วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2542

2542-06-26 พุทธสถานเมี่ยวเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์


PDF 2542-06-26-เมี่ยวเต๋อ #14.pdf
วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พุทธศักราช 2542 พุทธสถานเมี่ยวเต๋อ จ.ประจวบฯ
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

วาระนี้สู่ยุคสามการบำเพ็ญ ต้องชัดเจนย้อนมองจิตตนถ้วนถี่
ฉุดช่วยตนมิรอช้าจนห่างความดี รู้จักพลีดั่งสะพานให้คนเดิน
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเมี่ยวเต๋อ  เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงสราญฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบฟังคำเรา ฮวา ฮวา

ปลูกต้นไม้กว่าเติบโตใช้เวลา เฝ้ารักษาเฝ้าบำรุงน้องรู้ไหม
การบำเพ็ญก็เช่นกันต้องเข้าใจ เอาใจใส่ต้นไม้จิตแห่งตนเอง
ตัดกิเลสวัชพืชอย่าให้มี น้องเมธีรากบุญแผ่ต้องรักษา
เป็นมนุษย์ยากยิ่งพ้นทรมา บัดนี้ฟ้าส่งสายทองจับให้ดี
เรือลำน้อยพาพุทธบุตรกลับคืนแดน ละเคืองแค้นด้วยใจเย็นให้พอที่
ทุกเวลาหมั่นสร้างสมเหล่าความดี ทุกนาทีขัดเกลาใจให้งดงาม
มีความโลภจิตดวงนี้ยากเบาใส ปล่อยใจตนให้เป็นไทดีไหมหนา
ก้าวไปสู่เส้นทางแห่งพุทธา อย่ามัวล้าช้าเกินไม่ทันการ
ชีวิตคนแสนสั้นสร้างคุณค่า เรียนธรรมาต้องตั้งใจไม่ไขว้เขว
บัดนี้ดั่งลอยคออยู่กลางทะเล จงทุ่มเทฟื้นใจตนไปช่วยคน
อันใจตนหมั่นควบคุมให้หนักหนัก เฝ้าตระหนักไม่ให้เพี้ยนจากความเที่ยง
อย่าหลงรูปหลงนามจนเอนเอียง ศิษย์น้องเพียงใช้ปัญญาย่อมสบาย
ในยามนี้ยุคท้ายปลายส่งธรรมโปรด ขอปราโมทย์บำเพ็ญตามอริยะเบื้องหน้า
ชีวิตคนไม่อาจตีเป็นราคา วันนี้หนาเริ่มต้นเดินจนสิ้นลม
อย่าหลงใหลสิ่งใดที่ไร้หลักธรรม จะระกำเดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึง
จึงเตือนน้องตริตรองจิตเป็นหนึ่ง เฝ้าคำนึงตนเองดีขึ้นเพียงไร
ในวันนี้เป็นวันแรกการประชุม ขอสุขุมสองวันร่วมเรียนให้ครบ
ฟังธรรมาด้วยศรัทธาอีกเคารพ ดุจน้อมนบพระพุทธาในใจตน
ในวันนี้รับบัญชามาคุมชั้น ขอน้องนั้นรักษาพุทธระเบียบ
ขอให้รู้ผู้บำเพ็ญไม่เฝ้าเปรียบเทียบ จิตราบเรียบน้ำไร้คลื่นดุจกระจก
ขอจงตั้งใจนี้ให้เป็นกุศล สู่บรรพชนที่มาร่วมอยู่รายรอบ
หลังจบชั้นทำสิ่งใดให้รอบคอบ ให้รู้ปลอบใจกันเป็นแรงใจกัน
น้องชายหญิงธรรมะแท้อย่าทำเล่น มองธรรมแท้ต่างมองผู้บำเพ็ญถ้วน
ขอให้รู้ปรับปรุงตนอย่าเรรวน อย่าได้ด่วนสรุปตามอารมณ์ใด
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา หยุด


วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พุทธศักราช 2542
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหลันไฉ่เหอ

อันรูปรสกลิ่นเสียงพาลุ่มหลง สัมผัสอารมณ์พาสติขาดสะบั้น
ผู้รู้ควบคุมอายตนะเท่าทัน เพียรทุกวันกิเลสยากหลอกลวงใจ
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเมี่ยวเต๋อ แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤา

ชั่วชีวิตแห่งมนุษย์อยู่ที่บำเพ็ญ อย่ารู้เห็นเป็นใจกระทำบาป
พุทธจิตนั้นคืนชีพกลางใจกำราบ กิเลสปราบยากเท่าไรไม่รามือ
ปัญญาอยู่คาดเดาจะไม่มี ดาราที่กลางน้ำยากยึดยื้อ
มาหรือไปตามเวลาอันบันลือ ชีวิตมีไม่ดื้อไหลตามอารมณ์
จงได้เป็นสุขสวัสดีเพราะคุณธรรม กล่าวกระทำวันใดล้วนงามเหมาะสม
ไม่ยึดติดในคิดเนืองอุดม มั่นคงไม่ยศลาภชมตามบุญญา
เหล่าความทุกข์มุ่งสอนคนประเสริฐ หนีพ้นเกิดผ่านอุปสรรคดีรักษา
ผาสุกด้วยดับโลภในอุรา นอกวุ่นวายในมาสำรวมงาม
เตือนใจตนสู้กระแสแห่งมายา ปฏิปทาดุจปลาซึ่งน่าเกรงขาม
แหวกว่ายทวนน้ำไหลคุณธรรมงาม พยายามหลากไม่ปล่อยตัวฝากโลกีย์
เพื่อทุกแห่งไม่ผิดโลกสวรรค์ อย่าหุนหันปัญญามีใช้นำชี้
อย่าเกี่ยงว่ายากจะบำเพ็ญดี รวยจนมีฤดีอดทนเป็นทุน
กระจ่างต้องไม่ทนรอสร้างคุณค่า เพียงเลือกช้าหรือเร็วฤทัยวุ่น
ใฝ่บำเพ็ญแต่ลังเลต้องหัวหมุน ศึกษาพูนสิ่งรู้เพิ่มตามเวลา
ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียน ท่านหลันไฉ่เหอ 

มีสำนวนหนึ่งกล่าวว่า “ยิ้มหนึ่งครั้งช่วยดับความทุกข์ร้อนได้เป็นหมื่นเป็นพันครั้ง” แต่หากวันนี้ไม่เคยยิ้ม ยิ้มไม่ออกนั่งตรงนี้ก็เป็นทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้ายิ้มออกนั่งตรงนี้ก็เป็นสุข เพราะฉะนั้นการหาความสุขในโลกนี้ไม่ใช่เรื่องที่หายากเลย อยู่ที่ว่าเราจะทำจิตใจอย่างไรเมื่อประสบทุกข์ที่มากระทบใจ ที่มาพันผูกใจ เราอยู่บนโลกนี้เมื่อหูเราเปิด ตาเรามอง ปากเราสัมผัส เรามักจะเป็นคนที่เปิดแล้วปิดไม่ค่อยลงใช่หรือไม่ (ใช่) มองแล้วต้องมองให้เต็มที่ ดูให้เต็มตา แต่พอเราดูมากๆ เพ่งมากๆ ตาปวด ไม่ปวดก็เมื่อย ไม่เมื่อยก็แสบใช่หรือไม่ (ใช่) หูชอบฟัง แต่พอฟังหลายๆ ที หลายๆ ทำนอง หลายๆ คนพูด ฟังมากๆ ไม่มึนก็เมา หรือไม่ก็หลงไปเลย แยกไม่ถูกว่าคนๆ นี้ดีหรือไม่ดีกันแน่ใช่หรือไม่ (ใช่) พอปากเราพูดมากๆ เมื่อยบ้างไหม เคยมีใครเมื่อยปากบ้างไหม เวลาที่อยู่บนโลกนี้บอกว่าปีนี้ฉันจะไม่พูดทั้งปีแล้ว เมื่อยเหลือเกินพูดมายี่สิบปี พูดมาสามสิบถึงสี่สิบปีแล้ว มีใครบอกว่าเมื่อยปากบ้างไหม (ไม่มี) ถ้าอย่างนั้นปากก็เป็นเครื่องจักรกลที่ใช้งานได้ดี รู้สึกว่าใช้อย่างไรก็ไม่เคยผุพัง นึกจะพูดก็พูดได้เต็มที่เลย เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า (เป็น) ร่างกายเราก็เหมือนเครื่องจักรเครื่องหนึ่งที่ใช้บ่อยๆ ก็จะเป็นอย่างไร ฉะนั้นไม่แน่ตาที่เราบอกว่าเห็นดี ที่เราเชื่อว่าน่าจะเห็นชัด บางทีอาจจะเกิดความเสื่อมขึ้นมาตอนใดตอนหนึ่งก็เป็นได้ ปากที่เราพูดว่าถูกต้องแน่ชัดแล้ว ไม่แน่อาจจะเกิดความเสื่อม ความทรุด พูดผิดขึ้นมาบ้างก็ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นอย่ามั่นใจในตา หู จมูกเราจนเกินไป เพราะบ่อยครั้งที่ร่างกายเราจะต้องเจ็บป่วยเป็นโรคได้เหมือนกัน ฝ้าฟางได้เหมือนกัน หูที่เราคิดว่าได้ยินก็อาจจะผิดเพี้ยนได้เหมือนกัน ฉะนั้นอยู่บนโลกนี้ใช้เป็นก็ต้องพักเป็น จริงหรือเปล่า (จริง) แล้วการพักนี้พักอย่างไร ใช่แค่หลับตาแล้วเรียกว่าพักหู พักตาหรือไม่ บางทีอยู่บนโลกก็พักหูพักตาได้ พักง่ายๆ คือสิ่งใดควรมอง สิ่งใดที่ดีก็มอง ตาเราจะได้ไม่ไปมองอะไรที่ผิดๆ ที่เสื่อมๆ ที่ไม่ดีของคนอื่นใช่หรือไม่ เหมือนลิ้นเราพอรับรสมากๆ ลิ้นเราก็เฝื่อนได้ พอจะไปรับรสอีกครั้งหนึ่งก็ช้าไปเสียแล้ว ตาเราพอมองสีหลายๆ สี มองสีมากๆ เพ่งสีใดสีหนึ่งมากเกินไป พอจะมามองอีกสีหนึ่งก็เกิดความหลอกตา เหมือนตอนนี้ท่านเห็นความสว่าง พอหลับตากลับรู้สึกว่ามืดใช่หรือไม่ (ใช่) รูปรสกลิ่นเสียงที่เราสัมผัสบางครั้งถ้าเราไม่มีสติปัญญาอยู่กับตัวด้วย สิ่งที่เราสัมผัสอาจจะหลอกลวงได้ 
แล้วตัวเราเหมือนหุ่นยนต์ที่บังคับได้ไหม แต่เราเป็นหุ่นยนต์ที่ประเสริฐใช่ไหม (ใช่) ประเสริฐอย่างไร ถ้ายอมรับว่าประเสริฐก็ต้องรู้ว่าเราประเสริฐตรงไหน (กินได้ นอนได้ หลับได้) เดี๋ยวนี้หุ่นยนต์มีไหมที่กินก็ได้ นอนก็ได้หลับก็ได้ ฉะนั้นตอนนี้ท่านก็ไม่ต่างจากหุ่นยนต์ แถมร้องไห้ก็ได้ เข้าห้องน้ำก็เป็น แถมไม่พาเข้าห้องน้ำก็ป่วยเป็นโรคอีกใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะอะไรคนจึงไม่ต่างจากหุ่นยนต์ เพราะรู้จักรักผิดชอบ รู้จักแยกแยะใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นคือข้อสำคัญที่ทำให้มนุษย์ต่างจากหุ่นยนต์ ฉะนั้นเมื่อเราอยู่ร่วมกับคนในสังคม เราอย่าปฏิบัติกับเขาเหมือนกับคนที่ไร้ใจ คนที่ไร้ใจก็คือคนที่ไม่ต่างจากหุ่นยนต์ใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งมนุษย์เราอยู่ร่วมกัน แต่บางครั้งท่าทีที่เราปฏิบัติต่อกันมักจะขาดความเป็นคนอันประเสริฐ เรามักจะหลอกลวงเขาได้ซึ่งๆ หน้า หรือไม่ก็หลอกลวงเขาได้ลับหลัง ก็เพราะว่าเราขาดปัญญาหรือจิตใจอันดีงามนี้ เราจึงกลายเป็นหุ่นยนต์ในคราบมนุษย์ ฉะนั้นเราอย่าเป็นคนประเภทนี้ตราบใดที่เรายังมโนธรรมสำนึกอันดีงามเรา ก็จะไม่มีทางเป็นหุ่นยนต์ในคราบมนุษย์ได้แน่
“เพียรทุกวันกิเลสยากหลอก”  กิเลสชอบหลอกเราให้หลงใช่หรือไม่ (ใช่) ก่อนจะพูดว่ากิเลสหลอกให้หลง ถามง่ายๆ ก่อนว่าอะไรที่เรียกว่ากิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลงเป็นกิเลสในตัวเราใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วอย่างนี้กิเลสเกิดจากข้างนอกหรือเกิดจากจิตใจเรา (จิตใจเรา) แปลว่าตัวเราก็คือกิเลส คนที่อยากและโลภคือใคร (ตัวเรา) อย่างนี้ก็แปลว่าเราเป็นกิเลสแล้ว กิเลสพาให้หลงแปลว่าตัวเรานั่นแหละพาให้ตัวเราหลง มนุษย์เรานั้นหากไม่รู้จักควบคุมหรือนำพาตนเองให้ดีเดินไปถูกๆ ผิดๆ บ้าง เราอาจจะหลงตัวเองกลายเป็นคนที่ไม่เป็นคนก็ได้ กลายเป็นคนที่มีกิเลสเต็มไปหมด แล้วคนที่มีกิเลสกับคนที่ไม่มีกิเลสอย่างไหนน่าคบกว่ากัน (คนไม่มีกิเลส) ทำไมคนไม่มีกิเลสน่าคบกว่า เพราะเขาเป็นผู้ไม่อยาก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนที่ไม่อยาก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงเป็นคนชนิดไหน (คนนิสัยดี) เป็นคนที่นิสัยดีน่าคบหรือพูดง่ายๆ เป็นคนที่รู้จักฝึกฝนตน อบรมขัดเกลาตนใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราอยากเป็นคนประเภทนั้นไหม เหมือนกับเวลาที่เราอยากได้ทอง เราเป็นทองเลย ไม่ดีกว่าหรือ เราอยากได้คนดีสู้เราเป็นคนดีเองไม่ดีกว่าหรือ ฉะนั้นเราอยากได้คนดีอยู่ใกล้สู้เราเป็นคนดีเสียเองไม่ดีกว่าหรือ เป็นคนดีต้องรู้จักควบคุมตนให้มีความโลภ โกรธ หลง และความอยากน้อย ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราก็จะเป็นคนดี นิสัยดี
คุณธรรมข้อหนึ่งสำหรับครอบครัว หรือคนมีครอบครัวแล้วรู้ไหม ในที่นี้ทุกคนมีครอบครัวหมดแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วรู้ไหมว่าคุณธรรมข้อหนึ่งสำหรับคนมีครอบครัวคืออะไร (มีความรักและซื่อสัตย์ต่อกันและกัน) นอกจากความรักและความซื่อสัตย์ต่อกันแล้วควรมีอะไรอีก (ต้องมีความรับผิดชอบต่อตนและต่อครอบครัวให้เกียรติซึ่งกันและกัน) ถ้าท่านตอบได้อย่างนี้เราย่อมสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนเองเมื่ออยู่ในครอบครัวอย่างดีงาม แต่บ่อยครั้งที่เรารู้แต่เราปฏิบัติไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วก็ต้องเป็นทุกข์กับสิ่งที่ทำไม่ได้ใช่หรือไม่ เพราะการจะเอาแต่เรียกร้องคนอื่นนั้นไม่มีประโยชน์อะไร สู้เรียกร้องแล้วลงมือที่ตนเองทำดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่) ข้อคำนึงของผู้บำเพ็ญธรรมที่เราอยากบอกไว้ หรือของคนที่คิดอยากจะปฏิบัติดีมีชีวิตที่ดีงามที่ควรจะรู้ไว้นั่นก็คือ เรียกร้องผู้อื่นน้อยหน่อย แต่เรียกร้องตนเองให้มากหน่อย หรือพูดง่ายๆ ก็คือเข้มงวดกับตนเองให้มากแต่ผ่อนปรนกับผู้อื่น เมื่อตนเองดัดได้ตรงแล้ว การจะให้ผู้อื่นดัดตนก็คงจะไม่ยากใช่หรือไม่ เหมือนตัวเราเองนั้นพร้อมที่จะเป็นผู้นำของชีวิต หากเราไม่พร้อมวันนี้ชีวิตต้องเดินไปอยู่ทุกๆ วัน หากวันนี้เราไม่นำตนเองให้ดีการจะนำผู้อื่นหรือการจะให้ผู้อื่นเดินตามนั้นเป็นการยากใช่หรือไม่ (ใช่)
กิเลสนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับโลกมนุษย์ แต่ผู้ที่เข้าใจชีวิตและรู้จักบำเพ็ญตนแล้วจะพูดว่ากิเลสเป็นมิตรที่ดี เพราะกิเลสจะทำให้ผู้บำเพ็ญตนหลุดพ้นได้ แต่คนที่ยังไม่รู้จักชีวิตยังไม่รู้จักควบคุมตนบำเพ็ญตนจะเห็นว่ากิเลสนั้นเป็นศัตรูที่น่ากลัวพร้อมจะทำให้ตนนั้นทุกข์ได้ทุกเมื่อ เดือดร้อนได้ตลอดเวลา ไม่ว่าใครก็ตามที่มีกิเลส กิเลสนั้นย่อมเผาผลาญจิตใจคนนั้น ทำร้ายร่างกายคนนั้นให้มอดไหม้ตราบที่มีชีวิตและลมหายใจอยู่ แต่กิเลสจะสามารถช่วยให้คนนั้นหลุดพ้นได้ ก็ต่อเมื่อคนนั้นรู้จักกำราบกิเลสเป็น รู้จักควบคุมกิเลสได้เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่) บ่อยครั้งที่เราอยากเป็นคนดีแต่กิเลสหรืออารมณ์มักจะพาให้เราทำผิดอยู่เสมอ ถ้ามนุษย์รู้ผิดแล้วขาดสำนึกหรือไม่มีสำนึกแล้ว ไม่รู้จักแก้ไขคนนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับ เราไม่พูดดีกว่า เพราะมนุษย์เรามีปัญญา ปัญญาตรงนั้นคือ รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้อะไรควร รู้อะไรไม่ควร
เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งเกิดมาแล้วไม่มีประโยชน์ เกิดมาแล้วให้พิษ ให้หนามอันเจ็บปวดแก่ผู้อื่น อยู่ใกล้ใคร ใครก็อยากทำร้าย แต่คนเราถ้าจะเปรียบเป็นต้นไม้ เราเป็นต้นไม้ที่ประเสริฐกว่า มีปัญญาตรงที่รู้จักพัฒนาแก้ไขตนเอง บุคคลหรือคน คนหนึ่งก็เปรียบเหมือนราก รากนั้นสามารถแผ่กิ่งก้านสาขาออกทำให้ต้นไม้เติบโตใหญ่ได้ เป็นต้นไม้ที่ให้ร่มเย็นแก่ผู้อื่นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าบุคคลนั้นปราศจากคุณธรรมไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี รากนั้นก็ไม่ต่างจากรากเน่าๆ รากเน่าๆ จะก่อต้นไม้ที่สวยงามได้อย่างไร การศึกษาทำให้มนุษย์ฉลาด แต่การรู้จักฝึกตน ควบคุมตนทำให้มนุษย์เป็นคนดี เป็นคนประเสริฐ หากเราทำคนดีให้ฉลาดด้วย ทำคนฉลาดให้ดีด้วย สังคมย่อมร่มเย็นเป็นสุขใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าคนดีไม่ฉลาดไม่เป็นไร แต่ถ้าเกิดว่าคนฉลาดแล้วไม่ดีน่ากลัว และน่าอันตรายยิ่งนักใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเวลาเรามีชีวิตอยู่การรู้จักควบคุมตน จึงเป็นสิ่งสำคัญหากไม่มีแล้วก็ยากจะพูดถึงว่าอนาคนคนนั้นจะเป็นเช่นไรใช่หรือไม่ (ใช่)  ในโลกแห่งทุกข์สุขนั้น บ่อยครั้งที่มนุษย์เรามักจะทุกข์มากกว่าสุขใช่หรือไม่ (ใช่) ความทุกข์สอนให้มนุษย์เรารู้จักฮึดสู้ แต่ความสบายสอนให้มนุษย์รู้จักปล่อยปละหลงระเริง ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าคิดว่าเรื่องทุกข์เป็นเรื่องร้าย ไม่แน่ในเรื่องแห่งความทุกข์ก็สอนให้เรารู้จักสู้เป็น รู้จักดำเนินชีวิตได้เป็นใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เพราะอะไรบางครั้งบางคนทุกข์แล้วกลับไม่ฮึดสู้ ทุกข์แล้วกลับปล่อยให้ตนเองยังทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะอะไรรู้บ้างไหม (ความโง่) เพราะเราไม่รู้ ไม่รู้ว่าทำอย่างนี้จะทุกข์ แต่บางครั้งเรารู้ได้จากการดูประวัติศาสตร์ หรือดูจากคนข้างหน้า ชีวิตของทุกๆ คนเป็นบทเรียนอันมีค่าบางครั้งอย่าได้พูดว่าตนเองไม่รู้ แต่เรารู้ แต่เพราะอะไรเราจึงไม่รู้ เพราะว่าเราไม่เปิดใจให้กว้างใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าบอกว่าคนนี้เด็กกว่าเรา เราจึงไม่สนใจที่จะเรียนรู้ชีวิตเขา บ่อยครั้งที่คนนั้นเป็นพันพันปีได้ตายจากไปแล้วแต่ทำไมเราจึงเรียนรู้ได้ เพราะเขามีประวัติศาสตร์ที่น่าเอาแบบอย่างหรือไม่ควรเอาแบบอย่างใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการดำเนินชีวิตของเรา เราไม่ใช่รุ่นแรกเราเป็นรุ่นที่ต่อมาจากหลายๆ รุ่น เราควรรู้จักตั้งสติ วางปัญญาของตนเองให้ดีในการที่จะดำเนินชีวิตในแต่ละก้าวใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราจะพูดว่าเรารู้ได้แล้วเราจะสามารถไปได้ด้วยความสำเร็จ ไปได้ด้วยท่าทีอันสวยงาม ในการมีชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่) สิ่งสำคัญก็คือ กำลังและพลังใจใช่หรือไม่ (ใช่) ขาดกำลังและพลังใจวันนี้ก็คงไม่คิดจะมาศึกษา ทรัพย์สินหรือสิ่งของที่มนุษย์ไขว่คว้าและปรารถนาก็เปรียบเหมือนกับดารณีที่อยู่ในน้ำ เคยเห็นพระจันทร์ที่อยู่ในน้ำไหม ถ้าเราคว้า คว้าได้ไหม (ไม่ได้) แต่ใครๆ ก็อยากคว้าใช่หรือไม่ (ใช่) อยากคว้าให้ตนเองนั้นเป็นดาวดวงหนึ่งบนฟากฟ้าใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่การคว้านั้นมนุษย์เราเป็นเพียงแค่ความอยากความต้องการเพียงชั่วครู่ชั่วขณะ ความอยากของมนุษย์จริงๆ แล้วมักอยากในด้านใดกันบ้าง มักอยากในเรื่องลาภ ยศ เงินทอง ชื่อเสียง ใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งหรือว่าในขณะนี้อยู่ที่ตัวเรา แต่เวลาต่อไปกาลเปลี่ยนไปสิ่งที่ว่าอยู่ในตัวเราก็พร้อมจะเปลี่ยนแปลงไปอยู่ในตัวคนอื่นได้เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าเราเข้าใจความเป็นจริงนี้เราจะเข้าใจว่าเราอย่าได้อยากมากเลย อยากมากไปก็มีแต่ทุกข์เปล่าๆ แต่จะมีใครบ้างที่หยุดความอยากได้ เพราะอยากหนึ่งแล้วก็ต้องอยากสอง ใจเหมือนทะเลที่กว้างใหญ่และไร้ก้นบึ้งใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะมาบอกวิธีที่ทำอย่างไรให้อยากหนึ่งแล้วไม่อยากสอง อยากสามดีหรือไม่ อย่าได้มองเราเพียงแค่รูปภายนอก เราดูว่าเนื้อหาที่เราจะพูดในวันนี้น่าสนใจจริงหรือว่าหลอกลวงดีหรือไม่ (ดี) เราจะหลอกท่านไปไหนดี ก็ต้องตั้งใจฟังให้ดี แต่วันนี้เราจะมาบอกท่านว่าอยากอย่างไรที่จะทำให้เราไม่อยากอีกครั้งที่สองครั้งที่สามใช่หรือไม่ (ใช่)
บ่อยครั้งที่มนุษย์เราเกิดแล้วก็ดับ แต่ดับเรามักจะเป็นดับแล้วเหลือใช่หรือเปล่า เข้าใจคำว่าดับแล้วเหลือไหม เหมือนวันนี้เราอยากได้เงินทอง เราอยากได้แล้วเราหยุดดับได้แล้ว ดับได้ก็แค่วันเดียว พอผ่านไปอีกวัน ก็อดอยากขึ้นมาอีกไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ก็เลยกลายเป็นดับได้แล้วยังมีตะกอน มีความอยากคั่งค้าง ทำให้เกิดอยากในวันต่อไปใช่หรือไม่ (ใช่) งั้นเรามาดูการเกิดก่อน แล้วค่อยมาดูการดับดีหรือเปล่า (ดี) มนุษย์เราเกิดคืออะไร พูดกันอย่างง่ายๆ การเกิดคืออะไรบ้าง (การเกิดคือการเริ่มต้นของชีวิต, คือการชดใช้หนี้กรม, คือการปฏิสนธิของสิ่งมีชีวิต) ถ้าพูดตามหลักวิทยาศาสตร์การเกิดคือการเริ่มปฏิสนธิระหว่างสิ่งที่ตรงกันข้ามกันมาอยู่ร่วมกัน แล้วทำให้เกิดเป็นคนขึ้นมาใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเกิดเป็นคนมีร่างกายเป็นคนแล้ว แต่ขาดอย่างหนึ่งไม่สามารถเรียกว่าเกิดได้ใช่หรือไม่ นั่นคือขาดความรู้สึกในตัวตน มนุษย์เราเกิดมาแต่ถ้าขาดความรู้สึกในตัวตนก็ยังไม่เรียกว่าเกิดได้ เราต้องมีร่างกายและมีความรู้สึกในตัวตน แล้วความตายก็คือตรงกันข้ามใช่หรือไม่ (ใช่) ตายก็คือไม่มีชีวิตไม่มีความรู้สึก พอเข้าใจไหม ว่าความตายก็คือการดับซึ่งทุกสิ่ง หากเราพูดว่าเกิดดับตรงนี้ท่านเข้าใจไหม ลองเข้ามาดูใกล้ๆ อีกเหมือนอารมณ์เรา เวลามีใครมาว่าเราพอเราเกิดความรู้สึกอารมณ์นั้นก็เกิดขึ้นมา แต่ถ้ามีคนมาว่าเรา เราไม่มีความรู้สึกในตัวตน อารมณ์นั้นจะเกิดไหม (ไม่เกิด) ก็แปลว่าอารมณ์นั้นตาย นอนนิ่งอยู่กับที่ใช่หรือไม่ ฉะนั้นการมีชีวิตเราดับเป็นไหม โดยการทำอย่างไร โดยการไม่รู้สึกในตัวตนใช่หรือไม่ (ใช่) ทำได้ยากใช่ไหม ตอนนี้เราพูดเรื่องการดับแล้วเรารู้ว่าการเกิดเป็นอย่างไร เกิดก็คือมีความรู้สึก เรื่องราวมากระทบใจเราแล้วมีความรู้สึก มีตัวตน มีความรู้สึกนั้นพอเข้าใจตรงนี้ไหม เราพูดง่ายๆ เหมือนมีคนมาพูดว่ารักท่านนะ ท่านเกิดความรู้สึกดีใจที่เขารักในตัวตนเราใช่หรือไม่ ดีใจที่เขามาพูดกับเรานั้น คือรู้สึกในตัวตนที่เป็นตนใช่หรือไม่ แต่ถ้าเราพูดว่า เขารักท่านนะแต่เป็นคนข้างๆ เรารู้สึกเป็นอย่างไร (ไม่รู้สึก) เพราะว่าไม่ได้รักในตัวตนเรา แต่เป็นคนข้างๆ นั่นก็แปลว่าเหมือนๆ กัน นั่นก็คือถ้าเราไม่รู้สึกในตัวตน การเกิดนั้นก็จะไม่บังเกิดในตัวเราใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ไปเกิดในคนอื่นเพราะว่าตัวตนเป็นตัวตนของคนอื่น เข้าใจตรงนี้ไหม แต่ถ้าฟังแล้วพิจารณาให้ดีจะรู้ว่าเกิดและการดับนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลยใช่หรือไม่ (ใช่) ก็เหมือนกับเรื่องอารมณ์ที่มากระทบใจ หากเราลืมตัวตนได้ อารมณ์นั้นก็จะไม่มีผล ไม่เกิดขึ้นกับใจ เหมือนเรามีเงินสิบบาท พอเขาบอกว่าให้ท่านมาอีกสิบบาท ถ้าท่านบอกว่าพอใจแล้ว สิบบาทนั้นจะมีผลต่อใจไหม (ไม่มี) เหมือนท่านเป็นเจ้าของโรงสีข้าว ถ้ามีคนเอาข้าวมาให้ท่านอีก ท่านอยากได้ไหม ก็ไม่อยากใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการเกิดการดับในโลกนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องยาก ไม่ใช่ว่ารอให้เราหมดร่างกาย หมดอายุขัย หมดลมหายใจแล้วเราค่อยดับ แต่เราก็สามารถดับได้เมื่อเรามีอารมณ์ มีอายุขัย มีชีวิต แต่ต้องเป็นอารมณ์ อายุขัยที่ไร้ตัวตนใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้ก็ได้รู้การเกิดการดับของชีวิตแล้ว นอกจากจะรู้จักการเกิดการดับของชีวิตแล้ว เรายังรู้จักการเกิดดับที่จะทำให้เรามีอารมณ์ด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) เวลามีใครมาว่าเรา เราก็ลืมตัวตน ลืมว่าเราไม่ได้ชื่อนี้ ไม่ได้เป็นคนๆ นี้ เราจะได้ไม่โกรธดีหรือเปล่า (ดี) ก็ยังดีไม่หมดใช่หรือไม่ (ใช่) ทำไมเราถึงบอกว่าดีไม่หมด บางครั้งคนที่มาว่าเรา ความโกรธไม่ใช่เป็นการกระทำที่ถูกต้อง แต่การเอามาคิดพิจารณาถึงจะเป็นการกระทำที่ถูกต้องใช่หรือไม่ (ใช่) บ่อยครั้งที่เราทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดยากที่จะถูกใจคนทุกคนได้ บางครั้งเราว่าเราทำดีแล้ว แต่อีกคนหนึ่งเขากลับไม่ชอบเขากลับเกลียดชังใช่หรือไม่ (ใช่) เราอยู่บนโลกนี้ใครๆ ก็อยากมีสุขมากกว่ามีทุกข์ อยากให้คนรักมากกว่าคนเกลียดใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราจะทำอย่างไรดีให้เรามีสุขมากกว่ามีทุกข์ มีคนรักมากกว่าคนชัง เราก็ต้องรู้จักโอบอ้อมอารีซึ่งกันและกัน นอกจากความโอบอ้อมอารีแล้ว ยังมีความเมตตา บ่อยครั้งที่เราอยู่ร่วมกันหากไม่มีความโอบอ้อมอารีไม่มีเมตตาจิตต่อกัน เรานั่นแหละอาจทำให้เขาเกลียดเราได้ และเรานั้นอาจจะเป็นผู้สร้างความทุกข์ให้กับตัวเองได้ ถ้าเราขาดซึ่งจิตใจรักและเมตตาใช่หรือไม่ (ใช่) แต่รักอย่างไรที่จะไม่ทำร้าย ไม่เห็นแก่ตนแล้วเกิดความลำเอียงใจ บ่อยครั้งที่เรามีรักแล้วเราก็มีทุกข์ แล้วเกิดความเอนเอียงเห็นแก่ตน เราเชื่อว่าคนใดคนหนึ่งในชั้นนี้ล้วนแต่มีคนที่รักเขาใช่หรือไม่ (ใช่)
รักอย่างไรดี ในชั้นนี้ใครพอจะตอบได้ถูกใจเราบ้าง (รักที่จะให้โดยไม่หวังอะไร) รักด้วยใจรักยอมเสียสละให้ทุกอย่างไม่หวังสิ่งใดตอบแทนใช่หรือไม่ หากเราพูดว่ารักโดยที่ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง รักโดยไม่เลือกให้เฉพาะเจาะจงสามารถเป็นรักที่ให้ได้กับทุกๆ คน รักพ่อแม่ของเราได้ก็รักครอบครัวเขาได้ รักตัวเราเองได้ก็รักคนอื่นได้ เกลียดอย่างใดก็ไม่ให้เกลียดสิ่งนั้นกับคนอื่น อย่างนี้เป็นความรักที่อยากได้ดีไหม (ดี) นั่นก็คือตัวเองรักสุขเกลียดทุกข์อย่างไรก็ทำกับคนอื่นอย่างนั้น ไม่ทำสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบกับคนอื่น ไม่เลือกที่รักมักที่ชังและไม่เลือกลูกเขาลูกเราทำได้ไหม (ได้) หากทุกๆ คนทำได้เมื่อนั้นตาเราก็จะคอยสอดส่อง หูเราก็จะคอยมอง มองอะไร ฟังอะไร ฟังที่จะช่วยเหลือคน กาย มือ ขา ก็จะขยับเขยื้อนเสริมกำลังช่วยเหลือ หู ตา ในการช่วยเหลือคน เมื่อใดที่เรามีความรักแบบไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เป็นความรักที่รักทุกๆ คนอย่างเท่าเทียมกัน เมื่อนั้นจะไม่มีใครถูกทอดทิ้ง ใครถูกให้อยู่อ้างว้างเดียวดายใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ปัจจุบันนี้รักของแต่ละคนเป็นรักที่เห็นแก่ตน เป็นรักที่ต้องมีผลประโยชน์ตอบแทน ใช่หรือไม่ (ใช่) เราจึงเห็นคนที่ถูกทอดทิ้ง คนที่ถูกพลัดพราก คนที่ถูกคนไร้การดูแลเอาใจใส่ เพราะว่าเราขาดความรักให้กับคนประเภทนี้ เรามักจะรักโดยที่มีผลประโยชน์ มักรักต้องได้รับตอบใช่หรือไม่ (ใช่) เราลืมรักไปอย่างหนึ่ง รักที่ไม่หวังผล เมื่อใดที่ทุกๆ คน รักที่ไม่หวังผล เมื่อนั้นโลกจะอยู่ร่วมกันอย่างฉันท์มิตร มีน้ำใจเอื้ออาทรกัน มีความอบอุ่นให้แก่กัน ดูแลเอาใจใส่คนแก่ไม่ถูกทอดทิ้ง เด็กไม่ถูกอะไร ไม่ถูกปล่อยปละใช่หรือไม่ (ใช่) คนยากจนมีคนเห็นใจ แต่เดี๋ยวนี้เด็กหรือผู้ใหญ่ที่ถูกทอดทิ้ง คนที่เดือดร้อนกลับกลายเป็นความเห็นใจที่แลกเปลี่ยนมาด้วยเงินทองใช่หรือไม่ (ใช่) กับเอาความสงสารมาแลกเป็นเงินเป็นทอง การดำรงชีวิตของเราจึงขาดซึ่งความรักที่แท้จริง ขาดซึ่งน้ำใจอันดีงาม กลายเป็นเอาความสงสาร ความเมตตามาแลกเป็นเงินเป็นทอง ซึ่งไม่น่ามีเลยในสังคม ในจิตใจของคนอื่นประเสริฐ ซึ่งไม่น่ามีเลยในโลกที่เรียกว่าศรีวิไลจริงหรือเปล่า (จริง) หากกายเราพัฒนาไปด้วยพร้อมกับวัตถุโลกเราก็คงไม่มีคนที่ถูกทอดทิ้งใช่หรือไม่ (ใช่) จิตใจของคนเราก็ไม่ตกต่ำ แต่เพราะขาดซึ่งความรักที่แท้ รักโดยที่ไม่หวังผล รักที่ให้โดยคิดว่าหากสังคมสุขฉันก็สุข แต่ทุกคนมักจะคิดว่าฉันไม่สุขสังคมทำไมต้องสุขใช่หรือไม่ (ใช่) ความรักของแต่ละคนจึงเป็นรักที่เห็นแก่ตน รักที่หวังผลประโยชน์ แต่เดี๋ยวนี้คนเราไม่อยากทำความดีใช่หรือไม่ (ใช่) หรือพูดง่ายๆ ไม่อยากรักษาความดี รักษาคุณธรรมในใจเพราะอะไร เราถึงไม่อยากเป็นคนดี อยากเป็นไหม (อยาก) แต่เพราะอะไรบ่อยครั้งที่เราไม่อยากจะเป็นคนดี ท้อในการกระทำดี เบื่อแล้วที่จะเป็นคนดี เพราะอะไร เบื่อไหมกับการจะเป็นคนดี หรือรักษาความดีในใจตน (เพราะไม่เห็นผลของการทำดี) บ่อยครั้งที่มนุษย์เราไม่อยากทำความดี เพราะไม่เห็นผลใช่หรือไม่ (ใช่) ปลูกต้นไม้จะให้โตภายในสามวันได้หรือไม่ (ไม่ได้) ทำความดีหนึ่งแก้วจะดับไฟทั้งโลกได้หรือไม่ (ไม่ได้) ทำความดีจะดับความชั่วร้ายทั้งหมดหรือเอาชนะจิตใจคนได้หรือเปล่า คงทำไม่ได้ในวันเดียวใช่หรือไม่ (ใช่) คงต้องใช้เวลาเฉกเช่นเดียวกับความทุกข์หรือความชั่วร้ายจะก่อให้เกิดผลทันทีไม่มีทางเป็นไปได้ ต้องเกิดจากการสั่งสมรวมตัวกันจนยิ่งใหญ่ จึงจะส่งผลได้บ่อยครั้ง ที่ว่ามนุษย์เราคิดว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี ทำชั่วแล้วไม่เห็นถูกลงโทษจึงมักจะปล่อยปละที่จะรักษาความดี แล้วก็ไม่คิดที่จะเลิกความชั่วใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะว่าดีไม่เห็นดี ชั่วไม่เห็นผลใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เราพูดไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าการที่จะเรียกร้องคนอื่นนั้นสู้เรียกร้องตนเองดีกว่า การที่จะดัดคนอื่นนั้นสู้ดัดตนเองให้ได้ก่อนดีกว่า ค่อยไปดัดผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นก็คือว่าหากท่านถามอย่างหนึ่งยอมหรือไม่ที่จะเสียสละ เป็นคนหนึ่งที่เป็นตัวแทนประจักษ์ให้เห็นว่าทำดีแล้วได้ผลดี ทำชั่วแล้วได้ผลชั่วท่านจะยอมเป็นคนคนนั้นไหม หากท่านยอมเป็นก็เหมือนกับการโยนหินลงในแม่น้ำ เมื่อโยนหินลงในแม่น้ำวงที่เกิดย่อมเกิดนานับประการใช่หรือไม่ (ใช่) หากมีคนคนหนึ่งยอมทำดีแล้วประจักษ์ให้เขาเห็นว่าได้ผลดี แล้วยอมลงโทษตนเองให้ได้ผล เขาย่อมจะเป็นเหมือนหินก้อนนั้นใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเราทำดีเราให้รางวัลกับการทำดีของเรา เมื่อเราลงโทษเรากล้าพูดและกล้าที่จะแก้ไขตนเอง เราก็เหมือนกับหินก้อนนั้นที่ประจักษ์ให้หมู่ชน ที่ประจักษ์ให้ครอบครัวของตนเองได้รู้ว่าทำดีแล้วบังเกิดผล ทำชั่วแล้วมีโทษใช่หรือไม่ (ใช่) แต่บ่อยครั้งเวลาเราทำชั่วแล้วเราเกิดกรรมกับตนเอง เราไม่กล้าพูดว่าตนเองนั้นไปทำเหตุที่ไม่ดีมาก่อน เรามักจะโทษว่าคนอื่นทำให้เราเป็นเช่นนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเราสืบให้ดีเราจะรู้ว่าเหตุที่ต้องรับผลแบบนั้นก็เพราะว่าเรานั่นแหละไปบิดเบือนเขา เรานั่นแหละไปคดโกงเขา แล้วเราก็เอาตัวอย่างของเรานั้นไปประจักษ์ให้คนอื่นเห็น ให้คนอื่นเห็นเขายอมเชื่อว่าดีผลชั่วมีจริงใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ปัจจุบันนี้ขาดหินที่ยอมสละตนเอง ยอมอุทิศตนให้ชาวโลกได้รู้ว่าทำดีแล้วบังเกิดผล ทำชั่วแล้วก็มีผลเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) เราไม่ยอมเวลาเราทำผิด เราละอายเราปกปิดใช่หรือไม่ (ใช่) เราไม่กล้าแก้ไขเวลาเราทำชั่วเราทำดีเราทำเพียงเล็กน้อย แต่เราป่าวประกาศเหมือนทำดียิ่งใหญ่ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วผลประจักษ์ได้อย่างไร แล้วฟ้าจะให้ความเที่ยงธรรมกับท่านได้อย่างไรจริงหรือไม่ (จริง) ในเมื่อตัวท่านยังไม่เที่ยง ในเมื่อตัวท่านยังบริสุทธิ์ได้ไม่เต็มที่จะให้ฟ้าประกาศผล ใจให้ฟ้าส่งผลก็คงยาก ฉะนั้นขอให้ท่านเป็นก้อนหินก้อนหนึ่งที่พร้อมจะทำดีแม้ผลจะยังไม่บังเกิดก็ยังคงทำ เมื่อไรที่ทำผิดพร้อมจะแก้ไข พร้อมจะสำนึกตนและเอาความผิดของตนเองเป็นบทเรียนอันมีค่า กล้าเอาไปสอนลูกหลาน เมื่อไรที่เราเอาบทเรียนอันมีค่าไปสอนให้ลูกหลานเห็นว่าดีมีผล ชั่วมีโทษ ลูกหลานย่อมเชื่อแล้วว่าดีมีจริง ชั่วมีจริง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ตอนนี้แม้แต่เราทำผิดเราก็ไม่กล้าบอกลูกหลาน แต่แม่ยังไม่ยอมเลิก พ่อยังไม่ยอมหยุด ในการทำไม่ดี แล้วลูกหลาน คนที่อยู่รอบข้างเรา คนที่อยู่เบื้องใต้เราจะทำตามใคร ในเมื่อข้างหน้าไม่มีตัวอย่าง เบื้องหน้าไม่มีแบบอย่างอันดีจริงหรือไม่ (จริง) ถ้าอย่างนั้นเริ่มดีเริ่มชั่วอย่าได้มองไกลตัวเอง นั่นแหละเป็นเหมือนก้อนหินก้อนหนึ่งที่ยอมสละให้เกิดวงนานับไม่ถ้วน วงแห่งการปฏิบัติต่อมานานับประการ หากเราทำได้ เราย่อมเป็นหินอันมีค่าที่ยอมสละตนเอง แม้จะต้องจมลงในน้ำ 
แม้เรื่องราวภายนอกจะวุ่นวายเพียงใด แต่หากภายในจิตใจรู้จักบำเพ็ญตน รู้จักดำเนินชีวิตตนให้เป็น รู้จักเชื่อมั่นในความถูกต้องและดีงาม พร้อมที่จะเดินไปด้วยความระมัดระวังทุกก้าว ในการมีชีวิตแม้ภายนอกจะวุ่นวายอย่างไรก็ยากจะมีผลต่อจิตใจเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) ดูดอกไม้ในตะกร้าใบนี้มีหลากสีหลายแบบ แต่ละแบบๆ ก็มีคุณค่าในตัวตนเองใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งเราสามารถทำเช่นนี้ แต่เราไม่สามารถทำเช่นดอกนี้ได้ บางครั้งเราชูช่อได้ยาวเท่านี้ แต่เราไม่สามารถชูช่อได้สูงกว่านี้ใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตคนก็เหมือนกันบางครั้งเรามีชีวิตอยู่ การดิ้นรนการแสวงหาในโลกนี้ บางครั้งเราได้ดีที่สุดเท่านี้แล้ว บางทีไม่ต้องมีทุกข์กับการมีเท่านี้ แต่ควรจะมีสุขที่ได้มีเท่านี้ต่างหาก เมื่อยามมีชีวิตใช่หรือไม่  แต่มนุษย์เรามักจะเป็นเหมือนนก บินแล้วต้องบินให้สูง อยากแล้วต้องอยากให้ถึงที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) จึงทำให้เราไขว่คว้าไปไม่หยุดนิ่ง เหนื่อยไม่หยุดหย่อนไม่รู้จักพักผ่อนให้กับตน ไม่รู้จักเสรีแห่งชีวิตก็เพราะว่าสูงเท่านี้ไม่พอต้องสูงกว่านี้อีก ใหญ่เท่านี้ไม่พอต้องใหญ่ให้ได้เท่านี้และทุกข์ไหม (ทุกข์) สุขไหม (ไม่สุข) ไม่สุขเลยใช่หรือไม่ (ใช่) งั้นชีวิตก็ไม่ยากเลย ดูดอกไม้เป็น ทำไมดูตนเองไม่เป็น ปลูกต้นไม้ได้ ทำไมปลูกใจตนเองไม่ได้จริงหรือไม่ (จริง)
“เตือนใจตนสู้กระแสแห่งมายา ปฏิปทาดุจปลาซึ่งน่าเกรงขาม” เคยเห็นปลาไหม (เคย) ปลาว่ายตามน้ำหรือว่ายทวนน้ำ (ทวนน้ำ) ชีวิตคนตามกระแสหรือทวนกระแส (ตามกระแส) ตามอารมณ์หรือทวนอารมณ์ (ทวนอารมณ์) งั้นมีชีวิตสู้ปลาก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) อะไรลำบากไม่ยอมสู้ถอยก่อนคนแรกอย่างนี้ดีหรือไม่ (ไม่ดี) อย่างนี้จะเรียกประเสริฐได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นบางครั้งอะไรที่ทวนกระแสเราต้องทวนได้ ไม่อย่างนั้นอายปลา อะไรที่ขัดใจยอมไหม (ไม่ยอม) ยังไม่ยอมอีกหรือ อย่างนี้ปลาก็น่าจะอายใช่หรือไม่ ท่านเคยเห็นแมวไหม พอดึงหางมันจะเดินหน้าใช่หรือไม่ (ใช่) กดหัวเป็นอย่างไร ดันตัวเองขึ้นมาใช่หรือเปล่า แต่มนุษย์เป็นอย่างไร ทุกข์แล้วทุกข์เลย สุขแล้วสุขเลยอย่างนั้นหรือ อย่างนี้ท่านก็สู้แมวไม่ได้แล้ว แมวยังรู้จักสู้ แมวไม่มีปัญญาสู้ยังรู้จักสู้ ยิ่งกดหัวก็ยิ่งดันให้สูง ฉะนั้นยิ่งทุกข์เรายิ่งต้องสู้ให้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ยิ่งสุขเราต้องระมัดระวังอย่าหลงระเริง ไม่อย่างนั้นก็สู้ไม่ได้ ปลาก็น่าอาย มองฟ้าก็อายนก มองน้ำก็อายปลา มองพื้นดินก็อายแมว
ลมทำให้เราเย็นใช่หรือไม่ ลมมีลักษณะอย่างไร วันนี้ถ้าไม่มีลมคงไม่ยอมนั่งที่นี่แน่ใช่หรือไม่ (ใช่) แปลว่าลมทำให้ท่านนั่งอยู่ได้ ลมไม่มีตัวตนจับต้องไม่ได้ แต่ทำให้ท่านนั่งอยู่ได้ แปลว่าลมก็มีคุณประโยชน์ ลมมีคุณสมบัติอยู่สองอย่าง (ลมทำให้เรารู้สึกสบาย และดับร้อนในตัวได้) ลมมีทั้งคุณและโทษ โทษก็คือทำให้ของกระจัดกระจาย คุณก็คือทำให้เกิดความเย็น ทำให้เกิดการรวมตัว หรือทำให้เกิดความเย็น ลมก็ช่วยทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้เหมือนกัน ถ้าเราขาดลมแล้วเป็นอย่างไร (ตาย) นั่นคือลมอะไร (ลมหายใจ) และลมก็ทำให้ไม่มีชีวิตได้ จริงหรือไม่ (จริง) นั่นก็คือลมมาทำให้เกิดการรวมตัวและลมทำให้เกิดการกระจัดกระจายได้ แปลว่าลมที่มองไม่เห็นนี้ก็มีอำนาจเหมือนกัน นอกจากลมหายใจแล้ว เรายังมีลมอีกลมที่น่ากลัวไม่ใช่เล่นเหมือนกัน ก็คืออารมณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่) อารมณ์นี้ทำให้เป็นอย่างไรกันบ้าง ถ้าใครจำได้ที่เราพูดตอนต้นอารมณ์นี้ถ้าหากมีมากกว่าคุณธรรมอาจจะทำให้เราทำผิดได้ เป็นอารมณ์แห่งกิเลส เป็นอารมณ์แห่งตัณหา แล้วอารมณ์นี้ยังทำร้ายเราหรืออารมณ์นี้หากเป็นอารมณ์ความมุ่งมั่น หรือหากเปลี่ยนจากอารมณ์เป็นความมุ่งมั่น ปณิธานความตั้งใจใช่หรือไม่ (ใช่) อารมณ์นี้เปลี่ยนเป็นความมุ่งมั่นตั้งใจในทางที่ดีย่อมสร้างสรรค์ แต่ถ้าอารมณ์เกิดการเบี่ยงเบน เกิดการไม่เที่ยงแท้ เกิดความไม่แน่นอนเห็นแก่ตน อารมณ์นั้นย่อมทำลายคนและทำลายตนเอง แปลว่าลมไม่ใช่มีประโยชน์แค่เพียงให้ความเย็น ให้ความรู้สึก แต่ลมยังสร้างสรรค์และทำลายได้ ขึ้นอยู่กับคนๆ นั้นเกิดอารมณ์อย่างไร เมื่อมีลมขึ้นมา แล้วเราอยากมีลมไหม ลมร้อน หรือลมเย็น (ลมเย็น) ลมเย็นตอนอากาศหนาวหรือลมตอนอากาศร้อน ลมร้อนตอนอากาศเย็นนั่นคือรู้จักมีลมแล้ว ยังต้องดูสภาพแวดล้อมด้วยหรือไม่ พอดูสภาพแวดล้อมด้วยแล้วยังต้องดูคนด้วยใช่หรือไม่ อากาศร้อนใจท่านเย็น แต่เขาร้อนเราเอาเย็นไปสาดเลยทีเดียวดีไหม (ไม่ดี) อย่างนี้เรียกว่าฆ่าเราทั้งเป็นด้วย และฆ่าเขาทั้งเป็นด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเวลามีอะไรนอกจากดูเราเป็นแล้ว ยังต้องดูเขาให้เป็นด้วย ใช่หรือไม่ เรามาอยู่ด้วยกัน เราอยากสร้างแต่สิ่งที่ดีๆ สร้างแต่รอยยิ้มให้แต่คำพูดที่ดีงาม จากไปเราจะได้ไม่เสียใจที่มาพบท่านแล้ว ชีวิตคนก็มีค่าเท่านี้ ตอนอยู่ขอให้ทำดีที่สุด เวลาไปเราจะไม่เสียดายอะไรเลยจริงหรือไม่ แต่เวลาเราอยู่เรากลับมักลืมข้อนี้ไปใช่หรือไม่ ปล่อยตนเองไปตามอารมณ์ ตามใจตนเองไม่สนใจคนรอบข้าง จึงทำให้เวลาจากไปแล้วเรียกร้องอะไรไม่ได้แล้วจริงหรือไม่ (จริง)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ได้ฟังเราพูดบ้างหรือเปล่า (ฟัง) เราพูดอะไรไปบ้างแล้วจำได้ไหม บำเพ็ญธรรมไม่ใช่แค่การลงแรงปฏิบัติอย่างเดียว แต่ต้องสามารถขัดเกลาจิตใจตนเองได้ด้วย เราต้องรู้ด้วยว่าอารมณ์ตอนไหนที่เกิดขึ้นแล้วทำร้ายจิตเรา อารมณ์ตอนไหนที่เกิดขึ้นแล้วให้โทษแก่เรา เราควรดับเสียตั้งแต่ต้น ใช่หรือไม่ (ใช่) การศึกษาบำเพ็ญธรรมเราต้องตั้งใจบำเพ็ญให้เป็นแบบอย่างที่ดีงาม บำเพ็ญเพื่อเป็นต้นโพธิ์ หากเราบำเพ็ญอยู่ตรงนี้ยิ้มได้ พูดได้ พูดธรรมะมากมายได้ แต่กลับไปบ้านยิ้มไม่ได้พูดไม่ออกอย่างนี้ไม่เรียกว่าบำเพ็ญใช่หรือไม่ บำเพ็ญต้องเมตตาจากบ้านได้ก่อน ถึงจะเมตตากับผู้อื่นได้ อย่าเป็นคนที่เมตตาผู้อื่นเป็น แต่เมตตาในบ้านตนเองไม่เป็น อย่าเป็นคนที่ควบคุมได้แต่ภายนอก แต่พอเข้าไปในบ้านกลับระเบิดออกมา อย่างนี้ไม่เรียกว่าผู้บำเพ็ญใช่หรือไม่ (ใช่) จะบำเพ็ญตน เราต้องรู้จักควบคุมใจตนเองให้ได้ หากเราควบคุมใจตนเองได้ เวลาไปไหนคนย่อมอยากเข้าใกล้ คนย่อมนับถือ หากเราไปไหนคนแตกกระเจิง ไปไหนคนไม่อยากคบหา แปลว่าเรายังบำเพ็ญได้ไม่ดี ถ้าบำเพ็ญไปที่ไหน พูดอยู่ตรงไหนใครก็อยากฟังในสิ่งที่เราพูด ใครก็อยากมองในการปฏิบัติของเรา แปลว่าทั้งพูดทั้งปฏิบัติเราได้บำเพ็ญดีแล้ว แต่ไม่ใช่พูดแล้วก็ไม่อยากฟัง ปฏิบัติแล้วก็ไม่อยากมอง อย่างนี้ไม่อาจเรียกว่าผู้บำเพ็ญที่ถูกต้องใช่หรือไม่ (ใช่) ธรรมะที่เรารับไปก็ไม่มีค่า ค่าอยู่ที่เข้าใจแล้วลงมือปฏิบัติอย่างจริงๆ จังๆ แล้วเราถึงจะประจักษ์เห็นได้ว่า บำเพ็ญแล้วได้ผลจริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
มาฟังธรรมะ ขอให้เวลาที่เสียไปแต่ต้องเข้าใจว่าได้อะไรกลับไปด้วย ไม่อย่างนั้นพอกลับไปแล้วมีใครมาพูดว่างมงาย ว่าไม่ดี ท่านก็ไปตามเขาแล้ว มาหนึ่งวันก็ไม่มีประโยชน์ ฟังไปก็เมื่อยเปล่าๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฟังแล้วต้องพยายามทำความเข้าใจดูว่าจุดประสงค์ที่เขาพูดแล้วมีความน่าเชื่อถือแค่ไหน ดูความตั้งใจจริง ดูน้ำใจ หรือดูสิ่งที่เขาให้ท่าน หลอกลวงหรือเปล่า ท่านพิสูจน์ได้ ปัญญาท่านมีจริงหรือไม่ ตอนนี้ขอให้คิดให้ดีๆ ว่าหลอกหรือไม่หลอก ตอนนี้พิสูจน์ได้ พิจารณาได้ เพราะได้ยิน ได้เห็น แต่กลับไปไม่ได้ยินแล้ว ไม่เห็นแล้ว การพิจารณาย่อมยากใช่หรือไม่ (ใช่) การเชื่อคนอื่นย่อมง่ายจริงหรือเปล่า ต้นไม้ว่าบ่อยๆ ยังเฉา คนโดนด่าโดนดุมากๆ ยังหมดกำลังใจ แล้วนับประสาอะไรกับโดนว่ากรอกหูอยู่บ่อยๆ ว่าธรรมะปลอมย่อมปลอมได้ในวันใดวันหนึ่ง ถ้าท่านไม่เข้าใจ ฉะนั้นขอให้พยายามศึกษาให้ดีๆ วันนี้มาแล้วขอให้ตั้งใจฟัง
โลกสวรรค์จะย้ายจากเบื้องฟ้าลงมาโลกมนุษย์ได้ก็ต่อเมื่อมีเทวดาและนางฟ้าใช่หรือไม่ (ใช่) สวรรค์จะบังเกิดได้ สถานที่จะเกิดได้ก็ต้องมีคนสร้างใช่หรือไม่ ถ้าเราอยากมีสวรรค์ในบ้าน เราต้องเป็นนางฟ้าให้ได้ก่อน ทำได้หรือไม่ มีใจแบบนางฟ้า แบบเทวดา ทำได้หรือเปล่า ถ้าเมื่อไรเราทำได้ทุกวันหรือทำได้ทุกขณะมีลมหายใจ เราจะสามารถย้ายสวรรค์ลงมาอยู่บนโลกดีหรือไม่ (ดี) เราอยากเป็นนางฟ้าหรือเทวดาไหม คุณสมบัติคือเราต้องเป็นคนดี แล้วเราต้องทำความดีด้วย ไม่ใช่ว่าเป็นคนดีแต่ไม่รักดีก็ไม่มีประโยชน์ใช่หรือไม่ เห็นคนดีรักดีเรายังต้องปฏิบัติดีให้ได้ ท่านอยากเหาะเหินเดินอากาศหรือมีคำพูดที่ศักดิ์สิทธิ์เหมือนนางฟ้าได้ ก็ต้องพูดแล้วทำ ทำเสร็จแล้วค่อยพูดค่อยว่า ค่อยจา แล้วจึงจะสามารถเป็นคำพูดที่ศักดิ์สิทธิ์ได้ จริงหรือไม่ (จริง) แล้วอยากให้เป็นคำพูดที่ศักดิ์สิทธิ์แม้กระทั่งคนอื่นด้วยหรือไม่ เราต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเขา ให้ความเชื่อมั่น มั่นใจเขาแล้ว เขาก็จะรักษาสัญญาและให้ความเชื่อมั่นกับเราจริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นการย้ายสวรรค์ลงมาอยู่บนโลกมนุษย์ก็ไม่ใช่เรื่องยาก อยู่ที่ตัวเราว่ารู้จักทำไหม ขอให้มีพื้นฐานหรือความคิดที่ดีก่อนแล้วมุ่งไปให้สำเร็จอย่าเกี่ยงว่ายากจะบำเพ็ญดี แต่อยากเป็นนางฟ้าเทวดาก็ต้องพยายามทำให้ดี อย่าเกี่ยงว่าลำบากดีหรือไม่ (ดี) เมื่อไรที่เราสามารถเป็นนางฟ้าได้บนโลก เราก็จะเป็นพุทธะเป็นแดนสวรรค์ได้บนแดนนิพพานได้ แต่ถ้าเมื่อไรเรายังอยู่บนโลกยังเป็นคนที่ดีบ้าง ชั่วบ้าง กลับขึ้นไปอย่างมากก็เป็นแค่นางฟ้า อย่างน้อยที่สุดก็ตกนรกใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นก็ต้องพยายามบำเพ็ญตนให้ดี อย่างน้อยเป็นพุทธะไม่ได้ ก็ต้องเป็นนางฟ้าให้ได้ดีไหม นางฟ้าต้องยิ้มเก่งไหม บึ้งง่ายไหม โกรธง่ายไหม เอาแต่อารมณ์ไหม เอาแต่ใจไหม เห็นแก่ตนได้ไหม (ไม่ได้) ต้องรู้จักมองคนอื่นบ้างให้เป็นประโยชน์แก่คนอื่นบ้างใช่หรือไม่ (ใช่) 
ตอนนี้อากาศเย็นแล้ว เมื่อเวลาพลบค่ำเราย่อมคิดถึงบ้านใช่หรือไม่ จากมานานๆ เราย่อมต้องคิดถึงบ้าน กายเราก็ย่อมมีบ้านของกาย พุทธจิตธรรมญาณก็มีบ้านของพุทธจิตธรรมญาณ แต่ตอนนี้เราเหมือนคนที่เดินมาไกลแล้วหลงลืมทางกลับบ้าน การบำเพ็ญตนก็คือการรู้ทางหลุดพ้นแห่งพุทธจิตธรรมญาณตน กายเรารู้จักกลับ ต้นไม้แม้จะสูญพันธุ์ยังต้องตกลงมาสู่พื้น ใบไม้เกิดจากรากขึ้นไป ใช่หรือไม่ (ใช่) วันหนึ่งต้องตกลงมาสู่พื้น ชีวิตของเราเกิดมาแล้วก็ต้องกลับคืนสู่ที่มาของตนเอง กายนี้มาจากไหนก็ต้องคืนสู่สภาพนั้น กายเกิดมาจากธาตุทั้งมวล ตั้งแต่ ลม ไฟ ดิน น้ำ เมื่อดับไปก็คืน ลม ไฟ ดิน น้ำ แต่พุทธจิตธรรมญาณมาจากเบื้องฟ้า ฉะนั้นตอนนี้เราพูดว่าท่านมาจากเบื้องฟ้า อยากจะกลับเบื้องฟ้าไหม (อยาก) อย่าได้คิดว่าเรามาจากเบื้องล่างเลย เราคิดว่าทุกคนในที่นี้มาจากเบื้องฟ้า ใครๆ ก็อยากกลับเบื้องฟ้าใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ชีวิตของเราอยู่แล้วเรากลับชักใจฟ้าลงต่ำ เมื่อเราชักใจฟ้าลงต่ำ การจะกลับเบื้องฟ้าจึงต้องผ่านความยากลำบากถึงจะกลับคืนได้ใช่หรือไม่ (ใช่) น้ำมาจากฟ้ายังต้องยอมกลั่นตัวถึงจะกลับคืนฟ้า แล้วคนหากมาจากเบื้องบน ฝ่าความยากลำบากนิดหนึ่งแล้วกลับเบื้องบนไม่ยอมกลับหรือ ก็น่าจะกลับกันบ้างใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าได้กลัวความยากลำบาก ต้นไม้สูญพันธุ์ยังต้องร่วงลงสู่ดิน ชีวิตคนแม้จะยากดีมีจนอย่างไรก็ต้องกลับคืนสู่ที่มาของตนเอง กายมีที่กลับแล้วคือกลับคืนสู่ธาตุเดิม แล้วจิตญาณเราอยากลงสู่ที่ต่ำหรือก็ไม่อยากใช่ไหม ใครๆ ก็อยากคืนเบื้องสูง แต่การจะคืนเบื้องสูงได้ขึ้นอยู่กับตอนมีชีวิตอยู่ เราทำตนเองไปทางทิศใด ทำดีย่อมไปดี ทำชั่วย่อมไปชั่ว ทำตนเองให้เขาโปร่งใสย่อมกลับคืนเบาโปร่งใส ทำตนเองให้หนักขุ่นมัว ตนเองย่อมจมหนักขุ่นมัว นี่เป็นสัจธรรม เป็นความจริงที่ทุกคนรู้ แต่รู้แล้วขอให้ลงมือกระทำมีชีวิตอยู่ทุกเวลาทุกขณะที่มีลมหายใจล้วนมีคุณค่า ล้วนเป็นเวลาที่ประกาศว่าตนเองจะเป็นคนเช่นไร จะเป็นคนที่กลับสู่ฟ้า หรือลงสู่ดิน ขึ้นอยู่กับเวลาแห่งลมหายใจนี้ ขึ้นอยู่กับการดำรงชีวิตนี้มีโอกาสช่วยเหลือตนนำพาตนในสิ่งที่ถูก มีโอกาสช่วยเหลือคนนำพาคนให้ถูกเหมือนกัน เมื่อไรช่วยตนได้ช่วยคนได้ เมื่อนั้นเราย่อมบำเพ็ญดีได้ เมื่อไรควบคุมตนเองเป็นคนดีได้ ไม่หลงผิด ผิดแล้วรู้จักแก้ไข เมื่อนั้นตนเองย่อมกลับคืนได้เหมือนกัน แต่ที่สำคัญเราอยากย้ำอีกอย่างหนึ่งว่า ทำในบ้านตนเองให้ดีหากบ้านตนเองไม่ดี ไม่มีความสุขแม้จะพูดธรมะได้เก่ง ได้คล่องก็ไม่มีประโยชน์จริงไหม (จริง) แม้จะมีเงินทองมากมาย แต่บ้านตนเองเมื่อกลับไปแล้วไม่มีความสุข แม้จะมีเงินทองมากมาย แต่ใจตนเองไม่รู้จักความสุขที่แท้จริง มีเงินทอง พูดเก่งจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อใจตนเองยังรักษาให้มีคุณค่า ให้มีความดีไม่ได้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่) เราเห็นว่าทุกคนนั้นหลงผิดมาก็มากทำผิดมาก็บ่อย แต่ผิดแล้ว ทำไมไม่แก้กัน ผิดแล้วได้แต่สำนึกมีประโยชน์อะไร รู้ว่าตนเองเป็นคนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มีชีวิตแล้วทำไมไม่ทำให้ดี ทำไมต้องให้ตนเองจมปลักอยู่ในโคลนเลน และจมปลักอยู่ในห้องแห่งเงินทองทรัพย์สิน ชื่อเสียง ทั้งที่ชีวิตก็มีค่ามากกว่านี้ได้จริงไหม ทำไมจะต้องเอาค่าชีวิตมีค่าเพียงแค่เป็นเงินทอง ตอนนี้พ่อแม่อยู่กับเรา ขอให้สร้างความสุขให้กับพ่อแม่ให้จงได้ ตอนนี้เรามีครอบครัว มีญาติพี่น้อง ขอให้เราสามารถนำความสุข มาให้กับครอบครัวและพี่น้องได้ เมื่อได้พื้นฐานดี การจะมีชีวิตออกไปสู่สังคมย่อมเจริญและดีงามได้จริงไหม (จริง)
ทุกครั้งที่พระอาจารย์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มามักจะชมแม่ครัวบ่อยๆ ใช่ไหม (ใช่) วันนี้เราขอชมผู้ปฏิบัติงานธรรมที่ยืนข้างๆ นี้ มีคนตั้งมากมายที่ไม่อยากทำงานตรงนี้ มักปฏิเสธใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ท่านชอบยืนตรงนี้เราขอปรบมือให้ แม้การปรบมือนี้จะเป็นการปรบมือที่เกิดจากเสียงจากใจเรา ไม่ได้ยินเสียงไม่เป็นไร หลายคนไม่ยอมมายืนตรงนี้เพราะกลัวตัวเองง่วงนอนใช่หรือไม่ (ใช่) บอกให้มาคุมชั้นก็ไม่ค่อยจะยอมคุมกันอยากไปยืนอยู่ข้างนอกมากกว่าใช่หรือไม่ แล้วการฝึกอดทนจะมีประโยชน์อะไร เมื่อเจอเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าจะทนได้หรือ ทนได้ไหม นั่งแค่หนึ่งวันยังทนไม่ได้เลยใช่หรือเปล่า แล้วไปเจอสี่สิบเก้าวันจะทนไหวไหม (ไม่ไหว) ฉะนั้นมานั่งฟังมายืนคุมชั้นอย่าเห็นว่าเป็นหน้าที่เล็ก หากยืนคุมได้ก็เป็นการฝึกใจเราได้เหมือนกัน ฝึกกายเราให้เข็มแข็งได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อเข้าใจแล้วขอให้ลงมือปฏิบัติและบำเพ็ญตน การบำเพ็ญตนเป็นสิ่งที่ดี ถ้าเราบำเพ็ญได้เราย่อมได้ดี แต่ใครจะรอเวลาไม่สนใจ แต่เราไม่รอเวลา ไม่รอช้าในการเป็นคนดี ตอนนี้มีเวลาขอให้รีบปฏิบัติดี อย่าให้ถึงกับหมดเวลาแล้วค่อยมาขอเวลา ตอนนั้นไม่ทันกาลจริงไหม เรายกตัวอย่างให้ท่านเรื่องหนึ่ง มีคนๆ หนึ่ง ถึงเวลาที่เขาต้องไปจากโลกนี้ แม้แต่ยมฑูตก็ยังรั้งรอให้เขาทำความดี เพราะอะไรเราถึงอยากเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง มีชายคนหนึ่งเป็นคนที่มุ่งมั่นจะทำความดี แม้กระทั่งเหลือเสี้ยวเวลาเพียงนิดหนึ่งที่จะหมดสิ้นไปจากโลกนี้ หมดอายุขัยแล้ว เขาก็ยังไม่หยุดที่จะทำความดี ขนาดยมฑูตยังประทับใจรั้งรอเวลาให้เขาทำความดี เราได้ยินเรื่องนี้แล้วก็อดประทับใจเขาคนนั้นไม่ได้ เมื่อไรที่ท่านทำความดี แม้ยมฑูตหรือมัจจุราชที่จะพรากชีวิตเรายังต้องรั้งรอเวลาให้ท่านทำดี ให้ถึงนาทีสุดท้าย ขอให้จำไว้ว่าถ้าเมื่อไรเราทำดี แม้ยมฑูตหรือมัจจุราชก็ยังรั้งรอเวลาไม่คิดจะเอาท่านไปในขณะนั้น แต่เมื่อไรที่ท่านทำชั่ว มัจจุราชหรือยมฑูตไม่เคยรอเวลา พร้อมที่จะเอาไปทันที ไม่มีความสงสารและไม่มีความปรานี เข้าใจตรงนี้ ฉะนั้นมีชีวิต มีเวลารักษาเวลาให้ดี ขอให้ทุกเวลาทุกนาทีสร้างแต่ความดี แม้แต่ยมฑูตหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังอยากจะเพิ่มเวลาให้กับคนๆ นั้น แต่ถ้าเมื่อไรที่ชีวิตเราใกล้จะหมดนั่นแปลว่าเราต้องถามตนเองว่าชีวิตเราได้สร้างสิ่งดี มากน้อยเพียงไรใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่ไปก่อนเวลาล้วนไม่เคยเป็นคนที่สร้างสิ่งที่ดีเลย บางทีก็อาจจะมีอีกสาเหตุหนึ่ง นั่นคือเขามีบุญกรรมมาเท่านี้ใช่ไหม (ใช่) แต่ชีวิตของเรามีอายุต่ำกว่านี้ตอนนี้ต้องรู้จักที่จะทำชีวิตตนเองให้มีค่าอย่างไร แม้เราไม่มีแรงแต่เรามีปัญญา มีวาจาที่ดีได้จริงไหม มีมือที่ยังหยิบจับยังช่วยเหลือ ยังเอื้อประโยชน์ให้คนอื่นได้ เราก็ภาคภูมิใจแล้วว่าเราได้มอบสิ่งที่คิดว่ามีค่ามากที่สุด บางคนเวลาเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์มักจะขอให้รวย ขอให้มีความสุข ขอให้ครอบครัวร่มเย็นใช่หรือเปล่า แต่อย่างที่เราบอกแต่ต้นทั้งความสุข ทั้งความร่มเย็น จะเกิดได้ก็เกิดที่ใจเรา จะมีอยู่ได้ก็มีอยู่ได้ที่นิ้วมือเราเป็นคนสร้าง แม้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะให้ แต่ถ้าท่านไม่รู้จักปฏิบัติหรือลงมือรักษาก็ไม่มีประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าอย่างนั้นวันนี้เปลี่ยนจากเรามาเป็นคนขอท่านดีหรือไม่ (ดี) ทุกทีเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าอย่างนั้นวันนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอท่าน ขอให้อดทนในการมุ่งมั่นบำเพ็ญตน แล้วขอให้บำเพ็ญตนจนสำเร็จถึงความเป็นพุทธะ ขอให้ไปให้ถึง แล้วเราจะได้พบกัน ณ ที่นั่น แล้วเราจะได้รู้แท้จริงว่าพุทธะมีจริง แล้วก็เป็นพุทธะจริงๆ ได้ ดีไหม (ดี) เจอกันบนโลกก็ไม่สู้เท่ากับเจอกันบนเบื้องฟ้าจริงหรือเปล่า (จริง) เจอเบื้องฟ้าก็ไม่สู้เท่ากับเจอบนแดนนิพพาน อายุยังน้อยขอให้มีใจศึกษาให้ดี ธรรมะเป็นสิ่งมีค่า ค่าอยู่ที่คนปฏิบัติใช่หรือไม่ (ใช่) อย่ามองเห็นธรรมะเป็นเรื่องเล่นๆ อย่ามองเห็นธรรมะเป็นแค่ลมพัดผ่านมา ลมเย็นผ่านไปไม่มีประโยชน์ ต้องมองเห็นธรรมะเป็นได้ทุกสภาวะ ช่วยเราได้ทุกขณะจิต ขอให้รู้ว่ามีเท่านี้เอง เหนื่อยนักก็เดินช้าหน่อย บำเพ็ญเจอความทุกข์ยากก็ขอให้ไตร่ตรองให้ดี ก่อนที่จะก้าวเดินต่อไป
จากไปแล้วก็อาลัยเหมือนกันนะ ไม่รู้ว่าจากกันครั้งนี้ เราจะได้เจอกันอีกหรือเปล่า วันนี้เป็นโอกาสดีที่เราได้มีโอกาสพบกัน ผูกบุญสัมพันธ์ร่วมกัน เราจากเราก็พอใจแล้ว ขอให้ดอกไม้แห่งคุณธรรมยังคงเบ่งบานตราบนิจนิรันดร์


วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พุทธศักราช 2542 
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

คนพาลชอบโทษคนไม่โทษตน บัณฑิตชอบสำรวจตนไม่โทษใคร
คนพาลชอบขอคนไม่ขอใจ บัณฑิตชอบขอตนไซร้ไม่ขอคน
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเมี่ยวเต๋อ แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า

คบคนพาลคนพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล
ในวันนี้ขอให้ศิษย์ย้อนมองตน คนพาลจนบัณฑิตเรานั้นคือใคร
ผู้บำเพ็ญเป็นบัณฑิตมิติดขัด ถ้าถนัดแต่สบายน่าสงสัย
ไม่ได้เป็นซึ่งบัณฑิตให้สมใจ กาลเวลาพิสูจน์ไซร้ซึ่งทุกคน
แม้พูดดีคิดดีและทำดี ทุกนาทีศิษย์ข้านี้ยากสับสน
แต่หากคิดเอาแต่ใจของตน ต้องเวียนวนไม่รู้จบตลอดกาล
ควบคุมตนให้เที่ยงเที่ยงมิเอนเอียง มิเบี่ยงเบนหากิเลสน่าสงสาร
ศิษย์รักเอยก้าวเท้าตามอาจารย์ แม้เนิ่นนานอย่าเปลี่ยนใจเพราะลังเล
ทะเลทุกข์คนอยู่กลางยากไม่ทุกข์ กลับหลังหันพบฝั่งสุขไม่หันเห
ขัดเกลาใจใสสะอาดอย่าปนเป กลางทะเลเรือน้อยล่องแล่นขึ้นมา
จากง่ายง่ายไปสู่ยากทยอยแก้ไข เรือพายไปถึงฝั่งเพราะสามัคคีหนา
ศิษย์รักรู้ร่วมใจกันร่วมฟันฝ่า หลักธรรมาใช้นำทางการบำเพ็ญ
ถอยหนึ่งก้าวฟ้ากว้างทะเลไกล เอาใจเขาใส่ใจเราไม่ลำเค็ญ
สู่ยุคสามอยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็น อดทนเป็นสามารถผ่านทุกข์อนันต์
ฮา ฮา หยุด



จากปลายน้ำ  คืนต้นหนทางยังยาวไกล   รู้แล้วให้ระวังกายใจ  หันหน้าตามฟ้า หากดวงใจเอาแต่เคลือบแคลงไปนานา  หลงใหลสิ่งสวยงามเพลินตา ล้วนต้องลำบาก
* ใช้ความดีชนะใจมวลชน  มิตกหล่นนอกในหมั่นขัดเกลา  เก็บความพลั้งเป็นบทเรียนมาสอนเรา   จิตสะอาดสว่างรุดเดินเต็มก้าววอนขอ มวลศิษย์แข็งใจสู้มายา  มัจฉาต่างรู้ทวนธารา ย้อนมองใจตน ใช้ความดีชนะใจมวลชน หันหน้าตามฟ้า ขอบำเพ็ญถึงพร้อมในตน ทุกวันเวลา (ซ้ำ *)

เพลง : ทวนกระแสโลกีย์
ทำนองเพลง : ฟ้ายังมองเรา

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

มองข้างนอกหรือข้างใน ถ้าคนนี้ขี้เหร่หน่อยอยากมองไหม (ไม่อยาก) ถ้าคนนี้ขี้เหร่แล้วนิสัยดีอยากคบไหม (อยาก) แต่ถ้าเกิดเรามองเขาเป็นคนขี้เหร่เราก็ไม่อยากจะคุยกับเขาแล้วเราจะไปรู้ว่าเขาดีหรือไม่ดีอย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการที่เราจะมองใครคนหนึ่งจะต้องมองที่ไหน (ที่จิตใจ) เพราะฉะนั้นคนที่มาหาเราเขาจะมาหาเราตรงที่เราเป็นคนที่จิตใจดีใช่หรือเปล่า (ใช่)  ตอนนี้คนจะคบเราที่จิตใจแล้วจิตใจของเราดีหรือยัง (ดี) ดีกี่เปอร์เซ็นต์ ไหนใครว่าตนเองห้าสิบๆ ยกมือขึ้น ใครดีมากกว่าครึ่งยกมือขึ้น ใครดีน้อยกว่าครึ่งยกมือขึ้น ใครยังไม่รู้ว่าตนเองเป็นอย่างไรเลยยกมือขึ้น เรายังไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วเราเองดีกี่เปอร์เซ็นต์ใช่หรือเปล่า (ใช่) พอดีว่าจิตใจครึ่งหนึ่งของเราดีและอีกครึ่งหนึ่งไม่ดี ใช่หรือเปล่า (ใช่) เผอิญคนเขามองมาตรงที่ไม่ดี ตรงข้างที่เป็นสีดำพอดีเลยจะเป็นอย่างไร สมมติว่าแอปเปิลลูกนี้ครึ่งหนึ่งเป็นสีขาวอีกครึ่งหนึ่งเป็นสีดำ นี่เป็นใจเราใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะเราเป็นประเภทดีครึ่งไม่ดีครึ่งใช่ไหม ข้างนี้เป็นสีดำเผอิญว่าคนที่เขามองๆ ได้กี่ด้าน มีด้านหน้าและมีด้านหลังใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์ถึงมีคำกล่าวว่ารู้หน้าไม่รู้ใจใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นเวลาเขามองมา พอดีมาเจอกับข้างสีขาวของเรา เราก็เป็นคนดีใช่หรือเปล่า (ใช่) เผอิญมองมาเจอข้างสีดำของเรา เราก็เป็นคนอะไร (ไม่ดี) แล้วถามว่าการที่เป็นคนดีครึ่ง ไม่ดีครึ่งดีไหม (ไม่ดี) เพราะฉะนั้นจะต้องทำอย่างไร ต้องดีให้หมด หรือเอาไม่ดีให้หมด จึงต้องรู้จักที่จะดีให้หมดใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากเราเป็นคนดีมากเกินไป เราถูกเอาเปรียบ กลัวเสียเปรียบไหม มีคำพูดหนึ่งบอกว่า ถ้าหากว่าถูกเอาเปรียบจะเป็นคนมีวาสนา เป็นคนที่ถูกคนอื่นเอาเปรียบเป็นคนมีวาสนา ส่วนคนที่ไปเอาเปรียบคนอื่นเป็นคนที่อับโชค เชื่อหรือเปล่า ถามว่าเขามองหน้าเรา ถ้าหากว่าเราฉลาดกว่าเขา เขาอยากจะยุ่งกับเราไหม ไม่อยากใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ถ้าหากเราโง่กว่าเขา เราให้เขาใช้ เขาอยากจะคบกับเราไหม เพราะฉะนั้นเป็นคนโง่หรือเป็นคนฉลาดดีกว่ากัน เวลาเราคบคนๆ หนึ่ง เราอยากให้เขาฉลาดกว่าเราไหม (ไม่อยาก) เราอยากที่จะเอาเปรียบเขาใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้ก็คือเอาจิตใจด้านที่เป็นสีดำมาตอบถูกหรือเปล่า แปลว่าชอบเปรียบเทียบใช่หรือเปล่า (ใช่) ในที่สุดต้องมีคนมากกว่าใช่ไหม อยู่ด้วยกันเฉยๆ ไม่เคยที่จะร่วมงานกันก็ไม่เป็นไร แต่หากว่าวันหนึ่งเขาเรียกเราไปใช้ เราไป วันหนึ่งเราเชิญเขามาช่วยเรา เขาไม่มารู้สึกอย่างไร เราก็รู้สึกไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่) ถามว่าเรานั้นถูกเอาเปรียบ เราเป็นคนมีโชคลาภวาสนาไม่ดีหรือ (ดี) ใครๆ ก็ชอบเราใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าจะต้องเป็นคนที่รู้จักที่จะยอมเหนื่อยหน่อยใช่หรือไม่ (ใช่) เหนื่อยกลัวไหม (ไม่กลัว) ถ้าไม่กลัวเหนื่อยก็จะไม่กลัวถูกเอาเปรียบใช่หรือไม่ (ใช่) การถูกเอาเปรียบนั้นแท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่ดีเพราะว่าคนเขาจะชอบเรา เพราะว่าเรานั้นโง่กว่าเขา คนโง่ประเภทนี้เป็นผู้มีปัญญา ปัญญาและความโง่ต่างกันตรงไหน หากว่าเรานั้นเป็นผู้ที่มีความโง่แต่มีปัญญาเอาไหม หากเราเป็นคนฉลาดแล้วไม่มีใครรักชอบเราสักคนเลยเอาไหม (ไม่เอา) ทุกวันนี้เรานั้นมีคนรักชอบเราเยอะไหม รักคนอื่นกับรักตัวเองรักอะไรมากกว่ากัน (ตัวเอง) แสดงว่าเรานั้นยังไม่พร้อมที่จะเป็นคนดีที่แท้จริงใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะว่าเรายังรักตนเองมากกว่า การที่เรานั้นรู้จักที่ยอมให้คนอื่นเอาเปรียบเรานิดๆ หน่อยๆ แล้วสามารถที่จะให้คนอื่นนั้นรักชอบเราหมดนั้นดีกว่าไหม (ดี) เพราะว่าการที่คนอื่นรักชอบเรานั้นเป็นสิ่งที่ใช้เงินทองซื้อไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตของเรานั้นเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ที่มาใช้ชีวิตร่วมกัน การที่เราใช้อารมณ์นำพาเรื่องราวต่างๆ ไปเป็นสิ่งที่ดีไหม (ไม่ดี) แต่จนแล้วจนรอดใจเราก็เป็นคนขี้โมโหใช่หรือไม่ (ใช่) อากาศร้อนๆ อย่างนี้แต่อะไรร้อนกว่า (ใจ) เพราะฉะนั้นมีสิ่งหนึ่งที่สามารถดับใจที่ร้อนนี้ได้คืออะไร ก็คือปัญญาใช่หรือไม่ (ใช่) เราใจร้อนเพราะว่าเราไม่ชอบที่จะให้คนอื่นเอาเปรียบเรา เราก็เกิดความรู้สึกใจร้อน กลัวจะเสียเปรียบ คนอื่นเขาจะเอาเปรียบเราแล้วเรารู้สึกทนไม่ได้ แต่ถามว่าหากว่าเรามีปัญญาสักนิดก็จะรู้ว่าการที่เราถูกคนอื่นเอาเปรียบนั้นเป็นสิ่งที่เรียกว่าเป็นผู้ที่มีปัญญาใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะว่าเขาเอาเปรียบเราอย่างมากได้อะไร ได้เงินถูกหรือเปล่า เงินทองสำคัญที่สุดเลยหรือในการเกิดเป็นคน อะไรๆ ก็ไม่สำคัญ จะได้รับบาดเจ็บบ้างก็ไม่เป็นไรอย่าให้เสียเงินทองใช่หรือเปล่า (ใช่) หลายคนคิดอย่างนี้แต่ไม่ใช่ทุกคน จะบอกให้ฟังว่าเงินทองเป็นของนอกกาย เสียแล้วหาใหม่ได้หรือเปล่า (ได้) เสียมากหน่อยได้หรือเปล่า มีใครเขามาเอาเปรียบเราน้อยๆ ไหม เวลาเขาคิดจะเอาเปรียบเรา เขาเอาจนเขาพอใจใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นอาจารย์พูดวันนี้ถ้าหากกลับออกไปแล้วโดนเอาเปรียบ เขาเอาเงินไป ทำอย่างไรดี ยิ้มได้ไหม ต้องยิ้มได้ใช่หรือไม่ (ใช่) เขาทำให้เราเหนื่อยแต่เรากลัวเหนื่อยไหม (ไม่กลัว) คนมาเอาเปรียบเราทางไหนได้อีก ทางด้านจิตใจใช่หรือไม่ (ใช่) การถูกเอาเปรียบทางด้านจิตใจเป็นการถูกเอาเปรียบที่มากที่สุด เขามาเอาเปรียบของที่เป็นของๆ เราใช่หรือไม่ (ใช่) มันอยู่ข้างใน ทำอย่างไรดี เพราะว่าหลายๆ คนนั้นยิ่งบำเพ็ญยิ่งรู้สึกว่าคับแค้นใจเหลือเกิน ถูกเอาเปรียบไปหมดเลย ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็เสียเปรียบไปทั่ว จะข้างนอกสถานธรรมจะข้างในสถานธรรม คับแค้นใจเหลือเกินใช่หรือเปล่า (ใช่) จะออกไปทำงานก็ถูกเอาเปรียบ จะไปทำการค้าก็ถูกเอาเปรียบใช่หรือเปล่า (ใช่) ทุกคนคอยเอาเปรียบเราทำอย่างไรดี จิตใจที่ถูกเอารัดเอาเปรียบอันนี้ก็วกกลับมาที่อาจารย์เริ่มต้นพูดเมื่อสักครู่นี้ ขอให้คิดว่าการถูกเอาเปรียบนั้นเป็นวาสนา เพราะจะทำให้คนนั้นรักๆ ชอบๆ เรา เพราะว่าใครที่ถูกรักชอบนั้นเป็นสิ่งที่ ใช้เงินทองซื้อไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ส่วนคนที่คอยที่จะเอาเปรียบคนอื่นนั้น เป็นคนที่จะเกิดภัยแก่ตนเองในไม่ช้า เพราะฉะนั้นเห็นเขาไม่ดีอย่างนั้นแล้ว เราจะไม่ดีตามเขาดีหรือเปล่า (ไม่ดี) เขาไม่ดีอย่างนั้นเราจะต้องไม่ไปเอาเปรียบใครใช่หรือไม่ (ใช่) เรียกว่าเป็นการตัดกรรมของตัวเราเอง รู้จักคำว่ากรรมไหม (รู้) กรรมแปลว่าการกระทำใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกคนมีการกระทำไหม (มี) ทำดีหรือไม่ดี (ทั้งดีและไม่ดี) เป็นคนครึ่งๆ อีกแล้ว ทำดีบ้างทำไม่ดีบ้าง ครึ่งไหนมากกว่า ครึ่งดีมากหรือครึ่งไม่ดีมาก ตนเองทำไม่ดีต้องจำยอมที่จะยกมือขึ้นเพราะว่าเราควรที่จะรับความจริงใช่หรือไม่ (ใช่) เราควรที่จะสำรวจตนว่าเรานั้นเป็นอย่างไร ดีหรือไม่ดี ถ้าบอกว่าเราเป็นคนดีแล้ว ถามว่าดีมากกว่านี้ได้ไหม เรามองไปรอบๆ ยังมีคนดีกว่าเราหรือไม่ (มี) ทำไมเราดีไม่เท่าเขา แล้วหากว่าสวรรค์ขึ้นได้คนเดียวแล้ว บนนั้นจะมีเราไหม (ไม่มี) เพราะเราดีไม่เท่าคนที่เรามองเห็นนั่นแหละ แล้วยังมีคนอีกมากมายที่เรามองไม่เห็นใช่หรือไม่ (ใช่) นี่แค่ตำบลเดียว ถ้าอำเภอทั้งอำเภอ ถ้าจังหวัดทั้งจังหวัด ประเทศทั้งประเทศ แล้วโลกทั้งโลก ถ้าสวรรค์ขึ้นได้คนเดียว คนนั้นใช่เราไหม ถามว่าเราอยากขึ้นสวรรค์หรือลงนรก (ขึ้นสวรรค์) ทำอย่างไรดี (ทำดี) ทำดีสองคำ ทำดีใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนที่ทำไม่ดี คิดอะไรอยู่ ตอนที่ทำไม่ดีก็ไม่รู้ว่าคิดอะไร ถ้าหากว่าทำดีก็เป็นประชากรของสวรรค์ ถ้าหากทำไม่ดีก็เป็นประชากรของอะไร (นรก) ไปไหนดี (สวรรค์) เพราะฉะนั้นตอนนี้บอกว่ากรรมก็คือการกระทำใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ว่าเราจะยกน้ำขึ้นดื่ม ขับรถออกไปข้างนอก พูดจาออกไป หัวกำลังคิดอยู่นี่ ทุกอย่างเป็นการกระทำใช่หรือไม่ (ใช่) เอื้อมมือไปหยิบพัดลม นั่งเก้าอี้ลงไป ทุกอย่างคือการกระทำใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นทุกคนมีกรรมใช่หรือเปล่า (ใช่) อย่าพูดถึงกรรมในอดีตชาติ กรรมในอดีตชาติไกลตัวศิษย์ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่ากรรมปัจจุบันเยอะไหม กรรมก็คือการกระทำใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นกรรมในปัจจุบันเยอะไหม (เยอะ) ตั้งแต่เล็กจนโตการกระทำเยอะไหม (เยอะ) ถามว่าการกระทำขณะไหนที่เป็นการกระทำชั่ว การเบียดเบียนผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่) การเบียดเบียนผู้อื่นเป็นการกระทำชั่ว ส่วนการช่วยเหลือผู้อื่นเป็นการ (กระทำดี) ชีวิตนี้อย่าพูดถึงว่า เรานั้นไปเบียดเบียนผู้อื่นกี่ครั้ง จำไม่ได้แล้ว แต่ถามว่าเราช่วยเหลือผู้อื่นกี่ครั้ง ยังพอจำได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) ยังพอจำได้ว่าเราไปช่วยคนอื่นกี่ครั้ง แสดงว่าการทำดีของเรามันน้อยกว่าการกระทำชั่วใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นตอนนี้ตัดสินได้ว่า ศิษย์ทั้งหลายเป็นคนดี หรือยังเป็นคนที่ยังไม่ดี (ไม่ดี) ตอนนี้จึงตัดสินได้ว่าเรานั้น ยังไม่ดีเท่าไหร่ ก็อย่าหลงตัวเองว่าเรานั้นดีมาก แต่ให้คิดพิจารณาสำรวจกลับไปภายในแล้วคิดว่าเรานั้นจะทำให้ดีมากกว่านี้เท่าไหร่ใช่หรือไม่ (ใช่)
อดีต ปัจจุบันและอนาคตแก้ไขได้ไหม (ได้) ยังมีคนส่ายหน้า อนาคตเป็นเรื่องของวันข้างหน้า แม้ว่ายังไม่เจอ แต่ก็อยากรู้ใช่หรือไม่ (ใช่) ถามว่าอยากรู้มากๆ มองที่ไหนดี ไปให้หมอดูมองดีไหม แบมือให้เขา แล้วก็ให้เขามองๆ มองแล้วเขาก็บอกว่าเราเป็นอย่างไร ถามว่าหมอดูดูแม่นไหม (ไม่แม่น) ไม่มีทางรู้ได้ว่าเขาแม่นหรือเปล่า ถ้าอนาคตยังไม่เกิดใช่หรือไม่ (ใช่) ส่วนว่าหมอดูดูแม่นไหม ไม่ต้องสนใจดีกว่า มาสนใจว่า อยากรู้อนาคตก็ดูที่ปัจจุบันใช่หรือไม่ (ใช่) ปัจจุบันเป็นตัวกำหนดอนาคต ส่วนอดีตกำหนดที่ไหน (ปัจจุบัน) อดีตก็มากำหนดปัจจุบัน ปัจจุบันไปกำหนดอนาคต
มีมนุษย์เป็นคนที่เป็นมนุษย์เป็นปุถุชน คนธรรมดาหลายคนคิดว่าต่อไปอยากจะรวย คิดไหม (คิด) ไม่มีใครอยากจนใช่หรือไม่ (ใช่) อยากจะรวยทำอย่างไร ต้องขยันขันแข็ง ต้องซื่อสัตย์ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่คดโกงให้เป็นเรื่องทุกข์กังวลทีหลัง จึงจะร่ำรวยอย่างมีความสุขใช่หรือเปล่า (ใช่) ถามว่ามนุษย์มุ่งหมายที่จะอยากได้ทรัพย์สินเงินทอง โชค ลาภ วาสนา ตำแหน่ง นี่คือความหวังของคนธรรมดาทั่วไป แต่สำหรับคนอีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่าผู้บำเพ็ญ ควรจะมุ่งหวังอะไรอยู่หน้าๆ แต่ว่าไม่มาเป็นอันดับหนึ่ง คำนี้ใช้ได้กับศิษย์ทุกคน เพราะฉะนั้นการที่จะดูว่าใครมาเป็นอันดับหนึ่ง ต้องวัดที่ระยะทางของการเดินทางไปถึงว่าใครนั้นจะมีใจอดทน แม้จะเหนื่อยเมื่อยล้า ถามว่าใครวิ่งแซงไปข้างหน้า วัดว่าอะไรอีกระยะทางก็ดี ความตั้งใจก็ดี ทุกอย่างจะบอกได้ว่า วันสุดท้ายดูว่าใครนั้นไปถึงไหนมีเวลาเท่าๆ กัน ชีวิตหนึ่งเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตหนึ่งนี้วิ่งไปถึงไหนมีเวลาเท่าๆ กัน ดูว่าจะสามารถใช้ได้อย่างมีคุณค่าหรือเปล่า การที่ศิษย์ของอาจารย์อยากที่จะบอกว่าชีวิตนี้มุ่งหวังอะไร การจะมุ่งหวังเป็นคนทั้งชาติ ไม่ต้องมุ่งหวังก็เป็นอยู่แล้ว อยากจะร่ำรวย ก็ให้ขยันขันแข็ง ไม่มิจฉาใช่หรือไม่ (ใช่) ทำตนเป็นสัมมา ถ้าหากว่าเรานั้นควรจะได้ ทุกอย่างก็จะได้อยู่ในมือเรา แต่ถามว่าถ้าเราอยากที่จะเป็นเหนือมากกว่านั้น ไม่ใช่ว่าชีวิตนี้จบลงเป็นปุถุชนทั้งชาติเลย พอไหม คนร่ำรวยมีทุกข์ไหม (มี) ศิษย์ของอาจารย์มีทุกข์ไหม (มี) เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรจะหามากกว่ากันคือความหลุดพ้นใช่หรือไม่ (ใช่) หลุดพ้นไปจากทะเลทุกข์อันนี้ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้ คนที่อยากหลุดพ้นนั้นร่ำรวยได้ไหม (ได้) นี่เป็นความคิดประเภทจับปลาสองมือ ถามว่าปลาสองมือจับลงไปแล้ว ข้างหนึ่งก็ดิ้นข้างหนึ่งก็ดิ้น เอาข้างไหนดี ปลาข้างหนึ่งบอกว่ารวยๆ ปลาอีกข้างหนึ่งบอกว่าหลุดพ้นๆ เอาปลาข้างไหน (ข้างหลุดพ้น) หลุดพ้นยังมองไม่เห็น รวยนี้ถ้าจับไว้อยู่รวยเลย และแล้วความคิดที่จำเป็นที่จะต้องเลือก โดนขัดเกลาโดนหล่อหลอม โดนทดสอบ ในที่สุดแล้วทุกคนก็เลือกไปจับข้างรวยใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะคิดแต่ว่าเรานั้นคงจะหลุดพ้นไม่ได้ ในที่สุดแล้วรวย แต่ว่ารวยเป็นวงเวียนว่ายตายเกิดแล้วไม่รู้จักจบสิ้น เพราะฉะนั้นคนที่อยากที่จะหลุดพ้นนั้น จึงต้องเป็นผู้ที่รู้จักพอ เพราะการที่รู้จักพอจึงมีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่บอกว่ารวยแล้วก็รวยกว่าตอนนี้เท่านั้นเอง ไม่เห็นรวยกว่าคนนั้นใช่หรือไม่ ก็ปีนขึ้นไปสูงอีก หาทรัพย์สินเงินทองมากขึ้นกว่าเดิม เสร็จแล้วพอขึ้นไปประมาณกลางภูเขา ก็เห็นที่ยอดภูเขายังมีคนที่รวยกว่ากัน ใช่หรือไม่ (ใช่) พอไปถึงยอดภูเขาเสร็จแล้ว ถามว่ารวยที่สุด (ไม่) ก็อาจจะมองขึ้นไปเห็นอะไรอีก เครื่องบินมาคนที่นั่งอยู่บนเครื่องบินคงจะรวยกว่าเรา ขึ้นไปอยู่บนเครื่องบินเห็นที่ไหนอีก มองไปเหลือบไปเห็นพระอาทิตย์ยังสูงกว่าเราอีก ขึ้นไปอีกเป็นอย่างไร รวยที่สุดไหม ในระยะทางของความร่ำรวย เสาะหาดิ้นรนก่อนที่จะไปถึงที่สุดของที่สุด ศิษย์ก็ล่วงหล่นเพราะว่าทนความสูงไม่ไหวใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าชีวิตนี้ดังคนที่รู้จักพอมีความสุขที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) มีเงินอยู่แค่หนึ่งพันในกระเป๋า เดือนทั้งเดือนใช้เงินพันบาทเท่านั้นเอง มีความสุขได้ไหม ในขณะที่อีกคนหนึ่งมีเงินติดกระเป๋าถึงหมื่นบาทต่อวัน แต่ทุกวันก็ใช้หมดเลย ใช้ไปโน่น ใช้ไปนี่ ใช้ไปนั่น ในที่สุดแล้วมีหมื่นบาททุกวันไม่เห็นพอใช้สักทีนึง กับอีกคนมีแค่พันบาทแต่ใช้ได้ทั้งเดือน คนไหนรวยกว่ากัน คนที่มีพันบาทก็จะรวยกว่าใช่หรือไม่ (ใช่) อยากรวยหรือไม่อยากรวย 
“คนพาลชอบโทษคนไม่โทษตน บัณฑิตชอบสำรวจตนไม่โทษคน”
 ใช่หรือเปล่า ถามว่าตอนนี้เราได้ชื่อว่าเป็นคนพาลหรือเป็นบัณฑิต  “คนพาลชอบขอคนไม่ขอใจ บัณฑิตชอบขอตนไซร้ไม่ขอคน”  เราคือจี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รู้จักไหม (รู้จัก) เป็นศิษย์เราจี้กงสงฆ์วิปลาส ดีหรือเปล่า (ดี) อาจารย์วิปลาสได้ ศิษย์ห้ามวิปลาสเพราะว่าอาจารย์วิปลาสนั้น วิปลาสไปช่วยคน เห็นคนมาโขกหัวเขกหัว เตะ ตี ด่าทออย่างไรอาจารย์ไม่สน แต่ของศิษย์วิปลาสอย่างไร ใครมาเตะ ตี ด่าทอก็โกรธ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เหมือนกับปีศาจร้าย วิปลาสจากคนไปเป็นปีศาจ ดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  เพราะฉะนั้นอาจารย์วิปลาสได้ ศิษย์ห้ามวิปลาสต้องเป็นพุทธะเข้าไว้ ดีหรือไม่ (ดี) คนจะเตะ ด่าทอว่าอย่างไร ก็ยิ้มเข้าไว้ รอยยิ้มทำง่ายไหม รอยยิ้มบนหน้าทำง่าย แต่รอยยิ้มที่ใจทำยากใช่หรือไม่ ถ้าหากว่าหน้ายิ้มแล้วใจไม่ยิ้ม เขาเรียกว่าเสแสร้งใช่หรือไม่ (ใช่) เสแสร้งแกล้งทำ เพราะฉะนั้นเราเป็นพุทธะเสแสร้งได้ไหม เพราะฉะนั้นเวลาที่คนเขามาว่าเรา มาทำร้ายเรา ต้องทำอย่างไรดี ต้องรู้จักยิ้มจากใจ ยิ้มจริงใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราดีข้างนอก เราก็ต้องดีข้างในด้วย ไม่ใช่ว่าดีเฉพาะข้างนอก หรืออาจจะดีเฉพาะข้างใน ข้างในคนไม่เห็นไม่เป็นไร ค่อยๆ ขัดก็ได้ ได้ไหม ไม่ได้ ข้างในคนมองไม่เห็น แต่ใครเห็น (ตัวเอง) ถามว่าสิ่งที่ตัวเราเห็นกับคนอื่นเห็น อะไรชัดกว่ากัน (ตัวเรา) สิ่งที่ตัวเราเห็นมันชัดเจนมาก ทนเห็นอยู่ทุกวันได้ไหม ทนมองความไม่ดีของตนเองอยู่ทุกวันได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าไม่ได้ใครที่ยังไม่เคยสำรวจตน ก็กลับไปสำรวจไปมองตน แล้วก็ดูว่าเราจะแก้ไขอะไรดี ดีหรือไม่ (ดี) บางคนอยากจะแก้ไขมันมากมายจนไม่รู้จะแก้อะไรก่อนใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้น รู้จักแก้จากที่ง่ายๆ ไปสู่ที่ยาก ตัวเราจะได้มีกำลังใจ ใช่หรือไม่ใช่
อยู่ในสภาพที่ร้อนๆ เช่นนี้จิตใจของเราต้องทำให้เย็นให้ได้ เราเย็นด้วยความรู้สึกตั้งใจ รู้สึกว่าสิ่งที่เราฟังนั้นจะเก็บกลับไปปฏิบัติ ใจของเราก็จะเย็นลงได้ แต่ถ้าบอกว่าอะไรก็ไม่รู้ ธรรมะอะไรก็ไม่รู้ เราก็จะไม่ได้อะไรเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) นั่งไปสองวันเหมือนไม่นั่ง ฉะนั้นเราต้องนั่งสองวันนี้ให้เหมือนเราได้นั่ง แล้วต้องได้นั่งเก้าอี้เซียนด้วย การที่จะได้นั่งเก้าอี้เซียนนั้นจะต้องทำอย่างไร เก้าอี้อันนี้ก็เป็นเก้าอี้ธรรมดาๆ แต่เก้าอี้จะเป็นเก้าอี้เซียนได้ก็คือตัวของผู้นั่งนั้นเป็นเซียน เป็นเซียนด้วยใจที่อิสระ เป็นเซียนด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น เป็นเซียนด้วยจิตใจที่มุ่งหมายจะช่วยคนใช่หรือเปล่า (ใช่) หากว่าจิตใจของเรานั้นไม่มีจิตใจที่ดีงาม ถามว่าเราจะเป็นเซียนได้ไหม (ไม่ได้) แต่ถ้าหากว่าจิตใจของเราดีงามเป็นเซียน ต่อไปหากเรากลับไปนั่งเก้าอี้ที่บ้านก็เป็นเก้าอี้เซียนเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ว่าเราไปนั่งเก้าอี้ตามที่สาธารณะ ก็เป็นเซียนใช่หรือเปล่า (ใช่) เอาความเป็นเซียนออกมาจากเก้าอี้แล้วเอามาใส่ที่ไหน (ใส่ที่ตัวเรา) การที่จะบอกว่าเก้าอี้นั้นเป็นเก้าอี้เซียน เก้าอี้นั้นเป็นเก้าอี้เซียนได้อย่างไร มีแต่ตัวเราเท่านั้นที่เป็นเซียนใช่หรือไม่ (ใช่) การที่เราเป็นเซียนนั้นต้องผ่านการฝึกฝนต่างๆ นานา ต้องผ่านความยากลำบากต้องเป็นผู้ที่เคยช่วยคนมาก่อน จึงจะได้ชื่อว่าเป็นเซียนใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าทุกวันก็อยู่บ้านดูทีวี นอนสบายกินข้าวอิ่มอร่อย ถามว่าวันนี้เป็นเซียนไหม ใครจะเรียกเราเป็นเซียน ไม่มีใครมาเรียกเราเป็นเซียนใช่หรือไม่ (ใช่) เราอยากเป็นเซียนไหม (อยาก) อยากเป็นเซียนต้องทำอย่างไร (ช่วยเหลือเวไนย) การจะเป็นเซียนได้ต้องรู้จักที่จะช่วยคนอื่น เซียนบนฟ้าสำคัญไหม (ไม่สำคัญ) เซียนบนฟ้าช่วยอะไรศิษย์ได้ ศิษย์ก็มองไม่เห็นใช่หรือไม่ (ใช่) มีแต่ทำตัวเราให้เป็นเซียนแล้วไปช่วยคนอื่นให้เห็นๆ จึงจะมีค่าและสำคัญที่สุดใช่หรือเปล่า (ใช่) จะบอกว่าเซียนบนฟ้าสำคัญไหม ต่อให้คนเรียกอาจารย์เป็นเซียน ถามว่าอาจารย์จี้กงสำคัญไหม ไม่สำคัญเลย คนสำคัญที่จะเป็นเซียนก็คือตัวเราเอง มีแต่ตัวเราเองเท่านั้นที่สำคัญใช่หรือไม่ (ใช่) เราช่วยคนหนึ่งคนได้คนคนนี้ก็จะเรียกเราเป็นเซียน ถ้าเราช่วยคนสองคนได้ สองคนนี้คงจะนับถือเราเป็นเซียน ถ้าเราช่วยคนสามคนได้ สามคนนี้ก็คงจะเรียกเราเป็นเซียนใช่หรือเปล่า (ใช่) และถามว่าอยากจะเป็นเซียนบนฟ้าให้คนเขาปักธูปให้เรา ให้คนเขาบูชา ให้คนเขายกย่อง ให้คนเขาเดินตามจะช่วยคนกี่คนดี (ช่วยคนทุกคนทั้งโลก, สุดกำลัง) คำว่าสุดกำลังเต็มความสามารถเท่าที่จะช่วยได้สิ่งนี้พูดง่ายไหม (ง่าย) แต่เมื่อเป็นการกระทำแล้วยากใช่หรือเปล่า (ใช่) ยากเพราะเวลาเราพูดเราพูดได้ แต่เวลาที่เราลงมือไปทำนั้นเราไม่สามารถทำสุดกำลังได้เช่นนั้น เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่อยากจะยากลำบากต้องรู้จักทำให้ได้อย่างที่เราพูดใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาไปช่วยคนอื่นต้องลืมความยากลำบากของตัวเองใช่หรือเปล่า (ใช่) ลืมว่าเรานั้นเป็นคนที่มีอัตตา ต้องลืมอัตตาตัวนี้ เพราะอัตตานี้ทำให้คนนั้นลำบาก ทิฐิ ทำให้คนนั้นไม่สามารถที่จะเปิดใจกว้างได้ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกับศิษย์ของอาจารย์บางคนที่ตอนนี้นั่งอยู่ที่นี่ ถ้าหากว่าศิษย์นั้นมีทิฐิในใจบอกว่านี่คือสิ่งแปลกใหม่ พอเข้าหูซ้ายก็ออกไปหูขวา พอกลับไปบ้านก็ลืมหมด เมื่อลืมแล้วก็ย่อมจะทำไม่ได้ แต่ถ้าหากว่าฟังที่อาจารย์พูดจริงๆ หรือว่าฟังที่อาจารย์บรรยายธรรมทั้งหมดบรรยายมา ศิษย์ก็จะรู้ได้ว่าสิ่งที่อาจารย์พูดนั้นแค่ต้องการให้ศิษย์นั้นเป็นพุทธะเท่านั้น ถ้าหากว่าศิษย์นั้นทำตามและสามารถกลับไปเป็นพุทธะได้ ต่อให้ไม่ต้องทำตามที่อาจารย์พูดเลยก็ได้ สิ่งที่สำคัญในยามนี้ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทองที่ศิษย์นั้นอยากจะได้ แต่สิ่งที่สำคัญในยามนี้คือชีวิตจิตญาณของตัวเองที่เรานั้นเอาตัวไม่รอด เหมือนเรานั้นถูกกรงนั้นขังไว้ไม่มีอิสระในการที่จะทำสิ่งใด เหมือนกับเวลาที่เรานั้นอยากจะไปเที่ยว ไปคนเดียวได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าเราหนีเที่ยวเดี๋ยวภรรยาที่บ้านก็จะว่าเอาใช่หรือไม่ (ใช่) นี่ก็คือความอิสระ ความไม่อิสระที่อยู่ภายนอก แต่ความไม่อิสระที่อยู่ภายใน ถูกกักขังไว้ด้วยสิ่งใด สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ศิษย์นั้นค่อยๆ สั่งสมขึ้นมาเรียกว่ากิเลส กิเลสอันนี้ทำให้เราไม่เป็นอิสระใช่หรือไม่ (ใช่) ความไม่รู้จักพอทำให้เหมือนกับการที่จะปล่อยนกตัวหนึ่งบินขึ้นไปบนฟ้า และเอาเงินทองมามัดขาไว้จะบินขึ้นไหม (ไม่ขึ้น) มัดมากเท่าไหร่ก็หนักมากเท่านั้นใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้ศิษย์ก็เหมือนนกตัวนี้อยากจะบินขึ้นแต่ว่าไม่สามารถจะบินขึ้นไปสูงได้ เพราะว่าเรานั้น ติดลาภยศเงินทอง กิเลสตัณหา อารมณ์ทั้งหลาย มากไหม (มาก) ถามว่าอารมณ์ของใคร ใครจะมาขจัดได้ (ตัวเราเอง) ตัวเราเท่านั้นที่จะขจัดตัวเราเองได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตอนนี้อาจารย์ถึงบอกว่าไม่ได้ต้องการให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นทำสิ่งใด นอกจากการมาบำเพ็ญ บำเพ็ญอย่างไร ก็คือการขัดเกลากิเลสที่อยู่ภายในใช่หรือไม่ (ใช่) มีภายในต้องมีอะไรด้วย (ภายนอก) เมื่อภายในจัดการขัดเกลากิเลส ภายนอกทำอะไร (การกระทำ, การให้ทาน) เราต้องแน่ใจ ต้องมั่นใจในสิ่งที่เรามาศึกษา ต้องตั้งใจศึกษาให้เข้าใจ และเมื่อแน่ใจก็จงบำเพ็ญไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ แล้วก็จะได้รับผลที่แท้จริงดีหรือไม่ ทางทุกเส้นกลับเบื้องบนได้หมด อย่าบอกว่าธรรมะของเราดีที่สุด เพราะถ้าเรามาบำเพ็ญที่สถานธรรม บำเพ็ญอนุตตรธรรม แล้วไม่ตั้งใจบำเพ็ญจริงๆ ก็ไม่มีทางกลับขึ้นฟ้าได้ ในทางกลับกัน ถ้าหากคนที่ตั้งใจบำเพ็ญธรรมะ เหมือนในสมัยโบราณอย่างที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ให้มา เราสามารถกลับคืนขึ้นฟ้าได้ ถามว่าทางไหนดีกว่ากัน ก็ย่อมเป็นทางที่ตั้งแต่โบราณมีใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นทางทุกๆ เส้นที่อยู่บนโลกนี้เป็นเหมือนสายทอง เป็นเหมือนถนนที่สามารถกลับเบื้องบนได้ทั้งนั้น อยู่ที่ว่าใครตั้งใจบำเพ็ญทางไหน แต่อาจารย์ก็หวังอย่างยิ่งว่า ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนที่เข้ามาในสถานธรรมที่ได้เป็นลูกศิษย์อาจารย์แล้ว ก็จงตั้งใจบำเพ็ญให้ดี เพื่อที่เรานั้นจะได้กลับคืนเบื้องบนใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อศิษย์อยู่แห่งใด หากว่าอาจารย์บอกให้ศิษย์ทำสิ่งใด เช่น มาที่นี่อาจารย์บอกศิษย์ว่าภายในตัดกิเลส ภายนอกลงมือปฏิบัติ ถามว่าถ้าศิษย์ไม่ทำตามจะสำเร็จไหม (ไม่สำเร็จ) อาจารย์ย่อมไม่เสียดายที่จะให้ศิษย์คนนี้ที่จะไปบำเพ็ญทางอื่น ขอให้วันหนึ่งศิษย์ของอาจารย์นั้นสำเร็จเป็นพุทธะเหมือนๆ กันย่อมดีใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จริงๆ แล้วในโลกมนุษย์นั้นมีอีกหลายๆ คนที่ไม่ยอมจะเดินเลยยังหยุดอยู่ จอดอยู่ นิ่งอยู่ในโลกีย์อันนี้ โดยที่ไม่ยอมบำเพ็ญธรรม ไม่ยอมแสวงหาสัจธรรม ไม่ยอมทำตนให้เป็นคนดีอย่างแท้จริง ถามว่าคนๆ นี้สู้ให้เขาขึ้นเรือธรรมะมาย่อมดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเวลาที่ศิษย์มาที่นี่ก็จงอ่อนน้อมถ่อมตน อ่อนน้อมถ่อมใจ ไม่ว่าเจอใครจะเด็กกว่า ผู้ใหญ่กว่า จะเป็นคนที่ดีหรือไม่ดี ขอให้ศิษย์ดีเข้าไว้ ดีเพื่อใช้ความดีของเรานั้นไปกล่อมเกลาผู้อื่นได้ เวลาที่ศิษย์นั้นเข้าไปอยู่ในสังคมของคนที่ไม่ดีมากๆ เห็นคนอื่นเขาทำไม่ดีแล้วได้ดี เรารู้สึกอย่างไร อย่างนี้เราก็ทำไม่ดีเหมือนเขาดีไหม (ไม่ดี) แต่ในที่สุดแล้วเวลาไปอยู่กับคนอย่างนี้จริงเป็นร้อยเป็นพันคน เราก็รู้สึกว่าเราทนไม่ได้ที่จะทำตัวเป็นคนดีอยู่คนเดียวใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกันกับภายนอกก็คือสังคมของคนที่อาจจะดีบ้างและไม่ดีบ้าง แล้วคนส่วนใหญ่หันด้านมืดเข้าหากัน ฉะนั้นมาในสถานธรรมขอให้ทุกๆ คนหันด้านขาวเข้าหากัน ช่วยลบล้างสิ่งที่เป็นความไม่ดีของตนเองไปโดยไว ในที่สุดแล้วทุกคนที่เข้ามาในสถานธรรมก็หันด้านขาวเข้ามาช่วยกันขัดเกลา กล่อมเกลา ในที่สุดแล้วสังคมของคนดีก็จะเปลี่ยนแปลงคนไม่ดีได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ถามว่าเป็นสิ่งที่ดีไหม (ดี) ในที่สุดความดีนั้นก็จะช่วยลบล้างความไม่ดีของผู้อื่นไปได้ จำเป็นไหมที่เราจะต้องใช้ปากไปพูด (ไม่จำเป็น) เวลาคนอื่นพูดมาเราฟังไหม (ฟัง) เชื่อไหม เวลาคนอื่นพูดมาเราไม่ค่อยเชื่อเขา แล้วเวลาเราพูดไปคนอื่นจะเชื่อเราไหม (ไม่เชื่อ) เขาก็ไม่เชื่อเรา เพราะฉะนั้นการที่จะเปลี่ยนแปลงคนอื่นโดยใช้ปากของเราพูดเฉยๆ เป็นไปไม่ได้ นอกจากว่า ตลอดมาเราเป็นผู้ที่รักษาสัจจะเป็นหนึ่ง เป็นแบบอย่างที่ดีเช่นนี้ ถ้าเราพูดก็จะมีคนฟัง มีคนเชื่อ และคล้อยตามในที่สุด แต่ในขณะนี้ศิษย์ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นผู้รักษาสัจจะ ยังเป็นคนที่บำเพ็ญดีครึ่งไม่ดีครึ่ง เพราะฉะนั้นตอนนี้ให้ใช้การกระทำที่ดีของเราช่วยขัดเกลาผู้อื่น ปากเราต้องไม่เผลอพูดในสิ่งที่ไม่ดี ความคิดของเราต้องไม่เผลอคิดในสิ่งที่ไม่ดี การกระทำของเราต้องไม่เผลอกระทำในสิ่งที่ไม่ดี เวลาที่สมองคิดไวไหม (ไว) แต่เราต้องไวกว่าความคิดของเราเอง ความคิดของเรานั้นถามว่าแค่คิด สมมติว่าคนนี้คิดจะไปฆ่าคน มีอยู่สามระดับ ตอนแรกคิดก่อน ตอนที่สองพูด พูดกับตนเองพูดกับคนอื่น พูดไปๆ จนในที่สุดแล้วกลายเป็นการกระทำเช่นนี้ก็ถือว่าบาปตั้งแต่ตอนคิดเลยใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ใช่บาปตอนที่เราไปทำ แต่บาปตั้งแต่เราเริ่มต้นคิด แต่ศิษย์ของอาจารย์ไม่เลวร้ายขนาดไปฆ่าคนตาย แค่ทำร้ายคน บางคนทำร้ายคนด้วยการกระทำ บางคนทำร้ายคนด้วยคำพูด ถามว่าคำพูดที่ทิ่มแทงกับเอามีดมาเฉือนเลย อันไหนแรงกว่ากัน (คำพูด) คำพูดแรงกว่าอีก เคยทำไหม บางคนบอกเคย บางคนบอกไม่เคย ถ้าหากว่าเราเคย ถามว่าสักวันหนึ่งคนอื่นมาทำกับเราได้ไหม เวลาที่คนอื่นมาพูดทิ่มแทงเรา เราต้องขอบคุณเขาเพราะอะไร อย่างแรก ทำให้เราได้ล้างหนี้ เราเคยติดหนี้คนอื่น เราไปว่าคนอื่น เวลาคนอื่นเขาว่าเรา ต้องขอบคุณที่ได้ล้างหนี้ไปแล้ว ใช่หรือไม่ อย่างที่สอง ทำให้เรานั้นได้เห็นตัวเอง คนอื่นมาว่าเราน่าเกลียดไหม (น่าเกลียด) เวลาเขาจะว่าคน เวลาเขาทำหน้า เวลาเขาแสดงสีหน้า แววตา ก็ไม่น่าดู เวลาเราว่าคนอื่นก็เป็นอย่างนี้ เวลาเราว่าคนอื่นหน้าตาก็ไม่น่าดูอย่างนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเราจะทำหน้าให้เป็นพุทธะหรือหน้ายับยู่ยี่ดี (หน้าพุทธะ) หน้าพุทธะเป็นอย่างไร (ยิ้ม) หน้าพุทธะยิ้มหรือไม่ก็ดูสงบ แต่หน้าเวลาที่เราอยากจะว่าคนมันดูยับ เหมือนกับผ้าที่ยับ เหมือนเราเอากระดาษมายับๆ แล้วก็เอามาวางไว้บนหน้าเรา หน้าเราก็ยับแบบนั้นใช่หรือไม่ (ใช่) ตา จมูกกับปากแทบจะชนกันเลย เพราะฉะนั้นถามว่าเราอยากเป็นใบหน้าพุทธะหรืออยากเป็นใบหน้าของคนที่ยับๆ (พุทธะ) เราต้องรู้จักทำตัวเราให้เป็นใบหน้าของพุทธะ ใช่หรือไม่ (ใช่) ใบหน้าเป็นพุทธะแล้วจิตใจเป็น (พุทธะ) การกระทำเป็น (พุทธะ) เป็นพุทธะง่ายไหม (ยาก) ตอนนี้ที่เราพูดกันอยู่นี่คือสิ่งที่พุทธะทำ แต่ยากเวลาที่เราออกไปข้างนอก เราไม่สามารถที่จะชนะใจของเราเองใช่หรือไม่ (ใช่) ทำไมใจของเราถึงเกเรแบบนี้ ทำไมไม่เชื่อฟังเลย ทำไมถึงเวลาแล้วห้ามความโกรธไม่ได้ ก็เพราะเราไม่เคยพยายามใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาอารมณ์โกรธมาก็เปิดทางให้ความโกรธไปก่อน แล้วเอากรรไกร เอามีดที่ใช้สำหรับตัดความโกรธนั้นโยนทิ้งไปก่อน ทั้งมือทั้งไม้ทั้งเท้าโกรธหมดใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเวลาที่ความโกรธมาต้องทำอย่างไร ในความเป็นจริงแล้วเวลาเราโกรธก็แทบจะไม่ยอมให้ตัวเราเองกั้นเลย คนที่จะกันอยู่ในใจของเราเอง พุทธะองค์นี้ต้องเป็นผู้ที่เข้มแข็งถูกหรือเปล่า (ถูก) ถ้าหากว่าเราไม่ได้ใช้องค์พุทธะในใจเราบ่อยๆ ไม่ให้ท่านช่วยเหลือเราบ่อยๆ นานๆ ให้ท่านออกมาแก้ปัญหาให้เราทีหนึ่ง ถามว่าองค์พุทธะองค์นี้แก้ปัญหาได้ไหม ก็ไม่ได้ ฉะนั้นจึงต้องรู้จักใช้พุทธะในใจของเราบ่อยๆ ถ้าใช้น้อยก็ไม่อาจจะแก้ปัญหาอะไรได้ดี
“คบคนพาลคนพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล”  ใช่หรือไม่ (ใช่) ทีนี้ก็มาย้อนดูกลอนนำที่อาจารย์ให้ “คนพาลชอบโทษคน” เวลาที่เราทำอะไรก็แล้วแต่ ถ้าหากวามีความผิดพลาดเกิดขึ้นจะโทษใคร ถ้าหากว่าเราเป็นบัณฑิต เราก็ต้องมาสำรวจตนเองก่อน แต่ถ้าหากว่าเราเป็นคนพาลเราก็ต้องโทษคนอื่นแน่นอน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราไม่เคยผิดเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) บางคนปากไม่โทษแต่ใจโทษ แล้วเวลาที่เราโทษคนอื่น ยิ่งโทษคนอื่นทำไมยิ่งทุกข์ แต่โทษตัวเราเองกับไม่ทุกข์ใช่หรือเปล่า (ใช่) แสดงว่าโดยแท้จริงธรรมชาติของมนุษย์นั้นแม้ว่าจะเป็นความผิดของผู้อื่น ถ้าหากว่าเราได้ร่วมงานกัน จำเป็นจะต้องช่วยกันแบกรับความผิดนั้นขึ้นมา ความคิดต้องคิดในสิ่งที่ดี ไม่ใช่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นมา ยังไม่ทันแน่ชัด ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ เราก็โทษคนอื่นไว้ก่อน แต่คนอื่นก็หลอกได้ หลอกใครว่าเขาผิดก็ทำได้ แต่หลอกใครไม่ได้ (หลอกตัวเอง) หลอกตัวเองไม่ได้เลยว่าจริงๆ แล้วเราก็มีส่วนที่ผิดด้วย เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าเวลาที่เราอยากจะเป็นบัณฑิต เราต้องรู้จักที่หันมาสำรวจตนเอง สำรวจว่าเรานั้นมีความผิดไหม ดีไหม แล้วคนพาลมีอะไรอีก คนพาลชอบขอคน ขอคนในที่นี้คือคนอื่น คนพาลชอบขอคน ไม่ชอบขอตน แต่บัณฑิตชอบขอตนเอง ไม่ขอคนอื่นใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ว่าจะทำกับข้าว ถ้ากินเองก็ต้องรู้จักทำเอง ถ้าหากว่าทำกับข้าวกินแล้วเรายังรอให้คนอื่นมาทำให้เรากิน เราอดไหม เพราะฉะนั้นคนที่เป็นบัณฑิตก็ต้องรู้จักที่จะทำเอง ถูกหรือเปล่า (ถูก) อยากจะให้เขาเอาเก้าอี้มาให้เรานั่ง เราไม่ชอบ เราเป็นคนที่มีลาภยศ มีดาวไว้ที่บ่า เราอยากจะให้คนอื่นยกเก้าอี้มาให้เรานั่ง ถึงเวลาเขาไม่ยกมาให้ แม้จะมีดาวเต็มบ่า ถามว่ามีที่นั่งไหม (ไม่มี) เพราะฉะนั้นต้องขอตัวเราเอง อยากที่จะให้คนอื่นมาเอาอกเอาใจเรา แต่เขาไม่ชอบเราเลย เราก็ต้องหันมาสำรวจตัวเราเอง ดูว่าตัวเราเป็นเช่นไรคนอื่นถึงไม่ชอบเรา ถ้าหากว่าคนอื่นนั้น เขาเกิดความรู้สึกรักใคร่ ยกย่องในตัวเรา เพราะเรามีคุณธรรมอย่างเต็มเปี่ยม ถามว่าเราอยากจะได้เก้าอี้สักตัวหนึ่ง ถ้าเราเข้ามาถึงในบ้าน คนอื่นก็ยกมาทั้งน้ำทั้งเก้าอี้เลยใช่หรือไม่ (ใช่)
มีการขออีกประการหนึ่ง ศิษย์ของอาจารย์หลายคนชอบเล่นหวยเล่นเบอร์ ไปขอเบอร์นี้ แล้วก็ขอเบอร์นี้ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาไปขอพระขอพร ก็ขอให้ครอบครัวเป็นสุขๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ถามว่าครอบครัวเป็นสุขเพราะอะไร ถ้าเราขอให้ครอบครัวเป็นสุข แต่เรากลับไปบ้านขี้บ่นจังเลย เดี๋ยวก็บ่นคนนี้ เดี๋ยวก็บนคนโน้น ถามว่าครอบครัวเป็นสุขไหม (ไม่สุข) ไม่ยอมสุขสักทีเลย แล้วมีอะไรอีก ขอให้ถูกหวย ขอให้ถูกสักทีจะได้รวย ขอให้ถูกหวยจะได้รวย แต่ถามว่ารวยไหม (ไม่รวย) เลขก็มีแค่หนึ่งถึงศูนย์ใช่หรือเปล่า (ใช่) เลขแค่สิบเบอร์เท่านี้ ทำไมซื้อเท่าไรๆ ก็ไม่ถูกสักที จะรวยไหมถ้าเราเอาเงินของเรานั้นออกไปซื้อ รวยไหม (ไม่รวย) ทุกครั้งก็เอาเงินของเราไปซื้อ สู้เก็บเงินที่เราไปซื้อนั้นรวมๆ กันถึงเวลาสิบหกวันก็ออกที ไปเปิดดูทีหนึ่งเงินยังอยู่ครบรวยไหม (รวย) แต่ซื้อกี่ครั้งๆ ก็เอาเงินออกไปหมดเลย ยิ่งซื้อมากเท่าไหร่ก็ยิ่งจนใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเรามาตั้งฉลากของตัวเราเองดีกว่า ทำอย่างไรดี ลงทุนซื้อกระปุกออมสินสักอันหนึ่ง หยอดลงไป ปกติแล้วไม่ได้ซื้อถูกทุกงวด นานๆ ซื้อถูกทีหนึ่งใช่ไหม (ใช่) ก็หยอดลงไป หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง กี่เดือนถูกที สงสัยซื้อแล้วจะถูกสักทีก็แกะข้างล่าง ก็ดึงเงินออกมาถูกหวยไหม (ถูก) ถูกครบทุกบาททุกสตางค์ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าหากหวังว่าไปซื้อครั้งหนึ่ง ซื้อสิบบาทอยากได้พันหนึ่งได้ทุกคนหรือเปล่า ไม่ทุกคน พันบาทนั้นก็เอาเงินคนอื่นมาใช่หรือไม่ (ใช่) คนอื่นเขาก็หวังจะถูก คือเป็นเงินของความหวังของคนทุกคน เอาเงินความหวังของคนทุกคนมาหมุนเวียนเปลี่ยนไป เราซึ่งเป็นคนใช้ใช้เงินอันนี้ แม้จะได้พันบาท หมื่นบาท สบายใจไหม (ไม่สบาย) ทุกทีไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ จึงยังไม่รู้ว่าจริงๆ เรานั้นผู้เป็นผู้ที่จะบำเพ็ญ ควรที่จะบริสุทธิ์ทั้งด้านของการรับและการส่ง ส่งออกไปก็ส่งด้วยความบริสุทธิ์ใจ รับเข้ามาก็รับด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ใช่ว่าไปรับเงินอะไรก็ไม่รู้ ที่มาก็ไม่แน่นอน หวังจะรวยทางลัด เสร็จแล้วก็มีทางลัดเส้นหนึ่งโผล่มาให้เราเดิน แต่ว่าเป็นทางลัดของความจนใช่หรือไม่ (ใช่) ยิ่งซื้อก็ยิ่งจน ทุกๆ วันก็จนลงๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เป็นพุทธอยากซื้อหวย ถามว่าขึ้นไปบนนิพพานมีหวยให้เล่นหวยมีไหม (ไม่มี) เราไปขอให้ท่านให้ แล้วท่านจะให้หรือเปล่า (ไม่ให้) เพราะฉะนั้นถามว่าไปขอท่านจะได้ไหม (ไม่ได้) พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าจะเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ไหน ก่อนจะไปจากโลกนี้ก็ต้องกองเงินไว้บนโลกไว้ก่อนแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) ท่านไม่เห็นความสำคัญของเงินทอง แล้วศิษย์ไปขอท่านให้ได้เงินทองได้หรือเปล่า (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นอยากได้ครอบครัวที่สงบสุข ตัวเราต้องเป็นผู้เริ่มใช่หรือไม่ (ใช่)
อยากได้สุขภาพที่แข็งแรง นี่เป็นสิ่งที่ชอบขอกันประจำใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถามว่าเราจะแข็งแรงได้ไหม ผู้ชายชอบกินเหล้าสูบบุหรี่ ถามว่ากินเหล้าสูบบุหรี่แล้วร่างกายแข็งแรงไห้ไหม (ไม่ได้) เสียเงินทั้งตอนซื้อ เสียเงินทั้งตอนรักษาใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการที่อยากจะได้สุขภาพที่แข็งแรง จำเป็นจะต้องรักษาสุขภาพนี้ก่อนใช่หรือไม่ (ใช่) ร่างกายอันนี้เปรียบเสมือนฟองน้ำอันหนึ่ง หากว่าเทน้ำสีดำลงไปก็จะเป็นสีอะไร (สีดำ) เทน้ำสีขาวลงไปก็จะเป็นสีอะไร (สีขาว) เพราะฉะนั้นเทน้ำใสๆ ลงไปก็จะเป็นสีอะไร (ใส) ฉะนั้นอยากที่จะให้ร่างกายนี้สุขภาพแข็งแรง ก็อย่าสูบบุหรี่ ซึ่งเป็นการจุดไฟเผาฟองน้ำอันนี้ อย่ากินเหล้าลงไป เพราะว่าเหล้านั้นมันกัดใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วยังมีการบริโภคอาหารของเราอีก บริโภคอาหารต่างๆ นานา ถ้าอาหารที่เป็นสิ่งที่ไม่สะอาด กินอะไรกันเข้าไปก็ไม่รู้ ถามว่าโรคอะไรก็ไม่รู้จะมาหาหรือเปล่า ตอนนี้เราเป็นโรคอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจึงต้องรู้จักที่จะระมัดระวังใช่หรือเปล่า (ใช่) มีอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรงเลย คือการที่จิตใจของเราไม่แข็งแรงใช่หรือไม่ (ใช่) การทำให้จิตใจแข็งแรงนั้นเอาอะไรเลี้ยง ร่างกายของเรา เราเอาอาหารเลี้ยง จิตใจของเราเอาธรรมะเลี้ยง เดี๋ยวคนโน้นนินทามาก็เก็บเข้าไปในใจ ความไม่ดีของคนนั้นก็อยู่ที่เราหมดเลย เจอหน้าเขามองไปคนนี้ไม่ดีอย่างนี้ ทุกๆ วันก็เก็บแต่สิ่งที่ไม่ดีเข้าไป ถามว่าจิตใจจะแข็งแรงไหม (ไม่แข็งแรง) จิตใจก็ไม่แข็งแรง เพราะฉะนั้นคนที่ไม่แข็งแรงก็บำเพ็ญธรรมไม่ได้ถึงที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นต้องรู้จักรักษาจิตใจของเราให้แข็งแรง ด้วยการที่รู้จักมองแต่ในสิ่งที่ดี คิดแต่ในสิ่งที่ดี ทำแต่ในสิ่งที่ดี ต้องรู้จักทำให้ดี
เมื่อสักครู่บอกไปแล้วเรื่องคนพาลกับบัณฑิตใช่หรือไม่ (ใช่) ประโยคแรกที่อยู่ตรงนี้ศิษย์ของอาจารย์รู้จักดีทุกคน หันกลับมาถามตัวเราสิว่าเรานั้นเป็นคนพาลหรือเป็นบัณฑิต ในวันนี้ขอให้ศิษย์ย้อนมองตน สถานธรรมตอนนี้อาจารย์เปรียบเสมือนเรือลำหนึ่ง แต่เรือลำนี้เมื่อออกไปจากท่าแล้วต้องไปสู่ฝั่งใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถามว่าเรือไปสู่ฝั่งเพราะอะไร มีหลายคนคิดว่าเรือจะไปถึงฝั่งเพราะว่าตัวเองเท่านั้นเอง แต่จริงๆ แล้วถามว่าเรือทั้งลำมีเราอยู่คนเดียวไหม (ไม่) เรือทั้งลำไม่ได้มีเราอยู่คนเดียว หลายๆ คนจึงมาดมั่นว่างานทุกอย่างต้องสำเร็จในมือเราคนเดียว แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ก็ไม่ใช่ว่าให้เอาตัวรอดคนเดียว ถ้าเอาตัวรอดก็ย่อมจะไม่ถึงใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าเรือที่อาจารย์พูดถึงคือเรือธรรมะนี้ จะไปถึงฝั่งเพราะอะไร เรือพายไปถึงฝั่งเพราะสามัคคีใช่หรือไม่ (ใช่) คำว่าสามัคคีนี้ได้ยินได้ฟังมานานแสนนานแล้ว แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถที่จะสามัคคีกันได้ เพราะอะไร เพราะว่าใจของเรานั้นไม่ใช่ดวงเดียว แต่ถามว่าจิตใจของเรานั้นเหมือนกันไหม จริงๆ แล้วต้องทำจิตใจของคนทุกคนนั้นให้เป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้ อย่าได้คิดเข้าข้างตนเอง อย่าได้คิดเอาแต่ใจตนเอง อย่าได้คิดว่าเรานั้นจะอยู่รอดด้วยตัวของเราเอง แต่ต้องคิดว่าเรานั้นจะเป็นใจดวงเดียวกัน ด้วยความรู้สึกเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน เอาใจเขามาใส่ใจเราทุกเมื่อทุกยามใช่หรือไม่ (ใช่) ในทางโลกก็คือ ที่บ้านก็เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่ (ใช่) เรือบ้านเรานั้นจะพายถึงฝั่งหรือเปล่าต้องอยู่ที่คนทุกคนใช่หรือไม่ (ใช่) จะเรียกให้เขายอมเราโดยที่เราไม่ยอมเขาได้ไหม (ไม่ได้) ทุกคนต้องยอมซึ่งกันและกันใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าทุกคนยอมให้กันคนละนิดชีวิตก็ย่อมจะแจ่มใส คำนี้อาจารย์เคยได้ยินมนุษย์พูดว่า ชีวิตจะแจ่มใส แต่จริงๆ แล้วอาจารย์ไม่เห็นชีวิตของใครแจ่มใสสักคนเลย แต่ว่าการที่เราจะรู้จักยอมให้คนอื่นนั้นต้องยอมด้วยความจริงใจ หลายๆ คนยอมแต่เปลือกนอก พอถึงเวลามีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นมา อดทนไม่ได้เป็นอย่างไร (ระเบิด) ระเบิดลง ระเบิดลูกใหญ่ด้วย ฉะนั้นการที่รู้จักยอมจึงต้องรู้จักยอมให้กันด้วยความจริงใจใช่หรือไม่ (ใช่) ต้องปล่อยวางอย่างแท้จริง ไม่ใช่ว่าขายผ้าเอาหน้ารอด วันนี้ผ่านไปก่อนวันหน้าช่างมัน ถึงเวลาแล้วช่างมันหรือเปล่า มันไม่เดือดร้อน แต่เราเดือดร้อนใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นชั่งใคร ให้มาชั่งตัวเรา แต่ว่าชั่งตัวนี้ไม่ใช่ชั่งที่สะกดว่า ช่าง แต่ชั่งตัวนี้ให้มาชั่งตัวไหน ชั่งใช่หรือไม่ ก็คือรู้จักชั่งใจตัวเราเอง
อาจารย์พูดในประโยคสุดท้ายบอกว่า “อดทนเป็นสามารถผ่านทุกข์อนันต์” ทุกคนในตอนนี้มีทุกข์อยู่ในใจใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการที่จะกำราบต้องเอาของที่นั้นออกมาสู้ ถ้าหากว่ามีทุกข์อยู่ภายในแล้วไปแสวงหาความสุขสบายเพื่อให้ดับความร้อนที่อยู่ในใจได้หรือเปล่า มนุษย์สมัยนี้แก้ปัญหาด้วยอะไร มีความทุกข์มากๆ ก็ดึงบุหรี่ออกมาสูบก็ออกไปก๊งเหล้ากัน ถามว่าดับทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้) มีความทุกข์มากๆ ก็ทำอย่างไรอีก (ฆ่าตัวตาย) ฆ่าตัวตายแล้วหายทุกข์หรือ หลายคนคิดว่าฆ่าตัวตายแล้วหายทุกข์ หายทุกข์หรือเปล่า (ไม่หาย) อาจารย์จะบอกให้ คนที่คิดจะไปฆ่าตัวตาย หรือว่าสักวันหนึ่งจะไปฆ่าตัวตาย ฟังไว้ให้ดี
ความกตัญญูนั้นเป็นสุดยอดของคุณธรรม ร่างกายนี้บิดามารดาเป็นผู้ให้ ไม่มีสิ่งในร่างกายของตัวเองสักนิดเดียว นอกจากการใช้ชีวิตไปทุกวันจนแก่เฒ่า เพราะดวงชะตากำหนดมาแล้วเหมือนกับการขีดเส้นๆ หนึ่ง ถ้าหากว่าเรานี้ไปดึงเส้นนี้ให้ขาดออกจากกัน ด้วยแรงของความเครียดของตัวเอง ผลกรรมที่ตามมาจะตกนรกอเวจี แม้ว่าจะเป็นลูกศิษย์อาจารย์ๆ ก็ช่วยไม่ได้ คนที่บอกว่าฆ่าตัวตายแล้วจะพ้นทุกข์ ไม่รู้หรอกว่าทุกข์นั้นมากกว่าเดิมเสียอีก แล้วหนักเป็นพันๆ เท่า เคยเห็นห้องมืดที่มืดมากๆ ขนาดที่มองนิ้วตัวเองไม่เห็นไหม ตอนนี้เรายกมือขึ้นมาเรามองเห็นนิ้วตัวเองไหม (เห็น) แต่ในนรกอเวจี มองไม่เห็นแม้แต่นิ้วตัวเองสักนิ้วเดียว เพราะฉะนั้นตัวเองจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไรไม่รู้เลย มีแต่ความทุกข์กับทุกข์ ถ้าอยู่ในความมืดสัก 2 นาทีทนได้ไหม (ไม่ได้) ยังพอได้ ถ้า 2 ชั่วโมงทนได้ไหม (ทนไม่ได้) แต่ว่าคนที่ฆ่าตัวตายต้องอยู่ในความมืดชั่วกัปชั่วกัลป์ หมายความว่า ลงไปสู่ที่ๆ ไม่มีเวลาตลอดกาล เพราะฉะนั้นจำให้ดี แล้วหากว่าใครที่สามารถกลับมาเกิดได้ แม้ว่าในล้านคนจะหาได้สักคนหนึ่งที่ฆ่าตัวตาย แล้วสามารถกลับมาเกิดได้ จิตใจนั้นก็มีสัญญาของการฆ่าตัวตายแล้วก็ต้องฆ่าตัวตายต่อไปเรื่อยๆ ว่าไปแล้ว เหตุของการฆ่าตัวตายหนึ่งครั้ง ผลก็คือว่าต้องฆ่าตัวตายอีกหลายๆ ครั้ง ในที่สุดแล้วผลทุกครั้งนั้น ก็จะทับถมขึ้นเป็นทวีคูณ ชีวิตทั้งชีวิตก็จะเกิดความทุกข์ขึ้น เพราะฉะนั้นเหตุครั้งแรกอย่าทำ หรือถ้าใครคิดจะทำให้ตัดเหตุซะจะได้สิ้น ดีไหม (ดี) ตอนนี้คิดจะปลดทุกข์ด้วยการทำอะไร (ถือศีลกินเจ) ทำได้ไหม (ทำได้) การดับทุกข์จริงๆ ก็คือการรู้สาเหตุของความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) หาให้เจอว่าไฟมาจากทางไหนลามมาจากทางไหนแล้วเราก็ไปดับไฟที่ต้นเหตุดีไหม ถามว่าถ้าเราไม่ดับไฟที่ต้นเหตุเวลาไฟไหม้มา ก็ดับที่ปลายเหตุ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าต้นเหตุของไฟนั้นยังไม่ทันดับในที่สุดแล้ว ถามว่าไฟจะติดอีกไหม (ติด) เพราะฉะนั้นการดับทุกข์ก็คือ การรู้จักหาต้นเหตุของไฟแห่งความทุกข์นั้นๆ ไฟเมื่อจุดติดแล้ว เล็กน้อยก็ต้องไหม้ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนที่เราจะผ่านในช่วงที่ไฟนั้นไหม้ตรงนี้จะผ่านได้อย่างไร ก็คือจะต้องรู้จักอดทนให้เป็นใช่หรือไม่ (ใช่) หลายคนรู้จักคำว่าอดทน อดทนเป็นอย่างไรรู้ แต่ใช้ไม่เป็น ไม่รู้ว่าการอดทนที่แท้จริงควรทำอย่างไร เข้าใจว่าฝืนๆ ไป เข้าใจว่าตัวเองนั้นทำเช่นนี้ ก็คือความอดทนแล้ว จริงๆ แล้วความอดทนนั้นเป็นเรื่องที่เข้าถึงยากเป็นเรื่องที่ทำยาก แต่หลายคนบนโลกมนุษย์นี้ประสบความสำเร็จในเรื่องความอดทนมาแล้ว อาจารย์ก็หวังว่าศิษย์นั้นจะเรียนรู้ความอดทนอันนี้ด้วยคำว่าพยายาม ความอดทนครั้งนี้ไม่สามารถทำให้เราผ่านความทุกข์ได้ แสดงว่าไม่ได้เป็นความอดทนที่แท้จริง ครั้งต่อไปเกิดทุกข์ใหม่ก็พยายาม เมื่อศิษย์มีจิตใจที่จะพยายามอดทนแล้วจิตใจก็จะไม่ฟุ้งซ่าน เพราะเราจะคิดว่าเราจะอดทนอย่างไร ไม่ได้คิดว่าคนอื่นให้ร้ายเราอย่างไร จำกัดเวลาแล้วก็จำกัดความฟุ้งซ่านความกระเจิดกระเจิงอันนั้นให้แคบลงๆ ด้วยคำว่าอดทน ตีกรอบของความอดทนลงไป แล้วความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่นั้นก็จะเหลือนิดเดียว
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาทเพลงทวนกระแสโลกีย์) ทวนกระแสโลกีย์หมายความว่าอะไร โลกีย์อยู่ที่ไหน โลกีย์ก็คือโลกมนุษย์ ทวนกระแสโลกีย์ หมายความว่าให้เรานั้นทวนกระแสโลก ทวนกระแสโลกทำอย่างไร การทวนกระแสโลกก็คือ การที่เรานั้นเก็บจิตใจที่กระเจิดกระเจิงทั้งหลายของเรานั้นให้กลับคืนมา เพราะว่าเราอยู่ร่วมกับโลกีย์อยู่แล้ว แต่ทำไมจะต้องทวน โลกีย์นั้นเป็นทางที่อยู่กลางระหว่างสวรรค์ นรก สูงสุดคือนิพพาน เพราะฉะนั้นโลกีย์มีไว้เพื่อที่ให้ศิษย์นั้นรู้จักกิเลส เมื่อได้รู้จักกิเลสในใจตนแล้ว จึงรู้จักตัด เพียงแต่ว่าถึงเวลานั้น จะทวนกระแสโลกีย์ต้องรู้จักตัดกิเลสอันนี้ให้ขาด ขาดเลย ไม่ใช่ขาดแบบไฟที่เหลือเชื้อ แต่ต้องขาดอย่างไฟที่หมดเชื้อ ไม่สามารถจุดติดอีกต่อไปได้ การทวนกระแสโลกีย์เหมือนกับอะไร เหมือนกับหัวข้อเมื่อสักครู่ที่ฟังไปคือ หัวข้อพระมหากรุณาธิคุณ เราเหมือนอยู่ปลายน้ำจำได้ไหม เราทุกคนนั้นอยู่ในโลกีย์ โลกีย์นั้นคือปลายน้ำ มีต้นน้ำ ต้นน้ำอยู่ที่ไหน แดนนิพพาน แต่ทำไมต้นน้ำกับปลายน้ำต่างกันเยอะนัก ต่างกันเพราะว่าเรานั้นมีกายสังขาร มีกายเนื้อ การที่ศิษย์นั้นมีกายเนื้อทำให้ศิษย์ต้องตกแต่งกายเนื้อนี้ด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ เงินทอง บ้านหรือรถ ความนิยมทางสังคม การที่ศิษย์นั้นอยู่อย่างนี้จึงเรียกว่าวนเวียนในกระแสโลกีย์ ปลายน้ำอันนี้ทวนขึ้นไปข้างบนเหมือนกับปลา ปลายอมให้น้ำพัดพาไหม (ไม่) ปลาว่ายทวนน้ำใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นเลียนแบบปลา การที่เรานั้นไม่รู้จักฝืนตัวเองเลย ทุกอย่างปล่อยไปตามอารมณ์ ทุกอย่างปล่อยไปตามใจ ตามกิเลส ที่เราอยากได้ อยากเป็น อยากมี ในที่สุดแล้วเป็นอย่างไร ความอยากนั้นเป็นน้ำที่พัดแรงที่ทำให้เรานั้นลงไปที่ไหน ลงไปในที่ต่ำกว่าโลกีย์นี้อีก ลงไปถึงจุดต่ำสุดของโลกีย์นี้เลย เพราะฉะนั้นอยากที่จะทวนกระแสโลกีย์ต้องรู้จักฝืนความรู้สึกของตนเอง ฝืนความรู้สึกของเราที่อยากจะได้ อยากจะมี อยากจะเป็น ให้เรานั้นได้ในสิ่งที่เราไม่ต้องการ ไม่อยากได้ ให้เราพลัดพราก ให้เรานั้นได้รู้จักความทุกข์ยาก เพื่อให้เรานั้นตื่นขึ้นท่ามกลางความทุกข์ยากเหล่านี้ แล้วก็เป็นพุทธะในที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) สมมติว่าเราเป็นปลาตัวหนึ่ง ปลาตัวนี้เอาทรัพย์สินเงินทอง บ้าน รถ ที่ดินนั้นแบกไว้กับตัว ปลาตัวนี้ว่ายขึ้นไหม ปลาตัวนี้ว่ายไม่ขึ้น เพราะฉะนั้นท่ามกลางของการที่จะไปสู่แดนนิพพานนั้นยิ่งว่ายไป เนื้อตัวยิ่งถลอกปอกเปิก ยิ่งว่ายไปจะยิ่งเจออุปสรรคมาก ชนโน่นชนนี่จนเนื้อตัวนั้นแทบจะหลุดลุ่ยทีเดียว เพื่อที่สุดท้ายจะขึ้นไปเบื้องบนได้ เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญนั้นมีอุปสรรคมาก แต่ถ้าหากว่าใครสามารถผ่านอุปสรรคตรงนี้ได้ ในที่สุดแล้วไปเป็นพุทธะ จะเป็นพุทธที่อิสระเสรีมาก จึงหวังว่า ศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่กลัวความยากลำบากที่ตนเองนั้นไม่เคยเจอ แต่เมื่อเจอแล้วก็อย่าท้อใจ
ตามเพลงที่อาจารย์บอกไว้ “จากปลายน้ำคืนต้นหนทางยังยาวไกล”  จากปลายน้ำไปสู่ต้นน้ำอันนั้นหนทางยังยาวไกลมาก
“รู้แล้วให้ระวังกายใจหันหน้าตามฟ้า” หันหน้าตามฟ้าหมายความว่า ทำสิ่งใดนั้นก็ทำให้ถูกทำนองคลองธรรม ให้ถูกมโนธรรมสำนึก อันว่ามโนธรรมสำนึกนั้นเป็นสภาวะที่เที่ยงเหมือนกับฟ้าที่เที่ยงใช่หรือไม่ (ใช่) ฟ้าเที่ยงอย่างไร เวลาฟ้าส่องแสงสว่างมา ต้องเลือกหรือเปล่าว่าคนนี้ไม่ดีฉันไม่ส่องให้ (ไม่เลือก) เพราะฉะนั้นจิตใจที่เที่ยงอันนี้ก็คือ มโนธรรม ก็คือทำตามมโนธรรมสำนึกในจิตใจตนเอง รู้จักละอายต่อบาปนั้นเอง
“หากดวงใจเอาแต่เคลือบแคลงไปนานา” ถ้าหากว่าจิตใจนี้สงสัยโน่นสงสัยนี่ไม่รู้จักจบสิ้น ล้วนต้องมีความลำบากแน่นอน มีคำถามเยอะแยะไปหมดเลย แล้วศิษย์ต้องรู้คำตอบทุกคำถามหรือเปล่า อันนี้เป็นปัญหา เมื่อเป็นมนุษย์การที่มีกายสังขารนี้ทำให้มีข้อจำกัดต่างๆ ในการรับรู้ จึงเป็นความลำบาก ขอให้ศิษย์นั้นรู้จักตนเองก็พอ ไม่ต้องรู้ทุกคำถาม ไม่ต้องรู้ทุกคำตอบเท่านั้นก็พอแล้ว รู้จักตนเองให้มาก
“ใช้ความดีชนะใจมวลชน” หลายคนใช้กำลังชนะ หลายคนใช้ทรัพย์สินเงินทองชนะ มีเงินเขาเรียกเป็นน้อง มีทองเขาเรียกเป็นพี่ มนุษย์ชอบพูดแบบนี้ เวลาที่มนุษย์ชนะก็ชนะกันด้วย ทรัพย์สิน เงินทอง อำนาจ วาสนา ใช่หรือไม่ (ใช่) หรือเอากำลังชนะ การต่อสู้ชนะ แต่เคยมีใครคิดไหมว่าการชนะที่สุด ชนะแล้วให้เขายกย่องเราด้วยความจริงใจ ให้เขานับถือเราด้วยความจริงใจคือการเอาความดีชนะ แต่ความดีอันนี้ต้องเป็นความดีที่แท้จริง ไม่ใช่เป็นความดีที่สามวันดีสี่วันไข้ มีบ้างไม่มีบ้าง วันนี้มีไว้พรุ่งนี้ไม่มี แล้วเปลี่ยนไปเรื่อยๆ อย่างนี้ชนะใจคนไม่ได้
“เก็บความพลั้งเป็นบทเรียนมาสอนเรา” ทุกคนเคยพลั้ง เคยพลาด แต่ไม่ใช่พลาดอย่างจงใจ อย่าได้พลาดอย่างจงใจ อย่าได้พลาดอย่างคนที่ไม่รู้จักจำอย่าได้พลาดอย่างคนที่แก้ไขไม่เป็น แต่จงพลาดแค่เป็นบทเรียน ครั้งหนึ่งพลาดไปแล้ว ครั้งที่สองมีไหม ขอให้ไม่มี ไม่ใช่ครั้งที่สองมี แล้วก็ครั้งที่สาม แล้วก็ครั้งที่สี่
“จิตสะอาดสว่างรุดเดินเต็มก้าว” จิตสะอาดคำนี้พูดง่ายทำยาก เพราะว่าจิตใจของมนุษย์และศิษย์ของอาจารย์ทุกคนนั้น มีความทุกข์ก็เพราะว่าจิตใจของตนเองนั้นไม่คิดในแง่ดีเลย ทุกวันก็คิดแต่ว่าคนอื่นคงจะนินทาเรา คนอื่นจะให้ร้ายเรา คนอื่นคงมีอะไรกับเรา แค่มองไปเหมือนกับเวลามองผลไม้สักลูกหนึ่ง ก็พยายามๆ ที่จะมองให้เห็นว่าผลไม้ตรงนี้เสียตรงไหน ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว ควรที่จะมองเสียนั้นมีแค่จุดเดียว ใช่หรือไม่ บนผลไม้ลูกหนึ่งมีจุดเสียแค่จุดเดียว แต่มีส่วนที่ดีนั้นทั้งใบ แต่เรามองไปทีไรก็เห็นแต่จุดเสียอันนี้ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะว่าผลไม้นี้มันเสียแค่ตรงนี้นิดเดียวเท่านั้นเอง เวลาศิษย์มองศิษย์ก็มองแบบนี้ จุดเสียนิดเดียวของเขามองว่า ความเสียนั้นเป็นทั้งหมด และเอาความดีทั้งหมดนี้ของเขานั้นไปโยนทิ้ง จึงไม่สามารถที่จะมีจิตใจที่มีความสุขได้จึงเป็นทุกข์เช่นนี้
“วอนขอมวลศิษย์แข็งใจสู้มายา” แข็งใจสู้ไม่ใช่อ่อนใจสู้ ให้เรานั้นสู้มายาอันนี้ด้วยความเข้มแข็ง มัจฉาต่างรู้ทวนธารา ปลานั้นรู้จักทวนน้ำ แต่ศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่รู้จักทวนโลกีย์ ใช่หรือเปล่า ตอนนี้จึงบอกว่า มัจฉาต่างรู้ทวนน้ำ ให้ย้อนมองดูตัวเองว่า เรานั้นรู้จักทวนโลกีย์อันนี้ไหม
“ขอบำเพ็ญถึงพร้อมในตน” ให้ตัวเราเองนั้นสมบูรณ์อยู่ในตัวเรานี่ ไม่ต้องไปหาความสมบูรณ์จากข้างนอก ไม่ต้องไปหาอาหารที่อร่อย ที่มันสมบูรณ์จากข้างนอก มาบำรุงเรา อาหารที่มีผัดง่ายๆ ก็อร่อยแล้ว พร้อมในตนไม่ต้องให้คนอื่นนั้นเขาเป็นผู้ที่สละกิเลสได้ แล้วเราสละไม่ได้ หันมามองตัวเองทุกอย่างถึงพร้อมในตน ไม่ต้องเอาเครื่องแต่งตัว ไม่ต้องเอาสิ่งที่ล่อใจต่างๆ ทีวีมาเพิ่มบารมีให้คนเอง แต่เอาบารมีของคุณธรรมของเรานั้นให้มันปรากฏ ให้มันแผ่ให้มันมีแสง ทุกวันเวลาไม่ใช่แค่สามวันห้าวัน แต่ต้องทุกวัน เพราะฉะนั้นเพลงนี้อาจารย์ให้ชื่อเหมือนกับโอวาทที่ซ้อนออกมา เพาะว่าอยากให้ศิษย์นั้นทวนกระแสโลกีย์ ไม่ใช่ไหลตามน้ำ เพราะถ้าไหลตามน้ำไป ตอนนี้ก็อยู่ปลายน้ำแล้วไหลลงไปมากกว่านี้สักวันหนึ่ง ต้องลงนรกแน่นอน อาจารย์บอกแล้ว หากว่าสวรรค์ต้องการคนแค่คนเดียว คนๆ นั้นจะใช่เราหรือเปล่า ถ้ายังมีคนที่ดีกว่าเรา ต้องไม่ใช่เราแน่ แต่ไม่ใช่ดีกว่าชาวบ้านเขา เพราะว่าเรานั้นเอาความดีของเราไปเปิดเผยความไม่ดีของเขาให้เขากลายเป็นคนไม่ดี เราจะได้ดีเสียเอง อย่างนี้ก็ไม่ถูก
อย่างสุดท้ายที่อาจารย์นั้นอยากจะฝากให้ศิษย์ทุกคนนั้น สิ่งที่อาจารย์อยากจะพูด โลกวุ่นวายมากเท่าไหร่ ขอให้ศิษย์นั้นยิ่งตั้งใจบำเพ็ญไปตามสัจธรรมอันถูกต้อง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่าได้เป็นผู้บำเพ็ญที่ไม่มีธรรมะ เพราะถ้าหากเป็นผู้บำเพ็ญแล้วไม่มีธรรมะ จะเป็นผู้บำเพ็ญแต่ในชื่อเท่านั้นเอง ใครที่เป็นอาจารย์บรรยายธรรม ใครที่เป็นผู้ดูแลสถานธรรม เจ้าของสถานธรรม ใครที่ผู้อื่นนั้นเฝ้ายกยอ เฝ้ายกย่อง เฝ้ามองเราเป็นแบบอย่าง ขอให้รู้ ขอให้สำรวจตนอยู่เป็นประจำ สิ่งใดผิดอย่าได้ทำ แม้อาจารย์ไม่ได้พูด แม้อาจารย์ไม่ได้ว่า แต่ศิษย์นั้นต้องรู้จักรู้ตื่นได้ด้วยตนเอง อันว่าผู้บำเพ็ญธรรมในยุคขาว ชื่อจะถูกจารึกไว้ตลอดกาลนานเท่านาน แต่ชื่อใครจะถูกจารึก ต้องถามตัวเราว่าเราบำเพ็ญได้ดีเท่าไหร่ ก้าวหน้ามากเท่าไหร่ อาจารย์รู้ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นรู้จักดีชั่ว รู้จักถี่กว้าง เพียงแต่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ คนว่าก็ไม่ได้ รับไม่ได้ ไม่ชอบใจ ไม่พอใจ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าก็ไม่ได้ กลัว เขิน อาย ไม่อยากมาสถานธรรม ผู้อาวุโสว่าก็ไม่ได้ มีสิทธิ์อะไรมาว่าฉัน เกิดเป็นคนก็แปลก การที่มีคนติว่าเรานับเป็นความโชคดีอย่างยิ่ง ขอให้เป็นคนที่รู้จักอภัย ไม่เก็บความชั่งใจ ไม่เก็บความคับแค้นใจมาใส่จิตใส่ใจไว้ ดีไหม (ดี)
เป็นพุทธะในสักวันหนึ่ง แต่ไม่ใช่เป็นพุทธะวันเดียว ศิษย์รู้ไหมว่าการเกิดเป็นคนนั้นมีความทุกข์มาก ดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่หลุดพ้นไปจากความทุกข์นี้ มิหนำซ้ำหนีเสือปะจระเข้ ดิ้นจากทางนี้ไปติดอีกทางหนึ่ง อาจารย์ถึงบอกว่าชีวิตคนนั้นเหมือนกับลูกบอลที่โยนขึ้นไปบนฟ้าเสร็จแล้วก็หล่นลงมา ยิ่งโยนไปแรงยิ่งตกมาแรง นี่เป็นสภาพของการเป็นโลกีย์ โลกียภูมิเป็นเช่นนี้ แต่อาจารย์จะสอนศิษย์อีกอย่าง สภาพของการเป็นพุทธะเป็นอย่างไร สภาพความเป็นพุทธะ ก็สมมติเอาลูกบอลลูกเดิมมา แต่สภาพความเป็นพุทธะนั้น คือตกลงให้ต่ำที่สุด แล้วค่อยเพิ่มขึ้นมา เหมือนกับเอาลูกบอลนั้นปาลงไปที่พื้น แล้วปาลงไปให้แรง ยิ่งแรงมากเท่าไหร่ ยิ่งตกลงไปถึงต่ำที่สุด ยิ่งเจออุปสรรคมากที่สุดจะขึ้นแรงมากขึ้นเท่านั้น แต่มีกี่คนที่จะทนได้ แค่ตกลงนิดเดียวก็ร้องไม่ไหวแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) เพาะฉะนั้นคนที่จะสำเร็จไปเป็นพุทธะที่แท้จริงนั้นยังมีน้อย ท่ามกลางของการตกลงไปข้างล่างที่แรงมาก ขอให้ศิษย์นั้นมีความมั่นคงมาก เข้าใจกันให้มาก อยู่ร่วมกันด้วยความเข้าอกเข้าใจ อยู่ร่วมกันเหมือนพี่น้อง ไม่ใช่พี่น้องที่แตกแยก แต่เป็นพี่น้องที่รักกันมากๆ ถ้าถือว่าอาจารย์เป็นพ่อ ก็ขอให้ศิษย์นั้นเป็นลูกที่ดี หากข้างหน้าแตกแล้ว ข้างหลังจะเหลืออะไรใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ว่าจะแตกแยกเรื่องส่วนตัว เรื่องการทำงาน ไม่ว่าจะแตกแยกเพราะว่าคนอื่นเขานินทา ก็ขอให้เรานั้นได้รักษาน้ำใจกันไว้ ขอให้กลับมาเหมือนเดิม เรือทุกลำที่ลอยอยู่บนทะเล เรือทุกลำที่อาจารย์นั้นส่งมาเพื่อที่จะช่วยเวไนยสัตว์นั้น อาจารย์ก็หวังว่าผู้นำเรือทุกคนจะเป็นคนที่รักษาธรรมเหมือนรักษาชีวิตทีเดียว เดินตามอาวุโสด้วยหลักธรรมที่เปี่ยมล้นในใจ อย่าเดินตามกันไปอย่างงมงาย
ธรรมะไม่มีสีสัน ธรรมะเหมือนกับสิ่งที่ใสๆ จะให้สวยงามเหมือนสีแดง สีเหลือง สีเขียวเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญนั้นเรียบๆ ง่ายๆ มีแต่การควบคุมใจตัวเองเท่านั้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สำหรับการบำเพ็ญในชาตินี้ บำเพ็ญให้ดีๆ นะ สิ่งใดที่อาจารย์พูดไป สิ่งใดที่อาจารย์พูดถึงขอให้จำไว้ใส่ใจ อย่าลืมไปเหมือนลมผ่านหู อาจารย์ไม่เคยรักศิษย์คนไหนมากกว่าศิษย์คนไหน กลับไปอยู่กับอาจารย์ที่เบื้องบนสักวันหนึ่ง แล้วอาจารย์จะรอเหล่าศิษย์คนดีกลับคืนไปบ้านของเรา วันหน้าหากเขาเรียกให้ศึกษาธรรมะให้เข้าใจมากๆ ก็อย่าบอกตัวเองว่าไม่มีเวลา แต่ให้บอกตัวเองว่ามีเวลาศึกษาธรรมะให้เข้าใจจะได้นำพาตนไปตลอดรอดฝั่งรู้ไหม


พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ทวนกระแสโลกีย์”

ชีพคนนั้นยากเดาคาดอยู่หรือไป ตามน้ำดื้อไม่มีวันได้เป็นสุข
ยึดติดในลาภยศไม่พ้นเกิดทุกข์ มุ่งผาสุกดับวุ่นวายในใจตน
สู้ดุจปลาว่ายทวนน้ำซึ่งไหลหลาก ไม่ปล่อยตัวคุณธรรมฝากทุกแห่งหน
ปัญญามีไม่เกี่ยงว่ายากดีมีจน จะอดทนไม่ต้องเลือกช้าหรือเร็ว

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2542

2542-06-19 พุทธสถานหมิงฮุย จ.ลพบุรี



PDF 2542-06-19-หมิงฮุย #13.pdf

วันเสาร์ที่ ๑๙ มิถุนายน  พุทธศักราช ๒๕๔๒ พุทธสถานหมิงฮุย  จ.ลพบุรี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

ใช้ศรัทธามาฟังธรรมจึงเข้าใจ เอาใจใส่จิตในตนบำเพ็ญถ้วน
ชีวิตหนึ่งทำแต่สิ่งอังสมควร อย่าเรรวนเพราะลังเลขาดศรัทธา
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงฮุย   เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา  ฮวา

ในวันนี้เป็นฤกษ์ดีมาพร้อมกัน ขอใจนั้นบริสุทธิ์รัศมี
ขอทุกคนรักษาไว้ซึ่งความดี ขอให้มีสืบไปใจจะบำเพ็ญ
ยืมกายปลอมเพียรกายจริงแห่งตนเถิด คนประเสริฐด้วยความดีที่ตนสร้าง
เผลอนิดเดียวพาใจให้หลงทาง คืนความว่างเหนือดีชั่วได้คืนแดน
ในวันนี้เป็นวันแรกการประชุม ขอสุขุมจิตดั่งพระประธาน
ทั้งเศร้าสุขที่มีในวันวาน ให้เลยผ่านด้วยปัญญามิผิดซ้ำ
ประชุมธรรมสะเทือนไปทั่วสามภพ ขอเคารพทั้งกายใจไม่ทำเล่น
ชีวิตหนึ่งรู้จักนำพาเป็น ร้อนเป็นเย็นด้วยจิตใจแห่งพุทธา
จงได้รู้ชีพแสนสั้นสร้างคุณค่า ประวิงเวลาผัดผ่อนบ่อยไม่พ้นหลง
ในบัดนี้วิสุทธิอาจารย์ชี้ทางตรง ขอมั่นคงอย่ายอมพ่ายอุปสรรคนานา
ขอให้รู้น้องต่างเคยเป็นพุทธะ ในยามนี้เร่งลดละเหล่าตัณหา
จงเป็นผู้รู้แจ้งในมายา น้องคนกล้าย้อนมองตนให้ถ้วนเทอญ
ในวันนี้เป็นวันแรกเริ่มประชุม ขอควบคุมจิตลิงม้าให้หยุดนิ่ง
เมื่อศึกษาจนเข้าใจให้ทำจริง ทุกทุกสิ่งย่อมสำเร็จด้วยพยายาม
เป็นคนหลับที่ตื่นเพราะความเพียร ตั้งใจเรียนทั้งสองวันให้แกล้วกล้า
เรือทวนน้ำขึ้นไปให้ฟันฝ่า เมื่อนำพาตนดีแล้วช่วยเวไนย
ในวันนี้มิกล่าวความให้มากไป ศิษย์พี่ไซร้รับบัญชามาคุมชั้น
ขอให้น้องรักษาระเบียบอย่างแข็งขัน สิ่งสำคัญรักษาศรัทธาในใจตน
บรรพชนต่างมาร่วมฟังธรรมด้วย ขอน้องรวยจิตใจอันเป็นกุศล
ให้คิดดีทำดีเป็นเบื้องต้น มีกายคนช่างล้ำค่าสุดประมาณ
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา  ฮวา  หยุด


วันเสาร์ที่ ๑๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๒ พุทธสถานหมิงฮุย จ.ลพบุรี
พระโอวาทพระนาจา

หลงอาลัยทรัพย์สมบัติสิ่งลวงใจ นับเป็นภัยต่อชีวิตตนเองยิ่ง
การรู้พอคือความสุขอันแท้จริง สามารถทิ้งความโลภได้ใจเสรี
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน   แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกคนสบายดีไหม

ชีวิตมีสมหวังและผิดหวัง สติตั้งอย่าใจร้อนจนสับสน
รู้จักดำเนินนำพาตนไม่อับจน ด้วยกมลหมั่นทำดีประดุจราก
กลางทะเลเรือจึงมีโอกาสใช้ โองการไม่มีถ่ายทอดกว้างลำบาก
เปิดเผยในอดีตธรรมพบยาก ง่ายในยากทางพบยามคับขัน
ไขประตูรู้ชีวิตได้แต่นี้ ขึ้นเรือธรรมลี้เภทภัยวัฏสงสาร
มหาธรรมแพร่ไปกลางคลื่นระราน ฝึกกายใจชีพนี้หมั่นพิจารณา
เจอความทุกข์เข้าให้ไม่ปรานี ชีวิตนี้ตนกำหนดเร่งเดินหน้า
หวังให้ท่านมั่นคงจิตมีธรรมา พร้อมเดินฝ่าทุกข์ยากในทันที
มากคนเพียรแต่คนสำเร็จน้อย จึงชะรอยพาตนให้หลงนที
ได้ฟังธรรมพร้อมเข้าใจวันนี้ พาชีวีคืนฝั่งธรรมพร้อมเวไนย
ฮิ  ฮิ  หยุด



จริงใจบำเพ็ญ  ชั่วดีอภัยโดยเต็มใจ  ติดใจอะไรแก้ไขจิตเราให้ซื่อตรง  โดยมิสับสน  พร้อมหรือไม่
การบำเพ็ญใจ  มากมายควรรู้ละเป็นทุน  ฝึกใจมีดุลย์  ต้นปลายเสมอมีจุดหมาย  เป็นทัพหน้ารุด  ละหมองสิ้น
หนึ่งวันเวลาได้ทำสิ่งใดคิดทบทวน  ทำสิ่งคู่ควรแค่ไหนแด่ตนผู้รับ   ขัดเกลา  ไยคร้านดั่งเขลา  มิเห็นค่า
บำเพ็ญธรรมา  เมตตาและอ่อนน้อมตามมา  ศรัทธาความเข้าใจทั้งจิตครองได้มั่นคง  ดีเพราะฝึกฝน  รู้หรือไม่
เพลง  :  พร้อมหรือไม่
ทำนองเพลง  :  คิดถึงบ้าน



พระโอวาทพระนาจา

ใครยังมาไม่ครบ รีบๆ ขึ้นมาเร็วๆ  แล้วตัวเรามาครบหรือยัง  มาครบทั้งกายทั้งใจหรือเปล่า หรือมาแต่กาย ใจไม่ได้มา (ครบ)  กินอิ่มไหม (อิ่ม)  สบายไหม (สบาย)  เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  นั่งแล้วเมื่อยหรือไม่ (ไม่เมื่อย)  เบื่อหรือไม่ (ไม่เบื่อ)  อย่างนั้นกลับไปบ้านห้ามบ่นนะว่าเมื่อยจังเลย  อยู่ในห้องนี้ คับแคบไปไหม (ไม่แคบ)  อึดอัดไหม (ไม่อึดอัด)  อย่างนั้นแปลว่าทุกอย่างก็ลงตัวหมด ไม่ร้อน ไม่เบื่อ ไม่เมื่อย  ก็พร้อมทั้งกายและใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตอนเป็นเด็กๆ ใครๆ ก็ฟังนิทาน  วันนี้เรามาฟังนิทานกันสักเรื่องดีไหม (ดี)  เราเตรียมนิทานมาตั้งเยอะแยะ อยากมาเล่าให้ทุกท่านฟัง เป็นนิทานเกี่ยวกับชีวิตของวัวตัวหนึ่งกับลูกหมาอีกหนึ่งตัว  วัวกับหมานี้อาศัยอยู่ในบ้านบน
ภูเขา  หมามีอิสระ สามารถเดินไปไหนก็ได้  แต่เจ้าของก็จับขังไว้อยู่ในกรง  กลัวว่าถ้าหากลงจากเขาไปแล้วจะหายไป ถึงเวลาก็ปล่อยได้เพียงชั่วครู่ คือปล่อยให้มาทำงานเท่านั้น  ถึงเวลาก็จับเข้ากรง  วัวก็เหมือนกัน เวลาจะไปไหนก็ต้องมีคนคอยจูง เขาพูดอะไรก็ต้องฟัง เขาบอกให้หยุดอยู่ตรงนี้ก็ต้องหยุดตรงนี้  เพราะมีสนตะพายวัวอยู่  ทำให้ไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ วันหนึ่งวัวกับหมาสามารถคุยกันได้  เพราะว่ามีใจสื่อถึงกัน  วัวก็เลยคุยกับหมาว่า อยากมีอิสระไหม  หมาก็ตอบว่าอยากเหมือนกัน ทำไมใจตรงกันล่ะ  วัวก็บอกว่าถ้าเช่นนั้นเอาอย่างนี้ คืนนี้ตอนเที่ยงคืน เราจะมาช่วยท่านออกไปจากบ้านหลังนี้ หมาก็ออกมาจากกรงได้โดยการใช้ฟัน  สมัยก่อนกรงยังเป็นไม้อยู่ การใช้ฟันหรือการจะกระโดดข้ามก็เป็นเรื่องง่าย  หมาก็เลยมาหาวัว แต่วัวโดนสนตะพายทำให้ออกไปไม่ได้  หมาก็เลยบอกว่าฉันจะกัดเชือกให้ขาดดีไหม  วัวก็บอกว่าไม่เอา เสียดาย เชือกนี้อยู่กับฉันมาตั้งแต่เกิด ตั้งหลายสิบปีแล้ว อย่ากัดเลย  ช่วยเอาเท้าเขี่ยๆ เดี๋ยวมันก็หลุดเอง  หมาก็เลยเอาเท้าเขี่ยๆ เอาปากแงะๆ เชือกที่ผูกกับหลักไว้ก็หลุด  แต่ผลสุดท้ายเจ้าของเกิดได้ยิน เพราะวัวกับหมาคุยกันเสียงดัง  เจ้าของจึงออกมา หมาสามารถหนีออกไปได้ แต่วัวหนีไม่ได้เพราะว่ายังติดเชือกที่จมูกอยู่  เวลาวัววิ่งเชือกก็ยังตามมา  แต่หมาไม่มีเชือก ไม่มีปลอกคอก็เลยไปได้อิสระ  วัวจึงบอกว่าความผิดพลาดของฉันข้อเดียวที่ทำให้ฉันไม่สามารถมีชีวิตที่อิสระเสรีได้  ก็เพราะความอาลัยอาวรณ์ในทรัพย์สมบัติชิ้นนี้ทำให้ชีวิตฉันต้องประสบภัย
คนเราก็เหมือนกัน เราสามารถเป็นเหมือนวัวหรือเป็นเหมือนหมาก็ได้  หมายถึงการมีชีวิตที่อิสระ สามารถไปในโลกกว้าง  หรือเราสามารถท่องเที่ยวไปไกลๆ ก็ได้  แต่เพราะอะไรเราถึงไปไม่ได้ เป็นเพราะว่าเรายังห่วงสมบัติพัสถานกัน  ทำให้ชีวิตเราแทนที่จะมีอิสระเสรีมากกว่านี้ กลับเป็นเพียงแค่กรอบแคบๆ หนทางสั้นๆ หรือพูดง่ายๆ ในเรื่องความคิด ความคิดของเราก็มักติดอยู่ เหมือนเราชอบอันนี้แล้ว ทำอย่างไรจึงเปลี่ยนเป็นไม่ชอบ บางทีก็เปลี่ยนยากใช่หรือไม่  เพราะเราชอบอันนี้แล้ว พอมีคนบอกว่าชอบแล้วไม่ดีนะ จะมีโทษ เราก็บอกว่าไม่เอา ก็มันอยู่กับฉันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว  เรามีนิสัยอันนี้ที่ไม่ดี ให้เลิกเสีย เราก็บอกว่าไม่ได้ก็มันชินเสียแล้ว  แล้วเราก็เป็นทุกข์กับสิ่งที่เราชิน สิ่งที่เราชอบบ้างไม่ชอบบ้าง  ที่จริงแล้วเราหลงอาลัยในทรัพย์สมบัติบนโลกนี้เพียงอย่างเดียวไหม (ไม่ใช่)  อารมณ์ที่เราเคยชิน เราก็หลงด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวเราเองเราหลงไหม (หลง)  สิ่งของที่เป็นของเรา เราหลงไหม (หลง)  คนที่อยู่ข้างๆ เรา คนที่เป็นญาติเรา เราหลงไหม (หลง)  ใครมาว่าพ่อแม่ฉันไม่ได้ ใครมาว่าพี่น้องฉันไม่ได้ เราก็โกรธ  ใครมาว่าตัวฉันไม่ได้ ฉันก็โกรธ ใช่หรือไม่ (ใช่)
คนที่โลภเป็นเหมือนคนที่ไม่รู้จักอิ่ม  ถ้าเปรียบกับสัตว์ก็เหมือนกับหมูที่เทอาหารให้เท่าไรก็กินไม่เคยหยุด  จนกว่าเขาจะไม่เทอาหารให้ หมูจึงจะหยุดกิน  แต่ถ้ามีมาเรื่อยๆ หมูก็จะกินเรื่อยๆ  ตัวท่านเป็นไหม  เวลาโลภทีหนึ่ง เงินทองมาก้อนหนึ่ง ไม่พอ เอาอีกก้อนหนึ่ง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ได้บาทหนึ่งไม่พอ ต้องเป็นสองบาท สองบาทได้ไหม ไม่พอ ต้องเป็นสามบาท  ตอนนั้นนิสัยท่านกำลังเหมือนหมูใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนที่ชอบโมโหเป็นอย่างไร ไม่กล้าพูดแล้ว ใช่ไหม เดี๋ยวเป็นอะไรอีกก็ไม่รู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ความสุขที่แท้จริงเกิดจากภายนอกหรือภายใน (ภายใน)  ภายในคือภายในจิตใจใช่หรือไม่  เคยไหมเวลาที่เรามีจิตใจที่ปิติสุข อิ่มเอม มีจิตใจที่ปรีดา  ใครเอาเงินเอาทองมาให้รู้สึกอย่างไร (ดีใจ)  ยิ่งดีใจใหญ่เลยหรือ  เรามีแต่ได้ยินว่าถ้าใจเราเต็มอิ่มปิติสุขแล้ว แม้ข้างนอกมาก็ไม่มีผลแล้ว  แต่เป็นเพราะว่าใจท่านยังสุขไม่เต็มที่  พอข้างนอกมาเติมก็ไม่มีวันเต็มสักที ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าใจมนุษย์นั้นยากหยั่งลึก เป็นทะเลที่ถมไม่มีวันเต็ม เป็นภูเขาที่สูง มองหายอดไม่เจอใช่หรือไม่  แล้วอย่างนี้ดีหรือ (ไม่ดี)  แล้วทำไหม (ไม่ทำ)
มีสำนวนกล่าวว่า “ถ้าเรารู้ในสิ่งที่ไม่รู้จะทำให้เราเป็นคนที่แข็งแกร่ง แต่ถ้าเราไม่รู้ในสิ่งที่ควรรู้ จะทำให้เราเป็นคนเจ็บป่วยทั้งกายและใจ” ใช่หรือไม่ ถ้าหากเรามีความละอาย เราก็จะไม่กล้าเจ็บป่วย เมื่อไม่กล้าเจ็บป่วยเราก็จะกลายเป็นคนแข็งแกร่ง และเราก็จะกลายเป็นคนที่รู้ทั้งในสิ่งที่ไม่รู้ และควรรู้ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เราอยู่ในโลกนี้บางครั้งเรื่องราวหรือสัจธรรมความเป็นจริงของชีวิตหรือเรื่องราวรัก โลภ โกรธ หลง มีเหตุอย่างไร ก่อผลอย่างไร ถ้าทำแล้ว จะส่งผลอย่างไรเรารู้ไหม (ไม่รู้)  คนโลภมากๆ ผลเป็นอย่างไร รู้ไหม (รู้)  คนชอบโกรธมีผลเป็นอย่างไร รู้ไหม (รู้)  คนที่เอาแต่หลงไม่รู้จักตนเองมีผลเป็นอย่างไรรู้ไหม (รู้)  แต่บางครั้งเราชอบทำตัวไม่รู้ เราจึงพร้อมที่จะเป็นคนเจ็บป่วย แต่การจะทำให้เราหยุดเจ็บป่วยและหยุดจากรัก โลภ โกรธ หลง หรือรู้จักแก้ไขข้อผิดพลาดได้ นั่นก็คือต้องมีความสำนึกและละอายใจ เมื่อสำนึกและละอายใจ เราก็จะไม่กล้าทำ และนั่นก็คือสิ่งที่เรารู้อย่างแท้จริงและเราเอามาปฏิบัติได้อย่างจริงจังใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเวลาเราหลงโลภ อยากโกรธ เวลาเราโกรธทีหนึ่งหากเราสำนึก หรือหากเรารู้ว่าโกรธแล้วน่าละอายนัก พ่อแม่ เพื่อนหรือพี่น้อง ไม่มีใครอยากเข้าใกล้นัก เราก็จะไม่กล้าทำในสิ่งนั้นใช่หรือไม่ เมื่อเราไม่กล้า การหยุดยั้งตั้งแต่ต้นย่อมไม่ส่งผลในบั้นปลาย
เรามีชีวิตในโลกที่ทั้งกว้างและทั้งไกล การดำเนินชีวิตในโลกนี้จึงเหมือนกับการตกปลา  แม่น้ำที่เขาตกปลานั้นทั้งกว้างและทั้งลึกใช่หรือไม่ (ใช่)  การดำเนินชีวิตของเราก็เหมือนคนที่กำลังไปแสวงหา เวลาเราหวดไม้ที่จะตกไปครั้งหนึ่ง เราไม่รู้ว่าชีวิตนี้เราจะได้อะไรขึ้นมาใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนการดำเนินชีวิตของเรา เวลาเราออกไปจากบ้านครั้งหนึ่ง หากเราไม่มีจุดหมายว่าจะทำอะไร เราก็ไม่รู้ว่าการที่ไปครั้งนี้จะได้อะไรกลับมาใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทุกคนล้วนมีจุด
มุ่งหมายในการที่จะแสวงหา บางคนหาเงินทอง บางคนหาความรู้เพื่อไปสร้างชีวิตสร้างอนาคตใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วการหาเงินทอง ความรู้ ทรัพย์สิน ชื่อเสียงนั้น เราหาเพื่อประทังชีวิตหรือหาเพื่อสะสม (สะสม,หาเพื่อประทังชีวิต)  คนที่สะสมนั้นสะสมเพื่อครอบครัวและเพื่อตนเองด้วย นั่นก็คือบางคนหาทรัพย์เพื่อสะสม บางคนหาเพื่อชีวิตอยู่รอด  แต่ความเป็นจริงเวลาเราตกปลาทีหนึ่ง ถ้าอยู่คนเดียว เราตกได้มาตัวหนึ่งเราก็ดีใจ  บางคนก็พอแล้ว  แต่ถ้าครอบครัวใหญ่ หามาเต็มกาละมัง ที่เหลือเอาไปขายบ้าง ไปเปลี่ยนเป็นเงินทองบ้าง หรือถ้าไม่ขายก็เอาไปหมัก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แปลว่าคนเรารู้จักวิถีทางในการดำเนินชีวิต หากวันนี้ใช้ไม่ได้ ก็รู้จักเอาไปเปลี่ยนแปลงให้ดีกว่านี้ แล้วเก็บได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าเราคำนึงถึงแต่ตนเอง แม่น้ำมีปลาเท่าไร ทุกคนต่างตักตวงเป็นของตัวเองอย่างเต็มที่  แล้วคนรุ่นต่อไปจะมีปลาให้กินไหม (ไม่มี)  การแสวงหาจึงต้องรู้จักหยุดยั้งในการแสวงหาบ้าง รู้จักพอบ้าง  ท่านเหนื่อยกับการเก็บสิ่งของ เก็บเงินทอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเราเหนื่อยกับเงินที่เก็บมา ของที่เก็บมา แทนที่จะได้เอามากินในยามหน้าแล้ง ในยามไม่มีต้นไม้หรือพืชพันธุ์ กลับกลายเป็นว่าต้องเอามาบำรุงยามเหนื่อย ยิ่งเหนื่อยมากเรายิ่งกินมาก ยิ่งใช้มากก็ยิ่งโหมทำงานมาก ที่เก็บมาก็หมด  ฉะนั้นการดำเนินชีวิต บางครั้งเราทำเพื่อตนเองก็จริง แต่การทำเพื่อตนเอง เราต้องถามตัวเองก่อนว่าเราเบียดเบียนผู้อื่นไหม  ลองคิดง่ายๆ  มีเข็มงอๆ อยู่เล่มหนึ่ง เผลอไปเกี่ยวที่หลัง เจ็บไหม (เจ็บ)  เข็มที่เราเย็บผ้าอยู่เผลอแทงเข้าไป เจ็บไหม (เจ็บ)  เราตกปลามากินแล้วเราอิ่ม แต่เกี่ยวเขามาทั้งชีวิต บาปไหม (บาป)  รู้ไหม (รู้) รู้แต่ทำใช่หรือเปล่า ให้คิดถึงใจเขาใจเรา  เพราะทุกคนต่างมีจิตเมตตา ไม่มีใครหรอกที่ไม่มีจิตเมตตา
คนเราปัจจุบันนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ จึงมีสำนวนว่า “คบคนให้ดูหน้า ซื้อผ้าให้ดูเนื้อ”  แต่นี่พยายามดูหน้าแล้วก็เดาใจยากเหลือเกิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าคนปัจจุบันนี้ดุยิ่งกว่าเสือ ร้ายยิ่งกว่ายุง  เราว่าเห็นกันดีๆ แต่พอเอาเข้าจริงๆ  มีทั้งเล่ห์เหลี่ยม มีทั้งการเสแสร้ง เปลี่ยนได้พันหน้า ร้อยแปดพันอย่าง วันนี้พูดดีๆ แต่วันหลังเผลอแทงเข้าที่หลังเราโดยไม่รู้ตัว  วันนี้ปลอบใจเรา แต่อีกสักพักหนึ่งก็แอบเอาเราไปนินทาเสียแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าคนเราดูกันยากเหลือเกิน เป็นเพราะว่าอะไรล่ะ อย่าได้มองจากคนอื่นเลย มองแค่คนใกล้ๆ ตัว  บางทีเราบอกว่าคนข้างนอกไว้ใจไม่ได้ มีแต่อันตราย มีแต่เรื่องน่ากลัว  แต่เราลองมองดูใกล้ๆ ในบ้านเรา บ่อยครั้งที่เกลือเป็นหนอน บ่อยครั้งที่คนในบ้านเราเองทำร้ายกันเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  บ่อยครั้งที่ไม่ใช่ใครหรอก ก็ตัวเรานี่เองเป็นคนพาเรื่องให้เกิดในบ้าน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นไม่ต้องไปมองใคร เป็นเพราะว่าตัวเราเอง ขาดธรรมะไป จึงทำให้มักก่อเหตุก่อภัยให้กับชีวิตเราเอง แล้วก็ทำให้คนรอบข้างเดือดร้อน จริงๆ ไม่ขาดหรอก แต่ว่าไม่รู้จักควบคุมตนให้มีธรรมะที่ดีงาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรารู้ว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ดี ใครทำคนนั้นย่อมดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามาดูกันหน่อยว่าคนที่มีธรรมะและมีจิตใจดีเป็นอย่างไร (ยิ้มแย้มแจ่มใส, มีจิตใจที่ดีงาม, มีเมตตา ชอบทำบุญทำทาน, ใจต้องมีคุณธรรม)  แต่บ่อยครั้งเราก็เห็นยิ้มเก่ง เอาใจก็เก่ง พูดก็เก่ง แต่ผลเป็นอย่างไร หลอกลวงเราก็มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แสดงว่ายิ้มเก่งแต่หน้า ใจดีแต่ปาก  (คิดดี พูดดี ทำดี)  นั่นคือต้องกลั่นออกมาจากภายใน ไม่ใช่ภายนอก ใช่หรือไม่ (ใช่)  (มีเมตตากรุณา)  ความเมตตาคือเห็นคนอื่นแล้วอดสงสารไม่ได้  แต่ไม่ใช่แค่พูดว่าสงสารจังเลย ก็ถือว่ามีเมตตาแล้ว  (ต้องดีด้วยกาย วาจา ใจ)  นั่นคือต้องมีจิตใจที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริงใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ การจะคิดเคลือบแฝง การจะคิดหลอกลวงผู้อื่นก็เป็นไปไม่ได้  เพราะว่าความบริสุทธิ์ก็คือความสะอาดใส ไร้สิ่งมลทิน ไร้สิ่งที่เป็นกิเลสหรือสิ่งสกปรกทั้งมวล  ฉะนั้นเมื่อเรามีลักษณะจิตใจที่ดี นั่นก็คือมีจิตใจภายในที่บริสุทธิ์ เมื่อมีจิตใจภายในที่บริสุทธิ์แล้ว การที่จะมีลักษณะที่ดีออกมาจากตัวเราย่อมบังเกิดได้  ภายนอกจะขับเคลื่อนต้องเกิดจากภายในใจเคลื่อนไหวเสียก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อภายในเริ่มต้นออกมาดี ภายนอกย่อมนำมาสู่สิ่งที่ดี  เมื่อมีสิ่งที่ดีแล้ว ยังต้องมีอะไรอีกที่จะทำให้เราไม่ก่อภัยมาสู่ครอบครัว ไม่ก่อภัยมาสู่ตนเองและสังคม  นั่นก็คือความถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้ว่าทำดีแบบนี้ แต่ถ้าไม่รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ตอนไหนควรพูดตอนไหนไม่ควรพูด อย่างนี้เรียกว่าไม่รู้จักความถูกต้องและเหมาะสม ใช่หรือไม่ (ใช่)  การรู้จักลักษณะที่ดีแล้วกระทำโดยรู้ว่าอะไรถูกอะไรควร จะทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องและไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อใคร  แล้วคนที่ดำเนินไปด้วยความมั่นคงในความดีงามและความถูกต้อง ย่อมไม่หวาดกลัวอันตรายใดๆ ด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บ่อยครั้งที่ท่านพยายามรักษาความดีงามและถูกต้อง แต่มักกลัวภัย เพราะไม่กล้าแบกรับความผิดชอบ หรือแบกรับความชั่วของผู้อื่น  เหมือนเวลาเราทำดี แต่คนอื่นเลวร้ายหมดเลย ท่านรู้สึกอย่างไร  ยกตัวอย่างง่ายๆ ท่านถามคนข้างๆ ว่ามาตกอะไรล่ะ เขาบอกตกเงิน แล้วถามคนข้างๆ อีกว่ามาตกอะไรล่ะ เขาบอกว่าตกเกียรติยศชื่อเสียง พอถามท่านว่ามาตกอะไร ท่านตอบว่าจะมาตกความดี เสียงเบาทันทีเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนวันนี้ท่านกำลังมาศึกษาธรรม พอเดินมาเจอคนข้างๆ ถามว่าไปไหนล่ะ ไปหาเงิน ไปไหนล่ะ ไปทำงาน แล้วท่านล่ะไปไหน ไปศึกษาธรรม (ตอบเสียงอ่อยๆ)
ถ้าเราทำดี เรามั่นใจในสิ่งที่ดี แล้วเราคิดว่าเราทำถูกต้อง มุ่งมั่นเดินไปให้ถึงก็เปรียบเหมือนน้ำที่สามารถไหลไปทุกแห่งหน รองรับสิ่งสกปรกโดยไม่รังเกียจและไม่สูญเสียความเป็นธรรมชาติของตนเอง  นั่นก็คือเมื่อเรามุ่งมั่นจะทำสิ่งใดแล้ว การจะเดินไปให้ถึงย่อมต้องมีอุปสรรคเป็นธรรมดา แต่ถ้าใครมุ่งมั่นทำอย่างหนึ่งแล้วเดินไปให้ถึง ไม่หวาดกลัวอันตราย คนนั้นเป็นคนน่านับถือใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ว่าเจอความยากลำบาก เจอความทุกข์ยากก็ไม่คิดเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่มุ่งมั่นตั้งใจ เมื่อเดินไปสักวันหนึ่งเขาย่อมสำเร็จ  เมื่อสำเร็จแล้ว จิตใจเขาไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงรักษาความดีงามและความถูกต้อง คนๆ นั้นเรียกว่ายอดคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นพอรู้หรือยังว่าเวลาเราดำเนินชีวิต เราจะทำอย่างไรจึงไม่ก่อภัยให้กับตัวเองและไม่ก่อภัยให้กับครอบครัว คือพยายามรักษาความดีงามและความถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรียนหนังสือก็เช่นกัน ต้องรักษาความดีงาม ต้องรักษาความถูกต้อง ถ้าข้อนี้ถูกอยู่แล้ว แต่ท่านกลับไปกาข้อผิด อาจารย์ให้คะแนนไหม (ไม่ให้)  เวลาท่านก่อสร้าง ถ้าท่านไม่ได้สร้างแบบที่สวยงาม คนจะเลือกบ้านแบบนี้ไหม  เวลาวัดฉากวัดมุม ท่านวัดไม่เที่ยงตรง ไม่ถูกต้อง จะสร้างบ้านสำเร็จไหม (ไม่สำเร็จ)  ถ้าหากท่านขายของ ตาชั่งของท่านไม่ตรง คนอยากซื้อกับท่านไหม (ไม่อยาก)  คนเราดำเนินชีวิตก็เหมือนกัน ไม่ว่าทำงาน ไม่ว่าเรียนหนังสือ หรือในการคบคน จะต้องมีความถูกต้องและความดีงามอยู่ในชีวิต  หากเมื่อไรขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป คนๆ นั้นย่อมยากจะประสบชีวิตที่เป็นสุขได้ จริงไหม (จริง)
คนบำเพ็ญธรรมคือ คนที่พยายามลดละ กิเลสตัณหาให้เหลือน้อยที่สุด ในชีวิตพยายามมุ่งใฝ่หาความสงบ ความแท้จริงของชีวิต แต่มนุษย์ที่ดำเนินชีวิตในทางโลกกลับพยายามใฝ่หาให้มากที่สุด มุ่งเดินไปสู่ความวุ่นวายและสับสนใช่หรือไม่ (ใช่) นี่คือความแตกต่างระหว่างคนที่รู้จักบำเพ็ญตนกับคนที่ไม่รู้จักบำเพ็ญ แล้วการบำเพ็ญตนนี้ไม่ใช่ให้ท่านทิ้งบ้านเรือนทิ้งภาระหน้าที่ แต่ให้รู้จักบำเพ็ญตนช่วยเหลือครอบครัวตนเอง แล้วก็นำธรรมะที่ดีนี้ไปช่วยเหลือผู้อื่นในสังคม ดำเนินชีวิตขัดเกลาตนเองพร้อมกับมีภาระมีหน้าที่  ทำได้ไหม (ได้)
อย่าคิดว่าการบำเพ็ญธรรมก็คือการนั่งสมาธิ ยุคนี้เป็นการบำเพ็ญตนอยู่ท่ามกลางสิ่งสกปรกแต่ตัวเองสามารถสะอาดหมดจดได้ อย่างนี้ยากกว่าไหม เหมือนการจะหาผักในทะเลยากไหม (ยาก) ปลาหรือกิเลสมีเต็มไปหมด จะตกเท่าไรก็ตกได้ แต่ธรรมะหรือสาหร่ายในทะเลตกได้ยากใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเวลาออกไปตกทีหนึ่งเรามักจะมึนเมาเผลอแล้วก็หลงลืมจุดหมายของตนเองไป บ่อยครั้งที่เราอยู่ในโลกนี้ พอสภาวการณ์มีแต่เลวร้าย ใจเราจะกลับขึ้นมาเป็นคนดีคงยากใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่เราต้องทำให้ได้เหมือนตกสาหร่ายในทะเลที่ทั้งกว้างใหญ่และลึก แต่ถ้าเราตกได้ เรารู้ตื่นได้เราย่อมเป็นสุขใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าทุกวันท่านเอาแต่ตกปลา ตกกุ้ง ตกหอยท่านจะมีแต่ทุกข์แล้วก็จะเวียนวนในวัฏจักรไม่จบสิ้น วันนี้ท่านทำเขาเจ็บ พรุ่งนี้เขาต้องกลับมาทำท่านเจ็บเหมือนกัน เฉกเช่นการตีเขาสักวันหนึ่งเขาย่อมตีเรา เหมือนมือที่ตบปุ๊บจะมีปฏิกิริยาเด้งกลับ เหมือนของที่ตกพื้นก็ย่อมเด้งขึ้นมาตามแรงที่เราเหวี่ยงไปหรือตามกรรมที่เรากระทำใช่หรือไม่ (ใช่) 
(ศิษย์พี่เมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นเกมส่งผลไม้)  เป็นการฝึกว่าส่งไปอย่างไรก็ต้องกลับมาให้เหมือนเดิม เรามักอยู่ในโลกนี้ไปแล้วกลับมาไม่เหมือนเดิม พอออกจากบ้านไปครั้งหนึ่งก็รับเรื่องราวทางโลกมาครั้งหนึ่งแล้วก็มึนไปรอบหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อสักครู่ที่เราบอกก็เหมือนกัน พอออกไปตกปลานานๆ เข้าก็หลงลืมมึนเมาจุดมุ่งหมายของชีวิตไปเสียแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามีชีวิตไม่ใช่แค่แสวงหาลาภยศเงินทองชื่อเสียง แต่เรามีชีวิตเพื่อดำรงชีวิตให้ดีงามแล้วนำพาตนเองกลับคืนเบื้องบนต่างหากใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นออกไปอย่างไรต้องกลับมาเหมือนเดิม
(นักเรียนในชั้นเล่นเกมเสร็จแล้ว)  เราได้รู้อะไรบ้าง ได้อะไรจากเกมที่เล่นบ้าง (ได้ความรู้ ความสามัคคี)  ได้ฝึกความสามัคคี ได้ความรู้แล้วได้อะไรอีก (ความพร้อมเพรียง ได้ข้อคิดในการดำรงชีวิต ถ้าหากว่าเราดำรงชีวิตอย่างไม่มีจุดมุ่งหมายที่มั่นคงแน่นอน อาจจะมีอะไรที่กลับมาทำให้เปลี่ยนแปลงไขว้เขวไปได้)  ก็เหมือนกับการดำเนินชีวิตของเรา บางคนรู้อย่างเดียวว่าต้องออกไป ต้องไปหาๆ แต่เราเคยถามตัวเองไหมว่า นอกจากหาเงินทอง หาชื่อเสียง หาความรู้ เราควรจะหาอะไรอีกให้กับชีวิตที่แท้จริง (หาธรรมะ หาความสุข หาทางกลับคืน)  หาทางกลับคืนเพราะทุกคนรู้แต่จะไป แต่ไม่รู้จักกลับบ้าน
เกมเมื่อสักครู่นี้เราต้องการจะให้ข้อคิดว่าเราไม่ใช่รู้จักไปอย่างเดียว ไม่ใช่รู้จักออกอย่างเดียว แต่บางครั้งเราต้องรู้จักกลับคืนหรือย้อนเข้าหาตัวเราเองบ้าง บางครั้งเราไป แต่ที่ไปเพราะเกิดจากตัวข้างนอกไปใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำไมเราไม่ย้อนกลับหาดูข้างใน เมื่อเราย้อนกลับหาดูข้างในเราก็จะสงบได้ เราถึงจะหยุดการไปได้ เราถึงจะหยุดการดิ้นรนแสวงหาในโลกนี้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามีชีวิตเราไปข้างนอกเป็น เราทำอย่างโน้น ทำอย่างนี้เป็น แต่เราเคยทำให้กับตัวเองได้เป็นจริงๆ หรือไม่ เราเป็นได้ก็เพียงมีลาภยศ มีชื่อเสียง มีเงินทอง หาเป็น แต่บางครั้งเราปล่อยไม่เป็น วางไม่ลงใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วเพราะอะไรล่ะ ในเมื่อเรามักจะเป็นคนที่ทำได้ชนิดเดียว ทำได้อย่างเดียว ด้านตรงข้ามเราไม่ยอมทำ อย่างนั้นไม่ใช่ประโยชน์เลย การดำเนินชีวิตเราต้องรู้จักเดินตรงได้ และบางครั้งก็ต้องรู้จักหยุดได้บ้าง เมื่อเรารู้ว่าเราตรง เราถึงจะรู้ว่าอะไรคือคด เมื่อเรารู้การไป เราถึงรู้ว่าเมื่อไหร่เราควรหยุด แต่การดำเนินชีวิตของคน รู้แต่ไป หยุดไม่เป็น รู้ว่าอะไรตรงแต่ไม่รู้จักแก้จุดที่คดให้กลับเป็นตรง แล้วเราจึงมักผิดหวังกับการกระทำ และล้มเหลวกับสิ่งที่เราดำเนินชีวิต  ฉะนั้นเวลาเราดำเนินชีวิตเราจึงต้องรู้จักคิดและไตร่ตรองก่อนที่จะทำและพูด ไม่อย่างนั้นเวลาพูดไปแล้วนอกจากจะกระทบเราแล้วยังกระทบต่อคนรอบข้างด้วย  คำพูดเกิดจากคน ผลกระทบสู่มวลชน  พูดผิดไปแล้ว ต่อให้เป็นม้าอาชาไนยที่วิ่งเร็วก็เรียกกลับคืนมาไม่ได้  เหมือนลมปากพัดไปแล้วไม่ใช่พัดตามลม  แต่ยังสามารถพัดเหนือลมได้  ฉะนั้นเมื่อผิดไปแล้ว ไม่มีใครสามารถช่วยเราแก้ไขได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
การกระทำก็เฉกเช่นเดียวกัน  เกิดขึ้นจากเราตรงนี้  ผลกระทบไปสู่คนทั่วไปและกระทบไปได้ระยะไกล  ฉะนั้นเวลาเราทำอะไร  หากทำดีและถูกต้องแล้ว เมื่อมีคนมาต่อว่า เราควรจะดีใจ  แต่ถ้าเราทำสิ่งผิดและไม่ถูกต้อง  แต่กลับไม่มีคนเตือน น่าเศร้าใจไหม  แสดงว่าชีวิตเราไม่มีคนชี้แนะข้อบกพร่องและข้อผิดพลาดให้ หรือแม้แต่ตัวเราเองยังไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดเลย  อย่างนี้เป็นอันตรายกับการดำเนินชีวิตของตนเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการดำเนินชีวิต ถ้ามีคนพูดต่อว่า เราต้องดีใจ  เขาช่วยสำรวจให้เราว่าสิ่งที่เราทำนั้นถูกต้องหรือไม่ ดีงามไหม และเวลาทำอะไรอย่าใจร้อน  คิดไตร่ตรองให้รอบคอบ  ค่อยๆ ทำ แล้ว จะผิดพลาดน้อย  ศิษย์น้องเวลาทำงานมักจะใจร้อนต้องการไปให้ถึงไวๆ แต่ใจเร็วแล้วถึงจุดหมายไหม (ไม่ถึง)  บางคนบอกว่าอยากทำความดี อยากทำสิ่งที่ถูกต้อง  จะได้มีความสงบสุขภายในใจ  แต่เวลาทำเรามักจะหวังผลเล็กๆ น้อยๆ จึงไปไม่ถึงผลใหญ่ๆ เพราะว่าเราท้อกับคำพูดเล็กๆ น้อยๆ หรือเรามัวหวังผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ปราชญ์หรือผู้บำเพ็ญธรรม เวลาบำเพ็ญตนไม่หวังผลข้างทางเล็กๆ น้อยๆ ขอไปเก็บเกี่ยวเอาผลใหญ่ๆ ที่บั้นปลายดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นการกระทำอย่าใจร้อน ทำอะไรคิดให้รอบคอบ อย่าหวังผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ แล้วเราจะทำได้สำเร็จและไปถึงบั้นปลายได้อย่างมีความสุข และได้รับผลอันยิ่งใหญ่ดีไหม (ดี)
ในชีวิตนี้เรามักกังวลอยู่สองเรื่อง ไม่เรื่องทุกข์ก็เรื่องสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้ามีเรื่องโชคลาภวาสนาลาภลอยเข้ามา ก็เหมือนเพิ่มความสุขเข้ามาอีกอย่างหนึ่ง แล้วเรารู้ไหมว่าความทุกข์มาจากไหน (มาจากใจ)  นั่งนานก็เป็นทุกข์ เมื่อยไหม (ศิษย์พี่เมตตาให้นักเรียนในชั้นลุกนั่ง และทำท่าตามที่บอก)  เรามักจะดำเนินชีวิต และทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมๆ กัน หรือบางทีกินไปด้วยก็อ่านหนังสือไปด้วย  ท่านยังทำได้เลย นั่งเย็บจักรแต่ตายังดูทีวีอยู่เลย แต่ถ้าขาดความระมัดระวังก็เจ็บตัวใช่หรือไม่ (ใช่) 
“ความสุขมักไม่เคยมาคู่ ความทุกข์มักไม่เคยมาเดี่ยว” เคยได้ยินคำนี้ไหม เหมือนโชคมักไม่เคยมาคู่ เคราะห์มักไม่เคยมาเดี่ยว ทำไมเราถึงกล่าวแบบนี้ เพราะว่ามนุษย์เรามักจะชอบในโชคลาภ ชอบในความสุขที่เกิดขึ้น แต่โชคลาภ ทรัพย์สินเงินทองและวัตถุนั้นเป็นเรื่องที่ไม่นิรันดร์  เมื่อมีโชคก็ย่อมมีวันหมดโชค เมื่อมีเงินก็ย่อมมีวันหมดเงิน แล้วเงินนี้กว่าจะมาเป็นของเราล้วนเปลี่ยนแปลงมาจากหลายๆ มือมาก่อนทั้งสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  โชควาสนาก็เหมือนกัน เวลาเรามีโชค  เมื่อเราได้โชคหรือพบความสุข  เราอย่าประมาท  ต้องรู้จักตั้งรับ และเมื่อโชคนั้นไปจากเรา ตัวเราต้องทำใจให้ได้ บ่อยครั้งที่เวลาคนเรามีโชค แม้เวลาเห็นเหล็กก็ยังสุกใสแวววาว แม้เห็นคนที่เคยเกลียดมาก ก็ยังรักและยิ้มให้เขาได้ แต่เวลาอับโชค ใครยิ้มมาเรายังอาละวาดใส่เลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาเป็นทุกข์ขึ้นมาใครมายิ้มให้ก็รู้สึกโกรธเกรี้ยวเขาขึ้นมาทันที เรื่องความทุกข์ ความสุข โชคลาภ หมดโชค หมดลาภ ก็มีผลต่อจิตใจของเราเหมือนกัน
ท่านเคยได้ยินคำที่ว่า “ลมพัดต้นไม้ไหว” ไหม หากไม่มีต้นไม้ แล้วลมจะพัดอะไรไหว ก็ไม่มีอะไรไหวแล้วใช่หรือไม่ ต้นไม้ก็คือใจ คือตัวเรา ลมนี้ก็เหมือนความทุกข์ ความสุข กิเลส หรือสิ่งที่มากระทบใจ เมื่อใดเราตัดใจทิ้ง เมื่อใดเราไม่มีตัวตน ลมมากี่ครั้งก็ไม่มีอะไรให้ไหวแล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องดีใจเสียใจว่าวันนี้มีโชคหรือไม่มีโชคใช่หรือไม่ แล้วถ้าเกิดไม่มีต้นไม้ ลมจะมาพัดอะไรไหว ถ้าเราไม่มีใจที่เป็นตัวตนของเรา กิเลสจะมาทำให้สั่นคลอนไหม (ไม่)  บางครั้งเราติดในตัวตนเกินไป ถ้าใครเขียนชื่อเราผิด หรือเอาชื่อเราไปล้อเล่น เราก็โกรธ ของสิ่งนี้เป็นของเรา เราก็ถนอมและหวง ใครเอาไปเราก็โกรธไม่พอใจ เพราะมีคำว่า “ตัวเรา” “ของเรา”  เราจึงเป็นทุกข์ มีที่ให้ทุกข์อยู่ มีที่ให้สุขอาศัย เราจึงต้องทุกข์บ้างสุขบ้าง ดีใจบ้างเสียใจบ้าง แต่อย่างที่เราบอก ไม่มีต้นไม้แล้วลมจะพัดให้ไหวได้อย่างไร
เฉกเช่นนิทานเรื่องหนึ่ง มีคนแก่คนหนึ่ง อยู่ๆ ก็ได้ม้ามาตัวหนึ่ง ทุกคนก็บอกว่าคนแก่คนนี้โชคดีจังเลยได้ม้ามาก็ไม่ต้องเสียเงินซื้อ วันหนึ่งลูกชายของเขาอยากไปขี่ม้า แต่พลาดตกลงมาจนขาเป๋ คนก็บอกว่าโชคร้ายจริงๆ เพราะมีม้าตัวนี้ แทนที่จะมีลูกชายจะไว้สืบสกุล ยืนได้สง่างาม กลับขาเป๋เสียแล้ว แต่พอถึงช่วงสงคราม ทางการต้องการเกณฑ์ผู้ชายไปออกรบ เขาก็บอกว่าโชคดีจริงๆ ที่ลูกขาเป๋ก่อนไม่อย่างนั้นไปออกรบคงไม่มีชีวิตรอดกลับมา แต่พอนานไปอีกสักพักหนึ่ง ม้าตัวนี้ก็หายไป ทุกคนก็บอกว่าโชคร้ายจังเลย ดูสิมีม้าทำให้ลูกขาเป๋แล้วยังหายไปอีก แต่ผลสุดท้ายผ่านไปสองอาทิตย์ ม้าก็กลับมาสองตัว แปลว่าอะไรคือโชคกันแน่ในชีวิตนี้
บางครั้งมนุษย์เราคิดว่าการพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักคือความทุกข์ แต่ไม่แน่วันนี้เราคิดว่าทุกข์ แต่ผ่านไปอีกหลายๆ ปี การพลัดพรากจากคนที่เรารักอาจจะเป็นสุขก็ได้ ถ้าเขาไปดี แล้วการพลัดพรากที่เราคิดว่าวันนี้ทำให้เราทุกข์ แต่ไม่แน่อาจสร้างความสุขให้เราก็ได้ เพราะเราได้พลัดพรากจากคนที่เราเกลียดใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราอย่าได้ยึดติดว่าอย่างนี้เรียกว่าทุกข์อย่างนี้เรียกว่าโชค
(ศิษย์พี่เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมออกมาแสดงละครในชั้นเรียน โดยมีอาจารย์บรรยายธรรมร่วมบรรยายเรื่องประกอบ)
มีความสุขไหม (มี)  สุขแล้วอย่าเป็นทุกข์อีกนะ อย่าเป็นสุขที่วนกลับไปทุกข์อีก  ขอให้เป็นความสุขที่อิ่มเอมอยู่ภายในใจ สามารถเอาความสุขนี้เป็นพลังไปต่อสู้กับโลกภายนอกกับความโหดร้ายน่ากลัวของสังคม และความน่ากลัวของจิตใจที่ชอบพลั้งเผลอทำผิด เราอย่าไปว่าคนภายนอกว่าเลวร้ายเลย บ่อยครั้งที่ตัวเราเองก็น่ากลัวโดยที่เราไม่รู้ตัว  บางทีเราไปว่าเขาว่าคนนี้ฆ่าคนได้ลงคอ  แต่บางทีเราก็ฆ่าคนได้ลงคอเหมือนกัน ต่างกันตรงที่ว่าจะฆ่าแบบไหน  คนนี้โกรธจนทุบหัวคน แต่เราโกรธจนตีลูกจนเจ็บ เพราะฉะนั้นเราต้องรู้จักว่ามองเขาแล้วต้องหันมามองเรา
วันนี้มาคุยกัน พูดกันให้มีความสุขสนุกสนาน การมาฟังธรรมะในเวลาสั้นๆ ถึงเวลาเราก็ต้องไปแล้ว
(ศิษย์พี่เมตตาลงไปเล่านิทานส่งเสริมให้ผู้ร่วมฟังที่นั่งอยู่ชั้นล่าง)
นิทานเรื่องนี้เป็นนิทานที่ไม่มีชีวิต แต่ทำให้มีชีวิต เป็นเรื่องของหินกับเศษหญ้าคุยกัน หินนั้นเป็นหินที่คนในสมัยก่อนเอาไว้กระเทาะจุดไฟ
เศษหญ้า : เวลาถูกเคาะไปทีหนึ่งไม่เจ็บหรือ
ก้อนหิน : ก็เจ็บเหมือนกัน
เศษหญ้า : แล้วทำไมยอมให้เขาเคาะไปเรื่อยๆ
ก้อนหิน : ไม่เป็นไรหรอก เคาะไปทีหนึ่งก็ได้ลบเหลี่ยม ลบความคิดที่ชอบทำร้ายคนอื่นไปหนึ่งที ได้ลบเหลี่ยมแล้วยังสามารถจุดไฟให้ผู้อื่นได้คลายหนาว ได้พบแสงสว่างท่ามกลางความมืดและหนาวเย็น
เศษหญ้า : ทำไมต้องทำตัวเองอย่างนี้ล่ะ แทนที่หินเหลี่ยมๆ จะมีชีวิตอยู่ตามทะเล ตามธรรมชาติและโลกกว้าง ทำไมท่านชอบให้เขาเอาท่านไปโน่นไปนี่ เวลาจุดไฟทีท่านก็เจ็บทีหนึ่ง คุ้มหรือ
ก้อนหิน : คุ้ม เพราะอย่างน้อยฉันก็เป็นหินที่มีคุณค่า ไม่ปล่อยฉันไว้กับพื้น แล้วก็เหยียบอย่างไม่เห็นคุณค่า ไม่เหมือนกับท่านเป็นเศษหญ้าแห้งๆ ไปที่ไหนคนก็อยากเผาทิ้ง
เราบำเพ็ญธรรมก็คล้ายกับหินจุดไฟ เป็นหินที่ยอมขัดเกลาตนเอง แม้จะเจ็บบ้าง น้ำตาไหลบ้าง แต่เราก็ยินดีที่จะจุดความสว่างให้กับทุกคนที่มืดมนอยู่ในสังคม ที่ตกทุกข์ได้ยากอยู่ในโลกอันโหดร้ายใบนี้ เราจะไม่เป็นหินที่อยู่ตามทางที่คนไม่เห็นคุณค่า  แต่เราจะเป็นหินที่ถูกคัดออกมาแล้ว เป็นหินที่สามารถให้แสงสว่างกับคนที่มืดมนได้ นอกจากจะให้คนอื่นแล้ว เรายังสามารถขัดเกลาตนเองให้กลมใสได้ด้วย ทำได้ไหม (ทำได้)
เจ็บทีหนึ่งได้จุดไฟให้คนหนึ่ง ก็เหมือนกับฉุดช่วยคนมาคนหนึ่ง ย่อมถูกผู้อื่นว่าบ้าง พูดถากถางให้ร้ายบ้าง แต่เราชวนเขาแล้ว เขาจะมาหรือไม่มาก็ไม่เป็นไร แต่เราได้ขัดเกลาตัวเรา ทำให้ได้นะ ศิษย์พี่ดีใจที่ศิษย์น้องยอมเป็นหินจุดไฟนี้ ใครจะพูดอย่างไรเราก็ไม่ต้องสนใจ ความหมายของการบำเพ็ญตนก็เพื่อจุดหมายนี้เอง ใครพูดอะไรไม่ต้องสนใจ พูดทีหนึ่งเราก็กลมทีหนึ่ง ได้ลบเหลี่ยมทีหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)
เรื่องราวในโลกนี้เปลี่ยนแปลง ไม่แน่นอน วันนี้ดีพรุ่งนี้ร้าย แต่ไม่ว่าโลกเราจะเป็นอย่างไรก็ขอให้จิตใจเรามุ่งมั่นในการบำเพ็ญตน อยู่ที่ไหนเราก็อยู่ได้ อยู่ที่ไหนเราก็บำเพ็ญได้ แม้สภาวะจะไม่เป็นใจ แต่เราก็บำเพ็ญใจและมีใจมุ่งมั่นไปตลอด เราต้องพร้อมฝึกฝนอยู่ได้ทุกๆ ที่ นั่นจึงเรียกว่าคนบำเพ็ญธรรม  อย่าเลือกที่รักมักที่ชัง เราต้องอยู่ได้ทุกๆ ที่ พร้อมฝึกได้ทุกสภาวะ เป็นเด็กดีน่ารัก ไม่ดื้อ อย่าทำผิดบ่อยๆ 
ศิษย์น้องทุกคนบำเพ็ญดีกันหรือยัง (กำลังตั้งใจ)  กำลังตั้งใจแล้วเมื่อไหร่จะทำได้ ถ้าดื้ออย่างนี้ต้องปล่อยความเป็นตัวของตัวเองบ้าง เมื่อเราสามารถปล่อยความเป็นตัวของตัวเองได้ เราก็สามารถอยู่ร่วมกับทุกคนได้อย่างเป็นสุข แต่ถ้าเรายึดมั่นในความเป็นตัวของตัวเอง ไปอยู่กับใครก็ได้แต่ชนแล้วก็เจ็บ ถ้าเราเป็นอย่างนี้อยู่กับใครก็ไม่มีความสุข เพราะเรายึดมั่นในตัวเราเองเกินไปใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์พี่ก็อยากให้ศิษย์น้องมีชีวิตที่มีคุณค่า ถูกต้องและดีงามในการอยู่บนโลกใบนี้ให้เป็น  การอยู่บนโลกนี้ให้เป็น ต้องรู้จักบำเพ็ญตนง่ายๆ
การรู้จักเคารพคนที่มีความรู้ ไม่ได้มองที่เครื่องตกแต่งภายนอกหรือลาภยศตำแหน่งภายนอก แต่เคารพที่เขามีความรู้ พร้อมที่จะให้คำแนะนำที่ดีกับเรา เราพร้อมที่จะเคารพเขา ความเคารพไม่จำเป็นว่าไหว้แล้วเรียกว่าเคารพ การเคารพที่แท้จริงก็คือ พร้อมจะรับฟังสิ่งที่เขาพูดและนำไปพินิจพิจารณา  เหมือนเราเคารพพ่อแม่ ไหว้อย่างเดียวเรียกว่าเคารพไหม (ไม่)  แต่การเคารพที่แท้จริงคือ รู้จักนำสิ่งที่พ่อแม่สั่งสอนไปปฏิบัติ รู้จักนำสิ่งที่ดีงามที่คนตักเตือนเรา เอาไปคิดพิจารณา  นอกจากนี้ยังต้องรู้จักดำเนินชีวิตให้เป็น การดำเนินชีวิตให้เป็นนั้นก็คือ เรามีพ่อแม่ที่ต้องปรนนิบัติก็ต้องปรนนิบัติให้เต็มสติและเต็มกำลัง คำว่าเต็มสติและเต็มกำลังก็คือ เราควรจะทำอย่างไรให้พ่อแม่มีความสุข เราควรจะทำอย่างไรที่เรียกว่าเป็นการแสดงออกให้พ่อแม่อยู่กับเราแล้วไม่เสียใจ เราไปแล้วพ่อแม่ก็ยังสามารถวางใจได้ เวลาเราทำอะไรอย่าลืมว่านามสกุลนั้นก็คือพ่อแม่ตามไปด้วย เมื่อไรเราชื่อเหม็นนามสกุลก็เหม็น พ่อแม่ก็เหม็นและทุกข์ไปด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)
นอกจากรู้จักเคารพคนมีความรู้ ปฏิบัติต่อพ่อแม่อย่างเต็มสติและกำลัง เมื่อเราดำเนินหน้าที่ขอให้ลดอัตตาตัวตนไปบ้าง บ่อยครั้งที่เราทำงานในหน้าที่ แต่เรามักติดในความเป็นตัวตน ทำไมเราต้องเสียสละ  ทำไมฉันต้องทำงานหนักกว่าคนอื่น เขาเอาเปรียบ ฉันก็เอาเปรียบบ้างอย่างนี้ไม่ใช่การดำเนินที่ดีงามและถูกต้องของคนที่รู้จักบำเพ็ญ  คนที่รู้จักบำเพ็ญย่อมยินดีเสียสละตนเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม  นอกจากทำหน้าที่ได้ดีแล้ว ยังต้องรู้จักอีกอย่างหนึ่งคือ เป็นคนพูดอย่างก็ทำอย่างนั้น รักษาสัตย์กับทุกๆ คน พูดว่าจะทำก็ต้องทำให้ได้  หากรู้ว่าทำไม่ได้ก็ไม่ควรพูด เมื่อเราดำเนินทุกๆ อย่าง ตามที่ศิษย์พี่บอก  เราย่อมเป็นที่รักของทุกๆ คน ย่อมเป็นที่ต้องการของทุกๆ คน ไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่คนชื่นชอบ เพราะเรารู้จักดำรงชีวิตให้ดีงามและถูกต้อง นอกจากนี้ยังมีอะไรอีก ความต้องการของเราต้องไม่เป็นความโลภที่เบียดเบียนและทำร้ายใคร ความรักและความชอบของเราไม่เป็นความรักความชอบที่แบ่งแยกจนเกินไป  ถ้าใครทำได้อย่างนี้ จึงจะเป็นผู้ฝึกฝนบำเพ็ญตนที่ดี  ความสงบของเราไม่ใช่เป็นความนิ่งที่เย่อหยิ่งจองหอง ความสงบของเราต้องไม่เป็นท่าทีที่เหี้ยมโหดน่ากลัว หากทำได้เช่นนี้จึงเรียกว่า "ผู้ปฏิบัติตนในโลกที่บำเพ็ญได้ดีเยี่ยม" เพราะบางครั้งเวลาเรานิ่งคนก็รู้สึกเกรงขามหวาดกลัว  แต่ทุกๆ สิ่งที่ศิษย์พี่พูดมาล้วนเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินให้ได้  พ่อแม่เราควรต้องเคารพไหม (ควร)  คนที่มีความรู้เราควรเคารพไหม ควรใช่หรือไม่ (ใช่)  เพื่อน พี่น้อง เวลาเราคบเขา เราพูดอะไรกับเขา หากเขาไม่รักษาสัตย์ ท่านก็ไม่อยากคบใช่ไหม เวลาทำงานแล้วท่านเห็นแก่ตน ไม่เห็นแก่ส่วนรวมก็ไม่มีใครอยากจะทำงานร่วมกับท่าน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นพื้นฐานในการเป็นคนที่ดีงามและถูกต้อง หากเราทำได้ปฏิบัติได้นั่นจึงเรียกว่าผู้บำเพ็ญตน มีโอกาสก็นำพาฉุดช่วยคน ทำได้ไหม (ได้)
   ถ้าคนเรามีจุดมุ่งหมายในการดำรงชีวิตที่ดีงามแล้วพยายามไปให้ถึงเราย่อมเป็นสุขในการมีชีวิต ไม่ใช่มีชีวิตแค่หาเงินหาทองเท่านั้น แต่เราได้ปูพื้นฐานชีวิตอันดีงามให้กับมวลชนด้วย ให้กับคนอื่นด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่าคิดว่าการดำรงชีวิตของเราไม่มีผลกระทบกับใคร  หนึ่งก้าวที่เราก้าวเดิน บางครั้งล้วนทำร้ายคนไปบ้างไม่มากก็น้อย เหมือนวันนี้เรากินข้าว บอกว่าฉันชอบเต้าหู้ ก็เลือกตักเต้าหู้หมดเลย อย่างนี้เดือดร้อนคนอื่นไหม (เดือดร้อน)  เรากินข้าวไม่ใช้ช้อนกลาง เผอิญกำลังไอ แพร่เชื้อให้คนอื่นไหม (แพร่)  เวลาเราจะเข้าห้องน้ำทั้งที่มีคนอื่นรออยู่ก่อน เรารีบวิ่งเข้าไปแซงหน้าแทน อย่างนี้คนอื่นเดือดร้อนไหม (เดือดร้อน)  วันนี้มาบ้านเขา มาพุทธสถานของเขา นึกจะทิ้งกระดาษทิชชู ก็ทิ้งอย่างนี้ นึกจะเข้าห้องน้ำก็ไม่ยอมราดทำอย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ไปที่ไหนก็ทำความเดือดร้อนที่นั่น  อย่างนี้เขาไม่เรียกว่าคนดี  ถ้าเป็นคนไม่ดี เราก็บำเพ็ญดียากใช่หรือเปล่า (ใช่)  
มนุษย์เรามักจะติดรูปลักษณ์ภายนอก ฉะนั้นเวลามองอะไรต้องมองให้เห็นถึงแก่นแท้ ศิษย์พี่มาศิษย์พี่ก็อยากให้ศิษย์น้องเข้าใจชีวิตที่แท้จริง เข้าใจถึงสัจธรรมที่สามารถเรียนรู้ได้ วันนี้มาไม่ได้ให้มายึดติดในร่างนี้  แต่ให้ลองพิจารณาหลักธรรมที่วันนี้ศิษย์พี่พูดว่าเป็นความจริงไหม ศิษย์น้องนำไปทำได้ไหม ถ้าทำได้ก็พร้อมจะบำเพ็ญ เมื่อพร้อมจะบำเพ็ญก็ขอให้ไปให้ถึงซึ่งจุดหมาย อย่าเป็นคนที่ทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ไม่ดีเลยใช่หรือไม่ (ใช่)


วันอาทิตย์ที่ ๒๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๒
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

พุทธะคือเวไนย เวไนยคือพุทธะ
สุดยอดของการชนะ คือชนะใจตนเอง
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส อาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงฮุย  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า
ใช้ปัญญาการบำเพ็ญนับว่าดี ธรรมะชี้กำหนดการเป็นชีวิตใหม่
วัดใจตนสละให้รู้สึกอย่างไร ครองฤทัยมีทิศมีธรรมพอ
อยากได้ผลสว่างทางพินิจดู อะไรก็ไม่รู้ได้ไหมหนอ
หากศิษย์ช้าให้ใครอาลัยรอ อาจารย์ขอต้องเพียรได้เสมอกัน
อนิจจาเวียนวนแพ้ใจตนอีก แม้ติดปีกว่ายฟ้ามิจฉากั้น
ถูกอำนาจจิตตกต่ำลงทัณฑ์ งามสังหารกิเลสตนบังความจริง
จะรอบรู้เมื่อปัญญาเป็นกุญแจ หลักกลายรองไม่แน่ชีวิตจริง
เมื่อตั้งใจที่จะทำจริงยิ่ง อ่อนน้อมสิ่งสำคัญอย่าทิ้งกอง
เมื่ออันใดมากคุณค่าให้เวลา พึงติดตามศึกษาพุทธาเลือกมอง
ผ่านชีวิตระหกระเหินต่างหม่นหมอง ธุระของโลกาปราศจากสำเร็จโดยง่าย
ดวงชะตาฟ้าให้แต่คนกำหนด ขอจำจดพาตนและเวไนย
ชีวิตนี้มัวรักโลภน่าสงสัย ศิษย์จะไปไกลแค่ไหนพิจารณา
ฮา ฮา  หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เพลงท่อนที่ร้องเมื่อสักครู่บอกว่า “แม้ภายนอกไม่งาม ภายในใจช่างงาม”  ภายในใจงามมากหรือเปล่า (งาม)  ภายนอกงามใช้อะไรส่อง (กระจก) ภายในงามใช้อะไรส่อง  คนเราสำคัญที่จิตใจ จากที่งามน้อยๆ ให้เรางามขึ้นๆ  บำเพ็ญงามที่สุดอยู่ที่ไหน อยู่ที่เราทำได้ดีที่สุดแล้ว  แต่ในชีวิตนี้เราทำได้ดีที่สุดหรือยัง ยังมีคนทำดีที่สุดมากกว่าเราใช่หรือไม่ เพราะอะไร (มองโลกในแง่ดี, เขาได้บำเพ็ญก่อน)  เพราะจิตใจที่ไม่ฝักใฝ่ในผลประโยชน์มากเกินไป  ทุกวันนี้ไม่สามารถไปสู่ความบริสุทธิ์แห่งจิตใจได้ เพราะตนเองนั้นไม่บริสุทธิ์ใจที่จะใช้ชีวิตนี้ให้ดียิ่งขึ้น จึงไม่สามารถมีชีวิตที่ดียิ่งขึ้นได้  การที่เราบอกว่าเราดีแล้ว แต่ในขณะเดียวกันถ้าหากเรามองไปกว้างๆ ก็จะเห็นคนที่ยังดีกว่าเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราเห็นคนที่ดีกว่าเรา เราอิจฉาหรือว่าเรารู้สึกยกย่อง (ยกย่อง)  แต่คนจำนวนมากในโลกนี้ยุคนี้ เห็นคนดีกว่ากลับรู้สึกอิจฉาที่เขาดีกว่าเรา อิจฉาทำไมกัน โลกมนุษย์นี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราควรจะยกย่อง ควรที่จะกระทำ ควรที่จะพัฒนาตัวเองมากขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
การจะเป็นผู้บำเพ็ญธรรมไม่ได้ทำได้ง่ายๆ เปรียบไปเหมือนเทียนเล่มหนึ่งหลอมละลายตัวเองลงทุกวันๆ  จุดเทียนขึ้นมา โดยจี้ไฟลงไปบนไส้เทียน เทียนร้อนไหม (ร้อน)  เวลาละลายลงมาเรื่อยๆ ร้อนไหม (ร้อน)  ร้อนกว่าเดิมอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเทียนจะหมดเล่มแล้ว เทียนเล่มนั้นได้รับอะไรจากการให้แสง (ไม่ได้)  ถามว่าเทียนเล่มนั้นให้แสงสว่างต่อตนเองหรือให้แสงสว่างต่อผู้อื่น (ต่อผู้อื่น)  การทำความดีจริงๆ แล้วไม่มีผลตอบแทน ไม่มีความดีเกิดขึ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นคนที่ทำความดีแล้วหวังความดี ถามว่ามีความดีไหม (ไม่มี)  แล้วทุกวันนี้เวลาเราทำบุญไป เราหวังความดีกลับคืนไหม เราหวังที่จะได้โชคลาภกลับคืนไหม (ไม่หวัง)  คนที่ยังหวังก็ยังได้ ส่วนคนที่ไม่หวังก็ไม่ได้  ทุกอย่างกลายเป็นความว่างเปล่า ความสว่าง  ความสว่างคืออะไร อาจารย์ไม่ได้หมายความว่าทำดีไม่ได้ดี  แต่ทุกอย่างกลายเป็นความสว่างเพื่อผู้อื่น ถือเป็นมหากุศล ถือเป็นสิ่งที่เป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ เพื่อสิ่งที่เราหวังผลตอบแทนนั้นๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์อยากจะบอกว่า การที่จะเป็นคนดีสักคนหนึ่ง เปรียบไปแล้วก็คือเป็นเทียนเล่มหนึ่ง  ถ้ากล้าจุดทำความดีอย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม ตนเองต้องลำบากอย่างยิ่ง ต้องลำบากที่จะทำความดีต่างๆ นั้น เพราะว่าความดีนั้นฝืนอยู่กับกระแสทางโลกนี้ ในยามที่ศิษย์อยู่บนโลกนี้คนดีมีเหมือนน้อย คนชั่วมีเหมือนมาก  แต่แท้จริงแล้วอาจารย์อยากจะบอกว่ายังมีคนดีอยู่อีกมาก อันได้แก่ศิษย์ทั้งหลายที่อยู่ในนี้ เพียงแต่ว่าท่ามกลางความดีของศิษย์นั้น ศิษย์ก็ชอบให้ความชั่วต่างๆ นานาในจิตใจ อันได้แก่การกลัวเสียเปรียบ การกลัวไม่ได้  สมมติว่าเราขายของได้อย่างหนึ่ง เราทอนเงินเกินไป เรารู้สึกเสียดาย  ในทางกลับกันถ้าคนเขาจ่ายเรามาเกิน เราทำอย่างไร  ถ้าเกินมามากหน่อยอยากคืนไหม (คืน) นี่คือจิตแห่งฟ้า อันได้แก่ความดีต่อสู้กับจิตใจของมนุษย์ใช่หรือไม่ (ใช่)  การที่เราเกิดมาเป็นคน ด้วยความที่เห็นเงินทองสำคัญมาก ชีวิตนี้จึงทำความดีน้อยกว่าความชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันหนึ่งมียี่สิบสี่ชั่วโมง ทำความดีกี่ชั่วโมง เคยนับเป็นชั่วโมงไหม  วันหนึ่งความดีก็ทำอยู่เล็กๆ น้อยๆ วันหนึ่งความชั่วก็ทำอยู่ไม่มากไม่มาย เทียบกันไปเทียบกันมาแล้วจะว่าเป็นคนดีหรือเปล่า  เทียบไปแล้วความดีก็ทำ ความชั่วก็ทำ วันไหนทำความดีมากหน่อยจิตใจก็ชื่นบาน วันไหนทำความชั่วมากหน่อยจิตใจก็ห่อเหี่ยว ทุกๆ วันหาโอกาสทำความดียากเหลือเกิน เพราะอยู่แต่กับเงินทอง ลูกหลานของตนเอง สมบัติของตนเอง อารมณ์ของตนเอง ใช่ไหม (ใช่)  ในที่สุดแล้วทุกๆ วันก็กลายเป็นคนที่ยังดีน้อยอยู่ เพราะฉะนั้นก้าวแรกจากสองวันนี้หลังฟังธรรมะจบกลับไป ต้องทำอย่างไร อาจารย์ให้ทำสิ่งที่ง่ายที่สุดคือกลับไปทำความดี ให้วิ่งขึ้นไปสูงกว่าการทำความชั่วที่ทำอยู่ทุกวันได้ไหม (ได้)  สมมติว่าวันนี้เราทำความชั่วเท่านี้ เราจะทำความดีให้ได้เท่านี้ ทุกๆ วันเราลองกลับมาย้อนมองตนเอง ก่อนเราจะนอนลองคิดสิว่า วันนี้เราทำความดีมากหรือทำความชั่วมาก พอตื่นเช้าขึ้นมาก่อนที่จะไปล้างหน้าแปรงฟันก็มานั่งคิดว่า เมื่อวานเราทำความดีน้อยไปหน่อย วันนี้ทำให้มากขึ้นดีไหม (ดี)  ทุกๆ วันทำได้เช่นนี้ก็กลายเป็นคนดีไม่ใช่คนชั่ว ไม่ใช่คนกึ่งดีกึ่งชั่วใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อทำความดีได้มาก เราก็จะกลายเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ อยากเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ไหม (อยาก)  เพราะฉะนั้นใจก็เหมือนกับลูกแก้วกลมใสอันหนึ่ง ลูกแก้วอันนี้เอาไปคลุกฝุ่นมากๆ ก็มัวหมองใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่หากลูกแก้วอันนี้เย็นก็ขัด พอตื่นเช้ามาก็ขัดอีกรอบหนึ่ง เย็นก็ขัด เช้าก็ขัด ก็ใสขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อทำความดี การเป็นมนุษย์ไม่ยากแล้ว ถามว่าการเป็นพุทธะยากไหม (ไม่ยาก)  มีคนบอกว่าแดนนิพพานนั้นไกลแสนไกล ถามว่าไกลไหม (ไม่ไกล)  พระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็นมนุษย์ไหม (เคย)  ศิษย์ของอาจารย์ตอนนี้เป็นมนุษย์หรือเปล่า (เป็น)  มีปัญหาที่อาจารย์พูดทีแรกคือ มนุษย์โดยทั่วไปไม่ค่อยจะเหมือนมนุษย์ มีสิ่งต่างๆ ปนเปมากมาย กิเลสมากมาย อาจารย์บอกว่าเราเป็นมนุษย์ที่เหมือนมนุษย์ เมื่อนั้นเราก็เป็นพุทธะได้ในที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นการที่พระพุทธองค์นั้นบำเพ็ญตนต่างๆ นานา ในที่สุดแล้วได้สำเร็จเป็นพุทธะ ศิษย์ของอาจารย์ทำได้ไหม (ได้)  ถ้าทำได้เช่นเทียนหนึ่งเล่ม ย่อมสามารถที่จะเป็นพุทธะได้เพราะไม่กลัวความยากลำบาก อีกทั้งแสงสว่างที่จุดขึ้นมานั้นเพื่อผู้อื่นไม่ใช่เพื่อตนเอง เพราะฉะนั้นใครที่ยังติดในการที่ไปไหว้พระขอพร ขอเลข ขอโชค ขอลาภ ขอให้รวย ถามว่ารวยแล้วเป็นอย่างไร รวยแล้วทุกวันๆ ก็อยู่กับเงินของตนเอง จะเอาเงินเจียดสักนิดหนึ่งไปช่วยคนที่เขาไม่มีข้าวกินลำบากไหม ไม่แน่ใจว่าคนนั้นเขาจะมีข้าวกินจริงหรือเปล่า เพราะกลัวโดนเขาหลอกอีกก็เลยจมอยู่กับเงินทองของตนเองทุกวัน มีไม่กี่คนที่เต็มใจจะช่วยผู้อื่นโดยไม่มีจิตใจเคลือบแฝงเสแสร้งสงสัย ฉะนั้นความดีต่างๆ นานานั้นขอให้ทำด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ กลายเป็นคนที่แม้ภายนอกไม่งามแต่ภายในใจช่างงาม ถามว่าเอาอะไรส่องให้เห็นล่ะว่าจิตใจงามหรือเปล่า ภายนอกเอากระจกส่อง ส่วนภายในให้เอาความดีที่เราทำนั้นมาส่องดีไหม (ดี)  ความดีนั้นส่องออกมาได้อย่างไรล่ะ เราช่วยผู้อื่น ผู้อื่นก็ (ช่วยเรา)  ยังหวังให้เขาช่วยเราอีกหรือ เราช่วยผู้อื่น เขาก็ไปช่วยคนอื่นต่อใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่ต้องหวังให้เขามาช่วยเราดีไหม (ดี)  มีแต่หวังจะช่วยผู้อื่น อีกทั้งไม่ต้องบอกว่ารอให้รวยแล้วค่อยช่วยคนอื่น ไม่ต้องหวังว่ารอฉันสบายกว่านี้อีกหน่อยแล้วฉันค่อยช่วยผู้อื่น หากว่าเรานั้นมีใจช่วยผู้อื่น อยู่ในภาวะที่ช่วยผู้อื่นได้มากก็ช่วยให้มาก หากว่ามีใจ มีภาวะที่ช่วยผู้อื่นได้น้อยเราก็ช่วยผู้อื่นน้อยลงดีหรือเปล่า (ดี)  เรียกว่าถ้าเรามีข้าวกินสักสองจานเราก็แบ่งให้ผู้อื่นสักจานหนึ่ง ถ้าหากว่าเรามีข้าวกินจานหนึ่งก็แบ่งให้ผู้อื่น (ครึ่งจาน)  ถ้าเรามีข้าวกินอยู่ครึ่งจานแบ่งให้เขาเท่าไหร่ดี โดยทั่วไปศิษย์ของอาจารย์ทุกวันนี้มีข้าวกินครึ่งจานเลยไม่รู้จะแบ่งอย่างไรใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกวันนี้หาเท่าไหร่ก็ไม่พอ ทำไมถึงไม่พอ มันไม่พอที่ใจเรา เพราะฉะนั้นมีข้าวกินครึ่งจานก็แบ่งให้ผู้อื่นกินครึ่งหนึ่งทำได้ไหม (ได้)  เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าวันไหนเราไม่มีข้าวกิน คนอื่นก็ร่วมอดกับเรา อย่างนี้จิตใจมีความสุขได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ต้องบอกว่าได้ ต้องบอกว่า “ได้”  สักที มีความสุขนั้นจริงๆ แล้วหาง่าย มองไปที่ไหนก็มีความสุข แต่ในความสุขนั้นมันอยู่กลางความทุกข์ มองไปเห็นความทุกข์ก่อน ความสุขมาทีหลังใช่หรือเปล่า (ใช่)  
เหมือนเวลาที่เรากลับบ้านไปมองลูกของเรา  เราเห็นความสุขหรือความทุกข์ (ความสุข)  จริงๆ แล้วมองลูกเราน่าจะมีความสุขแต่เพราะเรากลัวลูกเราเป็นคนไม่ดี  ก็เลยมีความทุกข์ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ลูกเราไม่มีงานทำ มีความทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  ลูกเราไม่มีคู่ครอง มีความทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถามว่าตอนที่เรานั้นเกิดแล้วเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา ยอมให้ใครบังคับไหม (ไม่ยอม)  แล้วลูกของเรา เขาจะยอมให้เราบังคับหรือเปล่า เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่มอบไว้ให้แก่ลูกหลานได้ โดยที่จะไม่สูญสลายหายไปก็คือความดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่บอกว่า ฉันก็ยังทำดีครึ่ง ไม่ดีครึ่ง พอไปถึงลูกหลานก็เหลืออีกครึ่งหนึ่งของเรา พอต่อไปถึงหลาน ก็เหลือครึ่งหนึ่งของลูก พอถึงเหลนก็เป็นอย่างไร (หมด)  ก็ลดลงครึ่งหนึ่งไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นการที่เรานั้นต้องเป็นคนดีมากๆ จำเป็นไหม (จำเป็น)  เพื่อให้วันข้างหน้านั้น ลูกหลานของเรายังสืบทอดความดีของเราไปได้  ไม่ใช่วันนี้ครึ่งหนึ่งแล้ว วันหน้าก็ครึ่งหนึ่ง ครึ่งหนึ่งต่อไปเรื่อยๆ คนในวันข้างหน้าก็กลายเป็นคนที่ไม่ดี เพราะเราในวันนี้ดีไม่พอ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นการที่เราเกิดมาเป็นคนหนึ่งชาติ ขอให้ทำความดี เพราะความดี นั้นทำให้คน เป็นคนที่สมบูรณ์มาก  อันว่าเกิดมาชาติหนึ่งเกิดเป็นคน ดูสิว่าเราเป็นคนที่เหมือนคนไหม ถ้าเราเป็นคนประเภทชอบฉกฉวยของผู้อื่น โดยที่ไม่ได้รับอนุญาต ก็เหมือนกับลิง ลิงชอบแย่งของคนใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนม้าก็เป็นอย่างไร ม้าก็ชอบวิ่งเร็วมาก  พอพยศก็บังคับไม่อยู่  เหมือนกับมดที่ชอบไต่ของต่างๆ เหมือนกับแมลงที่ชอบบินวนเวียน ทำให้ของต่างๆ เสียง่าย เหมือนเราไหม ก็ต้องดูกันไปเป็นอย่างๆ ว่าเรานั้นมีนิสัยที่ไม่ดีอะไรบ้าง จำเป็นที่จะต้องขจัด ให้ดีขึ้นทุกวันๆ ไม่ใช่วันนี้บอกว่า ฉันไม่ค่อยดีเท่าไร พอวันพรุ่งนี้ ไม่ดียิ่งขึ้นเลย พอวันต่อไปไม่ดีอีกแล้ว แล้ววันไหนเป็นวันที่ดี 
“พุทธะคือเวไนย  เวไนยคือพุทธะ”  รู้ไหมว่าทำไมพุทธะคือเวไนย เพราะว่าพุทธะนั้นสำเร็จได้ต้องมีร่างกายเป็นมนุษย์ก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตอนนี้เรามีร่างกายเป็นมนุษย์ไหม (มี)  เพราะฉะนั้นพุทธะก็มาจากเวไนย แต่ว่าพุทธะกับเวไนยต่างกันตรงไหน ต้องทราบความแตกต่างข้อนี้ ถึงจะสามารถเป็นเวไนยที่กลายเป็นพุทธะได้ในวันหนึ่ง (พุทธะคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เวไนยคือผู้ที่ยังไม่ทราบความเปลี่ยนไปของตัวเอง,พุทธะคือสิ่งที่สูงสุด ไม่มีรูปร่าง เวไนยต้องมีรูปร่าง, เวไนยคือสรรพสัตว์ทั้งหลาย สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ปฎิบัติดี เรียกว่าพุทธะ, เวไนยคือผู้ที่ยังไม่สำเร็จ)  ศิษย์จำเป็นจะต้องทราบความเป็นมาเป็นไปของพุทธะและเวไนย ต้องรู้ความแตกต่างระหว่างพุทธะกับเวไนย เพราะว่าในขณะนี้ ศิษย์ทุกคนนั้นเป็นผู้ที่ถูกเรียกว่า"เวไนย" ฉะนั้นเราจึงต้องรู้ความแตกต่างจึงจะสามารถกระโดดข้ามจากเวไนยนี้ขึ้นไปเป็นพุทธะ
แท้จริงแล้วพุทธะและเวไนยเหมือนเส้นตรงเส้นหนึ่ง หัวเรียกว่า “พุทธะ” ท้ายเรียกว่า “เวไนย”  พุทธะคือผู้รู้ตื่นผู้เบิกบาน เราต้องเป็นผู้รู้ผู้ตื่นและผู้เบิกบาน ไม่มองโลกในแง่ร้าย ไม่จมอยู่กับความทุกข์ ต้องตื่นจากกิเลสโลกีย์ ความเป็นมายา ต้องรู้ให้ได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นอยู่นี้เป็นเรื่องจอมปลอม แม้กระทั่งร่างกายของเราเอง ตีแล้วเจ็บไหม (เจ็บ) ท่ามกลางความเจ็บนี้ เราต้องรู้ตื่น ร่างกายอันนี้เป็นของที่ยืมใช้เพียงชั่วคราว เมื่อร่างกายเกิดมา แก่ เจ็บ แล้วก็ต้องตาย  เมื่อนั้นร่างกายจะกลายเป็นของปลอม  ฉะนั้นช่วงเวลาเกิดแก่เจ็บตายนี้ ชีวิตเราทำอะไรบ้าง  ถ้าทำในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ชีวิตก็ไม่มีประโยชน์  แต่ถ้าทำในสิ่งที่มีประโยชน์และมีคุณค่าเรียกว่า “วีรชน” ไม่ใช่คนธรรมดา เพราะฉะนั้นชีวิตนี้ช่วงหนึ่งจึงต้องรู้จักใช้ชีวิตให้มีคุณค่า แม้ชีวิตนี้จะมีทั้งปลอมและจริงก็ตาม
เราจะเป็นผู้รู้ได้อย่างไร เป็นเรื่องที่ตอบยาก เพราะว่าสิ่งที่เรารู้เป็นความรู้ที่อยู่รอบๆ ตัวเรา เป็นของตัวเราเท่านั้นเอง  ฉะนั้นจึงบอกว่าเราไม่ใช่ผู้รู้ ถ้าหากว่าเรารู้ไปถึงความทุกข์ยากของผู้อื่น รู้ไปถึงโลกกว้างและสิ่งที่เราควรจะทำ จึงจะเรียกว่า “เป็นผู้รู้ได้”  ฉะนั้นการมาฟังธรรมะสองวันนี้ เพื่อจุดประกายความคิด การกระทำ จุดประกายแห่งพุทธะให้เจิดจ้าขึ้น  ศิษย์ทุกคนเปรียบเสมือนเทียนแท่งหนึ่ง เพียงแต่ยังไม่เคยจุดเลย เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมากลัวความยากลำบากเป็นที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)
พุทธะและเวไนยเป็นเส้นตรงเส้นหนึ่ง จับปลายของเชือกเส้นนั้นขึ้นไป สู่ปลายของเชือกอีกเส้นหนึ่งเรียกว่า เป็นพุทธะไต่เต้าขึ้นไป  เวลาขึ้นไปที่สูงก้าวขึ้นบันไดเมื่อยขาไหม (เมื่อย)  เวลาก้าวลงบันไดเมื่อยขาไหม (ไม่เมื่อยเท่าไหร่)  ฉะนั้นตอนนี้จะไต่ขึ้นสู่ข้างบน เป็นพุทธะต้องยอมที่จะเหนื่อย ขึ้นไปเรียกว่าขึ้นสวรรค์ ลงไปเรียกว่าลงนรก  อยากขึ้นหรืออยากลง (อยากขึ้น)  แต่เราต้องยอมเหนื่อยยอมลำบาก ชีวิตนี้ถึงจะเป็นพุทธะได้ ถ้าทุกๆ วัน ใช้ชีวิตอย่างสบาย บุญไม่ทำ กรรมไม่เชื่อ ใช้วิวัฒนาการแห่งโลกสมัยใหม่อย่างฟุ่มเฟือย  คนๆ นี้จะเป็นพุทธะได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นขอให้มองไปถึงความทุกข์ร้อน ทุกข์ยากของคนจำนวนมาก แล้วศิษย์จะรู้ว่าชีวิตนี้ของศิษย์ มีไว้เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ได้มีไว้เพื่อช่วยตนเอง
“สุดยอดของการชนะ  คือชนะใจตนเอง”  ทุกวันนี้เวลาที่เราอยากชนะคนก็ใช้กำลัง  แต่คนที่ชนะนั้น อาจไม่มีคุณธรรมความดีอะไร ถามว่าคนนี้เป็นสุดยอดหรือยัง (ยัง)  คนนี้ก็ยังไม่ได้เป็นที่หนึ่ง ทุกวันนี้มนุษย์มักมีคำพูดคำหนึ่งว่า “ถ้ามีเงินก็นับเป็นน้อง  ถ้ามีทองก็นับเป็นพี่”  แสดงว่ามีการเอาชนะกันด้วยเงินทอง  แท้จริงแล้วคนมีเงินทอง อาจจะมีคุณธรรมหรือไม่มีก็ได้  คนๆ หนึ่งมีความร่ำรวย เปรียบเสมือนเวลาโยนผลไม้ เมื่อผลไม้ขึ้นไปถึงที่สูงสุด ก็ต้องหล่นลงมา  เหมือนกับตอนนี้ร่ำรวยแล้วกลับมาจน ถึงได้บอกว่าโลกนี้ไม่เที่ยง  วันนี้เรารวย วันหน้าเราอาจจะจนก็ได้  เงินทองที่เราหาไว้สักวันหนึ่งลูกหลานอาจจะทำให้หมดไป ในที่สุดแล้วก็ไม่สามารถร่ำรวยได้จริง  ไม่มีความร่ำรวยจริงอยู่บนโลก
เพราะฉะนั้นการชนะควรชนะด้วยอะไร (ความดี)  ชนะด้วยความดีงามไม่ต้องใช้สิ่งใดเลย ความดีเป็นของที่ไม่มีรูปลักษณ์ ในที่สุดแล้วความดีนี้กลับเป็นสิ่งที่ชนะได้ แต่อาจารย์บอกว่าสุดยอดของการชนะไม่ใช่สามสิ่งนี้ สุดยอดของการชนะกลับเป็นการชนะใจตนเอง ใจของตนเองนี้ดูยากหรือง่าย (ยาก)  เรายังไม่รู้จักตัวของเราดีเลย  สุดยอดของการชนะคือการชนะใจเราเองนี้  เพราะว่าตอนนี้เรายังไม่เข้าใจตนเองดีพอ ยังไม่รู้จักตนเองดีพอ จึงบอกว่าเอาชนะใจตนเองคือเอาชนะใจที่ใฝ่ต่ำ 
(พระอาจารย์เมตตาหยิบผลไม้สองชนิด คือ มังคุดและกระท้อนขึ้นมายกตัวอย่างเปรียบเทียบ)  จิตใจนั้นเหมือนกับผลไม้สองผลนี้ ข้างหนึ่งเป็นสีดำ อีกข้างเป็นสีขาว ถามว่าสีดำหรือสีขาวชนะอยู่บ่อยๆ (สีดำ,สีขาว)  มีบางคนตอบสีดำ บางคนตอบสีขาว คนที่มีจิตใจสีขาวชนะบ่อยครั้งก็จะเป็นคนดี คนที่มีจิตใจสีดำชนะบ่อยครั้งก็เป็นคนไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ของอาจารย์อยากเป็นคนดีหรือไม่ดี ลองมองเข้าไปในผลไม้สีดำนี้ ข้างในเป็นสีอะไร (สีขาว)  ลองปอกเข้าไปในผลไม้สีขาวนี้ ข้างในเป็นสีอะไร (สีขาว)  ไปปอกเม็ดดู เม็ดที่อยู่ข้างในนั้น เวลายิ่งวางไว้นานยิ่งเป็นสีดำใช่หรือเปล่า (ใช่)  เปลือกนี้ข้างใน ถ้ายิ่งวางยิ่งตากไว้ก็ยิ่งเป็นสีดำใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าผลไม้สองชนิดที่เปรียบเทียบนี้เป็นเหมือนใจมนุษย์ไหม (เหมือนกัน)  ในความชั่วมีความดี ในความดีมีความชั่ว เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงสอนศิษย์เสมอๆ ว่าเวลามองคนให้มองแต่ข้อดีของเขา อย่าไปว่าแต่คนนี้เป็นคนไม่ดี มีจิตใจสีดำ ต้องมองให้ลึกเข้าไปอีกให้เจอความดีของเขาให้ได้ อย่าได้มีอคติ เมื่อเรามองคนอื่นเป็นคนดีได้ ถามว่าใครเป็นคนดีล่ะ (ตัวเราเอง)  เพราะฉะนั้นเราใช้ตาของเรามอง ถ้าตาเรามองเขาว่าเป็นคนไม่ดีแล้ว ถามว่าอะไรไม่ดี ตาของเราไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเผอิญไปมองแต่สีดำที่เปลือกนอก ส่วนคนดีเป็นอย่างไร แกะออกมาก็จะเห็นข้างในสีขาว (พระอาจารย์เมตตาแกะมังคุดออกมา)  เพราะฉะนั้นอยากเป็นคนดี ต้องมองคนอื่นให้ดีด้วยตัวเราจะได้ดีด้วย ถ้าเรามองคนอื่นไม่ดี แสดงว่าตาเราไม่ดีด้วย ไปๆ มาๆ ก็จะเป็นสายตาที่สั้นๆ ยาวๆ เอียงๆ 
ใช้อะไรต้อนรับพระอาจารย์ (ความดี)  อาจารย์อยากให้ศิษย์คนที่ไม่ค่อยชอบมาห้องพระ ออกมาร้องเพลงต้อนรับด้วยจริงๆ
(นักเรียนในชั้นร่วมกันร้องเพลงต้อนรับพระอาจารย์)
อาจารย์หวังอย่างยิ่งว่า ให้ศิษย์นั้นใช้จิตใจที่ดีงาม จิตใจที่พร้อมแล้วถึงความยินดีจริงๆ ออกมาต้อนรับ  เพราะว่าแม้จะมีเพลงที่ไพเราะ แม้จะมีสิ่งที่ดี อากาศที่เย็นสบาย ก็ไม่สามารถต้อนรับกันได้ดีเท่ากับจิตใจที่จริงใจ
บางคนนั้นมีอายุมากให้ยืนสักครู่ก็เมื่อย แต่ว่าจริงๆ แล้ว การที่เราอยู่บนโลกมนุษย์ใบนี้ ก็ต้องมีการยืน นั่ง เดิน นอน สลับกันไป  ความสบายนั้นทำให้เรามีความหลงมากกว่าที่จะเมื่อย  ความลำบากไม่ทำให้เราหลง  ฉะนั้นชีวิตนี้เลือกอยู่กับความสบายหรือความลำบาก  ถ้าชีวิตนี้เลือกอยู่กับความสบาย ก็จะมีความหลงมากขึ้นทุกวันๆ เปรียบเสมือนก้อนหินที่ปาลงน้ำ แล้วจมลึกลงไปทุกทีๆ  ชีวิตนี้อาจารย์ไม่ได้บอกให้ไปหาความลำบากใส่ตัว  หลายคนฟังแล้วไม่เข้าใจว่าจะไปทำอะไร  จริงๆ แล้ว ความลำบากเกิดขึ้นจากการตัดสินใจที่จะทำความดี  เพราะว่าสิ่งที่เราเอาชนะยากที่สุดคือ ใจตัวเอง  ถ้าไม่สามารถเอาชนะใจตัวเองได้ ก็จะสู่ความยากลำบากที่สุด  ในยามนี้ สิ่งที่ลำบากที่พบอยู่ทุกวันนี้ อาจไม่ใช่ความลำบากอย่างแท้จริง แต่เป็นภาพลวงตา  วันหน้าถ้าหากเจอความยากลำบากยิ่งขึ้น ขอให้จิตใจของเรานั้นมั่นคงแข็งแกร่งยิ่งขึ้น  เวลาที่อยากจะให้ทองสุกประกายแวววับสวยงาม จะต้องเพิ่มความร้อนของไฟให้มากยิ่งขึ้น อยากจะเป็นทองแท้หรือเปล่า (อยาก)  ถ้าอยากเป็นทองแท้ก็อย่ากลัวความยากลำบาก เพราะท่ามกลางความลำบากจะทำให้คนนั้นเป็นคนที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น  เหมือนกับเป็นทองที่สุกประกายยิ่งขึ้น
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับนักเรียนที่ตอบคำถาม)  คนที่ตอบก่อนก็คือคนที่รู้จักรักษาโอกาสของตนเอง  อาจารย์ถามอะไร ถ้าหากว่าศิษย์ไม่ตอบ จะได้ผลไม้ไหม (ไม่ได้)  ตอนแรกตอบไป ตอบผิดหรือตอบถูกก็ยังไม่รู้ คนเหล่านี้เรียกว่าทัพหน้ากล้าตาย  ถ้ากล้าตอบก็ได้รับผลก่อนใคร ถ้าหากไม่กล้าตอบก็ไม่ได้รับผล  ถามว่าเวลาเราทำความดีไป ถ้าหากไม่ได้เห็นผลประโยชน์อยู่ข้างหน้าจะทำไหม (ทำ)  บางคนกลัวเหนื่อยเปล่า  แต่ว่าในชีวิตนี้แม้จะหลบเลี่ยงอย่างไร ถ้าหากว่าถึงคราวเคราะห์ต้องเหนื่อยเปล่าขึ้นมา ก็ต้องเหนื่อยเปล่าอยู่ดี  ฉะนั้นกลัวความยากลำบากไหม (ไม่กลัว)  ใครไม่กลัวความยากลำบาก ถ้าหากกลับไปเจอความยากลำบากอย่ามาร้องนะ  อาจารย์รู้สึกว่าระยะนี้มีคนร้องเรียกบ่อย หนาหูไปหมดเลย เพราะว่าทุกวันๆ ก็ลำบากขึ้นทุกทีๆ  ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิต เงินทองก็ขาดมือ อุปสรรคต่างๆ การทดสอบต่างๆ ก็มากขึ้นทุกวันๆ หมายถึงใจที่กระพือแรงขึ้น ถามว่ากี่คนที่จะข้ามพ้น  ถ้าเดินหน้าเข้าไปก็เจอไฟ ถอยหลังกลับมาโล่งสบาย ข้างหลังไม่มีไฟ มีแต่ความสบาย มีพญามารกวักมืออยู่ข้างหลัง เตรียมโซฟาไว้ให้นั่ง  ข้างหน้าเดินผ่านดงไฟนี้ออกไปกลายเป็นนิพพาน จะไปทางไหนดี (เดินไปข้างหน้า)  ต้องดูว่าเรานี้มีความมุ่งมั่นเท่าไร  ถ้าอยากจะนั่งโซฟาสบายๆ ก็เหมือนกับเราต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป  อาจารย์ไม่สามารถบอกศิษย์ได้ว่าต้องเวียนว่ายอีกกี่รอบ  แต่ถ้าหากว่าพ้นจากโอกาสนี้ไปแล้ว หากศิษย์ข้ามชาตินี้ไปแล้ว สิ้นร่างกายนี้ไปแล้ว ไม่สามารถเกิดเป็นมนุษย์ได้ทันท่วงที หรือเกิดมาอีกทีไม่ได้เจอธรรมะ ไม่มีใครชวนมารับธรรมะก็ต้องเวียนว่ายต่อไป ไม่สามารถกำหนดได้ว่าอีกนานเท่าไร ฉะนั้นตอนนี้กลั้นใจเฮือกสุดท้ายฝ่าไป ดีหรือไม่ (ดี)  หลายคนชอบท้อ บอกว่ายากเหลือเกิน ลำบากเหลือเกิน  แต่ว่าหากศิษย์เอาคานมาใส่บ่า สองข้างเป็นที่ใส่ของ เอาของใส่ลงไป ยิ่งใส่ก็ยิ่งหนัก  แต่ถ้าหากกล้าแบกความหนักนี้เดินฝ่าไปข้างหน้า ข้ามไปแล้ว ของที่แบกไปแม้จะหนัก ถ้าแบกได้มากเท่าไรก็เป็นของเรามากเท่านั้น  แต่ถ้าหากเราไม่กล้าแบกเวไนยคนไหนไปกับเราเลย เราอยากจะไปคนเดียวสบายๆ ข้ามไปแล้วก็เหลือเราคนเดียว  ญาติพี่น้องก็ไม่ได้ตามเรามา  เพราะฉะนั้นบางทีความยากลำบากกับการที่เราถูกคนตำหนิ ญาติพี่น้องคอยว่า  ความยากลำบากต่างๆ นานาที่เคยได้พบระหว่างคนและคนด้วยกันเป็นความสำคัญหรือเปล่า (สำคัญ)  ถ้าเขาไม่รู้สึกไว้ใจเรา เขาก็จะไม่พูดกับเรา  ถ้าเขาไม่รู้สึกห่วงเรา เขาก็จะไม่ว่าเรา  ฉะนั้นอยู่ที่เราศึกษาธรรมะได้เข้าใจมากเท่าไร สามารถอธิบายได้มากเท่าไร  ส่วนรอบสุดท้าย ศิษย์ของอาจารย์จะฉุดคนได้ขึ้นหรือไม่ขึ้น ย่อมอยู่ที่บุญและกรรมของแต่ละคน  อย่าได้ทุกข์ร้อนใจมาก แต่ไม่ใช่เอะอะบอกว่ากรรมหนัก  ไม่รู้จริงๆ แล้ว เราเป็นพุทธะไม่ยอมช่วยคนนี้ ไม่รู้ว่าใครกรรมหนักมากกว่ากัน  การบำเพ็ญต้องอาศัยปัญญาให้มาก ปัญญาของแต่ละคนอาจจะไม่เท่ากัน บางคนมีปัญญามาก บางคนมีน้อย  คนที่มีปัญญาน้อยก่อนจะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดคิดให้มาก คิดสามครั้งไม่พอก็คิดห้าครั้ง คิดสิบครั้ง  ในที่สุดทำสิ่งใดก็จะผิดพลาดน้อย  ในที่สุดแล้วบ่อยๆ เข้า เราก็จะกลายเป็นคนที่มีปัญญา แต่ว่ามนุษย์สมัยปัจจุบันชอบใช้แต่ความชาญฉลาด แต่เป็นฉลาดที่ขาดเฉลียว  ไม่รู้จักเฉลียวใจว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้น หากว่าเราเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ผู้อื่นก็จะเอารัดเอาเปรียบเราในสักวันหนึ่ง  ฉะนั้นจึงบอกว่าก่อนที่จะพูดสิ่งใดทำสิ่งใดขอให้คิดให้มาก เป็นการคิดเพื่อผู้อื่น ไม่ใช่คิดเพื่อตัวเอง
“ใช้ปัญญาการบำเพ็ญนับว่าดี”  ในวันนี้ใครที่ยังบำเพ็ญไม่ดี ถามตัวเองสิว่าได้ใช้ปัญญาของตัวเองมากพอหรือยัง อาจารย์บอกว่าปัญญาเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับผู้บำเพ็ญ  หลายครั้งเวลาเจออุปสรรค เจอปัญหา  ถ้าหากขาดปัญญาก็ไม่สามารถจะฝ่าอุปสรรคพ้น  หากว่ามีปัญญาก็เหมือนกับเรามีทางแล้ว ออกแรงไปเดินให้มากๆ  หากไม่มีปัญญาเปรียบเสมือนเดินอยู่ทางมืด ไม่มีไฟ
“ธรรมะชี้กำหนดการเป็นชีวิตใหม่”  ธรรมะที่อาจารย์ชี้ให้หมายถึงเป็นการกำหนดชีวิตใหม่ ชีวิตที่ผ่านมาเรียกว่าชีวิตเก่า  ชีวิตเก่าและชีวิตใหม่มีอะไรแตกต่างกัน เราจะทำชีวิตใหม่ให้เหมือนชีวิตเก่าได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าหากศิษย์จะทำชีวิตใหม่ของศิษย์ให้เหมือนชีวิตเก่าก็ย่อมได้ เป็นสิทธิของศิษย์เอง  แต่หลายๆ คนกำหนดชีวิตใหม่ของตนเองให้ไม่เหมือนชีวิตเก่าของตัวเองได้ เพียงแต่เรารู้จักที่จะพิจารณาให้มากๆ ฝึกฝนจิตใจของเราให้เป็นพุทธะที่ฟื้นฟูขึ้น  ฉะนั้นการที่ชีวิตเราจะใหม่มากขึ้นหรือไม่ย่อมอยู่ที่เราจะกำหนด  หากไม่กำหนด ไม่รู้จักทิศทาง ไม่ยอมเดินไป ชีวิตนี้ก็เหมือนเดิม  เมื่อเหมือนเดิมก็รับกรรมอย่างเดิม ไม่สามารถที่จะพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้
“วัดใจตนสละให้รู้สึกอย่างไร”  เวลาเราสละสิ่งของของตัวเองให้ผู้อื่น เรารู้สึกอย่างไร (คนให้ก็รู้สึกดีใจ,ความปลื้มใจ, สละด้วยความเต็มใจย่อมเกิดปิติ)  อาจารย์ถามว่า เวลาที่เราสละให้คนอื่น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของอะไรก็ตาม รู้สึกอย่างไร (ปลาบปลื้มปิติ, ปลื้มใจ, สุขใจ, ภาคภูมิใจ, รู้สึกเสียดาย ถ้าหากรู้ว่าเขาไม่เอาไปทำประโยชน์, , เต็มใจ  ยินดีที่ได้เสียสละ,เรายินดีที่จะให้ แล้วเขาเต็มใจที่จะรับ)
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมนักเรียนในชั้น) สู้ไม่สู้อยู่ที่เรา คนบำเพ็ญธรรมไม่ได้อยู่ที่ร่างกายแข็งแรงหรือว่าอ่อนแอ ยิ่งบำเพ็ญยิ่งดี สุขภาพใจยิ่งแข็งแรง  หลายคนบอกว่าบำเพ็ญธรรมไม่ไหวแล้ว เพราะว่าร่างกายไม่อำนวย แต่การบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญที่ใจ ไม่ใช่ที่กาย
อาจารย์จะบอกให้ว่า เวลาที่เรานั้นจะสละสิ่งใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นทั้งรูปธรรม นามธรรมแก่ผู้อื่นนั้น จะต้องสละให้ด้วยความยินดี จิตนั้นจึงเกิดเป็นกุศลได้ ส่วนใหญ่หลายคนนั้นให้ไปด้วยความเสียดาย ส่วนใหญ่นั้นเมื่อเราสละให้ หลายคนมักคิดไปถึงเงินทอง แต่ว่าสิ่งที่เราลืมสละให้บ่อยๆ คือน้ำใจ น้ำใจอันนี้สามารถช่วยผู้อื่นจากร้อนให้กลายเป็นเย็นได้ เวลาที่เราจะสละให้ สิ่งที่ดีที่สุดที่จะสละก็คือคำปลอบใจ หลายคนเป็นผู้ที่มีความท้อแท้ ไม่มีกำลังใจ เพราะฉะนั้นเวลาที่จะให้กำลังใจผู้อื่นจะต้องเลือกแต่ในสิ่งที่เป็นคำพูดที่ดี บางทีบางคนบอกว่าพูดไปตามความจริง แต่ว่าความจริงบางประเภท เวลาพูดไปทำให้คนนั้นหมดกำลังใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจึงต้องเลือกพูดในสิ่งที่เป็นความจริงที่ดีเท่านั้น แต่อย่าโกหก หลายคนนั้นชอบโกหก นั่งอยู่ที่นี่คงไม่มีใครไม่เคยโกหก แต่ถามว่าเรานั้นโกหกด้วยอะไร ถ้าโกหกด้วยเจตนาที่ดีก็อาจจะดี แต่ว่าการโกหกนั้นมีกรรมไหม ก็ยังมี บางคนบอกว่าโกหกไปด้วยเจตนาที่ดี แต่ผลกรรมแห่งการโกหกนั้นก็ย่อมมี อย่าได้บอกว่าจะสามารถทำความดีชะล้างความชั่วได้ เหมือนน้ำกับน้ำมันที่ไม่สามารถที่จะเข้ากันได้ ถ้าหากว่าเรานั้นพูดไม่ดีทำไม่ดีมากก็เหมือนกับน้ำมันที่คอยจะลอยอยู่บนหน้า ฉะนั้นเกิดมาเป็นคนจึงยากลำบากที่จะทำตัว แต่ว่าจงอย่าลำบากใจ ชีวิตหนึ่งเหมือนกับความฝัน เพียงเราตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งสิ่งต่างๆ บางทีก็ไม่เหมือนเดิมใช่หรือไม่ (ใช่)  ให้เรารู้ไว้ ให้เรารู้จักปล่อยวางให้ได้ อย่ารู้จักคำว่าปล่อยวางนิดหนึ่ง เหลือไว้อีกนิดหนึ่ง อย่างนี้ไม่เรียกว่าปล่อยวาง การปล่อยวางนั้นจะต้องปล่อยวางให้สิ้น ไม่ฉะนั้นความทุกข์ใจจะมาสู่เราได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  
“ครองฤทัยมีทิศมีธรรมพอ”  หมายความว่าอย่างไร ให้เรานั้นพาใจของเราให้เป็นใจที่มีทิศมีทาง ไม่ใช่เป็นใจที่ไม่มีทิศมีทาง เหมือนกับสายลมใช่หรือไม่ (ใช่)  ลมพัดมาจากข้างหน้าไปข้างหลัง ไม่สามารถบอกได้ว่าลมนั้นจะพัดไปสู่ทิศใดบ้าง เพราะว่าเรามองไม่เห็น จึงบอกว่าลมไม่มีทิศมีทาง แต่สิ่งที่ควรจะบำเพ็ญตามลมนั้นคือการรักษาการสร้างคุณธรรม เอาคุณธรรมของเราออกไปเหมือนกับสายลม ปล่อยออกไปให้มาก ให้ไปสู่คนจำนวนมากโดยไม่ต้องสนใจว่าคนที่เราจะไปสร้างคุณธรรมกับเขา กลุ่มที่เราจะไปสร้างคุณธรรมกับเขานั้นเขาเป็นคนดีหรือเปล่า อย่าเลือกทำความดีเฉพาะกับคนดี แต่ให้เลือกทำความดีกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เราพบเห็น มีสิ่งใดอีก ลมไปกระจัดกระจาย อาจารย์ให้เปรียบเสมือนคุณธรรมที่เรานั้นจะต้องส่งออกไปให้มาก ลมยิ่งพัดแรงคนยิ่งเย็นใช่หรือไม่ (ใช่)  ลมยิ่งพัดแรงยิ่งสบาย แต่คนที่เป็นลมที่พัดไปอาจจะไม่สบายก็ได้นะ ฟ้ามีแสงสว่างใช่หรือไม่ (ใช่)  ฟ้ามีแสงสว่างเปรียบเสมือนอะไรดี (ความดี,เปรียบเสมือนแสงความดีที่เรารับเข้าไปใหม่ที่กำลังมืด)  ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนที่ตอบได้ลูกที่สอง ลูกที่สาม ต้องดูว่าตอบดีหรือเปล่า (ฟ้าเปรียบเสมือนอาจารย์จี้กงชี้หนทางนิพพานให้)  อาจารย์จะบอกให้ มือข้างหนึ่งก็ถือสองอัน อาจารย์จะโยนให้ก็จะรับอีกมือหนึ่งใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนี้เขาเรียกว่าจับปลาสองมือ มือข้างนี้มีปลาสองตัวยังจะเอามือข้างนี้อีกได้ไหม จับปลาสองมือเป็นกันหลายคนใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นอาจารย์บอกว่าเวลาทำสิ่งใดทำให้ดีสักอย่างหนึ่ง ทำให้ดีจริงๆ ไม่ใช่ข้างนี้ก็อยากจะทำอย่างนี้ อีกข้างก็อยากจะทำอีกอย่าง ในที่สุดแล้วอาจจะอดได้ทั้งสองสิ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาบอกว่าคนในโลกนี้หลายคนโชคดีแต่ถามว่าจะโชคดีสักกี่หน มนุษย์ไม่ได้โชคดีอยู่เสมอๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นหนึ่งครั้งโชคดี หนึ่งครั้งขอบพระคุณ หนึ่งครั้งโชคดี หนึ่งครั้งรักษาไว้อย่าได้มีความโลภมากกว่านั้น อย่าได้บอกว่าฉันโชคดีขึ้นแล้ว ฉันจะไปเสี่ยงอีกครั้งหนี่ง หลังจากนั้นให้ฉันโชคดีตลอดไป เป็นไปได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  
“แม้ติดปีกว่ายฟ้ามิจฉากั้น” นี้ ก็หมายความว่า “บิน” “มิจฉา” ตรงข้ามกับ “สัมมา”  มิจฉาในที่นี้คือมิจฉาที่ใจตนเอง ความไม่สุจริตที่ใจของตนเอง เป็นมิจฉาอย่างยิ่ง  แม้จะบินขึ้นไปสูงเท่าไหร่ มิจฉาก็สูงขึ้นมากเท่านั้น  ฉะนั้นสิ่งที่เป็นอุปสรรคขวางกั้นเรามากที่สุด ก็คือใจของเราเอง  สิ่งชนะยากมากที่สุด ก็คือใจของเราเอง  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมก็คือ การบำเพ็ญใจของเราให้สะอาด ให้เป็นสัมมา ให้เที่ยง  ไม่ใช่มองใครๆ ก็มีแต่อคติ  อคติที่ตาของเราที่มองเขาไม่ดี หูก็ชอบฟังเสียงนินทา ปากก็พูดเรื่องไม่ดีของผู้อื่น ก็กลายเป็นคนที่มีอายตนะที่ไม่ดี  ในที่สุดแล้ว เมื่อมีหู ตา จมูก ปาก ที่ไม่ดี ใจก็ไม่ดี  การบำเพ็ญใจจะว่ายากก็บำเพ็ญยาก จะว่าง่ายก็บำเพ็ญง่าย เปรียบเสมือนหน้ามือและหลังมือ  ถ้าตัดสินใจพลิกจากหลังมือมาเป็นหน้ามือ ก็ดูขาวดี กลัวแต่ไม่สามารถตัดสินใจพลิกหลังมือมาเป็นหน้ามือได้  เปรียบไปแล้วมนุษย์ในโลกนี้ ความเด็ดขาดเหมือนกับอะไร  เหมือนกับผู้ชายที่ตัดสินใจเลิกบุหรี่ได้ ตัดสินใจเลิกเหล้าได้  เหมือนกับมนุษย์ที่ตัดสินใจตัดกิเลสได้  เวลาที่เราสูบอยู่ครึ่งมวน เหลืออีกครึ่งมวนเราตัดสินใจโยนทิ้งได้ไหม (ได้)  คนที่ติดบุหรี่ต้องคิดดู เหล้ากินไปแล้วครึ่งแก้วเหลืออีกครึ่งแก้ว เราตัดสินใจเลิกกิน วางไว้ตรงนั้นเลย หรือไม่ก็เททิ้งเลยได้ไหม (ได้)  เหมือนกับการที่เรามีกิเลสอยู่ในใจ แล้วตัดสินใจโยนกิเลสของเราทิ้งเลยได้ไหม (ได้)  เห็นเงินเราจะได้ไม่รู้สึกถึงความโลภ เห็นสิ่งสวยงามที่เราต้องใจและเคยชอบพออยู่ก็ไม่รู้สึกอยากได้ ทำได้ไหม (ได้)  ถ้าเราเลิกไม่ได้เราก็เป็นพุทธะไม่ได้
“หลักกลายรองไม่แน่ชีวิตจริง” สิ่งที่เป็นหลักที่เราหาอยู่ทุกวันได้แก่ เงินทอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่สำหรับผู้บำเพ็ญนั้นคำว่า เงินทองเป็นหลักได้ไหม (ไม่ได้)  ผู้บำเพ็ญควรมีคุณธรรมเป็นหลัก เช่นความเมตตา ความซื่อสัตย์ ความกตัญญู  ยกตัวอย่างให้ดูอย่างง่ายๆ เวลาเราป่วยไข้ ต้องกินยา กินข้าวก็ต้องกินยาไปด้วย เพราะฉะนั้นข้าวเป็นหลัก หรือยาเป็นหลัก  ถ้าไม่ได้กินยาก็ไม่หาย บางคนยอมกินยาทั้งๆ ที่ไม่ได้กินข้าว  ฉะนั้นเวลาเราไม่สบาย ยาก็เป็นหลักของเรา แต่เมื่อเราหายป่วยแล้ว ข้าวจะเป็นหลัก  บางทีก็มีหลักกลายรอง และรองกลายหลัก หนึ่งในปัจจัยสี่ของเราคือ ยารักษาโรค  หลักและรองบางทีก็สลับกันไปมา บางครั้งเราเป็นผู้อาวุโสกว่าคนๆ นี้  แต่วันดีคืนดี คนๆ นี้ เกิดมีความสามารถมาก กลายมาเป็นอาจารย์บรรยายธรรมข้างหน้าของเรา เรารู้สึกอย่างไร ต้องไม่อิจฉา เราต้องรู้ว่า หลักกับรองต้องอาศัยซึ่งกันและกัน บางทีก็มีการสลับไปมา อย่าได้รู้สึกอะไรมาก ต้องรู้สึกยินดีปรีดา ต้องยินยอมที่จะโค้งอย่างอ่อนน้อมเช่นดังเดิม  เพราะว่าหลักกับรองมีการเกื้อกูล เกื้อหนุนกันอยู่เสมอ ไม่ใช่บอกว่าเราเป็นสามี เป็นใหญ่ในบ้าน วันดีคืนดีสามีตกงาน ภรรยาทำงาน ผู้ที่เป็นสามีก็ต้องรู้ที่จะยอมเหมือนกัน และภรรยาต้องรู้จักอ่อนน้อมใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่ใช่บอกว่า ตอนนี้ฉันเป็นใหญ่ในบ้าน อะไรก็ฉันจัดการหมดเลย เธออยู่เฉยๆ ถ้าเป็นอย่างนี้ ถามว่า หากสามีเสียหลักแล้ว ภรรยาจะมีหลักไหม บ้านที่สามีภรรยาทะเลาะกัน ถ้าภรรยาเถียงชนะแล้วสามีไม่พอใจถามว่า เวลาสามีโกรธแล้วใครเดือดร้อน (ภรรยา)  ก็ภรรยาเดือดร้อน เวลาภรรยาเดือดร้อนแล้วใครเดือนร้อนอีก (สามี)  ก็สามีเดือดร้อนใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะไม่ใครทำกับข้าวให้กิน อยู่บ้านเดียวกันก็มองหน้ากันไม่ติด ในที่สุดแล้วพอสามีภรรยาไม่มีความสมานสามัคคีใครเดือดร้อน ลูกเดือดร้อนใช่หรือไม่ (ใช่) 
อันว่าเรื่องของครอบครัวหนึ่งนั้น เป็นเรื่องที่ลำบากและสลับซับซ้อน ผู้ที่จะเป็นผู้ที่บำเพ็ญจำเป็นที่จะต้องรู้จักรักษาน้ำใจซึ่งกันและกัน ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนดีหรือไม่ก็เป็นคู่ชีวิตของเราแล้ว เราได้เลือกเขาแล้ว เพราะฉะนั้นจงรู้จักที่จะอดทนถนอมน้ำใจกันแม้ว่าทำยากมากก็ต้องทำ ไม่ทำแล้วใครจะทำ อันว่าชีวิตนี้เกิดมาด้วยแรงกรรม อยู่ด้วยกันก็ด้วยแรงกรรม ถ้าไม่ใช่แรงกรรมก็ด้วยแรงบุญ เพราะฉะนั้นใครที่แต่งงานไปแล้วครอบครัวไม่ค่อยดี ก็ต้องรู้ว่าเราอาจจะมีกรรมก็ได้ ส่วนคนที่แต่งแล้วดีมากๆ ก็บอกว่าเรามีบุญใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็มีแค่บุญกับกรรมสองอย่างที่เราผูกกันมาแล้วก็ผูกกันไป จึงบอกว่าไม่ว่าอดีตชาติจะทำเช่นไร อดีตชาติจะเป็นเช่นไร อนาคตยังมาไม่ถึง เพราะฉะนั้นทำปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุด มีหลายคนชอบไปดูหมอ พอไปดูแล้วหมอบอกว่า ดวงชะตาเราไม่ค่อยดี แต่ถามว่าอนาคตมาถึงหรือยัง (ยัง)  ถ้าเราอยากให้อนาคตดีเราก็แก้ไขที่ปัจจุบัน ส่วนอดีตที่ผ่านมาแล้วย่อมแก้ไขไม่ได้ ไปนั่งเสียใจกับอดีตที่ผ่านมาแล้วคุ้มไหม สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ให้ผ่านไป เพียงแต่วันหน้าจะผิดเป็นครั้งที่สองได้ไหม จะผิดเป็นครั้งที่สามได้ไหม บางคนชอบที่จะให้อภัยตนเองอยู่ประจำ อะไรก็ฉันมีเหตุผลอย่างนี้ ฉันถูก แต่ถามว่าแม้เราจะบอกว่าตัวเราถูกได้ แต่คนทั่วไปบอกว่าเราถูกไหม (ไม่ถูก)  เขาก็ยังบอกว่าเรายังไม่ถูกต้อง ผู้บำเพ็ญธรรมจึงต้องรู้จักย้อนมองส่องตน ลองหลับตาลง แล้วใช้ตาที่เรามองออกข้างนอกนี้มองกลับเข้าไป ถามตัวเราว่ายังมีความไม่ดีมากมายอีกเท่าไหร่ที่ยังต้องแก้ไข ลืมตาขึ้นได้ บางคนอาจจะคิดออก บางคนอาจจะคิดไม่ออกเพราะเวลาสั้นเกินไปและยังไม่เจอเหตุการณ์เฉพาะหน้า
เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่า ฟ้าที่สว่างนั้นเปรียบเสมือนจิตใจของเรา พระอาทิตย์ให้ความสว่างบนฟ้า แต่ใจเราให้ความสว่างให้กายเรานั่นเอง ใจของเราถ้ามีความสว่างด้วยคุณธรรมนำพาต่างๆ ก็จะช่วยให้จิตใจของเรานั้นสว่างยิ่งขึ้น เสร็จแล้วเมื่อสักครู่อาจารย์พูดถึงเรื่องการแก้ไข การแก้ไขเปรียบเสมือนกับดิน สิ่งที่อยู่บนดินทุกอย่างต้องเป็นระเบียบเรียบร้อยใช่หรือไม่ (ใช่)  หินต้องอยู่บนดิน น้ำต้องอยู่เหนือดิน ต้นไม้ที่ปลูกรากต้องอยู่ข้างล่างแล้วใบอยู่ข้างบนใช่หรือเปล่า (ใช่)  วันไหนรากมาอยู่ข้างบนแล้วใบอยู่ข้างล่างได้ไหม (ไม่ได้)  ของที่อยู่บนดินทุกอย่างต้องเป็นระเบียบเรียบร้อยเปรียบไปแล้วเสมือนบุคลิกลักษณะนิสัยของเรา ต้องเป็นระเบียบเรียบร้อยทุกอย่าง ต้องลงตัว ทุกอย่าง ต้องงดงาม นิสัยของเรานั้นต้องรู้จักแก้ไขให้ดีมีต้นมีปลายเหมือนกับต้นไม้ที่มีใบอยู่ข้างบนแล้วรากอยู่ข้างล่าง ไมใช่บอกว่าฉันจะตามใจฉันเอง นิสัยของฉันในที่สุดแล้วเหมือนกับเอารากไปอยู่ข้างบนเอาใบไปอยู่ข้างล่าง ถามว่าต้นไม้ต้นนี้ตายไหม (ตาย) แสดงว่านิสัยของเราถ้าเกิดว่าถูกปรับได้อย่างนี้ก็พาตัวไปสู่ความหายนะใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นนิสัยเป็นสิ่งสำคัญไหม (สำคัญ) แต่เอาใจตนเอง ดื้อรั้นได้ไหม (ไม่ได้) อย่าบอกว่าเรานั้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว ยิ่งเป็นผู้ใหญ่ยิ่งทำงานเยอะ ยิ่งเอานิสัยและอารมณ์มาใช้แก้ปัญหาไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ยิ่งใช้อารมณ์แก้ปัญหาเท่าไหร่เรื่องราวก็ยิ่งวุ่นวายหนักขึ้น ฉะนั้นจึงบอกว่าเรานั้นต้องรักษานิสัยของเราให้เปรียบเสมือนพื้นดิน รักษานิสัยให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ให้เป็นคนเรียบร้อย อย่าใช้อารมณ์ในการทำสิ่งต่างๆ 
ความรอบรู้ที่จะเกิดขึ้นได้นั้นต้องรอบรู้ด้วยปัญญา แต่ปัญญานี้ไม่ใช่ปัญญาที่มีมาแต่กำเนิด ปัญญานี้ไม่ใช่ปัญญาที่อยู่ในธรรมญาณ แต่ปัญญานี้เป็นปัญญาของการฝึกฝน จะเกิดความรอบรู้ขึ้นมาได้ก็เพราะว่าเรามีความระมัดระวังเป็นกุญแจ อันได้แก่ปัญญาด้วยการรู้จักระมัดระวังเป็นกุญแจของชีวิตเรา บางทีหลักก็กลายเป็นรอง ต้องรู้จักพิจารณาไม่ให้จิตใจตกต่ำลงไป ไม่ให้จิตใจพาไปสู่ความไม่รู้จักต้นไม่รู้จักปลาย เพราะฉะนั้นบอกว่าหลักกายคือความไม่แน่นอน ชีวิตจริงคือความไม่แน่นอน บางทีก็มีการสลับสับเปลี่ยนกันไปมา 
เมื่อเราตั้งใจจะทำสิ่งใด ความอ่อนน้อมเป็นความสำคัญมาก บางคนไม่รู้จักความอ่อนน้อม คนที่เราควรจะอ่อนน้อมมากที่สุดคือคนที่มีอายุมากแล้ว คนที่มีอายุมากแล้วไม่ว่าเขาจะเป็นคนที่ดีหรือไม่ดี จะงกๆ เงิ่นๆ ขี้บ่นอย่างไร ก็ต้องรู้จักอ่อนน้อมต่อเขาด้วย อันคนนั้นกล่าวไว้ว่า “คนอายุมากนั้นอาบน้ำร้อนมาก่อน”  ฉะนั้นเราเป็นผู้อาบน้ำร้อนทีหลัง หรืออาบยังไม่ร้อนเลย จึงต้องรู้จักที่จะอ่อนน้อมถ่อมตนเข้าไว้ ผู้ที่เราควรจะอ่อนน้อมต่อมาก็คือผู้ที่ให้ความรู้ ให้วิชา ให้สิ่งที่มีค่าต่อเรา ผู้ที่ควรอ่อนน้อมคนที่สามก็คือพ่อ แม่ พี่น้องทุกคน ไม่ว่าจะสามัคคีกันหรือไม่ ก็ต้องรู้จักอ่อนน้อมต่อกันทั้งสิ้น ผู้ที่ควรอ่อนน้อมต่อมา ควรจะอ่อนน้อมต่อใครอีก  ทุกคนไม่ว่าจะสามัคคีกันหรือไม่  ต้องรู้จักอ่อนน้อมทั้งสิ้น ต่อมาควรจะอ่อนน้อมต่อทุกๆ คนที่เราพบเห็น  ไม่ว่าผู้นั้นจะอาวุโสน้อยกว่า  หรือไม่ควรที่จะฝึกความอ่อนน้อมไว้  การอ่อนน้อมนั้นมีสัญลักษณ์ท่าทางคือการโค้ง ทุกครั้งที่เราโค้งเราก็จะมองเห็นตัวเราเอง  เพราะฉะนั้นการอ่อนน้อมถ่อมตนนั้น ทำให้เรารู้จักตนเองมากขึ้น เป็นสิ่งที่มีค่าไหม (มีค่า)  อาจารย์อาจจะเรียงลำดับของความอ่อนน้อมนั้นสลับไปสลับมา ฉะนั้นควรที่จะไปเรียงลำดับเอาใหม่แล้วกัน พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ ต่อไปเป็นใครๆ ไปเรียงลำดับเอาเองแล้วกัน 
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนออกมาร่วมวงพระโอวาทซ้อนพระโอวาทและเมตตาพูดส่งเสริมนักเรียนที่วงคำแต่ละคำ)
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมนักเรียนที่วงคำว่า “อดีต”)  อดีตเป็นอย่างไร ต้องรู้จักที่จะลืมให้ได้ เพราะว่าชีวิตเรามุ่งไปข้างหน้า สิ่งใดที่สูญเสียไปแล้วก็ไม่เป็นไร ถ้าเขาไปในทางที่ดีก็ดีแล้ว ส่วนเราก็ทำอนาคตให้ดี อาจารย์ให้วงคำว่าอดีตเพื่อให้ลืมอดีต อาจารย์ให้ไปสู่อนาคต เพื่อให้ศิษย์นั้นก้าวหน้าได้
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับพ่อครัวและแม่ครัว)
คนเขายกย่องเราว่าเป็นพ่อครัว แม่ครัวคงจะต้องมีกุศลมากที่สุด เพราะฉะนั้นเวลาทำครัว อย่าทำไปว่าใครไป เพราะถ้าหากทำไปว่าใครไป กุศลก็คงจะรั่วออกไปหมด  ฉะนั้นทำงานที่เหนื่อยยาก มีกุศลแท้จริงก็ต้องรักษากุศลให้จริงๆ  คนอื่นเขาไม่ดีก็ช่างเขา เราก็พูดดีเข้าไว้
ผู้ร่วมฟังชั้นล่างอยากเจออาจารย์ไหม (อยาก)  ลงบันไดง่ายกว่าขึ้นบันได จริงหรือเปล่า (ใช่) ลงบันไดง่ายตรงไม่ต้องออกแรง นึกอยากจะลงก็ลงได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ลงบันไดเปรียบเสมือนกับการที่เรานั้นตามใจตัวเอง เวลาเราอยากที่จะตามใจตัวเองก็หาเหตุผลสารพัดให้ตัวเอง  แต่ในที่สุดแล้วการเอาชนะคนอื่นไม่สามารถที่จะเอาชนะใจตนเองได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะว่าจริงๆ เรารู้ว่าสิ่งใดที่ควรหรือไม่ควรอยู่เสมอๆ ฉะนั้นการที่เราเกิดมาเป็นคนนั้นควรกระทำแต่ในสิ่งที่สมควร อย่าเที่ยวหาเหตุผลให้กับตนเอง ในการที่เรานั้นจะกระทำความผิดต่างๆ อย่าเอาธรรมะมาเป็นข้ออ้างในการทำความผิดบาป เวลาเราพูด เวลาเราคิด เวลาเรากระทำ ควรระมัดระวังไว้จึงจะเหมาะสมกับการเป็นผู้บำเพ็ญใช่หรือไม่ (ใช่)
ในวันนี้เรามานั่งฟังที่นี่คนเขาเรียกเราว่าผู้ร่วมฟัง แสดงว่าเรามาเพียงร่วมฟังเท่านั้น เรายังไม่ได้มาช่วยงาน เราควรที่จะพัฒนาตนเองให้มากขึ้นดีหรือไม่ (ดี)  ชีวิตของเรานั้นเป็นชีวิตที่สั้นๆ จะทำให้ชีวิตมีคุณค่าหรือไม่มีคุณค่าก็ได้ย่อมอยู่ที่เราเป็นหลักใช่หรือไม่ (ใช่) หวังว่าศิษย์ของอาจารย์จะเข้าใจในหลักเกณฑ์ของชีวิต เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่าเวลาลงบันไดนั้นลงง่าย เวลาศิษย์นั้นอยากที่จะลงนรกมันก็ง่ายเหมือนกัน การลงบันไดเช่นนี้จึงหวังว่าศิษย์นั้นจะมีสติไว้ทุกเมื่อ อาจารย์จะตั้งคำถามแล้วให้ศิษย์ตอบดีหรือไม่ อาจารย์จะถามว่าคนที่เข้ามาสู่สถานธรรมแล้วเขาพูดถึงการบำเพ็ญ กลับไปเราจะบำเพ็ญอะไรดี จะแก้ไขอะไรดี อาจารย์มีเวลาน้อยใครอยากตอบลุกขึ้นตอบ (บำเพ็ญบุญ,แก้ไขในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร,บำเพ็ญกุศล,แก้ไขตัวเอง,สร้างกุศล,แก้ไขตัวเองและช่วยเหลือผู้อื่น) ตอบได้ดี ช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยเหลือตัวเองได้หรือยัง (รู้จักให้อภัย,ก็คือคนไทยส่วนใหญ่จะนิยมไปทำบุญตักบาตรกันเพราะคิดว่าจะได้กุศล ขอถามว่าเวลาทำบุญเลี้ยงพระแล้วเอาเนื้อสัตว์ไปทำบุญและตัองฆ่าชีวิต เราต้องไปเบียดเบียนเขาเราจะได้บุญหรือได้กุศล หรือซื้อไปถวายญาติที่ล่วงลับไปแล้ว แล้วเจ้ากรรมนายเวรเขาไม่ไปทวงกับญาติที่ล่วงลับไปแล้วหรือ) คำถามนี้ถ้าคิดพิจารณาจริงๆ ก็จะรู้เหมือนกับศิษย์เริ่มรู้ว่าการใช้เนื้อสัตว์สร้างบุญสร้างกุศลนั้นจะเกิดกรรมขึ้น ตั้งใจฟังให้ดีๆ “บุญ” กับ “กรรม” เปรียบเสมือนน้ำกับน้ำมันซึ่งเข้ากันไม่ได้ ถ้าหากว่าเราสามารถที่จะทำบุญ สร้างกุศลด้วยการตักบาตร ทำบุญเป็นเรื่องสำคัญไหม (สำคัญ)  ถ้าหากว่าศิษย์ไม่เคยทำสิ่งนี้ วันนี้ก็จะไม่ได้รับธรรมะ ไม่ได้จะมาเป็นผู้ที่จะบำเพ็ญ แต่การที่เราใช้เนื้อสัตว์ทำบุญก็ย่อมจะมีบาป แต่บุญมีไหม มี บุญเหมือนน้ำที่เพิ่มขึ้นมา ส่วนกรรมนั้นเป็นน้ำมันที่หยดลงไป มีกรรมอยู่เล็กน้อยที่เป็นน้ำมันอยู่บนหน้าน้ำ การที่เราอยากจะได้บุญบริสุทธิ์นั้นก็ต้องสร้างด้วยสิ่งบริสุทธิ์ ถึงจะกลับมาเป็นบริสุทธิ์ ส่วนว่าจะไปทวงกับญาติพี่น้องไหมย่อมอยู่ที่เจตนาของเรา อาจจะไปทวงกับญาติพี่น้องของเราที่เราทำบุญสร้างกุศลไปให้ หรืออาจจะไม่ทวง การที่ทำบาปทำบุญนั้นจะได้บุญไหม ไม่ใช่ว่าทำเยอะแล้วได้บุญเยอะทำน้อยแล้วได้บุญน้อย แต่ขึ้นอยู่กับเจตนาของเรา เจตนาอันบริสุทธิ์นั้นจะเป็นกุศล ส่วนเจตนาไม่บริสุทธิ์จะเป็นบุญและมีบาปติดตามมาด้วย  คิดพิจารณาให้ดีๆ แล้วจะเข้าใจว่าการเป็นผู้บำเพ็ญควรจะทำอย่างไร ไม่ยากเกินไปในการคิดพิจารณาแต่ละอย่าง แต่การคิดพิจารณาทั้งหลายนั้นต้องเนื่องด้วยสัจธรรม เนื่องด้วยความเป็นจริง ไม่ใช่เนื่องด้วยสิ่งที่เราสมมติแต่งปั้นขึ้นมาเอง  (สร้างบุญสร้างกุศล)  เมื่อสร้างบุญสร้างกุศลถึงระดับหนึ่งแล้วต้องกลับมาพิจารณามองตัวเราเองอีกครั้งหนึ่ง ว่าตัวเราเองมีจิตใจที่เป็นกุศลหรือเปล่า แล้วก็ไม่ใช่สร้างบุญด้วยการทำสิ่งที่เป็นวัตถุอย่างเดียว ต้องรู้จักที่จะบำเพ็ญจิตใจของเราเอง แก้นิสัยของเราเอง แก้ความเป็นตัวเอง แก้สิ่งที่เราวางไม่ลง  หลายคนที่เป็นผู้บำเพ็ญธรรมยังเป็นผู้ที่มีนิสัยไม่ดี ยังเที่ยวระรานคนอื่น ยังไม่ยอม ยังอยากที่จะชนะอยู่  ถามว่านิสัยอันนี้เป็นผลเสียต่อผู้อื่นหรือตัวเราเอง (ตัวเราเอง)  เราไปรังแกผู้อื่น เราก็รังแกแค่หนึ่งครั้ง แต่นิสัยไม่ดีอยู่กับเราทุกวัน อยู่กับเราทุกเวลาทุกนาที  คนที่เรารังแกมากที่สุดก็คือตัวเราเอง เพราะฉะนั้นแก้ไขให้ดี ปรับปรุงให้ดี อย่าบอกว่ายาก อย่าบอกว่าทำไม่ได้  อะไรก็ตามที่สั่งสมขึ้นมาได้เราย่อมสามารถที่จะแก้ไขได้
(มีผู้ร่วมฟังถามพระอาจารย์ว่าถ้าใช้อาหารเจไปทำบุญจะได้บุญหรือเปล่า)  ถ้าหวังอยากได้บุญ ก็จะไม่มีบุญ เวลาที่เราทำบุญ ถ้าเรามีจิตใจโลภอยากจะได้บุญมาเป็นของเรา บุญจะมาถึงเราไหม  เราเป็นผู้โลภ แต่บุญเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์  ถามว่าผู้โลภกับสิ่งบริสุทธิ์จะเข้ากันได้ไหม (ไม่ได้)  ทำไมจึงบอกว่าไม่ได้บุญ เพราะว่าจิตของศิษย์ไม่ใช่บุญ ไม่ใช่สิ่งบริสุทธิ์ จึงรับบุญที่ศิษย์สร้างขึ้นเองไม่ได้ แต่ถามว่ากรวดน้ำให้พ่อแม่ได้ไหม ตอบว่าได้  บุญที่มาไม่ถึงเราเพราะว่าเราเป็นผู้ที่ไม่บริสุทธิ์ มีความโลภเป็นเนืองนิจ จึงไม่มีบุญอยู่กับเรา แต่เราอุทิศไปให้ใครเขาก็จะได้  ฉะนั้นความอยากเป็นสิ่งที่ดีไหม (ไม่ดี)  ความโลภก็เป็นสิ่งที่ไม่ดี อย่าได้โลภในการที่เราจะทำสิ่งใด อย่าเป็นคนประเภทที่ชอบหว่านพืชหวังผล เพราะว่าผลที่เกิดขึ้นมาอาจจะไม่ได้สมดังที่เราปรารถนาก็ได้
(มีผู้ร่วมฟังถามพระอาจารย์ว่าถ้าผู้บังคับบัญชาสั่งให้เราเบียดบังผลประโยชน์ของผู้อื่นจะบาปหรือเปล่า)  เราหลีกเลี่ยงได้ไหม (เป็นหน้าที่ที่เราต้องทำ)  บาปที่มีทั้งหมดจะตกอยู่กับผู้ที่สั่งเรา แต่ว่าเวลาเราสั่งคนไปฆ่าคน คนสั่งผิด คนทำก็ผิด เพราะถ้าเราไม่ทำก็ได้ นั่นอยู่ที่ปัญญาของศิษย์ที่จะพลิกแพลง พลิกแพลงให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด  อันว่าหลายๆ คนมักจะโดนบีบบังคับให้ทำสิ่งที่ผิด แต่คนที่ถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ผิดก็ผิด แต่เราต้องทำไหมถ้าเราโดนสั่งมา ก็อาจจะต้องทำ แต่ปัญญาในการพลิกแพลงเรื่องราวต่างๆ ของเรามีไหม  ถ้าเรามีก็ดึงออกมาใช้แล้วก็ทำให้ดีที่สุด ถ้าทำไม่ได้ก็เลิกเสีย นั่นเป็นปัญญาอันสูงสุด ชีวิตจริงน่าเศร้าอย่างนี้ ถ้าเขาบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ผิด แล้วเราทำไป เราก็ผิด  แต่ถามว่าความผิดเป็นของเราทั้งหมดไหม อาจจะไม่ใช่ แต่เราก็ยังได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่ทำผิด  ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าขอให้มีปัญญา ขอให้มีความฉลาด ขอให้คิดให้ว่องไว อย่าเผลอตัวเองไปทำผิด อย่าไปคบไปเกี่ยวข้องกับคนผิด ดังคำสุภาษิตบอกว่า “คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล”  ฉะนั้นการที่เราจะพาตัวไปเกี่ยวข้องกับอะไร ก็ขอให้คิดให้ดีๆ  ก่อนที่เราจะก้าวเข้าไปอีก ไม่ใช่ก้าวไปแล้วค่อยคิด ก็จะเสียใจแบบนี้
อาจารย์เดินขึ้นบันไดมาก็ไม่เห็นว่าจะเหนื่อยตรงไหนเลย มนุษย์ยังยืนยันว่าทำความดียาก แต่อาจารย์บอกว่าทำความดีไม่เห็นยากตรงไหน
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “รู้ชีวิตกำหนดชีวิต”)
โดยทั่วไปคนทั่วไปเข้าใจคำว่า “รู้ชีวิต”  รู้ว่าชีวิตนี้เป็นทุกข์ พยายามจะหาทางหลีกเลี่ยงทุกข์ รู้ว่าชีวิตนี้เหมือนฝัน พยายามที่จะสร้างคุณค่า รู้ว่าชีวิตนี้ไม่สมหวัง พยายามอย่าไปหวัง แล้วก็ปล่อยวางมาก  “กำหนดชีวิต”  ก็คือการที่เราพาชีวิตของเราให้พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด  ในทางธรรมการรู้ชีวิตหมายความว่าอย่างไร  “การรู้” หมายถึงการเข้าใจ ทราบว่าชีวิตอยู่ที่จุดที่อาจารย์นั้นชี้ให้ ฉะนั้นการรู้ชีวิตก็หมายความว่าการที่ศิษย์นั้นได้ผ่านการคัดเลือกให้เป็นผู้ที่ผ่านการหล่อหลอมครั้งนี้ เป็นพุทธบุตรครั้งนี้ การรู้ชีวิตย่อมหมายถึง การที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นได้รับธรรมะแล้ว ได้รู้ซึ่งชีวิต จิตของเรานี้ว่าตั้งอยู่ที่ไหน อันนี้เป็นการรู้ชีวิตในทางธรรม โดยความหมายที่ลึกมากขึ้น การรู้ชีวิตครั้งนี้เมื่อเรารู้จิตที่ตั้งของเราแล้ว ถามว่าเราควรที่จะกำหนดชีวิตของเราอย่างไร กำหนดชีวิตของเราให้ยิ่งทียิ่งแย่ดีไหม (ไม่ดี)  ต้องกำหนดชีวิตของเราให้ดียิ่งขึ้น  การที่เรานั้นได้รู้ชีวิตแล้วเรานั้นไม่ใส่ใจ การที่เราเมินเฉยแสดงว่าเรานั้นเป็นผู้ที่ไม่มีบุญอย่างยิ่ง  ผู้ที่มีบุญได้รับการถ่ายทอดวิถีธรรมในครั้งนี้ ขอให้เป็นผู้ที่รู้ชีวิต รู้และกำหนดด้วย 
อาจารย์บอกไว้เสมอว่าชีวิตของเรานั้นอยู่ที่เรากำหนด เพราะชีวิตในอดีตนั้นไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ มีแต่การแก้ไขอนาคตเท่านั้น อนาคตของเรานั้นจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่หรือจะกลายเป็นพุทธะผู้สง่างามดี (พุทธะ)  ถ้าเราเป็นคนผู้ยิ่งใหญ่วัฏจักรของคนก็มีแต่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย  ถ้าเราเป็นพุทธะผู้สง่างามเป็นอย่างไร เป็นคน และก็เป็นคนที่สมบูรณ์ เลื่อนขึ้นไปเป็นพุทธะผู้สมบูรณ์ และเป็นพุทธะผู้สง่างามยิ่งใหญ่ในวันข้างหน้า ฉะนั้นการกำหนดชีวิตคือการกำหนดจุดมุ่งหมายเพื่อที่เรานั้นจะได้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดครั้งนี้ การที่จะหลุดพ้นยากหรือง่าย (ยาก)  ยังไม่ทันเห็นข้อสอบก็บอกว่าข้อสอบครั้งนี้ยากแล้ว ต้องไม่ยอมแพ้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องได้ลองสักตั้งหนึ่งถึงจะรู้ว่าเรานั้นทำได้หรือเปล่า อย่างน้อยเราก็มีคุณสมบัติครบถ้วนในการที่จะเข้าสอบในครั้งนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  คุณสมบัติสามข้อมีอะไรบ้าง มีร่างกายเป็นมนุษย์  ได้รับถ่ายทอดวิถีธรรมแล้ว คุณสมบัติที่เรานั้นจะต้องเป็นผู้ที่ตั้งใจฝึกฝนไม่กลัวความยากลำบาก มีไหม (มี)  ส่วนใหญ่ก็ขาดข้อสามนี้ กลัวแต่ความยากลำบาก เวลามาสถานธรรมทีไร เจอหน้าอาจารย์บนโต๊ะก็บอกให้อาจารย์จี้กงช่วยหน่อย  เมื่อกลัวความยากลำบาก ฟ้าเบื้องบนนั้นจึงไม่สามารถเอาไฟมาหลอมทองที่อยู่ในตัวศิษย์ได้ เพราะว่าหลอมทีไรก็ร้องก่อนทุกที แค่ไฟจี้มาใกล้ๆ  ก็ร้องแล้ว อาจารย์นั้นก็แข็งใจที่จะทนดูไม่ได้ แต่ว่าจะช้าจะเร็วก็ต้องหลอม หากไม่หลอมก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นพุทธะได้ ศิษย์สร้างกรรมมาสารพัดแบบ การทดสอบก็มาสารพัดอย่าง หนทางก็มีสารพัดรูปแบบ ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงเหมือนกับน้ำที่กลายเป็นน้ำแข็ง น้ำที่กลายเป็นไอ ระเหยไป มีสารพัดรูปแบบให้ศิษย์นั้นคาดไม่ถึง อย่าได้คิดว่าชีวิตของเรานั้นเรากำหนดไม่ได้ ดวงก็มาแบบนี้แล้ว เป็นคนแบบนี้ ยอมแพ้ให้คำว่า "ดวง" คำเดียวได้ไหม (ไม่ได้)  ชีวิตนี้ยังต้องแข็งใจสู้กับกิเลสที่อยู่ในตัวเองให้มากๆ  แข็งใจไปไม่ไหวก็ไปไม่รอด แข็งใจได้ยกหนึ่ง ผ่านไปยกหนึ่ง ขจัดความเคยชินต่างๆ  ได้ครั้งหนึ่งก็ถือว่าเป็นคนที่มีโชค คำว่า "โชคลาภวาสนาของพุทธะกับของปุถุชนนั้น" อาจจะไม่เหมือนกัน โชคของมนุษย์ก็คือความโชคดี โชคของพุทธะคือ การได้ช่วยเหลือผู้อื่น
“ชีวิตนี้มัวรักโลภน่าสงสัย    ศิษย์จะไปไกลแค่ไหนพิจารณา”  ถ้าชีวิตนี้มัวแต่รัก โลภ โกรธ หลง วนไปเวียนมา ทำอะไรก็ใช้แต่อารมณ์ แล้วจะไปได้ไกลแค่ไหน  เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะใช้ก็คือความสุขุมคัมภีรภาพ ความรู้จักคิด ความรู้จักพอ  ฉะนั้นในยามนี้ได้รู้ชีวิตของตนเอง รู้ชีวิตอันเป็นที่ตั้งแล้ว หลังจากวันนี้ขอให้ไปกำหนดให้ดีขึ้น สิ่งใดไม่เร่งก็ได้ ยกเว้นการไม่รู้จักตนนั้นไม่เร่งไม่ได้ หลายวันนี้มีคนเรียกอาจารย์บ่อยอันด้วยเหตุว่ามีความวุ่นวายต่างๆ เกิดขึ้น อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นจริงๆ  แล้วไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเท่าไหร่ นิพพานไกลเพราะว่าศิษย์ของอาจารย์ไม่เคยพยายาม ฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่าการศึกษาให้เข้าใจนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ศึกษาสองวันนั้นไม่ได้ช่วยให้ศิษย์เข้าใจอะไรมากมาย แต่การส่งเสริมกันต่อไปจึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า สำคัญอยู่อย่างหนึ่งคือตนเองจะต้องบอกตนเองว่าให้ตัวเองมีเวลามากๆ ไม่ใช่บอกว่าฉันไม่มีเวลา แล้วเมื่อไหร่จะมีเวลา จะมีเวลาให้กับตนเองมากเท่าไหร่ ศึกษาให้เข้าใจ เข้าใจในสิ่งที่เรานั้นได้ทำการศึกษานั่นเอง
มนุษย์นั้นชอบตั้งความหวังลมๆ แล้งๆ ในที่สุดแล้วตัวเรานั่นเองที่ปลิวไปกับลม อาจารย์ก็เห็นศิษย์นั้นหายไปเพราะความไม่มั่นคงของตนเอง เมื่อศึกษาได้เข้าใจ เกิดความมั่นคงแล้วไม่ว่าศิษย์นั้นจะเจอความยากเท่าใด ศิษย์เองก็จะไม่เกิดความท้อแท้ เมื่อศิษย์เจอความง่ายก็จะไม่หลงใหลไปกับความสบายต่างๆ นานา เพราะฉะนั้นศึกษาให้เข้าใจให้ถ่องแท้ ไม่ลืมประการสุดท้ายคือนำไปปฏิบัติ ไม่ใช่ปฏิบัติที่คนอื่น ไม่ปฏิบัติที่ปาก ไม่ได้ปฏิบัติที่คำพูด แต่ต้องปฏิบัติที่การกระทำทุกๆ เวลา ทุกๆ นาที จะบอกว่าฉันยกเว้นคนนี้ ฉันไม่ปฏิบัติดีกับเขาเพราะเขาไม่ดีกับฉัน อย่างที่อาจารย์บอกไปมังคุดข้างในก็มีเนื้อสีขาว ตัวศิษย์เองก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าเรานั้นเป็นคนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ เอาใจเขามาใส่ใจเรา เห็นเขาเหมือนเห็นเรา เห็นเราเหมือนเห็นเขาก็จะรู้ว่าจริงๆ แล้วทุกคนนั้นย่อมที่จะมีสิ่งที่ดี ฉะนั้นการทดสอบที่เกิดขึ้นในระยะใกล้และระยะไกลนี้ก็จะไม่มีผลกระทบต่อศิษย์เลย ถ้าศิษย์นั้นทำได้อย่างที่อาจารย์พูด แต่หากว่าศิษย์กระโดดข้ามขั้นตอนไปจิตใจของเราย่อมหวั่นไหวเป็นธรรมดา
ในสมัยก่อนการเผยแพร่ธรรมะก็มีผู้ที่เสียสละไปมากมาย ดูสิว่าศิษย์ของอาจารย์ที่อยู่ในรุ่นนี้จะสามารถมีใจที่เด็ดเดี่ยวมากเท่าไหร่ตามระยะทางตามกาลเวลา ยิ่งไกลยิ่งนานคนที่ตกหล่นไปก็มีมากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่อาจารย์หวังอย่างยิ่งว่าจะไม่ใช่ศิษย์ เพราะศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่ใช่เป็นผู้ที่งมงาย อาจารย์ไม่ได้บอกให้ศิษย์เชื่อในสิ่งที่อาจารย์พูด แต่อาจารย์บอกให้ทำตามในสิ่งที่อาจารย์พูด การที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยืมร่างมานั้นเป็นสิ่งที่ชั่วคราว จะว่าไปแล้วก็เหมือนกับคว้าลมแล้วไม่ได้อะไรเลย แต่อาจารย์หวังอย่างยิ่งว่าเมื่อลมพัดมาวูบหนึ่งขอให้ศิษย์นั้นได้ตื่นพร้อมกับลมวูบนี้ แล้วหลังจากนี้ไม่ว่าศิษย์จะไปที่ใด เมื่อตาแห่งปัญญาของศิษย์ได้เปิดขึ้นแล้วศิษย์ก็คงจะไม่มีอุปสรรคอะไรที่อยู่ข้างหน้า แต่อย่าหาปัญหามาให้ตัวเองเป็นดีที่สุด 
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมหัวหน้าชั้น)  วันนี้ผลไม้ที่อาจารย์แกล้งๆ มอบให้ยังไม่ได้อะไรเลย แต่หวังว่าจะนำพานักเรียน นำพาผู้ร่วมกันนี้ ในเมื่อเราเป็นหัวหน้าเขาครึ่งวันที่เหลือนี้ทำให้ดี บำเพ็ญให้ดีๆ นะ ไม่เสียแรงที่เรานั้นเป็นผู้ที่มีปัญญาดี
ศึกษาให้มากๆ จะได้เข้าใจ ความสงสัยทั้งหลายจะได้ถูกความเข้าใจอันนี้สลายไปได้ อาจารย์ไม่ได้บอกให้ศิษย์งมงาย แต่อาจารย์ให้ศิษย์นั้นศึกษาเข้าใจเรื่องสัจธรรมแจ้งแท้แจ้งจริงเข้าใจไหม 
รักษาตัวให้ดีทุกๆ คนนะ  หวังว่าไม่ว่าอาจารย์มาคราวหน้าคราวไหนเราก็ยังเจอกัน ศิษย์ก็ยังเป็นศิษย์ที่น่ารักของอาจารย์เสมอไป ขอให้เราจับมือกันด้วยจิตใจที่ผูกพัน ไม่มีใจเสแสร้งต่อกันอีก อาจารย์จะกลับแล้ว อาจารย์จะไปแล้ว อาจารย์จะไม่ได้อยู่สอนศิษย์มาเป็นชั่วโมงนี้ หวังว่าศิษย์คงจะไม่ลืมคำที่อาจารย์พูดทุกๆ คำ อาจารย์มีคำสุดท้ายที่ขอพูดก่อนที่จะพูดไม่ออก บำเพ็ญให้ดีๆ ตั้งใจให้มากๆ ไม่ว่าวันนี้ ไม่ว่าวันไหนขอให้เราศิษย์อาจารย์นั้นมีความผูกพัน สักวันหนึ่งให้ได้อยู่ด้วยกัน อาจารย์รู้ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นยิ่งนานวันยิ่งมีความท้อแท้มากยิ่งขึ้น แต่หวังว่าความท้อคงจะไม่มากกว่าความตั้งใจของศิษย์ใช่ไหม อย่าทิ้งอาจารย์นะ
"ทางแสนไกลทุกข์เพียงใดจะฝ่าฟัน ทางแสนไกลทุกข์เพียงใดจะกลับคืน" นี่ก็เป็นสัญญาของเราอย่างหนึ่ง หวังว่าศิษย์คงไม่ลืมบำเพ็ญให้ดี บำเพ็ญให้ดีๆ สร้างกุศลให้มากๆ ลาก่อนนะ


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
พุทธสถานเหยรินเต๋อ จ.ลำปาง ทำนองเพลง : เจินจ้งไจ้เจี้ยน

* อยู่เพียงลำพังอาจารย์ยากนักฝืนใจเจ็บ  ศิษย์อยู่ในแดนมายา  หลงจนข้าหมองไหม้  ห่วงอยู่ในใจเกินคำ  มิอาจกล้าบรรยาย  ถามศิษย์เข้าใจหรือเปล่า ( ซ้ำ *)
** ใจคอยรำพึงคิดถึงศิษย์  หรือว่าศิษย์ติดลึกเกินไป  คนดีมีใจแล้วจึงสลาย  อาจารย์ปราชัยน้ำตา  (ซ้ำ *,**)


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “รู้ชีวิต กำหนดชีวิต”

ในอดีตถ่ายทอดธรรมไม่เผยกว้าง ยากพบทางยากรู้ชีวิตได้
แต่ยามนี้ธรรมแพร่ไปกลางเภทภัย คนเข้าใจชีพนี้ให้เร่งกำหนดตน
การบำเพ็ญนับเป็นการกำหนดชีวิต ให้มีทิศมีทางสว่างผล
ใครได้รู้ไม่ได้เพียรต้องว่ายวน แพ้ใจตนจิตตกต่ำบังปัญญา
เมื่อรู้แน่ไม่รอที่จะทำจริง ชีวิตยิ่งสิ่งใดมากคุณค่า
อย่าทิ้งให้ระเหินตามศึกษา พุทธาต่างสำเร็จจากโลกา

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา