แล้วสรุปว่าผลไม้ลูกนี้ต้องล้างหรือต้องเช็ดดีถึงจะสะอาดกว่ากัน (ล้าง)  เราก็ไม่แน่ใจใช่หรือเปล่า  เหมือนกับจิตใจของเรา เป็นผลของจิตใจของเรา เรามองเห็นใจของเราก็อย่างนี้  ผลไม้ลูกนี้เราจะเอาไปล้างดีหรือเอาไปเช็ดดี ใจของเราดวงนี้จะเอาไปล้างดีหรือจะเอาแค่เช็ดๆ ก็พอ เรามั่นใจในจิตใจของเราเองไหม เวลาเรามองผลไม้ลูกนี้ ก็เหมือนมองจิตใจของเรา เรายังหาวิธีไม่ถูกเลยว่าจิตใจของเรานี่มันร้ายกาจขนาดที่เราต้องเอาไปล้างสักสามน้ำ หรือว่าจิตใจของเรามันก็ดีพอประมาณที่จะเอาไปเช็ดๆ ก็พอ แต่เอ๊ะมองไปมองมาบางทีก็ร้ายบางทีก็ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเป็นคนที่มีจิตใจที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเสมอ เพราะฉะนั้นจิตใจของเรา เราเองเรายังมองไม่ออก จงอย่าเอาตัวเราไปตัดสินใคร ว่าคนนั้นดีหรือไม่ดี อย่างน้อยความสุขก็เทมาหาเราตั้งครึ่งหนึ่งแล้ว แล้วจิตใจของเราดวงนี้นั้น วันไหนที่เรารู้สึกสกปรกมากๆ ก็จำเป็นต้องล้าง  เรื่องไหนที่เรารู้สึกว่าดีอยู่แล้วเราก็แค่เช็ดใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างบางคนเป็นคนโมโหง่ายมากเลย ขนาดที่ต้องเอาไปล้าง แต่บางคนนั้นก็โมโหเล็กน้อย โมโหง่ายหายเร็ว อันนี้แค่เช็ดก็พอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าคนไม่ได้มีแค่นิสัยโกรธ ไม่ได้มีแค่นิสัยขี้โมโห ยังมีนิสัยอย่างอื่นอีกตั้งเยอะแยะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วนิสัยของเราคนอื่นก็ไม่รู้มีแต่เรารู้อยู่คนเดียว คนอื่นก็ไม่รู้ว่าเราแย่อย่างไร มีแต่เราเท่านั้นที่รู้ เวลาที่เอาเรื่องที่ดีๆ มาฉาบตัวเราไว้ มาปิดบังตัวเราไว้ให้คนอื่นรู้สึกว่ามองภายนอกคนนี้เป็นคนดีนะ คนนี้เป็นคนดี แต่จริงๆ แล้วลึกๆ เราเป็นคนดีหรือเปล่า ใครตอบได้ (ตัวเราเอง)  แต่บางคนแย่กว่า ขนาดตัวเรายังไม่แน่ใจว่าตัวเราดีหรือเปล่า  แล้วส่วนใหญ่ก็จะตอบอาจารย์ว่าดีครึ่งไม่ดีครึ่ง ใช่หรือเปล่า  (ใช่)  เพราะฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์ไปครึ่งดี ไม่ใช่ไปครึ่งไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ไหนใครบอกว่าตัวเองต่อไปหลังจากวันนี้ปีใหม่แล้วเราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ไปครึ่งดีให้หมดเลย เราจะกลายเป็นคนดี เชิญนั่ง  (นักเรียนนั่งทั้งหมด)  เอ้าปรบมือ  ใครทำไม่ได้ก็ฝีขึ้นก้นนะ สัญญาไหม (สัญญา)  ใครทำไม่ได้ก็เป็นเหมือนที่อาจารย์ว่านะ ไหนใครเปลี่ยนใจอยากยืนบ้าง มีไหม รับปากอาจารย์เองนะ
มีนิทานเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง อยากฟังไหม (อยาก)  มีผู้ชายอยู่คนหนึ่ง ผู้ชายคนนี้ทุกวันๆ ผ่านไปอย่างปกติสุขเหมือนกับเรา เหมือนที่เราผ่านมาทุกวันๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ดีก็ไม่ร้าย เวลาพูดอะไรคนอื่นก็เหมือนจะเชื่อเราไปทุกอย่าง เป็นคนดีคนหนึ่ง แต่มีวันหนึ่งตอนเช้าเขาตื่นขึ้นมาขี้ตามันมาติดที่ตา มันติดเข้าไปข้างในเลย  เคยมีขี้ตาไหม (มี)  ไม่ใช่ติดที่หนังตา มันติดอยู่ที่ลูกตา แล้วเขาก็รู้สึกว่าตาทำไมฟางๆ มองอะไรก็ไม่ชัด ไม่ชัดไปหมดเลย มองกระดาน กระดานมีคราบ มองกระจก กระจกมีคราบ เสื้อผ้าตัวนี้ก็มีคราบ มันเป็นคราบที่เอามือไปปัดก็ยังไม่หายสักที มองไปทางไหนก็มีคราบไปหมดเลย แต่ว่าเขาไม่คิดว่าตาของเขามีขี้ตาเลย เขากลับคิดว่ากระจกนี่ทำไมมัวนัก เสื้อผ้าตัวนี้ก็ไม่สะอาด คนนั้นก็อาบน้ำแล้วแต่ทำไมไม่สะอาดเลย  ทุกอย่างรอบๆ ตัวเขาดูจะเป็นอย่างไร สกปรกหมดเลย ทีนี้อาจารย์จะบอกว่าคนๆนี้ ที่ไม่รู้ว่าตาของตัวเองมีขี้ตาติดก็เหมือนกับเรา เหมือนกับเราทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ความผิดของเรา ความไม่ดีของเรา มันเหมือนขี้ตาที่ติดในตาเรา เวลาที่เรามองคนอื่นเราเห็นอะไร เห็นคนอื่นไม่ดี  เคยเห็นคนอื่นไม่ดีไหม   ลูกก็ไม่ดี แฟนก็ไม่ดี บ้านเราก็ดูโทรมๆ กว่าคนอื่นเขา เงินของเราก็น้อยกว่าคนอื่นเขา ทำไมนะ แต่จริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามองเห็นแล้วคนอื่นผิดนั้น ผิดอยู่ที่ไหน ผิดอยู่ที่ขี้ตา ผิดที่ตัวเรามีขี้ตาแล้วมองไม่เห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฟังแล้วเหมือนตลกไหม (เหมือนตลก)  แต่ว่าในชีวิตจริงของเราเราชอบโทษคนอื่นหรือเปล่า เราอาจจะไม่ชอบโทษแต่เราก็โทษเขาใช่หรือไม่ (ใช่) เราชอบโทษคนอื่นไม่ดีอย่างนั้น คนอื่นไม่ดีอย่างนี้ พ่อเราก็ไม่ดีอย่างนี้ แม่เราก็ไม่ดีอย่างนี้ ลูกเราก็ไม่ดีอย่างนี้ พี่น้องของเราก็ไม่ดี คนรอบข้างบ้านเราก็ไม่ดี สังคมแวดล้อมเราก็ไม่ดี เราจนก็ไม่ดี อะไรก็ไม่ดีไปหมด  ถามศิษย์ว่าถ้าศิษย์มองทุกๆ อย่างรอบตัวของศิษย์ไม่ดี อะไรไม่ดี ขี้ตาของเราหรือเปล่า ขี้ตาของเรามันติดอยู่ที่ตา  เราเลยมองทุกอย่างดูไม่ดีไปหมดเลย เพียงแต่ขี้ตาอันนี้เป็นขี้ตาล่องหน เรามองกระจกเท่าไหร่ก็มองไม่เห็นขี้ตาตัวเองสักที จิตใจของเรามองเท่าไหร่ก็ไม่เห็นกิเลสที่มันเกาะอยู่ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นเวลาที่เรามอง เราเริ่มรู้สึกว่ามองอะไรๆ ก็ไม่ดี เราลองมาดูสิว่าจิตใจของเรามีขี้ตาหรือเปล่า ไม่แน่อาจจะมีขี้ตาอยู่หนึ่งก้อน  ดีไม่ดีมีขี้ตาทั้งสองข้างเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราเอาขี้ตาออกเราก็จะเห็นโลกที่สว่างไสว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความสุขก็กลายเป็นเรื่องหาง่ายใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าบ้านเราไม่มีเงินซื้อกับข้าว ออกไปตามริมถนน ออกไปตามทุ่ง ก็ไปเด็ดผักสดๆ กิน ดีกว่าเราไปซื้อในตลาดดีกว่าไหม (ดีกว่า)  ดีกว่าอีกนะ  ถ้าหากว่าเรามีเงินน้อย เราก็ใช้น้อย  เราก็ไม่ต้องกลัวโจรขึ้นบ้าน มีความสุขกว่าไหม (มี)  ลูกของเราดูไม่ฉลาดเฉลียวเลย แต่เอ๊ะเขาไม่ฉลาดเนี่ยดีไหม (ไม่ดี)  โอ้  ศิษย์ของอาจารย์มองโลกในแง่ร้าย  เขาไม่ฉลาดก็ดีใช่หรือเปล่า เขาจะได้อยู่ช่วยเราทำนา ทำไร่ ใช่ไหม ถ้าหากว่าเขาฉลาดเขาก็ไปทำงานในเมือง ใช่ไหม (ใช่) แล้วเวลาแก่อยู่กับใครล่ะ เขาไม่ฉลาดก็ดีนะ มีอะไรอีก
สิ่งที่สำคัญในชีวิตของเรานอกจากเรื่องลาภยศชื่อเสียงเงินทอง มีเรื่องอะไรสำคัญกว่าอีก  เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเรื่องลาภยศชื่อเสียงเงินทอง เรื่องใดก็ตาม ลอกขี้ตาออกจากตาซะ จะได้เห็นว่าเรื่องพวกนี้ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่มีเงินสักบาทนึงที่เราจะเอาเข้าโลงไปได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่มีสิ่งใดที่เรานั้นสามารถที่จะยึดไว้ได้ตลอดชีวิตถูกหรือไม่  เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ใครๆ ก็บอกว่าการศึกษาไม่ค่อยดี ใครๆ ก็บอกว่าเรานั้นแก่ทำอะไรไม่ได้ ใครๆ ก็บอกว่าเรานั้นเป็นชาวบ้านธรรมดา แต่อาจารย์จะบอกให้ชีวิตที่เรียบง่ายและธรรมดาอย่างนี้ เป็นเรื่องหายากในโลกปัจจุบัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีแต่คนจะวิ่งไปหาความวุ่นวายมากกว่าที่ตัวเองเป็น มากกว่าที่ตัวเองมี เกินกำลังที่ตัวเองนั้นจะรับได้ มีแต่คนวิ่งไปหาในเรื่องที่เกินกำลังในเรื่องที่ตัวเองจะรับได้  แต่ทุกวันนี้ เรามีชีวิตอยู่อย่างนี้เรียบง่ายอย่างนี้ เป็นเรื่องของความโชคดี เรียกว่าเป็นคนที่ทำบุญมาจึงมีชีวิตที่เรียบง่ายอย่างนี้ เป็นความโชคดีที่เราเกิดมาหน้าตาไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ เราจะได้ไม่ต้องมีความวุ่นวายเรื่องความรักมากมายเกินเหตุ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นวันนี้โชคดีหรือยัง (โชคดีแล้ว)  แล้วแถมได้มาเป็นศิษย์ของอาจารย์อีกโชคดีไหม (โชคดี)  แล้วถ้าหากอาจารย์บอกให้บำเพ็ญธรรมแล้วบำเพ็ญไม่สำเร็จโชคดีไหม (ไม่โชคดี)  พอมีโอกาสมาเจอกันแล้ว แต่ถ้าหากว่าศิษย์ไม่สามารถที่จะบำเพ็ญธรรมได้ก็ถือว่าเราก็เป็นคนโชคร้ายเต็มที่เลยนะ จากคนที่โชคดีกลายเป็นคนโชคร้ายสุดๆ เลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นแสดงว่าเราอยากจะโชคดี เราต้องบำเพ็ญธรรมใช่หรือเปล่า (ใช่)  อยากโชคดีต้องบำเพ็ญธรรม ไหนคิดว่าตัวเองจะบำเพ็ญธรรม ยกมือ อย่ายกตามๆ กันไป ยกครึ่งไม่ยกครึ่ง จะยกก็ต้องยกให้สุด ทีนี้ดูใหม่ อย่าเพิ่งเอามือลง ถ้าข้อศอกเราเป็นอย่างนี้ก็หมายความว่าเราพร้อมจะเอาข้อศอกลง ยกมือค้างไว้ไม่กี่นาทีเหนื่อยหรือ เอาข้อศอกตัวเองยืดขึ้นให้ตรงๆ ไหนดูซิว่ามีใครข้องอๆ บ้าง ไม่ต้องเผื่อว่าจะกลับไปเลิกบำเพ็ญ เอามือลง เปลี่ยนข้าง เอามือขึ้น เอามือลง ลุกขึ้นยืน
ทำเท่าที่กำลังไหว เอาตัวของเรายกขึ้นแล้วใช้ปลายเท้ายืน อาจารย์ให้ยกทั้งตัวเลย ยกทั้งตัวและหัวใจเลยนะ ไม่รู้ว่าจะมีใครที่ทำไปอย่างฝืนๆ หรือเปล่า
หลายๆ คนผิดสัญญากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ลงโทษ เพราะว่ามีอย่างหนึ่งที่ลงโทษเราอยู่แล้วเสมอๆ คืออะไร คือกรรมของเรา ถ้าหากว่าวันนี้ ศิษย์เป็นคนที่โชคดี ที่มีโอกาสรับธรรมะ โชคดีที่เกิดเป็นคน และโชคดีที่มีชีวิตอย่างเรียบง่ายนี้ แต่เราไม่รักษาเอาไว้ สักวันหนึ่ง เราไม่บำเพ็ญธรรม เราก็ไม่สามารถที่จะขึ้นสวรรค์ได้ นั่นก็เป็นเรื่องของ (ตัวเราเอง)  ของตัวเราเอง ทำไมไม่สามารถขึ้นสวรรค์ได้ เพราะว่าเรานั้นถูกกรรมของเราดึงใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าหากว่าเราทำดี ถ้าเราช่วยเหลือผู้อื่น ที่เราช่วยเหลือจิตใจของตัวเอง นั่นก็คือการบำเพ็ญธรรมระดับหนึ่ง แต่หากว่าบำเพ็ญธรรมระดับเตี้ยนี้ ทำไม่ได้ ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะขึ้นสวรรค์ ใช่หรือไม่ (ใช่) กรรมก็จะลงโทษศิษย์เอง เพราะว่าสิ่งที่ดึงศิษย์ลงไปจากสวรรค์ ก็คือกรรมของเรา
เราอยู่ในโลกมนุษย์นี้ ทุกวันนี้ก็สามารถทำให้โลกมนุษย์นี้เป็นสวรรค์ได้ ด้วยการที่อะไร เทวดาหน้าบึ้งมีไหม (ไม่) เทวดาหน้าบึ้งไม่มี เทวดาสูบบุหรี่มีไหม (ไม่มี) เทวดาเล่นไพ่มีไหม (ไม่มี) เทวดาเล่นหวยมีไหม (ไม่มี) เทวดาโลภมากมีไหม (ไม่มี) เทวดาโกรธง่ายมีไหม (ไม่มี) เทวดาแย่งของมีไหม เทวดามีความทุกข์มีไหม (ไม่มี) เป็นเทวดาหรือยัง เรื่องของดีๆ นั้น ถ้าขยันสร้างให้มาก เราก็กลายเป็นเทวดาได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ให้เขาแล้วทั้งเราและเขามีความสุขดีหรือเปล่า (ดี) ถ้าคนอื่นเขาเห็นเราแล้วเขามีความสุข แสดงว่าเราเป็นเทวดาไหม แล้วตอนนี้คนเห็นเรามีความสุขหรือมีความทุกข์ มีสุขหรือทุกข์ (สุข ทุกข์) โดยทั่วไปจะชอบยิ้ม ใบหน้าจะอมยิ้มอยู่ตลอดเวลา หรือใบหน้าบึ้งอยู่ตลอดเวลา (ยิ้มตลอดเวลา) ให้ยิ้มนะ ต้องเป็นเทวดาให้ลูกดูก่อนนะ ดีหรือเปล่า (ดี) ถ้าหากว่าเจอลูกไม่เชื่อฟังอยากจะตีเขา เทวดาตีคนมีไหม (ไม่มี) ถามว่าลูกทำผิดแล้วไม่ตีได้ไหม แล้วจะทำอย่างไร (สอน)  สอนด้วยเสียงโกรธๆ ได้ไหม (ไม่ได้) วัวหายล้อมคอกได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นต้องดูก่อน ว่าเราจะสอนลูกเรื่องอะไรบ้าง แล้วต้องสอนเรื่องอะไร เราต้องสอนตั้งแต่เด็กๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) โตๆ แล้วเขาอยากฟังไหม ศิษย์ของอาจารย์โตขนาดนี้ อาจารย์พูดอะไรไป ยังไม่ค่อยอยากฟังเลย เพราะฉะนั้นต้องสอนลูกตั้งแต่เด็กๆ แล้วไม่ต้องใช้วิธีการตีก็สามารถทำให้เขาเชื่อฟังเราได้ เพราะว่าเรานั้นเป็นแบบอย่างที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) พ่อสูบบุหรี่ อยากให้ลูกเลิกสูบบุหรี่ได้ไหม (ไม่ได้) พ่อกินเหล้า อยากให้ลูกอดเหล้าได้ไหม (ไม่ได้) แม่เล่นไพ่อยากให้ลูกเลิกเล่นไพ่จะทำได้หรือไหม(ไม่ได้)  แม่เล่นหวยแต่อยากให้ลูกเลิกหวยจะทำได้หรือไม่ (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นตัวเรานี่แหละคือแบบอย่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)
(อาจารย์บรรยายธรรม: ในการประชุมแต่ละครั้ง พระอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านมาเมตตาพวกเรา ไม่ใช่การมาบอกเลข) หรือจะเอาเลข ไหนใครเอายกมือ เอาหรือไม่เอา (ไม่เอา) ดีมาก ปรบมือให้ตัวเองหน่อย ใครเปลี่ยนใจจะเอา ยกมือ (ไม่เอา) ปรบมือให้ตัวเองอีกรอบหนึ่ง ให้เปลี่ยนใจ ใครจะเอายกมือ ปรบมือให้ตัวเองหน่อย
อาจารย์ทดสอบสามรอบ มารทดสอบสิบรอบ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทดสอบคนแค่สามรอบ มารทดสอบคนสิบรอบ อาจารย์ว่าน้อยคนที่จะสอบรอบที่สิบแล้วจะไม่คว้าไว้ใช่ไหม มารหลอกล่อด้วยเงินทองเป็นสิ่งที่ทำให้เรานั้นหัวใจเต้นระริกทีเดียว เพราะฉะนั้นต้องระวังๆ ไม่ใช่ระวังมารนะ ระวังตัวเอง เพราะสิ่งที่เป็นอันตรายยิ่งกว่าไม่ใช่คนอื่นที่เขาว่าเรา แต่เป็นตัวของเราเองที่ยอมแพ้ให้แก่สิ่งนั้นๆ ที่มาหลอกล่อจิตใจของเรา เพราะฉะนั้นมารก็ไม่น่ากลัว ผีก็คือคนที่ตายไปแล้ว เทวดาก็คือคนที่ทำดีขึ้นไปเป็นเทวดา คนที่น่ากลัวอยู่คนเดียวที่จะเป็นข้างเทวดาและเป็นทั้งมารก็คือตัวเราเองใช่หรือเปล่า (ใช่)
ทุกๆ ครั้งที่มีเรื่อง มีปัญหาเข้ามาหาเรา ดูซิว่าเราใช้จิตใจอะไรของเราไปรับมือกับปัญหานั้นๆ บางคนใช้จิตใจของเทวดาเพื่อคลายปัญหาเมื่อคลายได้แล้วจะคลายตลอดไป ไม่ให้ปัญหานั้นกลับมาอีก แต่หากรับมือด้วยจิตใจของมาร ปัญหาจะคลายไปอย่างรวดเร็ว ครู่เดียว แต่ว่าปัญหานั้นไม่ยอมจบใช่หรือไม่ เพราะว่าเรานั้นไม่ได้สุจริตในการที่จะรับมือกับปัญหานั้นๆ เราไม่ซื่อตรง เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมก็คือ การขัดเกลาจิตใจของตัวเราเอง คือการชำระล้างจิตใจของตัวเราเอง คือการเช็ดฝุ่นที่อยู่ในจิตใจของเรา คือการแคะขี้ตาของเราออกไปจากตา คือสิ่งที่เราทำได้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่าทุกสิ่งอาศัยเวลานาน อาศัยชีวิตของเราในการแก้ปัญหา แก้นิสัยของเราเรื่องเดียว ที่มันอาจจะติดมาจากชาติปางก่อนด้วย แต่บางทีอาจจะไม่ต้องเสียเวลาขนาดนั้น อาจจะใช้เวลาแค่สิบปีก็ได้ แต่ว่าสิบปีของมนุษย์ มนุษย์บอกสิบปีนี้มันนาน แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์บอกว่า ถ้าหากศิษย์สามารถใช้เวลาสิบปีบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญให้ดีไม่นาน คนมักจะคิดว่าสิบปีนั้นยาวนาน แต่หากสิบปีสามารถสำเร็จได้ไม่นานเลย  เพราะฉะนั้นตอนนี้ถึงแม้ว่าเราอายุมากแล้ว บางคนผมขาวแล้วแต่หากว่านับจากวันนี้ไปสิบปีหรือนับจากวันนี้ไปจนชีวิตหาไม่ สิบ ยี่สิบปีนี้สามารถที่จะบำเพ็ญธรรมให้ดี  แล้วสามารถไปเป็นเทวดา นางฟ้า ดีไหม (ดี)  ถ้าสามารถทำได้ อาจารย์ก็ถือว่าศิษย์นั้นประสพความสำเร็จ กลัวแต่ว่าให้เวลากับตัวเองไม่ให้ถึงสิบวัน
วันนี้มาประชุมธรรมสองวัน พอพรุ่งนี้ไม่รู้จะทำดีหรือเปล่า พอมะรืนนี้ก็ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง พอมะเรื่องนี้ก็เอาเหมือนเดิมแล้วกัน เหมือนเดิมๆ ที่เคยเป็นมาก็คืออะไร ก็คือเราที่อยู่ในกระจก
(พระอาจารย์เมตตาให้อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมและอาจารย์บรรยายธรรมนำร้องเพลงพระโอวาทที่ประทานให้)
ถึงแม้ว่าเริ่มต้นจะยังร้องไม่ได้ครบถ้วนแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีคนนำใช่หรือไม่  บางทีเรื่องบางเรื่องในโลกนี้ก็เป็นอย่างนั้น เราไม่ใช่อาจารย์บรรยายธรรมและอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมทั้งหลาย รวมทั้งคนที่มีหน้าที่ในการนำคนอื่นนั้น ไม่ได้ว่าตัวเองมีความสามารถมากมาย อาจารย์เองก็ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสามารถมากมาย แต่เป็นเพราะว่าอะไร แต่เป็นเพราะว่าเรามีหน้าที่และเราจำเป็นต้องทำ แต่การทำหน้าที่ต่างๆ นั้นไม่ใช่ทำด้วยความรู้สึกบังคับและฝืนใจ แต่ต้องทำออกมาจากใจ หน้าที่ของเราที่เรารับผิดชอบและทำออกมาจากใจนั้นล้วนจบลงด้วยดีทั้งสิ้น
อย่างเช่นศิษย์ทั้งหลายที่อยู่ในห้องนี้ร้องเพลงจีนไม่เป็น แต่ว่าพออาจารย์ให้เพลงจีนมา แล้วมีคนนำที่ดี ในที่สุดแล้วเพลงนั้นก็เพราะใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอะไร ไม่ใช่ เพราะว่าเพลงเพราะ แต่เพราะทุกคนนั้นร้องออกมาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเรื่องทั้งหลายที่ศิษย์ของอาจารย์ต้องไปเจอในอนาคต ในอดีตที่ผ่านมาก็ดี ปัจจุบันนี้ก็ดี เรื่องทุกเรื่องไม่ใช่ว่าเรามีความสามารถ แต่เราต้องทำให้ดีที่สุด แต่อย่าลืมสิ่งหนึ่งก็คือยอมรับเวลาที่ผู้อื่นเขาว่า ยอมรับเวลาที่ผู้อื่นเขาชม อย่าได้หลงระเริงตน แต่เรานั้นต้องรับคำชมมาเพื่อเรานั้นจะได้รู้ว่าเรานั้นไปถึงไหนแล้ว และเราต้องรู้ว่าเราไม่ปล่อยตัวเองให้เตลิดไปกับคำชมนั้นๆ
ในขณะเดียวกันเวลาที่คนเขาว่าเรา เราก็ต้องรู้ว่า อ้อเรายังมีข้อเสียอยู่ ข้อเสียเหล่านั้นที่เขาว่าเราจริงไหม ไม่จริงก็ไม่เป็นไรนี่นะ ฟังไว้ ใช่ไหม  เพราะฉะนั้นเวลาโดนคนอื่นว่า เวลาโดนคนอื่นชม อย่าเลือกฟังแต่คำชม ไม่ชอบฟังคำว่า ไม่เช่นนั้นแล้วเราจะกลายเป็นคนที่มีความทุกข์เพราะเราเอามือไปปิดปากเขาไม่ได้ ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะเราห้ามเขาคิดไม่ได้ เอ๊ะ ความทุกข์แบบนี้เป็นความทุกข์ที่ไม่ดีเลยใช่หรือไม่ (ใช่)
ความทุกข์แบบนี้เราไม่มีสิทธิ์ที่จะห้ามเลย เพราะฉะนั้นควบคุมอะไร ควบคุมตาของเรา อย่าไปมองเรื่องคนอื่น ควบคุมหูของเรา อย่าไปฟังเรื่องคนอื่น ควบคุมปากของเรา อย่าไปนินทาคนอื่น ควบคุมใจของเรา ให้แม่นมั่นอย่าให้ใจของเรานั้นมันเผลอซ่อนกิเลสไว้ข้างใน แล้วเอาคราบความเป็นคนดีมาฉาบไว้ เพราะว่าจริงๆ แล้วเวลาที่เรามีกายนี้ เราสามารถจะปิดบังได้ทุกอย่างว่าเราดีหรือไม่ดี แม้แต่บางทีสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นก็ยังดูไม่ออกเลยว่ามนุษย์คนไหนดีจริงหรือดีไม่จริง เพราะอะไร เพราะเวลาดีก็ดีออกมาจากใจ เวลาร้ายก็ร้ายออกมาจากใจ
การเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ใช่จะมองออกว่ามนุษย์นั้นคนไหนดีหรือไม่ดี ฉะนั้นเกิดมาเป็นคนด้วยกัน อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นคิดเหมือนอาจารย์ ไม่จำเป็นต้องดูว่าศิษย์ของอาจารย์คนไหนดีหรือไม่ดี ดูตัวเราดีกว่า แล้วเราทำให้ตัวของเราดีร้อยเปอร์เซ็นต์ เริ่มจากเปอร์เซ็นต์แรก เริ่มจากครั้งแรกที่เรานั้นคิดว่าเราจะดี ต่อไปเรื่อยๆ แล้วให้เรานั้นดีให้ถึงที่สุด ดีให้ถึงวาระสุดท้ายของตัวเราเอง นี่แหละการเป็นคนดี
โอวาทซ้อนโอวาทก็เป็นอย่างที่อาจารย์นั้นพูดมาตลอด อันนี้ให้เป็นของขวัญปีใหม่ด้วย อ่านว่าอะไร (คนดีที่สุขเป็น)  ทำไมไม่บอกว่าคนดีที่เป็นสุขล่ะ เพราะจริงๆ แล้วคนดีก็ควรจะเป็นสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนดีเป็นสุขนั้นคู่กัน แต่ว่ามนุษย์สมัยนี้เป็นอย่างไร เป็นคนดีอยู่แต่ว่าสุขไม่เป็น วันๆ มีแต่ คิดถึงแต่ปัญหาใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำตัวเป็นคนดีที่สุขไม่เป็น แต่จริงๆ แล้วควรที่จะเป็นคนดีที่เป็นสุข แต่ว่าเรานั้นไม่รู้ เราไม่รู้อย่างไร พวกเรานั้นชอบเป็นคนดีที่มีความสุขไม่เป็น ดีน่ะดีอยู่ แต่ความสุขในจิตใจในชีวิตนี้หายากเหลือเกิน บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเราเรียกสูงเกินไป เรียกร้องใคร เรียกร้องคนอื่น เรียกร้องใครอีก เรียกร้องตัวเอง เรียกร้องซะจนสูงลิบลิ่วจนเรานั้นทำไม่ได้ คนอื่นก็ทำไม่ได้ สุดท้ายต่างคนต่างก็เป็นคนดีแต่ไม่มีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราต้องดูในถิ่นที่เราอยู่ ดูในหน้าที่ที่เราทำ ดูในทุกอย่างที่เราเป็น จริงๆ แล้วคนดีนั้นไม่จำเป็นต้องเหมือนคนอื่น ไม่จำเป็นต้องดีให้เท่ากับคนอื่น แต่ขอให้ดีในแบบที่เราเป็น แล้วให้เราเป็นคนดีที่สุขเป็น อาจารย์ขออวยพรให้เราทุกคนเป็นคนดีที่สุขเป็น แล้วคราวหลังก็กลายเป็นคนดีที่เป็นสุขเองนะ
วันนี้อยากกลับบ้านเร็วไหม อยากกลับบ้านเร็วๆ อาจารย์จี้กงก็ต้องรีบไปเร็วๆ เหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้อาจารย์ยังไม่เสร็จภารกิจเลย ภารกิจอะไรรู้ไหม ภารกิจสุดท้ายคือต้องแจกผลไม้ให้ศิษย์ก่อน ใครอยากได้ผลไม้ยกมือ ภารกิจสุดท้ายนะ ที่นี้อาจารย์จะถามเหมือนทุกครั้งที่อาจารย์ถาม กลับไปบ้านเราจะไปแก้ไข จะไปปฏิบัติ จะไปทำอะไรให้ดี เป็นคำถามที่ง่ายๆ จริงๆ แล้วศิษย์อาจารย์ต้องเริ่มคิดตั้งแต่เมื่อวานนี้ เซียนเด็กมาแล้วก็กลับไปแล้ว ท่านพูดแต่สิ่งที่เป็นคุณและเป็นประโยชน์ต่อศิษย์ทั้งสิ้น ท่านชี้ทางให้ศิษย์กลับไปแล้ว ไปทำอย่างที่ท่านมาสอน ไม่เช่นนั้นแล้ว ก็เหมือนกับเราไม่ได้ฟัง ถ้าหากเราฟังแล้วไม่ปฏิบัติก็คือเราไม่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นอาจารย์มาเพื่อกระตุ้นให้ศิษย์คิดเร็วขึ้นว่า เมื่อกลับไปแล้วจะทำอะไรดี แต่อันนี้มีผลตอบแทนเป็นแอปเปิ้ล ใครตอบได้ปัญหาง่ายๆ แบบนี้ อาจารย์ก็ให้ผลไม้ (ทำตนเป็นคนดี) เมื่อก่อนเป็นคนดีหรือเปล่า (เป็นแต่เป็นน้อย) เหมือนเราเลยหรือเปล่า เวลาฟังคำตอบของเพื่อนก็คิดย้อนกลับมาที่ตัวเองด้วยว่า เมื่อก่อนเราดีน้อยเหมือนกันหรือเปล่า (จะเลิกบุหรี่ เลิกดื่มสุราครับ)  แล้วเวลาหนาวๆ ล่ะ (กินกาแฟครับ) ผู้ชายก่อน แถวหน้านี้เป็นอะไร เป็นช้างเท้าหน้าที่เอาแต่ก้าวหรือเปล่า (จะทำตัวให้ดีกว่าเก่า) ปกติเราดีไหม (ดีครับ) ดีกว่าเก่าเป็นอย่างไรล่ะ เรื่องอะไรที่จะดีขึ้น อยากปรับปรุงอะไรให้ดีขึ้น (เรื่องจิตใจ ช่วยพ่อแม่ทำงานครับ) พ่อแม่เปรียบเสมือนผู้ที่สูงส่ง ถ้าเราจะช่วยทำงาน ก็ต้องเห็นท่านเป็นเทวดา ทุกๆ วัน แสดงต่อท่านด้วยความเคารพรัก ถึงแม้เทวดาจะทำผิดก็ไม่เป็นไร ใช่ไหม มีจิตใจที่เคารพนะ ถ้าเห็นอาจารย์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มา ต่อให้อาจารย์จะมาตีแขน เราก็คงคิดว่าสงสัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะมารักษาโรคปวดแขนให้ ใช่หรือเปล่า แต่ถ้าแฟนเรามาถึงมาตีเรา เรารู้สึกอย่างไร อะไรทำไมต้องตีฉันด้วยใช่หรือเปล่า นี่คือความหมายที่อาจารย์พูดให้ฟังว่าถ้าเราเห็นว่าใครมีคุณค่าต่อเรา ต่อให้เขาทำอะไรเรา ก็ดูดีไปหมดใช่หรือไม่ ถ้าหากจิตใจเราไม่ชอบคนคนนี้เป็นทุนอยู่แล้ว มีอคติเป็นทุนอยู่แล้ว ไม่ว่าเขาทำอะไรก็ดูแย่ไปหมดใช่ไหม (กลับไปทำตัวเป็นคนดี เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบพูดมีศีลธรรม มีธรรมะครับ)  เอ..ทำไมวันนี้มีคนรับปากเลิกเหล้าหลายคน (จะทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม จะทำความดี) ทำความดีอะไรล่ะ (จะปฏิบัติเคร่งครัดต่อศีลห้า) ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคม ต่อให้เราเห็นเศษขยะที่อยู่บนถนน แล้วเราช่วยเก็บให้ชุมชนของเราสะอาด ก็เป็นการทำความดีต่อสังคมแล้ว ไม่จำเป็นต้องถึงขนาดนำความเจริญมาสู่สังคม ถึงจะเรียกว่าทำความดี ให้เราเห็นเศษขยะ เศษใบไม้ เห็นคนไม่มีข้าวกิน แต่เราแบ่งให้เขาครึ่งหนึ่ง ก็เป็นการทำประโยชน์ต่อสังคม คนนั้นถ้าเขาไม่มีข้าวกินไปสามวัน เขาจะเป็นโจรไหม เพราะฉะนั้นเวลาเราทำอะไรอย่าคิดว่าเราทำเรื่องเล็กๆ
ทุกอย่างทุกเรื่องที่เราทำ แม้จะเป็นเรื่องนิดเดียวแต่ถ้าเราทำไปด้วยความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ มันจะกลายเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมา ที่สำคัญต้องเป็นคนอย่ามองโลกในแง่ร้าย ถ้ามองโลกในแง่ร้าย พระอาทิตย์ที่แสบตาก็กลายเป็นสีดำใช่ไหม เมฆมาก็คิดว่าฝนจะตกแล้ว ถ้าตากผ้าอยู่ก็ไม่อยากให้มีใช่ไหม คนเรามองโลกในแง่ร้าย ไม่ดีนะ (จะทานเจไปตลอด)
อาจารย์เมตตาประทานมะม่วงบนโต๊ะพระให้นักเรียนที่ตอบ
เนื้อสัตว์รสมะม่วงเอาไหม (ไม่เอา) พูดว่าทานเจมันง่าย แต่ถึงเวลาแล้วถ้าผักแพง จะรู้สึกอยากทานเจหรือเปล่า ไม่ใช่ รอให้หมูเป็นโรคแล้วค่อยทานเจนะ (จะปฏิบัติตัวให้ดีกว่าที่เป็นอยู่จะบอกครอบครัวว่ามีอะไรดีๆ หลายอย่างที่ควรปฏิบัติต่อไป) ควรจะอธิบายได้ด้วยว่ามันดีอย่างไร บางคนก็พอใจ ที่คนอื่นบอกว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งดี พอบอกว่าดีๆ ก็ตามๆ กันไป ต้องอธิบายคำว่าดีให้ออก คำอธิบายที่ดีที่สุดนั้นคืออะไร คือการปฏิบัติของเรา ปฏิบัติได้ดีจริงๆ มองแล้วหนึ่งเรื่องที่เราทำแค่กตัญญูต่อพ่อแม่ ก็ส่องให้เห็นถึงหลายๆ อย่างในตัวเราใช่หรือเปล่า (ให้ทรัพย์เป็นทาน แนะนำให้ญาติพี่น้องมารับธรรม เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่เป็นศิษย์ที่ดีของอาจารย์ ไม่ฆ่าสัตว์ ปฏิบัติตามที่อาจารย์สั่งสอน สั่งสอนลูกหลานให้ทำดี กลับไปปรับปรุงเปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนแปลงจิตใจให้ดีขึ้น ปฏิบัติตามที่อาจารย์สั่งสอน) อาจารย์สอนอะไรไปบ้าง (ทำดี จิตใจดี กายก็ดี เป็นลูกที่ดีของแม่ และเป็นแม่ที่ดีของลูก ทำตัวเองให้เป็นคนดี ทำดีต่อครอบครัว  ชวนให้แม่มารับธรรมะ ชวนสามีมารับธรรมะ ปฏิบัติต่อครอบครัวให้ดีต่อไป ไปทำตัวที่บ้านให้ดีขึ้นกว่าเก่า ดูแลคุณแม่ ดีต่อครอบครัวทุกอย่าง ไปเป็นแม่ที่ดีของลูก สอนให้ลูกทานเจ) หลายคนเป็นคนพูดเก่ง แต่ว่าทุกคำพูดที่เราพูดไป ก็คือธรรมะ คือหนังสือเล่มหนึ่งที่ให้คนอื่นอ่านเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคนที่พูดเก่ง ต้องรู้จักหัดพูดแต่ในสิ่งที่ดี และพูดในสิ่งที่ตัวเองรู้ชัด และต้องแยกแยะ บางทีจึงไม่ต้องพูดในความจริงบางเรื่อง ฉะนั้นพูดแต่ในสิ่งที่มีประโยชน์ต่อผู้อื่นนั้นเป็นดี เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ) บางคนบอกว่า ฉันพูดความจริง แต่ว่าความจริงทำให้คนอื่นนั้นมีความทุกข์ บางทีก็ไม่น่าจะพูดใช่หรือไม่ ที่สำคัญคือ ทุกเรื่องที่เราพูดเราต้องรู้ให้แน่ๆ ว่ามันใช่แบบนั้น จึงจะเป็นสิ่งที่ดีต่อตัวเราเอง ไม่เช่นนั้นแล้ว บางทีรู้มากมายดีต่อตัวเราเอง แต่ไม่ดีต่อผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)
พระอาจารย์เมตตาผู้ร่วมฟังชั้นล่าง : อาจารย์หวังว่าศิษย์อาจารย์ทุกคนตรงนี้ไม่ใช่ผู้ร่วมฟังทุกปีนะ กลับไปแล้วทำตัวที่ดียิ่งขึ้น เป็นคนดีที่สุขเป็น อาจารย์หวังว่ามาสถานธรรม อย่ามาอย่างคนที่ไม่รู้ธรรมขอให้บำเพ็ญธรรมให้ดี
นับว่าศิษย์ของอาจารย์ในวันนี้จะมาอยู่ที่นี่ด้วยความมึนๆ งงๆ เขาเรียกเรามานั่งทำอะไรก็ไม่รู้ เขาหวังในตัวเราอะไรก็ไม่รู้  คนอาจจะตอบคนด้วยกันไม่ได้ แต่อาจารย์นั้นตอบศิษย์ได้ อาจารย์หวังให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นบำเพ็ญธรรม อาจารย์หวังให้ศิษย์นั้นมีชีวิตที่ดีขึ้น อาจารย์หวังให้จิตใจของศิษย์นั้นใสสะอาด บำเพ็ญธรรมฉุดช่วยได้ แม้จะช่วยไม่ได้เรื่องของทรัพย์สินเงินทอง ช่วยไม่ได้เรื่องของการพ้นทุกข์ในฉับพลัน แต่การบำเพ็ญธรรมนั้นช่วยศิษย์ได้ให้จิตใจนั้นคลายทุกข์ออก และเป็นความสุขที่ถาวร เพราะฉะนั้นอาจารย์หวังอย่างยิ่งให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นบำเพ็ญธรรม
สิ่งที่ศิษย์ตอบอาจารย์นั้นเป็นแค่ปุถุชนที่ทำตนเป็นคนดีแต่อาจารย์หวังในตัวศิษย์มากกว่านี้  อาจารย์หวังให้ศิษย์นั้นเป็นถึงเทวดา เป็นนางฟ้า อาจารย์หวังให้ศิษย์นั้นเป็นพุทธะไม่กลับมาเวียนว่ายในโลกนี้อีก ทุกวันนี้ทุกข์ไหม สุขไหม (ช่วงเวลาสั้นๆ ของชีวิตในโลกนี้) จะยอมทุกข์อย่างนี้ไปชั่วกัปชั่วกัลป์  หรือจะยอมใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายฝืนตนเองขึ้นจากโลกีย์อันนี้ อยู่ที่เราเลือก

(พระอาจารย์เมตตาผู้ดูแลสถานธรรมและเจ้าของสถานธรรม)
หวังว่าวันหน้านั้นอาจารย์มาพบศิษย์อีก  งานสถานธรรมที่นี่ เหนื่อยหน่อยนะ อาจารย์พูดอยากจะพูดทิ้งท้ายสักนิดหนึ่ง สถานธรรมที่นี่เป็นที่ๆ ลงทั้งหยาดเหงื่อแรงกายและน้ำตา ทรัพย์สินเงินทองของใครอีกหลายๆ คน ทุกๆ ปีก็คือคนที่มาจากที่ไกลๆ กรุงเทพฯ มาช่วยงาน ศิษย์รู้ไหมพวกเขามีความเมตตาดั่งพระโพธิสัตว์ ศิษย์รู้ไหมว่าศิษย์นั้นเป็นคนที่มีคุณค่าทั้งต่ออาจารย์และต่อพี่ๆ น้องๆ ของศิษย์เอง อาจารย์อยากให้ศิษย์ไม่ว่าจะผมขาวหรือว่าจะผมดำ เห็นคุณค่าในตัวเองดูให้ชัดๆ มองให้ชัดๆ ที่นี่ต้องการผลประโยชน์อะไรจากศิษย์ นอกจากศิษย์บำเพ็ญธรรมและช่วยเหลือผู้อื่น ถ้าหากว่าศิษย์นั้นจะมาร่วมอุดมการณ์ในการช่วยเหลือผู้อื่นนั้นอาจารย์ก็ยินดี อย่าให้คนอื่นเขาช่วยศิษย์โดยที่ศิษย์ไม่ได้ช่วยเหลือตัวเอง คนบำเพ็ญธรรมนั้นต้องมีปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการฝึกฝน ปัญญาที่เกิดจากการเรียนรู้ ปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติ ถ้าหากว่าศิษย์ใช้ปัญญามามองศิษย์ก็จะรู้ว่าที่นี่ต้องการให้ศิษย์บำเพ็ญธรรมไม่ต้องการอะไรจากศิษย์
นอกจากนี้อาจารย์จี้กงจะจริงหรือจะปลอมนั้นไม่ใช่เรื่องที่ศิษย์นั้นจะต้องคิด เพราะอาจารย์มาครู่เดียวอาจารย์ก็ไป ศิษย์จะทำเหมือนอาจารย์ไม่มีตัวตน ไม่เคยอยู่ที่นี่ ไม่เคยมา ไม่เคยเห็นก็ได้ แต่อาจารย์อยากให้เมื่อมีเวลาว่าง ศิษย์อาจารย์ขยัน กลับมาศึกษาธรรมะ อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นเมื่อสิ้นจากกายนี้ไปแล้วไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก แต่หมายความว่าหลังจากวันนี้เป็นต้นไปนั้นศิษย์ต้องพยายามเป็นคนดีของคน พยายามเป็นคนดีของเทวดา  พยายามเป็นคนดีที่ไม่หวังผลตอบแทน ต้องฝ่าอุปสรรคอีกมาก แต่อย่าเหนื่อย อย่าท้อ เรามากำหนดอนาคตชาติต่อไป ถ้าหากว่าชาตินี้เขาบำเพ็ญธรรม ชาติหน้าเราไม่ตกต่ำเท่านี้แน่นอน อาจารย์รับรอง พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ปีใหม่นี้อาจารย์ก็ขอให้ศิษย์เป็นคนดีที่สุขเป็น มีความสุขในชีวิตของเรา พอใจในสิ่งที่ตัวเรามีอีก มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ แล้วศิษย์ของอาจารย์จะมีความสุขมาก

พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ คนดีที่สุขเป็น ”

     มาเรียกร้องให้ตนนับถือความดี สุขในทุกที่ที่เราไปถึง
โดยความห่วงและรักเป็นมือมาดึง คนดีพึ่งคนอื่นแค่ในยามอับจน
ธรรมเป็นยารักษาความใจร้อน ตึงให้หย่อนหย่อนให้ตึงมัชฌิมาผล
สุขด้วยการบำเพ็ญใจตัดเวียนวน จงชนะตนที่ไร้ความแน่นอน

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2544

2544-12-15 สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี




PDF 2544-12-15-เจิ้งซิน #16.pdf

วันเสาร์ที่ ๑๕ ธันวาคม  พุทธศักราช  ๒๕๔๔ สถานธรรมเจิ้งซิน  จ.อุบลราชธานี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
ยอมรับความลำบากในลำบาก จึงรู้จักชีวิตที่ก้าวหน้า
คนเหนือคนด้วยฝึกฝนตนเองนา ใช้ความกล้าอีกปัญญานำตนเดิน
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์    เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา  ฮวา
รวงข้าวอ่อนน้อมถึงเวลาเกี่ยว พริบตาเดียวชีวิตผ่านไปมาก
พบเจอทั้งความสุขความลำบาก แล้วยังอยากเป็นเช่นนี้นานเท่าไร
หลงก็หลงรู้ก็รู้ไม่ยอมตื่น ลืมตาฝืนในทุกเช้าวันใหม่
จงแก้ไขตนเองให้สุขใจ อันทางไกลกลายใกล้เพราะเดินทุกวัน
มีจุดหมายให้ชีวิตแข็งแรงขึ้น อย่าเมามึนดูถูกตนต่างพ้นได้
บำเพ็ญจิตต้องมีแค่หนึ่งใจ ชำนาญไม่อาจสู้คนรู้จักตน
รู้จักตนทำให้เป็นคนประเสริฐ เมื่อได้เกิดเป็นคนมีบุญใหญ่
ได้รับธรรมสามชาติสร้างบุญไว้ ขอน้องได้รักษาโอกาสที่ตนมี
ในวันนี้ประชุมธรรมฟื้นฟูจิต ชราคิดตนคือไม้ใกล้ฝั่ง
แต่จงไปใกล้ฝั่งนิพพานฝั่ง ขอพลังศรัทธามีในทุกคน
บางคนที่ยังสงสัยให้เปิดจิต หนึ่งความคิดอย่าพาไปกู่ไม่กลับ
คนเกิดมาไม่แคล้วว่าต้องดับ จงยึดจับสายทองให้มั่นคง
สองวันนี้ให้ตั้งใจฟังธรรมะ ใจเป็นพระประธานอันสง่า
ฟังธรรมคลายความข้องใจแต่ก่อนหนา สำคัญพาจิตตนให้สุกสกาว
ในวันนี้พี่รับพระบัญชา คุมชั้นเรียนหวังว่าน้องจิตกุศล
บำเพ็ญธรรมละกิเลสในตัวตน ธรรมแยบยลอยู่ที่การปฏิบัติจริง
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป จงตั้งใจรักษาพุทธระเบียบ
เมื่ออยู่ในชั้นเรียนเสียงต้องเงียบ ขอให้มีความเรียบร้อยทั้งสองวัน
มีโอกาสค่อยมาศึกษาเพิ่ม จงส่งเสริมซึ่งกันเสมอเสมอ
หากไม่เริ่มวันนี้ก็จะเผลอ เมื่อไหร่เจอเริ่มได้ถามตนเอง
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา  ฮวา   หยุด

วันเสาร์ที่ ๑๕ ธันวาคม  พุทธศักราช  ๒๕๔๔ สถานธรรมเจิ้งซิน  จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง

ถึงจะฉลาดมิประมาทกันแต่อย่างไร  เหนือฟ้าก็ยังมีฟ้า  ใจต้องฝ่าโลกตามความจริง  โปรดเกรงใจแม้สนิท  ขาดมิตรถ้าหากแข็งเกิน  มีแล้วเพลิน  มีเงินอยู่ในกระเป๋า  อ่อนน้อมน่ารักที่สุด บำเพ็ญรู้รุดไม่เบา  ห้ามลงด้ามพร้าด้วยเข่า  แตกร้าวด้วยความร้อนใจ
ทำนองเพลง : ฝนตกแดดออก
เราคือ
เสี่ยวเซี่ยวฝอถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่แดนโลกีย์   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามพุทธะใหญ่น้อยทุกท่านสบายดีไหม
มีดวงจิตสว่างเป็นทุนชีวิต มีดวงจิตมืดผดุงอะไรได้
การบำเพ็ญต้องใช้ธรรมท้วงใจ ดำเนินไม่ผิดทางเดินด้วยปัญญา
มนุษย์เฝ้าห่วงหน้ามือซึมเหงื่อ สามทานอย่าอุทิศเมื่อยังกังขา
ทำอะไรพะวงหลังคนจึงช้า ซึ่งประหม่ามีภัยเข้าห้อมล้อม
ครวญอดีตผ่านมาดังนั่งชม วาสนาท่วมถมเมื่อเด่นไปน้อม
คนสังคมด้วยคนใจกลางพร้อม เป็นผู้ยอมเมตตาอยู่เบื้องหลัง
จิตเที่ยงด้วยปัญญาเร่งแยกแยะ คำค่อนแคะบำเพ็ญใช้สติตั้ง
รู้ไตร่ตรองนาวาล่องเต็มกำลัง ฝ่าพลังคลื่นรุดสู่แดนมาตุภูมิ
คนย่อมดีที่วันชนะใจ เชื่อมั่นในตนเองเคารพกลุ่ม
ขอให้ศรัทธามีกว่างมงายทุ่ม ใช้สุขุมถ่วงดุลคุณค่าตามมา
แม้เหนื่อยนักพัฒนาเพิ่มความเข้าใจ ยอมแม้ใช้ทั้งชีวิตเพื่อศึกษา
จงแข็งใจจากมาไกลอวิชชา เปี่ยมตั้งใจมานำบำเพ็ญตน
ฮิ  ฮิ  หยุด

พระโอวาทท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง

วันนี้นั่งฟังธรรมะเมื่อยไหม (ไม่เมื่อย)  สะบัดแขน สะบัดขา  ทั้งซ้ายทั้งขวา สะบัดเอว โยกซ้ายโยกขวา หมุนไหล่ ทำหรือยัง  อายุมากมีข้อดีหรือข้อเสียมาก (ข้อเสียมาก)  เราว่าอายุมากข้อดีมาก  ทำอะไรเขาก็บอกว่าไม่ต้องทำ เพราะอายุมากแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ทำอะไรเขาบอกว่าป้าไปนั่ง ให้เด็กทำแทน ใช่ไหม (ใช่)  เห็นไหมมีข้อดี  ใครว่าไม่ดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่ารังเกียจที่ตัวเองอายุมาก ต้องดีใจที่ใช้มาคุ้มเหลือเกิน ใช่ไหม (ใช่)  ต้องดีใจที่เรามีร่างกายที่อายุเท่านี้  อย่าไปรังเกียจ ใช่ไหม (ใช่)  เห็นกระจกแล้วมองหน้าตัวเอง สวยจังเลย ให้กำลังใจตัวเองบ้างแต่ก็อย่าได้หลงตัวเองจนเกินไป  กระจกส่องแล้วสะท้อนความจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อมองกระจกอย่าไปอยู่ในความฝัน  เมื่อเรามองกระจกสิ่งที่อยู่ในกระจกคือ ความจริง แต่ไม่ใช่พอเห็นกระจกแล้ว ฉันอยากสวยกว่านี้ อยากหล่อกว่านี้ ผมอยากดำกว่านี้  มีใครบ้างไหมอยากมีผมขาวเป็นหย่อมๆ ไม่สวย ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง  เราก็ต้องยอมรับในสิ่งที่จริง  อย่ามีชีวิตอยู่บนความฝัน หลายต่อหลายคนมักชอบฝัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่พออายุปูนนี้ฝันอีกไหวไหม (ไม่ไหว, ไหว)  แต่หากฝันในสิ่งที่เป็นไปได้ก็ยังไหว อย่าไปฝันในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ไม่มีมูลความจริงอย่างนั้น  แม้อายุเท่านี้ก็ไม่ไหว ใช่หรือไม่ (ใช่)  พระพุทธองค์สอนไว้ว่า “ควรพยายามในสิ่งที่ต้องพยายาม ควรละความพยายามในสิ่งที่ไม่ควรพยายาม ก็คือ ละทิ้ง”  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วมนุษย์พยายามอะไรกัน  หลายคนพยายามหาสิ่งที่ทำให้ตนเองมีความสุขและละทิ้งจากความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราอยากหาสิ่งที่มีความสุข  หากไม่ได้เราต้องศึกษาหาความรู้ ต้องหมั่นซักถามคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะความรู้ทำให้เรารู้จักแสวงหาสิ่งที่เราต้องการได้ไวขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  การศึกษานั้นมีประโยชน์ ศึกษาทางโลกก็ได้เรื่องทางโลก ศึกษาทางธรรมเราก็ได้เรื่องทางธรรม  ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้เรามาศึกษาทางโลกหรือทางธรรม (ทางธรรม)  ได้โลกหรือได้ธรรม (ได้ธรรม)  ทำอะไร ทำให้ตัวเองหลับ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  มีใครได้ธรรมะแล้วยิ่งตื่น มีไหม ทำไมยิ่งฟังไปก็ยิ่งหลับ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราศึกษาทางโลก ทางโลกสอนให้เราต้องฉลาด ต้องเก่ง ต้องกล้า ใช่หรือไม่ (ใช่) ธรรมะสอนให้เราต้อง (ทำความดี)
เราชื่อเสี่ยวเซี่ยวนะเป็นเด็กผู้ชายแต่มาอยู่ในร่างของผู้หญิง  รู้จักชื่อเราแล้วนะ ยินดีต้อนรับเราไหม  วันนี้เราจะให้ท่านฟังธรรมแบบมีความ
สนุกสนาน  และได้ความรู้ดีไหม  (ดี)  ฟังแล้วได้ธรรมะนำไปใช้ในชีวิต  ไม่ใช่ฟังแล้วยิ่งหลับใช่หรือเปล่า (ใช่)  ชื่อเราแปลว่ายิ้ม  ยิ้มเล็กๆ  ฉะนั้นอยู่กับเราก็ยิ้มให้เราหน่อยสิ  มีคนยิ้มต่อหน้าเรายังยิ้มไม่ออกอีกหรือ  ทำไมเป็นเสือยิ้มยากกันจังเลย  เมื่อตอนต้นเราพูดว่า  “การเรียนรู้เป็นสิ่งที่ดี”  ถ้าเราเรียนทั้งทางโลกทางธรรมยิ่งเป็นสิ่งที่ดีใหญ่ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งการเรียนรู้ก็มักจะทำให้เราถูกความเรียนรู้นั้นบดบังดวงใจและบดบังดวงตา  ทำให้เราไม่สามารถมองเห็นความเป็นจริงได้  บางทีก็ถูกความเป็นจริงนั้นยึดมั่น  จนทำให้ไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่เหนือกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งก็ถูกสายตานั้นลวงหลอก จนทำให้มองไม่เห็นความเป็นจริงใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมเราจึงพูดแบบนี้  ถ้าหนึ่งกับหนึ่งบวกกันเป็นสอง  สองกับสองบวกกันเป็นสี่  และถ้าสาลี่บวกสาลี่  รวมกันเป็นอะไร  สองสาลี่ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าสมมุติว่าคนหนึ่งคนรวมกับคนอีกหนึ่งคนที่เป็นผู้ชายเหมือนกันเป็นอะไร (ผู้ชายสองคน)  ผู้ชายกับผู้ชายรวมกันเป็นอะไร (ผู้ชายสองคน, สองชาย)  สิ่งนี้จะตอบเป็นอะไร ตอนแรกเราบอกว่าหนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง  สาลี่บวกสาลี่เป็น (สองสาลี่)  เพราะคำตอบอยู่ที่เรา  เราเป็นคนตั้งคำถามใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ครั้งนี้ผู้ชายกับผู้ชายบวกกันเป็นอะไร  คำตอบนั้นต้องอยู่ที่ใคร  อยู่ที่เขาสองคน  ผู้ชายบวกกับผู้ชายอาจจะเป็นหนึ่งผู้ชาย  หรือผู้ชายบวกกับผู้ชายอาจจะเป็นสองผู้ชายหนึ่งผู้หญิง  หรืออาจจะเป็นสองผู้ชายสามผู้ชายก็ได้  ขึ้นอยู่กับว่าใจเขาสองคนรวมกันได้หรือไม่  หากเขามาอยู่ด้วยกันสนิทกัน เขารับกันได้ ทนกันได้ เขายอมให้อภัยกันได้ ก็อาจจะเป็นสองคนและถ้าหากว่าอีกคนหนึ่งอยากให้มีอีกคนหนึ่ง  และอีกคนหนึ่งไม่อยากให้มีอีกคนหนึ่งยังไงก็ยังต้องสองใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเข้าใจไหม  ถ้าผู้ชายหนึ่งผู้ชายบวกอีกหนึ่งผู้หญิงเป็นอะไร รวมกันเป็นอะไรขึ้นอยู่กับใจของเขาทั้งสองคนใช่หรือไม่ (ใช่)  และถ้าหากสองหญิงหนึ่งชายรวมกันเป็นอะไร  (แล้วแต่เขา)  เขาไหน  (เขาทั้งสามคน)  ไม่ใช่แล้วแต่เขาคนใดคนหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้แม้เราต้องเรียนรู้ความเป็นจริง แต่บางครั้งก็อย่าให้กรอบของความเป็นจริงปิดกั้นจนเรามองไม่เห็นสิ่งที่จริงมากกว่าจริง เข้าใจไหม  เหมือนเวลาท่านวาดเส้นหนึ่งเส้นแบบนี้ กับวาดเส้นอย่างนี้  อย่าให้สายตาหลอกลวงเรา  เท่ากันไหม  (ไม่เท่ากัน)  บางครั้งเราไม่อาจคาดเดาได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถึงแม้ว่าเราจะศึกษาก็ตาม  แต่บางครั้งตา  หู  และใจของเราอาจจะหลอกลวงเราก็เป็นได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นแม้ว่าเราจะเรียนรู้ทั้งทางโลกทางธรรม เรียนสิ่งใดก็ตาม เรียนมาเพื่อประกอบความคิด หรือเรียนมาเพื่อค้านความคิดก็เป็นได้  ขอเพียงเราไม่ยึดติด ยึดมั่น เราก็จะสามารถมองโลกเหนือโลกนี้ได้ มองชีวิตให้มากกว่าชีวิตที่เข้าใจก็เป็นได้เข้าใจไหม  แขนสองแขนรวมกันเป็น (หนึ่งชีวิต)  แล้วหูหนึ่งหูรวมกับหูอีกหนึ่งหูเป็นอะไร (หนึ่งชีวิต)
ปัญหาในโลกนี้หรือความทุกข์ยากในโลกนี้ แม้จะเกิดขึ้นมากมายก็ตามบางคนหาคำตอบ หาทางออกให้กับชีวิตได้ แต่บางคนหาทางออกให้กับชีวิตไม่ได้ เพราะบางครั้งหูหนึ่งหู รวมกับหูอีกหูหนึ่งเป็นอะไร (สองหู)  แต่เขาบอกไม่ใช่ หนึ่งหัวเราก็คิดใหญ่ หนึ่งหัวแต่เราตอบว่าสองหูมันผิดตรงไหน คนเราบางครั้งเมื่อเวลามีทุกข์มีความยากลำบาก เรามักไม่พ่ายแพ้ในความทุกข์ความยากลำบาก แต่เราพ่ายแพ้เพราะความฟุ้งซ่าน คิดไม่ตก กลัวความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือฟุ้งซ่านคิดไม่ตกเพราะกลัวไม่ถูกใจ ใช่ไหม  กลัวผ่านออกไปแล้วไม่ได้ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความทุกข์ไม่เคยทำให้คนตายแต่ความคิดฟุ้งซ่านคิดไม่เป็น คิดแบบยึดติด ทำให้คนตายทั้งเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนลูกทำไมเขาไม่ไหว้เรา ใช่หรือไม่  ลูกทำไมไม่เรียกฉันกินข้าว ทำไมไม่เคารพแม่ ชอบว่าแม่ หากเราติดว่าลูกต้องชมแม่ เหมือนตอบว่า หูต้องมีสองหู ทำไมตอบหนึ่งหัว คนที่ทุกข์คือคนที่คิดฟุ้งซ่าน คิดยึดติดในคำตอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความสุขในโลกนี้ก็อยู่ตรงหน้า อย่าไปกำหนดอย่าไปยึดมั่น อย่าไปผูกพันไว้มาก  เหมือนเราชอบเขาแต่เขาไม่ชอบเรา  เราทุกข์ไหม เพราะคำตอบไม่ตรงกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าเราชอบเขาแล้วเขาไม่ชอบเรา แม้คำตอบไม่ตรงกันแต่เราก็สุขได้ เพราะเราไม่คิดฟุ้งซ่าน ไม่ยึดมั่นว่าคำตอบต้องเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เงินหนึ่งบาทบวกเงินอีกหนึ่งบาทเป็นเท่าไร (สองบาท) หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง  ยิ่งตอบหนักแน่น มั่นใจเท่าไร ทุกข์ก่อนคนนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  หนึ่งบาทบวกกับอีกหนึ่งบาทอาจเป็นสี่บาทก็ได้ ใช่ไหม  พูดมาถึงตรงนี้ หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสี่บาท ท่านว่ามีไหม (มี)  ซื้อขนมมาหนึ่งห่อด้วยราคาหนึ่งบาท ซื้อขนมมาอีกหนึ่งห่อด้วยราคาอีกหนึ่งบาท สองหรือนับไม่ถ้วน นับได้ถ้วนเหมือนกัน แต่หนึ่งบวกหนึ่งต้องเป็นสองเสมอไปหรือไม่ เมื่อสักครู่คนที่ตอบว่าสี่ไม่ได้ ตอนนี้เชื่อเราหรือยัง ต้องยกหลักฐานอ้างอิง ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนรวมกันอีกหนึ่งคนอาจจะเป็นศูนย์ก็เป็นได้  ผู้หญิงบวกกับผู้ชายที่รักกัน ทั้งคู่อาจจะไม่ลงด้วยคู่กันก็ได้หรืออาจจะเป็นศูนย์ก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เงินหนึ่งบาทบวกอีกหนึ่งนึกว่าจะได้หนึ่งบางครั้งอาจจะได้ศูนย์  เมื่อได้ศูนย์ ได้สอง หรือได้สี่ เราไม่ยึดติดเราทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  เราไม่กำหนดคำตอบเราเศร้าไหม (ไม่เศร้า)  แต่ถ้าเมื่อไรเรากำหนดคำตอบเรายึดติด เราทุกข์หรือเราสุข  (ทุกข์)  หนึ่งคุณยายกับหนึ่งคุณหลานรวมกันทุกข์หรือสุข  ไม่รู้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่มีใครรู้  แม้ตัวท่านเองก็ยังไม่รู้ คิดว่าเรารักหลานและหลานก็รักเรา แล้วหลานก็น่าจะอยู่กับเรา แต่ไปๆ มาๆ ทำไมหนึ่งบวกหนึ่งจึงเหลือแค่หนึ่งเพราะหลานทิ้งเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราพูดเรื่องง่ายๆ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  คิดว่าอะไรที่น่าจะอยู่กับเรา แต่บางครั้งก็ไม่อยู่กับเรา บางทีเขาก็หายไปจากเราได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเงินคิดว่าต้องอยู่กับเราแต่ทำไมยิ่งเก็บก็เหมือนยิ่งหาย จริงหรือเปล่า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่งกเงินแล้วนะ แต่มนุษย์ยังงกอยู่ ท่านเคยเห็นไหมการเสียสละ การให้ทานก็เหมือนกับการรดน้ำต้นไม้ ท่านรดที่โคนแต่ออกดอกออกผลที่ปลายกิ่ง  เพราะผลไม้อยู่ที่ปลายกิ่งหรือไม่ก็ปลายขั้ว เป็นปริศนาแฝงไว้ว่า  มนุษย์เรานั้นการจะเสียสละ การจะให้อะไรเราต้องให้ที่โคนให้ที่ต้นให้ที่รากแล้วผลนั้นจะได้รับเมื่อยามบั้นปลาย แต่เวลาเราสะสมเงิน สะสมทองสะสมแล้วได้ผลไหม ให้ผลเหมือนกันแต่ผลของการสะสมเงิน สะสมทองคืออะไร คือความกังวล ใช่หรือไม่ (ใช่)  คือความเป็นห่วง ความตระหนี่ ความวิตก  แต่การสะสมทานหรือการให้ทานผลจะลงที่ปลาย แล้วผลที่ลงที่ปลายนั้นเป็นผลที่สุกแล้วน่ากินแต่เวลาให้ต้องค่อยๆ ให้ ให้ครั้งเดียวต้นไม้จะออกผลไหม (ไม่ออก)  สิ่งที่เราอยากบอกก็คือ มนุษย์เราหากมีเงิน มีทอง มีชื่อเสียง สะสมแล้วให้ทุกข์มากกว่าให้สุข  แต่ถ้าเกิดว่าท่านมีเงินมีทองแต่รู้จักให้  แล้วท่านจะได้ผลเมื่อยามบั้นปลายคือความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราก็รู้อยู่เกิดมาก็มาแต่ตัว กลับก็ต้องกลับแต่ตัว แต่สิ่งที่ติดตัวไปได้นั้นก็คือ การเสียสละ  เราลองคิดว่าความดีกับความไม่ดีมีอยู่ในตัวท่านหรือไม่ (มี)  เมื่อสักครู่เราถึงบอกว่า “อะไรที่จะบอกว่าเราเป็นคนดีหรือคนไม่ดี”  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความดีหรือความไม่ดี วัดกันที่
ศีลธรรมหรือชาติกำเนิดได้ไหม (ไม่ได้)  แล้ววัดกันที่ไหน (จิตใจ)  ความประพฤติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ามนุษย์เรารู้จักประพฤติดี มีศีลธรรม สุจริตใจ จิตใจย่อมมีความสุขทั้งโลกนี้และโลกไหนๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเพราะอะไรเราจึงต้องประพฤติตนเป็นคนดี มีศีลมีธรรม มีความสุจริตใจ  เพราะว่าให้คนนับถือ ให้คนยกย่องหรือก็ไม่ใช่  แต่เราประพฤติดีก็ให้เรามีความสุขุม ระมัดระวังในการดำเนินชีวิต  ไม่ว่าจะพูดจาหรือทำสิ่งใด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราประพฤติดีเพื่ออะไร  เพื่อจะได้รู้จักละสิ่งที่ไม่ดี ไม่ประพฤติปฏิบัติ  ไม่ว่าจะเป็นอบายมุข กินเหล้า สูบบุหรี่ นารี พาชี กีฬาบัตร ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราคิดจะประพฤติดี  เราต้องรู้จักลด ละ เลิก ในสิ่งที่ไม่ดี  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราคิดว่า ลด ละ เลิก ทั้งหมดไม่ได้  เราต้องพูดว่า “ความประพฤติดีช่วยทำให้เรารู้จักสุขุม สุขุม คือ รอบคอบ รู้จักระมัดระวังในสิ่งที่ไม่ดี  และไม่ลุ่มหลงในสิ่งที่น่ายินดีจนเกินไป  มนุษย์เราเมื่อติดในรัก ก็ติดในสิ่งที่เรียกว่าของสวยงาม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาเรามีความสุขหรือคนให้เงิน  เรามักจะลุ่มหลงเงิน ใช่ไหม (ใช่)  มีคนมาบอกว่า “เราน่ารัก เราสวย“  เราลุ่มหลงไหม (ลุ่มหลง)  การประพฤติไม่ดี ไม่ใช่จำกัดแค่ว่า “พูดดี ทำดี”  ยังไม่เพียงพอ  สิ่งที่จะเพียงพอให้เรียกว่าเป็นคนดีที่แท้จริงคือ 1. ต้องสุขุม 2. ต้องรู้จักละในสิ่งที่ไม่ดี 3. ต้องรู้จักไม่ติดในสิ่งที่น่ายินดีจนเกินไป  4. ต้องรู้จักดับทุกข์ที่เป็นต้นเหตุให้เกิดความทุกข์ยากทั้งมวล  หากท่านปฏิบัติได้ทั้งสี่อย่างนี้ เรียกได้ว่าเป็นคนดีที่แท้จริง ทำได้ไหม (ได้)  สิ่งใดที่ไม่ดีละทิ้ง เช่น ไม่ว่าคนอื่น ไม่โมโหคนอื่น ได้ไม่ได้ (ได้)  ถ้าจะเป็นคนดีต้องทำให้ได้อย่างที่เราบอกทั้งสี่อย่างนี้  เพราะว่าเรียนอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับเรียนแล้วสามารถทำให้มนุษย์เราตัดมวลเหตุแห่งความทุกข์ทั้งปวง และหลุดพ้นจากการเวียนว่ายวัฏสงสาร เรียนสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีและประเสริฐที่สุด เอาไหม  บางคนก็บอกว่าเอาดีไม่เอาดี  จะเป็นคนดีต้องกล้าให้ถึงซึ่งความดี นั่นก็คือการฝึกฝนบำเพ็ญตน  ม้าถ้าฝึกมาดีเพียงไรก็ไม่พยศแน่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และคนถ้าฝึกได้ดีจะเป็นอย่างไร  คนที่ฝึกได้ดีอดทนได้ดีและประพฤติได้ดี  คนนั้นจะเป็นคนที่ทนได้ในสิ่งที่คนอื่นทนไม่ได้  รับได้ในสิ่งที่คนอื่นรับไม่ได้  หากเรารู้จักฝึกฝนโดยใช้คุณธรรมตัดเหตุแห่งความทุกข์ยากทั้งปวง  โดยการที่จะสุขุม  ละ และไม่หลงยินดีในสิ่งที่น่ายินดี และรู้จักดับทุกข์ทั้งมวล หากทำได้สี่อย่างนี้จะเป็นคนที่ประพฤติดีและเป็นบุรุษหรือสตรีอาชาไนย เคยได้ยินคำนี้ไหม  ไม่ใช่อาชาไนยที่แปลว่า “ม้า”  แต่แปลเป็นอีกอย่างหนึ่งว่า “ผู้ที่ฝึกมาดีแล้ว”  ผู้ที่ควบคุมตนเองได้ดีแล้ว  มนุษย์เราหากเป็นคน สิ่งที่น่ากลัวอย่างหนึ่งก็คือ ควบคุมกายได้แต่ควบคุมใจไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  นั่งอยู่ตรงนี้ใจก็คิดนั่นคิดนี่ ใช่ไหม (ใช่)  ก็เพราะว่ามนุษย์เราเมื่อยามหลับหนึ่งคืนเคยหลับยากไหม และรู้สึกว่าราตรีนั้นยาวนานเหลือเกินใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาที่เราเดินทางไกลด้วยเท้าเปล่า ใจเรารู้สึกล้าสิบก้าวก็เดินไม่ไหว มีคำพูดกล่าวไว้ว่า “มนุษย์เรานั้นหากนอนไม่หลับ แม้หนึ่งราตรีก็ยาวนานเหมือนหนึ่งพันวัน”  ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากเดินไม่ไหวใจท้อ แม้สิบก้าวก็ยังว่าไกล  แต่วัฏสงสารที่มนุษย์ยังลุ่มหลง ยังยึดติดในรัก โลภ โกรธ หลง ทรัพย์สินเงินทอง มีความรัก มีความอยาก สังสารวัฏที่มนุษย์จะติดอยู่นั้นยาวนานยิ่งกว่าหนึ่งคืน และยาวนานยิ่งกว่าสิบก้าวเดินที่คนท้อล้าอีก ฉะนั้นเกิดเป็นคนหนึ่งคน เราสามารถตัดภพตัดชาติได้หนึ่งครั้งด้วยหนึ่งชีวิตนี้  ถ้ารู้จักดับทุกข์เป็นและไม่ก่อให้เกิดเหตุแห่งทุกข์อีกต่อไป  ตัวท่านเป็นคนหนึ่งคนที่สามารถหลุดพ้นเวียนว่ายตายเกิด  ตัดภพตัดชาติด้วยตัวท่านเองเพียงหนึ่งคน  แต่จะทำอย่างไร ก็ทำด้วยใจของเราที่หมั่นฝึกฝนตนเองในการทำความดี รู้จักลดละในสิ่งที่ไม่ดี ไม่ลุ่มหลงในสิ่งที่น่ายินดีจนหยั่งถอนตัวไม่ขึ้น  หรือไม่ปล่อยให้อะไรมาบังตา จนปิดบังมองเห็นความจริงแห่งชีวิต สนใจไหม (สนใจ)  และท่านคิดว่าตัวท่านเองคนนี้ สามารถตัดภพตัดชาติและหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิดได้หรือไม่ (ได้)  และทำอย่างไร ยิ่งอายุมากแล้วเขาว่าโชคดี ท่านก็ต้องไม่อยากแล้วเพราะอยากมาจนสุดชีวิตแล้ว ฉะนั้นการที่จะลดความอยากก็ลดได้ง่าย ไม่เหมือนหนุ่มสาวใช่ไหม (ใช่)  หนุ่มสาวก็สามารถลดได้ถ้ารู้จักอยากจะลด รู้รักที่จะลด  มนุษย์ทุกคนสามารถเป็นพุทธะ  ตัดภพตัดชาติ ตัดการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏได้ด้วยใจท่านเอง  แต่ต้องรู้จักตัดและตัดที่ไหนก็ต้องตัดที่ต้นเหตุแห่งทุกข์ ใจที่ท่านอยากนั่นแหละ อยากมี อยากได้ อยากรัก ตัดให้เหลือน้อยที่สุด เหมือนง่ายๆ ท่านเคยเห็นกระบือไหม โดยปกติธรรมชาติของกระบือมีอะไรมาเทียมไหม (ไม่มี)  แต่พอมีอย่างอื่นมาเทียมต้องทำอย่างไร ก็ลากและไถอย่างไม่หยุดหย่อนจนกว่าเทียมนี้จะออกจากตัวเราใช่หรือไม่ มนุษย์เราเมื่อไม่อยากก็นั่งเฉยๆ แต่เมื่อไรที่มีความอยากก็จะเหมือนเกวียนที่มาเทียมใจของเรา ทำให้เราไถและลำบากหาไม่หยุด เหมือนโคไหม (เหมือน)  ไม่มีคนคุมแส้คอยตี แต่ท่านก็ก้มหน้าหาไปใช่หรือไม่ (ใช่)  และเมื่อความอยากมาเทียม เราอยากแค่เพียงหนึ่งอย่างหรือเปล่า (ไม่)  สรุปแล้วก็ยังมีเทียมซ้ายเข้าไปอีก และก็ยังไม่พออีกใช่หรือไม่ (ใช่)  และเมื่อไรเราจะปลดแอกออกบ้าง
มนุษย์เรามีความทุกข์อยู่แล้วเป็นธรรมชาติคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ถ้าหากเราอยากได้อีก  ความเกิดก็เป็นสองความเกิด มีทุกข์เป็นสองเท่าของความทุกข์ มีความเปลี่ยนแปลงเป็นสองความเปลี่ยนแปลงใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามีความอยากสวยก็แบกไว้ เพื่อให้เราได้ความสวย แต่ช่วงที่เราพยายามอยู่นั้น ต้องมีการเปลี่ยนแปลง อยากสวยจะเป็นอย่างไร ขูดคิ้วทิ้ง กรีดหนังตาออกให้เป็นสองชั้นใช่ไหม (ใช่)  พอเปลี่ยนแปลงแล้วเจ็บไหม (เจ็บ)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอตาเจ็บแล้วสวยเป็นสองชั้น แล้วตาสองชั้นกับตาชั้นเดียว สุดท้ายต้องตายเหมือนกันไหม (ตาย)  แล้วทำไมต้องไปกรีดให้เจ็บอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเรามีเงินแค่นี้ หางานทำแค่นี้  พอเลี้ยงชีพไหม (ไม่พอ)  ไม่พอไม่เป็นไร  แต่ถ้าหาเท่านี้อีก ช่วงที่ท่านหา ท่านต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดการต่อสู้ไหม (เกิด)  มีความเปลี่ยนแปลงในตัวเองไหม (มี)  มีความทุกข์ในตัวเองไหม (มี)  แล้วถ้ามีงานหนึ่งงานกับหนึ่งชีวิตเป็นทุกข์สองทุกข์แล้ว ใช่ไหม (ใช่)  เราจะอยากอีกอย่างหนึ่งเป็นสามอย่าง คราวนี้เป็นความทุกข์จากดับเบิ้ลทุกข์  ถ้าอยากเพิ่มอีกสี่อย่างเป็นอะไร (เป็นดับเบิ้ลความทุกข์)  เราก็จะเพิ่มความทุกข์ขึ้นไปเรื่อยๆ  ฉะนั้นเรา
ฝึกฝนบำเพ็ญกันเพื่ออะไร  เพื่อยามมีชีวิตอยู่นี้ให้มีการเกิดน้อยที่สุด เมื่อเกิดน้อยทุกข์ก็น้อยตามการเกิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อทุกข์น้อยชีวิตเราก็ไม่มีเหตุที่จะทำให้เราต้องเวียนว่ายไปกระทบกระทั่งใคร ไปเบียดเบียนทำร้ายใคร  เพราะความอยากของเราลดน้อยลงแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  อายุมากปานนี้แล้วจะเทียมเกวียนไปกี่อัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปลดแอกบ้างได้แล้ว ปล่อยวางบ้างได้แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอายุน้อยอย่างนี้ ปล่อยวางได้ ดีไม่ดี (ดี)  แต่ทำไมเราจึงอยากเป็นโคที่เทียมเกวียนอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยากบอกท่านว่า  แม้อายุเท่านี้ ก็สามารถมีชีวิตและกลับคืนเบื้องบนได้ ด้วยการฝึกฝนเป็นคนดี  รู้จักหาเหตุแห่งการดับทุกข์ ตัดมูลเหตุแห่งทุกข์นั้น  สิ่งที่ท่านต้องการมากที่สุดเมื่อยามมีชีวิตคือ มีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่อยากมีทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วการจะมีความสุขนั้นทำอย่างไร อยากรู้ไหม (อยากรู้)  การจะมีความสุขดับทุกข์ให้น้อยที่สุด ตัดเหตุแห่งทุกข์ออกให้หมด  แล้วสุขจะบังเกิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์คิดไม่เหมือนพุทธะ  มนุษย์คิดว่าอยากหาสุข ก็ไปแสวงหาสุข จะมานั่งดับทุกข์ทำไม ไปหาสุขในความรัก ความอยาก  ไปหาสุขในการมีเงิน มีทอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไปหาสุขในการเล่นไพ่ เขย่าๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  การที่จะหาความสุขที่แท้จริงคือดับเหตุแห่งทุกข์ทั้งมวล  เมื่อไรที่เราดับเหตุแห่งทุกข์ทั้งมวลได้  สุขจะบังเกิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าท่านวิ่งไปหาสุข  แต่พอได้สุขมาแล้ว  อย่างเช่น ความรัก มีทุกข์ตามมาไหม (มี)  มีคำกล่าวว่า “รักหนึ่งก็ทุกข์หนึ่ง รักสิบก็ทุกข์สิบ”  ชีวิตนั้นเหมือนน้ำที่ราบเรียบ ความรักเหมือนลมพัดน้ำ เมื่อไรที่ลมพัดน้ำ น้ำก็กระทบกระทั่ง  ชีวิตเหมือนน้ำที่ราบเรียบ  มีความอยากเมื่อไร ความอยากนั้นก็เหมือนน้ำที่ทำให้เกิดคลื่นแปรปรวน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตก็เหมือนน้ำที่ราบเรียบ ความต้องการปรารถนาก็เหมือนกับทำให้น้ำกระทบกระทั่ง เข้าใจไหม (เข้าใจ)  เราอยากให้น้ำราบเรียบหรืออยากให้น้ำกลายเป็นคลื่นกระทบกระทั่งกัน (ราบเรียบ)  หรือสาดซัดแตกฟองฝอยกระเซ็น พอชนฝั่งก็หายวับไปกับตา เอาแบบไหนกัน  ที่เป็นน้ำราบเรียบ  พอถึงเวลาก็ไปอย่างราบเรียบ ชนฝั่งก็กลับได้อย่างสุขสบาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ความปรารถนาของมนุษย์เหมือนลมที่พัดทีหนึ่งก็เจ็บทีหนึ่ง  แม้ตอนแรกจะสุข แต่ตอนหลังตรอมตรมในทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนความรัก รักมากก็ทุกข์มาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  หายวับไปกับตา  มนุษย์เราก็ทุกข์เพราะสังขารมามากแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  เจ็บปวดก็ร้องโอดครวญ บางครั้งเวลาเจ็บก็ทำใจให้เข้มแข็งไว้บ้าง จะได้ไม่เจ็บสองเจ็บ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ชีวิตไม่ง่ายแบบนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ง่ายอย่างที่เราพูดและไม่สนุกสนานเสมอไปใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านต้องรู้จักรับมือให้เป็นและใช้ปัญญาตามให้ทันตลอดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าเหตุการณ์จะพลิกไปมากแค่ไหน ท่านก็ต้องสามารถใช้สติปัญญาพลิกตามให้เท่าทันอย่าปล่อยให้ความทุกข์มายึดกุมจิตใจ  เมื่อไรที่มีความทุกข์จงตั้งสติให้ดีอย่าคิดฟุ้งซ่าน  อย่าปล่อยให้ตัวเองพ่ายแพ้กับความฟุ้งซ่านในใจตน  และอย่าปล่อยให้ตัวเองตายทั้งเป็นเพราะความยึดมั่นเวลาที่เจอทุกข์เข้าใจไหม  แต่เวลาท่านก้าวผิดพลาดไป บางครั้งเจอเหตุการณ์ใดไม่มีใครคอยควบคุม ไม่มีใครคอยจับผิดท่านใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราดำเนินชีวิตพบความผิดพลาด พบความทุกข์ เราบอกว่าต้องตั้งสติให้ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่มีใครลงโทษท่าน  ไม่มีใครช่วยท่านแก้ไขได้  ไม่มีใครดึงท่านขึ้นมาจากความทุกข์ได้นอกจากตัวท่านเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นแม้จะมีคนสมน้ำหน้า แม้จะมีคนต่อว่าเมื่อเราผิดพลาดเราอย่ายอมแพ้  เราจงลุกขึ้นสู้  อย่าให้ความทุกข์หรืออย่าให้คำพูดใครมาฆ่าเราให้ตายทั้งเป็น  จงเข้มแข็งเมื่อยามมีชีวิต แล้วฝ่าฟันทุกข์อย่างถูกต้องนี่แหละเรียกว่าเป็นคนดี  เรียกว่าเป็นคนที่รู้จักฝึกตนมาดีแล้ว  แม้ใครจะว่าเราเป็นสิบครั้ง ทำไมเราทนได้ ก็เพราะว่าเราได้ฝึกตัวเองมาแล้ว  ฝึกโดยการใช้ธรรมะมาน้อมนำมาขัดเกลาให้รู้จักอดทนให้อภัย  และมีเมตตาต่อคนที่ต่อว่า  แต่ถ้าคนไม่เคยฝึกตนมาเลย เวลาโดนคนว่าทีก็หวั่นไหว แต่ถ้าคนฝึกมาดีแล้ว เมื่ออะไรมากระทบก็ตั้งสติให้มั่น ไตร่ตรองให้รอบคอบใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อมาฝึกฝนบำเพ็ญธรรมได้หนึ่งวันต้องตั้งสติให้ดี  เจอเหตุการณ์ใดอย่าหวั่นไหวอย่าฟุ้งซ่าน เป็นคนดีทำอย่างไรบ้างใครตอบได้ลุกขึ้นเร็วเรามีผลไม้ให้ (สุขุมรอบคอบ, ให้ยินดีในสิ่งที่น่ายินดี, ดับทุกข์, อ่อนน้อมถ่อมตน)  รู้จักดับทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทุกข์มีอะไรบ้างที่ต้องดับ (ความอยาก, ความโลภ, ความโกรธ, ความหลง)  ดับให้เหลือน้อยที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่หมดเลยยังอยากที่จะเป็นคนดีอยู่ ยังอยากที่จะทำดีอยู่ (รู้จักลดละในสิ่งที่อยากจะได้และในสิ่งที่ไม่ดี)  รู้จักลดละในสิ่งที่อยากจะได้และในสิ่งที่ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  (ไม่ยินดีในสิ่งที่น่ายินดี, ไม่ยึดถือ, ต้องเสียสละ, รู้จักการให้อภัย)  รู้จักให้อภัยและเปิดใจกว้าง ใครว่าเรา ใครตีเราก็รู้จักให้อภัย (ใช้สติปัญญาแก้ปัญหา, เอาชนะใจตนเอง)  มีสติตอนนั่งสมาธิอย่างเดียวพอไหม เวลามีปัญหาและทุกเวลาขณะที่ก้าวเดินเมื่อยามมีชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเราเผลอเราจึงเกิดทุกข์ เพราะสติไม่สมบูรณ์เราจึงทำผิดพลาดใช่หรือไม่ (ใช่)  (มีใจกว้างขวางเผื่อแผ่พี่น้องหมู่เฮาทุกคนให้สามัคคีกัน)  เมื่อเวลาให้อย่าเพิ่งไปเรียกร้อง ถ้าจะเรียกร้องก็ให้เรียกร้องทีหลัง อย่าให้ไปแล้วหวังผลทันที  ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่อยากรับใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราตั้งใจจะให้ก็ให้ไปเลยอย่าให้แล้วรอผล  อย่าให้แล้วบอกว่าเราให้อย่างนี้ต้องทำอย่างนี้เขาก็ไม่อยากรับใช่หรือไม่ (ใช่)  (รู้จักเกรงใจ)  ใครแอบสูบบุหรี่ยังสูบบุหรี่อยู่หรือเปล่า  สูบบุหรี่กินเหล้าเป็นสิ่งไม่ดี  ใครยังแอบเล่นการพนันอีก  ใครยังเล่นหวยใต้ดินอีกต่อไปต้องรู้จักลดใช่หรือไม่ (ใช่)  ความโลภถ้าเมื่อไรเราต้องการความโลภ มนุษย์มักจะหลอกลวงกันด้วยความโลภ  เอาความโลภมาหลอกล่อแล้วก็หลอกเอาเงินเราไป  ฉะนั้นเราอย่าเปิดช่องว่างให้เขาเห็นไม่อย่างนั้นจะโดนหลอกลวงใช่หรือเปล่า (ใช่)  (รู้จักเสียสละให้โดยไม่หวังผลตอบแทน)  เมื่อเวลาเราอยู่ร่วมกันต้องใช้ท่าทีถ้อยทีถ้อยอาศัย  อย่าใช้แข็งกับแข็ง มิฉะนั้นจะไม่เกิดประโยชน์ เหมือนเวลาเราอยู่ร่วมกันมีปัญหาอย่าใช้อารมณ์คุยกัน  เมื่อไรที่อารมณ์คุยกับอารมณ์มักจะไม่รู้เรื่องใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จงใช้สติคุยกันอย่างมีสติใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วสติแบบไหนล่ะ  สติอย่างเป็นกลางไม่ใช่สติแบบเข้าข้างตนด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราเกิดเป็นคนทำดีได้อย่างเหมาะสมถูกต้องแล้ว  การจะเรียกร้องให้คนอื่นหรือการจะดึงคนอื่นไปช่วยคนอื่นก็เป็นการง่ายใช่หรือไม่ (ใช่)
มีโอกาสก็ไปฉุดช่วยคน ให้ธรรมะเขาในการเป็นคนดี  เพราะเมื่อไรที่เราทำได้ดี ความดีนั้นไม่ไปไหน ย่อมนำความสุขมาให้ ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนๆ จำไว้นะ  มนุษย์เรานั้นเกิดมาเวียนว่ายตายเกิดมาตั้งหลายหมื่นปี เรายังต้องรู้จักกลับบ้านบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  บ้านของเราคือหลังไหน หลังที่สร้างนี่หรือ (ไม่ใช่)  บ้านของเราที่แท้จริงอยู่ข้างบน เมื่อไรท่านสามารถขัดเกลาจิตใจกลับคืนเบื้องบนได้ล่ะ ก็พยายามคิดน้อยๆ ไม่โมโห ไม่โลภมาก  เมื่อไรที่ใจเราใสสงบสะอาดทำบุญทำทานกลับคืนเบื้องบนย่อมง่าย แต่ถ้าใจเต็มไปด้วยความสกปรก นินทาว่าร้าย ขี้โมโหหงุดหงิดง่ายใจย่อมหนักกลับคืนเบื้องบนย่อมยาก เป็นคนดีไม่ยากเลย เป็นอย่างไร พูดน้อยๆ  ใจเย็นๆ  รักษาคำพูดไม่โกหก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ขี้โมโหใจร้อน ใช่ไหม (ใช่)  ไม่รักสวยรักงามจนลืมคุณธรรมเกินไป ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นทำดีไม่ใช่เรื่องยาก เมื่อไรที่ทำดีได้อย่างมั่นคงแล้วก็ก้าวไปสู่การเป็นพุทธะ เมื่อก้าวไปสู่พุทธะแล้วก็จงมีจิตใจเผื่อแผ่เมตตาช่วยเหลือคนด้วย ทำได้ไหม  (ได้)  เมื่อยามมีชีวิตจงทำดีให้สุดลมหายใจ สุดกำลังใจที่ทำได้แล้วจะไม่เสียชาติเกิด ตายก็สบายใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่าห่วงร่างกายนี้จนมากเกินไปอย่ายึดมั่นเกินไปไม่ดีหรอก  ที่นี่จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ จะมีคนหรือไม่ก็อยู่ที่ท่านว่าจะมาหรือไม่มา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ห้องพระจะเป็นห้องพระที่สามารถฉุดช่วยคนได้ก็ต่อเมื่อทุกๆ คนร่วมมือกัน ธรรมะจะแผ่ได้กว้างไกลไพศาลก็ต่อเมื่อทุกๆ คนมีธรรมอยู่ในใจและรู้จักเอาธรรมที่มีอยู่ในใจนั้นให้คนอื่น ใช่ไหม (ใช่)  ไปแล้วนะ ตั้งใจศึกษาให้ดีอย่ามัวแต่ง่วงเหงาหาวนอน ตั้งใจฟังให้ดี

วันอาทิตย์ที่ ๑๖ ธันวาคม  พุทธศักราช  ๒๕๔๔ สถานธรรมเจิ้งซิน  จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

อย่านำเอาความฉลาด  ผูกมัดเพื่อเอาเปรียบคน  คนหนอคน  เพื่อตนเที่ยวเอาเปรียบเขา  ถ้าแม้นซื่อกินไม่หมด  น่าเสียดายคดกินไม่นาน  เป็นคนคิดมากเสียการณ์  ใช้ความหาญพลิกยากให้ง่าย
ทำนองเพลง : ฝนตกแดดออก
เราคือ
จี้กงอรหันต์อนุเคราะห์ชาวโลก รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์    แฝงกายเคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนเหนื่อยหรือเปล่า
ใช้วัตถุและความคิดให้ถูกงาน บุปผาบานสวยงามแค่ช่วงหนึ่ง
รู้กาลเทศะเบาลงกึ่ง ขอศิษย์พึงตีเหล็กเมื่อยามร้อน
ทุกวันนี้ยังน้อยคนมุ่งทางธรรม หากยังทำเป็นเล่นกรรมไม่ผ่อน
คนมีกรรมไม่หนักแน่นชอบใจร้อน ดั่งเร่ร่อนอยู่ในสับสนใจ
บรรยากาศธรรมดีเพราะบำเพ็ญดี ขอศิษย์มีปัญญาสว่างไสว
อย่าบำเพ็ญไปแกนแกนให้เหนื่อยใจ ขอวันใหม่เริ่มขึ้นคลายความเหี่ยวเฉา
ศิษย์รักต่างเป็นความหวังในใจข้า จงก้าวหน้าขึ้นไปก้าวต่อก้าว
คนเอาแต่อารมณ์มักสร้างเรื่องเศร้า ใจสีเทาเร่งขัดเกลาขาวดังเดิม
ฮา  ฮา  หยุด

ถึงจะฉลาดมิประมาทกันแต่อย่างไร  เหนือฟ้าก็ยังมีฟ้า  ใจต้องฝ่าโลกตามความจริง  โปรดเกรงใจแม้สนิท  ขาดมิตรถ้าหากแข็งเกิน  มีแล้วเพลิน  มีเงินอยู่ในกระเป๋า  อ่อนน้อมน่ารักที่สุด บำเพ็ญรู้รุดไม่เบา  ห้ามลงด้ามพร้าด้วยเข่า  แตกร้าวด้วยความร้อนใจ
อย่านำเอาความฉลาด  ผูกมัดเพื่อเอาเปรียบคน  คนหนอคน  เพื่อตนเที่ยวเอาเปรียบเขา  ถ้าแม้นซื่อกินไม่หมด  น่าเสียดายคดกินไม่นาน  เป็นคนคิดมากเสียการณ์  ใช้ความหาญพลิกยากให้ง่าย
ทำนองเพลง  ฝนตกแดดออก
(หมายเหตุ : ย่อหน้าแรกเป็นเพลงพระโอวาทของท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง และ ย่อหน้าที่สองเป็นเพลงพระโอวาทของพระอาจารย์จี้กง)

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

หนึ่งคนทำงาน แล้วทุกคนกินพอไหม (ไม่พอ)  แล้วถ้าหากว่าทุกคนทำงาน แล้วทุกคนกิน พอไหม (พอ)  เพราะฉะนั้นเวลาที่เรามานั่งเรือธรรมะ  ต่อให้เราพายเป็น พายไม่เป็น ก็ต้องพยายามพาย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนมีแรงน้อยพายได้ใกล้ คนมีแรงมากพายได้ไกล ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าการที่เราบำเพ็ญธรรมนั้น  ไม่ใช่ต่างคนต่างเอาตัวรอด  แต่ต้องเป็นอะไร  คนที่มีแรงมากฉุดคนที่มีแรงน้อย  คนที่มีแรงน้อยฉุดคนที่ไม่มีแรง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกอย่างถึงลงตัวและมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  การบำเพ็ญธรรมะและการมีชีวิตอยู่ จะมีความสุขขึ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นการพายเรือเป็นการออกกำลังกายแค่ช่วงสั้นๆ นี้ สามารถสอนธรรมะให้เราได้เช่นกัน  สิ่งที่สำคัญอย่างของการที่จะอยู่ร่วมกันคืออะไร (ความสามัคคี)  คำๆ นี้เป็นคำง่ายๆ มีแค่สามคำเท่านั้นคือ “สามัคคี”  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ว่าเราอยู่ที่ไหน ถ้าหากมีความสามัคคีอยู่ร่วมกันก็จะมีความสุข  แต่หากว่าเราไม่มีความสามัคคี เราจะมีความสุขไหม (ไม่มี)  เราไม่ทะเลาะกับคนอื่น แต่คนอื่นทะเลาะกับเรา เรามีความสุขไหม (ไม่มี)  แต่ในชีวิตจริงไม่ใช่จะเป็นอย่างนั้น ถ้าคนอื่นไม่ทะเลาะกับเรา แต่เราไปทะเลาะกับคนอื่น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แสดงว่าเราอยากให้คนอื่นสามัคคีกับเรา หรือเราอยากสามัคคีกับคนอื่น  คนมีแขนซ้าย แขนขวา ต้องเป็นทั้งสองอย่าง  เราต้องรู้สึกว่าอยากสามัคคีกับคนอื่น  แล้วคนอื่นต้องสามัคคีกับเรา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทุกอย่างจึงก้าวหน้าไปได้ตลอดรอดฝั่ง ก้าวหน้าอยู่คนเดียวได้ไหม (ไม่ได้)  ก้าวหน้าไปมากเลยได้ไหม (ได้)  ไม่กลัวก้าวหน้ามากไม่ได้ กลัวแต่ไม่ก้าวหน้าเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทีนี้อย่ามีใครกินแรงใครอีก ใช้ได้หรือไม่ได้ก็พยายามหน่อย ดีหรือไม่ (ดี)
เพลงเมื่อวานนี้ร้องเป็นหรือเปล่า  อาจารย์จะให้อีกท่อน แล้วเดี๋ยวร้องให้อาจารย์ฟัง  เวลาอาจารย์หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เพลงที่นี่ทีไรไม่มีใครร้องได้สักที  เพราะหัวใจเราเป็นลูกทุ่งหรือ  ก็ยังไม่ถูกต้องตามที่อาจารย์บอก แสดงว่าฟังไม่เข้าใจ แต่ว่าไม่เป็นไร  คนที่นำพาไม่ว่าจะนำพาในการบรรยายธรรมหรือการบำเพ็ญธรรม  หากว่ามั่นใจก็ดีกว่าไม่มั่นใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ว่ามั่นใจถ้าหากลงจากตรงนี้ไปแล้ว  หมดจากหน้าที่ที่ต้องนำคนแล้ว  เราต้องไปดูว่าถูกต้องหรือเปล่า
เวลาที่เราฟังธรรมะ เราสงสัยใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นอีกเวลาหนึ่งที่เราจะต้องเหนื่อยใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าเหนื่อยไม่เหนื่อยอยู่ที่ไหน  (อยู่ที่ตัวเรา)  เหนื่อยนั้นอยู่ที่กาย  ใจนั้นเหนื่อยกว่ากายอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าเราทำสิ่งใดแล้วทำไม่ได้รู้ทั้งรู้ว่าเป็นสิ่งที่เราไม่ได้ทำตามสิ่งที่เราฟัง จะทำให้เราเหนื่อยมากไหม  จะทำให้เราเกิดความรู้สึกเหนื่อย จะทำให้เรารู้สึกเหนื่อยมาก  ฉะนั้นเมื่อเรามีโอกาสจะช่วยสักคราวหนึ่ง  เมื่อมีโอกาสที่จะลำบากสักคราวหนึ่ง  อย่าคิดแต่ว่าเป็นความลำบาก อย่าคิดแต่ว่าเป็นความทุกข์ อย่าคิดแต่ว่าเป็นสิ่งที่
เลวร้ายที่สุดในชีวิตของเรา  อย่ามัวแต่คิดอย่างนั้น เคยมีใครสักคนหนึ่งไหมที่จะเคยคิดว่าความทุกข์นั้นเป็นบทเรียนให้แก่เรา  ความลำบากเป็นสิ่งที่เราหายากจริงหรือเปล่า  เจอความลำบากกันทุกวันไหม (ทุกวัน)  ไม่ใช่อยู่กับความลำบากมากๆ แล้วเรารู้สึกคุ้นเคยและเคยชินกับความลำบากนั้นๆ  สมมติว่าบ้านเราไม่มีน้ำใช้แล้วเราต้องไปหาบน้ำเข้ามา  ถ้าหาบทุกวันๆ ถามว่าชินไหม  โดยอัตโนมัติบ่าของเราก็จะสามารถรับน้ำหนักที่หนักๆ เช่นนี้ได้  พอผ่านไปหลายๆ ครั้ง  ไปหลายๆ วัน  ไปหลายๆ ปี  ความลำบากอันนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องธรรมดาใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าวันหนึ่งหาบน้ำรอบเดียวไม่เป็นไร  เกิดวันไหนต้องหาบน้ำหลายๆ รอบขึ้นมาก็ลำบาก  ฉะนั้นทุกวันนี้ที่มีชีวิตอยู่นี้อาจารย์ก็รู้ว่าศิษย์ลำบาก  ลำบากตั้งแต่มีชีวิตเกิดขึ้นมาจนกระทั่งแก่เลย ทำไมหนีไม่พ้นสักทีก็ไม่รู้  แต่ความลำบากที่เราเจอขึ้นเจอลงทุกๆ วัน  ขึ้นๆ ลงๆ อยู่ทุกวันเรารู้สึกเคยชินกับมันบ้างไหม  รู้สึกคุ้นเคยกับความลำบากของเราบ้างหรือเปล่า  ทำไมเราถึงไม่คุ้นเคย  ถ้าเราไม่คุ้นเคยก็แสดงว่าเราไม่ยอมรับในชะตาชีวิตของตัวเอง ที่ลำบากที่สุดก็คือลำบากตรงไหน  ลำบากที่ไม่ยอมรับตัวเองว่าเป็นตัวเองนั่นแหละใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นลองมาคิดใหม่ ความลำบากนั้นเจอทุกวันไหม  ไหนใครคิดว่าตัวเองยังเจอความลำบากทุกวันบ้าง  ทีนี้คนที่เจอความลำบากทุกวัน  อาจารย์พูดใหม่ ฟังนะ ศิษย์คิดว่าในโลกนี้มีคนลำบากกว่าเราไหม  เพราะฉะนั้นความลำบากของเราเป็นเรื่องเล็กหรือเปล่า (เล็ก)  ก็จะเล็กลงไปอีก  ความลำบากของเราดูว่ามันเล็กลงเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วโลกนี้อะไรที่เรียกว่าความลำบากหรือความทุกข์อย่างแท้จริง  ถามศิษย์รักทุกคนเหนื่อยหรือเปล่า  โลกนี้อะไรที่เรียกว่าความลำบากอย่างแท้จริงมีไหม  มีอะไรที่เป็นความลำบากอย่างแท้จริงบ้าง (การเวียนว่ายตายเกิด)  ก็เป็นอีกหนึ่งความลำบาก (การประกอบอาชีพ)  บางทีศิษย์ของอาจารย์อาจจะรู้จักความทุกข์ยากในโลกนี้อย่างคนที่สับสนอลหม่านในจิตใจมากๆ ทุกๆ วันก็คือความเหนื่อย  ความยาก ความลำบาก  แต่จริงๆ แล้วความเหนื่อยยากมันอยู่ตรงไหน  ความเหนื่อยยากแท้จริงในโลกนี้มีไหม  ความเหนื่อยยากแท้จริงในโลกนี้มี ตอนที่ศิษย์เจอความเหนื่อยยากวันแรก  ครั้งแรกนาทีแรกนั่นเป็นความทุกข์ยาก  แม้ปัญหาง่ายๆ ก็ดูจะยากไปหมดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากว่าเจอเข้าบ่อยๆ ใน
คำถามเดียวกันในความยากลำบากอันเดียวกัน เจอเข้าบ่อยๆ ความชำนาญหรือสิ่งที่เอามาแก้ปัญหาก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  สมมติว่าอาจารย์ให้ศิษย์ทำโจทก์ชีวิตที่ยากโจทก์หนึ่ง แต่ให้เวลาศิษย์สามปีๆ นี้พอจะแก้อะไรได้ไหม  โจทก์ชีวิตที่ว่ายากเราต้องมีวิธีคิด เราต้องมีวิธีการที่จะแก้ปัญหา หยิบฉวยอาวุธ หยิบฉวยสิ่งต่างๆ เราแก้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ตอนที่เจอความยากลำบากวินาทีแรกรู้สึกอย่างไรบ้าง  ให้เวลาแก้สามปี แต่ว่าตอนเจอสามนาทีแรกเป็นอย่างไรเหมือนใครเอาของแข็งๆ มาทุบหัวเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ความยากลำบากที่เราเจอนั้นไม่เจอมาแค่สามปีแต่เจอมามากกว่านั้นใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นต้องคิดให้ดีว่าชีวิตนี้มีความยากลำบาก  ความยากลำบากที่เราเจอจนเรารู้สึกคุ้นเคย แล้วจัดความยากลำบากให้มีลำดับ ตามลำดับคือยากมาก ไม่ค่อยยาก ไม่ยากเลย  อย่างนั้นจัดให้ชีวิตของเราอย่าไปรับความยากลำบากมาใส่ใจไว้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์  ชีวิตของเราจะได้รู้สึกถึงความสุขมากขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำได้ไหม (ได้)  เมื่อเราคิดว่าเราลำบากถึงที่สุดแล้วก็ให้คิดถึงผู้อื่น  ผู้อื่นมีความลำบากมากกว่าเราใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามีปัญหาครอบครัว  แต่คนอื่นมีปัญหาเรื่องการงาน  คนนั้นมีปัญหาเรื่องคู่ครอง  มีปัญหาเรื่องลูก  เราแต่ละคนเกิดมามีปัญหาไม่เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่เราใช้รับมือกับปัญหาทุกอย่างนั้นคืออะไร  (คือปัญญาของคน)  มีกี่คนที่อยู่ที่นี่ที่คิดว่าตัวเองมีปัญญาไหนยกมือขึ้น  มีอยู่ไม่กี่คนที่มั่นใจว่าตัวเองมีปัญญา  แต่คนที่ไม่มีนั้นมีสิทธิ์ที่จะมีได้ไหม (ได้)  ปัญญานั้นมาจากการเรียน อาจจะมาจากการฝึกฝน  ปัญญาอาจจะได้มาจากประสบการณ์  ซึ่งในที่สุดแล้วถ้าหากว่าเราไม่ได้มีมาแต่กำเนิดขอให้ทุกคนสามารถไปบรรลุในสิ่งเดียวกันคือคำว่าปัญญาใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าคนที่จะมีปัญญาได้ไม่ใช่วันๆ คิดถึงแต่ตัวเอง  คนที่มีปัญญาคือคนที่ต้องรู้จักคิดถึงผู้อื่น  คนที่มีปัญญาคือคนที่ตัองขยันที่จะคิดและก็คิดในสิ่งที่ดี ทุกวันนี้ในสมองของเราคิดเรื่องอะไรบ้าง  ทุกวันนี้คิดถึงแต่เรื่องลูก สามีภรรยา หรืออาจจะคิดถึงสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด และที่คิดถึงมากที่สุดคือตัวเราใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนที่มัวคิดถึงแต่ตนเองมีปัญญาได้ไหม (ไม่ได้)  อยากมีปัญญาไหม (อยาก)  ถ้าหากศิษย์มีปัญญาขึ้นมาวันไหน ศิษย์จะไม่รู้สึกยากลำบากกับสิ่งที่เจอ  เราจะมีสิ่งหนึ่งที่ไม่ต้องซื้อหามาด้วยเงินทอง ไม่ต้องแลกมาด้วยชีวิต ไม่ต้องเสียน้ำตาเพื่อที่จะได้มา นั่นคือปัญญา ไว้สำหรับรับปัญหาทุกสิ่งในชีวิต ทั้งการงานทางโลก และทางธรรม เพียงแต่ว่าคนมีปัญญานั้นมีน้อยกว่าคนที่ไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าถ้าทุกคนอยากมีก็มีได้ เพียงแต่ว่าเราไม่อยากมี  เพราะวันๆ มัวแต่คิดถึงแต่ตัวเอง วันๆ คิดถึงแต่สภาวะของตัวเอง แล้วคิดว่าทำอย่างไรให้ตัวเองสบายที่สุด ก็จะมีปัญญาไม่ได้  วันนี้ที่เรามาฟังธรรมะในวันที่สอง อยากให้ศิษย์ไปไหน (ไปหลุดพ้น, ไปนิพพาน)  แต่ถ้าหากว่าเรามีชีวิตอย่างที่เรามีอยู่ทุกวันนี้จะไปได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นจะต้องรู้จักมาแก้ไขตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ลองคิดดูว่าตอนนี้เราอายุเท่านี้ คิดไปถึงตอนที่เราต้องเสียชีวิตไป แล้วเราเป็นอย่างนี้ไปตลอดชีวิต เราจะสามารถไปสู่ความหลุดพ้นได้หรือไม่ (ไม่ได้)  แล้วถ้าเราทำตัวดีกว่านี้ละ เป็นไปได้ไหม (ได้)  ดีอย่างไรล่ะ ดีแบบคนที่เป็นคนดีของโลก คนดีที่คนในโลกยกย่องว่าเราเป็นคนดี แล้วถ้าหากดีต่อไปล่ะ ดีที่ตัวเอง ดีระดับเทวดา ดีเหมือนพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทุกคำๆ ทุกระดับอาจารย์ใช้คำว่าดีคำเดียวพอ ไม่พูดถึงรายละเอียดของคำว่าดี เราคิดว่าเราสามารถที่จะเป็นไปได้ไหม ที่เราจะเปลี่ยนแปลงตนเองให้ดี เป็นคนดีของโลกได้ไหม (ได้)  ตอนนี้ไม่ใช่ว่าทุกคนเป็นคนไม่ดี  ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เป็นคนดีเฉพาะตัวเองหรือดีเฉพาะสิ่งแวดล้อมที่ตัวเองอยู่เท่านั้นเอง จึงเป็นการยากที่เราจะเป็นคนดีขึ้นมาจริงๆ ดีแบบเทวดาเดินดินเลยนะ  ถ้าหากว่าเราอยู่ในโลกนี้แล้วคนเขาเรียกว่าเราเป็นเทวดาเดินดิน เวลาเราตายไปเราเป็นอะไร (เทวดา)  ถ้าหากว่าเราอยู่บนโลกแล้วคนเขาบอกว่าคนนี้ดีแบบโพธิสัตว์ทีเดียว เวลาเราตายไปเราเป็นอะไร (โพธิสัตว์)  เพราะฉะนั้นการที่จะหลุดพ้นได้ หรือการที่จะเป็นคนดีได้ ดีจากตรงไหน ไม่ใช่ดีตอนที่ตายไปแล้ว กุศลเราสร้างไว้ไม่ใช่ว่าจะเห็นได้ ฉะนั้นเราจะให้เห็นได้อย่างไร เราก็ดูสิว่าในโลกนี้คนเขาเรียกเราว่าเป็นอะไร หรือเราเรียกตนเองว่าเราเป็นอะไร ถ้าเราเรียกตนเองว่าเราเป็นคน หรือคนกึ่งดีกึ่งไม่ดี ตายไปเราก็เป็นผีที่กึ่งสวรรค์กึ่งนรกใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นจะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ ไม่ใช่ว่าตายไปถึงรู้ผลว่าเราจะหลุดพ้นหรือเปล่า  ตอนที่อยู่ในโลกในวินาทีนี้ที่มองตัวเองเราก็เห็นแล้วว่าเราสมควรจะหลุดพ้นหรือเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากเราให้เวลาตนเอง ให้เวลาตนเองเลี้ยงลูก ให้เวลาตนเองทำมาหากิน ให้เวลาตนเองทำงาน  แล้วเราให้เวลาตนเองบำเพ็ญไหม การให้เวลาตนเองบำเพ็ญ คิดเสียว่าการบำเพ็ญเป็นงานชนิดหนึ่ง คิดอย่างนี้การบำเพ็ญของเราก็จะก้าวหน้าขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกับที่นี่ผ่านไปกี่ปีกี่ปีก็เป็นน้องใหม่อยู่ทุกปีๆ เลย เป็นอย่างนี้ไม่สามารถที่จะไปไหนได้ พายเรือวนอยู่ในอ่าง พายมานานแสนนานแต่ว่าในที่สุดแล้วก็อยู่ที่เดิม อย่างนั้นทำมาเป็นเวลานานก็ไม่มีผลที่ทำให้เราดีขึ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อยากให้ทุกคนขยันบำเพ็ญจิตใจของเราให้งดงามกว่านี้ สวยงามกว่านี้ เหมือนกับเราพูดถึงแก้วดวงหนึ่ง เดิมแก้วของเรามีความใส แต่เมื่อเราอยู่ในโลกนี้แก้วของเราก็ขุ่นขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเรารู้ตอนนี้เราได้มอง เราได้ยกแก้วจากจิตใจของเราออกมามอง เห็นว่าแก้วของเรานั้นขุ่น ทำอย่างไร ฝุ่นที่เกาะนี้เป็นฝุ่นที่เปื้อนแค่ภายนอกเท่านั้น ฝุ่นหรือกิเลสที่เกาะอยู่บนแก้ว หรือจิตใจของศิษย์ก็อยู่แค่ภายไม่ได้เปื้อนเข้าไปภายใน เพราะจิตใจเดิมแท้หรือจิตที่สว่างนั้นอย่างไรก็สว่าง เพียงแต่เมื่อก่อนเราไม่เคยยกออกมาดูเลยว่า แก้วของเรานั้นเปื้อนฝุ่น แต่ตอนนี้เรายกออกมาดูแล้ว ไหนลองหลับตาแล้วยกแก้วในจิตใจออกมาดูสิว่ามีฝุ่นเปื้อนไหม ลองใช้ใจของเรามองแก้วในใจของเราเองสิ ไหนใครว่าของเราเปื้อนฝุ่นมากยกมือขึ้น ไหนใครว่าของเราฝุ่นก็ไม่มากเท่าไรยกมือขึ้น อาจารย์หวังว่าไม่ได้หลอกตัวเองนะ เพราะบางคนมักจะมีความมั่นใจในแบบผิดๆ ก็คือ มั่นใจว่าเราดีกว่าผู้อื่นเสมอ  แต่ในโลกนี้เหนือฟ้าก็ยังมีฟ้าใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกคนมีจิตใจเหมือนๆ กันแต่อย่าคิดว่าเรานั้นดีกว่าผู้อื่นเสมอ เพราะถ้าหากว่าเราคิดอย่างนั้นก็จะเป็นการฆ่าตัวตายทางอ้อม เพราะว่าความมั่นใจของเรา บางทีต้องใช้ให้ถูกที่ ใช้ไม่ถูกที่ก็อาจจะเป็นการให้ร้ายตนเองได้ การนั่งฟังสองวันก็เพื่อหาวิธีในการเช็ดแก้วดวงนี้ให้สะอาด  ถ้าอาจารย์ให้ทุกคนในห้องนี้วิ่งหาผ้ามาเช็ดแก้วของตัวเอง จะได้ผ้าที่ลายไม่เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ในการวิ่งไปหาผ้าผืนหนึ่ง แต่ละคนก็วิ่งไปในที่ที่ไม่เหมือนกัน ต่างคนอาจจะเข้าบ้านตนเองหาผ้าหนึ่งผืน บางครั้งก็ได้ผ้าลายดอก ผ้าสีขาว ผ้าสีดำ บางคนคิดว่าสีดำเช็ดแล้วจะได้ไม่สกปรกใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนเอาผ้าสีขาวเพื่อจะได้รู้ว่าเช็ดแล้วเลอะแค่ไหน แต่บางคนเลือกผ้าลายดอกแต่ไม่ได้คิดอะไร คิดว่าเช็ดให้สะอาดก็พอ  แต่ละคนมีความคิดไม่เหมือนกัน การที่เรามาสองวันนี้ก็เพื่อที่จะให้เราหาวิธี ส่วนการกลับไปหาผ้า หาอย่างไร หาที่ไหน ก็คือกลับไปหาที่ที่เราอยู่ที่ที่เรามีใช่หรือไม่ (ใช่)  ซึ่งแต่ละคนก็จะมีที่ๆ จะหาผ้าไม่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเราจะหาหรือเปล่า ถ้าหากว่าเราหาผ้าไม่เจอ เราหาความเป็นตัวของตัวเองไม่ได้ เราจะคิดว่าค่อยๆ หาก็แล้วกัน ไหนๆ ก็เลอะมาตั้งนานแล้วใช่ไหม
เกิดมาชาตินี้มีทุกข์อยู่แล้ว  เราจะให้ตัวของเราทุกข์ไปมากกว่านี้ไหม หรือคิดว่าชาติหน้าเกิดมาจะสบายกว่านี้ดีกว่านี้  ชาติหน้าก็คือชาตินี้ที่ติดพัน ชาตินี้เราทำดีแล้วเราจะไปดีกว่านี้ไหม  คงตอบยาก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นขอให้เชื่อว่าเราจะหลุดพ้น ส่วนจะหลุดพ้นหรือไม่นั้นอยู่ที่ตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้อาจารย์จะชี้ทางให้ศิษย์แล้ว  แต่ถ้าว่าศิษย์เอาทางไปวางเฉยๆ เห็นทางแล้วแต่ไม่เดิน  พอตายไปก็อยู่ที่เดิม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเวลาที่คนชวนมารับธรรมะ ที่เขาบอกว่าหลุดพ้นได้ ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเราไม่ทำอะไรเลย รู้ทัน รู้ทางแต่ไม่อยากบำเพ็ญ  ในที่สุดแล้วก็คงจะไม่ไปไหน  คงจะอยู่ที่เดิมตลอดไป ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อาจารย์หวังว่าเอาธรรมะที่นั่งฟังแล้วนำไปปฏิบัติ
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมนักเรียน)  “รักษา”  แปลว่าอะไร รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ใช่ไหม (ใช่)  (รักษาหมู่เวไนย)  รักษาอย่างไร (ฉุดช่วย)  ที่นี้วงคำนี้ต้องนำคำนี้ไปทำ  ในเมื่อเราตีว่าเป็นการรักษาฉุดช่วยเวไนย ก็ต้องไป
ฉุดช่วยเวไนย ใช่ไหม (ใช่)  “โพธิสัตว์”  อยากเป็นคนที่มีหน้าที่ช่วยเวไนยหรืออยากจะช่วยตัวเอง (ช่วยตัวเอง)  อาจารย์บอกแล้วมนุษย์สมัยนี้คิดถึงแต่ตัวเอง เห็นไหม  อาจารย์หวังว่า รีบๆ ช่วยตัวเองให้เร็วๆ แล้วจะได้เอาที่เหลือไปช่วยเวไนย  ในเมื่อเราอยากเป็นมนุษย์ ก็ต้องเป็นมนุษย์ที่ดี  เมื่อเป็นมนุษย์ที่ดีได้ เราถึงช่วยผู้อื่นได้  อย่ามัวแต่ห่วงตัวเอง  จริงๆ แล้วตอนนี้เราก็ไม่เลวนะ ดีกว่าตั้งหลายคน  ถ้าหากว่าตอนนี้เราไม่เอาเวลาของเราที่มีอยู่บ้างเล็กน้อยไปช่วยคนอื่น อีกหน่อยไม่มีเวลาจะช่วยแล้วจะทำอย่างไร
มีคำว่าอะไรที่ต่อข้างหน้าคำว่า “ธรรม”  มากที่สุดเท่าที่เราฟังมา “บำเพ็ญ” ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนที่นี้พูดถึงแต่คำว่า “บำเพ็ญธรรม” เท่านั้นเอง  อาจารย์อยากให้กลับไปบำเพ็ญธรรมด้วย มีเวลาว่างศึกษาเพิ่มเติมให้รู้มากๆ  แล้วเราจะได้รู้ว่าบำเพ็ญธรรมนั้นเป็นอย่างไร
(พระอาจารย์เมตตาเรียกผู้ปฏิบัติงานธรรมที่เสริมปณิธานออกมาหน้าชั้นและแบ่งเป็นสองฝั่งระหว่างคนพื้นที่และคนต่างพื้นที่)  อาจารย์ตั้งความหวังไว้ที่นี่ตั้งแล้วล้มมาหลายรอบแล้ว  คนที่ลงปณิธานทานเจที่นี่คนไหนเป็นความหวังให้อาจารย์ได้บ้าง  อาจารย์จะบอกให้ว่าการทานเจไม่ใช่เรื่องง่าย  และการทานเจโดยตั้งปณิธานทานเจยิ่งไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ว่าเมื่อเราตั้งปณิธานทานเจก็เหมือนกับเราเอาตัวของเราย่างเข้าไปในแดนพุทธะ ถ้าหากว่าศิษย์ทำไม่ได้ถอยกลับมาก็คือตกนรก เพราะฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์ระมัดระวังแต่ไม่ใช่ระแวง  การทานเจให้ทานอย่างเป็นธรรมชาติ  ทานอย่างมีความสุข  ขอให้ใช้ปณิธานของเรานำพาไปสู่การทำหน้าที่อื่นที่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นการหาความก้าวหน้าให้กับตัวเราเอง  และเมื่อก้าวหน้าก็หมายความว่าคนที่บำเพ็ญธรรมะก้าวหน้าไปเพื่อช่วยงานธรรมไม่มีสิ่งอื่นมากกว่านี้  อยากให้ทำจิตใจของเราให้เข้มแข็งและมีความสุข  และเอาความสุขนี้ไปมอบให้ผู้อื่น  ทำจิตใจของเราให้หลุดพ้นจากความทุกข์และเอาความหลุดพ้นไปมอบให้กับผู้อื่น  ให้คนเห็นธรรมะนี้ดีจากการปฏิบัติตัวของเรา  สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่อยากเตือนศิษย์ไว้ การบำเพ็ญธรรมะไม่มีรูปแบบของปาฏิหารย์ ไม่มีรูปแบบของสิ่งที่เป็น
ไสยศาสตร์  ขอให้เรารู้และพยายามที่จะบำเพ็ญธรรมให้ถูกครรลองและแนวทาง  มิฉะนั้นแล้วเหมือนกันเราเดินอยู่บนทางที่ถูก แต่เขาจะแกว่งไปนอกเส้นทางอยู่เรื่อย  ขอให้เราบำเพ็ญธรรมะอย่างคนที่ใช้สัจธรรมชีวิต  และขอให้ใช้
สัจธรรมนำผู้อื่นเข้าใจไหม  สิ่งที่เป็นปาฏิหารย์ สิ่งที่เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อทั้งหลาย ในเมื่อศิษย์มองไม่เห็นแล้วศิษย์จะไปใส่ใจเรื่องพวกนี้ทำไม มีแต่ธรรมะเท่านั้นที่ทำให้เราไปสู่ความถูกต้อง มีเหตุมีผล พูดง่ายๆ ก็คือใช้ธรรมะที่เราสามารถพูดได้  ใช้ธรรมะที่เราสามารถปฏิบัติออกไปนำพาผู้อื่นแล้วศิษย์จะไม่ผิดหวังกับสิ่งที่อาจารย์พูดให้ฟังในวันนี้  ถ้าหากว่าศิษย์ทำได้เข้าใจไหม
คนอายุมากนั่งๆ แล้วก็เหนื่อย ไม่อยากหลับก็หลับ  คนน้อยทำงานกันง่ายไหม  อาจารย์ยกสถานธรรมนี้ให้พวกเรา  โต๊ะพระ ผลไม้ก็ยกให้ ทุกอย่างยกให้หมด  อนาคตนักเรียนในห้องนี้ก็ยกให้
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาส่งเสริมฐันจู่)  ทุกอย่างอยู่ในมือเรา เราต้องพยายามที่จะมุ่งหน้าไปอย่างคนที่ตั้งใจที่จะมุ่งหน้า มีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปเปลี่ยนแปลงมา  หลายสิ่งหลายอย่างไม่แน่นอน มีอย่างเดียวที่เราต้องแน่นอนคืออะไร (ความศรัทธา, จริงใจ, ความมุ่งมั่น)  ความมุ่งมั่นในการที่เราจะพาสถานธรรมนี้ให้เจริญขึ้น  เจริญแบบไหน เจริญแบบกระฉับกระเฉงไม่ซบเซา เหมือนดอกไม้ที่งอกขึ้นมาจากกิ่งที่พึ่งจะบานทีเดียว  แต่ตอนนี้เราอยู่ในช่วงไหน เราเหมือนดอกไม้ที่บานแล้วก็จะโรย  ถ้าจิตใจของพวกเราเป็นจิตใจที่ยังดีอยู่ แต่เราหมดแรง  อาจารย์ถามว่า เราเคยทุ่มให้สุดแรงไหม คนที่ใช่ก็คงจะพยักหน้าได้  ส่วนคนที่ยังก็คงพยักหน้าไม่ออก ศิษย์ของอาจารย์ก็น่ารัก เพียงแต่ว่าอาจารย์อยากจะบอกไว้อย่างหนึ่งว่า อาจารย์ไม่เคยหมดหวังในตัวศิษย์คนไหนและไม่เคยหมดหวังในที่นี่  แต่ว่าความจริงก็ยังเป็นความจริง  สิ่งที่อาจารย์พูดมานี้ เป็นการหลอกตัวเองและเป็นการให้กำลังใจศิษย์  ขอให้ศิษย์ยังมีกำลังใจในส่วนนี้  อาจารย์ยังให้กำลังใจศิษย์ไปทำในสิ่งที่ดีกว่า  อาจารย์ไม่ได้หวังให้ศิษย์เปิดประชุมธรรมทุกปีและต้องลำบากหาคนมาทุกปี แต่อาจารย์อยากให้คนที่มีอยู่แล้วในที่นี่ทุกๆ คนไหว้พระเป็น  อยากให้วงการธรรมะเจริญรุ่งเรือง  ไม่จำเป็นต้องเปิดประชุมธรรมทุกปีก็ได้  ถ้าเป็นความลำบากและไม่สำคัญว่าศิษย์ต้องเจออาจารย์ทุกปี  แต่สำคัญตรงที่ว่า ศิษย์ที่อยู่ตรงนี้ทุกคนได้ไหว้พระเป็น  บำเพ็ญจิต ฝึกจิตใจ บำเพ็ญธรรม ธรรมะเอาให้ดี  อารมณ์โมโหก็ต้องลดลง  ความตั้งใจต้องเพิ่มมากขึ้น  เราเป็นคนที่คนเขาเข้าใจผิดเราอยู่เรื่อย  เพราะอะไรไม่รู้  ลองดูตัวเอง  เพราะจริงๆ แล้วตรงนี้  ก็เป็นคนที่มีความมุ่งมั่นมากที่สุด  ศิษย์ก็เหมือนกันต้องรักษาสุขภาพให้ดีๆ เมื่อตั้งใจมาที่นี่  เพราะว่าเราต้องการที่จะนำพาคน  การบำเพ็ญธรรม  บำเพ็ญจิตใจ และในสิ่งที่เรารู้ให้มากขึ้น ให้ดีขึ้น  อย่ายิ่งบำเพ็ญแล้วไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่  กล้วยเหมือนอะไร (เรือ)  ให้เรือคนละลำไปนำพาตนเองให้ขึ้นฝั่ง  อย่าลืมว่าอาจารย์ยังมีความหวังในตัวศิษย์ทุกคน  หวังว่าบำเพ็ญให้ดีขึ้นและงานธรรมะจะค่อยตามขึ้นมาเอง  อาจารย์ให้กลอนพระโอวาทวันนี้  เหมาะสมกับคนที่นี่มากที่สุด  วันนี้อาจารย์ไม่ได้คุยกับนักเรียนใหม่อย่างเดียว  ความราบเรียบและความเฟื่องฟู ศิษย์ของอาจารย์มีครบทั้งศรัทธา ความเมตตา กล้าหาญ แต่ขาดอีกอย่างหนึ่งคือ ปัญญา  ปัญญาที่อาจารย์พูดถึงตั้งแต่ต้น  คนเราไม่ได้มีปัญญามาตั้งแต่เกิด แต่จะมีปัญญามากขึ้น ในตอนที่เราใช้ชีวิตด้วยเหตุผล  สิ่งที่เราควรต้องระวังก็คือ สิ่งที่เป็นปาฏิหารย์ เรื่องที่ไม่น่าเชื่อ  เราต้องบำเพ็ญเข้าสู่แนวสัจธรรมมากขึ้น เพื่อเราจะได้นำคนอื่นได้ ไม่พาคนขึ้นเรือจากฝั่งนี้ไปตกทะเลอีกฝั่งหนึ่ง  อาจารย์หวังให้ศิษย์ใช้ปัญญาให้มากขึ้น ปัญญาที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ ปัญญาที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้สัจธรรม ปัญญาที่เกิดจากการช่วยคนและอดทนให้มากๆ  การบำเพ็ญจำต้องลงลึกไปถึงรากของหัวใจ  เมื่อศิษย์มองบรรยากาศเมื่อสักครู่นี้ที่เกิดขึ้น  ก็พอจะรู้ว่าคนบำเพ็ญต่างก็มีปัญหา  แล้วก็เป็นปัญหาที่ยากจะแก้ไข  สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะอะไร  เกิดขึ้นเพราะเราจะบำเพ็ญธรรม  แต่เราไม่สามารถละความ โลภ โกรธ หลงได้  เกิดจากการที่เราจะบำเพ็ญธรรม  แต่เรานั้นยังไม่เป็นตัวของตัวเองมากพอ  ยังไม่รู้จักที่จะแยกแยะสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด  ไม่ใช่ว่าคนที่ไม่มีปัญหา ก็คือคนที่ไม่มีตลอดไป  แต่เป็นเพราะว่าศิษย์ยังไม่เจอปัญหา ถ้าหลายๆ คนที่อยู่ที่นี่มีปัญหาขึ้นมาพร้อมๆ กัน  ส่อให้เห็นถึงการบำเพ็ญธรรมของเราไม่ดี แต่ทำไมเขายังบำเพ็ญธรรมต่อไป ทำไมไม่เลิกบำเพ็ญธรรมไปให้รู้แล้วรู้รอด ก็เพราะเขารู้และเข้าใจว่าสิ่งที่เขาได้รับมาและเข้าใจในธรรมะว่าดีอย่างไร  เพียงแต่ว่าในเมื่อปุถุชนก็ยังเป็นปุถุชน  การเอาชนะกิเลสจึงเป็นเรื่องยาก  แต่สิ่งที่เพิ่มเติมที่คลายความยากนี้ ก็คือความพยายามฝืนใจตัวเอง  รู้ว่าตัวเองทำอะไรและรู้ว่าจะต้องแก้ไขอย่างไร  สิ่งที่อาจารย์พูดมานั้น  พูดมาเรื่อยๆ สอนศิษย์มาเรื่อยๆ หลายๆ อย่าง ศิษย์ของอาจารย์รู้ว่ากำลังเจออะไร  แต่ไม่ได้เอาธรรมะนั้นไปใช้ ในที่สุดแล้วศิษย์ของอาจารย์ก็มีชะตาแห่งปุถุชน  ไม่มีชะตาแห่งพุทธะเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย  ฉะนั้นทุกคนที่อยู่ที่นี้  เมื่ออาจารย์ไม่พูด ไม่ได้หมายความว่าศิษย์ของอาจารย์ไม่มีปัญหา  แต่หมายความว่าปัญหานั้นยังไม่กระทบกระเทือนผู้อื่น  อาจารย์หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึง  ขอให้ศิษย์รู้และแก้ไขตนเอง  คนที่อยู่ที่นี่ ที่นั่งเรียนสองวันนี้  อยากให้รู้จักแก้ไขนิสัยความเคยชินที่ไม่ดี  ความผิดต่างๆ ที่มากมายรอบตัว  อย่ามัวแต่โทษคนอื่นว่าคนอื่นนั้นผิด  อย่ามัวแต่คิดว่าคนอื่นทำไม่ถูก  เราลองคิดว่า ในเมื่อเราเห็นคนอื่นทำไม่ถูก  แล้วคนอื่นเห็นว่าเราทำไม่ถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในเมื่อหนึ่งคนตบไป อีกคนหนึ่งตบมา ตบบอลที่อยู่ตรงกลางนี้ ในที่สุดก็จะไปชนอะไรสักอย่างหนึ่ง  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเรารู้เช่นนี้ขอให้เรารับความผิดอันนี้ไว้แล้ววาง  ถ้าเราเป็นคนที่ยอมผิด  แล้วเรื่องราวทุกอย่างจบ  ทำไมศิษย์ไม่ยอมจบ  อยากจะตบไปมาให้สักวันหนึ่งบอลมันเด้งไปโดนหัว โดนแขน  รอให้วันหนึ่งมันเด้งไปชนใครที่มากกว่าคนสองคนที่กำลังทะเลาะกันอยู่  แล้วศิษย์พอใจอย่างนั้นหรือ  ฉะนั้นเกิดมาเป็นคนบนโลกนี้  บางทียอมผิด ยอมอภัย ยอมให้ บางทียอมรับสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ เข้ามาสู่ตัว  ถ้าศิษย์มั่นใจว่า เบ้าหลอมหรือเตาหลอมที่อยู่ในใจของศิษย์เป็นเบ้าหลอม เตาหลอม  ที่สามารถหลอมได้แม้กระทั่งทอง แสดงว่าศิษย์เป็นคนที่บำเพ็ญได้ก้าวหน้าแล้ว แต่กลัวว่าเบ้าหลอมที่อยู่ในใจของศิษย์ ไม่สามารถหลอมจิตใจได้ เมื่อปัญหาเข้ามาสู่เบ้าหลอมของศิษย์นั้น ต่อไปเป็นปัญหาที่หนักมากขึ้น อย่างนี้อาจารย์เห็นประจำ อยากให้แก้ไขและให้มุ่งที่จะก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ จริงๆ แล้ว เขาก็พยายามให้คนที่เป็นนักเรียนที่นี่นั่งฟังที่นี่ให้ได้รับความสบายมากที่สุด  ถึงอย่างไรจำนวนคนที่มากก็ไม่สามารถทำให้แอร์เย็นทั่วห้องได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นในเมื่อแอร์ไม่เย็น เราก็เย็นใจดีกว่านะ ทำใจให้เย็นๆ ดีหรือไม่ โอวาทฉบับนี้เหมาะกับคนที่นี่ที่สุด ดูสิว่าให้คำว่าอะไร
พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนโอวาทคำว่า “คงเส้นคงวา”  อาจารย์มีความหวังในตัวศิษย์อย่างมากมาย  แต่ขอแค่ไม่แย่ลงไปกว่านี้ ขอให้ความที่เป็นอยู่ ไม่แย่ไปกว่านี้  อาจารย์หวังว่าปีหน้า ถ้าหากว่าสามารถที่จะรักษาได้ ก็คือรักษาให้ได้เท่านี้  ถ้าหากว่าสามารถที่จะดีกว่านี้ ก็คือให้เจริญยิ่งกว่านี้ขึ้นไปอีก แต่ไม่เอาแย่กว่านี้ได้หรือไม่ (ได้)  เพราะว่าถ้าเกิดแย่กว่านี้ ก็ไม่รู้ว่าเปิดประชุมธรรมไปแล้วจะมีอะไรเกิดขึ้นสำหรับนักเรียนใหม่  ในเมื่อวันนี้สละเวลามาฟังธรรมะได้ ต่อไปก็สละเวลามาฟังธรรมะเพิ่มเติม มิต้องให้คนอื่นเซ้าซี้ แล้วก็บอกว่าไม่มีเวลา เพราะว่าคนเราบอกว่าไม่มีเวลาทีไร ก็ยังไม่มีเวลามากขึ้นไปอีก ขอให้ขยันและรู้ว่าการบำเพ็ญธรรม ทำให้เปรียบเสมือนหน้าที่ของเรา หน้าที่ที่เราจะต้องทำให้สำเร็จพ้นจากการเป็นปุถุชนนี้ให้ได้  เพื่อที่เราจะได้สูงขึ้นกว่านี้ ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายเวียนทุกข์อีกรอบหนึ่งดีหรือไม่ (ดี)  ไหนลองบอกซิว่าหลังจากกลับจากสองวันนี้จะไปตั้งใจทำอะไร เพื่อเป็นการแสดงออกว่าเรากำลังบำเพ็ญธรรม (เราจะไปปฏิบัติสองวันที่ได้รับการอบรมธรรมะจากที่นี่)  ปฏิบัติอะไร (ปฏิบัติธรรมะ)  ปฏิบัติธรรมะข้อไหน (ธรรมะข้อรู้จักอภัยซึ่งกันและกัน)  แล้วทุกวันนี้ทำหรือเปล่า  (ทำ)  ทำมากไหม (ทำแต่จะพยายามทำมากยิ่งขึ้นไปอีก)  อย่าหวังผลการทำความดีที่ได้กุศลได้บุญก็คือไม่หวังผล เช่น ให้เงินขอทานไปห้าบาทแล้วบอกว่าจะต้องได้ห้าร้อยบาท  ปักธูปหนึ่งดอกแล้วบอกว่าอยากจะรวยเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  (กลับไปไตร่ตรองใช้ปัญญาแก้ปัญหาให้ถูกต้อง, ทำจิตใจให้สงบ, ปฏิบัติธรรมะให้สงบในจิตใจของตนเอง)  มีอย่างอื่นไหม (รู้จักให้อภัยและไม่โกรธ, กลับไปจะเข้าใจคนใกล้ชิดให้ดีขึ้น)  อบายมุขข้อไหนที่เราทำบ่อยที่สุด (สุราเมระยะมัชฌปมา)  แปลว่าอะไร (กินเหล้ากับเบียร์)  กินแล้วเมาไหม  (เมา)  เมาแล้วมีสติไหม (มีแต่ไม่เต็มที่)  เวลากินเหล้าแล้วใครเมา เหล้าเมาหรือเราเมา เวลาเหล้าอยู่ในขวดเหล้าไม่เมาตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราตั้งขวดเหล้าแล้วเหล้ามันโอนไปเอนมา แต่พอเรากินมันเข้าไปแล้วเป็นอย่างไร เราก็โอนไปเอนมา คนอื่นว่าไง (จะพยายามทำความดีให้ดีที่สุด)  เรียกแม่ครัวให้อาจารย์ด้วยนะ (จะพยายามควบคุมอารมณ์ให้มากขึ้น)  เวลาอาจารย์อยากให้ตอบก็ไม่ยอมตอบ  เวลาที่ไม่ให้คุยก็นั่งคุยกันใช่หรือไม่ (ใช่)
อาหารที่นี้อร่อยไหม (อร่อย)  ไม่อร่อยมื้อเย็นอดนะ  (พระอาจารย์เมตตาแม่ครัว)  และเนื่องจากที่นี่ค่อนข้างจะไกลจากกรุงเทพฯ และทุกที่ที่ศิษย์มาเดี๋ยวให้มาเอาลูกอมไปแจกคนที่มาจากที่ไกลๆ คนที่มาจากที่ไกลอย่างน้อยกลับไปก็ยังมีลูกอมคนละลูกสองลูก  ทุกคนที่มาที่นี่ล้วนมาด้วยแรงใจ  ล้วนมาด้วยความตั้งใจ  มาเพื่อที่จะช่วยงาน ยกน้ำ ทำกับข้าวให้กับศิษย์ที่อยู่ที่นี่ทุกคน  ศิษย์ที่อยู่ตรงนี้แม้ว่าเราจะอ่านหนังสือไม่ออก  แม้ว่าเราจะไม่รู้ว่าธรรมะคืออะไรเลย  แต่เขาเหล่านี้ก็เต็มใจที่จะเสียสละให้กับพวกเราทุกคน โดยที่ไม่ได้คิดว่าเราทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่คือใครบ้าง  ฉะนั้นศิษย์ทุกคนมีค่าเหมือนกับเพชร  มีค่าเหมือนกับพลอย  มีค่าที่เราหนึ่งคนจะสามารถไปบำเพ็ญธรรมให้ดีๆ ให้เกิดสิ่งที่ดีขึ้นในโลกและในประเทศนี้  ฉะนั้นทุกๆ คนล้วนเป็นคนที่มีคุณค่าหากสร้างคุณค่าชีวิตให้กับตนเอง  อย่าลืมว่าเราเกิดมาเป็นคนและเรามีหน้าที่ที่ต้องดีแบบคนที่ดี  ถ้าหากว่าเราเกิดมาเป็นคนแล้วเราไม่สามารถจะสร้างความดีได้แล้ว เราจะมีคุณค่าอะไรมากไปกว่าสัตว์เดรัจฉานที่เราฆ่าเขากินใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทุกๆ วันที่ผ่านไปอาจารย์อยากให้ศิษย์สงสารเขาด้วย  สิ่งดีๆ จะเกิดขึ้น
ในวันนี้อาจารย์มาในช่วงไม่นาน  จริงๆ แล้วอาจารย์อาจจะไม่มาในวันนี้ด้วยซ้ำ  แต่เห็นว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คนล้วนเป็นคนตั้งใจ  อาจารย์อยากให้ทุกคนเป็นคนดี ช่วยสร้างบรรยากาศธรรมให้ดีมากยิ่งขึ้นกว่านี้  อย่ามัวแต่ซุบซิบนินทาเรื่องของชาวบ้านเขา อย่ามัวแต่โทษกัน อย่ามัวแต่ใช้อารมณ์  อย่ามัวเห็นแก่ตน  เราทุกๆ คนบำเพ็ญธรรม  เมื่อทุกคนเข้าใจและทำงานให้ดีก็ขอให้บำเพ็ญให้ดีต่อไปในภายภาคหน้า  ทุกๆ คนก็คือความหวัง  ทุกๆ คนก็คือแรงใจที่ให้อาจารย์สามารถที่จะทำงานธรรมะต่อไปให้ได้  และเราเองก็อาจเป็นแรงใจให้ผู้อื่นทำงานธรรมะต่อไปได้เหมือนกัน  อย่ากลัวความยากลำบาก  คนที่เป็นฐันจู่อย่ากลัวว่าเวลาที่ญาติธรรมมาแล้วเราต้องดูแลรับผิดชอบ  คนที่ทำมากย่อมหมายความว่าเป็นสิ่งที่ดีมากยิ่งขึ้น  ถ้าหากเราเข้าใจมากเราสามารถทำให้คนเข้าใจมากขึ้น  หากว่าเราเข้าใจน้อยเราก็ทำให้คนอื่นเข้าใจน้อยมากขึ้น  ทุกๆ คนเป็นคนเก่งเป็นคนมีความสามารถ แต่ความสามารถเหล่านี้มีจริงหรือเปล่า ขอให้เราพิจารณาตัวเอง พิจารณาไม่ใช่แบบบริษัทฯ  ที่พิจารณาเพื่อไล่ออก  แต่พิจารณาเพื่อก้าวหน้ามากกว่านี้  อย่างน้อยให้เรารู้อยู่แก่ตัวของเราเองว่าเราได้ก้าวหน้ามากขึ้น  วันนี้เราละอารมณ์มากขึ้น  โมโหน้อยลง  วันนี้เราช่วยคนอื่นโดยที่เรามีใจรู้สึกไม่อยากได้ผลตอบแทนเลยสักนิดเดียว  เคยมีความรู้สึกเช่นนี้ไหม  ขอให้เรามีใจที่จะย้อนมองส่องตนเองทุกๆ วัน  ให้ใจของเราเปล่งแสงสว่างมากยิ่งๆ ขึ้น
ศิษย์อาจจะไม่เจออาจารย์ อาจจะไม่เจอนักธรรมอาวุโสรอบข้างมากมายขนาดนี้ แต่ธรรมะอยู่ในจิตใจของเรา ธรรมะอยู่ในสายเลือดของเรา อาจารย์อยู่ทุกๆ ที่ในยามที่ศิษย์มีการบำเพ็ญ อย่าเอาเรื่องที่ไม่สำคัญ
ไร้สาระมาเป็นเรื่องสำคัญของชีวิต และอย่าเอาเรื่องสำคัญๆ ของชีวิตอย่างเช่นการบำเพ็ญธรรมทิ้งขว้างเหมือนของที่ไร้ค่า  อาจารย์นั้นวิปลาส ตาลปัตร แต่ตาลปัตรมาสู่จิตใจอันรู้แจ้ง แต่ศิษย์อาจารย์ตาลปัตรไปมา วิปลาสไปมา อยู่บนความสับสนของชีวิต บำเพ็ญให้ดีๆ ถ้าอยากวิปลาสตาลปัตรเป็นเหมือนที่อาจารย์เป็น อย่าเป็นอะไรที่นอกเหนือจากนี้ จงรักเวไนย  เมื่อคนเรามีเมตตาทุกเรื่องที่ว่ายากมันก็จะง่าย บรรยากาศธรรมที่ขาดแคลน ก็จะดีมากขึ้น เพราะว่าเรารักคนอื่น ไม่ได้รักตนเอง จำไว้นะ รักษาจิตใจของเราให้สะอาด แล้ววันหน้าอาจารย์มาอีก ก็หวังจะได้เจอศิษย์อีก ต่อเมื่อแรงศรัทธาของศิษย์ส่งไปให้อาจารย์มาเคียงข้างศิษย์ได้ ลาก่อนนะ


พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “คงเส้นคงวา”

ใช้จิตมืดผดุงธรรมเดินทางผิด เมื่ออุทิศอย่าห่วงหน้าพะวงหลัง
คนมีภัยมาถมเมื่อเด่นดัง เข้าไปนั่งกลางใจคนด้วยเมตตา
บำเพ็ญด้วยปัญญาเร่งรุดตรอง นาวาล่องสู่วันที่ดีกว่า
มีศรัทธาในตนนักพัฒนา เพิ่มคุณค่าชีวิตมาจากใจ

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา