PDF 2542-06-26-เมี่ยวเต๋อ #14.pdf
วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พุทธศักราช 2542 พุทธสถานเมี่ยวเต๋อ จ.ประจวบฯ
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
วาระนี้สู่ยุคสามการบำเพ็ญ ต้องชัดเจนย้อนมองจิตตนถ้วนถี่
ฉุดช่วยตนมิรอช้าจนห่างความดี รู้จักพลีดั่งสะพานให้คนเดิน
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเมี่ยวเต๋อ เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงสราญฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบฟังคำเรา ฮวา ฮวา
ปลูกต้นไม้กว่าเติบโตใช้เวลา เฝ้ารักษาเฝ้าบำรุงน้องรู้ไหม
การบำเพ็ญก็เช่นกันต้องเข้าใจ เอาใจใส่ต้นไม้จิตแห่งตนเอง
ตัดกิเลสวัชพืชอย่าให้มี น้องเมธีรากบุญแผ่ต้องรักษา
เป็นมนุษย์ยากยิ่งพ้นทรมา บัดนี้ฟ้าส่งสายทองจับให้ดี
เรือลำน้อยพาพุทธบุตรกลับคืนแดน ละเคืองแค้นด้วยใจเย็นให้พอที่
ทุกเวลาหมั่นสร้างสมเหล่าความดี ทุกนาทีขัดเกลาใจให้งดงาม
มีความโลภจิตดวงนี้ยากเบาใส ปล่อยใจตนให้เป็นไทดีไหมหนา
ก้าวไปสู่เส้นทางแห่งพุทธา อย่ามัวล้าช้าเกินไม่ทันการ
ชีวิตคนแสนสั้นสร้างคุณค่า เรียนธรรมาต้องตั้งใจไม่ไขว้เขว
บัดนี้ดั่งลอยคออยู่กลางทะเล จงทุ่มเทฟื้นใจตนไปช่วยคน
อันใจตนหมั่นควบคุมให้หนักหนัก เฝ้าตระหนักไม่ให้เพี้ยนจากความเที่ยง
อย่าหลงรูปหลงนามจนเอนเอียง ศิษย์น้องเพียงใช้ปัญญาย่อมสบาย
ในยามนี้ยุคท้ายปลายส่งธรรมโปรด ขอปราโมทย์บำเพ็ญตามอริยะเบื้องหน้า
ชีวิตคนไม่อาจตีเป็นราคา วันนี้หนาเริ่มต้นเดินจนสิ้นลม
อย่าหลงใหลสิ่งใดที่ไร้หลักธรรม จะระกำเดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึง
จึงเตือนน้องตริตรองจิตเป็นหนึ่ง เฝ้าคำนึงตนเองดีขึ้นเพียงไร
ในวันนี้เป็นวันแรกการประชุม ขอสุขุมสองวันร่วมเรียนให้ครบ
ฟังธรรมาด้วยศรัทธาอีกเคารพ ดุจน้อมนบพระพุทธาในใจตน
ในวันนี้รับบัญชามาคุมชั้น ขอน้องนั้นรักษาพุทธระเบียบ
ขอให้รู้ผู้บำเพ็ญไม่เฝ้าเปรียบเทียบ จิตราบเรียบน้ำไร้คลื่นดุจกระจก
ขอจงตั้งใจนี้ให้เป็นกุศล สู่บรรพชนที่มาร่วมอยู่รายรอบ
หลังจบชั้นทำสิ่งใดให้รอบคอบ ให้รู้ปลอบใจกันเป็นแรงใจกัน
น้องชายหญิงธรรมะแท้อย่าทำเล่น มองธรรมแท้ต่างมองผู้บำเพ็ญถ้วน
ขอให้รู้ปรับปรุงตนอย่าเรรวน อย่าได้ด่วนสรุปตามอารมณ์ใด
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา หยุด
วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พุทธศักราช 2542
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหลันไฉ่เหอ
อันรูปรสกลิ่นเสียงพาลุ่มหลง สัมผัสอารมณ์พาสติขาดสะบั้น
ผู้รู้ควบคุมอายตนะเท่าทัน เพียรทุกวันกิเลสยากหลอกลวงใจ
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเมี่ยวเต๋อ แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤา
ชั่วชีวิตแห่งมนุษย์อยู่ที่บำเพ็ญ อย่ารู้เห็นเป็นใจกระทำบาป
พุทธจิตนั้นคืนชีพกลางใจกำราบ กิเลสปราบยากเท่าไรไม่รามือ
ปัญญาอยู่คาดเดาจะไม่มี ดาราที่กลางน้ำยากยึดยื้อ
มาหรือไปตามเวลาอันบันลือ ชีวิตมีไม่ดื้อไหลตามอารมณ์
จงได้เป็นสุขสวัสดีเพราะคุณธรรม กล่าวกระทำวันใดล้วนงามเหมาะสม
ไม่ยึดติดในคิดเนืองอุดม มั่นคงไม่ยศลาภชมตามบุญญา
เหล่าความทุกข์มุ่งสอนคนประเสริฐ หนีพ้นเกิดผ่านอุปสรรคดีรักษา
ผาสุกด้วยดับโลภในอุรา นอกวุ่นวายในมาสำรวมงาม
เตือนใจตนสู้กระแสแห่งมายา ปฏิปทาดุจปลาซึ่งน่าเกรงขาม
แหวกว่ายทวนน้ำไหลคุณธรรมงาม พยายามหลากไม่ปล่อยตัวฝากโลกีย์
เพื่อทุกแห่งไม่ผิดโลกสวรรค์ อย่าหุนหันปัญญามีใช้นำชี้
อย่าเกี่ยงว่ายากจะบำเพ็ญดี รวยจนมีฤดีอดทนเป็นทุน
กระจ่างต้องไม่ทนรอสร้างคุณค่า เพียงเลือกช้าหรือเร็วฤทัยวุ่น
ใฝ่บำเพ็ญแต่ลังเลต้องหัวหมุน ศึกษาพูนสิ่งรู้เพิ่มตามเวลา
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียน ท่านหลันไฉ่เหอ
มีสำนวนหนึ่งกล่าวว่า “ยิ้มหนึ่งครั้งช่วยดับความทุกข์ร้อนได้เป็นหมื่นเป็นพันครั้ง” แต่หากวันนี้ไม่เคยยิ้ม ยิ้มไม่ออกนั่งตรงนี้ก็เป็นทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้ายิ้มออกนั่งตรงนี้ก็เป็นสุข เพราะฉะนั้นการหาความสุขในโลกนี้ไม่ใช่เรื่องที่หายากเลย อยู่ที่ว่าเราจะทำจิตใจอย่างไรเมื่อประสบทุกข์ที่มากระทบใจ ที่มาพันผูกใจ เราอยู่บนโลกนี้เมื่อหูเราเปิด ตาเรามอง ปากเราสัมผัส เรามักจะเป็นคนที่เปิดแล้วปิดไม่ค่อยลงใช่หรือไม่ (ใช่) มองแล้วต้องมองให้เต็มที่ ดูให้เต็มตา แต่พอเราดูมากๆ เพ่งมากๆ ตาปวด ไม่ปวดก็เมื่อย ไม่เมื่อยก็แสบใช่หรือไม่ (ใช่) หูชอบฟัง แต่พอฟังหลายๆ ที หลายๆ ทำนอง หลายๆ คนพูด ฟังมากๆ ไม่มึนก็เมา หรือไม่ก็หลงไปเลย แยกไม่ถูกว่าคนๆ นี้ดีหรือไม่ดีกันแน่ใช่หรือไม่ (ใช่) พอปากเราพูดมากๆ เมื่อยบ้างไหม เคยมีใครเมื่อยปากบ้างไหม เวลาที่อยู่บนโลกนี้บอกว่าปีนี้ฉันจะไม่พูดทั้งปีแล้ว เมื่อยเหลือเกินพูดมายี่สิบปี พูดมาสามสิบถึงสี่สิบปีแล้ว มีใครบอกว่าเมื่อยปากบ้างไหม (ไม่มี) ถ้าอย่างนั้นปากก็เป็นเครื่องจักรกลที่ใช้งานได้ดี รู้สึกว่าใช้อย่างไรก็ไม่เคยผุพัง นึกจะพูดก็พูดได้เต็มที่เลย เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า (เป็น) ร่างกายเราก็เหมือนเครื่องจักรเครื่องหนึ่งที่ใช้บ่อยๆ ก็จะเป็นอย่างไร ฉะนั้นไม่แน่ตาที่เราบอกว่าเห็นดี ที่เราเชื่อว่าน่าจะเห็นชัด บางทีอาจจะเกิดความเสื่อมขึ้นมาตอนใดตอนหนึ่งก็เป็นได้ ปากที่เราพูดว่าถูกต้องแน่ชัดแล้ว ไม่แน่อาจจะเกิดความเสื่อม ความทรุด พูดผิดขึ้นมาบ้างก็ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นอย่ามั่นใจในตา หู จมูกเราจนเกินไป เพราะบ่อยครั้งที่ร่างกายเราจะต้องเจ็บป่วยเป็นโรคได้เหมือนกัน ฝ้าฟางได้เหมือนกัน หูที่เราคิดว่าได้ยินก็อาจจะผิดเพี้ยนได้เหมือนกัน ฉะนั้นอยู่บนโลกนี้ใช้เป็นก็ต้องพักเป็น จริงหรือเปล่า (จริง) แล้วการพักนี้พักอย่างไร ใช่แค่หลับตาแล้วเรียกว่าพักหู พักตาหรือไม่ บางทีอยู่บนโลกก็พักหูพักตาได้ พักง่ายๆ คือสิ่งใดควรมอง สิ่งใดที่ดีก็มอง ตาเราจะได้ไม่ไปมองอะไรที่ผิดๆ ที่เสื่อมๆ ที่ไม่ดีของคนอื่นใช่หรือไม่ เหมือนลิ้นเราพอรับรสมากๆ ลิ้นเราก็เฝื่อนได้ พอจะไปรับรสอีกครั้งหนึ่งก็ช้าไปเสียแล้ว ตาเราพอมองสีหลายๆ สี มองสีมากๆ เพ่งสีใดสีหนึ่งมากเกินไป พอจะมามองอีกสีหนึ่งก็เกิดความหลอกตา เหมือนตอนนี้ท่านเห็นความสว่าง พอหลับตากลับรู้สึกว่ามืดใช่หรือไม่ (ใช่) รูปรสกลิ่นเสียงที่เราสัมผัสบางครั้งถ้าเราไม่มีสติปัญญาอยู่กับตัวด้วย สิ่งที่เราสัมผัสอาจจะหลอกลวงได้
แล้วตัวเราเหมือนหุ่นยนต์ที่บังคับได้ไหม แต่เราเป็นหุ่นยนต์ที่ประเสริฐใช่ไหม (ใช่) ประเสริฐอย่างไร ถ้ายอมรับว่าประเสริฐก็ต้องรู้ว่าเราประเสริฐตรงไหน (กินได้ นอนได้ หลับได้) เดี๋ยวนี้หุ่นยนต์มีไหมที่กินก็ได้ นอนก็ได้หลับก็ได้ ฉะนั้นตอนนี้ท่านก็ไม่ต่างจากหุ่นยนต์ แถมร้องไห้ก็ได้ เข้าห้องน้ำก็เป็น แถมไม่พาเข้าห้องน้ำก็ป่วยเป็นโรคอีกใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะอะไรคนจึงไม่ต่างจากหุ่นยนต์ เพราะรู้จักรักผิดชอบ รู้จักแยกแยะใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นคือข้อสำคัญที่ทำให้มนุษย์ต่างจากหุ่นยนต์ ฉะนั้นเมื่อเราอยู่ร่วมกับคนในสังคม เราอย่าปฏิบัติกับเขาเหมือนกับคนที่ไร้ใจ คนที่ไร้ใจก็คือคนที่ไม่ต่างจากหุ่นยนต์ใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งมนุษย์เราอยู่ร่วมกัน แต่บางครั้งท่าทีที่เราปฏิบัติต่อกันมักจะขาดความเป็นคนอันประเสริฐ เรามักจะหลอกลวงเขาได้ซึ่งๆ หน้า หรือไม่ก็หลอกลวงเขาได้ลับหลัง ก็เพราะว่าเราขาดปัญญาหรือจิตใจอันดีงามนี้ เราจึงกลายเป็นหุ่นยนต์ในคราบมนุษย์ ฉะนั้นเราอย่าเป็นคนประเภทนี้ตราบใดที่เรายังมโนธรรมสำนึกอันดีงามเรา ก็จะไม่มีทางเป็นหุ่นยนต์ในคราบมนุษย์ได้แน่
“เพียรทุกวันกิเลสยากหลอก” กิเลสชอบหลอกเราให้หลงใช่หรือไม่ (ใช่) ก่อนจะพูดว่ากิเลสหลอกให้หลง ถามง่ายๆ ก่อนว่าอะไรที่เรียกว่ากิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลงเป็นกิเลสในตัวเราใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วอย่างนี้กิเลสเกิดจากข้างนอกหรือเกิดจากจิตใจเรา (จิตใจเรา) แปลว่าตัวเราก็คือกิเลส คนที่อยากและโลภคือใคร (ตัวเรา) อย่างนี้ก็แปลว่าเราเป็นกิเลสแล้ว กิเลสพาให้หลงแปลว่าตัวเรานั่นแหละพาให้ตัวเราหลง มนุษย์เรานั้นหากไม่รู้จักควบคุมหรือนำพาตนเองให้ดีเดินไปถูกๆ ผิดๆ บ้าง เราอาจจะหลงตัวเองกลายเป็นคนที่ไม่เป็นคนก็ได้ กลายเป็นคนที่มีกิเลสเต็มไปหมด แล้วคนที่มีกิเลสกับคนที่ไม่มีกิเลสอย่างไหนน่าคบกว่ากัน (คนไม่มีกิเลส) ทำไมคนไม่มีกิเลสน่าคบกว่า เพราะเขาเป็นผู้ไม่อยาก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วคนที่ไม่อยาก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงเป็นคนชนิดไหน (คนนิสัยดี) เป็นคนที่นิสัยดีน่าคบหรือพูดง่ายๆ เป็นคนที่รู้จักฝึกฝนตน อบรมขัดเกลาตนใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราอยากเป็นคนประเภทนั้นไหม เหมือนกับเวลาที่เราอยากได้ทอง เราเป็นทองเลย ไม่ดีกว่าหรือ เราอยากได้คนดีสู้เราเป็นคนดีเองไม่ดีกว่าหรือ ฉะนั้นเราอยากได้คนดีอยู่ใกล้สู้เราเป็นคนดีเสียเองไม่ดีกว่าหรือ เป็นคนดีต้องรู้จักควบคุมตนให้มีความโลภ โกรธ หลง และความอยากน้อย ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราก็จะเป็นคนดี นิสัยดี
คุณธรรมข้อหนึ่งสำหรับครอบครัว หรือคนมีครอบครัวแล้วรู้ไหม ในที่นี้ทุกคนมีครอบครัวหมดแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วรู้ไหมว่าคุณธรรมข้อหนึ่งสำหรับคนมีครอบครัวคืออะไร (มีความรักและซื่อสัตย์ต่อกันและกัน) นอกจากความรักและความซื่อสัตย์ต่อกันแล้วควรมีอะไรอีก (ต้องมีความรับผิดชอบต่อตนและต่อครอบครัวให้เกียรติซึ่งกันและกัน) ถ้าท่านตอบได้อย่างนี้เราย่อมสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนเองเมื่ออยู่ในครอบครัวอย่างดีงาม แต่บ่อยครั้งที่เรารู้แต่เราปฏิบัติไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วก็ต้องเป็นทุกข์กับสิ่งที่ทำไม่ได้ใช่หรือไม่ เพราะการจะเอาแต่เรียกร้องคนอื่นนั้นไม่มีประโยชน์อะไร สู้เรียกร้องแล้วลงมือที่ตนเองทำดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่) ข้อคำนึงของผู้บำเพ็ญธรรมที่เราอยากบอกไว้ หรือของคนที่คิดอยากจะปฏิบัติดีมีชีวิตที่ดีงามที่ควรจะรู้ไว้นั่นก็คือ เรียกร้องผู้อื่นน้อยหน่อย แต่เรียกร้องตนเองให้มากหน่อย หรือพูดง่ายๆ ก็คือเข้มงวดกับตนเองให้มากแต่ผ่อนปรนกับผู้อื่น เมื่อตนเองดัดได้ตรงแล้ว การจะให้ผู้อื่นดัดตนก็คงจะไม่ยากใช่หรือไม่ เหมือนตัวเราเองนั้นพร้อมที่จะเป็นผู้นำของชีวิต หากเราไม่พร้อมวันนี้ชีวิตต้องเดินไปอยู่ทุกๆ วัน หากวันนี้เราไม่นำตนเองให้ดีการจะนำผู้อื่นหรือการจะให้ผู้อื่นเดินตามนั้นเป็นการยากใช่หรือไม่ (ใช่)
กิเลสนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับโลกมนุษย์ แต่ผู้ที่เข้าใจชีวิตและรู้จักบำเพ็ญตนแล้วจะพูดว่ากิเลสเป็นมิตรที่ดี เพราะกิเลสจะทำให้ผู้บำเพ็ญตนหลุดพ้นได้ แต่คนที่ยังไม่รู้จักชีวิตยังไม่รู้จักควบคุมตนบำเพ็ญตนจะเห็นว่ากิเลสนั้นเป็นศัตรูที่น่ากลัวพร้อมจะทำให้ตนนั้นทุกข์ได้ทุกเมื่อ เดือดร้อนได้ตลอดเวลา ไม่ว่าใครก็ตามที่มีกิเลส กิเลสนั้นย่อมเผาผลาญจิตใจคนนั้น ทำร้ายร่างกายคนนั้นให้มอดไหม้ตราบที่มีชีวิตและลมหายใจอยู่ แต่กิเลสจะสามารถช่วยให้คนนั้นหลุดพ้นได้ ก็ต่อเมื่อคนนั้นรู้จักกำราบกิเลสเป็น รู้จักควบคุมกิเลสได้เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่) บ่อยครั้งที่เราอยากเป็นคนดีแต่กิเลสหรืออารมณ์มักจะพาให้เราทำผิดอยู่เสมอ ถ้ามนุษย์รู้ผิดแล้วขาดสำนึกหรือไม่มีสำนึกแล้ว ไม่รู้จักแก้ไขคนนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับ เราไม่พูดดีกว่า เพราะมนุษย์เรามีปัญญา ปัญญาตรงนั้นคือ รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้อะไรควร รู้อะไรไม่ควร
เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งเกิดมาแล้วไม่มีประโยชน์ เกิดมาแล้วให้พิษ ให้หนามอันเจ็บปวดแก่ผู้อื่น อยู่ใกล้ใคร ใครก็อยากทำร้าย แต่คนเราถ้าจะเปรียบเป็นต้นไม้ เราเป็นต้นไม้ที่ประเสริฐกว่า มีปัญญาตรงที่รู้จักพัฒนาแก้ไขตนเอง บุคคลหรือคน คนหนึ่งก็เปรียบเหมือนราก รากนั้นสามารถแผ่กิ่งก้านสาขาออกทำให้ต้นไม้เติบโตใหญ่ได้ เป็นต้นไม้ที่ให้ร่มเย็นแก่ผู้อื่นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าบุคคลนั้นปราศจากคุณธรรมไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี รากนั้นก็ไม่ต่างจากรากเน่าๆ รากเน่าๆ จะก่อต้นไม้ที่สวยงามได้อย่างไร การศึกษาทำให้มนุษย์ฉลาด แต่การรู้จักฝึกตน ควบคุมตนทำให้มนุษย์เป็นคนดี เป็นคนประเสริฐ หากเราทำคนดีให้ฉลาดด้วย ทำคนฉลาดให้ดีด้วย สังคมย่อมร่มเย็นเป็นสุขใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าคนดีไม่ฉลาดไม่เป็นไร แต่ถ้าเกิดว่าคนฉลาดแล้วไม่ดีน่ากลัว และน่าอันตรายยิ่งนักใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเวลาเรามีชีวิตอยู่การรู้จักควบคุมตน จึงเป็นสิ่งสำคัญหากไม่มีแล้วก็ยากจะพูดถึงว่าอนาคนคนนั้นจะเป็นเช่นไรใช่หรือไม่ (ใช่) ในโลกแห่งทุกข์สุขนั้น บ่อยครั้งที่มนุษย์เรามักจะทุกข์มากกว่าสุขใช่หรือไม่ (ใช่) ความทุกข์สอนให้มนุษย์เรารู้จักฮึดสู้ แต่ความสบายสอนให้มนุษย์รู้จักปล่อยปละหลงระเริง ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าคิดว่าเรื่องทุกข์เป็นเรื่องร้าย ไม่แน่ในเรื่องแห่งความทุกข์ก็สอนให้เรารู้จักสู้เป็น รู้จักดำเนินชีวิตได้เป็นใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เพราะอะไรบางครั้งบางคนทุกข์แล้วกลับไม่ฮึดสู้ ทุกข์แล้วกลับปล่อยให้ตนเองยังทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะอะไรรู้บ้างไหม (ความโง่) เพราะเราไม่รู้ ไม่รู้ว่าทำอย่างนี้จะทุกข์ แต่บางครั้งเรารู้ได้จากการดูประวัติศาสตร์ หรือดูจากคนข้างหน้า ชีวิตของทุกๆ คนเป็นบทเรียนอันมีค่าบางครั้งอย่าได้พูดว่าตนเองไม่รู้ แต่เรารู้ แต่เพราะอะไรเราจึงไม่รู้ เพราะว่าเราไม่เปิดใจให้กว้างใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าบอกว่าคนนี้เด็กกว่าเรา เราจึงไม่สนใจที่จะเรียนรู้ชีวิตเขา บ่อยครั้งที่คนนั้นเป็นพันพันปีได้ตายจากไปแล้วแต่ทำไมเราจึงเรียนรู้ได้ เพราะเขามีประวัติศาสตร์ที่น่าเอาแบบอย่างหรือไม่ควรเอาแบบอย่างใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการดำเนินชีวิตของเรา เราไม่ใช่รุ่นแรกเราเป็นรุ่นที่ต่อมาจากหลายๆ รุ่น เราควรรู้จักตั้งสติ วางปัญญาของตนเองให้ดีในการที่จะดำเนินชีวิตในแต่ละก้าวใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราจะพูดว่าเรารู้ได้แล้วเราจะสามารถไปได้ด้วยความสำเร็จ ไปได้ด้วยท่าทีอันสวยงาม ในการมีชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่) สิ่งสำคัญก็คือ กำลังและพลังใจใช่หรือไม่ (ใช่) ขาดกำลังและพลังใจวันนี้ก็คงไม่คิดจะมาศึกษา ทรัพย์สินหรือสิ่งของที่มนุษย์ไขว่คว้าและปรารถนาก็เปรียบเหมือนกับดารณีที่อยู่ในน้ำ เคยเห็นพระจันทร์ที่อยู่ในน้ำไหม ถ้าเราคว้า คว้าได้ไหม (ไม่ได้) แต่ใครๆ ก็อยากคว้าใช่หรือไม่ (ใช่) อยากคว้าให้ตนเองนั้นเป็นดาวดวงหนึ่งบนฟากฟ้าใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่การคว้านั้นมนุษย์เราเป็นเพียงแค่ความอยากความต้องการเพียงชั่วครู่ชั่วขณะ ความอยากของมนุษย์จริงๆ แล้วมักอยากในด้านใดกันบ้าง มักอยากในเรื่องลาภ ยศ เงินทอง ชื่อเสียง ใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งหรือว่าในขณะนี้อยู่ที่ตัวเรา แต่เวลาต่อไปกาลเปลี่ยนไปสิ่งที่ว่าอยู่ในตัวเราก็พร้อมจะเปลี่ยนแปลงไปอยู่ในตัวคนอื่นได้เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าเราเข้าใจความเป็นจริงนี้เราจะเข้าใจว่าเราอย่าได้อยากมากเลย อยากมากไปก็มีแต่ทุกข์เปล่าๆ แต่จะมีใครบ้างที่หยุดความอยากได้ เพราะอยากหนึ่งแล้วก็ต้องอยากสอง ใจเหมือนทะเลที่กว้างใหญ่และไร้ก้นบึ้งใช่หรือไม่ (ใช่) เราจะมาบอกวิธีที่ทำอย่างไรให้อยากหนึ่งแล้วไม่อยากสอง อยากสามดีหรือไม่ อย่าได้มองเราเพียงแค่รูปภายนอก เราดูว่าเนื้อหาที่เราจะพูดในวันนี้น่าสนใจจริงหรือว่าหลอกลวงดีหรือไม่ (ดี) เราจะหลอกท่านไปไหนดี ก็ต้องตั้งใจฟังให้ดี แต่วันนี้เราจะมาบอกท่านว่าอยากอย่างไรที่จะทำให้เราไม่อยากอีกครั้งที่สองครั้งที่สามใช่หรือไม่ (ใช่)
บ่อยครั้งที่มนุษย์เราเกิดแล้วก็ดับ แต่ดับเรามักจะเป็นดับแล้วเหลือใช่หรือเปล่า เข้าใจคำว่าดับแล้วเหลือไหม เหมือนวันนี้เราอยากได้เงินทอง เราอยากได้แล้วเราหยุดดับได้แล้ว ดับได้ก็แค่วันเดียว พอผ่านไปอีกวัน ก็อดอยากขึ้นมาอีกไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ก็เลยกลายเป็นดับได้แล้วยังมีตะกอน มีความอยากคั่งค้าง ทำให้เกิดอยากในวันต่อไปใช่หรือไม่ (ใช่) งั้นเรามาดูการเกิดก่อน แล้วค่อยมาดูการดับดีหรือเปล่า (ดี) มนุษย์เราเกิดคืออะไร พูดกันอย่างง่ายๆ การเกิดคืออะไรบ้าง (การเกิดคือการเริ่มต้นของชีวิต, คือการชดใช้หนี้กรม, คือการปฏิสนธิของสิ่งมีชีวิต) ถ้าพูดตามหลักวิทยาศาสตร์การเกิดคือการเริ่มปฏิสนธิระหว่างสิ่งที่ตรงกันข้ามกันมาอยู่ร่วมกัน แล้วทำให้เกิดเป็นคนขึ้นมาใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเกิดเป็นคนมีร่างกายเป็นคนแล้ว แต่ขาดอย่างหนึ่งไม่สามารถเรียกว่าเกิดได้ใช่หรือไม่ นั่นคือขาดความรู้สึกในตัวตน มนุษย์เราเกิดมาแต่ถ้าขาดความรู้สึกในตัวตนก็ยังไม่เรียกว่าเกิดได้ เราต้องมีร่างกายและมีความรู้สึกในตัวตน แล้วความตายก็คือตรงกันข้ามใช่หรือไม่ (ใช่) ตายก็คือไม่มีชีวิตไม่มีความรู้สึก พอเข้าใจไหม ว่าความตายก็คือการดับซึ่งทุกสิ่ง หากเราพูดว่าเกิดดับตรงนี้ท่านเข้าใจไหม ลองเข้ามาดูใกล้ๆ อีกเหมือนอารมณ์เรา เวลามีใครมาว่าเราพอเราเกิดความรู้สึกอารมณ์นั้นก็เกิดขึ้นมา แต่ถ้ามีคนมาว่าเรา เราไม่มีความรู้สึกในตัวตน อารมณ์นั้นจะเกิดไหม (ไม่เกิด) ก็แปลว่าอารมณ์นั้นตาย นอนนิ่งอยู่กับที่ใช่หรือไม่ ฉะนั้นการมีชีวิตเราดับเป็นไหม โดยการทำอย่างไร โดยการไม่รู้สึกในตัวตนใช่หรือไม่ (ใช่) ทำได้ยากใช่ไหม ตอนนี้เราพูดเรื่องการดับแล้วเรารู้ว่าการเกิดเป็นอย่างไร เกิดก็คือมีความรู้สึก เรื่องราวมากระทบใจเราแล้วมีความรู้สึก มีตัวตน มีความรู้สึกนั้นพอเข้าใจตรงนี้ไหม เราพูดง่ายๆ เหมือนมีคนมาพูดว่ารักท่านนะ ท่านเกิดความรู้สึกดีใจที่เขารักในตัวตนเราใช่หรือไม่ ดีใจที่เขามาพูดกับเรานั้น คือรู้สึกในตัวตนที่เป็นตนใช่หรือไม่ แต่ถ้าเราพูดว่า เขารักท่านนะแต่เป็นคนข้างๆ เรารู้สึกเป็นอย่างไร (ไม่รู้สึก) เพราะว่าไม่ได้รักในตัวตนเรา แต่เป็นคนข้างๆ นั่นก็แปลว่าเหมือนๆ กัน นั่นก็คือถ้าเราไม่รู้สึกในตัวตน การเกิดนั้นก็จะไม่บังเกิดในตัวเราใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ไปเกิดในคนอื่นเพราะว่าตัวตนเป็นตัวตนของคนอื่น เข้าใจตรงนี้ไหม แต่ถ้าฟังแล้วพิจารณาให้ดีจะรู้ว่าเกิดและการดับนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลยใช่หรือไม่ (ใช่) ก็เหมือนกับเรื่องอารมณ์ที่มากระทบใจ หากเราลืมตัวตนได้ อารมณ์นั้นก็จะไม่มีผล ไม่เกิดขึ้นกับใจ เหมือนเรามีเงินสิบบาท พอเขาบอกว่าให้ท่านมาอีกสิบบาท ถ้าท่านบอกว่าพอใจแล้ว สิบบาทนั้นจะมีผลต่อใจไหม (ไม่มี) เหมือนท่านเป็นเจ้าของโรงสีข้าว ถ้ามีคนเอาข้าวมาให้ท่านอีก ท่านอยากได้ไหม ก็ไม่อยากใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการเกิดการดับในโลกนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องยาก ไม่ใช่ว่ารอให้เราหมดร่างกาย หมดอายุขัย หมดลมหายใจแล้วเราค่อยดับ แต่เราก็สามารถดับได้เมื่อเรามีอารมณ์ มีอายุขัย มีชีวิต แต่ต้องเป็นอารมณ์ อายุขัยที่ไร้ตัวตนใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้ก็ได้รู้การเกิดการดับของชีวิตแล้ว นอกจากจะรู้จักการเกิดการดับของชีวิตแล้ว เรายังรู้จักการเกิดดับที่จะทำให้เรามีอารมณ์ด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) เวลามีใครมาว่าเรา เราก็ลืมตัวตน ลืมว่าเราไม่ได้ชื่อนี้ ไม่ได้เป็นคนๆ นี้ เราจะได้ไม่โกรธดีหรือเปล่า (ดี) ก็ยังดีไม่หมดใช่หรือไม่ (ใช่) ทำไมเราถึงบอกว่าดีไม่หมด บางครั้งคนที่มาว่าเรา ความโกรธไม่ใช่เป็นการกระทำที่ถูกต้อง แต่การเอามาคิดพิจารณาถึงจะเป็นการกระทำที่ถูกต้องใช่หรือไม่ (ใช่) บ่อยครั้งที่เราทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดยากที่จะถูกใจคนทุกคนได้ บางครั้งเราว่าเราทำดีแล้ว แต่อีกคนหนึ่งเขากลับไม่ชอบเขากลับเกลียดชังใช่หรือไม่ (ใช่) เราอยู่บนโลกนี้ใครๆ ก็อยากมีสุขมากกว่ามีทุกข์ อยากให้คนรักมากกว่าคนเกลียดใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราจะทำอย่างไรดีให้เรามีสุขมากกว่ามีทุกข์ มีคนรักมากกว่าคนชัง เราก็ต้องรู้จักโอบอ้อมอารีซึ่งกันและกัน นอกจากความโอบอ้อมอารีแล้ว ยังมีความเมตตา บ่อยครั้งที่เราอยู่ร่วมกันหากไม่มีความโอบอ้อมอารีไม่มีเมตตาจิตต่อกัน เรานั่นแหละอาจทำให้เขาเกลียดเราได้ และเรานั้นอาจจะเป็นผู้สร้างความทุกข์ให้กับตัวเองได้ ถ้าเราขาดซึ่งจิตใจรักและเมตตาใช่หรือไม่ (ใช่) แต่รักอย่างไรที่จะไม่ทำร้าย ไม่เห็นแก่ตนแล้วเกิดความลำเอียงใจ บ่อยครั้งที่เรามีรักแล้วเราก็มีทุกข์ แล้วเกิดความเอนเอียงเห็นแก่ตน เราเชื่อว่าคนใดคนหนึ่งในชั้นนี้ล้วนแต่มีคนที่รักเขาใช่หรือไม่ (ใช่)
รักอย่างไรดี ในชั้นนี้ใครพอจะตอบได้ถูกใจเราบ้าง (รักที่จะให้โดยไม่หวังอะไร) รักด้วยใจรักยอมเสียสละให้ทุกอย่างไม่หวังสิ่งใดตอบแทนใช่หรือไม่ หากเราพูดว่ารักโดยที่ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง รักโดยไม่เลือกให้เฉพาะเจาะจงสามารถเป็นรักที่ให้ได้กับทุกๆ คน รักพ่อแม่ของเราได้ก็รักครอบครัวเขาได้ รักตัวเราเองได้ก็รักคนอื่นได้ เกลียดอย่างใดก็ไม่ให้เกลียดสิ่งนั้นกับคนอื่น อย่างนี้เป็นความรักที่อยากได้ดีไหม (ดี) นั่นก็คือตัวเองรักสุขเกลียดทุกข์อย่างไรก็ทำกับคนอื่นอย่างนั้น ไม่ทำสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบกับคนอื่น ไม่เลือกที่รักมักที่ชังและไม่เลือกลูกเขาลูกเราทำได้ไหม (ได้) หากทุกๆ คนทำได้เมื่อนั้นตาเราก็จะคอยสอดส่อง หูเราก็จะคอยมอง มองอะไร ฟังอะไร ฟังที่จะช่วยเหลือคน กาย มือ ขา ก็จะขยับเขยื้อนเสริมกำลังช่วยเหลือ หู ตา ในการช่วยเหลือคน เมื่อใดที่เรามีความรักแบบไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เป็นความรักที่รักทุกๆ คนอย่างเท่าเทียมกัน เมื่อนั้นจะไม่มีใครถูกทอดทิ้ง ใครถูกให้อยู่อ้างว้างเดียวดายใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ปัจจุบันนี้รักของแต่ละคนเป็นรักที่เห็นแก่ตน เป็นรักที่ต้องมีผลประโยชน์ตอบแทน ใช่หรือไม่ (ใช่) เราจึงเห็นคนที่ถูกทอดทิ้ง คนที่ถูกพลัดพราก คนที่ถูกคนไร้การดูแลเอาใจใส่ เพราะว่าเราขาดความรักให้กับคนประเภทนี้ เรามักจะรักโดยที่มีผลประโยชน์ มักรักต้องได้รับตอบใช่หรือไม่ (ใช่) เราลืมรักไปอย่างหนึ่ง รักที่ไม่หวังผล เมื่อใดที่ทุกๆ คน รักที่ไม่หวังผล เมื่อนั้นโลกจะอยู่ร่วมกันอย่างฉันท์มิตร มีน้ำใจเอื้ออาทรกัน มีความอบอุ่นให้แก่กัน ดูแลเอาใจใส่คนแก่ไม่ถูกทอดทิ้ง เด็กไม่ถูกอะไร ไม่ถูกปล่อยปละใช่หรือไม่ (ใช่) คนยากจนมีคนเห็นใจ แต่เดี๋ยวนี้เด็กหรือผู้ใหญ่ที่ถูกทอดทิ้ง คนที่เดือดร้อนกลับกลายเป็นความเห็นใจที่แลกเปลี่ยนมาด้วยเงินทองใช่หรือไม่ (ใช่) กับเอาความสงสารมาแลกเป็นเงินเป็นทอง การดำรงชีวิตของเราจึงขาดซึ่งความรักที่แท้จริง ขาดซึ่งน้ำใจอันดีงาม กลายเป็นเอาความสงสาร ความเมตตามาแลกเป็นเงินเป็นทอง ซึ่งไม่น่ามีเลยในสังคม ในจิตใจของคนอื่นประเสริฐ ซึ่งไม่น่ามีเลยในโลกที่เรียกว่าศรีวิไลจริงหรือเปล่า (จริง) หากกายเราพัฒนาไปด้วยพร้อมกับวัตถุโลกเราก็คงไม่มีคนที่ถูกทอดทิ้งใช่หรือไม่ (ใช่) จิตใจของคนเราก็ไม่ตกต่ำ แต่เพราะขาดซึ่งความรักที่แท้ รักโดยที่ไม่หวังผล รักที่ให้โดยคิดว่าหากสังคมสุขฉันก็สุข แต่ทุกคนมักจะคิดว่าฉันไม่สุขสังคมทำไมต้องสุขใช่หรือไม่ (ใช่) ความรักของแต่ละคนจึงเป็นรักที่เห็นแก่ตน รักที่หวังผลประโยชน์ แต่เดี๋ยวนี้คนเราไม่อยากทำความดีใช่หรือไม่ (ใช่) หรือพูดง่ายๆ ไม่อยากรักษาความดี รักษาคุณธรรมในใจเพราะอะไร เราถึงไม่อยากเป็นคนดี อยากเป็นไหม (อยาก) แต่เพราะอะไรบ่อยครั้งที่เราไม่อยากจะเป็นคนดี ท้อในการกระทำดี เบื่อแล้วที่จะเป็นคนดี เพราะอะไร เบื่อไหมกับการจะเป็นคนดี หรือรักษาความดีในใจตน (เพราะไม่เห็นผลของการทำดี) บ่อยครั้งที่มนุษย์เราไม่อยากทำความดี เพราะไม่เห็นผลใช่หรือไม่ (ใช่) ปลูกต้นไม้จะให้โตภายในสามวันได้หรือไม่ (ไม่ได้) ทำความดีหนึ่งแก้วจะดับไฟทั้งโลกได้หรือไม่ (ไม่ได้) ทำความดีจะดับความชั่วร้ายทั้งหมดหรือเอาชนะจิตใจคนได้หรือเปล่า คงทำไม่ได้ในวันเดียวใช่หรือไม่ (ใช่) คงต้องใช้เวลาเฉกเช่นเดียวกับความทุกข์หรือความชั่วร้ายจะก่อให้เกิดผลทันทีไม่มีทางเป็นไปได้ ต้องเกิดจากการสั่งสมรวมตัวกันจนยิ่งใหญ่ จึงจะส่งผลได้บ่อยครั้ง ที่ว่ามนุษย์เราคิดว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี ทำชั่วแล้วไม่เห็นถูกลงโทษจึงมักจะปล่อยปละที่จะรักษาความดี แล้วก็ไม่คิดที่จะเลิกความชั่วใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะว่าดีไม่เห็นดี ชั่วไม่เห็นผลใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เราพูดไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าการที่จะเรียกร้องคนอื่นนั้นสู้เรียกร้องตนเองดีกว่า การที่จะดัดคนอื่นนั้นสู้ดัดตนเองให้ได้ก่อนดีกว่า ค่อยไปดัดผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นก็คือว่าหากท่านถามอย่างหนึ่งยอมหรือไม่ที่จะเสียสละ เป็นคนหนึ่งที่เป็นตัวแทนประจักษ์ให้เห็นว่าทำดีแล้วได้ผลดี ทำชั่วแล้วได้ผลชั่วท่านจะยอมเป็นคนคนนั้นไหม หากท่านยอมเป็นก็เหมือนกับการโยนหินลงในแม่น้ำ เมื่อโยนหินลงในแม่น้ำวงที่เกิดย่อมเกิดนานับประการใช่หรือไม่ (ใช่) หากมีคนคนหนึ่งยอมทำดีแล้วประจักษ์ให้เขาเห็นว่าได้ผลดี แล้วยอมลงโทษตนเองให้ได้ผล เขาย่อมจะเป็นเหมือนหินก้อนนั้นใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเราทำดีเราให้รางวัลกับการทำดีของเรา เมื่อเราลงโทษเรากล้าพูดและกล้าที่จะแก้ไขตนเอง เราก็เหมือนกับหินก้อนนั้นที่ประจักษ์ให้หมู่ชน ที่ประจักษ์ให้ครอบครัวของตนเองได้รู้ว่าทำดีแล้วบังเกิดผล ทำชั่วแล้วมีโทษใช่หรือไม่ (ใช่) แต่บ่อยครั้งเวลาเราทำชั่วแล้วเราเกิดกรรมกับตนเอง เราไม่กล้าพูดว่าตนเองนั้นไปทำเหตุที่ไม่ดีมาก่อน เรามักจะโทษว่าคนอื่นทำให้เราเป็นเช่นนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเราสืบให้ดีเราจะรู้ว่าเหตุที่ต้องรับผลแบบนั้นก็เพราะว่าเรานั่นแหละไปบิดเบือนเขา เรานั่นแหละไปคดโกงเขา แล้วเราก็เอาตัวอย่างของเรานั้นไปประจักษ์ให้คนอื่นเห็น ให้คนอื่นเห็นเขายอมเชื่อว่าดีผลชั่วมีจริงใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ปัจจุบันนี้ขาดหินที่ยอมสละตนเอง ยอมอุทิศตนให้ชาวโลกได้รู้ว่าทำดีแล้วบังเกิดผล ทำชั่วแล้วก็มีผลเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) เราไม่ยอมเวลาเราทำผิด เราละอายเราปกปิดใช่หรือไม่ (ใช่) เราไม่กล้าแก้ไขเวลาเราทำชั่วเราทำดีเราทำเพียงเล็กน้อย แต่เราป่าวประกาศเหมือนทำดียิ่งใหญ่ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วผลประจักษ์ได้อย่างไร แล้วฟ้าจะให้ความเที่ยงธรรมกับท่านได้อย่างไรจริงหรือไม่ (จริง) ในเมื่อตัวท่านยังไม่เที่ยง ในเมื่อตัวท่านยังบริสุทธิ์ได้ไม่เต็มที่จะให้ฟ้าประกาศผล ใจให้ฟ้าส่งผลก็คงยาก ฉะนั้นขอให้ท่านเป็นก้อนหินก้อนหนึ่งที่พร้อมจะทำดีแม้ผลจะยังไม่บังเกิดก็ยังคงทำ เมื่อไรที่ทำผิดพร้อมจะแก้ไข พร้อมจะสำนึกตนและเอาความผิดของตนเองเป็นบทเรียนอันมีค่า กล้าเอาไปสอนลูกหลาน เมื่อไรที่เราเอาบทเรียนอันมีค่าไปสอนให้ลูกหลานเห็นว่าดีมีผล ชั่วมีโทษ ลูกหลานย่อมเชื่อแล้วว่าดีมีจริง ชั่วมีจริง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ตอนนี้แม้แต่เราทำผิดเราก็ไม่กล้าบอกลูกหลาน แต่แม่ยังไม่ยอมเลิก พ่อยังไม่ยอมหยุด ในการทำไม่ดี แล้วลูกหลาน คนที่อยู่รอบข้างเรา คนที่อยู่เบื้องใต้เราจะทำตามใคร ในเมื่อข้างหน้าไม่มีตัวอย่าง เบื้องหน้าไม่มีแบบอย่างอันดีจริงหรือไม่ (จริง) ถ้าอย่างนั้นเริ่มดีเริ่มชั่วอย่าได้มองไกลตัวเอง นั่นแหละเป็นเหมือนก้อนหินก้อนหนึ่งที่ยอมสละให้เกิดวงนานับไม่ถ้วน วงแห่งการปฏิบัติต่อมานานับประการ หากเราทำได้ เราย่อมเป็นหินอันมีค่าที่ยอมสละตนเอง แม้จะต้องจมลงในน้ำ
แม้เรื่องราวภายนอกจะวุ่นวายเพียงใด แต่หากภายในจิตใจรู้จักบำเพ็ญตน รู้จักดำเนินชีวิตตนให้เป็น รู้จักเชื่อมั่นในความถูกต้องและดีงาม พร้อมที่จะเดินไปด้วยความระมัดระวังทุกก้าว ในการมีชีวิตแม้ภายนอกจะวุ่นวายอย่างไรก็ยากจะมีผลต่อจิตใจเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) ดูดอกไม้ในตะกร้าใบนี้มีหลากสีหลายแบบ แต่ละแบบๆ ก็มีคุณค่าในตัวตนเองใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งเราสามารถทำเช่นนี้ แต่เราไม่สามารถทำเช่นดอกนี้ได้ บางครั้งเราชูช่อได้ยาวเท่านี้ แต่เราไม่สามารถชูช่อได้สูงกว่านี้ใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตคนก็เหมือนกันบางครั้งเรามีชีวิตอยู่ การดิ้นรนการแสวงหาในโลกนี้ บางครั้งเราได้ดีที่สุดเท่านี้แล้ว บางทีไม่ต้องมีทุกข์กับการมีเท่านี้ แต่ควรจะมีสุขที่ได้มีเท่านี้ต่างหาก เมื่อยามมีชีวิตใช่หรือไม่ แต่มนุษย์เรามักจะเป็นเหมือนนก บินแล้วต้องบินให้สูง อยากแล้วต้องอยากให้ถึงที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) จึงทำให้เราไขว่คว้าไปไม่หยุดนิ่ง เหนื่อยไม่หยุดหย่อนไม่รู้จักพักผ่อนให้กับตน ไม่รู้จักเสรีแห่งชีวิตก็เพราะว่าสูงเท่านี้ไม่พอต้องสูงกว่านี้อีก ใหญ่เท่านี้ไม่พอต้องใหญ่ให้ได้เท่านี้และทุกข์ไหม (ทุกข์) สุขไหม (ไม่สุข) ไม่สุขเลยใช่หรือไม่ (ใช่) งั้นชีวิตก็ไม่ยากเลย ดูดอกไม้เป็น ทำไมดูตนเองไม่เป็น ปลูกต้นไม้ได้ ทำไมปลูกใจตนเองไม่ได้จริงหรือไม่ (จริง)
“เตือนใจตนสู้กระแสแห่งมายา ปฏิปทาดุจปลาซึ่งน่าเกรงขาม” เคยเห็นปลาไหม (เคย) ปลาว่ายตามน้ำหรือว่ายทวนน้ำ (ทวนน้ำ) ชีวิตคนตามกระแสหรือทวนกระแส (ตามกระแส) ตามอารมณ์หรือทวนอารมณ์ (ทวนอารมณ์) งั้นมีชีวิตสู้ปลาก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) อะไรลำบากไม่ยอมสู้ถอยก่อนคนแรกอย่างนี้ดีหรือไม่ (ไม่ดี) อย่างนี้จะเรียกประเสริฐได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นบางครั้งอะไรที่ทวนกระแสเราต้องทวนได้ ไม่อย่างนั้นอายปลา อะไรที่ขัดใจยอมไหม (ไม่ยอม) ยังไม่ยอมอีกหรือ อย่างนี้ปลาก็น่าจะอายใช่หรือไม่ ท่านเคยเห็นแมวไหม พอดึงหางมันจะเดินหน้าใช่หรือไม่ (ใช่) กดหัวเป็นอย่างไร ดันตัวเองขึ้นมาใช่หรือเปล่า แต่มนุษย์เป็นอย่างไร ทุกข์แล้วทุกข์เลย สุขแล้วสุขเลยอย่างนั้นหรือ อย่างนี้ท่านก็สู้แมวไม่ได้แล้ว แมวยังรู้จักสู้ แมวไม่มีปัญญาสู้ยังรู้จักสู้ ยิ่งกดหัวก็ยิ่งดันให้สูง ฉะนั้นยิ่งทุกข์เรายิ่งต้องสู้ให้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ยิ่งสุขเราต้องระมัดระวังอย่าหลงระเริง ไม่อย่างนั้นก็สู้ไม่ได้ ปลาก็น่าอาย มองฟ้าก็อายนก มองน้ำก็อายปลา มองพื้นดินก็อายแมว
ลมทำให้เราเย็นใช่หรือไม่ ลมมีลักษณะอย่างไร วันนี้ถ้าไม่มีลมคงไม่ยอมนั่งที่นี่แน่ใช่หรือไม่ (ใช่) แปลว่าลมทำให้ท่านนั่งอยู่ได้ ลมไม่มีตัวตนจับต้องไม่ได้ แต่ทำให้ท่านนั่งอยู่ได้ แปลว่าลมก็มีคุณประโยชน์ ลมมีคุณสมบัติอยู่สองอย่าง (ลมทำให้เรารู้สึกสบาย และดับร้อนในตัวได้) ลมมีทั้งคุณและโทษ โทษก็คือทำให้ของกระจัดกระจาย คุณก็คือทำให้เกิดความเย็น ทำให้เกิดการรวมตัว หรือทำให้เกิดความเย็น ลมก็ช่วยทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้เหมือนกัน ถ้าเราขาดลมแล้วเป็นอย่างไร (ตาย) นั่นคือลมอะไร (ลมหายใจ) และลมก็ทำให้ไม่มีชีวิตได้ จริงหรือไม่ (จริง) นั่นก็คือลมมาทำให้เกิดการรวมตัวและลมทำให้เกิดการกระจัดกระจายได้ แปลว่าลมที่มองไม่เห็นนี้ก็มีอำนาจเหมือนกัน นอกจากลมหายใจแล้ว เรายังมีลมอีกลมที่น่ากลัวไม่ใช่เล่นเหมือนกัน ก็คืออารมณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่) อารมณ์นี้ทำให้เป็นอย่างไรกันบ้าง ถ้าใครจำได้ที่เราพูดตอนต้นอารมณ์นี้ถ้าหากมีมากกว่าคุณธรรมอาจจะทำให้เราทำผิดได้ เป็นอารมณ์แห่งกิเลส เป็นอารมณ์แห่งตัณหา แล้วอารมณ์นี้ยังทำร้ายเราหรืออารมณ์นี้หากเป็นอารมณ์ความมุ่งมั่น หรือหากเปลี่ยนจากอารมณ์เป็นความมุ่งมั่น ปณิธานความตั้งใจใช่หรือไม่ (ใช่) อารมณ์นี้เปลี่ยนเป็นความมุ่งมั่นตั้งใจในทางที่ดีย่อมสร้างสรรค์ แต่ถ้าอารมณ์เกิดการเบี่ยงเบน เกิดการไม่เที่ยงแท้ เกิดความไม่แน่นอนเห็นแก่ตน อารมณ์นั้นย่อมทำลายคนและทำลายตนเอง แปลว่าลมไม่ใช่มีประโยชน์แค่เพียงให้ความเย็น ให้ความรู้สึก แต่ลมยังสร้างสรรค์และทำลายได้ ขึ้นอยู่กับคนๆ นั้นเกิดอารมณ์อย่างไร เมื่อมีลมขึ้นมา แล้วเราอยากมีลมไหม ลมร้อน หรือลมเย็น (ลมเย็น) ลมเย็นตอนอากาศหนาวหรือลมตอนอากาศร้อน ลมร้อนตอนอากาศเย็นนั่นคือรู้จักมีลมแล้ว ยังต้องดูสภาพแวดล้อมด้วยหรือไม่ พอดูสภาพแวดล้อมด้วยแล้วยังต้องดูคนด้วยใช่หรือไม่ อากาศร้อนใจท่านเย็น แต่เขาร้อนเราเอาเย็นไปสาดเลยทีเดียวดีไหม (ไม่ดี) อย่างนี้เรียกว่าฆ่าเราทั้งเป็นด้วย และฆ่าเขาทั้งเป็นด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเวลามีอะไรนอกจากดูเราเป็นแล้ว ยังต้องดูเขาให้เป็นด้วย ใช่หรือไม่ เรามาอยู่ด้วยกัน เราอยากสร้างแต่สิ่งที่ดีๆ สร้างแต่รอยยิ้มให้แต่คำพูดที่ดีงาม จากไปเราจะได้ไม่เสียใจที่มาพบท่านแล้ว ชีวิตคนก็มีค่าเท่านี้ ตอนอยู่ขอให้ทำดีที่สุด เวลาไปเราจะไม่เสียดายอะไรเลยจริงหรือไม่ แต่เวลาเราอยู่เรากลับมักลืมข้อนี้ไปใช่หรือไม่ ปล่อยตนเองไปตามอารมณ์ ตามใจตนเองไม่สนใจคนรอบข้าง จึงทำให้เวลาจากไปแล้วเรียกร้องอะไรไม่ได้แล้วจริงหรือไม่ (จริง)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ได้ฟังเราพูดบ้างหรือเปล่า (ฟัง) เราพูดอะไรไปบ้างแล้วจำได้ไหม บำเพ็ญธรรมไม่ใช่แค่การลงแรงปฏิบัติอย่างเดียว แต่ต้องสามารถขัดเกลาจิตใจตนเองได้ด้วย เราต้องรู้ด้วยว่าอารมณ์ตอนไหนที่เกิดขึ้นแล้วทำร้ายจิตเรา อารมณ์ตอนไหนที่เกิดขึ้นแล้วให้โทษแก่เรา เราควรดับเสียตั้งแต่ต้น ใช่หรือไม่ (ใช่) การศึกษาบำเพ็ญธรรมเราต้องตั้งใจบำเพ็ญให้เป็นแบบอย่างที่ดีงาม บำเพ็ญเพื่อเป็นต้นโพธิ์ หากเราบำเพ็ญอยู่ตรงนี้ยิ้มได้ พูดได้ พูดธรรมะมากมายได้ แต่กลับไปบ้านยิ้มไม่ได้พูดไม่ออกอย่างนี้ไม่เรียกว่าบำเพ็ญใช่หรือไม่ บำเพ็ญต้องเมตตาจากบ้านได้ก่อน ถึงจะเมตตากับผู้อื่นได้ อย่าเป็นคนที่เมตตาผู้อื่นเป็น แต่เมตตาในบ้านตนเองไม่เป็น อย่าเป็นคนที่ควบคุมได้แต่ภายนอก แต่พอเข้าไปในบ้านกลับระเบิดออกมา อย่างนี้ไม่เรียกว่าผู้บำเพ็ญใช่หรือไม่ (ใช่) จะบำเพ็ญตน เราต้องรู้จักควบคุมใจตนเองให้ได้ หากเราควบคุมใจตนเองได้ เวลาไปไหนคนย่อมอยากเข้าใกล้ คนย่อมนับถือ หากเราไปไหนคนแตกกระเจิง ไปไหนคนไม่อยากคบหา แปลว่าเรายังบำเพ็ญได้ไม่ดี ถ้าบำเพ็ญไปที่ไหน พูดอยู่ตรงไหนใครก็อยากฟังในสิ่งที่เราพูด ใครก็อยากมองในการปฏิบัติของเรา แปลว่าทั้งพูดทั้งปฏิบัติเราได้บำเพ็ญดีแล้ว แต่ไม่ใช่พูดแล้วก็ไม่อยากฟัง ปฏิบัติแล้วก็ไม่อยากมอง อย่างนี้ไม่อาจเรียกว่าผู้บำเพ็ญที่ถูกต้องใช่หรือไม่ (ใช่) ธรรมะที่เรารับไปก็ไม่มีค่า ค่าอยู่ที่เข้าใจแล้วลงมือปฏิบัติอย่างจริงๆ จังๆ แล้วเราถึงจะประจักษ์เห็นได้ว่า บำเพ็ญแล้วได้ผลจริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
มาฟังธรรมะ ขอให้เวลาที่เสียไปแต่ต้องเข้าใจว่าได้อะไรกลับไปด้วย ไม่อย่างนั้นพอกลับไปแล้วมีใครมาพูดว่างมงาย ว่าไม่ดี ท่านก็ไปตามเขาแล้ว มาหนึ่งวันก็ไม่มีประโยชน์ ฟังไปก็เมื่อยเปล่าๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฟังแล้วต้องพยายามทำความเข้าใจดูว่าจุดประสงค์ที่เขาพูดแล้วมีความน่าเชื่อถือแค่ไหน ดูความตั้งใจจริง ดูน้ำใจ หรือดูสิ่งที่เขาให้ท่าน หลอกลวงหรือเปล่า ท่านพิสูจน์ได้ ปัญญาท่านมีจริงหรือไม่ ตอนนี้ขอให้คิดให้ดีๆ ว่าหลอกหรือไม่หลอก ตอนนี้พิสูจน์ได้ พิจารณาได้ เพราะได้ยิน ได้เห็น แต่กลับไปไม่ได้ยินแล้ว ไม่เห็นแล้ว การพิจารณาย่อมยากใช่หรือไม่ (ใช่) การเชื่อคนอื่นย่อมง่ายจริงหรือเปล่า ต้นไม้ว่าบ่อยๆ ยังเฉา คนโดนด่าโดนดุมากๆ ยังหมดกำลังใจ แล้วนับประสาอะไรกับโดนว่ากรอกหูอยู่บ่อยๆ ว่าธรรมะปลอมย่อมปลอมได้ในวันใดวันหนึ่ง ถ้าท่านไม่เข้าใจ ฉะนั้นขอให้พยายามศึกษาให้ดีๆ วันนี้มาแล้วขอให้ตั้งใจฟัง
โลกสวรรค์จะย้ายจากเบื้องฟ้าลงมาโลกมนุษย์ได้ก็ต่อเมื่อมีเทวดาและนางฟ้าใช่หรือไม่ (ใช่) สวรรค์จะบังเกิดได้ สถานที่จะเกิดได้ก็ต้องมีคนสร้างใช่หรือไม่ ถ้าเราอยากมีสวรรค์ในบ้าน เราต้องเป็นนางฟ้าให้ได้ก่อน ทำได้หรือไม่ มีใจแบบนางฟ้า แบบเทวดา ทำได้หรือเปล่า ถ้าเมื่อไรเราทำได้ทุกวันหรือทำได้ทุกขณะมีลมหายใจ เราจะสามารถย้ายสวรรค์ลงมาอยู่บนโลกดีหรือไม่ (ดี) เราอยากเป็นนางฟ้าหรือเทวดาไหม คุณสมบัติคือเราต้องเป็นคนดี แล้วเราต้องทำความดีด้วย ไม่ใช่ว่าเป็นคนดีแต่ไม่รักดีก็ไม่มีประโยชน์ใช่หรือไม่ เห็นคนดีรักดีเรายังต้องปฏิบัติดีให้ได้ ท่านอยากเหาะเหินเดินอากาศหรือมีคำพูดที่ศักดิ์สิทธิ์เหมือนนางฟ้าได้ ก็ต้องพูดแล้วทำ ทำเสร็จแล้วค่อยพูดค่อยว่า ค่อยจา แล้วจึงจะสามารถเป็นคำพูดที่ศักดิ์สิทธิ์ได้ จริงหรือไม่ (จริง) แล้วอยากให้เป็นคำพูดที่ศักดิ์สิทธิ์แม้กระทั่งคนอื่นด้วยหรือไม่ เราต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเขา ให้ความเชื่อมั่น มั่นใจเขาแล้ว เขาก็จะรักษาสัญญาและให้ความเชื่อมั่นกับเราจริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นการย้ายสวรรค์ลงมาอยู่บนโลกมนุษย์ก็ไม่ใช่เรื่องยาก อยู่ที่ตัวเราว่ารู้จักทำไหม ขอให้มีพื้นฐานหรือความคิดที่ดีก่อนแล้วมุ่งไปให้สำเร็จอย่าเกี่ยงว่ายากจะบำเพ็ญดี แต่อยากเป็นนางฟ้าเทวดาก็ต้องพยายามทำให้ดี อย่าเกี่ยงว่าลำบากดีหรือไม่ (ดี) เมื่อไรที่เราสามารถเป็นนางฟ้าได้บนโลก เราก็จะเป็นพุทธะเป็นแดนสวรรค์ได้บนแดนนิพพานได้ แต่ถ้าเมื่อไรเรายังอยู่บนโลกยังเป็นคนที่ดีบ้าง ชั่วบ้าง กลับขึ้นไปอย่างมากก็เป็นแค่นางฟ้า อย่างน้อยที่สุดก็ตกนรกใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นก็ต้องพยายามบำเพ็ญตนให้ดี อย่างน้อยเป็นพุทธะไม่ได้ ก็ต้องเป็นนางฟ้าให้ได้ดีไหม นางฟ้าต้องยิ้มเก่งไหม บึ้งง่ายไหม โกรธง่ายไหม เอาแต่อารมณ์ไหม เอาแต่ใจไหม เห็นแก่ตนได้ไหม (ไม่ได้) ต้องรู้จักมองคนอื่นบ้างให้เป็นประโยชน์แก่คนอื่นบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)
ตอนนี้อากาศเย็นแล้ว เมื่อเวลาพลบค่ำเราย่อมคิดถึงบ้านใช่หรือไม่ จากมานานๆ เราย่อมต้องคิดถึงบ้าน กายเราก็ย่อมมีบ้านของกาย พุทธจิตธรรมญาณก็มีบ้านของพุทธจิตธรรมญาณ แต่ตอนนี้เราเหมือนคนที่เดินมาไกลแล้วหลงลืมทางกลับบ้าน การบำเพ็ญตนก็คือการรู้ทางหลุดพ้นแห่งพุทธจิตธรรมญาณตน กายเรารู้จักกลับ ต้นไม้แม้จะสูญพันธุ์ยังต้องตกลงมาสู่พื้น ใบไม้เกิดจากรากขึ้นไป ใช่หรือไม่ (ใช่) วันหนึ่งต้องตกลงมาสู่พื้น ชีวิตของเราเกิดมาแล้วก็ต้องกลับคืนสู่ที่มาของตนเอง กายนี้มาจากไหนก็ต้องคืนสู่สภาพนั้น กายเกิดมาจากธาตุทั้งมวล ตั้งแต่ ลม ไฟ ดิน น้ำ เมื่อดับไปก็คืน ลม ไฟ ดิน น้ำ แต่พุทธจิตธรรมญาณมาจากเบื้องฟ้า ฉะนั้นตอนนี้เราพูดว่าท่านมาจากเบื้องฟ้า อยากจะกลับเบื้องฟ้าไหม (อยาก) อย่าได้คิดว่าเรามาจากเบื้องล่างเลย เราคิดว่าทุกคนในที่นี้มาจากเบื้องฟ้า ใครๆ ก็อยากกลับเบื้องฟ้าใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ชีวิตของเราอยู่แล้วเรากลับชักใจฟ้าลงต่ำ เมื่อเราชักใจฟ้าลงต่ำ การจะกลับเบื้องฟ้าจึงต้องผ่านความยากลำบากถึงจะกลับคืนได้ใช่หรือไม่ (ใช่) น้ำมาจากฟ้ายังต้องยอมกลั่นตัวถึงจะกลับคืนฟ้า แล้วคนหากมาจากเบื้องบน ฝ่าความยากลำบากนิดหนึ่งแล้วกลับเบื้องบนไม่ยอมกลับหรือ ก็น่าจะกลับกันบ้างใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าได้กลัวความยากลำบาก ต้นไม้สูญพันธุ์ยังต้องร่วงลงสู่ดิน ชีวิตคนแม้จะยากดีมีจนอย่างไรก็ต้องกลับคืนสู่ที่มาของตนเอง กายมีที่กลับแล้วคือกลับคืนสู่ธาตุเดิม แล้วจิตญาณเราอยากลงสู่ที่ต่ำหรือก็ไม่อยากใช่ไหม ใครๆ ก็อยากคืนเบื้องสูง แต่การจะคืนเบื้องสูงได้ขึ้นอยู่กับตอนมีชีวิตอยู่ เราทำตนเองไปทางทิศใด ทำดีย่อมไปดี ทำชั่วย่อมไปชั่ว ทำตนเองให้เขาโปร่งใสย่อมกลับคืนเบาโปร่งใส ทำตนเองให้หนักขุ่นมัว ตนเองย่อมจมหนักขุ่นมัว นี่เป็นสัจธรรม เป็นความจริงที่ทุกคนรู้ แต่รู้แล้วขอให้ลงมือกระทำมีชีวิตอยู่ทุกเวลาทุกขณะที่มีลมหายใจล้วนมีคุณค่า ล้วนเป็นเวลาที่ประกาศว่าตนเองจะเป็นคนเช่นไร จะเป็นคนที่กลับสู่ฟ้า หรือลงสู่ดิน ขึ้นอยู่กับเวลาแห่งลมหายใจนี้ ขึ้นอยู่กับการดำรงชีวิตนี้มีโอกาสช่วยเหลือตนนำพาตนในสิ่งที่ถูก มีโอกาสช่วยเหลือคนนำพาคนให้ถูกเหมือนกัน เมื่อไรช่วยตนได้ช่วยคนได้ เมื่อนั้นเราย่อมบำเพ็ญดีได้ เมื่อไรควบคุมตนเองเป็นคนดีได้ ไม่หลงผิด ผิดแล้วรู้จักแก้ไข เมื่อนั้นตนเองย่อมกลับคืนได้เหมือนกัน แต่ที่สำคัญเราอยากย้ำอีกอย่างหนึ่งว่า ทำในบ้านตนเองให้ดีหากบ้านตนเองไม่ดี ไม่มีความสุขแม้จะพูดธรมะได้เก่ง ได้คล่องก็ไม่มีประโยชน์จริงไหม (จริง) แม้จะมีเงินทองมากมาย แต่บ้านตนเองเมื่อกลับไปแล้วไม่มีความสุข แม้จะมีเงินทองมากมาย แต่ใจตนเองไม่รู้จักความสุขที่แท้จริง มีเงินทอง พูดเก่งจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อใจตนเองยังรักษาให้มีคุณค่า ให้มีความดีไม่ได้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่) เราเห็นว่าทุกคนนั้นหลงผิดมาก็มากทำผิดมาก็บ่อย แต่ผิดแล้ว ทำไมไม่แก้กัน ผิดแล้วได้แต่สำนึกมีประโยชน์อะไร รู้ว่าตนเองเป็นคนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มีชีวิตแล้วทำไมไม่ทำให้ดี ทำไมต้องให้ตนเองจมปลักอยู่ในโคลนเลน และจมปลักอยู่ในห้องแห่งเงินทองทรัพย์สิน ชื่อเสียง ทั้งที่ชีวิตก็มีค่ามากกว่านี้ได้จริงไหม ทำไมจะต้องเอาค่าชีวิตมีค่าเพียงแค่เป็นเงินทอง ตอนนี้พ่อแม่อยู่กับเรา ขอให้สร้างความสุขให้กับพ่อแม่ให้จงได้ ตอนนี้เรามีครอบครัว มีญาติพี่น้อง ขอให้เราสามารถนำความสุข มาให้กับครอบครัวและพี่น้องได้ เมื่อได้พื้นฐานดี การจะมีชีวิตออกไปสู่สังคมย่อมเจริญและดีงามได้จริงไหม (จริง)
ทุกครั้งที่พระอาจารย์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มามักจะชมแม่ครัวบ่อยๆ ใช่ไหม (ใช่) วันนี้เราขอชมผู้ปฏิบัติงานธรรมที่ยืนข้างๆ นี้ มีคนตั้งมากมายที่ไม่อยากทำงานตรงนี้ มักปฏิเสธใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ท่านชอบยืนตรงนี้เราขอปรบมือให้ แม้การปรบมือนี้จะเป็นการปรบมือที่เกิดจากเสียงจากใจเรา ไม่ได้ยินเสียงไม่เป็นไร หลายคนไม่ยอมมายืนตรงนี้เพราะกลัวตัวเองง่วงนอนใช่หรือไม่ (ใช่) บอกให้มาคุมชั้นก็ไม่ค่อยจะยอมคุมกันอยากไปยืนอยู่ข้างนอกมากกว่าใช่หรือไม่ แล้วการฝึกอดทนจะมีประโยชน์อะไร เมื่อเจอเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าจะทนได้หรือ ทนได้ไหม นั่งแค่หนึ่งวันยังทนไม่ได้เลยใช่หรือเปล่า แล้วไปเจอสี่สิบเก้าวันจะทนไหวไหม (ไม่ไหว) ฉะนั้นมานั่งฟังมายืนคุมชั้นอย่าเห็นว่าเป็นหน้าที่เล็ก หากยืนคุมได้ก็เป็นการฝึกใจเราได้เหมือนกัน ฝึกกายเราให้เข็มแข็งได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อเข้าใจแล้วขอให้ลงมือปฏิบัติและบำเพ็ญตน การบำเพ็ญตนเป็นสิ่งที่ดี ถ้าเราบำเพ็ญได้เราย่อมได้ดี แต่ใครจะรอเวลาไม่สนใจ แต่เราไม่รอเวลา ไม่รอช้าในการเป็นคนดี ตอนนี้มีเวลาขอให้รีบปฏิบัติดี อย่าให้ถึงกับหมดเวลาแล้วค่อยมาขอเวลา ตอนนั้นไม่ทันกาลจริงไหม เรายกตัวอย่างให้ท่านเรื่องหนึ่ง มีคนๆ หนึ่ง ถึงเวลาที่เขาต้องไปจากโลกนี้ แม้แต่ยมฑูตก็ยังรั้งรอให้เขาทำความดี เพราะอะไรเราถึงอยากเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง มีชายคนหนึ่งเป็นคนที่มุ่งมั่นจะทำความดี แม้กระทั่งเหลือเสี้ยวเวลาเพียงนิดหนึ่งที่จะหมดสิ้นไปจากโลกนี้ หมดอายุขัยแล้ว เขาก็ยังไม่หยุดที่จะทำความดี ขนาดยมฑูตยังประทับใจรั้งรอเวลาให้เขาทำความดี เราได้ยินเรื่องนี้แล้วก็อดประทับใจเขาคนนั้นไม่ได้ เมื่อไรที่ท่านทำความดี แม้ยมฑูตหรือมัจจุราชที่จะพรากชีวิตเรายังต้องรั้งรอเวลาให้ท่านทำดี ให้ถึงนาทีสุดท้าย ขอให้จำไว้ว่าถ้าเมื่อไรเราทำดี แม้ยมฑูตหรือมัจจุราชก็ยังรั้งรอเวลาไม่คิดจะเอาท่านไปในขณะนั้น แต่เมื่อไรที่ท่านทำชั่ว มัจจุราชหรือยมฑูตไม่เคยรอเวลา พร้อมที่จะเอาไปทันที ไม่มีความสงสารและไม่มีความปรานี เข้าใจตรงนี้ ฉะนั้นมีชีวิต มีเวลารักษาเวลาให้ดี ขอให้ทุกเวลาทุกนาทีสร้างแต่ความดี แม้แต่ยมฑูตหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังอยากจะเพิ่มเวลาให้กับคนๆ นั้น แต่ถ้าเมื่อไรที่ชีวิตเราใกล้จะหมดนั่นแปลว่าเราต้องถามตนเองว่าชีวิตเราได้สร้างสิ่งดี มากน้อยเพียงไรใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่ไปก่อนเวลาล้วนไม่เคยเป็นคนที่สร้างสิ่งที่ดีเลย บางทีก็อาจจะมีอีกสาเหตุหนึ่ง นั่นคือเขามีบุญกรรมมาเท่านี้ใช่ไหม (ใช่) แต่ชีวิตของเรามีอายุต่ำกว่านี้ตอนนี้ต้องรู้จักที่จะทำชีวิตตนเองให้มีค่าอย่างไร แม้เราไม่มีแรงแต่เรามีปัญญา มีวาจาที่ดีได้จริงไหม มีมือที่ยังหยิบจับยังช่วยเหลือ ยังเอื้อประโยชน์ให้คนอื่นได้ เราก็ภาคภูมิใจแล้วว่าเราได้มอบสิ่งที่คิดว่ามีค่ามากที่สุด บางคนเวลาเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์มักจะขอให้รวย ขอให้มีความสุข ขอให้ครอบครัวร่มเย็นใช่หรือเปล่า แต่อย่างที่เราบอกแต่ต้นทั้งความสุข ทั้งความร่มเย็น จะเกิดได้ก็เกิดที่ใจเรา จะมีอยู่ได้ก็มีอยู่ได้ที่นิ้วมือเราเป็นคนสร้าง แม้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะให้ แต่ถ้าท่านไม่รู้จักปฏิบัติหรือลงมือรักษาก็ไม่มีประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าอย่างนั้นวันนี้เปลี่ยนจากเรามาเป็นคนขอท่านดีหรือไม่ (ดี) ทุกทีเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าอย่างนั้นวันนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอท่าน ขอให้อดทนในการมุ่งมั่นบำเพ็ญตน แล้วขอให้บำเพ็ญตนจนสำเร็จถึงความเป็นพุทธะ ขอให้ไปให้ถึง แล้วเราจะได้พบกัน ณ ที่นั่น แล้วเราจะได้รู้แท้จริงว่าพุทธะมีจริง แล้วก็เป็นพุทธะจริงๆ ได้ ดีไหม (ดี) เจอกันบนโลกก็ไม่สู้เท่ากับเจอกันบนเบื้องฟ้าจริงหรือเปล่า (จริง) เจอเบื้องฟ้าก็ไม่สู้เท่ากับเจอบนแดนนิพพาน อายุยังน้อยขอให้มีใจศึกษาให้ดี ธรรมะเป็นสิ่งมีค่า ค่าอยู่ที่คนปฏิบัติใช่หรือไม่ (ใช่) อย่ามองเห็นธรรมะเป็นเรื่องเล่นๆ อย่ามองเห็นธรรมะเป็นแค่ลมพัดผ่านมา ลมเย็นผ่านไปไม่มีประโยชน์ ต้องมองเห็นธรรมะเป็นได้ทุกสภาวะ ช่วยเราได้ทุกขณะจิต ขอให้รู้ว่ามีเท่านี้เอง เหนื่อยนักก็เดินช้าหน่อย บำเพ็ญเจอความทุกข์ยากก็ขอให้ไตร่ตรองให้ดี ก่อนที่จะก้าวเดินต่อไป
จากไปแล้วก็อาลัยเหมือนกันนะ ไม่รู้ว่าจากกันครั้งนี้ เราจะได้เจอกันอีกหรือเปล่า วันนี้เป็นโอกาสดีที่เราได้มีโอกาสพบกัน ผูกบุญสัมพันธ์ร่วมกัน เราจากเราก็พอใจแล้ว ขอให้ดอกไม้แห่งคุณธรรมยังคงเบ่งบานตราบนิจนิรันดร์
วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พุทธศักราช 2542
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
คนพาลชอบโทษคนไม่โทษตน บัณฑิตชอบสำรวจตนไม่โทษใคร
คนพาลชอบขอคนไม่ขอใจ บัณฑิตชอบขอตนไซร้ไม่ขอคน
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเมี่ยวเต๋อ แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า
คบคนพาลคนพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล
ในวันนี้ขอให้ศิษย์ย้อนมองตน คนพาลจนบัณฑิตเรานั้นคือใคร
ผู้บำเพ็ญเป็นบัณฑิตมิติดขัด ถ้าถนัดแต่สบายน่าสงสัย
ไม่ได้เป็นซึ่งบัณฑิตให้สมใจ กาลเวลาพิสูจน์ไซร้ซึ่งทุกคน
แม้พูดดีคิดดีและทำดี ทุกนาทีศิษย์ข้านี้ยากสับสน
แต่หากคิดเอาแต่ใจของตน ต้องเวียนวนไม่รู้จบตลอดกาล
ควบคุมตนให้เที่ยงเที่ยงมิเอนเอียง มิเบี่ยงเบนหากิเลสน่าสงสาร
ศิษย์รักเอยก้าวเท้าตามอาจารย์ แม้เนิ่นนานอย่าเปลี่ยนใจเพราะลังเล
ทะเลทุกข์คนอยู่กลางยากไม่ทุกข์ กลับหลังหันพบฝั่งสุขไม่หันเห
ขัดเกลาใจใสสะอาดอย่าปนเป กลางทะเลเรือน้อยล่องแล่นขึ้นมา
จากง่ายง่ายไปสู่ยากทยอยแก้ไข เรือพายไปถึงฝั่งเพราะสามัคคีหนา
ศิษย์รักรู้ร่วมใจกันร่วมฟันฝ่า หลักธรรมาใช้นำทางการบำเพ็ญ
ถอยหนึ่งก้าวฟ้ากว้างทะเลไกล เอาใจเขาใส่ใจเราไม่ลำเค็ญ
สู่ยุคสามอยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็น อดทนเป็นสามารถผ่านทุกข์อนันต์
ฮา ฮา หยุด
จากปลายน้ำ คืนต้นหนทางยังยาวไกล รู้แล้วให้ระวังกายใจ หันหน้าตามฟ้า หากดวงใจเอาแต่เคลือบแคลงไปนานา หลงใหลสิ่งสวยงามเพลินตา ล้วนต้องลำบาก
* ใช้ความดีชนะใจมวลชน มิตกหล่นนอกในหมั่นขัดเกลา เก็บความพลั้งเป็นบทเรียนมาสอนเรา จิตสะอาดสว่างรุดเดินเต็มก้าววอนขอ มวลศิษย์แข็งใจสู้มายา มัจฉาต่างรู้ทวนธารา ย้อนมองใจตน ใช้ความดีชนะใจมวลชน หันหน้าตามฟ้า ขอบำเพ็ญถึงพร้อมในตน ทุกวันเวลา (ซ้ำ *)
เพลง : ทวนกระแสโลกีย์
ทำนองเพลง : ฟ้ายังมองเรา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
มองข้างนอกหรือข้างใน ถ้าคนนี้ขี้เหร่หน่อยอยากมองไหม (ไม่อยาก) ถ้าคนนี้ขี้เหร่แล้วนิสัยดีอยากคบไหม (อยาก) แต่ถ้าเกิดเรามองเขาเป็นคนขี้เหร่เราก็ไม่อยากจะคุยกับเขาแล้วเราจะไปรู้ว่าเขาดีหรือไม่ดีอย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการที่เราจะมองใครคนหนึ่งจะต้องมองที่ไหน (ที่จิตใจ) เพราะฉะนั้นคนที่มาหาเราเขาจะมาหาเราตรงที่เราเป็นคนที่จิตใจดีใช่หรือเปล่า (ใช่) ตอนนี้คนจะคบเราที่จิตใจแล้วจิตใจของเราดีหรือยัง (ดี) ดีกี่เปอร์เซ็นต์ ไหนใครว่าตนเองห้าสิบๆ ยกมือขึ้น ใครดีมากกว่าครึ่งยกมือขึ้น ใครดีน้อยกว่าครึ่งยกมือขึ้น ใครยังไม่รู้ว่าตนเองเป็นอย่างไรเลยยกมือขึ้น เรายังไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วเราเองดีกี่เปอร์เซ็นต์ใช่หรือเปล่า (ใช่) พอดีว่าจิตใจครึ่งหนึ่งของเราดีและอีกครึ่งหนึ่งไม่ดี ใช่หรือเปล่า (ใช่) เผอิญคนเขามองมาตรงที่ไม่ดี ตรงข้างที่เป็นสีดำพอดีเลยจะเป็นอย่างไร สมมติว่าแอปเปิลลูกนี้ครึ่งหนึ่งเป็นสีขาวอีกครึ่งหนึ่งเป็นสีดำ นี่เป็นใจเราใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะเราเป็นประเภทดีครึ่งไม่ดีครึ่งใช่ไหม ข้างนี้เป็นสีดำเผอิญว่าคนที่เขามองๆ ได้กี่ด้าน มีด้านหน้าและมีด้านหลังใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์ถึงมีคำกล่าวว่ารู้หน้าไม่รู้ใจใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นเวลาเขามองมา พอดีมาเจอกับข้างสีขาวของเรา เราก็เป็นคนดีใช่หรือเปล่า (ใช่) เผอิญมองมาเจอข้างสีดำของเรา เราก็เป็นคนอะไร (ไม่ดี) แล้วถามว่าการที่เป็นคนดีครึ่ง ไม่ดีครึ่งดีไหม (ไม่ดี) เพราะฉะนั้นจะต้องทำอย่างไร ต้องดีให้หมด หรือเอาไม่ดีให้หมด จึงต้องรู้จักที่จะดีให้หมดใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากเราเป็นคนดีมากเกินไป เราถูกเอาเปรียบ กลัวเสียเปรียบไหม มีคำพูดหนึ่งบอกว่า ถ้าหากว่าถูกเอาเปรียบจะเป็นคนมีวาสนา เป็นคนที่ถูกคนอื่นเอาเปรียบเป็นคนมีวาสนา ส่วนคนที่ไปเอาเปรียบคนอื่นเป็นคนที่อับโชค เชื่อหรือเปล่า ถามว่าเขามองหน้าเรา ถ้าหากว่าเราฉลาดกว่าเขา เขาอยากจะยุ่งกับเราไหม ไม่อยากใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ถ้าหากเราโง่กว่าเขา เราให้เขาใช้ เขาอยากจะคบกับเราไหม เพราะฉะนั้นเป็นคนโง่หรือเป็นคนฉลาดดีกว่ากัน เวลาเราคบคนๆ หนึ่ง เราอยากให้เขาฉลาดกว่าเราไหม (ไม่อยาก) เราอยากที่จะเอาเปรียบเขาใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้ก็คือเอาจิตใจด้านที่เป็นสีดำมาตอบถูกหรือเปล่า แปลว่าชอบเปรียบเทียบใช่หรือเปล่า (ใช่) ในที่สุดต้องมีคนมากกว่าใช่ไหม อยู่ด้วยกันเฉยๆ ไม่เคยที่จะร่วมงานกันก็ไม่เป็นไร แต่หากว่าวันหนึ่งเขาเรียกเราไปใช้ เราไป วันหนึ่งเราเชิญเขามาช่วยเรา เขาไม่มารู้สึกอย่างไร เราก็รู้สึกไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่) ถามว่าเรานั้นถูกเอาเปรียบ เราเป็นคนมีโชคลาภวาสนาไม่ดีหรือ (ดี) ใครๆ ก็ชอบเราใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าจะต้องเป็นคนที่รู้จักที่จะยอมเหนื่อยหน่อยใช่หรือไม่ (ใช่) เหนื่อยกลัวไหม (ไม่กลัว) ถ้าไม่กลัวเหนื่อยก็จะไม่กลัวถูกเอาเปรียบใช่หรือไม่ (ใช่) การถูกเอาเปรียบนั้นแท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่ดีเพราะว่าคนเขาจะชอบเรา เพราะว่าเรานั้นโง่กว่าเขา คนโง่ประเภทนี้เป็นผู้มีปัญญา ปัญญาและความโง่ต่างกันตรงไหน หากว่าเรานั้นเป็นผู้ที่มีความโง่แต่มีปัญญาเอาไหม หากเราเป็นคนฉลาดแล้วไม่มีใครรักชอบเราสักคนเลยเอาไหม (ไม่เอา) ทุกวันนี้เรานั้นมีคนรักชอบเราเยอะไหม รักคนอื่นกับรักตัวเองรักอะไรมากกว่ากัน (ตัวเอง) แสดงว่าเรานั้นยังไม่พร้อมที่จะเป็นคนดีที่แท้จริงใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะว่าเรายังรักตนเองมากกว่า การที่เรานั้นรู้จักที่ยอมให้คนอื่นเอาเปรียบเรานิดๆ หน่อยๆ แล้วสามารถที่จะให้คนอื่นนั้นรักชอบเราหมดนั้นดีกว่าไหม (ดี) เพราะว่าการที่คนอื่นรักชอบเรานั้นเป็นสิ่งที่ใช้เงินทองซื้อไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตของเรานั้นเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ที่มาใช้ชีวิตร่วมกัน การที่เราใช้อารมณ์นำพาเรื่องราวต่างๆ ไปเป็นสิ่งที่ดีไหม (ไม่ดี) แต่จนแล้วจนรอดใจเราก็เป็นคนขี้โมโหใช่หรือไม่ (ใช่) อากาศร้อนๆ อย่างนี้แต่อะไรร้อนกว่า (ใจ) เพราะฉะนั้นมีสิ่งหนึ่งที่สามารถดับใจที่ร้อนนี้ได้คืออะไร ก็คือปัญญาใช่หรือไม่ (ใช่) เราใจร้อนเพราะว่าเราไม่ชอบที่จะให้คนอื่นเอาเปรียบเรา เราก็เกิดความรู้สึกใจร้อน กลัวจะเสียเปรียบ คนอื่นเขาจะเอาเปรียบเราแล้วเรารู้สึกทนไม่ได้ แต่ถามว่าหากว่าเรามีปัญญาสักนิดก็จะรู้ว่าการที่เราถูกคนอื่นเอาเปรียบนั้นเป็นสิ่งที่เรียกว่าเป็นผู้ที่มีปัญญาใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะว่าเขาเอาเปรียบเราอย่างมากได้อะไร ได้เงินถูกหรือเปล่า เงินทองสำคัญที่สุดเลยหรือในการเกิดเป็นคน อะไรๆ ก็ไม่สำคัญ จะได้รับบาดเจ็บบ้างก็ไม่เป็นไรอย่าให้เสียเงินทองใช่หรือเปล่า (ใช่) หลายคนคิดอย่างนี้แต่ไม่ใช่ทุกคน จะบอกให้ฟังว่าเงินทองเป็นของนอกกาย เสียแล้วหาใหม่ได้หรือเปล่า (ได้) เสียมากหน่อยได้หรือเปล่า มีใครเขามาเอาเปรียบเราน้อยๆ ไหม เวลาเขาคิดจะเอาเปรียบเรา เขาเอาจนเขาพอใจใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นอาจารย์พูดวันนี้ถ้าหากกลับออกไปแล้วโดนเอาเปรียบ เขาเอาเงินไป ทำอย่างไรดี ยิ้มได้ไหม ต้องยิ้มได้ใช่หรือไม่ (ใช่) เขาทำให้เราเหนื่อยแต่เรากลัวเหนื่อยไหม (ไม่กลัว) คนมาเอาเปรียบเราทางไหนได้อีก ทางด้านจิตใจใช่หรือไม่ (ใช่) การถูกเอาเปรียบทางด้านจิตใจเป็นการถูกเอาเปรียบที่มากที่สุด เขามาเอาเปรียบของที่เป็นของๆ เราใช่หรือไม่ (ใช่) มันอยู่ข้างใน ทำอย่างไรดี เพราะว่าหลายๆ คนนั้นยิ่งบำเพ็ญยิ่งรู้สึกว่าคับแค้นใจเหลือเกิน ถูกเอาเปรียบไปหมดเลย ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็เสียเปรียบไปทั่ว จะข้างนอกสถานธรรมจะข้างในสถานธรรม คับแค้นใจเหลือเกินใช่หรือเปล่า (ใช่) จะออกไปทำงานก็ถูกเอาเปรียบ จะไปทำการค้าก็ถูกเอาเปรียบใช่หรือเปล่า (ใช่) ทุกคนคอยเอาเปรียบเราทำอย่างไรดี จิตใจที่ถูกเอารัดเอาเปรียบอันนี้ก็วกกลับมาที่อาจารย์เริ่มต้นพูดเมื่อสักครู่นี้ ขอให้คิดว่าการถูกเอาเปรียบนั้นเป็นวาสนา เพราะจะทำให้คนนั้นรักๆ ชอบๆ เรา เพราะว่าใครที่ถูกรักชอบนั้นเป็นสิ่งที่ ใช้เงินทองซื้อไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ส่วนคนที่คอยที่จะเอาเปรียบคนอื่นนั้น เป็นคนที่จะเกิดภัยแก่ตนเองในไม่ช้า เพราะฉะนั้นเห็นเขาไม่ดีอย่างนั้นแล้ว เราจะไม่ดีตามเขาดีหรือเปล่า (ไม่ดี) เขาไม่ดีอย่างนั้นเราจะต้องไม่ไปเอาเปรียบใครใช่หรือไม่ (ใช่) เรียกว่าเป็นการตัดกรรมของตัวเราเอง รู้จักคำว่ากรรมไหม (รู้) กรรมแปลว่าการกระทำใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกคนมีการกระทำไหม (มี) ทำดีหรือไม่ดี (ทั้งดีและไม่ดี) เป็นคนครึ่งๆ อีกแล้ว ทำดีบ้างทำไม่ดีบ้าง ครึ่งไหนมากกว่า ครึ่งดีมากหรือครึ่งไม่ดีมาก ตนเองทำไม่ดีต้องจำยอมที่จะยกมือขึ้นเพราะว่าเราควรที่จะรับความจริงใช่หรือไม่ (ใช่) เราควรที่จะสำรวจตนว่าเรานั้นเป็นอย่างไร ดีหรือไม่ดี ถ้าบอกว่าเราเป็นคนดีแล้ว ถามว่าดีมากกว่านี้ได้ไหม เรามองไปรอบๆ ยังมีคนดีกว่าเราหรือไม่ (มี) ทำไมเราดีไม่เท่าเขา แล้วหากว่าสวรรค์ขึ้นได้คนเดียวแล้ว บนนั้นจะมีเราไหม (ไม่มี) เพราะเราดีไม่เท่าคนที่เรามองเห็นนั่นแหละ แล้วยังมีคนอีกมากมายที่เรามองไม่เห็นใช่หรือไม่ (ใช่) นี่แค่ตำบลเดียว ถ้าอำเภอทั้งอำเภอ ถ้าจังหวัดทั้งจังหวัด ประเทศทั้งประเทศ แล้วโลกทั้งโลก ถ้าสวรรค์ขึ้นได้คนเดียว คนนั้นใช่เราไหม ถามว่าเราอยากขึ้นสวรรค์หรือลงนรก (ขึ้นสวรรค์) ทำอย่างไรดี (ทำดี) ทำดีสองคำ ทำดีใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนที่ทำไม่ดี คิดอะไรอยู่ ตอนที่ทำไม่ดีก็ไม่รู้ว่าคิดอะไร ถ้าหากว่าทำดีก็เป็นประชากรของสวรรค์ ถ้าหากทำไม่ดีก็เป็นประชากรของอะไร (นรก) ไปไหนดี (สวรรค์) เพราะฉะนั้นตอนนี้บอกว่ากรรมก็คือการกระทำใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ว่าเราจะยกน้ำขึ้นดื่ม ขับรถออกไปข้างนอก พูดจาออกไป หัวกำลังคิดอยู่นี่ ทุกอย่างเป็นการกระทำใช่หรือไม่ (ใช่) เอื้อมมือไปหยิบพัดลม นั่งเก้าอี้ลงไป ทุกอย่างคือการกระทำใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นทุกคนมีกรรมใช่หรือเปล่า (ใช่) อย่าพูดถึงกรรมในอดีตชาติ กรรมในอดีตชาติไกลตัวศิษย์ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่ากรรมปัจจุบันเยอะไหม กรรมก็คือการกระทำใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นกรรมในปัจจุบันเยอะไหม (เยอะ) ตั้งแต่เล็กจนโตการกระทำเยอะไหม (เยอะ) ถามว่าการกระทำขณะไหนที่เป็นการกระทำชั่ว การเบียดเบียนผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่) การเบียดเบียนผู้อื่นเป็นการกระทำชั่ว ส่วนการช่วยเหลือผู้อื่นเป็นการ (กระทำดี) ชีวิตนี้อย่าพูดถึงว่า เรานั้นไปเบียดเบียนผู้อื่นกี่ครั้ง จำไม่ได้แล้ว แต่ถามว่าเราช่วยเหลือผู้อื่นกี่ครั้ง ยังพอจำได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) ยังพอจำได้ว่าเราไปช่วยคนอื่นกี่ครั้ง แสดงว่าการทำดีของเรามันน้อยกว่าการกระทำชั่วใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นตอนนี้ตัดสินได้ว่า ศิษย์ทั้งหลายเป็นคนดี หรือยังเป็นคนที่ยังไม่ดี (ไม่ดี) ตอนนี้จึงตัดสินได้ว่าเรานั้น ยังไม่ดีเท่าไหร่ ก็อย่าหลงตัวเองว่าเรานั้นดีมาก แต่ให้คิดพิจารณาสำรวจกลับไปภายในแล้วคิดว่าเรานั้นจะทำให้ดีมากกว่านี้เท่าไหร่ใช่หรือไม่ (ใช่)
อดีต ปัจจุบันและอนาคตแก้ไขได้ไหม (ได้) ยังมีคนส่ายหน้า อนาคตเป็นเรื่องของวันข้างหน้า แม้ว่ายังไม่เจอ แต่ก็อยากรู้ใช่หรือไม่ (ใช่) ถามว่าอยากรู้มากๆ มองที่ไหนดี ไปให้หมอดูมองดีไหม แบมือให้เขา แล้วก็ให้เขามองๆ มองแล้วเขาก็บอกว่าเราเป็นอย่างไร ถามว่าหมอดูดูแม่นไหม (ไม่แม่น) ไม่มีทางรู้ได้ว่าเขาแม่นหรือเปล่า ถ้าอนาคตยังไม่เกิดใช่หรือไม่ (ใช่) ส่วนว่าหมอดูดูแม่นไหม ไม่ต้องสนใจดีกว่า มาสนใจว่า อยากรู้อนาคตก็ดูที่ปัจจุบันใช่หรือไม่ (ใช่) ปัจจุบันเป็นตัวกำหนดอนาคต ส่วนอดีตกำหนดที่ไหน (ปัจจุบัน) อดีตก็มากำหนดปัจจุบัน ปัจจุบันไปกำหนดอนาคต
มีมนุษย์เป็นคนที่เป็นมนุษย์เป็นปุถุชน คนธรรมดาหลายคนคิดว่าต่อไปอยากจะรวย คิดไหม (คิด) ไม่มีใครอยากจนใช่หรือไม่ (ใช่) อยากจะรวยทำอย่างไร ต้องขยันขันแข็ง ต้องซื่อสัตย์ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่คดโกงให้เป็นเรื่องทุกข์กังวลทีหลัง จึงจะร่ำรวยอย่างมีความสุขใช่หรือเปล่า (ใช่) ถามว่ามนุษย์มุ่งหมายที่จะอยากได้ทรัพย์สินเงินทอง โชค ลาภ วาสนา ตำแหน่ง นี่คือความหวังของคนธรรมดาทั่วไป แต่สำหรับคนอีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่าผู้บำเพ็ญ ควรจะมุ่งหวังอะไรอยู่หน้าๆ แต่ว่าไม่มาเป็นอันดับหนึ่ง คำนี้ใช้ได้กับศิษย์ทุกคน เพราะฉะนั้นการที่จะดูว่าใครมาเป็นอันดับหนึ่ง ต้องวัดที่ระยะทางของการเดินทางไปถึงว่าใครนั้นจะมีใจอดทน แม้จะเหนื่อยเมื่อยล้า ถามว่าใครวิ่งแซงไปข้างหน้า วัดว่าอะไรอีกระยะทางก็ดี ความตั้งใจก็ดี ทุกอย่างจะบอกได้ว่า วันสุดท้ายดูว่าใครนั้นไปถึงไหนมีเวลาเท่าๆ กัน ชีวิตหนึ่งเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตหนึ่งนี้วิ่งไปถึงไหนมีเวลาเท่าๆ กัน ดูว่าจะสามารถใช้ได้อย่างมีคุณค่าหรือเปล่า การที่ศิษย์ของอาจารย์อยากที่จะบอกว่าชีวิตนี้มุ่งหวังอะไร การจะมุ่งหวังเป็นคนทั้งชาติ ไม่ต้องมุ่งหวังก็เป็นอยู่แล้ว อยากจะร่ำรวย ก็ให้ขยันขันแข็ง ไม่มิจฉาใช่หรือไม่ (ใช่) ทำตนเป็นสัมมา ถ้าหากว่าเรานั้นควรจะได้ ทุกอย่างก็จะได้อยู่ในมือเรา แต่ถามว่าถ้าเราอยากที่จะเป็นเหนือมากกว่านั้น ไม่ใช่ว่าชีวิตนี้จบลงเป็นปุถุชนทั้งชาติเลย พอไหม คนร่ำรวยมีทุกข์ไหม (มี) ศิษย์ของอาจารย์มีทุกข์ไหม (มี) เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรจะหามากกว่ากันคือความหลุดพ้นใช่หรือไม่ (ใช่) หลุดพ้นไปจากทะเลทุกข์อันนี้ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้ คนที่อยากหลุดพ้นนั้นร่ำรวยได้ไหม (ได้) นี่เป็นความคิดประเภทจับปลาสองมือ ถามว่าปลาสองมือจับลงไปแล้ว ข้างหนึ่งก็ดิ้นข้างหนึ่งก็ดิ้น เอาข้างไหนดี ปลาข้างหนึ่งบอกว่ารวยๆ ปลาอีกข้างหนึ่งบอกว่าหลุดพ้นๆ เอาปลาข้างไหน (ข้างหลุดพ้น) หลุดพ้นยังมองไม่เห็น รวยนี้ถ้าจับไว้อยู่รวยเลย และแล้วความคิดที่จำเป็นที่จะต้องเลือก โดนขัดเกลาโดนหล่อหลอม โดนทดสอบ ในที่สุดแล้วทุกคนก็เลือกไปจับข้างรวยใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะคิดแต่ว่าเรานั้นคงจะหลุดพ้นไม่ได้ ในที่สุดแล้วรวย แต่ว่ารวยเป็นวงเวียนว่ายตายเกิดแล้วไม่รู้จักจบสิ้น เพราะฉะนั้นคนที่อยากที่จะหลุดพ้นนั้น จึงต้องเป็นผู้ที่รู้จักพอ เพราะการที่รู้จักพอจึงมีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่บอกว่ารวยแล้วก็รวยกว่าตอนนี้เท่านั้นเอง ไม่เห็นรวยกว่าคนนั้นใช่หรือไม่ ก็ปีนขึ้นไปสูงอีก หาทรัพย์สินเงินทองมากขึ้นกว่าเดิม เสร็จแล้วพอขึ้นไปประมาณกลางภูเขา ก็เห็นที่ยอดภูเขายังมีคนที่รวยกว่ากัน ใช่หรือไม่ (ใช่) พอไปถึงยอดภูเขาเสร็จแล้ว ถามว่ารวยที่สุด (ไม่) ก็อาจจะมองขึ้นไปเห็นอะไรอีก เครื่องบินมาคนที่นั่งอยู่บนเครื่องบินคงจะรวยกว่าเรา ขึ้นไปอยู่บนเครื่องบินเห็นที่ไหนอีก มองไปเหลือบไปเห็นพระอาทิตย์ยังสูงกว่าเราอีก ขึ้นไปอีกเป็นอย่างไร รวยที่สุดไหม ในระยะทางของความร่ำรวย เสาะหาดิ้นรนก่อนที่จะไปถึงที่สุดของที่สุด ศิษย์ก็ล่วงหล่นเพราะว่าทนความสูงไม่ไหวใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าชีวิตนี้ดังคนที่รู้จักพอมีความสุขที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) มีเงินอยู่แค่หนึ่งพันในกระเป๋า เดือนทั้งเดือนใช้เงินพันบาทเท่านั้นเอง มีความสุขได้ไหม ในขณะที่อีกคนหนึ่งมีเงินติดกระเป๋าถึงหมื่นบาทต่อวัน แต่ทุกวันก็ใช้หมดเลย ใช้ไปโน่น ใช้ไปนี่ ใช้ไปนั่น ในที่สุดแล้วมีหมื่นบาททุกวันไม่เห็นพอใช้สักทีนึง กับอีกคนมีแค่พันบาทแต่ใช้ได้ทั้งเดือน คนไหนรวยกว่ากัน คนที่มีพันบาทก็จะรวยกว่าใช่หรือไม่ (ใช่) อยากรวยหรือไม่อยากรวย
“คนพาลชอบโทษคนไม่โทษตน บัณฑิตชอบสำรวจตนไม่โทษคน”
ใช่หรือเปล่า ถามว่าตอนนี้เราได้ชื่อว่าเป็นคนพาลหรือเป็นบัณฑิต “คนพาลชอบขอคนไม่ขอใจ บัณฑิตชอบขอตนไซร้ไม่ขอคน” เราคือจี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รู้จักไหม (รู้จัก) เป็นศิษย์เราจี้กงสงฆ์วิปลาส ดีหรือเปล่า (ดี) อาจารย์วิปลาสได้ ศิษย์ห้ามวิปลาสเพราะว่าอาจารย์วิปลาสนั้น วิปลาสไปช่วยคน เห็นคนมาโขกหัวเขกหัว เตะ ตี ด่าทออย่างไรอาจารย์ไม่สน แต่ของศิษย์วิปลาสอย่างไร ใครมาเตะ ตี ด่าทอก็โกรธ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เหมือนกับปีศาจร้าย วิปลาสจากคนไปเป็นปีศาจ ดีหรือเปล่า (ไม่ดี) เพราะฉะนั้นอาจารย์วิปลาสได้ ศิษย์ห้ามวิปลาสต้องเป็นพุทธะเข้าไว้ ดีหรือไม่ (ดี) คนจะเตะ ด่าทอว่าอย่างไร ก็ยิ้มเข้าไว้ รอยยิ้มทำง่ายไหม รอยยิ้มบนหน้าทำง่าย แต่รอยยิ้มที่ใจทำยากใช่หรือไม่ ถ้าหากว่าหน้ายิ้มแล้วใจไม่ยิ้ม เขาเรียกว่าเสแสร้งใช่หรือไม่ (ใช่) เสแสร้งแกล้งทำ เพราะฉะนั้นเราเป็นพุทธะเสแสร้งได้ไหม เพราะฉะนั้นเวลาที่คนเขามาว่าเรา มาทำร้ายเรา ต้องทำอย่างไรดี ต้องรู้จักยิ้มจากใจ ยิ้มจริงใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราดีข้างนอก เราก็ต้องดีข้างในด้วย ไม่ใช่ว่าดีเฉพาะข้างนอก หรืออาจจะดีเฉพาะข้างใน ข้างในคนไม่เห็นไม่เป็นไร ค่อยๆ ขัดก็ได้ ได้ไหม ไม่ได้ ข้างในคนมองไม่เห็น แต่ใครเห็น (ตัวเอง) ถามว่าสิ่งที่ตัวเราเห็นกับคนอื่นเห็น อะไรชัดกว่ากัน (ตัวเรา) สิ่งที่ตัวเราเห็นมันชัดเจนมาก ทนเห็นอยู่ทุกวันได้ไหม ทนมองความไม่ดีของตนเองอยู่ทุกวันได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าไม่ได้ใครที่ยังไม่เคยสำรวจตน ก็กลับไปสำรวจไปมองตน แล้วก็ดูว่าเราจะแก้ไขอะไรดี ดีหรือไม่ (ดี) บางคนอยากจะแก้ไขมันมากมายจนไม่รู้จะแก้อะไรก่อนใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้น รู้จักแก้จากที่ง่ายๆ ไปสู่ที่ยาก ตัวเราจะได้มีกำลังใจ ใช่หรือไม่ใช่
อยู่ในสภาพที่ร้อนๆ เช่นนี้จิตใจของเราต้องทำให้เย็นให้ได้ เราเย็นด้วยความรู้สึกตั้งใจ รู้สึกว่าสิ่งที่เราฟังนั้นจะเก็บกลับไปปฏิบัติ ใจของเราก็จะเย็นลงได้ แต่ถ้าบอกว่าอะไรก็ไม่รู้ ธรรมะอะไรก็ไม่รู้ เราก็จะไม่ได้อะไรเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) นั่งไปสองวันเหมือนไม่นั่ง ฉะนั้นเราต้องนั่งสองวันนี้ให้เหมือนเราได้นั่ง แล้วต้องได้นั่งเก้าอี้เซียนด้วย การที่จะได้นั่งเก้าอี้เซียนนั้นจะต้องทำอย่างไร เก้าอี้อันนี้ก็เป็นเก้าอี้ธรรมดาๆ แต่เก้าอี้จะเป็นเก้าอี้เซียนได้ก็คือตัวของผู้นั่งนั้นเป็นเซียน เป็นเซียนด้วยใจที่อิสระ เป็นเซียนด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น เป็นเซียนด้วยจิตใจที่มุ่งหมายจะช่วยคนใช่หรือเปล่า (ใช่) หากว่าจิตใจของเรานั้นไม่มีจิตใจที่ดีงาม ถามว่าเราจะเป็นเซียนได้ไหม (ไม่ได้) แต่ถ้าหากว่าจิตใจของเราดีงามเป็นเซียน ต่อไปหากเรากลับไปนั่งเก้าอี้ที่บ้านก็เป็นเก้าอี้เซียนเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ว่าเราไปนั่งเก้าอี้ตามที่สาธารณะ ก็เป็นเซียนใช่หรือเปล่า (ใช่) เอาความเป็นเซียนออกมาจากเก้าอี้แล้วเอามาใส่ที่ไหน (ใส่ที่ตัวเรา) การที่จะบอกว่าเก้าอี้นั้นเป็นเก้าอี้เซียน เก้าอี้นั้นเป็นเก้าอี้เซียนได้อย่างไร มีแต่ตัวเราเท่านั้นที่เป็นเซียนใช่หรือไม่ (ใช่) การที่เราเป็นเซียนนั้นต้องผ่านการฝึกฝนต่างๆ นานา ต้องผ่านความยากลำบากต้องเป็นผู้ที่เคยช่วยคนมาก่อน จึงจะได้ชื่อว่าเป็นเซียนใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าทุกวันก็อยู่บ้านดูทีวี นอนสบายกินข้าวอิ่มอร่อย ถามว่าวันนี้เป็นเซียนไหม ใครจะเรียกเราเป็นเซียน ไม่มีใครมาเรียกเราเป็นเซียนใช่หรือไม่ (ใช่) เราอยากเป็นเซียนไหม (อยาก) อยากเป็นเซียนต้องทำอย่างไร (ช่วยเหลือเวไนย) การจะเป็นเซียนได้ต้องรู้จักที่จะช่วยคนอื่น เซียนบนฟ้าสำคัญไหม (ไม่สำคัญ) เซียนบนฟ้าช่วยอะไรศิษย์ได้ ศิษย์ก็มองไม่เห็นใช่หรือไม่ (ใช่) มีแต่ทำตัวเราให้เป็นเซียนแล้วไปช่วยคนอื่นให้เห็นๆ จึงจะมีค่าและสำคัญที่สุดใช่หรือเปล่า (ใช่) จะบอกว่าเซียนบนฟ้าสำคัญไหม ต่อให้คนเรียกอาจารย์เป็นเซียน ถามว่าอาจารย์จี้กงสำคัญไหม ไม่สำคัญเลย คนสำคัญที่จะเป็นเซียนก็คือตัวเราเอง มีแต่ตัวเราเองเท่านั้นที่สำคัญใช่หรือไม่ (ใช่) เราช่วยคนหนึ่งคนได้คนคนนี้ก็จะเรียกเราเป็นเซียน ถ้าเราช่วยคนสองคนได้ สองคนนี้คงจะนับถือเราเป็นเซียน ถ้าเราช่วยคนสามคนได้ สามคนนี้ก็คงจะเรียกเราเป็นเซียนใช่หรือเปล่า (ใช่) และถามว่าอยากจะเป็นเซียนบนฟ้าให้คนเขาปักธูปให้เรา ให้คนเขาบูชา ให้คนเขายกย่อง ให้คนเขาเดินตามจะช่วยคนกี่คนดี (ช่วยคนทุกคนทั้งโลก, สุดกำลัง) คำว่าสุดกำลังเต็มความสามารถเท่าที่จะช่วยได้สิ่งนี้พูดง่ายไหม (ง่าย) แต่เมื่อเป็นการกระทำแล้วยากใช่หรือเปล่า (ใช่) ยากเพราะเวลาเราพูดเราพูดได้ แต่เวลาที่เราลงมือไปทำนั้นเราไม่สามารถทำสุดกำลังได้เช่นนั้น เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่อยากจะยากลำบากต้องรู้จักทำให้ได้อย่างที่เราพูดใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาไปช่วยคนอื่นต้องลืมความยากลำบากของตัวเองใช่หรือเปล่า (ใช่) ลืมว่าเรานั้นเป็นคนที่มีอัตตา ต้องลืมอัตตาตัวนี้ เพราะอัตตานี้ทำให้คนนั้นลำบาก ทิฐิ ทำให้คนนั้นไม่สามารถที่จะเปิดใจกว้างได้ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกับศิษย์ของอาจารย์บางคนที่ตอนนี้นั่งอยู่ที่นี่ ถ้าหากว่าศิษย์นั้นมีทิฐิในใจบอกว่านี่คือสิ่งแปลกใหม่ พอเข้าหูซ้ายก็ออกไปหูขวา พอกลับไปบ้านก็ลืมหมด เมื่อลืมแล้วก็ย่อมจะทำไม่ได้ แต่ถ้าหากว่าฟังที่อาจารย์พูดจริงๆ หรือว่าฟังที่อาจารย์บรรยายธรรมทั้งหมดบรรยายมา ศิษย์ก็จะรู้ได้ว่าสิ่งที่อาจารย์พูดนั้นแค่ต้องการให้ศิษย์นั้นเป็นพุทธะเท่านั้น ถ้าหากว่าศิษย์นั้นทำตามและสามารถกลับไปเป็นพุทธะได้ ต่อให้ไม่ต้องทำตามที่อาจารย์พูดเลยก็ได้ สิ่งที่สำคัญในยามนี้ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทองที่ศิษย์นั้นอยากจะได้ แต่สิ่งที่สำคัญในยามนี้คือชีวิตจิตญาณของตัวเองที่เรานั้นเอาตัวไม่รอด เหมือนเรานั้นถูกกรงนั้นขังไว้ไม่มีอิสระในการที่จะทำสิ่งใด เหมือนกับเวลาที่เรานั้นอยากจะไปเที่ยว ไปคนเดียวได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าเราหนีเที่ยวเดี๋ยวภรรยาที่บ้านก็จะว่าเอาใช่หรือไม่ (ใช่) นี่ก็คือความอิสระ ความไม่อิสระที่อยู่ภายนอก แต่ความไม่อิสระที่อยู่ภายใน ถูกกักขังไว้ด้วยสิ่งใด สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ศิษย์นั้นค่อยๆ สั่งสมขึ้นมาเรียกว่ากิเลส กิเลสอันนี้ทำให้เราไม่เป็นอิสระใช่หรือไม่ (ใช่) ความไม่รู้จักพอทำให้เหมือนกับการที่จะปล่อยนกตัวหนึ่งบินขึ้นไปบนฟ้า และเอาเงินทองมามัดขาไว้จะบินขึ้นไหม (ไม่ขึ้น) มัดมากเท่าไหร่ก็หนักมากเท่านั้นใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้ศิษย์ก็เหมือนนกตัวนี้อยากจะบินขึ้นแต่ว่าไม่สามารถจะบินขึ้นไปสูงได้ เพราะว่าเรานั้น ติดลาภยศเงินทอง กิเลสตัณหา อารมณ์ทั้งหลาย มากไหม (มาก) ถามว่าอารมณ์ของใคร ใครจะมาขจัดได้ (ตัวเราเอง) ตัวเราเท่านั้นที่จะขจัดตัวเราเองได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตอนนี้อาจารย์ถึงบอกว่าไม่ได้ต้องการให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นทำสิ่งใด นอกจากการมาบำเพ็ญ บำเพ็ญอย่างไร ก็คือการขัดเกลากิเลสที่อยู่ภายในใช่หรือไม่ (ใช่) มีภายในต้องมีอะไรด้วย (ภายนอก) เมื่อภายในจัดการขัดเกลากิเลส ภายนอกทำอะไร (การกระทำ, การให้ทาน) เราต้องแน่ใจ ต้องมั่นใจในสิ่งที่เรามาศึกษา ต้องตั้งใจศึกษาให้เข้าใจ และเมื่อแน่ใจก็จงบำเพ็ญไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ แล้วก็จะได้รับผลที่แท้จริงดีหรือไม่ ทางทุกเส้นกลับเบื้องบนได้หมด อย่าบอกว่าธรรมะของเราดีที่สุด เพราะถ้าเรามาบำเพ็ญที่สถานธรรม บำเพ็ญอนุตตรธรรม แล้วไม่ตั้งใจบำเพ็ญจริงๆ ก็ไม่มีทางกลับขึ้นฟ้าได้ ในทางกลับกัน ถ้าหากคนที่ตั้งใจบำเพ็ญธรรมะ เหมือนในสมัยโบราณอย่างที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ให้มา เราสามารถกลับคืนขึ้นฟ้าได้ ถามว่าทางไหนดีกว่ากัน ก็ย่อมเป็นทางที่ตั้งแต่โบราณมีใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นทางทุกๆ เส้นที่อยู่บนโลกนี้เป็นเหมือนสายทอง เป็นเหมือนถนนที่สามารถกลับเบื้องบนได้ทั้งนั้น อยู่ที่ว่าใครตั้งใจบำเพ็ญทางไหน แต่อาจารย์ก็หวังอย่างยิ่งว่า ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนที่เข้ามาในสถานธรรมที่ได้เป็นลูกศิษย์อาจารย์แล้ว ก็จงตั้งใจบำเพ็ญให้ดี เพื่อที่เรานั้นจะได้กลับคืนเบื้องบนใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อศิษย์อยู่แห่งใด หากว่าอาจารย์บอกให้ศิษย์ทำสิ่งใด เช่น มาที่นี่อาจารย์บอกศิษย์ว่าภายในตัดกิเลส ภายนอกลงมือปฏิบัติ ถามว่าถ้าศิษย์ไม่ทำตามจะสำเร็จไหม (ไม่สำเร็จ) อาจารย์ย่อมไม่เสียดายที่จะให้ศิษย์คนนี้ที่จะไปบำเพ็ญทางอื่น ขอให้วันหนึ่งศิษย์ของอาจารย์นั้นสำเร็จเป็นพุทธะเหมือนๆ กันย่อมดีใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จริงๆ แล้วในโลกมนุษย์นั้นมีอีกหลายๆ คนที่ไม่ยอมจะเดินเลยยังหยุดอยู่ จอดอยู่ นิ่งอยู่ในโลกีย์อันนี้ โดยที่ไม่ยอมบำเพ็ญธรรม ไม่ยอมแสวงหาสัจธรรม ไม่ยอมทำตนให้เป็นคนดีอย่างแท้จริง ถามว่าคนๆ นี้สู้ให้เขาขึ้นเรือธรรมะมาย่อมดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเวลาที่ศิษย์มาที่นี่ก็จงอ่อนน้อมถ่อมตน อ่อนน้อมถ่อมใจ ไม่ว่าเจอใครจะเด็กกว่า ผู้ใหญ่กว่า จะเป็นคนที่ดีหรือไม่ดี ขอให้ศิษย์ดีเข้าไว้ ดีเพื่อใช้ความดีของเรานั้นไปกล่อมเกลาผู้อื่นได้ เวลาที่ศิษย์นั้นเข้าไปอยู่ในสังคมของคนที่ไม่ดีมากๆ เห็นคนอื่นเขาทำไม่ดีแล้วได้ดี เรารู้สึกอย่างไร อย่างนี้เราก็ทำไม่ดีเหมือนเขาดีไหม (ไม่ดี) แต่ในที่สุดแล้วเวลาไปอยู่กับคนอย่างนี้จริงเป็นร้อยเป็นพันคน เราก็รู้สึกว่าเราทนไม่ได้ที่จะทำตัวเป็นคนดีอยู่คนเดียวใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกันกับภายนอกก็คือสังคมของคนที่อาจจะดีบ้างและไม่ดีบ้าง แล้วคนส่วนใหญ่หันด้านมืดเข้าหากัน ฉะนั้นมาในสถานธรรมขอให้ทุกๆ คนหันด้านขาวเข้าหากัน ช่วยลบล้างสิ่งที่เป็นความไม่ดีของตนเองไปโดยไว ในที่สุดแล้วทุกคนที่เข้ามาในสถานธรรมก็หันด้านขาวเข้ามาช่วยกันขัดเกลา กล่อมเกลา ในที่สุดแล้วสังคมของคนดีก็จะเปลี่ยนแปลงคนไม่ดีได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ถามว่าเป็นสิ่งที่ดีไหม (ดี) ในที่สุดความดีนั้นก็จะช่วยลบล้างความไม่ดีของผู้อื่นไปได้ จำเป็นไหมที่เราจะต้องใช้ปากไปพูด (ไม่จำเป็น) เวลาคนอื่นพูดมาเราฟังไหม (ฟัง) เชื่อไหม เวลาคนอื่นพูดมาเราไม่ค่อยเชื่อเขา แล้วเวลาเราพูดไปคนอื่นจะเชื่อเราไหม (ไม่เชื่อ) เขาก็ไม่เชื่อเรา เพราะฉะนั้นการที่จะเปลี่ยนแปลงคนอื่นโดยใช้ปากของเราพูดเฉยๆ เป็นไปไม่ได้ นอกจากว่า ตลอดมาเราเป็นผู้ที่รักษาสัจจะเป็นหนึ่ง เป็นแบบอย่างที่ดีเช่นนี้ ถ้าเราพูดก็จะมีคนฟัง มีคนเชื่อ และคล้อยตามในที่สุด แต่ในขณะนี้ศิษย์ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นผู้รักษาสัจจะ ยังเป็นคนที่บำเพ็ญดีครึ่งไม่ดีครึ่ง เพราะฉะนั้นตอนนี้ให้ใช้การกระทำที่ดีของเราช่วยขัดเกลาผู้อื่น ปากเราต้องไม่เผลอพูดในสิ่งที่ไม่ดี ความคิดของเราต้องไม่เผลอคิดในสิ่งที่ไม่ดี การกระทำของเราต้องไม่เผลอกระทำในสิ่งที่ไม่ดี เวลาที่สมองคิดไวไหม (ไว) แต่เราต้องไวกว่าความคิดของเราเอง ความคิดของเรานั้นถามว่าแค่คิด สมมติว่าคนนี้คิดจะไปฆ่าคน มีอยู่สามระดับ ตอนแรกคิดก่อน ตอนที่สองพูด พูดกับตนเองพูดกับคนอื่น พูดไปๆ จนในที่สุดแล้วกลายเป็นการกระทำเช่นนี้ก็ถือว่าบาปตั้งแต่ตอนคิดเลยใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ใช่บาปตอนที่เราไปทำ แต่บาปตั้งแต่เราเริ่มต้นคิด แต่ศิษย์ของอาจารย์ไม่เลวร้ายขนาดไปฆ่าคนตาย แค่ทำร้ายคน บางคนทำร้ายคนด้วยการกระทำ บางคนทำร้ายคนด้วยคำพูด ถามว่าคำพูดที่ทิ่มแทงกับเอามีดมาเฉือนเลย อันไหนแรงกว่ากัน (คำพูด) คำพูดแรงกว่าอีก เคยทำไหม บางคนบอกเคย บางคนบอกไม่เคย ถ้าหากว่าเราเคย ถามว่าสักวันหนึ่งคนอื่นมาทำกับเราได้ไหม เวลาที่คนอื่นมาพูดทิ่มแทงเรา เราต้องขอบคุณเขาเพราะอะไร อย่างแรก ทำให้เราได้ล้างหนี้ เราเคยติดหนี้คนอื่น เราไปว่าคนอื่น เวลาคนอื่นเขาว่าเรา ต้องขอบคุณที่ได้ล้างหนี้ไปแล้ว ใช่หรือไม่ อย่างที่สอง ทำให้เรานั้นได้เห็นตัวเอง คนอื่นมาว่าเราน่าเกลียดไหม (น่าเกลียด) เวลาเขาจะว่าคน เวลาเขาทำหน้า เวลาเขาแสดงสีหน้า แววตา ก็ไม่น่าดู เวลาเราว่าคนอื่นก็เป็นอย่างนี้ เวลาเราว่าคนอื่นหน้าตาก็ไม่น่าดูอย่างนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเราจะทำหน้าให้เป็นพุทธะหรือหน้ายับยู่ยี่ดี (หน้าพุทธะ) หน้าพุทธะเป็นอย่างไร (ยิ้ม) หน้าพุทธะยิ้มหรือไม่ก็ดูสงบ แต่หน้าเวลาที่เราอยากจะว่าคนมันดูยับ เหมือนกับผ้าที่ยับ เหมือนเราเอากระดาษมายับๆ แล้วก็เอามาวางไว้บนหน้าเรา หน้าเราก็ยับแบบนั้นใช่หรือไม่ (ใช่) ตา จมูกกับปากแทบจะชนกันเลย เพราะฉะนั้นถามว่าเราอยากเป็นใบหน้าพุทธะหรืออยากเป็นใบหน้าของคนที่ยับๆ (พุทธะ) เราต้องรู้จักทำตัวเราให้เป็นใบหน้าของพุทธะ ใช่หรือไม่ (ใช่) ใบหน้าเป็นพุทธะแล้วจิตใจเป็น (พุทธะ) การกระทำเป็น (พุทธะ) เป็นพุทธะง่ายไหม (ยาก) ตอนนี้ที่เราพูดกันอยู่นี่คือสิ่งที่พุทธะทำ แต่ยากเวลาที่เราออกไปข้างนอก เราไม่สามารถที่จะชนะใจของเราเองใช่หรือไม่ (ใช่) ทำไมใจของเราถึงเกเรแบบนี้ ทำไมไม่เชื่อฟังเลย ทำไมถึงเวลาแล้วห้ามความโกรธไม่ได้ ก็เพราะเราไม่เคยพยายามใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาอารมณ์โกรธมาก็เปิดทางให้ความโกรธไปก่อน แล้วเอากรรไกร เอามีดที่ใช้สำหรับตัดความโกรธนั้นโยนทิ้งไปก่อน ทั้งมือทั้งไม้ทั้งเท้าโกรธหมดใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเวลาที่ความโกรธมาต้องทำอย่างไร ในความเป็นจริงแล้วเวลาเราโกรธก็แทบจะไม่ยอมให้ตัวเราเองกั้นเลย คนที่จะกันอยู่ในใจของเราเอง พุทธะองค์นี้ต้องเป็นผู้ที่เข้มแข็งถูกหรือเปล่า (ถูก) ถ้าหากว่าเราไม่ได้ใช้องค์พุทธะในใจเราบ่อยๆ ไม่ให้ท่านช่วยเหลือเราบ่อยๆ นานๆ ให้ท่านออกมาแก้ปัญหาให้เราทีหนึ่ง ถามว่าองค์พุทธะองค์นี้แก้ปัญหาได้ไหม ก็ไม่ได้ ฉะนั้นจึงต้องรู้จักใช้พุทธะในใจของเราบ่อยๆ ถ้าใช้น้อยก็ไม่อาจจะแก้ปัญหาอะไรได้ดี
“คบคนพาลคนพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล” ใช่หรือไม่ (ใช่) ทีนี้ก็มาย้อนดูกลอนนำที่อาจารย์ให้ “คนพาลชอบโทษคน” เวลาที่เราทำอะไรก็แล้วแต่ ถ้าหากวามีความผิดพลาดเกิดขึ้นจะโทษใคร ถ้าหากว่าเราเป็นบัณฑิต เราก็ต้องมาสำรวจตนเองก่อน แต่ถ้าหากว่าเราเป็นคนพาลเราก็ต้องโทษคนอื่นแน่นอน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราไม่เคยผิดเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) บางคนปากไม่โทษแต่ใจโทษ แล้วเวลาที่เราโทษคนอื่น ยิ่งโทษคนอื่นทำไมยิ่งทุกข์ แต่โทษตัวเราเองกับไม่ทุกข์ใช่หรือเปล่า (ใช่) แสดงว่าโดยแท้จริงธรรมชาติของมนุษย์นั้นแม้ว่าจะเป็นความผิดของผู้อื่น ถ้าหากว่าเราได้ร่วมงานกัน จำเป็นจะต้องช่วยกันแบกรับความผิดนั้นขึ้นมา ความคิดต้องคิดในสิ่งที่ดี ไม่ใช่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นมา ยังไม่ทันแน่ชัด ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ เราก็โทษคนอื่นไว้ก่อน แต่คนอื่นก็หลอกได้ หลอกใครว่าเขาผิดก็ทำได้ แต่หลอกใครไม่ได้ (หลอกตัวเอง) หลอกตัวเองไม่ได้เลยว่าจริงๆ แล้วเราก็มีส่วนที่ผิดด้วย เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าเวลาที่เราอยากจะเป็นบัณฑิต เราต้องรู้จักที่หันมาสำรวจตนเอง สำรวจว่าเรานั้นมีความผิดไหม ดีไหม แล้วคนพาลมีอะไรอีก คนพาลชอบขอคน ขอคนในที่นี้คือคนอื่น คนพาลชอบขอคน ไม่ชอบขอตน แต่บัณฑิตชอบขอตนเอง ไม่ขอคนอื่นใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ว่าจะทำกับข้าว ถ้ากินเองก็ต้องรู้จักทำเอง ถ้าหากว่าทำกับข้าวกินแล้วเรายังรอให้คนอื่นมาทำให้เรากิน เราอดไหม เพราะฉะนั้นคนที่เป็นบัณฑิตก็ต้องรู้จักที่จะทำเอง ถูกหรือเปล่า (ถูก) อยากจะให้เขาเอาเก้าอี้มาให้เรานั่ง เราไม่ชอบ เราเป็นคนที่มีลาภยศ มีดาวไว้ที่บ่า เราอยากจะให้คนอื่นยกเก้าอี้มาให้เรานั่ง ถึงเวลาเขาไม่ยกมาให้ แม้จะมีดาวเต็มบ่า ถามว่ามีที่นั่งไหม (ไม่มี) เพราะฉะนั้นต้องขอตัวเราเอง อยากที่จะให้คนอื่นมาเอาอกเอาใจเรา แต่เขาไม่ชอบเราเลย เราก็ต้องหันมาสำรวจตัวเราเอง ดูว่าตัวเราเป็นเช่นไรคนอื่นถึงไม่ชอบเรา ถ้าหากว่าคนอื่นนั้น เขาเกิดความรู้สึกรักใคร่ ยกย่องในตัวเรา เพราะเรามีคุณธรรมอย่างเต็มเปี่ยม ถามว่าเราอยากจะได้เก้าอี้สักตัวหนึ่ง ถ้าเราเข้ามาถึงในบ้าน คนอื่นก็ยกมาทั้งน้ำทั้งเก้าอี้เลยใช่หรือไม่ (ใช่)
มีการขออีกประการหนึ่ง ศิษย์ของอาจารย์หลายคนชอบเล่นหวยเล่นเบอร์ ไปขอเบอร์นี้ แล้วก็ขอเบอร์นี้ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาไปขอพระขอพร ก็ขอให้ครอบครัวเป็นสุขๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ถามว่าครอบครัวเป็นสุขเพราะอะไร ถ้าเราขอให้ครอบครัวเป็นสุข แต่เรากลับไปบ้านขี้บ่นจังเลย เดี๋ยวก็บ่นคนนี้ เดี๋ยวก็บนคนโน้น ถามว่าครอบครัวเป็นสุขไหม (ไม่สุข) ไม่ยอมสุขสักทีเลย แล้วมีอะไรอีก ขอให้ถูกหวย ขอให้ถูกสักทีจะได้รวย ขอให้ถูกหวยจะได้รวย แต่ถามว่ารวยไหม (ไม่รวย) เลขก็มีแค่หนึ่งถึงศูนย์ใช่หรือเปล่า (ใช่) เลขแค่สิบเบอร์เท่านี้ ทำไมซื้อเท่าไรๆ ก็ไม่ถูกสักที จะรวยไหมถ้าเราเอาเงินของเรานั้นออกไปซื้อ รวยไหม (ไม่รวย) ทุกครั้งก็เอาเงินของเราไปซื้อ สู้เก็บเงินที่เราไปซื้อนั้นรวมๆ กันถึงเวลาสิบหกวันก็ออกที ไปเปิดดูทีหนึ่งเงินยังอยู่ครบรวยไหม (รวย) แต่ซื้อกี่ครั้งๆ ก็เอาเงินออกไปหมดเลย ยิ่งซื้อมากเท่าไหร่ก็ยิ่งจนใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเรามาตั้งฉลากของตัวเราเองดีกว่า ทำอย่างไรดี ลงทุนซื้อกระปุกออมสินสักอันหนึ่ง หยอดลงไป ปกติแล้วไม่ได้ซื้อถูกทุกงวด นานๆ ซื้อถูกทีหนึ่งใช่ไหม (ใช่) ก็หยอดลงไป หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง กี่เดือนถูกที สงสัยซื้อแล้วจะถูกสักทีก็แกะข้างล่าง ก็ดึงเงินออกมาถูกหวยไหม (ถูก) ถูกครบทุกบาททุกสตางค์ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าหากหวังว่าไปซื้อครั้งหนึ่ง ซื้อสิบบาทอยากได้พันหนึ่งได้ทุกคนหรือเปล่า ไม่ทุกคน พันบาทนั้นก็เอาเงินคนอื่นมาใช่หรือไม่ (ใช่) คนอื่นเขาก็หวังจะถูก คือเป็นเงินของความหวังของคนทุกคน เอาเงินความหวังของคนทุกคนมาหมุนเวียนเปลี่ยนไป เราซึ่งเป็นคนใช้ใช้เงินอันนี้ แม้จะได้พันบาท หมื่นบาท สบายใจไหม (ไม่สบาย) ทุกทีไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ จึงยังไม่รู้ว่าจริงๆ เรานั้นผู้เป็นผู้ที่จะบำเพ็ญ ควรที่จะบริสุทธิ์ทั้งด้านของการรับและการส่ง ส่งออกไปก็ส่งด้วยความบริสุทธิ์ใจ รับเข้ามาก็รับด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ใช่ว่าไปรับเงินอะไรก็ไม่รู้ ที่มาก็ไม่แน่นอน หวังจะรวยทางลัด เสร็จแล้วก็มีทางลัดเส้นหนึ่งโผล่มาให้เราเดิน แต่ว่าเป็นทางลัดของความจนใช่หรือไม่ (ใช่) ยิ่งซื้อก็ยิ่งจน ทุกๆ วันก็จนลงๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เป็นพุทธอยากซื้อหวย ถามว่าขึ้นไปบนนิพพานมีหวยให้เล่นหวยมีไหม (ไม่มี) เราไปขอให้ท่านให้ แล้วท่านจะให้หรือเปล่า (ไม่ให้) เพราะฉะนั้นถามว่าไปขอท่านจะได้ไหม (ไม่ได้) พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าจะเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ไหน ก่อนจะไปจากโลกนี้ก็ต้องกองเงินไว้บนโลกไว้ก่อนแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) ท่านไม่เห็นความสำคัญของเงินทอง แล้วศิษย์ไปขอท่านให้ได้เงินทองได้หรือเปล่า (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นอยากได้ครอบครัวที่สงบสุข ตัวเราต้องเป็นผู้เริ่มใช่หรือไม่ (ใช่)
อยากได้สุขภาพที่แข็งแรง นี่เป็นสิ่งที่ชอบขอกันประจำใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถามว่าเราจะแข็งแรงได้ไหม ผู้ชายชอบกินเหล้าสูบบุหรี่ ถามว่ากินเหล้าสูบบุหรี่แล้วร่างกายแข็งแรงไห้ไหม (ไม่ได้) เสียเงินทั้งตอนซื้อ เสียเงินทั้งตอนรักษาใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการที่อยากจะได้สุขภาพที่แข็งแรง จำเป็นจะต้องรักษาสุขภาพนี้ก่อนใช่หรือไม่ (ใช่) ร่างกายอันนี้เปรียบเสมือนฟองน้ำอันหนึ่ง หากว่าเทน้ำสีดำลงไปก็จะเป็นสีอะไร (สีดำ) เทน้ำสีขาวลงไปก็จะเป็นสีอะไร (สีขาว) เพราะฉะนั้นเทน้ำใสๆ ลงไปก็จะเป็นสีอะไร (ใส) ฉะนั้นอยากที่จะให้ร่างกายนี้สุขภาพแข็งแรง ก็อย่าสูบบุหรี่ ซึ่งเป็นการจุดไฟเผาฟองน้ำอันนี้ อย่ากินเหล้าลงไป เพราะว่าเหล้านั้นมันกัดใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วยังมีการบริโภคอาหารของเราอีก บริโภคอาหารต่างๆ นานา ถ้าอาหารที่เป็นสิ่งที่ไม่สะอาด กินอะไรกันเข้าไปก็ไม่รู้ ถามว่าโรคอะไรก็ไม่รู้จะมาหาหรือเปล่า ตอนนี้เราเป็นโรคอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจึงต้องรู้จักที่จะระมัดระวังใช่หรือเปล่า (ใช่) มีอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรงเลย คือการที่จิตใจของเราไม่แข็งแรงใช่หรือไม่ (ใช่) การทำให้จิตใจแข็งแรงนั้นเอาอะไรเลี้ยง ร่างกายของเรา เราเอาอาหารเลี้ยง จิตใจของเราเอาธรรมะเลี้ยง เดี๋ยวคนโน้นนินทามาก็เก็บเข้าไปในใจ ความไม่ดีของคนนั้นก็อยู่ที่เราหมดเลย เจอหน้าเขามองไปคนนี้ไม่ดีอย่างนี้ ทุกๆ วันก็เก็บแต่สิ่งที่ไม่ดีเข้าไป ถามว่าจิตใจจะแข็งแรงไหม (ไม่แข็งแรง) จิตใจก็ไม่แข็งแรง เพราะฉะนั้นคนที่ไม่แข็งแรงก็บำเพ็ญธรรมไม่ได้ถึงที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นต้องรู้จักรักษาจิตใจของเราให้แข็งแรง ด้วยการที่รู้จักมองแต่ในสิ่งที่ดี คิดแต่ในสิ่งที่ดี ทำแต่ในสิ่งที่ดี ต้องรู้จักทำให้ดี
เมื่อสักครู่บอกไปแล้วเรื่องคนพาลกับบัณฑิตใช่หรือไม่ (ใช่) ประโยคแรกที่อยู่ตรงนี้ศิษย์ของอาจารย์รู้จักดีทุกคน หันกลับมาถามตัวเราสิว่าเรานั้นเป็นคนพาลหรือเป็นบัณฑิต ในวันนี้ขอให้ศิษย์ย้อนมองตน สถานธรรมตอนนี้อาจารย์เปรียบเสมือนเรือลำหนึ่ง แต่เรือลำนี้เมื่อออกไปจากท่าแล้วต้องไปสู่ฝั่งใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถามว่าเรือไปสู่ฝั่งเพราะอะไร มีหลายคนคิดว่าเรือจะไปถึงฝั่งเพราะว่าตัวเองเท่านั้นเอง แต่จริงๆ แล้วถามว่าเรือทั้งลำมีเราอยู่คนเดียวไหม (ไม่) เรือทั้งลำไม่ได้มีเราอยู่คนเดียว หลายๆ คนจึงมาดมั่นว่างานทุกอย่างต้องสำเร็จในมือเราคนเดียว แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ก็ไม่ใช่ว่าให้เอาตัวรอดคนเดียว ถ้าเอาตัวรอดก็ย่อมจะไม่ถึงใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าเรือที่อาจารย์พูดถึงคือเรือธรรมะนี้ จะไปถึงฝั่งเพราะอะไร เรือพายไปถึงฝั่งเพราะสามัคคีใช่หรือไม่ (ใช่) คำว่าสามัคคีนี้ได้ยินได้ฟังมานานแสนนานแล้ว แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถที่จะสามัคคีกันได้ เพราะอะไร เพราะว่าใจของเรานั้นไม่ใช่ดวงเดียว แต่ถามว่าจิตใจของเรานั้นเหมือนกันไหม จริงๆ แล้วต้องทำจิตใจของคนทุกคนนั้นให้เป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้ อย่าได้คิดเข้าข้างตนเอง อย่าได้คิดเอาแต่ใจตนเอง อย่าได้คิดว่าเรานั้นจะอยู่รอดด้วยตัวของเราเอง แต่ต้องคิดว่าเรานั้นจะเป็นใจดวงเดียวกัน ด้วยความรู้สึกเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน เอาใจเขามาใส่ใจเราทุกเมื่อทุกยามใช่หรือไม่ (ใช่) ในทางโลกก็คือ ที่บ้านก็เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่ (ใช่) เรือบ้านเรานั้นจะพายถึงฝั่งหรือเปล่าต้องอยู่ที่คนทุกคนใช่หรือไม่ (ใช่) จะเรียกให้เขายอมเราโดยที่เราไม่ยอมเขาได้ไหม (ไม่ได้) ทุกคนต้องยอมซึ่งกันและกันใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าทุกคนยอมให้กันคนละนิดชีวิตก็ย่อมจะแจ่มใส คำนี้อาจารย์เคยได้ยินมนุษย์พูดว่า ชีวิตจะแจ่มใส แต่จริงๆ แล้วอาจารย์ไม่เห็นชีวิตของใครแจ่มใสสักคนเลย แต่ว่าการที่เราจะรู้จักยอมให้คนอื่นนั้นต้องยอมด้วยความจริงใจ หลายๆ คนยอมแต่เปลือกนอก พอถึงเวลามีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นมา อดทนไม่ได้เป็นอย่างไร (ระเบิด) ระเบิดลง ระเบิดลูกใหญ่ด้วย ฉะนั้นการที่รู้จักยอมจึงต้องรู้จักยอมให้กันด้วยความจริงใจใช่หรือไม่ (ใช่) ต้องปล่อยวางอย่างแท้จริง ไม่ใช่ว่าขายผ้าเอาหน้ารอด วันนี้ผ่านไปก่อนวันหน้าช่างมัน ถึงเวลาแล้วช่างมันหรือเปล่า มันไม่เดือดร้อน แต่เราเดือดร้อนใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นชั่งใคร ให้มาชั่งตัวเรา แต่ว่าชั่งตัวนี้ไม่ใช่ชั่งที่สะกดว่า ช่าง แต่ชั่งตัวนี้ให้มาชั่งตัวไหน ชั่งใช่หรือไม่ ก็คือรู้จักชั่งใจตัวเราเอง
อาจารย์พูดในประโยคสุดท้ายบอกว่า “อดทนเป็นสามารถผ่านทุกข์อนันต์” ทุกคนในตอนนี้มีทุกข์อยู่ในใจใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการที่จะกำราบต้องเอาของที่นั้นออกมาสู้ ถ้าหากว่ามีทุกข์อยู่ภายในแล้วไปแสวงหาความสุขสบายเพื่อให้ดับความร้อนที่อยู่ในใจได้หรือเปล่า มนุษย์สมัยนี้แก้ปัญหาด้วยอะไร มีความทุกข์มากๆ ก็ดึงบุหรี่ออกมาสูบก็ออกไปก๊งเหล้ากัน ถามว่าดับทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้) มีความทุกข์มากๆ ก็ทำอย่างไรอีก (ฆ่าตัวตาย) ฆ่าตัวตายแล้วหายทุกข์หรือ หลายคนคิดว่าฆ่าตัวตายแล้วหายทุกข์ หายทุกข์หรือเปล่า (ไม่หาย) อาจารย์จะบอกให้ คนที่คิดจะไปฆ่าตัวตาย หรือว่าสักวันหนึ่งจะไปฆ่าตัวตาย ฟังไว้ให้ดี
ความกตัญญูนั้นเป็นสุดยอดของคุณธรรม ร่างกายนี้บิดามารดาเป็นผู้ให้ ไม่มีสิ่งในร่างกายของตัวเองสักนิดเดียว นอกจากการใช้ชีวิตไปทุกวันจนแก่เฒ่า เพราะดวงชะตากำหนดมาแล้วเหมือนกับการขีดเส้นๆ หนึ่ง ถ้าหากว่าเรานี้ไปดึงเส้นนี้ให้ขาดออกจากกัน ด้วยแรงของความเครียดของตัวเอง ผลกรรมที่ตามมาจะตกนรกอเวจี แม้ว่าจะเป็นลูกศิษย์อาจารย์ๆ ก็ช่วยไม่ได้ คนที่บอกว่าฆ่าตัวตายแล้วจะพ้นทุกข์ ไม่รู้หรอกว่าทุกข์นั้นมากกว่าเดิมเสียอีก แล้วหนักเป็นพันๆ เท่า เคยเห็นห้องมืดที่มืดมากๆ ขนาดที่มองนิ้วตัวเองไม่เห็นไหม ตอนนี้เรายกมือขึ้นมาเรามองเห็นนิ้วตัวเองไหม (เห็น) แต่ในนรกอเวจี มองไม่เห็นแม้แต่นิ้วตัวเองสักนิ้วเดียว เพราะฉะนั้นตัวเองจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไรไม่รู้เลย มีแต่ความทุกข์กับทุกข์ ถ้าอยู่ในความมืดสัก 2 นาทีทนได้ไหม (ไม่ได้) ยังพอได้ ถ้า 2 ชั่วโมงทนได้ไหม (ทนไม่ได้) แต่ว่าคนที่ฆ่าตัวตายต้องอยู่ในความมืดชั่วกัปชั่วกัลป์ หมายความว่า ลงไปสู่ที่ๆ ไม่มีเวลาตลอดกาล เพราะฉะนั้นจำให้ดี แล้วหากว่าใครที่สามารถกลับมาเกิดได้ แม้ว่าในล้านคนจะหาได้สักคนหนึ่งที่ฆ่าตัวตาย แล้วสามารถกลับมาเกิดได้ จิตใจนั้นก็มีสัญญาของการฆ่าตัวตายแล้วก็ต้องฆ่าตัวตายต่อไปเรื่อยๆ ว่าไปแล้ว เหตุของการฆ่าตัวตายหนึ่งครั้ง ผลก็คือว่าต้องฆ่าตัวตายอีกหลายๆ ครั้ง ในที่สุดแล้วผลทุกครั้งนั้น ก็จะทับถมขึ้นเป็นทวีคูณ ชีวิตทั้งชีวิตก็จะเกิดความทุกข์ขึ้น เพราะฉะนั้นเหตุครั้งแรกอย่าทำ หรือถ้าใครคิดจะทำให้ตัดเหตุซะจะได้สิ้น ดีไหม (ดี) ตอนนี้คิดจะปลดทุกข์ด้วยการทำอะไร (ถือศีลกินเจ) ทำได้ไหม (ทำได้) การดับทุกข์จริงๆ ก็คือการรู้สาเหตุของความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) หาให้เจอว่าไฟมาจากทางไหนลามมาจากทางไหนแล้วเราก็ไปดับไฟที่ต้นเหตุดีไหม ถามว่าถ้าเราไม่ดับไฟที่ต้นเหตุเวลาไฟไหม้มา ก็ดับที่ปลายเหตุ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าต้นเหตุของไฟนั้นยังไม่ทันดับในที่สุดแล้ว ถามว่าไฟจะติดอีกไหม (ติด) เพราะฉะนั้นการดับทุกข์ก็คือ การรู้จักหาต้นเหตุของไฟแห่งความทุกข์นั้นๆ ไฟเมื่อจุดติดแล้ว เล็กน้อยก็ต้องไหม้ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนที่เราจะผ่านในช่วงที่ไฟนั้นไหม้ตรงนี้จะผ่านได้อย่างไร ก็คือจะต้องรู้จักอดทนให้เป็นใช่หรือไม่ (ใช่) หลายคนรู้จักคำว่าอดทน อดทนเป็นอย่างไรรู้ แต่ใช้ไม่เป็น ไม่รู้ว่าการอดทนที่แท้จริงควรทำอย่างไร เข้าใจว่าฝืนๆ ไป เข้าใจว่าตัวเองนั้นทำเช่นนี้ ก็คือความอดทนแล้ว จริงๆ แล้วความอดทนนั้นเป็นเรื่องที่เข้าถึงยากเป็นเรื่องที่ทำยาก แต่หลายคนบนโลกมนุษย์นี้ประสบความสำเร็จในเรื่องความอดทนมาแล้ว อาจารย์ก็หวังว่าศิษย์นั้นจะเรียนรู้ความอดทนอันนี้ด้วยคำว่าพยายาม ความอดทนครั้งนี้ไม่สามารถทำให้เราผ่านความทุกข์ได้ แสดงว่าไม่ได้เป็นความอดทนที่แท้จริง ครั้งต่อไปเกิดทุกข์ใหม่ก็พยายาม เมื่อศิษย์มีจิตใจที่จะพยายามอดทนแล้วจิตใจก็จะไม่ฟุ้งซ่าน เพราะเราจะคิดว่าเราจะอดทนอย่างไร ไม่ได้คิดว่าคนอื่นให้ร้ายเราอย่างไร จำกัดเวลาแล้วก็จำกัดความฟุ้งซ่านความกระเจิดกระเจิงอันนั้นให้แคบลงๆ ด้วยคำว่าอดทน ตีกรอบของความอดทนลงไป แล้วความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่นั้นก็จะเหลือนิดเดียว
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาทเพลงทวนกระแสโลกีย์) ทวนกระแสโลกีย์หมายความว่าอะไร โลกีย์อยู่ที่ไหน โลกีย์ก็คือโลกมนุษย์ ทวนกระแสโลกีย์ หมายความว่าให้เรานั้นทวนกระแสโลก ทวนกระแสโลกทำอย่างไร การทวนกระแสโลกก็คือ การที่เรานั้นเก็บจิตใจที่กระเจิดกระเจิงทั้งหลายของเรานั้นให้กลับคืนมา เพราะว่าเราอยู่ร่วมกับโลกีย์อยู่แล้ว แต่ทำไมจะต้องทวน โลกีย์นั้นเป็นทางที่อยู่กลางระหว่างสวรรค์ นรก สูงสุดคือนิพพาน เพราะฉะนั้นโลกีย์มีไว้เพื่อที่ให้ศิษย์นั้นรู้จักกิเลส เมื่อได้รู้จักกิเลสในใจตนแล้ว จึงรู้จักตัด เพียงแต่ว่าถึงเวลานั้น จะทวนกระแสโลกีย์ต้องรู้จักตัดกิเลสอันนี้ให้ขาด ขาดเลย ไม่ใช่ขาดแบบไฟที่เหลือเชื้อ แต่ต้องขาดอย่างไฟที่หมดเชื้อ ไม่สามารถจุดติดอีกต่อไปได้ การทวนกระแสโลกีย์เหมือนกับอะไร เหมือนกับหัวข้อเมื่อสักครู่ที่ฟังไปคือ หัวข้อพระมหากรุณาธิคุณ เราเหมือนอยู่ปลายน้ำจำได้ไหม เราทุกคนนั้นอยู่ในโลกีย์ โลกีย์นั้นคือปลายน้ำ มีต้นน้ำ ต้นน้ำอยู่ที่ไหน แดนนิพพาน แต่ทำไมต้นน้ำกับปลายน้ำต่างกันเยอะนัก ต่างกันเพราะว่าเรานั้นมีกายสังขาร มีกายเนื้อ การที่ศิษย์นั้นมีกายเนื้อทำให้ศิษย์ต้องตกแต่งกายเนื้อนี้ด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ เงินทอง บ้านหรือรถ ความนิยมทางสังคม การที่ศิษย์นั้นอยู่อย่างนี้จึงเรียกว่าวนเวียนในกระแสโลกีย์ ปลายน้ำอันนี้ทวนขึ้นไปข้างบนเหมือนกับปลา ปลายอมให้น้ำพัดพาไหม (ไม่) ปลาว่ายทวนน้ำใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นเลียนแบบปลา การที่เรานั้นไม่รู้จักฝืนตัวเองเลย ทุกอย่างปล่อยไปตามอารมณ์ ทุกอย่างปล่อยไปตามใจ ตามกิเลส ที่เราอยากได้ อยากเป็น อยากมี ในที่สุดแล้วเป็นอย่างไร ความอยากนั้นเป็นน้ำที่พัดแรงที่ทำให้เรานั้นลงไปที่ไหน ลงไปในที่ต่ำกว่าโลกีย์นี้อีก ลงไปถึงจุดต่ำสุดของโลกีย์นี้เลย เพราะฉะนั้นอยากที่จะทวนกระแสโลกีย์ต้องรู้จักฝืนความรู้สึกของตนเอง ฝืนความรู้สึกของเราที่อยากจะได้ อยากจะมี อยากจะเป็น ให้เรานั้นได้ในสิ่งที่เราไม่ต้องการ ไม่อยากได้ ให้เราพลัดพราก ให้เรานั้นได้รู้จักความทุกข์ยาก เพื่อให้เรานั้นตื่นขึ้นท่ามกลางความทุกข์ยากเหล่านี้ แล้วก็เป็นพุทธะในที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) สมมติว่าเราเป็นปลาตัวหนึ่ง ปลาตัวนี้เอาทรัพย์สินเงินทอง บ้าน รถ ที่ดินนั้นแบกไว้กับตัว ปลาตัวนี้ว่ายขึ้นไหม ปลาตัวนี้ว่ายไม่ขึ้น เพราะฉะนั้นท่ามกลางของการที่จะไปสู่แดนนิพพานนั้นยิ่งว่ายไป เนื้อตัวยิ่งถลอกปอกเปิก ยิ่งว่ายไปจะยิ่งเจออุปสรรคมาก ชนโน่นชนนี่จนเนื้อตัวนั้นแทบจะหลุดลุ่ยทีเดียว เพื่อที่สุดท้ายจะขึ้นไปเบื้องบนได้ เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญนั้นมีอุปสรรคมาก แต่ถ้าหากว่าใครสามารถผ่านอุปสรรคตรงนี้ได้ ในที่สุดแล้วไปเป็นพุทธะ จะเป็นพุทธที่อิสระเสรีมาก จึงหวังว่า ศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่กลัวความยากลำบากที่ตนเองนั้นไม่เคยเจอ แต่เมื่อเจอแล้วก็อย่าท้อใจ
ตามเพลงที่อาจารย์บอกไว้ “จากปลายน้ำคืนต้นหนทางยังยาวไกล” จากปลายน้ำไปสู่ต้นน้ำอันนั้นหนทางยังยาวไกลมาก
“รู้แล้วให้ระวังกายใจหันหน้าตามฟ้า” หันหน้าตามฟ้าหมายความว่า ทำสิ่งใดนั้นก็ทำให้ถูกทำนองคลองธรรม ให้ถูกมโนธรรมสำนึก อันว่ามโนธรรมสำนึกนั้นเป็นสภาวะที่เที่ยงเหมือนกับฟ้าที่เที่ยงใช่หรือไม่ (ใช่) ฟ้าเที่ยงอย่างไร เวลาฟ้าส่องแสงสว่างมา ต้องเลือกหรือเปล่าว่าคนนี้ไม่ดีฉันไม่ส่องให้ (ไม่เลือก) เพราะฉะนั้นจิตใจที่เที่ยงอันนี้ก็คือ มโนธรรม ก็คือทำตามมโนธรรมสำนึกในจิตใจตนเอง รู้จักละอายต่อบาปนั้นเอง
“หากดวงใจเอาแต่เคลือบแคลงไปนานา” ถ้าหากว่าจิตใจนี้สงสัยโน่นสงสัยนี่ไม่รู้จักจบสิ้น ล้วนต้องมีความลำบากแน่นอน มีคำถามเยอะแยะไปหมดเลย แล้วศิษย์ต้องรู้คำตอบทุกคำถามหรือเปล่า อันนี้เป็นปัญหา เมื่อเป็นมนุษย์การที่มีกายสังขารนี้ทำให้มีข้อจำกัดต่างๆ ในการรับรู้ จึงเป็นความลำบาก ขอให้ศิษย์นั้นรู้จักตนเองก็พอ ไม่ต้องรู้ทุกคำถาม ไม่ต้องรู้ทุกคำตอบเท่านั้นก็พอแล้ว รู้จักตนเองให้มาก
“ใช้ความดีชนะใจมวลชน” หลายคนใช้กำลังชนะ หลายคนใช้ทรัพย์สินเงินทองชนะ มีเงินเขาเรียกเป็นน้อง มีทองเขาเรียกเป็นพี่ มนุษย์ชอบพูดแบบนี้ เวลาที่มนุษย์ชนะก็ชนะกันด้วย ทรัพย์สิน เงินทอง อำนาจ วาสนา ใช่หรือไม่ (ใช่) หรือเอากำลังชนะ การต่อสู้ชนะ แต่เคยมีใครคิดไหมว่าการชนะที่สุด ชนะแล้วให้เขายกย่องเราด้วยความจริงใจ ให้เขานับถือเราด้วยความจริงใจคือการเอาความดีชนะ แต่ความดีอันนี้ต้องเป็นความดีที่แท้จริง ไม่ใช่เป็นความดีที่สามวันดีสี่วันไข้ มีบ้างไม่มีบ้าง วันนี้มีไว้พรุ่งนี้ไม่มี แล้วเปลี่ยนไปเรื่อยๆ อย่างนี้ชนะใจคนไม่ได้
“เก็บความพลั้งเป็นบทเรียนมาสอนเรา” ทุกคนเคยพลั้ง เคยพลาด แต่ไม่ใช่พลาดอย่างจงใจ อย่าได้พลาดอย่างจงใจ อย่าได้พลาดอย่างคนที่ไม่รู้จักจำอย่าได้พลาดอย่างคนที่แก้ไขไม่เป็น แต่จงพลาดแค่เป็นบทเรียน ครั้งหนึ่งพลาดไปแล้ว ครั้งที่สองมีไหม ขอให้ไม่มี ไม่ใช่ครั้งที่สองมี แล้วก็ครั้งที่สาม แล้วก็ครั้งที่สี่
“จิตสะอาดสว่างรุดเดินเต็มก้าว” จิตสะอาดคำนี้พูดง่ายทำยาก เพราะว่าจิตใจของมนุษย์และศิษย์ของอาจารย์ทุกคนนั้น มีความทุกข์ก็เพราะว่าจิตใจของตนเองนั้นไม่คิดในแง่ดีเลย ทุกวันก็คิดแต่ว่าคนอื่นคงจะนินทาเรา คนอื่นจะให้ร้ายเรา คนอื่นคงมีอะไรกับเรา แค่มองไปเหมือนกับเวลามองผลไม้สักลูกหนึ่ง ก็พยายามๆ ที่จะมองให้เห็นว่าผลไม้ตรงนี้เสียตรงไหน ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว ควรที่จะมองเสียนั้นมีแค่จุดเดียว ใช่หรือไม่ บนผลไม้ลูกหนึ่งมีจุดเสียแค่จุดเดียว แต่มีส่วนที่ดีนั้นทั้งใบ แต่เรามองไปทีไรก็เห็นแต่จุดเสียอันนี้ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะว่าผลไม้นี้มันเสียแค่ตรงนี้นิดเดียวเท่านั้นเอง เวลาศิษย์มองศิษย์ก็มองแบบนี้ จุดเสียนิดเดียวของเขามองว่า ความเสียนั้นเป็นทั้งหมด และเอาความดีทั้งหมดนี้ของเขานั้นไปโยนทิ้ง จึงไม่สามารถที่จะมีจิตใจที่มีความสุขได้จึงเป็นทุกข์เช่นนี้
“วอนขอมวลศิษย์แข็งใจสู้มายา” แข็งใจสู้ไม่ใช่อ่อนใจสู้ ให้เรานั้นสู้มายาอันนี้ด้วยความเข้มแข็ง มัจฉาต่างรู้ทวนธารา ปลานั้นรู้จักทวนน้ำ แต่ศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่รู้จักทวนโลกีย์ ใช่หรือเปล่า ตอนนี้จึงบอกว่า มัจฉาต่างรู้ทวนน้ำ ให้ย้อนมองดูตัวเองว่า เรานั้นรู้จักทวนโลกีย์อันนี้ไหม
“ขอบำเพ็ญถึงพร้อมในตน” ให้ตัวเราเองนั้นสมบูรณ์อยู่ในตัวเรานี่ ไม่ต้องไปหาความสมบูรณ์จากข้างนอก ไม่ต้องไปหาอาหารที่อร่อย ที่มันสมบูรณ์จากข้างนอก มาบำรุงเรา อาหารที่มีผัดง่ายๆ ก็อร่อยแล้ว พร้อมในตนไม่ต้องให้คนอื่นนั้นเขาเป็นผู้ที่สละกิเลสได้ แล้วเราสละไม่ได้ หันมามองตัวเองทุกอย่างถึงพร้อมในตน ไม่ต้องเอาเครื่องแต่งตัว ไม่ต้องเอาสิ่งที่ล่อใจต่างๆ ทีวีมาเพิ่มบารมีให้คนเอง แต่เอาบารมีของคุณธรรมของเรานั้นให้มันปรากฏ ให้มันแผ่ให้มันมีแสง ทุกวันเวลาไม่ใช่แค่สามวันห้าวัน แต่ต้องทุกวัน เพราะฉะนั้นเพลงนี้อาจารย์ให้ชื่อเหมือนกับโอวาทที่ซ้อนออกมา เพาะว่าอยากให้ศิษย์นั้นทวนกระแสโลกีย์ ไม่ใช่ไหลตามน้ำ เพราะถ้าไหลตามน้ำไป ตอนนี้ก็อยู่ปลายน้ำแล้วไหลลงไปมากกว่านี้สักวันหนึ่ง ต้องลงนรกแน่นอน อาจารย์บอกแล้ว หากว่าสวรรค์ต้องการคนแค่คนเดียว คนๆ นั้นจะใช่เราหรือเปล่า ถ้ายังมีคนที่ดีกว่าเรา ต้องไม่ใช่เราแน่ แต่ไม่ใช่ดีกว่าชาวบ้านเขา เพราะว่าเรานั้นเอาความดีของเราไปเปิดเผยความไม่ดีของเขาให้เขากลายเป็นคนไม่ดี เราจะได้ดีเสียเอง อย่างนี้ก็ไม่ถูก
อย่างสุดท้ายที่อาจารย์นั้นอยากจะฝากให้ศิษย์ทุกคนนั้น สิ่งที่อาจารย์อยากจะพูด โลกวุ่นวายมากเท่าไหร่ ขอให้ศิษย์นั้นยิ่งตั้งใจบำเพ็ญไปตามสัจธรรมอันถูกต้อง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่าได้เป็นผู้บำเพ็ญที่ไม่มีธรรมะ เพราะถ้าหากเป็นผู้บำเพ็ญแล้วไม่มีธรรมะ จะเป็นผู้บำเพ็ญแต่ในชื่อเท่านั้นเอง ใครที่เป็นอาจารย์บรรยายธรรม ใครที่เป็นผู้ดูแลสถานธรรม เจ้าของสถานธรรม ใครที่ผู้อื่นนั้นเฝ้ายกยอ เฝ้ายกย่อง เฝ้ามองเราเป็นแบบอย่าง ขอให้รู้ ขอให้สำรวจตนอยู่เป็นประจำ สิ่งใดผิดอย่าได้ทำ แม้อาจารย์ไม่ได้พูด แม้อาจารย์ไม่ได้ว่า แต่ศิษย์นั้นต้องรู้จักรู้ตื่นได้ด้วยตนเอง อันว่าผู้บำเพ็ญธรรมในยุคขาว ชื่อจะถูกจารึกไว้ตลอดกาลนานเท่านาน แต่ชื่อใครจะถูกจารึก ต้องถามตัวเราว่าเราบำเพ็ญได้ดีเท่าไหร่ ก้าวหน้ามากเท่าไหร่ อาจารย์รู้ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นรู้จักดีชั่ว รู้จักถี่กว้าง เพียงแต่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ คนว่าก็ไม่ได้ รับไม่ได้ ไม่ชอบใจ ไม่พอใจ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าก็ไม่ได้ กลัว เขิน อาย ไม่อยากมาสถานธรรม ผู้อาวุโสว่าก็ไม่ได้ มีสิทธิ์อะไรมาว่าฉัน เกิดเป็นคนก็แปลก การที่มีคนติว่าเรานับเป็นความโชคดีอย่างยิ่ง ขอให้เป็นคนที่รู้จักอภัย ไม่เก็บความชั่งใจ ไม่เก็บความคับแค้นใจมาใส่จิตใส่ใจไว้ ดีไหม (ดี)
เป็นพุทธะในสักวันหนึ่ง แต่ไม่ใช่เป็นพุทธะวันเดียว ศิษย์รู้ไหมว่าการเกิดเป็นคนนั้นมีความทุกข์มาก ดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่หลุดพ้นไปจากความทุกข์นี้ มิหนำซ้ำหนีเสือปะจระเข้ ดิ้นจากทางนี้ไปติดอีกทางหนึ่ง อาจารย์ถึงบอกว่าชีวิตคนนั้นเหมือนกับลูกบอลที่โยนขึ้นไปบนฟ้าเสร็จแล้วก็หล่นลงมา ยิ่งโยนไปแรงยิ่งตกมาแรง นี่เป็นสภาพของการเป็นโลกีย์ โลกียภูมิเป็นเช่นนี้ แต่อาจารย์จะสอนศิษย์อีกอย่าง สภาพของการเป็นพุทธะเป็นอย่างไร สภาพความเป็นพุทธะ ก็สมมติเอาลูกบอลลูกเดิมมา แต่สภาพความเป็นพุทธะนั้น คือตกลงให้ต่ำที่สุด แล้วค่อยเพิ่มขึ้นมา เหมือนกับเอาลูกบอลนั้นปาลงไปที่พื้น แล้วปาลงไปให้แรง ยิ่งแรงมากเท่าไหร่ ยิ่งตกลงไปถึงต่ำที่สุด ยิ่งเจออุปสรรคมากที่สุดจะขึ้นแรงมากขึ้นเท่านั้น แต่มีกี่คนที่จะทนได้ แค่ตกลงนิดเดียวก็ร้องไม่ไหวแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) เพาะฉะนั้นคนที่จะสำเร็จไปเป็นพุทธะที่แท้จริงนั้นยังมีน้อย ท่ามกลางของการตกลงไปข้างล่างที่แรงมาก ขอให้ศิษย์นั้นมีความมั่นคงมาก เข้าใจกันให้มาก อยู่ร่วมกันด้วยความเข้าอกเข้าใจ อยู่ร่วมกันเหมือนพี่น้อง ไม่ใช่พี่น้องที่แตกแยก แต่เป็นพี่น้องที่รักกันมากๆ ถ้าถือว่าอาจารย์เป็นพ่อ ก็ขอให้ศิษย์นั้นเป็นลูกที่ดี หากข้างหน้าแตกแล้ว ข้างหลังจะเหลืออะไรใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ว่าจะแตกแยกเรื่องส่วนตัว เรื่องการทำงาน ไม่ว่าจะแตกแยกเพราะว่าคนอื่นเขานินทา ก็ขอให้เรานั้นได้รักษาน้ำใจกันไว้ ขอให้กลับมาเหมือนเดิม เรือทุกลำที่ลอยอยู่บนทะเล เรือทุกลำที่อาจารย์นั้นส่งมาเพื่อที่จะช่วยเวไนยสัตว์นั้น อาจารย์ก็หวังว่าผู้นำเรือทุกคนจะเป็นคนที่รักษาธรรมเหมือนรักษาชีวิตทีเดียว เดินตามอาวุโสด้วยหลักธรรมที่เปี่ยมล้นในใจ อย่าเดินตามกันไปอย่างงมงาย
ธรรมะไม่มีสีสัน ธรรมะเหมือนกับสิ่งที่ใสๆ จะให้สวยงามเหมือนสีแดง สีเหลือง สีเขียวเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญนั้นเรียบๆ ง่ายๆ มีแต่การควบคุมใจตัวเองเท่านั้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สำหรับการบำเพ็ญในชาตินี้ บำเพ็ญให้ดีๆ นะ สิ่งใดที่อาจารย์พูดไป สิ่งใดที่อาจารย์พูดถึงขอให้จำไว้ใส่ใจ อย่าลืมไปเหมือนลมผ่านหู อาจารย์ไม่เคยรักศิษย์คนไหนมากกว่าศิษย์คนไหน กลับไปอยู่กับอาจารย์ที่เบื้องบนสักวันหนึ่ง แล้วอาจารย์จะรอเหล่าศิษย์คนดีกลับคืนไปบ้านของเรา วันหน้าหากเขาเรียกให้ศึกษาธรรมะให้เข้าใจมากๆ ก็อย่าบอกตัวเองว่าไม่มีเวลา แต่ให้บอกตัวเองว่ามีเวลาศึกษาธรรมะให้เข้าใจจะได้นำพาตนไปตลอดรอดฝั่งรู้ไหม
พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ทวนกระแสโลกีย์”
ชีพคนนั้นยากเดาคาดอยู่หรือไป ตามน้ำดื้อไม่มีวันได้เป็นสุข
ยึดติดในลาภยศไม่พ้นเกิดทุกข์ มุ่งผาสุกดับวุ่นวายในใจตน
สู้ดุจปลาว่ายทวนน้ำซึ่งไหลหลาก ไม่ปล่อยตัวคุณธรรมฝากทุกแห่งหน
ปัญญามีไม่เกี่ยงว่ายากดีมีจน จะอดทนไม่ต้องเลือกช้าหรือเร็ว