วันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2543

2543-07-23 พุทธสถานหย่งซิ่น จ.ชลบุรี


วันอาทิตย์ที่ ๒๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานหย่งซิ่น จ.ชลบุรี
พระโอวาทท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง

อย่าประมาทแม้เศษเสี้ยวของชีวิต เผลอทำผิดหมดชีวิตยากแก้หนา
หมั่นตรึกตรองทุกขณะด้วยคุณธรรมและจริยา ผิดชอบดีชั่วนาหมั่นย้ำเตือน
เราคือ
เสี่ยวเซี่ยวฝอถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหย่งซิ่น    แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามเมธีทุกทุกท่านตั้งใจฟังธรรมะกันหรือเปล่า
อารมณ์ร้ายทำลายจิตพิฆาตสิ้น ตวัดลิ้นเกิดลมปากทิ่มแทงเหลือ
กระทำการประหารดั่งไฟรักเชื้อ เมตตาเกื้อการุณให้กลับไม่มี
เพียงเพื่อหวังตนมีและตนได้ กำเอาชัยไว้เป็นหนึ่งอย่างเต็มที่
ทั้งเงินทองชื่อเสียงต้องเปรมปรีดิ์ ไม่ทันเสพกลับต้องมีอันเลือนไป
บ้างเจ็บปวดสูญเสียหรือพลาดพลั้ง ไร้กำลังความพ่ายแพ้รับไม่ได้
หวนคำนึงหวังหาธรรมพักพิงใจ กรรมมากมายบุญตามมาช่วยเหลือไม่ทัน
ไม่สายรู้รักษ์ธรรมนำชีวิต เมตตาจิตเสียสละไม่ห้ำหั่น
น้ำใจเชื่อมมิตรไมตรีสายสัมพันธ์ ปลูกทุกวันสักวันงามสมบูรณ์
ร่วมสถานร่วมศึกษาน้อมบำเพ็ญ อภัยเป็นธรรมยิ่งใหญ่ให้มิสูญ
เสียงขัดหูภาพขัดตาธุลีพูน แปรความขุ่นเป็นเครื่องวัดพัฒนาใจ
ฮิ  ฮิ  หยุด

พระโอวาทท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง

การมานั่งฟังธรรมะนั้นไม่ง่ายเลย ร้อนก็ร้อน อึดอัดก็อึดอัด ง่วงก็ง่วง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่การที่เราจะได้สิ่งดีมานั้น เราต้องมีอะไรมาแลกเปลี่ยน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเราได้ธรรมะ แต่เราก็ต้องเสียอะไรไป (เสียเวลา)  แล้วกว่าการที่เราจะได้ความเข้มแข็ง เราต้องเสียแรงกายแรงใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เรามาที่นี่เราต้องรู้ว่ามาทำอะไร มาแล้วก็ต้องทำสิ่งที่ตั้งใจมาให้บรรลุ ไม่เช่นนั้น มาแล้วก็เสียเปล่า ไม่รู้ด้วยว่ามาเพื่ออะไรและมาทำอะไรกันแน่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่อย่างนั้นเราจะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์แถมไม่ได้ธรรมะอะไรเลย จริงหรือไม่ (จริง)
วันนี้เรามาพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ น้อยๆ ที่จะมอบให้ท่านเป็นอย่างแรก และเป็นการเจอกันครั้งแรก ตัวมนุษย์นั้น ทุกๆ คนไม่ว่าจะกระทำสิ่งใดก็ตาม หากตื่นขึ้นมาด้วยจิตใจที่เบิกบานแจ่มใส ก็ย่อมมีกำลังวังชา มีจิตใจที่จะต่อสู้  แต่ถ้าเกิดว่าคนเรานั้นเกิดมา ลุกขึ้นมาจากการหลับ เราเกิดมาแล้วเราตื่นขึ้นมาด้วยท่าที่หดหู่ท้อแท้ การที่จะก้าวไปทำสิ่งใดย่อมเป็นการยากลำบาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เราจึงต้องพยายามตื่นขึ้นมาจากความฝันด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม และพร้อมที่จะต่อสู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  รอยยิ้มเล็กๆ น้อยๆ มอบให้กับตัวเอง อาบอิ่มให้กับชีวิตของตัวเองจะเป็นขวัญและพลังให้เราสามารถที่จะก้าวต่อไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เฉกเช่นเดียวกันเมื่อเราเห็นหน้าใครก็ตาม แล้วเรายิ้มไม่ออกเขาก็ยิ้มไม่ออกกับท่าน จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ถ้าเกิดเจอหน้ากันแล้วยิ้ม ท่าทีการยิ้มเช่นนี้จะเป็นท่าทีเปิดรับซึ่งกันและกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเป็นกุญแจใจให้คนที่เขาพยายามปิดตัวเองนั้นค่อยๆ แง้มออกมาด้วยความละมุนละม่อม การอยู่ร่วมกันน้ำเย็นย่อมชโลมความร้อนให้หายไป ลมเย็นย่อมคลายความร้อนให้เบาบางไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตใจที่สงบและมีความยิ้มแย้มแจ่มใสย่อมคลายความทุกข์วิตกกังวล ก่อนที่จะต้องเผชิญเรื่องราว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการเริ่มต้นที่ดีให้กับชีวิตนั่นก็คือการรู้จักยิ้มและมีจิตใจที่ใส ฉะนั้นทุกขณะจิตที่ท่านมีชีวิตอยู่เริ่มต้นด้วยสิ่งดีเล็กๆ น้อยๆ ความดีนี้จะช่วยอาบอิ่มให้เรามีขวัญกำลังใจ และพลังในการต่อสู่กับชีวิตที่ยังยาวไกลเหลือสั้นนิดเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เริ่มต้นเจอกันวันนี้ใครยังไม่ยิ้มก็ยิ้มดีไหม (ดี)
“อย่าประมาทแม้เศษเสี้ยวของชีวิต เผลอทำผิดหมดชีวิตยากแก้หนา
หมั่นตรึกตรองทุกขณะด้วยคุณธรรมและจริยา ผิดชอบดีชั่วนาหมั่นย้ำเตือน”
ฉะนั้นไม่ว่าจะทำสิ่งใดเราต้องไม่มีความประมาท เราต้องเป็นผู้พร้อมเสมอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราพร้อมเสมอแล้วเราก็จะต้องรู้จักเอาสิ่งใดมาช่วยเตือนให้ตัวเราไม่ประมาท นั่นก็คือคุณธรรม อีกอย่างหนึ่งก็คือจริยธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  คุณธรรมช่วยย้ำเตือนเราว่าสิ่งใดดีสิ่งใดไม่ดี คุณธรรมเป็นเกราะป้องกันภัยให้มนุษย์ไม่ก้าวไปทำผิด และไม่พลั้งเผลอทำผิดโดยไม่รู้ตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)
ใจตั้งอยู่ที่ไหน ใจก็ต้องอยู่ที่ตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางครั้งก็อดไม่ได้ต้องคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อย ตัวอยู่นี่แต่บางครั้งใจคิดไปถึงบ้าน คิดไปถึงหนังทีวี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตของเราเกิดมาตาดูหูฟังมือจับต้องกายกระทำงานต่างๆ ตามองอะไรก็เห็นอย่างนั้น หูอยากฟังอะไรก็ได้ยินเสียงอย่างนั้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางครั้งหูไม่อยากได้ยินในเรื่องบางเรื่องก็อาจที่จะปิดหู ตาเราไม่อยากมองในสิ่งที่ไม่น่ามอง เราก็สามารถหลับตาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มือเราไม่อยากทำสิ่งที่ไม่ดีสิ่งที่เลวร้าย เราก็เก็บมือเราได้ หรือไม่ก็ตีมือเราได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  การที่เราจะตีมือเราได้ เราก็ต้องเอาใจของเราบังคับให้มืออีกมือหนึ่งตีมือเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์โดยส่วนมากนั้นเมื่อเริ่มต้นเกิดมามีจิตสำนึกที่ดีงาม อยากมองสิ่งสวยๆ อยากได้ยินเสียงเพราะๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางทีถึงตอนที่เราเกิดมานั้น บางครั้งเรายังแยกไม่ออกว่าเสียงนี้คือเสียงเพราะ เสียงนี้คือเสียงไม่เพราะ  เรารู้แต่เพียงว่า เมื่อมีคนพูดออกมาเราได้ยินเสียง  เมื่อมีภาพปรากฎเราเห็น  เมื่อมีลมโชยมาเราได้กลิ่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราเริ่มต้นชีวิตบางครั้งเรายังแยกไม่ออกว่าเสียงนี้คือเสียงที่ไม่น่าฟัง ตาเมื่อมองเห็นภาพนื้คือภาพที่ไม่น่าดู ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าจิตสำนึกจะคอยบอกเราอยู่เสมอว่าถ้าเดินไปตรงนี้ เสียงนี้จะเป็นเสียงที่อบอุ่นให้ความเมตตา  แต่ถ้าเดินไปทางเสียงนี้ เสียงนี้จะไม่เหมือนกับเสียงที่อบอุ่นและเมตตา ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเราเริ่มรู้ว่ามีความแตกต่าง เราก็มักจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  กระทำในสิ่งที่ดีที่สุด  แต่ใต้จิตสำนึกของมนุษย์ทุกคนนั้นเริ่มต้นก็ใฝ่หาแต่สิ่งที่ดีงาม  แต่สิ่งที่ดีงามจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคนๆ นั้นยืนอยู่เฉยๆ หรือว่าไปไขว่คว้าจับต้องมา (ไปไขว่คว้า)  ธรรมะก็เฉกเช่นเดียวกัน  ธรรมะจะไม่สามารถปรากฏในจิตใจของใครได้ ถ้าคนๆ นั้นไม่รู้จักไขว่คว้าและรักษายึดกุมไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากมนุษย์เราตลอดชีวิตเราไม่เคยรู้ว่าเรามีชีวิตแล้วต้องมีธรรมะ ธรรมะจะปรากฏกับคนๆ นั้นไหม (ไม่ปรากฏ)  บางทีก็มี  บางครั้งทำไมเราเดินไปเจอคน เห็นคนกำลังถูกทำร้าย เรามีใจสงสารไหมทั้งๆ ที่รู้ว่าคนๆ นั้นไม่ใช่ญาติพี่น้องเรา  บางครั้งเราก็อยากจะช่วยถ้าช่วยได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าไม่มีเรื่องอะไรที่เป็นสิ่งไม่ดีเข้ามาครอบงำ เราก็อยากจะยื่นมือไม่ช่วย  แต่ถ้าเกิดมีเรื่องที่เล่ามาว่าอย่าไปช่วยเลย ช่วยแล้วเดี๋ยวจะโดนหาว่าเป็นผู้ทำร้ายเขาโดยไม่รู้ตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเกิดไม่มีเรื่องนี้มนุษย์ทุกคนจะสามารถช่วยเหลือและมีน้ำใจต่อกันอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง และยื่นมือให้กันอย่างเต็มที่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากมีโจรผู้ร้ายมาปรากฏ คนทุกคนจะมองกันด้วยความระแวงไม่ไว้ใจ จิตสำนึกที่ดีงามที่เคยมีอยู่จึงเริ่มถอยหลังไป จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วเมื่อไม่ใช้บ่อยๆ เริ่มถอยหลังๆ ก็จะหายไปหมด  แล้วเราก็จะคิดว่าเรานั้นไม่ใช่คนดี จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วก็บอกว่าตัวเราเป็นคนไม่ดีขี้บ่น อิจฉา รังเกียจ นินทา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าคิดกันดีๆ  จริงๆ แล้วทุกคนมีอยู่แต่อยู่ที่ว่ามองแล้วหยิบไปใช้ไหม ฟังแล้วรู้จักเอาไปปฏิบัติหรือเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเราเห็นฟ้า จะเห็นฟ้าก็ต่อเมื่อแหงนหน้ามอง เราจะเห็นดินก็ต่อเมื่อก้มหน้ามอง แล้วเราจะเห็นธรรมะก็ต่อเมื่อตัวเราต้องค้นหาและไขว่คว้ามา ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีอยู่ในจิตใจในมโนธรรมสำนึก  แต่มีอยู่ก็สามารถหายไปได้ถ้าไม่รู้จักหยิบมาใช้ เหมือนเสื้อตัวหนึ่งไม่หยิบบ่อยๆ บางครั้งเราจำได้ไหมว่าเสื้อตัวนั้นแขวนไว้ที่ไหน (ไม่ได้)  แล้วถ้าหากว่าเราเก็บเสื้อตัวนั้นตอนเราลืมสติหรือไม่มีสติ สติเราไม่อยู่กับตัว ปัญญาเราไม่ได้ขบคิด แม้ตอนนั้นจะแขวนเสื้อก็จำไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ตอนนั้นจะเคยมีธรรมะก็จะนึกว่าตัวเองไม่มี  เหมือนตัวเราหากไม่เจอคนเลวร้าย หากไม่เจอคนน่าเกลียดน่ากลัว หากไม่เจอคนเจ้าเล่ห์ฉ้อฉน เราจะรู้ไหมว่าเรานั้นก็มีความบริสุทธิ์ยุติธรรมอยู่ ไม่รู้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อไรที่เห็นคนไม่ดีในสังคม เราต้องขอบคุณเขา เพราะทำให้เราเห็นว่าตัวเรานั้นดีหรือเปล่า ตัวเรานั้นลืมทอดทิ้งไปหรือไม่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาเจอคนไม่ดีอย่าไปว่าเขา ต้องขอบคุณเขาที่ทำให้เราเห็นตัวเอง นี่คือมุมมอง  ทำไมคนในสังคมจึงมองกันว่าสังคมน่ากลัว คนไม่ดี คนนั้นก็เจ้าเล่ห์ คนโน้นก็ฉ้อฉน คนโน้นก็ชอบนินทาว่าร้าย คนนี้ก็ชอบเบียดเบียน  แต่ต้องมองกลับว่าคนนั้นเบียดเบียนแต่เราไม่เบียดเบียน ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนโน้นฉ้อฉนทำไมเราจึงฉ้อฉนเหมือนกัน  ทำให้เราได้ตรวจสอบ ทำให้เราได้มองเห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเรื่องราวในโลกนี้แม้จะเลวร้ายมืดมิดอย่างไรก็ใช่ที่จะน่ากลัว ในความน่ากลัวนั้นยังให้ข้อคิดที่ดีและให้มุมสว่างที่เราพร้อมจะเห็นได้ชัดเจน และจะตั้งต้นจะไม่ทำตามเขาเด็ดขาด จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเกิดมาเป็นคนเราจึงต้องอย่าได้ปล่อยให้ชีวิตเป๋ไปเป๋มา เคว้งไปเคว้งมา แต่เมื่อมีชีวิตจึงต้องรู้จักตั้งต้น  เมื่อตั้งต้นแล้วก็ต้องตั้งต้นให้ดีงามและสว่างไสว ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือเป็นมนุษย์แล้วควรรู้จักวางตน บางคนเกิดมาแล้วมักจะไม่ชอบอย่ามาตีกรอบ อย่ามาควบคุม  ในนิทานเรื่องหนึ่งมีใบไม้ใบหนึ่งเป็นใบที่พูดได้ แต่ยังไม่ได้เกาะกิ่งไม้ใด ใบไม้ใบนั้นเดินไปเจอกิ่งไม้กิ่งนี้ก็ดี เดินไปเจอกิ่งโน้นก็ดี เดินไปอย่างนี้ต้นไม้ทั้งต้นเลือกไม่ได้สักที  บางครั้งพอจะไปกิ่งนี้ก็ไม่เอาบอกว่าเบียดเสียดยัดเยียดชอบตีกรอบชอบบังคับ พอเดินไปอีกก็บอกว่าไม่เอาชอบดุว่าเข้มงวด เราขอเป็นใบไม้อิสระดีกว่าไม่ต้องเกาะกิ่งไหน  แต่พอมีลมพัดมาใบไหนที่จะอยู่ได้ ใบไหนที่ต้องร่วงหล่นสูญสลายไปก่อนกำหนดเวลา (ใบที่ไม่เกาะกิ่ง)  พอลมพัดมาฝนตกกระหน่ำมาใบไม้นั้นก็ปลิวไปปลิวมา ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเจอน้ำหน่อยก็บุบสบายไปก่อนเวลา จริงหรือไม่ (จริง)  ท่านเห็นได้คนที่ไม่ยอมอยู่ในกรอบของสังคม  คนที่ไม่ยอมอยู่ในกฎของสังคมมักจะไปก่อนกำหนดเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าได้กลัวข้อบังคับหรือกฎระเบียบของสังคม อย่าได้กลัวคำดุด่าว่ากล่าวตักเตือนตน ไม่เช่นนั้นจะเป็นผู้ที่ทอดทิ้งสิ่งล้ำค่าและมองไม่เห็นความเป็นจริง หรือคุณค่าของคำพูดที่แฝงอยู่ในคำว่ากล่าวตักเตือน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราเกิดเป็นคนจงอย่าได้มองข้ามทุกๆ สิ่ง  จงมีชีวิตอยู่แล้วมองเห็นความเป็นจริงแห่งชีวิต แล้วเราจะไม่ถูกเปลือกของชีวิตทำให้เราไม่เห็นความเป็นแก่นแท้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
คนหลายๆ คนชอบมีชีวิตที่อิสระไม่ชอบถูกบังคับ ไม่ชอบถูกตีกรอบ ไม่ชอบถูกเข้มงวดกวดขัน  แต่ลองสังเกตดูว่าเด็กที่รู้จักระเบียบรู้จักควบคุมตัวเอง ทำด้วยตัวเองไม่เรียกร้องจากใคร กับเด็กที่ปล่อยตัวเองตามอิสระไม่ยอมทำอะไรเองต้องคอยให้ผู้อื่นทำให้ เด็กคนไหนจะเข้มแข็งกว่ากัน (ทำด้วยตัวเอง)  แล้วเด็กคนไหนที่ไปเผชิญโลกแล้วอยู่ได้อย่างเข้มแข็งไม่พ่ายแพ้สังคมในโลก (เด็กทำด้วยตัวเอง)  และเด็กที่รู้จักกฎระเบียบของสังคม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราต้องเป็นคนที่รู้จักตาดูหูฟังอย่างแจ่มชัด  ไม่เช่นนั้นแล้วจะมีตาดูหูฟังอย่างมืดมัว และโดนลมพัดพาไปอีกโลกหนึ่งที่อันตรายก็เป็นได้
“เพียงเพื่อหวังตนมีและต้องได้ กำเอาชัยไว้เป็นหนึ่งอย่างเต็มที่”
เวลาเราจะทำสิ่งใดเรามีอารมณ์หน้าอินทร์หน้าพรหมก็ไม่สน ใช่หรือไม่ (ใช่)  หน้าขาวหน้าดำก็ไม่กลัว อารมณ์ขึ้นแล้วก็ต้องระเบิด อารมณ์นั้นเปรียบเหมือนหน้ากากของมนุษย์ เปลี่ยนเป็นหน้ากากอื่น เปลี่ยนเป็นหน้ากากโมโห เราเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในการแสดงอารมณ์  แต่จริงๆ แล้วเราไม่ได้เปลี่ยนแบบนี้ทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  เดินไปสักพักก็หยิบหน้ากากอันนั้นมาใส่ เดินไปสักพักก็หยิบอันโน้นมาใส่ จริงหรือไม่ (จริง)  เราจึงสนุกเพลิดเพลินในการมีอารมณ์ รู้สึกว่าชีวิตมีรสชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนเช่นนี้เป็นคนที่น่าสงสาร เพราะควบคุมตัวเองไม่ได้ เปลี่ยนตัวเองไปเรื่อยๆ ตามสภาพแวดล้อมเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในเมื่อคุมตัวเองไม่ได้ เขาจะคุมคนอื่นได้หรือไม่ (ไม่ได้)  แล้วบอกว่าฉันเป็นหัวหน้า ฉันอายุมากกว่า บางครั้งถามตัวเองดูว่าเข้าใจตัวเองหรือยัง คุมตัวเองได้ไหม บางทีก็ยังสับสนปนเปอยู่เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอารมณ์ต้องรู้จักควบคุมบ้าง ไม่ใช่มีเท่าไรก็ระเบิดหมด อย่างนี้น่ากลัวยิ่งกว่าดภูเขาไฟระเบิดเสียอีก ภูเขาไฟระเบิดเมื่อหมดแล้วก็หมดกัน แต่อารมณ์บางทีหมดแล้วก็ยังออกมาได้อีกเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ภูเขาไฟระเบิดแค่ครั้งเดียวลูกเดียว แต่ท่านระเบิดเป็นสิบๆ ครั้งแถมไม่มีจำนวนจำกัด  ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นท่านน่ากลัวยิ่งกว่าอีก พอการกระทำมีอารมณ์ เวลาลิ้นเราตวัดพูดอะไรบางทีก็ไม่ได้คิด บางครั้งใช้คำพูดสวยๆ แต่ความจริงแล้วทิ่มแทงให้ไปคิดเอาเอง ว่าเขาลึกๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฝ่ายหญิงมักเป็นบ่อยๆ แต่ฝ่ายชายมักจะพูดน้อยแต่อารมณ์เป็นใหญ่ ใช้กำลังมากกว่า ฉะนั้นเราเกิดเป็นคน ชีวิตเมื่อเกิดมาสิ่งแรกที่เรารู้ก็คือเราเกิดมาเราต้องเดินไปข้างหน้า ไม่มีใครเกิดมาแล้วเดินถอยหลัง ทุกคนเกิดมาแล้วก็เดินไปข้างหน้านี่เป็นนัยที่แฝงให้เรารู้ว่า ธรรมชาติสอนให้มนุษย์รู้อย่างหนึ่งว่าคนเราเกิดมาต้องเจริญรอยให้ดียิ่งๆ ขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจะต้องไม่ทอดทิ้งธรรมชาติที่มีอยู่ และมองข้ามธรรมชาติที่คอยสอนชีวิต หากเกิดเป็นคนไม่ยอมสนใจธรรมชาติ คนๆ นั้นไม่สามารถอยู่กับธรรมชาติได้อย่างประสานกลมกลืนและไม่สามารถที่จะเอาธรรมชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ จริงหรือไม่ (จริง)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นเกมส์หน้ากากยิ้ม หน้ากากโกรธ หน้ากากวางเฉย)
อารมณ์ของมนุษย์เราก็เหมือนกันเป็นสิ่งที่เหมือนขั้ว ไม่ขั้วซ้ายก็ขั้วขวา แต่อารมณ์ที่แท้จริงของมนุษย์ไม่ใช่ขั้วซ้ายไม่ใช่ขั้วขวา แต่เป็นอารมณ์ที่ขั้วตรงกลางสงบนิ่งและไม่มีอารมณ์ใดๆ หากมนุษย์เราดำเนินชีวิตสามารถรักษาอารมณ์สงบนิ่งนี้ได้ย่อมเป็นการดีไม่น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  อารมณ์โกรธนี้อยู่ๆ จะให้ปั้นหน้าให้ยิ้มนั้นยากหรือไม่ (ยาก)  ฉะนั้นห้ามพูดว่าทำชั่วทำง่ายทำดีนั้นทำยาก เราขอแย้งเป็นคนแรกเลยว่าทำดีนั้นทำง่ายเพียงแต่ยิ้มด้วยความจริงใจ จริงหรือไม่ (จริง)  ยิ้มนี้ก็เป็นรอยยิ้มช่วยบุกเบิกทางแล้ว ใครที่เกลียดเราเราก็ยิ้มเข้าไว้สักวันหนึ่งเขาจะต้องถามเราว่าไม่โกรธฉันหรือ จริงหรือไม่ (จริง)
เมื่อเราเริ่มต้นชีวิต อย่างที่เราบอกแล้วว่าเราต้องรู้จักวางตนและตั้งตนอยู่บนทางที่ถูก หากเมื่อเริ่มต้นชีวิตไม่รู้จักวางตนตั้งตนในหนทางที่ถูกแล้ว เราก็ย่อมง่ายที่จะถูกพัดพาไปตามกระแสลมของโลก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อรู้จักตั้งต้นแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ควรจะพึงรู้ไว้นั่นคือว่า คนเรานั้นมีอยู่สองอย่างไม่วางเฉยก็โลภมาก โดยปกติคนเราเมื่อเติบโตมาแล้ว บางครั้งพอยังไม่ทันตั้งต้นเลยก็อยากมีโน่นอยากมีนี่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พอมีแล้วความอยากของเราเคยถมให้เราเต็มบ้างไหม  ความอยากของเราเคยทำให้เรารู้สึกว่าเป็นสุขบ้างหรือไม่ (ไม่เคย)  เมื่อเราเริ่มต้นชีวิต เราก็อยากมีโน่นอยากมีนี่เพิ่ม มีแล้วหากเราไม่รู้จักคำว่าพอ คำว่า “ไม่รู้จักคำว่าพอ” จะทำให้เราถูกกิเลสครอบงำเป็นไปได้ไหม (ได้)  ก็เพราะว่าความอยากนี้หากเกิดขึ้นในตัวเราแล้ว ความอยากจะทำให้เรามักไม่ค่อยเที่ยง แล้วก็มักจะไม่คิดถึงคุณธรรมสักเท่าไร ถ้าเกิดว่าความอยากนั้นมีอำจาจเหนือมโนธรรมสำนึกความอยากนั้นก็จะบดบังมโนธรรมสำนึก และทำให้เราง่ายที่จะเผลอไผลไปตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาอารมณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อไรเราอยากน้อยก็เป็นทาสกิเลสได้น้อย แต่ถ้าเมื่อไรเราอยากมากๆ ก็ง่ายที่จะเป็นทาสกิเลสโดยไม่รู้ตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ตอนแรกเราจะรู้สึกว่าอะไรดีอะไรชั่ว แต่ถ้าเกิดว่าเราอยากมากๆ อยากอย่างไม่จบสิ้น ความอยากนั่นจะทำให้เราเผลอทำผิด  แล้วลืมนึกถึงคุณธรรมความผิดชอบชั่วดีมากกว่าคนที่รู้จักอยากน้อยๆ จริงหรือไม่ (จริง)  อย่างเช่นเหมือนคนที่มองเห็นหากเกิดมาอยากได้ทอง บ้านโน้นก็มีทอง บ้านนั้นก็มีทอง ตอนแรกเราจะยังรู้ตัวว่าอย่านะนั่นเป็นบ้านของเขา นั่นเป็นทองของเขา แล้วถ้าเกิดว่าเราลืมมโนธรรมสำนึก ความอยากนั้นจะทำให้เราเผลอหยิบทองเขามาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วความอยากนั้นอาจจะเกิดความเจ้าเล่ห์เพทุบายแกล้งไปตีสนิทแล้วก็หาอุบายหลอกลวงเอาทองไปเปลี่ยนบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือไม่ก็แกล้งเอาทองสิบบาทไปหลอกล่อแลกกับทองหนึ่งบาท เมื่อความอยากครอบงำเราเราก็เชื่อเขายอมแลกเอาทองสิบบาทมา เหมือนกับที่ท่านโดนเขาโกงกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เขาจะไม่โกงเราแล้วเรามองเห็นง่ายๆ แบบนี้ แต่เขายังมีแผนซ้อนแผน เล่ห์ซ้อนเล่ห์ จริงหรือไม่ (จริง)  เหมือนที่ดินผืนหนึ่งจากดินธรรมดากลายเป็นเงิน จากที่เคยรักดินผืนนี้มากขายหรือไม่ขาย (ขาย) พอได้เงินมาแล้ว เงินที่ได้มาง่ายก็เสียง่าย จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นอย่าปล่อยให้กิเลสนั้นครอบงำจนเราไม่สามารถแยกผิดชอบชั่วดี จนทำให้เราตกเป็นทาสของกิเลส แล้วลืมความเป็นคนหรือลืมคุณธรรมอันดีงามทอดทิ้งไปเสีย เช่นนี้ก็เสียเปล่าที่เกิดมาเป็นคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะให้เรียกว่าคนประเสริฐก็ออกจะไม่เต็มปากเต็มคำ ใช่หรือไม่ (ใช่)
“ทั้งเงินทองชื่อเสียงต้องเปรมปรีดิ์ ไม่ทันเสพกลับต้องมีอันเลือนไป”
บางครั้งเราคิดว่าเราจะต้องหาเงินให้ได้มากๆ หาเงินให้ได้เยอะๆ  เหมือนพานหนึ่งใบที่เราพยายามหาอะไรก็ได้มาใส่ให้เต็ม ไม่ว่าเงินทองเกียรติยศชื่อเสียง เต็มแล้วบางครั้งพอหรือไม่ ไม่พอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หาให้ได้มากกว่านี้อีกล้นพานแล้วก็ยังไม่พอ บางครั้งยังไม่ทันหยิบออกมากินยังไม่ทันหยิบออกไปใช้ก็มีคนขอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีเหตุให้ต้องเสีย มีเหตุให้ต้องหายก็มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสู้มีน้อยๆ แล้วพึงพอใจแล้วได้ใช้ กับมีมากๆ เดี๋ยวก็เสียโน่นเดี๋ยวก็เสียนี่ เดี๋ยวก็ต้องระแวดระวังว่าจะหายไหม อันไหนสุขกว่ากัน มีน้อยดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)
คนเราชอบเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหมือนยันต์กันโรค บางคนเห็นธรรมะเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเหมือนฮู้เอาไว้แปะกันผีกันปีศาจ บางคนเห็นธรรมะเป็นยารักษาโรค เป็นนางพยาบาลช่วยรักษา แท้ที่จริงแล้วธรรมะช่วยให้มนุษย์เรารู้จักมองเหตุและเห็นผล ป้องกันตั้งแต่เหตุอย่าให้ส่งผล ใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมะเหมือนเครื่องคุ้มครองยึดเหนี่ยวจิตใจ บางครั้งคนเราเจ็บป่วยต้องมีเหตุมาและเหตุไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาแต่ยึดธรรมะแต่ไม่รักษาตัว รักษาตัวไม่หายแล้วก็โทษธรรมะได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ต้องโทษตัวท่านเองที่ไม่รู้จักดูเหตุดูผล พอเอาธรรมะไปแปะไว้ที่บ้าน ปรากฏว่ามีคนมาทวงหนี้บอกว่าธรรมะไม่ช่วยอย่างนี้ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ฉะนั้นเราต้องรู้จักใช้ธรรมะให้ถูกทาง ไม่เช่นนั้นแล้วแม้มีธรรมะก็จะช่วยอะไรไม่ได้เลยแม้กระทั่งตัวเอง
“บ้างเจ็บปวดสูญเสียหรือพลาดพลั้ง ไร้กำลังความพ่ายแพ้รับไม่ได้”
แต่ก่อนเคยมีเงินมาก วันหนึ่งต้องสูญเสียรับได้ไหม  แต่ก่อนเคยมีแต่คนรักเอาใจ พอไม่มีคนรัก ไม่มีคนเอาใจรับได้ไหม  (ไม่ได้)  ต้องพยายามทำให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะโลกนี้มีสว่างแล้วก็มี (มืด)  มีคนชมก็ต้องมีคน (ติ)  มีคนรักก็ต้องมีคน (เกลียด)  มีคนว่าเราดีก็ต้องมีคนว่าเรา (ไม่ดี)  ฉะนั้นเราต้องรู้จักทำใจบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำใจอย่างเดียวไม่พอ แต่ใจนี้จะต้องรู้จักใจกว้างด้วย หากเราใจคับแคบ พอเดินผิดหน่อยก็ชนแล้ว แต่สู้เราเปิดใจกว้างไม่ว่าเรื่องอะไรมาก็ชนยาก ยังอยู่ห่างไกล ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนจึงต้องเปิดใจกว้างและรับให้ได้ทั้งเรื่องมืดและสว่าง ขาวและดำ แต่คนเราก็มีปัญญาอยู่อย่างหนึ่ง ปัญญาที่สามารถอยู่ร่วมกับสภาวะแวดล้อม แม้ตัวเองไม่สามารถจะอยู่ได้ก็สามารถจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้อยู่ร่วมกันได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วนอกเหนือจากนั้นอีกอย่างหนึ่งก็คือ แม้สภาวะแวดล้อมจะดีจะร้ายอย่างไร มนุษย์เราก็สามารถจะเปลี่ยนให้ได้ตามที่ใจต้องการ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือปัญญาของมนุษย์ ฉะนั้นจะกลัวอะไรกับความมืดความสว่าง จะกลัวอะไรกับคนดีคนร้าย หากเรารู้จักใช้ปัญญาของตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จะใช้ปัญญาอย่างไรจึงจะสามารถเปลี่ยน แล้วก็ไม่เกิดผลกระทบกับการอยู่ร่วม แล้วสามารถปรับเปลี่ยนกลมกลืนสอดคล้อง แล้วไม่ลืมความเป็นตัวของคนเอง ไม่สูญเสียทอดทิ้งรากเดิมแท้ของตนเอง จุดนี้สำคัญกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายคนเปลี่ยนแปลงอยู่กับคนโน้นก็ได้คนนี้ก็ได้ แต่มักจะลืมความเป็นตัวของตัวเอง ทอดทิ้งความเป็นตัวของตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายคนแม้ตัวเองจะไม่ยอมเปลี่ยน แต่ก็สามารถเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมให้กลมกลืนกับที่ใจเราต้องการได้ แต่พอเปลี่ยนตามใจเราต้องการแล้ว ก็มักจะหลงตนเอง ลืมตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือที่เรียกว่าได้ดีแล้วลืมตน ยืนอยู่สูงแล้วขาไม่ติดพื้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นแหละคือความยากของมนุษย์ บางครั้งรู้จักใช้ปัญญา แต่ก็อับจนปัญญาเหมือนกัน จริงหรือไม่
“หวนคำนึงหวังหาธรรมพักพิงใจ กรรมมากมายบุญตามมาช่วยเหลือไม่ทัน”
เพราะมัวแต่เพลินกับกิเลส เพลินกับการสะสมเกียรติยศชื่อเสียง ถึงแม้มีเกียรติยศชื่อเสียงมากมาย แต่ไม่เคยสร้างบุญกุศลจะมีประโยชน์อะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอพญายมพอเจ้ากรรมนายเวรมาตามทวงหนี้ ตอนนั้นจะมาเร่งสร้างบุญก็สายไปเสียแล้ว สิ่งหนึ่งที่เราอยากบอกท่านในการบำเพ็ญตนไม่ใช่เรื่องง่ายไม่ใช่เรื่องยากเลย ก็คือละเว้นจากสิ่งชั่วร้าย นั่นก็คือการทำดีหรือบำเพ็ญตนอย่างง่ายๆ แล้วไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นชื่นชม แต่สามารถดำเนินชีวิตแล้วไร้ที่ติ นั่นแหละเรียกว่าผู้มีธรรมะในชีวิตแล้วทำได้หรือไม่ (ได้)  แม้ทำดีแต่ก็ไม่รู้ว่าทำอย่างไร แต่เรารู้ว่าไม่ทำชั่วทำอย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ไม่ดีก็เลิกเสีย แม้จะเล็กๆ น้อยๆ แม้จะที่มืดที่อับก็ไม่แอบทำทำได้ไหม (ได้)  แม้จะเป็นความชั่วเล็กๆ น้อยๆ แอบว่าพ่อแม่ แอบว่าครูบาอาจารย์ก็ไม่ทำได้ไหม (ได้)  แม้นินทาเพื่อนบ้านว่าไม่ดีอย่างโน้นไม่ดีอย่างนี้ก็จะไม่ขยับปากพูดได้ไหม (ได้)  หากเริ่มต้นเล็กๆ เราทำได้ เรื่องใหญ่ๆ ทำไมเราจะก้าวไปไม่ถึง แต่หากความผิดเล็กๆ น้อยๆ เรากล้าทำ แล้วทำไมความชั่วที่ยิ่งใหญ่จะไม่บังเกิดกับเรา จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นจะต้องระมัดระวังตัวอยู่เสมอ
“ไม่สายรู้รักษ์ธรรมนำชีวิต เมตตาจิตเสียสละไม่ห้ำหั่น”
เกิดเป็นคนคุณธรรมข้อแรกที่ท่านต้องพึงรู้ไว้ก็คือความกตัญญูรู้คุณ ความกตัญญูรู้คุณเป็นใยที่คอยประสานให้มนุษย์เราอยู่ด้วยกันอย่างชื่นบานคงทน ความกตัญญูเป็นสิ่งที่บันดาลให้มนุษย์เรารู้จักเมตตา เคารพและอ่อนน้อมและเสียสละแก่ผู้อื่น มนุษย์ทุกคนมักจะคิดว่า ความกตัญญูคือทำให้กับบิดามารดา แต่ถ้าเกิดว่าคนที่รู้จักความกตัญญูเป็นใหญ่ เขาจะมองเห็นว่าความกตัญญูนั้นไม่ใช่เกิดแค่บิดามารดา แต่ยังมีครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ และคนในสังคมนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นไม่ว่าเราจะเป็นผู้ใหญ่ เป็นเด็กเป็นวัยรุ่นเราจึงไม่ควรมองข้ามเรื่องความกตัญญู เกิดเป็นคนรู้คุณคน รู้คุณบิดามารดา รู้คุณฟ้าดิน และรู้คุณคนทุกคนในสังคม คนๆ นั้นคือคนที่สามารถเสียสละให้ทุกๆ คนได้ และมีน้ำใจมีเวลาที่จะช่วยเหลือผองชน จริงหรือไม่ (จริง)
การบำเพ็ญธรรมคืออะไร  การบำเพ็ญธรรมคือการขัดเกลาจิตใจตนเอง ส่งเสริมตัวเองด้วยคุณธรรมความดีงามที่ถึงจะปฏิบัติได้ สิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ดี สิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ชอบพึงกระทำ สิ่งใดที่เป็นสิ่งเลวร้ายก็เลิกกระทำอย่าได้คิดกล้ำกลาย และอย่าได้คิดแตะต้อง นั่นแหละคือการบำเพ็ญดีในสังคม  สังคมปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร คนก็ร้ายอย่างนั้น แต่ถ้าหากว่าท่านบำเพ็ญธรรม สังคมจะร้ายอย่างไรเราก็ยังดีอย่างนั้น นั่นแหละยอดเยี่ยม จริงหรือไม่ (จริง)  แม้สังคมจะร้ายอย่างไร ท่านก็ยังดีอย่างนั้นแล้วยังมีใจช่วยเหลือคนอีก นั่นแหละเรียกว่าพุทธะ ทำได้ไหม (ได้)  ไม่ใช่เป็นเรื่องยากเลย จริงหรือไม่ (จริง)  นั่นก็คือเรียกร้องตัวเอง เริ่มต้นที่ตัวเอง และยื่นมือไปช่วยเขา ท่านก็จะได้เป็นพุทธะน้อยๆ แล้ว  ท่านก็จะได้ฝึกฝนการเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อยากเป็นไหม  หากฝึกฝนตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นคน ตายไปก็ไม่กลัว  แม้วันพรุ่งนี้จะตายก็ไม่กลัว เพราะได้ทำดีอย่างเต็มที่แล้ว เกิดมามีคุณค่าแล้ว จริงหรือไม่ (จริง) แต่ถ้าเกิดว่าทุกท่านให้ตายตอนนี้กลัวหรือไม่ (กลัว)  ก็เพราะว่ายังไม่ดี ยังแอบทำไม่ดีอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หมากก็รู้ว่ากินแล้วไม่ดี บุหรี่ก็รู้ว่าสูบแล้วไม่ดี เหล้าก็รู้ว่าดื่มแล้วไม่ดี แต่ท่านก็ยังติด ไปเที่ยวดึกๆ ดื่นดีหรือไม่ (ไม่ดี) แต่ทำไมชอบเที่ยวทำให้พ่อแม่เป็นห่วง ทำให้คนอื่นอกสั่นขวัญแขวนดีหรือไม่ (ไม่ดี) ฉะนั้นก่อนจะทำอะไรขอให้ระลึกถึงด้วยว่า ตัวเราทำแล้วไม่เดือดร้อนผู้อื่น เดือดร้อนยิ่งกว่าอะไรเสียอีก  เอาไว้ท่านรักใคร เหมือนใจเขาใจเราก็จะรู้ว่าความหว่งหาอาทรของพ่อแม่ที่มีต่อบุตรนั้นยิ่งใหญ่กว่าความรักใดๆ ในโลกนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
“ร่วมสถานร่วมศึกษาน้อมบำเพ็ญ อภัยเป็นทานยิ่งใหญ่ให้มิสูญ”
การให้อภัยยิ่งให้ไปเท่าไรไม่มีวันสูญเปล่า และเป็นการให้ที่ง่ายที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไมเราทำยาก บางทีเกลียดเขา ให้อภัยได้ไหม ไม่ต้องให้เป็นสิ่งของเพียงแต่ใจเราเปิดกว้างอภัยให้ จริงหรือไม่ (จริง)  คนเราทุกคนมีประสบการณ์ มีนิสัยมีความคิด มีความเข้าใจแตกต่างกันไป บางครั้งเขาบอกว่านี่ซ้ายนี่ขวา แต่บางคนบอกว่าไม่ใช่ นี่ขวานี่ซ้าย แล้วจะไปเถียงกันทำไม ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งเถียงไปก็ไม่เกิดประโยชน์ ปล่อยให้เขาไปรู้เองนั่นแหละดีที่สุด จริงหรือเปล่า (จริง)  ถ้าเกิดเราพูดหนึ่งครั้งแล้วโมโห สองครั้งแล้วโกรธเกี้ยว เลิกพูดเสีย เปลี่ยนเป็นให้อภัยทำใจได้ ไม่ใช่ให้อภัยแล้วบอกว่าตัวเองโง่ อย่างนี้ไม่ถูก อย่างนี้ไม่เรียกว่าให้อภัย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ให้อภัยที่แท้จริงใจเราต้องไม่เก็บมาฝักไว้ในตัว การให้อภัยที่แท้จริงก็คือ แม้เขาจะดีจะร้ายเราก็ต้องให้อภัยต้องไม่มีร้ายในใจเลย ทำได้ไหม (ได้) บางคนทำไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีคำกล่าวคำหนึ่งทิ้งท้ายก่อนจะจากกันว่า “เมื่อเจอคนเลวอย่าได้ด่วนเกลียดเขา เมื่อเจอความยากลำบากอย่าได้บ่นท้อแท้”  เพราะอะไรเมื่อเจอคนเลวเราต้องดีใจ อย่างที่เราบอก เพราะเราได้ตรวจสอบตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเจอความทุกข์ยาก ก็อย่าได้บ่นท้อหรือยอมแพ้ อุปสรรคความทุกข์ยากช่วยวัดดูว่า ตอนนี้จิตใจเราเข็มแข็งหรืออ่อนแอ ตอนนี้สิ่งที่เรากระทำอยู่ได้ปล่อยปละหรือว่ายึดมั่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนอยู่ในโลกนี้ อยู่ที่ตาดูหูฟัง แล้วมองเป็นธรรมะ หรือมองเป็นอคติ มองเป็นแบบโลกโลกีย์หรือมองเป็นแบบพุทธะมอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเรื่องราวไม่ว่าจะมืดมนหรือใสสว่างขอให้มองแบบธรรมะ มองอย่างผู้มีธรรมะ มองอย่างผู้บำเพ็ญและเรียนรู้ศึกษาธรรม แล้วเราจะเห็นว่าแม้คนร้ายอย่างไรก็ยังมีดี แม้อุปสรรคขวากหนามพัดโหมกระหน่ำมากเพียงใด ก็ยังให้ความแข็งแกร่งกับจิตใจ จริงหรือไม่ (จริง)  สิ่งหนึ่งที่วันนี้เรามาแล้วเราเสียใจมากที่สุดนั่นก็คือผู้ปฏิบัติงานธรรมไม่เห็นเลย ไม่ช่วยเราสร้างบรรยากาศเลย แถมหายไปไหนกันหมดก็ไม่รู้ เรามาครั้งนี้เราผิดหวัง
วันนี้เรามีโอกาสมาผูกบุญสัมพันธ์กับทุกท่านเล็กๆ น้อยๆ ขอให้ต่อไปมีใจมาศึกษาธรรมอีก อย่าเห็นว่าธรรมะนั้นเป็นเรื่องไกลเกินตัว ธรรมะหากรู้จักใช้จะช่วยละลายความมืดมนในสังคม ขจัดความอิจฉาริษยาดื้อด้าน ทิฐิในใจตนให้เบาบางได้ คุณธรรมหากรู้จักบำเพ็ญจะช่วยแปรเปลี่ยนความชั่วร้ายของจิตใจผู้อื่นให้กลายเป็นความดีงาม แปรศัตรูให้เป็นมิตร แปรความร้ายให้เป็นความรัก แปรความอ่อนแอให้เป็นความมั่นคงแข็งแกร่ง ในการที่จะอยู่บนโลกนี้อย่าได้เป็นผู้ที่บำเพ็ญแล้วแก่วัดแก่วา แม้ธรรมะอยู่ตรงหน้าก็ไม่คิดจะฟัง แม้สิ่งที่ดีปรากฏอยู่ก็ไม่คิดที่จะจับ คิดที่จะกระทำ คนเช่นนี้เกิดมาก็เสียเปล่า จริงหรือไม่ (จริง)  ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี บางครั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์มา ก็อยากจะส่งเสริมให้ท่านเข้าใจธรรมะให้ยิ่งๆ ขึ้นไป แต่เมื่อเข้าใจแล้วรู้จักธรรมนี้คืออะไรแล้ว ก็ขอให้ยึดกุมและบำเพ็ญให้มั่นคง อย่าได้ท้อแท้อย่าได้หวั่นไหวและอย่าได้เปลี่ยนแปลง

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2543

2543-07-08 พุทธสถานเจาหยู จ. เชียงใหม่


PDF 2543-07-08-เจาหยรู #15.pdf

Labels: หน้าที่, ผู้บำเพ็ญเรียกร้อง 4 อย่าง

วันเสาร์ที่ ๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓   พุทธสถานเจาหยู จ. เชียงใหม่
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

พะวงหลังไร้คุณแด่ผู้มุ่งหน้า ความธรรมดาเป็นที่สุดแห่งเลิศล้ำ
คนล้มเลิกปณิธานด้วยไม่กี่คำ ก้มหน้าทำกลัวหรือไร้ซึ่งชัยมา
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   เคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์น้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา   ฮวา

รู้ธรรมง่ายบำเพ็ญยากต้องตั้งใจ คนใส่ใจจึงถึงจุดหมายแท้
ตลอดชีวิตมีหลายสิ่งให้ดูแล ต้องเปลี่ยนแปรตนในทางดีขึ้นเอย
สองวันมาประชุมทำความเข้าใจ เพื่อแก้ไขสิ่งผิดแต่ก่อนเก่า
ตลอดชีวิตมั่นใจในตัวเรา แต่อย่าเขลาเห็นโลกีย์หลงต่อไป
จงตื่นใจมองดูว่าโลกเท็จจริง เกิดมาทิ้งสังขารเมื่อวันสุดท้าย
มีสิ่งใดติดจิตไปขอครวญใคร่ อันเรื่องใหญ่ใช่มั่งมีหรือยากจน
รู้พอย่อมได้สุขในจิตนี้ เป็นคนดีเหนือฟ้ายังมีฟ้า
เดินต่อไปทางสายใดเล่าเมธา คนจะกล้าต้องกล้าถูกเรื่องเอย
ลาภยศและชื่อเสียงไม่ถาวร กลับหลอกหลอนคนจนนอนไม่หลับ
ระลึกได้สติช่วยย้อนมองกลับ ทุกสิ่งรับมาพิจารณาอย่าดูแคลน
จิตสงสัยต้องแปรเป็นจิตใฝ่รู้ ลำบากนั้นขอใจสู้เริ่มต้นใหม่
ความพยายามพาสำเร็จเสมอไป ความศรัทธามีเมื่อไรทางคล่องดี
ในสองวันศึกษาธรรมนับว่าน้อย จงทยอยใช้ปัญญาพิจารณ์หนัก
ขอให้รู้แยกแยะเป็นคมในฝัก ไม่เป็นไม้หลักปักเลนเท่านั้นดี
จงตั้งใจมาให้ครบทั้งสองวัน จงบากบั่นไม่แปลกใหม่มีมาแต่เก่า
บำเพ็ญได้หรือไม่ได้อยู่ที่เรา คนเคยเขลายังสามารถมีปัญญาแทน
จงรักษาพุทธระเบียบให้งามพร้อม อย่าไปยอมเหล่ากิเลสที่ร้อยรัด
บำเพ็ญใจให้สู่ปรมัตถ์ ต้องหมั่นเพียรขัดเกลาทุกทุกวัน
พบความทุกข์หันหน้าเผชิญเถิด เพราะจะเกิดจิตเบากลางโกลาหล
ในชาตินี้โชคดีเกิดเป็นคน ไม่อับจนซึ่งหนทางของตนเอย
ในวันนี้พี่รับบัญชามาคุมชั้น ทั้งสองวันคอยบันทึกน้องถี่ถ้วน
ทั้งกายใจคิดแต่เรื่องสมควร อย่าเรรวนขึ้นเรือแล้วโดดว่ายต่อ
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน

ฮวา  ฮวา  หยุด

  ปรมัตถ์ ประโยชน์อย่างยิ่ง, ความจริงอันเป็นที่สุด

วันเสาร์ที่ ๘ กรกฎาคม  พุทธศักราช ๒๕๔๓
พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง

ครูอาจารย์ใช้วิชานำพาศิษย์ เป็นบัณฑิตกิจกุศลหมั่นไถหว่าน
เป็นพ่อแม่บุตรที่ดีมีสัมพันธ์ เป็นข้าราชการพ่อค้านั้นต้องซื่อสัตย์
เราคือ
ต้าเซี่ยวฝอถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมเจาหยู  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามทุกทุกท่านวันนี้ยิ้มกันหรือยัง

สร้างประโยชน์ให้สังคมที่ตนอยู่ ชีวิตคู่ธรรมะอย่าเห็นแก่ผล
ชั่วดีต่างมีหน้าที่ทุกคน ปัดหน้าที่คนต่างทำคนพัง
เวลาสร้างส่วนต่างคนยังกลัว ใจระรัวทำหน้าที่ข้องผลอย่าง
กว่าสำเร็จดั่งเทพประทานเปี่ยมพลัง อะไรบ้างควรไม่ควรปัญญาตรอง
รักจะให้ต้องอย่าหวนเสียดาย รับคำเตือนคอยแก้ไขแคล่วคล่อง
อภัยคนเกลียดเราใครทั้งผอง สติล่องเลื่อนลอยนักสงสารกัน
ปัญหาซาเชื่องช้าหน่ายต้องทน อดทนจะฝึกคนเพียรไม่หวั่น
หาใช่ไหวพริบขาดโดยฉับพลัน ปัญหานานรำคาญมากจะต่างยอม
เรียนธรรมะดั่งเรียนงานคงประจักษ์ บ้างชะงักด้วยงานรู้ไม่พร้อม
คนชนะอุปสรรคเมื่อกาลสุกงอม จิตใจน้อมเห็นตนเป็นอนัตตา
ฮิ    ฮิ   หยุด

  อนัตตา ความไม่ใช่ตัวใช่ตน

พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง

มาศึกษาธรรมเมื่อยหรือเปล่า (ไม่เมื่อย)  เบื่อไหม (ไม่เบื่อ)  แน่ใจหรือ  เมื่อไรที่มนุษย์เรานั้นสามารถศึกษาธรรมอย่างไม่มีเบื่อ จะมีใจเป็นอย่างไร (มีใจเป็นสุข)  เมื่อใจเป็นสุข เราก็สามารถปล่อยวางเรื่องราวทางโลกได้ หายกลุ้มกังวลได้ จริงหรือเปล่า (จริง)  วันนี้ถ้าเรามาไวกว่านี้อีกนิดหนึ่งเราก็อาจจะเห็นใบหน้าผูกโบว์ เพราะบางทีมาศึกษาธรรมะ ทุกคนมักจะสงสัยว่าธรรมะนี้ธรรมะอะไร จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าทุกคนคิดอย่างหนึ่งว่าระหว่างความสับสนกับความสงบ หากมีสองอย่างเกิดขึ้นในจิตใจเรา จิตใจไหนจะทำให้เราศึกษาแล้วนั่งฟังได้อย่างเข้าใจมากกว่า (จิตใจสงบ)  จิตใจสงบ    ใช่ไหม แต่ถ้าท่านมานั่งตรงนี้ท่านมีความสับสน การที่จะนั่งฟังตรงนี้ก็จะไม่ค่อยเข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเกิดว่าอยากจะศึกษาสิ่งใดก็ตาม ขอเพียงเปิดใจสักเล็กน้อย คลายความกังวล คลายสิ่งที่ตัวเองเคยรู้ลงไปบ้าง เมื่อมานั่งศึกษาตรงนี้จะสามารถเข้าใจได้ว่าเขาพูดอะไรจริงหรือเท็จ แล้วเราก็สามารถเอาสิ่งที่เรารู้นั้นไปช่วยวัดช่วยกำหนดดูว่าสิ่งที่พูดนั้นใกล้เคียงกับความจริงหรือใกล้เคียงกับความเท็จ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าสมมติว่ามีชายสองคน คนหนึ่งกำลังคิดไม่ตกเรื่องทางบ้าน แต่อีกคนหนึ่งไม่มีอะไรที่ต้องคิด เมื่อมานั่งฟังอาจารย์พูด คนไหนจะเข้าใจได้แจ่มชัดกว่า (คนที่ไม่ต้องคิดอะไร)  คนที่ไม่ได้คิดอะไรใช่หรือไม่ (ใช่)  คนหนึ่งมีความสับสนในจิตใจกับคนหนึ่งมีความสดใสในจิตใจ คนไหนนั่งฟังแล้วจะรู้เรื่องมากกว่ากัน (คนที่จิตใจสดใส)  แล้วคนไหนสามารถแยกแยะอะไรชัดเจนได้มากกว่ากัน (คนที่จิตใจสดใส)  เหมือนท้องฟ้าที่มืดมัว ก็คล้ายๆ กับจิตใจที่     อึมครึม ท้องฟ้าที่มืดมัว เรายากแยกได้ชัดว่าใครขาวใครดำ เรายากแยกได้ชัดว่าต้นไม้ชนิดนี้กับต้นไม้อีกชนิดหนึ่งเป็นอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าฟ้าที่สว่างไสว จิตใจที่สว่างไสว เรามองเห็นไหมใครขาวใครดำ ใครสวยใครไม่สวย (เห็น)  เหมือนกับวันนี้ท่านมาศึกษาเราขอเพียงการเริ่มต้นในการอยู่ร่วมกันคือเปิดใจให้เรานิดหนึ่ง แล้วคลายความสับสนในเรื่องที่ ตัวเองเคยคิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ลงไปบ้าง  บางครั้งการทำเป็นผู้ไม่รู้แล้วค่อยรู้ ยังดีกว่าเป็นผู้รู้แล้วต้องกลายเป็นคนไม่รู้ไปเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านลองคิดดูนะ ถ้าเกิดเรามาถึงแล้วเราบอกว่าเราเก่งเราดี แต่ถ้าพูดคุยกับท่านไปนานๆ เข้าเราเผลอพูดผิดน่าหัวเราะไหม (น่าหัวเราะ)  ฉะนั้นเวลาเรามาอยู่รวมกัน แม้เราจะเก่งขนาดไหน สู้เราถ่อมตัวไว้ไม่ดีกว่าหรือ  เรายังไม่รู้ใช่ไหม (ใช่)  ถึงแม้ว่าเราจะรู้แล้ว เขาพูดผิดเรายังแอบหัวเราะเขาได้ใช่หรือเปล่า ดีกว่าถูกหัวเราะว่าเธอนั่นแหละโง่ จริงไหม (จริง)  อันไหนหน้าแตกมากกว่ากัน
บางครั้งตัวท่านนั้นอยู่ในสังคมนี้มีอารมณ์เศร้า ดีใจ เสียใจ คนบางคนมีหน้าที่มีภาระทำให้เวลาหัวเราะก็หัวเราะได้ไม่เต็มที่ บางคนมีตำแหน่ง มีเกียรติยศ จะเศร้าก็เศร้าได้ไม่เต็มปากเต็มคำ จริงไหม (จริง) เพราะเกียรติยศ หน้าที่และหน้าตา ทำให้ต้องรักษาภาพพจน์ไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำให้จะยิ้มก็ต้องยิ้มเล็กๆ น้อยๆ ทั้งที่ใจอยากจะยิ้มเต็มที่แล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางครั้งอยากจะเศร้าก็เศร้าไม่ได้ ต้องรักษาไว้อย่าให้คนอื่นเขารู้ว่า ตัวนั้นเป็นทุกข์ เดี๋ยวเขาจะหัวเราะเยาะ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะอะไรเราถึงต้องกลายเป็นคนแบบนี้ ไม่สามารถแสดงสิ่งใดออกมาได้ เพราะบางทีเรารักตัว มากกว่ารักใจ  เรารักหน้ามากกว่าสงสารใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนั้นท่านเป็นคนที่ใจหนอใจช่างทำร้ายใจได้ลงคอ อยากให้เขารัก อยากให้ใครก็รัก แต่ทำไมตัวเราเองถึงทำใจเราทำร้ายตัวเอง ช่างน่าแปลกไหม (น่าแปลก)  บางครั้งเราเปิดเผยบ้างก็ดี  รักหน้าตามาก หน้าตาก็ทำให้เราต้องทุกข์  เป็นคนจริงใจ มีน้ำใจ แล้วก็ตรงไปตรงมา บางครั้งไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ไม่มีใครหรอกที่จะบริสุทธิ์ผุดผ่องตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ต้องมีบ้าง  และในโลกนี้ไม่มีใครหรอกที่จะหาที่ไม่สวยไม่เจอ จริงไหม (จริง)  ตัวท่านฝ่ายชายก็เหมือนกัน จะบอกว่าตัวเองหล่อ ตัวเองดีหมด แน่ใจหรือ ถ้าดึงจมูกออกมาอย่างเดียว หล่อไหม ก็ไม่หล่อ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอย่าได้หลงตัวเอง เพราะให้ดึงหูมาอย่างเดียวสวยไหม ก็ไม่สวย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นแต่ละสิ่งแต่ละอย่างจะสวยงาม จะดีพร้อมได้นั้น บางครั้งไม่ได้อยู่ที่ภายนอก แต่อยู่ที่     คุณธรรมในจิตใจต่างหาก ใช่ไหม (ใช่)  หากดึงจมูกออกมาอันเดียว ทำไมเขาถึงบอกว่าช่างดี ช่างประเสริฐเช่นนี้  เพราะว่าเรายอมสละจมูกของเราอุทิศให้กับคนอื่นใช่ไหม เหมือนคนที่ร่างกายนี้เราสิ้นไปแล้วแต่เขาอุทิศดวงตาให้กับคนอื่น มองดูลูกตาสองลูกที่เอาออกมาแล้วท่านว่าสวยไหม แต่สวยที่น้ำใจ สวยที่คุณธรรมที่เขากล้าทำได้ เขาไม่กลัวบ้างหรือว่าชาติหน้าเขาจะไม่มีลูกตา จริงไหม (จริง)  นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการอยู่ร่วมกันในสังคม  สิ่งที่สำคัญไม่ใช่แค่เกียรติยศชื่อเสียง  แต่เป็นคุณธรรมในการอยู่ร่วมกัน  การแสดงออกในสิ่งที่ดีงามและมีความจริงใจให้แก่กันต่างหาก นี่ถึงเป็นสิ่งที่เรียกว่าสำคัญในการเป็นคนและอยู่ในสังคม ใช่หรือไม่ (ใช่)
“ครูอาจารย์ใช้วิชานำพาศิษย์”
แต่ละคนก็มีหน้าที่แตกต่างกันออกไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไหนใครมีหน้าที่เป็นลูกยกมือขึ้น  ใครเคยเป็นพี่ยกมือขึ้น  ใครเคยเป็นน้องยกมือขึ้น  ท่านไม่เคยเป็นพี่คนหรือ ถ้าไม่ได้เป็นพี่ของน้องแท้ๆ ก็เป็นพี่คนอื่น  ไม่เคยเป็นน้องแท้ๆ ของพี่เราก็เคยเป็นน้องของคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าทุกคนต้องมีพี่ น้อง ทั้งหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครเคยเป็นหัวหน้า ท่านเป็นหัวหน้าของตัวเองจริงไหม ในตัวเรานั้นเราใหญ่ที่สุดหรือมีคนใหญ่กว่าตัวท่าน  ตัวท่านก็เคยเป็นหัวหน้าของตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าฐานะ ตำแหน่ง หน้าที่ ทุกๆ คนต้องเรียนรู้ ทุกๆ คนต้องเคยเป็น เคยผ่านมา  แม้อายุจะมากแล้วเราก็เคยเป็นลูกเขานะ เคยเป็นพี่เขา เคยเป็นน้องเขา เคยเป็นหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อเป็นแล้วรู้จักเป็นหรือไม่
ปราชญ์โบราณเคยกล่าวไว้ว่า คำอวยพรที่มีค่าที่สุดคือ จงเป็นสิ่งที่ตัวเองเป็นให้ดีที่สุด  พ่อทำหน้าที่เป็นพ่อ บุตรจงทำหน้าที่เป็นบุตร  สังคมก็จะไม่วุ่นวาย  ทำไมจึงกล่าวเช่นนี้  ถ้าเกิดลูกไม่ทำหน้าที่แห่งความเป็นลูกที่ดี ไม่รู้จักนำคุณธรรมในการเป็นลูกมาใช้ ก็ไม่สามารถที่นำความสงบให้กับครอบครัวและผืนแผ่นดินนี้ได้ จริงไหม (จริง)  ถ้าเกิดเขาเป็นลูกที่ไม่ดีของบิดาท่านนี้แล้วแน่ใจหรือว่าเขาจะไปเป็นลูกที่ดีของบิดาท่านอื่นได้ หากเขาไม่สามารถเป็นพ่อที่ดีของลูกคนนี้ได้ เขาจะสามารถเป็นพ่อที่ดีของคนอื่นๆ หรือไม่ จริงไหม (จริง)  หากลูกตัวเองเขายังไม่รัก เขาจะไปรักใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนทุกคนมีหน้าที่ จงกระทำหน้าที่ของตนเองให้ดี และมีคุณธรรม
เราอยากมาถึงแล้วนำพาแต่รอยยิ้มให้แก่ทุกๆ ท่าน วันนี้เรามีโอกาสได้มาหาทุกท่าน ใครมาเจอเราแล้วยังไม่ยิ้ม แปลว่ายังไม่ได้เจอเรา  การยิ้มไม่ใช่ยิ้มแค่มุมปากแค่พองาม แต่มีเท่าไรต้องยิ้มให้หมด ต้องยิ้มได้อย่าง  จริงใจ ยิ้มได้อย่างสบายใจ ยิ้มได้อย่างปล่อยวางแล้วในเรื่องทางโลก ต้องยิ้มได้อย่าง
เต็มที่ หลายคนนั้นยิ้มได้ไม่ค่อยเต็มที่เพราะเวลายิ้มกลับมัวคิดว่าพรุ่งนี้จะเอาอะไรกิน จริงไหม ไปคิดทำไมถึงเรื่องของพรุ่งนี้ วันนี้มีกินอย่างนี้ก็ดีแล้ว จะคิดทำไมว่าวันพรุ่งนี้จะได้กินแบบนี้หรือเปล่าจริงไหม  ทุกคนถึงไม่สามารถยิ้มแล้วมีความสุขได้ ฉะนั้นพอใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แล้วสุขให้เต็มที่  แม้วันนี้เราจะตายไปก็มีความสุขและก็พบความสุขที่แท้ในการรู้จักพอ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้ามนุษย์เรายังไม่รู้จักพอ วันนี้แม้จะมีทองเต็มกระเป๋าทั้งสองข้าง ห้อยเต็มตัว แขวนเต็มแขน ถ่วงเต็มหูก็ยิ้มไม่ออกจริงไหม  เพราะว่าใจนั้นไม่เคยรู้พอ ฉะนั้นวันนี้ก็จงยิ้มให้เต็มที่ แม้ทองจะหล่น แม้เงินจะหายก็ยิ้มอย่างเบิกบานใจ จริงหรือเปล่า  ใครบอกจริงต้องให้ทองเราดีไหม เราพูดแบบนี้ท่านอาจคิดว่า      สิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์นี้มาเพื่อมาทวงเงินหรือเปล่า เราไม่ได้ทวง แต่ให้พุทธะทวงยังดีกว่าให้คนอื่นมาทวง  จริงไหม ให้พุทธะทวงเดี๋ยวพุทธะก็ต้องคืน ให้พุทธะแล้วเป็นกุศล ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นถ้าใครมาทวง ท่านควรคิดว่าเป็นพุทธะมาทวง คิดว่าได้สร้างกุศลอันยิ่งใหญ่ แต่ถ้าท่านเห็นคนอื่นมาทวงนั้นเป็นมาร  ก่อนที่คนอื่นจะเป็นมารตัวท่านก็เป็นมารก่อนแล้ว เพราะไม่ยอม ใช่ไหม (ใช่)
เราก็เป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่งที่มีโอกาสบำเพ็ญตนแล้วได้กลับไปสู่เบื้องบน แล้วได้ตำแหน่งเป็นพุทธะ น่ายินดีไหม เกิดมาเราก็รู้สึกคุ้มแล้ว แม้ว่าตอนที่เราเป็นมนุษย์มีกายเป็นคนจะถูกล้อเลียนว่าอ้วนและกินจุ เราก็อยู่ไปวันๆ หัวเราะและก็ยิ้มได้ เขาว่าเราเหมือนคนไม่เต็ม แต่เราก็มีความสุข ความสุขของเราก็คือการได้ทานและได้แบ่งปันให้คนอื่น ความสุขของคนอ้วน คือได้ทานและก็รู้จักได้แบ่งปัน แต่ถ้าทานคนเดียวแล้วไม่แบ่งปันก็กลายเป็นความทุกข์ จริงไหม (จริง) เพราะกินมากแล้วก็ง่วง ง่วงแล้วก็ขี้เกียจ ขี้เกียจแล้วก็นอนใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราไม่ใช่อย่างนั้น ถึงตอนนี้ใครจะว่าเรา เราก็ไม่กลัวแล้ว เรากลับขอบคุณเขาเพราะเขาว่าเรา  ทำให้เราได้เป็นพุทธะใช่หรือไม่ ทำไมเราจึงพูดแบบนั้น เพราะบางครั้งคนที่กล้าว่าเรา คนที่ตำหนิติเตียนเรา เขาก็เปรียบเหมือนคนที่คอยชี้นำแนวทางสิ่งที่ดีให้กับเราและก็ชี้ข้อผิดพลาดที่บางครั้งเราลืมเลือนไปและมองไม่เห็นจริงไหม ฉะนั้นยิ่งเขาว่าเรามากๆ เจอหน้าก็ว่า เจอหน้าก็ติ ทำอะไรก็โดนว่า โดนว่าไปหมด แรกๆ เราก็รับไม่ได้ แต่พอคิดกลับกันเรากลับรู้สึกว่ามีคนว่ามีคนติก็เพราะเขายังเป็นห่วง แต่ถ้าไร้คนว่า    ไร้คนติ นั่นคือเขาตัดหางปล่อยวัด จริงไหม (จริง) บางครั้งเกิดเป็นคนเจอสังคมตำหนิ เจอสังคมว่า เจอคนบ่น ก็ไม่เป็นไร จงภูมิใจที่มีคนตำหนิเพราะเราเป็นคนของสังคม คนจึงกล้าว่าเรา
คิดได้อย่างนี้ก็ยิ้มได้อีกเรื่องหนึ่งจริงหรือเปล่า (จริง) เรื่องที่เราพูดวันนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ท่านไม่รู้ ทุกท่านก็รู้อยู่ แต่บางครั้งมันมีเรื่องหลายอย่างที่ทำให้เรายิ้มไม่ออก จริงไหม (จริง)  ฉะนั้น บางครั้งมีคนมาบอกก็จงยิ้ม  แม้จะต้องทุกข์ขนาดไหนก็ตาม คนที่กลัวทุกข์แต่เมื่อเจอทุกข์แล้วสามารถยิ้มรับได้ด้วยความกล้าหาญ มีใจเปิดรับด้วยความยินดี แม้ทุกข์จะมาเขาก็ชนะได้หนึ่งแต้มแล้ว ต่างจากคนที่เจอทุกข์แล้วกลัว นั่นก็แพ้ตั้งแต่เริ่มต้นแล้วจริงไหม แต่ก็อย่าได้ฮึกเหิมลำพองจนเกินไป ในรอยยิ้มนั้นจะต้องมีคำเตือนใจเสมอ  ว่าอย่าประมาท แล้วรอยยิ้มนี้จะเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ท่านยิ้มตั้งแต่มีชีวิตจนสิ้นลมหายใจเชื่อไหม จงเชื่อ แล้วสักวันท่านจะได้ประจักษ์สิ่งที่เราพูด
เมื่อคนอื่นว่าเราก็ให้คิดว่าเขาโยนดอกไม้ให้เรา เราก็จะยิ้มได้ เมื่อเขาว่ตำหนิเรา เราอาจจะยังไม่ถึงกับแย่ก็ได้ แค่กำลังจะก้าวไปสู่ความไม่ดีเท่านั้นเอง บางครั้งเราก็ต้องปลอบใจตัวเราเองว่าเราแค่ก้าวผิดไปนิดเดียว ไม่ได้ตั้งใจ เราให้อภัยคนอื่นบ่อยๆ ได้ แต่ถ้าให้อภัยตัวเองบ่อยๆ แล้วจะทำให้เราเหลิง แล้วก็เผลออีกใช่หรือไม่ บางครั้งถึงคราวเข้มงวดก็ต้องเข้มงวดตัวเองด้วย แล้วประโยชน์ก็จะตกสู่ท่าน แต่ถ้าท่านให้อภัยตัวเองบ่อยๆ ท่านจะแน่ใจหรือว่าคราวหน้าท่านจะมีโอกาสได้แก้ตัวอีกครั้งหนึ่ง ไม่มีโอกาสแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งทำดีเป็นสิบ เป็นร้อย เป็นพัน แต่ทำชั่วหนึ่งครั้งคนก็ว่าเราชั่ว จริงไหม คนเราก็เป็นอย่างนี้ ฉะนั้นเราอย่าเป็นคนไปว่าเขาเลย เขาเผลอทำผิดไปนิดหนึ่ง เราก็พูดว่าไม่เป็นไร  เพียงแต่ความดีหายไป ท่านลืมดีไปวันหนึ่งแค่นั้นเอง แค่นี้เขาก็ยิ้มออกแล้ว ถ้าเราปลอบใจเขาแบบนี้จะทำให้เขาหัวเราะได้และได้สติด้วย  ใช่หรือไม่ (ใช่) คำพูดคนจึงมีส่วนสำคัญ ไม่ใช่ว่าเขาหัวล้าน เราก็พูดว่าหัวเหม่ง ใครจะทนได้ ท่านเตือนเขาได้ไหม ไม่ต้องเริ่มต้นคุยแค่นี้เขาก็ไล่ท่านกลับบ้านแล้วใช่หรือเปล่า ฉะนั้นเมื่อเจอเขาก็อย่าไปพูดในสิ่งที่ร้ายของเขา  อะไรที่เป็นปมด้อยเขาอย่าไปพูดถึง พูดไปแล้วทำร้ายน้ำใจ พูดไปแล้วจะสร้างมิตรหรือศัตรู ก็ต้องสร้างศัตรูจริงไหม
“ปัดหน้าที่คนต่างทำคนพัง”
คนทุกคนต่างมีหน้าที่ของตัวเองและหน้าที่ที่จะต้องช่วยเหลือผู้อื่น เราอย่าพูดว่าเราเป็นคนอับจน คนที่พูดว่าตนเป็นคนอับจนนั้นเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดใช่ไหม (ใช่) ถ้าเรามองคนที่สูงกว่าเราก็ว่าเราต่ำ แต่ถ้าเรามองคนต่ำกว่าเราก็ว่าเราสูงกว่าเขา จริงหรือไม่ (จริง) บางครั้งเราว่าเงินของเราเท่านี้ดูน้อย แต่ถ้าเรารู้จักเปรียบเทียบกับคนอื่น ความน้อยของเรายังสามารถเอื้อและช่วยผู้อื่นได้ เมื่ออยู่ในสังคมร่วมกันจงมีน้ำใจให้แก่คนที่ต่ำกว่า อย่าดูถูกเขา อย่าเป็นคนที่อยู่ในสังคมแล้วโน้มไปตามคนสูงแล้วกดขี่คนต่ำ คนเช่นนี้ยากเป็นคนที่ดีในสังคมได้ ยากจะเป็นคนที่มีพระในหัวใจอย่างแท้จริงได้ ฉะนั้นเราอยู่ในนี้เราจึงสามารถที่จะเป็นผู้ที่นำธรรมมาใช้แล้วนำธรรมมาช่วยคนได้ การที่รู้จักนำธรรมมาใช้และนำธรรมมาช่วยคนได้นั่นก็คือ คนที่รู้จักบำเพ็ญตน ตัวท่านก็สามารถบำเพ็ญได้
การบำเพ็ญในกาลนี้เป็นการโปรดที่เมตตาอย่างมาก ไม่ต้องบวช ไม่ต้องนุ่งขาวห่มขาว  แม้ตนเองจะมอซอแต่จิตใจต้องบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว แม้สังคมจะวุ่นวายแต่ตัวท่านนั้นต้องทำจิตใจให้มั่นคงสงบนิ่ง นี่คือการบำเพ็ญยิ่งกว่าเข้าวัดเข้าวา เข้มงวดยิ่งกว่าเรียกร้องสิ่งใด เพราะท่ามกลางความวุ่นวายเราต้องเรียกให้ตัวเองสงบนิ่ง ท่ามกลางความสกปรกโสมมเราต้องขัดล้างให้ตัวเองบริสุทธิ์สะอาด หากบำเพ็ญได้แม้จะอยู่วัดก็ร่มเย็น แม้จะออกจากวัดก็เป็นสุข เราคิดว่าทุกท่านในที่นี้ทำได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ขอให้รู้จักคิด รู้จักทำโดยมีคุณธรรมเป็นแกนกลาง มนุษย์เราในสังคมนั้นบ่อยครั้งที่กายแข็งแรงแต่ใจอ่อนปวกเปียก มีประโยชน์อะไรกับการบำรุงกายให้เข้มแข็งแต่ใจไม่สามารถเข้มแข็งได้ ใจก็ไม่สามารถมีประโยชน์กับกายได้เลย คนหลายคนมักจะคิดว่าใจอยู่นอกเหนือการควบคุม หรือไม่ก็คิดว่าใจเรานี้ควบคุมได้ยาก หรือไม่ยอมควบคุม พอไม่ควบคุมใจก็เลยปล่อยใจไปสะเปะสะปะ  คิดอะไรก็ทำสิ่งนั้น มีอารมณ์เช่นไรก็เผลอไปตามอารมณ์นั้น การเผลอไปตามความคิด อารมณ์โดยที่ไม่รู้จักควบคุมใจตนเองย่อมเป็นเรื่องง่ายที่ใจจะทำร้ายใจจริงไหม (จริง) ยกตัวอย่างเช่น มีชายคนหนึ่งเป็นทหารที่เข้มแข็ง แต่วันหนึ่งเกิดไปรักหญิงสาวที่สวยมากคนหนึ่ง เขาก็ภูมิใจมากที่ได้หญิงสาวคนนี้มาครอบครอง ใครเห็นก็อิจฉาตาร้อน แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกเหลือเชื่อเลยว่าทำไมผู้หญิงคนนั้นจึงมารักเขาได้ แต่วันหนึ่งหญิงสาวคนนี้เกิดเปลี่ยนใจ ทิ้งเขาแล้วไปมีคนอื่น เป็นอย่างไรรู้ไหม ความเข้มแข็งของเขาหาได้ช่วยใจเขาไม่ ความเป็นทหารที่รู้จักอดทนหาได้ช่วยเหลือใจเขาไม่ ใจของเขากลับพ่ายแพ้และซมซานเศร้าตรม  ปลงไม่ได้จนถึงขนาดที่สติฟั่นเฟือน เพราะว่าทำใจไม่ได้ เราอยู่ในโลกนี้หลายต่อหลายครั้งที่ใจเราปล่อยใจไปตามอารมณ์ เมื่อปล่อยใจไปตามอารมณ์แล้วเกิดไม่สมหวังไม่ได้ดังต้องการ เรามักจะถอนใจไม่ทัน มักจะดึงใจไม่ทัน ปล่อยใจไปแล้วก็ปล่อยไปเลย แต่ถ้าไปไม่ถึงสิ่งที่ต้องการจะทำอย่างไร ใจนั้นก็เลยเคว้งคว้างไร้สิ่งยึดเหนี่ยว ไม่มีตัวมารองรับ ก็จะเปรียบเหมือนคนที่ขาดใจ เหมือนคนที่ไร้ใจ คนหลายคนในสังคมก็เป็นอย่างนี้ มีเงินมากมายแต่รักษาและเรียกใจตนเองกลับมาให้เข้มแข็งมั่นคงไม่ได้  ฉะนั้นเมื่อเราเห็นว่าเป็นอย่างนี้ก็ต้องรีบเอามาสอนใจเราว่าอย่าได้เผลอใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราต้องรู้จักควบคุมใจ  เมื่อควบคุมได้ย่อมมีระเบียบวินัย ซ้ายเป็นซ้าย ขวาเป็นขวา หยุดเป็นหยุด เราก็สามารถเรียกใจของเราได้ ในเมื่อใจของเราสั่งกายได้ ทำไมใจเรานี้ไม่ควบคุมใจเราให้ได้ บางครั้งพอเราบอกว่าหยุดก็หยุดเสีย ถ้าเกิดใจ   รู้จักควบคุม ใจที่รู้จักฝึกมาดีก็จะมีสติมั่นคง ปัญญาว่องไว และมีความเท่าทันในเหตุการณ์ที่มากระทบใจใช่ไหม (ใช่ )  แต่ถ้าเกิดว่าท่านไม่รู้จักฝึกใจ ปล่อยให้ใจไปตามอารมณ์ ไปตามกิเลสย่อมเป็นอย่างไร (ย่อมเป็นทุกข์) บางครั้งเมื่อเราปล่อยใจไปตามอารมณ์แล้วบางทีเราก็ลืมไปว่า อะไรควรไม่ควร ถ้าใจที่รู้จักควบคุม ใจที่รู้จักฝึกอบรม รู้จักบำเพ็ญตนจะเป็นใจที่รู้จักว่าอะไรควรไม่ควรและตัดสินได้อย่างเที่ยงธรรม   แต่ถ้าใจที่ปล่อยไปตามอารมณ์ ปล่อยไปตามความอยากจะเป็นใจที่ไม่สามารถรู้ว่าอะไรควรไม่ควร เพราะจะถูกความอยากครอบงำ จริงไหม (จริง) ความเป็นตัวของตัวเองที่อยากได้อยากมีนั้นจะครอบความคิดทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรคือความถูกต้อง  อย่าได้กลัวเรา  เราคุยด้วยจงคุยตอบ ยิ้มด้วยจงยิ้มตอบ นี่คือการผูกสัมพันธ์ในการรู้จักกันอย่างเบื้องต้น  ถ้าคุยด้วยแต่ท่านบึ้งตึงตอบ ยิ้มด้วยแต่ท่านกราดเกรี้ยวตอบ นี่คือการสร้างศัตรูจริงไหม แล้ววันนี้แน่ใจหรือว่าท่านเก่งพอจะมีศัตรูเป็นพุทธะ
เวลาเปลี่ยนไปใจคนก็เปลี่ยนตาม บางครั้งเราจึงกลัวกับกาลเวลาที่ผันเปลี่ยนไป บางครั้งเราก็ใจตื่นตระหนกและหวั่นไหวใช่หรือไม่ บางครั้งเราเห็นเขาอยู่กันดีๆ บางทีเราก็กลัวว่าเวลาเปลี่ยนไปแล้วเขาจะเปลี่ยนไปตามเวลาด้วยหรือไม่ ใช่ไหม   พุทธะก็เช่นกันเห็นท่านดีๆ อยู่  พอกาลเปลี่ยนไปใจท่านก็เปลี่ยนตาม จิตใจที่เคยมุ่งมั่นว่าจะทำดีบางครั้งก็หวั่นไหวไปกับความชั่วร้ายในสังคม ความมักง่ายและความเผอเรอของตัวเองจริงไหม เพราะเรารู้สึกว่าทำดีนั้นเป็นเรื่องที่ยากเหลือเกิน ทำชั่วเป็นเรื่องที่ง่ายเหลือเกิน แต่เราว่ายาก ท่านลองคิดดู เวลาท่านจะโกหกคนๆ หนึ่งก็ต้องกังวลว่าเขาจะจับพิรุธได้  พอเขาตั้งคำถามก็ต้องคิดให้รอบคอบรัดกุม  แล้วบางทีกลัวว่าคนที่ท่านโกหกเขาจะไปพูดกับคนโน้น กลัวเขาจะรู้จากคนนี้  พอเขาบอกว่าทำชั่วง่ายท่านก็ตอบรับว่าทำชั่วง่าย  นั่นคือท่านกำลังสร้างสิ่งที่ไม่ดี แต่ถ้าท่านบอกว่าทำชั่วยาก ทำไม่ได้หรอก แต่ทำดีนั้นง่าย พูดแค่นี้ก็สร้างกุศลกับตัวเองแล้วจริงไหม  แล้วก็ไม่เรียกร้องตัวเองด้วยว่าทำชั่วง่ายทำดียาก ฉะนั้นอย่าเผลอ ไม่อย่างนั้นความคิดนี้จะสืบต่อไปยังรุ่นต่อๆ ไป ท่านต้องสอนเขาว่าทำชั่วนั้นยาก  พอเขาทำผิดเราต้องแก้ไขชี้นำเขาได้ ฉะนั้นเวลาแม้จะเปลี่ยนไปอย่างไรขอเพียงตัวท่านมีความมั่นคงในสิ่งที่ตัวเองตั้งใจ ท่านก็จะสามารถสำเร็จได้เหมือนกับคนที่มีพลังอันยิ่งใหญ่  พระพุทธองค์ พระโพธิสัตว์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สำเร็จมรรคผลได้  บางครั้งเราอาจจะสงสัยว่าท่านเอาพลังจากไหนถึงทำดีได้มากมายขนาดนี้ท่านเข้มแข็งได้อย่างไร ในเมื่อเวไนยยังหลงเวียนว่ายอยู่ในขณะนี้ ท่านต้องมีจิตใจบางอย่างที่สามารถทะลุทะลวงและเปรียบปานได้กับเทพใช่หรือไม่  ใจนั้นหาได้ไม่ยาก สามารถหาได้ในตัวท่าน มีได้ในตัวทุกๆ คน  ทำไมจอบที่หนักแสนหนักแต่คนบางคนจึงขุดได้อย่างแคล่วคล่อง งานที่อุปสรรคมากมายทำไมคนจึงฝ่าได้จนสำเร็จ เพราะว่าเขาได้ฝึกจนชำนาญ เขาได้ผ่านมาจนเจนจัดใช่หรือไม่ ขอเพียงได้ลองทำ เราอย่าได้ดูเบาตัวเอง
คนทุกคนบางครั้งเวลาทำดีและตั้งใจจะเป็นคนดี  ทำไมจึงดีไม่ได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะมักจะไม่สามารถเผชิญกับอุปสรรค หวาดกลัวความยากลำบากใช่หรือไม่  ทำไมไม่ลองฝ่าฟันดู ไม่แน่ฝ่าหนึ่งครั้งแล้วท่านจะรู้ว่าทุกข์นี้ไม่ใช่เรื่องยาก อุปสรรคนี้ไม่ใช่ความลำบาก หากเอาแต่กลัวเอาแต่คิดว่าทำดียากแล้วเมื่อไหร่จะไปถึงฟากฝั่งแห่งการทำดี เมื่อเป็นคนดีไม่ได้แล้วจะเป็นมนุษย์ประเสริฐได้อย่างไร เมื่อยังเป็นมนุษย์ประเสริฐไม่ได้ก็ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าพุทธะจะเป็นอย่างไรจริงไหม
 สิ่งแรกในการเริ่มต้นฝึกฝนบำเพ็ญตนนั่นก็คือมั่นคงในการทำความดี เมื่อมั่นคงแล้วก็ฝึกฝนไปมีโอกาสเอาความดีนั้น ไปช่วยคนท่านก็จะสามารถก้าวไปสู่ประตูแห่งพุทธะ ไปนั่งบัลลังก์แห่งพุทธะได้ ฉะนั้นจงหมั่นทำดี ทำดีนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยจริงไหม  อย่าบอกว่าพูดง่ายแต่ทำจริงๆ นั้นยาก บางครั้งเจอยากก่อนพอเจอง่ายก็สบาย เจอง่ายก่อนพอเจอยากก็รับไม่ไหวจริงหรือเปล่า ฉะนั้นจงคิดไปทางที่ดีแล้วปัญญานี้จะนำพาสติและความเท่าทันในเหตุการณ์ในโลกนี้ได้อย่างตลอดรอดฝั่ง ตัวท่านมีอาวุธในการปราบปรามความชั่วร้ายอยู่แล้ว อาวุธในการนำพาให้ท่านก้าวไปสู่ความเป็นพุทธะ รู้จักใช้อาวุธให้ดีแล้วอาวุธนี้จะเป็นเหมือนสิ่งที่เสริมให้ท่านยิ่งสูงขึ้นทุกๆ วัน นั่นก็คือสติปัญญาและความเท่าทันในเหตุการณ์
ในโลกนี้ยังมีคนอีกมากที่น่าสงสารกว่าท่าน แล้วในโลกนี้ยังมีคนอีกมากที่ลืมสงสารตนเอง ถ้าเมื่อไหร่ที่เรามีใจรู้จักสงสารคนอื่น มีใจรู้จักช่วยเหลือคนอื่น เมื่อช่วยไปแล้วก็ไม่กลับมาคิดว่าเขาจะหลอกเราหรือไม่ ช่วยเขาไปย่อมเป็นกุศล  แต่ถ้าช่วยเขาไปแล้วกลับมาคิดว่าเขาหลอกเรา  อย่างนี้ย่อมไม่เกิดผลบุญอะไรใช่หรือไม่ ฉะนั้นเมื่อตั้งใจช่วยจงช่วยให้เต็มที่ เมื่อช่วยแล้วอย่าหวนคิดกลับ ทำดีเพื่อความดี อย่าคิดทำดีเพื่อหวังผล มิฉะนั้นก็เป็นคนดีที่ไม่ถูกต้องเหมือนกันจริงหรือไม่ บางครั้งเราอยู่รวมกันในสังคมคนบางคนเขาเกลียดเรา บางคนเราไม่ได้สร้างทุกข์อะไรให้เขา ทำไมเขาถึงทำให้เราเจ็บปวดทุกข์ใจ  ทำไมเขาไม่ไปทำกับคนอื่น  ทำไมเขาไม่แกล้งคนอื่น กลับมาแกล้งเรา การให้อภัยคือการสร้างบุญ การคิดว่าเป็นกรรมของเราก็คือการมองเขาในแง่ดีจริงหรือไม่  แต่ถ้าเขาเกลียดท่านแล้วท่านเกลียดตอบ เขาร้ายมาท่านร้ายตอบเช่นนี้ท่านกับเขาก็ไม่ต่างกันใช่หรือไม่ จึงมีคำว่าเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร  ฉะนั้นให้อะไรก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับให้อภัย ไม่ว่าเขาจะดีจะร้าย จะทำให้เราผิดหวังอย่างไร เมื่อเราให้อภัยเขาเราก็จะเกิดจิตที่ดีงามและสามารถอยู่ร่วมกับเขาได้อย่างเป็นสุข ถ้าเรามีแต่ความเคืองแค้น โกรธเกรี้ยว และอยากจะล้างแค้นตอบอยู่ร่วมกันก็เป็นทุกข์ใช่หรือไม่ ยิ้มให้กันก็ยิ้มอย่างจอมปลอม บางครั้งเรื่องราวในโลกนี้มีทั้งดีมีทั้งร้าย มีทั้งยกย่องแล้วเหยียบย่ำ มีทั้งมั่งมีแล้วทุกข์ยาก แต่เมื่อไหร่เราเจอเรื่องที่มากระทบใจเรา เราต้องไม่หวั่นไหว ตัวเรานั้นต้องมั่นคง แล้วภายในใจต้องสำนึกอยู่เสมอว่าในโลกนี้ไม่จีรัง  วันนี้เขาชม พรุ่งนี้เขาตำหนิชี้ข้อบกพร่อง วันนี้เขายกย่อง วันพรุ่งนี้เขาอาจจะยกเราลงมาใช่ไหม คิดเสียว่าวันนี้เขายกเราขึ้นพรุ่งนี้อาจจะปล่อยลงเพราะเมื่อย  วันนี้มั่งมีพรุ่งนี้อาจจะมีน้อยลง  หากเราคิดได้เช่นนี้เราจะมีสุขด้วยความไม่ประมาท และมีสุขอย่างไม่หลงระเริง แล้วในความสุขนั้นเราก็จะรู้ได้ว่าเป็นธรรมดาที่ต้องเวียนกลับมาเป็นทุกข์ หากคิดได้อย่างนี้อยู่ทุกขณะ เมื่อเจอทุกข์ก็ตั้งรับได้ทัน เมื่อฝนตกเราก็มีร่มกาง  เป็นคนที่พร้อมเสมอไม่ว่าจะเจออะไรก็ตาม  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เรารู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่แน่นอนเหลือเกินใช่ไหม แล้วในความไม่แน่นอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่แน่นอน นั่นคือการสร้างความดีให้กับตน  การรู้จักทำตนให้เป็นคนที่มีประโยชน์ รู้จักบำเพ็ญตน ไม่มีใครเสกให้ท่านเป็นคนดีได้ ไม่มีใครเสกให้ท่านเป็นนางฟ้าได้  มีแต่ตัวเราต้องเสกตัวเองให้เป็นคนดี เป็นนางฟ้าใช่ไหม  เมื่อเราเสกด้วยตัวเราเอง สร้างขึ้นด้วยตัวเราเอง ต้องไม่เผลอไปเวียนในความไม่แน่นอน เมื่อเราสร้างแล้วแม้คนเห็นหรือไม่เห็นก็ยังสร้าง  คนให้ความสำคัญหรือไม่ให้ความสำคัญเราก็ยังสร้างด้วยความดี สร้างเพราะอยากช่วยเหลือ  อยากทำดี  เพื่อให้ดีอยู่ในโลก  แล้วความดีนั้นก็จะไม่มีใครมาไถ่ถอนหรือดึงไปจากตัวเรา  ฉะนั้นจงรีบทำ แล้วเราก็จะสามารถเสกตัวเราให้เป็นนางฟ้าและเทวดาได้ใช่ไหม ตัวท่านต้องสรรค์สร้างด้วยตัวเอง เวลาเราอยู่ในโลกนี้ต้องรู้จักสร้างด้วยตัวเอง ทำด้วยตัวเองแล้วสิ่งดีก็จะบังเกิดขึ้น
แต่บางครั้งเรื่องราวบางเรื่องก็อยู่นอกเหนือจากการจัดการของเรา  เช่นคนเราเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องธรรมดา  ความตาย  ความดับ  การพลัดพรากที่มาเยือน เป็นเรื่องราวที่เกินเหตุ สุดวิสัยที่เราจะสามารถเปลี่ยนแปลงหรือยื้อยุดให้อยู่กับที่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งเราต้องปล่อยบ้าง
เรื่องราวในโลกนี้มีทั้งสมหวัง ไม่สมหวัง  เมื่อไม่สมหวังอย่าได้ยึดมั่น จงปล่อยเสีย ไม่เช่นนั้นใจท่านจะเหมือนกับเขียงที่ให้เขาสับๆๆๆ ให้เขาหั่นๆๆๆ รองรับอารมณ์ต่างๆ ด้วยความยึดมั่นถือมั่น  สิ่งเดียวที่จะสามารถช่วยจัดการได้  ในเวลาที่เราปลงไม่ได้ก็คือ จัดการกับจิตใจของตัวเอง  เมื่อรู้ว่าแก้ไม่ได้ก็ดึงใจออกมาหรือปลงเสีย แล้วเราก็จะเป็นสุขกับเรื่องที่เราไม่สามารถแก้ไขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
บางครั้งเราอยู่ร่วมกันย่อมมีคนทำอะไรไม่ถูกใจ หากเขาทำไม่ถูกใจแล้ว  เราบอกแล้วแต่เขาไม่แก้ไข  บางทีเราก็ต้องปล่อยเขาไปใช่ไหม (ใช่)  เรื่องราวบางเรื่องนั้นคนจัดการไม่ได้แต่ต้องให้เวลาช่วยจัดการปัญหา เพราะว่าเขาจะยอม โดยตัวเขาเห็นโทษของการที่ไม่ถูกต้องเอง จริงไหม (จริง)
อะไรบ้างในโลกนี้ที่ทำให้ท่านยิ้มไม่ออก (ความทุกข์) ทุกข์อะไรบ้าง (ความทุกข์กาย ทุกข์ใจ)  บางครั้งความทุกข์ทำให้ท่านยิ้มไม่ออกใช่ไหม  แต่เมื่อครู่นี้เราบอกแล้วต้องยิ้มให้ออก ใช่หรือเปล่า มีทุกข์อะไรอีก (ไม่ถูกใจ ไม่สมหวัง, มีปัญหา)  เพราะมีปัญหาจึงยิ้มไม่ออก แต่ถ้ามีปัญหาแล้วยิ้มออก ดีไหม (ดี)  ดี แปลว่าเราพร้อมที่จะฝ่าออกไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าทุกข์แล้วท่านยิ้มไม่ออก ท่านก็จะต้องนั่งอยู่ตรงนั้น แล้วปัญหาก็ไม่มีวันแก้ ฉะนั้นเมื่อเจอปัญหา อย่าเห็นปัญหาเป็นปัญหา แต่ให้เห็นว่าปัญหาต้องแก้ ถ้าเจอปัญหาแล้วเห็นว่าเป็นปัญหา ท่านก็จะจมอยู่กับปัญหานั้น ฉะนั้นเมื่อเจอปัญหาแล้วต้องแก้   ยิ้มไม่ออกเพราะอะไร  (เจ็บ) ยิ้มออกเพราะลืมเจ็บใช่ไหม บางครั้งเจ็บตัวต้องลืมไปบ้างก็จะยิ้มออก จริงไหม  (เจอปัญหาแล้วแก้ไม่ได้) ยิ้มไม่ออกเพราะบางทีเจอปัญหาแล้วพยายามแก้แล้วแก้ไม่ได้  ฉะนั้นต้องถอนใจออกมา  (ความล้มเหลวในชีวิต)  แต่ความล้มเหลวเป็นบทเรียนที่ทำให้เรายิ้มออกในวันหน้า  (สอบตก)  ยิ้มไม่ออกเพราะสอบตก แต่บางทีเราเห็นคนบางคนพอไปอยู่กับเพื่อนที่สอบตกด้วยกันก็หัวเราะว่าเราตกวิชาเดียว  เขาตกสองวิชา ท่านก็ยิ้มออก  (มีความกังวล)  ความกังวลและความสับสนที่ไม่สามารถมองได้แจ่มชัดว่าโลกนี้เป็นอย่างไรกันแน่  เรื่องที่เราต้องเผชิญนี้จะฝ่าไป   อย่างไรถึงจะดีที่สุดใช่ไหม  เราต้องมองกฎเกณฑ์ของธรรมชาติหรือกฎเกณฑ์สังคมนี้ให้ออก  เมื่อมองแล้วจงรู้จักและเข้าถึง  เมื่อมอง รู้จัก และเข้าถึงได้ จงเคารพในกฎแล้วเดินไปในกฎด้วยความสอดคล้องและระมัดระวัง  กฎนี้จะนำพาให้เราเห็นได้แจ่มชัด  แต่บางครั้งเราก็รู้สึกว่ากฏในโลกนั้นเป็นกรอบที่กั้นเรามาก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราอย่าลืมว่ากรอบที่ช่วยกั้นจะทำให้เราไม่ก้าวผิด แต่ถ้าไร้กรอบเราย่อมเผลอทำผิดใช่ไหม (ใช่)
เรารู้จักกรอบของสังคม แต่เราลืมนึกถึงกรอบแห่งธรรมชาติ หรือกฎแห่งธรรมชาติไป ธรรมชาติมีกฎอยู่อย่างหนึ่ง หากทุกคนมองก็จะเห็นได้ นั่นก็คือไม่ว่าร่างกาย เสื้อผ้า หรือเงินทองล้วนเอามาจากธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้เราครอบครอง วันนี้เราได้ใช้ แต่ต่อไปเราต้องรู้ว่าสุดท้ายต้องคืนสู่ธรรมชาติ   ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นคือกฎของธรรมชาติ มีอย่างหนึ่งที่เราไม่ควรลืม คือทุกสิ่งในโลกนี้ไม่มีใครสามารถเป็นเจ้าของได้  วันนี้ยืมเขามาใช้ถึงเวลาต้องคืนสู่ธรรมชาติ  แม้กระทั่งร่างกายนี้ก็เหมือนกัน  ฉะนั้นเมื่อไรที่เราเข้าใจกฎนี้เราจะได้ไม่ต้องไปยึดให้ทุกข์  และไม่ต้องไปกังวลให้ยิ้มไม่ออก เพราะเรารู้ว่าถึงคราวปล่อยต้องปล่อย ถึงคราวแก้ไขควรแก้ไข  ถึงคราวมองให้ออกก็ต้องแยกให้แจ่มชัด ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถแยกอะไรได้แจ่มชัด ก็คือเรามีอารมณ์ร่วม พอมีอารมณ์ร่วมบางครั้งก็มองได้ไม่ชัดเจน อย่างเช่นถ้าเราชอบสาลี่มากกว่าฝาถ้วย เพราะเรามีอารมณ์รู้สึกว่าสาลี่กินแล้วอร่อย ฝาถ้วยนำไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้  เราจะมองเห็นชัดเจนไหมว่าอะไรมีคุณค่า เรามองเห็นว่าสาลี่มีคุณค่าสูงส่ง แต่ฝาถ้วยมีคุณค่าต่ำเตี้ยติดดินเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเรามองได้ไม่ชัด เราย่อมตัดสินได้ไม่เที่ยงใช่ไหม  เมื่อตัดสินไม่เที่ยงเราก็ย่อมกังวลในการใช้งานและสับสนเมื่อยามนำไปใช้  สิ่งที่มีประโยชน์ท่านก็ใช้เอาๆๆ  สิ่งที่ไม่มีประโยชน์ท่านก็ทอดทิ้งไว้  แต่ลืมนึกไปว่าฝานี้ก็มีประโยชน์เหมือนกัน สามารถนำมาฝนยาเพื่อนำไปกวาดคอได้ ฉะนั้นบางครั้งที่เราสับสนเราแยกไม่ออก นั่นเป็นเพราะเรามีอารมณ์ร่วม ฉะนั้นต้องดึงอารมณ์ออกมา  ปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำมักไม่เห็นน้ำ นกมักไม่เห็นฟ้า คนมักไม่เห็นโลก จริงไหม (จริง)  บางครั้งเราว่าตาเรามองเห็นโลกแล้ว แต่ถามจริงๆ ว่าเราเห็นได้อย่างถ่องแท้และเข้าถึงไหม (ไม่ถึง)  ไม่ถึงเพราะตาเราเห็นได้จำกัด เมื่อสุดขอบตาก็ไม่เห็นแล้ว  ฉะนั้นการที่เราศึกษาหลักธรรม การที่เรารู้จักเรียนรู้กฎแห่งธรรมชาติและกฎแห่งสังคม จะทำให้เรามองเห็นในสิ่งที่เหนือกว่าตา ได้ยินในสิ่งที่มากกว่าหูได้ยิน และสัมผัสถึงสิ่งที่เราไม่เคยได้สัมผัส นั่นคือการเข้าถึงธรรมชาติ และมีธรรมชาติอยู่ในตัวตน เมื่อไรที่สามารถบำเพ็ญจนกระทั่งเข้าถึงความเป็นธรรมชาติ และมีธรรมชาติอยู่ในตัวตน พบธรรมชาติที่แท้จริงอยู่ในตัวตน เมื่อนั้นท่านจะบำเพ็ญและพบความเป็นพุทธะ แต่ถ้าเมื่อไรบำเพ็ญแล้วยังขี้บ่น ชอบว่า หงุดหงิด กังวล วิตก นั่นแปลว่ายังพบความเป็นมนุษย์อยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้มาฟังธรรมะ ได้ยินสิ่งที่เราพูดไป ขอให้กลับไปแล้วยังยิ้มได้ต่อไป  มีใจที่ยิ้มสู้กับโลกใบนี้ที่แม้จะดูเลวร้ายสักเพียงใดแต่เราก็ยังมีความเข้มแข็งอดทนสู้ได้ทุกเมื่อ  เวลามองอะไรอย่ามองที่ตาอย่าวัดที่ใจ แต่ต้องวัดที่คุณธรรม เพราะใจของเรานั้นยังไม่ค่อยเที่ยงเท่าไร ฉะนั้นบางครั้งเสียงที่ได้ยินแม้จะฟังไม่ไพเราะ แต่ใจนั้นต้องให้เที่ยงดูว่าความไม่ไพเราะนั้นมีอะไรแอบแฝงอยู่ คนบางครั้งน่าเกลียด พูดไม่เพราะ พูดไม่น่าฟัง แต่จงมองให้ดีว่าในความน่าเกลียดไม่น่าฟังนั้น เขาต้องการมอบสิ่งใดให้กับเรา อย่าได้วัดคนเพียงเปลือกนอกและอย่าได้ดูสิ่งของเพียงราคา ไม่เช่นนั้นท่านจะโดนเปลือกนอกของสรรพสิ่งหลอกลวงจนไม่สามารถเห็นความเป็นจริงในชีวิตได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(หัวหน้าชั้นถามความหมายของคำว่า อนัตตา)
อนัตตาก็คือไร้ตัวตน เมื่อไรที่เรามองเห็น ย้อนมองเห็นตนได้อย่างแจ่มชัดว่าตนเป็นคนเช่นนี้ และมีธรรมะเป็นความเที่ยงอยู่ ธรรมะนี้จะช่วยทำให้เราทิ้งตนเสียและไม่มีตน เมื่อไรที่เราเข้าถึงคำว่าไม่มีตน เมื่อนั้นเราจะไม่มีทุกข์  เรื่องนี้ฟังแล้วหลายครั้งสำหรับผู้ปฏิบัติงานธรรม แต่ในที่นี้ เราจะอธิบายเพิ่มเติม  เหมือนง่าย ๆ พอมองเห็นสาลี่  ถ้าเราบอกว่าสาลี่ไม่สวย ก็เหมือนโดนแทงหนึ่งครั้ง  บอกว่าสาลี่มีแมลง ก็โดนแทงอีกครั้งที่สอง ใช่หรือไม่  แต่ถ้าไม่มีสาลี่อยู่  ใครว่าสาลี่ไม่สวย ก็ไม่เจ็บ  มีใครบอกว่าสาลี่ของท่านไม่ได้เรื่องเลย ก็ไม่เดือดร้อน จริงไหม  ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราลืมตัวตนได้บ้าง  เวลาคนว่าเรา เธอไม่สวย ก็ไม่เป็นไรเพราะฉันไม่มีตัวตนแล้ว ลืมตัวตนไปเสีย ถ้ามีคนบอกเราว่าชื่อเราไม่น่าฟังเลย เราก็บอกไม่เป็นไร เขาว่าชื่อมิได้ว่าตัวเรา ใช่หรือไม่ บางครั้งการลืมตัวตนไปบ้างก็จะไม่มีที่ให้ทุกข์อยู่ การไม่มีอะไรที่เป็นตัวตนก็จะไม่มีอะไรที่ทำให้ต้องเจ็บต้องทุกข์ นี่คือเรื่องง่ายๆ  แต่มนุษย์เรามักจะทำไม่ได้  พอตีก็เจ็บ พอไม่ตีก็บ่นว่าน่าจะตีเสียหน่อยจริงไหม พอเขามาแหย่เราเราก็ดีใจ  พอเขาไม่แหย่เราก็ไปหาเขาให้เขาแหย่ ฉะนั้นเรื่องราวในโลกนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ยากเลย อยู่ที่ว่าเรารู้จักมอง เมื่อมองแล้วเรารู้จักเอาธรรมมาใช้สอนใจไหม  หากรู้จักเอาธรรมมาใช้ มาสอนใจ ท่านก็จะยิ้มได้อย่างมีสุขใจ
วันนี้ก็คงสั้นๆเท่านี้แล้วนะ เราคงต้องไปแล้ว  ขอให้มีความสุขในการบำเพ็ญธรรม  และเป็นคนดีให้ได้ ตั้งใจบำเพ็ญธรรม  มีโอกาสก็เอาสิ่งที่ดีๆ ไปช่วยเหลือคนในสังคมที่ยังตกทุกข์ได้ยากนะ  ไปล่ะ


วันอาทิตย์ที่  ๙  กรกฎาคม  พุทธศักราช  ๒๕๔๓
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ใจเป็นนายกายเป็นบ่าวเสมอศิษย์ ทุกความคิดต้องตรวจสอบความเป็นหนึ่ง
คุณธรรมมั่นคงในความคำนึง ศิษย์จะถึงแดนฟ้าได้ต้องบำเพ็ญ
เราคือ
จี้กงวิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมเจาหยู  แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนอยากบำเพ็ญหรือเปล่า

ไร้สายลมแผ่วพัดสอบใจคน ธรรมแยบยลไร้ปาฏิหาริย์มาหนุนเกื้อ
ธรรมติดดินแล้วแต่ใครเชื่อไม่เชื่อ ทุกคนเมื่อทำสิ่งใดจะได้สิ่งนั้น
เปิดใจกว้างจิตใจจะสบายเอง อาจารย์เร่งเพียงให้ศิษย์ตื่นจากฝัน
อย่าไปกลัวปัญหาสารพัน ในใจนั้นมีคำตอบหากย้อนมอง
ศิษย์ข้าเอยบำเพ็ญธรรมในชาตินี้ อาจจะมีเล็กน้อยความหม่นหมอง
แต่จงให้ช่วยเหลือกันประคับประคอง เหมือนดังทองที่ไม่กลัวไฟพิสูจน์
เจียดเวลากลับมาศึกษาจริง ทุกทุกสิ่งทำให้ได้อย่างที่พูด
เดินให้ถึงซึ่งแดนแสนวิมุตติ ศิษย์สามารถหลุดพ้นได้ถ้าพยายาม
ก่อนลาจากฝากศิษย์รักรู้จักตน ทั้งอดทนเรื่องเล็กน้อยอย่ามองข้าม
อย่าให้ข้าเฝ้าแต่ตามตามตาม ไฟลุกลามอาจเริ่มจากสะเก็ดไฟ

ฮา   ฮา   หยุด

  วิมุตติ ความพ้น, ความหลุดพ้น, พระนิพพาน

ทำงานมีสุขเมื่อรักงานตน ปัญญาของคนเหมือนดังเพื่อนคิด  งานเสร็จดังฝัน  ผลงานไว้เตือนใจศิษย์ แข่งขันกับตัวของเรา คนต่างก็คิดพึ่งกัน จงเป็นที่พึ่งของตนเถิดหนา เข้าใจกันย่อมเดินเคียงบ่า  ลืมเสียความไม่เท่า
* ยังห่วงคนดื้อรั้น ใครทัดทานไม่ได้  โปรดนำพาทุกคำจากหัวใจ    เรื่องดีดีล้วนเป็นดังใจ ด้วยสองมือของเรา
ก็เกือบจะสายเกินไป   บำเพ็ญแล้วยากนับวันห่างหาย กิเลสเร็วล้น   ควรเพียรระวังหรือหน่าย ให้ทบทวนสักที  (ซ้ำ *)

ทำนองเพลง  :  รักอำพราง
ชื่อเพลง  :   รู้จักหน้าที่


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เวลาที่เราอยู่ร่วมกันมีน้อย ครู่เดียวก็จากกันแล้ว จะต้องทำอะไรบ้างกับเวลาที่เหลืออยู่เพียงเท่านี้  เวลาที่เหลือจะมานั่งกลัวร้อนไม่ได้ ถึงแม้ว่าเราอยู่ร่วมกันแล้วโชคชะตาจะทำให้เราร้อน ก็ขอให้มีใจเย็นๆ ดีหรือไม่ ก็ยังมีสิ่งที่มองไม่เห็นอีกมากมาย
พายเรือออกหรือยัง เราพายเรือท่ามกลางอะไร เรือแล่นไปบนทะเลทุกข์ เวลามืดๆ อย่างนี้จะเอาอะไรเป็นไฟ เวลาท้องฟ้ามืดอย่างนี้จะใช้อะไรเป็นไฟ ถ้าท้องฟ้ายังสว่างไสว เรามองออกไปก็รู้ว่าจะพายไปทางไหน แต่ถ้าท้องฟ้ามืดมิด  ทั้งสี่ทิศก็มืดเหมือนกันหมด  เราจะใช้อะไรเป็นไฟให้ตน ใช้คนอื่นนำทางได้ไหม (ไม่ได้)  ใช้คนอื่นนำไม่ได้ หวังพึ่งเข็มทิศได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่พึ่งเข็มทิศแล้วจะทำอย่างไร (ความรู้)  ใช้ความรู้เรื่องอะไร คนมักบอกว่ามีความรู้จะสามารถไปได้ตลอดรอดฝั่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนมีความรู้ ความรู้ไม่ใช่สิ่งที่นำพาเราไปได้ตลอด  ความรู้ต้องประกอบกับอย่างอื่นด้วยจึงจะมีชีวิตพ้นไปตลอดรอดฝั่ง
อาจารย์บอกว่าทุกคนมีชีวิต ทุกคนใช้อะไรนำพาในยามที่มืดมิด (ใช้จิต, หลักธรรม, สติปัญญา, ใช้สติและมีสมาธิ) แล้วตอนนี้มีสติและสมาธิหรือยัง  ยิ่งมืดมิดยิ่งต้องตาไว ในเมื่อความรู้ใช้ไม่ได้ คนอื่นเราก็หวังพึ่งเขาไม่ได้  แล้วจะใช้อะไร
อาจารย์นั้นชี้ให้ตรงใจ ฉะนั้นจะใช้อะไรนำพา ตัวเราประกอบด้วยกายและใจ  สิ่งที่เราจะใช้นำพาก็คือจิตใจของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทำอะไรก็จะสำเร็จได้ไหม (ไม่ได้)  จึงต้องใช้ความตั้งใจที่ออกจากใจ
บางคนนั้นทำงานเพราะอยากได้เงิน จึงไม่ได้ทำงานโดยออกจากใจ บางคนเป็นลูก บางคนทำหน้าที่เพราะต้องการคำชมจากคนอื่น  บางคนเป็นลูกที่ดีก็เพราะให้คนอื่นชื่นชม  นั่นเท่ากับว่าไม่ได้ทำออกจากใจ จึงยังไม่มีใครชมเชย
การเขียนหนังสือต้องเป็นระเบียบเรียบร้อย เขียนแล้วต้องเป็นแนวเดียวกัน  หากเขียนแล้วไม่กะประมาณว่าข้างหลังพอหรือไม่พอ    แสดงว่าเราไม่มีฝีมือ  ฉะนั้นก่อนจะทำอะไรต้องคิดก่อนทำ หลายคนกะประมาณไม่ได้  เมื่อทำสิ่งหนึ่งจึงผิดพลาด  ขณะที่เราทำสิ่งหนึ่งอยู่อย่าลืมว่าคนอื่นกำลังพิจารณาเราอยู่เหมือนกัน
“คุณธรรมมั่นคงในความคำนึง ศิษย์จะถึงแดนฟ้าได้ต้องบำเพ็ญ”
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ต้องพูดถึงการบำเพ็ญ เพราะทำให้เราถึงแดนฟ้า เราทุกคนเกิดมามีชีวิตมีทุกข์ไหม รู้สึกว่าอยากพ้นทุกข์ไหม ทำไมอยากพ้นทุกข์  เราจะนั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไรแล้วพ้นทุกข์ได้ไหม การพยายามช่วยตนเองให้พ้นทุกข์นั้น  เป็นความคิดของคนที่ไม่มีทางจะพ้น เราต้องคิดว่าจะช่วยผู้อื่นให้พ้นทุกข์  บางทีถ้าจะรอให้ตัวเองพ้นก่อน แล้วค่อยช่วยผู้อื่นนั้น กว่าเราจะพ้นทุกข์ก็อาจจะสายไป  บางทีคนอื่นก็มีความทุกข์มากกว่าเราอีก
เวลาเราเห็นผู้อื่นที่ร่วมบำเพ็ญด้วยกัน มีข้อไม่ดีต้องทำอย่างไร (ตักเตือน) ไม่กลัวเขาย้อนกลับมาหรือ การอยู่ในสถานธรรมทุกคนกำลังบำเพ็ญ ทุกคนยังมีความผิดพลาดเสมอ ทุกคนยังอยู่ในสภาวะไม่พ้นทุกข์ แต่ต้องยื่นมือมาช่วยผู้อื่น ไม่มีใครบอกได้ว่าใครจะพ้นก่อนใคร แต่เราต้องพยายามช่วยกันใช่ไหม
อยากบำเพ็ญหรือเปล่า อยากบำเพ็ญกับอาจารย์ อาจารย์ไม่ใช่พระศักดิ์สิทธิ์ทำให้ไฟติดก็ยังไม่ได้เลย บำเพ็ญกับอาจารย์ได้ไหม (ได้)  เวลาที่เราร้อนเราควรที่จะทำให้ใจเราเย็นสบาย การบำเพ็ญไม่มีปาฏิหาริย์ ไม่มีเรื่องแปลกประหลาด เหนือความคาดหมาย มีแต่เรื่องธรรมดา คนทำดีได้ดีคนทำชั่วได้ชั่ว เป็นอย่างนั้นเอง คนที่บำเพ็ญอย่างธรรมดาที่สุดจึงได้มรรคผลที่สุด ปาฏิหาริย์ช่วยให้เราไปไกลจากสัจธรรมมากที่สุด
วันนี้อาจารย์มาพบศิษย์อาจารย์ก็ดีใจ แต่บางคนพอร้อนแล้วใจไม่ยอมนิ่ง อาจารย์คิดว่าในความร้อนเท่านี้ไม่เป็นไร  คนโบราณนั้นถูกเคี่ยวกรำมากกว่านี้ แต่พออาจารย์มาถึงแต่ละคนใจไม่นิ่ง  ไม่เป็นอย่างที่อาจารย์คาดไว้เลย
คิดว่าจิตตนเองเมื่อเทียบกับภายนอกที่กำลังมืด  อะไรมืดกว่ากัน  ใครคิดว่าภายนอกมืดกว่า   ใครคิดว่าภายในใจของเรามืดกว่า  ใจของเราทุกคนเดิมนั้นเป็นสิ่งที่ใสสว่างยิ่งกว่าแดดตอนเที่ยง  แต่นานไปอะไรทำให้เรามืด  นั่นคือความโลภ โกรธ หลง รู้จักไหม (รู้จัก) เรารู้จักดี แต่เราตัดไม่ได้ ทำไมเราตัดไม่ได้ วันนี้เราตัดไม่ได้อย่างนั้นพรุ่งนี้ตัดได้ไหม คนที่ผลัดวันประกันพรุ่งก็จะทำไม่สำเร็จ ถ้าจะทำก็รีบทำเลย  จะมัวผัดวันประกันพรุ่งก็ไม่ใช่ทางออก  ถ้าอยากให้ใจของเราสว่างเหมือนเดิมก็ต้องล้างสิ่งที่หาไว้ให้สิ้น  ทำไมธรรมะจึงอุบัติลงในกาลนี้ เพราะเมื่อทุกคนรู้ว่าจิตใจนั้นมีความโลภ โกรธ หลง อยู่แต่ยังตัดไม่ได้  รู้แล้วยังทำอยู่ ถ้าหากเรานั้นไม่เริ่มตัดวันนี้  ก็คงไม่ทัน ถ้าเราเลิกทำผิดก็จะมีคนทำผิดน้อยลง  ต้องเริ่มจากตัวเราเอง
สิ่งที่อาจารย์สอนตั้งแต่ต้นไม่มีอะไรแปลกใหม่ขอเพียงแค่เรากระทำ  แม้จะเป็นเพียงข้อธรรมะง่ายๆ ตื้น ๆ ก็ยังดีกว่าไม่กระทำเลย ฟังธรรมะมาสองวันได้อะไรบ้าง (ความรู้, ฟื้นฟูจิตใจของเรา) เราต้องทำให้คนอื่นเห็น  เปรียบเทียบกับการที่สถานธรรมได้ส่งหนังสือไปให้เล่มหนึ่ง แล้วศิษย์ไม่เปิดอ่าน แม้หนังสือจะดีแต่ศิษย์ไม่อ่านก็เปรียบเหมือนหนังสือไม่ได้เปิดออก ถ้าไม่ได้เปิดออก ถ้าไม่ทำตาม ก็เปรียบหนังสือไม่ดี  การมาฟังธรรมสองวันนี้ก็เช่นกันเปรียบได้กับการส่งหนังสือมาให้ อ่านแล้วทำให้ศิษย์เปลี่ยนแปลงได้ เปิดแล้วทำได้ไหม ก็อยู่ที่ตัวเราเอง ไม่ต้องกลัวถูกสะกดจิต หรือมีอะไรที่แปลกประหลาด ธรรมะจริง ๆ นั้นเป็นสิ่งพื้น ๆ
คนเรามีหน้าที่ของความเป็นคนต้องทำให้สมบูรณ์ ลูกต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ พ่อแม่มีหน้าที่อะไร (ดูแลลูก) ดูแลเพียงอย่างเดียวหรือ ต้องสั่งสอนเลี้ยงดูลูก คนสมัยนี้สร้างกุศลมามาก จึงฉลาด รู้เข้าใจสิ่งใดไปหมด  แต่ไม่เข้าใจว่าควรทำสิ่งใด  การศึกษาของคนสมัยนี้ต่างจากสมัยก่อน  ยิ่งเรียนจบสูงยิ่งมีคนชม แต่จบสูงก็ไม่มีความรู้แท้จริง ไม่มีประโยชน์ มีใบปริญญาแต่ไม่มีความรู้ที่แท้จริง ก็เหมือนกับวันนี้อาจารย์ให้ปริญญาใบหนึ่งแต่ถ้าศิษย์ทำไม่ได้ ถามว่าเราคู่ควรกับปริญญาใบนี้ไหม  ฉะนั้นเราต้องมีความสามารถคู่ควรกับปริญญาใบนี้ด้วย
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “รู้จักหน้าที่”)
เมื่อพูดถึงหน้าที่  คนเราเห็นหน้าที่การงานเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าไม่อยากสูญเสียงานเราต้องรู้จักหน้าที่ของตนเอง  จะให้ใครมาคอยจ้ำจี้จ้ำไชว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้  แม้ว่าเราจะเป็นผู้บำเพ็ญธรรม เราไม่หวังความก้าวหน้า แต่ถ้าเราทำได้เพียบพร้อมการงานก็สมบูรณ์ แต่อย่าใฝ่สูงเพราะจะตกลงมา
สมัยนี้ครึ่งหนึ่งบำเพ็ญธรรม ครึ่งหนึ่งทำงานทางโลก นอกจากนี้ยังต้องรู้จักมองโลกในแง่ดี ใครมองโลกในแง่ร้ายชีวิตจะมืดมน ยกตัวอย่างเช่น อยู่ดี ๆ มีคนมาตบหัวเรา เราจะบอกว่าเขาเป็นคนไม่ดีได้ไหม   อยู่ดี ๆ ถ้าเขาเอาเงินเราไปเราจะโกรธเขาไหม  อยู่ดี ๆ เห็นเขานินทาเรา เขาอาจชื่นชมเราอยู่ก่อน  แต่เผอิญเขาพูดข้อเสียเรานิดหน่อยแล้วมีคนได้ยินตอนนั้น แล้วก็เอามาบอกเรา เราก็ต้องมองเขาในแง่ดี  อย่างเช่นคนที่อยู่ๆ มาตบหัวเราตั้งแต่เล็กจนโต เขาอาจจะชอบตบหัวคนทักทาย  เขาก็ไม่ผิด ส่วนคนที่มาหยิบเงินเราไป อาจเป็นเพราะเผอิญแม่ของเขาไม่สบาย  เขามาเห็นของเราวางอยู่ก็หยิบยืมไปก่อน วันหลังเมื่อเขาเอามาคืนเขายังดีอยู่ไหม  ทุกเรื่องสามารถมองไปทางดีได้  คนทุกคนต่างมีเหตุผลของตนเอง โดยเฉพาะเหตุผลของตนเองฟังขึ้นกว่าเหตุผลของผู้อื่น ถ้าเราไม่อยากเกี่ยวกรรมกับใคร ความแค้นในใจต้องลดลง  เหมือนกับมีสวิทช์ปิดเปิด สามารถลด ปรับเปลี่ยนขึ้นลงได้ อาจารย์อยากให้ศิษย์มีกิเลสอยู่ในระดับต่ำ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นหลับตาทำจิตใจให้สงบ)
ตั้งแต่อาจารย์มาวันนี้จิตใจของเราวอกแวกไม่นิ่ง อาจารย์ให้หลับตารวบรวมจิตที่กระเจิดกระเจิงให้กลับมา
เราทุกคนนั้นเป็นคนที่มีหน้าที่  ขอเพียงให้รู้จัก หน้าที่ของตนล้วนแล้วแต่เป็นหน้าที่ที่เราจะต้องปฏิบัติ ต้องมีจิตใจที่เต็มไปด้วยคุณธรรม ต้องมีธรรมแฝงอยู่เสมอ
เมื่อครู่นี้ตอนหลับตาท่ามกลางความมืดมีความสว่างอยู่ภายในไหม (มี) ตอนนี้ท่ามกลางความสว่างลองดูซิว่ามีความมืดไหม (มี) ท่ามกลางความสว่างก็มีความมืดอยู่อีก  ในสังคมในโลกที่ศิษย์อยู่ก็เช่นเดียวกัน เราลองมองดูว่าตรงหน้าของเรานั้น วัตถุที่เราใฝ่หา เรียกร้อง อยากได้มานั้น สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่จริงหรือปลอม (ปลอม) แล้วเรามองดูร่างกายของเราตอนนี้สิว่าจริงหรือปลอม (ปลอม)  แม้จะเป็นร่างกายที่ปลอมแต่หยิกเจ็บไหม (เจ็บ)  เราจึงต้องรู้จักรักษาและใช้ร่างกายของเรานี้ให้มีประโยชน์มากที่สุดก่อนวันที่เรานั้นจะกลับสู่พื้น  เราต้องรู้จักใช้ร่างกายของเราไปทำในสิ่งที่เรียกว่าเป็นสิ่งดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วไม่ใช่ดีตามความคิดของเรา แต่จะต้องเป็นดีตามหลักคุณธรรมอันได้รับการพิสูจน์มาแล้วแต่โบราณ  เหมือนคำที่บอกว่า “เกิดมาแล้วต้องตาย” เป็นสัจธรรม คนบำเพ็ญธรรมนั้นอาจารย์อยากเรียกร้องในวันนี้มีอยู่สี่อย่างที่ต้องทำให้น้อย คือ
พูด  เรานั้นควรที่จะพูดให้น้อย เพราะบางทีนั้นเราพูดไปด้วยความไม่คิดใช่หรือไม่ (ใช่)  การพูดน้อยทำให้เรามีสติมากขึ้น
คิดน้อย  คิดในที่นี้หมายถึงการคิดฟุ้งซ่าน  เราต้องคิดให้น้อยๆ
นอนน้อย  ทำไมถึงให้นอนน้อย คนสมัยนี้บอกว่าให้นอนมากๆ  แต่ทำไมอาจารย์บอกให้นอนน้อย เพราะว่านอนน้อยก็จะมีเวลาที่จะทำอย่างอื่นอีกมาก  คนมีเวลาเท่ากัน ๒๔ ชั่วโมงแต่ คนนอนมาก  จะเสียเวลามากกว่าคนอื่น เพราะฉะนั้นจึงควรนอนเพียง ๘ ชั่วโมง เราต้องรู้จักที่จะควบคุม
กินน้อย  ทำไมถึงให้กินน้อย  ไม่ให้กินให้อิ่ม  หากว่ากินน้อยลงสุขภาพร่างกายของเรานั้นจะแข็งแรงขึ้น แต่อาจารย์ไม่นับรวมคนที่กินน้อยเกินไป เรานั้นต้องรู้จักรักษาสุขภาพของเราให้ดีๆ
พูดน้อย คิดน้อย กินน้อย นอนน้อย  ทั้งสี่อย่างทำให้น้อยลง เมื่อพูดน้อยก็ต้องทำมาก เมื่อกินน้อยก็จะเป็นโรคน้อย นอนน้อยก็จะมีเวลามาก คิดน้อยก็จะมีความสุขมาก อยากได้ไหม  บางคนนั้นวันทั้งวันไม่ทำอะไรมีแต่คิด บางคนคิดจนผมกลายเป็นสีขาว ถามว่ามีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  ไม่มีประโยชน์เลย อาจารย์อยากให้รู้จักตัวเอง รู้จักหน้าที่ รู้จักประมาณตนและรู้จักทำดี
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับแม่ครัว)
คนทุกคนนั้นก็มีเวลาเท่าๆ กัน  แม่ครัวก็เสียสละเวลามาทำอาหารให้เรากิน  คนข้างๆ ก็เสียสละเวลามาดูแลเรา  ขนาดไม่มีแอร์ก็ยังใช้มือเอาพัดใบใหญ่พัดให้เรา  เพราะฉะนั้นเราจะต้องมีจิตใจที่ขอบคุณเขา  ถ้าอยากจะเจริญรอยตามเขา  พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่อยู่ในโลกนี้มานานแล้ว  แต่มีคนดีๆ ที่เราจะดูแบบอย่างได้  ทุกๆ คนนั้นมีข้อดี  ศิษย์อาจจะมองข้อดีของคนรอบข้าง  แม้จะเป็นข้อดีเพียงเล็กน้อย  แต่ถ้าหากเราทำได้  เราก็มีข้อดีมากมายที่เก็บสะสมไว้  เราจะกลายเป็นคนที่มีข้อดีมากกว่าข้อเสียใช่หรือไม่ (ใช่)
หลังจากกลับไปจากวันนี้  อาจารย์อยากให้เราทุกๆ คนเมื่อกลับไปแล้วให้กลับมาศึกษาธรรมให้มากขึ้น  สองวันนี้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น ยังไม่ได้เข้าสู่ก้าวแรก  ยังไม่ได้เป็นก้าวแรกที่แท้จริง  อยากจะให้เรานั้นรู้จักนำพาตัวเอง  หาเวลาว่างให้กับตัวเอง  หากจะรอให้คนอื่นมาเรียกเรา  มาสะกิดเราให้เรามาสถานธรรม  บางทีถ้าเขาขี้เกียจ ชีวิตของเราก็คงจะไม่ได้บำเพ็ญธรรมและไม่ได้หลุดพ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ในวันนี้อาจารย์พูดเรื่องการหลุดพ้นไม่มากครั้งนัก  แต่ว่าการหลุดพ้นนั้นเป็นเรื่องที่ศิษย์ของอาจารย์ทำได้  ศิษย์ของอาจารย์เกิดมาร่างกายเป็นมนุษย์  เมื่อชื่อว่าเป็นมนุษย์เรียกได้ว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ  ในบรรดาสัตว์ทั้งมวลเรานั้นประเสริฐที่สุดและมีปัญญามากที่สุด  ขอให้ศิษย์รู้จักใช้ปัญญาทำในสิ่งที่สมควรจะทำ  เวลาเป็นเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่ที่เป็นรูปลักษณ์ให้มนุษย์เห็นนั้นก็จะเป็นรูปคนเป็นส่วนใหญ่ แสดงว่าฟ้าเบื้องบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์คงจะมีคนบำเพ็ญบรรลุสำเร็จไปมากมาย  ส่วนสัตว์นั้นมีน้อย  หรือบางทีบางคนไม่เคยเห็นเลยด้วยซ้ำ  เทวดาที่เป็นสัตว์มีไหม (ไม่มี)  แสดงว่าเราเป็นผู้มีสิทธิ์ที่จะบำเพ็ญบรรลุได้มากที่สุด  ขอให้ศิษย์รักษาโอกาส ต่อให้ศิษย์มีอายุร้อยปีก็ใช่ว่าจะยืนยาวกลับเป็นชีวิตที่สั้นมาก  เหมือนเมื่อครู่ตอนไฟดับก็ไม่รู้ว่าไฟจะติดเมื่อไร  ตอนนี้เกิดมา มีชีวิตอยู่ก็ไม่รู้ว่าจะตายไปเมื่อไร  ท่ามกลางความสุขก็มีความทุกข์ ท่ามกลางความทุกข์ก็มีความสุขเหมือนกับตอนที่ไฟดับ แต่ในใจของเรานั้นสว่าง  ตอนนี้ไฟติดแล้วแต่ในใจของเรานั้นอาจจะมืดกว่าข้างนอก  อยากจะให้ศิษย์ทุกๆ คนนั้นบำเพ็ญธรรม อย่าคิดว่าเราทำไม่ได้  อย่าคิดว่าเราไม่ใช่  ขอให้ศิษย์ได้ลองลงมือดูสักครั้งหนึ่ง ดีหรือไม่
ธรรมะนี้ไม่มีอะไรแปลก ไม่มีอะไรยาก ไม่หลอกลวงคน หากบำเพ็ญได้ก็จะเป็นผลดีต่อตัวเอง
ขอให้ศิษย์เป็นกำลังให้อาจารย์  ขอความจริงใจให้อาจารย์  บำเพ็ญยิ่งรู้เยอะก็ยิ่งยากมากขึ้น  อาจารย์หวังว่าศิษย์คงทำได้แม้จะยาก  ขอให้ใช้ความอดทนและรักษาตัวของศิษย์ให้ดีๆ
งานนี้เป็นงานประชุมธรรมงานสุดท้าย  ขาดช่วงไปอีกหลายเดือน  ศิษย์ทุกคนจะเป็นเหมือนอาจารย์  ปลอบใจซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีปัญหาอะไรขอให้เราได้ช่วยเหลือเขา  แล้วศิษย์ก็จะเหมือนอาจารย์ ความอดทน ความแข็งแรง  เราต้องอาศัยเวลาฝึกขอให้เราทุกคนได้ฝึกฝนและชนะ  บำเพ็ญดีๆ นะ  อาจารย์มาวันนี้แค่อยากให้ศิษย์บำเพ็ญได้และบำเพ็ญได้ดี
ขอให้ศิษย์รักษาตัวดีๆ อย่าถูกเหล่ามารทดสอบออกไปเสียก่อน ลาก่อน


พระอาจารย์เมตตาประทาน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท   “รู้จักหน้าที่”

ต่างคนต่างมีหน้าที่ ทำดีหน้าที่ทุกคน
ต่างทำหน้าที่ของคน ยังผลดั่งเทพประทาน
ควรไม่ควรอย่าต้องให้ใครคอยเตือน นักลอยเลื่อนคนเชื่องช้าน่าสงสาร
ต้องเพียรโดยขาดไหวพริบจะมากรำคาญ เรียนรู้งานด้วยตาคงไม่พอ

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2543

2543-07-01 สถานธรรมไท่อิน กรุงเทพฯ


PDF 2543-07-01-ไท่อิน #14.pdf


วันเสาร์ที่ ๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมไท่อิน กรุงเทพฯ
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
ก้าวแรกแห่งการบำเพ็ญคือศรัทธา จิตพุทธาฟื้นฟูให้ปรากฏออก
ทำสิ่งดีมิต้องคอยให้คนบอก อัตตาปอกออกพบจิตเดิมเอย
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานไท่อิน   เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา  ฮวา

จงชุมนุมพร้อมหน้าด้วยเปิดใจ ความวุ่นวายที่เคยมีละให้สิ้น
ใจของตนต้องรู้คุมน้องชาวดิน ต้องราคิน ให้ชำระด้วยตนเอง
ธรรมะคือการปฏิบัติจำกัดตน อย่าท้อบ่นขาดเสรีน้องคนเก่ง
ตามใจตนจนเกินไปคล้ายนักเลง คนจะเร่งจิตต้องมีธรรมเป็นราก
เวลาแห่งชีวิตคนมีน้อยนิด น้องเคยคิดบ้างไหมเกิดมาเพื่ออะไร
ตั้งแต่ได้รู้ความจนวันตาย ทำสิ่งใดเป็นคุณงามมอบแด่ตน
คนหนึ่งคนสามารถเป็นผู้ยิ่งใหญ่ และสามารถเป็นผู้ไร้ค่าได้ทุกเมื่อ
ไม่สมหวังก็บ่นว่าท้อเบื่อ เมื่อสมหวังลืมคิดเผื่อเหล่าประชา
ในวันนี้คลายจิตใจกังขาออก จะมาปอกเปลือกแห่งชีวิตนี้
กลับออกไปทำคนเป็นตนดี ที่ว่าดีอยู่แล้วดียิ่งขึ้นไป
เพียงสองวันประชุมธรรมถือว่าน้อย ขอจงคอยศึกษาเพิ่มรักษาโอกาส
ดำรงตนอย่าเป็นผู้ประมาท และไม่ขาดคุณธรรมนำชีวา
ขอให้รู้ต่างเป็นผู้มีบุญหนัก น้องจะรักตนหรือไม่บำเพ็ญหนา
เวียนว่ายเป็นเรื่องทรมานช้านานมา ขอจงกล้าทำสิ่งถูกสักครั้งเทอญ
กลัวโดนหลอกตนหลอกตนหรือคนหลอกตน อย่าสับสนพิจารณาด้วยปัญญาใส
กลับคืนฟ้าต้องบริสุทธิ์กลับคืนไป ต้องลงแรงเริ่มไว้แต่วันนี้เลย
สองวันนี้จงตั้งใจมาให้ครบ แลเคารพพุทธระเบียบจากจิตนั่น
อย่าได้หลงตามกระแสโลกสารพัน ทวนน้ำนั้นสู่ต้นน้ำต้องอดทน
คนยุคนี้บำเพ็ญยากเพราะใจโลเล กลางทะเลจงหนักแน่นต่อเคราะห์วิบาก
คนรู้ตนทำสิ่งใดมิลำบาก และขอฝากนำเวไนยกลับพร้อมกัน
ยึดสัจธรรมบำเพ็ญเสมอต้นปลาย ให้ทลายกำแพงกั้นแห่งทิฐิ
หากจะเริ่มอย่ารอช้าเร่งดำริ บุปผาผลิใช้เวลาอย่าลืมเอย
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ศิษย์พี่ไซร้รับบัญชามาคุมชั้น
หวังศิษย์น้องตั้งใจทั้งสองวัน อย่าแข่งขันใช้ตาจับผิดเอย
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา หยุด

   ราคิน ความมัวหมอง, มลทิน
  วิบาก ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วอันทำไว้แต่ปางก่อน


วันเสาร์ที่ ๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมไท่อิน กรุงเทพฯ
พระโอวาทท่านอวี้หนวี่

ทุกข์ทั้งสี่เกิดแก่แลเจ็บตาย คนและสัตว์ไม่มีใครจะหนีพ้น
เกิดขึ้นมาตั้งอยู่ดับไปวน คนแจ้งตนจะรีบหาทางพ้นคืน
เราคือ
อวี้หนวี่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถานไท่อิน    แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามโพธิสัตว์องค์น้อยน้อยสบายดีไหม

ปล่อยอัตตา ไม่ทนสิ่งไม่พึง จนเป็นความเกลียดจึงขาดพินิจ
รังเกียจทุกข์รักความหรรษาเป็นชีวิต ปริศนาใจจิตสุขได้ด้วยอะไร
ต้องคลุกเคล้าจนใจในโลกีย์ บำเพ็ญดีโดนสอบทนไม่ไหว
ระวังไปใจเผลอไปนิดไม่ ไม่หลงใหลหากคิดสลักสำคัญ
มนุษย์มีก็ทั้งดีและร้าย พยายามจะเข้าใจกันเกษมศานต์
จะสุขทุกข์คงมีไมตรีกัน ไม่เอาความอยู่มั่นตัณหาบอด
ไม่จีรังเคยมิดมืดกลับสว่าง หนึ่งชีวิตมีอย่างหรือขมตลอด
อับเฉาเพียงเพราะต้องความอาลัยทอด เปี่ยมปัญญาไว้ตลอดพ้นดังเคย
อับจนอยู่แต่มีชีวิตไว้กระจ่าง คือผู้สร่างฝันว่างกิเลสเฉย
อุทิศสร้างเหมือนปราชญ์คุณงามเอย จงทำชีวิตใช้เผยอนันตต์ธรรม
ตื่นเสมอคนจะตื่นตามตน กิเลสล้นตระหนักชนะดีเลิศล้ำ
มากความโดยคนเถียงคนประจำ หวั่นถลำชีวิตมีเป็นแนวทาง
ฮิ  ฮิ  หยุด

  อัตตา ตัวตน
  เกษมศานต์ โปร่งอารมณ์, ชื่นชมยินดี

พระโอวาทท่านอวี้หนวี่

วันนี้มานั่งฟังธรรมะ บอกว่าเบื่อจังเลย พูดไม่เห็นดีเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)  ทำไมพูดนานยังไม่จบเสียทีใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  ไม่ใช่แน่หรือ กินมากๆ ก็ง่วง รู้ว่าฟังธรรมะแล้วง่วง แล้วทานมากทำไม เพราะโลภใช่ไหม (ใช่)  บอกว่าไม่เคยกินเจ หรือบางคนกินแล้วไม่อร่อย  ใครว่าทานเจไม่อร่อย ยกมือขึ้น  มองอะไรก็เป็นแป้งๆ หมดเลย
นั่งฟังธรรมะรู้สึกเข้าใจหรือได้อะไรเพิ่มเติมไหม หรือว่าฟังในสิ่งที่รู้อยู่แล้ว การบำเพ็ญธรรมก็คือการที่เราเอาคุณธรรมไปใช้ในสังคม ปัจจุบันสังคมในแต่ละที่ก็ขาดคุณธรรมแต่ละอย่างแตกต่างกันไป ในที่ทำงานบางที่ก็ขาดคนซื่อสัตย์และคนรับผิดชอบใช่ไหม เราบำเพ็ญธรรมท่ามกลางสังคมก็คือเอาคุณธรรมแห่งความซื่อสัตย์และความรับผิดชอบไปใช้ในที่ทำงาน  บางทีเราอยู่ในครอบครัว ครอบครัวก็ขาดความสมัครสมานสามัคคี ขาดความไว้เนื้อเชื่อใจกัน  การบำเพ็ญธรรมก็คือการนำคุณธรรมแห่งความไว้เนื้อเชื่อใจกัน  สมัครสมานสามัคคีมาใช้เติมในครอบครัวให้เต็ม
สังคมในปัจจุบันนี้หรือจิตใจของผู้ศึกษาธรรมแล้ว  หากเราเป็นผู้ที่ตั้งใจจะปฏิบัติตนเป็นคนดีแล้ว ก็คือเอาคุณธรรมที่เป็นความดีในใจตนไปช่วยเติมในสังคม เติมให้คนที่ตกทุกข์ได้ยากให้เขามีจิตใจที่เต็มเปี่ยมและมีความสุขในการมีชีวิตอยู่  หากใครทำได้เช่นนี้แล้วจึงเรียกว่าการบำเพ็ญตนท่ามกลางสังคม  ถ้าตอนนี้เรียกให้ท่านทิ้งสังคมไป ทิ้งคนในครอบครัวทุกท่านคงไม่ยอมใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราบำเพ็ญธรรมจะไปช่วยเขาได้อย่างไร ในเมื่อคนที่ตกทุกข์ได้ยากไม่ใช่คนที่ทิ้งโลภ สละโลภใช่ไหม  คนที่ทิ้งโลภ สละโลภคือคนที่พร้อมจะหาความสุขด้วยตัวเองได้แล้ว  แต่คนที่ยังอยู่ในสังคมคือคนที่ยังหาความสุขไม่ได้ ยังมีความทุกข์อยู่  ฉะนั้นท่านก็เหมือนผู้ที่ศึกษาและนำเอาสิ่งที่ศึกษาไปเติมให้เต็ม ทำความร่มเย็นให้กับสังคม  นำความผาสุกมาให้แก่ครอบครัว  ดีไหม (ดี)
เดี๋ยวนี้การบำเพ็ญเป็นเรื่องที่ปฏิบัติยากหรือเปล่า ไม่ยากเลยใช่ไหม  ขอเพียงแค่ว่าตัวท่านต้องมองให้ออกว่าสังคมหรือตัวเรา หรือตัวคนที่อยู่รอบข้างท่านนั้นเขากำลังขาดสิ่งใดอยู่  หากเขามีอยู่แล้วเราไปให้เขา เขาก็ไม่รับ แม้จะเป็นคุณธรรมความดีเขาก็ไม่เอาใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราอยากจะอยู่ร่วมกับเขา เราต้องช่วยเติมในสิ่งที่เขาไม่มี แล้วเราจะอยู่กับเขาได้อย่างมีความสุขใช่ไหม ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจึงเป็นเรื่องที่ไม่ยากเลย  และเป็นเรื่องที่ไกลเกินตัวหรือเปล่า (ไม่ไกล)  ทุกๆ ท่านเปรียบเสมือนศิลาอันยิ่งใหญ่ เปรียบเสมือนภูผาอันแข็งแกร่งในโลกนี้  หากวันนี้ท่านเห็นเราเป็นแค่เด็ก ก็ขอให้เห็นว่าเราคือหินก้อนหนึ่ง ที่พร้อมจะไปอยู่กับภูผาที่ยิ่งใหญ่  ได้หรือไม่ (ได้)  รับเราไปอยู่ด้วยหรือเปล่า (รับ)  หากฝ่ายหญิงเปรียบเสมือนทะเลอันกว้างใหญ่ เราก็ขอเป็นแม่น้ำสายเล็กๆ ที่ขออาศัยและอิงแอบอยู่ร่วมกับท่านได้หรือไม่ (ได้)
มีคำกล่าวว่า “คนแม้จะยิ่งใหญ่เพียงใด แต่ถ้าหากรังเกียจสิ่งเล็กกระจ้อยร่อย เขาก็จะไม่มีวันยิ่งใหญ่ได้เลย”  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ภูผายิ่งใหญ่ฉันท์ใดก็เกิดจากการรวมตัวของหินก้อนเล็กๆ จึงกลายเป็นภูผาที่ยิ่งใหญ่ได้  ทะเลที่สามารถโอบอุ้มโลกใบใหญ่ใบนี้ได้ ก็เพราะว่าอยู่ต่ำและรับน้ำทุกๆ สายไว้อย่างไม่รังเกียจเดียดฉันท์  คนเราก็เหมือนกันอยู่ในโลกนี้ แม้ตนเองจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ เก่งและมีความรู้ความสามารถมากมาย  แต่หากไม่รู้จักอยู่ร่วมกับคนที่ต่ำกว่า คนๆ นั้นยิ่งใหญ่ก็เสียเปล่าและใช้คนอื่นไม่ได้เลย  ฉะนั้นวันนี้เราขอเป็นทั้งหินและแม่น้ำได้หรือไม่ (ได้)  คงต้อนรับเราหน่อยนะ
หลายต่อหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าเราเป็นใคร  เราจะเล่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้ฟัง  เราเปรียบเหมือนหินก้อนหนึ่งที่อยู่ในโลกกว้าง  หินก้อนนี้เป็นหินที่มีสีไม่เหมือนหินก้อนอื่น  ตอนแรกก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่าทำไมหินก้อนอื่นไม่มีสีเลย แต่ทำไมตัวเราจึงมีสีอยู่ก้อนเดียว ก็รู้สึกอาภัพใจเหลือเกิน  แต่จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่งพระพุทธะโพธิสัตว์ลงมาชี้บอกว่าสีของเจ้านั้นเป็นสีที่มีคุณค่า จงเอาสีของเจ้าไปใช้ให้เกิดประโยชน์ แล้วจะพบคุณค่าแห่งสีที่ไม่เหมือนใคร  มนุษย์ทุกคนก็เปรียบเหมือนหินก้อนหนึ่งที่อยู่บนโลก  ความดีก็เหมือนสี  บางครั้งเราคิดว่าเราเป็นคนดี เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนก็ถูกคนเหยียบย่ำกดขี่  เป็นคนเมตตารักใคร่ก็ถูกเขาหลอกลวงข่มเหง ใช่ไหม (ใช่)  เป็นคนรับผิดชอบต่อหน้าที่ก็ถูกเขาโขกสับ ใช้งานหนักใช่หรือไม่ (ใช่)  สีของเราจึงเป็นสีที่เรารู้สึกว่าไม่อยากมี แต่พุทธะโพธิสัตว์บอกว่าจงมีสีนั้นเถิด แล้วจงนำสีนั้นไปใช้ให้เกิดคุณค่า แล้วสีนั้นจะทำให้หินของท่านกลายเป็นหยกชิ้นงาม หรือกลายเป็นเพชรอันงดงามในโคลนตมก็เป็นได้  ความดีของทุกคนต่างก็มีอยู่ในจิตใจ ขอเพียงเราอย่าได้ท้อถอย เหมือนเด็กเล็กๆ เมื่อเวลาจะเดิน  หากรักสบายปล่อยให้ตัวเองคลาน วันนี้ก็จะไม่สามารถยืนผงาดได้อย่างสง่างาม จริงไหม (จริง)  การทำดีก็เฉกเช่นเดียวกัน หากรักความสบาย  เถลไถล ไม่สนใจการทำความดี ท่านก็จะไม่สามารถรักษาความดีให้มั่นคง และให้ความดีกระจายสู่ประชาได้ จริงหรือไม่ (จริง)  ตอนนี้แม้ว่าจะเป็นหินที่มีสีไม่เหมือนใคร ยังอยากจะเป็นกันไหม เราก็เป็นหินสีเหมือนกัน  แต่ของเรามีสีเขียว  ของท่านเป็นสีอะไรกัน  ไหนใครเป็นสีดำ สีขาว  ถ้าเป็นสีขาวก็เป็นมุก  เพชรสีใสใช่หรือไม่ (ใช่)  ไหนใครว่าตัวเองเป็นมุก เป็นหยก เป็นก้อนกรวด เป็นก้อนกรวดก็ยังดี  เพราะเป็นกรวดที่พร้อมจะปูทางให้คนเดิน และสามารถนำไปสร้างเป็นกำแพง เป็นบ้าน ให้คนได้อยู่อาศัย ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนมีคุณค่า ขอเพียงแต่อย่าดูเบาตัวเอง แม้ว่าเราจะไม่มีสีอะไรเลย  แต่การที่ไม่มีสีอะไรเลยก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีคุณค่า ก็มีได้เหมือนกันจริงหรือไม่ (จริง)
“ทุกข์ทั้งสี่เกิดแก่แลเจ็บตาย” ทุกข์ทั้งสี่มีอะไรบ้าง (เกิด, แก่, เจ็บ, ตาย)  คนมีไหม เกิด แก่ เจ็บ ตาย (มี)  สัตว์และสิ่งมีชีวิตมีไหม (มี)  คนและสัตว์หนีพ้นไหม (หนีไม่พ้น)  ไม่มีใครจะหนีพ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้ววันนี้เป็นอะไรอยู่ในสี่ทุกข์นี้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ใครเป็นเกิด ใครเป็นตาย จริงๆ แล้วตอนนี้เราอยู่ในภาวะใกล้ตาย ใช่ไหม  เราเกิดมาเพื่อเดินไปสู่ความตายกันทุกคนใช่หรือไม่ (ใช่)  ไหนใครบอกว่าเราเกิด ก็มีใช่ไหม นั่งเฉยๆ เกิดอยากรู้ว่าเด็กคนนี้เป็นพุทธะจริงๆ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงๆ หรือเปล่าใช่ไหม เกิดอยากรู้ขึ้นมาใช่หรือเปล่า
“เกิดขึ้นมาตั้งอยู่ดับไปวน”  ในท่ามกลางความเกิดแก่เจ็บตายของชีวิต ก็ยังมีความเกิดแก่เจ็บตายในชีวิตวนอยู่เหมือนวงสองวงซ้อนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในวงใหญ่ๆ ก็มีวงเล็กๆ แล้วในวงเล็กๆ ก็มีวงเล็กๆ เต็มไปหมดเลย  ช่วงที่เราเกิดความอยากรู้ ช่วงนั้นหากได้รู้ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงจากไม่รู้เป็นรู้ พอรู้จนกระจ่างแล้วจากไม่รู้เป็นรู้แล้ว จากรู้ก็เป็นไม่รู้  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วช่วงที่เราเกิดอยากรู้เรื่องนี้ ชีวิตเราก็ไม่หยุด ยังมีเรื่องเกิดแก่เจ็บตายคอยดำเนินอยู่ทุกขณะ เห็นตัวท่านนั่งนิ่งๆ อยู่อย่างนี้ อย่าคิดว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มีใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวท่านนั่งอยู่นี้อย่าคิดว่าไม่มีอะไรเคลื่อนไหว มีไหม (มี)  ลองนั่งนิ่งๆ แล้วเราจะเห็นอะไรเคลื่อนไหว ความคิดของเราซนเหมือนลิงเลย  วิ่งไปทางโน้นวิ่งไปทางนี้ ถ้ายิ่งตามองออกก็ไปโน่นไปนี่ไม่หยุดใช่หรือไม่ แต่ช่วงที่ตัวเราเคลื่อนไหวนั้น ใจเราเคลื่อนไหวด้วยไหม  บางครั้งก็เคลื่อนไหวด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องรู้จักควบคุมให้ดีๆ นะ ไม่อย่างนั้นช่วงที่เราเคลื่อนไหวเราอาจจะเป็นผู้ที่เดินผิดเดินพลาดก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นช่วงเคลื่อนไหวต้องรู้จักคิดรู้จักนิ่งบ้าง ไม่เช่นนั้นแล้วจะลำบากในภายหลัง
เป็นปุถุชนก็มีชุดอย่างปุถุชน เป็นพุทธะก็มีชุดอย่างพุทธะ อยากใส่ชุดอย่างพุทธะด้วยไหม ชุดนั้นจับไม่ได้ด้วยมือ มองเห็นไม่ได้ด้วยตา ฉะนั้นต้องพยายามเข้าถึงสภาวะนี้ให้ได้ก่อนแล้วจึงจะสามารถใส่ชุดแห่งพุทธะได้  อยากใส่ไหม (อยาก)  แต่กลัวอย่างเดียว ท่านมักชอบเถลไถลรักความสบายเลยไปไม่ถึงพุทธะ จริงหรือไม่ (จริง)  แม้จะมีใจ ตอนนี้อยากรู้จังเลย ความเป็นพุทธะ ความเป็นโพธิสัตว์เป็นอย่างไร  แต่พอกลับออกไปจากห้องนี้แล้ว ไปหาเงินดีกว่า นอนอยู่บ้านดีกว่า ใช่หรือไม่  เราว่าแม้ท่านจะโต ท่านก็เหมือนเด็กไม่ต่างไปจากเรา รักความสบาย ชอบเถลไถล  จึงไม่สามารถยึดมั่นแล้วเดินไปถึงจุดหมายกันสักที ฉะนั้นเราอยากบำเพ็ญตนกลับคืนไปเป็นพุทธะนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ขอเพียงยึดมั่น เราต้องยึดมั่นแล้วอดทนพยายามไปให้ถึง เหมือนกับตัวท่านอยากจะทำอะไรให้สำเร็จ  หากเรามัวสนใจเก็บเล็กเก็บน้อยข้างทาง เราย่อมไม่มีวันก้าวถึงใช่หรือไม่  หากท่านอยากเป็นขุนนางที่ยิ่งใหญ่ แต่ยังหวังประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง ท่านก็จะไม่มีวันเป็นขุนนางที่ยิ่งใหญ่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  หากท่านอยากเป็น
ขุนนางที่ยิ่งใหญ่ แต่ท่านไม่ยอมรับความลำบากบ้าง ท่านก็ไม่สามารถเป็นขุนนางที่ยิ่งใหญ่ได้  เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะทำการสิ่งใดก็ตาม จะสำเร็จหรือไม่ ต้องอยู่ที่ว่าคนๆ นั้นพร้อมที่จะลำบากหรือเปล่า คนๆ นั้นพร้อมที่จะเจออุปสรรคหรือไม่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่เสียอย่างเดียว เรามีความเคยชิน ใช่หรือไม่ ตอนแรกๆ เราก็เหมือนกัน คุณพ่อคุณแม่ทำอะไรให้ก็ดี เรานั่งรอเฉยๆ ข้าวก็มาถึง กินข้าวจานก็ไม่ต้องล้าง  เราชอบความสบาย ท่านก็ชอบ ใครๆ ก็ชอบ เรานั่งอยู่เฉยๆ คุณแม่ก็บอกให้มากินข้าว เราเดินมาแล้วก็นั่งกิน  อากาศเย็นลูกจะใส่เสื้อกันหนาว คุณแม่ก็หยิบให้ ใช่หรือไม่ บางทีเราแทบจะไม่ทำอะไรเลย เราอยากได้อะไรเราก็บอกคุณแม่ เราอยากได้อย่างโน้นอย่างนี้ก็ได้หมดเลย แต่ทำอย่างนี้ดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  เพราะจะทำให้เราเป็นคนที่ไม่แข็งแรง แล้วจะเป็นคนที่ไม่เคยสงสารใคร และก็ทำงานไม่เป็น จริงไหม แต่ทำไมคนทุกคนชอบแบบนี้ (เพราะสบาย)  ก็รู้อยู่แล้วว่าสบายแบบนี้จะเคยตัวไม่ใช่หรือ สบายแบบนี้แล้วจะทำให้ลำบากทีหลัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะเป็นคนที่ไม่แข็งแรง จะเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นไม่ได้ และจะเป็นคนที่ไม่เคยเห็นใจใคร เห็นแต่ตัวเองอย่างเดียว จริงไหม  เหมือนหลาน อาม่ารักหลานไหม (รัก)  จะเอาอะไรอาม่าก็เอาให้หมดเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  พอโตไปอาม่ากลายเป็นอาม่าหรือกลายเป็นคนใช้ (คนใช้)  บางทีหลานไม่รู้ หลานกลับใช้อาม่าเป็นคนใช้ไปเลยใช่ไหม  ฉะนั้นอย่าคิดว่าความสบายเป็นสิ่งดี ความสบายนั่นแหละทำให้มนุษย์ง่อยเปลี้ยเสียขา ร่างกายไม่แข็งแรงและความสบายนั่นแหละทำให้เราไม่รู้จักการอยู่ร่วมกับคนอื่นเป็น ฉะนั้นอย่ารักความสบายเลย เกลียดบ้างก็ได้นะเราไม่ว่า
“ปล่อยอัตตาไม่ทนสิ่งไม่พึง จนเป็นความเกลียดจึงขาดพินิจ”
แต่อะไรที่ไม่สมหวังเราก็กลายเป็นเกิดใจรังเกียจ หากอาม่าไม่ตามใจ คุณพ่อคุณแม่ไม่ตามใจก็น้อยใจตัดพ้อต่อว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากพ่อแม่ปล่อยให้เราลำบาก สู้ด้วยตัวเอง หาด้วยตัวเอง จากความเกลียดก็กลายเป็นเจ็บแค้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเริ่มต้นในครอบครัวไม่ถูก ออกไปในสังคมจะถูกได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นคนที่รู้จักอบรมจิตใจของเรา ไม่ใช่แค่พ่อแม่อย่างเดียว แต่ตัวเราต้องรู้ตัวเราเองด้วย จริงหรือไม่ (จริง)  อย่าเอาแต่โทษพ่อแม่ ไม่อย่างนั้นก็เป็นลูกที่ไม่ดี  แม้ว่าพ่อแม่จะใช้ไม้นวมไม้แข็ง เราต้องฝึกรับให้ได้ทุกระบบ ใช่ไหม (ใช่)  ไม้นวมมาเราก็รับได้ เสียงก็ออกไพเราะ  ไม้แข็งมาเราก็รับได้ เสียงก็ออกก้องกังวาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่ไม้แข็งมาเราก็ปึงๆๆ ไม้นวมมาเราก็ยิ้มหวาน อย่างนี้ไม่ถูก ใช่หรือไม่
อยากเห็นหน้าท่านทุกๆ คน กลับไปจะได้ไปบอกพระกวนอินได้ว่า โพธิสัตว์องค์น้อยๆ กลับมาบ้านกันแล้ว  หลายต่อหลายคนเป็นศิษย์น้องของเราเพราะนับถือพระกวนอินใช่หรือเปล่า (ใช่)  พระกวนอินหากมองแค่ภายนอกเราจะรู้ถึงความสงบนิ่ง  ความสงบนิ่งแฝงไปด้วยรัศมีแห่งความเมตตา และอาบอิ่มร่มเย็น ใช่ไหม (ใช่)  แค่ภาพภายนอกแค่นี้ท่านนำกลับมาฉายในตัวเรา  พระพุทธะเปรียบเหมือนแสงสว่างที่ฉายให้กับเวไนย  เมื่อรับแสงฉายนี้ แล้วฉายกลับให้กับตัวตนเอง เราก็จะเป็นผู้ดำเนินรอยตามพุทธะโพธิสัตว์  แต่หากเราเห็นและเรามอง แต่เราไม่ได้รับและไม่ได้นำไปปฏิบัติ แม้จะกราบไหว้ท่านก็ยังไม่เกิดประโยชน์เท่าไร แค่เรียกให้จิตสงบเท่านั้นเอง  แต่ความสงบหาได้มีทุกๆ ที่ไม่  ฉะนั้นเมื่อใดที่ท่องสวดถึงท่าน จงพยายามฉายภาพลักษณ์ของท่านให้มาอยู่ในตัวเรา  แม้ท่องมนต์บทนั้นจบแล้ว มนต์นั้นก็เหมือนท่องอยู่ทุกขณะจิตทุกขณะก้าวเดิน อย่างนี้จึงเรียกว่าท่องไปแล้วไม่เสียเปล่า  ท่องไปแล้วมีท่านอยู่ตลอดเวลาใช่หรือไม่ (ใช่)
คนในโลกนี้บางครั้งมีความทุกข์มากมาย จนเราไม่รู้ว่าสุขที่แท้จริงนั้นคืออะไร  บางคนบอกว่ามีเงินคือความสุข มีคนมารักคือความสุข ได้ไปรักใครคือความสุขจริงไหม (จริง)  ถามคนที่เคยได้รับความรักกับคนที่ไปรักเขาแล้ว มีรักแล้วเป็นอย่างไร สุขจริงไหม (สุขจอมปลอม)  ต้องหันไปบอกคนที่ยังไม่มี  จะบอกไปก็ไม่เชื่อเพราะหลายคนไม่ลองไม่รู้ ไม่ดูไม่เห็น จึงวิ่งไปทำดูก่อนใช่ไหม  พอติดบ่วงแล้วก็แกะไม่ออก  บางทีเราจึงถามว่าพยายามเฝ้าหากันเหลือเกินว่า สุขที่แท้จริงในชีวิตคืออะไรกันแน่ ใช่มีเงินหรือ  แต่พอไม่มีเงินแล้วทำไมกลายเป็นทุกข์ ใช่มีทอง ใช่ใส่เสื้อมียี่ห้อ ขับรถมียี่ห้อใหม่ นั่นสุขหรือ  พอยี่ห้อหลุดก็ทุกข์ใช่ไหม  เพราะไม่รู้ว่าโดนเขาหลอกก็มีใช่ไหม (ใช่)  บางครั้งเราเฝ้าเพียรหาความสุขในโลก สุขใดคือความสุขที่แท้จริง แล้วสุขใดคือสุขอันลวงหลอก  จริงๆ ทุกคนก็รู้แล้วว่าสุขใดคือสุขที่แท้จริง สุขใดคือสุขที่ลวงหลอก  แต่ทำไมบางครั้งรู้แล้วเราก็ยังอดที่อยากจะไปสัมผัสอีก ไปจับอีก ไม่ยอมเข็ดกันสักที  เพราะหลายคนคิดว่าสุขสักนิดหนึ่งก็ยังดี ใช่ไหม (ใช่)  แม้จะทุกข์ทีหลังก็ไม่เป็นไร เหมือนคนๆ หนึ่งหากท่านเดินไปกับเขา พอเขาเห็นทองอยู่ตรงหน้าเขาไม่ได้คิดว่าอะไรดีอะไรร้าย ก็หยิบทองมาใส่กระเป๋าท่านอยากคบคนนี้ไหม ทั้งที่ไม่รู้ว่าทองนี้ขโมยมาหรือคนขโมยทำตกไว้ เพื่อนของท่านก็เก็บใส่กระเป๋า ท่านอยากเดินกับเขาไหม  หรือยอมเดินแล้วแถมกระซิบกันว่า หารครึ่งๆ  จริงๆ แล้วชีวิตในโลกนี้หากทุกขณะที่เราจะทำอะไรได้คิดไตร่ตรองดูว่าดีไหม เสียหรือเปล่า  ชั่วหรือไม่ หากคิดอยู่ทุกขณะจิต มนุษย์จะไม่เผลอทำผิด แล้วความสุขนั้นก็จะเป็นความสุขที่ไม่ทำให้ตัวเองผิดพลาด จริงไหม (จริง)  แต่เวลาเราเจอเราก็ไม่สนใจ ไม่คิดหน้าคิดหลัง หยิบมาเลย แล้วก็ต้องมานั่งทุกข์ภายหลัง ไม่ถูกเลย
คนทุกคนต่างบอกว่าตัวเองไม่มีเวลาในการจะมาศึกษาธรรม พอบอกว่ามาฟังธรรมะมีสองวันเอง เขาก็จะถามต่อว่า นานไหม เลิกกี่โมง  พอบอกว่าเลิกหกโมงเย็น หกโมงเย็นเชียวหรือ ทำไมดึกจัง  แล้วคนที่ชวนก็จะบอกว่า ไม่เป็นไรหรอกได้เจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เลี้ยงข้าวฟรีด้วย  เขาก็เริ่มคิดว่าเอาอย่างไรดี ไม่ต้องไปซื้อของ ได้กินฟรีอีก แถมบอกว่าไม่ต้องออกค่ารถหรอก เดี๋ยวไปรับแล้วมาส่งถึงที่เลย  เริ่มคิดแล้วใช่ไหม จากที่ตอนแรกบอกว่าไม่มีเวลา ก็บอกว่า เดี๋ยวคิดดูก่อน ถ้าว่างจริงไม่ติดหนัง ไม่ติดเที่ยวก็มา  แต่เราถามจริงๆ ทุกๆ คนเมื่อยังมีลมหายใจยังเรียกว่ามีเวลา จริงไหม  แต่ถ้าเมื่อไรหมดลมหายใจเวลามีไหม (ไม่มี)  แล้วเวลาอยู่ที่มือท่านหรืออยู่เบื้องบน อยู่เบื้องบนใช่ไหม  หากฟ้าประกาศิตสั่งมาว่าหายใจเข้าครั้งนี้จะไม่มีลมหายใจออกแล้ว นั่นแหละท่านถึงจะบอกว่าไม่มีเวลาแล้ว  เพราะหลายๆ คนคิดว่าตนเองนั้นไม่มีเวลา หรือพอบอกว่ามีเวลาก็บอกว่ามีเวลาน้อย อ้างต่ออีก  พอบอกว่ามีเวลาน้อย ทุกคนก็มักจะเอาเวลาที่น้อยนิดไปหาความสุขเท่าที่ตนเองจะหาได้  การที่ตนเองคิดแบบนี้โอกาสที่ท่านจะยื่นมือไปช่วยใคร หรือโอกาสที่ท่านจะสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามให้กับคนอื่นเป็นการง่ายหรือยาก (ยาก)  แล้วคนที่เกิดมามีแต่หาความสุขให้กับตัวเอง แม้ว่าจะท่องบทสวดของพระโพธิสัตว์กวนอิน คนนั้นเกิดมาก็มีคุณค่าแค่นิดเดียวเอง จะบอกว่ายิ่งใหญ่ได้ไหม  จะบอกว่ามีคุณค่าไหม  แม้จะมีแต่ก็น้อยเหลือเกินต้องค้นหาจึงจะเจอความดีนั้น แม้เวลาจะสั้นหรือยาวขอให้สร้างแต่สิ่งที่มีประโยชน์และประโยชน์นั้นไม่ใช่เอื้อแค่ตัวเอง แต่รู้จักเอื้อเพื่อผองชนด้วยจึงเป็นคนที่เกิดมาแล้วมีค่า หมดสิ้นลมหายใจแล้วก็มีค่าจริงไหม (จริง)
“ระวังไปใจเผลอไปนิดไม่”  ทุกขณะจิตต้องไม่เผลอใจ หากเผลอไปเพียงแว่บหนึ่งเราอาจจะลงต่ำได้ทันที  ฉะนั้นจึงต้องนำคุณธรรมความดีมาคอยควบคุมตัวเองอยู่เสมอ ไม่เช่นนั้นแล้วจิตใจของท่านก็จะเหมือนกับน้ำ ที่ง่ายในการไหลลงต่ำ แต่ต้องใช้แรงอย่างมากในการที่จะดีดตนเองขึ้นสูง ใช่ไหม คิดอย่างนี้แล้วเลยไม่ทำดีหรือ ทำไหม (ทำ)  เพราะว่าถ้าทำดีเราเป็นผู้ได้ดีหรือเปล่า (ไม่ใช่)  แต่เป็นตัวท่านเองใช่ไหม แต่ว่าถ้าท่านทำแล้วไม่ได้ดีโทษเรา ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  เราให้โทษนะ เราไม่ว่าอะไรเราให้โทษ จะว่าเราก็ได้ สงสัยเราจะบอกไม่รอบคอบ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  อย่างนั้นเราบอกอีกอย่างหนึ่งว่า การจะเป็นผู้บำเพ็ญตนแล้วทำดีให้ถึงที่สุดและมีโอกาสช่วยคนนั้น จิตใจอย่างแรกนั่นก็คือว่า ต้องรักความเรียบง่าย พึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ หรือเรียกง่ายๆ ต้องเป็นคนที่ “สมถะ” ทำไมเราถึงบอกว่าต้องเป็นแบบนี้ ก็เพราะว่าคนที่คิดแต่จะมั่งมี ฟุ้งเฟ้อ เห่อเหิม คนประเภทนี้จะไม่มีวันสร้างคุณธรรมเด็ดขาด แต่คนที่รู้จักประหยัดเรียบง่ายมัธยัสถ์ พึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ คนเช่นนี้จะมีโอกาสสร้างคุณธรรม และโอบอุ้มช่วยเหลือประชาได้ สามารถเกิดจิตใจที่เป็นอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่เพื่อผองชนได้ ฟังแล้วดูยิ่งใหญ่ไหม (ยิ่งใหญ่)  ยิ่งใหญ่ เฉกเช่นเดียวกัน ตัวท่านนั้นก็สามารถทำได้  แต่ต้องมองเห็นเรื่องนี้ให้กระจ่างชัด เพราะหลายๆ คนอยากมั่งมี อยากโดดเด่น และฉายแววเปล่งประกาย ใช่ไหม (ใช่)  นั่งๆ อยู่นี้ ลองยืนซิ เราจะรู้สึกภูมิใจเหลือเกิน ที่ได้อยู่สูงกว่าคนอื่น จริงไหม บางทีเราอยู่ในสังคม ท่ามกลางสังคมที่มีคนมากมาย แต่ถ้าเมื่อไรท่านสามารถก้าวขึ้นไปอยู่เหนือคนอื่น แล้วมองเห็นคนอื่น ท่านรู้สึกภูมิใจไหม (ภูมิใจ)  ภูมิใจนะ แต่ถ้าเกิดว่ายืนอยู่อย่างนี้ เหมือนคนอื่นเรียบๆ ท่านรู้สึกเป็นอย่างไร ต่ำเหลือเกิน ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นหลายต่อหลายคนก็เลยพยายามหา ปีนทางนี้ไม่ได้ ก็พยายามตะแคงข้างก็ยังดี ใช่ไหม หากขึ้นทางนี้ไม่ได้ก็หาเก้าอี้ และพยายามไปให้ถึง ใช่ไหม (ใช่)  เราพยายามทุกวิถีทาง แต่ช่วงที่เราพยายามอยู่นั้น เราหารู้ไม่ว่า เราอาจจะเป็นทาสของกิเลส เป็นทาสของอารมณ์ และเป็นทาสของความอยากได้ตำแหน่งสูงส่งก็เป็นได้ จริงไหม (จริง)  และช่วงที่เราพยายามหาอยู่และเป็นทาสอยู่นั้น เราก็มักจะลืมตัวตนเอง จริงหรือเปล่า (จริง)  พอได้มาแล้วก็ดีใจใช่หรือไม่ แล้วก็ภูมิใจที่ได้อยู่เหนือคนอื่น จริงหรือเปล่า (จริง)  พอมีใครเดินมาเตือนบอกว่า ลงมาเถอะๆ เราก็บอกว่าอย่ายุ่งๆ กำลังได้ที่เลย ใช่ไหม (ใช่)  หรือถ้ามีใครมาเตือนว่า คอเชิดไป เอาลงนิดถึงจะสวย เราก็บอกว่า ไม่เป็นไรระดับนี้กำลังสวย เพราะเรามองไม่เห็นว่าตัวเองนั้นหลงตัวเองไปแล้ว ว่าตัวเองก้าวไปนั้นเผลอทำผิดไปบ้าง เผลอเป็นทาสกิเลสโดยไม่รู้ตัว ใช่ไหม (ใช่)  แต่คนที่รู้จักเรียบง่าย กลับเป็นคนที่แม้จะมั่งมีมากมาย แต่เขาก็พึงพอใจแค่นี้ ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่เห่อเหิม เมื่อถึงเวลาที่เขาต้องตกต่ำหรือไม่มี ระหว่างคนสองคนนี้ใครทำใจได้ไวกว่ากัน ใครว่าคนแรกยกมือ ใครว่าคนที่อยู่บนเก้าอี้ยกมือ ใครว่าคนอยู่ข้างล่างยกมือ ตัดใจสินใจไม่ได้ใช่ไหม อย่างนั้นเราพูดง่ายๆ ก็ได้ แต่ถ้าเป็นเราก็น่าจะตัดสินใจง่าย เหมือนเด็กๆ เวลาเราพยายามอยากจะขออะไรจากคุณแม่ ขอจากคุณพ่อ เราจะต้องนวดๆ หรือไม่ก็คิดว่าทำอย่างไรนะ คุณแม่ตอนนี้เข้าไม่ได้ออกไปก่อน ใช่ไหม คิดหาทุกวิถีทาง พอได้แล้วของแตกเสียใจไหม (เสียใจ)  แต่ถ้าเกิดว่าไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรให้แตกเสียใจไหม (ไม่เสียใจ)  ฉะนั้นคนยืนหรือคนนั่งบนเก้าอี้ (อยู่ล่าง) คนที่ยืนอยู่บนพื้น กลับทำใจได้ไวกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้จะเป็นยุคไอเอ็มเอฟ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่คนเราเผลออดไม่ได้ พอมั่งมีก็เผลอใจหลงใจไปใช่หรือไม่ (ใช่)  หลงไปตามกิเลส หลงไปตามความมีที่เกิดขึ้น แต่ใครจะรับประกันได้ ว่าสิ่งที่เรามีอยู่ในมือนี้จะอยู่ตลอดไม่หายไปในพรุ่งนี้  ว่าสิ่งที่เรามั่นใจว่าใส่คออยู่นี้จะไม่หายไปในวันพรุ่ง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นสู้ทำตัวเรียบๆ ง่ายๆ มีเสื้อตัวหนึ่ง มีกางเกงตัวหนึ่ง มีกระโปรงตัวหนึ่ง ทั้งชีวิตก็พอแล้วได้ไหม ทำใจไม่ได้เหรอ แต่ต้องแยกให้ออกระหว่างประหยัดกับตระหนี่ถี่เหนียว ไม่เหมือนกัน รู้จักพอใจกับขี้งก ไม่เหมือนกัน อย่าหาว่าวันนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาสอนบอกให้ประหยัด เวลามีคนมาขอบอกไม่ให้ เธอมีแล้วอย่ามาเอาซิ อย่างนั้นก็ไม่ถูกใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเกิดท่านเอาไปใช้ผิดตอนนี้โทษเราไม่ได้นะ เราพูดดักไว้ก่อนแล้วไม่ใช่ให้ท่านกลายเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว แต่หมายถึงว่าสำหรับตัวตนต่อตัวตนนั้นให้รู้จักพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ไม่ฟุ้งเฟ้อมีชีวิตเรียบง่าย ใช่ไหม
 ใครเคยใส่กำไลบ้าง ฝ่ายหญิงคงเคยเยอะใช่ไหม ฝ่ายชายเคยไหม ไหนใครเคยเอาเงินใส่กระเป๋าสตางค์บ้าง เคยหมดนะ เวลาเอาเงินใส่กระเป๋าสตางค์ ใส่เหรียญเดียวเดินไปดังไหม (ไม่ดัง) แต่ใส่สองสามเหรียญดังไหม (ดัง)  ดัง แถมดังกุ๊งกิ๊งๆ ตลอดเวลาใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเวลาเราอยู่ในสังคม อยู่ในคนหมู่มาก เวลามีหนึ่งคนเรามักจะไม่ค่อยมีเสียงดัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พอมีมากกว่าหนึ่งคนขึ้นไป เสียงเริ่มมีไหม (มี)  มีใช่หรือไม่ (ใช่)  และถ้ามากกว่าสองคนเสียงมีเยอะไหม (เยอะ)  และยิ่งถ้าเกิดแต่ละคนเป็นแบบกลวงๆ ด้วย ยิ่งกระทบยิ่งเป็นอย่างไร ดังใช่หรือไม่   การอยู่ร่วมกันบางครั้งเป็นธรรมดาที่ต้องโดนกันบ้าง แตะกันบ้าง เหยียบกันบ้าง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่เราจะอยู่กันอย่างไร บางครั้งเรารู้สึกว่าอันเดียวไม่สวย บาทเดียวไม่พอ ใช่ไหม (ใช่)  เราจะทำอย่างไรในการที่มีมากแล้วสามารถสมัครสมานกลมกลืนกันได้อย่างสามัคคีปรองดอง และบังเกิดความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้น นั่นก็คือว่าเราจะต้องจัดให้มันดี อันไหนที่ใส่เก็บได้เราก็เก็บ อันไหนที่ต้องถอดเราก็ถอดออก ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนกันการอยู่ร่วมกัน ทำไมกับคนๆ นี้ ถึงโดนทีไร เจอทีไรก็ต้องทะเลาะๆ ทุกทีเลยใช่ไหม (ใช่)  แต่กับคนนี้รักจังเลย แค่เห็นก็รัก นิดหนึ่งก็รัก ใช่ไหม (ใช่)  กับคนๆ นี้ ไม่ไหวๆ ไม่เอาๆ ใช่ไหม (ใช่)  มีหลายแบบในการอยู่ร่วมกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วกับคนๆ นี้ ง่วงนอนจังเลย มีหลายๆ แบบ ใช่หรือไม่ แต่บางครั้งเราอย่าได้ปล่อยไปตามอารมณ์มาก เพราะบางครั้งเราปล่อยไปตามอารมณ์มาก อารมณ์เมื่อกระทบกับอารมณ์ จะเกิดการกระแทกกัน จะเกิดเสียงต่อกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาเราอยู่กับคนๆ นี้ มองเห็นเขาเป็นแก้วว่าง ตัวเราก็แก้วว่าง เมื่อเวลาเจอกัน เราก็รู้สึกดี ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเกิดในใจเรามีความเกลียดคนๆนี้ ตัวเขาไม่ชอบหน้าเรา ต่างคนต่างมี ก็ต้องกระทบกันเป็นธรรมดา  แต่ถ้าต่างคนต่างเป็นแก้วว่าง ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไปด้วยกันได้
มีคำกล่าวว่าหากเราจะรับรู้คน รับรู้สิ่งรอบข้างภายในโลกนี้  เราจะต้องทลายอัตตาตัวตน หรือความเป็นตัวตนของเราลงให้หมดสิ้นแล้วค่อยๆ ก้าวเข้าไป   แล้วเราจะสามารถอยู่ร่วมกับเขา มองเห็นและยอมรับเขาได้   แต่ถ้าเมื่อไรเราอยู่ร่วมกัน เรามีกำแพงแห่งตัวตน เรามีความเป็นตัวตนว่าฉันเป็นคนแบบนี้   พอเธอทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับฉัน ฉันไม่ชอบ เธออย่ามาใกล้ ก็ย่อมกระทบกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราจะอยู่ร่วมกับใคร เราอยากเข้าใจเขา เราจะต้องทลายเปลือกอัตตาตัวตนนี้  แล้วเราจะสามารถยอมรับและอยู่ร่วมกับเขาได้อย่างเป็นสุข  เหมือนโลกใบนี้ที่กว้างใหญ่ ทำไมเราจึงมองเห็นแค่เพียงเปลือกนอก  ไม่สามารถเข้าถึงแก่นแท้ทั้งชีวิตและความเป็นจริงและสรรพสิ่งในโลกได้  เพราะว่าเมื่อมองก็ยังติดที่เห็น ดมกลิ่นก็ยังติดที่กลิ่น  ไม่เคยมองแล้วทะลุยิ่งกว่ามอง ไม่เคยสัมผัสแล้วยิ่งกว่าสัมผัส  เราจึงติดอยู่แค่เปลือกนอกของสรรพสิ่งในโลกนี้   เพราะสรรพสิ่งในโลกนี้มีทั้งที่เรียกว่าเปลือก  และมีทั้งที่เรียกว่าแก่นแท้   ถ้าเมื่อไรที่มนุษย์เรานั้นไม่สามารถทลายเปลือกออกได้  เราก็จะไม่มีวันค้นพบความเป็นจริงหรือแก่นแท้แห่งชีวิต ถ้าเมื่อไรเราสามารถทลายได้  เราก็จะเป็นผู้หนึ่งที่มีชีวิตอยู่ แล้วใช้สัจธรรมเป็นหนทางในการดำเนินชีวิตได้
สัจธรรมคือความจริง  แต่มนุษย์เราเมื่ออยู่ในสังคมเรามักมองไม่เห็นความจริง  อยู่ร่วมกับคน เรามักไม่เห็นตัวเขาจริงๆ เห็นแต่เพียงเปลือกนอก  เราจะหยิบสิ่งของอะไร  เราก็เห็นแต่รูปลักษณ์ภายนอก  แต่ไม่เคยเห็นแก่นแท้ของสิ่งนั้น  เมื่อเราเกิดอารมณ์เราก็เห็นแต่อารมณ์  แต่ไม่ทำให้อารมณ์ที่เข้ามานั้นเป็นเหมือนลมที่พัดมาแล้วก็พัดไป  หากเราเกาะไว้อารมณ์นั้นก็กลายเป็นตัวเรา  แล้วเราก็ระบายอารมณ์ออกไป   แต่ถ้าเมื่อไรเรามีอารมณ์  พัดไปแล้วแต่ใจเราอยู่ตรงนี้  ไม่ไปจับ เราก็จะไม่เกิดอารมณ์   เหมือนวันนี้เห็นนกบิน ก็บินไปแล้ว  แต่ถ้าเมื่อไรเห็นนกบินสวยจังเลย สีสวยอยากได้แบบนี้จังเลย  นกก็มาอยู่ที่ใจ    อารมณ์ กิเลสก็เหมือนกัน  ถ้าเราจะดับอารมณ์ ดับกิเลส  เมื่ออารมณ์ กิเลสผ่านมา ก็ให้ผ่านไป  แล้วใจไม่เหลือคั่งค้างสิ่งใด  นั่นแหละจึงสามารถมีชีวิตด้วยใบหน้าที่สุกใส  อายุสองพันปีหน้าก็ไม่แก่  เพราะว่าไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องให้วิตกทุกข์ร้อน  จริงไหม (จริง)   แต่คนเรานั้นไม่สามารถอยู่กับปัจจุบันได้อย่างเป็นสุข  เพราะเรื่องที่ผ่านก็เศร้าเสียใจ  เรื่องที่ยังมาไม่ถึงก็วิตกกังวล   จึงทำให้ใบหน้าแก่ก่อนวัย  ท่านสามารถเป็นหนุ่มสองพันปี หรือสาวสองพันปีได้  นี่เราอุตส่าห์แนะวิธีรักษาใบหน้าและรักษาจิตใจให้สดใสแล้ว  ไม่ต้องไปหาหมอให้เสียเงิน ทำง่ายๆ เอง ใช่ไหม   แต่งานธรรมไม่ได้เน้นเรื่องนี้  อย่าไปไกลเกิน
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ร่วมร้องเพลง ”แตงโม”)
เฉกเช่นเดียวกัน จิตใจที่อบรมบ่มเพาะในสิ่งที่ดี  สามารถจะสร้างสรรค์ความดีที่ยิ่งใหญ่  และนำความดีนั้นพาให้เราค้นพบความเป็นพุทธะในตัวตน  ขอเพียงเราอย่ามองข้ามความดีเล็กๆ น้อยๆ   ความดีเล็กๆ น้อยๆ หากสะสมมากขึ้นๆ ก็จะทำให้เราค้นพบความเป็นพุทธะที่มีความดีไม่รู้จักหมด จริงไหม (จริง)   แต่มนุษย์เรามักจะพ่ายแพ้ความทุกข์  พอชีวิตมีทุกข์ก็มักจะท้อแท้ ไม่อยากจะเป็นคน ไม่อยากจะทำอะไร ไม่อยากจะช่วยใคร  และมองไม่เห็นทุกข์ของใคร  เพราะมัวแต่เห็นทุกข์ของตน  แต่หลายต่อหลายคนมักจะมองว่าความทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตห่อเหี่ยว ไม่สนุกสนาน ไม่สามารถร่าเริงมีชีวิตชีวาได้  แต่ในทางกลับกัน  พุทธะกลับบอกว่าในความทุกข์นั้นกลับทำให้มนุษย์เราเห็นอีกด้านหนึ่งของชีวิต  ทำให้มนุษย์เกิดจิตใจไม่ท้อแท้ ไม่ยอมแพ้  ในความทุกข์สามารถทำให้มนุษย์เป็นอย่างไร ลองตอบดู  หลายต่อหลายคนมักจะไม่เห็นว่าทุกข์มีประโยชน์  (ทำให้เรามีสติขึ้น, เกิดความอดทน)
ความทุกข์ทำให้เกิดประโยชน์อะไรบ้าง (ความทุกข์ทำให้เกิดความอดทน, ทำให้เกิดความพยายาม, ทำให้เกิดปัญญา, ทำให้เกิดความเข้มแข็ง, ทำให้เกิดเป็นประสบการณ์, ทำให้เห็นความจริงแท้ของชีวิต)  ฟังเราพูดตั้งมากมายท่านก็อาจจะเบื่อ เราก็ให้ท่านตอบบ้างแล้วนะ ความทุกข์ทำให้อดทนและพยายามต่อไป เพราะฉะนั้นทุกข์อย่างไรเราก็ต้องอดทนและพยายามต่อไป เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับน้องๆ รุ่นต่อๆ ไป ความทุกข์ทำให้เรารู้จักต่อสู้  (ความทุกข์เกิดขึ้นทำให้เราต้องหาทางดับทุกข์, ทำให้เกิดความอุตสาหะ, ทำให้เลิกทำความชั่วหรือทำให้น้อยลง, ทำให้เอาชนะใจตัวเองได้)  ความทุกข์ทำให้เรารู้ว่าตัวเองสู้ไหวไม่ไหว ตัวเองนั้นสามารถชนะหรือพ่ายแพ้ใช่ไหม (ใช่)  เพราะว่าทุกข์บางอย่างนี้เราไม่สามารถแก้ได้ ไม่สามารถทำอะไรได้ เราต้องปล่อยใช่ไหม พยายามแล้วก็อาจจะไม่มีประโยชน์  บางครั้งเราจึงต้องปล่อยบ้างอย่างเช่น คนพูดเข้าหูเรา ว่าเรา ท่านจะพยายามแก้บอกว่าเปลี่ยนเป็นชมเถอะนะได้ไหม (ไม่ได้)  ความทุกข์ทำให้คนเราสามารถใช้ปัญญาและนำปัญญานั้นพลิกแพลงแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงมีคำกล่าวว่า “หากมนุษย์เราเจอความทุกข์จะทำให้บังเกิดปัญญาถูกต้องและปัญญานั้นถ้าหากว่ามีอยู่กับผู้ใด ปัญญานั้นจะทำให้มนุษย์รอดทุกๆ สถานการณ์”  แต่ว่าปัญญาจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อคนนั้นมีใจศึกษา เรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าโลกหรือธรรมะ  เรียนรู้ทุกๆ อย่าง  การจะมีใจศึกษาจนสำเร็จได้นั้นตัวเราต้องมีความมุ่งมั่น แน่วแน่และมีจิตใจอันสงบ  แม้จะมีจิตใจมุ่งมั่นแน่วแน่แต่ขาดซึ่งความสงบ เรียนไปก็ไม่ได้ผลเต็มที่ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อใดที่เราศึกษาได้เราก็จะเกิดปัญญา เมื่อใดที่เราเกิดปัญญาเราก็จะมีความรู้กว้างไกล  ไม่ใช่รู้ด้านเดียว  ปราชญ์นั้นเมื่อศึกษาแล้วไม่ได้ศึกษาแค่วิชาความรู้ แต่ศึกษาไปจนถึงก้นบึ้งแห่งความเป็นจริง  หรือเรียกง่ายๆ ว่า “สัจธรรม”  สัจธรรมนั้นจะทำให้มนุษย์เราเห็นทั้งด้านหน้า ด้านหลัง ตอนนี้และตอนต่อไป  สัจธรรมจะทำให้มนุษย์เรารู้ได้ว่า แค่เดินทางนี้ผลจะเป็นอย่างไร ฉะนั้นการศึกษาเรื่องสัจธรรมหรือความเป็นจริงแห่งชีวิตนั้นจะต้องใช้ท่าทีที่มุ่งมั่น แน่วแน่และจิตใจอันสงบ พร้อมจะทลายอัตตาตัวตนนี้ด้วย  ถึงจะสามารถค้นพบความเป็นจริงแห่งสัจธรรมได้  หากทำได้แม้จบปริญญามาหรือจบอะไรมาสูงๆ ก็สู้ไม่ได้เท่ากับการได้มองเห็นความเป็นจริงแห่งชีวิต  เราจบมาแล้วทุกท่านอยากจบไหม หวังว่าทุกท่านคงจะจบวิชานี้นะ  ปริญญานี้ไม่ได้รับในโลกนี้ แต่ไปรับข้างบน  แถมมีชุดและมีชื่อว่าเป็นพุทธะ สนไหม (สน)  อย่าเหลวไหลอย่ารักสบาย มิฉะนั้นจะไปไม่ถึง รู้หรือเปล่า
อยู่กับเรามีความสุขไหม (มีความสุข)  ขอให้มีความสุขนะ เพราะอยู่กับเรา เรามีแต่จะให้ท่าน  แล้วตัวท่านก็รู้จักปล่อยวางด้วยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเอาจุดนี้ไปใช้ในสังคม เรามีแต่ให้ ไม่ยึดมั่น ปล่อยวางแล้วเราก็จะเป็นผู้ที่อยู่ร่วมกับใครก็มีความสุข
อย่างที่เราบอกตั้งแต่ต้น เป็นผู้บำเพ็ญธรรม ขอให้ “ให้ในสิ่งที่เขาขาด” แล้วเราจะเป็นผู้ที่บำเพ็ญธรรมแล้วมีความสุขที่สุดเลย เป็นสุขที่ไม่ใช่จะพลิกกลับไปเป็นทุกข์ แต่เป็นสุขที่สามารถคงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญให้เสมอ มีจิตใจที่กระตือรือร้นเสมอๆ จะทำให้คนที่ตามมามองเห็นทิศทางการบำเพ็ญได้ชัดเจน และการตามก็จะตามได้อย่างถูกทาง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเมื่อตั้งใจจะเป็นคนบำเพ็ญตน รู้จักให้ การให้นั้นต้องมีใบหน้าที่อิ่มเอิบยิ้มแย้มด้วย เพราะไม่อย่างนั้นให้ไปอย่างอดเสียไม่ได้ ให้ไปอย่างไม่อยากให้เลย หน้าอย่างนี้แม้จะบำเพ็ญไปก็ไม่มีประโยชน์ แม้จะบำเพ็ญไปก็ไม่มีใครอยากทำตาม ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตกลงฝ่ายชายแพ้แล้วนะ ยอมหรือเปล่า ยอมที่จะเต้นระบำแอปเปิ้ลไหม ลาภยศชื่อเสียงนี้ก็คล้ายๆ ผลไม้ ตัวท่านก็เหมือนต้นไม้ต้นใหญ่ พอมีผลไม้ยิ่งสุก ยิ่งใหญ่ ยิ่งเหนือกว่าใคร ผลไม้นั้นก็มีแต่คนอยากจะได้มา ใช่หรือไม่ ทุกคนก็อยากจะแย่งมาใช่หรือไม่ ท่านจึงต้องหาทางปกป้อง รักษา แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เรามีมาก เรารู้จักให้ แม้นไม่ต้องกั้นรั้วคนก็ไม่มาหยิบโดยที่เราไม่ต้องการให้หยิบ จริงหรือไม่ (จริง)  ไม่ว่าท่านจะมั่งมีศรีสุขปานใด ท่านก็ไม่ต้องกลัวคนจะมาแย่ง เพราะช่วงที่เรามีเรารู้จักให้ และช่วงที่เราไร้คนจะให้กลับคืน จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นอย่าเป็นต้นแอปเปิ้ลที่หวงแหนผลไม้ ไม่เช่นนั้นจะถูกหักโค่นโดยไม่รู้ตัว จริงหรือไม่ อยากจะเต้นระบำแอปเปิ้ลไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาสอนเต้นระบำแอปเปิ้ลให้ดู)
“บางครั้งอยู่บนต้น  บางครั้งตกกับพื้น  บางครั้งอยู่ในมือ” ใช่หรือไม่ (ใช่)
“มากความโดยคนเถียงคนประจำ” อยู่ร่วมกันยิ่งมากความยิ่งมีแต่เรื่องใช่หรือไม่ (ใช่)  น้อยๆ ความกันดีกว่าอีกใช่หรือไม่ ยิ่งมีเหตุผล เหตุผลยิ่งเหนือเหตุผล เหตุผลยิ่งมากเหตุผลใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งอยู่แล้วไม่มีเหตุผลไม่ได้หรือ เพราะการที่เราไม่มีเหตุผล บางทีอาจจะทำให้เราปล่อยวางแล้วไม่ต้องทุกข์ก็ได้ จริงไหม (จริง)  เพราะยิ่งเถียงหนึ่งคำ ย่อมเถียงกลับมาอีก (สองคำ)  มากกว่าสองอีกถูกหรือเปล่า (ถูก)  ฉะนั้นปิดแล้วหูเราจะไม่ได้ยินเสียงเลย จริงหรือไม่ (จริง)  สิ่งศักดิ์สิทธิ์เคยพูด เราเคยแอบฟังและได้ยินว่าเป็นคนบำเพ็ญธรรมเสียอะไรล่ะ ใช่ไหม ทำมากๆ ดีกว่าอีก เราก็เหมือนกัน อยู่ในครอบครัว อยู่ในสังคม ภรรยาขี้บ่นมีสามีคนไหนชอบไหม (ไม่ชอบ)  พ่อแม่จู้จี้มีลูกรักไหม รักเหมือนกันแต่ทนไม่ไหว ต้องแอบหนีไปเรื่อยๆ
ใกล้จะหมดแล้ว กลับแบบนี้ดีไหม แต่ก็อดเป็นห่วงทุกท่านไม่ได้  บางคนจบแล้วก็จบกัน จากแล้วก็บ๊ายบาย ฉะนั้นจบแล้วก็อย่าจบกัน จากแล้วต้องมีอะไรกลับไปบ้างนะ ได้ไหม (ได้)
“หวั่นถลำชีวิตมีเป็นแนวทาง”  อดหวั่นใจไม่ได้ เห็นวันนี้กันดีๆ วันนี้มีจิตใจอันงดงาม แต่พอจากกันไปนานเข้าๆ จากใจดีๆ ก็หายหดหมดเลย เพราะว่าพ่ายแพ้กิเลส พ่ายแพ้ตัวตนเอง น่าเสียดายนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นไม่ว่าทำสิ่งใดขอให้มุ่งมั่นแล้วท่านจะไปได้ถึง อดทนเท่าที่จะอดทนไหว บำเพ็ญไม่ใช่แค่ช่วยตัวเอง แต่มีโอกาสต้องก้าวออกไปช่วยคนอื่น บำเพ็ญไม่ใช่มัวแต่ห่วงใยตนเอง หากห่วงใยตนเองมากเราจะไม่มีวันก้าวข้ามไปช่วยใครได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกคนต่างมีแนวทางการบำเพ็ญ ขอให้บำเพ็ญกันไปถึงฝั่งนิพพาน อดทนให้ถึงนะ พยายามให้ได้นะ
รักษาจิตใจดวงนี้ให้บริสุทธิ์ใส รักษาความมุ่งมั่นในการทำความดีให้คงอยู่นิจนิรันดร์  แม้กายจะหยาบแต่ใจแกร่ง  แม้กายจะสกปรกแต่ใจบริสุทธิ์งดงาม เมื่อไรหากทำได้เช่นนี้ นั่นแหละความเป็นพุทธะของท่านก็เริ่มปรากฏแล้ว คงต้องจากกันแค่นี้แล้ว มาก็ไม่รู้ว่ามาเมื่อใด เมื่อไปก็ต้องไปแล้ว ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญให้ดีๆ

วันอาทิตย์ที่  ๒  กรกฎาคม  พุทธศักราช  ๒๕๔๓
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อย่าอยู่ร่วมกันอย่างมีเงื่อนไข เพราะจะไร้ความสุขเกษมศานต์
อยู่ร่วมกันไร้เงื่อนไขจะเหมือนบ้าน แต่ต้องหมั่นควบคุมตนให้ดีพอ
เราคือ
อรหันต์วิปลาสอนุเคราะห์ชาวโลก รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์    แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า

เพราะทุกคนโลภโกรธไม่ธรรมดา ทำโดยมีหลงบัญชาลำบากแล้ว
สติเทียมเท่าเพียงแค่แนวแนว ขณะจะละแล้วเผลอเสียดายตาม
ไม่ว่าใครกว่าจะทำอะไร สมควรได้ตรึกใคร่ครวญถึงสาม
ใช้ปัญญาและขอให้ลดวู่วาม เป็นดังนี้แล้วงามปฏิบัติดี
มากคนรอให้คนอภัยให้ น้อยคนพบอภัยในตนนี้
คนช่างติตำหนิตนไม่มี สำเร็จที่ให้พบมีอุปสรรคครอง
บำเพ็ญย้อนมองตนแก้สิ่งผิด หมั่นเพียรจิตเสมอผลเกริกก้อง
ดีขึ้นเองบุญของเราสนอง ภพล้วนสนองบาปกรรมให้สมบูรณ์
ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

มานั่งฟังประชุมวันที่เท่าไหร่แล้ว (วันที่สอง)  มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง มีจิตใจที่ดีขึ้นไหม  นักเรียนที่มานั่งสองวันเอ๋ย กินข้าวอิ่มหรือยัง (อิ่มแล้ว)  มีแรงตอบกันหน่อยไหม (มี)  เมื่อสักครู่มีคนยิ้มให้ เรายิ้มให้เขาหรือเปล่า (ยิ้ม)
นั่งฟังสองวันแล้วมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง มีสิ่งเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในใจของเราไหม ดีขึ้นหรือเลวลง (ดีขึ้น)  จะดีขึ้นเฉพาะวันนี้หรือเปล่า เราจะรักษาสิ่งที่เปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ดีในจิตใจของเรานั้นให้คงอยู่ไหม  การที่มนุษย์จะประสบความสำเร็จเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องง่าย แต่การจะรักษาความสำเร็จให้คงอยู่นานเท่านานเป็นเรื่องยาก ใช่ไหม (ใช่)  มีจิตใจที่ดีขึ้นเป็นเรื่องง่าย แต่จะรักษาจิตใจที่ดีขึ้นนี้ให้คงอยู่กับเราไปนานๆ เป็นเรื่องยาก  เพราะฉะนั้นตอนนี้เราจิตใจดีขึ้นแล้ว น่าดีใจไหม (น่าดีใจ)  แต่ถ้าหากว่าเรากลับออกไปแล้วแย่กว่าเดิมน่าเสียใจไหม (น่าเสียใจ)  เพราะฉะนั้นความดีใจหรือเสียใจก็ยังไม่ใช่สิ่งที่แน่นอนใช่หรือไม่ (ใช่)  ความสุขที่เจอมาในชีวิตนี้ ความทุกข์ที่เจอมาในชีวิตนี้ก็ยังไม่ใช่สิ่งแน่นอนใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นการที่เรามานั่งสองวันนี้มีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงดีขึ้น อาจารย์อยากให้ทุกคนรักษาเอาไว้นานๆ เหมือนคนที่เป็นคนเก่าแล้ว ต้องรักษาจิตใจที่มีความศรัทธาของตัวเองตั้งแต่แรกนั้นเอาไว้ แล้วรู้ไหมว่าโลกนี้เลวร้าย (รู้)
ศิษย์รู้ไหมว่าโลกนี้ดีงาม (รู้)  รู้ทั้งนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าจะรับมือกับสิ่งที่เรารู้นี้อย่างไรล่ะ  เมื่อคนเขาร้ายมา เราร้ายตอบไหม (ไม่)  เราต้องอะไรตอบ (ดีตอบ)  แล้วถ้าเขาดีมาล่ะ (ดีตอบ)  แสดงว่ามนุษย์ในโลกนี้ยังเป็นคนดีอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในจิตใจของเรายังมีความดีอยู่มากมายใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราต้องเชื่อมั่นว่ายังมีความดีมากมายในโลกนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  สองวันนี้มานั่งฟังที่นี่ สิ่งใดที่ได้รับไปเป็นสิ่งที่ดีเราจะต้องรักษาเก็บไว้ นำสิ่งนี้ทำให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงดีตามเราได้ไหม (ได้)  ไม่ใช่ดีเฉพาะตัวอยู่คนเดียว บางคนบอกฉันเป็นคนดีอยู่แล้ว แต่ว่าความเป็นคนดีของเรา เราดีอยู่คนเดียว เรายังไม่ได้ทำให้คนอื่นดีตามเรา เราจึงจำเป็นต้องออกแรงสักหน่อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ออกแรงไปผลักคนอื่นให้เขาเกิดความดีขึ้นมา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราหนึ่งคนสามารถสร้างคนดีได้กี่คน (หลายคน)  ไม่ได้ตอบว่าคนเดียวนะ ตอบว่าหลายคน เพราะฉะนั้นต้องออกแรงหลายๆ ครั้งไหม (ต้อง)  บางคนเจอคนที่บ้าน บางคนเจอคนรอบข้าง บางคนก็เจอพี่น้องไม่อยากให้เราบำเพ็ญธรรม แสดงว่าเขามองการบำเพ็ญธรรมว่าเป็นสิ่งไม่ดีใช่ไหม (ไม่ใช่)  ใครเป็นคนที่ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงความคิดนี้ได้ (ตัวเราเอง)  แล้วถ้าเรายังเป็นคนนิสัยไม่ดีอยู่ แล้วจะทำให้เขาเปลี่ยนแปลงความคิดได้ไหม (ไม่ได้)  เราต้องทำอะไรให้ดีขึ้น (ทำตัวเราให้ดีขึ้น)  ทำนิสัยของเราให้ดีขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  นิสัยที่สั่งสมมาตั้งแต่เด็ก บางคนติดนิสัยจับดินสอมือขวา บางคนจับมือซ้าย นี่เป็นนิสัยใช่หรือเปล่า (ใช่)
นักเรียนที่มาช้าตอนนี้มาช้ายังมีที่นั่ง แต่ถ้าหากว่าการบำเพ็ญ การกลับคืนฟ้าแล้วมาช้าหมดที่นั่งเลยนะ เหมือนเล่นเกมเก้าอี้ดนตรี ถ้าเรามาช้ามีที่นั่งไหม (ไม่มี)  แต่สองวันนี้เป็นเด็กใหม่ก็เหมือนกับให้เราตายใจ มาช้าเท่าไหร่ก็ยังมีเก้าอี้อยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จะชะล่าใจไม่ได้ ใช่ไหม
โลกนี้มีคนเรียกว่ามรสุมชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมถึงเรียกว่ามรสุมชีวิตล่ะ เมื่อสักครู่พายเรือใช่ไหม (ใช่)  ในโลกนี้มีคนเรียกบรรดาชีวิตว่ามรสุมชีวิต เจอมรสุมชีวิต เพราะว่าอะไรล่ะ  เพราะว่าชีวิตนั้นเปรียบเสมือนเรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราอยู่ในทะเลคืออะไร (ทะเลทุกข์)  ก็คือโลกใบนี้ ตอนนี้มรสุมเศรษฐกิจรุนแรงหน่อย ใช่ไหม (ใช่)  พอเศรษฐกิจไม่ดีก็ไม่มีอะไรใช้ (เงิน)  พอไม่มีเงินใช้ก็เป็นอย่างไร (ทุกข์)  แสดงว่าเราเอาชีวิตของเรานั้นไปผูกติดไว้กับอะไร (เงิน)  มีเงินมากถึงมีความสุขใช่ไหม (ไม่ใช่)  มีเงินมากก็ไม่มีความสุข ไม่มีเงินแล้วทุกข์ทำไมล่ะ  มีเงินน้อยมีความสุขไหม (ไม่มี)  แสดงว่าเรานั้นไม่ได้มีความสุขด้วยเงินทองใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตของเราไม่ได้อยู่เพื่อเงิน เราอยู่เพื่ออะไรล่ะ อยู่เพื่ออยู่เฉยๆ รอให้ตายไปใช่ไหม (ชดใช้กรรม, ทำชีวิตให้มีคุณค่า, อยู่เพื่อทดแทนบุญคุณพ่อแม่)  มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร เรานั้นเป็นคนตอบตัวเราได้ดีที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์แค่อยากบอกว่าคนที่บำเพ็ญธรรมะแล้ว ต้องรู้จักปลงบ้าง  บางทีมีเรื่องราวที่เราไม่ได้ตั้งใจให้เกิดแบบนี้ เราไม่คิดว่าชีวิตของเราจะตกต่ำถึงเพียงนี้  เราไม่คิดว่าชีวิตเราจะสูงสุดไปถึงขนาดนั้น เราต้องเป็นผู้ที่รู้จักปลงใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีดีใจมากจนลืมตัว  บางทีเราบอกว่าชีวิตของเรานั้นเป็นมาอย่างนี้ แม้ว่าเราจะรวยมากกว่านี้ แม้ว่าเราจะจนมากกว่านี้ สมหวังมากกว่านี้ ผิดหวังมากกว่านี้ เราก็จำเป็นที่จะต้องรักษาระดับจิตใจของเรานั้นด้วยความเที่ยงตรง ให้มีคุณธรรม ให้มีความดีมากๆ อย่าได้ลืมตัวของเราไปว่าเราอยู่เพื่ออะไร  เขาบอกว่ามรสุมชีวิตตอนนี้มรสุมรุนแรง เศรษฐกิจไม่ดี กระเป๋าแห้ง เราก็เลยบอกว่าเรามีความทุกข์ แสดงว่าเรานั้นใช้ชีวิตผูกติดกับเงินทองใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเราไม่ได้ใช้ชีวิตผูกติดกับเงินทอง เรานั้นก็จะไม่มีความทุกข์ เพราะเราไม่ได้สนใจที่เงินทองในกระเป๋า ว่าจะมากหรือน้อยลงใช่หรือเปล่า  ความสุขนั้นเกิดออกมาจากใจ เราต้องทำใจของเรานั้นให้มีความสุข ใช่หรือไม่  สุขด้วยอะไร  ถ้าหากไม่ได้สุขด้วยเงินทอง สุขด้วยอะไรดี (สุขด้วยใจของเราเอง)  ไหนลองบรรยายสภาพของใจหน่อยซิ (หัวหน้าชั้น : ตอนนี้ใจก็เริ่มสงบแล้วครับ)  เริ่มสงบหรือเริ่มสนุก (สองอย่างเลยครับ)  เรารู้จักแต่ของที่เราเห็นภาพ บอกแว่นตาเป็นอย่างไร เราก็ต้องใช้วิธีการมองเห็นและอธิบาย ใช่หรือไม่  กระเป๋าเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนี้ แล้วเราก็อธิบายภาพ  ใจเป็นอย่างไร นึกไม่ออกเลย ไม่เคยคิดว่าใจของเราเป็นอย่างไร  ในเมื่อเราไม่รู้จักใจของตัวเอง แล้วจะเอาใจของเราอยู่ได้อย่างไร  เวลาใจของเราโกรธ แล้วเราจะดึงใจของเราอยู่ได้อย่างไร  เวลาใจของเราหลง แล้วเราจะดึงใจของเราอยู่ได้อย่างไร ใช่ไหม  (ใช่)  เราบอกว่าคนๆ นี้เป็นอย่างไร นิสัยเขาเป็นอย่างไร  ทำไมยังอธิบายได้ล่ะ แต่พอบอกว่าใจของเราเป็นอย่างไร อธิบายไม่ถูก เพราะว่าอะไร (ใจไม่อยู่นิ่ง)  เพราะไม่เคยหันมามองใจของตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไม่เห็นใจของเรา เมื่อมองไม่เห็นดั่งภาพ เราจะไม่สามารถที่จะบำเพ็ญธรรมได้ เพราะว่าเรานั้นยังหลงอยู่ หลงคิดว่าใจของเราสงบแล้ว  หลงคิดว่าใจของเรานั้นดีแล้ว หลงคิดว่าตัวเองนั้นเป็นคนดีแล้ว เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ต้องตอบเหมือนคนกินข้าวแล้ว รู้ไหม (รู้)  ขนาดอาจารย์ไม่ต้องกินข้าว ยังเสียงดังกว่าเลย
เวลาเราอยู่ร่วมกับใครสักคน ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานร่วมกัน  ถ้าเราอยู่ร่วมกันแล้วเรามีเงื่อนไขมากมายที่เป็นข้อจำกัด คนที่อยู่ร่วมกับเรานั้นจะอยู่ร่วมกับเราอย่างมีความสุขไหม (ไม่มีความสุข)  ฉะนั้นจึงบอกว่าการอยู่ร่วมกันนั้นจะต้องอยู่ร่วมกันอย่างมีเงื่อนไขน้อยที่สุด ไร้เงื่อนไขจึงจะสามารถมีความสุขได้  แต่ไม่ใช่ไร้เงื่อนไขแล้วจะไร้กฎระเบียบ  ทุกๆ คนเกิดมาคิดเป็น อ่านเป็น เข้าใจเป็น  ทุกๆ คนควบคุมตัวเอง  ทุกๆ คนรู้จักตัวเองโดยไม่ต้องให้ผู้อื่นเป็นคนชี้ เป็นคนบอก  เพราะนิสัยของคนนั้นไม่ชอบให้ผู้อื่นมาสอน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราเป็นผู้บำเพ็ญธรรม เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือว่าเรียกร้องคนอื่นให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ มีแต่ต้องเรียกร้องตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราเรียกร้องตนเอง เราต้องควบคุมตนเอง ทำให้ดีที่สุดในสิ่งที่เราคิดว่าเราทำได้  อย่าไม่รู้แล้วลงมือทำ ขอให้เรารู้แล้วจึงลงมือทำ  การอยู่ร่วมกันในบ้านมีไหม ทำไมถึงบอกว่า
“อยู่ร่วมกันไร้เงื่อนไขจะเหมือนบ้าน”  เคยเห็นบ้านที่ไม่เหมือนบ้านไหม  แม้ว่าจะได้ชื่อว่าเป็นบ้านแต่ไม่เหมือนบ้าน ใช่หรือไม่ (ใช่)  การจะอยู่ร่วมกันให้บ้านเป็นบ้านนั้น เราทุกคนจะต้องรู้จักตัวเองเพียงพอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะต้องควบคุมตนเอง เราเป็นลูกมีหน้าที่ทำอะไรต่อพ่อแม่ (กตัญญู)  เป็นลูกมีหน้าที่ทำร้ายจิตใจพ่อแม่ หรือว่าเป็นลูกที่กตัญญูต่อพ่อแม่ (กตัญญูต่อพ่อแม่)  เป็นพ่อแม่มีหน้าที่อย่างไรต่อลูก ตีลูกหรือว่าดูแลลูก (ดูแลลูก)  เป็นพ่อแม่ก็มีหน้าที่ให้ความรักความเมตตาลูก  เราเป็นพี่มีหน้าที่อย่างไรต่อน้อง (ดูแลน้อง)  ข่มเหงรังแกน้องหรือว่าช่วยเหลือน้อง (ช่วยเหลือน้อง)  การช่วยเหลือมีหลายวิธี บางคนช่วยเหลืออย่างเข้าใจ บางคนช่วยเหลืออย่างไม่เข้าใจ  ช่วยเหลืออย่างไรดี เข้าใจเขาหรือไม่เข้าใจ (เข้าใจเขา)  ช่วยเหลืออย่างเข้าใจซึ่งกันและกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากจะให้เขาเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นตามเรา เราจะไปบังคับเขา เขาจะเปลี่ยนไหม (ไม่เปลี่ยน)  เพราะฉะนั้นอยู่ร่วมกันไร้เงื่อนไข  ไร้เงื่อนไขในที่นี้คือ ไร้ข้อจำกัดอันเป็นข้อจำกัดที่เราตั้งขึ้น แต่ถ้าหากว่าเป็นไปตามเงื่อนไขของธรรมชาติ คุณธรรมและธรรมะนั้น ก็ยังพออนุโลม แต่จิตใจของทุกคนนั้น มีซีกหนึ่งที่เป็นจิตใจอันเป็นธรรมะอยู่แล้ว  ไม่จำเป็นต้องอธิบายกันมากมายก็พอเข้าใจ  เพราะฉะนั้นอาจารย์จบท้ายด้วยบอกว่า ต้องหมั่นควบคุมตนให้ดีพอ สรุปแล้วทุกคนต้องควบคุมตนเองใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนอย่างอาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกคนบำเพ็ญธรรม ก็ยังจำเป็นจะต้องพูดๆ ให้ศิษย์เข้าใจและเห็นคล้อยตาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วศิษย์จะเป็น
สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรืออย่างไร  เวลาเจอคนอยากให้คนคล้อยตามเราพูด เราจึงต้องค่อยๆ พยายาม  ถ้าหากเขาไม่เป็นดังใจเรา อย่าโกรธ อย่าว่า อย่าเดือดดาล
บำเพ็ญนานๆ ไม่รู้ว่าเบื่อไม่เบื่อนะ  คนที่ไปลงแรงจริงๆ ก็มักจะเจอเรื่องราวทดสอบจิตใจมากมาย มีเบื่อบ้างมีบ่นบ้าง แต่ว่าต้องพยายามที่จะกำราบไว้ให้ดีๆ เราหนึ่งคนมีผลต่อคนหลายๆ คน  เราดีคนอื่นดีตาม เราไม่ดีคนอื่นก็ไม่ดีตาม  เพราะฉะนั้นเมื่อมีโฮ่วเสวีย (นักธรรมรุ่นหลัง)  และมีคนเดินตามมา เราเห็นเขาเราให้การช่วยเหลือเขา แล้วเขาทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ ดูตัวเองดีกว่าไหม (ดี)
(พิธีกรและนักเรียนในชั้นกล่าวรับอาจารย์)
เอาอะไรรับอาจารย์ (เอาใจ)  เห็นไหมหัวหน้าชั้นตอบเอาใจรับอีกแล้ว และถามว่าใจเป็นอย่างไรอธิบายไม่ได้
(นักเรียนและผู้ปฏิบัติธรรมร่วมกันร้องเพลงต้อนรับพระอาจารย์)
มีบางคนดีใจเห็นอาจารย์มา เลยลืมร้องเลยใช่ไหม มีคนลืมร้องด้วย ดีใจไม่ต้องดีใจมาก ดีใจพอประมาณ  ร้องเพลงด้วยกันนะ ร้องเพลงต้องไม่รู้กี่รอบแล้ว นักเรียนบอกว่าไม่มีเนื้อแล้วร้องไม่ถูก แต่ว่าจริงๆ แล้วไม่ได้เกี่ยวกับความสนใจไม่สนใจใช่ไหม อย่าตื่นเต้นมาก เราฟังคนร้องให้เราฟังรอบแรก เราก็ต้องจำได้อย่างน้อยนิดๆ หน่อย แล้วใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราสามารถที่จะร้องออกมาได้ เราก็มีความยินดีต้อนรับกัน ดีไหม (ดี)  ถ้าหากวันนี้ยังร้องไม่ได้ วันนี้ยังไม่รู้ เขาร้องอะไรกันก็ไม่รู้ จำไม่ได้หรอกอาจารย์ ไม่เป็นไร วันหลังกลับมาฝึกร้องดีหรือไม่ (ดี)  เป็นการแสดงความจริงใจดีไหม (ดี)  ไม่ใช่บอกว่าวันนี้ผ่านไปแล้วก็กลับไปแล้วก็เป็นอย่างไร ผ่านแล้วผ่านเลย ได้ไม่ได้ (ไม่ได้)  อย่าผ่านแล้วผ่านเลย เราต้องการสนใจที่จะศึกษาธรรมะ บำเพ็ญธรรมะต้องเสียสละเวลานิดหน่อยใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าบอกว่าเราไม่มีเวลาบำเพ็ญธรรม ไม่มีเวลาศึกษาธรรม  บำเพ็ญธรรมอย่างนี้ ทำไม่เป็นหรอก อาจารย์เชื่อว่าทุกคนมีเวลาว่าง แต่อาจารย์ก็เชื่ออีกว่าศิษย์ทุกคนใจไม่ว่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นต้องทำจิตใจของเราให้ว่างมากกว่านี้ดีไหม (ดี)  ว่างอย่างไรล่ะ ไม่ใช่ว่างไม่มีอะไรเลย ว่างอย่างไร ว่างจากความทุกข์ ว่างจากกิเลสได้หรือไม่ (ได้)  บางคนคิดว่าคำว่า “ว่าง”  คือ ว่างไปเลยอะไรก็ลืม เสร็จแล้วพอลืมตาขึ้นมาทุกอย่างก็มาหมดเลย ทุกข์ก็กลับมาหมด กิเลสก็กลับมาหมด  ถามว่าอย่างนั้นว่างจริงไหม ไม่ว่างเพราะว่าคำว่าว่างนั้นต้องว่างตลอดเวลา ไม่ว่าจะลืมตาไม่ว่าจะหลับตาก็ว่างได้ เราห้ามความทุกข์ไม่ให้วิ่งเข้ามาหาเราไม่ได้ แต่เราห้ามจิตใจของเราไม่ให้รับทุกข์ได้ไหม (ได้)  ห้ามอย่างตั้งใจห้ามดีหรือไม่ (ดี)
มาสถานธรรมไท่อินที่นี่กลัวที่สุดคืออะไร บันไดห้าชั้นใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  ไหนใครมาสองวันแล้วเดินขึ้นเดินลงยังไม่บ่นเลยสักคำยกมือให้อาจารย์ดูหน่อย อยู่บ้านของเราอาจจะไม่มีบันไดสูงขนาดนี้ ถือโอกาสฝึกเท้าเดินขึ้นเดินลงสักหน่อยดีไหม ถือเป็นการออกกำลังกาย เดี๋ยวกลับไปบ้านก็จะไม่มีบันไดห้าชั้นให้เดินแล้ว  การเดินขึ้นบันไดกับการลงบันไดนั้นสิ่งใดที่ง่ายกว่ากัน (ลงบันได)  มั่นใจใช่ไหม ฝึกมาสองวันแล้วรู้แน่เลยว่าลงบันไดง่ายกว่า การลงบันไดนั้นง่ายกว่าการเดินขึ้นบันได อาจารย์มักจะพูดให้ศิษย์ฟังเสมอว่าการลงเหมือนลงนรก การขึ้นเหมือนขึ้นสวรรค์ ขึ้นสวรรค์กับลงนรกอะไรง่ายกว่ากัน ลงนรกง่ายเหมือนกับที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นเดินขึ้นเดินลงสองวันนี้ไหม (เหมือน)  เพราะฉะนั้นเราจะบอกว่าการที่เรานั้นมีชีวิตหนึ่งชีวิต แล้วก็เดินขึ้นเดินลงอยู่ทุกวันเลย ขึ้นสวรรค์ลงนรกขึ้นลงทุกวันเลย  ฉะนั้นเราจะทำสิ่งใดดี ทำกรรมอันเป็นการขึ้นสวรรค์หรือทำกรรมอันเป็นการตกนรกดีกว่า (ขึ้นสวรรค์)  ต้องเดินขึ้นไหม (เดินขึ้น)  เหนื่อยไหม (เหนื่อย) ยอมไหม (ยอม)  แน่ไหม (แน่)  เอาจริงหรือเปล่า (เอาจริง)  ถ้าหากว่าเอาจริงแล้ว คนที่ไม่ได้ยกมือเมื่อสักครู่ที่บ่นว่าเดินขึ้นเดินลงนั้นลำบากจริงๆ ต้องคิดใหม่ใช่หรือไม่  วันหน้าเวลาเขาเรียกกลับมาสถานธรรม ขึ้นบันไดห้าชั้นอีกสู้ไม่สู้ (สู้)  เราต้องมีจิตใจที่สู้แล้วก็ทุ่มเท  บันไดสองวันนี้ก็เป็นบทเรียนให้กับเรา ให้เราคิดได้ให้เราปลงตก  บางทีถ้าหากว่าเราจะต้องทำความชั่ว แล้วเราได้เงินทองมามากมาย เราได้ความสุขมามากมาย แต่ว่าสุดท้ายแล้วชีวิตของเราตกที่ไหน (นรก)  เอาไม่เอา (ไม่เอา)  มีหลายคนบอกว่าไม่รู้ว่าสวรรค์นรกมีจริงหรือเปล่า  อาจารย์รู้สึกว่าคนยุคนี้นั้นเป็นคนที่เชื่อยาก บำเพ็ญยาก เข้าใจยาก ทำให้เรานั้นหลุดพ้นก็ยาก เพราะว่าเรานั้นไม่เคยยอมเสียเปรียบอะไรเลย เล็กน้อยก็ไม่เคยยอม สุดท้ายผลเสียก็มาตกอยู่ที่ตัวเราเอง จนมีคนคิดคำค้านให้กับคนพวกนี้ บอกว่าสวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจใช่หรือเปล่า (ใช่)  นี่ก็ยังใช่เหมือนกัน เพราะว่าเวลาเราทำความผิด ทำบาปทำกรรม ใจของเรานั้นเกิดความกลุ้มเป็นการตกนรกไหม (ตกนรก)  แต่เทียบไม่ได้กับนรกจริงๆ  นรกจริงๆ นั้น ลองตกดูสักครั้งหรืออาจจะเคยตกมาแล้ว มันมีความทรมานอีกเป็นล้านๆ  เท่ากับความกลุ้มที่อยู่ในใจ
คนสมัยนี้เห็นยาเสพติดยังต้องลอง แล้วถามว่านรกนี้ต้องลองไหม (ไม่ลอง)  อย่าไปลองเลย อาจารย์ก็พูดเหมือนคนที่ไม่อยากให้คนเสพยาเสพติด อย่าไปลองเลยลองแล้วมันไม่ติด แต่มันออกไม่ได้  ฉะนั้นการที่เรานั้นเกิดมาหนึ่งชีวิตนี้แม้จะมีความสุข มีกิเลส และมีความสุนทรีย์มากมายคอยหลอกล่อ อาจารย์ไม่อยากให้เรานั้นไปลอง ไปสุนทรีย์กับความสุขชั่วคราวนั้น แต่ว่าต้องรับผลกรรมอีกเป็นนาน  เกิดมาร้อยปีอาจจะต้องไปชดใช้กรรมในนรกเป็นแสนปี คุ้มไม่คุ้ม (ไม่คุ้ม)  เพราะฉะนั้นโลกนี้มีความสุขชั่วคราวประเดี๋ยวประด๋าวมากมายจริงๆ  ทำให้เราตกนรกไปเป็นเวลาเนิ่นนาน อย่าได้เห็นแก่ความสุขชั่วคราวนี้ แล้วไปทดสอบสิ่งนั้นๆ  อาจารย์บอกได้เลยว่าทำดีขึ้นสวรรค์ ทำดีนั้นมีความสุขเห็นได้เลย แต่ทำชั่วตกนรกมีหรือไม่มีไม่รู้ แต่ทุกข์ใจได้ทันทีเหมือนกัน  บางคนนั้นอาจจะไม่ต้องลงไปเวียนว่ายตายเกิดเลยก็ได้ ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นตั้งใจบำเพ็ญเสียตั้งแต่วันนี้  การบำเพ็ญเป็นอย่างไร การบำเพ็ญในปัจจุบันนี้เป็นการบำเพ็ญอยู่ในสังคม อยู่ในครอบครัว เพราะว่ายุคนี้ถ้าบอกว่าเพื่อการหลุดพ้นเข้าป่าไปบำเพ็ญตน โกนหัวให้หมดก็ไม่ได้หรอก สมัยนี้ผมยังทำเป็นสีแดงสีเขียวเลย แล้วนับประสาอะไรจะให้โกนทิ้ง เพราะฉะนั้นเราอยู่ในสังคมนี้แล้วเราบำเพ็ญธรรมะให้ดี คนอื่นเป็นอย่างไร คนอื่นจะร้ายอย่างไร ขอให้เรานั้นเมื่อเห็นเขาร้ายแต่เรายังดีอยู่  เมื่อเราดีอย่างแท้จริง คนอื่นนั้นย่อมที่จะดีตามเราได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอเพียงแต่เราเป็นคนดีจริงใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องทำตนเหมือนวีรชนสมัยก่อน เสียสละตนเองแม้ชีวิตก็ไม่กลัวจะดับสิ้น เราจะอุทิศชีวิตของเรานั้นเพื่อการบำเพ็ญธรรม ทำได้ไหม (ทำได้)  อาจารย์รับรองได้ว่าหากว่าศิษย์บำเพ็ญธรรมจริงๆ ก็หลุดพ้นได้จริงๆ  แต่คนที่บำเพ็ญธรรมไม่จริง ทีเล่นทีจริง สามวันดีสี่วันไข้ สามปีแล้วอยากถอย ห้าปีแล้วเลิกบำเพ็ญ อาจารย์ไม่รับรอง  แต่คนที่บำเพ็ญจริงๆ หลุดพ้นนั้นมี เราอยากเวียนว่ายตายเกิด ชาติไหนจะเป็นหมู หมา กา ไก่ ก็ไม่รู้ ชาติไหนจะเป็นยาจก จะเป็นเศรษฐีก็ไม่รู้อย่างนั้นเอาไหม (ไม่เอา)  ชาตินี้เราเกิดมาเป็นคนที่มีร่างกายสมบูรณ์ และชาตินี้เราเกิดมาเป็นผู้มีสติครบถ้วนสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นชาตินี้เป็นโอกาสที่ดีที่เรานั้นจะเริ่มต้น  ถ้าหากว่าไม่เริ่มต้นวันนี้จะเริ่มต้นวันไหน  เคยได้ยินคำว่า “ดินพอกหางหมู”  ไหม (เคย)  ตกลงเราเป็นคนไม่ต้องเอาดินมาพอกใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นยิ่งไม่ต้องผัดวันประกันพรุ่งใช่หรือไม่ (ใช่)
“เพราะทุกคนโลภโกรธไม่ธรรมดา ทำโดยมีหลงบัญชาลำบากแล้ว
สติเทียมเท่าเพียงแค่แนวแนว      ขณะจะละแล้วเผลอเสียดายตาม”
ทำไมถึงบอกว่ามีความโลภ มีความโกรธไม่ธรรมดา ก็เพราะว่าเวลาเราบอกว่าเราบำเพ็ญธรรมเราจะละความโลภ ความโกรธ แล้วพอบอกว่าจะละเท่านั้นเองก็เสียดาย ตัดไม่ขาดใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัดไม่ขาดก็คือเสียดาย เวลาคนเขามานินทาลับหลังเราแล้วเรารู้ทีหลังเราโกรธไหม (โกรธ)  แล้วรู้ไหมว่าโกรธไม่ดี (รู้)  แล้วรู้ไหมว่าต้องละไป (รู้)  แล้วละได้ไหม (ไม่ได้)  เสียดายใช่ไหม  จะบอกว่าไม่เสียดายแล้วทำไมมันไม่ไปสักที  อาจารย์บอกว่าเวลาทำสิ่งใดทำโดยมีความหลงมาควบคุมบัญชา ก็เริ่มลำบากแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราต้องทำอย่างไร (ผู้ปฏิบัติงาน : มีสติแล้วก็ตัดให้ได้, หยุดแล้วก็มองความหลงของตัวเองว่าจะตัด
อย่างไร, สำนึกแล้วปรับตัว, ถ้าหลงแล้วก็ใช้สติปัญญาแล้วก็พยายามใช้ปัญญาตัดให้ขาด)  (นักเรียน : ปล่อยวาง)  ปล่อยวางเป็นคำตอบที่ไม่ถูก คู่กับความหลงไม่ได้ (หลงแล้วควบคุมจิตไม่ให้จิตเราตามไปในสิ่งที่กำลังหลง ไม่เกาะในสิ่งที่กำลังหลง, มีสติระลึกได้, ให้เห็นโทษของความหลง, หลงแล้วทำจิตใจให้สงบนิ่ง)  ปกติแล้วเราทุกคนมีความหลงอยู่สามอย่าง  มีความโลภ โกรธ หลง เพียงแต่ว่าสามอย่างนี้ ตลอดมาเราไม่เคยคิดหาทางออกจากสามสิ่งนี้เลย  ทำไมอาจารย์ถึงถามนักเรียนว่าคิดนานไหม  ทุกคนโลภ โกรธ หลงเป็นไหม (เป็น)  ศิษย์ผิดไหม (ผิด)  เราจะยังไม่ผิดสาหัสสากรรจ์ ถ้าหากว่าเรายังไม่ทันคิด  อาจารย์มาวันนี้มาทำให้ศิษย์คิด เมื่อคิดแล้วเรามีโอกาสที่จะชนะความโลภ โกรธ หลง  แต่การที่เรารู้แล้ว เรายังหลง เรายังโลภ เรายังโกรธ เราผิด  เหมือนกับคำที่เคยฟังว่า “ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด”  แต่บางคนก่อนที่จะมาที่นี่ก็อาจจะรู้มาแล้วก็ได้ เราจะเอาชนะความโลภ ความโกรธ ความหลง ได้อย่างไร  ประการแรกต้องรู้จักตนเอง ไม่ใช่รู้จักตนเองตนนี้  ไม่ใช่รู้จักว่า
ฉันผิวสีอะไร พ่อแม่ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน ทำงานที่ไหน ไม่ใช่ตัวนี้  แต่เราต้องรู้ว่า
ตัวเองของเรานั้นเป็นคนที่มีนิสัยโกรธมากเท่าไหร่ มีความโลภมากเท่าไหร่ ความหลงมากเท่าไหร่  แล้วทุกๆ ครั้งที่เราเจอความหลง ความโกรธ ความโลภ เป็นโอกาสดีที่เราได้ฝึกฝน เหมือนกับบทเรียนที่เรียนมาแล้ว ต้องหยิบปากกามาทำไหม (ทำ)  บทเรียนที่เรียนมาแล้วต้องหยิบปากกามาทำ  ถ้าหากว่าคนที่เหมือนเด็ก
ขี้เกียจทำการบ้าน วันนี้สะสมการบ้านไปถึงวันที่สอง วันที่สาม วันที่สี่ นานๆ เข้าการบ้านเราเยอะไหม (เยอะ)  นานๆ เข้าความโลภ โกรธ หลงเยอะไหม (เยอะ)  แล้วอาจารย์ไม่รู้ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้น ขี้เกียจทำการบ้านมานานเท่าไหร่แล้ว  ความโลภ ความโกรธ ความหลงในใจของศิษย์นั้นจึงไม่ธรรมดา  เราจำเป็นที่จะต้องตัดด้วยการที่ไม่ว่าจะเป็นวิธีที่ศิษย์คนนี้บอกถึงโทษของมัน หรือเป็นวิธีที่ศิษย์อีกคนหนึ่งบอกให้มีสติยับยั้ง ทุกวิถีทางทำได้ทั้งนั้น  อาจารย์ไม่สามารถบอกเพียงวิธีใดวิธีหนึ่งที่จะให้ศิษย์นำไปแก้ไข  เหมือนกับคนบอกว่าเสื้อมีตั้งหลายสี  แต่ละสีอาจจะเหมาะกับแต่ละคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้ก็เหมือนกัน อาจารย์บอกว่าความโลภ โกรธ หลงนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี ทำให้คนนั้นหลุดพ้นไม่ได้  ความโลภ โกรธ หลงนั้น เราจำเป็นที่จะต้องไปตัด แล้วตัดด้วยวิธีไหน ขอให้เราเริ่มทดสอบว่าสีไหน วิธีไหนเหมาะกับเราได้ไหม (ได้)  ถ้าหากว่าเราไม่เริ่มทดสอบตัวเอง ไม่เริ่มคิด แล้วเราจะตัดได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าเราไม่เริ่มทดสอบตนเอง ก็ย่อมตัดไม่ได้  เพราะฉะนั้นวันนี้ถ้าหากกลับไปเจอความโลภเงินกองโต โลภไม่โลภ (ไม่โลภ)  แค่คิดตอนนี้ก็โลภแล้ว ใช่ไหม  แค่คิดตอนนี้ก็ทนไม่ไหวแล้ว อยากจะได้สักก้อนหนึ่ง ใช่ไหม  เราจำเป็นที่จะต้องรู้ว่าเรานั้นเหมาะอย่างไรถ้าหากว่าเรานั้นเป็นคนโลภในเงินมาก  ทำอย่างไร (รู้จักให้, รู้จักพอ, ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์โดยเอาเงินไปให้เขา)  มีหลายคนใช้วิธีการให้เงินคนไป ให้เขานั้นมีเงินมากๆ แล้วได้คุณภาพชีวิตดีกว่านี้ แต่รู้ไหมว่าคุณภาพจิตใจนั้นต่ำลงเรื่อยๆ เหมือนขอทานที่เห็นเงินแล้วอยากได้เงิน  เหมือนคนที่เห็นว่าถ้าหากว่ามีขอทานมากขึ้น แล้วเขาเป็นคนคุมขอทาน เขาก็จะได้เงิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาก็เลยทำอย่างไร ทำให้คนเป็นขอทาน  เพราะว่าอะไร เพราะว่าเรานั้นเป็นผู้ชอบให้  เราต้องการที่จะตัดกิเลสของเราด้วยในเรื่องของความโลภด้วยเงิน โดยการที่เอาเงินไปให้ แล้วเรารู้ไหมว่า เราให้ไปแล้วเขาไปทำอะไร  เพราะฉะนั้นการที่จะทำในสิ่งที่ดีที่สุดคือการทำให้จิตใจของคนนั้นดีขึ้น  การพูดธรรมะให้คนฟัง อย่าใช้วิธีการกำจัดความโลภเรื่องเงินทองด้วยการให้เงินคนอื่น บางทีอาจจะไม่ได้ผล หรืออาจจะได้ผล แต่ได้ผลส่วนน้อย (ระงับความอยาก)  ระงับได้ไหม (ได้)  กี่ส่วน สมมติว่ามีเงินกองหนึ่ง (ต้องดูก่อนว่าของนั้นของเราหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ของเราก็ไม่เอา)  ถ้าเป็นของศิษย์ล่ะ  (ถ้าได้มาโดยชอบธรรม เราก็นำไปใช้ประโยชน์)  สรุปว่าเอา  วิธีการกำจัดความโลภนั้นก็เหมือนกับเสื้อหลากสีที่บอกไป ค่อยๆ ไปหาวิธีการ ที่บอกว่าตั้งแต่โบราณพระพุทธองค์สอนว่า เราจะระงับความโลภด้วยการให้ทาน เป็นเรื่องจริง  แต่การให้ทานในสมัยนี้ต้องเติมว่าให้ทานและให้ธรรมะด้วย พิจารณาคนที่เรากำลังให้ด้วย  อาจารย์กว่าจะได้ศิษย์มารับธรรมะ และมาประชุมธรรมก็ยาก  ทุกคนในที่นี้มีความยาก ไม่มีใครง่าย อย่าคิดว่าสงสัยคนข้างๆ ฉันหัวอ่อน ไม่ใช่  ยากไปหมด  เพราะฉะนั้นในเมื่อศิษย์นั้นดำรงชีวิตอยู่อย่างยาก ก็จงพิจารณาคนอื่นให้มาก  ไม่ใช่พิจารณาความชอบความผิดของเขา แต่พิจารณาว่าสิ่งที่อยู่รอบข้างของเราเป็นอย่างไร อย่าผิดหวัง อย่าเสียใจ  เพราะว่ามันไม่เป็นดังที่เราหวัง  อย่าดีใจ อย่าโลดแล่นอย่างนกติดปีกบิน เวลาที่เราสมหวัง  เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เป็นวงกลม  เหมือนเมื่อวานนี้บอก “เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป”  แล้วก็เวียนมาใหม่  ทุกอย่างหมุนเวียน  วันนี้เราเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ แก่ แล้วก็ตาย  แล้วเป็นอย่างไร (เกิด)  เรื่องตายนั้นไม่ใช่เรื่องที่ไม่น่าฟัง แต่เป็นเรื่องที่เรานั้นควรจะพิจารณา จะไม่น่าฟังก็ต่อเมื่อศิษย์ไปแช่งให้คนอื่นตาย หรือไปพูดกับคนอื่นว่า เดี๋ยวจะตายแล้ว อย่างนี้ไม่น่าฟัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากว่าการตายเป็นเรื่องธรรมดาที่เรานั้นต้องเจอ  เอาเรื่องเป็นเรื่องตายมาปลง ดีหรือไม่ (ดี)  ตกลงมีใครยังค้างคาใจอยากจะตอบว่า หลงแก้อย่างไร มีใครยังคาใจอยากตอบไหม  อย่ามานั่งเอนไปเอนมา มานั่งคิดไปคิดมา นั่งเสยผมเกยคางเสร็จแล้วไม่ตอบ กลับไปก็อดแอปเปิ้ล (มอบความสุขให้คนอื่น)  เป็นความคิดที่ดีไหม (ดี)  เขาเป็นคนรุ่นใหม่ไหม (รุ่นใหม่)  หวังว่าคนรุ่นใหม่คงดีกว่าคนยุคนี้ ดีกว่าคนรุ่นนี้ที่เชื่อยาก บำเพ็ญยากหลุดพ้นยาก  เขาเป็นคนรุ่นใหม่ ที่มีความศรัทธา มีสัจธรรมในการบำเพ็ญและขอให้เป็นคนที่หลุดพ้นง่ายๆ ดีไหม (ดี)  มีใครค้างคาใจอยากจะตอบไหม (โลภแล้วก็ให้มองคนที่ยากจนกว่าเรา ว่าเขายังหาความสุขได้)  แถวนี้มีใครอยากตอบไหม (ยินดีในสิ่งที่ตนได้)
“มากคนรอให้คนอภัยให้ น้อยคนพบอภัยในตนนี้
คนช่างติตำหนิตนไม่มี สำเร็จที่ให้พบมีอุปสรรคครอง”
กลอนก่อนหน้าบทนี้ อาจารย์พูดถึงเรื่องการทำอะไรต้องคิด  คนในโลกนี้คงหลีกไม่พ้นการที่จะต้องออกไปทำสิ่งนั้นสิ่งนี้มากมาย บางคนธุระมากจนคิดไม่ทันว่ามีกี่ธุระ ลืมก็มี จำได้ก็มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรารู้ไหมว่าการที่เราทำอะไรอย่างหนึ่งนั้น การที่เราลงมือทำ ก็ย่อมเรียกว่าการกระทำ  ถ้าหากว่าศัพท์ในทางพุทธศาสนาก็เรียกว่า “กรรม”  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แสดงว่าทุกคนทำกรรมทุกวันเลย ใช่ไหม (ใช่)  เป็นการเตือนสติเราได้ดีว่าทุกวันนั้นเราทำกรรม กระทำสิ่งนั้นๆ ขึ้นมา  เราจำเป็นที่จะต้องรู้จักอะไร มีคำตอบอยู่บนกระดาน ไหนใครตอบได้ตอบเร็ว ฉวยโอกาสเอาไหม (ตรึกตรอง)  นี่แหละอาจารย์ถึงบอกว่าต้องพยายาม เวลาเรียนมาแล้วต้องทำอย่างไร (ฝึกหัด) ไม่ว่าจะทำอะไร จึงบอกว่าสมควรตรึกตรองใคร่ครวญถึงสามครั้ง  บางคนบอกว่า เราต้องมีชีวิตให้ทันเวลา ต้องวิ่งให้ทันเวลา เวลามันหมดไปเรื่อยๆ จะไปคิดสามครั้งได้อย่างไรล่ะอาจารย์  ได้ไม่ได้ (ได้)  เราถูกเวลาบีบให้เราต้องทำสิ่งนั้นสิ่งนี้มากมาย แล้วเราต้องมีชีวิตอยู่ให้ทันเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถามว่าถ้าเกิดเราทำไม่ทัน จะเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น  บางทีเสียหายนิดหน่อย บางทีเสียหายมาก แต่ว่าถ้าหากว่าเราได้ทำ ได้ตรึกตรองสามหน ถามว่าผิดพลาดไหม (ไม่ผิดพลาด)  แล้วถ้าหากว่าเราทำไม่ทันเวลา เราได้รับความเสียหายนั้นๆ ความเสียหายนั้นๆ เทียบกับการที่เรานั้นคิดก่อนทำ อะไรดีกว่ากัน (คิดก่อนทำ)  เพราะถ้าเราคิดก่อนทำ เราทำอะไรก็ไม่ผิด ใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นให้คำนวณให้ดีนะ คนที่เป็นนักคณิตศาสตร์คำนวณกำไร ทุนบวกลบต้องคำนวณให้ดี ว่าจริงๆ แล้วอันไหนกันแน่ที่กำไรกว่ากัน  อาจารย์จึงบอกว่าสมควรได้ตรึกตรอง ใคร่ครวญถึงสามครั้ง แล้วบอกว่าไม่ค่อยมีเวลาคิดหรอก สมองมนุษย์คิดเร็วไหม (เร็ว)  หนึ่งนาทีคิดไปกี่เรื่อง หนึ่งนาทีคิดไม่หยุดนับไม่ถ้วน จะได้พักก็ตอนนอน ใช่ไหม (ใช่)  บางทีนอนแล้วก็ยังไม่ได้พักด้วย ใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าขอเวลาให้ศิษย์นั้นหยุดลงคิดนิดหน่อยเท่านั้นเอง  คิดไปสามครั้งบางทีอาจจะใช้เวลาหนึ่งนาที หรืออาจจะใช้เวลาสามนาทีก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าศิษย์เป็นคนคิดบ่อยๆ คิดในทางที่ดี มองโลกในแง่ดี วันนี้คิดอาจจะช้านิดหนึ่ง แต่วันต่อไปศิษย์คิด ก็จะเร็วขึ้นๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าเราได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี จึงบอกว่าเรานั้นต้องผู้ที่รู้จักคิดก่อนทำ และคิดก่อนพูด  บางคนทำลายชีวิตทั้งชีวิตของตนเอง ทำลายความสุขของตัวเองด้วยการพูด  การพูดนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก บางคนพูดไม่รู้จักคิด ชีวิตก็ล้มเหลวใช่หรือไม่ (ใช่)  ถือว่าชีวิตนั้นถูกทำลายไปด้วยการพูดของตนเองไหม (ใช่)  บางคนเก็บมาตั้งนานไม่ยอมพูดเลย ทั้งที่ๆ เรื่องบางเรื่องจบด้วยการพูดกันดีๆ ปรึกษากันแค่นิดๆ หน่อยๆ เสียเวลาแค่นิดๆ หน่อยๆ สามารถทำให้เรื่องราวจบลงได้แต่ไม่ยอมพูด  ไม่ยอมพูดทำอย่างไร ใส่หน้ากากไว้ ใช่ไหม (ใช่)  หน้ากากยิ้มแต่ข้างในใส่เขี้ยวไว้ ถ้าไม่ยอมพูดนานวันเข้าเขี้ยวของเราก็งอกขึ้นเรื่อยๆ  พอความโกรธไปถึงที่สุดแล้วเป็นอย่างไร คนสมัยนี้เรียกว่าระเบิด แล้วใครตาย (ตัวเราเอง)  เพราะว่าติดระเบิดไว้รอบตัว คนที่ถูกระเบิดก็ตาย คนที่ติดระเบิดก็ตายด้วย ตายทั้งคู่ ดีไหม (ไม่ดี)  เพราะฉะนั้นบางทีไม่ใช่หน้าสิ่วหน้าขวาน แล้วถือสิ่วถือขวานอยู่วิ่งเข้าไป ตายไหม (ตาย)  เพราะฉะนั้นต้องรู้จักกาละเทศะ รู้จักโอกาส แล้วต้องรู้จักคิดก่อนที่จะพูด เพื่อที่จะให้เรื่องราวถูกดำเนินไปอย่างสมบูรณ์
มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ยุ่งยากไหม (ยุ่งยาก)  ยุ่งยากลำเค็ญอยากจะได้ความสุขนิดเดียวทำไมยุ่งยากอย่างนี้ เพราะฉะนั้นไปเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดีกว่า อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นสำเร็จเป็นเซียน เป็นเซียนมีความอิสระดีไหม (ดี)  เป็นเซียนมีทะเลาะกันไหม (ไม่มี)  อาจารย์ก็หวังว่าเซียนรุ่นใหม่คงไม่ทะเลาะกัน ใช่ไหม (ใช่)  เพราะเราจะไปเป็นเซียนรุ่นใหม่กันทุกคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เซียนรุ่นนี้จะทะเลาะกันไหม (ไม่)  เพราะว่าตั้งแต่อยู่ในโลกก็ไม่ทะเลาะกัน ขึ้นไปก็ไม่ทะเลาะกัน ความสุขของคนนั้นอย่าได้ถูกทำลายไป ด้วยการที่เราเป็นคนช่างพูด ช่างจ้อ พูดไม่คิด ความสุขนั้นถูกทำลายไปง่ายดายเกินไป  ขอให้เรารู้จักที่จะคิดๆ ๆ ก่อนพูด คิดๆ ๆ ทำอะไรคิดสักสามครั้ง แล้วชีวิตของเรานั้นก็จะไม่ล้มเหลว แล้วเรานั้นก็จะประสบความสำเร็จในเกือบทุกเรื่องที่เราทำไป  อาจารย์ไม่ได้บอกว่าถ้าคิดก่อนที่จะทำสิ่งใดสักสามหนแล้วจะไม่ผิดพลาด แต่อาจารย์บอกว่าความผิดพลาดนั้นจะมีน้อยลง ใช่หรือไม่ (ใช่)
เพราะว่าเมื่อเราไม่มีความสุข คนที่อยู่รอบข้างเราก็ไม่มีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราผูกพันกับคนตั้งมากมาย  ชีวิตของเรานั้นเป็นชีวิตที่มีค่า ถูกหรือเปล่า (ถูก)  อย่าดูถูกตัวเอง บอกว่าอาจารย์จี้กงพูดเรื่องหลุดพ้นมาตั้งนานแล้ว สงสัยทำไม่ได้หรอก ทำได้ไหม (ได้ )  ขอเพียงแค่ลงมือทำ นานวัน นานเดือน นานปีแล้วไม่เปลี่ยนใจ  เวลาที่คนเขาพูดเรื่องอภินิหาร เวลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่คุ้มครองก็โทษสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ที่เรื่องเหล่านี้จะเป็นผู้ที่บำเพ็ญยาก จะให้ตลอดรอดฝั่งนั้นยิ่งยากใหญ่  พอพูดถึงเรื่องภัยพิบัติที่ผ่านไปแล้วไม่เกิด ก็อยากจะให้เกิดเหลือเกิน  เราต้องพิจารณาว่าเราบำเพ็ญยึดตามสัจธรรม เวลามีให้เราเท่าไร เราต้องรู้จักบำเพ็ญ  ศิษย์ไม่รู้เรื่องนี้เผยแพร่มาทางไหนก็เกิดที่นั่นแล้ว ทำไมต้องให้เรานั้นเป็นผู้รับภัยพิบัติโดยตรง ใช่ไหม (ใช่)  เราต้องรู้จักที่จะมีสัจธรรม ยึดสัจธรรมในการที่บำเพ็ญจริง ขอให้เรานั้นอาศัยเวลาช่วงชีวิตนี้ อาจารย์หวังว่าถึงแม้ศิษย์จะมีอายุถึง ๘๐ ปีแล้ว ก็ขอให้เรามีใบหน้าที่ยิ้มแย้ม และมีอัธยาศัยไมตรี มีใจที่เหมือนอายุ ๕ ขวบก็พอ อย่างนี้จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่บำเพ็ญ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่กลุ้มใจมาก มีความทุกข์มาก เหมือนเด็กไหม (ไม่เหมือน)  คนที่ไม่มีรอยยิ้มเหมือนเด็กไหม (ไม่เหมือน)  คนที่อยากได้เงินเยอะๆ เหมือนเด็กไหม (ไม่เหมือน)  แม้เราจะมีอายุมากถึงเท่าไร ขอให้เรามีใจเหมือนเด็กอายุ ๕ ขวบ ทำได้ไหม เรียกให้ยิ้มก็ยิ้มได้ ได้ไหม
ฟังรู้เรื่องไหม ใครที่บอกว่าฟังรู้เรื่อง แต่ยังไม่ตอบสักคำถามหนึ่ง แอปเปิ้ลยังไม่ตกถึงมือ แสดงว่าฟังไม่เข้าใจ ถ้ามีแอปเปิ้ลแสดงว่าเข้าใจ  เพราะว่ามนุษย์สมัยนี้อยู่ด้วยการอยากได้หลักฐาน  มนุษย์สมัยนี้ขึ้นอยู่กับหลักฐานทั้งนั้นเลยหรือเปล่า (ใช่)  หลักฐานปลอมก็ยังเอามาเป็นหลักฐาน  อาจารย์อยากให้ศิษย์มีหลักฐาน นี่คือหลักฐานความเข้าใจ และนี่คือหลักฐานปลอม มีสักอันหนึ่งก็ยังดี
(พระอาจารย์เมตตากับผู้ที่วงพระโอวาทคำว่า “หรรษา”)
“หรรษา”  หมายถึงอะไร หรรษาก็ทำให้ใจเป็นกลาง ไม่สุขจนเรียกว่าหรรษา แล้วก็ไม่ทุกข์ด้วยใช่หรือไม่  เวลาเราสุขเราต้องรู้จักคิดว่าสักวันหนึ่งเราจะทุกข์  เวลาเราทุกข์เราต้องคิดว่าสักวันหนึ่งเราจะสุข เราจึงสุขได้
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมแม่ครัว)
บำเพ็ญต้องบำเพ็ญให้ดีๆ  ที่อยู่ตรงนี้หลายคนเป็นนักธรรมเก่า เราต้องมีความเก่าของเรา ความเก่าอย่างไร เก่าให้คนเคารพได้  เข้ามาสถานธรรมต้องไหว้พระ ต้องทานเจ นี่เป็นสิ่งที่คนบำเพ็ญธรรมต้องทำเป็นก้าวแรก  เราต้องทำให้จริงๆ แล้วก็ลงแรงให้จริงๆ  เพราะว่าเรามีจุดหมายอันยิ่งใหญ่  เราไม่ได้ต้องการที่จะอยู่แค่นี้ ต้องพยายามหาเวลาว่าง รู้ไหม  อย่าทำใจไม่ว่าง ต้องเอาธรรมะไปใช้ในชีวิตของเราจึงเรียกว่าบำเพ็ญธรรมะ  เพราะบำเพ็ญธรรมะสมัยนี้ไม่ได้เรียกร้องให้ศิษย์นั้นแยกออกจากสังคม เราจะอยู่กับสังคม และเราจะเป็นคนดีของสังคม เข้าใจไหม
หลายคนเวลาจะเอาชนะใครสักคนทำอย่างไร เสียงดัง เอาเหตุผลเข้าสู้ หรือว่าอะไร  บังคับให้คนเชื่อทำอย่างไร (ทำความดี)  สามีภรรยาทำไมต้องตบตีกันด้วย  เพราะว่าอยากจะชนะกันหรือเปล่า  ชนะคนโดยความดี  เราไม่สามารถชนะคนอื่นได้ด้วยกำลัง เสียงดัง เหตุผล ไม่สามารถชนะคนได้ด้วยสิ่งอื่นใดเลย นอกจากความดี  หากว่าเราทำดีเสมอๆ เสมอต้นเสมอปลาย เราไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นนั้นจะคิดเป็นอื่นกับเรา  ถ้าหากว่าเราทะเลาะกันแล้ว เราก็ยังจะต้องเอาชนะเขาด้วยความดี ต้องใจเย็นๆ  คนในโลกนี้ จริงๆ แล้วถึงแม้ว่าจะเกิดมาต่างพ่อต่างแม่ เกิดมาต่างกัน แต่สามารถจะอยู่ร่วมกันได้โดยมีความสุข ขอให้เรามีความดีให้กันเท่านั้นเอง  ต้องเป็นความดีที่จริงใจ ไม่เสแสร้ง เป็นความดีที่ออกมาจากใจจริงๆ เพราะหวังให้คนอื่นดี เห็นคนอื่นมีความสุขเราก็ต้องมีความสุข  ไม่ใช่เห็นคนอื่นมีความสุขแล้วเราเป็นทุกข์ นั่นแสดงว่าใจของเรายังไม่ดีพอ ใช่หรือไม่
“เกลียดความเป็นทุกข์ รักความหรรษาสุข จิตใจโดนคลุกเคล้าจนเผลอไปหลงใหล”  คนที่ชอบความสุขแต่เกลียดความทุกข์ เป็นคนที่มีความหลงอยู่ลึกๆ ในใจ  เมื่อวานนี้ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์บอกว่าความทุกข์ดีไหม (ดี)  มีข้อดีใช่ไหม (ใช่)  มีข้อดีอยู่  เพราะฉะนั้นเราจึงมาพูดว่าเกลียดความเป็นทุกข์ จริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่น่าจะกลับเหมือนนาฬิกาทราย กลับมามองว่าจริงๆ แล้ว เราควรที่จะเกลียดความเป็นทุกข์ไหม เราควรจะรักความสุขไหม  ไม่ถึงขนาดเกลียดทุกข์ แล้วก็ไม่ใช่รักความสุข “จิตใจของเรานั้นไม่โดนคลุกเคล้าจนเผลอไปหลงใหล”  อาจารย์บอกว่าหากคิดสักนิดก็จะเข้าใจ  เข้าใจว่าอย่างไร ทั้งความสุข ความทุกข์นั้นอยู่ไม่เคยจีรัง  ทั้งความสุขและความทุกข์ไม่เคยมีความยั่งยืน ใช่หรือไม่ (ใช่)
“อย่ามีชีวิตไว้เพียงเพราะต้องอยู่”  ไม่ใช่มีชีวิตเพราะว่าเราต้องอยู่ไปวันๆ แต่มีชีวิตไว้เหมือนกับผู้ที่ตื่นจากความฝันนั่นเอง  ฝันอย่างไร ทุกวันนี้เราลืมตา แต่หัวใจของเราฝันไม่ฝัน (ฝัน)  ฝันว่าจะร่ำรวย ฝันว่าอยากจะมีรถ ฝันว่าอยากจะมีบ้าน ฝันว่ามีคู่ครองที่ดี ฝันว่าได้หน้าที่การงานที่ดี  ความฝันของเรามากมายไม่สิ้นสุด ไม่รู้จักพอก็ยิ่งไม่มีที่สิ้นสุดใหญ่เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทีนี้เรามาดูชีวิตปราชญ์บ้าง
“ปราชญ์ใช้ชีวิตทำคุณอนันตต์”  ปราชญ์นี้คือใคร ปราชญ์นี้คือผู้ที่ทำคุณให้กับโลก ใช่หรือไม่  จึงเรียกปราชญ์  ปราชญ์ใช้ชีวิตทำคุณอนันต์ ตระหนักเสมอว่าคนจะชนะคนด้วยความดี
 (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมร้องเพลงและแสดงท่าประกอบเพลงจับไม้พาย)
มีแต่บำเพ็ญธรรมเท่านั้นจึงฝ่ามรสุมอย่างสนุกสนานเช่นนี้  ถ้าหากว่าไปในชีวิตทางโลก ปัญหารุมร้อยรัดมากมาย ดูซิว่าศิษย์จะฝ่าอย่างสนุกสนานเช่นนี้หรือเปล่า
วันนี้คนทำพระโอวาทน่าสงสารจริงๆ เลย สองมือรู้สึกจะน้อยไป แต่เกิดมามีมากกว่าสองมือก็ไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ลองสังเกตคนดูมีตากี่ตา (สองตา)  แขนกี่ข้าง (สองข้าง)  ขากี่ข้าง (สองข้าง)  จมูกมีกี่รู (สองรู)  เพราะฉะนั้นหูมีกี่ข้าง (สองข้าง)  ล้วนสร้างขึ้นมาไว้เป็นคู่ทั้งสิ้น  ปากทำไมถึงมีอันเดียว เพราะว่าปากนั้นอยู่ตรงกลาง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ามองจมูกคนก็มีแค่หนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าที่เหลือนอกนั้นก็มีคู่ทั้งสิ้น  หมายความว่าถ้าหากว่าอยู่ในโลกนี้ก็มีคู่ มีความเป็นคู่ มีขาวมีดำ มีดีมีร้าย  เพราะฉะนั้นคนจึงหนีไม่พ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในเมื่อเรานั้นมีธรรมชาติในตัวของเราที่เป็นคู่ แสดงว่าตลอดชีวิตต้องรับทั้งดีและร้าย รับทั้งความสุขและความทุกข์ รับทั้งขาวและดำ  แต่ว่าในธรรมะก็มีความมหัศจรรย์ให้เรามีปากหนึ่งปากไว้เตือนสติ  ให้มีจิตใจหนึ่งด้านไว้เตือนสติว่าเราทำจิตใจของเราให้เป็นกลาง เมื่อใดที่เราอยู่อย่างเอาใจไว้ที่ตาไว้ที่หู เราก็จะไม่เป็นหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากเราเอาใจของเราไว้ที่ใจ ทุกคนที่รับวิถีธรรมแล้วย่อมรู้ว่าใจของเราตั้งอยู่ที่ไหน นั่นยิ่งหนึ่งใหญ่เลย ทั้งที่ไม่มีรูปลักษณ์ และไม่สามารถมองเห็นได้ การบำเพ็ญธรรมก็คือ การบำเพ็ญที่ใจของตนเอง ไม่ต้องมีรูปลักษณ์ใดๆ ทั้งสิ้น  แม้แต่รูปลักษณ์ของอาจารย์ที่ยืมร่างให้ศิษย์เห็น เพื่อที่จะสอนศิษย์ในวันนี้ก็ยึดไม่ได้เช่นเดียวกัน
(พระอาจารย์เมตตาสอนร้องเพลงพระโอวาท)
หวังว่าเนื้อความที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์และอาจารย์ให้นั้นจะแทรกซึมเข้าไปในใจของศิษย์ทุกคน ให้รู้ว่าเรามีชีวิตไม่ใช่ปล่อยไปวันๆ ให้เรามีชีวิตอย่างมีคุณค่า ให้ดูปราชญ์วีรชนเป็นตัวอย่างว่าเราทำเช่นเขาหรือไม่ ในเมื่อเรามีร่างกายและโอกาสเช่นเดียวกัน แล้วโอกาสของเรานั้นก็ดูจะสูงกว่าด้วยซ้ำ  ให้เราดูซิว่าเรานั้นจะชนะคนด้วยความดีจริงหรือเปล่า หรือชนะคนด้วยกำลังหรือสิ่งอื่น  สิ่งอื่นที่เราชนะนั้นถึงแม้เขาจะยอมแพ้ให้กับเรา แม้ว่าเขาจะยอมเงียบแต่ใจเขาไม่เงียบเลย ใจของเขายิ่งตะโกน เพื่อที่จะเอาชนะศิษย์  ถ้าเรานั้นชนะเขาด้วยความดี เราไม่ต้องห่วง เปรียบเสมือนยอมหมอบที่เดียว แล้วเราใจเย็นพอที่จะใช้ความดีไหมล่ะ
ความดีแปลว่าอะไร แปลว่ารู้ให้ รู้ช่วย รู้มีคุณธรรม รู้จังหวะ รู้โอกาส รู้ในสิ่งที่พูด รู้จริง คำว่า “ความดี” นั้น หลายๆ คนคิดที่จะทำในสิ่งที่ดี แต่ผลเป็นทางตรงกันข้าม แสดงว่ามันยังไม่ดีจริง ต้องพิจารณาหาเหตุผล แต่ไม่ใช่เอาเหตุผลมาอ้าง เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ทุกๆ คนนั้นมีความโลภ ความหลงโดยเทียมเท่ากัน  อาจารย์ก็เลยมีความโลภความหลงเหมือนกัน แต่ว่าใครจะละแล้วกว่าใคร ใครจะละได้มากกว่าใคร  ใช่ว่าเรานั้นบำเพ็ญมากแล้วเราจะละได้มาก ไม่ใช่แต่มองดูที่ไหนล่ะ ลองเอาตาชั่งใจมาวัดใจดูสิ  แล้วศิษย์นั้นก็รู้บำเพ็ญไปได้เท่าใดแล้ว ยิ่งถ้ามีเรื่องเล็กๆ มาสะกิดแล้วเราทำเป็นเรื่องใหญ่ เรียกว่าคนชอบทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ แสดงว่ายิ่งบำเพ็ญแล้วถอยหลังลงคลอง เข้าใจไหม (เข้าใจ)  สถานธรรมที่นี่เวลาคนมาทีก็ดูคับแคบไป แต่ว่าอาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกคนนั้นใช้เวลาที่ได้อยู่ร่วมกันนี้อยู่กันอย่างมีความสุข บันไดห้าชั้นคงไม่เป็นอุปสรรคของศิษย์ใช่ไหม (ใช่)  เวลาหลังจากวันนี้ยังหวังให้ศิษย์นั้นมาสถานธรรมบ่อยๆ อย่างน้อยวันพระขอให้พวกเรานั้นได้มาไหว้พระ
“ชนะใจคนได้ด้วยความดี”  ฉะนั้นกลับไปหลังจากนี้ขอให้พวกเราเมื่อเจอเรื่องใดขัดใจ เมื่อได้ยินอะไรขัดหู เมื่อเห็นอะไรขัดตา (ต้องทำใจ)  เราต้องวางเฉย ไม่ได้เฉยที่สีหน้า ไม่ได้เฉยด้วยสำเนียงเสียง แต่ต้องเฉยที่ใจจริงๆ  ลูกทำให้ขัดใจปัญหาใหญ่ไหม ปัญหาใหญ่ น้อง พี่ เพื่อน ทำให้ขัดใจ คนไม่รู้จักก็ทำให้ขัดใจได้ใช่ไหม (ใช่)  ต้องทำอย่างไร จะวางเฉยที่ใจก็ดี จะปล่อยวางจะทำใจก็ดี เลือกเอาสักวิธีแล้วลองดู ถ้าไม่ได้ก็ลองหาวิธีใหม่ ใช่ไหม (ใช่)  ขอเพียงแต่เราพยายามย่อมมีความสำเร็จ ถ้าเราไม่พยายามย่อมไม่มีความ (สำเร็จ)  ใช่ไหม (ใช่)  หวังว่าศิษย์นั้นทำได้ เพราะว่าอาจารย์อยากให้ศิษย์ที่บำเพ็ญในยุคนี้มีเพื่อนผู้ร่วมบำเพ็ญมากมาย อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นบำเพ็ญอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคี อยากให้เวลาผ่านไปทุกๆ นาที ทุกๆ วัน ของศิษย์นั้นมีความราบรื่นและอยากให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นทุกๆ คนมองหน้ากันติด คุยกันได้ รู้ไหม (รู้)  ต้องต่างคนต่างยอมถอยจึงมีที่กว้างใช่ไหม (ใช่)  ถ้าต่างคนต่างเดินหน้าลุยแหลกก็พัง ในยุคนี้อาจารย์กลับเน้นธรรมะในการให้ศิษย์นั้นอยู่ด้วยกันได้อย่างสันติสุขมากขึ้น เพราะว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นมีมากขึ้น เป็นการห้ามไม่ได้แล้ว ศิษย์ก็ไปเรียกร้องให้คนอื่นนั้นเปลี่ยนตามใจศิษย์ไม่ได้ มีแต่ต้องเปลี่ยนใจของตัวเองนั้นให้ดีมากขึ้นเท่านั้นเอง คนเรานั้นต่างมีเรื่องราว ต่างมีเหตุปัจจัย สภาพแวดล้อมมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เขากลายเป็นคนอย่างนี้ แม้กระทั่ง ไม่ต้องอะไรมาก วันนี้ท้องฟ้าครึ้มๆ ศิษย์ของอาจารย์ก็ดูเงียบๆ เหงาๆ ใช่ไหม พอแดดร้อนเปรี้ยงก็หงุดหงิด พอเย็นๆ ลมโชย ก็ง่วงนอน นี่คือสภาพแวดล้อมและปัจจัยนั้นทำให้เป็นอย่างนี้ เราเกิดมาเราก็มีเหตุปัจจัยที่คนอื่นนั้นไม่เข้าใจเรา และยังมีกรรมเก่ามาคอยสมทบ เพราะฉะนั้นจงพยายามเข้าใจคนอื่นให้มากๆ  เราไม่ใช่เขา เราไม่รู้ใช่ไหม (ใช่) ตราบใดที่เราเป็นเขา เราก็บอกคนอื่นไม่เข้าใจเราเหมือนกัน แต่เราก็ต้องมีเหตุผล อาจารย์อยากให้ศิษย์อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้นักเรียนในชั้น และผู้ปฏิบัติงานธรรม)
สถานธรรมนี้กว้างคนเยอะ สถานธรรมส่วนกลาง เรานั้นเราต้องรู้จักรักและอย่าแบ่งแยกกันเข้าใจไหม คนที่ท้อแท้เลิกบำเพ็ญไปแล้วบอกว่า ที่ท้อแท้เลิกบำเพ็ญไปเพราะว่าคนอื่นทำให้เรานั้นเห็นในสิ่งที่ไม่ดี ตัวอย่างที่ไม่ดี แล้วเราจะไม่อยากบำเพ็ญนั้น ขอให้คิดให้ดีๆ  ไม่มีใครทำให้เราเลิกบำเพ็ญได้ นอกจากตัวเราเอง เราสอบตัวเอง เราปลดตัวเองออก ใช่ไหม เพราะฉะนั้นคำพูดของอาจารย์ในวันนี้ คนที่ท้อใจ เปลี่ยนใจไปขอให้คิดให้ดีๆ ไม่มีใครทำให้เราเลิกบำเพ็ญได้ นอกจากตัวเราเอง มรรคผลถ้าหากว่าไม่เอื้อมไปเอาแล้วใครจะได้ ใช่ไหม ต่างคนต่างบำเพ็ญต่างคนต่างรู้เอง ธรรมะมาในทางเส้นหนึ่ง เป็นทางที่เปิดกว้าง ใครบำเพ็ญก็เป็นของคนนั้น มรรคผลอยู่ข้างบน เอื้อมเอาก็ได้ อาจารย์บอกแล้วอย่าดูถูกตนเอง ให้คิดว่าเราทำได้ คนที่คิดว่าตัวเองทำไม่ได้ ก็ย่อมจะทำไม่ได้ ตั้งแต่เริ่มก้าวก็แพ้ไปครึ่งหนึ่งแล้ว การจะชนะใจคนอื่นนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ยากที่สุดคือชนะใจตัวเอง สิ่งใดที่เราเคยฟัง สิ่งใดที่เราเคยรู้ เราต้องนำไปปฏิบัติ ไม่ปฏิบัติย่อมไม่เกิดผล ไม่ปฏิบัติธรรมะก็อยู่ที่คนอื่นพูด ธรรมะก็อยู่ในหนังสือ ธรรมะก็อยู่แสนไกล เริ่มปฏิบัติ พริบตาเดียวธรรมะก็มาอยู่ตรงหน้า ยิ่งปฏิบัติธรรมะก็เข้าไปอยู่กลางใจของเรา นึกๆ  ดูใครทำเช่นใดก็ย่อมได้เช่นนั้น ศิษย์ของอาจารย์วันนี้เราเจอกัน อาจารย์บอกแล้วไม่อยากให้ศิษย์นั้นยึดติดในร่างที่อาจารย์ใช้ ไม่อยากให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นเวียนว่ายตายเกิดจึงต้องทำเช่นนี้ อย่าให้การมาของอาจารย์นั้นเป็นการมาที่เสียเปล่า ขอให้เราทุกๆ คนบำเพ็ญด้วยการรู้จักตัวเอง บำเพ็ญด้วยการชนะตัวเอง ต่างคนต่างมีกรรม มีบุญสัมพันธ์ไม่เหมือนกัน ต่างมีระยะทางในการบำเพ็ญไม่เท่ากัน ต่างคนต่างมา จูงมือกันเดินก้าวเท้าออกไป มัวช้าทำไม วันทุกวันก็เป็นของเรา ทุกคนก็มียี่สิบสี่ชั่วโมง อยู่ที่ใครจะใช้อย่างไร อยู่ที่รู้จะรักษาหรือเปล่า ความสำเร็จใดๆ สร้างขึ้นมาง่าย แต่รักษาไว้ให้อยู่ตลอดกาลนั้นยาก อาจารย์ขอย้ำในสิ่งที่อาจารย์พูด หลายๆ คนพอทำผิด คิดไม่ตกก็หลบหน้าอาจารย์ หลบหน้าอาจารย์ก็ไม่เป็นไร แต่อาจารย์นั้นอยากให้ศิษย์ได้บำเพ็ญต่อไป และบำเพ็ญให้ดี รู้ว่าเรานั้นจะตื่นเมื่อไร ถ้าอาจารย์จากไปแล้ว ทุกถ้อยคำของอาจารย์ อยากให้ศิษย์นั้นได้ปฏิบัติ ธรรมะที่มีอยู่ที่ศิษย์ได้ฟังสองวันนี้ ไม่ใช่สามัญไม่ใช่ทั่วไป ไม่ใช่ไหว้พระขอพร ไม่ใช่ทรงเจ้าเข้าผี ไม่ได้ให้ศิษย์รวย แต่ให้ศิษย์ฝ่าฟัน อย่าตื่นมาแล้วหลับไปอีกครั้ง คนที่งัวเงียๆ นั้นปลุกยาก เวลาเจอใครท้อใจให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
บำเพ็ญให้ดีๆ นะ คนข้างหลังเป็นอย่างไรก็ดูพวกเราเท่านั้น เกิดมาเป็นหญิงด้วยบุญบารมีของซือหมู่ ได้บำเพ็ญธรรมถึงวันนี้ รักษาโอกาสไหม จะมัวแต่สนใจเรื่องเล็กๆ น้อย จะมัวแต่มีอารมณ์แล้วจะบำเพ็ญถึงไหน เคยเห็นโรคที่ครูเขาชอบเป็นไหม โรคพูดเสียงดัง มันจะมีผลเสีย เข้าใจไหม  ลาแล้วศิษย์อาจารย์ทุกคน หวังว่าศิษย์นั้นบำเพ็ญดีๆ บำเพ็ญดีๆ ไกลอาจารย์เท่าไหร่ ดูแลตัวเองดีๆ บทเรียนส่งมาเยอะแยะ ทำไม่ทำ รักษาตัวดีๆ นะ อาจารย์ไม่ได้อยู่ ก็ขอให้รู้ว่ามีอาจารย์ในใจ ทำสิ่งใดคิดให้ดี ดูให้ถ้วนแล้วถึงทำ ให้กำลังใจคนข้างๆ แทนอาจารย์ด้วย ลาก่อนนะ


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท   “ชนะใจคนได้ด้วยความดี”

เกลียดความเป็นทุกข์  รักความหรรษาสุข  จิตใจโดนคลุก  เคล้าจนเผลอไปหลงใหล  หากคิดสักนิด  ก็จะเข้าใจ  ทั้งความสุขทุกข์  คงอยู่มิเคยจีรัง
อย่ามีชีวิต  ไว้เพียงเพราะต้องอยู่  แต่มีชีวิต  ไว้ดั่งเหมือนผู้สร่างฝัน  ปราชญ์ใช้ชีวิต  ทำคุณอนันตต์  ตระหนักเสมอคนจะชนะคนโดยความดี
คนทุกคนโลภมีหลงมีโดยเทียมเท่า  เพียงใครจะละแล้วกว่าใคร  ตรึกได้ดังนี้แล้วขอให้อภัย  พบคนพบที่ติให้ย้อนมองตนเอง  เพียรจิตเสมอบุญบาปสนองล้วนผลของกรรม

เพลง : ชนะใจคนด้วยความดี
ทำนองเพลง : จากวันนั้นถึงวันนี้

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา