วันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543

2543-11-25 พุทธสถานสกุลหง (อิ๋งเต๋อ) จ.ชัยนาท


PDF 2543-11-25-สกุลหง อิ๋งเต๋อ #21.pdf

#การกราบพระ #หลักการดำรงชีวิต

วันเสาร์ที่ ๒๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานสกุลหง จ.ชัยนาท
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

องค์ประกอบแม้ขาดไม่อาจสมบูรณ์ ประธานพูนความสำคัญไม่เย่อหยิ่ง
คุมชีวิตสู่แนวทางอันแท้จริง ชั้นเชิงชิงไม่สำคัญต่อการบำเพ็ญ
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา  ฮวา
บรรยากาศแห่งธรรมกระทบฟ้า เรียนธรรมาต้องนำไปปฏิบัติ
ไม่มีใครสามารถมาจำกัด ตนเองเท่าตนจำกัดซึ่งตนเอง
อย่าได้เห็นเป็นเพียงเรื่องธรรมดา ธรรมะคือธรรมชาติอันยิ่งใหญ่
ทำเท่าใดได้เท่านั้นรู้แก่ใจ ขอให้ใช้ปัญญาเดินทางธรรม
ทุกคนต่างมีจิตญาณอันเดิมแท้ เพียงแน่วแน่เดินหน้าย่อมดีกว่า
แม้วันนี้ชีวิตแสนขมนา แต่ภายหน้าจะทุเลาเพราะบำเพ็ญ
ทำใจในสิ่งที่ควรทำใจ ชีพคนใช่ผักหญ้าอย่าล้อเล่น
เจออุปสรรคใจนี้อย่าไหวโอนเอน ขอให้เบนชีวิตเลือกทำแต่ดี
ต่างมีบุญมารู้ทางต้องเดินกลับ อันความลับไม่มีในโลกนี้
ขอเพียงแต่ทำตนเป็นคนดี จะไม่มีต้องผวาอยู่เรื่อยไป
ย้อนส่องตนแต่ละคนเร่งขัดเกลา อย่าดูเบาตนเองนี้เมธีท่าน
วันกลายเดือนกลายปีรู้ไม่ทัน อย่าทอนบั่นตนเองด้วยกิเลสเลย
สร้างคุณค่าให้แก่ตนเพื่อคืนบ้าน วัฏสงสารไม่อาจหยุดลงเองได้
พยายามความสำเร็จเริ่มจากใจ ขอให้ใช้หลักสัจธรรมนำชีวิน
สองวันนี้มีค่าสุดประมาณ ทั้งพูดทำให้ประมาณตนเองยิ่ง
ปิดรูรั่วในใจไม่ประวิง และอย่าทิ้งธรรมะจนกว่าหมดลมหายใจ
ทั้งสองวันขอน้องนั้นตั้งใจเถิด คนประเสริฐทำความดีมีคุณค่า
ชีวิตนี้อย่าปล่อยลอยไปลอยมา ขอเดินหน้าบำเพ็ญจิตไม่ทิ้งกลางคัน
ในวันนี้ศิษย์พี่รับบัญชา มาคุมชั้นหวังว่าน้องตั้งใจยิ่ง
พุทธะฉุดน้องจากนรกที่จมดิ่ง ขอให้ทิ้งใจสงสัยลงชั่วคราว
จิตกุศลใจเปิดกว้างฟังธรรมยอด อย่าได้กอดใจวิตกให้นานนัก
จิตกุศลเพราะลงมือถือคุณธรรมหลัก และตระหนักใดก่อนหลังลงมือทำ
ความอดทนทำให้คนมีคุณภาพ ให้กำราบใจไม่นิ่งของตนนั่น
ความไม่ดีของใครอย่าวิจารณ์กัน ขอแข่งขันแต่ใจที่เสียสละเทอญ
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ขอน้องใช้วิจารณญาณปัญญาเที่ยง
รักษาซึ่งพุทธะระเบียบไม่โอนเอียง และร้อยเรียงสิ่งที่ฟังให้เข้าใจ
หลังจากจบชั้นนี้แล้วยังศึกษา สละเวลาเท่าที่จะทำได้
ย่นทางไกลให้ใกล้ด้วยตั้งใจ ศรัทธาในจิตเดิมแท้ดั่งแสงทอง
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
ฮวา  ฮวา  หยุด

วันเสาร์ที่ ๒๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานสกุลหง  จ.ชัยนาท
พระโอวาทพระนาจา
เมื่อไม่หวังไม่มีอะไรให้ผิดหวัง เมื่อไม่รั้งสุขยากทุกข์ให้หลีกหนี
ไร้ตัวตนว่างเปล่าแล้วซึ่งธุลี เวลามีอุทิศช่วยเหล่าประชา
เราคือ
ศิษย์พี่ของท่าน นาจาน้อย รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์อันวุ่นวาย    แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกคนสบายดีหรือเปล่า

ต้องย่ำอยู่กับที่เพราะพะวง ธรรมะลงมาท่ามกลางโลกยุคเข็ญ
ละกิเลสบำเพ็ญด้วยใจเยือกเย็น ทั้งกายใจบำเพ็ญชนะสิ้นงมงาย
มั่นคงไว้คู่ธรรมกรรมต้องสาง สำนึกด้วยสำนึกมีทางพอแก้ไข
ชีวิตอันจริงแท้สติเป็นใหญ่ มองปัญหาหลายมุมหรือผ่านตา
ลงมือกับแลรออย่างไรแย่ อดทนแก้ค่อยค่อยไม่เฉพาะหน้า
แต่บางเรื่องเวลาเท่านั้นคลายปัญหา ขณะตรองปัญญาได้ใคร่ครวญภายใน
สติรู้เท่าทันไม่เท่ากัน ดุจชลรินช้ากระชั้นทัศนาได้
ห่วงสบายดุจตนขังตนไว้ บังคับไปตามร่องถูกจองจำ
ไหล่เคียงไหล่มุ่งครรลองใจสบาย แม้นหมายมั่นอะไรจิตต้องยุติธรรม
บำเพ็ญคล่องให้สี่คำต้องจำ ขยันปลงตื่นรู้นำฤทัยเรา
น่าดูตามจับมาไม่หมด น่าฟังอดฟังไม่โศกเศร้า
ยิ่งพูดเรื่องราวยิ่งยากบรรเทา ยิ่งเดาคนผิดยิ่งมากทวี
ฮิ  ฮิ  หยุด


พระโอวาทพระนาจา

มนุษย์อยู่ด้วยความหวังใช่ไหม แต่พุทธะอยู่ได้โดยไม่หวัง เข้าใจคำนี้หรือเปล่า ไม่หวังก็คือหวัง แต่ถ้าหวังก็ต้องได้ ไม่หวังใช่ไหม (ใช่)  ฟังคำนี้ให้ชัดเจนนะ มนุษย์อยู่ได้ด้วยความหวัง แต่พุทธะอยู่ได้ด้วยไม่หวัง ต่างกันใช่หรือไม่  เมื่อไม่หวังแม้จะสมหวังก็ไม่เสียใจ  แต่ถ้ามนุษย์อยู่ได้ด้วยความหวัง ถ้าไม่สมหวังก็ต้องเสียใจ แล้วอย่างไหนดีกว่ากัน ย่อมไม่หวังดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดให้ดีๆ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  มนุษย์อยู่ได้ด้วยความหวัง แต่พุทธะอยู่ได้ด้วยไม่หวัง เพราะอะไรถึงไม่หวัง เพราะถ้าอยู่ด้วยความหวังเมื่อไม่ได้อย่างหวังย่อมเศร้าใจใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าอยู่ด้วยโดยที่ไม่หวังอะไรเลย แม้จะไม่ได้ก็ไม่เสียใจ แม้จะได้ก็เป็นอย่างไร เสียใจไหม (ไม่เสียใจ)  เหมือนมนุษย์ทุกคนอยู่ในโลกนี้ได้ มีชีวิตมีลมหายใจอยู่ทุกขณะได้เพราะอะไร  เพราะใครหรือเปล่า เราอยู่ได้ด้วยตัวเราเอง หรือเราอยู่ได้เพราะมีใครช่วย (ตัวเราเอง)  พุทธะต้องอยู่ด้วยใจที่ไม่หวังถึงจะทำใจได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมื่อเราไม่หวังตัวเราเองแล้ว เราต้องไม่หวังในตัวผู้อื่นด้วย แล้วเราจะไม่ผิดหวังและเสียใจที่เขาไม่เป็นดั่งใจเรานึก  จริงไหม(จริง)  เหมือนวันนี้ท่านอยู่ร่วมกัน อย่าได้คาดหวังว่าต้องเป็นแบบนั้นต้องเป็นแบบนี้ เพราะถ้าเกิดเมื่อท่านคาดหวังแล้ว เมื่อไม่สมดังหวัง คนที่ทุกข์ก็คือคนที่คิดหวังใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยู่ในโลกนี้ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตาม จงตามให้ทันความคิดแล้วจงคิดให้ถูกทาง แล้วเราก็จะไม่เศร้าในความคิดที่เราคิดจะทำสิ่งใดจริงหรือไม่ (จริง)
“เมื่อไม่หวังไม่มีอะไรให้ผิดหวัง  เมื่อไม่รั้งสุขยากทุกข์ให้หลีกหนี” หลายต่อหลายคนเมื่อได้พบความสุข พยายามที่จะหน่วงความสุขให้อยู่กับตัวเองให้นานที่สุด ไม่ให้สุขนี้กลายเป็นทุกข์เด็ดขาดใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนวันนี้ท่านมีเรื่องน่ายินดี ท่านก็จะพยายามประคับประคองความยินดีของท่านนี้เก็บไว้อยู่กับตัวนานที่สุดใช่ไหม  แต่ทำไมยิ่งเก็บยิ่งรักษากลับยิ่งสูญเสีย และทำลายได้ง่ายกว่าที่ไม่เก็บไม่รักษาใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือชีวิตของมนุษย์  ชีวิตที่ทุกๆ คนต้องเจอ เรายิ่งพยายามหวงแหนประคับประคองให้อยู่กับตัวเรา  แต่ยิ่งหวงเท่าไรกลับยิ่งรักษาได้ยากใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่สิ่งไหนที่ท่านไม่หวง ปล่อยทิ้งๆ ขว้างๆ กลับอยู่ยงคงกระพันใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อไรที่พบความสุข อย่าได้
เหนี่ยวรั้ง อย่าได้ยื้อยุด ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ แล้วเราจะไม่เป็นทุกข์  เมื่อความทุกข์มาหาตัวใช่หรือไม่ (ใช่)  จงคิดว่าสุขกับทุกข์คือสิ่งเดียวกัน จงคิดว่าทุกข์ก็อาจจะสุขและสุขก็อาจจะทุกข์ก็ได้  แล้วเราก็จะได้ไม่ทุกข์มากเมื่อความสุขเปลี่ยนเป็นความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราอยู่อย่างไร้เรี่ยวแรงจะเหมือนคนตายทั้งเป็นหรือไม่ (เหมือน)  วันนี้ท่านว่าท่านเหมือนคนตายทั้งเป็นไหม  เรารู้สึกว่าท่านไม่มีความกระฉับกระเฉง ไม่มีความกระปรี้กระเปร่า ไม่มีความกระตือรือร้นเลย  เราได้ตื่นและเตรียมพร้อมที่จะฟังโดยไม่เมื่อย ไม่เหนื่อยล้าแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ปลุกจิตใจตัวเองให้กระปรี้กระเปร่า เราไม่อยากเห็นพุทธะที่ห่อเหี่ยวและหดหู่หมดแรง เหมือนต้นไม้จะตายไม่ตายแหล่
พูดธรรมะมากๆ เดี๋ยวกลัวท่านจะเบื่อ ลองไปพูดอะไรที่ไกลๆ บ้างทำให้จิตใจท่านกระปรี้กระเปร่า มีความสนุกสนานดีหรือเปล่า (ดี)  ประตูแห่งธรรมะเมื่อจะก้าวอย่าได้จำกัดว่าธรรมะต้องเคร่งครัด ต้องสงบนิ่ง มิใช่เช่นนี้  คำว่าธรรมะคือธรรมชาติ แต่จะทำอย่างไรให้ธรรมชาติแห่งชีวิตมีธรรมะอยู่ในตัวตน  ให้เราไปไหนแล้วสามารถกลมกลืนอยู่กับผู้อื่นได้อย่างเป็นธรรมใช่ไหม (ใช่)  นี่ถึงจะเรียกว่าธรรมะที่แท้จริง และรู้จักนำธรรมะไปใช้ในชีวิตได้อย่างถูกทางใช่หรือเปล่า (ใช่)
“ไร้ตัวตนว่างเปล่าแล้วซึ่งธุลี”  ท่านสังเกตเห็นขวดหรือกระป๋องไหมว่าเมื่อมีรูปร่างจึงสามารถบรรจุสิ่งต่างๆ ลงไปในขวดหรือในกระป๋องได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อไร้รูปร่างสิ่งต่างๆ จะบรรจุลงในขวดหรือในกระป๋องได้หรือไม่ (ไม่ได้)  แล้วคำว่าไร้อัตตาตัวตนต่างอะไรกับสิ่งที่เราพูดสักครู่ ต่างกันไหม (ไม่)  ใครสามารถตีกลับไป แล้วเอาไปนึกให้สอดคล้องได้ นั่นก็คือตัวตนเราก็เหมือนกับกระป๋องใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะมีที่ว่างก็มีสิ่งต่างๆ ให้บรรจุ  หากเป็นสิ่งหอมคนก็รุมตอม หากเป็นสิ่งเหม็นคนก็หนีหาย  แต่เป็นแมลงวันตอมใช่หรือไม่ (ใช่)  เฉกเช่นเดียวกัน ในตัวของบุคคลนั้นไม่ว่าจะมีอะไรบรรจุก็ตาม  ไม่ว่าสิ่งนั้นจะหอมหรือเหม็นอย่างไรก็มีคนหมายปองใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมนุษย์เรามีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน เหมือนกระป๋องอาหารที่มีหลากหลายชนิดให้เลือกลิ้มรสใช่หรือไม่ (ใช่)  รสต่างๆ ย่อมมีคุณสมบัติที่ดีแตกต่างกันไป ฉะนั้นอย่าดูเบาตัวเองที่มีความดีบ้าง ไม่ดีบ้าง  เพราะในความดีบ้างไม่ดีบ้าง สักวันหนึ่งอาจมีคนเห็นคุณค่าและชื่นชม  สักวันหนึ่งอาจมีคนไม่เห็นคุณค่าแล้วทอดทิ้งก็เป็นได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาเลือกอาหารก็ปลงว่าเหมือนชีวิตคนเราเลยจริงไหม (จริง)  ชีวิตคนเราก็เหมือนกับกำลังไปเดินซื้อของ เราเข้าไปในที่ขายของ อันนี้ต้องใจเราก็หยิบมาเก็บไว้ อะไรไม่ต้องใจบางครั้งเราก็อดตำหนิติเตียนไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงมีคำพูดกล่าวไว้อยู่อย่างหนึ่งว่า ”เมื่ออยู่กับตนเองจงสำรวจข้อผิดพลาดของตน เมื่ออยู่กับผู้อื่นอย่าได้ตำหนิติเตียนผู้อื่น”  เพราะใครๆ ก็ไม่อยากเป็นสินค้าให้ท่านมาตอม  ฉะนั้นถึงแม้ว่าเราจะเป็นคนในห้างสรรพสินค้า เราก็จงอย่าได้ต่อว่าตำหนิติเตียนซึ่งกันและกันดีหรือไม่ (ดี)  เพราะต่างคนต่างก็เป็นปลากระป๋องที่มีทั้งหอมทั้งเหม็นใช่ไหม (ใช่)  เอาเป็นผักดองก็แล้วกัน เพราะที่นี่เขาไม่ให้กินเนื้อสัตว์  แต่เราไม่อยากบอกว่าท่านเป็นผักดองเลย เพราะท่านพอตากลมมากๆ ก็เหม็น ตากเย็นมากๆ ก็เหม็นจริงหรือเปล่า (จริง)  เหมือนเนื้อสัตว์ตากทิ้งไว้ก็เหม็น ไม่ว่าจะตากลม ตากร้อน ตากเย็นก็เหม็น แต่ผักนี้ตากลมนานๆ เป็นอย่างไร  แห้งและไม่เหม็นฉุนเท่ากับเนื้อสัตว์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนไม่ว่าจะอยู่เหนือ อยู่ใต้ อยู่ร้อน อยู่หนาว ก็เหม็นได้ทุกสภาวะถูกไหม (ถูก)  ไม่เหมือนผัก แม้เก็บในที่เย็นก็ไม่ค่อยเหม็นใช่หรือไม่ (ใช่)
ปัญหาแรกที่เป็นอุปสรรคในการอยู่ร่วมกันอย่างไม่เป็นสุขนั่นก็คือ ความระแวงสงสัย กินแหนงแคลงใจ  ฉะนั้นไม่ว่าอยู่กับใคร หรือว่าอยู่กับคนในบ้าน หรือว่าอยู่กับผู้อื่นก็ตาม  ถึงแม้ว่าเราจะเคยร่วมงานกันมา แต่ถ้าเกิดมีความระแวงสงสัย ไม่ไว้ใจกันแล้ว จะเป็นอุปสรรคที่ทำให้เราอยู่กับผู้อื่นได้อย่างไม่
ราบรื่นและกลมเกลียวใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนที่อยู่ด้วยความระแวงสงสัยย่อมเป็นทุกข์ใจมากกว่าคนที่อยู่ด้วยความไม่ระแวงใคร มีแต่ความไว้ใจ ให้เกียรติ และเคารพซึ่งกันและกันใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้ศิษย์พี่จะอยู่กับศิษย์น้อง ศิษย์น้องจะอยู่กับศิษย์พี่อย่างเป็นสุขหรือไม่ ก็อยู่ที่ว่าศิษย์น้องมีความสงสัยในใจหรือเปล่า  ศิษย์น้องมีความระแวงหรือไม่ หากมีจงรีบขจัดทิ้ง เพราะถ้ามีเมื่อไร ศิษย์น้องจะทุกข์มากกว่าศิษย์พี่ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วมีแต่คนที่คิดเท่านั้นที่ทุกข์ ส่วนคนที่ไม่คิดตรงนี้ก็จะไม่ทุกข์ และจะอยู่ร่วมกับเขาได้อย่างสบายใจใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางครั้งอยู่ด้วยความสบายใจ ไม่คิดอะไรเลยก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องอยู่กับเขาด้วยการเปิดใจกว้างและวางใจเป็นกลาง เพราะถึงแม้ว่าจะอยู่ร่วมกันแล้ว เราไม่คิดอะไรและเขาก็ไม่คิดอะไรเลยก็ เป็นไปไม่ได้  การอยู่ด้วยกันต้องอยู่อย่างเปิดใจกว้าง และวางใจเป็นกลางอย่าคิดเอาฝั่งไหนมากกว่า  ไม่อย่างนั้นความคิดจะทำให้เราต้องเจ็บและทุกข์คนแรก ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย แต่เป็นตัวเรา เหมือนเราทำงานร่วมกับเพื่อน เรารู้ว่าเขาทำได้ไม่เต็มเวลา เราต้องทำเต็มและหนักกว่าเขาเป็นเท่าตัว  ถ้าเราทำไปด้วย แล้วคิดไปด้วยเราทุกข์ไหม (ทุกข์) ฉะนั้นหากเราทำไปด้วยแต่เราไม่คิด เราจะสบายใจและจะทำให้เขากลับตัวกลับใจไม่ช้าก็เร็วในวันใดวันหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการอยู่ร่วมกันขอให้ไว้ใจ เคารพ ให้เกียรติ แล้วเราจะอยู่กับเขาได้อย่างเป็นสุข  แต่ถ้าหากว่าอยู่กันแล้วเขาไม่เคยให้เกียรติ เขาไม่เคยไว้ใจ เขาไม่เคยให้ความสำคัญ กลับดูถูกดูหมิ่น อันนี้ไม่ต้องเสียใจ เป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะว่าทำให้เราได้ฝึกตัวตนเองว่าเราเข้มแข็งไหม ว่าเราได้เสียสละอุทิศหรือเปล่า  หากอยู่กับใครก็ตามเขาไม่เคยให้ความสำคัญ เขาไม่เคยเชื่อใจ เขาไม่เคยรักเราอย่างจริงใจ  ไม่ต้องเสียใจ ศิษย์พี่ขอยกนิ้วให้ ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะทำให้ศิษย์น้องได้ฝึกตัวเองยิ่งหนักใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะท่ามกลางความยากลำบากจะเกิดบุคคลที่หาญกล้า  ไม่มีใครที่จะเกิดมาท่ามกลางความสบาย และเป็นที่เคารพยกย่องนับถือของใครใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นไม่ว่าจะเกิดอุปสรรคใดๆ ขอให้ศิษย์น้องคิดให้ดี เพราะในอุปสรรคและความยากลำบากนั้นกลับมีแง่คิดและแง่ธรรมให้เราได้ฝึกฝนตน  แต่ในความสะดวกสบายกลับทำให้เราเผลอและลื่นไหลลุ่มหลงตน ฉะนั้นไม่ว่าจะทำอะไรในโลกนี้ จะทุกข์ จะสุข จะยากดีมีจน จะมีคนชอบ จะมีคนชัง หากคิดให้ดีแล้วล้วนมีแต่ธรรมะสอนใจทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเรารู้จักใช้ปัญญาและรู้จักนำใจเรานี้โน้มเอียงไปหาธรรมะหรือว่าโน้มเอียงไปใฝ่ต่ำคิดชั่วร้ายกันแน่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นขอให้ศิษย์น้องอยู่กับศิษย์พี่ด้วยใจที่มีแต่ธรรม และมั่นคงในธรรม ทำได้ไหม (ทำได้)  แล้วไม่ว่าปีนี้ปีหน้าหรือปีไหนๆ ศิษย์พี่ก็จะได้เห็นหน้าศิษย์น้องทุกๆ วันใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าเราไม่รู้จักนำใจเราให้ใกล้ชิดธรรม ไม่รู้จักคิดในสิ่งที่ดี เอาแต่ใจตัวเองใฝ่ต่ำไป พุทธะจะไม่มีวันได้เจอศิษย์น้องแน่ อยากเอาสิ่งใดพุทธะหรือพญามาร (พุทธะ)  พุทธะเป็นแน่แท้ใช่หรือไม่ (ใช่)
“ต้องย่ำอยู่กับที่เพราะพะวง”  คนเรานั้นไม่สามารถก้าวหน้าไปไหนได้หากยังมีความวิตกกังวล ถึงแม้จะก้าวไปก็ยากที่จะก้าวไปได้อย่างเต็มที่ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนวันนี้หากศิษย์น้องย่ำอยู่ตรงนี้ แต่ยังมีความพะวงความกลัดกลุ้มในเรื่องส่วนตัว เรื่องทางบ้าน หรือเรื่องปัญหาคาใจ ฟังธรรมะก็จะฟังได้ไม่เข้า คุณธรรมก็ไม่สามารถที่จะเพิ่มพูนได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้จงตั้งใจฟังให้ดีๆ มนุษย์ทุกคนนั้นเกิดมาก็ต้องก้าวเดินไปใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนก้าวสั้น บางคนก้าวยาวใช่หรือไม่  บางคนก้าวใกล้ๆ บางคนก้าวไกลๆ ไม่ว่าสั้น ไม่ว่ายาว วัดกันได้แค่ชั่วขณะหนึ่งก็เห็นแค่ความแตกต่าง  แต่ความเป็นจริงไม่ใช่ดูแค่ชั่วขณะหนึ่ง หรือชั่วขณะก้าว แต่การจะดูที่แท้จริงคือดูในระยะไกลใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนตัวศิษย์น้องบางครั้งรู้สึกท้อแท้ใจ เรารู้สึกหดหู่ใจ คนอื่นก้าวหน้าไปถึงไหนแล้วทำไมเรายังย่ำอยู่กับที่ คนอื่นสามารถทำงานได้ แต่ทำไมเราถูกซองขาวให้อดทำงานใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนมีเงินมากมาย แต่ทำไมเราได้เงินเล็กน้อย แต่ต้องทำงานเป็นสิบๆ เท่าใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอาจจะดูได้ตรงนี้แค่สั้นๆ แต่เราอย่าได้ดูเบาตัวเอง คนที่เริ่มต้นยากลำบากนั้นหรือคนที่เราเห็นว่าเค้าสบายนั้น ล้วนต้องเกิดจากความมานะพยายาม ลำบากมาก่อนด้วยกันทั้งนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอย่าวัดในขณะนี้ เราต้องวัดตั้งแต่เริ่มต้นก่อนที่เขาจะมาถึงตรงนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนตัวเรานั้น เราก็อย่าได้ดูเบาตัวเอง เราต้องเป็นคนที่มั่นใจในตัวเอง แล้วก็ต้องอดทนกับตัวเองว่าการเริ่มต้นตรงนี้ เป็นการเริ่มต้นที่ก่อพื้นฐานเท่านั้น  เราพร้อมที่จะก้าวกระโดดข้ามต่อไปได้เรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็คือเมื่อเราเริ่มต้นจะก้าว เราต้องรู้ด้วยว่าเราเริ่มต้น เมื่อเราก้าวต้องรู้ด้วยว่าเราก้าว นี่แหละคือจุดเริ่มต้นในการทำทุกสิ่งทุกอย่างได้เป็นสิ่งที่ดี แต่หากว่าเรามีชีวิตเริ่มต้นก้าว ไม่รู้ว่าก้าวอย่างไร ไปแล้วก็ไม่รู้ว่าไปไหน เช่นนี้เป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเหมือนตัวศิษย์น้องทุกคนอยู่ในที่นี้ถามว่าไปไหน ตอบว่าไม่รู้ต้องไป มีหลายๆ คนพูดแบบนี้ รู้แต่เพียงว่าอยู่บ้านไม่ได้ อยู่บ้านไม่ติด ต้องออกไป แต่ไปไหน ไปทำไม เคยถามตัวเองไหม ไม่รู้ อย่างนี้เริ่มต้นไม่ถูกแล้วจะไปถึงจุดหมายที่ไหนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมีชีวิตเริ่มต้นต้องวางให้ถูก แล้วก้าวต่อๆ ไป จึงไปได้อย่างมั่นคงและสัมฤทธิ์ผลใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนวันนี้ศิษย์น้องมาเริ่มต้นศึกษาหลักธรรม การที่จะเริ่มต้นศึกษาหลักธรรมนั้น จะไปแต่กายใจไม่ไปไม่ได้ จะมีแต่ใจตัวไม่ไปก็ไม่ดี ต้องไปทั้งใจและกายใช่หรือไม่ (ใช่)  จะไปได้ทั้งใจและกายนั้น เรามาเริ่มต้นที่ใจก่อนดีไหม (ดี) หรือว่าเริ่มต้นที่กายก่อนดี ศิษย์พี่เปลี่ยนใจเริ่มที่กายก่อน
หลายต่อหลายคนนั้นมีตาก็ชอบมอง มีหูก็ชอบฟัง มีมือก็ชอบจับสัมผัสใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครบ้างที่เข้าไปในร้านซื้อของแล้วไม่จับ เขาไม่ให้แกะดู อุตส่าห์มีซองใสๆ ก็ยังแกะดู  เสร็จแล้วไม่เอาวางตามเดิม ขอให้ได้จับได้ดู ได้เห็นสักนิดหนึ่ง นี่เป็นกิเลสอย่างหนึ่งที่ทำให้มนุษย์เรานั้นยากที่จะวางใจให้สงบนิ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราเริ่มที่ภายนอกก่อนแล้วค่อยเข้าไปสู่ใจ แต่ถ้าหากว่าศิษย์พี่เปรียบเทียบกับโลกใบนี้เหมือนโลกที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ ศิษย์น้องเหมือนแมลง บางคนเป็นแมลงที่บินไปตามหู บางคนเป็นแมลงที่บินไปตามลูกตา บางคนเป็นแมลงที่บินไปตามมือไขว่คว้า แต่บางคนเป็นแมลงที่ไม่ไปตามหู ไม่ไปตามตา และไม่ไปตามมือ ศิษย์น้องอยากเป็นแมลงตัวไหน  แมลงที่บินไปตามตาเห็นอะไรสวยย่อมมอง อะไรยิ่งสวยก็ยิ่งมอง แมลงที่บินไปตามหู ได้ยินอะไรก็ฟัง แมลงที่บินไปตามมือเห็นอะไรก็อยากจะไปจับ แต่ถ้าศิษย์พี่อยากให้ศิษย์น้องเป็นแมลงที่เหมือนไม่มีหู ไม่มีตา ไม่มีมือคงเป็นไปไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะธรรมชาติให้ศิษย์น้องมาครบหมดแล้ว นี่เป็นโชคดีอย่างหนึ่งของมนุษย์ ตามีไหม บอดไหม (ไม่บอด)  เหมือนบอดนะศิษย์พี่ว่า มีก็เหมือนบอด  บางครั้งเห็นว่าไม่หล่อก็หล่อ ไม่น่าฟังก็ฟัง ไม่น่าจับ เหม็นก็วาง เรามีหูมีตาไว้ทำไม ในเมื่อมีแล้วก็ทำให้เราเกิดกิเลส ฉะนั้นตัดมันทิ้ง ควักมันออกดีไหม (ไม่ดี)  ดีนะเพราะบางทีตาก็ชอบทำให้เกิดปัญหา หูนี้ชอบให้หาเรื่อง มือชอบไปรังแกเขาใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างน้อยชีวิตนี้ก็เคยได้มองแล้ว ได้ยินแล้ว ได้สัมผัสแล้ว ก็พอแล้ว เอาไหม (ไม่เอา)  แล้วเราจะทำยังไงดี ไม่ตัดก็ไม่เอา แต่ถ้าไม่ตัดเลยกิเลสก็ยังคงหนาอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อะไรก็ยังอยากดูอยู่ ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ว่าอายุมากอายุน้อยเราก็เห็นตาฝ้าฟางแล้วก็ยังดูเข้าไปเถอะ ตาดีชัดแจ๋วดูใหญ่ จริงไหม (จริง)  พอบอกว่าเป็นเรื่องผิดศีลนะอย่าดู  แหมก็มันล่อตาล่อใจ ใช่ไหม (ใช่)  งั้นเราจะทำยังไงดีถึงจะแก้ให้สิ่งที่มีอยู่นั้นไม่ก่อให้เกิดกิเลส และไม่ก่อให้เกิดตัณหา ใครตอบได้บ้าง (หลับตา, ไม่ยึดติดความสัมผัสทางกายและใจ)  นั่นก็คือไม่ยึดติดในสิ่งที่มอง บางครั้งเราเห็นก็อย่าเชื่อใจในสิ่งที่เห็นมากเกินไป เราอย่าเชื่อในสิ่งที่ได้ยินจนมั่นใจเกินไปใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอย่าเชื่อในสิ่งที่เราจับมากเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะสิ่งที่จับนั้นล้วนเปลี่ยนแปลงได้ วันนี้ท่านยืนยันว่าของที่ท่านจับอยู่ตรงนี้ แต่พรุ่งนี้อาจจะไม่อยู่ตรงนี้ก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็คืออย่ายึดติด
(ศิษย์พี่เมตตาให้นักเรียนในชั้นคนหนึ่งออกมาเดินโดยปิดหูปิดตา)  ตาปิดไว้ หูอุดไว้ แล้วเดินซิ  เดี๋ยวลงไปกินข้าวนะ ได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่ได้ใช่ไหม ศิษย์พี่บอกตัดทิ้งก็ไม่ได้ จะปิดก็ไม่ได้ เพราะศิษย์น้องเกิดมามีหู มีตา จะทำเหมือนคนตาบอดหูหนวกมือใช้ไม่ได้ ได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นห้ามพูดออกมา ถ้าพูดผิดแล้วมีคนทำตาม เขามาว่าท่านจะโกรธเขาไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่จะสามารถทำได้นั่นก็คืออะไรรู้ไหม แล้วเราจะทำอย่างไรดีล่ะ ก็ไม่ยากเลย  เมื่อเวลาจะมอง จงมองให้กระจ่าง หรือง่ายๆก็คือเมื่อจะมองต้องมองให้ชัด เมื่อได้ยินต้องได้ยินให้ถ้วนถี่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมื่อมือจะทำสิ่งใดต้องรู้จักคิดถึงโทษก่อน เพราะการกระทำเป็นเหตุให้เกิดโทษได้ง่ายที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นไม่ว่าเราจะทำสิ่งใด มือจะขยับอะไร ขอให้นึกถึงโทษก่อน เมื่อนึกถึงโทษแล้วมือจะไม่กล้าทำผิด แม้ตาจะเห็น แม้หูจะได้ยิน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วตัวก็จะไม่ให้เราผิดพลาดด้วย แล้วไม่ก่อให้เกิดกิเลสด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไม่ว่าจะตาดู หูฟัง ทำได้แล้ว ไม่ก่อให้เกิดกิเลสแล้ว คราวนี้ก็มาสู่จิตใจบ้าง  ใจมนุษย์ถ้ามีตัวตนย่อมคับแคบ ถ้ามีความวุ่นวายสับสนย่อมยากที่จะวัดอะไรได้เที่ยงยุติธรรม  จริงไหม (จริง)  เมื่อมีตัวตนทำไมจึงคับแคบ  ไหนใครบอกว่าคลื่นลูกหลังมาแรงกว่าคลื่นลูกแรก  ศิษย์พี่เห็นคลื่นรุ่นหลังยังไม่ทันขึ้นสูง ยอมแพ้แล้ว   ใครตอบได้ว่าอย่างไร (ความเห็นแก่ตัว, เห็นประโยชน์ของตัวเองมาก่อน, มีความทะเยอทะยานสูงในสิ่งที่ตัวเองจะกระทำ)  มีความทะเยอทะยานสูงในสิ่งที่ตัวเองจะกระทำ ไม่ว่าจะผิดหรือจะถูก ขอให้ตัวเองได้สูงๆ ไว้ก่อน เป็นคำตอบที่ถูกต้อง  บางครั้งเราอยากไปให้สูงที่สุด  การไปของเราจึงพยายามที่จะไม่สนใจว่าอะไรก็ได้ขอให้ตัวเองสูงไว้ก่อน ใครที่มาขวางทางสูงโดนเบียดตกไปหมดเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ศิษย์น้องอีกท่านตอบไว้ก็คือว่า บางครั้งเรามีความเป็นตัวของตัวเรามาก เพื่อตัวเรามากเกินไป จึงไม่สนใจฝ่ายอื่นหรือส่วนรวมว่าจะโดนผลกระทบอย่างไร  แต่จริงๆ แล้วศิษย์พี่ให้คำสรุปง่ายๆ เป็นเพราะว่าเรามีตัวตนจึงคับแคบ  แต่ถ้าเมื่อใดไม่มีตัวตนย่อมว่าง จริงไหม (จริง)  ดูง่ายๆ ที่ผืนหนึ่งพอมีคำว่า “บ้าน”  ที่เลยแคบลงเป็นบ้าน ใช่ไหม (ใช่)  พอมีคำว่า “ห้อง”  จากบ้านไปแคบลงไหม (แคบ)  จากที่นากว้างๆ กลายเป็นมีบ้าน จากมีบ้านกลายเป็นห้องเล็กๆ จากห้องก็มีมุมของตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  แล้วก็นั่งที่นั่งของตัวเอง  สังเกตไหมว่ามนุษย์เราเมื่อมีตัวตน เมื่อได้สิ่งของเราย่อมพยายามตีตัวเองให้แคบ แคบที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  จากที่กว้างกลายเป็นเหลือชีวิตอยู่แคบ มุมนี้มุมของฉัน มุมนี้มุมของศิษย์น้อง ห้ามใครมายุ่งพอเคลื่อนที่หน่อย ก็ว่าใครมายุ่งโต๊ะฉัน  ใครมายุ่งบ้านฉัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความคับแคบจึงบังเกิดเพราะว่ามีตัวตน มีของๆ ตน  เมื่อแคบแล้วจะมองโลกให้กว้าง จะมองคนให้ชัด ชัดไหมดวงตานี้  ไม่มีทางชัดหรอกศิษย์น้อง  แม้ใจจะบอกตอนต้นว่า เมื่อตามองต้องมองให้ชัด  แต่ถ้าตานี้มีตัวตน มีเจ้าของ  มองไม่ชัดหรอก  แม้หูจะได้ยิน  ก็ได้ยินได้จำกัด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอะไรที่ชอบหูจะฟัง อะไรที่ไม่ชอบก็ไม่ฟัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  และที่ชอบที่ชังนั้นยุติธรรมไหม ก็ไม่ค่อยยุติธรรมด้วยจริงหรือไม่ (จริง)  แม้จิตใจจะคับแคบก็ใช่ว่าจะกว้างขวางไม่ได้  แม้จิตใจที่คิดว่ากว้างขวาง ก็ใช่ว่าจะไม่คับแคบหรือคับแคบไม่เป็น มันไม่แน่ไม่นอนและเราจะทำอย่างไร ก็ต้องรู้จักควบคุมตัวเอง ควบคุมใจตัวนี้อย่ามีตัวตนมาก อย่ามีขอบเขต อย่ามีความเคยชินมาก  พอมีความเคยชินก็จะจำกัดตัวเองให้แคบลง  พอมีอารมณ์ยิ่งตีซอกความเคยชินให้แคบลงเข้าไปอีก ใช่ไหม (ใช่)  มีเคยชิน มีอารมณ์แล้วพอมีตัวตนเองก็ยิ่งเล็กลงไปอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นตัวตนทิ้ง ตัดอารมณ์ทิ้ง วางสิ่งต่างๆ ทิ้ง แล้วเราก็จะอยู่อย่างกว้างขวาง ได้ยินอย่างแจ่มชัด มองเห็นอย่างชัดเจน ง่ายไหม  ฉะนั้นแม้ว่าจะแคบตอนนี้แต่ต่อไปจะกว้างใหญ่ขึ้น  แม้ตอนนี้จะมีตัวตน มีความเป็นตัวของตัวเองมาก แต่ต่อไปจะละความเคยชิน ละอัตตาตัวตนให้เบาบางน้อยที่สุด ทำได้ไหม (ได้)  เมื่อสักครู่ศิษย์พี่บอกเรื่องใจกว้างแล้ว แต่ก็ยังมีปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่ศิษย์น้องจะเป็น นั่นก็คือกว้างแล้วแต่ไม่สามารถทำจิตใจให้ใสสงบและยุติธรรมได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรายอมรับไหมว่าเราเป็นคนที่แม้ตัวจะตรง ยืนตรงแต่ใจไม่ค่อยตรง เป็นไหม (เป็น)  อะไรที่รักมากเราก็จะเอียงมากหน่อย ใช่ไหม  อะไรที่เราเกลียด เราก็จะห่างให้มากใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราจะแบ่งให้ใคร บางครั้งตัดทีหนึ่ง เรายังรู้สึกว่าแบ่งได้ไม่เท่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะทำอย่างไรดี เราถึงจะสามารถขจัดใจที่ไม่ยุติธรรม เอนเอียงนี้ให้ตรงเที่ยงได้ นั่นก็คือลดความปรารถนาใคร่อยากให้น้อยลง  มนุษย์เราเพราะมีความปรารถนาใคร่อยาก ความปรารถนานี้จึงทำให้มนุษย์นั้นเอนเอียง ไม่สามารถตรงเที่ยงได้ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  เหมือนเวลาเราอยากได้เงิน เราก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เราได้เงิน ไม่ว่าจะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะคดโกงหรือฉ้อฉล ไม่ว่าจะแอบจิ๊กหรือว่าทำงาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงทำให้เรายิ่งมีความปรารถนาบ้าง จิตใจเรายิ่งยากจะตรง  เมื่อมีความปรารถนาใคร่อยากมาก จิตใจเรายากที่จะใสสงบนิ่ง  ฉะนั้นจึงต้องรู้จักพอใจในสิ่งที่ตนเองมีเฉพาะหน้า  น้ำไกลไม่สามารถดับไฟใกล้ได้ ความสุขที่ศิษย์น้องพยายามแสวงหามากมายเพื่อมาถมให้ตนเองมีนั้น บางครั้งไม่สามารถทำให้ตนเองสุขได้เท่ากับตอนนี้  ขณะนี้รู้จักปรับใจตัวเอง เอาชนะใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่างที่ศิษย์พี่บอก แม้จะหามามากมาย  แม้จะเอาเวลาทุ่มเพื่อให้ตนเองมีเงินมากมาย  แต่ถ้าศิษย์น้องไม่มีความสุข ที่วิ่งไปหาแม้ได้มาก็ยากสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความสุขในโลกนี้ไม่ใช่อยู่ที่การแสวงมีเงินทอง  แต่อยู่ที่ว่าเมื่อเจอกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง ลาภยศหรือเงินมีอยู่ในกระเป๋าเท่านี้ ศิษย์น้องสามารถสุขได้ไหมกับคนที่อยู่ตรงหน้าตรงนี้ ศิษย์น้องสามารถสานให้เกิดความสุขได้หรือไม่ ผูกบุญสัมพันธ์ให้เกิดความสุขได้หรือเปล่า ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ใช่อยู่ที่การไปมีคนไกลๆ แล้วเรามีความสุข  แต่อยู่ที่ว่าเราสุขกับคนใกล้ตัวได้หรือไม่  ถ้าศิษย์น้องคิดว่า ต้องไปบ้านโน้นแล้วมีความสุข ต้องเจอคนนี้แล้วเราจะมีความสุข เช่นนี้หาใช่ความสุขที่แท้จริงไม่  ความสุขที่แท้จริงก็คือ อยู่ที่ตัวเองสามารถสุขขณะนี้ได้หรือเปล่า  สุขในเสื้อผ้าแบบนี้ได้หรือไม่ สุขในของเท่านี้ได้หรือเปล่า จริงไหม  เมื่อศิษย์น้องพึงพอใจในสุขเท่านี้ เอาน้ำใกล้ดับไฟที่เกิดใกล้ๆ ตัว ย่อมทันกว่าเอาน้ำไกลมาดับไฟใกล้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นหากคิดได้เท่านี้ศิษย์น้องก็จะเป็นคนที่ไม่ปรารถนาอะไรเกินตัว  จะรู้จักพึงพอใจตามอัตตภาพ และความคดความลำเอียงก็จะเกิดได้น้อยที่สุด จริงหรือไม่ (จริง)  คือเราเริ่มต้นจากตนเอง ทำอย่างไรก็ได้ให้อยู่กับคนนี้แล้วมีความสุข ทั้งที่แต่ก่อนไม่รู้ว่าสุขกับคนนี้เป็นอย่างไร  ทำอย่างไรก็ได้ให้ลูกอมแม้จะเปรี้ยวก็สุขและสุขจริงๆ  นี่คือการสร้างความสุขให้กับตนเอง ทำอย่างไรก็ได้ให้นั่งฟังบนเก้าอี้นี้แล้วมีความสุข  ถ้าศิษย์น้องเริ่มต้นทำตรงนี้ได้ แม้จะอยู่โดยไม่มีเงินทอง ศิษย์น้องก็เป็นสุขได้ จริงหรือไม่ (จริง)  นี่คือการทำความสุขด้วยตนเองง่ายๆ เท่านี้เองไม่ยากเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่งแล้วติดใจไม่อยากลุก  นี่คือปัญหาอย่างหนึ่งของพวกเราใช่ไหม แต่ทำยากเหลือเกิน  กลายเป็นคนมีอัตตามีอารมณ์  มีความสุขต้องเป็นอย่างนั้น มีความสุขต้องเป็นอย่างนี้ ลุกยากไหม (ยาก)  ถ้าเราไม่รู้ว่าเก้าอี้นี้นั่งมากๆ แล้วเจ็บก้น  เราจะลุกไหม (ไม่ลุก)  เหมือนอารมณ์ความเคยชินที่ตัวศิษย์น้องมี หากเรายังพึงพอใจมาเป็นของฉัน ฉันเป็นอย่างนี้ ฉันเป็นอย่างนั้น ฉันยังไม่สุข  ศิษย์น้องจะลุกจากเก้าอี้ตัวนี้ได้อย่างอิสระไหม (ไม่)  ไม่อิสระลุกได้อย่างง่ายดายและองอาจไหม (ไม่)  จะสลัดก็ไม่หลุด จริงหรือไม่ ฉะนั้นอยากจะแก้ไขสิ่งใดก็ตามให้ตัวเองได้ดีขึ้น คือเมื่อรู้วิธีแล้วจะต้องตัดทันที ถ้าตัดทันทีไม่ได้พยายามมองให้เห็นข้อผิดพลาดที่ตัวเองมีเป็นอย่างไร  เราเป็นคนขี้โมโห เวลาโมโหแล้วหน้าอินทร์หน้าพรหมไม่ฟังทั้งนั้น มากี่คนฟาดเรียบ ใช่หรือไม่ พ่อแม่ไม่สนใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แฟนไม่เกี่ยวเพราะโมโห จริงไหมศิษย์น้องแล้วแก้ได้ไหม ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เหมือนเวลาศิษย์น้องหลงชอบเก้าอี้ตัวนี้ นั่งตรงนี้ก็ดี นั่งตรงนี้ก็สบาย มุมไหนก็ดูดีไปหมด ใช่ไหม  อย่างนี้จะลุกไหม ไม่ลุกหรอก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราจะลุกได้จากความหลง เราจะรู้ตื่นได้จากตัวตนนั่นก็คือ เราต้องย้อนมองตนก่อน  เห็นก่อนว่า เรามีอะไรผิด มีอะไรที่ไม่ดี จงมองอย่างแท้ มองอย่างกระจกย้อนตัวเอง แล้วเมื่อเราเห็นว่าอะไรดีไม่ดี เราจะสามารถยุติธรรมกับตัวตน  เมื่อตัวตนยุติธรรมจะกลัวอะไรกับคนอื่น เราต้องเที่ยงธรรมได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ง่ายไหมบางครั้งเราลืมไปเลยว่าเรานั่งอยู่ บางครั้งก็ลืมไปเลยว่า เรากำลังโกรธอยู่ เป็นไหม  บางทีกำลังโกรธอยู่ มีคนบอกว่า ต้องรีบขับรถไปทันทีมีคนเกิดอุบัติเหตุ เธอต้องไปช่วยเพราะเป็นลูกเธอ ก็รีบไปไม่ทันได้โกรธ เพราะลืมไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นไม่ยากเลยกับการกำจัดกิเลสในใจตน มองตัวตนให้แจ่มชัด  เมื่อมองได้แจ่มชัด คราวนี้ก็สบายแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  สบายอะไร ทำไมสบายใจ  เพราะว่าทำตัวเองได้เบาขึ้น ใช่ไหม (ใช่)  เราอยู่บนโลกนั้นเหมือนคนที่ตอนแรกมาตัวเปล่า นี่สวยเอามาแบกไว้ นี่ดีเอาเก็บไว้  นี่ก็น่าหยิบเอามาแปะไว้เต็มตัวไปหมดเลย  เวลาจะนอนทีนอนไม่หลับ เพราะว่าคิดโน่นคิดนี่ เต็มหัวสมองไปหมด จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นบางครั้งต้องรู้จักปล่อยบ้าง รู้จักตัดทิ้งบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์น้องต้องคิดไว้เสมอว่า ทุกๆ คนไม่ว่าหนุ่มหรือสาว อย่างไรก็ต้องแก่อายุมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากวันนี้ศิษย์น้องไม่ห่วง ไม่ดูแลผู้สูงอายุ ไม่ว่าเขาจะเป็นญาติพี่น้องเราหรือไม่ใช่ก็ตาม หากเราเห็นเขาเดือดร้อน จงยิ้มด้วยไมตรีแล้วยื่นมือช่วยเหลือ  เมื่อเวลาเราแก่เฒ่า ลูกหลานไม่อยู่ใกล้ คนอื่นก็จะช่วยเหลือเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราแก่เฒ่าจงหมั่นยิ้มไว้ เพราะรอยยิ้มของผู้เฒ่าผู้แก่นั้น น่าชิดใกล้ที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงจำไว้ว่า ไม่ว่าอายุมาก ความทุกข์ผ่านมากี่ร้อนกี่หนาวอย่างไรก็ตาม ต้องยิ้มให้ออก  เพราะยิ้มออกเมื่อไร จะเป็นจุดที่ทำให้ลูกหลานชิดใกล้ไม่หนีห่างเราไป  ทำไมเราแก่แล้วอายุมากลูกกลับหนีหลานกลับทิ้ง  เพราะเราทำหน้าบึ้งอย่างนี้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นยิ้มๆ ไว้ เป็นการเริ่มต้นที่ทำง่ายๆ แล้วลูกหลานก็จะมาหา  มากี่ทียายก็ยิ้ม ไม่ใช่มากี่ทียายก็ทำหน้าบึ้ง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  จงทำไว้จะได้อยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข
ตอนนี้ศิษย์น้องรู้จักควบคุมตัวเองแล้ว  ทำอย่างไรให้ตัวเองมีกิเลสน้อย ทำอย่างไรให้ตัวเองสามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างเป็นสุข นั่นคือ ต้องมีใจกว้างและบริสุทธิ์ยุติธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  คำว่า “ใจกว้าง”  จะทำให้เราอยู่กับเขาได้อย่างเป็นมิตร คำว่า “บริสุทธิ์ ยุติธรรม”  จะทำให้เราอยู่กับเขาได้อย่างยั่งยืนนาน ใช่ไหม (ใช่)  แต่ไม่เปิดใจกว้างก็ไม่มีใครอยู่กับเราได้แน่นอน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์น้องต้องมีสองอย่างนี้ แล้วศิษย์น้องก็รู้วิธีใช้สองอย่างนี้แล้ว เมื่อรู้แล้วกลับไปทำให้ได้ ใจกว้างทำอย่างไร (เสียสละ)  เป็นเรื่องอีกเรื่องหนึ่งที่ศิษย์พี่จะพูด  แต่ตอนแรกที่ศิษย์พี่บอกคือ การที่จะให้เราใจกว้างได้คือ การที่เรามีตัวตนน้อยที่สุด  เพราะเมื่อไหร่ที่มีตัวตนน้อยขอบเขตก็จะจำกัด ความเป็นตัวตนของเราก็จะไม่ถูกตีให้เป็นช่องแคบๆ แต่จะเปิดกว้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตต้องยุติธรรมและจะทำอย่างไรให้บริสุทธิ์ยุติธรรม (ทำใจเป็นกลาง)  นั่นก็คือต้องมีความปรารถนาให้น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะถ้าเราปรารถนามากเกินไป ความบริสุทธิ์ยุติธรรมย่อมมียาก มีความปรารถนาน้อยใจย่อมสงบ  เมื่อใจสงบมองสิ่งใดย่อมเที่ยงธรรม  แต่ถ้ามีความปรารถนาอยู่จะเที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  เป็นฝ่ายชายหนักก็ต้องไหว เบาต้องสู้  ไม่ใช่ว่าผู้หญิงรับต่อและอย่างนี้จะเป็นผู้นำใครได้และจงรู้ไว้ว่า ถ้าตนเองยังเอาไม่รอด ไปเกี่ยวเขาอีกคน จะไม่ยิ่งเพิ่มความทุกข์ไปอีกหรือ  คิดให้ดีนะศิษย์น้อง  ตัวเองเอาไม่รอด เธอมาช่วยแบกรับอย่างนี้หรือเรียกว่า ความรัก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นหากศิษย์น้องจะรัก เราต้องเป็นผู้ที่เสียสละด้วย รักแล้วไม่เป็นไรใช้ให้เธอมาเช็ดหน่อยก็ได้ ถึงจะเรียกว่ารักของเขาถูก รักเขาแล้วเธอมายืนต่อ ฉันไม่ไหวแล้วใครจะเลือกเรา
 เมื่อสักครู่นี้ศิษย์พี่บอกไว้ว่า จะพูดเรื่องความเสียสละ  ในโลกนี้แม้ตัวเองจะดีได้ หากว่าดีแล้วแต่ไม่มีจิตใจเสียสละ ช่วยเหลือใครก็ย่อมไม่มีประโยชน์  ฉะนั้นศิษย์น้องต้องรู้จักอุทิศเสียสละด้วย  ปัจจุบันนี้สังคมเต็มไปด้วยความเลวร้ายเห็นแก่ตัว สะสมแต่ให้ตัวเองมีมาก คนอื่นไม่สนใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนตัวเป็นใหญ่ ส่วนรวมเป็นรอง หาใช่ความคิดที่ถูกไม่  ความคิดที่ถูกต้องคือ ส่วนรวมเป็นใหญ่ ส่วนตัวเป็นรอง  ฉะนั้นหากเราสามารถขจัดและควบคุมวาง
มาตราฐานของตนเองได้ดีแล้ว  โอกาสที่เราจะออกไปช่วยใครย่อมเป็นไปได้ง่าย  ถ้าหากเราไปยื่นมือขอให้ใครทำตาม ก็ย่อมง่ายด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าจะทำอย่างไร การทำตัวทำให้ดีแล้ว แต่ใจยังใฝ่สูงตลอด ใจมิใฝ่น้อมต่ำก็ยากที่จะดึงใคร และโอบอุ้มช่วยเหลือใครได้  จิตใจที่น้อมต่ำเท่านั้น จึงจะสามารถไหลไปได้ทุกที่ และที่สกปรกก็ไม่รังเกียจที่จะไปช่วยเหลือ  นี่คือจิตใจที่สามารถอุทิศช่วยเหลือประชาได้  หลายต่อหลายคนใฝ่ที่ตัวเองจะต้องสูงจะต้องดี จะต้องมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ความสูงส่ง ความมีมาก ความมีดีจนไม่แบ่งปันให้กับใครนั้น จะไม่มีประโยชน์เลย  หากความสูงส่งความดีนั้นไม่เคยช่วยเหลือใคร  จะเป็นความดีแก่ตัวเอง ไม่สามารถเรียกความดีที่แท้จริงได้  ความดีที่แท้จริงมองจากตัวเองดีได้แล้ว ยังสามารถเอื้อและโอบอุ้มความทุกข์ยากของผองชน หรือหมู่ประชาที่อยู่รอบข้างได้  นั่นคือหากศิษย์น้องเริ่มรู้จักบำเพ็ญตน ขัดเกลาตน รักษาสิ่งที่ดี สิ่งใดไม่ดี ขจัดทิ้ง  เมื่อมีโอกาสนำความดีนำคุณธรรมไปฉุดช่วยประชา  ความทุกข์ดับได้ด้วยธรรมะ จิตใจที่วุ่นวายสับสนดับได้ด้วยความร่มเย็นแห่งธรรมะ ใครจะช่วย พุทธะไม่อาจช่วยได้ เพราะพุทธะไร้ซึ่งกายเนื้อแล้ว ก็ต้องรอพุทธะองค์น้อยๆ ที่จะพร้อมบำเพ็ญหรือไม่  หากท่านพร้อมบำเพ็ญ เข้าใจธรรมได้ระดับหนึ่ง จงรีบเอาธรรมนี้ไปช่วยเหลือคน เพราะยังมีชนอีกหมู่มากที่ยังต้องการความช่วยเหลือจากเรา  และยังมีคนอีกมากที่เป็นคนไม่รู้  แล้วต้องการจะรู้เรื่องธรรมะแห่งจิตเดิมแท้ของตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  มโนธรรมสำนึกในตัวตนเขาลืมไป จงเอาธรรมะนี้ไปให้เขารู้ และจงเอาไปให้คนที่รู้แล้วยังไม่ได้ปฏิบัติ ให้รีบปฏิบัติโดยที่ตัวเองเป็นคนปฏิบัติให้เขาเห็นก่อน ทำได้ไหม (ได้)  เมื่อไหร่ที่ท่านยอมนำธรรมไปฟื้นในสังคม มหาธรรมจะบังเกิดในโลกนี้  เมื่อไหร่ที่ท่านนำธรรมไปโปรดแผ่ช่วยเหลือคน จิตแห่งโพธิจะบังเกิดในใจตน  หวังว่าศิษย์น้องคงทำได้ไม่ยากเลย ทำตนเป็นคนดี วางรากฐานแห่งความดีให้มั่นคง บริสุทธิ์ ยุติธรรมและความบริสุทธิ์ ยุติธรรมในการกระทำของเรานี้จะนำพาเขาและชี้นำแสงสว่างให้เขา  โดยที่เราไม่ต้องพูดอะไรเลยก็เป็นได้ จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ด้วยจิตใจที่อ่อนน้อมถ่อมตน เมื่อดีแล้วอย่าได้เย่อหยิ่ง อย่าได้หยิ่งผยอง อย่าได้อวด  เมื่อดีแล้วอย่าได้ให้คนอื่นต้องเห็นคุณค่า ต้องมีผลตอบแทน เช่นนี้ยังไม่ใช่ดีที่แท้จริง  ไม่อาจดีบริสุทธิ์  ดีที่บริสุทธิ์ก็คือ อุทิศให้โดยไม่หวังผล  ทำให้โดยไม่รอผลตอบแทนให้เขาไปเท่าที่จะให้ได้ แม้เขาไม่สำนึกรู้ แม้เขามองไม่เห็น แม้เขาไม่เห็นความสำคัญ จนกระทั่งเราให้จนจบแล้ว เขากลับเพิ่งนึกรู้ นั่นแหละเรียกว่า อุทิศเสียสละด้วยใจจริง  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ศิษย์น้องทุกคนทำได้ แต่ต้องเอาชนะใจตนเองให้ได้ เอาชนะอุปสรรคให้ได้  เพราะบ่อยครั้งเมื่อเราตั้งใจจะทำดี ตั้งใจจะบำเพ็ญตน เรามักเจออุปสรรคความยากลำบาก  แต่เมื่อไหร่ที่เจออุปสรรค จงถืออุปสรรคและความยากลำบากนั้นเป็นเหมือนเกราะที่ทำให้เรายิ่งเข้มแข็ง  เป็นเหมือนด่านที่จะทำให้เรามั่นคง อย่าได้ยอมแพ้ ทำได้ไหม (ได้)  ทำอะไร
สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้หัวหน้าชั้นตอบ  (ทำจิตใจให้เป็นกลางและรู้จักช่วยเหลือผู้อื่น)  บำเพ็ญธรรมคือ เริ่มที่ตนเองและนำไปสู่ผองชน  เริ่มต้นทำดีก่อน อะไรที่ไม่ดีตัดทิ้ง ชะล้างทิ้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อตัวเองทำดีได้ ท่ามกลางสิ่งที่ตนเองทำดีนั้น อาจจะมีคนอยากจะเรียนรู้ อาจจะมีคนแอบฝึกตามก็เป็นได้  เมื่อเราทำดีมีคนแอบฝึกตาม เราก็ได้บุญโดยไม่รู้ตัว จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเมื่อทำจงอย่ากลัว  เมื่อกลัวจงทำ เมื่อกลัวก็ต้องทำ เมื่อทำก็อย่ากลัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ผิด
แล้วจะรู้หรือว่าอะไรถูก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ป่วยแล้วจะรู้หรือว่าต้องเข้มแข็ง ไม่ทุกข์หรือจะรู้ว่าสุข ไม่รู้ว่าอะไรเที่ยงแท้หรือจะรู้ว่าอะไรเที่ยงแท้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
“ ขยัน ปลง ตื่น รู้”  สี่คำนี้จงจำไว้ คนเราไม่ว่าจะเป็นคนยากดีมีจน หากขยันไม่มีวันอดตาย หากขยันไม่มีคำว่า “ลำบาก”  ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากขยันไม่มีคำว่า “ไม่มีงานทำ” จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นขยันต้องจำไว้ศิษย์น้อง บำเพ็ญธรรมก็ต้องขยัน ทำงานก็ต้องรู้จักคำว่า “ขยัน”  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ขยันก็ต้องรู้จักพอบ้าง ไม่ใช่ขยันทำงานแล้วก็ล้มตาย ชีวิตนี้มีค่าแค่งานเท่านั้นเอง  ต้องรู้จักทำเพื่อคนอื่นด้วย
“ปลง”  อีกคำหนึ่งที่ต้องรู้ ชีวิตนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน  วันนี้เห็นท่าน วันนี้เห็นของ วันนี้เห็นเรา  แต่พรุ่งนี้อาจจะไม่เห็นทั้งท่าน ไม่เห็นทั้งของและไม่เห็นทั้งตัวเรา  วันนี้มั่นใจ พรุ่งนี้อาจจะไหวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้เป็นคนดี พรุ่งนี้อาจจะเป็นคน (เลว)  ก็ต้องดียิ่งขึ้น  ฉะนั้นต้องรู้จักปลงด้วย  วันนี้อาจจะยิ้มแย้มแจ่มใส พรุ่งนี้อาจจะมีน้ำตา แต่ไม่ต้องทุกข์เกินไป  ปัญหาเกิดก็ต้องรีบแก้ มองให้แจ่มชัด ใช่หรือไม่ (ใช่)
อีกคำหนึ่งก็คือ “ตื่น  รู้”  จะรู้ได้ก็ต่อเมื่อตื่น จะตื่นได้ก็ต่อเมื่อหลับใหล ถ้าไม่หลับไม่มีวันตื่น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่หลับตื่นนี้ไม่ใช่แค่ความหมาย เปิดตา ปิดตา  แต่หมายถึง ตื่นรู้จักชีวิตที่แท้จริง  ตื่นแล้วซึ่งชีวิต ไม่หลงงมงายในโลกนี้อีกแล้ว  เข้าใจชีวิต ยึดกุมชีวิตให้ถูกทางและนำพาไปให้สว่างไสว ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้จักชีวิตที่แท้จริงแล้วว่า ชีวิตเกิดมาเพื่ออะไร ไม่ใช่มืดมามืดไป  แต่มืดมาแล้วต้องสว่างไปให้ได้  เมื่อเกิดเป็นคนแล้วต้องพยายามเป็นพุทธะที่ดีให้จงได้ เมื่อเคยเอาแต่แสวงหาเพื่อตนเองแล้วตอนนี้ต้องตื่นแล้ว ต้องรู้จักช่วยคนบ้าง คือการเปิดคุณค่าของตัวเองให้โลกได้ประจักษ์ว่า เราศิษย์น้องของศิษย์พี่ก็เป็นคนดีในสังคมได้เหมือนกัน จะเป็นพุทธะที่องอาจได้ไม่แพ้กัน ใช่ไหม (ใช่)  จงทำให้ได้ แล้วพุทธะน้อยๆ ก็จะมีเต็มสังคม  ไม่ใช่มารน้อยๆ เต็มไปหมด ใช่หรือเปล่า (ใช่)
“น่าดูตามจับมาไม่หมด  น่าฟังอดฟังไม่โศกเศร้า”  ฉะนั้นต้องรู้จักแล้วว่าอะไรน่าดู  แม้จะจับไม่ได้หมดก็ปลงได้ วางได้ เข้าใจแล้วอย่าโลภเกินไป มองมากๆ เมื่อยแสบตา เหมือนดูทีวีทั้งวันทั้งคืน ไม่เคยเห็นมีคนไหนมานั่งดูพุทธะ  เช้าก็ดู กลางคืนก็ดู เห็นทีวีก็ดูตลอด ดูแล้วนำไปสอนชีวิตไหม ดูแล้วก็ขำ เวลาดูแล้วเราต้องนำกลับมาดูในชีวิตเราด้วยว่า เราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เป็นแบบพ่อแม่ที่ทำให้ต้องเสียใจไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเห็นเวลาปลาถูกเชือด วัวถูกฆ่า น่าสงสาร ดูแล้วน้ำตาไหล แล้วก็กลับไปกินต่อ ดูทำไมจริงหรือเปล่า (จริง)  มันเจ็บน่าสงสาร แต่อร่อยเหลือเกินต้องไปกินเนื้อย่าง ต้องไปกินหมูปิ้ง  ดูทำไมศิษย์น้อง  วันนี้มีบุญเขายังไม่มาทำร้าย แต่ต่อไปทำกับใครไว้จงจำไว้ศิษย์น้อง ผลย่อมกลับ อย่าได้สร้างกรรม จงรู้จักสร้างบุญ  วันนี้ผลยังไม่เห็น แต่ต่อไปผลเห็นตอนที่ไม่มีร่างกาย เจ็บหนักยิ่งกว่า  ตอนนี้ยังมีชีวิตมีร่างกาย มีโอกาสให้แก้ไขความผิดพลาดจงรีบแก้ อย่าได้สะสมสิ่งผิดไว้  ถ้าหมดชีวิตศิษย์น้องร้องขอพุทธะ วิงวอนพุทธะก็ช่วยไม่ได้  เพราะตอนศิษย์น้องมีชีวิตรู้ว่าผิด ทำไมไม่รีบแก้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  จงสำนึกไว้อะไรไม่ดีจงอย่าทำ  เพราะเมื่อไหร่หมดชีวิตไปแล้ว ร้องขอใครๆ ก็ช่วยไม่ได้ ฉะนั้นอย่าได้ทำร้ายเบียดเบียนใคร  สังเกตไหมว่า เวลาเราพูดอะไรนั้น ถ้าสังเกตให้ดีจะแสดงถึงความเป็นตัวของตัวเองมาก ใช่หรือไม่  ฉะนั้นเวลาศิษย์น้องจะพูดอะไรต้องดูด้วยว่า เมื่อพูดไปแล้วมีความเป็นตัวของตัวเองสูงหรือเปล่า เมื่อแสดงความคิดเห็นออกไปแล้ว มีความเป็นขอบเขตของตัวเองมากหรือไม่ ใช่ไหม (ใช่)  นี่เป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเวลาคุยกับเขา ทำไมคุยกันไม่รู้เรื่อง เพราะเราก็มีแบบของเรา เขาก็มีแบบของเขา  ฉะนั้นเวลาจะพูดอะไร พยายามคิดไตร่ตรองให้ดีก่อนว่า พูดแล้วเป็นกลางหรือเปล่า
คนที่มาไม่ครบไม่ให้ลูกอมดีกว่า ให้ดีไหม  มาให้ครบได้ไหม  จะพยายามแค่ตอบว่า จะพยายามศิษย์พี่ก็ให้แล้ว  เพราะศิษย์พี่ก็รู้ว่า บางคนมีธุระ  แต่ธุระบางครั้ง ลองคิดให้ดีนะว่า เพื่อธรรมะแล้วยอมบ้างไม่ได้หรือ ใช่หรือไม่  หมดเวลาศิษย์พี่แล้ว
กลอนนี้ขอให้ดูให้ดีๆ ว่ายังมีความหมายอะไรแฝงอยู่ข้างใน  แต่ความหมายรวมคงไม่สามารถพูดได้หมดวันนี้แน่  แต่ก็อยากบอกให้รู้ไว้ว่า เมื่อได้ไปแล้วจงเอาไปอ่านให้ดีๆ อย่ามองแค่ผ่านๆ จงพิศทีละคำ  ในความหมายแต่ละคำที่ศิษย์พี่ให้นั้นล้วนนำไปสอนใจได้ ธรรมะไม่ใช่มีอะไรอย่างที่ศิษย์น้องคิด ยังมีอะไรมากมายกว่าที่ศิษย์น้องคิดนึกถึงอีก  จงศึกษาให้ดีและตั้งใจบำเพ็ญให้ดี  จงตั้งใจบำเพ็ญให้มั่นคง อย่าหวั่นไหว อย่ายอมแพ้กับอุปสรรค  เป็นคนดีจะไม่กลัวอะไรกับความชั่วร้าย ใช่หรือเปล่า (ใช่)


วันอาทิตย์ที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ พุทธสถานสกุลหง จ.ชัยนาท
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

คนฉลาดฉลาดจริงมักแกล้งโง่ มิอวดโอ้ทำเป็นเก่งทำเป็นรู้
ส่วนคนโง่ชอบอวดเก่งทำเป็นรู้ พินิจดูศิษย์รักอยากเป็นคนไหน
เราคือ
อรหันต์อนุเคราะห์ชาวโลก รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนบูรพา    แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนหลังจากวันนี้จะบำเพ็ญธรรมหรือเปล่า
ในวันนี้มาพบศิษย์ด้วยคิดถึง ใจเป็นหนึ่งกันหรือยังศิษย์ทั้งหลาย
การบำเพ็ญต้องลงแรงเสมอต้นปลาย ไม่งมงายติดรูปลักษณ์ยากบำเพ็ญ
จิตใจดีมองไปทางไหนก็งามดี ความตระหนี่จงให้ทานออกมาให้เห็น
จะแก้ไขทุกผู้ทุกนามไม่เว้น ใจโอนเอนก็แก้ด้วยจิตนิ่งพอ
ศิษย์ทุกคนคือสายธารในใจข้า หวังมุ่งหน้าศิษย์ก็อย่ามัวแต่ท้อ
ทำสิ่งใดก็อย่าเอาแต่รีรอ กรรมใดก่อย่อมตกผลในสักวัน
จงรักใคร่กลมเกลียวทางตันกลาย ทางราบรื่นงามดุจทางสู่สวรรค์
ขอศรัทธามีเมตตาเฝ้าแบ่งปัน และผลักดันตนเองไม่ลืมตน
ในวันนี้ออกแรงนิดผลศุกล ธรรมแยบยลงอกงามสู่ทุกแห่งหน
รอสักวันศิษย์ข้าคืนเบื้องบน อย่าอับจนอยู่บนแดนโลกีย์
ขอศิษย์ข้าเลือกทำสิ่งดีเถิด คนประเสริฐเพราะความดีดั่งฉะนี้
บำเพ็ญธรรมผ่านไปนานหลายปี ขจัดร้ายสะสมดีในเร็ววัน
ฮา ฮา หยุด


สายธารไหลรวมเป็นหนึ่ง  เข้าถึงเห็นความสำคัญ  ฟากฟ้านั้นดาวล้อมจันทร์ชวนมอง  หลายคนร่วมงานกันยาก  มากคนมิพ้นปรองดอง  บำเพ็ญยึดตามสายทองพร้อมหน้า
* อยู่ไปอย่างไร้ความหวัง  จริงจังความทุกข์จึงเสียน้ำตา  รุดหน้าแล้วกลัวอะไร  สายลมซ่อนแรงมามอบ  ปลอบขวัญผองคนท้อใจ  ใจคือพลังขุมเดียวรู้ตื่น  (ซ้ำ * )
เพลง : สายธาร
ทำนองเพลง : สายทิพย์


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

พ่อแม่ให้กำเนิดมาเป็นเรื่องยากลำบาก เราเกิดมาได้เป็นมนุษย์จนมีโอกาสได้รับธรรมะก็ถือว่าเป็นบุญอย่างยิ่ง อาจารย์อยากให้ศิษย์พินิจพิจารณาชีวิตของตัวเองให้ดีๆ ว่าชีวิตของเราที่ผ่านมา เราทำให้ชีวิตของเรามีค่าถึงที่สุดหรือยัง ไหนใครคิดว่าทำให้ชีวิตของตัวเองมีค่าจนถึงที่สุดแล้ว แล้วศิษย์คิดว่าศิษย์มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร มีชีวิตอยู่เพื่อใช้กรรมใช่หรือเปล่า ศิษย์ใช้กรรมแล้วศิษย์ไม่คิดจะสร้างบุญ มีชีวิตเพื่อใช้กรรมเท่านั้นเองหรือ แค่ชดใช้กรรมก็เหมือนก้มหน้ารับกรรมใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนคนที่ไม่กล้าฮึดขึ้นสู้เลยใช่หรือไม่ แต่ชีวิตของเรามีความหมายมากกว่านั้นใช่หรือเปล่า (ใช่)  อาจารย์บอกให้ต่อให้ไม่อยากใช้กรรมก็ต้องใช้ กรรมอย่างไรก็ต้องใช้ เหมือนเราติดหนี้เขามาต้องใช้หรือไม่ (ต้อง)  ตอนนี้ต่อให้เราไม่เป็นฝ่ายเอาเงินไปให้เจ้าหนี้ เจ้าหนี้ก็มาทวงเราหรือเปล่า ฉะนั้นใช้กรรมนั้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้อยู่แล้ว แต่ว่าจุดมุ่งหมายปณิธานในชีวิตของเรานั้นชีวิตนี้อยู่เพื่ออะไร เกิดมาเพื่ออะไร (เพื่อทำให้ดีที่สุด, หาความสงบ)  หาอย่างไร ความสงบ (มีจิตใจที่สะอาดและเผื่อแผ่)  ใช่หรือเปล่า แน่ใจไหมตอบมาและเจอหรือยัง (เจอบ้าง)  แสดงว่าความสงบนี้ไม่ได้หากันง่ายๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และจะพยายามต่อไปไหม ความสงบหาได้ที่ภายในตัวเอง ไม่สามารถหาได้จากภายนอก การทำความดีทำให้จิตใจสงบลง สงบลงแค่ไหน (บางส่วน)  และบางส่วนที่เหลือ (ภายในภาคหน้า)  และไม่คิดว่าจุดหมายที่กว้างไกลก็เจออยู่แล้วหรือ (ยังไม่ถึง)
ชีวิตของคนก็เหมือนกับสิ่งของสิ่งหนึ่งที่คับแคบ ขวดน้ำขวดหนึ่งที่บรรจุน้ำลงไป น้ำอยู่ในขวดนั้นคับแคบไหม (แคบ)  ตอนนี้เราก็จำกัดชีวิตของเราอยู่นี้ แต่หากว่าเราเปิดขวดน้ำออกมาและเทน้ำลงไป น้ำนี้กว้างไม่กว้าง จะเทออกไปหมดไม่หมด (หมด, ไม่หมด)  เผอิญขวดน้ำของศิษย์นั้นไม่ใช่แจกันของพระกวนอิม เทออกไปหมดไหม (หมด) เพราะขวดน้ำของศิษย์ไม่ใช่ขวดน้ำวิเศษ เพราะฉะนั้นเทน้ำออกไปก็ต้องหมดเป็นธรรมดาถูกหรือเปล่า (ถูก)  แต่ว่าน้ำของเราแม้ว่าจะหมดไป แต่หากว่าหมดไปกับการรดต้นไม้ต้นหนึ่งหรือว่าเททิ้งไปให้ความชุ่มชื่นกับพื้น อย่างนั้นถือว่าน้ำขวดนี้มีคุณค่าหรือไม่ (มี)  น้ำขวดนี้ก็คือชีวิตของเรา แม้ว่าเราจะหมดไปกับการทำสิ่งใดที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีคุณค่าสำหรับคนอื่น แต่ถามตัวศิษย์เองว่าสิ่งนี้มีคุณค่ากับตัวเองไหม ถ้ามีถือว่าเราเกิดมานั้นใช้ได้หรือยัง ถือว่าเราเกิดมาอย่างมีคุณค่าหรือยัง (มี)  เพราะฉะนั้นตอนนี้ชีวิตของเราอยู่ที่ว่าเราจะเปิดขวดน้ำของเราหรือเปล่า ศิษย์มีขวดน้ำอยู่ในมือหนึ่งขวด ขวดน้ำนี้ก็คือการที่เราสามารถเปิดจิตใจของเราออกมาช่วยคน ถ้าหากว่าเราสามารถเปิดจิตใจของเราออก ปราศจากความคับแคบที่จำกัดนี้ ถ้าสามารถทำได้ชีวิตเราก็มีคุณค่าและกว้างไกลขึ้นทันทีไม่ต้องรอภายภาคหน้าเข้าใจไหม (เข้าใจ)  และคนอื่นอยู่เพื่ออะไร (สร้างบุญประกอบความดี)  ทำไมถึงเชื่อเขา (เชื่อเพราะทำบุญแล้วได้ดี)  และทำได้เยอะหรือยัง (คิดว่าต่อไปคงจะทำได้เยอะ)  ทุกคนไม่มีใครตอบอาจารย์ได้อย่างหนักแน่นเฉียบขาดเลย ทุกคนก็ตอบว่าวันหนึ่งอนาคตข้างหน้า หรือว่าอะไรสักอย่างหนึ่งที่ศิษย์นั้นยังไปไม่ถึง ส่วนวันนี้ที่ถึงแล้วมีแต่ยังทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ แล้วเราจะยอมแพ้ให้กับวันนี้ของเราไหม (ไม่ยอม)  และเราต้องทำอย่างไร อยู่เฉยๆ ต่อไปหรือเปล่า ต้องสู้ต่อไปใช่หรือเปล่า (ใช่)  สู้ด้วยอะไร จับเสือมือเปล่าได้ไหม (ไม่ได้)  การจับเสือมือเปล่านั้นย่อมไม่ได้ ย่อมต้องมีอะไรสักอย่างหนึ่งที่มาช่วยให้ศิษย์เดินหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่นใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่สิ่งนั้นๆ หาได้จากภายนอกไหม (ไม่ได้)  หาไม่ได้จากภายนอก (หาได้จากภายใน)  คือหาได้จากภายในของศิษย์เอง เสือตัวนั้นก็อยู่ภายในใจของศิษย์ ปัญหาตลอดมาของคนที่จะทำความดีไม่ใช่ว่าเราไม่มีที่ให้ลงในการทำความดีของเรา แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าใจของเรานั้นไม่ได้ถูกฝึกฝนมาเพื่อที่จะไปทำความดีอย่างแท้จริงใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางทีก็ติดอคติบ้าง บางทีก็ติดความลำเอียงบ้าง บางทีก็ติดอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่น่าจะติดเลย อาจารย์พูดคร่าวๆ อย่างนี้ศิษย์คงเข้าใจดี เพราะว่าในจิตใจของเราทุกคนนั้น ศิษย์คงเป็นผู้รู้จักตัวเองดีที่สุด  ในขณะเดียวกันเมื่อเสืออยู่ในใจ อาวุธก็อยู่ในใจ อุปสรรคก็อยู่ในใจ และทำอย่างไรดี เราจึงต้องมาขัดเกลาจิตใจของเราด้วย อยากจะทำดีก็คงจะไปโทษคนอื่นว่าทำผิด เราเลยไม่ยอมทำดีไม่ได้ เห็นคนอื่นทำผิดแล้วเราบอกว่าคนนั้นทำผิดและเราก็อยากจะทำดี แต่เราเห็นคนนั้นทำผิดอยู่เราเลยไม่ทำ โทษคนอื่นได้หรือไม่ (ไม่ได้)  มีแต่ว่าต้องมาขัดเกลาจิตใจตัวเอง มาซ่อมแซมจิตใจตัวเอง และสิ่งนี้เรียกว่าการบำเพ็ญธรรม มาจับเสือในใจตัวเอง อาวุธ และอุปสรรคในใจตัวเอง เรียกว่าการบำเพ็ญธรรม ฉะนั้นการบำเพ็ญนั้นแม้ว่าในวันนี้มีสถานธรรม มีเรือธรรมะให้ศิษย์มารวมตัวกัน แต่การบำเพ็ญตน ย่อมขึ้นอยู่กับตัวเองเท่านั้น ถ้าหากว่าเราทำได้เราก็ถือว่าเราเป็นผู้ชนะตัวเอง จับเสือในใจตัวเองได้สำเร็จ แต่หากว่าเราทำไม่ได้เป็นอย่างไร ศิษย์ยังอยู่ในเรือธรรมะลำนี้หรือไม่ ถามว่าคนที่อยู่รอบๆ นี้จับเสือในใจตัวเองได้สำเร็จหรือยัง (ยัง)  มีแต่จับได้แต่ขนหนึ่งเส้นใช่หรือเปล่า (ใช่)  มีแต่จับได้กิเลสเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง ไม่มีใครจับเสือได้ทั้งตัวเลยใช่หรือเปล่า  ยังไม่มีใครสังหารเสือได้สำเร็จเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ทุกคนก็อยู่ที่นี่ และทุกคนก็เป็นศิษย์อาจารย์ ฉะนั้นการอยู่ร่วมกันนั้นก็เป็นเรื่องที่ลำบากไหม (ไม่ลำบาก)  อยู่ที่นี่อยู่ร่วมกัน ถึงแม้ว่าการอยู่ร่วมกันนั้นอาจจะมีจุดๆ ๆ เยอะแยะไปหมดเลย แต่ว่าทุกๆ คนนั้นเป็นศิษย์อาจารย์ บำเพ็ญธรรมะใครเขาว่ายากเราบอกว่าง่าย อยู่ร่วมกันลำบากไหมเราบอกว่าไม่ลำบาก นั่นจึงเป็นการอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นสุขจริงๆ
มนุษย์นั้นมีวิชาสะกดจิต ตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์ก็เหมือนกับกำลังสะกดจิตตัวเอง การสะกดจิตอันนี้ไม่มีข้อเสียเพราะอะไร เพราะเราสะกดจิตตัวเองว่าการบำเพ็ญธรรมะไม่ลำบาก แน่นอนวันนี้การสะกดจิตคือการหลอกตัวเองอยู่ในกลายๆ แต่ในวันหนึ่งเมื่อศิษย์ผ่านอุปสรรคไปแล้ว การสะกดจิตอันนี้ก็คือวิธีการวิธีเดียวเท่านั้นเองที่ศิษย์ได้ใช้ผ่านอุปสรรคนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยากจะใช้วิธีการอะไรผ่านอุปสรรคของตัวเองคงไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาถกเถียง บางทีเราก็เห็นคนอื่นทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ซึ่งเราไม่เข้าใจความคิดของเขาเลย แต่อาจารย์จะบอกให้ศิษย์ไม่ต้องเข้าใจเขา ขอให้เขานั้นเข้าใจตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์จึงเรียกร้องให้ศิษย์บำเพ็ญตัวเอง เข้าใจและรู้จักตัวเอง และทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกที่สุด โดยผ่านมโนธรรมสำนึกเป็นสิ่งกลั่นกรอง กลั่นกรองให้เราเป็นคนที่สมบูรณ์และเป็นคนอย่างแท้จริง หากศิษย์เปรียบเสมือนน้ำสายหนึ่ง น้ำอันนี้ก็อาจจะมีทั้งตะกอนมีทั้งตะใคร่มีหลายสิ่งหลายอย่าง แน่นอนน้ำใครก็น้ำมันใช่หรือเปล่า ต่างคนก็ต่างกรองใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ศิษย์มัวแต่ไปมองข้างๆ ว่าเขากรองอย่างไร ใสหรือยังแล้วของตัวเองล่ะ ของตัวเองน้ำที่หลุดการกรองไปก็เยอะแยะใช่หรือเปล่า (ใช่)  สมมติว่ามือข้างหนึ่งของศิษย์ถือตะแกรงที่กรองน้ำ มือขวานี้สมมติว่าศิษย์เทน้ำลงไปในนี้ แล้วตาของศิษย์ไปมองว่าเพื่อนของศิษย์กรองดีหรือยัง ของตัวเองหลุดไปหรือยัง (หลุดไปแล้ว)  เรามั่นใจว่าไม่หลุดแล้วคนข้างๆ เห็นว่าหลุดหรือไม่หลุด (หลุด)  แต่ว่าเราเห็นตัวเองไหม (ไม่เห็น) เห็นแต่ของคนอื่น วันนี้ศิษย์ของอาจารย์ก็บำเพ็ญเป็นอย่างนี้เห็นคนอื่นชัดกว่าตัวเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  เห็นตัวเองจะชัดกว่าตัวเองใช่หรือเปล่า เห็นตัวเองจะชัดมากๆ ก็ตอนเห็นตัวเองในกระจกใช่หรือไม่ (ใช่)  มีประโยชน์ไหมทำอย่างไรดี (มองตัวเองก่อนที่จะมองคนอื่น)  สมมติว่าศิษย์เห็นคนคนนี้ทำตัวได้ยอดเยี่ยม สมมติว่าตอนนี้เขายืนตรงอยู่เฉยๆ แต่ภายในจิตใจของเขากำลังกรองน้ำของตัวเองอยู่ ถ้ากำลังกรองน้ำของตัวเองดีทีเดียว ศิษย์คิดว่าถ้าเขาหันมามองคนอื่นเขาก็จะเห็นไม่ชัดใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่มองแล้วก็บอกว่าฉันดีฉันเลิศฉันประเสริฐแล้ว มองแต่ว่าฉันผิดตรงไหนแล้วฉันจะแก้ตรงไหน พอเวลาคนอื่นมองไปคนนี้เขาไม่ได้สนใจมองคนอื่นเลยนะ ศิษย์มองเขาว่าเป็นแบบอย่างที่ดีไหม (ดี)  ยืนตัวตรงเลยดีหรือเปล่า ศิษย์อยากเอาอย่างเขาไหม (อยาก)  โดยที่เขาไม่ได้ใช้ตามามองคนอื่นเลย ไม่มองใครเลยยิ่งไม่มองก็ยิ่งไม่เห็นว่าใครผิดใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วก็ดีกับคนทุกคนเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเขาใช้อะไรมาสอนเรา เขาใช้ทั้งตัวและหัวใจนั้นมาสอนศิษย์ โดยที่เขาไม่ต้องขยับไปทำอะไรเลย แต่ว่าศิษย์ก็สามารถรับรู้ได้ด้วยตัวเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  นั่นเป็นวิธีการสอนธรรมะที่ดีไหม ไม่ต้องใช้ปากพูด เพราะว่าคนเวลาพูดมากเกินไปมักจะลืมสำรวมปากของตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ว่าจะพูดเก่งแค่ไหนแต่หากว่าพูดแล้วไม่สำรวมคนชอบหรือไม่ชอบ (ไม่ชอบ)
การบำเพ็ญธรรมก็เป็นเรื่องง่ายๆ เป็นเรื่องมองตัวเองทั้งนั้นเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ปกติเรามองตัวเองหรือมองคนอื่น (มองคนอื่น)  อย่าว่าแต่ในการบำเพ็ญธรรมเลยนะในบ้านเราก็เหมือนกัน ในครอบครัวเรา เพื่อนบ้านเราก็เหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันอยู่บ้านติดกันก็ยังไม่วายมองกันใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าศิษย์จะใช้สายตาออกไปมอง ในยามที่ศิษย์ต้องใช้สายตาออกไปมอง อาจารย์บอกศิษย์ยามที่เรามองคนอื่น แสดงว่าเราคิดที่จะช่วยคนอื่น ยามนั้นจึงมองเขา มองแล้วให้ช่วยจริงๆ อย่างที่ใจบอกว่าให้ช่วย ไม่ใช่ว่ามองแต่ตามืออย่าต้อง เดี๋ยวของจะเสียใช่หรือเปล่า ไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ความคิดที่ไม่ดีในจิตใจของเรานั้นออกหมดแล้ว  เราอยากจะช่วยผู้อื่น ให้เราเริ่มมองคนอื่น  เมื่อใจของเรานิ่งเป็นพุทธะมากพอ  ยามนั้นต่อให้ศิษย์มองคนอื่นก็ไม่หวั่นไหว  ไม่เห็นข้อผิดของคนอื่นจนเอามานอนคิด นอนไม่หลับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ต้องวิตกว่าคนอื่นจะทำความเดือดร้อนมาให้ตนเองอย่างไร  ดังนั้นยามนั้นจึงมองผู้อื่น  มองเพื่อช่วย ฟังเพื่อช่วย  ไม่ใช่มองเพื่อที่จะติ  ไม่ใช่ฟังเพื่อจะเก็บบันทึกไว้ในใจให้เรียบร้อย  เหมือนกับคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  พอแค่ศิษย์มองมันก็บันทึกไว้ในหัวเสร็จเรียบร้อย ใช่หรือไม่  แต่บันทึกเข้าไปล้างอย่างไร  คอมพิวเตอร์เครื่องนี้หาวิธีล้างเจอไหม  คนที่บอกว่าขี้ลืมก็ขี้ลืมอยู่จริง  แต่เรื่องไม่ดีคนอื่นนี่ลืมไม่ลง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คอมพิวเตอร์บันทึกเคาะๆ เข้าไปมันก็บันทึกได้  ล้างเคาะๆ เดี๋ยวมันก็ล้างให้  แต่หัวศิษย์ไม่ใช่คอมพิวเตอร์จริง  มันเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีหน่วยความจำที่ไม่สิ้นสุด  เพราะเวลาจำเข้าไปมักจะลืมยากเหลือเกิน  โดยเฉพาะความผิดของผู้อื่น ใช่หรือเปล่า (ใช่)   เรื่องที่ควรจำก็จำไม่ได้  เรื่องที่ไม่ควรจำก็จำได้หมดอย่างนั้น ใช่ไหม (ใช่)  เสร็จแล้วซิ  อย่างนี้ต้องให้อาจารย์มาล้างสมอง  กลัวไหมอาจารย์จี้กงมาล้างสมอง (ไม่กลัว)  บางคนก็กลัวเหลือเกิน  มารับธรรมะ มาปฏิบัติธรรมนั้นคือ โดนล้างสมอง  แต่จริงๆ แล้วอาจารย์คิดว่าสมองศิษย์ล้างสักหน่อยดีไหม  แต่อาจารย์ยังล้างไม่สำเร็จไม่รู้อย่างไร ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เอามาให้ล้างสักหน่อยดีไหม ดีไม่ดี (ดี)  ทำไมพูดไม่เหมือนคนข้างนอก  โดยทั่วไปบอกว่าโดนล้างสมองไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)  แล้วศิษย์ของอาจารย์คิดว่าล้างสมองดีไหม  ล้างไม่ดีทิ้งไปเหลือแต่ความดีกลับเข้ามา ดีหรือไม่ (ดี)  ล้างสำเร็จหรือไม่ล้าง (ล้าง)  ล้างให้สำเร็จนะ  เวลาสระผมก็คิดไปด้วย  ฉันจะสระสิ่งที่ไม่ดีออกไป  แม้ตอนนี้จะสระได้แต่ภายนอก  แต่วันหนึ่งคงสระได้ถึงข้างใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาอาบน้ำก็คิดหน่อย  ฉันจะล้างสิ่งที่ไม่ดีออกไปจากตัวฉัน  แต่วันนี้ล้างได้แต่ข้างนอก  สักวันหนึ่งก็คงจะล้างไปถึงข้างใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาโดนคนอื่นทำให้เจ็บใจ  วันนี้ฉันเจ็บใจฉัน  เดี๋ยวสักครู่ฉันจะใช้ธรรมะเป็นยาสมานแผล  ใจฉันจะไม่เจ็บอีกต่อไป  เพราะว่าใจฉันนั้นสะอาดดีแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)   ทำได้หรือเปล่า (ได้)  ยากไม่ยากนักเรียน  (ไม่ยาก)
“คนฉลาดฉลาดจริงมักแกล้งโง่  มิอวดโอ้ทำเป็นเก่งทำเป็นรู้”  คนฉลาดทุกคนในที่นี้เป็นคนฉลาด ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ที่นี่สงสัยจะไม่มีใครให้อวดใหญ่อวดโต  "ส่วนคนโง่ชอบอวดเก่งทำเป็นรู้"  ใช่หรือเปล่า (ใช่)   อาจารย์บอกว่าคนฉลาดนั้นฉลาดจริงๆ มักจะทำเป็นแกล้งโง่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  โดยการไม่อวดเก่ง ไม่ทำเป็นรู้ไปหมดทุกเรื่อง
“ส่วนคนโง่ชอบอวดเก่งแล้วก็ทำเป็นรู้”  เราลองดูตัวเอง  อย่าพึ่งไปสนใจกับคำว่า “ฉลาดและโง่”  โดยปกติเราชอบอวดรู้อวดเก่ง ชอบไม่ชอบ  เราไม่ค่อยชอบ  แต่เราชอบทำ ใช่หรือเปล่า (ใช่)   เราไม่ชอบมันหรอก  แต่เราทำบ่อยๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว  เมื่อไม่รู้ตัวก็หมายความว่า ไม่มีสติ ถูกไม่ถูก (ถูก)  เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากจะได้ในสิ่งที่เป็นสิ่งที่ผู้อื่นรู้และชำนาญมากๆ นั้น  จำเป็นที่จะต้องทำเป็นโง่บ้าง  ทำเป็นโง่เพื่อให้ผู้อื่นสอนเรา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่ใช่ทำเป็นโง่ ในความหมายของอาจารย์  อาจารย์พูดเพื่อให้ศิษย์เตือนใจตัวเองเท่านั้นเอง  เมื่อศิษย์ของอาจารย์ทุกคนมาถึงสถานธรรม  ตั้งแต่วันนี้ถ้าหากใครมีความตั้งใจว่าตัวเองจะบำเพ็ญธรรม  การเข้ามาสถานธรมอย่างคนที่สนิทใจก็เป็นเรื่องที่สมควร  แม้ว่าจิตใจยังมีความไม่เข้าใจ  ยังมีความเคลือบแคลงอยู่บ้าง  แต่จำเป็นต้องขจัดทิ้งโดยเร็ววัน  เพื่อให้เป็นผลดีต่อเราเอง
พุทธระเบียบวิธีการกราบไหว้ในสถานธรรมนั้น  ถ้าหากมีโอกาสอาจารย์อยากให้ศิษย์ฝึกฝน  เพราะการที่เราฝึกฝน  การกราบพระ ไหว้พระก็เพื่อทำให้ตัวเราเป็นผู้มีระเบียบ และทำให้เราดูกลมกลืนไปกับการที่เราจะมาสถานธรรม  เมื่อเราทำอะไรไม่เป็น  เมื่อเราทำอะไรไม่ดี  การที่เราจะมาสถานธรรมนั้นเราก็จะรู้สึกผิดบ้าง  รู้สึกไม่ชำนาญ และก็เกิดความที่ไม่อยากจะเข้าใกล้  ฉะนั้นอยากให้ศิษย์ทุกๆ คน เมื่อมีเวลาขอให้กราบไหว้พระ หัดทำให้ตัวเองเป็นระเบียบ  เอาระเบียบอันนี้กลับไปใช้ที่บ้าน  เอาระเบียบอันนี้กลับไปใช้ในทุกๆ ที่ ทุกๆ ย่างก้าวที่ศิษย์เดิน  คำว่า "สมาธิและปัญญา"  ศิษย์มีได้ทุกที่  ไม่จำเป็นต้องเลือกสถานที่  ไม่จำเป็นต้องเลือกเวลา  เมื่อศิษย์ทำได้ ไม่ได้เป็นผลดีต่ออาจารย์  แต่เป็นผลดีต่อศิษย์ทุกๆ คน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ของอาจารย์อยากเป็นผู้ที่มีระเบียบไหม  ศิษย์ของอาจารย์อยากให้ไปอยู่ที่ไหนก็เป็นคนที่สง่างามไหม (อยาก)  เราจำเป็นต้องมาฝึกฝนอย่าได้กลัวความยากลำบาก  อย่าได้กลัวพบเจอสิ่งที่แปลกใหม่  อย่าได้เกิดความท้อแท้และอิดหนาระอาใจต่อสิ่งรอบข้างที่เราเจอ  สิ่งที่ไม่ดีเมื่อเราเจอก็คิดว่า สิ่งที่ไม่ดีเหล่านั้นจะมาเป็นตัวผลักเคลื่อนให้เราไปข้างหน้า  เมื่อเจอสิ่งที่ดีก็ให้คิดว่านั่นเป็นโชคและวาสนาของเรา  ที่มีโอกาสจะพบเจอในสิ่งที่ดีเหล่านี้  แต่โชควาสนามักมีอายุสั้นกว่าเคราะห์กรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทุกๆ วัน ทุกๆ เวลาจึงต้องรู้จักระมัดระวังตัว  วันนี้ทำในสิ่งที่ดีแล้ว  พรุ่งนี้ยังต้องทำในสิ่งที่ดีเพิ่ม  มะรืนนี้ความดีที่สร้างมาก็ขอให้เป็นความดีที่ยึดยาว  อยู่ต่อไปเรื่อยๆ ในทุกๆ วันที่ศิษย์ดำรงชีวิต  แต่ไม่ใช่ทำดีเพื่อหวังผลตอบแทนใดๆ  เพราะเมื่อทำดีเพื่อหวังผลตอบแทนใดๆ  การตอบแทนเมื่อบังเกิดขึ้นเมื่อไหร่  บุญและสิ่งที่ศิษย์ทำมาดีนั้นๆ ก็จะหายไปทันที เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
นักเรียนที่มาใหม่ในวันนี้  หลังจากวันนี้จะตั้งใจบำเพ็ญหรือไม่  (ตั้งใจ)  เสียงนั้นแม้จะออกมาไม่ใช่เป็นเสียงที่ดังมาก  ก็ขอให้เสียงนั้นย้อนกลับไปก้องในจิตใจของศิษย์ทุกๆ เวลา  คำว่า "บำเพ็ญธรรม"   ถ้านับตั้งแต่ศิษย์ของอาจารย์รับธรรมะ  บางคนนั้นฟังมาเป็นรอบที่พันที่หมื่นแล้ว  แต่คำว่า "บำเพ็ญธรรม"  ไม่ใช่อยู่ที่การพูด  แต่อยู่ที่การปฏิบัติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฟังว่าเราต้องเป็นคนที่กตัญญูก็จำเป็นจะต้องทำ  ฟังว่าพี่น้องต้องปรองดองกันก็จำเป็นที่จะต้องทำ  ฟังว่าจงรักภักดีเราก็ต้องกลับไปทำ  ฟังสิ่งใดมาก็ต้องกลับไปเริ่มทำ  แม้ว่าจะทำได้นิดๆ หน่อยๆ  ไม่มากไม่มาย  แต่การที่เราจะก่อทรายสักกองหนึ่งขึ้นมา  เริ่มจากทรายเม็ดแรก ถูกหรือไม่ (ถูก)  เริ่มจากทรายเม็ดที่สองและกำต่อๆ ไปเรื่อยๆ  จนกระทั่งเป็นกองหนึ่งขึ้นมา ถูกหรือเปล่า ไม่มีสิ่งใดเมื่อนึกให้เป็นกองก็เป็นกอง  เมื่อนึกอยากให้ภูเขาเกิดก็เกิดขึ้นมาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ภูเขายิ่งแข็ง ยิ่งเป็นสิ่งที่หนักเท่าไหร่  ก็แสดงถึงเวลาที่ผ่านมานานเท่านั้น  การที่เราจะก่อภูเขาขึ้นมาสักลูกหนึ่งก็ต้องใช้เวลาและต้องใช้ความอดทน  ต้องใช้พลังและใช้ความสามัคคี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการที่ศิษย์ของอาจารย์มาที่นี่  การบำเพ็ญธรรมนั้นแม้จะฟังมารอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้  แต่อาจารย์เห็นวิธีการบำเพ็ญธรรมของศิษย์นั้น  แต่ละครั้งๆ เหมือนกับอะไรรู้ไหม  ลองเดา ศิษย์เอาทรายหนึ่งกำมากองไว้เป็นภูเขา  ทรายสองกำมากองไว้  ก็ดูนูนๆ ขึ้นมาจากพื้นหน่อย  กำที่สามกำที่สี่  พูนขึ้นมาเรื่อยๆ วันดีคืนดีก็ละเมอกอบทรายออกไปอีกทีละกอง  กอบทรายออกไปทีละกองๆ เสร็จแล้วภูเขาลูกนี้เหลือไม่เหลือ (ไม่เหลือ)  ทำไมถึงทำอย่างนี้  อาจารย์เห็นวิธีการบำเพ็ญธรรมของศิษย์ก็เป็นอย่างนี้  เดี๋ยวก็เอาเข้า เดี๋ยวก็เอาออก เดี๋ยวก็ชักเข้า เดี๋ยวก็ชักออก อย่างนี้ถามว่าจะได้ผลอะไรไหมในการบำเพ็ญ (ไม่ได้)  ถ้าเทียบเรื่องนี้เป็นเรื่องของการก้าวเดิน  ก็เดินไปสิบก้าว  ถอยกลับมาห้าก้าว  เดินเข้าไปอีกห้าก้าว ถอยกลับมาอีกสองก้าว  สรุปแล้วเดินหน้าหรือไม่เดิน  ดูเหมือนเดินหน้าไหม  เหมือนถอยหลังไหม (เหมือน)  ถ้าหากจากตรงนี้จนกว่าจะถึงฝั่งนิพพาน  ต้องให้ศิษย์ก้าวพันก้าว  ตอนนี้ศิษย์ก้าวไปกี่ก้าว ถึงแม้ว่าก้าวๆ ถอยๆ ชักเข้าชักออก อาจารย์ก็ยังเห็นดีกว่าคนที่ไม่ทำอะไรเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ก็อย่าประมาทไป คนที่เข้ามาบำเพ็ญธรรมนั้น แม้ว่าคนที่เข้ามาบำเพ็ญธรรมเต็มตัว บางทียังทำอะไรดีน้อยกว่าคนที่ยังไม่ได้ชื่อว่าบำเพ็ญธรรมก็มี เพราะฉะนั้นจะดูถูกใครคนใดคนหนึ่งก็ไม่ได้ แม้ว่าเรายังบำเพ็ญธรรมอยู่ แต่เราก็จำเป็นที่เราต้องอ่อนน้อมถ่อมตน และคิดว่ามีคนที่บำเพ็ญดีกว่าเรามากมาย เพียงแต่เรามีโอกาสดีกว่า
ในปักษ์ยุคสามวาระปลายอาจารย์ได้รับบัญชาลงมาโปรดมนุษย์บนโลก เวไนยสัตว์ทั้งหลายและศิษย์ของอาจารย์ก็โชคดีที่ได้เป็นศิษย์อาจารย์กัน อาจารย์จึงบอกว่าต่อให้ในชีวิตประจำวันของศิษย์จะเลวร้ายเท่าไหร่ ต่อให้จะต้องเจอเคราะห์ตลอดชีวิต แต่ศิษย์รู้ไว้ว่าโชคดีของศิษย์ที่ได้ยินได้ฟังธรรม แล้วศิษย์นั้นเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับการคัดเลือกสู่การบำเพ็ญธรรม อย่างน้อยก็ได้รับการร่อนดูว่าศิษย์จะแก้ไขหรือไม่ จะเป็นทรายที่ละเอียดหรือเป็นทรายที่หยาบก็แล้วแต่ตัวเราเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นชะตาชีวิตของเราแม้ว่าต้องเจอทุกข์หนักตลอดชีวิตทำอะไรก็ไม่เคยสมหวัง ไม่มีสิ่งใดที่เป็นความหวังของศิษย์เลย แต่ก็ยังดีที่ศิษย์มีเพื่อนร่วมบำเพ็ญมากมายใช่หรือไม่
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับนักเรียนที่ตอบคำถาม)  ดูสิว่าอาจารย์มาตั้งนานพูดจนคนฟังบางคนหลับไปแล้ว แต่ยังไม่สามารถให้ศิษย์ทั้งชั้นนี้ได้ผลไม้ไม่ครบเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ที่อาจารย์บอกให้สู้ก็คงมีเพียงเท่านี้ที่สู้เท่านั้นเองใช่ไหม ผู้หญิงมีตอบอาจารย์กี่คน (๔ คน)  คงเป็นคำถามที่ง่ายที่สุดเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพียงแต่ว่าศิษย์ต้องเป็นคนรู้จักสังเกตดีๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  รอบๆ สิ่งแวดล้อมเรามากมายไปหมดต้องเป็นคนที่รู้จักสังเกตดีๆ เราจึงจะตอบได้ แม้ว่าตัวเราเองจะเป็นคนที่ไม่สงสัยอะไรเลย แต่บางทีก็ยังต้องสังเกต  บางคนใช้ชีวิตร่าเริงสนุกสนาน วันๆ ไม่เคยเครียดกับเรื่องอะไรเลย จึงพูดจาไปเรื่อยๆ จนไปกระทบกับใครก็ไม่รู้ โดยที่ตัวเราไม่ได้สังเกตว่า ชีวิตของเราไม่เคยมีความเครียด แต่ชีวิตของคนอื่นเครียดไม่เครียด จึงต้องรู้จักระมัดระวังใช่หรือไม่ (ใช่)  การระมัดระวังจะรู้ได้จากการสังเกต เพราะหากว่าไม่รู้จักสังเกตจะระมัดระวังได้ไหม (ไม่ได้)  สังเกตกับระมัดระวังอะไรมาก่อน (สังเกต)  สังเกตมาก่อนแน่ใจไหม ต้องหัดสังเกตให้มากๆ ใช่ไหม สังเกตกับการจับผิดต่างกันไหม (ต่างกัน)  และต่างกันอย่างไรล่ะ (การสังเกตคือการมองสิ่งรอบๆ ข้าง แต่การจับผิดคือการมองแต่ข้อเสียของคนอื่น)  ถูกไหม (ถูก)  ผู้ปฏิบัติงานธรรมลองตอบอาจารย์หน่อยซิ หรือไม่เคยเห็นข้อผิดของใครเลย หรือว่าเห็นเองโดยไม่จับผิดเขา (การสังเกตใช้ตาในมอง แต่ถ้าจับผิดเราใช้ตาเนื้อมอง)  ฟังเข้าใจหรือเปล่า ในการสังเกตและการจับผิดนั้นย่อมมีข้อแตกต่างกันอย่างมาก หากว่าเราสังเกตเราก็จะมองเห็นแต่สิ่งที่เป็นข้อดี และสิ่งที่เป็นข้อเสียไปพร้อมๆ กัน แต่หากว่าเป็นการจับผิดนั้น ส่วนใหญ่ก็จะมองเห็นแต่สิ่งที่ผิดอย่างเดียว และก็ไม่สามารถหาทางออกให้กับสิ่งที่ผิดเหล่านั้นได้ มีแต่การโทษคนอื่น ไม่มีการโทษตัวเอง อาจารย์สรุปง่ายๆ เป็นสิ่งที่ศิษย์เป็นอยู่ทุกวัน ไม่ได้สรุปเป็นวิชาการเข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
เวลามองเขาอย่ามองว่าเขาหล่อไม่หล่อ  มองว่าเขาพูดดีหรือไม่ดี  พูดธรรมะเก่งไม่เก่ง  เพราะว่าโดยทั่วไปถ้าเป็นหนุ่มสาวสมัยนี้มองหน้ากัน  ก็มองว่าสวยไม่สวย หล่อไม่หล่อ เสร็จแล้วเป็นอย่างไร  จิตใจก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว  วันๆ ก็ไม่คิดถึงเรื่องบำเพ็ญธรรม  คิดถึงแต่เรื่องจับคู่อย่างเดียว เสร็จแล้วหัวใจก็ไม่เหลือที่ว่างให้กับการบำเพ็ญ  เหลือแต่อะไรก็ไม่รู้  กิเลสความรัก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าจะบอกการให้ทานเป็นการคลายทุกข์เข็ญ ยังไม่ใช่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  การให้ทานก็ไม่ทุกข์เข็ญไม่ได้  เพราะบางทีคนให้ทานเองก็มีความเดือดร้อนนิดๆ หน่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนที่ศิษย์เคยฟัง  ถ้าหากทำบุญทำทาน  ต้องไม่ให้ตัวเองเดือดร้อน  แต่บางคนนิดเดียวก็ไม่ยอมเดือดร้อน  จะให้พูดว่าอย่างไร  บางทีถ้าเดือดร้อนนิดๆ หน่อยๆ ก็ยอมได้เหมือนกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากจะไปช่วยคนที่เขาทำแก้วแตกเศษแก้วตก  เศษแก้วกราดเต็มพื้น  ตัวของศิษย์หารองเท้ามาใส่ไม่ทัน  หากว่าต้องไปช่วยเขาเก็บ  จะโดนบาดไม่โดน (โดน)  โดนบาดอยู่แล้ว  แต่เดือดร้อนนิดๆ หนอ่ยๆ จำเป็นต้องทำไหม  ถ้าหากว่าศิษย์ไม่เก็บ  คนต่อไปเดินมาไม่รู้บาดไม่บาด  เพราะฉะนั้นการเดือดร้อน  บางทีก็มีเดือดร้อนนิดหน่อย เดือดร้อนมากมาย
การที่เข้ามาในสถานธรรมก็มีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อันได้แก่ คนที่อายุมากกว่าเราต้องเคารพ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อาวุโสทางธรรมเราต้องเคารพ  แต่เราเคารพอย่างไหน  เคารพอย่างเคารพออกมาจากใจและคนที่เป็นอาวุโสก็ต้องทำไมด้วย  จะบอกว่าฉันอาวุโสกว่า  ยึดเต็มที่เลยได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน  การที่เราจะได้สิ่งใดก่อนคนอื่น  โดยที่เราต้องได้มาจริงๆ  ก็ขอให้ศิษย์แสดงออกอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน  เป็นความอ่อนน้อมที่ออกมาจากจิตใจและการเคารพซึ่งกันและกัน  ก็เป็นการเคารพที่ออกมาจากจิตใจเท่านั้นเอง  ช่องว่างระหว่างศิษย์ทุกๆ คนนั้นก็จะไม่มี  เพราะว่าอาวุโสก็อ่อนน้อม  ส่วนผู้น้อยก็เคารพจริงใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
“ความตระหนี่จงให้ทานออกมาให้เห็น”  บางคนนั้นเป็นคนที่ตระหนี่  แต่การให้ทานไม่ใช่ว่าไม่อยากจะทำ  อยากจะทำอยู่เสมอๆ  แต่ไม่สามารถที่จะดึงออกมาจากตัวเองได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  สมมติให้ทานเงิน  คิดว่าเราจะบริจาค  แต่เงินไม่หลุดออกจากกระเป๋า  การจะลงแรง คิดอยู่เหมือนกันว่าจะลงแรง  แต่ก็กลัวเหนื่อย อย่างนี้การให้ทานจึงไม่เป็นผลสำเร็จ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ว่าจิตใจจะเป็นจิตใจที่ดี  แต่ว่าในด้านการกระทำนั้นไม่ดี  ฉะนั้นอาจารย์จึงสอนศิษย์ทุกๆ คนเสมอๆ ว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นเน้นหนักที่การปฏิบัติออกมาให้คนอื่นเห็น  ถ้าหากเราปฏิบัติในวงแคบๆ ผลตอบรับออกมา  ความดีความกว้างของจิตใจของเราก็จะมีแค่วงแคบๆ  แต่ถ้าหากว่าเราทำในที่กว้าง  ผลตอบรับนั้นก็จะออกมากว้างขวาง  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทำความดีต้องไม่หวังผลตอบแทน  เพราะถ้าหากหวังผลตอบแทน  จะมานั่งห่อเหี่ยวอย่างนี้ไหม  ถ้าหากหวังผลตอบแทนก็ไม่สามารถที่จะไปไหนได้  ก็จะย่ำอยู่กับที่
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมนักเรียนวงคำพระโอวาท)
“ชนะ”  หมายถึงอะไร  (ต้องชนะใจตัวเอง)  ชนะใจตัวเองได้หรือเปล่า (ต้องทำให้ได้)  แม้ว่าจะวงคำว่า “ชนะ”  แต่ชีวิตต่อไปจะชนะหรือแพ้  อาจารย์ก็ไม่แน่ใจ  อาจารย์รู้แต่ว่าอนาคตกำหนดด้วยวันนี้  อยากจะกินผลไม้ก็ต้องรู้จักปลูกต้นไม้  ปลูกวันนี้วันหน้าก็ได้กิน  แต่อย่าปล่อยให้เมล็ดตัวเองกลายพันธุ์ไปก่อน  วันนี้มีใจวันนี้ลงแรง  แล้ววันนี้จะได้มีผลเกิดขึ้นวันหน้าอย่างรวดเร็ว ดีไหม
“มี”  มีอะไรดี (มีธรรมะ) มีธรรมะอาจารย์ขอให้ศิษย์มีใจและมีกำลังไปช่วยบุกเบิกแพร่งานธรรม ดีไหม (ดี)  อนาคตยังไกลแต่ถ้าหากว่าเราใช้ธรรมะควบคู่ไปในชีวิต อนาคตเราจะไกลและดีด้วย
ใบแบ่งงานมีคนที่ทำงานกันอยู่เท่านี้หรือ อาจารย์เห็นศิษย์แบ่งงานกันแต่ละครั้งต้องมีคนที่ถูกแบ่งงานไม่ถึงใช่หรือเปล่า บางคนแม้ขาดตกไปบ้างก็อย่าได้รู้สึกน้อยใจ งานนั้นมีรออยู่ แต่อยู่ที่ว่าเรานั้นเลือกงานหรือเปล่า ถ้าหากว่าเราตั้งใจทำ ทำตรงไหนก็ได้ งานในสถานธรรมอาจจะมีน้อย ถ้าเทียบกับจำนวนคนทั้งหมด แต่หากว่าคนทั้งหมดแม้ว่าจะถูกแบ่งงานถึงไม่ถึง ร่วมงานพร้อมๆ กัน งานธรรมะก็จะไปไกลยิ่งกว่านี้ และก็จะมีสิ่งที่ดีมากขึ้นกว่านี้ แม้ว่าชื่อเรานั้นจะถูกลงไปหรือไม่ก็ไม่เป็นไร ขอให้เรามีใจและมีความคิดที่จะร่วมใจกันทำงาน ทุกคนทำงานพร้อมกันยิ่งกว่าใบแบ่งงานนี้อีกดีหรือเปล่า (ดี)  แม้ว่างานจะแบ่งไม่ถึงแต่อาจารย์จะแบ่งกุศลให้นะ
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมนักเรียนที่ออกมาวงพระโอวาท) "ปัญญา" ทั้งหมดนี้คงมีศิษย์ที่ได้วงคำที่ดีที่สุด เพราะปัญญามีประโยชน์มากต่อการบำเพ็ญธรรมและอาจารย์หวังว่าศิษย์จะกลับมาบำเพ็ญธรรมในลักษณะนี้ในด้านนี้ ธรรมะที่อาจารย์อุตส่าห์นำลงมาจากฟ้า มาให้ศิษย์บำเพ็ญด้วยการใช้ปัญญา เดินหน้าต่อไปได้ไหม (ได้)  ขอให้เป็นแรงและกำลังให้อาจารย์ด้วยดีหรือเปล่า
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง  สายทิพย์ และเมตตาประทานผลไม้ให้กับแม่ครัว)  ทุกคนล้วนมีพุทธจิตธรรมญาณ แม้ว่าจะเป็นเด็กก็มีพุทธจิต แต่อาจารย์ว่ายิ่งโตพุทธจิตก็ยิ่งเลือนหายใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นเด็กๆ นั้นยังใสๆ อยู่ หวังว่าศิษย์จะรักษาจิตใจเหมือนยามที่ศิษย์ยังเป็นเด็กอยู่ให้คงทนถาวร เพราะหากว่าเราโตก็แสดงว่าเรามีพลังที่สามารถออกไปทำสิ่งต่างๆ ได้มาก แต่จิตใจที่เป็นเด็กนั้นช่วยให้ศิษย์ทำงานได้ราบรื่นขึ้น ตา หู จมูก ลิ้น กายใจของเราดูแล้วเหมือนกับว่าเราเป็นเจ้าของอายตนะทั้ง ๖ นี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่แท้ที่จริงเราเป็นทาสของอายตนะทั้ง ๖ นี้ เราใช้จิตใจของเราไปรู้สึกกับอายตนะทั้งหมดนั้นมากเกินไป ในที่สุดแล้วบอกว่าเป็นทาสของอายตนะทั้ง ๖ นี้ เราใช้ตา หู ปากของเราและอยากเป็นนายของอายตนะทั้งหมดนี้ไหม ขอให้เรามองแต่สิ่งที่ดีๆ หูฟังแต่สิ่งที่ดีๆ ปากพูดแต่สิ่งที่ดีๆ ใจก็คิดแต่สิ่งที่ดีๆ กินอาหารก็กินอาหารที่ดีๆ ไม่เบียดเบียนชีวิตเขา ทำได้ไหม (ได้)
"มุ่งอะไรมั่นหมายถูกครรลอง"  บางคนมักจะพูดกับตนเองเสมอว่า เรายังเป็นญาติธรรมใหม่ยังไม่รู้อะไรเลย  เป็นญาติธรรมใหม่มากี่ปีก็ยังใหม่อยู่เรื่อย  เมื่อไหร่จะเป็นญาติธรรมเก่าสักทีก็ไม่รู้  ถ้าหากศิษย์แยกแยะระหว่างญาติธรรมเก่ากับญาติธรรมใหม่ได้ออก  ศิษย์จะเข้าใจ  จริงๆ แล้วศิษย์ก็เข้าใจอยู่แล้วว่า ญาติธรรมเก่ามีหน้าที่รับผิดชอบมากกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งเรามีตำแหน่งทางธรรม  ยิ่งหลงไปกันใหญ่ อาจารย์อยากจะบอกว่าคนที่มีตำแหน่งในทางธรรม  โอกาสหลงก็มีสูง  งานก็หนักขึ้น  ถ้าหากว่าศิษย์ตัดใจที่หลงสิ่งเหล่านี้พ้นได้  ศิษย์อาจารย์ก็จะมีแต่ผลงาน  มีแต่กุศลเท่านั้นเอง  ยิ่งเรามีจุดเด่น มีสิ่งที่เด่นกว่าคนอื่น  ไม่ว่าเราจะทำหน้าที่อะไรก็ตาม  เรายิ่งจำเป็นที่จะต้องอ่อนน้อมถ่อมตนให้มากๆ  คนอื่นยิ่งเขาสังเกต  เขาก็จะยิ่งเห็นเราอ่อนน้อมถ่อมตน  นี่แหละแบบอย่างของผู้บำเพ็ญธรรม
สถานธรรมที่นี่เป็นสถานธรรมบ้านสกุลหง  ฉะนั้นคนที่อยู่ในตระกูลนี้  ก็จำเป็นที่จะต้องมาช่วยงานกันให้มากๆ  ให้เป็นผลสัมฤทธิ์  ให้เป็นเกียรติแก่วงตระกูลให้มากๆ  แต่ถึงแม้ว่า จะเป็นสถานธรรมในครัวเรือน  แต่ในขณะเดียวกัน  ศิษย์ทุกๆ คนก็มีส่วนร่วมได้  เรือธรรมไม่ว่าจะเรือไหน ไม่ว่าจะเป็นเรือชื่ออะไร  หรือจะเป็นเรือบ้านใคร  ทุกๆ คนล้วนแต่มีจิตที่เมตตา  หวังจะให้คนขึ้นเรือธรรมมากๆ ทั้งนั้น  สถานธรรมถ้าเป็นสถานธรรมในบ้าน  แต่หากต้อนรับคนนอกมาก็คือ สถานธรรมส่วนรวม  แต่หากว่าเป็นสถานธรรมส่วนรวม  แต่หากว่าไม่สามารถช่วยคนจำนวนมากมาในลักษณะของสถานส่วนรวมได้  สถานธรรมส่วนรวมก็ไม่ต่างไปจากสถานธรรมในบ้าน  สถานธรรมนั้นไม่ต้องมีมากมาย  ศิษย์รับผิดชอบอยู่ที่ไหนก็ขอให้ทำให้ดีๆ  ศิษย์ไปไหว้พระอยู่ที่ไหน ขอให้เป็นส่วนร่วมของที่นั่นให้ดีๆ  ทุกๆ อย่างถือว่ามีส่วนร่วมในงานธรรมะเช่นเดียวกัน  มีส่วนร่วมกับงานของอาจารย์แพร่งานในยุค ๓  ของอาจารย์เช่นเดียวกัน  อาจารย์จบท้ายแล้ว  หวังว่างานธรรมะคงจะรุ่งเรือง
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง สายธาร)
ทุกคนมีสายธารเป็นของตัวเอง  ทุกคนเปรียบเสมือนสายธารธารหนึ่ง  อาจารย์ให้ศิษย์เป็นสายธารในหัวใจของอาจารย์  หวังว่าสายธารที่เป็นชื่อของเพลงนี้  ก็แล้วแต่ศิษย์ว่า ศิษย์จะต่อสายธารของศิษย์ด้วยสารธารอะไร  สายธารทุกสาย อาจารย์ก็เชื่อว่า เป็นสายธารที่ดีอยู่แล้ว
“สายธารรวมกันเป็นหนึ่ง”  ความหมาย แม่น้ำนั้นไหลรวมไปที่ไหน  ทะเล ใช่หรือไม่ (ใช่)  อะไรก็แล้วแต่ที่จะให้อะไรไหลไปสู่สิ่งนั้นได้  แสดงว่าสิ่งนั้นต้องอยู่สูงกว่า ถูกหรือไม่ (ถูก)  ทะเลเป็นที่รวมของแม่น้ำทุกๆ สาย  เพราะว่าทะเลอยู่ต่ำ แม่น้ำอยู่สูง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เลือกที่จะเป็นทะเลหรือเลือกที่จะเป็นสายน้ำ  อาจารย์เปรียบทะเลเสมือนผู้อาวุโส  แม่น้ำเปรียบเสมือนผู้น้อย  คนที่เป็นอาวุโส  จึงต้องทำเป็นเหมือนอยู่ต่ำ ก็คืออ่อนน้อมถ่อมตน  แม้ว่าจะเป็นอาวุโส  ก็จำเป็นที่จะต้องอยู่ต่ำ อยู่เตี้ย คือความอ่อนน้อมถ่อมตน  ส่วนผู้น้อยทุกๆ คนเปรียบเสมือนสายธาร  สายธารนั้นจะมารวมกันได้  ก็จำเป็นจะต้องเกิดความยินยอมพร้อมใจของทุกๆ คน  เหมือนกับการบำเพ็ญธรรมในครั้งนี้  ที่อาจารย์จะเรียกศิษย์ให้บำเพ็ญ  ก็ต้องเกิดจากความยินยอมพร้อมใจของศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สายธารรวมลงมาเป็นมหาสมุทร  ความอ่อนน้อมถ่อมตนจะทำให้ศิษย์ทุกๆ คนเป็นคนที่สง่างาม  ความอ่อนน้อมถ่อมตนมีความอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่  ไม่อ่อนน้อมจนมากเกินเหตุ  จึงจะคงรักษาความสง่างามได้  เหมือนกับการพูด  คนพูดเก่งก็ไม่พูดมากจนเกินเหตุ  จึงจะไม่เป็นการไม่สำรวม  คนที่มีความกล้าหาญ  ก็ไม่กล้าจนเกินเหตุ  จะกลายเป็นคนบ้าบิ่นไป  ฉะนั้นสิ่งต่างๆ ที่เป็นคุณธรรมความดี  หลักคุณธรรม หลักสัจธรรมทั้งหลาย ก็ให้ศิษย์ดำรงอยู่ในทางสายกลาง
ที่อาจารย์บอกว่า  "ฟากฟ้านั้นดาวล้อมจันทร์ชวนมอง"  และดาวก็รอบล้อมอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าสิ่งที่เป็นความดีทั้งหลาย ดังเช่นการอ่อนน้อมถ่อมตน เพราะเมื่อศิษย์เข้าถึงก็จะมองเห็นถึงความสำคัญของการอ่อนน้อมถ่อมตน อ่อนน้อมถ่อมตนก็ไม่ใช่มีมากจนเกินเหตุ เหมือนดาวที่ล้อมจันทร์นั้นน่ามองเข้าใจไหม และทุกๆ บรรทัดก็มีการตีความที่เป็นทำนองนี้ อาจารย์นั้นให้ศิษย์ไปตีความหมายเอง
จบท้ายด้วยคำว่า "ใจคือพลังขุมเดียวรู้ตื่น" จิตใจของศิษย์เหมือนขุมสมบัติทีเดียว เหมือนคลังสมบัติและคลังสมบัตินี้ สมบัติที่มีค่ามากที่สุดคือ ความรู้ตื่นมิใช่ความเมตตา มิใช่ความศรัทธา มิใช่สิ่งใด แต่เมื่อเราจะรู้ตื่นเราจะต้องข้ามสิ่งนี้ไป ข้ามความเมตตา และสิ่งอะไรทั้งหลายที่เป็นสิ่งที่ดีนี้ และสิ่งที่ไม่ดีทั้งนั้น ข้ามพ้นไปสู่ความรู้ตื่น แต่ก่อนที่จะไปสู่ความรู้ตื่นจะต้องใช้ทั้งความเมตตาและกรุณา สัจจะมโนธรรมใช้ทุกๆ อย่างที่เป็นสิ่งที่ดีเหล่านี้กระโดดข้ามไป แต่สมบัติที่มีค่านั้นอยู่ปลายทางจิตใจของศิษย์นี้คือความรู้ตื่น สิ่งนี้ต้องอาศัยการฝึกฝนตั้งแต่ภายนอกเข้ามาสู่ภายใน และตั้งแต่ภายในออกมาสู่ภายนอก เรียกว่า หากว่าศิษย์ต้องทุกข์จนถึงที่สุด เมื่อศิษย์ต้องสบายถึงที่สุด แต่ในยามที่ศิษย์สบายนั้นหลงตัวเองไหม จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะมนุษย์ติดความสบายมากก็หลงมากใช่ไหม (ใช่)  กิเลสความรัก โลภ โกรธ หลงก็ดี สิ่งเหล่านี้ศิษย์ของอาจารย์รู้มาตั้งแต่ศิษย์นั้นรู้ความทีเดียว รู้ความก็รู้แล้วว่าสิ่งเหล่านี้เป็นกิเลส อยู่ที่ว่าเราจะตัดไม่ตัดเท่านั้นเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเราตัดแม้จะขาดบ้างไม่ขาดบ้างก็ขอให้ได้ตัดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากว่าไม่คิดจะตัดขาดไม่ขาด (ไม่ขาด)  ถ้าหากว่าไม่คิดจะตัดย่อมไม่ขาด แต่หากว่าขาดนิดขาดหน่อยไม่สมหวังดังใจก็อย่าไปร้อนรน ขอให้เราได้เริ่ม ขอให้เราได้ลงมือทำ ทำได้ดีทำได้ไม่ดีอาจารย์ก็เชื่อว่าดีกว่าไม่ทำ อาจารย์หวังว่าศิษย์ทุกคนเมื่อก้าวมาในทางธรรมก็ต้องมาด้วยจิตใจที่ศรัทธา บริสุทธิ์ มุ่งมั่นจะแก้ไขกลับตัวเป็นคนดี ให้สร้างแต่สิ่งดีชำระล้างสิ่งไม่ดี เมื่อไม่มีใครรู้ตัวเองดีเท่ากับตัวเราเอง ก็ขอให้ศิษย์แก้สิ่งต่างๆ ที่ไม่ดีด้วยตัวเอง ไม่ต้องรอให้อาจารย์มาจี้ไช ไม่ต้องรอให้กรรมมาถึงหน้าจึงสำนึกได้ ในวันที่ศิษย์สำนึกได้มากที่สุดคือวันไหนรู้ไหม ในวันที่กรรมมาตามทวง วันที่อาจารย์เห็นศิษย์ของอาจารย์บางคนตกนรกไป หรือถ้าเรียกอีกทีหนึ่งก็คือวันที่สายแล้ว วันที่แก้ไขอะไรไม่ได้ แล้วศิษย์ของอาจารย์ค่อยสำนึก บางคนในโลกนี้เห็นแก่เงิน หน้าตา เห็นแก่ความสบาย เห็นแก่โชคลาภ บางคนเห็นแก่สุรานารี พาชีกีฬาบัตร เป็นศิษย์ของอาจารย์ อาจารย์พาไปนิพพาน อยู่ในโลกศิษย์ก็ต้องช่วยอาจารย์ขัดเกลาตัวเองให้ดีๆ แต่อาจารย์ถามคำหนึ่งว่าเป็นศิษย์ของอาจารย์แล้วตกนรกได้ไหม (ได้)  นั่นคือคำที่อาจารย์อยากให้ศิษย์เตือนใจตนเองทุกครั้งที่เราเห็นแก่ภาพมายาลวงตา เห็นแก่ผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ เพราะเข้าใจว่าไม่มีใครรู้นอกจากตัวเราเอง
“จิตตื่นคล่องให้สี่รู้จับตาดู” สี่รู้มีอะไรบ้าง มีฟ้ารู้ ดินรู้ ตัวเองรู้ คนอื่นรู้ สามอย่างนี้คือ ฟ้ารู้ ดินรู้ ตัวเองรู้ ต่อให้ขาดไปสิ่งหนึ่งก็คือ คนอื่นรู้ก็ยังมีตัวเองที่รู้ ยังมีฟ้ารู้ ยังมีดินรู้ ฉะนั้นเวลาจะทำอะไรจะต้องรู้จักระมัดระวัง สี่รู้ที่กล่าวมานี้อะไรที่เป็นคนที่รู้แล้วรุนแรงที่สุด (ตัวเราเอง)  ตัวเราเองรู้แล้วลงโทษตัวเองยิ่งกว่าฟ้าลงโทษ ยิ่งกว่าดินลงโทษ ก็เพราะต่อให้ฟ้าดินลงโทษอย่างมากกรรมเวรก็เอาแค่ชีวิต แต่ถ้าหากว่าตัวเองรู้กรรมเวรนั้นเอาศิษย์ขนาดไหน วันนี้เกิดเป็นคนเวียนว่ายตายเกิด เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ วันนี้เกิดเป็นคน เกิดเป็นชายเป็นหญิง วันหน้าเกิดเป็นสัตว์ เกิดเป็นหมู หมา กา ไก่ ให้คนเขาฆ่า ให้เขาเชือดสมควรหรือไม่สมควร ต่อให้ศิษย์มีอาจารย์ดี แต่แล้วเป็นอย่างไร ครูสอนก็ได้แค่สอน คนทำก็อยู่ที่ตัวเอง ข้อสอบยื่นไปถ้าหากคนทำไม่ทำก็เท่านั้น ใช่หรือเปล่า (ใช่) อาจารย์จึงบอกว่า หากศิษย์อยากตื่นอย่างคล่องๆ จิตตื่นรู้อย่างคล่องๆ ต้องทำอย่างไร ให้สำนึกไว้เสมอว่าเวลาเราทำผิด ทำชั่ว ไม่ได้มีแค่ตัวเราเองรู้คนเดียว ยังมีฟ้ารู้ดินรู้และคนอื่นรู้ ร้ายแรงที่สุดก็คือตัวเองรู้ใช่หรือไม่ (ใช่)
พระโอวาทซ้อนพระโอวาทครั้งนี้อาจารย์จึงให้คำว่า “มีสติยั้งคิด” ศิษย์ของอาจารย์ใช้ชีวิตผ่านไปวันหนึ่งๆ ศิษย์มีสติยั้งคิดหรือไม่ บางทีโมโหไปแล้วค่อยมาคิดได้ว่าเมื่อสักครู่ไม่น่าจะโมโหเลย บางทีไปขโมยเงินเขามาแล้วค่อยคิดได้ว่าเมื่อสักครู่ไม่น่าจะขโมย บางทีไปทำผิดมาแล้วค่อยมาคิดว่าเมื่อสักครู่ไม่น่าทำผิด แต่คนที่ทำไปด้วยความไม่รู้นั้นยังพอที่จะให้อภัย แสดงว่าพอต่อไปเขาจะเปลี่ยนแปลง แต่บางคนนั้นทำไปทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นความผิดแต่ศิษย์ก็ยังทำ คนอย่างนี้ศิษย์คิดว่าจะมีคนให้อภัยไหม (ไม่มี)  แล้วฟ้าดินอภัยให้หรือเปล่า อาจารย์เตือนศิษย์ไว้คำเดียว อะไรที่เราทำ อะไรที่เราก่อสิ่งนั้นเราต้องรับเอง ไม่อยากจะทุกข์ไปกว่านี้ต้องสร้างเหตุแห่งความสุขให้มากๆ ไม่อยากจะเวียนว่ายตายเกิดก็จงสร้างเหตุแห่งการหลุดพ้น ทำได้ไหม (ได้)  ยามใดที่เขาแก้ไขได้ยามนั้นคนทั่วหล้าจะสรรเสริญ แต่อย่าคิดว่าใครเขาจะสรรเสริญเราอย่างรวดเร็ว เราแก้ทันทีแล้วจะให้เขาสรรเสริญทันทีนั้นไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ต้องรอให้คนเขาแน่ใจว่าเราแก้ไขแล้วเขาจึงสรรเสริญเราได้เป็นเหตุเป็นผลไหม หวังว่าโอวาทนี้กลับไปแล้วศิษย์ของอาจารย์ทำได้ทุกคน เพราะคำว่ามีสตินั้นได้ยินกันมานานรู้กันมามากมาย แต่คนที่ทำได้มีอยู่น้อยนิดใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าศิษย์ทำผิดก็คือไม่มีสติ ทำผิดเมื่อไรก็คือไม่มีสติ แล้ววันหนึ่งๆ ทำผิดไปกี่หน ศิษย์ของอาจารย์ขาดสติไปกี่หน ศิษย์คงต้องตอบเอง
อาจารย์มักจะกลัวที่ศิษย์ของอาจารย์จะเปลี่ยนใจจากการบำเพ็ญธรรมเพราะว่าเมื่อศิษย์เปลี่ยนใจครั้งนี้ทั้งเราศิษย์และอาจารย์ก็เดินคนละทาง อาจารย์เดินทางพุทธะก็อยากให้ศิษย์เดินทางพุทธะ เดินทางอื่นๆ นอกจากทางพุทธะจะหลุดพ้นได้ไหม เดินทางอื่นนอกเหนือจากนี้ศิษย์ก็น่าสงสารแล้ว ทำจิตใจให้มั่นคง ทำจิตใจให้เข้มแข็ง หากเราไม่ผิดอีกนานเท่าไรก็ไม่ผิด หากเขาไม่ถูกจะช้าหรือเร็วศิษย์ก็คือไม่ถูก
รักษาตัวให้ดีๆ ทำแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม ศิษย์ทุกคนก็เหมือนหน้าตาของอาจารย์อย่าท้อแท้เหนื่อยอ่อนต่อการบำเพ็ญของตัวเอง วันหลังค่อยเจอกันใหม่



พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท   “มีสติ ยั้งคิด”

บำเพ็ญกายบำเพ็ญใจไว้คู่ธรรม ชนะกรรมด้วยสำนึกอันจริงแท้
มีสติกับปัญหาหลายมุมแล ค่อยค่อยแก้หรือรอไม่ได้ปัญญาตรอง
รู้เท่าทันใครไม่เท่าทันตน ดุจสายชลรินไหลไปตามร่อง
มุ่งอะไรมั่นหมายถูกครรลอง จิตตื่นคล่องให้สี่รู้จับตาดู

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543

2543-11-18 สถานธรรมจือเจวี๋ย น้ำกระจาย จ.สงขลา


PDF 2543-11-18-จือเจว๋ย #20.pdf

Labels: การส่งเสริมคนที่บ้าน 


วันเสาร์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมจือเจวี๋ย น้ำกระจาย จ.สงขลา
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

เสียงระฆังดังก้องในหมู่เมฆขาว กังวานยาวเพื่อปลุกคนจากหลับใหล
ชีวิตหนึ่งเพียงความฝันอย่าเพลินไป หลงสบายกลายทุกข์ทนเร่งบำเพ็ญ
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่ธรรมสถาน เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา  ฮวา

ในวันนี้มีบุญอยู่ร่วมกัน ขอแบ่งปันจิตกุศลให้เปิดกว้าง
เรียนรู้ธรรมแสวงซึ่งแนวทาง ใจเป็นกลางศึกษาเพิ่มเติมปัญญา
บุญสามชาติสั่งสมเป็นโอกาส รู้หนึ่งชี้อย่าประมาทบำเพ็ญเถิด
แม้ว่าจะมึนงงมาแต่เกิด แต่ประเสริฐแจ้งกลับคืนแดนสุทธา
ได้ลิ้มรสความทุกข์ยากทะเลโศก ใบไม้โบกสะบัดแล้วร่วงโรยหนา
ทุกทุกคนมีจิตแท้ในกายา จงเร่งพาตนเองให้ถูกทาง
ดังทหารที่ได้รับการฝึกหนัก คนจริงรับทดสอบหนักยิ่งหนักแน่น
หมั่นปล่อยวางเรื่องอดีตความคุมแค้น เดินทั่วแดนทุกที่จะเป็นบ้านเรา
ประชุมธรรมสะเทือนไปทั่วสามภพ ขอเคารพตนเองและผู้อื่น
ศึกษาธรรมให้เข้าใจเพื่อหยัดยืน ปลาต้องฝืนทวนกระแสคืนต้นธาร
หากมิใช่เพราะอนุตตรธรรมแสนล้ำค่า ใครจะมาทุ่มเทเสียสละ
แปรความรู้เป็นปัญญาเพื่อมานะ และเร่งละเหล่ากิเลสที่ลวงตน
อันความดีถ้าเป็นความดีแท้ สามารถแปรความชั่วร้ายมลายสิ้น
แม้วันนี้น้องเราเป็นชาวดิน แต่จะผินตนเองเป็นพระพุทธา
ลองพยายามความสำเร็จอยู่แค่เอื้อม ไม่เหลื่อมล้ำลังเลใจอยู่เนืองนิจ
ทำสิ่งใดเห็นแก่ตนจงพิชิต ความรู้ผิดต้องรู้แก้คู่กันมา
สองวันนี้ประชุมธรรมมาให้ครบ จงน้อมนบพุทธระเบียบในสถาน
ทุกทุกที่ต้องการระเบียบจากในญาณ สู่ทุกที่ไม่ไร้งานเพราะรู้ทำ
ในวันนี้พี่รับพระบัญชา มาคุมชั้นหวังว่าน้องจิตกุศล
ใจสะอาดบันดาลสุขในบัดดล เกิดเป็นคนบำเพ็ญได้คืนนิพพาน
จรดวางพู่กันลงคุมข้างเคียง
ฮวา  ฮวา   หยุด


วันเสาร์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมจือเจวี๋ย น้ำกระจาย จ.สงขลา
พระโอวาทพระนาจา และท่านจินถง

สิ่งที่มีหลักธรรมหมั่นใกล้ชิด สิ่งใดผิดหลักธรรมหมั่นไกลห่าง
ใบไผ่ไหวทอดเงาลงเบื้องล่าง ใจเคว้งคว้างเห็นใบไผ่เป็นอื่นไป
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจือเจวี๋ย  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกทุกคนตั้งใจฟังธรรมะหรือเปล่า

ทำสิ่งใดก่อนชำนาญระวังหนัก ประดุจถักทอผ้าแม้ยากเข็ญ
ต้องใช้ใจมุ่งศึกษาเพื่อบำเพ็ญ ใจต้องเย็นยังผลอุปสรรคจำกัด
เร่งฝึกก้าวเป็นผู้มีเมตตา แลอุตส่าห์เพียรบำเพ็ญด้วยไม่ประมาท
ศึกษาจนเข้าใจเพิ่มปัญญาแจ่มชัด คนจริงปฏิบัติชัดมุ่งมั่นปณิธาน
หวังก้าวไกลใช้ความกล้าตระหนัก ต้องรู้จักอุปสรรคฝ่าจึงจะผ่าน
ชีวิตบ้างราบรื่นบ้างหนามรังควาน บ้างยากเข็ญบ้างสราญสำรวมตน
สติตามแต่ปล่อยตามแต่ดึง บาปกรรมสร้างหัดคำนึงไม่สับสน
คนประมาทอย่าวางใจในตน สำนึกให้ช่วยอาจพ้นทันที
อดทนได้ไม่ประมาทผ่านทุกข์เข็ญ เวลาเบาเป็นหนักไม่ท้อหนี
ล้มเลิกกลางคันสุมปัญหามี ฉะนั้นที่ล้มย่อมหวังลุกพยายาม
ประสงค์ให้ผลได้ดังใจหมาย พยายามสู่จุดหมายใจหัดมองข้าม
อคติที่หมั่นเพียรคอยคุกคาม กิเลสลามผู้ตกหนักคือเรา
ฮิ  ฮิ   หยุด

หากเข้าใจผู้อื่นเรียกว่าผู้รอบรู้ แต่ในผู้เข้าใจตนเองเรียกว่ารู้แจ้ง
ชนะผู้อื่นคือผู้มีกำลังแรง ชนะตนเองคือผู้เข้มแข็งที่สุดเลย
เราคือ
จินถง ( ???? ) รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมจือเจวี๋ย   แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดา ถามเมธีทุกๆ ท่าน รู้จักความสุขที่แท้จริงหรือเปล่า

ต่างกันเพียงจิตใจ แต่เดินบนหนทางเดียว หากประมาทจะพลั้ง ต่างคนคอยจะลืม แต่สิ่งอันสมควรทำ จึงวุ่นวายดังนี้ อาจได้เห็นและได้รู้ไปหมด แต่ไม่แคล้วต้องคิดทบทวน เพราะไม่มีอะไรแน่นอน
ไม่สนใจไยดี อุทาหรณ์เตือนใจจดจำ รักจึงเตือนทั้งที่หวั่น ส่วนลึกคิดดูก็รู้ มุ่งหมายจะทำดี ต้องเข้าใจตนเองก่อนหนา ทุกข์ในใจจะไม่เปลี่ยน ถ้าเหมือนเดิม
คนพร้อมเพราะจิตพร้อม ก้าวเดินบนหนทางธรรม เดินกล้าเดินทั่วฟ้า ต่างมีความเข้าใจ ต่างเป็นดั่งแสงให้กัน ไกลแสนไกลย่อมถึง อาจไม่เห็นและไม่รู้ไปหมด ดั่งโง่เขลาขอคิดทบทวน แท้ที่จริงนั้นแหละเสรี
หากลำเค็ญมิทนอยู่เฉย ก้าวเดินเข้มแข็ง สู่ชีวางดงามเสมอด้วยคุณความดี ได้เหนือจิตใจตน
ชื่อเพลง : สู่หนทางธรรม
ทำนองเพลง : ปราสาททราย


พระโอวาทศิษย์พี่นาจา และท่านจินถง

พระนาจา อึดอัดเหลือเกินเก้าอี้แคบๆ ฟังตั้งนานไหนใครทุกข์บ้าง ไม่มีจริงๆหรือ ถามปั้นซื่อหน่อยว่านักเรียนในชั้นนั่งอย่างยิ้มแย้มหรือว่าหม่นหมอง ไหนลองพูดว่าสิบสี่แล้วยิ้มหน่อย เอาสิบสี่ยาวๆ นะไม่อย่างนั้นท่านจะยิ้มได้สั้น เห็นไหม ก่อนจะยิ้มได้ต้องหุบก่อนเพื่อเตรียมตัวที่จะยิ้มให้กว้างๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก่อนที่จะมีความสุขเราต้องรู้จักหันมามองตัวเองก่อน แล้วค่อยเปิดความสุขใจตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านจินถง มาแต่ตัว ใจไม่มาเหรอ เป็นคนมีหัวใจหรือเปล่า (มี)  เอาใจมาหรือเปล่า (เอามา)  ใจอยู่ที่ไหน
พระนาจา ใครแอบหลับยกมือขึ้น ทำไมชั้นนี้ไม่กล้ายอมรับความจริงเลยเราแอบเห็นนะ วันนี้อบอุ่นไหม (อบอุ่น)  มีคนอยู่ร่วมเยอะแยะเลยเราก็ดีใจ นานๆ จะได้เจอคนเยอะอย่างนี้ หาได้ยากใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านจินถง วันนี้อากาศดีนะ อากาศดีแม้คนจะแน่นหน่อยก็ไม่เป็นไรใช่หรือเปล่า (ใช่)
วันนี้มีใครมาแล้วยังงงๆ อยู่หรือเปล่า หายงงหรือยัง ไหนลองเอามือตัวเองมาตีสักครั้งหนึ่งสิ ตีแรงๆสิ รู้สึกตัวหรือยัง นี่ไม่ใช่ความฝันนะ ตอนนี้สายตาท่านเป็นสายตาที่งงสุดๆ เลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  ใครเป็นผู้ชายลองหลับตาดูสิ แค่ให้หลับตายังทำไม่ได้เลย ให้บำเพ็ญธรรมยิ่งทำไม่ได้ใหญ่เลย ท่านลืมตาขึ้นมาใหม่ ไม่เอาสายตางงนะ เอาแต่ตาที่มีความเข้าใจ
พระนาจา ตอนนี้ท่านเหมือนใบไผ่พอมีลมก็พริ้วไหวไปอย่างไม่ค่อยมั่นคง ในใจก็ลังเลว่าใช่หรือไม่ใช่ จริงหรือไม่จริง ลวงหลอกหรือว่าไม่ลวงหลอก แต่จะทำอย่างไรถึงจะสามารถพิสูจน์สิ่งที่คิดได้หวังได้ ก็ไม่ยาก ลองใช้ปัญญาของท่านพินิจพิจารณาดูว่าวันนี้เราสองคนหรือสององค์กำลังพูดสิ่งใด พูดแล้วน่าเชื่อถือมากเพียงไหน พูดแล้วดีหรือไม่ หากรู้ว่าดีหากรู้ว่าน่าเชื่อถือก็จงนำเอาไปคิด แต่หากว่าฟังแล้วไม่ดีไม่มีประโยชน์ไร้สาระก็จงโยนทิ้งไป แค่นี้เองทำได้ไหม (ได้)  ในการอยู่ร่วมกัน ถ้าเราเอาแต่ปิดประตูปิดหน้าต่างแล้วเราจะรู้ไหมว่านอกบ้านเกิดอะไรขึ้น (ไม่รู้)  ฉะนั้นเราอยู่ในบ้าน ถ้าเราเปิดประตูเปิดหน้าต่างแล้วท่านก็จะได้ยินเสียง เห็นในสิ่งที่กำลังปรากฏอยู่ตรงหน้าใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนตอนนี้เรามาเปิดใจสักนิดหนึ่ง อย่าเพิ่งสงสัยอะไร ลองเอาความสงสัยนี้เป็นปัญญาไปขบคิดพิจารณาดีกว่าไหม เป็นพุทธะหรือปุถุชนธรรมดาดี (พุทธะดี)  เป็นเซียนต้องฝึกหนักนะ ข้อหนึ่งต้องอดทน อดทนได้ไหม (ได้)  ข้อสองต้องไม่เห็นแก่ตัว ทำได้ไหม,  ข้อสามต้องไม่โลภ,  ข้อสี่ต้องมีจิตใจเมตตา,  ข้อห้าต้องใจกว้าง กว้างเท่าฟ้าหรือข้างฝา ถ้าเกิดเรามองดูตอนนี้ถามว่าเห็นแก่ตัวไหม (เห็น)  ใจกว้างไหม (ไม่ค่อยกว้าง)  เมตตาไหม (มีบ้างไม่มีบ้าง)  ทุกสิ่งที่ท่านกำลังเป็น ล้วนเป็นสิ่งที่ไกลห่างจากพุทธะและใกล้ปุถุชนมนุษย์ธรรมดาใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าหากฝึกฝนตัวเองเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็จะต้องพยายามไม่มีตัวตนทำได้ไหม ทำจิตใจให้สงบ มีเมตตา มีความอดทนและเสียสละทำได้ไหม (ได้)  ที่ตอบมาทำได้กี่วัน (ได้ตลอด)
ท่านจินถง มนุษย์เป็นประเภทขี้สงสัย ชี้โพรงไม่ได้อยากเป็นกระรอกเสมอๆ  ปกติว่าคนนี้ดีแต่พอคนอื่นบอกว่าคนนี้ไม่ดีท่านก็สงสัยแล้ว แล้วสงสัยไหมว่าตนเองดีหรือเปล่า (สงสัย)
พระนาจา ท่านยังไม่รู้ว่าเราสองคนเป็นใคร รอสักครู่หนึ่งเราจะแนะนำตัวให้รู้จัก อย่างน้อยเราเห็นชื่อของท่านในใบแล้วแต่ท่านยังไม่รู้จักเราใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์นั้นออกจะวุ่นวายสับสนในการดำเนินชีวิต วันๆ หนึ่งหาความสงบให้กับตัวเองเป็นเรื่องยากมากๆ ตื่นขึ้นมา พอมีแล้ว จากที่เคยใจกว้างก็มองแคบลงใช่ไหม (ใช่)  แต่หลายคนพอมีตัวตนก็มีตัวเขา พอมีตัวเราก็มีตัวเขา พอมีแบ่งเขาแบ่งเราจากฟ้าที่เคยกว้างก็กลายเป็นฟ้าที่คับแคบ จากจิตใจที่เคยมองเห็นคนอื่น คนอื่นก็กลายเป็นฝั่งนี้ฝั่งโน้น คนขาวคนดำ คนรักคนชั่ง เราชอบเราไม่ชอบใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเกิดมนุษย์เราอยากหาความสงบ แรกที่สุดถ้าทำได้ก็คือลดตัวตนให้น้อยที่สุด พอไม่มีตัวตนก็ไม่มีคนนี้ คนนี้คือตนที่ไม่ชอบ คนนี้คือตนที่ชอบ  ก็คือว่าไม่เขาไม่มีเรา พอเข้าใจไหม
พระนาจา ตอนที่ท่านลงมาเกิดท่านยังเป็นเด็ก ยังไม่รู้จักชื่อตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาที่ใครมากอดใครมาให้ความรัก เป็นอย่างไร ลองสังเกตดูเด็กๆ ก็ได้ว่าจะยิ้มแย้มแจ่มใสใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่พ่อแม่ของเรา เราก็ยังยิ้มแย้มแจ่มใส แปลว่าตอนเด็กๆ นั้นเรายังไม่รู้ว่าอะไรของเรา อะไรของเขาใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราโตขึ้นเรามีชื่อ เรามีของเป็นของเราเอง พอใครมาทำของของเราพังเราโกรธแค้นไหม พอใครมาทำร้ายร่างกายเรา เราเจ็บปวด เราโกรธแค้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ใจจะกว้างลงไหม ใจสงบลงไหม ไม่กว้างและไม่มีทางสงบใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะมีตัวของเราแล้วก็ของของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากว่าเราเกิดมา แม้มันจะทำร้ายเราตัวนี้ เราก็ต้องบอกว่ามันไม่เที่ยงไม่เป็นไร ให้อภัย พอคนมาเอาของของเราไปเราก็ต้องบอกว่า มันไม่แน่นอนวันนี้อยู่กับเราพรุ่งนี้ก็อยู่กับเขา เรากว้างขึ้นไหม (กว้าง)  อัตตาน้อยลงไหม (น้อยลง)  ฉะนั้นมีสิ่งหนึ่งที่เราอยากบอกท่านในการมาศึกษาบำเพ็ญธรรม นั่นก็คือการศึกษาบำเพ็ญธรรม ยิ่งศึกษามากเท่าไหร่ตัวยิ่งเบา อัตตาตัวตนหรือสรรพสิ่งยิ่งลดน้อยลง แต่ถ้าอยู่ในโลกยิ่งแสวงหายิ่งศึกษาก็มีแต่เพิ่มพูนมีแต่กลุ้มกังวล มีแต่หนักใจ มีแต่ห่วงกายห่วงใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการมาศึกษาบำเพ็ญธรรมเราก็จะต้องพยายามลดน้อยให้จิตเบาที่สุด ให้กายโปร่งใสที่สุด ตอนนี้อยากมาบำเพ็ญกันไหม (อยาก)  เราจะถามท่านอีกอย่างหนึ่ง มีมาก กับ มีน้อย อยากมีแบบไหน เราพูดเรื่องเมื่อสักครู่ไปแล้วว่า ยิ่งศึกษาบำเพ็ญธรรมอัตตาตัวตนยิ่งน้อยลง สิ่งที่สะสมยิ่งเบา แต่ถ้าท่านไปอยู่ข้างนอก ยิ่งแสวงหายิ่งเพิ่มพูน ใจยิ่งหนักหน่วง มีแต่ความวิตกกังวล  แล้วพอเราถามท่านว่ามากกับน้อยท่านเลือกอะไร (น้อย)
ท่านจินถง มีเงินน้อยๆ ดีไหม มีเงินน้อย ก็ไม่ต้องกลัวจนใช่หรือเปล่า (ใช่)  จะปล้นก็ไม่มีอะไรให้ปล้น สบายใจหรือเปล่า (สบายใจ)  มีกิเลสน้อยๆ ก็ดีใช่หรือเปล่า (ใช่)  มีกิเลสน้อย ก็ไม่ต้องหนักใจกลุ้มใจ  เพราะไม่ต้องอยากได้อะไรและไม่ต้องรับอะไรมากเกินเหตุใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วมีลูกน้อยๆ ดีไหม (ดี)  เพราะว่าลูกทุกวันนี้ก็ทำให้เรากลุ้มใจจะแย่ใช่หรือเปล่า (ใช่)
พระนาจา ไม่มีลูกเลยดีไหม (ดี)  ไม่มีสามีดีไหม (ดี)  ไม่มีภรรยาเลยดีไหม (ดี)  แต่ก่อนร้องไห้ไม่อยากแต่งงานๆ แต่พอแต่งแล้วสนุกดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านกลับไปกลับมาหลายครั้งเลยใช่ไหม เป็นเพราะว่าอะไร เพราะไม่ชั่งใจให้ดี มีอะไรก็ขอเกี่ยวไว้สักหน่อย แต่ก่อนตัวโล่งๆ ไม่ชอบ ต้องมีเยอะๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ก่อนตัวเปล่าๆ ไม่ชอบ ต้องมีพันธะใช่หรือเปล่า (ใช่)  พอมีพันธะ แล้วเป็นอย่างไร ท่านเองก็รู้ดีที่สุด เป็นธรรมดา ไม่มีก็อยากมี พอมีก็ไม่อยากมี
ท่านจินถง เหมือนเวลาท่านต้องเวียนว่ายตายเกิดเลยนะ พอวนสักรอบหนึ่งก็ยังพอไหว พอวนรอบที่สองก็หลงแล้วใช่หรือเปล่า  พอให้สร้างระหว่างบุญกับกรรมก็สร้างกรรมมากกว่าบุญ เพราะเห็นกงจักรเป็นดอกบัว  แล้วทุกวันนี้รับธรรมแล้วทุกข์ไหม อยากจะพ้นกรรมอันนี้หรือเปล่า ถ้าหากว่าท่านอยู่เฉยๆ ท่านจะพ้นกรรมไหม (ไม่พ้น)  ต้องทำอย่างไรละ (บำเพ็ญ) บำเพ็ญแล้วทำอย่างไร
พระนาจา บำเพ็ญคือเริ่มต้นขัดเกลาที่ตัวเอง หรือเริ่มต้นจากการทำดีเป็นพื้นฐาน แล้วค่อยก้าวไปสู่การบำเพ็ญตน เข้าใจไหม (เข้าใจ)  แต่จะทำดีได้นั้นต้องมีความเชื่อมั่นในความดีหรือศรัทธาในความดีก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าท่านไม่เชื่อมั่นในความดี ไม่ศรัทธาในความดี ท่านก็ไม่สามารถทำดีได้ตลอดรอดฝั่งจริงหรือไม่ (จริง)  แล้วเชื่อมั่นในความดีของใคร เชื่อมั่นในความดีของตัวเอง ที่ตัวเองก็มีดีและตัวผู้อื่นก็มีดีเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งเราทำดีไปเราไม่มั่นใจว่าตัวเองนั้นเป็นคนดี บางครั้งทำไปก็กลัวว่าเขาจะคิดว่าเราหวังผลใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีเราช่วยเหลือเขา เขาล้มเราจับเขาลุก แต่บังเอิญคนที่ล้มนั้นมีเพชรทองแพรวพราว เราก็กลัวว่าเราไปช่วยคนนั้นแล้วเราจะแอบดึงปลดสร้อย ปลดทองหรือเปล่าใช่ไหม (ใช่)  การทำดีของท่านจึงเป็นการทำดีที่ไม่เชื่อมั่นในความดีของตัวเอง และไม่เชื่อมั่นความดีจิตใจของผู้อื่นด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องเชื่อมั่นในตัวเองและต้องเชื่อมั่นในความดีของผู้อื่นอย่าได้คิดร้าย
ท่านจินถง สงสัยว่าเราต้องมาที่นี่บ่อยๆ  ไม่ค่อยมีใครรู้จักเราเลย ที่นี่ใครไม่รู้จักเราบ้าง รู้จักพระโพธิสัตว์กวนอินไหม (รู้จัก)
พระนาจา จินถงอยู่ข้างๆ พระกวนอิน  รู้ไหมว่าจินถงเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
ท่านจินถง รู้จักความสุขที่แท้จริงหรือเปล่า (รู้จัก)
พระนาจา ความสุขที่แท้จริงต้องเป็นความสุขที่ไม่กลับกลายมาเป็นความทุกข์อีก
ท่านจินถง ในชีวิตนี้ท่านมีอะไรที่เป็นความสุขแล้วไม่กลับกลายมาเป็นความทุกข์อีกบ้าง
พระนาจา ไม่มีเลยใช่ไหม (ใช่)  แม้จะมีเงินมากมายเพียงใดแล้วเรารู้สึกมีความสุข แม้จะประสบความสำเร็จในการงาน ในอาชีพ หรือในชีวิตมากมายเพียงใด เรามีความสุข แต่ความสุขนั้นก็กลับหมุนให้ท่านนั้นไปมีความทุกข์อีกใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านจินถง ในทางตรงกันข้าม ความสุขที่แท้จริงอาจจะต้องเริ่มต้นด้วยความทุกข์แล้วก็กลับมาเป็นสุขภายหลัง
พระนาจา แต่จะไม่เป็นสุขเมื่อกลับมาทุกข์อีกใช่หรือไม่
ท่านจินถง อย่างเช่นการบำเพ็ญธรรม ท่านต้องเริ่มต้นด้วยการขัดเกลาตัวเอง และการขัดเกลาตัวเองก็ทำให้ท่านนั้นทุกข์ด้วย แต่หลังจากที่ท่านบำเพ็ญธรรมได้สำเร็จแล้วท่านก็ไม่ต้องกลับมาทุกข์อีกเลย
พระนาจา แต่ในใจบอกว่าจะบำเพ็ญให้สำเร็จนั้นเป็นเรื่องยากใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่บอกว่าให้อภัยคนคนหนึ่งหรือให้อภัยคนตลอดชีวิต เรายังต้องคิดแล้วคิดอีกเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากท่านออกไปแล้วมีคนต่อยท่าน ให้ท่านท่องเอาไว้ อภัย อภัย ทำได้ไหม (ได้)  หากอภัยแล้วเขายังตบยังเตะท่าน จะอภัยไหม จงให้อภัยเถิดหากท่านเตะตอบต่อยตอบผลเป็นอย่างไร
ท่านจินถง พอโดนเขาเตะเขาต่อยแล้วท่านก็เอายาทา ต้องทาให้ถึงใจด้วย ถึงจะหายเจ็บใช่หรือไม่ โดยส่วนใหญ่เวลาโดนเตะโดนต่อยมักจะทายาที่ไหน
ท่านจินถง ทาที่แผลใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ตอนนี้ต้องเปลี่ยนมาทาที่ใจแล้ว
พระนาจา ทาที่ใจตัวเองแล้วบอกว่าไม่เจ็บนะ อภัยนะ อย่าโกรธเขา เราอาจมีกรรมกับเขามา เพราะถ้าท่านเตะกลับ ต่อยกลับ นอกจากตัวท่านเดือดร้อน ครอบครัวท่านเดือดร้อนไหม (เดือดร้อน)
พระนาจา สังเกตเวลาคนแก้แค้น บางทีเขาจะไม่แก้แค้นแค่ตัวเราคนเดียว แต่จะแก้แค้นกับคนที่ท่านรักที่สุด ห่วงที่สุด กังวลที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้ท่านอาจจะยังไม่เชื่อเราแต่ท่านลองไปพิสูจน์เอาเอง ถ้าท่านเคยทำใครให้เขาแค้น ถ้าเขากลับมาล้างแค้นกับท่าน บางทีเขาอาจจะไม่ได้ล้างแค้นที่ตัวท่าน  ท่านห่วงอะไรมากที่สุดเขาก็จะเอาสิ่งที่ห่วงของท่านไป ท่านรักอะไรมากที่สุด เขาก็จะลงกับคนที่ท่านรักที่สุด เพราะเจ็บยิ่งกว่าทำที่ตัวท่านจริงไหม (จริง)  
พระนาจา ท่านลองคิดดูนะ ถ้าท่านเจอหน้าใครสักคนที่ไม่รู้จักกันอยู่ๆ ท่านก็หน้าบึ้ง มิตรหรือศัตรูที่ท่านจะได้เจอ ศัตรูจริงไหม (จริง)  การยิ้มไว้เป็นการเปิดโอกาสให้เราผูกมิตรกับทุกๆ คนเป็นการสร้างอัธยาศัยที่ดีไม่ใช่หรือ (ใช่) 
ท่านจินถง เราจะบอกให้ที่เราให้ท่านยิ้มเพราะอะไรรู้ไหม การยิ้มนั้นแสดงถึงจิตใจที่เบิกบาน แล้วหากว่าท่านนั้นยิ้มบ่อยๆ ท่านก็จะอายุยืน มีคนรักท่านเยอะๆ
พระนาจา ไม่อย่างนั้นจะต้องไปเข้าคอร์สฝึกยิ้ม เสียเงินหลายบาทกว่าจะยิ้มให้ออก
พระนาจา เราเห็นมากกว่านั้นด้วยนะ เชื่อไหมถ้ายิ้มไม่ออกต้องมีเครื่องช่วยยิ้มด้วย เราเห็นแล้วเราสงสารจริงๆ เลยเป็นเพราะว่าเขาเครียด วันๆ เอาแต่ทำงาน หมกมุ่นอยู่กับงาน งาน งาน เงิน เงิน เงิน เวลายิ้มก็เลยยิ้มไม่ออก
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตานำกระดาษเปล่าออกมา และให้นักเรียนในชั้นหยิบเงินของตัวเองออกมา)
ท่านจินถง เงินกับเศษกระดาษเหมือนกันไหม (เหมือนกัน)  เงินกับเศษกระดาษมีอยู่แค่นี้ ถ้าเผื่อว่าเงินเป็นเศษกระดาษ มีอยู่เท่านี้เองใช่หรือเปล่า (ใช่)  เงินก็คือเศษกระดาษอันหนึ่ง แม้ว่าเงินนั้นสามารถจะนำมาแลกสิ่งของได้ แต่เราอยากจะรู้ว่า เงินท่านทำให้ท่านโลภได้หรือเปล่า (ได้)  ถ้าเกิดเงินทำให้ท่านโลภได้ แล้วท่านคิดว่าคนโลภสำเร็จเป็นพุทธะได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วท่านอยากได้เงินไว้มากๆ แล้วท่านไม่สามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ต้องหาเงินทั้งชีวิตคุ้มหรือเปล่า (ไม่คุ้ม)
ท่านจินถง พุทธะไม่ต้องใช้เงิน พุทธะใช้แต่กุศลใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามีกุศลเยอะๆ แต่ไม่มีเงินสักบาท ท่านมีเงินเยอะแยะ แต่ไม่มีกุศลสักหน่อยใช่ไหม (ใช่)
ท่านจินถง ระวังนะ คนที่มางานประชุมธรรมสองวันนี้ยังสูบบุหรี่อยู่ คนที่สูบบุหรี่ถือว่าผิดพุทธระเบียบรู้ไหม ท่านไม่มีเงินเราไม่ว่า แต่ท่านไม่มีบุหรี่เราจะดีใจมาก ถ้าท่านสูบบุหรี่ก็ถือว่าท่านทำผิดกฎ แล้วคนทำผิดกฎต้องทำอย่างไร ก็ต้องถูกลงโทษใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วใครลงโทษ
พระนาจา บางทีไม่ต้องให้พุทธะลงโทษตัวท่านเองก็รู้แก่ใจดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบางครั้งถ้าเรารู้แก่ใจดีขนาดนี้แล้วจงรีบแก้ เพราะตัวเองลงโทษตัวเองยังเบานัก อย่ารอให้พุทธะ อย่ารอให้คนอื่นลงโทษ เพราะเขาลงโทษแล้วจะไม่มีการให้อภัยและไม่มีการขอแก้ไขด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านจินถง พุทธะไม่ได้ลงโทษหรอกนะแต่เป็นฟ้าลงโทษ กลัวหรือไม่กลัว (กลัว)  ปรากฏการณ์อะไรทางธรรมชาติเหมือนฟ้าโกรธที่สุด (ฟ้าผ่า)  กลัวไม่กลัว (กลัว)  ปรากฏการณ์อะไรทางธรรมชาติของฟ้าที่เหมือนฟ้าใจดีและอารมณ์ดีที่สุด ฟ้าโปร่งใสใช่หรือเปล่า (ใช่)  ปรากฏการณ์ทางฟ้าที่เหมือนฟ้าอารมณ์ดีที่สุด (ฟ้าสวย)  (ฟ้าแจ่มใส)
พระนาจา เรามาครั้งนี้ไม่ใช่ให้ท่านมาขอหวย อย่าเข้าใจผิดห้ามจุดธูป 36 ดอก 16 ดอกด้วย เราหายใจไม่ออก ความหมายที่เราอยากจะบอกก็คือ ถ้าหากว่าถูกหวย คือการเอาบุญกุศลที่ท่านมีทั้งชีวิตของท่านมาถูกครั้งหนึ่ง ท่านยอมหรือไม่ สู้ค่อยๆ เจอบุญทีละนิดๆ ย่อมดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะหลายครั้งพอถูกหวยหนึ่งครั้งในชีวิตเป็นอย่างไร ตกอับไปตลอดชีวิตเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นไม่ต้องถูกหวยดีกว่า
ฉะนั้นจงรู้จักทำดีไว้ การทำดีนั้นจะเป็นส่วนที่ทำให้เราพบแต่สิ่งที่ดีเฉกเช่น การคิด หากเราคิดดีแม้คนอื่นจะนินทาว่าร้ายเรา เขาก็ไม่สามารถทำร้ายอะไรเราได้จริงหรือไม่ (จริง)  ท่านเคยเห็นไหม มีคนว่าท่านแต่ในใจท่านยังบอกว่าเขากำลังสวดมนต์ ท่านก็ยิ้มตอบ เขายิ่งเป็นอย่างไร  เขาต่อยหน้า ท่านก็ยิ้มและบอกไม่เป็นไร เราให้อภัย แต่เราบอกว่าอย่าต่อยอีก เจ็บ  จากที่เขามีโมโห เขาก็คงโกรธท่านน้อยลง จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าหากเขาต่อยท่านแล้วท่านบอกโกรธๆ ๆ  เขาก็ยิ่งตามต่อยต่อ  การบำเพ็ญธรรมจึงไม่ใช่เรื่องยาก เริ่มต้นทำแต่สิ่งที่ดี คิดดี พูดดี ทำดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งนี้ท่านล้วนรู้อยู่แก่ตัวของท่านเอง  อะไรที่ไม่ดีจงอย่าพูด อะไรที่ไม่ดีจงอย่ามอง อะไรที่ไม่น่าฟังจงปิดหู อย่าฟัง สังเกตดูเพื่อนๆ ท่าน ไปว่าเขาเห็นแก่ตัวคดโกง ก็เขาเป็นเพื่อนท่านจริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นหากมองสิ่งใดอย่าวัดคนอื่นแค่เพียงเปลือกนอก และอย่าได้คิดร้าย บางครั้งต้องถามตัวเราเองก่อนว่าเราวางรากฐานดีหรือยัง ถ้าเราวางรากฐานดีแม้เราจะไปอยู่ที่ไหนก็ย่อมมีแต่คนดีรอบข้างใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าท่านวางรากฐานไม่ดี แม้ท่านจะเอาอำนาจมาข่มขู่ แม้ท่านจะเอาเกียรติยศมาบังคับก็จะทำได้อย่างไม่เต็มใจทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีแต่นำความดีไปนำเขา แล้วก็ชักจูงให้ทำแต่สิ่งที่ดี แล้วเขาจะทำตามโดยที่เราไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจบังคับ และไม่ต้องพูดจนปากเปียกปากแฉะ จริงหรือไม่ (จริง)  แต่วันนี้พุทธะพูดจนปากเปียกปากแฉะใช่หรือเปล่า (ใช่)  ให้ความดีของท่านเป็นความดีที่ศักดิ์สิทธิ์ ทำแล้วมีแต่คนชื่นชม ทำแล้วใจเป็นสุขปลาบปลื้ม ใช่ไหม (ใช่)  แต่ตอนนี้เรากลับทำดีแบบขอไปที ทำดีตามประเพณี ทำดีตามหน้าที่ จริงใหม (จริง)  เราเคารพเจ้านายไม่ใช่ด้วยความเคารพ แต่เคารพเพราะเขาเป็นเจ้านาย เรารักลูกน้องไม่ใช่รักเพราะเขาเป็นลูกน้อง แต่เรารักเพราะเป็นหน้าที่ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเดี๋ยวนี้พ่อแม่รักลูกตามหน้าที่หรือเปล่า รากฐานการทำดีควรเริ่มต้นที่ครอบครัว  เอาง่ายๆ เราต้องทำอย่างไรต่อพ่อแม่จึงเรียกว่าทำความดี (กตัญญูรู้คุณ)  พ่อแม่ต้องรักลูก น้องต้องเคารพพี่ พี่ต้องเอ็นดูน้อง ตัวเราต้องรักน้อง แต่ถ้าเราเป็นน้องเราต้องเชื่อฟังพี่ใช่หรือไม่ (ใช่)  จงเอาคุณธรรมในการอยู่ในครอบครัวไปใช้ในสังคม  ใครทำดีมีพระคุณจงตอบแทนด้วยความกตัญญูรู้คุณ  ใครที่มีศักดิ์เป็นนายเรา เป็นผู้ใหญ่กว่าเรา หรือตำแหน่งเดียวกัน แต่มีศักดิ์เป็นพี่เรา จงมีความ (กตัญญู)  ท่านอย่าตอบแบบขอไปทีสิคิดด้วย คิดด้วย  ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่า การทำดีแบบแบ่งแยกไม่ถูก เหมือนเวลาท่านเห็นคนขายผ้าไหมคนหนึ่งเย็บแบบสุ่มสี่สุ่มห้า อีกคนหนึ่งเย็บแบบละเอียด แล้วท่านให้ราคาเท่ากันนั่นแหละ ท่านให้คุณค่าความดีที่ผิดใช่ไหม (ใช่)  และสนับสนุนคนทำแบบสักแต่ว่าทำ ให้เทียบเท่ากับคนที่ทำแบบละเอียด จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเวลาท่านปฏิบัติต้องคิดด้วย ต่อคนที่มีพระคุณ จงกตัญญูรู้คุณ ต่อผู้ที่มีอายุมากกว่าแต่เป็นแค่พี่จงให้ความเคารพนับถือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต่อผู้ที่มีอายุน้อยกว่า จงให้ความเมตตารักใคร่และเอ็นดู ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือการนำความดีมาใช้ให้ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นตัวท่านนั่นแหละ จะตีความดีให้หมดราคา จริงหรือไม่ (จริง)  ต้องแยกให้ออกด้วยนะ ทำดีไม่ใช่เรื่องยากเลย อยู่ที่ว่าเราคิดถึงเราได้ตั้งใจจะทำหรือไม่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  จริงๆ ท่านไม่ต้องให้เราบอกหรอก ท่านมีมโนธรรมสำนึกในใจท่าน ตัวท่านที่แท้จริงมักจะบอกเสมอ เวลาที่เราจะก้าวไปทำผิด ใจเราลึกๆ เคยบอกไหมว่าอย่าทำเลยมันบาป มีไหม (มี)  แล้วใครเคยเอาชนะแล้วไม่ทำบ้าง เหมือนเราเจอเงินหนึ่งร้อยบาท มีใครตะครุบเก็บทันทีบ้าง เจอตู้โทรศัพท์โดยที่เงินหยอดไปเท่าไหร่ก็ไหลกลับมาเก็บเข้ากระเป๋าบ้าง อย่างนี้เรียกว่า มีความดีแต่ไม่เอาความดีไปใช้ ไปสำนึกรู้ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วอย่างนี้เรียกว่าคนยุติธรรมหรือคนฉ้อฉล (ฉ้อฉล)  ท่านเก็บหนึ่งร้อยของคนอื่นไปแล้วคนที่สูญเสียเงินหนึ่งร้อยไม่น่าสงสารหรือ ทุกคนเคยเงินหายไหม (เคย)  เงินหายแล้วเจ็บใจเหลือเกินที่ทำไมตัวเองไม่มีสติมากกว่านี้ ไม่รอบคอบมากกว่านี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมไม่คิดกลับกันว่าคราวหน้าตัวเองเห็นเงินแล้วจะไม่เก็บอีกต่อไปแล้วใช่ไหม (ใช่)  เพราะเจ้าของเขาจะมาเก็บเอาเอง แต่สังคมในปัจจุบันนี้ทุกคนต่างแย่งได้แย่ง เอาได้เอา มากได้มากใช่ไหม (ใช่)  แล้วท่านจะเหลืออะไรจริงไหม (จริง)  ปลามีกี่ตัวในแม่น้ำ ช็อตให้หมด ตายให้หมด เอามากินคนเดียว จริงไหม (จริง)  โหดร้ายไหม โหดร้ายนะ ถ้าเกิดฟ้าเห็นมนุษย์มีกี่คนจับตายให้หมดเลย อย่าว่าพุทธะโหดร้ายไม่ได้ ฉะนั้นอยู่ร่วมกันจงคิดถึงหัวอกเขาหัวอกเราด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นใจเราอย่าลืมเห็นใจเขาด้วย มนุษย์อยู่ในโลกนี้อดไม่ได้ที่จะหลงไปตามกระแสโลก ตรงโน้นสีสวยวิ่งไปตามสี ตรงโน้นเสียงดีวิ่งไปตามเสียง ตรงโน้นหล่อดีวิ่งไปตามความหล่อ ตรงโน้นสวยดีวิ่งไปตามความสวย  เราวิ่งไปหาสิ่งที่ หู ตา จมูก เราได้สัมผัส ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผู้บำเพ็ญธรรมแล้วต้องรู้จักปิดหูปิดตาบ้าง ต้องรู้จักปล่อยบ้าง เพราะเราไม่รู้จักว่าช่วงที่เราวิ่งไปนั้นจะได้กลับมายืนอยู่ตรงนี้หรือไม่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นก่อนจะวิ่งไปตามหู ตา จมูกนั้นจงคิดไตร่ตรองให้ดีว่า ค่าของชีวิตที่วิ่งไปนั้นมีคุณค่าไหม ไปแล้วได้ประโยชน์อะไรกับตัวตน และการเป็นมนุษย์คนหนึ่งถ้าไปแล้วสวยขึ้นมานิดหนึ่ง ไปแล้วได้เพิ่มอีกนิดหนึ่งบางครั้งลดน้อยบ้างจะเสียอะไร จริงไหม (จริง)  มนุษย์ชอบมีมากๆ ชอบสวยๆ แต่อย่าลืมว่าไม่สวยนั้นก็มีเหมือนกันใช่หรือเปล่า (ใช่)  สวยมากๆ ท่านกล้าออกไปเดินกลางคืนไหม กล้าไหม (ไม่กล้า)  ใส่ทองเยอะๆ ท่านกล้าออกไปเดินตามถนนไหม (ไม่กล้า)  มีทองเก็บในตู้เซฟ มีเงินเก็บในบ้านมีประโยชน์อะไร
ท่านจินถง ปรากฏการณ์ที่ฟ้าอารมณ์ดีคือฟ้าแจ่มใสใช่หรือเปล่า ฟ้าที่กำลังมีฝนตกคือฟ้ามีเมตตาที่สุดใช่หรือเปล่า เพราะว่าชาวนาจะได้ปลูกข้าวขึ้น ร่างกายของท่านทุกคนต้องการข้าวไหม (ต้องการ)  ฉะนั้นฟ้าที่กำลังมีฝนตกก็มีเมตตาที่สุด เวลาที่ท่านไม่ได้ทำนาแต่ว่าท่านยืนตากฝนอยู่ท่านจะโทษฟ้าไหมว่าเวลานี้ไม่น่าให้ฝนตกเลย ท่านคิดอย่างนี้หรือเปล่า ท่านต้องคิดว่าฝนตกไปทั่วฟ้าแล้วน้ำฝนก็ต้องไปถึงชาวนา ถ้าหากฝนไม่ตกท่านก็ไม่มีข้าวกิน  คำตอบง่ายๆ ท่านตอบไม่ได้สักคนหนึ่ง ขนาดรู้คำตอบอยู่แล้วนะ แสดงว่าฟังหูซ้ายทะลุออกหูขวา และก็เป็นคนขี้ลืมที่สุดในโลกทั้งชั้นเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  และเป็นคนที่ช้า ด้วย ถ้าหากว่าบำเพ็ญธรรมแล้วท่านขี้ลืมอย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะว่าบางทีท่านอาจจะลืมตัวเอง คนลืมตัวเองน่าเกลียดไหม (น่าเกลียด)  แล้วท่านลืมตัวเองหรือเปล่า คนที่เมื่อก่อนเคยจน พอเวลามีเงินแล้วไม่เห็นหัวใครอย่างนี้น่าเกลียดไหม แล้วท่านคิดว่าเวลาท่านมีเงินมากๆ ท่านจะลืมตัวหรือเปล่า (ไม่ลืม)  ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเงินเยอะ เอาแค่ตัวเองก็พอ ท่านลืมตัวในตอนไหนบ้าง ก็ลืมตัวในตอนที่ท่านมีอะไรเยอะแยะ อาจจะเป็นเสื้อผ้า เงินทอง บ้านและรถ ลูกเราได้ดีแล้วเราก็ลืมเพื่อนบ้านที่เคยช่วยเรามา อย่างนี้ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นคนเป็นคนบำเพ็ญธรรมนั้นจะเป็นคนขี้ลืมไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เป็นคนบำเพ็ญธรรมนั้นอีกอันหนึ่งที่พูดถึงก็คือ อย่าเป็นคนที่ฟังเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา บางคนที่เป็นญาติธรรมเก่าขยันมาสถานธรรมมาฟังธรรมะดี แต่ว่าฟังอย่างไรก็ฟังเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา ที่ฟังไปก็เหมือนก็ไม่ได้ฟัง แม้ว่าท่านจะมีกุศลมากมายในการฟังธรรมะ แต่ท่านก็ไม่สามารถฟังแล้วปฏิบัติได้ ฉะนั้นผลดีก็ไม่ได้อยู่ที่ตัวท่านเอง การฟังธรรมะในวันนี้ก็เหมือนกัน แค่สองวันเป็นการเริ่มต้น การเริ่มต้นนี้ท่านก็ต้องตั้งใจฟังธรรมะ ท่านจึงจะได้มีกุศล แต่ว่ากุศลที่แท้จริงคือท่านฟังแล้วปฏิบัติได้ด้วย อย่างเช่นท่านฟังแล้วพูดว่าเป็นคนบำเพ็ญธรรมต้องไม่ขี้ลืม ท่านก็อย่าได้ลืมตัว ถ้าหากว่าท่านทำได้ ท่านก็มีลักษณะของคนบำเพ็ญธรรมเพิ่มขึ้นมาอย่างหนึ่งแล้ว
ท่านจินถง คนมีชีวิตร่างกายนิ่มหรือแข็ง (นิ่ม)  คนตายนิ่มหรือแข็ง (แข็ง)  ต้นไม้เป็นแข็งหรือนิ่ม (นิ่ม)  ต้นไม้ตายแข็งหรือนิ่ม (แข็ง)  ต้นไม้เป็นจะนิ่ม ต้นไม้ตายก็จะแข็งกว่า หลักธรรมที่แฝงอยู่ในนี้ก็คือว่า คนเรานั้นเมื่อยังมีชีวิตอยู่ เมื่อต้องการบำเพ็ญธรรมทุกท่านนั้นจะต้องทำตัวของท่านนั้นให้นิ่มๆ นิ่มจากไหน นิ่มจากใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องเป็นคนที่สุภาพอ่อนน้อม ต้องเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน การยอมนั้นถ้าหากว่าท่านต้องยอมไปเพื่อเสียเปรียบ แต่ถ้าลองคิดให้ดีนั้นเป็นการได้เปรียบใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาที่คนอ่อนน้อมมากๆ อ่อนน้อมไปเรื่อยๆ ใครเห็นใครก็รัก แต่ว่าเราเห็นหลายคนที่บำเพ็ญธรรม เวลาอ่อนน้อมมักจะอ่อนน้อมแต่ข้างนอก แต่ข้างในแข็งมากใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบันไดมีหลายขั้นการฝึกฝนของท่านก็คือต้องก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ แม้ว่าตอนนี้ท่านจะอ่อนน้อมเฉพาะภายนอก แต่วันหนึ่งท่านต้องทำให้จิตใจของท่านอ่อนน้อมออกมาจากจิตใจได้จริงๆ จึงจะมีคุณค่า ตัวท่านนั้นจึงเหมือนกับธรรมชาติ เมื่อท่านเหมือนกับธรรมชาติแสดงว่าท่านก็มีธรรมะ ถ้าหากว่าใครอยากจะเป็นผู้มีธรรมะก็จำเป็นที่จะต้องหัดให้เหมือนธรรมชาติ อย่างเช่นเมื่อเรามีร่างกายมีชีวิต ตอนนี้เราไม่ใช่คนตาย เรามีความรู้สึกเราจึงต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน แต่หากว่าคนที่ใช้ความรู้สึกในการที่จะเดินงานธรรมะและการบำเพ็ญมากเกินไป การเดินงานธรรมะและการบำเพ็ญของท่านนั้นก็จะล้มเหลว เพราะว่าใช้ความรู้สึกมากเกินไป  คนเรานั้นมีความรู้สึกดี รู้สึกแย่ รู้สึกโกรธ รู้สึกหิว รู้สึกเกียจ รู้สึกชัง รู้สึกชอบ และยังมีความรู้สึกอีกมากมาย  ฉะนั้นท่านจึงต้องบำเพ็ญธรรมและเดินงานธรรมะอย่างคนที่ไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย ถ้าหากว่าท่านสามารถขจัดความรู้สึกส่วนตัวของท่านออกทิ้งได้ ท่านก็จะบำเพ็ญธรรมะได้อย่างมีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านอยากมีความสุขในการบำเพ็ญธรรมะไหม เพราะฉะนั้นท่านจะต้องตัดความรู้สึกส่วนตัวทิ้งให้มาก ท่านดูสิว่าหูท่านมีกี่ข้าง (สองข้าง)  ตามีกี่ดวง (สองดวง)  ปากมีกี่ปาก (หนึ่งปาก)  แสดงว่าให้ท่านฟังเยอะๆ ดูเยอะๆ แต่พูดน้อยๆ ถ้าหากว่าท่านพูดน้อยท่านก็จะมีปัญหากับคนอื่นน้อย  แต่ในทุกวันนี้ที่เราเห็นก็คือ ท่านเป็นคนที่ชอบพูดเยอะแต่ฟังน้อยแล้วก็ดูน้อย แล้วหนำซ้ำเวลาดูท่านก็ดูไปตามความคิดของท่าน เห็นคนเขาป่วยท่านก็ว่าไม่ป่วยหรอก เพราะว่าท่านคิดว่าเขาไม่ป่วย เคยเจอไหมแบบนี้ เวลาเราเห็นเขาป่วยแต่ใจเราไม่ชอบเขา เราก็คิดว่าคนที่เราไม่ชอบนั้นป่วยไม่เป็นหรอก แล้วเวลาที่เราไม่ชอบใครอีกคนหนึ่งเวลาที่เราไม่ชอบเขาเราก็จะมองเขาดีได้ไหม (ไม่ได้)  มองเขาก็ไม่ดี ป่วยก็ไม่เป็น พูดก็ไม่ถูกอย่างนี้ใครมีปัญหา เพราะฉะนั้นท่านจะต้องบำเพ็ญใหม่ คนที่เป็นอย่างนี้จะต้องเริ่มรู้จักเข้าใจตัวเองใหม่ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าท่านไม่รู้จักเข้าใจตัวท่านเอง
มีนิทานอยู่เรื่องหนึ่ง มีผู้ชายอยู่คนหนึ่งเขาไปซื้อสัตว์มาเลี้ยง เลี้ยงลิงไว้ตัวหนึ่ง เลี้ยงเต่าไว้ตัวหนึ่ง เขาก็สร้างอาณาบริเวณให้ลิงตัวนี้ปีนป่ายสบาย แล้วก็สร้างอ่างใหญ่ๆ ให้เต่าตัวนี้ได้แหวกว่ายไปสบายๆ  แล้ววันหนึ่งด้วยความซุกซนของลิงตัวนี้ก็ปีนไปมา เมื่อเห็นเจ้าของของตัวเองเป็นคนที่ทำอะไรชักช้าอืดอาดมาก คนนั้นชักช้ากว่าลิงใช่หรือเปล่า (ใช่)  เสร็จแล้วเต่าตัวนี้ก็เหมือนกัน สระน้ำก็ติดกับข้างๆ บ้าน เต่าตัวนี้ก็คิดในใจทำไมเจ้าของของเราแก่ไวจัง ท่านว่าคนนั้นจะคิดกับลิงอย่างไร คิดกับเต่าอย่างไร ท่านคิดกับลิงอย่างไร เต่าคิดอย่างไรกับคน คนคิดกับเต่าอย่างไร เต่านั้นก็เป็นสัตว์ที่คนซื้อมาเลี้ยง ส่วนลิงก็เป็นสัตว์ที่คนซื้อมาเลี้ยง ส่วนคนนั้นก็สามารถที่จะยืนหยัดท่ามกลางฟ้า ดินได้ แต่ว่าในความคิดนั้น เต่าก็มีความคิด ลิงก็มีความคิด คนก็มีความคิด  เราเปรียบเทียบทั้งเต่าทั้งลิงนี้เหมือนกับคนอื่นที่นอกเหนือจากท่าน ทุกๆ คนนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ทุกๆ คนนั้นมีข้อดีเฉพาะตัวที่คนอื่นนั้นก็เลียนแบบไม่ได้ ท่านเลียนแบบเขาไม่ได้ เขาก็เลียนแบบท่านไม่ได้ ฉะนั้นอย่าคิดว่าคนไหนดีกว่าคนไหน ดีหรือไม่ (ดี)  ท่านอยากจะได้วงการธรรมะที่สงบสุขท่านก็ต้องพูดให้น้อยๆ ดูให้เยอะๆ แต่อย่าดูอย่างคนตาเอียง หูก็ต้องฟังให้เยอะๆ แต่อย่าฟังอย่างคนหูหนวกเข้าใจหรือไม่
พระนาจา เมื่อฟังอะไรแล้วก็จงสำรวจที่ตัวตนเอง ไม่ใช่ว่าฟังอะไรแล้วก็บอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์กำลังว่าคนนั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดเหมือนคนนั้นเลย อย่างนี้ไม่ได้นะ พอสิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดอะไรหรือพุทธะหรือใครพูดอะไร ต้องหันมาสำรวจตัวเองว่าเราเป็นอย่างนั้นไหม เรามีข้อบกพร่องหรือเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่บอกว่า
สิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดอย่างนี้แล้วว่าคนโน้น ว่าคนนี้ ไม่ใช่แบบนั้น
ขณะนี้ฝนตกถ้าจิตท่านไม่สงบท่านจะฟังสิ่งที่เราพูดไม่แจ่มชัดใช่หรือไม่ (ใช่)  น้ำไหลไม่อาจสะท้อนจิตใจเดิมแท้ของมนุษย์ได้ฉันใด จิตมนุษย์ที่วุ่นวายสับสนก็ยากมองเห็นตัวตนที่แท้จริงได้ฉันนั้น  นั่นก็คือว่าจิตใจของมนุษย์ ตราบใดที่ยังวุ่นวายสับสน ยังหมกมุ่นกับการแสวงหาอย่างไม่รู้พอ เราก็ยากที่จะมองเห็นตัวตนที่แท้จริง พุทธะที่แอบแฝงในตนใช่หรือไม่ (ใช่)  มีแต่จิตที่นิ่งๆ เท่านั้นจึงสามารถสะท้อนเห็นความเป็นตัวตนที่แท้จริงได้ ทุกๆ ท่านต่างมีจิตแห่งพุทธะอยู่ที่ตัวตน แต่จิตของพุทธะนี้จะเป็นจิตพุทธะที่สามารถส่องประกายและนำความสุขสงบอันแท้จริงมาให้กับตัวตนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าเราได้เคยหันไปมองตัวเราไหม เราเคยได้ทำชีวิตให้สงบนิ่งหรือเปล่า ทุกวันที่วุ่นวายเราจะไม่มีทางเห็นตัวตนที่แท้จริงใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกวันที่แสวงหาเราไม่มีทางที่จะพบความเป็นพุทธะในตัวตนใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงต้องหาความสงบท่ามกลางความวุ่นวาย หาความนิ่งท่ามกลางความเคลื่อนไหวใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราจะทำอย่างไรได้ล่ะ บางครั้งตัวอยู่นิ่งแต่ใจฟุ้งซ่าน บางครั้งกายเคลื่อนไหวแต่ใจกลับไม่ยอมสงบนิ่ง จับอะไรก็จับได้ แก้อะไรเปลี่ยนอะไรเราก็สามารถเปลี่ยนได้ แต่แก้ไขตัวตนเองไม่ดีให้ดียิ่งขึ้นเรารู้สึกเป็นเรื่องยากใช่หรือไม่ (ใช่)  ควบคุมตัวตนยังพอทำได้ แต่ควบคุมใจไม่ให้คิดผิดคิดร้ายเป็นเรื่องยากใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเคยคิดหรือไม่ว่าตัวของมนุษย์เรานั้นเห็นกันอย่างนี้ไม่น่ากลัว แต่ใจของมนุษย์ที่มองไม่เห็นนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเห็นเขาอยู่กับเราดีกับเรา แต่ไม่มีใครหยั่งลึกได้ว่าเขาใจดีกับเราด้วยไหมใช่หรือเปล่า (ใช่)
การฝึกฝนบำเพ็ญธรรม การรู้จักชะตาชีวิต รู้จักความเป็นจริงของชีวิตจะทำให้เราสามารถมองเห็นคนได้ทั้งกายและใจ สนใจไหม อยากได้ไหมวิชานี้ วิชาที่มองเห็นคนได้ทั้งกายและใจเห็นเขาอย่างรู้หน้าและรู้ใจ สนใจไหม (สนใจ)  ท่านเคยเห็นไหมคนบางคนมีสัมผัสที่หก เขานิ่งจนกระทั่งสามารถรู้ว่าอะไรมาถึง อะไรกำลังไป และอะไรกำลังมาใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่รู้แค่คนมา คนไป คนอยู่ คนตาย จะมีประโยชน์อะไรกับการได้รู้แจ้ง ไปแล้วไม่ต้องมา อันไหนดีกว่ากัน (รู้แจ้ง ไปแล้วไม่ต้องมา)  ทุกคนอยากมีสัมผัสที่หกที่สามารถรู้ได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเองในวันพรุ่งนี้หรือนาทีต่อไปนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราบอกว่าการรู้แบบนี้กับการรู้แจ้งไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด พ้นทุกข์จากการมีร่างกายมนุษย์นี้ตั้งแต่ยังเป็นคน สิ่งไหนดีกว่ากัน รู้แจ้งย่อมดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้จะรู้ว่าอะไรจะเกิดแต่ท่านเปลี่ยนแปลงได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนวันนี้ท่านรู้ว่าพรุ่งนี้ออกไปต้องตายแน่นอน พรุ่งนี้ออกไปต้องมีคนแทงแน่นอน มีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  แต่ถ้าเกิดว่าเราสามารถศึกษาบำเพ็ญธรรม รู้จักนำธรรมมาใช้ชีวิต ธรรมนั้นช่วยให้เราดับทุกข์ และมีสุขในการดำรงชีวิตอยู่กับตนเองหรือกับผู้คนแบบไม่ต้องกลับมาทุกข์อีก อันไหนน่าสนใจมากกว่ากันล่ะ การรู้แจ้ง พ้นทุกข์ พ้นการเวียนว่ายตายเกิดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่การจะรู้แจ้งตรงนี้ได้นั้นท่านต้องเริ่มต้นหมั่นฝึกฝนจากคุณธรรมขั้นพื้นฐานก่อน นั่นก็คือทำดี ทำดีที่ไหนล่ะ ในบ้าน พอทำดีในบ้านได้จงเอาความดีในบ้านนั้นไปสู่สังคม เมื่อเราสามารถทำดีได้ในระดับหนึ่ง การกระทำดีของเราจะสามารถชักพาและโน้มนำคน ให้คนเขาคล้อยตาม ปฏิบัติตาม แม้เราจะเอ่ยปากคำเดียวเขาก็พร้อมที่จะตามเราได้ทันทีใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็คือการบำเพ็ญธรรม ต้องเริ่มต้นลงแรงที่ตัวตนเองก่อน สิ่งใดเป็นความดีพื้นฐานจงรีบๆ ทำและเมื่อหมั่นสร้างความดีไปเรื่อยๆ ความดีนั่นแหละจะกลายเป็นการบำเพ็ญธรรม เมื่อบำเพ็ญธรรมได้ระดับหนึ่งแล้วท่านจะรู้แจ้ง แม้รู้ว่าจะต้องพลัดพรากท่านจะทำใจได้ ท่านจะปลงตก แม้รู้ว่าจะต้องหลั่งน้ำตาเสียใจกับคนที่ต้องจากไป ท่านก็จะสามารถยิ้มในใจได้ว่าเขาไปดี ไม่ทุกข์กังวล แม้เงินทองหายก็รู้สึกปลงได้ด้วยใจที่โปร่งเบาสบาย เกิดเป็นคนหากมีความวิตกกังวล เกิดเป็นคนหากมีความทุกข์มากมายไม่สามารถวางลงได้นี่หรือชีวิตที่เป็นสุข แต่ถ้าเกิดเป็นคนที่สามารถบำเพ็ญธรรมและเอาธรรมมาน้อมนำในชีวิต เอาธรรมมาใช้ในการอยู่ในสังคม สามารถเป็นคนที่ปลงได้ วางได้ ไปมาอย่างอิสระ อยู่ในโลกนี้อย่างเสรี ไม่เป็นทาสของกิเลส ไม่เป็นทาสของอารมณ์ ไม่เป็นทาสของความอยาก ไม่เป็นทาสของกาลเวลา ชีวิตย่อมเป็นสุขกว่าสิ่งบอดนะใช่หรือไม่ (ใช่)  ในโลกนี้หรือตัวท่านเอง ถ้าบอกว่าให้ไปหาเงินกับมาศึกษาธรรม บางคนยังบอกว่าขอหาเงินก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  ตราบใดที่ท่านยังไม่รู้พอกับสิ่งที่ตนเองมี ตราบใดที่ท่านไม่รู้สุขตามอัตภาพที่ตนเองได้ ท่านก็จะไม่สามารถหาความสงบสุขและค้นพบความพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง แม้จะรับธรรมะไปแล้วก็ตามใช่หรือไม่ ฉะนั้นจงรู้จักพอใจในสิ่งที่ตนเองมีตามอัตภาพ
ท่านลองดูฟ้าดินผสานกลมกลืนกัน แม้จะแตกต่างก็หล่อเลี้ยงสรรพชีวิตให้เจริญเติบโตโดยไม่แบ่งว่าต้องให้คนนั้นมากกว่าให้คนนี้น้อยกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์เมื่ออยู่ท่ามกลางฟ้าดิน แทนที่จะเอาไปประยุกต์กลับไม่ใช่ ครอบครองได้กลับครอบครองไว้คนเดียว จองได้ขอจองไว้คนเดียว พอจองแล้วก็ปกปิดไม่ให้ใครได้ ไม่ให้ใครเอาไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอปกปิดแล้วหวงแหนใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วก็ทำเช่นนี้ถูกต้องหรือสอดคล้องกับธรรมชาติไหม  การดำเนินชีวิตที่แท้จริงต้องรู้จักเอาธรรมชาติมาใช้ให้ถูกต้อง แต่ถึงคราวต้องปล่อยวางให้กับผู้อื่นได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่จับจองไว้เป็นของตัวเองเพียงคนเดียว
หลายต่อหลายคนบำเพ็ญมาได้ระดับหนึ่ง มักจะงงว่าเราบำเพ็ญเราได้อะไรบ้าง เราบำเพ็ญจิตไม่เห็นสว่างเลย ความเป็นพุทธะไม่เห็นมี ต้องถามท่านว่าท่านลงแรงที่จิตใจแล้วหรือยัง หลายต่อหลายคนบำเพ็ญธรรมเพียงภายนอก ช่วยคนใช่หรือไม่ (ใช่)  ขัดเกลาคนอื่น แต่ไม่ได้ขัดเกลาตัวเองใช่หรือเปล่า (เปล่า)  เห็นคนอื่นผิดๆ ๆ ตัวเองถูกๆ ๆ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วอย่างนี้เรียกว่าลงแรงที่ตัวเองหรือ (ไม่ใช่)  การลงแรงที่ตัวเองนั่นก็คือไม่มีเวลาเห็นผิดของคนอื่น แต่มีเวลามองเห็นแต่ความผิดของตัวเอง ไม่มีเวลาที่จะไปเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น มีแต่เวลาที่จะช่วยคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือจิตใจแห่งการเป็นพุทธะ เป็นพุทธะดีกว่าเป็นมนุษย์อีก มนุษย์วันนี้ช้ำพรุ่งนี้ชอก วันนี้ดีใจพรุ่งนี้ร้องไห้ วันนี้สมหวังพรุ่งนี้ผิดหวัง แต่เป็นพุทธะสมหวังผิดหวังอะไรไม่มีแล้ว ทุกข์สุขคืออะไรไม่รู้จัก สามารถยืนอยู่ด้วยความอิสระและเป็นสุข แล้วก็สามารถนำความสุขนี้ส่งมอบให้กับคนที่เป็นทุกข์ได้ด้วยจิตใจที่เมตตาโอบอ้อมอารี เราอยากชวนให้ท่านมาอยู่และสัมผัสตรงจุด ๆ นี้ แต่หลายต่อหลายคน มักติดอัตตาตัวตน มีความเคยชินมีความเป็นตัวของตัวเองที่แก้ไขไม่ได้สักทีใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่จริงๆ ลองพยายามสนใจความเคยชินของตัวเอง ทำวันนี้ให้ดีที่สุดช่วยเหลือคนให้มากที่สุดอย่างไม่มีตัวตนเอง แล้วบางครั้งท่านจะได้พบว่าพุทธะไม่ได้อยู่ไกลเลย อยู่ที่ตัวท่านเองนั้นแหล่ะ ความสุขไม่ใช่การดิ้นรนแสวงหาอย่างวุ่นวายเลย แต่เป็นการนั่งอยู่เฉยๆ ก็เป็นสุข เคยลิ้มรสตรงนี้ไหม เราอยากชวนท่านไปลิ้มรสสุขแห่งการมีธรรมอาบอิ่มใจ สุขแห่งการได้รับถึงพระธรรมอันแท้จริง เป็นสุขที่เราได้รับแล้วไปอยู่กับใครก็มีความสุข เป็นสุขที่พอเราไปอยู่ในบ้าน บ้านเราก็สว่างไสวยินดีปรีดา ไปอยู่ในสังคมความมืดมนก็หายไปกลายเป็นความสว่างไสวแจ่มกระจ่างกลางจิตใจ
(พระนาจาเมตตาแจกลูกอมให้กับนักเรียนในชั้น)
ท่านจินถง การเป็นคนดีนั้นไม่ยากเย็น การเป็นคนดีท่านอย่าคิดว่าทำยาก การเป็นคนดีทำง่าย บางคนนั้นอยากจะเป็นคนดี แต่ว่าชอบที่จะพูดจาโต้แย้งขัดแย้งกับคนอื่น เพราะคิดว่าวิธีนั้นจะทำให้ตนเองนั้นพ้นผิดไม่แปดเปื้อน แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เหมือนท่านกำลังเอาสีละเลงทาให้มันเลอะเทอะเข้าไปใหญ่ คนดีจริงๆ นั้นไม่นิยมในการที่จะพูดเพื่อที่จะทำให้ตนนั้นพ้นผิด แต่อาศัยเวลานั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ ท่านต้องมีความอดทนและก็ยอม ถ้าหากว่าท่านมั่นใจว่าตัวท่านถูก คนไม่ดีนั้นชอบที่จะพูดโต้แย้งโต้เถียงเพื่อให้เรานั้นได้รับซึ่งคำว่า “เขาทำถูกต้อง” คนไม่ดีนั้นชอบโต้แย้งจึงเป็นการตรงกันข้ามกับคนที่ดี เพราะคนที่ดีนั้นไม่ถนัดในการโต้แย้ง หากว่าท่านอยากเป็นคนที่ดีกว่านี้ หากว่าท่าน
รู้สึกว่าใครก็มองว่าท่านผิด ก็ขอให้ท่านรู้ที่จะลองกลับตัวเป็นคนใหม่ เป็นคนที่พูดน้อยลง ต่างคนต่างพูดน้อยลง ต่างคนต่างไม่พูด ไม่พูดความผิดของคนอื่น ในที่สุดแล้วเรื่องราวก็สงบลง ปัญหาคลายออกมาเองโดยที่ท่านนั้นยังไม่ได้คิดที่จะหาวิธีแก้เลยด้วยซ้ำ ท่านเข้าใจที่เราพูดไหม (เข้าใจ)  ที่มีปัญหาอยู่ทุกวันนี้ เพราะต่างคนต่างพูด ต่างคนต่างเห็นคนอื่นผิด
ส่วนท่านที่มาเป็นนักเรียนในวันนี้ เราก็อยากให้ท่านรู้ว่าเรามาที่นี่เราเห็นแต่ละคนตาลอย คิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้ เราจะบอกท่านว่าชีวิตของคนเป็นชีวิตที่มีค่าที่สุด ถ้าหากท่านไม่รู้ว่าตัวท่านเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่าจะทำอะไรแล้วก็ปล่อยชีวิตไปวันๆ นั้นเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่สุด ขนาดเราเป็นพุทธะ ไม่มีร่างกายเป็นมนุษย์เหมือนพวกท่าน แล้วพวกท่านมีร่างกายเป็นมนุษย์ อยากจะช่วยใครก็ทำได้ อยากจะวิ่งไปไหนก็ทำได้ แล้วท่านคิดว่าท่านจะแพ้พุทธะอย่างเราเชียวหรือ เราอยากจะบอกว่า ถ้าท่านไม่รู้ว่าตัวเองควรที่จะทำอะไรในตอนนี้ ก็แสดงว่าตัวท่านนั้นเป็นโรคอย่างหนึ่ง คือโรคปล่อยชีวิตไม่มีค่า ท่านต้องรู้จักสร้างชีวิตของท่านให้มีค่ามากขึ้น แล้วก็ต้องมีค่ามากขึ้นทุกวันด้วย ไม่ใช่มีค่าเป็นบางครั้ง ไม่ใช่มีค่าเป็นบางเวลา 3 วัน 5 วัน ถึงจะทำเรื่องอย่างหนึ่งให้ชีวิตของตัวเองมีค่าขึ้นมาได้ อย่างนี้ก็ไม่ค่อยคุ้มสักเท่าไหร่ ต้องทำชีวิตของตนเองให้มีค่าทุกๆ วันทุกๆ เวลา รู้เสมอว่าตนเองทำอะไร เป็นอะไร คุณค่าของชีวิตนั้นจะเกิดขึ้นมาตามหลังท่านเอง ท่านจะได้ไม่ต้องมานั่งตาลอยอยู่ตรงนี้ ดีหรือไม่ (ดี)
ท่านจินถง พรุ่งนี้ท่านจะมาอีกหรือไม่ ถึงบางคนไม่มาไม่ได้เพราะไปค้างบ้านญาติธรรมไว้ แต่ก็มาด้วยความเต็มใจดีหรือไม่ (ดี)  จิตใจเต็มๆ ก็มีศรัทธา จิตใจไม่เต็มศรัทธาก็หายไปหมด เรามาจากพระโพธิสัตว์กวนอิน เพราะฉะนั้นเรารู้ว่าเป็นผู้หญิงนั้นสามารถบำเพ็ญบรรลุได้ แม้ว่าอุปสรรคมากหน่อยก็ไม่เป็นไร อายุแก่แล้วก็ไม่เป็นไร ก็ขอให้ท่านตั้งใจบำเพ็ญจริง ทุกท่านก็สามารถที่จะบรรลุธรรมได้เช่นเดียวกัน  การที่คนๆ นั้นจะบรรลุธรรม ไม่ได้มองที่อายุมากอายุน้อย มีความรู้หรือไม่มีความรู้ เป็นเด็กหรือเป็นผู้ใหญ่ จะเป็นคนโง่หรือเป็นคนฉลาดนั้นไม่เป็นไร ขอให้ท่านนั้นมีความตั้งใจบำเพ็ญ เพราะว่าทุกท่านนั้นมีจิตของพุทธะ ท่านก็แค่ไปขัดๆ ให้จิตของพุทธะนั้นสว่างขึ้นมา ก็เป็นอันสำเร็จได้ แต่ว่าตอนนี้ถ้าไปขัดต้องออกแรงเยอะทีเดียว เพราะว่าท่านเวียนว่ายตายเกิดมาตั้งหลายปี หลายชาติแล้ว
พระนาจา การที่เรามีโอกาสได้ผูกบุญอยู่ร่วมกันเป็นเรื่องที่ดี ท่านรู้สึกไหมว่าทำไมเราต้องมาเจอคนนี้ ทำไมคนนี้เราถึงไม่เจอ ล้วนแต่มีบุญและกรรมร่วมกันใช่หรือไม่ (ใช่)  การที่เรามีโอกาสเจอท่าน เราจึงอยากผูกบุญกับท่านให้ได้มากที่สุด เพราะถ้าบุญนี้สามารถส่งให้ท่านไปอยู่เบื้องบนกับเราได้ เราก็จะพูดให้มากที่สุด เวลาท่านรู้จักใครคนหนึ่ง หากไม่รู้จักข้อเสียของเขา อะไรที่ดีๆ ท่านก็อยากที่จะแสดงออกมาให้เขาได้รู้มากที่สุด นี่คือจิตใจพื้นฐานที่ดีของมนุษย์ทุกๆ คนใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนเจอกันแรกๆ อะไรที่ดีท่านจะต้องทำให้ดีที่สุด ระวังให้มากที่สุด ไม่ให้เขาเห็นส่วนที่ร้ายของเราเลยใช่หรือเปล่า  ทำไมไม่รักษาใจนี้แล้วทำให้อยู่ได้ตลอดล่ะ  รู้จักควบคุมใจ รู้จักควบคุมตน อยู่กับใครก็ระมัดระวังมากที่สุด ออกไปไหนก็ระมัดระวังตัวเองมากที่สุด  ไม่เผลอใจ ไม่คิดสั้นๆ ไม่เอาแต่โลภ ไม่เอาแต่ใจตัวเอง ไม่หลงจนแยกไม่ออก หากเมื่อไรที่มนุษย์เราตัดสามอย่างนี้ หรือเข้าใจสามอย่างนี้ได้อย่างแจ่มชัด โลภ โกรธ หลง ก็ไม่ทำให้มนุษย์ต้องทุกข์อีกต่อไปใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เราพอตามใจตัวเองมาก ไม่ได้ดั่งใจก็โกรธใช่หรือไม่ (ใช่)  พอหลงเป็นอย่างไร เวลาชอบเขามากๆ อย่างไม่ลืมหูลืมตาก็หลง เวลาเห็นเขาดีมากๆ ไม่เคยเห็นความไม่ดีเลยก็หลง ฉะนั้นขอให้ความ
เข้าใจในโลภ โกรธ หลง จงเป็นสิ่งที่ไม่ทำให้เราต้องเป็นทุกข์อีกต่อไป
ท่านจินถง เขามาจากข้างกายของพระอาจารย์ท่าน ส่วนเราก็มาจากข้างกายของพระโพธิสัตว์กวนอิน ล้วนแล้วแต่เป็นเซียน แล้วท่านอยากจะไปอยู่กับพระกวนอินหรือกับพระอาจารย์ท่านก็เลือกเอานะ
พระนาจา เป็นมนุษย์นั้นแท้จริงแล้วหาได้สุขจริงไม่ สู้เป็นพุทธะดีกว่า การฝึกฝนบำเพ็ญเป็นพุทธะอาจจะยากลำบากหน่อย แต่ขอให้อดทน ขัดเกลาตัวเองให้มากๆ อะไรที่ไม่ดีให้ตัดทิ้งเสีย แล้วกล้ายอมรับความจริง เวลามีคนมาชี้หน้าว่าเราก็อย่าไปโกรธเขา จงยิ้มแล้วขอบคุณที่เขามาช่วยว่าเรา ทำให้เราได้เห็น
ตัวเองยิ่งขึ้น
ท่านจินถง เราไปแล้วจะคิดถึงเราไหม อย่าได้มองเราด้วยสายตาที่เป็นคนขี้สงสัย แล้วเวลาเราพูดอะไรไปเราบอกอะไรไปท่านก็พยายามทำให้เต็มที่ ทำได้บ้างทำไม่ได้บ้าง ก็ขอให้ทำเท่านั้นเอง ถ้าหากวันนี้เริ่มทำวันหน้าก็พยายามขึ้นเรื่อยๆ ดีหรือไม่ดี (ดี)  อย่าแน่แค่วันนี้แล้วพอพรุ่งนี้มะรืนนี้ก็ไม่แน่แล้วนะ
พระนาจา อย่าคิดว่าเราสองคนมาเล่นละครตบตาท่านเลย การบำเพ็ญธรรมทำให้ได้นะ ไม่ใช่เรื่องยากเลย ทุกคนทำได้ ทำอย่างไรดีถึงจะชวนท่านหลุดพ้นจากตัวเองเป็นพุทธะได้ การเป็นพุทธะไม่ใช่เรื่องยาก ทุกๆ ท่านเป็นได้แต่อยู่ที่ว่าจะทำหรือไม่ทำ เรื่องบางเรื่องท่านเคยเจอแต่คิดว่าทำไม่ได้ แต่พอลองไปทำก็ไม่ยากใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วท่านจะได้รู้ว่าการฝึกฝนบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องยากเลย ใครๆ ก็ทำได้ เราเป็นเด็กเรายังกลับคืนไปได้เลย แล้วท่านล่ะทำไมถึงจะกลับคืนไม่ได้ สมัยก่อนยังฝึกยากกว่าสมัยนี้ สมัยก่อนเราไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ เราต้องออกจากบ้านแล้วก็มาฝึกฝนบำเพ็ญตน แต่ก่อนเราเป็นเด็กเกเรเอาแต่ใจ แต่ตอนนี้ถ้าเราอยากฝึกฝนเป็นพุทธะเราต้องตัดความเกเรเอาแต่ใจทิ้ง
ยิ่งพูดเยอะเดี๋ยวท่านก็จะจำไม่ได้สักอย่างหนึ่ง สำคัญก็คือว่าเรามาศึกษาดูว่าธรรมะนี้เป็นอย่างไร อย่ามองเพียงเปลือกนอก แล้วเห็นว่าไม่เอาแล้วไม่ดีแล้วก็โยนทิ้ง อย่างนี้น่าเสียดายใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เรานั้นมีรากฐานที่ประเสริฐอยู่แล้ว จงพยายามรักษารากฐานที่ประเสริฐอันนี้ให้เจริญงอกงามเป็นสิ่งที่ดีเป็นจิตใจที่ดี อย่าได้ตัดรากฐานอันดีงามนั้น แล้วไปเลือกเอาสิ่งที่ชั่วร้ายมาทำแทน ทำได้ไหม (ได้)  ไปแล้วนะ
ท่านจินถง บำเพ็ญธรรมให้ดีๆ อย่าบำเพ็ญไปทะเลาะกันไป อย่าบำเพ็ญไปหมุนซ้ายหมุนขวาหมุนหน้าหมุนหลุดออกไปเลยอย่างนี้ก็ลำบากนะ คนที่อดทนก็ไม่ใช้แค่ความอดทน คนที่อดทนยังก็ต้องใช้คุณธรรม ต้องใช้ความดีเอามาชนะใจคนอื่น ยังต้องเสมอต้นเสมอปลาย ขอให้ท่านเข้าถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เป็นหลักธรรมนั้นให้มากๆ อย่าไปใช้ความรู้สึกมาก ฟ้าเบื้องบนนั้นถึงเวลาก็ต้องมืด ถึงเวลาก็ต้องสว่าง ท่านก็ไม่ได้รู้สึกว่ามนุษย์นั้นจะต้องทำอะไร เจ็บป่วยอยู่ไหม บ้านนี้ไฟดับไหม ท่านก็ไม่ได้เป็นห่วงอย่างนั้น ท่านเองก็เหมือนกัน ขอให้มีความรู้สึกที่เป็นกลาง ถึงเวลาทำอะไร ควรทำอะไรก็ไปทำ แม้ลำบากหน่อย แต่ลำบากวันนี้ไปสุขวันหน้าก็คือความสุขที่แท้จริง เราเห็นพวกท่านบำเพ็ญแล้ว
รู้สึกลำบาก แต่อยากจะบอกว่าพวกท่านมีโอกาสดีที่สุดเลย ดีกว่าเราอีกนะ เดี๋ยวพอเราไปแล้วก่อนเราไปให้ทุกท่านนั้นส่งยิ้มให้พวกเราเป็นการลาจากดีหรือเปล่า (ดี)  วันหลังมีเวลาเรามาคุยกันไหมดีหรือเปล่า 
(ผู้ปฏิบัติงานธรรมและนักเรียนในชั้นร่วมกันร้องเพลงพระโอวาท “ไปไหนดี” เพื่อส่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์)


วันอาทิตย์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมจือเจวี๋ย น้ำกระจาย จ.สงขลา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ศรัทธาด้วยสติกันดีหรือไม่ มีหัวใจพ่ายไม่เป็นดีหรือเปล่า
มีความดีพอให้ร้ายลดบรรเทา ปัญญาเชาวน์หรือจะสู้ปัญญาธรรม
เราคือ
จี้กงอนุเคราะห์ชาวโลก รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงตามหาผู้รู้ตื่น   แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคน เข้าใจธรรมะมากขึ้นหรือเปล่า

ไม่แน่เที่ยงเรื่องโลกายอกย้อน ไม่นิ่งนอนก้าวได้เร่งก้าว
ชีพยังแปรเคยแก้กลายเก่า จนตาเข้าแล้วอย่ายอมปราชัย
นิสัยเพราะเปลี่ยนยังคนใหม่สู่ ฟ้ายังดูรู้จักระวังไว้
เกิดเป็นคนแสนประเสริฐกว่าทั้งหลาย อนุสัยคนวนเวียนเพียรไม่ออม
ปรารถนาเพียรยิ่งนานศิษย์มั่นคง ไม่แจ้งความจึงหลงสรรเสริญล้อม
ไม่เห็นลดห้ามกิเลสแม้อ้อม กำลังใจหมดยอมท้อวัฏฏะหมุน
ศึกษาให้ได้มาซึ่งความเข้าใจ พูดต้องปดคนใจย่อมว้าวุ่น
กังวลใจแม้เอ่ยคำแสนการุณย์ คดข้องอกระดูกพรุนยากบำเพ็ญ
ศิษย์ยาอาจไม่คิดบำเพ็ญก็ได้ ทว่าใจห่วงใยไม่อาจเว้น
ไม่อาจอดใจเรียกศิษย์บำเพ็ญ ขอศิษย์เห็นจริงตามอาจารย์มา
ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ร้องเพลงก็ดังอยู่ แต่จิตใจนั้นไม่ได้ดังดั่งเสียง จิตใจนั้นมีแต่เสียงค่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนี้แสดงว่ามองจากภายนอกของศิษย์นั้นเป็นสิ่งที่เชื่อไม่ได้เลยหรือเปล่า  มีคำพูดของคนบอกว่า รู้หน้าไม่รู้ใจ แล้วอาจารย์มองหน้าศิษย์จะรู้ใจศิษย์ได้ดีไหม ใจของศิษย์เป็นใจที่ดีหรือไม่ (ดี)  ตัวเองว่าใจของตัวเองดีแล้วคิดว่าใจของผู้อื่นดีหรือไม่ (ดี)  โดยทั่วๆ ไปที่เราเห็นสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบๆ เรา มีแต่คนดีมากมาย แต่ในขณะเดียวกันเราก็มองคนที่ดีนั้นเป็นคนที่ไม่ดีด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ว่าเขาจะทำความผิดศิษย์ก็พร้อมที่จะให้อภัยกับเขานั้นหรือ เมื่อเจอคนรอบข้างของเรา ญาติพี่น้องของเราทำผิดนั้น ก็พร้อมที่จะให้อภัยเขา ใช่หรือไม่  (ใช่)
การอภัยจริงๆ ควรเป็นการอภัยที่ไม่มีเสียงตัดพ้อต่อว่าเลยอย่างนั้นใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วควรจะมีอะไรบ้าง สิ่งที่ควรจะมีก็คือการย้อนมองส่องตนเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  ในขณะที่เราคิดว่าเขาทำผิดเราก็ต้องมองตัวเองด้วย ในยามที่เราโมโหโกรธไม่พอใจ ก็ต้องมามองย้อนส่องตนเองด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่ากระจก กระจกมีไว้ส่องหน้าใช่หรือเปล่า (ใช่)  กระจกส่องถึงใจได้หรือเปล่า แล้วศิษย์คิดว่าเวลาที่ศิษย์โกรธมากๆ ไปมองกระจกแล้วกล้าทำหน้าโกรธไหม เพราะอะไร (เห็นตัวเองไม่สวย)  เวลาที่เราโกรธนั้นเราไปมองกระจก หน้าของเราก็จะกลายเป็นปิศาจร้ายมารร้าย  แม้ว่ากระจกนั้นไม่สามารถส่องเห็นจิตใจของคนอื่น แต่กระจกนั้นก็ช่วยเตือนสติเราได้ดีเหมือนกัน แล้วถ้าไม่มีกระจก เราจะใช้อะไรส่องแทนกระจก (จิตสำนึก, ปัญญา, ศรัทธา, ธรรมะ)  มนุษย์ชอบพูดอย่างนี้ แต่ถึงเวลาจริงๆ เลือดเข้าตา ความโกรธเข้าหาแล้วเป็นอย่างไร ใช้แต่กำลัง โดยเฉพาะผู้ชายชอบใช้กำลังมากกว่าสมองใช่หรือเปล่า จริงๆ แล้วสมองก็มีกันอยู่ทุกคน สมองมีนิดเดียวแต่กำลังมีเยอะจึงใช้แต่กำลัง แต่ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า ถึงเวลาแล้วคนอื่นก็ยังมีกำลังมากกว่าเรา เราชกเขาหนึ่งหมัดได้ เขาก็ชกเรากลับมาหนึ่งหมัดได้เท่ากันใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราตาเขียวเขาก็ตาเขียว เราปากแตกเขาก็ปากแตก  แต่ถ้าใช้สมองนี่ ตาเขียวปากแตกไหม (ไม่)  อะไรแตก ก็ต้องดูว่าสิ่งนั้นใช้สมองไปในทางที่ถูกหรือไม่ คนที่คิดว่าคนอื่นยังมีจุดบกพร่องเยอะ  คนที่คิดแต่จะเมตตาเท่ากับจะเป็นการปิดจุดบกพร่องของตนเองไปเรื่อยๆ  ระหว่างคนสองคน สามคน สี่คน คนที่ห้า การแข่งขันยิ่งมาก เวลาจะแข่งขันให้สูงที่สุด ถามว่าใครจะยอมให้ศิษย์เป็นคนที่สูงที่สุด ใครจะยอมให้ศิษย์ก้าวไปให้สูงที่สุด มีแต่ว่าเขาคิดว่าเขาต้องสูงที่สุดใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นการที่เรามาบำเพ็ญธรรมะนั้น ไม่เหมือนกับทางโลกก็อย่างนี้ การบำเพ็ญธรรมแตกต่างกับทางโลก เป็นการย้อนมองเข้าหาตนเอง ถามว่าถ้าไม่มีกระจกจะใช้อะไรละ ใช้ใจของเรา ใจของเราก็ไม่เที่ยง  ใช้สมอง สมองของเราก็ลำเอียง  ใช้ตาของเราตาของเราก็เข  ใช้ปัญญา ปัญญาของเราก็บอดๆ   จึงบอกว่าให้อภัยตัวเองไม่ได้ ในยามที่เราจะติตัวเราเองนั้นควรให้ใครติ ในยามที่อยากให้ตัวเองยืนให้ตรง ในเมื่อตัวเองมองไม่เห็นตัวเองก็ต้องให้ผู้อื่นติ  เวลามีคนมาติเตือนเรา เราจะทำอย่างไร เราต้องรู้จักคำว่า “รับฟัง”  คำๆ นี้ พูดง่าย ฟังง่าย มีแค่คำว่า “รับ” รับแล้วฟัง มีอยู่แค่นี้เอง รับเข้ามา ฟังให้ดีใช่หรือเปล่า แล้วคนอื่นนั้นแหละจะเป็นกระจกให้เรา เป็นกระจกที่ไม่ใช่ที่ศิษย์ส่องหน้า แต่กระจกชนิดนี้ส่องได้ถึงใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แน่นอนคนทุกคนนั้นมีจิตลำเอียงได้ชั่วขณะ ทุกคนมีใจที่ดีเก็บเอาไว้ แต่ว่าเราต้องรู้จักที่จะฟังก่อน ก่อนที่จะคิดว่าเขาติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ติแล้วไม่ถูก เมื่อคิดเช่นนี้ คำว่าอภัยนั้นทำง่ายหรือไม่ (ง่าย)  อภัยได้เพราะเราย้อนมองส่องตน อภัยไม่ได้เพราะเรามองไม่เห็นตน
ปัญญาเชาวน์กับปัญญาธรรม แตกต่างกันอย่างไร (ปัญญาเชาวน์คือปัญญาที่ใช้ไหวพริบ แต่ปัญญาธรรมมาจากจิตที่บริสุทธิ์)  เรามีจิตที่บริสุทธิ์ไหม (มี)  ตลอดเวลาหรือเปล่า (บางครั้งอาจจะไม่มี)  ทุกๆ คนนั้นก็เป็น ไม่ใช่ว่าศิษย์ไม่มีจิตใจที่ไม่ดี ไม่ใช่ว่าจะไม่มีจิตใจที่บริสุทธิ์ แต่คอยจะผลุบๆ โผล่ๆ อยู่เรื่อยๆ และก็โผล่ออกมาน้อยครั้งเหลือเกินใช่หรือเปล่า เพราะอะไรทำไมจิตใจที่สะอาดและบริสุทธิ์ของเราจึงอยู่ได้ไม่นาน (เพราะไม่เที่ยง ธรรมะไม่อยู่ในใจ,กิเลส, เพราะเป็นปุถุชน)
ชั้นนี้ลุกขึ้นมาตอบเป็นคู่ๆ นะ แสดงว่ามีคู่ต่อสู้ใช่หรือเปล่า แข่งกับเขาไหม ถ้ายังแข่งจะมีจิตใจที่บริสุทธิ์ไม่ได้ สองคนวิ่งแข่งกันมา มีคนหนึ่งเป็นคนชนะ อีกคนหนึ่งก็ต้องเป็นคนแพ้  วันนี้เราชนะได้ วันหน้าก็แพ้ได้  ถ้าหากว่าเราแพ้มากหน่อย ถ้าหากว่าเราจนหน่อย ถูกเอาเปรียบ เป็นไรหรือเปล่า  ถูกตำหนิครหาต่อว่าโดยที่เราไม่ได้เป็นอย่างนั้นทนได้ไหม แต่ศิษย์มาพูดว่าไม่ผิดนั้นเกิดขึ้นกี่วันครั้ง วันละครั้ง สัปดาห์ละครั้งมากไปไหม  แสดงว่าทุกคนก็จะต้องโดนคนอื่นมองในแง่ลบเสมอๆ ไม่มีใครหนีพ้น  ฉะนั้นถ้าหากว่าอยากจะเป็นคนบำเพ็ญ ก็ต้องมาที่นี่ ก็เพียงแค่ย้อนดูตัวเองว่า ตัวเองนั้นไปโทษใครว่าเขาผิดโดยที่เขาไม่ผิดหรือเปล่า ถ้าหากว่าเราโดนคนอื่นว่า แต่เราไม่ผิด แสดงว่าเราต้องคิดว่าเป็นกรรมตามสนองเรา แล้วแต่ละคนก็เคยว่าคนอื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครที่ไม่เคยว่าใครเลยมีหรือเปล่า (ไม่มี)  แม้จะอายุน้อยหรือมากก็มีทั้งนั้น  เพราะฉะนั้นเวลาเราโดนผู้อื่นว่า ก็ต้องสงสัยว่ากรรมตามสนองล่ะ เป็นความคิดที่ดีไหม
ถ้าหากว่าเราไปได้ยินกับหูแล้วจะทำอย่างไร ถ้าเผอิญไปได้ยินจะๆ โดยที่เรายืนอยู่ข้างหลังแต่เขามองไม่เห็น เขานินทากันสนุกปาก ผู้ชายกลัวหรือไม่เรื่องนี้ ถ้าหากศิษย์เข้าไปต่อว่าเขาเขาจะสำนึกไหม เราเดินเข้าไปแก้ตัวต่อหน้าเขาสำนึกหรือไม่สำนึก (ไม่สำนึก)  แต่ถ้าเราทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วก็เดินผ่านไป เขาสำนึกหรือไม่สำนึก ทำวิธีไหนดีกว่า  การที่เรานั้นถึงแม้ว่าจะได้ยินมากับหูแต่เรานั้นเอาชนะด้วยการเดินเข้าไปโต้เถียงนั้นก็ไม่ได้ผลใช่หรือเปล่า (ใช่)  สู้เราทำเป็นเฉยๆ ไม่สร้างกรรมปาก ไม่เป็นภัยต่อผู้อื่น แล้วแถมยังมีผลดีต่อตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้อาจารย์มาก็ให้วิธีการที่ดีกับศิษย์แล้วหวังว่าศิษย์ทุกคนนั้นจะเอาไปใช้ ได้หรือไม่ (ได้)  แน่ใจหรือเปล่า (แน่ใจ)  ทำได้ตลอดชีวิตเลยหรือไม่ สิ่งใดที่ทำได้ตลอดชีวิตก็เรียกเป็นปณิธานได้ นี่คือปณิธานการไม่สร้างกรรมปากใช่หรือเปล่า (ใช่)  รวมๆ อยู่ในข้อทานเจตลอดชีวิตหรือไม่ (รวม)
เมื่อสักครู่ร้องๆ เรียกๆ อาจารย์ แต่ว่าเรียกเสียงออกมาจากปากไม่ใช่ออกมาจากใจ ก็อยากจะดูว่าร้องอีกสักเท่าไหร่ ก็ร้องแค่สองเพลงใช่หรือเปล่า (ใช่)  พายเรือหนึ่งเพลง ร้องให้อาจารย์มาหนึ่งเพลงก็เลิกแล้ว อย่างนี้อาจารย์ตั้งใจที่จะไม่มา ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  อาจารย์มาแล้วก็มีความศรัทธาให้มากๆ ถ้าไม่ศรัทธาถึงเจอหน้าอาจารย์ก็เหมือนไม่เจอ ถึงแม้อาจารย์สอนไปแต่ทำไม่ได้ก็คือไม่ได้รับการอบรมจากอาจารย์
ให้อาจารย์ถามว่าอย่างไรดี อาจารย์มีตั้งสิบคำถามอยากจะถาม แต่เลือกได้แค่คำถามเดียวใช่หรือเปล่า อาจารย์จะถามศิษย์ว่าคนที่เข้าใจธรรมะมากๆ กับคนที่เข้าใจธรรมะน้อยๆ แตกต่างกันอย่างไร คนไหนที่สองวันนี้ไม่เคยลุกขึ้นตอบสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลย วันนี้ก็ลุกขึ้นตอบอาจารย์ดีหรือไม่ คนมากๆ หาคนตอบไม่ได้สักคน สงสัยจะฟังธรรมะเสียเปล่าใช่หรือเปล่า กลัวอาจารย์อย่างนี้ไม่ต้องกลับบ้านดีกว่านะเดี๋ยวกลับไปก็เจออาจารย์ทุกวัน คนที่เข้าใจธรรมะมากๆ ต่างกับคนที่เข้าใจธรรมะน้อยๆ อย่างไร (จะมีสติในการยั้งคิดมากกว่า, สามารถนำธรรมะมาปฏิบัติได้, )
(พระอาจารย์เมตตาแจกผลไม้ให้กับนักเรียนในชั้นที่ตอบคำถาม)
มนุษย์มักจะกลัวไม่ได้ของใช่หรือเปล่า เอาแอปเปิลสีแดงแลกหมากสีแดงดีไหม (อดไม่ได้)  ไม่ลองอดดูเหรอ อดไม่ได้แอปเปิลก็เอาไม่ได้
เปลี่ยนคนเขียนโอวาทบนกระดานดีไหม เห็นด้วยไหมศิษย์รักทั้งหลาย ไม่ดีหรอกนะ ทำไมอาจารย์ถึงถามศิษย์ต่อหน้าศิษย์จำนวนมากๆ ว่าเปลี่ยนคนเขียนดีไหม เพราะว่าในงานธรรมะนั้นก็มีงานเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเต็มไปหมดใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทุกคนมีโอกาสพลาดไหม (มี)  คนที่ชำนาญแล้วก็พลาดเป็นใช่หรือไม่ (ใช่)  วันหนึ่งความพลาดนั้นก็เวียนมาถึงใคร (ตัวเราเอง)  ตัวเราเอง ถ้าหากเราคิดว่าคนๆ นั้นทำไม่ดีแล้วอยากจะเปลี่ยนเขาทิ้งโดยทันที ยุติธรรมหรือเปล่า (ไม่ยุติธรรม)  ทุกอย่างนั้นต้องใช้เวลา และทุกอย่างนั้นต้องใช้ความสามารถ ทุกอย่างต้องใช้ประสบการณ์ใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางทีก็มีความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากหูไม่ดี เป็นอย่างไร ความผิดพลาดนี้มีทุกคนไหม (มี)  มีทุกคนเลยหรือ อาจารย์นึกว่ามีเฉพาะคนที่เขียน บางทีก็มีความผิดพลาดจากมือสั่นไปหน่อย มีทุกคนหรือเปล่า (มี)  มีทุกคนเลยหรือ อาจารย์นึกว่ามีเฉพาะคนข้างหน้า บางทีก็มีความผิดพลาดจากใส่แว่นแล้วบังทัศนียภาพ มีทุกคนไหม (ไม่มี)  คนที่ไม่ได้ใส่แว่นก็ไม่ได้หมายความว่าสายตาไม่สั้น ไม่ยาว ไม่เอียงใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพียงแต่ขี้เกียจใส่ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นคนที่สายตาสั้น สายตายาว สายตาเข ยิ่งไม่ยอมใส่แว่นยิ่งผิดพลาดมากใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นจึงไม่เท่ากับการที่เรานั้นต้องมารู้จักตัวเองว่าเรานั้นเป็นอย่างไร เรานั้นผิดพลาดตรงไหน เรานั้นควรจะแก้ไข รอให้คนอื่นเตือนบางทีเขาอาจจะเกรงใจไม่กล้าเตือนเราใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็ไม่สู้ตัวเราเตือนตัวเราเองใช่หรือเปล่า (ใช่)
บางทีเราก็มีความผิดพลาดอันเดียวกัน บางทีก็มีเรื่องที่เราคาดไม่ถึง เลยไม่รู้ว่าเขาผิดพลาดมาจากสาเหตุอะไรรู้แต่ว่าก็จบลงด้วยความผิดพลาดนั้นแหละ แต่ว่าจะบอกว่าหน้าที่ทุกหน้าที่นั้นทุกคนนั้นก็เคยทำผิดพลาด เพียงแต่วันดีคืนดีศิษย์อาจจะมีโชค วันนั้นจิตใจอาจจะเบิกบานทำเรื่องอะไรก็จะดูดีไปหมด แต่ว่าไม่ได้หมายความว่าศิษย์นั้นจะเบิกบานทุกวันใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าโลกนี้ชื่อ ทะเลทุกข์ จะให้หนีให้พ้นอย่างไรก็มีทุกข์ แต่อยากพ้นอย่างไรก็ยังมีทุกข์ นอกเหนือเสียจากว่าศิษย์นั้นจะอยู่เหนือทะเลทุกข์จึงพ้นทุกข์ได้ ในเมื่อเราทุกคนนั้นยังทุกข์เราก็ต้องมาช่วยกันเห็นใจกันใช่หรือไม่ (ใช่)  มาร่วมเห็นใจกัน ในเมื่อเรานั้นต่างเป็นคนเหมือนกัน เราลองมองดูซิว่าคนที่เราคิดว่าเราอยู่กับเขาไม่ได้เขานั้นก็เป็นคนเช่นเดียวกัน มีจิตใจเช่นเดียวกันจิตใจปกติดี จิตใจว้าวุ่น จิตใจฟุ้งซ่าน จิตใจที่ไม่ยอมแพ้ จิตใจต่างๆ นานานั้นก็เป็นจิตใจของมนุษย์ทั้งนั้น หากว่าศิษย์สามารถทำให้ทุกๆ อย่างนั้นรวมตัวลงตัวกันได้โดยศิษย์เป็นตัวเชื่อม ศิษย์คิดว่าอันนั้นเวลานั้นศิษย์เป็นผู้มีเกียรติไหม (มีเกียรติ)  ในทางกลับกันถ้าหากว่าศิษย์นั้นเป็นผู้ที่เป็นตัวเชื่อมอยู่ในเหตุการณ์นั้นๆ แต่ทำให้เหตุการณ์นั้นๆ ยิ่งเลวร้ายลงไปแล้วก็แตกแยกมากขึ้น ศิษย์คิดว่าศิษย์นั้นมีกรรมไหม (มีกรรม)  แล้วศิษย์นั้นจะเลือกมีเกียรติหรือมีกรรม (มีเกียรติ)  อยากจะเลือกเป็นคนที่มีเกียรติ เกียรตินี้ไม่ได้ให้ผู้อื่นมายกย่อง แต่เกียรตินี้เป็นความสบายใจที่ผู้อื่นยกย่องนั้น เมื่อเขาชมเราได้วันหนึ่งเขาก็ว่าเราได้ แต่ว่าถ้าหากว่าเป็นเกียรติที่ตัวเองนั้นได้หามาและเข้าใจดีถึงเกียรตินั้นๆ แน่นอนเราย่อมรู้ตัวเราเองดี และเราย่อมภาคภูมิในสิ่งที่เรากำลังกระทำใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ต้องรอให้ผู้อื่นตำหนิ ไม่ต้องรอให้ผู้อื่นว่า แต่เรานั้นแหละจะเป็นผู้ที่รู้จักตัวเอง แม้เขาจะทำผิด แต่หากให้โอกาสเขาอีกนิด ๆ หน่อย ๆ เขาก็ทำถูกใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราอยากให้คนอื่นให้โอกาสเราไหม (อยาก)  อยากให้คนอื่นให้โอกาสเรา เราก็ต้องให้โอกาสคนอื่นใช่หรือเปล่า (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานธรรมที่เขียนโอวาท)
วันนี้มีเกียรตินะให้อาจารย์ยืมมาใช้ในการอธิบายธรรมะหัวข้อหนึ่งนะ

ที่อาจารย์ถามว่าคนที่เข้าใจธรรมะมากกับคนที่เข้าใจธรรมะน้อยนั้นต่างกันอย่างไร คำถามของอาจารย์นั้นถามศิษย์ว่าศิษย์เข้าใจธรรมะมากขึ้นหรือเปล่า หมายความว่าอาจารย์ให้ศิษย์นั้นย้อนมองดูตัวเองว่าสองวันที่ผ่านมานี้ จากความมึนงงของเราก็ดี จากความไม่ค่อยเข้าใจ จากความไม่ค่อยแน่ใจของเรานั้นได้กระจ่างขึ้นบ้างหรือยัง การเข้าใจธรรมะนั้นศิษย์อาจจะไม่ต้องเข้าใจว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มานั้นเป็นจริงหรือเปล่า แต่ให้ศิษย์ฟังว่าธรรมะที่ศิษย์ได้ยินอยู่นี้ศิษย์นั้นเข้าใจมากขึ้นเพียงใด ทุกๆ คนนั้นต้องมีความสงสัยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำทุกเรื่องก็ต้องมีความสงสัยทั้งนั้น ถ้าหากว่าไม่สงสัยก็ไม่สามารถจะก้าวหน้าพัฒนาขึ้นได้ แต่ต้องสงสัยในเรื่องที่ควรสงสัยเท่านั้น
การเป็นคนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ว่าการเป็นคนทำให้ศิษย์นั้นมีโอกาสที่จะบำเพ็ญธรรม คนที่เข้าใจธรรมะมากและคนที่เข้าใจธรรมะน้อยนั้นต่างกันอยู่นิดเดียว คือคนหนึ่งปฏิบัติได้มากขึ้นกับอีกคนหนึ่งยังปฏิบัติได้เท่าเดิม แม้ว่าศิษย์จะเข้าใจมากแต่หากว่าศิษย์นั้นไม่ปฏิบัติ ดูในทางปฏิบัติน้อยนิดเหลือเกินคนๆ นี้ จะให้คนอื่นสรุปว่าคนนั้นเข้าใจมากได้หรือไม่ (ไม่ได้)  นอกจากว่าศิษย์นั้นจะลงมือทำให้คนอื่นเห็นใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฟ้าดินนั้นแม้จะรู้ว่าศิษย์นั้นมีสภาวะธรรม มีสภาวะจิตที่สูงส่งเพียงใด แต่หากศิษย์นั้นสูงส่งอยู่คนเดียว สูงส่งอยู่คนเดียวนั้นมีประโยชน์หรือไม่ (ไม่มี)  ถ้าหากว่าศิษย์นั้นสูงส่งแล้วรู้จักช่วยคน มีประโยชน์หรือไม่ (มี)
บางคนบอกว่าธรรมะหรือ ไม่มีอะไร พื้นๆ ธรรมดาๆ แต่ศิษย์มองดูอีกทีสิว่าคนที่มาบำเพ็ญธรรมในอนุตตรธรรม คนนั้นลงแรงจริง แม้ว่าศิษย์ทั้งหลายนี้จะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่เข้าใจธรรมะ รู้ธรรมะน้อยกว่าคนที่ศิษย์คิดว่าเขานั้นรู้ธรรมะมาก แต่ว่าอาจารย์บอกได้เลยว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นย่อมดีกว่า ตรงที่ศิษย์เข้าใจน้อยแต่ศิษย์นั้นพยายามปฏิบัติใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่เข้าใจน้อยแต่ปฏิบัติมาก กับคนที่เข้าใจมากแต่ไม่ปฏิบัติอะไรเลยศิษย์เลือกแบบไหน เข้าใจน้อยแต่ปฏิบัติให้มากเข้าไว้ นั่นก็เป็นวิธีการสร้างกุศลให้กับตัวเอง
คนบนโลกต้องการเงินตรา คนบนฟ้าต้องการกุศล ไม่ใช่ให้งกกุศลนะ ยิ่งงกยิ่งไม่มีกุศล ไม่เหมือนคนบนโลก ยิ่งงกเงินยิ่งหาเงินยิ่งมาก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  บนฟ้านั้นไม่เหมือนกัน จะว่าไปแล้วกุศลก็เหมือนกับปลาไหล ตั้งใจจับจะจับอยู่ไหม (ไม่อยู่)  แต่พอไม่ตั้งใจจะจับแล้วเป็นอย่างไร (มาเอง)  ฉะนั้นคนที่เป็นคนที่โลภมากย่อมเป็นคนบนฟ้าไม่ได้ คนที่โลภมากย่อมเป็นคนเหนือคนไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นศิษย์อาจารย์จงจำไว้ว่า การที่เราบำเพ็ญธรรมะนั้น คือการที่เราทำจิตใจให้สะอาดสะอ้าน ทำจิตใจให้ว่างๆ อย่าไปคิดอาฆาตพยาบาทใคร อย่าไปคิดสนใจว่าใครนั้นดีกว่าเรา ขอให้เรานั้นเอาสิ่งที่ดีของเขาให้เราได้ทำตาม คนหนึ่งคนมีข้อดีหนึ่งอย่าง หากว่าศิษย์เจอคนสิบคนแล้วศิษย์เลือกข้อดีของเขาออกมาทำตาม ศิษย์จะมีข้อดีถึงสิบอย่างใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงตอนนั้นแล้วศิษย์จะเหนือคนทั้งสิบคนนี้หรือเปล่า (เหนือ)  แต่ว่าเหนือนี้ต้องเหนืออยู่อย่างอ่อนน้อมเหมือนกับน้ำทะเล น้ำทะเลกว้างๆ มหาศาลนี้เกิดจากแม่น้ำทุกๆ สายมารวมกัน ศิษย์ต้องอยู่เหนือเขาอย่างเป็นผู้ที่อ่อนน้อม อย่างเป็นผู้ที่ยอมรับความคิดเห็น ถ้าหากเราไม่ยอมรับผู้อื่นเลย แล้วจะให้ผู้อื่นยอมรับเราได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  แม้ว่าศิษย์จะรู้อยู่แก่ใจว่าศิษย์นั้นเป็นผู้เหนือคนทั้งสิบคนนี้ แต่ทว่าสิบคนนี้ไม่ยอมรับศิษย์เลยว่าเป็นคนที่เหนือเขาอย่างแท้จริง หรือเหนือเขาที่เข้าข้างตัวเอง
ต้องเอาข้อดีของอาจารย์ไปใช่หรือเปล่า อาจารย์ฉุดช่วยคนโดยไม่กลัวความเหน็ดเหนื่อย ศิษย์กลัวหรือไม่ เจอเจ้ากรรมนายเวรมารุมล้อมศิษย์กลัวไม่กลัว (ไม่กลัว)  ฉะนั้นจึงบอกว่าการทำกรรมนั้นทำง่าย การทำบุญนั้นทำยาก แต่ว่ายังจำเป็นที่จะต้องเลือกที่จะทำบุญ ไม่ใช่ทำกรรม เพราะถ้าหากว่าผลกรรมมาหาศิษย์เมื่อไหร่วันไหนก็รับไม่ไหวใช่หรือเปล่า (ใช่)  เคยป่วยเป็นหวัดไหม เป็นหวัดทรมานหรือไม่ (ทรมาน)  เคยป่วยเป็นโรค โรคประจำตัวมีไหม โรคประจำตัวทรมานหรือไม่ทรมาน (ทรมาน)  เคยป่วยเป็นโรคที่ปัจจุบันทันด่วนไหม อาจารย์จะบอกว่าโรคนั้นมีลำดับความหนักเบา โรคหวัด โรคประจำตัวหรือว่าโรคที่รุมเร้า โรคที่เป็นอันตรายอย่างเช่น มะเร็ง เอดส์  มีโรคตั้งมากมายที่ในโลกนี้ยังหาทางรักษาไม่ได้
ฉะนั้นอาจารย์จะบอกศิษย์ว่าเวลาที่เจ้ากรรมนายเวรมาทวง ให้ศิษย์เอากุศลให้เขา เขาก็ทำให้ศิษย์เป็นหวัด เวลาที่เขาอยากจะให้ศิษย์ที่พยายามจะทำความดีเพื่อจะได้มีกุศลให้เขา เขาก็ทำให้ศิษย์เป็นโรคประจำตัว ส่วนเวลาที่เขาจะทวงศิษย์นั้น เขาจะทำให้เป็นโรคหนักที่รักษาไม่ได้ ฉะนั้นที่กรรมเวรยังไม่จำเป็นจะต้องเจอกับตาถึงจะเชื่อว่ากรรมมีจริง แต่ให้ศิษย์นั้นรู้จักที่จะเตือนตัวเองเสมอๆ อาจารย์ไม่ได้หมายความว่าเวลาที่เจ้ากรรมนายเวรอยากให้ศิษย์สร้างกุศลให้เขา ศิษย์จะต้องเป็นหวัดจริงๆ แต่หมายถึงการเปรียบเทียบว่า นี่คือความหนักเบาของการที่เจ้ากรรมนายเวรมาเตือน โดยอาจารย์เทียบกับโรคเหล่านี้ให้ฟัง ฉะนั้นจึงต้องรู้จักสังวรณ์ไว้ บางทีถ้าเจ้ากรรมนายเวรไม่ได้มาทวงแต่ว่าศิษย์นั้นไปตากฝนก็เป็นอย่างไร ร่างกายเนื้อเป็นร่างกายที่อยู่ท่ามกลางโลกนี้ มีฝุ่น มีไอ มีควัน มีสิ่งที่ศิษย์นั้นมองไม่เห็นอีกมากมายที่ทำให้ศิษย์นั้นร่างกายอ่อนแอลงทุกวัน ถ้าหากไม่รู้จักรักษาร่างกายนี้ ต่อให้มีร่างกายนี้ แต่อ่อนแอเกินไปก็บำเพ็ญธรรมไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากที่จะบำเพ็ญธรรมก็ต้องรู้จักรักษาร่างกายของตัวเองนั้นให้แข็งแรง ให้มีพลัง พลังที่ออกมาจากจิตใจนั้นเข้มแข็งกว่าพลังที่ออกมาจากกำลัง ออกมาจากกล้ามเนื้อ เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันร้องเพลงพายเรือธรรม)
จะต้องพายเรือทุกคนนะ หากมีใครมาเอาเปรียบใครก็ไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ว่าคนบำเพ็ญธรรมะจะไม่กลัวการเอาเปรียบ แต่ต่อให้ว่าคนไม่ว่าไม่กล่าว ศิษย์อาจารย์ก็จะไม่เอาเปรียบกัน ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังเราก็เป็นคนคนเดียวกันดีหรือเปล่า (ดี)  ไม่ใช่ต่อหน้าเราเป็นมนุษย์แต่พอลับหลังเป็นปีศาจ ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  ถ้าหากคนที่ชอบพูดมาก พูดไปเรื่อยพูดไร้สาระ พูดไปวันๆ ไม่รู้พูดอะไรตั้งมากมาย ต่อหน้าคนอื่นพูดจามีสาระ ลับหลังก็พูดจานินทาคนอื่น ถามว่าศิษย์นั้นอยู่ต่อหน้าจะเหมือนคนพูดไร้สาระก็ยังดีกว่าพูดนินทาคนอื่น พอลับหลังแล้วเราไปพูดนินทาคนอื่นนั้นเราเหมือนคนหรือไม่ (ไม่เหมือน)  แล้วทุกคนคิดว่าที่ผ่านมาตัวเองนั้นมีสภาวะที่ไม่เหมือนคนไหม (มี)  ไม่ว่าจะชายไม่ว่าจะหญิงล้วนแล้วเกิดเป็นคน ล้วนแล้วชอบพูดชอบจา แต่ว่าต้องพูดอย่างระมัดระวังใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อการพูดจาระมัดระวังได้เสร็จสรรพ การปฏิบัติของเรานั้นก็ระมัดระวังตามขึ้นมาเป็นขั้นเป็นตอน
มีกิเลสไหม ไหนลองเอากิเลสของตัวเองทิ้งสิ ไหนลองปาดหน้าผากให้เหมือนกับปาดกิเลสของตัวเองทิ้ง อย่าปาดเบามาก พร้อมที่จะจับไม้พายแล้วหรือยัง เอาพลังออกจากใจแล้วพายเรือดีหรือไม่ (ดี)  การพายเรือนั้นต้องสามัคคีกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างพายเรือจะวนไปมาใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นต้องสามัคคีกันดีหรือเปล่า (ดี)  สามัคคีกันหมายความว่าต้องอยู่ร่วมกันคนอื่น ไม่ใช่สามัคคีกันเพื่อที่จะอยู่คนเดียวนะ
“ไม่เห็นลดห้ามกิเลสแม้อ้อม”  เข้าใจคำคำนี้ของอาจารย์หรือไม่ หมายความว่าอาจารย์ยังไม่เห็นกิเลสของศิษย์ที่เกิดจากปาดหน้าผากทางอ้อมนี้ ยังไม่เห็นลดไม่เห็นห้ามกิเลสทางอ้อมนี้เลย เพราะฉะนั้นไหนลองปาดหน้าผากใหม่อีกสักครั้ง ลงแรงดีๆ
(ผู้ปฏิบัติงานธรรมแผนกถ่ายภาพกำลังถ่ายภาพพระอาจารย์)
จะถ่ายรูปกันไปเยอะแยะ ถ่ายมากก็ติดรูปลักษณ์มาก มาถ่ายคำพูดของอาจารย์ไปปฏิบัติดีกว่า  ศิษย์จะได้ไม่ต้องเปลืองเงินเยอะ  อยากเปลืองหรือไม่อยากเปลือง แล้วเงินจะสำคัญหรือเปล่า (ไม่)  ไม่สำคัญถ้ารู้จักพอ ถ้าไม่รู้จักพอเงินก็สำคัญ มีกี่คนที่รู้จักพอ อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่า คนเกิดมาไม่สามารถอยู่ค้ำฟ้า เงินทองก็ไม่สามารถติดตัวไปสักบาทเดียว ผมบนศรีษะของเราก็ขาวโพลนมากขึ้นบ่งบอกถึงอายุว่าเป็นไม้ใกล้ฝั่ง ในชีวิตนี้เราจะก้มหน้าหาเงินอย่างเดียวไม่หาธรรมะใส่ตัวบ้างหรือ คนเรานั้นจะหาแต่สิ่งที่ไม่จำเป็น โดยไม่หามรรคผลให้กับตนอย่างนั้นหรือ  ชีวิตผ่านไปวันหนึ่งๆ ผ่านมาวันหนึ่งๆ สิ่งใดผ่านมาผ่านไป (กิเลสผ่านมา)  ความมีพลังในการบำเพ็ญขาดหายไปแล้วจบสุดท้าย วันสุดท้ายศิษย์จะอยู่ที่ไหน ลงเอยที่ไหน  หากไม่ได้เป็นศิษย์ของอาจารย์ มีทางอยู่ไม่กี่ทาง มีทางหนึ่งเรียกว่านรก สำหรับคนที่ชอบทำบาป  ทางหนึ่งเรียกว่าสวรรค์ สำหรับคนที่ชอบทำความดี อีกทางหนึ่งเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานที่คนเขาชอบฆ่ากัน อีกทางหนึ่งกลับมาเกิดหาเช้ากินค่ำ ไม่ได้มีความสุขจริงๆ  เลย ส่วนทางที่อาจารย์ให้ศิษย์เลือกนั้นเป็นทางนิพพานที่เป็นทางบรมสุข เป็นทางที่ศิษย์นั้นจะหลุดพ้นเวียนว่ายตายเกิด ไม่ต้องเกี่ยวพันกับสิ่งที่อาจารย์พูดมาเมื่อสักครู่ ไม่ต้องเกี่ยวพันกับความทุกข์ทั้งมวลในโลก  ลูกศิษย์ของอาจารย์เป็นคนโง่หรือฉลาด  โง่เลือกอะไร ฉลาดเลือกอะไร เวียนว่ายตายเกิดต่อไป หรือหลุดพ้นจากการเวียนว่าย
ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าธรรมะเป็นธรรมะที่แท้ที่ดีหรือเปล่า ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าการบำเพ็ญนั้นต้องบำเพ็ญอย่างไรจริงๆ ล้วนแล้วแต่เดินบนความไม่รู้ เริ่มต้นด้วยความไม่รู้ แต่ศิษย์ลองก้าวสักสองสามก้าว กลับมาศึกษาบ่อยๆ ศิษย์คิดว่าสามารถทำความเข้าใจได้หรือไม่ (ได้)  ทุกอย่างเหมือนกับเด็กตอนแรกๆ เติบโตมา อนาคตเขาก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้เติบใหญ่ศิษย์ยังไม่รู้อีกว่าอนาคตของศิษย์เป็นอย่างไร ทำไมต้องห่วงกับการที่ศิษย์จะมองธรรมะอย่างชัดเจน จะต้องรู้ว่าบำเพ็ญอย่างไร บำเพ็ญแล้วจะต้องทำอะไรบ้าง ทำไมจะต้องรู้ชัดเจน  ตอนเป็นเด็กนั้นศิษย์ก็ไม่เคยรู้อนาคตของศิษย์ชัดเจน จนเดี๋ยวนี้ศิษย์ก็ไม่รู้ว่าอนาคตของศิษย์คืออะไร ทำไมต้องรู้ธรรมะอย่างชัดเจน ขอให้เริ่มก้าวสักสามสี่ก้าว อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นฉลาดทุกคน ศิษย์จะได้รู้ได้เข้าใจ ขอให้มีความมั่นคงในธรรมะ จะโดนอุปสรรคทดสอบสักกี่รอบ อาจารย์ก็เชื่อว่าศิษย์ก็ผ่านได้  คนที่ผ่านไม่ได้คือคนที่ไม่มีความมั่นคง คือคนที่ไม่จักตัวเอง แล้วศิษย์ของอาจารย์เป็นคนโง่หรือฉลาด (ฉลาด)  ในเมื่อต่างคิดว่าตัวเองนั้นเป็นคนที่ฉลาด ก็ขอให้ฉลาดเลือกอย่างถูกต้องก็แล้วกัน
ตอนนี้ก็ยืนนานแล้ว เกิดเป็นคนนะไม่ดี การยืนนานก็ไม่ไหว นั่งนานก็เมื่อย ตอนแรกๆ ก็คิดว่าถ้าได้ยืนแล้วรู้สึกดี แต่พอยืนมากๆ ก็เมื่อย อยากนั่งหรือยืนดี (อยากนั่ง)  ศิษย์ลองนึกดูว่าม้าศึกตัวหนึ่งที่ใช้ออกรบ ในยามปกติม้าศึกตัวนี้ต้องได้รับการฝึกฝนหรือไม่ (ฝึก)  ถ้าหากเลี้ยงจนอ้วนพี เดินไปไม่ไหว ถึงเวลาออกศึกก็จะออกไม่ไหว ม้าศึกตัวนี้ก็ไม่ไหว  คิดในทางเดียวกัน ตัวศิษย์เองนั้นก็เปรียบเหมือนม้าศึก เวลาเจอไม่ใช่จะเจอการทดสอบ เจออุปสรรคในทุกๆ วัน แต่ในทุกๆ วันนั้นจะเลี้ยงจิตใจของศิษย์ให้อ้วนพีมีแต่ความสุขได้หรือเปล่า จะต้องเจอความลำบากบ้างยากบ้าง หากไม่เจอก็ต้องพยายามไปหางานทำ เวลาที่วันดีคืนดีมีการทดสอบมา จิตใจที่ได้รับการฝึกฝนเสมอๆ จะช่วยให้ศิษย์รอดพ้นจากภัยนั้นๆ ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ภัยจากอะไรบ้าง ภัยจากอุบัติเหตุจากธรรมชาติไม่ต้องพูดถึง อาจารย์หมายถึงภัยจากความคิดของตัวเอง จากสภาวะแวดล้อมอันไม่เอื้ออำนวยต่อการบำเพ็ญธรรม ภัยอันเกิดจากคนต่างๆ นานาที่มาทำให้การบำเพ็ญธรรมนั้นของเราถดถอย แต่ว่าในทุกๆ วันนั้นศิษย์นั้นบำเพ็ญได้ดีแล้วก็สบายๆ ถึงเวลาทุกวันก็ปล่อยชีวิตผ่านไป ไม่เคยฝึกฝนไม่ยอมลำบาก พุทธระเบียบก็ไม่อยากจะเรียนรู้ ถึงเวลาขึ้นมาจะให้ช่วยอะไรหน่อยก็ทำไม่ได้ ฉะนั้นการฝึก 100  วันก็เพื่อใช้เพียงวันเดียว แต่ว่าถ้าหากว่าวันเดียวนั้นเกิดมีขึ้นมาแล้วศิษย์ทำไม่ได้ ถือว่าม้าศึกตัวนี้เป็นมาศึกที่ดีไหม (ไม่ดี)  ก็คงจะเป็นม้าศึกที่ขาพิการ หรือไม่ก็หูหนวกตาบอด คดในข้องอในกระดูก รู้จักไหม คนคดโกง
อาจารย์จะบอกให้นะ การบำเพ็ญธรรมนั้น ขานี้เป็นขาของเรา แขนของเรา กายนี้ก็เป็นกายของเรา เวลาเราบำเพ็ญต้องให้คนอื่นเชียร์คนอื่นลุ้น ต้องให้คนอื่นคอยขอโทษถ้าเขาไม่ได้โทรไปตาม ได้หรือเปล่า  คอยไปรับไปส่ง เขาจะส่งศิษย์ได้ถึงฝั่งนิพพานไหม เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าศิษย์นั้นอยากให้ตัวเองบำเพ็ญธรรมะอย่ารอคนอื่น เวลาว่างต้องรู้จักศึกษาใช่หรือเปล่า หนึ่งคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน อยู่ที่ว่าใครเจียดเวลาได้มากกว่ากัน ทุกคนที่อยู่ที่นี่ที่มาก่อนหน้าศิษย์ เขามาเตรียมงาน ถามว่าเขามีเวลาหรือเปล่า  ถ้าหากว่าเขาไม่มีเวลา จะมีศิษย์ในวันนี้ไหม  ทุกๆ ครั้งที่เขาไปหาศิษย์ก็ต้องใช้เวลาของเขาเหมือนกัน อย่าบอกว่าเวลาของเขาไม่มีประโยชน์ มีประโยชน์แต่เวลาของเราได้ไหม  (ไม่ได้)  ทุกคนมีเวลา ทุกคนมีธุระ ทุกคนมีเรื่องราวที่จัดการอยู่ ไม่มีใครที่เจียดเวลาได้มากกว่าใคร  การบำเพ็ญธรรมนั้น ไม่มีใครช่วยให้ถึงฝั่งนิพพานได้ นอกจากตัวเราจะช่วยตัวเราเอง
(พระอาจารย์เมตตาให้แม่ครัวออกมาหน้าชั้น)
อาหารอร่อยไหม (อร่อย)  อร่อยมากหรือเปล่า อร่อยที่สุดหรือเปล่า อร่อยกว่าอาหารชอ (อาหารที่มีเนื้อสัตว์)  ต่อไปนี้กินเจดีกว่านะ กินทุกวัน วันละสามมื้อเลยนะ เสียงเริ่มเบาเรื่อยๆ  คนที่ทำอาหารเจได้อร่อยๆ จนกระทั่งคนเปลี่ยนใจจากกินอาหารชอ มาเป็นอาหารเจได้ มีกุศลใช่หรือเปล่า  เพราะฉะนั้น ทุกๆ หน้าที่ทุกงานทุกสิ่งที่เราไปจับไปทำนั้น ขอเพียงแต่เราชำนาญ แม้กระทั่งแม่ครัวที่เราไม่เห็นหน้าบนแท่นบรรยายในการพูดธรรมะ แต่หากว่าเขาทำได้จริงก็ถือว่ามีกุศล เปลี่ยนคนจากกินชอ มากินเจมากขึ้น เขาก็มีกุศลใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วถ้าหากว่าศิษย์นั้นสามารถเปลี่ยนจากกินชอ มากินเจได้ ศิษย์เองก็มีกุศลใช่หรือเปล่า อาจจะใช่ก็ได้ใครจะไปรู้
ให้ผลไม้เจ้าของบ้านหน่อย  หากว่าเจ้าภาพนั้นจะเก็บลูกใหญ่ไว้กินเอง ลูกเล็กไว้ให้คนอื่นนั้น หากคนอื่นรู้ เขาก็จะไม่อยากกิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความดีนั้นมอบให้ผู้อื่นก่อน ส่วนเรื่องอื่นนั้นเรารับมาแบกไว้ก่อน อย่างนี้จึงเป็นพุทธะ
ขนาดแม่ครัวยังได้ผลไม้เลย นักเรียนในชั้นคนไหนยังไม่ได้ผลไม้ ยกมือขึ้น มีคนมีผลไม้อยู่ไม่กี่คน คนไม่มีผลไม้อยู่เยอะแยะ เหมือนกับทางขึ้นนิพพานเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนเดินร่วมทางเยอะแยะ แต่คนมีมรรคผลมีอยู่ไม่กี่คน  เดินทางร่วมกันบำเพ็ญเหมือนกัน คนได้ผลไม้คือคนที่ได้มรรคผล มีอยู่น้อยนิด เขาได้ผลไม้ไปอยู่ในมือเพราะว่าอะไร  คนที่ได้ผลไม้คือคนที่กล้าตอบ คนที่อยู่ดีๆ ไปให้ผลไม้ก็ถือว่าเป็นคนมีบุญ ส่วนคนที่ยังไม่ตอบ ไม่เอาบุญไปให้สักที ก็ไม่ได้ใช่หรือเปล่า หรือปล่อยให้ตัวเองไม่มีบุญอยู่อย่างนี้ไหม (ไม่)  ปล่อยตัวเองไปอย่างนี้เรื่อยๆ ดีหรือเปล่า  ต้องทำอย่างไรถึงจะได้ผลไม้ ก็ต้องกล้าตอบ อาจารย์ไม่ได้กลัวศิษย์ได้นะ แต่ให้แม่ครัวใหญ่ได้มีโอกาสผูกบุญสัมพันธ์กับผู้อื่นบ้างนะ
เมื่อสักครู่อาจารย์มาถึง อาจารย์พูดถึงการศรัทธาด้วยสติ ศิษย์รู้ไหมว่าการศรัทธาด้วยสตินั้นคืออะไร  ในสมัยก่อนที่จะมาบำเพ็ญธรรมะนั้น ศิษย์ของอาจารย์ก็เป็นผู้ที่มีสติอยู่แล้ว แต่เมื่อมาบำเพ็ญธรรมแล้วสติในการคิดอ่านอะไรจะน้อยลง อาจจะเป็นเพราะว่าศิษย์นั้นได้เปิดสมองที่คิดว่ากรรมมีจริง เชื่ออะไรไปอย่างง่ายๆ มากขึ้น แต่อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่าการคิดอ่านอะไรด้วยเหตุผลด้วยสตินั้นสำคัญสำหรับการบำเพ็ญธรรมอยู่ดี  ดังเช่นอาจารย์มายืมร่างเด็กคนนี้พูดจากับศิษย์ จุดมุ่งหมายของอาจารย์ก็เพียงให้ศิษย์นั้นได้บำเพ็ญธรรม ปฏิบัติในสิ่งที่ดีและทำตาม แต่ไม่ได้หมายความว่าให้ศิษย์นั้นยึดติดในรูปลักษณ์อันนี้ เพราะว่าวันหนึ่งวันใดก็คงต้องมีวันที่อาจารย์นั้นไม่สามารถมาโปรดศิษย์ได้ ยังไงก็ถึงวันนั้น เหมือนกับมีเกิดมีดับ มีร่างกายมีตายจาก  ฉะนั้นการเจอกันนั้นเป็นสิ่งที่ล้ำค่า แม้ว่าศิษย์จะไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่ล้ำค่า แม้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มานั้น ศิษย์จะเลือกที่รักมักที่ชัง อยากมาอยากจะฟังสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์นี้ อยากจะเจออาจารย์มากกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ไหนก็ไม่จำเป็น ขอให้เพียงคำพูดคำไหนที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดแล้วศิษย์สามารถปฏิบัติตามได้ นั่นเป็นสิ่งที่ดี อย่าได้หลงไปในทางอวิชชา หลงเชื่อไสยศาสตร์ อย่าได้ให้อวิชชามาครอบงำจิตใจ อย่าทำให้จิตใจมืดบอด  บำเพ็ญธรรมะนั้นเพื่อการหลุดพ้น แล้วคนที่ยังเป็นคนงมงายก็ยังหลุดพ้นไม่ได้  มีจิตที่คิดไปเองก็ยังมีคนที่คิดจะเชื่อตามอยู่อย่างนั้น จะว่าไปแล้วเป็นการสอบใจศิษย์ก็คงได้ แต่จะว่าแล้วจะเป็นการบอกว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่รู้จักแยกแยะระหว่างศรัทธาและปัญญาได้ชัดเจนก็คงจะได้เหมือนกัน คนที่เจอเหตุการณ์มากับตัวก็คงฟังอาจารย์เข้าใจ ส่วนคนที่ไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องพยายามจะไต่ถามให้รู้เรื่องนะ  ใครรู้ก็รู้ ใครไม่รู้ก็ช่างดีหรือไม่ (ดี)
ในวันนี้มาเจอศิษย์ก็เป็นความโชคดีอันหนึ่ง อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นบำเพ็ญธรรมะ เป็นคนดีแบบคนดีแท้ๆ ไม่ใช่เป็นคนดีชนิดที่เปลือกนอกดูดี เพราะว่าคนที่ไม่ดีที่ทำตนเหมือนคนดี แสดงกริยามารยาทเหมือนคนดีนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าคนที่ไม่ดีแล้วจงใจทำไม่ดีนั้นอีก เพราะว่าเรานั้นกำลังสวมหน้ากาก คนในโลกฟังคำว่าสวมหน้ากากก็เข้าใจกันดี ศิษย์ของอาจารย์นั้นการบำเพ็ญธรรมะก็อย่าได้สวมหน้ากาก เราทำได้เท่าไหนก็เท่านั้น มีได้เท่าไหนก็เท่านั้น ปฏิบัติอะไรได้ก็ทำสิ่งนั้น ปฏิบัติไม่ได้ก็โค้งสักทีหนึ่งแล้วก็บอกว่าทำไม่ได้ ให้คนช่วยชี้แนะหน่อย ไปโค้งใคร โค้งได้ทุกคน ไม่ใช่เลือกโค้งเฉพาะคนบางคน โค้งได้ทุกคน ความรู้นั้นบางทีไม่จำเป็นต้องให้คนที่อายุมากๆ เป็นคนสอน บางทีเด็กๆ ก็มีความรู้ที่ผู้ใหญ่ยังไม่รู้เหมือนกันใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างเช่นการทำจิตใจให้บริสุทธิ์ให้สะอาด ศิษย์จะมองจากใคร ถ้ามองผู้ใหญ่เหมือนๆ กันก็หาไม่เจอ ต้องมองเด็กๆ ถ้ามองผู้ใหญ่ด้วยกันก็เจอแต่จิตใจที่ยังไม่สะอาดอยู่นั่นเอง  แต่ก็ต้องหรี่ตาลงสักข้างหนึ่ง ความไม่ดีของคนอื่นอย่าไปมองชัดมากใช่หรือไม่ (ใช่)  ไหนลองหรี่หลับตาข้างหนึ่งดูซิภาพข้างหน้าชัดไม่ชัด (ไม่ชัด)  ภาพข้างหน้าก็ไม่ค่อยชัด ก็ไว้สำหรับเวลาที่เรามองคนอื่น ความไม่ดีของคนอื่นก็อย่าไปมองชัดมาก ส่วนความดีของคนอื่นมองชัดๆ หน่อย จะได้เก็บเอาไว้ทำตามใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่ใช่ไปเกิดจิตใจอิจฉาเขาว่าเขาดีกว่าเราแล้วอิจฉาจัง เลยหาทางที่จะทำลาย ได้หรือเปล่า (ไม่ได้)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันร้องเพลงพระโอวาท)
ชื่อเพลงเสร็จแล้วหรือยัง รอจนคนในชั้นจะหลับไปหมดแล้วนะ มีคนอยากจะให้ชื่อว่า หนทางสู่สุข เยอะแยะไปหมดเลยแล้วตัวเองหาทางสู่สุขเจอแล้วยัง ใครช่วยอาจารย์ตัดสินใจหน่อยซิ  สู่หนทางธรรม ไม่ค่อยมีสุขเท่าไหร่ แต่อาจารย์ก็รับรองได้ว่าไม่มีทุกข์เหมือนกัน คนส่วนใหญ่คิดถึงแต่ความสุข แต่อาจารย์อยากบอกว่าไม่มีทุกข์ก็คือสุข แม้จะไม่ใช่สุขอย่างที่ศิษย์หวังหรือไม่ใช่สุขมาก แต่ก็ยังพอให้จิตใจของศิษย์นั้นแจ่มใสเบิกบานได้
(พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อเพลงพระโอวาท “สู่หนทางธรรม”)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาวงพระโอวาท)
“คนเอยกระดูกงอข้อคด”  คิดมากๆ เลยกระดูกงอข้อคดใช่หรือเปล่า  กระดูกไม่งอหรอกแต่ว่าสมองจะพังใช่ไหม คนที่บำเพ็ญธรรมนั้นต้องรู้จักคิดแต่ในสิ่งที่ดี ถ้าคิดในสิ่งที่ไม่ดีมากเกินไป เราเองนั่นแหละต้องขจัดความคิดแห่งปุถุชนนั้นให้เบาบางลงมากๆ ยิ่งเบาบางเท่าไหร่ เราจะสามารถบำเพ็ญธรรมได้ตลอดรอดฝั่งมากขึ้นเท่านั้น ถ้าหากเรายิ่งไปคิด ยิ่งไปรู้มากยิ่งไปเห็นมาก เราเองนั้นแหละรับไม่ไหว เราเองนั้นแหละจะบำเพ็ญธรรมไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนไม่คิด ที่คนเขาเรียกว่าคนโง่ ทำอะไรก็ทำไป เขาไม่คิดแต่เราคิด เราเลยเป็นอย่างไร เราเลยเอาโลงมาใส่ตนเอง
ความสงสัยยังคงเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยจะดีต่อตัวเราสักเท่าไหร่ เพราะว่าส่วนใหญ่นั้นเราจะสงสัยว่าคนอื่นเป็นอย่างไร แต่ไม่สงสัยว่าตัวเรานั้นไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  มานั่งสงสัยว่าเรายังไม่ดีสักเท่าไหร่ แล้วเราจะต้องทำอะไรเพิ่มเติมบ้างนั้นก็เป็นความสงสัยที่ดี แต่ส่วนใหญ่จะสงสัยในความดีของคนอื่น ทำให้ตัวเรามีปัญหา ธรรมะนั้นศิษย์อาจารย์จำเป็นต้องเสียสละ มาศึกษาสองวันนี้สำหรับผู้ที่คิดบำเพ็ญนี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น เพราะฉะนั้นการศึกษานั้นก็เหมือนกับการกินข้าว ศิษย์ต้องกินข้าวทุกวันจึงจะสามารถรักษาท้องนี้ไม่ให้หิวได้ เหมือนกับการศึกษาธรรมะนั้น ก็คือเป็นการให้อาหารของจิตใจ ศิษย์อาจารย์จำเป็นต้องศึกษาบ่อยๆ ศึกษาให้มากๆ จิตใจของเรานั้นต้องเป็นพุทธะคือรู้ตื่นและเบิกบานได้  หนังสือตำราสามารถให้ความรู้แจ้ง ความรู้แจ้งเป็นความรู้แจ้งเพียงเปลือกนอก แต่หากศิษย์ของอาจารย์นั้นศึกษาธรรมะจนเข้าใจ ยิ่งปฏิบัติมากมายความรู้แจ้งจะออกมาจากภายในของตัวเอง และถึงวันนั้นไม่ต้องรอให้เหมือนหนังสือ  หนังสือเป็นความรู้แจ้งของศิษย์อ่านแล้วก็ลืม หนังสืออยู่ก็คือความรู้ศิษย์อยู่ หนังสือหายความรู้ของศิษย์ก็หายไป ความรู้แจ้งของศิษย์ก็หายไปด้วย ฉะนั้นจึงไม่เท่ากับความรู้ตื่นในการศึกษาธรรมะ ได้เสียสละเวลาทำความเข้าใจให้รู้ซึ้งให้รู้แน่ ธรรมะเมื่อก่อนนี้ที่ศิษย์ได้ยินได้เข้าใจ ธรรมะหมายถึงสิ่งหนึ่งที่ดูไกลเกินเอื้อมดูงดงาม แต่บัดนี้ศิษย์ของอาจารย์เป็นผู้บำเพ็ญ เมื่อศิษย์บำเพ็ญ ทำไมธรรมะที่มาอยู่กับตัวเรา ทำไมธรรมะที่เราบำเพ็ญปฏิบัติถึงดูเหี่ยวเฉานักล่ะ ปัญหานั้นไม่ได้อยู่ที่ธรรมะ แต่อยู่ที่จิตใจของเราที่เอาไปปะปนกับธรรมะ ธรรมะเหมือนไฟ จิตใจก็เหมือนน้ำ  ถ้าหากว่าไฟของธรรมะแรงน้ำก็จะเดือดเร็ว อาจารย์ไม่ได้หมายความว่าสื่อถึงน้ำที่ร้อน แต่อาจารย์หมายความว่าถ้าธรรมะหมายถึงไฟ ใจของศิษย์เปรียบเหมือนน้ำที่อยู่ในหม้อ ใจของเรานั้นก็จะสามารถเดือดได้ แต่เดือดในที่นี้ก็ไม่ได้หมายถึงเดือดในกองโมโห แต่หมายถึงความรู้ตื่นของจิตในจิตของศิษย์
(พระอาจารย์เมตตา ให้นักเรียนที่สนใจเข้าไปช่วยทำพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
ส่วนใหญ่ชอบเป็นผู้สังเกตการณ์ ไม่ชอบลงมือใช่หรือไม่ (ใช่)  สังเกตการณ์ใครก็ทำได้ ต้องลงมือปฏิบัติด้วย เดี๋ยวจะให้ดูว่าเพื่อนนักเรียน ๒ - ๓ คนนี้ เข้าไปข้างในจะได้เรื่องหรือเปล่า  ผู้หญิงมีใครอยากดูบ้าง ผู้หญิงมีแต่ความอายใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องรู้จักว่าบางทีต้องตัดความอายไปจากจิตใจ เหมือนวันนี้ศิษย์มานั่งฟังธรรมะ รู้ว่าธรรมะนี้ดีแต่จะไปชวนคนศิษย์ก็อาย กลัวคนจะว่าเรางมงาย กลัวคนจะว่าเราอะไรก็ไม่รู้ สุดท้ายเราชวนใครได้สักคนไหม (ไม่ได้)  เป็นพุทธะอยู่โดดเดี่ยว ขึ้นนิพพานไปคนเดียว
ศิษย์หลายคนพอกลับไปถึงบ้าน อยากจะบำเพ็ญธรรมอยากจะกินเจ ทางบ้านก็จะห้ามแล้ว แต่ศิษย์ไม่คิดหรือว่า พี่น้องคลานตามกันมา และศิษย์ก็รู้ว่าธรรมะนี้ดี ศิษย์อยากจะกินเจ ทำไมศิษย์ไม่มีแรงพอที่จะดึงให้คนอื่นเขากินเจ หรือบำเพ็ญธรรมได้ล่ะ  ในเมื่อสายเลือดก็เป็นสายเลือดเดียว เขาก็คงจะสนใจในธรรมะเหมือนกัน ศิษย์ก็อย่าเพิ่งอาย พูดไปตามหลักเหตุผล  ธรรมะที่แท้จริงนั้นมีแต่หลักเหตุผล พูดได้เห็นผลได้ เหมือนกับกรรม เหมือนกับเหตุ สิ่งใดที่เราพูดสิ่งนั้นจำเป็นที่เราจะต้องทำได้ หากว่าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องพูด เหมือนกับคนที่พูดเรื่องความกตัญญู ตนเองก็ปฏิบัติอยู่ ไปเรียกให้คนอื่นเขากตัญญู บอกลูกว่าต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ ตัวเองก็ต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ของตัวเองด้วย เพราะไม่มีใครเกิดมาจากระบอกไม้ไผ่ จะทำอะไรก็คิดให้ดีให้รอบคอบ
อาจารย์ให้โอกาสสองวันนี้มาฟังธรรมะ กลับไปบ้านแล้วจะทำอะไรบ้าง (ชวนคนรับธรรมะ, กินเจทุกวันพระ, จะสร้างกุศล, นำไปศึกษาและปฏิบัติ)  อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่าอยู่ในเพศบรรพชิตอธิบายให้คนฟังธรรมะ พูดให้คนทำดี ชวนคนรับธรรมะไม่ได้เพราะเรายังไม่เหมาะสม อาจารย์ของเราตอนนี้นั้นยังเป็นพระพุทธองค์ ตราบเมื่อศิษย์ของอาจารย์เข้าใจธรรมะมากขึ้น ตราบนั้นจึงชวนได้
ทานเจทุกวันพระ แล้วถ้าไม่ใช่วันพระ สัตว์อื่นตายหมดนะ เพราะเราอยากกินใช่หรือเปล่า อย่างนี้เดี๋ยวสิงโตเสือก็กินเจทุกวันพระ ที่เหลือออกมาล่าคนหมด คนจะมีให้เสือล่าไหม  คนที่บอกว่าจะชวนญาติพี่น้องมารับธรรมะต้องสำคัญที่ว่าตัวเองได้เข้าใจธรรมะอย่างถ่องแท้ หรือว่าอย่างน้อยก็พออธิบายให้เขาพอคลายความสงสัยได้บ้าง เกิดจากความเข้าใจของตัวเราเอง ไม่เช่นนั้นแล้วศิษย์ไปชวนเขารับธรรมะ ชวนคนรับธรรมะชวนง่ายแต่ส่งเสริมคนนั้นยาก รู้ไหม ส่งเสริมคนนั้นยากเพราะว่าการบำเพ็ญนั้นไม่ใช่วันสองวัน แต่การบำเพ็ญนั้นเป็น 10 - 20 ปี การบำเพ็ญธรรมะนั่นคือตลอด
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ไม่ทิ้งกลางดินฟ้า ? คือคน”)
ไม่ทิ้งกลางดินฟ้า  ทำมืออย่างนี้อะไร (?) ยอดเยี่ยม ประเสริฐ ดีเลิศ คือคนใช่หรือเปล่า กลางดินฟ้าประเสริฐที่สุดก็คือคน ถ้าภาษาของคนที่เป็นวัยรุ่นหน่อย กลางดินฟ้าก็คือยอดเยี่ยมเลย คือคน แล้วแต่ศิษย์จะไปคิดไปว่าคำพูดนี้ในความคิดของศิษย์คืออะไรแล้วได้บอกอาจารย์จี้กง จะเฉลยนะว่าไม่ทิ้ง ไม่ได้หมายความว่าไม่ทิ้งอะไร คือไม่ทิ้งธรรมะ ไม่ทิ้งการบำเพ็ญ กลางดินฟ้าประเสริฐคือคน เข้าใจหรือไม่ แต่ถ้าหากเราทิ้งธรรมะไปกลางดินฟ้าถึงแม้จะเป็นคน แต่หลังจากเป็นคนก็จะกลับเป็นสัตว์อีกหรือกลับไปเวียนว่ายตายเกิดอีก ไม่เรียกว่าประเสริฐแท้เข้าใจหรือไม่
ตอนนี้ทางภาคใต้ฝนตกทุกวัน ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนรักษาสุขภาพ รักษาตัวให้ดี รักษาใจให้ดี หากรู้จักรักษาตัวก็รู้จักรักษาใจ นั้นเป็นอย่างเดียวกัน เพราะว่าตัวนั้นเจ็บป่วยเป็นแผลก็ยังมองเห็น แต่จิตใจนั้นเจ็บป่วยเป็นแผลนั้นมองไม่เห็น เราไม่อยากให้ตัวเองเป็นแผลทั้งทางใจทางกาย เราก็อย่าทำให้ผู้อื่นเป็นแผลทั้งทางใจทางกาย สิ่งที่คมยิ่งกว่าศาสตรายิ่งกว่าอาวุธ คือคำพูด พูดดีก็เป็นศรีแก่ปาก พูดมากก็โดนคนเขาชกต่อยเอา คนทางใต้นี้หลายคนเป็นคนใจร้อน แม้มาบำเพ็ญธรรมะแล้วก็ยังไม่สามารถขจัดปล่อยวางได้ หลายคนนั้นติดปัญหาเรื่องความรัก ความโลภ เรื่องต่างๆ นานาไม่ค่อยจะเหมือนกัน แต่ในภาพรวมแล้วศิษย์ของอาจารย์นั้นก็คือมีกิเลสเหมือนๆ กัน จะให้ใครคนอื่นนั้นขจัดให้ไม่ได้ มีแต่ตัวเราเท่านั้นที่จะช่วยตัวเราเองไหว มีแต่ตัวเราเองที่จะแบกตัวเองขึ้น หากคนอื่นมาแบกเรา ศิษย์ลองนึกสภาพ คนอื่นแบกเราเขาหนักใช่หรือเปล่า เขาหนักมากๆ เขาก็ปล่อยเราลง แต่ถ้าตัวเราแบกตัวเราเอง ศิษย์ลองคิดดูซิ ร่างกายของศิษย์นั้นหนักเท่าไหร่ แต่ขาสองข้างนั้นก็ยังเอาอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจะให้คนอื่นช่วยตัวเราเองนั้นยาก ดังนั้นเราควรช่วยตัวเราเอง
วันนี้เข้ามาในสถานธรรมด้วยความไม่เข้าใจไม่ว่าจะมาด้วยสาเหตุใดๆ ก็ตาม จะคิดว่ามาสถานธรรมแล้วจะได้โชคได้ลาภ ดวงชะตาที่ดีหรือว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่กลับออกไปศิษย์รู้อย่างเดียวว่าสิ่งที่ศิษย์ได้นั้นคือธรรมะ คือจิตใจที่ประเสริฐจิตใจที่แจ่มใสของตนเองคืนมา นั้นเป็นการได้ในสิ่งที่ดีที่สุด ประเสริฐยิ่งกว่าเงินทอง ประเสริฐยิ่งกว่าคำพูดใดๆ แต่ธรรมะนั้นอยู่กับศิษย์ได้กี่วัน จะนานสักกี่วัน ก็ขึ้นอยู่กับตัวศิษย์นั้นจะเป็นผู้กำหนดชีวิตของตัวเอง แม้ว่าชะตากรรมจะกำหนดศิษย์มาก่อนหน้านี้ แต่หลังจากวันนี้ไปถ้าหากศิษย์ตั้งใจศิษย์จะเป็นผู้กำหนดชีวิตของตัวศิษย์เอง อย่างนั้นจะไม่ดีกว่าหรือ
คนที่เข้ามาในสถานธรรมวันนี้ที่นี้ อาจารย์รู้ว่าศิษย์หลายคนในที่นี่ที่มาเป็นนักเรียน ไม่ใช่คนที่หัวอ่อน ไม่ใช่ใครที่คนจะมาจูงจมูกได้ง่ายๆ  อาจารย์มาวันนี้ในภาคของคน ขอร้องให้ศิษย์มาประชุมธรรมนั้นก็ไม่ได้เห็นว่าศิษย์เป็นคนที่ง่ายดายอะไร แต่กลับเห็นศิษย์เป็นผู้มีบุญ มีบุญที่จะสำเร็จเป็นพุทธะได้ ขอให้มีร่างกายเป็นคนก็คือมีโอกาส  พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์กวนอินก็เคยมีร่างกายเป็นคน อาจารย์เองก็เคยมีร่างกายเป็นคน เกิดมาไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ อาจารย์ก็เกิด เกิดมาเพื่อใช้กรรม ใช้กรรมแทนมนุษย์ก็เคย เกิดมาเพื่อที่จะเข้าใจชีวิตก็เคย ทุกๆ สถานการณ์นั้นล้วนเคยผ่านมาแล้ว ล้วนรู้ว่าการเกิดเป็นมนุษย์นั้นทุกข์ยาก แม้จะอยู่ในสภาพที่สบายกว่าสัตว์เดรัจฉาน แต่ศิษย์จะรู้หรือ ชาตินี้ที่ศิษย์บอกว่าศิษย์เป็นคนดีก็ไม่ใช่ดีเต็มที่ ถามว่าจะไปสวรรค์ไหมก็ไม่ค่อยจะแน่ใจ ไปนรกหรือเปล่าก็ไปไม่อยากจะไป แล้วศิษย์ของอาจารย์จะเป็นอะไร  ขอให้ศิษย์นั้นเป็นตัวของตัวเองเดินทางธรรมะก้าวตามอาจารย์ จิตหนึ่งใจเดียวมั่นคงในธรรมะ ต่อให้มีอุปสรรคใดๆ ก็อย่าได้ท้อถอย  ทนการทดสอบ ได้ยินอะไรก็ฟังเป็นลมผ่านหู ที่สำคัญใช้หลักธรรมในการบำเพ็ญอย่าได้มุ่งแก่งแย่งแข่งขันชิงดีชิงเด่น คำพูดพูดน้อย ให้พูดมาจากใจ คนย่อมรับรู้ได้พูดมากไปคนไม่ฟังก็ไม่มีประโยชน์ อยู่ในโลกทุกคนมีกรรมหนัก บางทีกรรมก็บังตาให้ศิษย์นั้นคิดอะไรไม่ออกมองอะไรไม่เห็น ศิษย์ก็ไม่รู้ศิษย์ก็ไม่เข้าใจ
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมนักเรียนและผู้ปฏิบัติงานธรรม)
บำเพ็ญให้ดีๆ นะ เกิดมาเป็นผู้ชายนั้นมีกำลังมากกว่าแล้วก็มีการรับทุกข์ทรมานที่น้อยกว่า ขอให้ใช้โอกาสนี้เป็นโอกาสที่ดีขอให้เติบโตในวงการธรรมะ อย่าเล่นมาก ขอให้คิดให้ดีๆ จะพูดสิ่งใดจะทำสิ่งใด โดยปกติศิษย์ก็คงเห็นอาจารย์เฉพาะบนหิ้งพระที่ศิษย์ไว้กราบไหว้ วันนี้อาจารย์มาหาศิษย์แล้วขอให้ศิษย์นั้นมีแต่ความคิดที่ดี มีความคิดที่เหมาะสม เป็นการส่งอาจารย์ไปยังเบื้องบน เพื่อเป็นบุญของศิษย์ เพื่อเป็นกำลังใจของอาจารย์ให้เราเจอกันใหม่ บำเพ็ญให้ดีๆ  มั่นคงในธรรม
เป็นเตี่ยนฉวันซือศิษย์จะต้องหนักแน่น ดูเหตุการณ์ใดจะต้องทะลุปรุโปร่ง อาจารย์อยู่เบื้องฟ้าไม่มีเวลามาหลอกเล่นกับมนุษย์ จะต้องใช้สติปัญญา บำเพ็ญธรรมให้ดีๆ ศึกษาให้มากๆ เข้าใจให้ลึกซึ้ง การบำเพ็ญธรรมนั้นเป็นเรื่องของมนุษย์แต่ธรรมะจริงๆ นั้นยังมาจากฟ้าคนบำเพ็ญไม่ดีเราก็อย่าไปมองเขามากยิ่งมองมาก มองคนอื่นไม่ดีมากๆ เราก็ยิ่งบำเพ็ญไม่ได้ แล้วมิหนำซ้ำศิษย์แยกไม่ออกหรอกว่าอะไรกันที่เป็นความดีและอะไรกันที่เป็นความไม่ดีใน  ตอนนี้อย่าท้อแท้ในการบำเพ็ญมากเกินไป อย่าสร้างอุปสรรคให้กับตนเอง
คนตั้งมากมายเขาเลือกเราเป็นหัวหน้าชั้น แสดงว่าเรานั้นมีบุญมากกว่าพวกเขา บำเพ็ญธรรมให้ดีๆ ที่มีหน้าที่นำก็นำไปให้ดี คนที่มีหน้าที่ตามก็ตามไปให้ดี ถึงคราวนำก็นำให้ดี ถึงคราวตามก็ตามให้ดี เท่านี้คงไม่เป็นการยากเกินไป ศิษย์ที่น่ารักของอาจารย์ทุกคน หวังว่าวันหลังเราจะมีโอกาสได้เจอกันอีกคงเป็นการยาก ถ้าจะให้เรานั้นกลับมาพร้อมหน้าอย่างนี้อีก คงจะเป็นการยากที่ให้ศิษย์คนนี้นั่งอยู่ตรงนี้แล้วศิษย์คนนั้นยืนอยู่ตรงนั้น แม้การประชุมธรรมทุกๆ ครั้งหัวข้อจะคล้ายๆ กัน คนพูดๆ ออกมาคล้ายๆ กันแต่ความล้ำค่าคงอยู่ที่ศิษย์นั้นสามารถรวมตัวกันได้แบบนี้ สามัคคีและมีความรักใคร่กลมเกลียวกันได้แบบนี้ อาจารย์จึงไม่ชอบเห็นภาพศิษย์ของอาจารย์นั้นทะเลาะกันที่สุด อาจารย์ไม่ชอบที่จะให้ศิษย์นั้นแตกสามัคคีแม้แต่ในใจ  ถ้าหากว่าเขาผู้เป็นน้องไม่ดี เป็นพี่ก็อภัยเสีย  ถ้าหากว่าผู้เป็นพี่ไม่ดี ผู้เป็นน้องก็ให้รู้จักทำใจ  วันหนึ่งเมื่อพี่สำนึกได้เรายังเป็นน้องที่ดีเสมอ บำเพ็ญธรรมบำเพ็ญทั้งบ้านถือว่ามงคล อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกคนกลับบ้านกลับนิพพานไปอย่างพร้อมหน้ากัน รักษาตัวให้ดีนะ


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ไม่ทิ้งกลางดินฟ้า  คือคน”

ถักทอผ้าแม้ชำนาญยังต้องใจเย็น ฝึกก้าวเป็นผู้บำเพ็ญเพียรอุตส่าห์
เข้าใจชัดปฏิบัติจริงด้วยปัญญา มุ่งมั่นกล้าฝ่าอุปสรรคจักก้าวไกล
บ้างราบรื่นบ้างเข็ญยากตามแต่กรรมสร้าง หัดปล่อยวางอาจช่วยให้หนักเป็นเบาได้
ไม่ล้มเลิกกลางคันย่อมได้ผล ให้สมหวังดังใจหมายสู่ผู้ที่หมั่นเพียร
เรื่องที่แน่นอนยังแปร เคยแก้ได้แล้วยังเปลี่ยน
เพราะยังเป็นคนวนเวียน ความเพียรยิ่งนานจึงห้ามลด
เห็นศิษย์หลงกิเลสหมดใจ ให้ได้มายอมแม้ต้องปด
คนเอยกระดูกงอข้อคด ไม่อาจอดใจห่วงใย

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา