วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2542

2542-12-25 พุทธสถานถงซิน จ.ราชบรี


PDF 2542-12-25-ถงซิน #25.pdf



วันเสาร์ที่ ๒๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ พุทธสถานถงซิน  ดำเนินฯ จ.ราชบรี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

การถือมั่นความคิดเป็นอุปสรรค คมในฝักไม่นำใช้ก็ไร้ค่า
คนทุกคนมีเท่ากันคือเวลา นำชีวาสู่แสงทองอย่ารอรี
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานถงซิน เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา

ในชาตินี้โชคดีมีกายคน อย่าได้บ่นจนหรือยากลำบากจิต
มนุษย์นั้นขึ้นลงที่หนึ่งความคิด รู้พิชิตกิเลสตนเพื่อทางไกล
ในวันนี้เป็นวันแรกการประชุม ขอสุขุมทำจิตใจสะอาดนิ่ง
ฟื้นฟูซึ่งพุทธะจิตอันแท้จริง อย่าประวิงธุระจนไม่เป็นอันฟัง
เมื่อได้รู้สัจธรรมแท้ต้องปฏิบัติ ที่จำกัดคือเวลาแห่งตัวท่าน
ชีวิตหนึ่งเจอเรื่องมาสารพัน ปลงใจนั้นความสุขทุกข์เลิกวนเวียน
ความศรัทธาออกจากใจนับว่าแท้ อันดวงแดหมั่นแก้ไขสิ่งบกพร่อง
ขอให้ใช้ชีวิตไปถูกครรลอง หมั่นจักมองในสิ่งที่สมควรมอง
เพื่อให้น้องได้รู้ทบทวนกลับ ให้ลองนับชีวิตตนเท่าไหร่แล้ว
จะขึ้นปีใหม่ไม่นานนะน้องแก้ว อย่าคลาดแคล้วบำเพ็ญดีรับปีใหม่
ขอทวนสายธาราดั่งฝูงปลา เป็นคนกล้านำคุณธรรมให้ลือเลื่อง
แม้ปัจจุบันวิทยาการจะฟูเฟื่อง แต่ในเรื่องจริยธรรมถอยลงคลอง
ปัจจุบันภัยมีมากมนุษย์ร้อน ผิดขั้นตอนการดำรงชีวิตอยู่
จัดระเบียบการดำรงน่าเชิดชู ให้ลองดูทีละนิดอย่าคร้านเลย
สถานธรรมกว้างโอ่โถงเสียงจักก้อง ขอให้ลองรักษากฎอย่านิ่งเฉย
พุทธะระเบียบมาฝืนใจคนชินเคย ก็เปรียบเปรยการฝึกตนไม่ต่างกัน
ในวันนี้เป็นวันแรกการนั่งฟัง จงตั้งใจอย่างมั่นคงอย่าทำเล่น
แม้จักมีมากมายซึ่งกฎเกณฑ์ พลิกแพลงเป็นจักสู่ฟ้ามารยากขัด
น้องชายหญิงต่างมีบุญกับพุทธะ จงลดละเรื่องสงสัยให้เบาเถิด
ให้ศรัทธาอันสะอาดมาบังเกิด จิตประเสริฐดั่งตะวันแลจันทรา
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป สามัคคีกันสุดใจธรรมไกลกว้าง
จงมั่นใจมีจุดหมายเดินสุดทาง อย่าทิ้งขว้างทำกุศลมรรคผลคอย
จงรักษาพุทธะระเบียบให้ดีดี แลพี่นี้ยืนคุมชั้นบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา หยุด


วันเสาร์ที่  ๒๕  ธันวาคม  พุทธศักราช  ๒๕๔๒
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหันเซียงจื่อ

มุ่งสู่อนาคตอย่างมีจุดหมาย มองกว้างไกลด้วยจิตใจอันผ่องแผ้ว
ไม่ประมาทในสิ่งที่รู้อยู่แล้ว แลคล่องแคล่วความคิดอ่านปัญญาคม
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียน หันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานถงซิน  แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

ฟื้นฟูจิตใจคนให้สมบูรณ์ ยามบริบูรณ์ดั่งท้องฟ้าสว่างไสว
วิหคร่อนงามสวยแสนสบายใจ แต่อะไรพาเมฆคุกคามสูญดำเกิง
ในใจเกิดเป็นเมฆคือมุทิน มีชีวินหนึ่งเป็นความดีเถลิง
ใช้ไม่เป็นปัญญาคนจะระเริง จิตเถกิง  ที่พึ่งคนผู้บำเพ็ญ
ดำเนินไปซึ่งทางอย่าลังเลใจ ไม่ตั้งใจเดินครึ่งท้อจนเห็น
สู่จุดหมายไม่อาจลาความลำเค็ญ ฝึกฝนตามก้าวบำเพ็ญอย่างอดทน
ตามรอยเมธีปราชญ์ร้อยเรียงใจ ส่งเสริมไทยเป็นคนดีมีกุศล
ปลูกเมล็ดคุณงามไม่ว่ายวน เงินเทียมคนหน้าหมองแล้วพิจารณา
ไม่เท่าทุกคนมีซึ่งลิขิต เร่งประสิทธิ์เวลาทำประโยชน์เพิ่มค่า
ย้อนมองหาตนชีวิตเกษมนา อริยากลัวเหตุความเศร้าละไป
ปล่อยใจให้เผลอโลภปราศจากสุข วัฏฏะทุกข์เจอชอบโกรธเป็นนิสัย
รักที่คนต้องการไม่พอง่าย หลงเมื่อไหร่ทรุดโทรมพ้นทางคืน
วาระเกณฑ์ยุคปลายใจอย่าหม่น ทุกแห่งหนทุกคนตระหนักตื่น
เข้าใจกันได้ช่วยกันสำราญยืน น้ำแรงฝืนช่วยพายนาวาธรรม
ฮา ฮา หยุด

  ดำเกิง รุ่งเรือง, สูง, สูงศักดิ์
  มุทิน มลทิน
  เถลิง ขึ้น
  เถกิง สูงศักดิ์. รุ่งเรือง


พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียน ท่านหันเซียงจื่อ

เกิดเป็นคนหากไม่รู้จักระมัดระวังตัวเอง ทั้งการกระทำและวาจา ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีใครรัก ไม่มีใครกราบไหว้และเคารพ แม้อายุจะมากหรือน้อยก็ตาม หากไปอยู่ที่ไหนใครๆ ก็รังเกียจ ใครๆ ก็ไม่ต้องการ คนที่นึกจะพูดก็พูด นึกจะเล่นก็เล่น ขาดความสำรวมระมัดระวัง เช่นนี้แล้วถึงจะเป็นผู้ใหญ่ก็เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่น่ามอง แม้เป็นเด็กก็เป็นเด็กที่ไม่น่าอบรม ฉะนั้นเมื่อมาห้องพระแล้วสงบจิตสงบใจดูบ้าง คิดจะมาศึกษาธรรม คิดจะมาค้นหาความสุขที่แท้จริง แต่ตัวเองยังไม่นิ่งเลย ถ้าจิตใจวุ่นวาย ปากไม่รู้จักสงบสำรวม แล้วจะฟังใครได้ยินไหม หูเราก็จะได้ยินแต่เสียงของเราเท่านั้น นั่งฟังมาค่อนวันก็เปล่าประโยชน์ เรานั้นเป็นคน แต่คนที่แท้จริงหรือคนที่ประเสริฐนั้นอยู่ตรงไหน เคยพบเจอในตัวตนกันบ้างหรือยัง ทำไมจึงมีคำกล่าวว่า “มนุษย์นั้นเป็นสัตว์ประเสริฐที่สุด” เราเคยย้อนมองคิดดูไหมว่าชีวิตนี้เรามีสิ่งใดที่มีคุณค่าเหมาะสมกับคำว่า “ประเสริฐ” บ้างหรือยัง มองดูแล้วมีน้อยเหลือเกิน
วันนี้มาศึกษาก็ขอให้คิด การมัวแต่คิดแล้วไม่ศึกษานั้นมีแต่โทษ หากศึกษาแล้วไม่คิดก็ไม่เกิดประโยชน์ ฉะนั้นศึกษาแล้วต้องคิดด้วย คิดแล้วต้องใช้ปัญญาพิจารณาหยั่งดู ไม่เช่นนั้นนั่งฟังจบไปหัวข้อหนึ่งๆ ก็ไม่ได้อะไรเลย
ตั้งแต่เรามีชีวิตจากเด็กจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เราต้องมีการพัฒนาเพื่อความก้าวหน้า ร่างกายเราพัฒนาจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ แต่ความคิดและจิตใจเรา เคยถามตัวเองไหมว่าเราได้พัฒนากันบ้างหรือไม่ หากเด็กพูดอย่างไม่ประสีประสาตั้งแต่เล็กจนโตก็นับว่าน่าเศร้า ชีวิตของคนเราบางครั้งเติบโตมาแล้วแต่ก็แทบไม่ประสีประสากับชีวิตกันเลย แต่การจะรู้เห็นชีวิตที่แท้จริง การจะมองเห็นถึงชีวิตของตนเองนั้นเป็นอย่างไร เราต้องรู้จักย้อนมอง สายตาอย่าได้เอาแต่มองออก บางครั้งจะหาความก้าวหน้าให้กับชีวิตไม่ใช่แค่การมองออก แต่ต้องรู้จักมองเข้า แล้วย้อนมองตรวจสอบตนเองว่ารู้แน่ชัดหรือยัง เหมือนคนที่เก่ง คนที่มีความสามารถ เขารู้ได้อย่างไรว่าตัวเองเก่ง ตัวเองมีความสามารถ ไม่ใช่เอาไปเปรียบเทียบ แต่ก่อนที่เขาจะเปรียบเทียบ เขาต้องรู้จักตัวเองก่อนว่าดีหรือยัง มั่นใจหรือยัง พร้อมที่จะตรวจสอบไหม พร้อมที่จะไปวัดความรู้กับใครได้หรือยัง เฉกเช่นเดียวกัน ชีวิตของเราหรือจิตใจของเราจะก้าวหน้าหรือพัฒนาให้ดีงามขึ้นกว่าเก่าได้นั้น เราต้องย้อนมองตัวเองก่อนว่าเรามีข้อดีข้อเสียมากน้อยแค่ไหน ที่เราบอกว่าตัวเราดีนั้น ดีแท้จริงเป็นอย่างไร ไม่เช่นนั้นแล้วเกิดเป็นคนพัฒนาแต่ภายนอก แต่จิตใจและความดีงามกลับไม่มีเลย จะมีประโยชน์อะไรกัน มุ่งแต่มองอนาคตให้ก้าวหน้าก้าวไกล แต่ใจของตนเองนั้นกลับไม่ก้าวไปด้วย ก็ไม่มีประโยชน์เหมือนกัน
บางครั้งเสื้อผ้าก็ช่วยแสดงออกถึงจิตใจได้เหมือนกัน และแสดงออกให้เรารู้ด้วยว่าเราเป็นชายหรือเป็นหญิง เราเป็นคนที่รักนวลสงวนตัวหรือรู้จักระมัดระวังสำรวม เช่นการแต่งตัวของทุกท่านวันนี้ก็ทำให้รู้ว่าอากาศเป็นเช่นไร (หนาว) ใครหนาวมากก็ใส่เสื้อหลายชั้น ภาวะภายนอกก็มีผลต่อจิตใจเราเฉกเช่นเดียวกัน แต่ในทางกลับกัน จิตใจก็มีผลต่อภาวะภายนอกได้เหมือนกัน แล้วเราจะรอให้ภาวะภายนอกมากระทบกระเทือนใจ หรือเราเอาใจไปกระทบกระเทือนภายนอกดี เราจะปล่อยชีวิตไปตามสภาวะแวดล้อม หรือจะให้จิตใจอยู่เหนือสภาวะแวดล้อมดี (ให้จิตใจอยู่เหนือสภาวะ) เราต้องทำจิตใจให้อยู่เหนือสภาวะแวดล้อม ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ควรใส่เสื้อกันหนาวซิ แต่บางครั้งก็ทำไม่ได้
มีคนตอบว่าไม่ทราบนะ ไม่เป็นไรหรอกนะ มีพุทธะหลายพระองค์ที่ไม่รู้ภาษา ไม่รู้หนังสือแต่ก็บรรลุได้เหมือนกัน เพียงบอกว่า “รู้ก็บอกว่ารู้ ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้” นั่นคือการู้แจ้ง
พูดง่ายๆ นั่นก็คือเราต้องมีชีวิตอย่างสอดคล้องกับความเป็นจริง ไม่จำเป็นว่าจะต้องขัดแย้ง และก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องไม่ขัดแย้งเลย บางครั้งสิ่งที่เราพูดนั้นหมายความว่าเรามีชีวิตอยู่อย่างเป็นธรรมชาติ ถ้าแย้งก็คือการสูญเสีย หรือขัดแย้งกับธรรมชาติ มีแต่ความวิบัติ มีแต่ การทำตัวให้สอดคล้องกับธรรมชาติด้วยความกลมกลืนและเป็นหนึ่งเดียว เราจึงจะสามารถอยู่ในธรรมชาติได้อย่างเป็นสุข หากอากาศเย็นแต่เรากลับใส่เสื้อบาง อย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง เท่ากับเราทำร้ายร่างกายตัวเอง แต่ถ้าเกิดอากาศร้อน ท่านกลับใส่เสื้อหนาเช่นนี้ก็ไม่เหมาะควร แต่ชีวิตคนเขาเลวร้าย แล้วเราเลวร้ายด้วย อย่างนี้ก็ไม่งดงาม หากชีวิตคนอื่นเขาดีแล้วเราถึงจะดีด้วยเช่นนี้ก็เรียกว่าคนอะลุ่มอล่วยไปตามสภาวะ เช่นนี้ยากจะดีแท้จริง
ฉะนั้นบางครั้งเรื่องของการศึกษาธรรมจึงไม่ใช่เป็นเรื่องที่ต้องตายตัวว่าหนึ่งก็เป็นหนึ่ง แต่บางครั้งว่าหนึ่งแล้วต้องสามารถพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงให้เป็นสองสามได้ ถึงจะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ เหมือนคนที่บอกว่าสกปรก เราจะว่าเขาสกปรกตลอดก็เป็นไปไม่ได้ เหมือนฟ้าที่วันนี้สว่างแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มืดเลย จิตใจคนก็เหมือนกัน เราอยากให้ขาวบริสุทธิ์ อยากให้งดงามอยากให้ดีงาม แต่บางครั้งยิ่งรักษายิ่งสกปรก ยิ่งแปดเปื้อนได้ง่าย ฉะนั้นชีวิตคนจึงไม่ควรที่จะปล่อยปละละเลยหรือประมาทแม้แต่เสี้ยววินาที เพราะถ้าหากขาดการดูแลและควบคุมย่อมง่ายที่จะพลั้งเผลอคิดในแง่ร้ายๆ น้ำนั้นย่อมไหลลงสู่ที่ต่ำ คนนั้นก็ย่อมง่ายที่จะคิดที่ไม่ดี ฉะนั้นเราจึงต้องใช้อะไรมาควบคุมชีวิต ควบคุมตนเองไม่ให้ผิดพลาดพลั้งเผลอ ก็คงมีแต่คุณธรรมหรือธรรมะเท่านั้น
ในเมื่อเรารู้ว่าธรรมะก็มีความสำคัญจึงไม่ควรที่จะทอดทิ้ง ปราชญ์โบราณกล่าวว่า “นิสัยของมนุษย์หรือความเป็นธรรมชาติของมนุษย์นั้นเมื่อคิดย่อมได้มา เมื่อทอดทิ้งย่อมสูญเสีย หากทุกขณะคิดในเรื่องธรรม ทุกขณะย่อมมีธรรมอยู่กับชีวิต หากทุกขณะไม่คิดในเรื่องธรรมทุกขณะย่อมไม่มีธรรมในชีวิต” เฉกเช่นเดียวกัน อย่างเช่นวันนี้คิดถึงเรื่องอาหาร อาหารก็ย่อมมาจริงหรือไม่ เมื่อคิดถึงเสื้อกันหนาวเสื้อกันหนาวก็ย่อมมี แต่อยู่ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างจะลอยมาใส่ให้กับตัวเราจะมาอยู่ตรงหน้าเราโดยที่เราไม่ขยับเขยื้อนเป็นไปได้หรือไม่ (ไม่ได้)
เฉกเช่นเดียวกันธรรมะก็เหมือนกัน แม้จะพูดว่าคิดก็ได้มา คิดก็มีได้ แต่ถ้าเราไม่ขยับเขยื้อน ความคิดจะส่งผลให้เราสำเร็จไหม ย่อมไม่สำเร็จแม้จะมีก็มีเป็นแค่เพียงเปลือกนอก แต่ยากจะมีอย่างถ่องแท้ เหมือนเราคิดถึงอาหารเราก็สามารถนึกได้ว่าอาหารเป็นรูปอะไร อาหารเป็นอย่างไร แต่กว่าจะได้อาหารมานั้น บางครั้งอาจจะไม่สมดั่งคิด เมื่อเราคิดถึงธรรม อยากเป็นคนมีน้ำใจ แต่บางครั้งเราก็ไม่สามารถทำอย่างที่คิดได้เต็มที่
เฉกเช่นเดียวกันชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนๆ กัน แต่เราสามารถทำอะไรได้เกินและเหนือกว่าที่เราคิดไหม ทำได้ถ้าพยายามและมีความมุ่งมั่น เมื่อสักครู่พูดถึงเรื่องอาหาร มื้อกลางวันนี้มีหลายคน ใครบ้างคิดว่าจะไม่ได้ทานอย่างที่คิด ใครคิดว่าวันนี้น่าจะเป็นก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ สักชามหนึ่งแทนที่จะเป็นข้าว มีไหม หรือใครคิดว่ามื้อกลางวันนี้น่าจะเป็นหมูหรือไม่ก็ไก่สักตัวสองตัวมีหรือเปล่า แต่จากไก่ที่มีชีวิตกลับกลายเป็นไก่ที่เป็นแป้งมีไหม บ่อยครั้งที่ความคิดความต้องการของชีวิตเรามักจะไม่สมหวัง มักจะเป็นไปในสิ่งตรงข้าม หรือบางครั้งถ้าสมหวังเราก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด แล้วบ่อยครั้งที่เราจะเจอสมหวังน้อยนักใช่หรือไม่ (ใช่) ส่วนมากจะผิดหวังมากกว่า
ทำไมเราถึงบอกว่าบางครั้งเราสามารถทำในสิ่งที่เหนือความคาดคิดได้ โดยที่ว่าเราต้องเป็นผู้ลงมือกระทำ บ่อยครั้งที่เรามีชีวิต เรามักรอเวลา รอโอกาส รอฟ้าประทานโชค ความร่ำรวย และคนดีๆ คนเก่งๆ ให้กับเรา แต่เราลืมไปอย่างหนึ่ง ลืมทำในสิ่งที่เหนือความคิด เหนือการลิขิตแห่งฟ้านั่นก็คือตัวเราเอง ตัวเราเองสามารถกำหนดได้ ตัวเราเองสามารถเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้ ตัวเราเองสามารถแก้ไขให้งดงามได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราพร้อมจะลงมือกระทำไหม เราพร้อมที่จะกล้าสู้ พลิกแพลง เปลี่ยนจากหน้ามือให้เป็นหลังมือ หรือหลังมือให้เป็นหน้ามือไหม
เวลาของชีวิตคนผ่านไปแล้วเรียกกลับมาไม่ได้ ฉะนั้นทุกขณะเราพยายามได้หากเราสู้หากเราดิ้นรนได้ ทำไมถึงไม่รีบทำ ไยต้องรอโอกาส ไยต้องรอเวลา เหมือนคนๆ หนึ่งจะเป็นพุทธะหรือจะเป็นคนเดินดินไม่ใช่ขึ้นอยู่กับฟ้าหรือขึ้นอยู่กับดิน แต่ขึ้นอยู่กับตัวเขาเองจะกำหนดตัวเขาเองให้เหนือกว่าที่ฟ้า และดินกำหนด
เฉกเช่นเดียวกันวันนี้ทุกคนรู้ว่าตนเองเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้เป็นผู้วิเศษ บางครั้งก็ผิดพลาด บางครั้งก็ล้มเหลว บางครั้งก็สำเร็จ แต่ความสำเร็จ ผิดพลาดล้มเหลวจะสามารถประคับประคองให้เป็นคนที่ดี ให้เป็นคนที่ประเสริฐได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าจะเอาความคิดนั้นมาทำลายตนเอง หรือจะเอาความคิดนั้นมาเสริมสร้างพัฒนาตนเอง ฉะนั้นวันนี้ทุกๆ คนเปลี่ยนความคิดเป็นพุทธะ เปลี่ยนจากมนุษย์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ ขึ้นอยู่กับพยายามและอดทนหรือไม่ อย่าคิดว่าฟ้าสีดำต้องเป็นดำ คนเลวร้ายต้องเลวร้าย ไม่แน่เสมอไป ตราบใดที่ฟ้ามืดยังสว่างจิตใจคนก็กลับสว่างได้เช่นกัน ขอเพียงมีความมุ่งมั่นตั้งใจอนาคตย่อมเปลี่ยนแปลงได้ แม้ฟ้าหรือดินจะลิขิตย่อมพ่ายแพ้ใจคนได้ ขึ้นอยู่กับตัวท่านแล้ว อย่าคิดว่าตนเองเป็นคนดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ไม่สามารถจะเป็นพุทธะ เป็นคนให้เขากราบไหว้ได้ ขึ้นกับตัวท่านเอง จะเอาชนะได้ไหม เข้มแข็งหรือเปล่า
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้เนักเรียนในชั้นยกมือขึ้นระดับอกแล้วลองปรบมือข้างเดียว) ดังไหม ไม่มีวันดัง ถ้าเช่นนั้นลองปรบมือสองข้าง ทำไมวันนี้เราจึงให้ยกมือข้างหนึ่งปรบมือ และยกมือสองข้างปรบมือ วันนี้สิ่งที่เราพูดไปจะไม่มีวันเกิดประโยชน์ ถ้าไร้อีกคนหนึ่งทำตาม เหมือนกับสิ่งที่ฟังไป วันนี้แม้จะเป็นสิ่งที่ดี แต่หากขาดอีกคนหนึ่งซึ่งพร้อมจะปฏิบัติและพร้อมจะลงมือพิสูจน์ ย่อมยากที่จะประจักษ์ผล แม้ผู้ที่อยู่ข้างหน้าเขาจะช่วยอธิบายซ้ำให้อีกที สรุปความให้ท่านฟังถึงสิ่งที่เราพูดไปเมื่อครู่นี้ หากทุกคนทำย่อมบังเกิดได้ ขอเพียงลงมือปฏิบัติ ถ้าทุกคนพร้อมจะลงมือปฏิบัติเราก็จะไปกันต่อ แต่หากทุกคนยังติดข้อสงสัยกังขาอยู่ว่าเราไม่มีทางไปได้ เราก็จะหยุดอยู่แค่ตรงนี้ เอาอย่างไรดี จะไปต่อหรือหยุดอยู่แค่ตรงนี้ (ไปต่อ)
เรื่องเมื่อสักครู่ที่เราพูดนั้นหมายความว่า ทุกคนสามารถเป็นพุทธะ ทุกคนสามารถเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ เมื่อทุกคนรู้ว่าตนเองสามารถเป็นได้ การจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นดูง่ายๆ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำให้คนกราบไหว้ได้ เพราะท่านมีแบบอย่างที่น่าเคารพ เลื่อมใส น่านำมาเป็นตัวอย่าง การจะทำตนเองให้เป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งต้องมีความมุ่งมั่น สองต้องมีการกระทำ กระทำแล้วต้องทำให้คนเคารพรักและนับถือ อย่าเกี่ยงว่าอายุยังน้อย อายุน้อยๆ ก็มีคนเคารพรัก นับถือได้ แต่จะเป็นแบบไหนขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง จะกระทำต่อใคร จะดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกับใคร การที่คนในบ้านเคารพรัก แต่ภายนอกไม่เคารพรัก ก็ไม่มีประโยชน์เท่ากับทั้งข้างนอกและในเคารพรักเรา
การจะทำให้คนรักเรา ไม่รังเกียจเรา ไม่กล้ารังแกตบตี ไม่ยากเลย แค่เพียงหยุดคำว่า “อยาก” บ่อยครั้งที่มนุษย์กับมนุษย์ทะเลาะกัน กล้ารังแกกันไม่นับถือกัน เพราะเพียงคำเดียวคือ “อยาก” ถ้าเมื่อไรเราเห็นตัวเองสำคัญ เมื่อนั้นจะไม่มีความสำคัญให้ใครเห็น แต่เมื่อไรที่ไม่เห็นตัวเองสำคัญ เมื่อนั้นเองไปที่ไหนก็มีแต่คนรักเอ็นดู เมื่ออยากเป็นพุทธะแต่ยึดมั่นว่า ฉันจะเป็นพุทธะ ฉันจะดีแบบพุทธะ อวดตนอยู่ทุกวัน จะมีใครเรียกเราเป็นพุทธะไหม (ไม่มี) เช่นเดียวกัน เราอยากเป็นคนดี แต่เราบอกว่าตัวฉันคือคนดี จะมีใครบอกว่าเราดีไหม (ไม่มี) สิ่งแรกที่จะทำให้คนอื่นเคารพ นั่นคือการน้อมลงต่ำและสำรวม ระมัดระวัง หากเป็นคนรู้จักน้อมลงต่ำ มีท่วงทีในการดำเนินชีวิต สำรวม ระมัดระวัง ไปที่ไหนย่อมมีคนเอ็นดู อยากจะสอน อยากจะให้ แต่หากมีชีวิตแล้วเอาแต่อวดเบ่ง เอาแต่หยิ่งผยอง อยากให้คนเคารพนับถือ แม้เขาจะเคารพนับถือ จะมีประโยชน์อะไรถ้าภายในใจของตนเองขาดความมั่นคงดีงามในจิตใจ เมื่อใดที่จิตใจขาดความมั่นคง ขาดความดีงาม ท่าทีย่อมผิดพลาดและขาดความสำรวม บ่อยครั้งที่เราอยากให้คนนับถือ เราจึงวางท่าทีอย่างเย่อหยิ่งจองหองและอวดกล้า เมื่อใดที่เราอวดกล้าหรือเย่อหยิ่งจองหอง ท่าทีที่แสดงออกย่อมปรากฏให้เห็น
การมีชีวิตนั้นไม่ใช่แค่เพียงแสวงหาลาภยศ เงินทอง ชื่อเสียง แต่ชีวิตที่มีคุณค่าคือการรู้จักหาความเป็นจริง หรือหาแก่นแท้ของตนเอง วันนี้เราจะไม่พูดว่าทำอย่างไรจึงจะรวย ทำอย่างไรจึงจะทำให้สำเร็จในหน้าที่การงาน แต่วันนี้เราจะพูดว่าทำอย่างไรถึงจะเป็นพุทธะ จึงจะสามารถหมดสิ้นจากความทุกข์บนโลกใบนี้ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายที่ทุกข์ทรมาน หากวันนี้ไม่ยอมลำบาก วันหน้าท่านอาจจะต้องลำบากยิ่งขึ้น
เฉกเช่นคนที่อยากจะหายจากโรคแต่กลัวความขมของยา เขาจะไม่มีวันกินยา และก็จะไม่มีวันรักษาโรคหาย เฉกเช่นคนที่เป็นทุกข์ หากไม่รู้จักบ่งหนามแห่งความทุกข์นี้ออก มัวแต่กลัวเจ็บ เขาก็จะต้องเจ็บในทุกข์นี้ไปไม่รู้จักจบสิ้น เช่นเดียวกัน หากวันนี้ท่านกลัวเรื่องความทุกข์ แต่ไม่สามารถเอาชนะทุกข์ ไม่สามารถเอาชนะชีวิตได้ ต่อๆ ไปท่านก็ต้องเผชิญอยู่ไม่จบไม่สิ้นและไม่รู้อีกกี่กัปกัลป์ และไม่รู้ว่าจะต้องทุกข์มากขนาดไหน ฉะนั้นหากพูดถึงชีวิตการเวียนว่าย เงินทอง สำคัญน้อยลงไปทุกที ลาภยศกับลมหายใจ ทุกคนก็ขอเลือกลมหายใจ หากเอาสวรรค์มาเทียบกับนรก ทุกคนต้องขอเลือกสวรรค์ไม่เลือกนรก แต่ตอนนี้ทำไมไม่รีบเลือก ต่อไปเมื่อเราไม่มีสิทธิ์เลือกแล้ว จะก้มหน้าร้องไห้ โศกเศร้าเพียงใดก็ยากที่ใครจะช่วยได้
แต่เราขอพูดเรื่องการหลุดพ้นจากความทุกข์ยากในโลกใบนี้ คนที่จะสามารถหยุดพ้นได้นั้นต้องเอาชนะความทุกข์ให้ได้ ความทุกข์ในโลกใบนี้มีต่างๆ นานา การเผชิญกับคนก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารู้จักว่า ความทุกข์เกิดมาได้อย่างไร ๑. เกิดมาจากตัวเรา ๒. เกิดมาจากคนอื่นเป็นผู้นำมาให้
ถึงแม้คนอื่นจะกราบไหว้ แต่ถ้าตัวเองไม่มีความมั่นคงในจิตใจ แม้วันนี้เขาจะไหว้ แต่ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้เขาอาจจะไม่ไหว้เราก็เป็นได้ ฉะนั้นตัวเราขอให้ยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง มั่นคงกับการกระทำ มีจิตใจที่อยู่ในทำนองคลองธรรม แม้วันนี้เขาจะไม่เคารพเรา แต่หากทุกๆ วันอบรมบ่มเพาะจิตใจความประพฤติให้ได้ เช่นนี้แล้วย่อมเปลี่ยนแปลงให้เขากลับมาไหว้เรา เคารพเรา หากวันนี้เขาไหว้เรา แต่ในใจเรายังหาความมั่นคงไม่ได้ สักวันหนึ่งคนที่ไหว้เราอาจจะกลับมาฆ่าและทำร้ายเราก็เป็นได้ ฉะนั้นความมั่นคงแห่งจิตใจ ความประพฤติที่ดีงาม จึงเป็นส่วนสำคัญ
คนเรานั้นเมื่อเผชิญความทุกข์ยากลำบาก ใจนั้นต้องสงบ เพราะเมื่อใจสงบ ความคิดย่อมบังเกิด การมองย่อมกว้างไกล การจะมองอะไรย่อมลึกซึ้ง แต่ถ้าเกิดมีอุปสรรคแล้วใช้อารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นต่อกร แม้จะสามารถไกล่เกลี่ยเบาบางได้ก็ยากที่จะสำเร็จ จึงมีสำนวนกล่าวไว้ว่า “มีแต่ความสงบนิ่งเท่านั้นที่จะสามารถต่อกรกับความยุ่งยาก และความลำบากนานาทั้งปวงในโลกนี้ได้” ฉะนั้นอยู่บนโลกนี้ท่าทีอ่อนน้อมก็สำคัญ แต่จิตใจต้องสงบนิ่ง หากทำได้เช่นนี้อยู่บนโลกนี้ก็สบายใจแล้ว ขอให้ท่านทำให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ก็ยากที่จะรู้ความจริงแห่งชีวิตว่าเป็นเช่นไร ชีวิตนี้ที่สุขสราญอิสระไร้ซึ่งพันธนาการนั้นดีอย่างไร หลายคนยังอดห่วงตัวเองห่วงลูกหลานไม่ได้ การจะให้หรือการจะเสียสละหรือจะทำอะไรจึงเป็นการยาก
ท่านเคยไหมเวลาเราจะทำความดี ความสุขนั้นทำให้เราอิ่มอกอิ่มใจได้หลายๆวัน แต่เมื่อไรเราไปแก่งแย่งแข่งขันกับเขา เรารู้สึกเป็นทุกข์หนาวๆ ร้อนๆ เหมือนไฟสุมทรวง ฉะนั้นเกิดเป็นคนหัดเข้าไว้ อย่าเอาแต่ขอ อย่าเอาแต่รับยิ่งให้เราจะยิ่งได้รับ ยิ่งขอเราจะยิ่งสูญเสีย แล้วเราจะรู้ว่าความสุขแห่งการให้นั้นเป็นอย่างไร หากมีของอยู่หนึ่งชิ้นแต่มีคนต้องการอยู่สองคน คนหนึ่งคือตัวเรา แล้วเราจะรู้ว่าการให้ และรอยยิ้มที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร แล้วเราจะไม่เห็นแค่รอยยิ้มของเรา แต่เราจะเห็นรอยยิ้มของเขา ยิ้มที่เป็นมิตร ยิ้มที่เป็นสุข และยิ้มที่จริงใจที่เรายอมให้เขา เหมือนวันนี้เป็นวันที่เราต้องได้ แต่เรากลับไม่รับ เรากลับพร้อมที่จะมอบให้กับทุกๆ คน ความสุขนั้นก็คือความสุขที่สามารถสานต่อไปไม่หยุดนิ่ง บ่อยครั้งที่มนุษย์เราเมื่อมีความสุข เรามักจะให้สุขหยุดอยู่แค่ตนเอง ขอให้สุขลงที่ตนเอง ทุกข์ไม่เอา ไม่อยากได้จะไปลงที่ไหนก็ได้แต่อย่ามาลงที่ตน แต่ถ้าเมื่อไรใครทุกข์แล้วเราบอกเราจะร่วมเผชิญทุกข์ ฝ่าฟันทุกข์กับท่าน ท่านกลับทำให้เขาซาบซึ้งใจ และอยากจะโอบอุ้มใจเอาไว้ เมื่อไรที่เราพบความสุข เรากลับไม่รับ เรายอมให้ เมื่อไรที่เราพบความทุกข์ เรากลับแบกรับ เราไม่ยอมให้ใคร เราจะได้รับความสุขที่แท้จริง แต่ความเป็นจริงแล้วจะมีใครสักกี่คนที่เข้าใจความสุขที่แท้จริงตรงที่เราพูด เมื่อมีสุขขอสุขคนเดียว เมื่อมีทุกข์ขอทุกข์ให้กับคนอื่นด้วย ขอให้ทุกคนได้ร่วมทุกข์ด้วย ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ถ้าเมื่อไรท่านมีสุขขยายความสุขให้กับทุกๆ คน ท่านมอบรอยยิ้มให้กับทุกๆ คนท่านจะพบกับความสุขที่ยิ่งใหญ่
เมื่อไรที่เกิดการผิดพลาดในการทำงาน เมื่อเกิดการล้มเหลวกับใครสักคนหนึ่ง แล้วเขามาปรึกษาเรา แล้วเรากลับพูดว่า ไม่เป็นไร เป็นความผิดของเราทั้งสองคน เขากลับซาบซึ้งใจ และภูมิใจที่ได้รู้จักเรา ยกตัวอย่างเช่นเมื่อลูกทำผิด พ่อแม่กลับพูดว่าเป็นความผิดของเราทั้งคู่เองที่ขาดความระมัดระวัง ลูกก็จะสะเทือนใจและซาบซึ้งใจในบิดามารดาของตน เมื่อไรที่เพื่อนพบความผิดพลาดที่เกิดจากเพื่อนเป็นคนทำ แต่เขามาปรึกษากับเรา แล้วเราพูดว่าเป็นความผิดของเราทั้งคู่เองที่ไม่ระมัดระวัง ตอนนั้นเพื่อนจะซาบซึ้งเรา เพราะเราได้ร่วมทุกข์กับเขา และเราได้มอบสุขให้กับเขา
ถ้าเมื่อไรที่ทุกๆ คนในโลกอยู่ในสังคมร่วมแบ่งปันความสุข ร่วมเอื้ออาทรเห็นใจกันเมื่อเขาทุกข์ สังคมจะไร้ซึ่งการแก่งแย่งกัน สังคมจะไร้ซึ่งการทำร้ายกัน หากใครทำได้อย่างที่เราพูด เราจะมีความสุขเมื่ออยู่ร่วมกับคนอื่น ฉะนั้นหากใครทำได้เช่นนี้ย่อมเป็นที่รัก และซาบซึ้งใจของทุกๆ คน แล้วเมื่อนั้นบิดาก็ย่อมเป็นบิดาบังเกิดเกล้า พี่ก็ย่อมเป็นพี่ที่เคารพ น้องก็ย่อมเป็นน้องที่น่ารัก แล้วตอนนี้เราก็ไม่ต้องกังวลเลยว่าลูกจะอกตัญญู คนจะแก่งแย่งทำร้ายกัน แม้กระทั่งสายเลือดเดียวกัน เพราะทุกคนเห็นใจกัน แบ่งปันกันและกันถนอมน้ำใจกัน ด้วยคุณธรรมที่สานกันเป็นหนึ่งเดียว
“ส่งเสริมไทยเป็นคนดีมีกุศล”
เราก็อยากส่งเสริมให้คนไทยเป็นคนดี อย่าคิดว่าเราเป็นพระจีน แต่จีนกับไทย จิตใจนั้นไม่ต่างกัน ต่างกันเพียงเปลือกนอกเท่านั้นเอง
คนทุกคนก็มีจิตใจเหมือนกันได้ สานกันเป็นหนึ่งเดียวได้ อยู่ที่ว่าเรายอมเขา เขายอมเรา เรารักเขา เขาย่อมรักเรา เท่านี้เองคือชีวิต ที่ต้องยุ่งยาก ที่ต้องแสวงหา ที่ต้องเดือดร้อนและวุ่นวาย เพราะว่าเราโลภ เราไม่รู้จักพอ เราโกรธ เราไม่รู้จักหยุด เราหลง เราไม่รู้จักความสว่าง
“เงินเทียมคน” เราเคยได้ยินว่าควายเทียมเกวียนใช่หรือไม่ (ใช่) เงินเทียมคน บางครั้งเพียงแค่เงินตรา เราสามารถให้เงินตรานี้บงการชีวิต นำพาชีวิตและชี้นำชีวิต แล้วถ้าเราจะเปลี่ยนจากวันนี้เราจะพูดเรื่องพุทธะ แต่เปลี่ยนจากวันนี้ทำอย่างไรให้ร่ำรวย มีใครสนใจบ้างไหม เรื่องพุทธะท่านก็สนใจ เรื่องเงินท่านก็สนใจ จับปลาสองมือมักจะไม่ได้ปลาเลยนะ ทำไมเมื่อครู่นี้ถึงพูดว่าจะทำอย่างไรให้เราร่ำรวย แต่ร่ำรวยซึ่งความดี ร่ำรวยซึ่งกุศล ร่ำรวยซึ่งมรรคผล บ่อยครั้งที่คนทำความดีแล้วมักจะพูดว่า พอแล้ว ดีแล้ว ขอหยุดแล้ว แต่จงรู้ไว้ว่า เมื่อไรที่ดีแล้ว พอแล้ว หยุดแล้ว เมื่อนั้นยังไม่ดี หากคนทำความดีในโลกนี้บอกว่าพอแล้ว ดีแล้ว ย่อมไม่มีทางที่จะดีได้ แต่เมื่อไรที่เขาทำดีแล้วบอกว่ายังไม่ดี ยังไม่พอ นั่นถึงจะเรียกว่าร่ำรวยความดีจริง บ่อยครั้งที่มนุษย์เราอยากจะทำดี แต่พอทำดีไปสักระยะหนึ่ง เราก็บอกว่าเราพอแล้ว เราดีกับเขามามากแล้ว แต่แท้ที่จริงแล้วยังดีไม่พอ ถ้าดีที่แท้จริงก็คือดีแล้วสามารถทำให้เขาเปลี่ยนแปลงใจ เปลี่ยนแปลงเป็นคนที่ดีตามได้ นั่นถึงจะเรียกว่าดีที่แท้จริง ถึงจะเรียกว่าร่ำรวยความดี ให้ไม่มีวันหมด ดีอย่างไม่มีวันเสื่อมคลาย นั่นถึงจะเรียกว่าคนดี คนร่ำรวยในความดี
ทุกคนเป็นพุทธะได้แต่เสียอย่างเดียวไม่สนใจเป็น หากเราไม่ลงแรงที่ตัวเราก่อนเราจะไปเรียกร้องใครได้อย่างไร หากตัวเราไม่เป็นแบบอย่างที่ดีงามก่อนแล้ว เขาจะเอาแบบอย่างที่ดีได้จากไหน หากพี่ไม่เคารพพ่อแม่แล้วน้องจะเคารพพี่ไหม หากพ่อแม่ไม่เมตตาลูกแล้ว ลูกจะรักพ่อแม่ไหม (ไม่) ฉะนั้นตัวเราต้องเป็นแบบอย่างของรุ่นต่อๆ ไป หากตัวท่านไม่ทำ รุ่นต่อไปย่อมจางหายและเลือนลาง บ่อยครั้งที่เราพยายามรักษาสุขภาพ รักษาร่างกาย แต่ก็ไม่สามารถที่จะคงอยู่ได้ตลอดไป บ่อยครั้งที่เราปล่อยปละละเลยซึ่งสุขภาพและร่างกาย แต่ก็ไม่ใช่วาปล่อยปละแล้วจะดับสูญทันที เฉกเช่นเดียวกับชีวิตของมนุษย์ บ่อยครั้งที่เราพยายามถนอมรักษาชีวิตให้ดีงามให้มั่นคง แต่บางครั้งก็ไม่มั่นคง ไม่ดีงามอย่างที่เราหวัง บ่อยครั้งที่เราอยากให้เงินทอง เกียรติยศหรือของที่เรารักอยู่กับ เรา แต่บางครั้งก็ไม่ยอมอยู่กับเรา บ่อยครั้งที่เราอยากจะให้ความไม่ดี ความชั่วร้ายหมดสิ้นไปจากโลก แต่ก็ไม่สามารถจะหมดสิ้นไปได้จริงๆ เรื่องบางเรื่องบางครั้งมีเวลามาแล้วก็มีเวลาไป เรื่องบางเรื่องบางครั้งมีสิ่งที่ควบคุมอยู่ เราไม่สามารถที่จะบังคับหรือให้เป็นไปตามชะตาความต้องการได้ ฉะนั้นเรื่องบางเรื่องที่แก้ไขแล้วหรือพยายามแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลง เราก็ต้องรู้จักทำใจและปล่อยวาง หากทำได้เช่นนี้จิตใจย่อมปลอดโปร่ง เมื่อใจปลอดโปร่งร่างกายย่อมเป็นสุข แต่ถ้าเกิดใจยังวิตกกังวลร่างกายย่อมมีความทุกข์ วันนี้เรามอบความสุขให้กับท่านโดยนำผลไม้หรือขนมบนโต๊ะพระนี้แจกให้กับทุกๆ คน เมื่อเราได้รับความสุขแล้ว ตอนนี้ขอให้ท่านลองฝึกมอบความสุขกันคนที่ท่านอยากจะให้ดีหรือไม่ (ดี)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานซาลาเปากับขนม) ถ้าเกิดว่าระหว่างทางมีคนมาขอก่อน เราลองให้เขาดู แม้จะไปไม่ถึงบ้านแต่หากว่าเราให้คนๆ นั้นแล้ว เมื่อถึงบ้านเราบอกกับคนที่เราจะให้ว่าเราให้คนอื่นไปแล้ว แต่เรามีใจจะให้คนนั้น คนนั้นกลับสุขเป็นสองเท่าเพราะรู้ว่า ลูกหรือคนที่จะเอามาให้นั้นมีใจคิดถึงคนอื่นและมีใจคิดถึงตัวเขาด้วย
ขนมนี้บางคนต้องแกะถึงจะทานได้ แต่บางคนต้องเอาไปนึ่งให้ร้อนเสียก่อนถึงจะน่าทานยิ่งขึ้น เช่นเดียวกันของบางอย่างนั้นไม่ใช่ได้มาง่ายๆ เขาให้กับมือเราแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าต้องทานทันที ต้องรู้จักทำให้มีคุณค่า ทำให้ดูน่ารับประทาน ธรรมะก็เหมือนกัน วันนี้ท่านได้ไปไม่มากก็น้อย แต่จะทำอย่างไรให้มีคุณค่ายิ่งขึ้น ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ทุกคนมีธรรมะอยู่กับใจ แต่ธรรมะนั้นจะเชิดชูให้ตัวเราเป็นคนที่มีคุณค่า เป็นคนประเสริฐหรือไม่ อยู่ที่ว่าท่านจะนำธรรมะไปใช้พลิกแพลงกับชีวิตได้อย่างไร คนทุกคนต่างมีกรรมเป็นของตัวเอง กรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ วันนี้ใครยังสุขภาพแข็งแรงก็นับว่าโชคดีอยู่ แต่ถ้าหากวันนี้ใครเจ็บออดๆ แอดๆ เราต้องยอมก้มหน้ารับด้วยใบหน้าที่ยินดี เพราะเมื่อไรที่เราเคยทำคนอื่นเจ็บ คนอื่นเขาก็ย่อมกลับมาทำเราเจ็บ แต่หนักกว่าเท่าตัว ถ้าเขาเห็นเราทุกข์ เขาถึงจะหายจากความทุกข์เขาได้ ฉะนั้นถ้าเรามีจิตใจที่ยอมให้อภัย บางครั้งกรรมที่มาให้ผลกับเรานั้น เราต้องยอมรับและยินดีรับ จะช่วยทุเลาเบาบางไปบ้าง แต่ถ้าหากว่าเมื่อมีกรรมเราเอาแต่โทษฟ้าโทษดิน โทษผีสางเทวดา จะไม่มีวันได้เบาบางกรรม แต่กลับจะยิ่งกรรมหนักขึ้น ฉะนั้นบางครั้งเจอเรื่องอะไรที่เหนือคาดคิด หมอรักษาไม่หาย ทำวิธีใดก็แก้ไม่ได้ ต้องยอมรับแล้วว่านั่นคือชะตากรรมของเราเอง ก้มหน้ารับด้วยจิตใจที่ยินดีและจิตใจที่รับโทษ จากหนักก็อาจจะเบาลงไปได้ จากเบาก็อาจจะไม่มีได้ ขอเพียงทุกวันหมั่นสร้างแต่สิ่งที่ดี ทำดีแล้วกรรมก็ยากที่จะมารังควานได้ แต่ถ้าเมื่อไรมีดีบ้าง มีชั่วบ้าง กรรมย่อมง่ายที่จะเข้ามาโหมซัดกระหน่ำตัวเรา มีสำนวนกล่าวไว้ว่า “หากเราดีอยู่แล้ว ดีจนถึงที่สุดแล้ว แม้แต่กรรมก็ทำอันตรายอะไรเราไม่ได้” เหมือนคนหากเขาเป็นคนดีตราบวินาทีลมหายใจสุดท้าย แม่ยมบาลก็ยังรั้งรอให้เวลาเขาที่จะทำความดีต่อๆ ไป เคยเจอไหมว่าบางคนถึงคราวที่เขาต้องเสียชีวิตแล้ว ต้องละจากกายนี้แล้ว แต่ทำไมเขายังกลับรอดมาได้ หนึ่งก็คือบุญของเขา ฉะนั้นตอนนี้จะบอกว่าเรื่องบุญกรรมเป็นเรื่องที่มองไม่เห็น ไม่มีความสำคัญก็ไม่ใช่แล้ว ถึงคราวสำคัญก็สำคัญอย่างมาก ฉะนั้นขอให้รู้ว่าชีวิตนี้ ชาตินี้สร้างขึ้นได้ด้วยตัวตนเอง ประเสริฐได้ที่น้ำมือของตนเอง หลายคนที่มีอายุล่วงเลยมามากแล้ว ถึงคราวที่ต้องลาลับจากโลกนี้ไป ขอให้ไปด้วยใจที่เป็นสุขอย่าได้ยึดติดอะไร แล้วเราก็จะสามารถมีความสุขได้ไม่ต้องทรมานก่อนจะจากร่างกายนี้
หากพูดถึงเรื่องชีวิต ให้พูดร้อยวันก็มีร้อยคำพูดใช่หรือเปล่า อยู่ที่ตัวท่านแล้วว่าต่อไปนี้จะทำอย่างไรกับชีวิตของตนเอง ทางมีให้เดินแต่บางคนมักจะเดินไปไม่ถึง เพราะว่าไร้ความพยายามและขาดจุดมุ่งหมาย วันนี้เราได้รู้แล้วว่าทางที่เราเดินอยู่นั้นสามารถทำให้เราเป็นพุทธะ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราเอาชนะตนเองได้ไหม เราเอาชนะกิเลส รัก โลภ โกรธ หลงได้หรือเปล่า พุทธะก็เคยรักโลภโกรธหลงด้วยกันทั้งสิ้น แต่รักแล้ววางได้ไหม โกรธแล้วให้อภัยได้หรือเปล่า หลงแล้วรู้จักหยุดบ้างหรือไม่ โลภแล้วรู้จักพอเป็นหรือเปล่า แล้วเมื่อคิดจะบำเพ็ญแล้วก็ขอให้พยายามไปให้ถึงที่สุด อย่าได้ยอมแพ้
ผู้บำเพ็ญทางฝ่ายชายได้ทำงานอะไรกันบ้าง อย่าเอาเปรียบฝ่ายหญิงมากนัก งานใดที่ทำได้ก็ควรทำ อย่าบอกว่าผู้หญิงบำเพ็ญน้อยกว่าห้าร้อยชาติ ถ้าต่อไปท่านไม่รู้จักทำ คราวหน้าท่านจะเป็นผู้หญิงที่บำเพ็ญน้อยไปห้าร้อยชาติ ฉะนั้นเป็นชายอย่าได้เลือกงาน งานใดที่ทำได้ก็ทำ เป็นผู้บำเพ็ญธรรมอย่าได้เลือกว่าจะต้องทำงานที่อยู่ข้างหน้า งานเบื้องหลังไม่ขอทำ เช่นนี้จะไม่มีกุศลเลย บำเพ็ญธรรมแล้วเป็นคนที่ต้องรู้จักขัดเกลาตนเมื่อผิดก็แก้ไข เมื่อผิดก็กล้ายอมรับ ไม่เลือกงาน ไม่กล่าวโทษคนอื่น ทุกวันมีแต่สำรวจตนเอง ไม่มีเวลาที่จะไปสำรวจใคร ทุกวันเห็นแต่ข้อผิดพลาดของตนเอง ไม่มีเวลาที่จะไปเห็นข้อผิดพลาดใคร หากทำได้เช่นนี้ถึงจะเรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรมและมีคุณธรรมอย่างแท้จริง เวลาของชีวิตเราไม่ใช่ยืดยาวอย่างไม่จบไม่สิ้น แต่เวลาของชีวิตทุกคนมีจำกัด ฉะนั้นจะขึ้นหรือลง จะดีหรือร้ายอยู่ที่ตัวเราเอง อยู่ที่ความคิดของเราเอง หากคิดดีจิตใจเป็นสุข หากคิดร้ายย่อมเป็นทุกข์อย่างแน่นอนจริงหรือไม่ หากคิดแต่ตนย่อมเห็นแต่ตนไม่เห็นใคร หากรู้จักเห็นใครย่อมลืมตนและไม่มีตนให้ทุกข์ ลองคิดประโยคนี้ให้ดีๆ ก่อนที่จะจากกัน
ผู้บำเพ็ญธรรมฝ่ายหญิง สิ่งหนึ่งที่ต้องระมัดระวังนั่นก็คือสำรวมวาจา ผู้หญิงมักจะบกพร่องเรื่องวาจาใช่หรือไม่ มีคุณธรรมความประพฤติ มีคุณธรรมในใจ แต่ถ้าหากเอ่ยปากออกมาแล้ว มีแต่ทำลายศีลธรรมทำลายคุณธรรม แม้กายจะบำเพ็ญธรรมก็เปล่าประโยชน์ ฉะนั้นบำเพ็ญธรรมแล้วขอให้สำรวมทั้งกายวาจาใจ เป็นผู้บำเพ็ญธรรมพูดน้อยจะเสียประโยชน์อะไร ใช่หรือเปล่า
เราก็อดไม่ได้นะ ต้องขออภัย จะพาคนข้างหน้าไปแต่ก็ยังอดลังเลเป็นห่วงคนข้างหลัง ในโลกนี้การจะหาคนเสียสละช่วยเหลือเรา ยอมทำเพื่อเราหาได้น้อยแล้ว เราหวังว่าท่านคงจะเป็นรุ่นต่อไปที่พร้อมจะเสียสละเพื่อคนอื่นบ้าง หากวันหนึ่งไม่เคยทำเพื่อใคร แล้วจะมีใครทำให้เรา หากวันหนึ่งคิดแต่ตนเอง แล้วจะมีใครคิดถึงเราจริงหรือเปล่า
คงต้องจากลากันแล้ว อย่าคิดว่าเรามาเล่นละครเลยนะ คนข้างหลังไม่ได้ซาลาเปา ไม่ได้หมั่นโถว หรือไม่ได้ขนมเป็นอะไรหรือเปล่า ไม่เป็นไรนะ เราก็ดีใจที่วันนี้ได้พบกับทุกคน แต่จะดีใจยิ่งๆ ขึ้นถ้าทุกคนกลับไปหาเราบ้าง กลับไปหาเราไม่ใช่บนนี้นะ แต่เป็นข้างบนนั้น ทุกคนก็มาจากเบื้องบน แต่จะกลับคืนได้ไหมขึ้นอยู่ที่ลมหายใจนับต่อไปนี้แล้ว เราเป็นพุทธะได้ เราเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ เราเป็นคนดีได้ ขอเพียงเริ่มต้นมีจิตใจที่ดีมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมไม่ไกลเกินมือเรา ย่อมไม่ไกลชีวิตเรา คงต้องจากลากันแล้วนะ

วันอาทิตย์ที่ ๒๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง และพระนาจา

รับธรรมช้ารีบเร่งม้าแลลงแส้ รับธรรมเร็วแลธรรมคือปฏิบัติหนา
สองห้าสี่สามฤกษ์งามสองสามสี่ห้า บำเพ็ญธรรมายกระดับจิตของตน
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส พา นาจา ศิษย์พี่เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานถงซิน  แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า

เมื่อศิษย์หลงศิษย์ก็จะลืมความกลัว กิเลสยั่วใจกายปิดตามอง
ชีวิตหนึ่งดั่งความฝันยากใช้ลอง มีใจหมองต้องตั้งสติตามให้ทัน
สอนใจตนเวลาใหม่เป็นคนใหม่ อย่าใส่ใจกับอดีตเคยโศกศัลย์
มองไปข้างหน้าทางโปร่งโล่งเกิดจากตีบตัน ศิษย์แข็งขันหนักแน่นด้วยพยายาม
จงรับคำติเพื่อก่ออย่าเดียดฉันท์ ให้แบ่งปันอคติอาจารย์ห้าม
ขอศิษย์เดินไปทั่วใต้ฟ้าสีคราม ฝ่าดงหนามใช้ปัญญาดาบฟาดฟัน
อย่าเป็นคนฝันกลางวันอยู่อย่างนี้ ศิษย์คนดีความจริงจึงทำให้สุขสันต์
อันปีใหม่แท้จริงก็เหมือนทุกวัน อันสวรรค์นรกล้วนในใจตน
ชอบของแถมแถมความสุขให้คนอื่น อย่าหยิบยื่นความทุกข์ให้คนจะสับสน
ขอให้ศิษย์เดินหน้าไปอย่างอดทน อย่าวกวนแต่ใจที่ซ่อนอำพราง
น้ำตาไหลจนไม่มีจะไหลแล้ว ศิษย์แน่แน่วจริงหรือเปล่าอาจารย์ถาม
อาจารย์มีศิษย์อยู่ในใจทุกโมงยาม แต่ศิษย์คร้ามจะมีอาจารย์ตลอดเวลา
ฮา ฮา หยุด

ศิษย์เอยเหนื่อยใจไยคิดหุนหัน อย่างน้อยใจนั้นควรต้องคิดได้ ใจคนร้อนรนเกิดปัญหาไปทำใจเย็นเย็นเถิดหนา
จะทำสิ่งใดจงคิดหน้าหลัง  ไม่ไร้ความหวังในยามต้องฝ่า   เก็บความน้อยใจ เก็บเอาน้ำตาสร้างค่าให้กับวันนี้
* ศิษย์เอยโลกนี้ปลอมนั้นไม่ทน  หมายหลุดพ้นไปต้องทำแต่ดี   มืดทึบจะกลายมงคลสุขศรี หนีหน้าพ้นอย่างไร
** ศรัทธาจากใจ ไม่ปองแข่งขัน จากทุกใจนั้น พาข้ายิ้มได้บำเพ็ญรู้ตนจะนานหรือไกล  รอเจ้าสักวันกลับมา (ซ้ำ *, **)

ทำนองเพลง : สักวันหนึ่ง
เพลง : เหนื่อยใจไม่คิดหุนหัน

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง และพระนาจา

พระอาจารย์ :  ๒๓๔๕ มาจาก ๒๕๔๓ เลขเดียวกันไหม  แต่ว่ามีการสลับตำแหน่ง ๒๕๔๓ เราจับมาเรียงลำดับใหม่ให้เป็นระเบียบคือ ๒๓๔๕ เหมือนกับตัวเราเองตั้งแต่เกิดมาจนถึงเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร เรารู้สึกว่าชีวิตของเรามันสับสนวกวน วนไปก็วนมาหรือเปล่า (ใช่) เหมือนกับจัดไม่เป็นระเบียบ อาจารย์ก็แค่ยืม พ.ศ. ของปีที่จะถึงนี้มาสอนศิษย์ว่า ศิษย์ควรที่จะจัดชีวิตของตนนั้นให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อเรารู้จักความเป็นระเบียบ เมื่อเรารู้จักความถูกต้องอยู่ที่ไหน เราก็จะรู้ว่าเราจะทำอย่างไรให้ชีวิตของเราก้าวหน้ายิ่งขึ้น คนที่ไม่รู้จักชีวิตของตนเอง คนที่ไม่เคยรู้จักตัวเองนั้น ก็ย่อมที่จะก้าวหน้าต่อไปไม่ได้ หลายๆ ครั้งศิษย์ของอาจารย์อ่านหนังสือ เขาบอกว่าให้เราทำสิ่งต่างๆ เขาสอนสิ่งต่างๆ ให้เรามากมายว่าถ้าเราอยากทำให้ชีวิตเราดีขึ้น เราต้องทำเช่นนี้ แต่เราลืมมองไปว่าพื้นฐานของเราคือจิตใจของเรา ยังไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี เหมือนกับตัวเลขที่เรียงสลับกันไปสลับกันมาไม่ถูกต้องอย่างนี้ อาจารย์บอกว่าให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นเป็นคนใหม่ คนใหม่คนนี้ต้องอาศัยความพยายาม หากว่าเราอยากที่จะไม่โกรธคนอื่นง่ายๆ ต้องทำอย่างไร เราต้องเป็นคนที่ใจเย็นก่อน ใจเย็นตั้งแต่ตอนที่ยังไม่มีเรื่องมาให้เราโกรธเลย เมื่อถึงเวลาใจเราเพิ่มอุณหภูมิขึ้นอีกนิดหน่อยก็ยังไม่ร้อน แต่ไม่ใช่ใจของเรานั้นปกติก็เป็นคนใจร้อนอยู่แล้ว เมื่อความโกรธ เรื่องราวที่ไม่สมหวัง เรื่องราวที่ผิดใจขัดใจมาเพิ่มอุณหภูมิให้ใจของเรา ใจเราก็เลยยิ่งโกรธใหญ่เลย
เพราะฉะนั้นต้องดับไฟในใจของเรา นี่เป็นวิธีการง่ายๆ ที่อาจารย์เลือกมาบอกศิษย์ เพราะว่าปีหน้าอีกทั้งปี ศิษย์ของอาจารย์ต้องเห็นเลข ๒๕๔๓ กันไปอีกทั้งปีเลย เพราะฉะนั้นเวลาเรามอง ๒๕๔๓ ก็ให้เรานึกถึง ๒๓๔๕ แล้วเลขที่ ๖, ๗, ๘ จนถึงเลขที่เท่าไรก็แล้วแต่ตามใจศิษย์นั้น คือเลขที่เราต้องขวนขวายนับต่อไปเองชีวิตนี้จะมีความก้าวหน้ามากขึ้น แต่ก้าวหน้าใดๆ ก็แล้วแต่ ไม่สู้ก้าวหน้าทางจิตใจ เพราะว่าโลกภายนอกวัตถุต่างๆ รูปต่างๆ มากมายนั้นมีไม่หมดไม่สิ้น แต่จิตใจของเรานั้นมีเพียงแค่หนึ่ง ต้องควบคุมใจของเราเองให้ได้ ต้องทำใจของเราให้เป็นผู้ที่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงขึ้นให้ได้ วิทยาศาสตร์ บอกว่าหัวใจนั้นใหญ่เท่าไหน (กำปั้น) อย่างนั้นเราลองยกกำปั้นของเราขึ้นมาดูซิ กำปั้นนี้ห้ามเอาไปชกใครนะผู้ชายทั้งหลาย หัวใจเราใหญ่แค่นี้ วิทยาศาสตร์บอกว่าอย่างนั้น มีกำปั้นอยู่อันหนึ่งแทนหัวใจของเรา แสดงว่าหัวใจของเรามีหนึ่งเดียว ให้หัวใจนี้เป็นหัวใจแห่งผู้บำเพ็ญ
“รับธรรมช้ารีบเร่งม้าแลลงแส้” หลายคนที่นั่งอยู่ในที่นี้เพิ่งรับธรรมะเมื่อสองวันที่แล้ว บางคนก็รับมาก่อนหน้านั้น แต่ก็ยังไม่นานเท่าไร อาจารย์ไม่อยากจะปลูกต้นไม้แบบใช้ไม้เรียวตีแล้วให้โต ต้นไม้ต้นนี้คงไม่ยอมโตให้อาจารย์ เพราะฉะนั้นสองวันนี้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นศึกษา เพื่อออกไปปฏิบัติ การเริ่มต้นนี้เริ่มต้นด้วยตัวเรา เราต้องการที่จะเริ่มต้นจึงเริ่มต้นได้ หากเราไม่ต้องการเริ่มต้นแล้ว การเริ่มต้นนี้จะเริ่มสำเร็จได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นย่อมอยู่ที่ใจของศิษย์นั้นว่าต้องการที่เริ่มต้นไปพร้อมๆ กับอาจารย์และนักธรรมอาวุโสรอบๆ ข้างศิษย์หรือไม่ หากเราไม่ต้องการเริ่มต้น การเริ่มต้นก็จะไม่เกิด เมื่อเราไม่เริ่มต้น จุดหมายปลายทางที่ฟังมาสองวันบอกว่าเป็นพุทธะนั้นจะถึงไหม (ไม่ถึง)
“รับธรรมเร็วแลธรรมคือปฏิบัติหนา”  คนที่รับธรรมะมาก่อนหน้านี้ถือเป็นคนที่รับธรรมะมาเร็ว ก็อย่าคิดว่ารับธรรมะเร็วแล้วจะดี บางคนรับธรรมะมาหลายปีแต่ไม่เคยลงมือปฏิบัติเลย หรือว่าปฏิบัติแบบเช้าชามเย็นชาม หมายความว่าอยากจะทำดีก็ทำ ไม่อยากทำดีก็ไม่ทำ เหตุการณ์ไม่อำนวยก็ไม่อยากทำแล้ว ได้ไหม (ไม่ได้) การที่เราจะเห็นว่าคนๆ หนึ่งเป็นคนดีได้ก็ต้องในยามที่คับขันวุ่นวาย ไม่วุ่นวายจะเห็นไหมว่ามีคนดีอยู่ (ไม่เห็น) ไม่วุ่นวายก็ไม่เห็นว่ามีคนดี ถ้าทุกคนดีเหมือนกันหมดในสภาพที่บ้านเมืองเรียบร้อยเหตุการณ์เรียบร้อยไม่มีปัญหาใดๆ คนดีคนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ฉะนั้นตอนนี้ศิษย์ลองมองไปรอบๆ ตัวเอง เห็นไหมว่ามีปัญหาตั้งแต่ตัวเอง สังคม ประเทศ โลกนี้เลย เพราะฉะนั้นต้องเริ่มที่ตัวเราถูกหรือเปล่า คนที่เป็นศิษย์อาจารย์ตั้งแต่ต้น ตั้งแต่หลายปีที่แล้ว ลองดูประโยคนี้อาจารย์บอกว่า “รับธรรมเร็วแล” “แล” ก็คืออะไร “แล” ก็คือมอง รับธรรมเร็วให้ดู ดูธรรมะเป็นการปฏิบัติ อย่ามองธรรมะว่าไม่มีรูปลักษณ์ และเราก็เลยไม่รู้จะทำอะไรดี รับธรรมเร็วดูธรรมะให้เป็นการปฏิบัติ คือการลงมือทำ ถ้าเราไม่ลงมือทำ เราไม่ลงมือปลูกต้นไม้จะมีต้นไม้ปลูกอยู่ตรงนั้นไหม (ไม่มี) เมื่อไม่มีต้นไม้ก็ย่อมไม่มีผล คนสมัยนี้ใช้เงินซื้อผลไม้มาทาน แต่คนในสมัยโบราณเขาทำอย่างไร จึงมีผลไม้ทาน ต้องปลูกเอง แม้จะอยู่ในโลกอันทันสมัยแต่หัวใจต้องโบราณ หัวใจนี้ต้องโบราณ โบราณจึงมีคุณธรรม ทันสมัยจึงไหลตามกระแสน้ำไป อยากจะทวนกระแสหรืออยากตามกระแส (ทวนกระแส) ปลาเป็นว่ายทวนน้ำ ปลาตายจึงยอมไหลตามน้ำไป ตอนนี้โลกปัจจุบันทันสมัย เราอยากจะทวนน้ำหรือเราอยากจะตามสมัย โดยเฉพาะคนที่ยังอายุน้อยทั้งหลายตอบตัวเองให้ดี อาจารย์บอกแล้ว “ปลาเป็นว่ายทวนน้ำ ปลาตายไหลตามน้ำ” ไปเลือกเอาเองนะ
ตั้งแต่อาจารย์พูดมาตั้งแต่ต้น อาจารย์อยากให้ศิษย์ทำชีวิตของตนเองให้มีค่า ให้มีประโยชน์ เรียงชีวิตจิตใจของเราอย่าให้สับสนมาก ใครที่ยังไม่ได้เริ่มต้นก็ยึดเอาปีที่จะถึงนี้ อาจารย์ก็ให้เวลาอีกตั้งห้าหกวัน อีกห้าหกวันนี้เราจะเริ่มต้นให้ชีวิตของเรานั้นไม่สับสนไปตามตัวเลขดีไหม (ดี)
“บำเพ็ญธรรมายกระดับจิตของตน”  หลายคนที่เป็นศิษย์ของอาจารย์นั้นมีความวุ่นวายเกิดขึ้นมากมายเพราะอะไร เพราะว่าตัวเราก็มีความวุ่นวายสับสนมากพอดู แต่ยังสนใจคนอื่น อยากรู้เรื่องคนอื่น อยากจะช่วยคนอื่น ในขณะที่ตัวเรานั้นยังช่วยตัวเราเองไม่ได้ จึงไม่เกิดประโยชน์ จึงไม่เกิดผลที่ดีตามขึ้นมา จึงอยากบอกว่าเมื่ออยากช่วยผู้อื่น ต้องช่วยตัวเองให้รอด แต่ว่าตอนนี้ภาวะคับขัน รอให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นช่วยตัวเองให้รอดซะทีเดียวก็คงไม่ได้ ศิษย์คิดพิจารณาดู หากว่าตัวเรานั้นพอที่จะก้าวข้ามพ้นขีดอันตรายมาบ้าง ก็ขอให้ช่วยผู้อื่น ในยามที่เราก้าวข้ามขีดอันตรายนี้มาแล้ว ถ้าข้ามเลยมาไกลก็ขอให้เรานั้นปฏิบัติให้ดียิ่งขึ้น ในสถานธรรม งานธรรมะ วงการธรรมนั้น ยังต้องการแบบอย่างที่ดีอีกมากมาย ในขณะที่อาจารย์มองเห็นในงานธรรมะยังมีแบบอย่างที่ดีอยู่ไม่กี่คน สามวันดีสี่วันไข้ เป็นอย่างนี้แล้วจะให้ใครพึ่งศิษย์ได้ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเองโดยเร็ว อาจารย์บอกไว้ล่วงหน้าก่อนปีใหม่ เพื่อที่ให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นได้รับปีใหม่ปีหน้านี้อย่างมีเกียรติน่ายกย่อง
พระนาจา :  คนเยอะจังเลย ร้อนไหม ร้อนหรือเปล่า (ไม่ร้อน) คนเยอะๆ อบอุ่นดีนะ
พระอาจารย์ :  ใครชอบอยู่เฉยๆ ก็หนาวขึ้นๆ ใครที่ทำงานทำการก็อุ่นขึ้นๆ บำเพ็ญธรรมะต้องรวดเร็วว่องไว ชักช้าอืดอาดก็ถูกคนอื่นแซงไปหมด แม้การบำเพ็ญธรรมจะไม่มีการแข่งขัน แต่การบำเพ็ญธรรมมีการเดินไปพร้อมกัน คำว่า “พร้อม” ในที่นี้ เมื่อทุกคนไว เราต้องไวด้วย เมื่อทุกคนช้า เราต้องช้าด้วย ไวตอนที่รถจะออกแล้ว ต้องเดินทางแล้ว แต่บอกว่ารถจะออกแล้ว บางคนยังไม่มาเลย อย่างนี้ถือว่าเราตามไม่ทันหรือเปล่า แต่ในยามที่เกิดปัญหาแล้ว เขาบอกว่าค่อยๆ ตัดสินใจ เราก็ต้องช้าๆ หน่อย ถ้าหากว่าเราตัดสินใจไวไปคนเดียว ทำได้ไหม เราทำได้ แต่เราต้องรับผลแห่งความวุ่นวายนั้นเข้ามาที่ใจเรา ก็เป็นการไม่คุ้มค่า เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่าสถานธรรมนี้ชื่อ “ถงซิน” แปลว่าร่วมใจ หมายความว่าทุกคนมีใจเดียว ต้องรวมจิตใจกัน เป็นเรื่องง่ายไหม เวลาที่เราอยู่บ้าน เราก็มีพ่อแม่พี่น้อง ลูกหลาน การที่เราจะรวมจิตใจของคนทั้งบ้านเป็นหนึ่งเดียว ง่ายหรือยาก บางคนบอกง่าย บางคนบอกยาก การที่จะรวมจิตใจของคนทั้งบ้านเป็นหนึ่งเดียวก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องต่างคนต่างยอมอะลุ่มอล่วย จะให้เขายอมให้เราฝ่ายเดียวได้ไหม (ไม่ได้) แล้วเรายอมให้เขาฝ่ายเดียวได้ไหม อันนี้ให้คนอื่นตอบ
พระนาจา : วันนี้มานั่งฟังธรรมะ ลองดูตัวอย่างนิทานง่ายๆ เรื่องหนึ่งถ้าพูดว่าวันนี้ทุกคนสามารถกลับคืนเบื้องบนได้ ทุกคนก็มองเป็นเรื่องแปลก แล้วก็รู้สึกว่าไม่น่าเป็นไปได้ ทุกคนเคยได้ยินเรื่องกบในกะลาไหม (เคย) ทำไมศิษย์พี่ถึงพูดถึงกบในกะลาหรือกบในบ่อน้ำ เคยได้ยินว่ามีเต่าตัวหนึ่งเดินมาจากทะเลทางทิศตะวันตก เดินไปเดินมาก็มาเจอกบ กบก็ทักทายเต่าทะเลว่าไปไหนมา เต่าก็ตอบว่าไปเที่ยวทะเลทางตะวันตกมา กบก็ถามว่าแล้วทะเลทางตะวันตกเป็นอย่างไร เต่าตอบว่าทะเลทางตะวันตกทั้งกว้างทั้งใหญ่ไกลสุดตา กบก็ถามเต่าทะเลว่ามีที่ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นด้วยหรือ กบก็เริ่มรู้สึกไม่เชื่อ เพราะคิดว่าตั้งแต่กบมีชีวิตอยู่มานี้ บ่อเล็กๆ หรือกะลาแคบๆ นี้ ก็ใหญ่แล้ว เต่าทะเลก็บอกว่ามีนะ ลองไปอยู่สิ แต่กบก็บอกว่าไม่เอา แค่นี้ก็มีสุขพอแล้ว เรื่องอะไรจะต้องเดินไปตั้งไกลเพื่อไปหาทะเล ใช่หรือไม่ ตอนนี้ศิษย์น้องเป็นเหมือนกบหรือเต่าทะเลล่ะ ตอนนี้ศิษย์น้องก็เหมือนกับกบตัวน้อยๆ ที่พอเต่าทะเลมาเล่าให้ฟังก็ไม่เชื่อ ไม่ค่อยแน่ใจ และคิดว่าจะมีด้วยหรือที่ที่กว้างอย่างนี้ ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นวันนี้อยากเป็นกบอีกหรือเปล่า คงไม่อยากเป็นแล้วนะ เปิดหูเปิดตาตัวเองได้แล้วนะ อย่าขังตัวเองไว้ในที่แคบๆ หรือความคิดอันจำกัด
(ศิษย์พี่เมตตาให้นักเรียนในชั้นโบกมือเป็นลม)
สมมติให้ศิษย์น้องเป็นลมที่พัดผ่าน ลมที่เบาสบาย การจะทำตัวเป็นลมต้องยกมือสูงๆ และพลิ้วไหวเหมือนลม คนเรามีชีวิตอยู่ด้วยลม แต่จะเป็นลมอะไรบางครั้งก็เป็นลมปาก บางครั้งก็เป็นลมหายใจ บางคนคิดว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ด้วยลมหายใจ แต่ไม่แน่บางครั้งเขาอาจมีชีวิตอยู่ด้วยลมปากของคน ฉะนั้นเกิดเป็นคน เราต้องรู้ด้วยว่าลมของเรานั้นอาจจะทำให้คนตายได้ ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นเวลาเราจะพูดอะไร ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
บางครั้งลมก็ทำให้เราไหวเล็กน้อย บางครั้งก็ทำให้เราไหวได้ทั้งตัว เรามีชีวิตอยู่บางทีเราก็ไหวไปตามแรงลม บางทีเราก็ไหวไปตามคำพูดของคน ฉะนั้นถ้าเกิดมนุษย์เรามีชีวิตอยู่แต่ไม่มีจุดยืนของตนเองเราก็จะพร้อมไหวไปได้ทุกๆ ที่ เปรียบเหมือนใบไม้ที่ไร้ชีวิต ปลิวไปทางซ้ายทีทางขวาที แต่เรามีชีวิต ไม่ใช่ใบไม้ เราต้องมีจุดหมายหรือจุดยืนของตนเองอยู่ แล้วจุดยืนของแต่ละคน ย่อมไม่เหมือนกัน คนเรามีชีวิตอยู่ไม่ใช่ต้องไหวไปตามลมตลอด บางคนมีชีวิตอยู่ตามอารมณ์ ปล่อยไปตามอารมณ์ อารมณ์ชี้นำอย่างไรก็ปล่อยตัวไปตามอารมณ์อย่างนั้น เกิดเป็นคนถ้าเราตามอารมณ์ไปตลอดดีไหม (ไม่ดี)
มีคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “เกิดเป็นคนทั้งทีอย่าปล่อยให้อารมณ์ชี้นำเราทุกสิ่ง ไม่อย่างนั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่ดี” เป็นคนทั้งทีเราต้องรู้จักชี้นำตัวเอง แล้วใช้อะไรเป็นสิ่งที่นำพาและชี้นำเรา นั่นก็คือต้องรู้จักใช้คุณธรรม สัจธรรมและความถูกต้องชอบธรรม ไม่ว่าจะสุขจะทุกข์ จะยากดีมีจน อยากได้สิ่งใด เราต้องไม่ลืมที่จะตรวจสอบดูว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่นั้น หรือสิ่งที่เราสุขทุกข์อยากได้นั้นมีความถูกต้อง มีสามอย่างนี้หรือไม่ ๑. มีความถูกต้องไหม ๒. มีคุณธรรมหรือเปล่า ๓. ตรงตามสัจธรรมหรือไม่
หากทุกขณะจิตเราคำนึงถึงสามอย่างนี้ไม่ว่าจะทำอะไร เราก็จะเป็นคนที่ไม่ดำเนินทางผิดครรลอง ไม่ปล่อยชีวิตไปอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย ฉะนั้นเกิดเป็นคนทั้งทีอย่าไหวไปตามลม ลมมาแรงก็ไปแรง ลมมาเบาก็ไปเบา อย่างนี้เรียกว่าปล่อยให้อารมณ์หรือลมชี้นำชีวิต ซึ่งไม่ใช่เรื่องถูกต้อง ต้องรู้จักว่าเราเกิดเป็นคนทั้งทีเราต้องมีจุดยืนของตนเองว่าจุดยืนของตัวเองคืออะไร มีอยู่สามอย่าง นั่นก็คือต้องรู้จักคุณธรรม สัจธรรม และความถูกต้องชอบธรรม เป็นหลักชี้นำชีวิต เพราะปกติศิษย์น้องมีชีวิตอยู่ชอบปล่อยชีวิตไปตามอารมณ์ ลมชี้นำอย่างไรก็เดินตามไป อย่างทาสที่จงรักภักดีไม่เคยบิดพลิ้ว พอมีอารมณ์โกรธก็โกรธเต็มที่ เรารักเราก็รักอย่างไม่ลืมหูลืมตา พออารมณ์บอกให้เราแสวงหา เราก็แสวงหาอย่างไม่สนใจร่างกายและคนอื่น อย่างนั้นไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะแสวงหาความสุข ความทุกข์เราต้องไม่ลืมที่จะตรวจสอบตัวเองว่าเรายืนอยู่บนความถูกต้องชอบธรรม เราดำเนินไปตามศีลธรรม จริยธรรม หรือว่าตามครรลองคลองธรรมหรือไม่ หากทุกขณะจิตคิดอย่างนี้เราจะไม่เป็นคนที่เดินผิดครรลองคลองธรรม
พระอาจารย์ : วันนี้มีหลายคนทำหน้าเหมือนมะระขม คำว่า ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ใบหน้าก็ส่อจิตใจของเราใช่หรือเปล่า บางคนมาประชุมธรรมสองวัน มาเพราะว่าความเกรงใจ บางคนมาเพราะเสียไม่ได้ บางคนก็มาไปอย่างนั้นเอง แต่ว่าเมื่อมีโอกาสมานั่งฟังสองวันนี้ แม้ว่าในใจของเรานั้นจะเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่ว่าเราต้องฝ่าอุปสรรคเหล่านั้นออกมา เพราะถ้าหากว่าจิตใจของเราเต็มไปด้วยอุปสรรคที่เราสร้างขึ้นเองแล้วเราจะฟังรู้เรื่องหรือเปล่า อาจารย์ต้องการให้ศิษย์ฟังจากหูเข้าสู่ใจของเรา ใจของเราที่เคยมีความดำมืด เมื่อถูกเจาะรูก็เหมือนถ้ำที่ถูกเจาะรูแล้ว ความสว่างย่อมลอดเข้าไปได้ สักวันหนึ่งพุทธะที่อยู่ในถ้ำจะกล้าเดินออกมาเผชิญกับแสงสว่าง แม้ในวันนี้เราจะบอกว่าความดียากทำ ถามว่าเราเคยทำหรือไม่ ความดียากทำเราก็เคยทำมา แล้วตอนที่ทำความดีที่เราบอกว่ายาก ยากไหม (ไม่ยาก) ศิษย์นั้นยังไม่รู้จักโลกเพียงพอเลย ยังไม่รู้ว่าความดีที่เราบอกว่ายากทำนั้นแท้จริงแล้วเราไม่เคยทำ เราทำได้อย่างน้อยเหลือเกิน เพราะฉะนั้นเราต้องขยันขันแข็งที่จะทำความดี เมื่อเรามีโอกาสมานั่งฟังแล้วเราต้องตั้งใจฟัง
เคล็ดลับของการบำเพ็ญคืออะไร (สมาธิ) แต่สมาธิของคนส่วนใหญ่นั้นคือความนิ่ง นิ่งอยู่เฉยๆ เวลาศิษย์อยากที่จะกินข้าว แล้วเรานั่งนิ่งๆ จะได้กินไหม (ไม่ได้กิน) แต่เมื่อเวลาศิษย์กินข้าวอยู่ จิตใจจะคิดวอกแวกไปทางอื่นได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นคำว่าสมาธิหรือความนิ่งนั้นมีประโยชน์ตอนที่เราได้ข้าวมาอยู่ตรงหน้าแล้วเราได้กิน แต่ว่าในตอนนี้ในนามธรรมนั้น จานข้าวที่อยู่ตรงหน้าศิษย์นั้นยังไม่มาเลยแล้วศิษย์จะนิ่งอยู่ได้อย่างไร ถูกหรือไม่ ศิษย์เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม อาจารย์หมายความว่า คนที่บำเพ็ญปฏิบัติได้พอถึงช่วงเวลาหนึ่งเปรียบเสมือนเขาไปเตรียมเด็ดผักทำกับข้าว เตรียมกินแล้วเขาพยายามจะนิ่งลงเป็นเรื่องสมควรไหม เมื่อเขาไปเด็ดผักทำกับข้าวเตรียมกันแล้ว ตอนนี้กับข้าวมีประโยชน์ไหม ความนิ่งก็เป็นประโยชน์ คือนั่งนิ่งๆ ลงไปกินข้าว แต่ไม่ใช่กินข้าวแล้วอ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วย เคยทำไหม กินข้าวหรือดูหนังไปด้วยควรไหม กินข้าวแล้วใจก็คิดโน่นคิดนี่ควรไหม (ไม่ควร) เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าความนิ่งนั้นมีประโยชน์ต่อเมื่อศิษย์นั้นได้ชามข้าวมาแล้ว ก็นั่งลงนิ่งๆ กินข้าวใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้ศิษย์ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ยังไม่มีชามข้าวชามนี้เพราะยังไม่เคยออกไปเด็ดผัก และยังไม่เคยติดไฟทำกับข้าวหุงข้าวเลย ตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์นั้นยังเดินในทางบำเพ็ญได้ไม่ถึงสามก้าวเลย เราต้องตั้งใจไปบำเพ็ญ สามก้าวนี้ ก้าวแรกตัดความโลภได้หรือยัง (ยัง) ก้าวที่สองตัดความโกรธตัดได้หรือยัง (ยัง) ก้าวที่สามตัดความหลงตัดได้หรือยัง (ยัง) แสดงว่ามีบางคนยังไปไม่ถึงสามก้าวเลย อยากเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไหม (อยาก) เวลาศิษย์มาคุกเข่าหน้าพระขออะไร ขอให้รวย ตอนนี้อยากเป็นพุทธะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องควักเงินออกจากกระเป๋าตัวเองให้เขาไปเขาจึงรวยได้ อยากเป็นต้องควักเงินออกจากกระเป๋าเราให้คนอื่น อยากเป็นต้องควักความสุขของเราให้คนอื่น อยากเป็นต้องผ่อนความทุกข์ให้คนอื่น อยากเป็นต้องไม่มีกิเลสทำได้ไหม หากว่าศิษย์ทำไม่ได้แล้วอยากเป็นพุทธะก็ไกลเกินเอื้อม เพราะฉะนั้นจึงบอกว่านิพพานนั้นไกลแสนไกล ใกล้เพียงนัยน์ตา ฝุ่นที่เข้าตาถามว่าเขี่ยออกไหม (ไม่ออก) ใช้อะไรเป็นกระจก (ให้คนอื่นมาดูให้, ผู้อื่นเป็นผู้ชี้นำ) ตอบได้ถูกต้องทุกคน เวลาที่ฝุ่นเข้าตาก็ต้องให้ผู้อื่นเป็นกระจกให้ แต่ว่าคนส่วนใหญ่ไม่รับคำติเพื่อก่อ ไม่รับคำติจากผู้อื่น แต่ชอบอะไร (ชอบผู้อื่นชม) คนส่วนใหญ่ไม่ชอบคำติ แต่ว่าชอบคำชม
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้แก่นักเรียนที่ลุกขึ้นตอบคำว่า “คำชม”)
อาจารย์ก็หวังให้ศิษย์ลุกขึ้นเร็วกว่านี้ เพราะบางคนนั้นลุกช้าเหลือเกิน ตอบในใจมีประโยชน์ไหม (ไม่มีประโยชน์) หลายๆ คนอยากช่วยคนอื่น แต่คิดอยู่ในใจใช่หรือไม่ ศิษย์บางคนอยากจะให้ข้าวคนอื่นทาน แต่แค่คิดในใจ คนนั้นก็อาจจะอดตายไปแล้ว ฉะนั้นการคิดจะทำความดีต้องทำรวดเร็ว หากว่าทำช้าจะได้ผลเกิดไหม (ไม่เกิด) การที่เราจะได้บุญจากการให้ข้าวคนอื่นทานก็ตอนคนอื่นหิว ถูกหรือเปล่า (ถูก) ถ้าเกิดคนอื่นไม่หิวจะมีบุญไหม (ไม่มีบุญ) การทำบุญนั้นเมื่อเราเห็นผู้อื่นเดือดร้อนช่วยได้ต้องรีบช่วย
“เมื่อศิษย์หลงศิษย์ก็จะลืมความกลัว” นึกออกไหมว่าหลงแล้วลืมความกลัวได้อย่างไร บางคนโลภในด้านการกิน กินไม่รู้จักบันยะบันยัง ลืมตัวว่าตัวเองนั้นจะอ้วนขึ้นมา บางคนนั้นอยากจะผอม ก็อดอาหารก็ลืมโรคกระเพาะ เวลาที่ศิษย์หลงนารีเราก็จะลืมโรคเอดส์ เวลาที่เราหลงก็ชอบดื่มสุราแล้วเป็นอย่างไร (ลืมโรคตับแข็ง) เวลาที่เราหลงกิเลสตัณหา หลงโลกีย์ ชอบเสื้อผ้าสวยๆ ชอบเงินทองเยอะๆ เราก็ลืมอะไร (ลืมปัญญา) เห็นไหมว่าปัญญานั้นไม่ใช่ความชาญฉลาด ปัญญาต่างจากความชาญฉลาด และไม่ได้อยู่ที่ว่าจะต้องเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง จะต้องเป็นคนแก่หรือคนสาวถึงจะตอบได้ ปัญญามีในคนทุกคนอยู่ที่เรานั้นจะนำออกมาใช้หรือเปล่า
ทุกคนมีมีดอยู่เล่มหนึ่งชื่อว่ามีดแห่งปัญญา ถ้าหากว่าไม่ลับบ่อยๆ จะคมหรือไม่คม (ไม่คม) บางคนกลัวการเจอปัญหาเป็นที่สุด เจอปัญหาแล้วรู้สึกกลัวมาก แต่ว่าปัญหานั้นมีไว้ใช้สำหรับลับปัญญาอันนี้ให้คมแกร่งขึ้น หากไม่เจอปัญหาแล้ว ปัญญานี้จะได้ใช้ไหม (ไม่ได้ใช้) ถ้าหากไม่เจอปัญหาแล้วปัญญานี้จะคมขึ้นหรือเปล่า (ไม่คมขึ้น) การบำเพ็ญธรรมนั้นต้องเจอความยากลำบากเป็นเรื่องธรรมดา เวลาที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นอยากที่จะสอบเลื่อนชั้นต้องอ่านหนังสือก่อนสอบไหม (ต้องอ่าน) ถ้าหากเป็นคนที่ไม่ขยันเรียนก็ไม่สามารถที่จะสอบเลื่อนชั้นได้ การสอบนั้นเป็นเรื่องยากลำบากหรือเปล่า (เป็น) ถ้าสอบง่ายๆ ก็ไม่ใช่การสอบใช่หรือไม่ จะเล็กจะน้อยจะมากเท่าไร ก็ต้องมีความยากลำบากผสมปนเปอยู่ในนั้น เพราะฉะนั้นในยามที่เราเจอความยากลำบาก ต้องขอบคุณความยากลำบากเหล่านั้นที่ฝึกฝนใจเราให้แข็งแกร่งมากขึ้น
ในปัจจุบันนี้คนในสังคมมีมากมายหลายประเภท ปัญหาปากท้องก็ดี ปัญหาจิตใจก็ดี ปัญหาทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นรายรอบเรานั้นก็คือความยากลำบาก ขอให้เรานั้นฉวยโอกาสเหล่านี้มาฝึกฝนใจเราเอง ดังที่อาจารย์พูดไว้ คนเก่งคนดีเกิดขึ้นยามที่โลกวุ่นวายที่สุด ในตอนนี้โลกวุ่นวายมาก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่สวรรค์เบื้องบนลงไปถึงนรกเบื้องล่างนั้นต่างวุ่นวายไปหมดแล้ว มนุษย์วุ่นวายเท่าไหร่ เบื้องบนและเบื้องล่างก็วุ่นวายเท่านั้น ดูสิว่าความวุ่นวายที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันถึงสามโลกสามภพภูมินี้มากพอที่จะให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นเลิกอยู่เฉยๆ แล้วออกมาช่วยคนได้หรือเปล่า ถ้าหากว่ายังไม่มากพอแสดงว่าศิษย์มองไม่เห็นความวุ่นวายต่างๆ นานาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เป็นเรื่องไกลตัว ศิษย์ก็คงไม่มีโอกาสเป็นพุทธะแล้ว เข้าใจไหม
พระนาจา : ศิษย์น้องเคยเห็นเวลาคนตีฆ้องหรือตีกลองไหม (เคย) ถ้าตีเบา เสียงก็เบาๆ แต่ถ้าหวดเต็มแรงเสียงก็ดังขึ้น ธรรมะก็เหมือนกลองใบหนึ่ง ถ้าศิษย์น้องตีเบาๆ เสียงก็จะเบา แต่ถ้าศิษย์น้องตีดังๆ เสียงก็ดังขึ้น แล้วกลองแห่งธรรมะนั้นก็อยู่ในตัวเราเอง เราอยากให้ธรรมะยิ่งใหญ่หรือเล็กกระจ้อยร่อย ขึ้นอยู่กับแรงที่เราตีกลองนั้น แรงที่เรากระทำต่อสิ่งๆ นั้น ศิษย์น้องออกไป ศิษย์น้องก็ต้องไปตีฆ้องแห่งธรรมะของตัวเอง ถ้าไม่ตีเลย ธรรมะก็จะไม่มีเลย ถ้าศิษย์น้องตีได้ดังก็ช่วยคนได้มาก มีโอกาสนำธรรมของตัวเองไปเผยแพร่ให้คนอื่นรับรู้ได้มาก วันนี้ศิษย์พี่เป็นแค่ผู้ที่ช่วยสอนตี ช่วยบอกว่าศิษย์น้องต่างมีธรรมะ แต่ขึ้นอยู่กับว่าศิษย์น้องจะนำธรรมะนี้ไปตีให้ดังหรือไม่ตีเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
บางครั้งเวลาเราจะทำสิ่งใด ต้องรู้จักยืดหยุ่น คำว่า “ยืดหยุ่น” ก็คือเวลาเราจะเดินไปซ้ายไปขวา ไปหน้าหรือไปหลัง เราต้องรู้จักยืดหยุ่นตามสภาวะ แต่การยืดหยุ่นนั้นคือ ต้องหันมามองที่ตัวเองก่อนที่จะชูช่อขึ้นไป ตัวเองต้องพร้อมก่อน ตัวเองพร้อม ถึงจะออกไปได้ ถ้าตัวเองไม่พร้อมการที่จะออกไปเผชิญก็ย่อมเป็นอันตราย ฉะนั้นจะทำสิ่งใดไม่ว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลัง หรือไปซ้ายหรือไปขวาขอให้หันมามองที่ตัวเองก่อนดีหรือไม่ ตรวจสอบที่ตัวเองสักนิดหนึ่งได้หรือเปล่า
เราอยู่ในโลกนี้ศิษย์น้องมักชอบแสวงหาใช่ไหม สิ่งใดที่เป็นเงินเป็นทองเราชอบ แต่การหานั้นถ้าเกิดศิษย์น้องเป็นเหมือนบ่อน้ำที่ไม่มีก้นบึ้ง หาเท่าไรก็ไม่มีวันเต็ม หาเท่าไรก็ไม่มีวันเหลือไปให้คนอื่นใช่หรือไม่ ฉะนั้นเกิดเป็นคนแล้วยังมี ความอยาก เราก็ต้องหยุดยั้งความอยากให้เป็นด้วย หากความอยากในตัวตนนั้นไม่มีก้นบึ้ง น้ำจะมีวันไหลไปให้ผู้อื่นไหม เงินจะมีวันไปให้คนอื่นได้ไหม ไม่มีใช่หรือไม่ (ใช่) ก็เฉกเช่นเดียวกันเราจะทำอย่างไรให้เป็นคนที่รู้จักเผื่อแผ่ให้กับคนอื่น นั่นก็คือเราต้องรู้จักคำว่า “พอ” สำหรับตัวเรา น้ำยังมีก้นบึ้ง แล้วใจของเราไม่มีก้นบึ้งของคำว่า “พอ” บ้างเลยหรือ มีได้สิใช่หรือไม่ (ใช่) น้ำยังมีเลยแล้วใจจะไม่มีได้หรือ
พระอาจารย์ : เมื่อสักครู่นาจาพูดถึงเรื่องหนาวๆ อาจารย์จะขอเสริมหน่อย ถ้าหากว่าวันหน้า ครั้งหน้าอากาศหนาวขนาดนี้อีก ผู้หญิงก็ให้ใส่กางเกงซะไม่เป็นไร แต่ว่าต้องอากาศหนาวขนาดนี้เท่านั้นนะ เข้าใจหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นอาจารย์เห็นข้างบนใส่ซะหนา ข้างล่างก็โล่งๆ ดูไปดูมาก็หนาวอยู่ดี ถ้าหากว่าอยากให้ร่างกายอบอุ่นต้องสวมถุงเท้า เพราะว่าเท้านั้นเป็นจุดศูนย์รวมของความอบอุ่นได้เหมือนกัน ทำให้ร่างกายเราอบอุ่นได้เหมือนกัน ฉะนั้นคนเดินได้ด้วยสองเท้า จะเดินไกลเดินใกล้ก็ใช้เท้านี้ ดูถูกเท้าได้ไหม (ไม่ได้) ดูถูกของที่เราเห็นว่าต่ำได้ไหม (ไม่ได้) มีแต่เราต้องเลียนแบบความต่ำอันนี้ เราต้องอ่อนน้อมถ่อมตน เวลาเราโค้งต้องมองไหม มองพื้น มองเท้าของเรา แล้วให้มองดูว่าเท้าเรานั้นใช้เดินก้าวไกลเท่าไรแล้ว แล้วจะใช้เดินไปอีกไกลเท่าไร แล้วยังเหลือเวลาให้เราบำเพ็ญอีกเท่าไร ชีวิตของเรานั้นอายุเท่าไรแล้ว อันนี้ขอให้ศิษย์นั้นพิจารณาเอง
พระนาจา : ศิษย์น้องทุกๆ คนในนี้รวมกัน เกินสองพันปีหรือยัง ใกล้จะถึงปีสองพันแล้ว ศิษย์น้องมีอะไรเป็นสองพันบ้าง ศิษย์น้องคิดว่าจะทำอะไรในปีใหม่บ้าง (เป็นคนดี, พยายามปฏิบัติธรรมให้ดีที่สุด) บางคนมักพูดว่าปีใหม่ก็เริ่มสิ่งใหม่ๆ แต่จะทำอย่างไรในเมื่อตัวเรายังเก่าอยู่เลย ทำอย่างไรให้ตัวเราใหม่ (ทำจิตใจ) ทำจิตใจแล้วก็พัฒนาความประพฤติ ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ให้ตามสมัย แต่เราต้องถามจิตใจเรา จริงๆ แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เห็นมีปฏิทินติดไว้บนฟ้าเลย ว่าวันนี้วันคริสต์มาส วันปีใหม่ วันตรุษจีน เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เห็นว่าทุกวันเป็นวันสำคัญ ทุกวันเป็นวันเริ่มต้นที่ดี ไม่จำเป็นว่าจะต้องรอสองพัน แต่เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ นับจากนาทีนี้หรือเริ่มต้นตั้งแต่ความคิดในใจนี้ มีอะไรที่คิดได้ใหม่ และคิดได้ดีบ้าง บ่อยครั้งที่เรามีชีวิตอยู่ ความคิดเก่าๆ มักจะนำพาให้เราเป็นคนเดิมๆ อย่างไม่ยอมแก้ไข เพราะฉะนั้นเราต้องดูความคิดของเราด้วยว่าความคิดของเรานั้นหากไม่ดี จะเปลี่ยนใจได้ดีไหม จะเปลี่ยนความประพฤติให้ดีขึ้นได้ไหม ไม่ได้ใช่หรือไม่ ศิษย์พี่เคยบอกไว้ว่าน้ำดีหรือความคิดดีๆ จะไล่น้ำไม่ดีหรือความคิดเสียๆ ได้ ก็ต่อเมื่อเอาดีมาล้างเสีย คนดีจะเกิดขึ้นในโลกไหม (ไม่เกิด) น้ำดีจะบังเกิดให้เห็นไหม ก็ไม่เกิด ฉะนั้นศิษย์น้องต้องขอเป็นคนยอมเอาน้ำดีขจัดน้ำเสีย เอาน้ำดีต่อสู้กับน้ำเสียในใจตนได้ไหม (ได้) ต้องเป็นคนที่สามารถเอาน้ำดีล้างน้ำเสียในใจตนได้หมด แล้วรู้หรือไม่ว่าตนมีน้ำเสียอะไรบ้าง หนึ่งหลงตัวเองเป็นที่หนึ่ง คิดว่าตัวเองเก่งที่สุด ดีที่สุด แม้จะสอบไม่ได้ที่หนึ่งก็ตามแต่ก็เก่งแล้ว แม้จะทำงานสู้บ้านโน้นไม่ได้ แต่ได้เงินเท่านี้ก็เก่งแล้ว ถ้าคิดอย่างนี้ศิษย์น้องจะไม่มีวันได้แก้ไข เพราะคิดว่าตนเองดีแล้ว คนอื่นสู้ไม่ได้ เราจะไม่มีวันได้ยินเสียงที่ดีจากคนอื่น แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เรายอมรับว่าเรานั้นไม่ดี เรามีข้อเสีย การที่คนอื่นจะมาให้เราย่อมเป็นการง่าย เหมือนกับคนที่อวดตัวเองว่าเต็มแล้ว ดีพร้อมแล้วเพรียบพร้อมสมบูรณ์แล้ว จะมีใครอยากจะให้อะไรกับเราไหม ฉะนั้นเราต้องรู้จักเป็นคนอย่างไร (เป็นแก้วว่างๆ )ศิษย์พี่เคยได้ยินแต่ว่าเทน้ำลงในแก้ว บางคนก็แก้วว่าง บางคนก็แก้วเต็ม แก้วเต็มหรือแก้วว่างก็ยังดี แต่บางคนไม่มีแม้แต่แก้วให้รองรับอะไรเลย นี่แหละน่ากลัวที่สุด สองไม่เป็นคนเจ้าอารมณ์ อารมณ์อะไรบ้างที่เราชอบเป็น ชอบเป็นคนเจ้าอารมณ์ ไม่ดีเลย อารมณ์โกรธ ศิษย์น้องชอบเป็น เวลาโกรธเหมือนอะไร (เหมือนยักษ์) ที่เคยไม่มีเขี้ยวก็เขี้ยวโผล่ เวลาโกรธศิษย์พี่เปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนฟ้าผ่า ถ้าลงถูกคนๆ นั้นก็แดดิ้น แต่ถ้าลงไม่ถูกคนๆ นั้นก็กระจัดกระจายหายไปหมด ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ศิษย์น้อง ฉะนั้นต้องรู้จักดับความโกรธในใจตนให้เบาบางลง ทำได้ไหม (ทำได้) อย่าเป็นคนที่เลือดขึ้นหน้าบ่อยๆ คนเราเวลาโกรธ เมื่อพูดออกมาก็ไม่น่าฟัง พูดออกมาหิมะยังละลายได้เลย อากาศหนาวๆ อย่างนี้ยังร้อนได้เลย ฉะนั้นอย่าโกรธ ต้องหัดเป็นคนสุขุม ใจเย็น อ่อนน้อม สุภาพ นิ่มนวล สุภาพอ่อนน้อม แต่ไม่ใช่อ่อนแอ อารมณ์โลภ เราชอบงกกัน ต้องงกให้ตัวเองมีเยอะๆ ถ้าศิษย์พี่ให้ศิษย์น้องมีเงินสักร้อยล้าน แต่ให้ศิษย์น้องไปฆ่าคนหนึ่งคน ศิษย์น้องเอาไหม (ไม่เอา) ถ้าศิษย์น้องค้าขายได้กำไรสิบบาท แต่แอบโกงเขา ทั้งที่จริงๆ แล้วแค่ห้าบาท ระหว่างได้เงินมาล้านหนึ่ง แต่ฆ่าคน ต่างกันแค่ความหนักเบาเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่
ถ้าศิษย์น้องยังมัวห่วงเงินอยู่ งกกันอยู่ ศิษย์น้องก็จะทำบุญได้น้อยกว่าทำกุศล ถ้าเรายังบอกว่ากระเป๋ายังไม่เต็ม กระเป๋ายังว่าง ใส่ได้อีก ช่วงที่ใส่ก็เป็นช่วงที่ไปเบียดเบียนเขา แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ศิษย์น้องบอกว่าพอแล้ว อิ่มแล้ว ไม่งกแล้ว โอกาสที่ศิษย์น้องจะไปเบียดเบียนเขา ขโมยของเขาหรือไปแอบเบียดบังเขามาก็น้อยลง แล้วเอาเวลาที่ไปเบียดบังไปสร้างกุศลไม่ดีกว่าหรือ ตอนนี้ทุกคนมักพูดว่ายังไม่พอ ยังไม่เต็ม แล้วกว่าจะพอ กว่าจะเต็ม จะเป็นเมื่อไหร่ เมื่อวานนี้ศิษย์ได้ยินว่าระหว่างตาย มีชีวิตกับมีเงิน ศิษย์น้องยอมมีชีวิต แต่ยอมไม่มีเงิน หลายๆ คนหากพูดว่ามีเงินเยอะๆ กับมีเงินน้อยๆ เราก็เลือกเงินเยอะๆ ใช่หรือเปล่า แต่ถ้าเงินเยอะๆ และกุศลน้อยๆ เราจะเลือกอะไร ศิษย์น้องว่าเป็นไปได้หรือไม่ว่าศิษย์น้องมีเงินเยอะๆ แล้วศิษย์น้องจะทำบุญได้เยอะ เป็นไปไม่ได้ ศิษย์พี่ไม่เคยเห็น ถ้าสมมติว่าได้เงินมาห้าล้าน สามล้านเก็บไว้ อีกล้านหนึ่งเก็บไว้ให้ห้องพระ อีกล้านหนึ่งเอาไปทำบุญบริจาค ความจริงห้าล้านต้องเอาไปให้เขาหมดเลย เพราะห้าล้านนี้ศิษย์น้องโกงเขามาทั้งนั้นเลย
ใครบอกได้บ้างว่าเรามีชีวิตอยู่โดยที่ไม่ได้ขโมยของใคร เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) เราขโมยมาทั้งนั้น ขโมยเวลาของฟ้าดิน ขโมยต้นไม้จากดิน ขโมยแม่น้ำ แต่ขโมยจากธรรมชาติ เราไม่สูญเสีย แต่เราจะสูญเสียก็ต่อเมื่อเราขโมยอย่างเกินเลยและเบียดบัง สมมติว่าเราเอาน้ำมาเกินเลยจากความจำเป็น และทำลายอีกน้ำหนึ่ง ก็แปลว่าเราทำลายเบียดบังธรรมชาติ ขโมยอย่างเดียวไม่พอ ยังทำน้ำเสียอีก มนุษย์นั้นมักเป็นอย่างนี้ ใช้แล้วมักใช้ประโยชน์ไม่เป็น ใช้แล้วก็ใช้เกิน มีแล้วก็มีไม่เป็น อย่างนี้ไม่ถูกต้อง
ปีใหม่นี้ถ้าหากยังงกและยังโกรธอยู่ ยังโลภอยู่ จะแก้ไหม เหลืออีกไม่กี่วันเอง วันหนึ่งตัดอย่างหนึ่งทันไหม (ไม่ทัน) วันหนึ่งให้ตัดว่าศิษย์น้องไม่โลภเลย ทำได้ไหม ทำยากเหลือเกิน ถ้าวันนี้ศิษย์น้องไม่ทำถึงเวลาที่ศิษย์น้องต้องไปจากร่างนี้ศิษย์น้องก็จะทำใจไม่ได้ แล้วศิษย์น้องก็จะไปอย่างทรมาน วันนี้ศิษย์น้องอาจจะยังไม่เห็น แต่ศิษย์พี่เห็นมาหลายคนแล้ว ยังห่วงโน่นห่วงนี่ เวลาจะออกจากร่างนี้ก็เลยไปด้วยความทรมาน ทำไมบางคนไปได้อย่างสบาย ไปได้อย่างปลอดโปร่ง ไปได้อย่างเป็นสุขเหมือนหลับ ก็เพราะว่าเขารู้จักปล่อยแล้วก็ละวางตั้งแต่ยังมีชีวิต ถ้าเกิดว่าต้องไม่มีชีวิตขึ้นมาทันทีศิษย์น้องทำใจทันไหม จึงบอกว่าต้องรู้จักเตรียมพร้อมไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เตรียมจิตใจไว้ให้เป็น คนที่กำลังว่าสวยๆ หล่อๆ ไม่แน่คนที่ผมดำนั้นก็ไปก่อนคนผมขาวใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นำโอวาทครอบที่พุทธสถานสกุลหง จ. ชัยนาท คำว่า “สืบทอดคุณธรรม” ออกมา)
การที่เรานั้นจะบำเพ็ญธรรม คำว่า “ธรรม” ข้างหลังนั้นถ้าจะต่อเติมให้สมบูรณ์เต็ม ก็อาจจะได้ชื่อว่าเป็นคุณธรรมก็ได้ เมตตาธรรมก็ได้ กตัญญุตาธรรมก็ได้ สัตยธรรมก็ได้ จริยธรรมก็ได้ สัจธรรมทั้งหลายก็คือความเป็นจริง เมื่อเราอยากที่จะสืบทอดคุณธรรม คือ สืบทอดสิ่งที่เป็นเมตตาธรรม กตัญญุตาธรรม จริยธรรม ทุกอย่างที่ลงท้ายด้วยธรรม ก็ล้วนคือ คุณธรรมทั้งสิ้น
(พระอาจารย์เมตตาประทานโอวาทซ้อนโอวาท คำว่า “แห่งปราชญ์โบราณ” )
ทำไมต้องเป็นคุณธรรมของปราชญ์โบราณ ทำไมไม่เป็นคุณธรรมของคนสมัยนี้ เพราะว่ามีคุณธรรมของคนสมัยนี้ไม่ใช่คุณธรรมที่แท้จริง แต่เป็นคุณธรรมเพื่อทรัพย์สินเงินทอง เป็นคุณธรรมเพื่อได้หน้าได้ตา เป็นคุณธรรมเพื่อตนเอง ฉะนั้นจึงบอกว่าให้ “สืบทอดคุณธรรม แห่งปราชญ์โบราณ” เพราะว่าปราชญ์โบราณนั้นมีคุณธรรมอันเลื่องลือ แม้แต่ศิษย์ซึ่งอยู่ในสมัยนี้ยังได้ยิน แสดงว่าเลื่องลือตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบันและจะเลื่องลือไปจนถึงอนาคต เพราะว่าท่านเหล่านั้นสร้างคุณธรรมต่างๆ ขึ้นมาด้วยความจริงใจ ด้วยจิตเดิมแท้อันสุกใส จิตของเราตอนนี้ไม่มีความสุกใส ไม่สุกสว่าง เปรียบเหมือนพระอาทิตย์ที่อยู่หลังเมฆ แต่ถามว่าพระอาทิตย์ที่อยู่หลังเมฆนั้นเป็นพระอาทิตย์หรือไม่ เมื่อพระอาทิตย์พ้นออกจากเมฆดำนั้นๆ พระอาทิตย์ก็เหมือนเดิม ตอนนี้ศิษย์รอที่จะเหมือนเดิมอันนั้น แต่จะรอให้ลมพัดเมฆอันนั้นไปเห็นจะไม่เข้าท่า ศิษย์จะต้องหมั่นวิ่งออกมาจากก้อนเมฆดำๆ เหล่านั้น ทำได้ไหม
ในเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ก็จะถึงวันปีใหม่แล้ว อาจารย์เน้นเรื่องนี้มาก วันปีใหม่เป็นวันดี เพราะว่าวันปีใหม่มีคำว่า “ใหม่” ขึ้นมา ฉะนั้นอยากจะให้ศิษย์ทุกคนนั้นเริ่มต้นทำตนเป็นคนใหม่ แม้ว่าจะต้องฝืนใจบ้างก็ยังต้องทำ เพราะหากว่าเรานั้นอยากที่จะทานข้าว แต่เราไม่อยากลุกขึ้นมาทานเราจะได้ทานไหม เวลาที่เราอยากสอบได้ที่ดีๆ เราไม่ยอมที่จะอ่านหนังสือเราจะสอบได้ที่ดีไหม เวลาที่เรานั้นจะให้ลูกหลานของเราดีแต่เราขี้เกียจทำตนเป็นคนดีลูกหลานของเราจะดีไหม เหมือนเรายังสูบบุหรี่จะเรียกให้คนอื่นงดสูบได้ไหม เราเรียกให้คนอื่นกินเจแต่เรายังไม่กินได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นการที่เราจะเข้าสู่ปีใหม่ ขอให้เรานั้นทำตนเป็นคนใหม่ เลิกเป็นคนฟุ้งซ่าน เลิกเป็นคนที่เหลวไหล เลิกเป็นคนที่ไร้สาระ เลิกเป็นคนทำตัวน่าเบื่อ เลิกคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง
ขอให้เรานั้นบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติของศิษย์ ซึ่งเดิมแท้ธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนนั้นเป็นธรรมชาติอันงดงามและเป็นธรรมชาติอันสว่างใส เมื่อผู้อื่นสว่างใสแล้ว ตัวเราก็สว่างใสเช่นเดียวกันใช่หรือไม่ อาจารย์นั้นเคยมีร่างกายเป็นคนและอาจารย์ได้ใช้โอกาสที่เกิดเป็นคนนี้บำเพ็ญสำเร็จไปเป็นพุทธะ แล้วศิษย์ของอาจารย์ เจ้าได้ขึ้นชื่อว่าเป็นศิษย์ของอาจารย์แล้ว เจ้าจะต่างกับอาจารย์มากไหม คงไม่มากใช่หรือไม่ ต่างคนต่างมีข้อดี ข้อเสีย อาจารย์สอนเสมอว่า ถ้าไม่อยากจะมีเรื่อง ไม่อยากจะทะเลาะกับใคร ถ้าเจ้าอยากอยู่อย่างสุขสบายให้เอาข้อดีต่างๆ นั้นเข้าหากัน ส่วนข้อเสียของผู้อื่นนั้นให้อภัยเสีย อยากที่จะช่วยให้ผู้อื่นดีได้เจ้าต้องดีก่อน อยากจะช่วยให้ผู้อื่นนั้นก้าวขึ้นไปอีกสามก้าว เจ้าต้องก้าวสี่ก้าว ถ้าหากว่าอยากให้ผู้อื่นก้าวสามก้าวแต่ศิษย์ก้าวสองก้าว ศิษย์คงช่วยผู้อื่นไม่ได้
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนร่วมกันร้องเพลงพระโอวาท)
เพลงนี้อาจารย์มอบไว้ให้กับศิษย์ที่มีความเหนื่อยใจ เหนื่อยที่งานธรรมะนั้นมีมากมายแต่ไม่สมหวัง เมื่อเราไม่สมหวังเราจะมีความคิดชั่วแล่นขึ้นมา บางคนคิดเลิกไปเลย บางคนหลบไปเลย บำเพ็ญอยู่คนเดียวก็ได้ แต่วิธีการเหล่านั้นเป็นวิธีการที่อาจารย์ไม่เคยคิดที่จะทำเลย จะมีใครถามบ้างว่า อาจารย์นั้นเหนื่อยไหม อาจารย์เหนื่อยใจไหม ยกตัวอย่างอาจารย์มาวันนี้ก็ยังมีคนไม่เข้าใจอาจารย์ ยังมีศิษย์ที่สงสัยอยู่มากมาย อาจารย์นั้นไม่ปลอบตัวเอง อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์เป็นคนที่คิดอะไรชั่วแล่น อย่างน้อยใจนั้นควรต้องคิดได้ ในใจของเรามีปัญญาอยู่ อย่างน้อยใจของเรานั้นต้องคิดได้ อยู่ที่ว่าศิษย์นั้นจะเชื่อความคิดนี้ของตัวเองไหม มนุษย์ทุกคนนั้นมีมโนธรรมสำนึกเป็นฐานและเป็นฐานที่มั่นคงที่สุดในใจของเจ้าด้วยซ้ำ เพียงแต่ใจดวงนี้ก็เหมือนกับพระอาทิตย์หลังเมฆ เป็นเรื่องยากที่จะหาใครสักคนหนึ่งมาเข้าใจเรา แต่เป็นเรื่องง่ายที่ศิษย์นั้นจะเข้าใจตัวเองและรู้จักตัวอง เมื่อเราได้รู้จักตัวเองต่อให้ปัญหาสูงเท่าเมฆก็ผ่านไปได้
“ใจคนร้อนรนเกิดปัญหาไปทำใจเย็นเย็นเถิดหนา”  มีปัญหามากมายเกิดจากความใจร้อนของเรา ให้ทำใจของเรานั้นให้เย็น อย่าเป็นคนที่ใจมีอุณหภูมิสูง เพราะถ้าหากว่าเรานั้นใจร้อนทุกสิ่งทุกอย่างจะยิ่งแย่กว่านี้ การที่เรานั้นจะอยู่ในโลกนี้ อันดับแรกเราต้องรู้จักตนเองก่อน แล้วค่อยไปรู้จักคนอื่น ทำความดีเท่าที่เราทำได้ ทำความดีเท่าที่เรามีโอกาสนั่นเป็นสิ่งที่ศิษย์สมควรทำที่สุด
“จะทำสิ่งใดจงคิดหน้าหลัง ไม่ไร้ความหวังในยามต้องฝ่า” จะทำอะไรก็ตามขอให้คิดหน้าคิดหลังให้ดีๆ เวลาจะฝ่าไปอย่าคิดว่าเราทำไม่ได้ อย่าไร้ความหวัง การฝ่าฟันนั้นเป็นเรื่องยาก แต่การลองดูนั้นไม่เสียหาย
“เก็บความน้อยใจ เก็บเอาน้ำตาสร้างค่าให้กับวันนี้” คนทุกคนมัวน้อยใจจนไม่เป็นอันทำอะไร อย่าน้อยใจเลยนะ ใครทำสิ่งไหนก็จะได้สิ่งนั้น ใครทำมากได้มาก ใครทำน้อยได้น้อย ใครไม่ทำก็หยุดอยู่กับที่ จะเป็นพุทธะชาตินี้หรือจะเป็นปุถุชนต่อไปอีกหลายๆ ชาติ หรือจะเวียนต่ำลงไปอีกนั้นขึ้นอยู่กับเรา
“ศิษย์เอยโลกนี้ปลอมนั้นไม่ทน” ปลอมคืออะไรบ้าง กายของเรานี้เป็นกายปลอมหรือเปล่า ทำไมถึงบอกว่ากายนี้ปลอมทั้งๆ ที่เราตีเขาๆ ก็เจ็บ เพราะว่าชีวิตนี้อยู่ได้อย่างมากก็ร้อยปี มีบุญหน่อยก็อยู่ได้มากกว่านั้นสุดท้ายกายนี้เป็นของเราไหม (ไม่เป็น) ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเงินทองทรัพย์สิน เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ยิ่งอยู่ไม่ได้ใหญ่เลย เงินอยู่กับศิษย์ไม่เกินหนึ่งปีเลยใช่หรือเปล่า เวียนเข้าเวียนออก เวียนออกเวียนเข้า เป็นของปลอมที่ยิ่งกว่าปลอม แล้วจะเอาสาระอะไรกับสิ่งเหล่านี้ มีความพยายามมากมายแต่อย่าพยายามเพื่อที่จะได้เงินทองลาภยศ เพราะเมื่อใดที่เราได้ลาภยศเงินทองเหล่านี้มา ความพยายามของเรานั้นก็จะกลายเป็นความว่างเปล่า ซึ่งเรานั้นรู้สึกว่าไม่มีค่าอะไรเลย แล้วจะมีประโยชน์อะไร ชีวิตของเรานี้ให้พยายามในสิ่งที่เป็นความอิ่มใจ เป็นความอุ่นใจจะดีกว่า
“ศรัทธาจากใจ ไม่ปองแข่งขัน” ทุกคนมีความศรัทธา แต่เป็นความศรัทธาที่จริงแท้หรือเสแสร้ง ศรัทธาด้วยปัญญาหรือศรัทธาด้วยความรู้สึกมีกิเลส ความศรัทธานั้นไม่สามารถเอามาแข่งขันกันได้ ไม่สามารถบอกว่าใครมีความศรัทธามากกว่ากันได้ แม้แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เองมองไปยังไม่รู้เลย เพราะว่าสามปีแรกมีใจแต่หลังจากนั้นไม่รู้ ไม่รู้ใจดวงนั้นหายไปไหน จึงบอกว่ารักษาใจของเราที่เป็นใจเริ่มแรกในยามมีใจนั้นไว้ให้ดี เพราะว่าใจดวงนี้มีค่ามากที่สุด ยามใดที่เรานั้นมีกำลังใจในการช่วยคนมากที่สุด ให้รักษาใจนั้นไว้ให้อยู่คู่กับเราไปตลอดการบำเพ็ญ แล้วเจ้าจะไม่ท้อ ไม่รู้สึกอยากจะเลิกบำเพ็ญเลย
รู้ไหมว่ากลับไปไหน เวลามองออกไปข้างนอกมีคนตั้งมากมายในโลกนี้ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายอลหม่าน บางครั้งศิษย์ของอาจารย์ก็ร่วมไปในความอลหม่านนี้ด้วย หวังเป็นอย่างยิ่งสองวันนี้ถึงต้นไม้ไม่โตแต่เมล็ดฝังลงดินได้ดี บำเพ็ญให้ดีนะ อาจารย์นั้นไม่ได้มีเวลามาพบศิษย์บ่อยครั้ง โอกาสสั้นๆ แต่หวังว่าศิษย์นั้นจะจดจำไปนานแสนนาน
(พระนาจาเมตตาส่งเสริมอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม)
บำเพ็ญนะ ศิษย์พี่รักศิษย์น้องทุกคน อาจารย์ก็รักศิษย์น้องทุกคน เราเหมือนครอบครัวเดียวกัน เราอย่าได้ทิ้งกันนะ งานยังเหลืออีกมากตั้งใจทำกันให้ดีๆ นะ อยู่หน้าเขาแล้วอย่าดื้อมาก มีแต่ความเมตตา มีแต่ความอ่อนน้อม ถึงจะนำพาคนอื่นเขาได้ ถึงจะชนะใจเขาได้ทุกๆ คน ชนะใจเขาแค่เพราะว่าเป็นผู้นำนั้นไม่มีประโยชน์ แต่ต้องชนะได้ทั้งใจเขา รักเขาให้ได้เหมือนพ่อแม่เขาอีกคนหนึ่ง ศิษย์น้องเป็นพ่อแม่เขาเหมือนกัน ต้องทำได้นะ
พระอาจารย์ : อีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า เราศิษย์อาจารย์จากกันไปไกล รักษาตัวเองให้ดีๆ มีน้ำใจกับผู้อื่น อย่าดูแคลนคนอื่น
พระนาจา:อย่าดื้อนะ บำเพ็ญดีๆ อย่ายอมแพ้
พระอาจารย์ : รักษาสายทองของเราให้ดีๆ รักษาตัวเราให้ดีๆ จำที่อาจารย์พูดไว้

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2542

2542-12-18 พุทธสถานสกุลหง จ.ชัยนาท


PDF 2542-12-18-สกุลหง (อิ๋งเต๋อ) #24.pdf


วันเสาร์ที่ ๑๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ พุทธสถานสกุลหง จ.ชัยนาท

สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
ชีวิตหนึ่งดั่งความฝันไม่ยืนนาน วัฏฏะสงสารตั้งเป้าหมายจึงพ้นหลุด
กิเลสที่ในใจตนให้เริ่มหยุด แดนวิมุตหันหลังพลันจะได้เจอ
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา  ฮวา
ความหวังที่สมหวังได้มีไม่มาก ต้องลำบากขมก่อนแล้วจึงหวาน
ชีวิตคนมีสุขทุกข์เป็นพื้นฐาน เมื่อรู้การณ์เร่งค้นหาสิ่งที่ดี
บำเพ็ญธรรมไม่ลงมือปฏิบัติ เดินทางลัดแต่สะดุดขาตนนั่น
อย่าได้เห็นเป็นเรื่องแสนโบราณ บำเพ็ญนั้นพาตนพ้นเวียนว่ายเอย
ในวันนี้ทั้งน้องพี่ร่วมสถาน บุญสัมพันธ์พบเจอกันไม่ใช่ง่าย
อย่าสงสัยให้มากความอันตราย จิตสบายใช้ปัญญาค่อยพิจารณา
หากไม่รู้ค่อยศึกษาไม่เว้นว่าง คนหลงทางหมั่นถามทางพ้นความหลง
ทำจิตใจของตนเองให้คืนตรง จะยืนยงอยู่คู่ฟ้าและดิน
วันแรกแห่งการประชุมขอรู้จัก ให้ตระหนักการย้อนมองจิตตนเถิด
เกิดเป็นคนนับว่าแสนสุดประเสริฐ ใจจงเลิศเหล่าคุณธรรมมาเป็นหนึ่ง

ที่ผ่านมาเคยขื่นขมระทมหนัก ด้วยความรักโลภหลงในจิตนี้
บำเพ็ญธรรมขจัดออกจนไม่มี ทุกนาทีสร้างคุณค่าชีวิตคน
เวียนว่ายมานานแล้ววอนหาทาง อย่าได้สร้างบาปกรรมเพิ่มให้เหลือล้น
ในครานี้โชคดีพบทางหลุดพ้น เชื่อมั่นตนน้องก็ต้องเชื่อมั่นคน
อันโลกนี้ร้ายมากแต่ดีน้อย จงมาช่วยค่อยเปลี่ยนแปลงเริ่มจากตน
ด้วยเมตตาความกล้าหาญยากอับจน จงอดทนต่อเรื่องที่ยากทน
สองวันนี้ศึกษาธรรมเพื่อบำเพ็ญ อาจลำเค็ญด้วยความร้อนก็มีบ้าง
แต่แสงแห่งจิตเดิมแท้อย่าเลือนลาง ให้ใจกว้างรับฟังแลพิจารณา
ทำสิ่งใดไม่ลวกลวกขอเตือนย้ำ น้อมลงต่ำจึงได้ก้าวบันไดฟ้า
หมั่นช่วยคนให้ขึ้นสู่นาวา ทะเลทุกข์กว้างสุดตาฟ้ายังคลุม
ยุคสามนี้ฟ้าโปรดเหล่าคนดีแท้ จิตแน่วแน่สองวันฟังอย่างสุขุม
อย่าให้เกิดจิตมารเข้าคอยรุม จงควบคุมทั้งอารมณ์ใจตนเอง
ส่วนพี่นั้นรับบัญชามาคุมชั้น ขอน้องนั้นตั้งใจฟังอย่าไขว้เขว
ให้ใจอยู่กับตัวอย่าโลเล มิปนเปเหล่าอกุศลขวางทางธรรม
จงรักษาพุทธระเบียบให้ดีพร้อม บรรพชนคอยห้อมล้อมรอกุศล
จักขึ้นหรือลงอยู่ที่ความคิดตน ชั่วขณะขอจงระวังเอย
จบจากชั้นหมั่นกลับมาสถานธรรม การล้างดำต้องกระทำกันบ่อยบ่อย
ขอจงมีความมุ่งมั่นที่ไม่น้อย อย่าได้คอยเพราะเวลาไม่รอคน
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา  ฮวา  หยุด


วันเสาร์ที่ ๑๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ พุทธสถานสกุลหง  จ.ชัยนาท
พระโอวาทพระนาจา

คิดแต่แง่ดีให้มาก ลำบากย่อมกลับกลายง่าย
คิดแต่แง่ร้ายทำลาย เรื่องง่ายย่อมกลายลำเค็ญ

เราคือ
ศิษย์พี่นาจาน้อย รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน    แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนสบายดีไหม

ชีวิตฝันกาลเวลาน้อยนักแล ธารกระแสไหลล่วงพักทบทวนไม่
หลากชีวิตเลยไม่เคยคุ้นน้ำใจ ตามสมัยปล่อยเพลินไม่เข้าที
ยากเบาบางกิเลสในใจตน ยิ่งในคนใช้เวลาไม่กระพี้
ไม่ได้การกลับไปมาวจี เปลี่ยนตนดีรออะไรใช้ปัญญา
คนบางคนบ้างคอยแต่ประโยชน์ คำนึงโทษก้าวน้อยเกินสะดุดขา
ผัดวันหน้าเพราะคร้านเสมอมา บำเพ็ญหนาแม้เลือกไม่ของมงาย
อันธรรมและชีวิตได้รวมหนึ่ง คนรู้ถึงโศกศัลย์ไม่โศกพ่าย
แม้ยากจนยากไม่ทำเวียนว่าย อย่าเบื่อหน่ายชีวิตต้องสู้ทน
มีมากที่คนเขินกระทำดี บริสุทธิ์พลีความดีย่อมส่งผล
เปรียบที่ว่างอันเจริญเพราะตน ขอบุคคลตักษัย  ไม่ติดแรงกรรม
คนเป็นทาสเงินทองชีวิตหม่น จิตกายตนบูรณภาพ  หรือถลำ
ช่วยกันจรรโลงคุณธรรมเพื่อสันตินำ ประทีปล้ำสืบทอดไปคลายอับจน
การจะปราบใจล้นอารมณ์ฤทธิ์ ขัดเกลาจิตกิเลสที่ทำให้สับสน
ดั่งการให้ความเห็นต้องอดทน ธรรมดาคนหน่ายซึ่งแกร่งแล้งเมตตา
เวลาผ่านคงผองสิ่งดีไว้ เสียสละให้ชนตนก้าวหน้า
ประสานใจเหนือใต้พร้อมคืนมา คนตามฟ้าจงสวัสดีมีพลัง
ฮิ ฮิ หยุด

ตื่นลืมตา  ความคิดสับสน  จิตเวียนวนกับทุกข์อย่างเดิม  อยากท้อใจพุทธะก็ส่งเสริม  คืนกลับฟ้า  ยากเย็นต้องไป  ให้ลองดูใครเขาก็ผ่านมา  ใช่แต่เราคนเดียวซะเมื่อไหร่  ฝึกบำเพ็ญมีทุกข์ก็บ่อยไป  แต่อย่าหายหน้าไปเสียเลย
* นอนคิดเบื่อ  เดินคิดต่อใจชักส่อเค้าความวุ่นวาย  ดึงไว้ก่อนวนครั้งใหม่  หมดปัญหาเพราะเข้าใจ  เริ่มที่ใด  ห้ามที่ใดไม่วุ่นวาย  ไม่วุ่นวาย
หากจะทำสิ่งไหนไหนต่อไป  มีจุดหมายอย่าเผลอใจร้อน  จะก้าวเท้าบางครั้งต้องมองย้อน  ทุกเรื่องล้วนมีทางของตนเอง  ตื่นลืมตาใจมิสับสน  แจ้งว่าคนที่ล้มล้วนคนเก่ง  หากใครทักต้องคิดอย่างเกรง  จึงไม่เคว้งเหมือนดังเคยมา (ซ้ำ *, *)
เพลง : คิดมากลำบากใจ
ทำนองเพลง : ไม่ใช่เลย



พระโอวาทพระนาจา

สมมติว่าผลไม้นี้ตกลงมาคนบางคนก็เดินผ่านไปไม่ได้สนใจอะไร  แต่บางคนอยากรู้อยากเห็นก็เอามือหยิบดู   แต่ถ้าบางคนในความคิดมีความกลัวอยู่ก็จะเอาเท้าเขี่ย หรือไม่ก็เดินวนรอบๆ  ก่อนแล้วพิจารณาดูว่ามันเป็นอะไรกันแน่  วันนี้ก็เหมือนกัน  ท่านเจอเราก็เหมือนกับเจอผลไม้ลูกนี้  จะรู้ว่ามีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์หากเอาแต่มองรอบๆ   จะเห็นไหม (ไม่เห็น)  แล้วเดินผ่านไปเลยน่าเสียดายไหม (น่าเสียดาย)  อุตส่าห์ตกมาอยู่ตรงหน้าแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่อย่างนั้นถ้าท่านเดินผ่านไปก็ไม่มีประโยชน์มานั่งก็ไม่สนุกใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นลองหยุดดู ลองหยิบดู ลองผ่าดู  แต่การจะผ่าก็คือการใช้ปัญญาพินิจดูว่าตัวเรานั้นเป็นอะไร ตัวเรานั้นมาเพื่ออะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่ามองแต่เปลือก อย่ามองแต่รูปลักษณ์ภายนอกแล้วไม่สนใจเลย อย่างนี้น่าเสียดายใช่ไหม (ใช่)  เหมือนผลไม้และผักในโลกนี้ หากคนเราเอาแต่นิ่งเฉยเราคงไม่รู้ว่าอันไหนกินได้ อันไหนกินไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนข้างๆ นี้เขาก็เหมือนคนที่เสียสละลองชิมผลไม้ลูกนี้ให้ท่านดูก่อน  ชิมแล้วก็บอกท่านว่าดี มีประโยชน์  แล้วก็ชวนท่านมาร่วมกินด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะว่าเขาดีอย่างนี้ท่านก็เลยเดินตามกันมา ฉะนั้นเมื่ออยากรู้ว่าอร่อยหรือไม่อร่อยต้องผ่าก่อน โดยใช้ปัญญาคิดดู ใช้ไหวพริบของท่านพิจารณาดูดีหรือเปล่า (ดี)
วันนี้เรารู้ว่าเรามาศึกษาบำเพ็ญธรรม เป็นหนทางหนทางหนึ่งที่จะนำชีวิตเราไปสู่ความสงบ ความสุข และชีวิตที่ดีงามใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วหนทางนี้เป็นหนทางที่แปลกหรือแตกต่างจากชีวิตปกติหรือไม่ จริงๆ ไม่แปลกไม่แตกต่างเลย พุทธะเคยกล่าวไว้ว่าหนทางแห่งธรรมะ หรือหนทางแห่งความหลุดพ้นก็อยู่ที่การมีชีวิตอยู่  แต่ว่าท่ามกลางของชีวิตที่เดินไปนั้นเป็นอย่างไร ยิ่งเดินยิ่งสว่าง แต่มนุษย์นั้นทำไมถึงยังเป็นปุถุชน ไม่สามารถเป็นอริยะหรือพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้  ก็เพราะว่ายิ่งเดินก็ยิ่งหลง ตอนเดินมาแรกๆ ก็เบา แต่พอเดินไปสักระยะหนึ่งก็มีกางเกงหนึ่งชิ้น พอเดินมาสักพักหนึ่งก็มีเสื้ออีกหนึ่งตัว พอเดินมาอีกก็มีกระเป๋าอีกหนึ่งใบ พอมีกระเป๋าก็ต้องมีเงินในกระเป๋า  แต่พอมีเงินในกระเป๋าเป็นอย่างไรต้องมีสร้อยคออีกหนึ่งเส้น กำไร แหวนอีกมากมาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอมีสิ่งของเหล่านี้แล้วมีใครบ้างที่มีปัญญาสว่างไสว จิตใจเบิกบาน มีไหม  พอมีเงินก็คิดอีกเรื่องหนึ่ง พอมีเสื้อผ้าก็คิดอีกเรื่องหนึ่ง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  พอมีลูกมีหลานก็คิดๆ พอยิ่งคิดก็ยิ่งมืดยิ่งหลง หลงว่าเรานั้นสวย เรานั้นดี เรารวย เราเก่ง จึงไม่ได้เจอทางแห่งพุทธะ หรือทางแห่งความสำเร็จสักที  สำเร็จเหมือนกันแต่สำเร็จ เป็นคนที่ไปซ้ายทีขวาทีไม่เคยหยุดเลย  ตอนนี้เราอยากเป็นอริยะ หรือจากคนเป็นพุทธะไหม (อยาก)
“คิดแต่เรื่องร้ายทำลาย  เรื่องง่ายย่อมกลายลำเค็ญ”
 บางครั้งถ้าเรื่องมันยากแต่เราคิดในแง่ดี ไม่เป็นไร ยากหน่อยเราสู้ ยากหน่อยเราอดทน เราก็ย่อมฝ่าได้  แต่ถ้าหากเจอเรื่องยากหรืออุปสรรคเราก็ท้อ  ว่ายาก ว่าลำบาก เช่นนี้แทนที่เราจะมีใจสู้เราก็ท้อไปครึ่งหนึ่งแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  เรื่องที่ยากก็กลายเป็นเรื่องที่ยากขึ้นไปอีก
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นปรบมือตามจังหวะ)
ทำไมเราถึงควบคุมการปรบมือได้  ทำให้มากๆ เราก็ทำเป็น ทำให้น้อยๆ เราก็ทำเป็น แต่ก่อนมีมากไหม แต่ก่อนเรามีน้อยใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่เราสามารถทำให้ตัวเรามีมากได้ แต่ก่อนเรามีเงินบาทเดียว เราสามารถมีเงินเป็นสิบเป็นร้อยได้ และจากมีพันมีร้อยมีสิบ เราสามารถทำให้ไม่มีก็ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  โดยการทิ้งเลยใช่หรือเปล่า  แม้หากวันนี้ท่านไม่ยอมทิ้ง สักวันหนึ่งท่านก็ต้องยอมจริงหรือเปล่า  ฉะนั้นหากยอมทำใจเสียตั้งแต่วันนี้ เวลาที่หมดกายเนื้อไปก็ปล่อยได้  แต่หากตอนนี้ไม่รู้จักคิดเช่นนี้ ตอนเราหมดสิ้นอายุขัยเราก็ไม่สามารถทำใจได้  ชีวิตของเราก็เหมือนกับการปรบมือเมื่อสักครู่นี้ ปรบดังได้ก็รู้จักปรบเบาได้  ทุกคนย่อมมีความพอดีต่างกันใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนปรบแบบนี้แล้วก็บอกว่านี่แหละพอดีของฉันแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะไปว่าคนที่ปรบมือแบบนี้ว่าโลภ ได้หรือเปล่า ก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมเราถึงพูดอย่างนี้ นั่นก็เป็นเพราะว่า คนแต่ละคนตั้งแต่เรามีชีวิตทำให้เรารู้จักตนเอง รู้จักคน รู้จักโลก เรารู้จักคนรู้จักโลกแล้ว เรายังรู้จักชีวิตที่แท้จริงหรือสัจธรรมของชีวิตด้วย คนคนหนึ่งเราไปคาดหวังกับเพื่อนคนหนึ่ง ลูกคนหนึ่ง หรือพ่อแม่เราจะไปคาดหวังให้เขาต้องเป็นแบบนี้ตลอดไป หรือคาดหวังให้เขาทำอะไรถูกใจเราตลอดเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  อยู่ร่วมกันจะให้เขาทำอะไรถูกใจ โดยไม่ผิดใจเราก็เป็นไปไม่ได้  แล้วเราอยู่ร่วมกัน มีใครบ้างไหมชอบให้เราจับเขามัดอยู่กับเก้าอี้ไม่ให้ไปไหน แล้วก็คาดหวัง ยึดมั่น หวังมาก  ว่าเราต้องเป็นอย่างนี้ๆ เราชอบไหม (ไม่ชอบ)  แล้วเราเคยเผลอไปทำกับใครไหม (ไม่เคย)  เคยไหมที่ผิดหวังกับลูก (เคย)  เคยไหมผิดหวังกับตัวเอง (เคย)  เคยไหมผิดหวังกับเพื่อน (เคย)  ก็เพราะเราอดที่จะคาดหวังกับเขาไม่ได้ ทำไมไม่ดีกับเราใช่ไหม (ใช่)  ทำไมไม่ดีกับฉันก่อน แล้วฉันถึงจะดีกับเธอ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นคิดอย่างนี้บางทีก็ไม่ถูก พอเขาทำไม่ได้ดั่งใจก็โกรธเขา ว่าเขาเลยได้ไหม (ไม่ได้)  แค้นเขาเลยได้หรือเปล่า  แต่จริงๆ ไม่สมควรที่จะโกรธเขาเลยเพราะอะไร ทำไมเราถึงบอกว่าไม่สมควร (เพราะเป็นสิทธิ์ของเขา)  อาจจะเป็นสิทธิส่วนตัว แต่บางครั้งเราต้องคิดด้วยว่า เขาทำแล้วตั้งอยู่ในเหตุผล หรือจิตใจเขามีคุณธรรมมีความชอบธรรมด้วยหรือเปล่า  แม้สิ่งที่ดำเนินไปนั้นจะไม่เป็นไปดังหวัง ถ้าจบลงด้วยดีไม่มีผลกระทบไม่เสียหายทำลายชื่อเสียง  แม้จะต่างจากที่เราหวัง แต่จบลงด้วยดีเราก็ไม่ควรที่จะไปโกรธเขาเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ถ้าเกิดจบไม่ดี ดำเนินก็ไม่ดี เราจะโกรธได้ไหม (ไม่ได้)  ก็ไม่ควรโกรธอีกใช่หรือเปล่า (ใช่)  แข็งกับแข็งเจอกันเป็นอย่างไร (หัก)  เจ็บก่อนแล้วค่อยหัก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเกิดเขาไม่ดี ทำไม่ถูก ไม่เป็นดังหวัง เราต้องรู้จักอ่อน เพราะอ่อนจึงชนะแข็งได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังนั้นเราจึงต้องเข้าใจว่าคนบางคนมีความคิดต่างจากเรา คนบางคนมีหลักเกณฑ์ไม่เหมือนเรา คนบางคนมีนิสัยความเคยชินต่างจากเรา  หากเราคิดได้อย่างนี้ เราจะเป็นอย่างไร (สบายใจ)  ไม่ต้องไปกังวล ไม่ต้องไปคาดหวัง และจะได้ไม่ต้องผิดหวังในสิ่งที่คาดจริงหรือไม่ (จริง)  แล้วเราก็จะได้ไม่โกรธเขาอีก  หากมีชีวิตไม่ต้องโกรธคนได้หนึ่งวันดีไหม (ดี)  เพราะเวลาโกรธแล้วเป็นอย่างไร (เราก็เป็นทุกข์)  แต่ก่อนจะทุกข์เราเป็นอย่างไร หัวแทบจะระเบิดเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ร้องเพลง)
ร้องเพลงแล้วรู้สึกได้บรรยากาศใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราไม่กระฉับกระเฉงอย่างนี้เราก็ไม่รู้สึกเลยใช่หรือเปล่า กลับยิ่งเบื่อหน่ายเข้าไปอีก ถ้าเราอยากดีก็ต้องดีให้ตลอด หากวันหนึ่งต้นไม้บอกว่าอยากออกผล อีกวันหนึ่งไม่ออกผล ท่านจะทำอย่างไรกับต้นไม้นี้ดี (ฟันทิ้ง)  ถ้าเกิดต้นไม้ออกผลแล้วอยู่ๆ ไม่ออกผลแถมใบเหี่ยวหงิกๆ งอๆ เป็นเพราะอะไร (ต้นไม้ขาดการดูแล)  ขาดการดูแลต้องใส่ปุ๋ยต้องบำรุงใช่หรือไม่ (ใช่)  หากคนเราอยู่ๆ เกิดไม่ดีขึ้นมาท่านทำอย่างไร (ต้องปรับปรุงตัวเอง)  ธรรมะก็เหมือนโรงพยาบาลรักษาคนป่วยใช่หรือเปล่า (ใช่)  เจ็บป่วยทางไหน ป่วยทางจิตพิการทางใจ  เวลาคนเราไม่ดีไม่ใช่เราต้องตัดเขาทิ้ง แต่เราควรต้องดูสาเหตุใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนตัวเราทำไมเราถึงไม่ดี เราต้องดูด้วยว่าเพราะอะไรเราถึงไม่ดี แต่จริงๆ แล้วต้นไม้เกิดมาจะไม่ดีตั้งแต่ต้นเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  จะไม่มีประโยชน์เลยเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  บางครั้งต้นหญ้าที่เราว่าน่ารำคาญ แต่จริงๆ ก็ช่วยปกคลุมดิน ดึงดินไม่ให้ดินต้องสูญเสียแร่ธาตุใช่หรือไม่  คนก็เช่นเดียวกัน ทำไมต่างกันจากหนึ่งถึงสิบ ต่างกันราวฟ้ากับดิน  เราจะไปโทษเขาก็ไม่ได้ ทำไมเป็นคนไม่มีประโยชน์ทำตัวเป็นคนอันธพาล  บางครั้งเราต้องมองเปิดให้กว้างใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาอาจจะบกพร่องหรือขาดอะไรไป  แล้วคนส่วนมากที่ไม่ดีเขาบกพร่องและขาดอะไรกัน (ความเมตตา, คุณธรรม)  จริงๆ แล้วถ้าเรามองให้ดีคือเขาขาดคุณธรรม ตัวเราบางทีก็เผลอขาดคุณธรรมได้  เมื่อใดที่เราไม่ดีเมื่อนั้นเราขาดคุณธรรมแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ต้องดูว่าขาดคุณธรรมข้อไหนใช่หรือเปล่า เพราะคุณธรรมเปรียบเหมือนฟ้าที่กว้างไม่มีที่สิ้นสุด  มนุษย์เราก็เหมือนกันจะมีคุณธรรมที่กว้างไม่มีที่สิ้นสุด กว้างจนสะเทือนใจคนอื่นได้หรือเปล่า กว้างจนทำให้คนเห็นดีเห็นคล้อยตามเรามาด้วยหรือเปล่า ขึ้นอยู่กับตัวเรา แต่ตัวเรานั้นจะมีท่าทีดีงามได้ ภายในต้องดีด้วย  นั่นก็คือในบริบูรณ์นอกจึงงดงามจริงหรือไม่ (จริง)  เฉกเช่นเดียวกัน คนก็เหมือนกับต้นไม้จะออกดอกออกผลได้ คนจะเป็นคนดีจนถึงที่สุดได้นั้นต้องอยู่ที่จิตใจเขาด้วยเหมือนกัน ฉะนั้นคนเราจะสามารถแปรเปลี่ยนหรือแก้ไขสิ่งที่ไม่ดี ที่เรียกว่าประพฤติผิดนั้นต้องเริ่มแก้ที่ใจใช่ไหม (ใช่)  ต้นไม้เกิดการมีหนอนมีอะไรขึ้นมา เราจะบอกว่ามีตัวเดียวไม่เป็นไรได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ไม่เป็นไรผิดนิดเดียวเองได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  หนอนตัวเดียวนี่แหละตัวดีนัก ที่จะทำให้มีอีกเป็นสิบตัวใช่หรือไม่ (ใช่)  ความผิดความไม่ดีของตัวเราก็เช่นเดียวกัน อย่าได้ประมาท อย่าได้ดูเบา หากปกปิดนั่นแหละชั่วมหันต์ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากดีแล้วไม่เปิดเผย ไม่พูดว่าฉันดี แล้วจะเป็นอย่างไร  ไม่มีใครชมว่าดีหรอกใช่หรือเปล่า  ดีแบบไม่มีคนเห็น ดีแบบไม่ต้องอวดอ้างจึงจะเรียกว่าดีอย่างแท้จริง เราทำได้ไหม (จะพยายาม)  ท่านอยากให้ลูกดีไหม (อยาก)  แล้วถ้าท่านไม่ดีก่อนแล้วเขาจะดีตามไหม เหมือนต้นไม้รุ่นแรกย่อมออกมาสวยที่สุด ถ้ารุ่นสองขาดการดูแลบ่มเพาะจะเป็นอย่างไร เล็กลงมาหน่อยใช่หรือไม่ (ใช่)  หากท่านบอกว่าทำดีแค่นี้พอแล้วรุ่นต่อไปเป็นอย่างไร เหลืออีกเสี้ยวหนึ่ง แล้วรุ่นต่อไปอาจจะไม่มีเหลือเลยจริงหรือไม่ (จริง)  เหมือนเช่นตอนนี้ถ้าทุกคนคิดว่าไม่เป็นไร ไว้ทีหลังก็ได้ แล้วรุ่นหลังเป็นอย่างไร แทบจะไม่ต้องสนใจว่าต้องเป็นคนดี ต้องศึกษาธรรมเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นตัวเราต้องนำตัวเราให้ได้ก่อน แล้วเราจึงจะเรียกร้องคนอื่นได้จริงหรือไม่ (จริง)  เฉกเช่นเดียวกันสำนวนปราชญ์ที่กล่าวไว้ว่า “ที่นาของเรามีเรายังไม่ดูแล เรายังจะไปเรียกร้องให้คนอื่นทำนาของเขา”  เขาจะทำไหม เขาต้องชี้กลับมาว่าเราใช่หรือไม่ ว่าทีตัวเราเองเรายังไม่ทำเลย
“ไม่ได้การกลับไปมาวจี”
นั่นก็คือเกิดเป็นคนแล้วหากตั้งใจจะทำสิ่งใด พูดออกไปแล้วต้องทำให้ได้อย่างที่พูด  หากไม่แน่ใจว่าทำได้พูดน้อยหน่อยก็ไม่เสียหลาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่เป็นคนกลับไปกลับมาเช่นนี้เรียกว่าไม่มีสัจจะ  หลายต่อหลายคนที่บอกให้มาบำเพ็ญธรรม ศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรม แล้วให้เป็นคนที่ดี  บางคนมักจะไม่ยอม ยังมัวกังวลถึงผลประโยชน์อยู่ ยังมัวอดไม่ได้ที่ต้องแสวงหาทรัพย์สินในโลกนี้อยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงทำให้เราไม่มีเวลาที่จะมาศึกษาธรรม ไม่มีเวลาที่จะช่วยเหลือใครใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ถ้าเกิดเป็นคนเอาแต่นึกถึงประโยชน์ของตน ไม่เคยนึกถึงประโยชน์ให้กับใคร คนคนนั้นเป็นคนอย่างไร น่าคบไหม (ไม่น่าคบ)  เพราะผลประโยชน์เขาก็มองแต่ตน เขาไม่เคยยื่นให้แก่ใครใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนบางคนต้องคอยแต่ประโยชน์ หลายคนที่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้มักจะคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากมีประโยชน์ฉันรับ ไม่มีประโยชน์ฉันทิ้งใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำให้เรามีชีวิตอยู่อย่างคนที่ต้องมีประโยชน์อย่างเดียว  แต่เราลืมคำนึงถึงคุณประโยชน์ของการไร้ประโยชน์ใช่ไหม สองสิ่งที่เรียกว่าหนึ่งมีประโยชน์กับอีกหนึ่งไม่มีประโยชน์ เพราะมีสองสิ่งเราถึงเรียกว่านี่มีประโยชน์ นี่ไม่มีประโยชน์ เหมือนพลาสติกหากเราไม่มีสิ่งที่มีประโยชน์ พลาสติกนี้จะมีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  ดูง่ายๆ เหมือนผ้าผืนนี้มีประโยชน์ไหม ใช้เช็ดหน้าก็ได้ เช็ดตัวก็ได้  แต่ถ้าด้ายเส้นเดียวสั้นๆ จะมีประโยชน์ไหม  แต่หากเส้นสั้นๆ เหล่านั้นมารวมกันเป็นหนึ่งผืนมีประโยชน์ไหม (มี)  ฉะนั้นของสองสิ่งที่ทำให้เรารู้จักอีกด้านหนึ่ง เหมือนคนที่ชอบความสว่างแต่เกลียดความมืด เพราะมีความมืดเราจึงรู้จักชอบความสว่าง เพราะมีความทุกข์เราจึงอยากค้นพบความสุขที่แท้จริง เฉกเช่นเดียวกันเพราะมีคำว่าไร้ประโยชน์ เราจึงรู้จักมีประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากเรามัวแต่คำนึงถึงว่าชีวิตต้องหาผลประโยชน์ อยู่ร่วมกันต้องมีประโยชน์ร่วมกัน แต่เรามองข้ามคนที่ไร้ประโยชน์ไป  บางคนพูดว่าธรรมะไม่มีประโยชน์ หรือคนๆ นี้ไร้ประโยชน์  จริงๆ แล้วเรากำหนดแบบนี้ดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  ต้องบอกว่าเป็นเพราะมีสองสิ่ง จึงทำให้เราเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ รู้จักใช้ได้อย่างถูกต้อง  เหมือนมีคนดีกับคนร้าย มีคนหน้าตาสวยกับคนหน้าตาไม่สวย  ท่านจะรักแต่คนสวย รักแต่คนมีประโยชน์ และไม่รักคนที่ไม่สวย คนที่ไม่มีประโยชน์ได้ไหม (ไม่ได้)  เวลาเราบำเพ็ญธรรมหรือมีชีวิตอยู่ เราจึงต้องรู้จักเปิดใจกว้างและพร้อมที่จะรับทุกสิ่ง บางครั้งเราได้สิ่งที่ไม่มีประโยชน์ แต่บางครั้งสิ่งนั้นอาจจะมีประโยชน์ก็ได้ บางครั้งท่านมานั่งฟังตรงนี้ดูเหมือนไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าหากท่านรู้จักนำไปใช้ เอาเกร็ดธรรมะไปพลิกแพลงใช้กับชีวิต ก็ย่อมมีประโยชน์ได้  แต่ประโยชน์นั้นไม่ได้เป็นเงินเป็นทอง ไม่ได้เป็นเกียรติยศชื่อเสียง แต่เป็นความภาคภูมิใจ ความสงบใจ ความไม่วุ่นวายใจต่างหาก  บางคนบอกว่ามีความภาคภูมิใจไม่มีประโยชน์ จริงๆ แล้วหากเราทำดีเราก็สบายใจและดีใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เหมือนกับเวลาที่ไปแสวงหาแต่ผลประโยชน์ บางครั้งหามาได้แล้วแต่ก็อดกังวลใจไม่ได้ อดเป็นทุกข์ไม่ได้  เพราะมนุษย์เราเวลาได้ประโยชน์ก็ขอมีประโยชน์ก่อน สิ่งที่ไม่ได้ประโยชน์ก็เอาไว้ก่อน  หากทุกคนเป็นเช่นนี้ทั้งโลก สิ่งที่ไม่มีประโยชน์ใครจะรับใช่หรือไม่ (ใช่)  และใครที่เป็นผู้รับก็คือคนที่ไม่สามารถสู้ได้ คนที่ไม่สามารถ
ดิ้นรนได้ ท่านสามารถปัดความรับผิดชอบให้คนอื่นเช่นนี้ถูกไหม (ไม่ถูก)  เพราะสักวันเราก็อาจเป็นคนที่ไม่มีประโยชน์ได้เหมือนกัน เราต้องเปิดใจให้กว้างรับให้ได้ ทั้งสิ่งที่มีประโยชน์และไม่มีประโยชน์ คนที่ดีและคนที่ไม่ดีเราก็รับได้หมด  เพราะถึงคราวที่เราไม่ดีคนอื่นก็รับเราได้ และพร้อมที่จะให้อภัยเราได้เช่นเดียวกัน  อยู่ในโลกก็เฉกเช่นนี้ ทำสิ่งไหนย่อมได้สิ่งนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำดีที่สุดหรือยัง  บำเพ็ญตนให้งามเพียบพร้อมบ้างหรือไม่  หากคนที่รู้จักคิดดี  ทำดี  รู้จัก
เสียสละต่อผู้อื่น นั่นคือการเริ่มจะมีใจบำเพ็ญใฝ่ศึกษาแล้วใช่ไหม (ใช่)  เฉกเช่นเดียวกัน
"คำนึงโทษก้าวน้อยเกินสะดุดขา"
ถ้าหากเราคิดว่าสิ่งนี้มีแต่โทษ เราไม่ทำเลยได้ไหม  หากบอกว่าจับไฟฟ้าแล้วจะช็อต มีแต่โทษ จะไม่จับเลยได้ไหม ถ้ามีโทษแล้วไม่จับเลยดีไหม (ดี , ไม่ดี)  มีทั้งตอบว่าดีและไม่ดี เพราะของที่เราจับล้วนมีทั้งดีและไม่ดี มีทั้งคุณและโทษ  บางครั้งรู้ว่ามีโทษแต่ก็ยังอดจับไม่ได้ เหมือนรู้ว่าการสูบบุหรี่ไม่ดี การที่ชี้หน้าว่าคนบ่อยๆ นินทาคนบ่อยๆ ไม่ดีแต่ก็ยังทำใช่หรือเปล่า (ใช่)  แปลว่าเรารู้ว่าสิ่งนี้มีคุณ สิ่งนี้มีโทษ เราต้องวางตัวให้เป็นอย่างไร (เป็นกลาง)  จริงๆ แล้ววางใจให้เป็นกลางก็ใช่ สำหรับการตรวจสอบตัดสิน แต่ถ้าตัวเราอีกครึ่งหนึ่งมีโทษ อีกครึ่งหนึ่งมีคุณได้หรือเปล่า  ฉะนั้นเวลาที่นึกถึงธรรมะ หรือพูดถึงธรรมะ เราต้องรู้จักพลิกแพลงให้สอดคล้องกัน ไม่ใช่พลิกแพลงให้ขัดแย้งกัน  คนเราก็อย่างนี้มีทั้งคุณและโทษได้ เอามาปกป้องตัวเองได้ ให้อภัยคนอื่นได้ คนเราก็ธรรมดาย่อมมีดีมีเสียใช่ไหม (ใช่)  แต่คนดีรู้จักเอาข้อดีของคนอื่นมาเสริมความไม่ดีของตนเอง เอาข้อไม่ดีของเขามาเป็นบทเรียนให้กับตัวเอง สอนใจตัวเอง แต่จริงๆ แล้วหากเราบำเพ็ญ เราจะรู้อีกอย่างหนึ่งว่าเราจะไม่มีเวลาไปมองความผิดของคนอื่นเลย เพราะเวลาของเรามีแต่ตรวจสอบตัวเอง และที่เหลือก็ไปช่วยเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)
“อันธรรมะและชีวิตรวมได้หนึ่ง คนรู้ถึงโศกศัลย์ไม่โศกพ่าย”
มีใครเข้าใจบทนี้บ้าง เหมือนมีทุกข์แต่ไม่พ่ายในทุกข์เข้าใจไหม (มีทุกข์แต่ไม่ยอมแพ้ในทุกข์นั้น) เฉกเช่นคนเขาเกลียดเราว่าเรา แต่เราไม่เกลียดเขาว่าเขา หรือแม้ว่าเวลาเราทำดีมีคนมาต่อว่าให้เราท้อใจ เสียใจ เราก็จะไม่พ่ายแพ้  แต่จะมุ่งมั่นทำต่อไปใช่หรือไม่ (ใช่)
“แม้ยากจนยากไม่ทำเวียนว่าย  อย่าเบื่อหน่ายชีวิตต้องสู้ทน”
บางครั้งก็ไม่มีอะไรที่สมหวังไปเสียทุกอย่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรื่องบางเรื่องเราต้องเข้าใจว่ามีเวลามาก็ต้องมีเวลาไป การจะไปหน่วงเหนี่ยวดึงรั้งก็ไม่สามารถที่จะเป็นไปได้เสมอ  ฉะนั้นหากเราจะบอกว่าเมื่อไม่ได้ดังหวัง เราก็
เบื่อหน่ายและท้อแท้จนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ได้ไหม (ไม่ได้)  กับอีกด้านหนึ่งเวลาเจออุปสรรค เจอความทุกข์ยาก  อย่างแรกคือเบื่อหน่าย ท้อแท้ เหมือนเวลาเราเกิดมาเรามีฐานะไม่ดี  บางคนฐานะไม่ดีแล้วก็ซ้ำเติมให้ชีวิตตัวเองไม่ดีขึ้น  ทำตัวเองให้แย่ลงอย่างนี้ถูกต้องไหม (ไม่ถูกต้อง)  แม้ภายนอกจะสวมเสื้อปอนๆ แต่จิตใจงดงามได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปราชญ์พุทธะโบราณก็เคยเป็นกาก เป็นเกลื้อนทั้งตัวมีแต่คนรังเกียจท่าน ไม่มียารักษา แต่ท่านไม่ซ้ำเติมชีวิตให้ย่ำแย่  แม้ท่านไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่มีความรู้ท่านก็สำเร็จธรรมได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยู่ที่ว่าเราสามารถที่จะขัดเกลาจิตใจตนเอง สามารถที่จะสร้างเสริมบ่มเพาะใจตนเองให้ดีได้  ฉะนั้นถึงแม้ภายนอกจะไม่งดงาม แต่ภายในเรางดงามได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ภายนอกงดงามมักไม่ยืนยง เพราะว่าเปลี่ยนแปลงได้ เหี่ยวเฉาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราเอาภายนอกมาเป็นเกณฑ์ แล้วภายในเราไม่ถือสาก็จะไม่มีใครรักเราอย่างแท้จริง เขาจะรักเราแค่เพียงเปลือกนอก  ฉะนั้นจะเป็นคนดี จะเป็นคนงดงามไม่ใช่อยู่ที่สภาพแวดล้อมดี  ท่านไม่ดีแล้วเราดีได้นี้เรียกว่ายอดเยี่ยม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าดีแล้ว แล้วดียิ่งๆ ขึ้นไป ยิ่งเป็นอย่างไร ดีเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)
“มีมากที่คนเขินกระทำดี”
พอให้ทำดีหลายๆ คนเวลาอยู่ในสังคมเรามักจะไม่ค่อยยอมทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ให้พูดหวานๆ ให้รู้จักอ่อนน้อมต่อคนก็ไม่กล้าทำ เพราะเคยโวยวายมาก่อน อยู่ๆ จะให้มาจ๊ะ จ๋า ค่ะ ครับ นี่มันก็กระดากปากใช่หรือเปล่า (ใช่)  ให้มายกมือไหว้สวัสดีก็รู้สึกเขินๆ จริงหรือเปล่า (จริง)  ทำให้คนเราไม่ค่อยยอมทำกัน  แต่จริงๆ แล้วหากเราไม่เขิน เรามีความกล้า กล้าในสิ่งที่ควรกล้า นั่นถึงจะถูก  ไม่ใช่กล้าในสิ่งที่ไม่ควรกล้า นั่นไม่ถูกต้องใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่ควรจะเน้นหนักกลับไม่เน้นหนัก  สิ่งที่ควรจะเบาบางกลับไม่เบาบาง นั่นคือคนเลอะเลือน  อยู่บนโลกนี้มักจะคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากมีประโยชน์ฉันรับ ไม่มีประโยชน์ฉันทิ้งใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนมากเวลาเรามีชีวิต เราไม่ค่อยชอบคนที่แข็งกระด้างใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราต้องรู้จักเป็นคนอ่อนน้อม  นอกจากเราไม่ชอบคนแข็งกระด้างแล้ว เราก็ไม่ชอบคนที่เห็นแก่ตน และไม่ชอบคนที่ชอบว่าคนอื่นแล้วไม่รู้จักว่าตนเองใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในโลกนี้ไม่มีใครไม่เคยโดนนินทา ไม่มีใครไม่เคยโดนว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกคนล้วนโดนหมดทุกคน  แม้แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังโดนนินทาเลย นับประสาอะไรกับมนุษย์ แต่เมื่อเราโดนนินทาเราจะใช้ท่าทีอย่างไรนี่คือสิ่งสำคัญ  เหมือนเวลามีเรื่องราวผ่านมาในตัวเรา (เมื่อเวลาเราโดนนินทา) เราใช้ท่าทีอย่างไรกลับไป (ไม่โกรธเคืองเขา, ให้อภัย, วางเฉยแล้ววิเคราะห์เหตุผลที่เขานินทา)  เราต้องรู้จักวางเฉยก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ก่อนเราจะวางเฉยเราต้องเปิดกว้างให้ได้ก่อน  เพราะเราเปิดกว้างแปลว่าเรายอมรับ  เมื่อเราเปิดกว้างเราวางเฉยใจเราต้องเป็นกลาง เป็นกลางแล้วเอาไปตรวจสอบคำพูดที่เขาพูดมา ลองตรวจสอบดูว่ามีความถูกต้องไหม  ตรวจสอบดูว่าเราอิจฉาริษยาหรือเปล่า กลัวเขาได้ดีหรือเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเขาว่าเราไม่ดี ว่าเราเสียๆ หายๆ เราทำอย่างไร (ไม่โกรธ, ไม่คิดอะไร)  เวลามีคนว่าเราเสียๆ หายๆ พุทธะทำอย่างไรรู้ไหม พุทธะวางเฉย  เมื่อไรที่ตัวเองว่างก็ไม่มีที่จะให้ว่างใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนเราอยู่ในโลกนี้มักจะมีคำว่า “ตัวตน”  ตนเป็นอย่างนั้นตนเป็นอย่างนี้ เขาเป็นเช่นนั้นเขาเป็นเช่นนี้  ตัวเองมีเกียรติอย่างนั้นมีเกียรติอย่างนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อตัวเองมีคำว่า “ตัวเอง”  หรือ “ตัวตน”  เวลาเขาว่าก็เลยมีสิ่งที่เรียกว่ามีแลไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  การบำเพ็ญตนก็คือทำตัวเองให้ว่าง  เมื่อไรที่เราว่างจากตัวตนเช่นนั้นเช่นนี้ อย่างนั้นอย่างนี้ เกียรติแบบนั้นแบบนี้  ใครว่าเราก็เป็นอย่างไร ไม่มีอะไรมาถูกเราเลย เพราะว่าเราไม่มีอะไรให้เขาถูกเลย เข้าใจไหม  เหมือนกับว่าถ้าเราบอกว่าส้ม แต่ส้มนี้ไม่มีลูก ว่าไปส้มก็ไม่เจ็บใช่ไหม (ใช่)  เหมือนเราเป็นคนแต่เราไม่มีตัวตน ที่เป็นเช่นนั้นเป็นเช่นนี้ เป็นแบบนั้นแบบนี้ พอเขาว่าเราก็เลยไม่เจ็บ ไม่โกรธ และไม่เสียใจ  เพราะว่าเรารู้จักวางตัวให้ว่างไม่มีตัวตน ไม่ยึดมั่นตัวตนไม่ยึดหน้าของตนใช่ไหม (ใช่)  มีหน้าก็เลยต้องโดนเขาว่าจนหน้าหายเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จะมีใครบ้างที่อยู่บนโลกนี้ แล้วเป็นได้ดั่งเช่นภูเขาลูกหนึ่ง อยู่สูงเหนือฟ้าเท่าไรก็พร้อมจะอยู่ใต้ดินเท่านั้น นั่นก็คือมีชีวิตแม้จะมีเกียรติ มีชื่อเสียง มีทรัพย์สินมากเท่าไร ก็พร้อมจะเป็นคนไม่มีเท่านั้น  หากเราทำได้เช่นนี้เราก็จะเป็นสุขใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่น้อยคนนักที่จะทำได้จริงไหม (จริง)  จึงต้องรีบให้มาบำเพ็ญ จะได้ขจัดทุกข์ให้เหลือน้อยที่สุด แต่ไม่ใช่บำเพ็ญแล้วไม่เคยเห็นทุกข์ของคนอื่น เห็นแต่คนนั้นก็สุขคนนี้ก็สบาย คนนี้ก็ร่าเริง ทำไมเราต้องมาเหนื่อยด้วย อย่างนี้แปลว่าใจเรายังไม่มีธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่ายังอดอิจฉาคนอื่นไม่ได้ แต่พุทธะกลับเป็นอย่างไร  คนนั้นก็เดือดร้อน คนนี้ก็ลำบาก ตรงนั้นก็ตายอีกแล้วใช่หรือไม่ นั่นก็คือใจมีเมตตา  ผู้บำเพ็ญธรรมจำไว้นะ ศิษย์พี่กำลังเตือน หากไปเห็นคนอื่นสบายแต่ทำไมเราลำบากอย่างนี้ นั่นแปลว่าใจเราไม่รู้จักมีเมตตา ใช่หรือไม่ (ใช่)  มัวแต่เห็นความทุกข์ของตนเองเป็นหลัก ไม่เคยมองความทุกข์ยากของคนอื่น คนที่เป็นแบบนี้ไม่ค่อยน่าคบเท่าไรจริงไหม (จริง)  เมื่อไรที่เขาเห็นคนอื่นสบาย ตัวเองทุกข์ เขาจะเห็นใจเราไหม คงไม่เห็นหรอกเพราะคนเราต้องรักตัวเองมากว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าเราเป็นแบบนี้เราดีไหม (ไม่ดี)  เรามีธรรมไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นรีบมาบำเพ็ญ จะได้ไม่ต้องโดนเขาชี้หน้าว่าเป็นคนไร้คุณธรรม บำเพ็ญแล้วยังไม่มีธรรมใช้ไม่ได้  ถ้าเกิดเราบำเพ็ญแล้วตัณหาความอยากเรายังไม่ลดทอน เรายังอดอยากอยู่ อยากมีนั่นมีนี่ อารมณ์เราไม่ควบคุมเลยปล่อยให้โกรธบ่อยๆ อยากตีก็ตี อยากขอก็ขอ ไม่ให้แล้วแอบขโมย อย่างนี้แปลว่าไม่มีคุณธรรมใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ถ้าบำเพ็ญแล้วไม่เป็นไร เอาไปเถอะ ให้เราไม่เอาแล้ว ไม่อยากได้แล้ว โกรธไหม (ไม่โกรธ)  เขามีเหตุผลเราเปิดใจกว้าง เราไม่โกรธ ไม่เกลียดเขา  เขาก็มีดีมีเสียบ้างเป็นธรรมดา เรายังแก้ไม่ได้เขาจะแก้ได้อย่างไร  หากทุกๆ ขณะลดตัณหาอารมณ์ให้เบาบาง นั่นเรียกว่าบำเพ็ญธรรม เรียกว่าใจมีธรรม  ชีวิตมีคู่ธรรมแต่ถ้าเกิดบำเพ็ญแล้วตัณหาไม่รู้จักลด ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ ความประพฤติจะงดงามได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วจะไปเรียกใครให้มาทำตามเราได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วจะไปชี้หน้าคนอื่นว่าไม่ดี คนลำเอียงได้ไหม (ไม่ได้)  ตัวเองยังไม่ตรงเลยใช่หรือเปล่า  ฉะนั้นก่อนจะไปชี้หน้าเขาหันมาดูอีก ๔ นิ้วมีเราหรือเปล่า  หากทุกขณะเราคิดแบบนี้ บำเพ็ญธรรมรู้จักมีใจเห็นความทุกข์ยากของคนอื่น มีใจควบคุมตัวเอง ระมัดระวังความประพฤติ หากสามารถบำเพ็ญธรรมได้เช่นนี้ ก็เรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรมที่ดีได้ นั่นก็คือช่วยเหลือคน ควบคุมตนและระมัดระวังความประพฤติ สำรวจดูความประพฤติของตนเองมั่นคงหรือยัง มีความสงบบ้างไหม ไม่ใช่บำเพ็ญธรรมแล้วอ่อนไหว โดนคนนั้นคนนี้ว่าก็อ่อนไหว  ต้องรู้จักทำใจให้ว่างไว้ เราจะได้สบายใจ เหมือนกับท่านใครว่านิดท่านก็ท้อแล้ว อย่างนี้ไม่ถูก เขาว่าเราๆ ต้องแปรแรงกดดันให้เป็นพลังในการสร้างสรรค์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตถึงจะพัฒนาก้าวไกล  การจะมองรู้ถึงชีวิตที่แท้จริง เราไม่ต้องไปแสวงหาเลย มองทุกขณะที่เรามีชีวิตนั่นแหละ  ชีวิตสอนให้เราเรียนรู้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความพ่ายแพ้คือคุณค่าและความสำเร็จ บางครั้งไม่เป็นดังใจหวัง ก็เพราะเรื่องราวแต่ละเรื่องในโลกนี้ล้วนมีที่มาและที่ไป ฉะนั้นการที่เราจะไปยื้อยุดฉุดรั้ง ไม่ให้หดหายเป็นไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องทำความเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของ
ธรรมชาติ เหมือนผิวนี้ เหมือนชีวิตนี้ เหมือนทรัพย์สินนี้ ยิ่งหวังยิ่งยากให้มีอยู่  บางครั้งกลับยิ่งเสียหายหรือหมดไปใช่หรือไม่ (ใช่)  ผิวหน้าอยากจะดึงให้ตึงเท่าไร ก็ไม่สู้ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ  คนที่ล้มมาก่อนก็เพราะอยากก้าวหน้าใช่หรือเปล่า (ใช่)  อยากจะพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นกว่าเก่า พอเวลาผิดพลาดไปบ้างเขารู้จักลุกขึ้นมาต่อสู้ต่อไป ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญต่อ เพราะความล้มเหลวคือความสำเร็จของชีวิต
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง : คิดมากก็ลำบากใจ)
คิดมากก็ลำบากใจใช่ไหม แต่คิดน้อยก็ไม่ค่อยดี การบำเพ็ญต้องคิดอย่างพอดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงเวลาจะต้องจากศิษย์น้องแล้วนะ ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี บำเพ็ญให้ก้าวหน้า ไม่ใช่ยิ่งบำเพ็ญยิ่งไม่มีคุณธรรม มีชีวิตไร้คุณธรรมอย่างนี้ไม่ดีใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางคนเดินทางมาเหนื่อย เดินทางมาไกล  เวลามานั่งตรงนี้ก็อาจจะเพลีย อาจจะปวดเมื่อย  แต่ขอให้มาฟังธรรมะบ่อยๆ สองวันธรรมะคงได้ไปไม่เต็มที่ มีโอกาสมีเวลาลดทอนตัณหาบ้าง ลดทอนความอยากบ้าง แล้วเอาเวลานั้นมาให้กับธรรมะ หรือเอาเวลานั้นมาช่วยคนบ้างจะดีไหม (ดี)  ชีวิตมีคุณค่ามากกว่านี้ไม่ใช่แต่ตน ในชีวิตบางคนมีคุณค่าหนักยิ่งกว่าภูผาอีก  เพราะว่าเขารู้จักอุทิศให้คนอื่น รู้จักทำให้คนอื่นบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  โลกถึงจะสงบสุข ขอให้ศิษย์น้องจำไว้ว่า ศิษย์น้องมีศิษย์พี่คนนี้ ไม่ใช่มีแค่สองวัน สามวัน สี่วันแล้วค่อยๆ หายไป  แต่ศิษย์พี่มาเพื่อพูดให้เข้าใจ ว่าธรรมะหรือการบำเพ็ญ ทุกคนสามารถบำเพ็ญธรรมได้จริงๆ  ถ้าพูดแล้วไม่ใช่ธรรมะ เคยได้ยินไหมพูด
แล้วจะไม่ใช่ธรรมะ แต่พูดอย่างไรถึงจะทำให้ศิษย์น้องเข้าใจได้  จะทำอย่างไรถ้าไม่พูดจริงไหม ก็เลยต้องยืมร่างนี้เพื่อมาชี้แจง อธิบายว่าคนทุกคนบำเพ็ญธรรมะเป็นพุทธะได้ แต่จะเข้าถึงอย่างไร ต้องเข้าถึงขนาดที่พูดออกมาไม่ได้  เรียนรู้ถึงขนาดที่เรียนแล้วไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ นั่นจึงเรียกว่าผู้นั้นเข้าถึงธรรมะอย่างแท้จริง  ผู้เรียนรู้แล้วเข้าถึงอย่างถ่องแท้ใช่ไหม (ใช่)  จึงมีคำกล่าวว่า “คนพูดไม่รู้ คนรู้ไม่พูด”  วันนี้ศิษย์พี่ยอมเป็นผู้ไม่รู้ เพื่อให้ศิษย์น้องได้รู้  ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี อย่าคิดว่าศิษย์พี่มาหลอกเลยนะ


วันอาทิตย์ที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๔๒ พุทธสถานสกุลหง จ.ชัยนาท
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ศิษย์ข้ามีเรื่องอัดอั้นอยู่หลายเรื่อง ความปราดเปรื่องดูเหมือนจะใช้ไม่ได้
ลองพลิกกลับทำจิตใจให้สบาย ไม่ยึดติดสิ่งใดใจโล่งเอง
เราคือ
จี้กง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน    แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนอาหารอร่อยไหม
ทั้งการพูดและทำอย่าสวนทางกัน ตั้งแต่จันทร์ถึงอาทิตย์ระวังหนา
ทุกผู้ก้าวเท้าใช้สติแลปัญญา สร้างคุณค่าให้กับชีวิตตน
ทุกทุกอย่างอยู่ที่เรานะศิษย์เอ๋ย ความชินเคยมีมากไปจะส่งผล
อาจารย์ไม่เคยกังวลที่ศิษย์จน แต่กังวลเจ้ามากกิเลสเกินไป
สืบทอดไปคุณธรรมไม่ขาดตอน การบำเพ็ญเฝ้ามองย้อนกล้าแก้ไข
บางครั้งทนบางครั้งสู้จากภายใน บริสุทธิ์ใจสะอาดล้ำทำความดี
ธรรมะยิ่งปฏิบัติจะยิ่งแยบยล รออยู่เฉยไม่ฝึกฝนไกลเกินที่
จะเรียกกลับศิษย์รักจำให้ดี มีศิษย์จึงมีอาจารย์อยู่ทุกวัน
สายลมพริ้วส่งข่าวกลับในวันหน้า แลตัวข้าอยากได้ยินเจ้าเพียรหมั่น
มิถอยทิ้งเลิกบำเพ็ญเสียกลางคัน รอวันนั้นศิษย์พร้อมหน้าข้าเปรมปรีด์
แปรวิกฤตเป็นโอกาสคำคนกล่าว อาจารย์เย้าแปรโอกาสเป็นสำเร็จสิ
ในชาตินี้มีกายคนเป็นโชคดี เวลามีกล้าปล่อยผ่านย่อมหมดลง
บำเพ็ญบุญวาสนาปัญญาคู่ ต่างบอกว่ารู้อยู่แล้วแต่ไยหลง
ขอศิษย์รักจิตหนึ่งใจเดียวความมั่นคง หมั่นปลดปลงรูปนามที่พันรอบกาย
ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


เราจะแต่งเติมภายนอกให้สวยงาม เราก็หาเครื่องมาประทินผิวประทินโฉม ในที่สุดแล้วข้างนอกงาม ถามว่าข้างในงามหรือเปล่า (ไม่งาม)  ถามว่าในหนึ่งวันเราเคยคิดเรื่องไม่ดีไหม ในหนึ่งวันคิดสักหนหนึ่งมีไหม ถ้ามีสักหนแล้วเราจะบอกว่าใจงามได้ไหม (ไม่ได้)  เราก็กลายเป็นคนที่จิตใจไม่งาม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราจะมาบำเพ็ญธรรม เราจะเป็นคนใหม่ไม่ใช่คนเก่า เพราะว่าคนเก่าของเราเป็นคนที่คิดร้ายวันละไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้งใช่ไหม  เพราะฉะนั้นเราจะเป็นคนใหม่ เราจะทำอะไรใหม่ๆ สักอย่าง หรือต้องเริ่มต้นทำใหม่อย่างหนึ่ง ถ้าเราไม่ลงแรงลงกำลัง เราจะได้ของสิ่งนั้นมาได้หรือไม่ (ไม่ได้)  แต่ของที่ศิษย์จะลงแรงในครั้งนี้เป็นของที่ไม่มีรูปลักษณ์ เพราะลงแรงที่ใจของเรา ใจของเราแม้มองไม่เห็น  แต่เราสัมผัสได้ รู้ได้ เหมือนกับในวันนี้ที่มานั่งฟังธรรมะ ธรรมะมองเห็นไหม (ไม่เห็น)  ธรรมะไม่ใช่บ้านหลังนี้ ธรรมะไม่ใช่โต๊ะพระโต๊ะนี้ ธรรมะไม่ใช่องค์พระองค์นี้ ไม่ใช่ตะเกียง ๓ ดวงนี้  แต่ธรรมะไม่มีรูปลักษณ์ แต่สามารถสัมผัสได้ด้วยจิตของเรา  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจึงเน้นเรื่องการบำเพ็ญจิต ไม่ใช่เน้นเรื่องการที่เราจะต้องทำอย่างไร  ไม่ใช่เน้นตรงนี้  หากว่าศิษย์ออกไปลงมือทำทุกสิ่งทุกอย่าง  ออกไปเผยแพร่ธรรมะ ไปช่วยคน  แต่จิตใจของเรายังไม่ดีขึ้น พื้นฐานยังไม่ถูกปูให้ดี  แม้เราจะลงแรงไปมากมายเสียแรงเปล่าหรือเปล่า  เราจะเสียแรงเปล่า งานชิ้นใดทำแล้วเสียแรงเปล่าคุ้มไหม ก็ไม่คุ้มเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราต้องมาเริ่มต้นปูพื้นฐานของจิตใจของเราให้ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าพื้นฐานจิตใจของเรายังไม่ดี จะต้องทำอย่างไร (สร้างพื้นฐานใหม่)  อาจารย์ก็จะบอกว่าไม่ใช่เลยทีเดียว เพราะพื้นฐานของศิษย์แท้จริงเป็นคนดี  เวลาที่เรามารับธรรมะ ตั้งปณิธาน คนที่เป็นผู้แนะนำรับรองจะบอกว่าชวนคนดีมารับธรรมะ แสดงว่าพื้นฐานจิตใจของเราดีอยู่ เพียงแต่ถูกความไม่ดีกินเสียจนเหลือดีอยู่เพียงเล็กน้อย แต่ก็ยังได้มีโอกาสมาเป็นศิษย์อาจารย์กัน  เพราะฉะนั้นเก็บส่วนดีเอาไว้ให้มาก คัดส่วนไม่ดีทิ้งอย่าเสียดาย และเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป ได้แก่คุณธรรมต่างๆ ที่เราเคยได้ยินได้ฟัง แต่ยังไม่เคยลงมือใช่หรือไม่
มนุษย์มีเรื่องอัดอั้นตันใจอยู่มากมาย เป็นความอัดอั้นตันใจที่บอกใครๆ ก็ไม่เชื่อ บอกใครก็ไม่รู้จะช่วยแก้อย่างไร  ได้แก่เรื่องกินอยู่ เงินทอง คู่ครอง หลับนอนใช่ไหม (ใช่)  ส่วนคนบำเพ็ญธรรมะก็มีเรื่องอัดอั้นตันใจเหมือนกัน อยากจะบำเพ็ญเท่าไรก็บำเพ็ญได้ไม่ดีสักทีใช่ไหม (ใช่)  เหมือนกับก้าวขึ้นไปแล้วแต่ก้าวไม่ถึงสักที อาจารย์มีวิธีหนึ่งที่จะบอกศิษย์  ยกมือของตัวเองขึ้นมาแล้วพลิกกลับ เป็นมืออันเดียวกันหรือไม่ (เป็น)  บางทีเมื่อเรามีเรื่องอัดอั้นตันใจมากๆ ลองพลิกเหตุการณ์กลับมา เราบอกว่าเราทำอย่างไร ตัวเราก็ไม่ดีขึ้นสักที  ลองพลิกกลับทำจิตใจให้สบายๆ โล่งๆ ไม่ต้องคิดอะไร  อย่ายึดติดกับสิ่งใดๆ  อย่ายึดติดกับว่าบำเพ็ญต้องทำแบบนี้หรือต้องทำแบบนั้น จนเราทำอะไรไม่ถูก ลองทำสบายๆ โล่งใจๆ ไม่ยึดติดกับสิ่งใดๆ เมื่อนั้นหัวใจของเราก็มีธรรมะมากขึ้น  ถึงแม้ไม่อยากจะสูงก็สูงขึ้นเอง ถ้าหากเราทำจิตใจให้เป็นก้อนหิน  ก้อนหินหนักโยนขึ้นไปต้องหล่นหรือเปล่า (หล่น)  หัวใจเราอยากที่จะไปสูง แต่โยนขึ้นไปแล้วก็หล่นลงมาใช่ไหม (ใช่)  ทีนี้เราลองทำจิตใจให้เป็นเหมือนขนนก โยนขึ้นไปตกลงมาง่ายไหม (ไม่ง่าย)  มีสายลมพัดพาขนนกนี้ก็ไม่หล่น แต่อย่าทยานกับความสูง  อาจารย์มีวิธีนี้สำหรับคนบางคนเท่านั้น ไม่ใช่ทุกคน  เราต้องลำดับหน้าหลัง คนที่ใช้ความพยายามแล้ว เห็นว่าตัวเองไม่ประสบความสำเร็จจึงใช้วิธีนี้  แต่ในบางคนที่ไม่เคยพยายามเลย เคยอ่านหนังสือบอกว่า การบำเพ็ญเป็นเรื่องยากลำบาก ยังไม่เคยลองทำสักที ปกติก็สบายๆ อยู่แล้วก็เติมความสบายเข้าไปอีก  อย่างนี้ก็จะแย่กันไปใหญ่ๆ เพราะฉะนั้นวิธีของการปล่อยจิตใจให้สบาย ให้วิธีการให้ทางเดินนั้นเกิดขึ้นเอง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่เคยบำเพ็ญธรรมจนรู้สึกเกร็งมาก แต่คิดท้อถอย ทำงานธรรมะ ทำงานกับฟ้าดิน บำเพ็ญธรรมบำเพ็ญกับใจของเราเอง
เรายิ่งฉลาดเฉลียวเท่าไรยิ่งใช้ไม่ได้ ยิ่งฉลาดยิ่งทรมานใจ  ทุกวันนี้จิตใจเราไม่โล่งไม่สบายใจเลย  วันๆ อยู่กับความไม่สบายใจเพราะอะไร  เพราะเรา
ยึดติดกับสิ่งต่างๆ นาๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ลูกก็เป็นลูกเรา สามีก็สามีเรา ภรรยาก็ภรรยาเรา ของนี้ก็ของเรา บ้านหลังนี้ รถคันนี้ก็ของเรา  เรายึดติดกับสิ่งต่างๆ มากมายไปหมด  ยึดติดกับความถูก เราถูกคนอื่นผิด ไม่เคยมองเลย ขาก็เกี่ยวไปทั่วเลย จะเดินทั้งทีก็เดินลำบาก  เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่า “ไม่ยึดติดสิ่งใดใจโล่งเอง”  อย่ายึดติดว่าเรานั้นเป็นเจ้าของใคร  อย่ายึดติดว่าชีวิตนี้ของเราลำบากไม่ได้ ไม่ยึดติดสิ่งใดจิตใจของเราก็โล่งเอง อยากเป็นคนที่ใจโล่งๆ และสบายใจเสมอๆ ไหม (อยาก)  ปราชญ์พุทธะอริยะโบราณ แม้จะอยู่ในภาวะที่คับแค้นใจที่สุดก็ไม่โดนความคับแค้นใจนี้บีบ เพราะว่าจิตใจนี้อยู่เหนือโลกีย์วิสัย ไม่ถูกสภาวะแห่งโลกีย์มาทำให้หมองมัว
(พระอาจารย์ได้แจ้งพระนามว่า เราคือ จี้กง)
รู้จักไหม (รู้จัก)  ฟังเรื่องอาจารย์มาเยอะแล้ว การจะรู้จักอาจารย์จริงๆ นั้น  ต้องรู้จักกันที่ใจ ใจอาจารย์เป็นอย่างไร ศิษย์ของอาจารย์ควรจะทำอะไร ให้สมกับที่อาจารย์ตั้งใจ ให้สมกับที่อาจารย์หวัง จึงเป็นคนที่สามารถจะรู้จักกันจริงๆ ได้  ไม่ใช่รู้จักแต่ชื่อ รู้จักแต่สิ่งที่เคยทำมา อันนั้นไม่ได้เรียกว่าการรู้จักกัน แต่ทำตาม่ในสิ่งที่อาจารย์พูดได้ จึงเรียกว่ารู้จักกันแล้ว
มนุษย์นี้แปลกมาก ถ้าหากมีอาหารไม่พอกินจะทุกข์ใจ ถ้าหากมีอาหารพอดีกินก็จะคิดว่า ยังจะมีให้เรากินอีกไหม  ต้องหาเยอะๆ พอมีอาหารมากเข้าจึงนับว่าเป็นความสุขใช่ไหม อย่างนี้ถือว่าเราเป็นคนที่ไม่รู้จักพอหรือเปล่า หากเราเป็นผู้ที่ยึดติดกับรูปกายภายนอกมาก เวลาเรามองใครก็มองแต่ภายนอกใช่ไหม  คนนี้ต้องแต่งตัวดี หน้าตาดี เราจึงบอกว่าเขานั้นเป็นคนที่ดูดีใช่ไหม (ใช่)  แต่ว่าพุทธสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดูคนที่ดูดีดูที่ใจ  แต่มนุษย์ปัจจุบันก็มีคำพูดว่า “รู้หน้าไม่รู้ใจ”  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เลยทำให้เราเป็นคนที่ขี้ขลาด ระแวงคนว่าคนนี้จะไม่ดี คนนั้นจะไม่ดี  หมายความว่าชีวิตของเรามีความสุขน้อยลงไปส่วนหนึ่งใช่หรือเปล่า กับการที่ว่าเราเป็นคนที่ไว้ใจใครเสมอ  แบบไหนจะมีความสุขมากกว่ากัน แบบหลังใช่ไหม  ทำไมเราถึงกลัวคนอื่นเขาจะหลอกลวงเรา  เพราะว่าเราชอบใส่ทอง เราชอบเอาเงินมาโชว์ใช่หรือเปล่า  ฉะนั้นจึงบอกว่าการบำเพ็ญธรรมนั้น เรียบๆ ง่ายๆ เป็นสิ่งที่ดี  มีเงินทองมากเกินไปก็อันตราย มีสิ่งล่อตาล่อใจมากเกินไปก็อันตรายใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นมาสถานธรรมจึงบอกว่าแต่งกายเรียบร้อย จิตใจเรียบร้อยไม่ต้องมีร่ำรวยมากมายใช่ไหม เพราะฉะนั้นวันหลังมาสถานธรรม ไม่ต้องบอกว่าอยากรวยดีไหม เราอยากจนหรือเปล่า หากว่าเราไม่มีอะไรให้คนอื่นเขาหลอก เราจะกลัวไหม  เพราะเขาหลอกอะไรเราไม่ได้เลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นจนดีกว่าไหม ไม่ดีหรือ  เอาพอดีๆ  อาจารย์พูดถึงว่ากินข้าว บอกมีพอดีๆ ก็ไม่ชอบ กลัวว่าเดี๋ยวมื้อหน้าจะไม่กิน ต้องรีบหา  จึงบอกว่าเป็นผู้ที่รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนเองนั้นดีเลิศ เชื่อหรือยัง  แล้วพอดีๆ ในใจศิษย์คืออะไร (ความพอใจของเรา, เราพอใจแล้ว)
เคยเห็นเวลาที่มดเดินตามผนังกำแพงบ้านเราหรือเปล่า มดเดินตรงไหม (ไม่ตรง)  มดนั้นมีสัญชาติญาณเดินตามๆ กันคือ เดินไปตามเส้นที่ไร้รูปลักษณ์ที่วางอยู่  เส้นๆ นี้เปรียบเหมือนกับธรรมะ คนนั้นก็มีธรรมะอยู่ในตัวโดยไม่รู้ว่ามีอยู่ แม้มดจะมีสัญชาติญาณบอกให้เดินไปตรงๆ แต่ไม่ใช่มดทุกตัวจะเดินตรง  บางตัวก็เดินออกมามากไป บางตัวก็เดินเข้ามากไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจึงบอกว่าเรานั้นต้องรู้จักความพอดี ขนาดมดซึ่งมีสัญชาติญาณโดยแท้ว่าตัวเองจะต้องเดินตามๆ กันไป ให้เดินตรงๆ ก็ยังไม่รู้ว่าจะเดินอย่างไรเลย  แล้วเราซึ่งเป็นคนที่สัญชาติญาณของเราเปลี่ยนแปลงไปเป็นการแสวงหาที่ไม่รู้จักพอ  ฉะนั้นคนที่บอกว่าตัวเองอยากมีอย่างพอดี จริงๆ แล้วก็ยังไม่รู้ว่าความพอดีอยู่ตรงไหน กินข้าวสามมื้อ ต้องมีรถ ต้องมีเสื้อผ้าด้วย ต้องมีเงินทอง เรียกว่าพอดีใช่หรือไม่  วันนี้หาไว้ต้องมีถึงพรุ่งนี้ ไปคิดเอาเองว่าพอดีหรือไม่พอดี
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลงพายเรือ)  การพายเรือนั้นถ้าหากว่าเราไม่สามัคคีกันการพายนั้นเป็นอย่างไร หากไม้พายชนกันเองแสดงว่าเรือต้องวนอยู่กับที่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยากจะวนอยู่กับที่หรือเปล่า  มีบางคนยังสงสัย ดังนั้นเราต้องขจัดความสงสัยในใจนั้นออกไปให้หมดก่อน จึงเรียกว่าเรานั้นไม่วนอยู่กับที่
การศึกษาธรรมนั้นแท้จริงคือการศึกษาที่จิตใจของเราเองไม่ใช่อื่นใด เพียงแต่ว่าจะศึกษาที่ใจการปฏิบัติต้องอยู่ที่ภายนอก บางคนพูดธรรมะได้ดีมาก แต่ว่าการกระทำของเรานั้นยังไม่ดีพอ  อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรมได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  เราต้องเป็นผู้ที่รู้จริง พูดจริง ทำจริง จะรู้จริงทั้งทีก็ต้องศึกษาให้หนักๆ  จะเป็นผู้พูดจริงได้ก็ต้องเป็นคนที่ไม่โกหก ชีวิตนี้เกิดมาอาจารย์เห็นศิษย์แต่ละคน ไม่มีใครเลยที่ไม่เคยโกหก  แต่เราต้องดูว่าการโกหกของเรานั้นเป็นผลเดือดร้อนต่อผู้อื่นหรือเปล่า อาจารย์ไม่ได้ส่งเสริมให้ศิษย์โกหก แต่การโกหกมีหลายประเภท เหมือนมนุษย์หลายประเภทในโลกนี้ ถ้าหากว่าเราโกหกในเรื่องใหญ่ก็กลายเป็นการผิดคุณธรรม หากว่าเรานั้นพอไปไหวไม่เดือดร้อนใครเราก็อย่าไปว่าคนคนนั้นว่าเป็นคนไม่ดี เพราะว่าเรานั้นก็ไม่รู้ว่าเราดีหรือเปล่า แต่ละคนมีความผิดได้ พลั้งได้ เผลอได้ แต่มีครั้งเดียว อย่าบอกว่าเราผิดแล้วไม่เป็นไร ครั้งหน้าเอาใหม่ ครั้งหน้าบอกไม่เป็นไรเราค่อยแก้ตัวใหม่ ถ้าหากว่าเรามัวแต่ให้โอกาสตัวเองอย่างนี้ เราก็จะผิดไม่รู้จักเลิก  จากคนที่มีความผิดเล็กน้อยก็กลายเป็นมีความผิดมากขึ้น  ภูเขาหนึ่งลูกใช้ก้อนหินกี่ก้อน ก้อนดินกี่ก้อน มากมายนับไม่ถ้วนใช่หรือไม่ (ใช่)  ความผิดของเราที่เราสะสมมาตั้งแต่เล็กจนโต ก็มีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน  เราต้องหยุดการเติมหินลงบนภูเขาลูกนี้  ภูเขาลูกนี้จะได้เล็กลง มีเวลายังต้องไปขนหินคือความผิดเหล่านั้นคือหัดแก้ตัว แก้ไขเสียใหม่ ขนหินเหล่านั้นออกมาทีละกอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าทำเช่นนั้นได้เราก็จะเป็นผู้ที่มีความผิดน้อยลงๆ ถามว่าบำเพ็ญธรรมง่ายไหม (ไม่ง่าย)  หากว่าเราได้ลงมือพยายามก็จะง่ายขึ้นๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่ยากมากๆ อย่างเช่น คนที่ไม่เคยลับมีดเลย บอกให้ไปลับมีดครั้งแรกคมไหม (ไม่คม) ต้องลับหลายครั้งๆ ยิ่งมากครั้งมีดก็จะยิ่งคม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แสดงว่าเรานั้นมีความสามารถมากขึ้นๆ การบำเพ็ญธรรมก็เช่นเดียวกัน ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักที่จะดูแลจิตใจของเราเองพอนานไป ๆ มีดก็ไม่ได้ลงมือลับ ความชำนาญก็หดหายไป  มีดก็สนิมขึ้น หินลับมีดก็หาไม่เจอ
วันนี้อาจารย์มาพบศิษย์มีความยินดีมากมาย ยินดีหนักหนา ศิษย์ของอาจารย์ที่เสียสละมานั่งสองวันนั้นก็ไม่ง่าย แต่การจะปลูกต้นไม้ใช้เวลาเพียงสองวันจะขึ้นไหม เพราะฉะนั้นจึงยังต้องอาศัยการดูแลต่อๆ ไป ใช่หรือไม่ (ใช่) ด้วยเหตุว่าต้นไม้ไม่สามารถโตขึ้นได้ภายในสองวัน เราจึงต้องกลับไปสถานธรรมศึกษาเพิ่มเติมให้เกิดความเข้าใจ หากว่าเราไม่เข้าใจเวลาคนอื่นมาถามเราจะเป็นอย่างไร (ตอบไม่ได้) พอตอบไม่ได้จะเป็นอย่างไร เราก็จะโดนเพื่อนว่า โดนญาติว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความงมงายของเรา  ถ้าเราไม่รู้จักอธิบายก็เป็นความ
งมงายที่แท้จริง ถ้าหากเราอธิบายได้ เรารู้จักตัวเองดีพอแม้คนอื่นจะว่าเรา
งมงาย  แต่เรารู้ตัวว่าเรากำลังทำอะไร เรากำลังบำเพ็ญอย่างแท้จริง เป็นความจำเป็นไหมที่จะต้องมาศึกษาธรรมให้เข้าใจ
การที่เรามานั่งตรงนี้ได้ ก็ด้วยความเสียสละของหลายคน ที่เขานั้นมาเตรียมงานไว้ก่อนหลายวัน นานมาก (พระอาจารย์เมตตาเรียกให้ผู้ที่มาเตรียมงานล่วงหน้า มีแม่ครัว, คนล้างจาน, คนขัดห้องน้ำ ให้ออกมาหน้าชั้น)  เราจะได้เห็นว่าการที่เรามานั่งเฉยๆ สองวันนี้เป็นความเหนื่อยยากของคนอื่น  หลังจากจบสองวันนี้ยังต้องไปสร้างความสำเร็จให้กับตนเองต่อ หากว่าเราเป็นคนที่เขานั้นไม่สนใจมีไหมที่เขาจะขัดห้องน้ำให้เราใช้ แสดงว่าเรานั้นมีคุณค่าอย่างยิ่ง เพราะเขาเห็นค่าของเราแล้ว เราจึงต้องทำตัวเองให้ทรงคุณค่าจริงๆ 
ส่วนใครที่มาแล้วยังหางานทำไม่ได้ ก็ให้หัดที่จะมองดูงานเล็กๆ น้อย ๆ งานที่คนอื่นเขาไม่ทำเราไปลงมือทำ  แม้ว่าเราไม่มีหน้าที่ล้างจาน แต่หากว่าเราดูแล้ว ตอนนี้ล้างจานคนน้อยก็ไปล้างดู  การล้างจานก็เหมือนการล้างจิต ล้างจานหนึ่งใบก็ล้างจิตนิดหน่อย ล้างจานอีกใบ ก็ล้างจิตมากขึ้นอีกนิดหน่อย  เพราะว่าบนคราบจานนั้นมีความสกปรกอยู่มากมาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วก็พินิจพิจารณามองจานให้เหมือนมองกระจก  เห็นไหมว่าจิตของเรายังมีคราบฝุ่นเหลือติดอยู่นิดหน่อย  ขจัดได้มากเท่าไหร่ก็เป็นผลดีต่อเรามากเท่านั้น  เวลาเราขัดห้องน้ำ แล้วคิดว่าทำไมเป็นแบบนี้ จะทำอย่างไร เราก็ต้องดูว่าเรานั้นมี
พฤติกรรมของมนุษย์ซึ่งทุกคนมี แล้วเราจะทำอย่างไรให้เรานั้นไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอย่างนี้ เราจะทำอย่างไร ให้พฤติกรรมที่เราออกมาจากห้องน้ำแล้วดีขึ้น ดีขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทีนี้เราทำครัว เราก็ดูว่าเวลาเราหั่นผัก เราหั่นเท่ากันไหม  จิตใจของเราเวลามีให้คนอื่นเท่ากันหรือเปล่า เราก็ต้องพยายามทำให้เท่าขึ้นๆ  หากว่าเรานั้นไม่ขยันหั่นผัก เราก็หั่นได้ไม่ตรงถูกหรือเปล่า  ถ้าหากว่าเราหั่นเบี้ยวไปเบี้ยวมา มือเราก็จะมีเลือดออกได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นต้องทำจิตใจของเราให้ตรงแล้วเล็ง  แต่ไม่ต้องเล็งมาก เพราะถ้าไม่เสร็จ นักเรียนก็ไม่ได้ทานข้าว
ปรบมือให้พวกเขาทุกคนหน่อยดีไหม  พวกเขาหลายคนสละให้ศิษย์อย่างนี้ ไม่สามารถเอาเงินทองซื้อได้  พวกเขาหลายคนสละให้ศิษย์อย่างนี้ เพราะเห็นว่าศิษย์นั้นมีคุณค่า  เราจงทำตัวเราให้ทรงคุณค่า ให้สมกับที่คนอื่นนั้นตั้งความหวังไว้กับเรา  ความสามัคคีนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการที่คนเรานั้นจะอยู่ร่วมกันได้ ต่างคนต่างมีความคิดเห็นไม่แปลก แต่ความคิดเห็นนี้รวมกันได้ไหม อยู่กันได้ไหม ยอมกันได้ไหม  ถ้าทุกคนเป็นวัวชนที่วิ่งเข้าหากันก็คงไม่มีวันที่จะเกิดความสามัคคีขึ้นได้  หากว่าใครไม่เคยยอม เราลองยอมดู
(พระอาจารย์เมตตาแจกลูกอมให้กับผู้ปฏิบัติงานธรรม)
การบำเพ็ญนั้น ขอให้ศิษย์ทุกคนที่อยู่ที่นี่ทำความคิดของเราให้เที่ยงตรง ศึกษาสัจธรรมให้มาก อย่าได้เผลอไผลไปกับเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์  มีสิ่งเดียวคือบำเพ็ญให้ดี  ทำตัวเราให้ดี ไม่มีมากกว่านี้  อาจารย์จะแจกท๊อฟฟี่ให้กับศิษย์ทุกคนเพื่อให้เรานั้นเป็นคนที่ปากหวานๆ  ขอให้ศิษย์จำไว้อย่างหนึ่งว่า การบำเพ็ญธรรมนั้นง่ายหรือไม่ดูที่ตัวเรา  เราเป็นคนมีกรรมมาก เราเจอวิบากกรรม มากกว่าคนอื่น ก็ขอให้ทำใจยอมรับ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายถ้าเราทำได้  หากว่าไม่มีขอทานก็ไม่มีคนให้ทาน  ไม่มีคนมารังแกเรา เราก็ไม่มีโอกาสใช้ความอดทน เมื่อเราไม่ได้ฝึกฝน สอบเล็กก็ไม่ได้  สอบใหญ่ก็ไม่ดี  เมื่อไม่ผ่านการทดสอบใดๆ  ก็เดินไม่ถึงที่ไหนเลย หยุดอยู่กับที่ แสนสบายไม่ยากเย็น แต่ว่าอยู่คนเดียว  จึงบอกว่า ศิษย์ทั้งหลาย การบำเพ็ญธรรมนั้น ไม่ใช่เรื่องยาก อยู่ที่เราขุ่นข้องหมองใจใดๆ แม้หาคนปลอบใจไม่ได้  ก็ให้เราปลอบใจตนเอง แล้วอาจารย์จะอยู่กับศิษย์  อย่าคิดท้อถอยลงกลางคัน  เพราะว่าคนที่ท้อถอยลงกลางคันนั้น เดินไปไม่ถึง ถอยหลังไม่ได้ เป็นคนที่น่าสงสารที่สุด  เมื่อยังมีสิ่งใดที่ยังสงสัย ไม่เข้าใจ ไปศึกษาทำความเข้าใจเสียให้สิ้น
มนุษย์นั้นสำคัญมากในวินาทีสุดท้ายที่จะสิ้นกายนี้ เพราะว่าถึงตอนนั้นไปแต่จิต ทรัพย์สินเงินทองแม้แต่บาทเดียวนำไปด้วยไม่ได้ ลูก เมีย ภรรยา สามี ก็ตามไปไม่ได้  เพราะฉะนั้นวินาทีสุดท้าย หากว่าศิษย์นั้นเคยฝังความแค้นลึกไว้กับใคร เคยไม่ชอบใจใคร เคยมีอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง หนักเท่าไหร่ จะแสดงผลในวินาทีสุดท้าย  เพราะฉะนั้นไปมองใจของเราให้ดีๆ ย้อนมองส่องตนทุกวันๆ  ความพัฒนาก้าวหน้า จะได้เป็นของเราดีไหม (ดี)  เราไม่ชอบให้คนอื่นเตือนเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นจงเตือนตัวเอง
 (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมวงพระโอวาทครอบ)
นัก  นักปฏิบัติธรรมหลีกให้พ้นการพูดอยู่แล้ว ถ้าหากว่าเราไม่พูดเลยก็คงแปลก เพราะฉะนั้นยามใดที่ต้องพูดก็ต้องพูดให้ดีๆ
คน  คำว่าคนเป็นมงคลที่สุด เพราะว่าพุทธะทุกพระองค์จะสำเร็จได้ต้องมาจากคน ต้องมีกายเป็นมนุษย์ก่อน อย่างเช่นพระศากยมุนีต้องมีกายเป็นคนก่อน จากสัตว์จนกระทั่งเป็นคนแล้วจึงสำเร็จเป็นพุทธะได้ ตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์ก็ผ่านการเป็นคนมาแล้ว แต่จะเป็นพุทธะได้หรือเปล่า อยู่ที่ตัวเราเอง
ใช้  คนทุกคนมีหนี้เวรกรรมที่จำเป็นจะต้องใช้ตลอด แม้ยังมาไม่ถึงตอนนี้ ถ้าหากว่ามาถึงแล้ว ก็ใช้ให้ดีๆ อาจารย์นั้นแบกกรรมให้ศิษย์อยู่หวังว่าศิษย์จะเร่งบำเพ็ญเพื่อที่จะได้เดินหน้า
กับ  อยากจะกลับไปบ้านเดิมต้องรู้จักที่จะกลับมาดูตัวเอง
“ถึงชีวิตจนยากไม่ต้องเขิน”
บางคนเวลาจนแล้วเขิน เพราะว่าเมื่อก่อนนี้เคยมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย เวลาไม่มีแล้วรู้สึกว่าเขิน แต่จริงๆ แล้วเวลาเราไม่มีเงินทองเราไม่ต้องเขิน แต่ถ้าเราไม่มีความดีเลยเราต้องเขิน เพราะว่าชีวิตคนนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินทอง เงินทองไม่ใช่เจ้านายของชีวิต แต่เงินทองนั้นมีไว้ให้คนใช้ อย่าให้เงินทองมาใช้เรา ใช้ให้เราไปทำสิ่งใดๆ ก็แล้วแต่ที่ได้เขามา  ถ้าเราทำอย่างนั้นเราจะเป็นคนที่โง่ที่สุด เราต้องฉลาด ฉลาดอย่างไร ฉลาดที่ใช้ปัญญาไม่ฉลาดที่เราเจ้าเล่ห์เพทุบาย
บางคนในที่นี้อาจจะมีบุญสัมพันธ์กับอาจารย์มาก่อนก็ได้นะ เชื่อหรือเปล่า แต่ว่าใครกันนะที่มี ไม่รู้ว่าคนที่มีบุญสัมพันธ์กับอาจารย์ต้องบ้าๆ บอๆ เหมือนอาจารย์หรือเปล่า อาจารย์นั้นเคยคิดเสมอว่าในสมัยที่เกิดเป็นจี้กงนั้นต้องบ้าๆ บอๆ  แต่อาจารย์รู้สึกว่าศิษย์ในสมัยนี้บ้าๆ บอๆ ยิ่งกว่า  เพราะว่าเราแยกแยะไม่ออก คนบ้ายังรู้ว่าต้องกินข้าว แต่ศิษย์ของอาจารย์นั้นเที่ยวจนลืมกินข้าวยังมีเลย  คนบ้ายังรู้ว่าเงินทองนั้นเป็นของนอกกาย เขาก็รู้จักมีนิดหน่อยหรือไม่มีเลย แต่เขาก็ยังมีชีวิตรอด แต่ศิษย์ของอาจารย์นั้นหาเงิน หาทองจนไม่ลืมหูลืมตาบ้าบอกว่าไหม คิดเอาเองนะ
การเวียนว่ายตายเกิดนั้นเป็นเรื่องที่ทุกข์ทรมานมาก ตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์เกิดมาในโลกนี้ ได้รู้จักความทุกข์กันถ้วนทั่วทุกคนใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้เราเกิดมาเป็นคน จะเป็นคนอย่างไรเราสามารถบังคับได้  เพราะว่าเรานั้นยังมีความดีอยู่บ้างในหัวใจ แต่ว่าชาติหน้าหากว่าศิษย์เกิดมาอีกครั้งหนึ่ง ศิษย์ลองมองดูซิว่าคนที่อยู่ใกล้ๆ ศิษย์นั้นมีใครบ้างที่ไม่รู้จักทำบุญทำทานเลย  บางคนนั้นไม่รู้จักทำบุญทำทานเลยด้วยซ้ำ ไม่เชื่อในกฎแห่งกรรมเลยสักนิด ไม่คิดบำเพ็ญตนเลย  ถ้าหากว่าศิษย์ต้องเกิดมาเป็นคนประเภทนั้นในชาติหน้า ศิษย์จะไม่เจอธรรมะอีกเลยตลอดกาล  ฉะนั้นในวันนี้เราเป็นผู้ที่รู้ว่าเราเกิดมามีทุกข์และทางที่จะดับทุกข์ทางเดียวก็คือหลุดพ้น  เราสามารถที่จะบอกตัวเราให้เรานั้นไปบำเพ็ญตนเพื่อความหลุดพ้นได้ หรือเมื่อเรารู้ตัว เรารู้สึกว่าเราไม่อยากจะไปบำเพ็ญธรรม อยากจะเวียนว่ายตายเกิด ทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกก็คือสิทธิ์ของเรา ดูซิว่าศิษย์มีโอกาสมากมายเท่าไร  ถ้าหากว่าไม่รู้จักใช้โอกาสในตอนนี้ในวันนี้ให้มีประโยชน์แล้ว จะรอโอกาสเมื่อไร บอกว่าชาติหน้าเกิดมาแล้วค่อยบำเพ็ญ ชาติหน้าค่อยเอาใหม่ได้ไหม (ไม่ได้)  ชาตินี้เป็นชาติที่เปรียบเหมือนกับคนที่มีสติที่สุดแล้ว จงรู้จักที่จะใช้สติของเราเองนั้นพาเราให้หลุดพ้นจากทุกข์อันนี้ให้ได้ 
มีคนกล่าวว่า “แปรวิกฤตเป็นโอกาส” แต่ในตอนนี้เราไม่ได้พูดถึงเรื่องเศรษฐกิจ เราไม่ต้องการแย่งชิง ศิษย์ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกัน ฟ้าดินวิกฤตแต่ศิษย์ของอาจารย์นั้นมีโอกาส แปรโอกาสที่ศิษย์มีนี้ก็คือ ได้มีกายเนื้อนี้เป็นความสำเร็จจะดีไหม (ดี)  ตลอดมานั้นคนทุกคนบนผืนแผ่นดินไทยเป็นคนที่ชอบสร้างบุญกันมากมายอยู่แล้ว อันว่าบุญนั้นเปรียบเสมือนน้ำมันตะเกียง มีน้ำมันตะเกียงนี้มากมายแต่ขาดไฟ จงใช้ปัญญาธรรมนั้นเข้าไปควบคู่ ปัญญาธรรมที่อาจารย์ต้องการจะเน้นให้ศิษย์เข้าใจในตรงนี้ เปรียบเสมือนไส้ตะเกียงที่จุดไฟไว้แล้ว  อาจารย์จะบอกให้คนที่สร้างบุญมากๆ ชีวิตสุขสบายได้เป็นเศรษฐี ตายไปแล้วได้เป็นเทพพรหม แต่เทพพรหมต่างๆ นั้นยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่อีก ไม่พ้นวัฎสงสารนี้  อาจารย์นั้นมีความหวังในตัวศิษย์ทุกคน อาจารย์อยากให้ศิษย์ไปถึงแดนนิพพาน ใครที่คิดว่าไกลเกินเอื้อมเป็นไปไม่ได้ ลองถามตัวเองว่าเคยพยายามไหม เคยคิดจะไปไหม มีโอกาสสักหนึ่งครั้งใช้โอกาสอันนี้ไม่ดีหรือ  บางคนไม่ยอมใช้โอกาสของตัวเองเลย คอยเฝ้าแต่คิดว่ามันไกลเกินไป ความคิดของมนุษย์จึงเป็นผลร้าย เพราะคนทุกคนเชื่อว่าความคิดของตัวเองถูกต้อง
ในวันนี้ที่อาจารย์มาโดยเนื้อแท้ของเนื้อหาล้วนๆ คือ อยากจะให้ศิษย์นั้นบำเพ็ญ ไม่มีสิ่งอื่นมากกว่านี้  แต่ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นมีกิเลสที่เปรียบเสมือนเนื้อร้ายคอยคุกคาม  สมมติว่ามีโรคหนึ่งที่กินเนื้อ หากว่าศิษย์ปล่อยนานจะกินจนหมดตัว สมมติว่าโรคนี้อยู่ที่ขาจะทำอย่างไรดี ต้องตัดเนื้อร้ายใช่หรือไม่ (ใช่)  จำเป็นต้องตัดเนื้อร้ายเพื่อรักษาชีวิต แต่ว่าเชื้อโรคนี้ไม่ได้อยู่ที่ขา แต่มันอยู่ที่ใจของศิษย์เอง กิเลสนั้นอยู่ในใจของเราเพราะเราให้ที่กิเลสอยู่  หากศิษย์ไม่รู้จักตัดกิเลสอนาคตพุทธะของศิษย์นั้นก็จะหมดสิ้น  คำๆ นี้พุทธะเคยกล่าวไว้ “ตัดเนื้อร้ายรักษาชีวิต”  เพราะฉะนั้นอาจารย์นั้นเอาคำๆ นี้มากล่าวเตือนใจศิษย์ก่อนจากนิรันดร์  หลังจากวันนี้พยายามศึกษาธรรม บำเพ็ญธรรมได้หรือไม่ (ได้)
อาจารย์กลับแล้ววันหน้าเจอกันใหม่  อาจารย์ไม่เคยปัดโอกาสใคร มีแต่ศิษย์ปัดอาจารย์  อาจารย์สอนให้ศิษย์อภัยคน อาจารย์จะเอาเรื่องคนได้อย่างไรที่นี่เป็นที่ใหม่ อาจารย์หวังว่าศิษย์ทุกคนนั้นจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันไม่ทอดทิ้งกัน มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน ศิษย์อาจารย์ทุกคนรักอาจารย์ไหม (รัก)  ถ้ารักอาจารย์ขอให้ศิษย์จำไว้อย่างหนึ่งว่า อาจารย์รักที่สุดคือเวไนยทั้งมวล คนไหนที่ยังไม่หลุดพ้นก็เรียกเวไนยทั้งนั้น  ฉะนั้นยังไม่มีใครเป็นพุทธะ ขอให้รักกันให้มากๆ เพราะอาจารย์รักเวไนยเป็นที่สุด ศิษย์ก็รักเวไนยเหมือนอาจารย์ สักวันหนึ่งเมื่อศิษย์ได้เป็นพุทธะ แล้วเราจะได้อยู่ที่เดียวกัน มีอะไรก็อภัยช่วยเหลือกัน คนทุกคนที่เข้ามาสถานธรรม ก็เพื่อต้องการบำเพ็ญธรรม ถึงไม่ดีอย่างไรก็มีจิตใจที่จะบำเพ็ญธรรมเหมือนกัน แล้วเอาจิตใจดวงนี้มาผูกกัน แล้วศิษย์จะไม่รู้สึกทุกข์เลยที่อยู่ร่วมกัน  อาจารย์เห็นศิษย์บางคนทุกข์เหลือเกินที่อยู่ร่วมกัน คนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี  แต่รู้ไหมว่าทุกคนนั้นที่แท้จริงแล้วก็มีจิตใจดวงเดียวกัน ฉันมองเขาผิด เขามองฉันผิดเอาใจที่คิดบำเพ็ญเหมือน ๆ กันนี้มาอยู่ร่วมกันเอาด้านดีเข้าหากัน อย่าทำร้ายจิตใจกันเอง


พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท   “สีบทอดคุณธรรม”

กาลเวลาล่วงเลยไม่เคยพัก น้อยคนนักทบทวนไม่เพลินปล่อย
บางคนใช้เวลาไปกับการรอคอย บางคนน้อยก้าวหน้าเพราะคร้านเกิน
ชีวิตแม้เลือกไม่ได้ไม่โศกศัลย์ ถึงชีวิตจนยากไม่ต้องเขิน
คนที่มากความดีย่อมเจริญ อันว่าเงินตักษัยไม่ติดตน
จงสืบทอดคุณธรรมบูรณภาพ เพื่อไปปราบกิเลสที่ใจล้น
ทำให้หายซึ่งความเห็นแก่ตน ให้ผองชนใต้ฟ้าจงสวัสดี


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา