PDF 2542-06-19-หมิงฮุย #13.pdf
วันเสาร์ที่ ๑๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๒ พุทธสถานหมิงฮุย จ.ลพบุรี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
ใช้ศรัทธามาฟังธรรมจึงเข้าใจ เอาใจใส่จิตในตนบำเพ็ญถ้วน
ชีวิตหนึ่งทำแต่สิ่งอังสมควร อย่าเรรวนเพราะลังเลขาดศรัทธา
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงฮุย เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
ในวันนี้เป็นฤกษ์ดีมาพร้อมกัน ขอใจนั้นบริสุทธิ์รัศมี
ขอทุกคนรักษาไว้ซึ่งความดี ขอให้มีสืบไปใจจะบำเพ็ญ
ยืมกายปลอมเพียรกายจริงแห่งตนเถิด คนประเสริฐด้วยความดีที่ตนสร้าง
เผลอนิดเดียวพาใจให้หลงทาง คืนความว่างเหนือดีชั่วได้คืนแดน
ในวันนี้เป็นวันแรกการประชุม ขอสุขุมจิตดั่งพระประธาน
ทั้งเศร้าสุขที่มีในวันวาน ให้เลยผ่านด้วยปัญญามิผิดซ้ำ
ประชุมธรรมสะเทือนไปทั่วสามภพ ขอเคารพทั้งกายใจไม่ทำเล่น
ชีวิตหนึ่งรู้จักนำพาเป็น ร้อนเป็นเย็นด้วยจิตใจแห่งพุทธา
จงได้รู้ชีพแสนสั้นสร้างคุณค่า ประวิงเวลาผัดผ่อนบ่อยไม่พ้นหลง
ในบัดนี้วิสุทธิอาจารย์ชี้ทางตรง ขอมั่นคงอย่ายอมพ่ายอุปสรรคนานา
ขอให้รู้น้องต่างเคยเป็นพุทธะ ในยามนี้เร่งลดละเหล่าตัณหา
จงเป็นผู้รู้แจ้งในมายา น้องคนกล้าย้อนมองตนให้ถ้วนเทอญ
ในวันนี้เป็นวันแรกเริ่มประชุม ขอควบคุมจิตลิงม้าให้หยุดนิ่ง
เมื่อศึกษาจนเข้าใจให้ทำจริง ทุกทุกสิ่งย่อมสำเร็จด้วยพยายาม
เป็นคนหลับที่ตื่นเพราะความเพียร ตั้งใจเรียนทั้งสองวันให้แกล้วกล้า
เรือทวนน้ำขึ้นไปให้ฟันฝ่า เมื่อนำพาตนดีแล้วช่วยเวไนย
ในวันนี้มิกล่าวความให้มากไป ศิษย์พี่ไซร้รับบัญชามาคุมชั้น
ขอให้น้องรักษาระเบียบอย่างแข็งขัน สิ่งสำคัญรักษาศรัทธาในใจตน
บรรพชนต่างมาร่วมฟังธรรมด้วย ขอน้องรวยจิตใจอันเป็นกุศล
ให้คิดดีทำดีเป็นเบื้องต้น มีกายคนช่างล้ำค่าสุดประมาณ
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา หยุด
วันเสาร์ที่ ๑๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๒ พุทธสถานหมิงฮุย จ.ลพบุรี
พระโอวาทพระนาจา
หลงอาลัยทรัพย์สมบัติสิ่งลวงใจ นับเป็นภัยต่อชีวิตตนเองยิ่ง
การรู้พอคือความสุขอันแท้จริง สามารถทิ้งความโลภได้ใจเสรี
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกคนสบายดีไหม
ชีวิตมีสมหวังและผิดหวัง สติตั้งอย่าใจร้อนจนสับสน
รู้จักดำเนินนำพาตนไม่อับจน ด้วยกมลหมั่นทำดีประดุจราก
กลางทะเลเรือจึงมีโอกาสใช้ โองการไม่มีถ่ายทอดกว้างลำบาก
เปิดเผยในอดีตธรรมพบยาก ง่ายในยากทางพบยามคับขัน
ไขประตูรู้ชีวิตได้แต่นี้ ขึ้นเรือธรรมลี้เภทภัยวัฏสงสาร
มหาธรรมแพร่ไปกลางคลื่นระราน ฝึกกายใจชีพนี้หมั่นพิจารณา
เจอความทุกข์เข้าให้ไม่ปรานี ชีวิตนี้ตนกำหนดเร่งเดินหน้า
หวังให้ท่านมั่นคงจิตมีธรรมา พร้อมเดินฝ่าทุกข์ยากในทันที
มากคนเพียรแต่คนสำเร็จน้อย จึงชะรอยพาตนให้หลงนที
ได้ฟังธรรมพร้อมเข้าใจวันนี้ พาชีวีคืนฝั่งธรรมพร้อมเวไนย
ฮิ ฮิ หยุด
จริงใจบำเพ็ญ ชั่วดีอภัยโดยเต็มใจ ติดใจอะไรแก้ไขจิตเราให้ซื่อตรง โดยมิสับสน พร้อมหรือไม่
การบำเพ็ญใจ มากมายควรรู้ละเป็นทุน ฝึกใจมีดุลย์ ต้นปลายเสมอมีจุดหมาย เป็นทัพหน้ารุด ละหมองสิ้น
หนึ่งวันเวลาได้ทำสิ่งใดคิดทบทวน ทำสิ่งคู่ควรแค่ไหนแด่ตนผู้รับ ขัดเกลา ไยคร้านดั่งเขลา มิเห็นค่า
บำเพ็ญธรรมา เมตตาและอ่อนน้อมตามมา ศรัทธาความเข้าใจทั้งจิตครองได้มั่นคง ดีเพราะฝึกฝน รู้หรือไม่
เพลง : พร้อมหรือไม่
ทำนองเพลง : คิดถึงบ้าน
พระโอวาทพระนาจา
ใครยังมาไม่ครบ รีบๆ ขึ้นมาเร็วๆ แล้วตัวเรามาครบหรือยัง มาครบทั้งกายทั้งใจหรือเปล่า หรือมาแต่กาย ใจไม่ได้มา (ครบ) กินอิ่มไหม (อิ่ม) สบายไหม (สบาย) เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย) นั่งแล้วเมื่อยหรือไม่ (ไม่เมื่อย) เบื่อหรือไม่ (ไม่เบื่อ) อย่างนั้นกลับไปบ้านห้ามบ่นนะว่าเมื่อยจังเลย อยู่ในห้องนี้ คับแคบไปไหม (ไม่แคบ) อึดอัดไหม (ไม่อึดอัด) อย่างนั้นแปลว่าทุกอย่างก็ลงตัวหมด ไม่ร้อน ไม่เบื่อ ไม่เมื่อย ก็พร้อมทั้งกายและใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตอนเป็นเด็กๆ ใครๆ ก็ฟังนิทาน วันนี้เรามาฟังนิทานกันสักเรื่องดีไหม (ดี) เราเตรียมนิทานมาตั้งเยอะแยะ อยากมาเล่าให้ทุกท่านฟัง เป็นนิทานเกี่ยวกับชีวิตของวัวตัวหนึ่งกับลูกหมาอีกหนึ่งตัว วัวกับหมานี้อาศัยอยู่ในบ้านบน
ภูเขา หมามีอิสระ สามารถเดินไปไหนก็ได้ แต่เจ้าของก็จับขังไว้อยู่ในกรง กลัวว่าถ้าหากลงจากเขาไปแล้วจะหายไป ถึงเวลาก็ปล่อยได้เพียงชั่วครู่ คือปล่อยให้มาทำงานเท่านั้น ถึงเวลาก็จับเข้ากรง วัวก็เหมือนกัน เวลาจะไปไหนก็ต้องมีคนคอยจูง เขาพูดอะไรก็ต้องฟัง เขาบอกให้หยุดอยู่ตรงนี้ก็ต้องหยุดตรงนี้ เพราะมีสนตะพายวัวอยู่ ทำให้ไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ วันหนึ่งวัวกับหมาสามารถคุยกันได้ เพราะว่ามีใจสื่อถึงกัน วัวก็เลยคุยกับหมาว่า อยากมีอิสระไหม หมาก็ตอบว่าอยากเหมือนกัน ทำไมใจตรงกันล่ะ วัวก็บอกว่าถ้าเช่นนั้นเอาอย่างนี้ คืนนี้ตอนเที่ยงคืน เราจะมาช่วยท่านออกไปจากบ้านหลังนี้ หมาก็ออกมาจากกรงได้โดยการใช้ฟัน สมัยก่อนกรงยังเป็นไม้อยู่ การใช้ฟันหรือการจะกระโดดข้ามก็เป็นเรื่องง่าย หมาก็เลยมาหาวัว แต่วัวโดนสนตะพายทำให้ออกไปไม่ได้ หมาก็เลยบอกว่าฉันจะกัดเชือกให้ขาดดีไหม วัวก็บอกว่าไม่เอา เสียดาย เชือกนี้อยู่กับฉันมาตั้งแต่เกิด ตั้งหลายสิบปีแล้ว อย่ากัดเลย ช่วยเอาเท้าเขี่ยๆ เดี๋ยวมันก็หลุดเอง หมาก็เลยเอาเท้าเขี่ยๆ เอาปากแงะๆ เชือกที่ผูกกับหลักไว้ก็หลุด แต่ผลสุดท้ายเจ้าของเกิดได้ยิน เพราะวัวกับหมาคุยกันเสียงดัง เจ้าของจึงออกมา หมาสามารถหนีออกไปได้ แต่วัวหนีไม่ได้เพราะว่ายังติดเชือกที่จมูกอยู่ เวลาวัววิ่งเชือกก็ยังตามมา แต่หมาไม่มีเชือก ไม่มีปลอกคอก็เลยไปได้อิสระ วัวจึงบอกว่าความผิดพลาดของฉันข้อเดียวที่ทำให้ฉันไม่สามารถมีชีวิตที่อิสระเสรีได้ ก็เพราะความอาลัยอาวรณ์ในทรัพย์สมบัติชิ้นนี้ทำให้ชีวิตฉันต้องประสบภัย
คนเราก็เหมือนกัน เราสามารถเป็นเหมือนวัวหรือเป็นเหมือนหมาก็ได้ หมายถึงการมีชีวิตที่อิสระ สามารถไปในโลกกว้าง หรือเราสามารถท่องเที่ยวไปไกลๆ ก็ได้ แต่เพราะอะไรเราถึงไปไม่ได้ เป็นเพราะว่าเรายังห่วงสมบัติพัสถานกัน ทำให้ชีวิตเราแทนที่จะมีอิสระเสรีมากกว่านี้ กลับเป็นเพียงแค่กรอบแคบๆ หนทางสั้นๆ หรือพูดง่ายๆ ในเรื่องความคิด ความคิดของเราก็มักติดอยู่ เหมือนเราชอบอันนี้แล้ว ทำอย่างไรจึงเปลี่ยนเป็นไม่ชอบ บางทีก็เปลี่ยนยากใช่หรือไม่ เพราะเราชอบอันนี้แล้ว พอมีคนบอกว่าชอบแล้วไม่ดีนะ จะมีโทษ เราก็บอกว่าไม่เอา ก็มันอยู่กับฉันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เรามีนิสัยอันนี้ที่ไม่ดี ให้เลิกเสีย เราก็บอกว่าไม่ได้ก็มันชินเสียแล้ว แล้วเราก็เป็นทุกข์กับสิ่งที่เราชิน สิ่งที่เราชอบบ้างไม่ชอบบ้าง ที่จริงแล้วเราหลงอาลัยในทรัพย์สมบัติบนโลกนี้เพียงอย่างเดียวไหม (ไม่ใช่) อารมณ์ที่เราเคยชิน เราก็หลงด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) ตัวเราเองเราหลงไหม (หลง) สิ่งของที่เป็นของเรา เราหลงไหม (หลง) คนที่อยู่ข้างๆ เรา คนที่เป็นญาติเรา เราหลงไหม (หลง) ใครมาว่าพ่อแม่ฉันไม่ได้ ใครมาว่าพี่น้องฉันไม่ได้ เราก็โกรธ ใครมาว่าตัวฉันไม่ได้ ฉันก็โกรธ ใช่หรือไม่ (ใช่)
คนที่โลภเป็นเหมือนคนที่ไม่รู้จักอิ่ม ถ้าเปรียบกับสัตว์ก็เหมือนกับหมูที่เทอาหารให้เท่าไรก็กินไม่เคยหยุด จนกว่าเขาจะไม่เทอาหารให้ หมูจึงจะหยุดกิน แต่ถ้ามีมาเรื่อยๆ หมูก็จะกินเรื่อยๆ ตัวท่านเป็นไหม เวลาโลภทีหนึ่ง เงินทองมาก้อนหนึ่ง ไม่พอ เอาอีกก้อนหนึ่ง ใช่หรือเปล่า (ใช่) ได้บาทหนึ่งไม่พอ ต้องเป็นสองบาท สองบาทได้ไหม ไม่พอ ต้องเป็นสามบาท ตอนนั้นนิสัยท่านกำลังเหมือนหมูใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วคนที่ชอบโมโหเป็นอย่างไร ไม่กล้าพูดแล้ว ใช่ไหม เดี๋ยวเป็นอะไรอีกก็ไม่รู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ความสุขที่แท้จริงเกิดจากภายนอกหรือภายใน (ภายใน) ภายในคือภายในจิตใจใช่หรือไม่ เคยไหมเวลาที่เรามีจิตใจที่ปิติสุข อิ่มเอม มีจิตใจที่ปรีดา ใครเอาเงินเอาทองมาให้รู้สึกอย่างไร (ดีใจ) ยิ่งดีใจใหญ่เลยหรือ เรามีแต่ได้ยินว่าถ้าใจเราเต็มอิ่มปิติสุขแล้ว แม้ข้างนอกมาก็ไม่มีผลแล้ว แต่เป็นเพราะว่าใจท่านยังสุขไม่เต็มที่ พอข้างนอกมาเติมก็ไม่มีวันเต็มสักที ใช่หรือไม่ (ใช่) แปลว่าใจมนุษย์นั้นยากหยั่งลึก เป็นทะเลที่ถมไม่มีวันเต็ม เป็นภูเขาที่สูง มองหายอดไม่เจอใช่หรือไม่ แล้วอย่างนี้ดีหรือ (ไม่ดี) แล้วทำไหม (ไม่ทำ)
มีสำนวนกล่าวว่า “ถ้าเรารู้ในสิ่งที่ไม่รู้จะทำให้เราเป็นคนที่แข็งแกร่ง แต่ถ้าเราไม่รู้ในสิ่งที่ควรรู้ จะทำให้เราเป็นคนเจ็บป่วยทั้งกายและใจ” ใช่หรือไม่ ถ้าหากเรามีความละอาย เราก็จะไม่กล้าเจ็บป่วย เมื่อไม่กล้าเจ็บป่วยเราก็จะกลายเป็นคนแข็งแกร่ง และเราก็จะกลายเป็นคนที่รู้ทั้งในสิ่งที่ไม่รู้ และควรรู้ใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์เราอยู่ในโลกนี้บางครั้งเรื่องราวหรือสัจธรรมความเป็นจริงของชีวิตหรือเรื่องราวรัก โลภ โกรธ หลง มีเหตุอย่างไร ก่อผลอย่างไร ถ้าทำแล้ว จะส่งผลอย่างไรเรารู้ไหม (ไม่รู้) คนโลภมากๆ ผลเป็นอย่างไร รู้ไหม (รู้) คนชอบโกรธมีผลเป็นอย่างไร รู้ไหม (รู้) คนที่เอาแต่หลงไม่รู้จักตนเองมีผลเป็นอย่างไรรู้ไหม (รู้) แต่บางครั้งเราชอบทำตัวไม่รู้ เราจึงพร้อมที่จะเป็นคนเจ็บป่วย แต่การจะทำให้เราหยุดเจ็บป่วยและหยุดจากรัก โลภ โกรธ หลง หรือรู้จักแก้ไขข้อผิดพลาดได้ นั่นก็คือต้องมีความสำนึกและละอายใจ เมื่อสำนึกและละอายใจ เราก็จะไม่กล้าทำ และนั่นก็คือสิ่งที่เรารู้อย่างแท้จริงและเราเอามาปฏิบัติได้อย่างจริงจังใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนเวลาเราหลงโลภ อยากโกรธ เวลาเราโกรธทีหนึ่งหากเราสำนึก หรือหากเรารู้ว่าโกรธแล้วน่าละอายนัก พ่อแม่ เพื่อนหรือพี่น้อง ไม่มีใครอยากเข้าใกล้นัก เราก็จะไม่กล้าทำในสิ่งนั้นใช่หรือไม่ เมื่อเราไม่กล้า การหยุดยั้งตั้งแต่ต้นย่อมไม่ส่งผลในบั้นปลาย
เรามีชีวิตในโลกที่ทั้งกว้างและทั้งไกล การดำเนินชีวิตในโลกนี้จึงเหมือนกับการตกปลา แม่น้ำที่เขาตกปลานั้นทั้งกว้างและทั้งลึกใช่หรือไม่ (ใช่) การดำเนินชีวิตของเราก็เหมือนคนที่กำลังไปแสวงหา เวลาเราหวดไม้ที่จะตกไปครั้งหนึ่ง เราไม่รู้ว่าชีวิตนี้เราจะได้อะไรขึ้นมาใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนการดำเนินชีวิตของเรา เวลาเราออกไปจากบ้านครั้งหนึ่ง หากเราไม่มีจุดหมายว่าจะทำอะไร เราก็ไม่รู้ว่าการที่ไปครั้งนี้จะได้อะไรกลับมาใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ทุกคนล้วนมีจุด
มุ่งหมายในการที่จะแสวงหา บางคนหาเงินทอง บางคนหาความรู้เพื่อไปสร้างชีวิตสร้างอนาคตใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วการหาเงินทอง ความรู้ ทรัพย์สิน ชื่อเสียงนั้น เราหาเพื่อประทังชีวิตหรือหาเพื่อสะสม (สะสม,หาเพื่อประทังชีวิต) คนที่สะสมนั้นสะสมเพื่อครอบครัวและเพื่อตนเองด้วย นั่นก็คือบางคนหาทรัพย์เพื่อสะสม บางคนหาเพื่อชีวิตอยู่รอด แต่ความเป็นจริงเวลาเราตกปลาทีหนึ่ง ถ้าอยู่คนเดียว เราตกได้มาตัวหนึ่งเราก็ดีใจ บางคนก็พอแล้ว แต่ถ้าครอบครัวใหญ่ หามาเต็มกาละมัง ที่เหลือเอาไปขายบ้าง ไปเปลี่ยนเป็นเงินทองบ้าง หรือถ้าไม่ขายก็เอาไปหมัก ใช่หรือเปล่า (ใช่) แปลว่าคนเรารู้จักวิถีทางในการดำเนินชีวิต หากวันนี้ใช้ไม่ได้ ก็รู้จักเอาไปเปลี่ยนแปลงให้ดีกว่านี้ แล้วเก็บได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเกิดว่าเราคำนึงถึงแต่ตนเอง แม่น้ำมีปลาเท่าไร ทุกคนต่างตักตวงเป็นของตัวเองอย่างเต็มที่ แล้วคนรุ่นต่อไปจะมีปลาให้กินไหม (ไม่มี) การแสวงหาจึงต้องรู้จักหยุดยั้งในการแสวงหาบ้าง รู้จักพอบ้าง ท่านเหนื่อยกับการเก็บสิ่งของ เก็บเงินทอง ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะเราเหนื่อยกับเงินที่เก็บมา ของที่เก็บมา แทนที่จะได้เอามากินในยามหน้าแล้ง ในยามไม่มีต้นไม้หรือพืชพันธุ์ กลับกลายเป็นว่าต้องเอามาบำรุงยามเหนื่อย ยิ่งเหนื่อยมากเรายิ่งกินมาก ยิ่งใช้มากก็ยิ่งโหมทำงานมาก ที่เก็บมาก็หมด ฉะนั้นการดำเนินชีวิต บางครั้งเราทำเพื่อตนเองก็จริง แต่การทำเพื่อตนเอง เราต้องถามตัวเองก่อนว่าเราเบียดเบียนผู้อื่นไหม ลองคิดง่ายๆ มีเข็มงอๆ อยู่เล่มหนึ่ง เผลอไปเกี่ยวที่หลัง เจ็บไหม (เจ็บ) เข็มที่เราเย็บผ้าอยู่เผลอแทงเข้าไป เจ็บไหม (เจ็บ) เราตกปลามากินแล้วเราอิ่ม แต่เกี่ยวเขามาทั้งชีวิต บาปไหม (บาป) รู้ไหม (รู้) รู้แต่ทำใช่หรือเปล่า ให้คิดถึงใจเขาใจเรา เพราะทุกคนต่างมีจิตเมตตา ไม่มีใครหรอกที่ไม่มีจิตเมตตา
คนเราปัจจุบันนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ จึงมีสำนวนว่า “คบคนให้ดูหน้า ซื้อผ้าให้ดูเนื้อ” แต่นี่พยายามดูหน้าแล้วก็เดาใจยากเหลือเกิน ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะว่าคนปัจจุบันนี้ดุยิ่งกว่าเสือ ร้ายยิ่งกว่ายุง เราว่าเห็นกันดีๆ แต่พอเอาเข้าจริงๆ มีทั้งเล่ห์เหลี่ยม มีทั้งการเสแสร้ง เปลี่ยนได้พันหน้า ร้อยแปดพันอย่าง วันนี้พูดดีๆ แต่วันหลังเผลอแทงเข้าที่หลังเราโดยไม่รู้ตัว วันนี้ปลอบใจเรา แต่อีกสักพักหนึ่งก็แอบเอาเราไปนินทาเสียแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะว่าคนเราดูกันยากเหลือเกิน เป็นเพราะว่าอะไรล่ะ อย่าได้มองจากคนอื่นเลย มองแค่คนใกล้ๆ ตัว บางทีเราบอกว่าคนข้างนอกไว้ใจไม่ได้ มีแต่อันตราย มีแต่เรื่องน่ากลัว แต่เราลองมองดูใกล้ๆ ในบ้านเรา บ่อยครั้งที่เกลือเป็นหนอน บ่อยครั้งที่คนในบ้านเราเองทำร้ายกันเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่) บ่อยครั้งที่ไม่ใช่ใครหรอก ก็ตัวเรานี่เองเป็นคนพาเรื่องให้เกิดในบ้าน ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นไม่ต้องไปมองใคร เป็นเพราะว่าตัวเราเอง ขาดธรรมะไป จึงทำให้มักก่อเหตุก่อภัยให้กับชีวิตเราเอง แล้วก็ทำให้คนรอบข้างเดือดร้อน จริงๆ ไม่ขาดหรอก แต่ว่าไม่รู้จักควบคุมตนให้มีธรรมะที่ดีงาม ใช่หรือไม่ (ใช่) เรารู้ว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ดี ใครทำคนนั้นย่อมดี ใช่หรือไม่ (ใช่) เรามาดูกันหน่อยว่าคนที่มีธรรมะและมีจิตใจดีเป็นอย่างไร (ยิ้มแย้มแจ่มใส, มีจิตใจที่ดีงาม, มีเมตตา ชอบทำบุญทำทาน, ใจต้องมีคุณธรรม) แต่บ่อยครั้งเราก็เห็นยิ้มเก่ง เอาใจก็เก่ง พูดก็เก่ง แต่ผลเป็นอย่างไร หลอกลวงเราก็มี ใช่หรือไม่ (ใช่) แสดงว่ายิ้มเก่งแต่หน้า ใจดีแต่ปาก (คิดดี พูดดี ทำดี) นั่นคือต้องกลั่นออกมาจากภายใน ไม่ใช่ภายนอก ใช่หรือไม่ (ใช่) (มีเมตตากรุณา) ความเมตตาคือเห็นคนอื่นแล้วอดสงสารไม่ได้ แต่ไม่ใช่แค่พูดว่าสงสารจังเลย ก็ถือว่ามีเมตตาแล้ว (ต้องดีด้วยกาย วาจา ใจ) นั่นคือต้องมีจิตใจที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริงใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ การจะคิดเคลือบแฝง การจะคิดหลอกลวงผู้อื่นก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าความบริสุทธิ์ก็คือความสะอาดใส ไร้สิ่งมลทิน ไร้สิ่งที่เป็นกิเลสหรือสิ่งสกปรกทั้งมวล ฉะนั้นเมื่อเรามีลักษณะจิตใจที่ดี นั่นก็คือมีจิตใจภายในที่บริสุทธิ์ เมื่อมีจิตใจภายในที่บริสุทธิ์แล้ว การที่จะมีลักษณะที่ดีออกมาจากตัวเราย่อมบังเกิดได้ ภายนอกจะขับเคลื่อนต้องเกิดจากภายในใจเคลื่อนไหวเสียก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อภายในเริ่มต้นออกมาดี ภายนอกย่อมนำมาสู่สิ่งที่ดี เมื่อมีสิ่งที่ดีแล้ว ยังต้องมีอะไรอีกที่จะทำให้เราไม่ก่อภัยมาสู่ครอบครัว ไม่ก่อภัยมาสู่ตนเองและสังคม นั่นก็คือความถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่) รู้ว่าทำดีแบบนี้ แต่ถ้าไม่รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ตอนไหนควรพูดตอนไหนไม่ควรพูด อย่างนี้เรียกว่าไม่รู้จักความถูกต้องและเหมาะสม ใช่หรือไม่ (ใช่) การรู้จักลักษณะที่ดีแล้วกระทำโดยรู้ว่าอะไรถูกอะไรควร จะทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องและไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อใคร แล้วคนที่ดำเนินไปด้วยความมั่นคงในความดีงามและความถูกต้อง ย่อมไม่หวาดกลัวอันตรายใดๆ ด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) แต่บ่อยครั้งที่ท่านพยายามรักษาความดีงามและถูกต้อง แต่มักกลัวภัย เพราะไม่กล้าแบกรับความผิดชอบ หรือแบกรับความชั่วของผู้อื่น เหมือนเวลาเราทำดี แต่คนอื่นเลวร้ายหมดเลย ท่านรู้สึกอย่างไร ยกตัวอย่างง่ายๆ ท่านถามคนข้างๆ ว่ามาตกอะไรล่ะ เขาบอกตกเงิน แล้วถามคนข้างๆ อีกว่ามาตกอะไรล่ะ เขาบอกว่าตกเกียรติยศชื่อเสียง พอถามท่านว่ามาตกอะไร ท่านตอบว่าจะมาตกความดี เสียงเบาทันทีเลยใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนวันนี้ท่านกำลังมาศึกษาธรรม พอเดินมาเจอคนข้างๆ ถามว่าไปไหนล่ะ ไปหาเงิน ไปไหนล่ะ ไปทำงาน แล้วท่านล่ะไปไหน ไปศึกษาธรรม (ตอบเสียงอ่อยๆ)
ถ้าเราทำดี เรามั่นใจในสิ่งที่ดี แล้วเราคิดว่าเราทำถูกต้อง มุ่งมั่นเดินไปให้ถึงก็เปรียบเหมือนน้ำที่สามารถไหลไปทุกแห่งหน รองรับสิ่งสกปรกโดยไม่รังเกียจและไม่สูญเสียความเป็นธรรมชาติของตนเอง นั่นก็คือเมื่อเรามุ่งมั่นจะทำสิ่งใดแล้ว การจะเดินไปให้ถึงย่อมต้องมีอุปสรรคเป็นธรรมดา แต่ถ้าใครมุ่งมั่นทำอย่างหนึ่งแล้วเดินไปให้ถึง ไม่หวาดกลัวอันตราย คนนั้นเป็นคนน่านับถือใช่หรือไม่ (ใช่) แม้ว่าเจอความยากลำบาก เจอความทุกข์ยากก็ไม่คิดเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่มุ่งมั่นตั้งใจ เมื่อเดินไปสักวันหนึ่งเขาย่อมสำเร็จ เมื่อสำเร็จแล้ว จิตใจเขาไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงรักษาความดีงามและความถูกต้อง คนๆ นั้นเรียกว่ายอดคน ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นพอรู้หรือยังว่าเวลาเราดำเนินชีวิต เราจะทำอย่างไรจึงไม่ก่อภัยให้กับตัวเองและไม่ก่อภัยให้กับครอบครัว คือพยายามรักษาความดีงามและความถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่) เรียนหนังสือก็เช่นกัน ต้องรักษาความดีงาม ต้องรักษาความถูกต้อง ถ้าข้อนี้ถูกอยู่แล้ว แต่ท่านกลับไปกาข้อผิด อาจารย์ให้คะแนนไหม (ไม่ให้) เวลาท่านก่อสร้าง ถ้าท่านไม่ได้สร้างแบบที่สวยงาม คนจะเลือกบ้านแบบนี้ไหม เวลาวัดฉากวัดมุม ท่านวัดไม่เที่ยงตรง ไม่ถูกต้อง จะสร้างบ้านสำเร็จไหม (ไม่สำเร็จ) ถ้าหากท่านขายของ ตาชั่งของท่านไม่ตรง คนอยากซื้อกับท่านไหม (ไม่อยาก) คนเราดำเนินชีวิตก็เหมือนกัน ไม่ว่าทำงาน ไม่ว่าเรียนหนังสือ หรือในการคบคน จะต้องมีความถูกต้องและความดีงามอยู่ในชีวิต หากเมื่อไรขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป คนๆ นั้นย่อมยากจะประสบชีวิตที่เป็นสุขได้ จริงไหม (จริง)
คนบำเพ็ญธรรมคือ คนที่พยายามลดละ กิเลสตัณหาให้เหลือน้อยที่สุด ในชีวิตพยายามมุ่งใฝ่หาความสงบ ความแท้จริงของชีวิต แต่มนุษย์ที่ดำเนินชีวิตในทางโลกกลับพยายามใฝ่หาให้มากที่สุด มุ่งเดินไปสู่ความวุ่นวายและสับสนใช่หรือไม่ (ใช่) นี่คือความแตกต่างระหว่างคนที่รู้จักบำเพ็ญตนกับคนที่ไม่รู้จักบำเพ็ญ แล้วการบำเพ็ญตนนี้ไม่ใช่ให้ท่านทิ้งบ้านเรือนทิ้งภาระหน้าที่ แต่ให้รู้จักบำเพ็ญตนช่วยเหลือครอบครัวตนเอง แล้วก็นำธรรมะที่ดีนี้ไปช่วยเหลือผู้อื่นในสังคม ดำเนินชีวิตขัดเกลาตนเองพร้อมกับมีภาระมีหน้าที่ ทำได้ไหม (ได้)
อย่าคิดว่าการบำเพ็ญธรรมก็คือการนั่งสมาธิ ยุคนี้เป็นการบำเพ็ญตนอยู่ท่ามกลางสิ่งสกปรกแต่ตัวเองสามารถสะอาดหมดจดได้ อย่างนี้ยากกว่าไหม เหมือนการจะหาผักในทะเลยากไหม (ยาก) ปลาหรือกิเลสมีเต็มไปหมด จะตกเท่าไรก็ตกได้ แต่ธรรมะหรือสาหร่ายในทะเลตกได้ยากใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเวลาออกไปตกทีหนึ่งเรามักจะมึนเมาเผลอแล้วก็หลงลืมจุดหมายของตนเองไป บ่อยครั้งที่เราอยู่ในโลกนี้ พอสภาวการณ์มีแต่เลวร้าย ใจเราจะกลับขึ้นมาเป็นคนดีคงยากใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่เราต้องทำให้ได้เหมือนตกสาหร่ายในทะเลที่ทั้งกว้างใหญ่และลึก แต่ถ้าเราตกได้ เรารู้ตื่นได้เราย่อมเป็นสุขใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าทุกวันท่านเอาแต่ตกปลา ตกกุ้ง ตกหอยท่านจะมีแต่ทุกข์แล้วก็จะเวียนวนในวัฏจักรไม่จบสิ้น วันนี้ท่านทำเขาเจ็บ พรุ่งนี้เขาต้องกลับมาทำท่านเจ็บเหมือนกัน เฉกเช่นการตีเขาสักวันหนึ่งเขาย่อมตีเรา เหมือนมือที่ตบปุ๊บจะมีปฏิกิริยาเด้งกลับ เหมือนของที่ตกพื้นก็ย่อมเด้งขึ้นมาตามแรงที่เราเหวี่ยงไปหรือตามกรรมที่เรากระทำใช่หรือไม่ (ใช่)
(ศิษย์พี่เมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นเกมส่งผลไม้) เป็นการฝึกว่าส่งไปอย่างไรก็ต้องกลับมาให้เหมือนเดิม เรามักอยู่ในโลกนี้ไปแล้วกลับมาไม่เหมือนเดิม พอออกจากบ้านไปครั้งหนึ่งก็รับเรื่องราวทางโลกมาครั้งหนึ่งแล้วก็มึนไปรอบหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อสักครู่ที่เราบอกก็เหมือนกัน พอออกไปตกปลานานๆ เข้าก็หลงลืมมึนเมาจุดมุ่งหมายของชีวิตไปเสียแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) เรามีชีวิตไม่ใช่แค่แสวงหาลาภยศเงินทองชื่อเสียง แต่เรามีชีวิตเพื่อดำรงชีวิตให้ดีงามแล้วนำพาตนเองกลับคืนเบื้องบนต่างหากใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นออกไปอย่างไรต้องกลับมาเหมือนเดิม
(นักเรียนในชั้นเล่นเกมเสร็จแล้ว) เราได้รู้อะไรบ้าง ได้อะไรจากเกมที่เล่นบ้าง (ได้ความรู้ ความสามัคคี) ได้ฝึกความสามัคคี ได้ความรู้แล้วได้อะไรอีก (ความพร้อมเพรียง ได้ข้อคิดในการดำรงชีวิต ถ้าหากว่าเราดำรงชีวิตอย่างไม่มีจุดมุ่งหมายที่มั่นคงแน่นอน อาจจะมีอะไรที่กลับมาทำให้เปลี่ยนแปลงไขว้เขวไปได้) ก็เหมือนกับการดำเนินชีวิตของเรา บางคนรู้อย่างเดียวว่าต้องออกไป ต้องไปหาๆ แต่เราเคยถามตัวเองไหมว่า นอกจากหาเงินทอง หาชื่อเสียง หาความรู้ เราควรจะหาอะไรอีกให้กับชีวิตที่แท้จริง (หาธรรมะ หาความสุข หาทางกลับคืน) หาทางกลับคืนเพราะทุกคนรู้แต่จะไป แต่ไม่รู้จักกลับบ้าน
เกมเมื่อสักครู่นี้เราต้องการจะให้ข้อคิดว่าเราไม่ใช่รู้จักไปอย่างเดียว ไม่ใช่รู้จักออกอย่างเดียว แต่บางครั้งเราต้องรู้จักกลับคืนหรือย้อนเข้าหาตัวเราเองบ้าง บางครั้งเราไป แต่ที่ไปเพราะเกิดจากตัวข้างนอกไปใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วทำไมเราไม่ย้อนกลับหาดูข้างใน เมื่อเราย้อนกลับหาดูข้างในเราก็จะสงบได้ เราถึงจะหยุดการไปได้ เราถึงจะหยุดการดิ้นรนแสวงหาในโลกนี้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) เรามีชีวิตเราไปข้างนอกเป็น เราทำอย่างโน้น ทำอย่างนี้เป็น แต่เราเคยทำให้กับตัวเองได้เป็นจริงๆ หรือไม่ เราเป็นได้ก็เพียงมีลาภยศ มีชื่อเสียง มีเงินทอง หาเป็น แต่บางครั้งเราปล่อยไม่เป็น วางไม่ลงใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วเพราะอะไรล่ะ ในเมื่อเรามักจะเป็นคนที่ทำได้ชนิดเดียว ทำได้อย่างเดียว ด้านตรงข้ามเราไม่ยอมทำ อย่างนั้นไม่ใช่ประโยชน์เลย การดำเนินชีวิตเราต้องรู้จักเดินตรงได้ และบางครั้งก็ต้องรู้จักหยุดได้บ้าง เมื่อเรารู้ว่าเราตรง เราถึงจะรู้ว่าอะไรคือคด เมื่อเรารู้การไป เราถึงรู้ว่าเมื่อไหร่เราควรหยุด แต่การดำเนินชีวิตของคน รู้แต่ไป หยุดไม่เป็น รู้ว่าอะไรตรงแต่ไม่รู้จักแก้จุดที่คดให้กลับเป็นตรง แล้วเราจึงมักผิดหวังกับการกระทำ และล้มเหลวกับสิ่งที่เราดำเนินชีวิต ฉะนั้นเวลาเราดำเนินชีวิตเราจึงต้องรู้จักคิดและไตร่ตรองก่อนที่จะทำและพูด ไม่อย่างนั้นเวลาพูดไปแล้วนอกจากจะกระทบเราแล้วยังกระทบต่อคนรอบข้างด้วย คำพูดเกิดจากคน ผลกระทบสู่มวลชน พูดผิดไปแล้ว ต่อให้เป็นม้าอาชาไนยที่วิ่งเร็วก็เรียกกลับคืนมาไม่ได้ เหมือนลมปากพัดไปแล้วไม่ใช่พัดตามลม แต่ยังสามารถพัดเหนือลมได้ ฉะนั้นเมื่อผิดไปแล้ว ไม่มีใครสามารถช่วยเราแก้ไขได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
การกระทำก็เฉกเช่นเดียวกัน เกิดขึ้นจากเราตรงนี้ ผลกระทบไปสู่คนทั่วไปและกระทบไปได้ระยะไกล ฉะนั้นเวลาเราทำอะไร หากทำดีและถูกต้องแล้ว เมื่อมีคนมาต่อว่า เราควรจะดีใจ แต่ถ้าเราทำสิ่งผิดและไม่ถูกต้อง แต่กลับไม่มีคนเตือน น่าเศร้าใจไหม แสดงว่าชีวิตเราไม่มีคนชี้แนะข้อบกพร่องและข้อผิดพลาดให้ หรือแม้แต่ตัวเราเองยังไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดเลย อย่างนี้เป็นอันตรายกับการดำเนินชีวิตของตนเองใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการดำเนินชีวิต ถ้ามีคนพูดต่อว่า เราต้องดีใจ เขาช่วยสำรวจให้เราว่าสิ่งที่เราทำนั้นถูกต้องหรือไม่ ดีงามไหม และเวลาทำอะไรอย่าใจร้อน คิดไตร่ตรองให้รอบคอบ ค่อยๆ ทำ แล้ว จะผิดพลาดน้อย ศิษย์น้องเวลาทำงานมักจะใจร้อนต้องการไปให้ถึงไวๆ แต่ใจเร็วแล้วถึงจุดหมายไหม (ไม่ถึง) บางคนบอกว่าอยากทำความดี อยากทำสิ่งที่ถูกต้อง จะได้มีความสงบสุขภายในใจ แต่เวลาทำเรามักจะหวังผลเล็กๆ น้อยๆ จึงไปไม่ถึงผลใหญ่ๆ เพราะว่าเราท้อกับคำพูดเล็กๆ น้อยๆ หรือเรามัวหวังผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ปราชญ์หรือผู้บำเพ็ญธรรม เวลาบำเพ็ญตนไม่หวังผลข้างทางเล็กๆ น้อยๆ ขอไปเก็บเกี่ยวเอาผลใหญ่ๆ ที่บั้นปลายดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการกระทำอย่าใจร้อน ทำอะไรคิดให้รอบคอบ อย่าหวังผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ แล้วเราจะทำได้สำเร็จและไปถึงบั้นปลายได้อย่างมีความสุข และได้รับผลอันยิ่งใหญ่ดีไหม (ดี)
ในชีวิตนี้เรามักกังวลอยู่สองเรื่อง ไม่เรื่องทุกข์ก็เรื่องสุขใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้ามีเรื่องโชคลาภวาสนาลาภลอยเข้ามา ก็เหมือนเพิ่มความสุขเข้ามาอีกอย่างหนึ่ง แล้วเรารู้ไหมว่าความทุกข์มาจากไหน (มาจากใจ) นั่งนานก็เป็นทุกข์ เมื่อยไหม (ศิษย์พี่เมตตาให้นักเรียนในชั้นลุกนั่ง และทำท่าตามที่บอก) เรามักจะดำเนินชีวิต และทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมๆ กัน หรือบางทีกินไปด้วยก็อ่านหนังสือไปด้วย ท่านยังทำได้เลย นั่งเย็บจักรแต่ตายังดูทีวีอยู่เลย แต่ถ้าขาดความระมัดระวังก็เจ็บตัวใช่หรือไม่ (ใช่)
“ความสุขมักไม่เคยมาคู่ ความทุกข์มักไม่เคยมาเดี่ยว” เคยได้ยินคำนี้ไหม เหมือนโชคมักไม่เคยมาคู่ เคราะห์มักไม่เคยมาเดี่ยว ทำไมเราถึงกล่าวแบบนี้ เพราะว่ามนุษย์เรามักจะชอบในโชคลาภ ชอบในความสุขที่เกิดขึ้น แต่โชคลาภ ทรัพย์สินเงินทองและวัตถุนั้นเป็นเรื่องที่ไม่นิรันดร์ เมื่อมีโชคก็ย่อมมีวันหมดโชค เมื่อมีเงินก็ย่อมมีวันหมดเงิน แล้วเงินนี้กว่าจะมาเป็นของเราล้วนเปลี่ยนแปลงมาจากหลายๆ มือมาก่อนทั้งสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่) โชควาสนาก็เหมือนกัน เวลาเรามีโชค เมื่อเราได้โชคหรือพบความสุข เราอย่าประมาท ต้องรู้จักตั้งรับ และเมื่อโชคนั้นไปจากเรา ตัวเราต้องทำใจให้ได้ บ่อยครั้งที่เวลาคนเรามีโชค แม้เวลาเห็นเหล็กก็ยังสุกใสแวววาว แม้เห็นคนที่เคยเกลียดมาก ก็ยังรักและยิ้มให้เขาได้ แต่เวลาอับโชค ใครยิ้มมาเรายังอาละวาดใส่เลยใช่หรือเปล่า (ใช่) เวลาเป็นทุกข์ขึ้นมาใครมายิ้มให้ก็รู้สึกโกรธเกรี้ยวเขาขึ้นมาทันที เรื่องความทุกข์ ความสุข โชคลาภ หมดโชค หมดลาภ ก็มีผลต่อจิตใจของเราเหมือนกัน
ท่านเคยได้ยินคำที่ว่า “ลมพัดต้นไม้ไหว” ไหม หากไม่มีต้นไม้ แล้วลมจะพัดอะไรไหว ก็ไม่มีอะไรไหวแล้วใช่หรือไม่ ต้นไม้ก็คือใจ คือตัวเรา ลมนี้ก็เหมือนความทุกข์ ความสุข กิเลส หรือสิ่งที่มากระทบใจ เมื่อใดเราตัดใจทิ้ง เมื่อใดเราไม่มีตัวตน ลมมากี่ครั้งก็ไม่มีอะไรให้ไหวแล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องดีใจเสียใจว่าวันนี้มีโชคหรือไม่มีโชคใช่หรือไม่ แล้วถ้าเกิดไม่มีต้นไม้ ลมจะมาพัดอะไรไหว ถ้าเราไม่มีใจที่เป็นตัวตนของเรา กิเลสจะมาทำให้สั่นคลอนไหม (ไม่) บางครั้งเราติดในตัวตนเกินไป ถ้าใครเขียนชื่อเราผิด หรือเอาชื่อเราไปล้อเล่น เราก็โกรธ ของสิ่งนี้เป็นของเรา เราก็ถนอมและหวง ใครเอาไปเราก็โกรธไม่พอใจ เพราะมีคำว่า “ตัวเรา” “ของเรา” เราจึงเป็นทุกข์ มีที่ให้ทุกข์อยู่ มีที่ให้สุขอาศัย เราจึงต้องทุกข์บ้างสุขบ้าง ดีใจบ้างเสียใจบ้าง แต่อย่างที่เราบอก ไม่มีต้นไม้แล้วลมจะพัดให้ไหวได้อย่างไร
เฉกเช่นนิทานเรื่องหนึ่ง มีคนแก่คนหนึ่ง อยู่ๆ ก็ได้ม้ามาตัวหนึ่ง ทุกคนก็บอกว่าคนแก่คนนี้โชคดีจังเลยได้ม้ามาก็ไม่ต้องเสียเงินซื้อ วันหนึ่งลูกชายของเขาอยากไปขี่ม้า แต่พลาดตกลงมาจนขาเป๋ คนก็บอกว่าโชคร้ายจริงๆ เพราะมีม้าตัวนี้ แทนที่จะมีลูกชายจะไว้สืบสกุล ยืนได้สง่างาม กลับขาเป๋เสียแล้ว แต่พอถึงช่วงสงคราม ทางการต้องการเกณฑ์ผู้ชายไปออกรบ เขาก็บอกว่าโชคดีจริงๆ ที่ลูกขาเป๋ก่อนไม่อย่างนั้นไปออกรบคงไม่มีชีวิตรอดกลับมา แต่พอนานไปอีกสักพักหนึ่ง ม้าตัวนี้ก็หายไป ทุกคนก็บอกว่าโชคร้ายจังเลย ดูสิมีม้าทำให้ลูกขาเป๋แล้วยังหายไปอีก แต่ผลสุดท้ายผ่านไปสองอาทิตย์ ม้าก็กลับมาสองตัว แปลว่าอะไรคือโชคกันแน่ในชีวิตนี้
บางครั้งมนุษย์เราคิดว่าการพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักคือความทุกข์ แต่ไม่แน่วันนี้เราคิดว่าทุกข์ แต่ผ่านไปอีกหลายๆ ปี การพลัดพรากจากคนที่เรารักอาจจะเป็นสุขก็ได้ ถ้าเขาไปดี แล้วการพลัดพรากที่เราคิดว่าวันนี้ทำให้เราทุกข์ แต่ไม่แน่อาจสร้างความสุขให้เราก็ได้ เพราะเราได้พลัดพรากจากคนที่เราเกลียดใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราอย่าได้ยึดติดว่าอย่างนี้เรียกว่าทุกข์อย่างนี้เรียกว่าโชค
(ศิษย์พี่เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมออกมาแสดงละครในชั้นเรียน โดยมีอาจารย์บรรยายธรรมร่วมบรรยายเรื่องประกอบ)
มีความสุขไหม (มี) สุขแล้วอย่าเป็นทุกข์อีกนะ อย่าเป็นสุขที่วนกลับไปทุกข์อีก ขอให้เป็นความสุขที่อิ่มเอมอยู่ภายในใจ สามารถเอาความสุขนี้เป็นพลังไปต่อสู้กับโลกภายนอกกับความโหดร้ายน่ากลัวของสังคม และความน่ากลัวของจิตใจที่ชอบพลั้งเผลอทำผิด เราอย่าไปว่าคนภายนอกว่าเลวร้ายเลย บ่อยครั้งที่ตัวเราเองก็น่ากลัวโดยที่เราไม่รู้ตัว บางทีเราไปว่าเขาว่าคนนี้ฆ่าคนได้ลงคอ แต่บางทีเราก็ฆ่าคนได้ลงคอเหมือนกัน ต่างกันตรงที่ว่าจะฆ่าแบบไหน คนนี้โกรธจนทุบหัวคน แต่เราโกรธจนตีลูกจนเจ็บ เพราะฉะนั้นเราต้องรู้จักว่ามองเขาแล้วต้องหันมามองเรา
วันนี้มาคุยกัน พูดกันให้มีความสุขสนุกสนาน การมาฟังธรรมะในเวลาสั้นๆ ถึงเวลาเราก็ต้องไปแล้ว
(ศิษย์พี่เมตตาลงไปเล่านิทานส่งเสริมให้ผู้ร่วมฟังที่นั่งอยู่ชั้นล่าง)
นิทานเรื่องนี้เป็นนิทานที่ไม่มีชีวิต แต่ทำให้มีชีวิต เป็นเรื่องของหินกับเศษหญ้าคุยกัน หินนั้นเป็นหินที่คนในสมัยก่อนเอาไว้กระเทาะจุดไฟ
เศษหญ้า : เวลาถูกเคาะไปทีหนึ่งไม่เจ็บหรือ
ก้อนหิน : ก็เจ็บเหมือนกัน
เศษหญ้า : แล้วทำไมยอมให้เขาเคาะไปเรื่อยๆ
ก้อนหิน : ไม่เป็นไรหรอก เคาะไปทีหนึ่งก็ได้ลบเหลี่ยม ลบความคิดที่ชอบทำร้ายคนอื่นไปหนึ่งที ได้ลบเหลี่ยมแล้วยังสามารถจุดไฟให้ผู้อื่นได้คลายหนาว ได้พบแสงสว่างท่ามกลางความมืดและหนาวเย็น
เศษหญ้า : ทำไมต้องทำตัวเองอย่างนี้ล่ะ แทนที่หินเหลี่ยมๆ จะมีชีวิตอยู่ตามทะเล ตามธรรมชาติและโลกกว้าง ทำไมท่านชอบให้เขาเอาท่านไปโน่นไปนี่ เวลาจุดไฟทีท่านก็เจ็บทีหนึ่ง คุ้มหรือ
ก้อนหิน : คุ้ม เพราะอย่างน้อยฉันก็เป็นหินที่มีคุณค่า ไม่ปล่อยฉันไว้กับพื้น แล้วก็เหยียบอย่างไม่เห็นคุณค่า ไม่เหมือนกับท่านเป็นเศษหญ้าแห้งๆ ไปที่ไหนคนก็อยากเผาทิ้ง
เราบำเพ็ญธรรมก็คล้ายกับหินจุดไฟ เป็นหินที่ยอมขัดเกลาตนเอง แม้จะเจ็บบ้าง น้ำตาไหลบ้าง แต่เราก็ยินดีที่จะจุดความสว่างให้กับทุกคนที่มืดมนอยู่ในสังคม ที่ตกทุกข์ได้ยากอยู่ในโลกอันโหดร้ายใบนี้ เราจะไม่เป็นหินที่อยู่ตามทางที่คนไม่เห็นคุณค่า แต่เราจะเป็นหินที่ถูกคัดออกมาแล้ว เป็นหินที่สามารถให้แสงสว่างกับคนที่มืดมนได้ นอกจากจะให้คนอื่นแล้ว เรายังสามารถขัดเกลาตนเองให้กลมใสได้ด้วย ทำได้ไหม (ทำได้)
เจ็บทีหนึ่งได้จุดไฟให้คนหนึ่ง ก็เหมือนกับฉุดช่วยคนมาคนหนึ่ง ย่อมถูกผู้อื่นว่าบ้าง พูดถากถางให้ร้ายบ้าง แต่เราชวนเขาแล้ว เขาจะมาหรือไม่มาก็ไม่เป็นไร แต่เราได้ขัดเกลาตัวเรา ทำให้ได้นะ ศิษย์พี่ดีใจที่ศิษย์น้องยอมเป็นหินจุดไฟนี้ ใครจะพูดอย่างไรเราก็ไม่ต้องสนใจ ความหมายของการบำเพ็ญตนก็เพื่อจุดหมายนี้เอง ใครพูดอะไรไม่ต้องสนใจ พูดทีหนึ่งเราก็กลมทีหนึ่ง ได้ลบเหลี่ยมทีหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)
เรื่องราวในโลกนี้เปลี่ยนแปลง ไม่แน่นอน วันนี้ดีพรุ่งนี้ร้าย แต่ไม่ว่าโลกเราจะเป็นอย่างไรก็ขอให้จิตใจเรามุ่งมั่นในการบำเพ็ญตน อยู่ที่ไหนเราก็อยู่ได้ อยู่ที่ไหนเราก็บำเพ็ญได้ แม้สภาวะจะไม่เป็นใจ แต่เราก็บำเพ็ญใจและมีใจมุ่งมั่นไปตลอด เราต้องพร้อมฝึกฝนอยู่ได้ทุกๆ ที่ นั่นจึงเรียกว่าคนบำเพ็ญธรรม อย่าเลือกที่รักมักที่ชัง เราต้องอยู่ได้ทุกๆ ที่ พร้อมฝึกได้ทุกสภาวะ เป็นเด็กดีน่ารัก ไม่ดื้อ อย่าทำผิดบ่อยๆ
ศิษย์น้องทุกคนบำเพ็ญดีกันหรือยัง (กำลังตั้งใจ) กำลังตั้งใจแล้วเมื่อไหร่จะทำได้ ถ้าดื้ออย่างนี้ต้องปล่อยความเป็นตัวของตัวเองบ้าง เมื่อเราสามารถปล่อยความเป็นตัวของตัวเองได้ เราก็สามารถอยู่ร่วมกับทุกคนได้อย่างเป็นสุข แต่ถ้าเรายึดมั่นในความเป็นตัวของตัวเอง ไปอยู่กับใครก็ได้แต่ชนแล้วก็เจ็บ ถ้าเราเป็นอย่างนี้อยู่กับใครก็ไม่มีความสุข เพราะเรายึดมั่นในตัวเราเองเกินไปใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์พี่ก็อยากให้ศิษย์น้องมีชีวิตที่มีคุณค่า ถูกต้องและดีงามในการอยู่บนโลกใบนี้ให้เป็น การอยู่บนโลกนี้ให้เป็น ต้องรู้จักบำเพ็ญตนง่ายๆ
การรู้จักเคารพคนที่มีความรู้ ไม่ได้มองที่เครื่องตกแต่งภายนอกหรือลาภยศตำแหน่งภายนอก แต่เคารพที่เขามีความรู้ พร้อมที่จะให้คำแนะนำที่ดีกับเรา เราพร้อมที่จะเคารพเขา ความเคารพไม่จำเป็นว่าไหว้แล้วเรียกว่าเคารพ การเคารพที่แท้จริงก็คือ พร้อมจะรับฟังสิ่งที่เขาพูดและนำไปพินิจพิจารณา เหมือนเราเคารพพ่อแม่ ไหว้อย่างเดียวเรียกว่าเคารพไหม (ไม่) แต่การเคารพที่แท้จริงคือ รู้จักนำสิ่งที่พ่อแม่สั่งสอนไปปฏิบัติ รู้จักนำสิ่งที่ดีงามที่คนตักเตือนเรา เอาไปคิดพิจารณา นอกจากนี้ยังต้องรู้จักดำเนินชีวิตให้เป็น การดำเนินชีวิตให้เป็นนั้นก็คือ เรามีพ่อแม่ที่ต้องปรนนิบัติก็ต้องปรนนิบัติให้เต็มสติและเต็มกำลัง คำว่าเต็มสติและเต็มกำลังก็คือ เราควรจะทำอย่างไรให้พ่อแม่มีความสุข เราควรจะทำอย่างไรที่เรียกว่าเป็นการแสดงออกให้พ่อแม่อยู่กับเราแล้วไม่เสียใจ เราไปแล้วพ่อแม่ก็ยังสามารถวางใจได้ เวลาเราทำอะไรอย่าลืมว่านามสกุลนั้นก็คือพ่อแม่ตามไปด้วย เมื่อไรเราชื่อเหม็นนามสกุลก็เหม็น พ่อแม่ก็เหม็นและทุกข์ไปด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)
นอกจากรู้จักเคารพคนมีความรู้ ปฏิบัติต่อพ่อแม่อย่างเต็มสติและกำลัง เมื่อเราดำเนินหน้าที่ขอให้ลดอัตตาตัวตนไปบ้าง บ่อยครั้งที่เราทำงานในหน้าที่ แต่เรามักติดในความเป็นตัวตน ทำไมเราต้องเสียสละ ทำไมฉันต้องทำงานหนักกว่าคนอื่น เขาเอาเปรียบ ฉันก็เอาเปรียบบ้างอย่างนี้ไม่ใช่การดำเนินที่ดีงามและถูกต้องของคนที่รู้จักบำเพ็ญ คนที่รู้จักบำเพ็ญย่อมยินดีเสียสละตนเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม นอกจากทำหน้าที่ได้ดีแล้ว ยังต้องรู้จักอีกอย่างหนึ่งคือ เป็นคนพูดอย่างก็ทำอย่างนั้น รักษาสัตย์กับทุกๆ คน พูดว่าจะทำก็ต้องทำให้ได้ หากรู้ว่าทำไม่ได้ก็ไม่ควรพูด เมื่อเราดำเนินทุกๆ อย่าง ตามที่ศิษย์พี่บอก เราย่อมเป็นที่รักของทุกๆ คน ย่อมเป็นที่ต้องการของทุกๆ คน ไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่คนชื่นชอบ เพราะเรารู้จักดำรงชีวิตให้ดีงามและถูกต้อง นอกจากนี้ยังมีอะไรอีก ความต้องการของเราต้องไม่เป็นความโลภที่เบียดเบียนและทำร้ายใคร ความรักและความชอบของเราไม่เป็นความรักความชอบที่แบ่งแยกจนเกินไป ถ้าใครทำได้อย่างนี้ จึงจะเป็นผู้ฝึกฝนบำเพ็ญตนที่ดี ความสงบของเราไม่ใช่เป็นความนิ่งที่เย่อหยิ่งจองหอง ความสงบของเราต้องไม่เป็นท่าทีที่เหี้ยมโหดน่ากลัว หากทำได้เช่นนี้จึงเรียกว่า "ผู้ปฏิบัติตนในโลกที่บำเพ็ญได้ดีเยี่ยม" เพราะบางครั้งเวลาเรานิ่งคนก็รู้สึกเกรงขามหวาดกลัว แต่ทุกๆ สิ่งที่ศิษย์พี่พูดมาล้วนเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินให้ได้ พ่อแม่เราควรต้องเคารพไหม (ควร) คนที่มีความรู้เราควรเคารพไหม ควรใช่หรือไม่ (ใช่) เพื่อน พี่น้อง เวลาเราคบเขา เราพูดอะไรกับเขา หากเขาไม่รักษาสัตย์ ท่านก็ไม่อยากคบใช่ไหม เวลาทำงานแล้วท่านเห็นแก่ตน ไม่เห็นแก่ส่วนรวมก็ไม่มีใครอยากจะทำงานร่วมกับท่าน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นพื้นฐานในการเป็นคนที่ดีงามและถูกต้อง หากเราทำได้ปฏิบัติได้นั่นจึงเรียกว่าผู้บำเพ็ญตน มีโอกาสก็นำพาฉุดช่วยคน ทำได้ไหม (ได้)
ถ้าคนเรามีจุดมุ่งหมายในการดำรงชีวิตที่ดีงามแล้วพยายามไปให้ถึงเราย่อมเป็นสุขในการมีชีวิต ไม่ใช่มีชีวิตแค่หาเงินหาทองเท่านั้น แต่เราได้ปูพื้นฐานชีวิตอันดีงามให้กับมวลชนด้วย ให้กับคนอื่นด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่) อย่าคิดว่าการดำรงชีวิตของเราไม่มีผลกระทบกับใคร หนึ่งก้าวที่เราก้าวเดิน บางครั้งล้วนทำร้ายคนไปบ้างไม่มากก็น้อย เหมือนวันนี้เรากินข้าว บอกว่าฉันชอบเต้าหู้ ก็เลือกตักเต้าหู้หมดเลย อย่างนี้เดือดร้อนคนอื่นไหม (เดือดร้อน) เรากินข้าวไม่ใช้ช้อนกลาง เผอิญกำลังไอ แพร่เชื้อให้คนอื่นไหม (แพร่) เวลาเราจะเข้าห้องน้ำทั้งที่มีคนอื่นรออยู่ก่อน เรารีบวิ่งเข้าไปแซงหน้าแทน อย่างนี้คนอื่นเดือดร้อนไหม (เดือดร้อน) วันนี้มาบ้านเขา มาพุทธสถานของเขา นึกจะทิ้งกระดาษทิชชู ก็ทิ้งอย่างนี้ นึกจะเข้าห้องน้ำก็ไม่ยอมราดทำอย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้) ไปที่ไหนก็ทำความเดือดร้อนที่นั่น อย่างนี้เขาไม่เรียกว่าคนดี ถ้าเป็นคนไม่ดี เราก็บำเพ็ญดียากใช่หรือเปล่า (ใช่)
มนุษย์เรามักจะติดรูปลักษณ์ภายนอก ฉะนั้นเวลามองอะไรต้องมองให้เห็นถึงแก่นแท้ ศิษย์พี่มาศิษย์พี่ก็อยากให้ศิษย์น้องเข้าใจชีวิตที่แท้จริง เข้าใจถึงสัจธรรมที่สามารถเรียนรู้ได้ วันนี้มาไม่ได้ให้มายึดติดในร่างนี้ แต่ให้ลองพิจารณาหลักธรรมที่วันนี้ศิษย์พี่พูดว่าเป็นความจริงไหม ศิษย์น้องนำไปทำได้ไหม ถ้าทำได้ก็พร้อมจะบำเพ็ญ เมื่อพร้อมจะบำเพ็ญก็ขอให้ไปให้ถึงซึ่งจุดหมาย อย่าเป็นคนที่ทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ไม่ดีเลยใช่หรือไม่ (ใช่)
วันอาทิตย์ที่ ๒๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๒
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
พุทธะคือเวไนย เวไนยคือพุทธะ
สุดยอดของการชนะ คือชนะใจตนเอง
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส อาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงฮุย แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า
ใช้ปัญญาการบำเพ็ญนับว่าดี ธรรมะชี้กำหนดการเป็นชีวิตใหม่
วัดใจตนสละให้รู้สึกอย่างไร ครองฤทัยมีทิศมีธรรมพอ
อยากได้ผลสว่างทางพินิจดู อะไรก็ไม่รู้ได้ไหมหนอ
หากศิษย์ช้าให้ใครอาลัยรอ อาจารย์ขอต้องเพียรได้เสมอกัน
อนิจจาเวียนวนแพ้ใจตนอีก แม้ติดปีกว่ายฟ้ามิจฉากั้น
ถูกอำนาจจิตตกต่ำลงทัณฑ์ งามสังหารกิเลสตนบังความจริง
จะรอบรู้เมื่อปัญญาเป็นกุญแจ หลักกลายรองไม่แน่ชีวิตจริง
เมื่อตั้งใจที่จะทำจริงยิ่ง อ่อนน้อมสิ่งสำคัญอย่าทิ้งกอง
เมื่ออันใดมากคุณค่าให้เวลา พึงติดตามศึกษาพุทธาเลือกมอง
ผ่านชีวิตระหกระเหินต่างหม่นหมอง ธุระของโลกาปราศจากสำเร็จโดยง่าย
ดวงชะตาฟ้าให้แต่คนกำหนด ขอจำจดพาตนและเวไนย
ชีวิตนี้มัวรักโลภน่าสงสัย ศิษย์จะไปไกลแค่ไหนพิจารณา
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เพลงท่อนที่ร้องเมื่อสักครู่บอกว่า “แม้ภายนอกไม่งาม ภายในใจช่างงาม” ภายในใจงามมากหรือเปล่า (งาม) ภายนอกงามใช้อะไรส่อง (กระจก) ภายในงามใช้อะไรส่อง คนเราสำคัญที่จิตใจ จากที่งามน้อยๆ ให้เรางามขึ้นๆ บำเพ็ญงามที่สุดอยู่ที่ไหน อยู่ที่เราทำได้ดีที่สุดแล้ว แต่ในชีวิตนี้เราทำได้ดีที่สุดหรือยัง ยังมีคนทำดีที่สุดมากกว่าเราใช่หรือไม่ เพราะอะไร (มองโลกในแง่ดี, เขาได้บำเพ็ญก่อน) เพราะจิตใจที่ไม่ฝักใฝ่ในผลประโยชน์มากเกินไป ทุกวันนี้ไม่สามารถไปสู่ความบริสุทธิ์แห่งจิตใจได้ เพราะตนเองนั้นไม่บริสุทธิ์ใจที่จะใช้ชีวิตนี้ให้ดียิ่งขึ้น จึงไม่สามารถมีชีวิตที่ดียิ่งขึ้นได้ การที่เราบอกว่าเราดีแล้ว แต่ในขณะเดียวกันถ้าหากเรามองไปกว้างๆ ก็จะเห็นคนที่ยังดีกว่าเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเราเห็นคนที่ดีกว่าเรา เราอิจฉาหรือว่าเรารู้สึกยกย่อง (ยกย่อง) แต่คนจำนวนมากในโลกนี้ยุคนี้ เห็นคนดีกว่ากลับรู้สึกอิจฉาที่เขาดีกว่าเรา อิจฉาทำไมกัน โลกมนุษย์นี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราควรจะยกย่อง ควรที่จะกระทำ ควรที่จะพัฒนาตัวเองมากขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
การจะเป็นผู้บำเพ็ญธรรมไม่ได้ทำได้ง่ายๆ เปรียบไปเหมือนเทียนเล่มหนึ่งหลอมละลายตัวเองลงทุกวันๆ จุดเทียนขึ้นมา โดยจี้ไฟลงไปบนไส้เทียน เทียนร้อนไหม (ร้อน) เวลาละลายลงมาเรื่อยๆ ร้อนไหม (ร้อน) ร้อนกว่าเดิมอีกใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเทียนจะหมดเล่มแล้ว เทียนเล่มนั้นได้รับอะไรจากการให้แสง (ไม่ได้) ถามว่าเทียนเล่มนั้นให้แสงสว่างต่อตนเองหรือให้แสงสว่างต่อผู้อื่น (ต่อผู้อื่น) การทำความดีจริงๆ แล้วไม่มีผลตอบแทน ไม่มีความดีเกิดขึ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นคนที่ทำความดีแล้วหวังความดี ถามว่ามีความดีไหม (ไม่มี) แล้วทุกวันนี้เวลาเราทำบุญไป เราหวังความดีกลับคืนไหม เราหวังที่จะได้โชคลาภกลับคืนไหม (ไม่หวัง) คนที่ยังหวังก็ยังได้ ส่วนคนที่ไม่หวังก็ไม่ได้ ทุกอย่างกลายเป็นความว่างเปล่า ความสว่าง ความสว่างคืออะไร อาจารย์ไม่ได้หมายความว่าทำดีไม่ได้ดี แต่ทุกอย่างกลายเป็นความสว่างเพื่อผู้อื่น ถือเป็นมหากุศล ถือเป็นสิ่งที่เป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ เพื่อสิ่งที่เราหวังผลตอบแทนนั้นๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์อยากจะบอกว่า การที่จะเป็นคนดีสักคนหนึ่ง เปรียบไปแล้วก็คือเป็นเทียนเล่มหนึ่ง ถ้ากล้าจุดทำความดีอย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม ตนเองต้องลำบากอย่างยิ่ง ต้องลำบากที่จะทำความดีต่างๆ นั้น เพราะว่าความดีนั้นฝืนอยู่กับกระแสทางโลกนี้ ในยามที่ศิษย์อยู่บนโลกนี้คนดีมีเหมือนน้อย คนชั่วมีเหมือนมาก แต่แท้จริงแล้วอาจารย์อยากจะบอกว่ายังมีคนดีอยู่อีกมาก อันได้แก่ศิษย์ทั้งหลายที่อยู่ในนี้ เพียงแต่ว่าท่ามกลางความดีของศิษย์นั้น ศิษย์ก็ชอบให้ความชั่วต่างๆ นานาในจิตใจ อันได้แก่การกลัวเสียเปรียบ การกลัวไม่ได้ สมมติว่าเราขายของได้อย่างหนึ่ง เราทอนเงินเกินไป เรารู้สึกเสียดาย ในทางกลับกันถ้าคนเขาจ่ายเรามาเกิน เราทำอย่างไร ถ้าเกินมามากหน่อยอยากคืนไหม (คืน) นี่คือจิตแห่งฟ้า อันได้แก่ความดีต่อสู้กับจิตใจของมนุษย์ใช่หรือไม่ (ใช่) การที่เราเกิดมาเป็นคน ด้วยความที่เห็นเงินทองสำคัญมาก ชีวิตนี้จึงทำความดีน้อยกว่าความชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่) วันหนึ่งมียี่สิบสี่ชั่วโมง ทำความดีกี่ชั่วโมง เคยนับเป็นชั่วโมงไหม วันหนึ่งความดีก็ทำอยู่เล็กๆ น้อยๆ วันหนึ่งความชั่วก็ทำอยู่ไม่มากไม่มาย เทียบกันไปเทียบกันมาแล้วจะว่าเป็นคนดีหรือเปล่า เทียบไปแล้วความดีก็ทำ ความชั่วก็ทำ วันไหนทำความดีมากหน่อยจิตใจก็ชื่นบาน วันไหนทำความชั่วมากหน่อยจิตใจก็ห่อเหี่ยว ทุกๆ วันหาโอกาสทำความดียากเหลือเกิน เพราะอยู่แต่กับเงินทอง ลูกหลานของตนเอง สมบัติของตนเอง อารมณ์ของตนเอง ใช่ไหม (ใช่) ในที่สุดแล้วทุกๆ วันก็กลายเป็นคนที่ยังดีน้อยอยู่ เพราะฉะนั้นก้าวแรกจากสองวันนี้หลังฟังธรรมะจบกลับไป ต้องทำอย่างไร อาจารย์ให้ทำสิ่งที่ง่ายที่สุดคือกลับไปทำความดี ให้วิ่งขึ้นไปสูงกว่าการทำความชั่วที่ทำอยู่ทุกวันได้ไหม (ได้) สมมติว่าวันนี้เราทำความชั่วเท่านี้ เราจะทำความดีให้ได้เท่านี้ ทุกๆ วันเราลองกลับมาย้อนมองตนเอง ก่อนเราจะนอนลองคิดสิว่า วันนี้เราทำความดีมากหรือทำความชั่วมาก พอตื่นเช้าขึ้นมาก่อนที่จะไปล้างหน้าแปรงฟันก็มานั่งคิดว่า เมื่อวานเราทำความดีน้อยไปหน่อย วันนี้ทำให้มากขึ้นดีไหม (ดี) ทุกๆ วันทำได้เช่นนี้ก็กลายเป็นคนดีไม่ใช่คนชั่ว ไม่ใช่คนกึ่งดีกึ่งชั่วใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อทำความดีได้มาก เราก็จะกลายเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ อยากเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ไหม (อยาก) เพราะฉะนั้นใจก็เหมือนกับลูกแก้วกลมใสอันหนึ่ง ลูกแก้วอันนี้เอาไปคลุกฝุ่นมากๆ ก็มัวหมองใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่หากลูกแก้วอันนี้เย็นก็ขัด พอตื่นเช้ามาก็ขัดอีกรอบหนึ่ง เย็นก็ขัด เช้าก็ขัด ก็ใสขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อทำความดี การเป็นมนุษย์ไม่ยากแล้ว ถามว่าการเป็นพุทธะยากไหม (ไม่ยาก) มีคนบอกว่าแดนนิพพานนั้นไกลแสนไกล ถามว่าไกลไหม (ไม่ไกล) พระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็นมนุษย์ไหม (เคย) ศิษย์ของอาจารย์ตอนนี้เป็นมนุษย์หรือเปล่า (เป็น) มีปัญหาที่อาจารย์พูดทีแรกคือ มนุษย์โดยทั่วไปไม่ค่อยจะเหมือนมนุษย์ มีสิ่งต่างๆ ปนเปมากมาย กิเลสมากมาย อาจารย์บอกว่าเราเป็นมนุษย์ที่เหมือนมนุษย์ เมื่อนั้นเราก็เป็นพุทธะได้ในที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการที่พระพุทธองค์นั้นบำเพ็ญตนต่างๆ นานา ในที่สุดแล้วได้สำเร็จเป็นพุทธะ ศิษย์ของอาจารย์ทำได้ไหม (ได้) ถ้าทำได้เช่นเทียนหนึ่งเล่ม ย่อมสามารถที่จะเป็นพุทธะได้เพราะไม่กลัวความยากลำบาก อีกทั้งแสงสว่างที่จุดขึ้นมานั้นเพื่อผู้อื่นไม่ใช่เพื่อตนเอง เพราะฉะนั้นใครที่ยังติดในการที่ไปไหว้พระขอพร ขอเลข ขอโชค ขอลาภ ขอให้รวย ถามว่ารวยแล้วเป็นอย่างไร รวยแล้วทุกวันๆ ก็อยู่กับเงินของตนเอง จะเอาเงินเจียดสักนิดหนึ่งไปช่วยคนที่เขาไม่มีข้าวกินลำบากไหม ไม่แน่ใจว่าคนนั้นเขาจะมีข้าวกินจริงหรือเปล่า เพราะกลัวโดนเขาหลอกอีกก็เลยจมอยู่กับเงินทองของตนเองทุกวัน มีไม่กี่คนที่เต็มใจจะช่วยผู้อื่นโดยไม่มีจิตใจเคลือบแฝงเสแสร้งสงสัย ฉะนั้นความดีต่างๆ นานานั้นขอให้ทำด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ กลายเป็นคนที่แม้ภายนอกไม่งามแต่ภายในใจช่างงาม ถามว่าเอาอะไรส่องให้เห็นล่ะว่าจิตใจงามหรือเปล่า ภายนอกเอากระจกส่อง ส่วนภายในให้เอาความดีที่เราทำนั้นมาส่องดีไหม (ดี) ความดีนั้นส่องออกมาได้อย่างไรล่ะ เราช่วยผู้อื่น ผู้อื่นก็ (ช่วยเรา) ยังหวังให้เขาช่วยเราอีกหรือ เราช่วยผู้อื่น เขาก็ไปช่วยคนอื่นต่อใช่หรือเปล่า (ใช่) ไม่ต้องหวังให้เขามาช่วยเราดีไหม (ดี) มีแต่หวังจะช่วยผู้อื่น อีกทั้งไม่ต้องบอกว่ารอให้รวยแล้วค่อยช่วยคนอื่น ไม่ต้องหวังว่ารอฉันสบายกว่านี้อีกหน่อยแล้วฉันค่อยช่วยผู้อื่น หากว่าเรานั้นมีใจช่วยผู้อื่น อยู่ในภาวะที่ช่วยผู้อื่นได้มากก็ช่วยให้มาก หากว่ามีใจ มีภาวะที่ช่วยผู้อื่นได้น้อยเราก็ช่วยผู้อื่นน้อยลงดีหรือเปล่า (ดี) เรียกว่าถ้าเรามีข้าวกินสักสองจานเราก็แบ่งให้ผู้อื่นสักจานหนึ่ง ถ้าหากว่าเรามีข้าวกินจานหนึ่งก็แบ่งให้ผู้อื่น (ครึ่งจาน) ถ้าเรามีข้าวกินอยู่ครึ่งจานแบ่งให้เขาเท่าไหร่ดี โดยทั่วไปศิษย์ของอาจารย์ทุกวันนี้มีข้าวกินครึ่งจานเลยไม่รู้จะแบ่งอย่างไรใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกวันนี้หาเท่าไหร่ก็ไม่พอ ทำไมถึงไม่พอ มันไม่พอที่ใจเรา เพราะฉะนั้นมีข้าวกินครึ่งจานก็แบ่งให้ผู้อื่นกินครึ่งหนึ่งทำได้ไหม (ได้) เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าวันไหนเราไม่มีข้าวกิน คนอื่นก็ร่วมอดกับเรา อย่างนี้จิตใจมีความสุขได้หรือไม่ (ไม่ได้) ต้องบอกว่าได้ ต้องบอกว่า “ได้” สักที มีความสุขนั้นจริงๆ แล้วหาง่าย มองไปที่ไหนก็มีความสุข แต่ในความสุขนั้นมันอยู่กลางความทุกข์ มองไปเห็นความทุกข์ก่อน ความสุขมาทีหลังใช่หรือเปล่า (ใช่)
เหมือนเวลาที่เรากลับบ้านไปมองลูกของเรา เราเห็นความสุขหรือความทุกข์ (ความสุข) จริงๆ แล้วมองลูกเราน่าจะมีความสุขแต่เพราะเรากลัวลูกเราเป็นคนไม่ดี ก็เลยมีความทุกข์ใช่หรือเปล่า (ใช่) ลูกเราไม่มีงานทำ มีความทุกข์ใช่ไหม (ใช่) ลูกเราไม่มีคู่ครอง มีความทุกข์ใช่ไหม (ใช่) แต่ถามว่าตอนที่เรานั้นเกิดแล้วเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา ยอมให้ใครบังคับไหม (ไม่ยอม) แล้วลูกของเรา เขาจะยอมให้เราบังคับหรือเปล่า เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่มอบไว้ให้แก่ลูกหลานได้ โดยที่จะไม่สูญสลายหายไปก็คือความดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ใช่บอกว่า ฉันก็ยังทำดีครึ่ง ไม่ดีครึ่ง พอไปถึงลูกหลานก็เหลืออีกครึ่งหนึ่งของเรา พอต่อไปถึงหลาน ก็เหลือครึ่งหนึ่งของลูก พอถึงเหลนก็เป็นอย่างไร (หมด) ก็ลดลงครึ่งหนึ่งไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการที่เรานั้นต้องเป็นคนดีมากๆ จำเป็นไหม (จำเป็น) เพื่อให้วันข้างหน้านั้น ลูกหลานของเรายังสืบทอดความดีของเราไปได้ ไม่ใช่วันนี้ครึ่งหนึ่งแล้ว วันหน้าก็ครึ่งหนึ่ง ครึ่งหนึ่งต่อไปเรื่อยๆ คนในวันข้างหน้าก็กลายเป็นคนที่ไม่ดี เพราะเราในวันนี้ดีไม่พอ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นการที่เราเกิดมาเป็นคนหนึ่งชาติ ขอให้ทำความดี เพราะความดี นั้นทำให้คน เป็นคนที่สมบูรณ์มาก อันว่าเกิดมาชาติหนึ่งเกิดเป็นคน ดูสิว่าเราเป็นคนที่เหมือนคนไหม ถ้าเราเป็นคนประเภทชอบฉกฉวยของผู้อื่น โดยที่ไม่ได้รับอนุญาต ก็เหมือนกับลิง ลิงชอบแย่งของคนใช่หรือเปล่า (ใช่) เหมือนม้าก็เป็นอย่างไร ม้าก็ชอบวิ่งเร็วมาก พอพยศก็บังคับไม่อยู่ เหมือนกับมดที่ชอบไต่ของต่างๆ เหมือนกับแมลงที่ชอบบินวนเวียน ทำให้ของต่างๆ เสียง่าย เหมือนเราไหม ก็ต้องดูกันไปเป็นอย่างๆ ว่าเรานั้นมีนิสัยที่ไม่ดีอะไรบ้าง จำเป็นที่จะต้องขจัด ให้ดีขึ้นทุกวันๆ ไม่ใช่วันนี้บอกว่า ฉันไม่ค่อยดีเท่าไร พอวันพรุ่งนี้ ไม่ดียิ่งขึ้นเลย พอวันต่อไปไม่ดีอีกแล้ว แล้ววันไหนเป็นวันที่ดี
“พุทธะคือเวไนย เวไนยคือพุทธะ” รู้ไหมว่าทำไมพุทธะคือเวไนย เพราะว่าพุทธะนั้นสำเร็จได้ต้องมีร่างกายเป็นมนุษย์ก่อนใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วตอนนี้เรามีร่างกายเป็นมนุษย์ไหม (มี) เพราะฉะนั้นพุทธะก็มาจากเวไนย แต่ว่าพุทธะกับเวไนยต่างกันตรงไหน ต้องทราบความแตกต่างข้อนี้ ถึงจะสามารถเป็นเวไนยที่กลายเป็นพุทธะได้ในวันหนึ่ง (พุทธะคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เวไนยคือผู้ที่ยังไม่ทราบความเปลี่ยนไปของตัวเอง,พุทธะคือสิ่งที่สูงสุด ไม่มีรูปร่าง เวไนยต้องมีรูปร่าง, เวไนยคือสรรพสัตว์ทั้งหลาย สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ปฎิบัติดี เรียกว่าพุทธะ, เวไนยคือผู้ที่ยังไม่สำเร็จ) ศิษย์จำเป็นจะต้องทราบความเป็นมาเป็นไปของพุทธะและเวไนย ต้องรู้ความแตกต่างระหว่างพุทธะกับเวไนย เพราะว่าในขณะนี้ ศิษย์ทุกคนนั้นเป็นผู้ที่ถูกเรียกว่า"เวไนย" ฉะนั้นเราจึงต้องรู้ความแตกต่างจึงจะสามารถกระโดดข้ามจากเวไนยนี้ขึ้นไปเป็นพุทธะ
แท้จริงแล้วพุทธะและเวไนยเหมือนเส้นตรงเส้นหนึ่ง หัวเรียกว่า “พุทธะ” ท้ายเรียกว่า “เวไนย” พุทธะคือผู้รู้ตื่นผู้เบิกบาน เราต้องเป็นผู้รู้ผู้ตื่นและผู้เบิกบาน ไม่มองโลกในแง่ร้าย ไม่จมอยู่กับความทุกข์ ต้องตื่นจากกิเลสโลกีย์ ความเป็นมายา ต้องรู้ให้ได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นอยู่นี้เป็นเรื่องจอมปลอม แม้กระทั่งร่างกายของเราเอง ตีแล้วเจ็บไหม (เจ็บ) ท่ามกลางความเจ็บนี้ เราต้องรู้ตื่น ร่างกายอันนี้เป็นของที่ยืมใช้เพียงชั่วคราว เมื่อร่างกายเกิดมา แก่ เจ็บ แล้วก็ต้องตาย เมื่อนั้นร่างกายจะกลายเป็นของปลอม ฉะนั้นช่วงเวลาเกิดแก่เจ็บตายนี้ ชีวิตเราทำอะไรบ้าง ถ้าทำในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ชีวิตก็ไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าทำในสิ่งที่มีประโยชน์และมีคุณค่าเรียกว่า “วีรชน” ไม่ใช่คนธรรมดา เพราะฉะนั้นชีวิตนี้ช่วงหนึ่งจึงต้องรู้จักใช้ชีวิตให้มีคุณค่า แม้ชีวิตนี้จะมีทั้งปลอมและจริงก็ตาม
เราจะเป็นผู้รู้ได้อย่างไร เป็นเรื่องที่ตอบยาก เพราะว่าสิ่งที่เรารู้เป็นความรู้ที่อยู่รอบๆ ตัวเรา เป็นของตัวเราเท่านั้นเอง ฉะนั้นจึงบอกว่าเราไม่ใช่ผู้รู้ ถ้าหากว่าเรารู้ไปถึงความทุกข์ยากของผู้อื่น รู้ไปถึงโลกกว้างและสิ่งที่เราควรจะทำ จึงจะเรียกว่า “เป็นผู้รู้ได้” ฉะนั้นการมาฟังธรรมะสองวันนี้ เพื่อจุดประกายความคิด การกระทำ จุดประกายแห่งพุทธะให้เจิดจ้าขึ้น ศิษย์ทุกคนเปรียบเสมือนเทียนแท่งหนึ่ง เพียงแต่ยังไม่เคยจุดเลย เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมากลัวความยากลำบากเป็นที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)
พุทธะและเวไนยเป็นเส้นตรงเส้นหนึ่ง จับปลายของเชือกเส้นนั้นขึ้นไป สู่ปลายของเชือกอีกเส้นหนึ่งเรียกว่า เป็นพุทธะไต่เต้าขึ้นไป เวลาขึ้นไปที่สูงก้าวขึ้นบันไดเมื่อยขาไหม (เมื่อย) เวลาก้าวลงบันไดเมื่อยขาไหม (ไม่เมื่อยเท่าไหร่) ฉะนั้นตอนนี้จะไต่ขึ้นสู่ข้างบน เป็นพุทธะต้องยอมที่จะเหนื่อย ขึ้นไปเรียกว่าขึ้นสวรรค์ ลงไปเรียกว่าลงนรก อยากขึ้นหรืออยากลง (อยากขึ้น) แต่เราต้องยอมเหนื่อยยอมลำบาก ชีวิตนี้ถึงจะเป็นพุทธะได้ ถ้าทุกๆ วัน ใช้ชีวิตอย่างสบาย บุญไม่ทำ กรรมไม่เชื่อ ใช้วิวัฒนาการแห่งโลกสมัยใหม่อย่างฟุ่มเฟือย คนๆ นี้จะเป็นพุทธะได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นขอให้มองไปถึงความทุกข์ร้อน ทุกข์ยากของคนจำนวนมาก แล้วศิษย์จะรู้ว่าชีวิตนี้ของศิษย์ มีไว้เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ได้มีไว้เพื่อช่วยตนเอง
“สุดยอดของการชนะ คือชนะใจตนเอง” ทุกวันนี้เวลาที่เราอยากชนะคนก็ใช้กำลัง แต่คนที่ชนะนั้น อาจไม่มีคุณธรรมความดีอะไร ถามว่าคนนี้เป็นสุดยอดหรือยัง (ยัง) คนนี้ก็ยังไม่ได้เป็นที่หนึ่ง ทุกวันนี้มนุษย์มักมีคำพูดคำหนึ่งว่า “ถ้ามีเงินก็นับเป็นน้อง ถ้ามีทองก็นับเป็นพี่” แสดงว่ามีการเอาชนะกันด้วยเงินทอง แท้จริงแล้วคนมีเงินทอง อาจจะมีคุณธรรมหรือไม่มีก็ได้ คนๆ หนึ่งมีความร่ำรวย เปรียบเสมือนเวลาโยนผลไม้ เมื่อผลไม้ขึ้นไปถึงที่สูงสุด ก็ต้องหล่นลงมา เหมือนกับตอนนี้ร่ำรวยแล้วกลับมาจน ถึงได้บอกว่าโลกนี้ไม่เที่ยง วันนี้เรารวย วันหน้าเราอาจจะจนก็ได้ เงินทองที่เราหาไว้สักวันหนึ่งลูกหลานอาจจะทำให้หมดไป ในที่สุดแล้วก็ไม่สามารถร่ำรวยได้จริง ไม่มีความร่ำรวยจริงอยู่บนโลก
เพราะฉะนั้นการชนะควรชนะด้วยอะไร (ความดี) ชนะด้วยความดีงามไม่ต้องใช้สิ่งใดเลย ความดีเป็นของที่ไม่มีรูปลักษณ์ ในที่สุดแล้วความดีนี้กลับเป็นสิ่งที่ชนะได้ แต่อาจารย์บอกว่าสุดยอดของการชนะไม่ใช่สามสิ่งนี้ สุดยอดของการชนะกลับเป็นการชนะใจตนเอง ใจของตนเองนี้ดูยากหรือง่าย (ยาก) เรายังไม่รู้จักตัวของเราดีเลย สุดยอดของการชนะคือการชนะใจเราเองนี้ เพราะว่าตอนนี้เรายังไม่เข้าใจตนเองดีพอ ยังไม่รู้จักตนเองดีพอ จึงบอกว่าเอาชนะใจตนเองคือเอาชนะใจที่ใฝ่ต่ำ
(พระอาจารย์เมตตาหยิบผลไม้สองชนิด คือ มังคุดและกระท้อนขึ้นมายกตัวอย่างเปรียบเทียบ) จิตใจนั้นเหมือนกับผลไม้สองผลนี้ ข้างหนึ่งเป็นสีดำ อีกข้างเป็นสีขาว ถามว่าสีดำหรือสีขาวชนะอยู่บ่อยๆ (สีดำ,สีขาว) มีบางคนตอบสีดำ บางคนตอบสีขาว คนที่มีจิตใจสีขาวชนะบ่อยครั้งก็จะเป็นคนดี คนที่มีจิตใจสีดำชนะบ่อยครั้งก็เป็นคนไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์ของอาจารย์อยากเป็นคนดีหรือไม่ดี ลองมองเข้าไปในผลไม้สีดำนี้ ข้างในเป็นสีอะไร (สีขาว) ลองปอกเข้าไปในผลไม้สีขาวนี้ ข้างในเป็นสีอะไร (สีขาว) ไปปอกเม็ดดู เม็ดที่อยู่ข้างในนั้น เวลายิ่งวางไว้นานยิ่งเป็นสีดำใช่หรือเปล่า (ใช่) เปลือกนี้ข้างใน ถ้ายิ่งวางยิ่งตากไว้ก็ยิ่งเป็นสีดำใช่หรือไม่ (ใช่) ถามว่าผลไม้สองชนิดที่เปรียบเทียบนี้เป็นเหมือนใจมนุษย์ไหม (เหมือนกัน) ในความชั่วมีความดี ในความดีมีความชั่ว เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงสอนศิษย์เสมอๆ ว่าเวลามองคนให้มองแต่ข้อดีของเขา อย่าไปว่าแต่คนนี้เป็นคนไม่ดี มีจิตใจสีดำ ต้องมองให้ลึกเข้าไปอีกให้เจอความดีของเขาให้ได้ อย่าได้มีอคติ เมื่อเรามองคนอื่นเป็นคนดีได้ ถามว่าใครเป็นคนดีล่ะ (ตัวเราเอง) เพราะฉะนั้นเราใช้ตาของเรามอง ถ้าตาเรามองเขาว่าเป็นคนไม่ดีแล้ว ถามว่าอะไรไม่ดี ตาของเราไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะเผอิญไปมองแต่สีดำที่เปลือกนอก ส่วนคนดีเป็นอย่างไร แกะออกมาก็จะเห็นข้างในสีขาว (พระอาจารย์เมตตาแกะมังคุดออกมา) เพราะฉะนั้นอยากเป็นคนดี ต้องมองคนอื่นให้ดีด้วยตัวเราจะได้ดีด้วย ถ้าเรามองคนอื่นไม่ดี แสดงว่าตาเราไม่ดีด้วย ไปๆ มาๆ ก็จะเป็นสายตาที่สั้นๆ ยาวๆ เอียงๆ
ใช้อะไรต้อนรับพระอาจารย์ (ความดี) อาจารย์อยากให้ศิษย์คนที่ไม่ค่อยชอบมาห้องพระ ออกมาร้องเพลงต้อนรับด้วยจริงๆ
(นักเรียนในชั้นร่วมกันร้องเพลงต้อนรับพระอาจารย์)
อาจารย์หวังอย่างยิ่งว่า ให้ศิษย์นั้นใช้จิตใจที่ดีงาม จิตใจที่พร้อมแล้วถึงความยินดีจริงๆ ออกมาต้อนรับ เพราะว่าแม้จะมีเพลงที่ไพเราะ แม้จะมีสิ่งที่ดี อากาศที่เย็นสบาย ก็ไม่สามารถต้อนรับกันได้ดีเท่ากับจิตใจที่จริงใจ
บางคนนั้นมีอายุมากให้ยืนสักครู่ก็เมื่อย แต่ว่าจริงๆ แล้ว การที่เราอยู่บนโลกมนุษย์ใบนี้ ก็ต้องมีการยืน นั่ง เดิน นอน สลับกันไป ความสบายนั้นทำให้เรามีความหลงมากกว่าที่จะเมื่อย ความลำบากไม่ทำให้เราหลง ฉะนั้นชีวิตนี้เลือกอยู่กับความสบายหรือความลำบาก ถ้าชีวิตนี้เลือกอยู่กับความสบาย ก็จะมีความหลงมากขึ้นทุกวันๆ เปรียบเสมือนก้อนหินที่ปาลงน้ำ แล้วจมลึกลงไปทุกทีๆ ชีวิตนี้อาจารย์ไม่ได้บอกให้ไปหาความลำบากใส่ตัว หลายคนฟังแล้วไม่เข้าใจว่าจะไปทำอะไร จริงๆ แล้ว ความลำบากเกิดขึ้นจากการตัดสินใจที่จะทำความดี เพราะว่าสิ่งที่เราเอาชนะยากที่สุดคือ ใจตัวเอง ถ้าไม่สามารถเอาชนะใจตัวเองได้ ก็จะสู่ความยากลำบากที่สุด ในยามนี้ สิ่งที่ลำบากที่พบอยู่ทุกวันนี้ อาจไม่ใช่ความลำบากอย่างแท้จริง แต่เป็นภาพลวงตา วันหน้าถ้าหากเจอความยากลำบากยิ่งขึ้น ขอให้จิตใจของเรานั้นมั่นคงแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เวลาที่อยากจะให้ทองสุกประกายแวววับสวยงาม จะต้องเพิ่มความร้อนของไฟให้มากยิ่งขึ้น อยากจะเป็นทองแท้หรือเปล่า (อยาก) ถ้าอยากเป็นทองแท้ก็อย่ากลัวความยากลำบาก เพราะท่ามกลางความลำบากจะทำให้คนนั้นเป็นคนที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เหมือนกับเป็นทองที่สุกประกายยิ่งขึ้น
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับนักเรียนที่ตอบคำถาม) คนที่ตอบก่อนก็คือคนที่รู้จักรักษาโอกาสของตนเอง อาจารย์ถามอะไร ถ้าหากว่าศิษย์ไม่ตอบ จะได้ผลไม้ไหม (ไม่ได้) ตอนแรกตอบไป ตอบผิดหรือตอบถูกก็ยังไม่รู้ คนเหล่านี้เรียกว่าทัพหน้ากล้าตาย ถ้ากล้าตอบก็ได้รับผลก่อนใคร ถ้าหากไม่กล้าตอบก็ไม่ได้รับผล ถามว่าเวลาเราทำความดีไป ถ้าหากไม่ได้เห็นผลประโยชน์อยู่ข้างหน้าจะทำไหม (ทำ) บางคนกลัวเหนื่อยเปล่า แต่ว่าในชีวิตนี้แม้จะหลบเลี่ยงอย่างไร ถ้าหากว่าถึงคราวเคราะห์ต้องเหนื่อยเปล่าขึ้นมา ก็ต้องเหนื่อยเปล่าอยู่ดี ฉะนั้นกลัวความยากลำบากไหม (ไม่กลัว) ใครไม่กลัวความยากลำบาก ถ้าหากกลับไปเจอความยากลำบากอย่ามาร้องนะ อาจารย์รู้สึกว่าระยะนี้มีคนร้องเรียกบ่อย หนาหูไปหมดเลย เพราะว่าทุกวันๆ ก็ลำบากขึ้นทุกทีๆ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิต เงินทองก็ขาดมือ อุปสรรคต่างๆ การทดสอบต่างๆ ก็มากขึ้นทุกวันๆ หมายถึงใจที่กระพือแรงขึ้น ถามว่ากี่คนที่จะข้ามพ้น ถ้าเดินหน้าเข้าไปก็เจอไฟ ถอยหลังกลับมาโล่งสบาย ข้างหลังไม่มีไฟ มีแต่ความสบาย มีพญามารกวักมืออยู่ข้างหลัง เตรียมโซฟาไว้ให้นั่ง ข้างหน้าเดินผ่านดงไฟนี้ออกไปกลายเป็นนิพพาน จะไปทางไหนดี (เดินไปข้างหน้า) ต้องดูว่าเรานี้มีความมุ่งมั่นเท่าไร ถ้าอยากจะนั่งโซฟาสบายๆ ก็เหมือนกับเราต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป อาจารย์ไม่สามารถบอกศิษย์ได้ว่าต้องเวียนว่ายอีกกี่รอบ แต่ถ้าหากว่าพ้นจากโอกาสนี้ไปแล้ว หากศิษย์ข้ามชาตินี้ไปแล้ว สิ้นร่างกายนี้ไปแล้ว ไม่สามารถเกิดเป็นมนุษย์ได้ทันท่วงที หรือเกิดมาอีกทีไม่ได้เจอธรรมะ ไม่มีใครชวนมารับธรรมะก็ต้องเวียนว่ายต่อไป ไม่สามารถกำหนดได้ว่าอีกนานเท่าไร ฉะนั้นตอนนี้กลั้นใจเฮือกสุดท้ายฝ่าไป ดีหรือไม่ (ดี) หลายคนชอบท้อ บอกว่ายากเหลือเกิน ลำบากเหลือเกิน แต่ว่าหากศิษย์เอาคานมาใส่บ่า สองข้างเป็นที่ใส่ของ เอาของใส่ลงไป ยิ่งใส่ก็ยิ่งหนัก แต่ถ้าหากกล้าแบกความหนักนี้เดินฝ่าไปข้างหน้า ข้ามไปแล้ว ของที่แบกไปแม้จะหนัก ถ้าแบกได้มากเท่าไรก็เป็นของเรามากเท่านั้น แต่ถ้าหากเราไม่กล้าแบกเวไนยคนไหนไปกับเราเลย เราอยากจะไปคนเดียวสบายๆ ข้ามไปแล้วก็เหลือเราคนเดียว ญาติพี่น้องก็ไม่ได้ตามเรามา เพราะฉะนั้นบางทีความยากลำบากกับการที่เราถูกคนตำหนิ ญาติพี่น้องคอยว่า ความยากลำบากต่างๆ นานาที่เคยได้พบระหว่างคนและคนด้วยกันเป็นความสำคัญหรือเปล่า (สำคัญ) ถ้าเขาไม่รู้สึกไว้ใจเรา เขาก็จะไม่พูดกับเรา ถ้าเขาไม่รู้สึกห่วงเรา เขาก็จะไม่ว่าเรา ฉะนั้นอยู่ที่เราศึกษาธรรมะได้เข้าใจมากเท่าไร สามารถอธิบายได้มากเท่าไร ส่วนรอบสุดท้าย ศิษย์ของอาจารย์จะฉุดคนได้ขึ้นหรือไม่ขึ้น ย่อมอยู่ที่บุญและกรรมของแต่ละคน อย่าได้ทุกข์ร้อนใจมาก แต่ไม่ใช่เอะอะบอกว่ากรรมหนัก ไม่รู้จริงๆ แล้ว เราเป็นพุทธะไม่ยอมช่วยคนนี้ ไม่รู้ว่าใครกรรมหนักมากกว่ากัน การบำเพ็ญต้องอาศัยปัญญาให้มาก ปัญญาของแต่ละคนอาจจะไม่เท่ากัน บางคนมีปัญญามาก บางคนมีน้อย คนที่มีปัญญาน้อยก่อนจะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดคิดให้มาก คิดสามครั้งไม่พอก็คิดห้าครั้ง คิดสิบครั้ง ในที่สุดทำสิ่งใดก็จะผิดพลาดน้อย ในที่สุดแล้วบ่อยๆ เข้า เราก็จะกลายเป็นคนที่มีปัญญา แต่ว่ามนุษย์สมัยปัจจุบันชอบใช้แต่ความชาญฉลาด แต่เป็นฉลาดที่ขาดเฉลียว ไม่รู้จักเฉลียวใจว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้น หากว่าเราเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ผู้อื่นก็จะเอารัดเอาเปรียบเราในสักวันหนึ่ง ฉะนั้นจึงบอกว่าก่อนที่จะพูดสิ่งใดทำสิ่งใดขอให้คิดให้มาก เป็นการคิดเพื่อผู้อื่น ไม่ใช่คิดเพื่อตัวเอง
“ใช้ปัญญาการบำเพ็ญนับว่าดี” ในวันนี้ใครที่ยังบำเพ็ญไม่ดี ถามตัวเองสิว่าได้ใช้ปัญญาของตัวเองมากพอหรือยัง อาจารย์บอกว่าปัญญาเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับผู้บำเพ็ญ หลายครั้งเวลาเจออุปสรรค เจอปัญหา ถ้าหากขาดปัญญาก็ไม่สามารถจะฝ่าอุปสรรคพ้น หากว่ามีปัญญาก็เหมือนกับเรามีทางแล้ว ออกแรงไปเดินให้มากๆ หากไม่มีปัญญาเปรียบเสมือนเดินอยู่ทางมืด ไม่มีไฟ
“ธรรมะชี้กำหนดการเป็นชีวิตใหม่” ธรรมะที่อาจารย์ชี้ให้หมายถึงเป็นการกำหนดชีวิตใหม่ ชีวิตที่ผ่านมาเรียกว่าชีวิตเก่า ชีวิตเก่าและชีวิตใหม่มีอะไรแตกต่างกัน เราจะทำชีวิตใหม่ให้เหมือนชีวิตเก่าได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าหากศิษย์จะทำชีวิตใหม่ของศิษย์ให้เหมือนชีวิตเก่าก็ย่อมได้ เป็นสิทธิของศิษย์เอง แต่หลายๆ คนกำหนดชีวิตใหม่ของตนเองให้ไม่เหมือนชีวิตเก่าของตัวเองได้ เพียงแต่เรารู้จักที่จะพิจารณาให้มากๆ ฝึกฝนจิตใจของเราให้เป็นพุทธะที่ฟื้นฟูขึ้น ฉะนั้นการที่ชีวิตเราจะใหม่มากขึ้นหรือไม่ย่อมอยู่ที่เราจะกำหนด หากไม่กำหนด ไม่รู้จักทิศทาง ไม่ยอมเดินไป ชีวิตนี้ก็เหมือนเดิม เมื่อเหมือนเดิมก็รับกรรมอย่างเดิม ไม่สามารถที่จะพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้
“วัดใจตนสละให้รู้สึกอย่างไร” เวลาเราสละสิ่งของของตัวเองให้ผู้อื่น เรารู้สึกอย่างไร (คนให้ก็รู้สึกดีใจ,ความปลื้มใจ, สละด้วยความเต็มใจย่อมเกิดปิติ) อาจารย์ถามว่า เวลาที่เราสละให้คนอื่น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของอะไรก็ตาม รู้สึกอย่างไร (ปลาบปลื้มปิติ, ปลื้มใจ, สุขใจ, ภาคภูมิใจ, รู้สึกเสียดาย ถ้าหากรู้ว่าเขาไม่เอาไปทำประโยชน์, , เต็มใจ ยินดีที่ได้เสียสละ,เรายินดีที่จะให้ แล้วเขาเต็มใจที่จะรับ)
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมนักเรียนในชั้น) สู้ไม่สู้อยู่ที่เรา คนบำเพ็ญธรรมไม่ได้อยู่ที่ร่างกายแข็งแรงหรือว่าอ่อนแอ ยิ่งบำเพ็ญยิ่งดี สุขภาพใจยิ่งแข็งแรง หลายคนบอกว่าบำเพ็ญธรรมไม่ไหวแล้ว เพราะว่าร่างกายไม่อำนวย แต่การบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญที่ใจ ไม่ใช่ที่กาย
อาจารย์จะบอกให้ว่า เวลาที่เรานั้นจะสละสิ่งใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นทั้งรูปธรรม นามธรรมแก่ผู้อื่นนั้น จะต้องสละให้ด้วยความยินดี จิตนั้นจึงเกิดเป็นกุศลได้ ส่วนใหญ่หลายคนนั้นให้ไปด้วยความเสียดาย ส่วนใหญ่นั้นเมื่อเราสละให้ หลายคนมักคิดไปถึงเงินทอง แต่ว่าสิ่งที่เราลืมสละให้บ่อยๆ คือน้ำใจ น้ำใจอันนี้สามารถช่วยผู้อื่นจากร้อนให้กลายเป็นเย็นได้ เวลาที่เราจะสละให้ สิ่งที่ดีที่สุดที่จะสละก็คือคำปลอบใจ หลายคนเป็นผู้ที่มีความท้อแท้ ไม่มีกำลังใจ เพราะฉะนั้นเวลาที่จะให้กำลังใจผู้อื่นจะต้องเลือกแต่ในสิ่งที่เป็นคำพูดที่ดี บางทีบางคนบอกว่าพูดไปตามความจริง แต่ว่าความจริงบางประเภท เวลาพูดไปทำให้คนนั้นหมดกำลังใจใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจึงต้องเลือกพูดในสิ่งที่เป็นความจริงที่ดีเท่านั้น แต่อย่าโกหก หลายคนนั้นชอบโกหก นั่งอยู่ที่นี่คงไม่มีใครไม่เคยโกหก แต่ถามว่าเรานั้นโกหกด้วยอะไร ถ้าโกหกด้วยเจตนาที่ดีก็อาจจะดี แต่ว่าการโกหกนั้นมีกรรมไหม ก็ยังมี บางคนบอกว่าโกหกไปด้วยเจตนาที่ดี แต่ผลกรรมแห่งการโกหกนั้นก็ย่อมมี อย่าได้บอกว่าจะสามารถทำความดีชะล้างความชั่วได้ เหมือนน้ำกับน้ำมันที่ไม่สามารถที่จะเข้ากันได้ ถ้าหากว่าเรานั้นพูดไม่ดีทำไม่ดีมากก็เหมือนกับน้ำมันที่คอยจะลอยอยู่บนหน้า ฉะนั้นเกิดมาเป็นคนจึงยากลำบากที่จะทำตัว แต่ว่าจงอย่าลำบากใจ ชีวิตหนึ่งเหมือนกับความฝัน เพียงเราตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งสิ่งต่างๆ บางทีก็ไม่เหมือนเดิมใช่หรือไม่ (ใช่) ให้เรารู้ไว้ ให้เรารู้จักปล่อยวางให้ได้ อย่ารู้จักคำว่าปล่อยวางนิดหนึ่ง เหลือไว้อีกนิดหนึ่ง อย่างนี้ไม่เรียกว่าปล่อยวาง การปล่อยวางนั้นจะต้องปล่อยวางให้สิ้น ไม่ฉะนั้นความทุกข์ใจจะมาสู่เราได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
“ครองฤทัยมีทิศมีธรรมพอ” หมายความว่าอย่างไร ให้เรานั้นพาใจของเราให้เป็นใจที่มีทิศมีทาง ไม่ใช่เป็นใจที่ไม่มีทิศมีทาง เหมือนกับสายลมใช่หรือไม่ (ใช่) ลมพัดมาจากข้างหน้าไปข้างหลัง ไม่สามารถบอกได้ว่าลมนั้นจะพัดไปสู่ทิศใดบ้าง เพราะว่าเรามองไม่เห็น จึงบอกว่าลมไม่มีทิศมีทาง แต่สิ่งที่ควรจะบำเพ็ญตามลมนั้นคือการรักษาการสร้างคุณธรรม เอาคุณธรรมของเราออกไปเหมือนกับสายลม ปล่อยออกไปให้มาก ให้ไปสู่คนจำนวนมากโดยไม่ต้องสนใจว่าคนที่เราจะไปสร้างคุณธรรมกับเขา กลุ่มที่เราจะไปสร้างคุณธรรมกับเขานั้นเขาเป็นคนดีหรือเปล่า อย่าเลือกทำความดีเฉพาะกับคนดี แต่ให้เลือกทำความดีกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เราพบเห็น มีสิ่งใดอีก ลมไปกระจัดกระจาย อาจารย์ให้เปรียบเสมือนคุณธรรมที่เรานั้นจะต้องส่งออกไปให้มาก ลมยิ่งพัดแรงคนยิ่งเย็นใช่หรือไม่ (ใช่) ลมยิ่งพัดแรงยิ่งสบาย แต่คนที่เป็นลมที่พัดไปอาจจะไม่สบายก็ได้นะ ฟ้ามีแสงสว่างใช่หรือไม่ (ใช่) ฟ้ามีแสงสว่างเปรียบเสมือนอะไรดี (ความดี,เปรียบเสมือนแสงความดีที่เรารับเข้าไปใหม่ที่กำลังมืด) ใช่หรือเปล่า (ใช่) คนที่ตอบได้ลูกที่สอง ลูกที่สาม ต้องดูว่าตอบดีหรือเปล่า (ฟ้าเปรียบเสมือนอาจารย์จี้กงชี้หนทางนิพพานให้) อาจารย์จะบอกให้ มือข้างหนึ่งก็ถือสองอัน อาจารย์จะโยนให้ก็จะรับอีกมือหนึ่งใช่หรือเปล่า (ใช่) อย่างนี้เขาเรียกว่าจับปลาสองมือ มือข้างนี้มีปลาสองตัวยังจะเอามือข้างนี้อีกได้ไหม จับปลาสองมือเป็นกันหลายคนใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นอาจารย์บอกว่าเวลาทำสิ่งใดทำให้ดีสักอย่างหนึ่ง ทำให้ดีจริงๆ ไม่ใช่ข้างนี้ก็อยากจะทำอย่างนี้ อีกข้างก็อยากจะทำอีกอย่าง ในที่สุดแล้วอาจจะอดได้ทั้งสองสิ่งใช่หรือไม่ (ใช่) เขาบอกว่าคนในโลกนี้หลายคนโชคดีแต่ถามว่าจะโชคดีสักกี่หน มนุษย์ไม่ได้โชคดีอยู่เสมอๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นหนึ่งครั้งโชคดี หนึ่งครั้งขอบพระคุณ หนึ่งครั้งโชคดี หนึ่งครั้งรักษาไว้อย่าได้มีความโลภมากกว่านั้น อย่าได้บอกว่าฉันโชคดีขึ้นแล้ว ฉันจะไปเสี่ยงอีกครั้งหนี่ง หลังจากนั้นให้ฉันโชคดีตลอดไป เป็นไปได้หรือเปล่า (ไม่ได้)
“แม้ติดปีกว่ายฟ้ามิจฉากั้น” นี้ ก็หมายความว่า “บิน” “มิจฉา” ตรงข้ามกับ “สัมมา” มิจฉาในที่นี้คือมิจฉาที่ใจตนเอง ความไม่สุจริตที่ใจของตนเอง เป็นมิจฉาอย่างยิ่ง แม้จะบินขึ้นไปสูงเท่าไหร่ มิจฉาก็สูงขึ้นมากเท่านั้น ฉะนั้นสิ่งที่เป็นอุปสรรคขวางกั้นเรามากที่สุด ก็คือใจของเราเอง สิ่งชนะยากมากที่สุด ก็คือใจของเราเอง ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมก็คือ การบำเพ็ญใจของเราให้สะอาด ให้เป็นสัมมา ให้เที่ยง ไม่ใช่มองใครๆ ก็มีแต่อคติ อคติที่ตาของเราที่มองเขาไม่ดี หูก็ชอบฟังเสียงนินทา ปากก็พูดเรื่องไม่ดีของผู้อื่น ก็กลายเป็นคนที่มีอายตนะที่ไม่ดี ในที่สุดแล้ว เมื่อมีหู ตา จมูก ปาก ที่ไม่ดี ใจก็ไม่ดี การบำเพ็ญใจจะว่ายากก็บำเพ็ญยาก จะว่าง่ายก็บำเพ็ญง่าย เปรียบเสมือนหน้ามือและหลังมือ ถ้าตัดสินใจพลิกจากหลังมือมาเป็นหน้ามือ ก็ดูขาวดี กลัวแต่ไม่สามารถตัดสินใจพลิกหลังมือมาเป็นหน้ามือได้ เปรียบไปแล้วมนุษย์ในโลกนี้ ความเด็ดขาดเหมือนกับอะไร เหมือนกับผู้ชายที่ตัดสินใจเลิกบุหรี่ได้ ตัดสินใจเลิกเหล้าได้ เหมือนกับมนุษย์ที่ตัดสินใจตัดกิเลสได้ เวลาที่เราสูบอยู่ครึ่งมวน เหลืออีกครึ่งมวนเราตัดสินใจโยนทิ้งได้ไหม (ได้) คนที่ติดบุหรี่ต้องคิดดู เหล้ากินไปแล้วครึ่งแก้วเหลืออีกครึ่งแก้ว เราตัดสินใจเลิกกิน วางไว้ตรงนั้นเลย หรือไม่ก็เททิ้งเลยได้ไหม (ได้) เหมือนกับการที่เรามีกิเลสอยู่ในใจ แล้วตัดสินใจโยนกิเลสของเราทิ้งเลยได้ไหม (ได้) เห็นเงินเราจะได้ไม่รู้สึกถึงความโลภ เห็นสิ่งสวยงามที่เราต้องใจและเคยชอบพออยู่ก็ไม่รู้สึกอยากได้ ทำได้ไหม (ได้) ถ้าเราเลิกไม่ได้เราก็เป็นพุทธะไม่ได้
“หลักกลายรองไม่แน่ชีวิตจริง” สิ่งที่เป็นหลักที่เราหาอยู่ทุกวันได้แก่ เงินทอง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่สำหรับผู้บำเพ็ญนั้นคำว่า เงินทองเป็นหลักได้ไหม (ไม่ได้) ผู้บำเพ็ญควรมีคุณธรรมเป็นหลัก เช่นความเมตตา ความซื่อสัตย์ ความกตัญญู ยกตัวอย่างให้ดูอย่างง่ายๆ เวลาเราป่วยไข้ ต้องกินยา กินข้าวก็ต้องกินยาไปด้วย เพราะฉะนั้นข้าวเป็นหลัก หรือยาเป็นหลัก ถ้าไม่ได้กินยาก็ไม่หาย บางคนยอมกินยาทั้งๆ ที่ไม่ได้กินข้าว ฉะนั้นเวลาเราไม่สบาย ยาก็เป็นหลักของเรา แต่เมื่อเราหายป่วยแล้ว ข้าวจะเป็นหลัก บางทีก็มีหลักกลายรอง และรองกลายหลัก หนึ่งในปัจจัยสี่ของเราคือ ยารักษาโรค หลักและรองบางทีก็สลับกันไปมา บางครั้งเราเป็นผู้อาวุโสกว่าคนๆ นี้ แต่วันดีคืนดี คนๆ นี้ เกิดมีความสามารถมาก กลายมาเป็นอาจารย์บรรยายธรรมข้างหน้าของเรา เรารู้สึกอย่างไร ต้องไม่อิจฉา เราต้องรู้ว่า หลักกับรองต้องอาศัยซึ่งกันและกัน บางทีก็มีการสลับไปมา อย่าได้รู้สึกอะไรมาก ต้องรู้สึกยินดีปรีดา ต้องยินยอมที่จะโค้งอย่างอ่อนน้อมเช่นดังเดิม เพราะว่าหลักกับรองมีการเกื้อกูล เกื้อหนุนกันอยู่เสมอ ไม่ใช่บอกว่าเราเป็นสามี เป็นใหญ่ในบ้าน วันดีคืนดีสามีตกงาน ภรรยาทำงาน ผู้ที่เป็นสามีก็ต้องรู้ที่จะยอมเหมือนกัน และภรรยาต้องรู้จักอ่อนน้อมใช่หรือเปล่า (ใช่) ไม่ใช่บอกว่า ตอนนี้ฉันเป็นใหญ่ในบ้าน อะไรก็ฉันจัดการหมดเลย เธออยู่เฉยๆ ถ้าเป็นอย่างนี้ ถามว่า หากสามีเสียหลักแล้ว ภรรยาจะมีหลักไหม บ้านที่สามีภรรยาทะเลาะกัน ถ้าภรรยาเถียงชนะแล้วสามีไม่พอใจถามว่า เวลาสามีโกรธแล้วใครเดือดร้อน (ภรรยา) ก็ภรรยาเดือดร้อน เวลาภรรยาเดือดร้อนแล้วใครเดือนร้อนอีก (สามี) ก็สามีเดือดร้อนใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะไม่ใครทำกับข้าวให้กิน อยู่บ้านเดียวกันก็มองหน้ากันไม่ติด ในที่สุดแล้วพอสามีภรรยาไม่มีความสมานสามัคคีใครเดือดร้อน ลูกเดือดร้อนใช่หรือไม่ (ใช่)
อันว่าเรื่องของครอบครัวหนึ่งนั้น เป็นเรื่องที่ลำบากและสลับซับซ้อน ผู้ที่จะเป็นผู้ที่บำเพ็ญจำเป็นที่จะต้องรู้จักรักษาน้ำใจซึ่งกันและกัน ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนดีหรือไม่ก็เป็นคู่ชีวิตของเราแล้ว เราได้เลือกเขาแล้ว เพราะฉะนั้นจงรู้จักที่จะอดทนถนอมน้ำใจกันแม้ว่าทำยากมากก็ต้องทำ ไม่ทำแล้วใครจะทำ อันว่าชีวิตนี้เกิดมาด้วยแรงกรรม อยู่ด้วยกันก็ด้วยแรงกรรม ถ้าไม่ใช่แรงกรรมก็ด้วยแรงบุญ เพราะฉะนั้นใครที่แต่งงานไปแล้วครอบครัวไม่ค่อยดี ก็ต้องรู้ว่าเราอาจจะมีกรรมก็ได้ ส่วนคนที่แต่งแล้วดีมากๆ ก็บอกว่าเรามีบุญใช่หรือไม่ (ใช่) ก็มีแค่บุญกับกรรมสองอย่างที่เราผูกกันมาแล้วก็ผูกกันไป จึงบอกว่าไม่ว่าอดีตชาติจะทำเช่นไร อดีตชาติจะเป็นเช่นไร อนาคตยังมาไม่ถึง เพราะฉะนั้นทำปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุด มีหลายคนชอบไปดูหมอ พอไปดูแล้วหมอบอกว่า ดวงชะตาเราไม่ค่อยดี แต่ถามว่าอนาคตมาถึงหรือยัง (ยัง) ถ้าเราอยากให้อนาคตดีเราก็แก้ไขที่ปัจจุบัน ส่วนอดีตที่ผ่านมาแล้วย่อมแก้ไขไม่ได้ ไปนั่งเสียใจกับอดีตที่ผ่านมาแล้วคุ้มไหม สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ให้ผ่านไป เพียงแต่วันหน้าจะผิดเป็นครั้งที่สองได้ไหม จะผิดเป็นครั้งที่สามได้ไหม บางคนชอบที่จะให้อภัยตนเองอยู่ประจำ อะไรก็ฉันมีเหตุผลอย่างนี้ ฉันถูก แต่ถามว่าแม้เราจะบอกว่าตัวเราถูกได้ แต่คนทั่วไปบอกว่าเราถูกไหม (ไม่ถูก) เขาก็ยังบอกว่าเรายังไม่ถูกต้อง ผู้บำเพ็ญธรรมจึงต้องรู้จักย้อนมองส่องตน ลองหลับตาลง แล้วใช้ตาที่เรามองออกข้างนอกนี้มองกลับเข้าไป ถามตัวเราว่ายังมีความไม่ดีมากมายอีกเท่าไหร่ที่ยังต้องแก้ไข ลืมตาขึ้นได้ บางคนอาจจะคิดออก บางคนอาจจะคิดไม่ออกเพราะเวลาสั้นเกินไปและยังไม่เจอเหตุการณ์เฉพาะหน้า
เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่า ฟ้าที่สว่างนั้นเปรียบเสมือนจิตใจของเรา พระอาทิตย์ให้ความสว่างบนฟ้า แต่ใจเราให้ความสว่างให้กายเรานั่นเอง ใจของเราถ้ามีความสว่างด้วยคุณธรรมนำพาต่างๆ ก็จะช่วยให้จิตใจของเรานั้นสว่างยิ่งขึ้น เสร็จแล้วเมื่อสักครู่อาจารย์พูดถึงเรื่องการแก้ไข การแก้ไขเปรียบเสมือนกับดิน สิ่งที่อยู่บนดินทุกอย่างต้องเป็นระเบียบเรียบร้อยใช่หรือไม่ (ใช่) หินต้องอยู่บนดิน น้ำต้องอยู่เหนือดิน ต้นไม้ที่ปลูกรากต้องอยู่ข้างล่างแล้วใบอยู่ข้างบนใช่หรือเปล่า (ใช่) วันไหนรากมาอยู่ข้างบนแล้วใบอยู่ข้างล่างได้ไหม (ไม่ได้) ของที่อยู่บนดินทุกอย่างต้องเป็นระเบียบเรียบร้อยเปรียบไปแล้วเสมือนบุคลิกลักษณะนิสัยของเรา ต้องเป็นระเบียบเรียบร้อยทุกอย่าง ต้องลงตัว ทุกอย่าง ต้องงดงาม นิสัยของเรานั้นต้องรู้จักแก้ไขให้ดีมีต้นมีปลายเหมือนกับต้นไม้ที่มีใบอยู่ข้างบนแล้วรากอยู่ข้างล่าง ไมใช่บอกว่าฉันจะตามใจฉันเอง นิสัยของฉันในที่สุดแล้วเหมือนกับเอารากไปอยู่ข้างบนเอาใบไปอยู่ข้างล่าง ถามว่าต้นไม้ต้นนี้ตายไหม (ตาย) แสดงว่านิสัยของเราถ้าเกิดว่าถูกปรับได้อย่างนี้ก็พาตัวไปสู่ความหายนะใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นนิสัยเป็นสิ่งสำคัญไหม (สำคัญ) แต่เอาใจตนเอง ดื้อรั้นได้ไหม (ไม่ได้) อย่าบอกว่าเรานั้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว ยิ่งเป็นผู้ใหญ่ยิ่งทำงานเยอะ ยิ่งเอานิสัยและอารมณ์มาใช้แก้ปัญหาไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ยิ่งใช้อารมณ์แก้ปัญหาเท่าไหร่เรื่องราวก็ยิ่งวุ่นวายหนักขึ้น ฉะนั้นจึงบอกว่าเรานั้นต้องรักษานิสัยของเราให้เปรียบเสมือนพื้นดิน รักษานิสัยให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ให้เป็นคนเรียบร้อย อย่าใช้อารมณ์ในการทำสิ่งต่างๆ
ความรอบรู้ที่จะเกิดขึ้นได้นั้นต้องรอบรู้ด้วยปัญญา แต่ปัญญานี้ไม่ใช่ปัญญาที่มีมาแต่กำเนิด ปัญญานี้ไม่ใช่ปัญญาที่อยู่ในธรรมญาณ แต่ปัญญานี้เป็นปัญญาของการฝึกฝน จะเกิดความรอบรู้ขึ้นมาได้ก็เพราะว่าเรามีความระมัดระวังเป็นกุญแจ อันได้แก่ปัญญาด้วยการรู้จักระมัดระวังเป็นกุญแจของชีวิตเรา บางทีหลักก็กลายเป็นรอง ต้องรู้จักพิจารณาไม่ให้จิตใจตกต่ำลงไป ไม่ให้จิตใจพาไปสู่ความไม่รู้จักต้นไม่รู้จักปลาย เพราะฉะนั้นบอกว่าหลักกายคือความไม่แน่นอน ชีวิตจริงคือความไม่แน่นอน บางทีก็มีการสลับสับเปลี่ยนกันไปมา
เมื่อเราตั้งใจจะทำสิ่งใด ความอ่อนน้อมเป็นความสำคัญมาก บางคนไม่รู้จักความอ่อนน้อม คนที่เราควรจะอ่อนน้อมมากที่สุดคือคนที่มีอายุมากแล้ว คนที่มีอายุมากแล้วไม่ว่าเขาจะเป็นคนที่ดีหรือไม่ดี จะงกๆ เงิ่นๆ ขี้บ่นอย่างไร ก็ต้องรู้จักอ่อนน้อมต่อเขาด้วย อันคนนั้นกล่าวไว้ว่า “คนอายุมากนั้นอาบน้ำร้อนมาก่อน” ฉะนั้นเราเป็นผู้อาบน้ำร้อนทีหลัง หรืออาบยังไม่ร้อนเลย จึงต้องรู้จักที่จะอ่อนน้อมถ่อมตนเข้าไว้ ผู้ที่เราควรจะอ่อนน้อมต่อมาก็คือผู้ที่ให้ความรู้ ให้วิชา ให้สิ่งที่มีค่าต่อเรา ผู้ที่ควรอ่อนน้อมคนที่สามก็คือพ่อ แม่ พี่น้องทุกคน ไม่ว่าจะสามัคคีกันหรือไม่ ก็ต้องรู้จักอ่อนน้อมต่อกันทั้งสิ้น ผู้ที่ควรอ่อนน้อมต่อมา ควรจะอ่อนน้อมต่อใครอีก ทุกคนไม่ว่าจะสามัคคีกันหรือไม่ ต้องรู้จักอ่อนน้อมทั้งสิ้น ต่อมาควรจะอ่อนน้อมต่อทุกๆ คนที่เราพบเห็น ไม่ว่าผู้นั้นจะอาวุโสน้อยกว่า หรือไม่ควรที่จะฝึกความอ่อนน้อมไว้ การอ่อนน้อมนั้นมีสัญลักษณ์ท่าทางคือการโค้ง ทุกครั้งที่เราโค้งเราก็จะมองเห็นตัวเราเอง เพราะฉะนั้นการอ่อนน้อมถ่อมตนนั้น ทำให้เรารู้จักตนเองมากขึ้น เป็นสิ่งที่มีค่าไหม (มีค่า) อาจารย์อาจจะเรียงลำดับของความอ่อนน้อมนั้นสลับไปสลับมา ฉะนั้นควรที่จะไปเรียงลำดับเอาใหม่แล้วกัน พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ ต่อไปเป็นใครๆ ไปเรียงลำดับเอาเองแล้วกัน
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนออกมาร่วมวงพระโอวาทซ้อนพระโอวาทและเมตตาพูดส่งเสริมนักเรียนที่วงคำแต่ละคำ)
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมนักเรียนที่วงคำว่า “อดีต”) อดีตเป็นอย่างไร ต้องรู้จักที่จะลืมให้ได้ เพราะว่าชีวิตเรามุ่งไปข้างหน้า สิ่งใดที่สูญเสียไปแล้วก็ไม่เป็นไร ถ้าเขาไปในทางที่ดีก็ดีแล้ว ส่วนเราก็ทำอนาคตให้ดี อาจารย์ให้วงคำว่าอดีตเพื่อให้ลืมอดีต อาจารย์ให้ไปสู่อนาคต เพื่อให้ศิษย์นั้นก้าวหน้าได้
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับพ่อครัวและแม่ครัว)
คนเขายกย่องเราว่าเป็นพ่อครัว แม่ครัวคงจะต้องมีกุศลมากที่สุด เพราะฉะนั้นเวลาทำครัว อย่าทำไปว่าใครไป เพราะถ้าหากทำไปว่าใครไป กุศลก็คงจะรั่วออกไปหมด ฉะนั้นทำงานที่เหนื่อยยาก มีกุศลแท้จริงก็ต้องรักษากุศลให้จริงๆ คนอื่นเขาไม่ดีก็ช่างเขา เราก็พูดดีเข้าไว้
ผู้ร่วมฟังชั้นล่างอยากเจออาจารย์ไหม (อยาก) ลงบันไดง่ายกว่าขึ้นบันได จริงหรือเปล่า (ใช่) ลงบันไดง่ายตรงไม่ต้องออกแรง นึกอยากจะลงก็ลงได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) ลงบันไดเปรียบเสมือนกับการที่เรานั้นตามใจตัวเอง เวลาเราอยากที่จะตามใจตัวเองก็หาเหตุผลสารพัดให้ตัวเอง แต่ในที่สุดแล้วการเอาชนะคนอื่นไม่สามารถที่จะเอาชนะใจตนเองได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะว่าจริงๆ เรารู้ว่าสิ่งใดที่ควรหรือไม่ควรอยู่เสมอๆ ฉะนั้นการที่เราเกิดมาเป็นคนนั้นควรกระทำแต่ในสิ่งที่สมควร อย่าเที่ยวหาเหตุผลให้กับตนเอง ในการที่เรานั้นจะกระทำความผิดต่างๆ อย่าเอาธรรมะมาเป็นข้ออ้างในการทำความผิดบาป เวลาเราพูด เวลาเราคิด เวลาเรากระทำ ควรระมัดระวังไว้จึงจะเหมาะสมกับการเป็นผู้บำเพ็ญใช่หรือไม่ (ใช่)
ในวันนี้เรามานั่งฟังที่นี่คนเขาเรียกเราว่าผู้ร่วมฟัง แสดงว่าเรามาเพียงร่วมฟังเท่านั้น เรายังไม่ได้มาช่วยงาน เราควรที่จะพัฒนาตนเองให้มากขึ้นดีหรือไม่ (ดี) ชีวิตของเรานั้นเป็นชีวิตที่สั้นๆ จะทำให้ชีวิตมีคุณค่าหรือไม่มีคุณค่าก็ได้ย่อมอยู่ที่เราเป็นหลักใช่หรือไม่ (ใช่) หวังว่าศิษย์ของอาจารย์จะเข้าใจในหลักเกณฑ์ของชีวิต เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่าเวลาลงบันไดนั้นลงง่าย เวลาศิษย์นั้นอยากที่จะลงนรกมันก็ง่ายเหมือนกัน การลงบันไดเช่นนี้จึงหวังว่าศิษย์นั้นจะมีสติไว้ทุกเมื่อ อาจารย์จะตั้งคำถามแล้วให้ศิษย์ตอบดีหรือไม่ อาจารย์จะถามว่าคนที่เข้ามาสู่สถานธรรมแล้วเขาพูดถึงการบำเพ็ญ กลับไปเราจะบำเพ็ญอะไรดี จะแก้ไขอะไรดี อาจารย์มีเวลาน้อยใครอยากตอบลุกขึ้นตอบ (บำเพ็ญบุญ,แก้ไขในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร,บำเพ็ญกุศล,แก้ไขตัวเอง,สร้างกุศล,แก้ไขตัวเองและช่วยเหลือผู้อื่น) ตอบได้ดี ช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยเหลือตัวเองได้หรือยัง (รู้จักให้อภัย,ก็คือคนไทยส่วนใหญ่จะนิยมไปทำบุญตักบาตรกันเพราะคิดว่าจะได้กุศล ขอถามว่าเวลาทำบุญเลี้ยงพระแล้วเอาเนื้อสัตว์ไปทำบุญและตัองฆ่าชีวิต เราต้องไปเบียดเบียนเขาเราจะได้บุญหรือได้กุศล หรือซื้อไปถวายญาติที่ล่วงลับไปแล้ว แล้วเจ้ากรรมนายเวรเขาไม่ไปทวงกับญาติที่ล่วงลับไปแล้วหรือ) คำถามนี้ถ้าคิดพิจารณาจริงๆ ก็จะรู้เหมือนกับศิษย์เริ่มรู้ว่าการใช้เนื้อสัตว์สร้างบุญสร้างกุศลนั้นจะเกิดกรรมขึ้น ตั้งใจฟังให้ดีๆ “บุญ” กับ “กรรม” เปรียบเสมือนน้ำกับน้ำมันซึ่งเข้ากันไม่ได้ ถ้าหากว่าเราสามารถที่จะทำบุญ สร้างกุศลด้วยการตักบาตร ทำบุญเป็นเรื่องสำคัญไหม (สำคัญ) ถ้าหากว่าศิษย์ไม่เคยทำสิ่งนี้ วันนี้ก็จะไม่ได้รับธรรมะ ไม่ได้จะมาเป็นผู้ที่จะบำเพ็ญ แต่การที่เราใช้เนื้อสัตว์ทำบุญก็ย่อมจะมีบาป แต่บุญมีไหม มี บุญเหมือนน้ำที่เพิ่มขึ้นมา ส่วนกรรมนั้นเป็นน้ำมันที่หยดลงไป มีกรรมอยู่เล็กน้อยที่เป็นน้ำมันอยู่บนหน้าน้ำ การที่เราอยากจะได้บุญบริสุทธิ์นั้นก็ต้องสร้างด้วยสิ่งบริสุทธิ์ ถึงจะกลับมาเป็นบริสุทธิ์ ส่วนว่าจะไปทวงกับญาติพี่น้องไหมย่อมอยู่ที่เจตนาของเรา อาจจะไปทวงกับญาติพี่น้องของเราที่เราทำบุญสร้างกุศลไปให้ หรืออาจจะไม่ทวง การที่ทำบาปทำบุญนั้นจะได้บุญไหม ไม่ใช่ว่าทำเยอะแล้วได้บุญเยอะทำน้อยแล้วได้บุญน้อย แต่ขึ้นอยู่กับเจตนาของเรา เจตนาอันบริสุทธิ์นั้นจะเป็นกุศล ส่วนเจตนาไม่บริสุทธิ์จะเป็นบุญและมีบาปติดตามมาด้วย คิดพิจารณาให้ดีๆ แล้วจะเข้าใจว่าการเป็นผู้บำเพ็ญควรจะทำอย่างไร ไม่ยากเกินไปในการคิดพิจารณาแต่ละอย่าง แต่การคิดพิจารณาทั้งหลายนั้นต้องเนื่องด้วยสัจธรรม เนื่องด้วยความเป็นจริง ไม่ใช่เนื่องด้วยสิ่งที่เราสมมติแต่งปั้นขึ้นมาเอง (สร้างบุญสร้างกุศล) เมื่อสร้างบุญสร้างกุศลถึงระดับหนึ่งแล้วต้องกลับมาพิจารณามองตัวเราเองอีกครั้งหนึ่ง ว่าตัวเราเองมีจิตใจที่เป็นกุศลหรือเปล่า แล้วก็ไม่ใช่สร้างบุญด้วยการทำสิ่งที่เป็นวัตถุอย่างเดียว ต้องรู้จักที่จะบำเพ็ญจิตใจของเราเอง แก้นิสัยของเราเอง แก้ความเป็นตัวเอง แก้สิ่งที่เราวางไม่ลง หลายคนที่เป็นผู้บำเพ็ญธรรมยังเป็นผู้ที่มีนิสัยไม่ดี ยังเที่ยวระรานคนอื่น ยังไม่ยอม ยังอยากที่จะชนะอยู่ ถามว่านิสัยอันนี้เป็นผลเสียต่อผู้อื่นหรือตัวเราเอง (ตัวเราเอง) เราไปรังแกผู้อื่น เราก็รังแกแค่หนึ่งครั้ง แต่นิสัยไม่ดีอยู่กับเราทุกวัน อยู่กับเราทุกเวลาทุกนาที คนที่เรารังแกมากที่สุดก็คือตัวเราเอง เพราะฉะนั้นแก้ไขให้ดี ปรับปรุงให้ดี อย่าบอกว่ายาก อย่าบอกว่าทำไม่ได้ อะไรก็ตามที่สั่งสมขึ้นมาได้เราย่อมสามารถที่จะแก้ไขได้
(มีผู้ร่วมฟังถามพระอาจารย์ว่าถ้าใช้อาหารเจไปทำบุญจะได้บุญหรือเปล่า) ถ้าหวังอยากได้บุญ ก็จะไม่มีบุญ เวลาที่เราทำบุญ ถ้าเรามีจิตใจโลภอยากจะได้บุญมาเป็นของเรา บุญจะมาถึงเราไหม เราเป็นผู้โลภ แต่บุญเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ ถามว่าผู้โลภกับสิ่งบริสุทธิ์จะเข้ากันได้ไหม (ไม่ได้) ทำไมจึงบอกว่าไม่ได้บุญ เพราะว่าจิตของศิษย์ไม่ใช่บุญ ไม่ใช่สิ่งบริสุทธิ์ จึงรับบุญที่ศิษย์สร้างขึ้นเองไม่ได้ แต่ถามว่ากรวดน้ำให้พ่อแม่ได้ไหม ตอบว่าได้ บุญที่มาไม่ถึงเราเพราะว่าเราเป็นผู้ที่ไม่บริสุทธิ์ มีความโลภเป็นเนืองนิจ จึงไม่มีบุญอยู่กับเรา แต่เราอุทิศไปให้ใครเขาก็จะได้ ฉะนั้นความอยากเป็นสิ่งที่ดีไหม (ไม่ดี) ความโลภก็เป็นสิ่งที่ไม่ดี อย่าได้โลภในการที่เราจะทำสิ่งใด อย่าเป็นคนประเภทที่ชอบหว่านพืชหวังผล เพราะว่าผลที่เกิดขึ้นมาอาจจะไม่ได้สมดังที่เราปรารถนาก็ได้
(มีผู้ร่วมฟังถามพระอาจารย์ว่าถ้าผู้บังคับบัญชาสั่งให้เราเบียดบังผลประโยชน์ของผู้อื่นจะบาปหรือเปล่า) เราหลีกเลี่ยงได้ไหม (เป็นหน้าที่ที่เราต้องทำ) บาปที่มีทั้งหมดจะตกอยู่กับผู้ที่สั่งเรา แต่ว่าเวลาเราสั่งคนไปฆ่าคน คนสั่งผิด คนทำก็ผิด เพราะถ้าเราไม่ทำก็ได้ นั่นอยู่ที่ปัญญาของศิษย์ที่จะพลิกแพลง พลิกแพลงให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด อันว่าหลายๆ คนมักจะโดนบีบบังคับให้ทำสิ่งที่ผิด แต่คนที่ถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ผิดก็ผิด แต่เราต้องทำไหมถ้าเราโดนสั่งมา ก็อาจจะต้องทำ แต่ปัญญาในการพลิกแพลงเรื่องราวต่างๆ ของเรามีไหม ถ้าเรามีก็ดึงออกมาใช้แล้วก็ทำให้ดีที่สุด ถ้าทำไม่ได้ก็เลิกเสีย นั่นเป็นปัญญาอันสูงสุด ชีวิตจริงน่าเศร้าอย่างนี้ ถ้าเขาบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ผิด แล้วเราทำไป เราก็ผิด แต่ถามว่าความผิดเป็นของเราทั้งหมดไหม อาจจะไม่ใช่ แต่เราก็ยังได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่ทำผิด ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าขอให้มีปัญญา ขอให้มีความฉลาด ขอให้คิดให้ว่องไว อย่าเผลอตัวเองไปทำผิด อย่าไปคบไปเกี่ยวข้องกับคนผิด ดังคำสุภาษิตบอกว่า “คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล” ฉะนั้นการที่เราจะพาตัวไปเกี่ยวข้องกับอะไร ก็ขอให้คิดให้ดีๆ ก่อนที่เราจะก้าวเข้าไปอีก ไม่ใช่ก้าวไปแล้วค่อยคิด ก็จะเสียใจแบบนี้
อาจารย์เดินขึ้นบันไดมาก็ไม่เห็นว่าจะเหนื่อยตรงไหนเลย มนุษย์ยังยืนยันว่าทำความดียาก แต่อาจารย์บอกว่าทำความดีไม่เห็นยากตรงไหน
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “รู้ชีวิตกำหนดชีวิต”)
โดยทั่วไปคนทั่วไปเข้าใจคำว่า “รู้ชีวิต” รู้ว่าชีวิตนี้เป็นทุกข์ พยายามจะหาทางหลีกเลี่ยงทุกข์ รู้ว่าชีวิตนี้เหมือนฝัน พยายามที่จะสร้างคุณค่า รู้ว่าชีวิตนี้ไม่สมหวัง พยายามอย่าไปหวัง แล้วก็ปล่อยวางมาก “กำหนดชีวิต” ก็คือการที่เราพาชีวิตของเราให้พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ในทางธรรมการรู้ชีวิตหมายความว่าอย่างไร “การรู้” หมายถึงการเข้าใจ ทราบว่าชีวิตอยู่ที่จุดที่อาจารย์นั้นชี้ให้ ฉะนั้นการรู้ชีวิตก็หมายความว่าการที่ศิษย์นั้นได้ผ่านการคัดเลือกให้เป็นผู้ที่ผ่านการหล่อหลอมครั้งนี้ เป็นพุทธบุตรครั้งนี้ การรู้ชีวิตย่อมหมายถึง การที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นได้รับธรรมะแล้ว ได้รู้ซึ่งชีวิต จิตของเรานี้ว่าตั้งอยู่ที่ไหน อันนี้เป็นการรู้ชีวิตในทางธรรม โดยความหมายที่ลึกมากขึ้น การรู้ชีวิตครั้งนี้เมื่อเรารู้จิตที่ตั้งของเราแล้ว ถามว่าเราควรที่จะกำหนดชีวิตของเราอย่างไร กำหนดชีวิตของเราให้ยิ่งทียิ่งแย่ดีไหม (ไม่ดี) ต้องกำหนดชีวิตของเราให้ดียิ่งขึ้น การที่เรานั้นได้รู้ชีวิตแล้วเรานั้นไม่ใส่ใจ การที่เราเมินเฉยแสดงว่าเรานั้นเป็นผู้ที่ไม่มีบุญอย่างยิ่ง ผู้ที่มีบุญได้รับการถ่ายทอดวิถีธรรมในครั้งนี้ ขอให้เป็นผู้ที่รู้ชีวิต รู้และกำหนดด้วย
อาจารย์บอกไว้เสมอว่าชีวิตของเรานั้นอยู่ที่เรากำหนด เพราะชีวิตในอดีตนั้นไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ มีแต่การแก้ไขอนาคตเท่านั้น อนาคตของเรานั้นจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่หรือจะกลายเป็นพุทธะผู้สง่างามดี (พุทธะ) ถ้าเราเป็นคนผู้ยิ่งใหญ่วัฏจักรของคนก็มีแต่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ถ้าเราเป็นพุทธะผู้สง่างามเป็นอย่างไร เป็นคน และก็เป็นคนที่สมบูรณ์ เลื่อนขึ้นไปเป็นพุทธะผู้สมบูรณ์ และเป็นพุทธะผู้สง่างามยิ่งใหญ่ในวันข้างหน้า ฉะนั้นการกำหนดชีวิตคือการกำหนดจุดมุ่งหมายเพื่อที่เรานั้นจะได้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดครั้งนี้ การที่จะหลุดพ้นยากหรือง่าย (ยาก) ยังไม่ทันเห็นข้อสอบก็บอกว่าข้อสอบครั้งนี้ยากแล้ว ต้องไม่ยอมแพ้ใช่หรือไม่ (ใช่) ต้องได้ลองสักตั้งหนึ่งถึงจะรู้ว่าเรานั้นทำได้หรือเปล่า อย่างน้อยเราก็มีคุณสมบัติครบถ้วนในการที่จะเข้าสอบในครั้งนี้ใช่หรือไม่ (ใช่) คุณสมบัติสามข้อมีอะไรบ้าง มีร่างกายเป็นมนุษย์ ได้รับถ่ายทอดวิถีธรรมแล้ว คุณสมบัติที่เรานั้นจะต้องเป็นผู้ที่ตั้งใจฝึกฝนไม่กลัวความยากลำบาก มีไหม (มี) ส่วนใหญ่ก็ขาดข้อสามนี้ กลัวแต่ความยากลำบาก เวลามาสถานธรรมทีไร เจอหน้าอาจารย์บนโต๊ะก็บอกให้อาจารย์จี้กงช่วยหน่อย เมื่อกลัวความยากลำบาก ฟ้าเบื้องบนนั้นจึงไม่สามารถเอาไฟมาหลอมทองที่อยู่ในตัวศิษย์ได้ เพราะว่าหลอมทีไรก็ร้องก่อนทุกที แค่ไฟจี้มาใกล้ๆ ก็ร้องแล้ว อาจารย์นั้นก็แข็งใจที่จะทนดูไม่ได้ แต่ว่าจะช้าจะเร็วก็ต้องหลอม หากไม่หลอมก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นพุทธะได้ ศิษย์สร้างกรรมมาสารพัดแบบ การทดสอบก็มาสารพัดอย่าง หนทางก็มีสารพัดรูปแบบ ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงเหมือนกับน้ำที่กลายเป็นน้ำแข็ง น้ำที่กลายเป็นไอ ระเหยไป มีสารพัดรูปแบบให้ศิษย์นั้นคาดไม่ถึง อย่าได้คิดว่าชีวิตของเรานั้นเรากำหนดไม่ได้ ดวงก็มาแบบนี้แล้ว เป็นคนแบบนี้ ยอมแพ้ให้คำว่า "ดวง" คำเดียวได้ไหม (ไม่ได้) ชีวิตนี้ยังต้องแข็งใจสู้กับกิเลสที่อยู่ในตัวเองให้มากๆ แข็งใจไปไม่ไหวก็ไปไม่รอด แข็งใจได้ยกหนึ่ง ผ่านไปยกหนึ่ง ขจัดความเคยชินต่างๆ ได้ครั้งหนึ่งก็ถือว่าเป็นคนที่มีโชค คำว่า "โชคลาภวาสนาของพุทธะกับของปุถุชนนั้น" อาจจะไม่เหมือนกัน โชคของมนุษย์ก็คือความโชคดี โชคของพุทธะคือ การได้ช่วยเหลือผู้อื่น
“ชีวิตนี้มัวรักโลภน่าสงสัย ศิษย์จะไปไกลแค่ไหนพิจารณา” ถ้าชีวิตนี้มัวแต่รัก โลภ โกรธ หลง วนไปเวียนมา ทำอะไรก็ใช้แต่อารมณ์ แล้วจะไปได้ไกลแค่ไหน เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะใช้ก็คือความสุขุมคัมภีรภาพ ความรู้จักคิด ความรู้จักพอ ฉะนั้นในยามนี้ได้รู้ชีวิตของตนเอง รู้ชีวิตอันเป็นที่ตั้งแล้ว หลังจากวันนี้ขอให้ไปกำหนดให้ดีขึ้น สิ่งใดไม่เร่งก็ได้ ยกเว้นการไม่รู้จักตนนั้นไม่เร่งไม่ได้ หลายวันนี้มีคนเรียกอาจารย์บ่อยอันด้วยเหตุว่ามีความวุ่นวายต่างๆ เกิดขึ้น อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นจริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเท่าไหร่ นิพพานไกลเพราะว่าศิษย์ของอาจารย์ไม่เคยพยายาม ฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่าการศึกษาให้เข้าใจนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ศึกษาสองวันนั้นไม่ได้ช่วยให้ศิษย์เข้าใจอะไรมากมาย แต่การส่งเสริมกันต่อไปจึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า สำคัญอยู่อย่างหนึ่งคือตนเองจะต้องบอกตนเองว่าให้ตัวเองมีเวลามากๆ ไม่ใช่บอกว่าฉันไม่มีเวลา แล้วเมื่อไหร่จะมีเวลา จะมีเวลาให้กับตนเองมากเท่าไหร่ ศึกษาให้เข้าใจ เข้าใจในสิ่งที่เรานั้นได้ทำการศึกษานั่นเอง
มนุษย์นั้นชอบตั้งความหวังลมๆ แล้งๆ ในที่สุดแล้วตัวเรานั่นเองที่ปลิวไปกับลม อาจารย์ก็เห็นศิษย์นั้นหายไปเพราะความไม่มั่นคงของตนเอง เมื่อศึกษาได้เข้าใจ เกิดความมั่นคงแล้วไม่ว่าศิษย์นั้นจะเจอความยากเท่าใด ศิษย์เองก็จะไม่เกิดความท้อแท้ เมื่อศิษย์เจอความง่ายก็จะไม่หลงใหลไปกับความสบายต่างๆ นานา เพราะฉะนั้นศึกษาให้เข้าใจให้ถ่องแท้ ไม่ลืมประการสุดท้ายคือนำไปปฏิบัติ ไม่ใช่ปฏิบัติที่คนอื่น ไม่ปฏิบัติที่ปาก ไม่ได้ปฏิบัติที่คำพูด แต่ต้องปฏิบัติที่การกระทำทุกๆ เวลา ทุกๆ นาที จะบอกว่าฉันยกเว้นคนนี้ ฉันไม่ปฏิบัติดีกับเขาเพราะเขาไม่ดีกับฉัน อย่างที่อาจารย์บอกไปมังคุดข้างในก็มีเนื้อสีขาว ตัวศิษย์เองก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าเรานั้นเป็นคนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ เอาใจเขามาใส่ใจเรา เห็นเขาเหมือนเห็นเรา เห็นเราเหมือนเห็นเขาก็จะรู้ว่าจริงๆ แล้วทุกคนนั้นย่อมที่จะมีสิ่งที่ดี ฉะนั้นการทดสอบที่เกิดขึ้นในระยะใกล้และระยะไกลนี้ก็จะไม่มีผลกระทบต่อศิษย์เลย ถ้าศิษย์นั้นทำได้อย่างที่อาจารย์พูด แต่หากว่าศิษย์กระโดดข้ามขั้นตอนไปจิตใจของเราย่อมหวั่นไหวเป็นธรรมดา
ในสมัยก่อนการเผยแพร่ธรรมะก็มีผู้ที่เสียสละไปมากมาย ดูสิว่าศิษย์ของอาจารย์ที่อยู่ในรุ่นนี้จะสามารถมีใจที่เด็ดเดี่ยวมากเท่าไหร่ตามระยะทางตามกาลเวลา ยิ่งไกลยิ่งนานคนที่ตกหล่นไปก็มีมากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่อาจารย์หวังอย่างยิ่งว่าจะไม่ใช่ศิษย์ เพราะศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่ใช่เป็นผู้ที่งมงาย อาจารย์ไม่ได้บอกให้ศิษย์เชื่อในสิ่งที่อาจารย์พูด แต่อาจารย์บอกให้ทำตามในสิ่งที่อาจารย์พูด การที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยืมร่างมานั้นเป็นสิ่งที่ชั่วคราว จะว่าไปแล้วก็เหมือนกับคว้าลมแล้วไม่ได้อะไรเลย แต่อาจารย์หวังอย่างยิ่งว่าเมื่อลมพัดมาวูบหนึ่งขอให้ศิษย์นั้นได้ตื่นพร้อมกับลมวูบนี้ แล้วหลังจากนี้ไม่ว่าศิษย์จะไปที่ใด เมื่อตาแห่งปัญญาของศิษย์ได้เปิดขึ้นแล้วศิษย์ก็คงจะไม่มีอุปสรรคอะไรที่อยู่ข้างหน้า แต่อย่าหาปัญหามาให้ตัวเองเป็นดีที่สุด
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมหัวหน้าชั้น) วันนี้ผลไม้ที่อาจารย์แกล้งๆ มอบให้ยังไม่ได้อะไรเลย แต่หวังว่าจะนำพานักเรียน นำพาผู้ร่วมกันนี้ ในเมื่อเราเป็นหัวหน้าเขาครึ่งวันที่เหลือนี้ทำให้ดี บำเพ็ญให้ดีๆ นะ ไม่เสียแรงที่เรานั้นเป็นผู้ที่มีปัญญาดี
ศึกษาให้มากๆ จะได้เข้าใจ ความสงสัยทั้งหลายจะได้ถูกความเข้าใจอันนี้สลายไปได้ อาจารย์ไม่ได้บอกให้ศิษย์งมงาย แต่อาจารย์ให้ศิษย์นั้นศึกษาเข้าใจเรื่องสัจธรรมแจ้งแท้แจ้งจริงเข้าใจไหม
รักษาตัวให้ดีทุกๆ คนนะ หวังว่าไม่ว่าอาจารย์มาคราวหน้าคราวไหนเราก็ยังเจอกัน ศิษย์ก็ยังเป็นศิษย์ที่น่ารักของอาจารย์เสมอไป ขอให้เราจับมือกันด้วยจิตใจที่ผูกพัน ไม่มีใจเสแสร้งต่อกันอีก อาจารย์จะกลับแล้ว อาจารย์จะไปแล้ว อาจารย์จะไม่ได้อยู่สอนศิษย์มาเป็นชั่วโมงนี้ หวังว่าศิษย์คงจะไม่ลืมคำที่อาจารย์พูดทุกๆ คำ อาจารย์มีคำสุดท้ายที่ขอพูดก่อนที่จะพูดไม่ออก บำเพ็ญให้ดีๆ ตั้งใจให้มากๆ ไม่ว่าวันนี้ ไม่ว่าวันไหนขอให้เราศิษย์อาจารย์นั้นมีความผูกพัน สักวันหนึ่งให้ได้อยู่ด้วยกัน อาจารย์รู้ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นยิ่งนานวันยิ่งมีความท้อแท้มากยิ่งขึ้น แต่หวังว่าความท้อคงจะไม่มากกว่าความตั้งใจของศิษย์ใช่ไหม อย่าทิ้งอาจารย์นะ
"ทางแสนไกลทุกข์เพียงใดจะฝ่าฟัน ทางแสนไกลทุกข์เพียงใดจะกลับคืน" นี่ก็เป็นสัญญาของเราอย่างหนึ่ง หวังว่าศิษย์คงไม่ลืมบำเพ็ญให้ดี บำเพ็ญให้ดีๆ สร้างกุศลให้มากๆ ลาก่อนนะ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
พุทธสถานเหยรินเต๋อ จ.ลำปาง ทำนองเพลง : เจินจ้งไจ้เจี้ยน
* อยู่เพียงลำพังอาจารย์ยากนักฝืนใจเจ็บ ศิษย์อยู่ในแดนมายา หลงจนข้าหมองไหม้ ห่วงอยู่ในใจเกินคำ มิอาจกล้าบรรยาย ถามศิษย์เข้าใจหรือเปล่า ( ซ้ำ *)
** ใจคอยรำพึงคิดถึงศิษย์ หรือว่าศิษย์ติดลึกเกินไป คนดีมีใจแล้วจึงสลาย อาจารย์ปราชัยน้ำตา (ซ้ำ *,**)
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “รู้ชีวิต กำหนดชีวิต”
ในอดีตถ่ายทอดธรรมไม่เผยกว้าง ยากพบทางยากรู้ชีวิตได้
แต่ยามนี้ธรรมแพร่ไปกลางเภทภัย คนเข้าใจชีพนี้ให้เร่งกำหนดตน
การบำเพ็ญนับเป็นการกำหนดชีวิต ให้มีทิศมีทางสว่างผล
ใครได้รู้ไม่ได้เพียรต้องว่ายวน แพ้ใจตนจิตตกต่ำบังปัญญา
เมื่อรู้แน่ไม่รอที่จะทำจริง ชีวิตยิ่งสิ่งใดมากคุณค่า
อย่าทิ้งให้ระเหินตามศึกษา พุทธาต่างสำเร็จจากโลกา