วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2541

2541-10-31 พุทธสถานฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น



PDF 2541-10-31-ฮุ่ยอวี้ #21.pdf

#บุญ   #เปิดฮุ่ยอวี้  #สามัคคี   #บำเพ็ญยุคขาว 


วันเสาร์ที่ ๓๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑ พุทธสถานฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น

สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ



บำเพ็ญธรรมเริ่มจากการบำเพ็ญดี ผิดจากนี้ก็ยากยิ่งกลับคืนฟ้า

ระมัดระวังด้วยกายใจอีกวาจา ทุกเวลาสำรวมสงบเย็น

เราคือ

องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน เคียมคัล

องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงสราญฤๅ

ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา



ด้วยจิตใจพร้อมศรัทธาแห่งเมธี ดลฤดีแห่งพี่นี้เกษมศานต์[๑]

จงรักษาจิตดั่งนี้ให้นานนาน แม้กาลผ่านยิ่งทียิ่งเพิ่มพูน

มาสู่โลกถูกแสงสีกิเลสหลอม น้องถูกย้อมผ้าสีขาวจนเปลี่ยนสี

หนักกิเลสไปทางใดต่างไม่ดี นาทีนี้เริ่มใหม่จิตพุทธา

ทำดีแล้วได้ดีเป็นผลตอบ รู้รอบคอบคิดอ่านต้องหนักแน่น

ดั่งตะวันฉายแสงไปทั่วแดน ใจไม่แกนแบ่งเขาเราอย่าพึงมี

จิตต่างเป็นพุทธามาจากฟ้า ฟื้นฟูหนาสร้างคุณค่าให้ชีพนี้

อันความทุกข์มีบ้างปล่อยวางที อย่ารอรีเทียนใกล้ดับค่อยรู้ตัว

รักษาโอกาสหนึ่งวันต่อหนึ่งวัน คนขยันดิ้นรนจากความสลัว

กุศลสร้างใช่ยากเริ่มจากตัว อย่าได้กลัวจนเกินเหตุแห่งหลักธรรม




ในวันนี้เริ่มประชุมสามัคคี สองวันมีมาให้ครบจบหนึ่งชั้น

พาตนเองหลุดพ้นจากวัฏสงสาร อย่าทรมานเพราะงมงายหลงลวงตา

แค่เพียงน้องมีสติฝ่าอุปสรรค และยอมรักผู้อื่นดั่งตนเองได้

สร้างคุณธรรมใช่ว่าต้องเวลาใด ลมหายใจเข้าแลออกไม่หยุดมือ

ประชุมธรรมสะเทือนไปทั่วสามภพ ขอเคารพตั้งใจฟังอย่ากังขา

เปิดใจกว้างน้ำไหลคล่องกลางธารา เปิดปัญญาออกพินิจอย่าลังเล

การบำเพ็ญเป็นเรื่องใหญ่นำพาจิต การยึดติดความคิดตนกำแพงขวาง

ลาภยศอีกเงินทองเสมือนทาง อาจพาหลงหรือถูกทางต้องใคร่ครวญ

ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป หวังว่าน้องคงตั้งใจใจถี่ถ้วน

เอากายปลอมบำเพ็ญกายแท้หลุดพ้นตรวน แลชี้ชวนเวไนยขึ้นเรือธรรม

จงรักษากฎระเบียบแห่งพุทธะ อย่าปล่อยปละตนหลับให้สับสน

ทุกเวลานาทีไม่คอยคน อาจอับจนเพราะพลาดท่าความเซื่องซึม

จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน

ฮวา ฮวา หยุด










วันเสาร์ที่ ๓๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑ พุทธสถานฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น

พระโอวาทท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่

ลมเย็นพัดใบไม้สะบัดพลิ้ว ต้นไม้ปลิวตามแรงลมสะบัดไหว

น้ำใสเย็นค่อยรินหลั่งเรื่อยเรื่อยไป ภูผาใหญ่ยังมั่นคงตระหง่านยืน

เราคือ

อว๋าอวาเซียนหนวี่ รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยอวี้ แฝงกายกราบ

พระอนุตตรธรรมมารดา ถามเมธีทุกทุกท่านสบายดีไหม

กิเลสสารพัดเมื่อลุ่มหลงโลกแสงสี นัยนามีสักคราวจะไม่เห็น

พบง่ายไม่น้ำใจใสเย็นเย็น ไม่มีไม่กระเซ็นนิดปลิดอับจน

ไร้สัจจะคราวสำลักทางข้างหน้า ไร้เมตตาจิตกระจายมรรคขาดผล

เร่งแก้ไขแลไม่ลืมปรับปรุงตน บำเพ็ญตนในสมบูรณ์เข้าใจสรรค์สร้าง

น้อมกับอภัยความสามารถในจิต คู่ชีวิตคู่ความเพียรทิศสว่าง

เหล่าคนจริงอินทรียสังวร[๒]ดั่งจับวาง ขุมพลังคือตนตื่นเพราะตั้งใจ

บังเกิดใจงดงามอยู่พร้อมก่อน ดุจน้ำอ่อนล้อมแข็งมิเสียหาย

นอบน้อมกลางวงโคจรทิฐิพ่าย จึงอยู่ร่วมกันได้ตลอดทาง

ปรองดองเป็นที่ตั้งเป็นฐานสามัคคี อุปสรรคที่ฝ่าเมื่อใหญ่ขึ้นระมัดระวัง

อัตตาตนถือต่างน่าออกห่าง ก็เปรียบกระชังเกลียดน้ำเพราะอะไร

โล่งได้ดั่งยกภูเขาจากอก ยกมือปรกตะวันผ่อนร้อนได้

ยกมือบังดวงอาทิตย์ย่อมปราชัย เพียงเข้าใจรู้จักแยกแยะก็ยิ้มออก

ฮิ ฮิ หยุด

พระโอวาทท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ประทานแก่ผู้ปฏิบัติงานธรรม

ร่วมงานกันนานวันยิ่งเห็นชัด ต่างก็งัดความเป็นตนทิฐิสูง

ปากก็ยอมแต่ใจไม่อารมณ์ปรุง เผลอก็จูงเรื่องของเขามาสนทนา







พระโอวาทท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่

ถามคนหลงทุกๆ ท่านสบายดีไหม (สบายดี) ยอมรับใช่ไหมว่าเป็นคนหลง พอถามเมธีทุกๆ ท่านสบายดีไหม (สบายดี) ทำไมหลายใจจริง เป็นคนหลงก็เอา เป็นเมธีก็เอา หลายใจจริงไหม (ไม่จริง) เป็นคนรักพี่เสียดายน้อง โน่นก็อยากได้ นี่ก็อยากเอา ใช่หรือเปล่า เหมือนกับมานั่งในวันนี้ พอมานั่งตรงนี้ นั่นก็อยากทำ นี่ก็อยากทำ เลยนั่งฟังไม่รู้เรื่องเลย หรือไม่น่ามาเลย เป็นอย่างแรกหรืออย่างหลัง ถ้าท่านเป็นอย่างแรกเราจะดีใจกว่านะ ถ้าท่านเป็นอย่างหลังเราก็เสียใจ จะเป็นอย่างไหน (อย่างแรก) ไม่มีใครบอกว่าไม่เป็นสักอย่างเลยหรือ เราจะดีใจยิ่งกว่าอีกนะ ถ้าหากไม่เป็นทั้งสองอย่างก็แปลว่าท่านมานั่งที่นี่ด้วยความตั้งใจและยินดีใช่ไหม (ใช่)

อยากนั่งไหม แต่เราจะไม่บอกให้นั่งง่ายๆ เราจะบอกเป็นปริศนา ดอกไม้บานกับดอกไม้โรยหมายความว่าอย่างไร ใครคิดได้ก็ได้นั่ง คิดไม่ได้ก็ต้องยืน ถ้าดอกไม้บานก็หมายความว่าอะไร (นั่ง) แล้วโรยล่ะ (นั่ง) ไม่ว่าบานไม่ว่าโรยก็ต้องนั่งใช่หรือเปล่า เขาคิดอย่างนี้ก็ไม่ผิด คนเรามีความคิดที่แตกต่างกันออกไป บางคนคิดแบบมีเหตุมีผล บางคนคิดแบบเข้าข้างตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) จะไปว่าเขาผิดก็ไม่ใช่ จะว่าเราผิดก็ไม่ใช่เหมือนกัน ทุกคนมีเหตุการณ์บังคับที่ทำให้ต้องคิดแบบนั้น เข้าใจไหม (เข้าใจ) ตอนนี้เรากำลังพูดถึงว่าจะนั่งหรือยืนดี แล้วเราก็บอกว่าดอกไม้บานก็ควรจะเป็นยืน ดอกไม้โรยถึงจะเป็น (นั่ง) ฝนตกเป็นอะไรดี (นั่ง) น้ำพุเป็นอะไร (ยืน)

บางครั้งเราอยู่ในโลกนี้ไม่มีเรื่องราวอะไรจะชี้ให้เราชัดเจนว่าเราจะทำเช่นไรใช่หรือไม่ เหมือนตอนนี้เรามีชีวิต บางครั้งไม่มีใครจะมาบอกเราว่าชีวิตเราควรจะไปอย่างไร และควรจะทำอย่างไร ทุกครั้งเมื่อเราอยู่บนโลกนี้มีชีวิตเราต้องคิดตลอดเวลา คิดว่าจะทำและไปอย่างไร แต่แนวคิดของคนที่เรียกว่าเป็นคนประเสริฐนั้นมีแนวทางอยู่แนวทางหนึ่งที่ทำให้เรียกว่าเป็นคนประเสริฐ นั่นก็คือคิดอย่างมีคุณธรรม คิดอย่างคนที่มีความถูกต้องรู้ผิดรู้ชอบ เช่นเป็นคนที่สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างถูกทางใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ถ้ายามมีชีวิต เราลืมตาขึ้นมา เราไม่เคยคำนึงถึงทำนองคลองธรรม ไม่เคยคำนึงถึงความถูกต้อง ความชอบอย่างนี้แปลว่าเราเริ่มต้นชีวิตที่ผิดพลาดใช่ไหม (ใช่) เพราะว่าเราไม่สนใจแนวทางหรือความเป็นจริงชีวิตของโลกใบนี้ โลกนี้ก็มีกฎของโลก อยู่ในสังคมก็มีกฎของสังคม หากใครประพฤติตามกฎของโลกของสังคมก็แปลว่าเป็นคนที่อยู่กับธรรมชาติได้อย่างกลมกลืน แต่ถ้าหากใครปฏิบัติผิดแผกแตกต่างจากกฎสังคม แตกต่างจากกฎของโลก คนๆ นั้นก็อาจจะเป็นคนไม่ดี เป็นคนพาล เป็นคนที่แปลกของสังคมใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเวลาเราเริ่มต้นชีวิต เราเริ่มต้นวันใหม่ เราจะต้องคำนึงเสมอว่าทุกขณะที่เราจะไปไหนจะทำอะไร ถามตัวเองว่าถูกต้องไหมที่จะทำ มีธรรมหรือเปล่า

หากให้เลือกคนอยู่ร่วมกัน ประเภทหนึ่งคือคนดี ส่วนอีกประเภทหนึ่งคือคนพาล ท่านอยากได้คนประเภทไหน ก็ต้องอยากได้คนดีใช่หรือไม่ แล้วแนวทางของการเป็นคนดีคืออะไร เรามักจะชอบชี้ว่าคนนั้นคนดี คนนี้คนพาล ฉันคนดี คนนั้นเป็นคนไม่ดี ทำไมเราถึงชี้เป็น เราถึงวัดเป็น เราก็ต้องรู้ว่าอะไรเป็นเกณฑ์วัดว่าคนดี คนดีกับคนดีน้อย เราก็ต้องมีเกณฑ์ของเราและความเข้าใจของเราใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วเกณฑ์ของท่าน ความเข้าใจของท่านคืออะไร (ประพฤติปฏิบัติดี) การประพฤติปฏิบัติดีเป็นเครื่องที่วัดคนดี ก็แปลว่าตัวท่านต้องมีสิ่งที่เรียกว่าเป็นคนดีใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เป็นคนดีนั้นต้องมีแค่วันเดียวหรือเปล่า ต้องมีตลอดชีวิต ต้องมีทุกลมหายใจเข้าออก นอกจากนี้แล้วใครคิดได้ (ใช้ขันติและความเพียรเป็นเครื่องวัด, มีเมตตา, กรุณา มุทิตา อุเบกขา, ต้องมีธรรมในใจ) บางครั้งแค่เขามีดีอันเดียวก็เรียกเขาดีได้ แล้วถ้าเกิดคนพาลเราใช้อะไรเป็นเครื่องวัด วันนี้มุมานะพยายามด้วย แต่อย่าเป็นคนหูหนวกตาบอดนะ เข้าใจหรือเปล่า พอมาถึงที่นี่เห็นเราแล้ว มีหูแต่เหมือนไม่ได้ยิน มีตาเหมือนไม่ได้มอง ไม่เห็นได้เพราะอะไร เพราะใจเราไม่ยอมรับใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่หูหนวกเพราะใจอยากหนวกน่ากลัวยิ่งกว่าคนที่หูหนวกจริงๆ อีกใช่ไหม (ใช่) ท่านไม่เป็นคนหูหนวกนะ ใครเป็นคนหูพิการนะ

(เซียนหนวี่เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมออกมาแสดงท่าประกอบบทกลอนนำพระโอวาท)

ปรบมือให้หน่อย การเลียนแบบธรรมชาติดีหรือเปล่า (ดี) ถ้าเราเลียนได้ตรงแล้วเราก็สามารถเป็นธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ได้ เพราะว่าธรรมชาติมีแต่ให้สิ่งดี ไม่มีเรียกร้องจะรับจากใคร ไม่เหมือนมนุษย์ที่มีแต่จะเอาแล้วก็รับ แต่ไม่เคยยอมให้ใช่หรือไม่ (ใช่) คนพาลเป็นคนที่เกะกะระราน ไม่เคยหาความเจริญให้กับชีวิต ชอบเบียดเบียน ชอบทำร้ายผู้อื่น ชอบขี้เกียจไม่ค่อยขยัน พออะไรลำบากก็ยอมแพ้ บางครั้งเราก็ขี้เกียจ บางครั้งเราก็เกะกะระรานพาลคนโน้นทีพาลคนนี้ที เพราะอารมณ์ไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่) แปลว่าตัวท่านเป็นคนพาลหรือเป็นคนดีตอนนี้ (ดี) เป็นได้ทั้งคนพาลและคนดีแล้วแต่อารมณ์ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วคนดีคือคนอย่างไร คนดีก็คือคนที่ดำรงรักษาคุณธรรมความดีไว้ยิ่งกว่าชีวิต แต่คนพาลคือคนที่เห็นแก่ผลประโยชน์ หวังแต่ประโยชน์ หากใครไม่ให้ประโยชน์ก็ไม่ทำให้ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วก็ไม่สนใจว่าคนข้างนอกจะรู้สึกอย่างไร ขอเพียงตัวเองสบายใจ ขอเพียงตัวเองถูกใจ ไม่สนใจคนอื่นใช่หรือเปล่า (ใช่) นี่ถึงเรียกว่าคนพาล พูดง่ายๆ ก็คือคนดีมีชีวิตอยู่เพื่อช่วยเหลือคนอื่น แต่คนพาลมีชีวิตอยู่เพื่อเบียดเบียนและทำร้ายคนอื่น ถ้าเกิดถามทุกท่านในที่นี้ ใครๆ ก็อยากเป็นคนดี ไม่อยากให้ตนเองเป็นคนพาลใช่หรือไม่ (ใช่) พอเรารู้สองอย่างนี้ เราจะสามารถรู้ได้อีกอย่างหนึ่งว่า คนที่รู้จักเห็นใจ เห็นความทุกข์ของผู้อื่นแล้วทนไม่ได้ ก็คือคนที่เป็นคนดีเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วคนที่รู้จักหัวอกเขาหัวอกเราก็คือคนดีเหมือนกัน ไม่ใช่เป็นคนที่รักตัวเองคนเดียว แต่ยังเป็นคนที่พร้อมจะรักคนอื่นได้ พร้อมจะยอมรับคนอื่นได้ นี่ถึงจะเรียกว่าคนดีที่แท้จริงใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราลองถามตัวเองดูว่าเราอยากจะเป็นคนดี แต่บางครั้งเวลาเราดำรงชีวิตเรามักเชื้อเชิญความดีมาหา หรือขับไล่ความดีออกไปกัน ยอมรับโดยดีว่าขับไล่อยู่ทุกวันเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)

มีชีวิตตั้งแต่เล็กจนโตมีใครบ้างไหมที่เรียกความมีเมตตา ความมีน้ำใจให้เข้ามา (ไม่) เวลาคุยกันก็เริ่มว่าเขาไม่ได้เรื่อง เขาไม่ดีเลยนะใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วเวลามอง เวลาเห็นคนทำดีมักจะไม่ค่อยมองกัน แต่พอเห็นคนเดือดร้อนเป็นทุกข์ก็นำมาเล่า เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีใครพูดเรื่องดีกันเลย เวลาเจอหน้ากันเราสนทนากันเรื่องอะไร คนโน้นเป็นอย่างโน้น คนนี้เป็นอย่างนี้ แต่จะมีใครสักกี่คนที่เวลาพูดออกมาแล้วเป็นวาจาที่งดงาม เป็นวาจาที่มีแต่สิ่งที่ดี โดยทั่วไปแล้วเรามักแต่จะเชื้อเชิญแต่สิ่งที่ร้ายเข้ามาสู่ตัวเอง แล้วก็พูดคุยแต่เรื่องเลวร้ายทั้งนั้นเลยใช่หรือไม่ (ใช่) ทำให้รอบๆ ตัวเรามีแต่คนโน้นเน่า คนนี้เสีย คนโน้นบูด คนนี้น่าเอาไปทิ้ง ทั้งนั้นเลยใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วคนที่เน่า คนที่เสีย คนที่บูด ที่เอาไปทิ้งล้วนออกมาจากปากเราทั้งนั้นเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) อย่างนี้จะเรียกว่าคนดีก็คงยากใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเริ่มต้นง่ายๆ เราอยากเป็นคนดี การเป็นคนดีแล้วไปให้ถึงซึ่งความดี นั่นก็คือผู้ที่รู้จักบำเพ็ญตน คนที่รู้จักบำเพ็ญตนก็คือคนที่รักความก้าวหน้า ไม่ใช่ก้าวหน้าแค่ร่างกาย แต่คือคนที่ก้าวหน้าซึ่งจิตใจของเขาใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่ข้างนอกก็งามแล้วใจก็งามด้วย คนๆ นั้นเป็นคนที่ประเสริฐ เป็นคนที่ดี แล้วเราก็ชอบใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราก็อยากจะเป็นคนเช่นนั้น แล้วทุกๆ ท่านก็เป็นคนเช่นนั้นได้ แล้วการจะเริ่มต้นที่ดีก็คือเริ่มที่ปากอันนี้ การกระทำอันนี้ของเรา เคราะห์ร้ายจะไม่มาสู่ถ้าปากเราไม่พูดมากเกินไป พูดเรื่องที่ไม่ดีเกินไป เรื่องร้าย เรื่องลำบาก เรื่องยุ่งยากจะไม่เข้ามาหาเราถ้าเราไม่อยากมากจนเกินไป อยากชนะคนอื่น อยากได้ของโน้นของนี่จนเกินพอใช่หรือไม่ (ใช่) งั้นการเริ่มต้นทำตนเป็นคนดีและไปให้ถึงซึ่งความดี แล้วเรียกว่าผู้บำเพ็ญคงไม่ยากเกินไปใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วก็คงเป็นสิ่งที่ทุกคนอยากจะมีกันใช่หรือเปล่า (ใช่)

คุณธรรมพื้นฐานที่เรียกว่าคนดีหรือผู้บำเพ็ญได้นั้น นั่นก็คือหนึ่งต้องมีความเมตตา แล้วทุกท่านในที่นี้มีความเมตตาหรือไม่ (มี) เมตตาอย่างไร มีเมตตาแล้วเมตตาคืออะไร คนที่เมตตาก็คือคนที่เห็นใครตกทุกข์ได้ยาก เห็นใครเดือดร้อนก็อยากจะช่วยเหลือใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเมตตาก็คือหนึ่งในพื้นฐานของคุณธรรมของผู้บำเพ็ญหรือคุณธรรมของคนดี หากเรามีก็แปลว่าเราเป็นคนดี เป็นคนที่บำเพ็ญธรรมได้ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเห็นเด็กคลานต้วมเตี้ยมๆ จะใกล้ตกแม่น้ำแล้วมีใครบอกว่าปล่อยไปเลยบ้างไหม (ไม่มี) กล้าปล่อยไหม แม้คนนั้นจะไม่ใช่ลูกของท่านกล้าปล่อยไหม (ไม่กล้า) แล้วทำอย่างไร เตะเลยใช่ไหม จะได้ไม่ทุกข์ทรมานหรือเปล่า คิดอย่างนั้นหรือเปล่า แล้วค่อยลงไปช่วย แล้วคนเขาจะได้ชมอย่างนั้นหรือเปล่า แต่เดี๋ยวนี้ก็มีคนทำแบบนั้นใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะว่าติดแค่คำชมและคนนับถือใช่หรือไม่ (ใช่) เลยเตะก่อนแล้วค่อยทำความดีทีหลัง อย่างนี้บุญกับบาปหักล้างกันก็ไม่มีความดีเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วเราอยู่บนโลกนี้แล้วเราเป็นคนดีหรือเปล่า ทำตัวเองให้คนอื่นเดือดร้อนเสียก่อนแล้วค่อยไปคิดช่วยอย่างนั้นหรือเปล่า (เปล่า) แล้วถ้าเกิดว่าวันนี้หัวหน้าลงไปกินข้าวเยอะหน่อยเพราะตัวเองจะได้อิ่ม แต่พอเห็นคนอื่นหิวก็ไปบอกแม่ครัวทำเพิ่มๆ กับข้าวไม่พออย่างนี้ถูกไหม (ถูก, ไม่ถูก) ทำไมจึงคิดว่าถูก (เหตุผลเพราะข้าวไม่พอ) แล้วคนที่บอกว่าผิดทำไมถึงคิดว่าผิด (เพราะเห็นแก่ตัว) ต้องใช้คำพูดให้ถูกว่าเพราะว่าทำไม่ถูกใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อสักครู่เราบอกแล้วว่าต้องระวังคำพูดของเราใช่หรือเปล่า (ใช่) บางครั้งเราอยู่ร่วมกันในสังคมอย่ามัวนึกถึงตัวเองเป็นใหญ่ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) สำนวนเก่าบอกว่า ถ้าคนเรานึกถึงตัวเองเป็นใหญ่แม้แต่ครอบครัวของตัวเขาเองก็อยู่ร่วมกันไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้นเขาจะมีตำแหน่งสูงใหญ่โต พอไปทำงานกับคนอื่นก็ยากที่จะดำรงตำแหน่งนั้นอย่างเหมาะสม เพราะว่านึกแต่ตัวเองเป็นใหญ่ ฉะนั้นเวลาเราอยู่ร่วมกับคนไม่ว่าอยู่มากหรืออยู่น้อยเราต้องเห็นอกเห็นใจกัน นึกถึงเขานึกถึงเราได้ด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นก็คือเมตตาเริ่มต้นคำนึงถึงคนอื่นด้วย เช่นนี้เวลาเราอยู่กับคนอื่นในสังคมเราก็ยากที่จะมีชีวิตไปทำความเดือดร้อนให้กับคนอื่นโดยไม่รู้ตัว ใช่ไหม เพราะว่าทุกขณะเราคิดถึงเขาเสมอไม่ใช่คิดแค่ตัวเองคนเดียวใช่หรือไม่ (ใช่)

(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นปรบมือ)

โดยปกติทุกคนมีจิตใจที่ดีงามมาตั้งแต่เด็กๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วตอนนี้ยังดีงามอยู่หรือเปล่า (ดี) ตอนนี้ออกมาสว่างๆ กลับไปก็ต้องสว่างๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่) บางครั้งอยู่บนโลกนี้ออกมาจากบ้านรู้สึกกระปรี้กระเปร่ายิ้มแย้มแจ่มใส แต่พอกลับบ้านไปรู้สึกห่อเหี่ยวกลับไปใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ก่อนเราเคยมีจิตที่สดใสจิตที่สว่าง แต่ตอนนี้เรามักจะโดนกิเลส ความอยาก ตัณหา อารมณ์แล้วก็เรื่องราวต่างๆ ในโลกนี้ทำให้เรามักจะมัวหมองมักหลงผิดหลงพลาดไปใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างที่เรากล่าวไว้อย่างเมื่อสักครู่นี้ เราบอกว่าบางครั้งเวลาเรามีความอยากขึ้นมา ความอยากก็มักจะชักพาให้เราทำความผิดได้ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเราหลงขึ้นมาความหลงก็ทำให้เรามืดบอดได้เหมือนกัน เวลาเรามีอารมณ์โกรธ อารมณ์โกรธก็มักจะชักพาให้เราร้อนเป็นไฟได้เหมือนกัน ไม่ว่าอารมณ์ ความอยาก ตัณหาที่เกิดขึ้นมักจะทำให้จิตเรายากจะสดใส มักจะขุ่นมัวใช่หรือไม่ (ใช่)

หากเปรียบเทียบแต่ก่อนเราเหมือนมีแก้วใบหนึ่งเป็นแก้วกลมใสๆ พอเรามาอยู่ในโลกเรามักจะอดติดไม่ได้ ติดตามคนข้างนอก ติดตามสังคม ติดตามคนแวดล้อม ติดตามรูปลักษณ์ ติดตามความอยากที่คนอื่นเขามีแล้วเราก็อยากมีใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตเราต้องเลี้ยงดู แต่ว่าการได้มาซึ่งสิ่งที่ดำรงชีวิตต้องอยู่ในความพอดี หากเรามีความอยากแต่อยากเกินความพอดี ความอยากนั้นก็จะทำร้ายดวงจิตดวงใจของเรา หากอยากแล้วหลงผิดไม่รู้จักแยกถูกผิดให้เป็น ความอยากนั้นก็จะทำร้ายแก้วอันบางใสของเราให้แตกได้พอเข้าใจไหม (เข้าใจ) ฉะนั้นเราอยู่บนโลกนี้ไม่ว่าเราจะมีความอยาก มีอารมณ์เราต้องระมัดระวังอย่าให้กระทบกระเทือนต่อจิตใจ มีได้แต่จะมีอย่างไรที่ไม่ทำให้จิตใจของเรานั้นแตกร้าว ทำให้จิตใจของเรานั้นหม่นหมอง นั่นก็คือเวลาเรามีชีวิตอยู่เราต้องมีให้เป็น เวลาเรามีอารมณ์เราต้องรู้จักควบคุม เวลาเรานำพาตน เราต้องนำพาไปให้ถูกทางใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราทำเช่นนี้ความหม่นหมองของโลกภายนอก ความหม่นหมองของกิเลสตัณหาก็ยากที่จะมาทำให้ดวงจิตหรือดวงใจของเราเปลี่ยนความสดใสได้ ฟังอย่างนี้พอเข้าใจไหม (เข้าใจ) คงไม่ยากใช่ไหมที่ต่อไปขจัดสิ่งที่ไม่ดีที่จะมาทำร้ายจิตใจ คงทำได้ใช่ไหม (ใช่) อย่างเช่นเวลามีอารมณ์โกรธขึ้นมาเราก็ต้องระมัดระวังและคิดเสียก่อนว่ามีอารมณ์จะดีไหม ถ้าไม่ดีรีบตัดทิ้งเสียก่อนที่จะเข้ามาสู่ใจใช่หรือไม่ (ใช่)

เวลามีความอยาก อยากมากเกินไปหรือเปล่า อยากแล้วจะไปทำร้ายคุณธรรมในตัวเราหรือไม่ อยากแล้วกลายเป็นคนพาลทำให้คนอื่นเดือดร้อนหรือเปล่า หากทุกขณะเราคิด เวลาจะทำเราก็ยากที่จะเป็นคนผิดพลาดและกระทำผิดได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากทุกขณะเราทำอะไร เราก็คิด เราก็เป็นผู้ที่มีตามีหูแต่ไม่บอด บางครั้งเวลาคนเราอยากขึ้นมา แม้มีตาก็มองไม่เห็นซึ่งความเป็นจริง เคยเป็นไหม ยกตัวอย่างง่ายๆอย่างฝ่ายชาย เวลาอยากขึ้นมา แม้มีตา มีหู เราก็รับฟังไม่รู้เรื่อง เพราะอะไร เช่นเราอยากดื่มเหล้า อยากสูบบุหรี่ แม้ใครจะพูดก็เหมือนไม่ได้ยิน อุดหูโดยไม่ต้องมีสำลีอุดหูเลยก็ได้ใช่ไหม ฉะนั้นเวลาอยากอะไร เราต้องระวังด้วยว่าถ้าเป็นข้อผิด เราต้องยอมรับ คนเราถ้าเห็นข้อผิดแล้วสำนึกในความผิดของตน เร่งรีบแก้ไข นั่นก็คือคนที่รู้จักดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้อง แล้วคนที่รู้จักแยกแยะถูกผิดได้ ก็คือคนที่มีปัญญา ท่านอยากเป็นคนที่มีสติปัญญาไหม (อยาก) ไม่มีใครอยากเป็นคนโง่ของกิเลสของอารมณ์ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นต้องรู้จักใช้สติปัญญาแยกแยะให้เป็น รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร เราก็สามารถจะอยู่บนโลกนี้และใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้อย่างมีความสุข ฟังแล้วง่ายแต่ทำยาก ถ้าหากมีอารมณ์เกิดขึ้น อารมณ์เหมือนจุดไม้ขีดไฟเราจะทำอย่างไรถึงจะดับอารมณ์ ดับความอยากให้ได้ (ใช้ความอดทน) เวลาเรามีความอยากขึ้นมา เราใช้ความอดทนถูกต้องไหม ความอยากเกิดที่ใจตนเองใช่หรือเปล่า (ใช่) เวลาใจเราเริ่มจุดไฟขึ้นมา ทำอย่างไรจึงจะดับ (ทำอารมณ์ให้เย็น,ใช้ความคิดพิจารณา) พอคิดพิจารณาแล้วไม้ขีดก็เผาไปครึ่งหนึ่งแล้วทำอย่างไรต่อดี อารมณ์พอจุดขึ้นมาก็เปรียบเทียบเหมือนกับการจุดไม้ขีดขึ้นมาแล้วหนึ่งอัน ถ้าหากเราคิดช้าไม้ขีดก็จะเผาไปครึ่งหนึ่งแล้วใช่ไหม นั่นก็คือเราบังคับช้า เราปล่อยให้ความอยากนอนอยู่ในใจ เราก็ง่ายที่จะถูกเผาผลาญ ง่ายที่จะถูกครอบงำ เวลาอารมณ์ถูกจุดขึ้นมาเราต้องมีสติก่อน เมื่อมีสติแล้วเราก็ต้องรีบดับทันที แล้วเราจะดับโดยการใช้ปัญญา ฉะนั้นไม่ว่าเรื่องราวภายนอกจะเลวร้าย หรือคนอื่นจะเลวร้ายแค่ไหน ตัวเราจะทำผิดเมื่อไร เราจะต้องมีสติก่อน ถ้ามีสติ ปัญญาก็จะตามมา ก็ทำให้เรารู้จักแก้ไขเรื่องราวไม่ให้บานปลาย หรือพูดง่ายๆ ก็คือเรามีสติ เราต้องรู้จักดับ การรู้จักดับก็คือเรามีสติและใช้ปัญญาโดยสำเร็จแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นก็คือเหมือนเวลาเราจุดไม้ขีด ทำไมเราถึงรู้ว่ามีไม้ขีดอยู่ในกล่อง และรู้ว่าต้องจุดอย่างนี้ ก็เพราะว่าตอนนั้นเรามีสติอยู่ และมีปัญญาที่รู้ว่าจุดแล้วถึงจะติด ถ้าทุกขณะที่เรารู้ตัว เวลาจะจุดหรือดับก็ไม่เกิดอันตราย ถ้าเวลาที่เราอยู่บนโลกนี้จุดแล้วไม่รู้จะดับได้อย่างไร ก็แปลว่าเราเผลอสติปล่อยปัญญาตนเองทำผิดไป ถ้าทุกขณะเราจะทำอะไร เรามีสติปัญญามีความแน่วแน่เวลาทำอะไรก็ยากที่จะผิดพลาดได้เข้าใจไหม (เข้าใจ)

ธรรมชาติของน้ำมักไหลลงที่ต่ำ มนุษย์เราก็เหมือนกัน เวลาเผลอขึ้นมาก็มักจะปล่อยตัวตกต่ำจนไม่รู้ตัว ฉะนั้นเวลาที่เรามีชีวิตอยู่เราต้องประคองชีวิตของตนเองให้ดี นำพาตนเองไปให้ถูกทางเมื่อเรารู้จักควบคุมอารมณ์ตนเองได้ทุกขณะ เราต้องมีคุณธรรมให้กับตน แต่บางครั้งเราต้องรู้ด้วยว่าเราอยู่ร่วมกับใคร เพราะว่าเวลาเราอยู่กับใครมักจะอดไม่ได้ที่จะนึกถึงตัวเองก่อนโดยที่ไม่สนใจคนอื่นใช่หรือเปล่า เวลาที่เราอยู่ร่วมกับคนอื่น เราต้องมีคุณธรรมอีกข้อหนึ่งที่ทำให้เรารู้จักอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ รู้จักวางตัวได้อย่างเหมาะสม เวลาเราอยู่กับคนในสังคมแล้วเขายอมรับว่าเราเป็นคนที่วางตัวได้เหมาะสม และเราเป็นคนที่ทุกๆ คนอยากให้เราอยู่ด้วย นั่นก็คือเราต้องเป็นคนที่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน แม้จะเป็นคนที่มียศตำแหน่งสูง ความรู้มากมาย แต่เราก็ต้องรู้จักนำความอ่อนน้อมไปอยู่ร่วมกัน ถ้าหากต่างคนต่างถือทิฐิก็มีแต่แตกหักง่ายๆ ฉะนั้นเวลาอยู่ร่วมกับคนในสังคม ไม่ว่าจะอายุมากอายุน้อย ความรู้มากความรู้น้อย สิ่งที่ทำให้เราอยู่ร่วมกันได้สงบก็คือความอ่อนน้อมให้แก่กันใช่ไหม (ใช่) นอกจากความอ่อนน้อมแล้วก็ยังมีความจริงใจต่อกันอย่างไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไม่หวังผล ถ้ามีทั้งอ่อนน้อมและจริงใจเวลาไปอยู่กับใคร ใครๆ ก็รักและยอมรับ แล้วเป็นไปได้ไหมที่คนบนโลกทุกคนจะรักท่านหมด โดยไม่มีคนเกลียดท่านเลยแม้สักคนเดียว (เป็นไปไม่ได้) แล้วเป็นไปได้ไหมที่ท่านทำอะไรถูกใจทุกคนหมด โดยที่ไม่มีใครไม่ถูกใจท่านเลย (ไม่ได้) ฉะนั้นเวลาที่ท่านทำอะไรแล้วมีคนเกลียดก็ต้องมีคนรักเป็นธรรมดา แต่ต้องรู้ว่าคนที่เกลียดต้องเป็นคนที่ไม่ดีถึงเกลียดใช่ไหม ถ้าหากท่านทำอะไรมาอย่างหนึ่งคนที่เกลียดท่านไม่รักท่านคือคนดี แปลว่าสิ่งที่ท่านทำก็ไม่ถูกต้องแล้ว ฉะนั้นเวลาที่อยู่ในโลกนี้มีทั้งรักมีทั้งเกลียด คนที่เกลียดเราต้องเป็นคนที่ไม่ดีถึงเกลียดเรา คนที่รักเราได้ต้องเป็นคนดีที่รักเรา แปลว่าการกระทำนั้นเราทำถูกใช่ไหม (ใช่) ถ้าหากว่าเราทำออกไปแล้วแต่คนที่เกลียดเราคือคนดี คนที่รักเราคือคนไม่ดีแปลว่าสิ่งที่เราทำนั้นไม่ถูกหรือไม่ดีใช่ไหม ฉะนั้นเวลาเราจะทำอะไรในโลกไม่ว่าจะทำดีหรือว่าดำรงชีวิตย่อมเป็นธรรมดาที่มีทั้งคนรักและคนเกลียด แต่ขอให้คนที่รักเป็นคนดีและมีคุณธรรม ไม่ใช่คนที่รักท่านคือคนไร้คุณธรรมและประพฤติไม่ดี อย่างนั้นก็แปลว่าท่านก็ไม่ดีใช่ไหม (ใช่)

แล้วถ้าสมมติว่าท่านทำอย่างหนึ่งให้กับเขา แล้วเขาก็ชี้หน้าว่ากลับมาท่านจะทำอย่างไรต่อ ถ้าท่านชี้หน้าว่ากลับไป อย่างนี้แปลว่าไม่ดีทั้งคู่ แปลว่าเรายังมีความมุ่งมั่นในการทำดีไม่เพียงพอ ฉะนั้นแม้คนอื่นจะไม่ดี แต่เราต้องมั่นคงในการทำความดีและยืนหยัดในการทำความดี ถึงจะเรียกว่าเป็นคนที่บำเพ็ญดีอย่างแท้จริง

แล้วคนเราควรมีความอ่อนนอกแข็งในหรือว่าแข็งนอกอ่อนในกันดี หรือว่าต้องอ่อนทั้งนอกทั้งในดี เป็นอย่างไรดี ต้องอ่อนนอกแข็งในใช่หรือไม่ (ใช่)

(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาเรียกผู้ปฏิบัติงานธรรมชายออกมาหนึ่งท่าน)

ผู้ชายมักจะเป็นตัวแทนของความเข้มแข็งใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วจะทำอย่างไรให้มีความอ่อนอยู่ภายนอก แล้วมีความเข้มแข็งอยู่ภายใน ทำท่าอย่างไรดี ลองสมมติให้หนึ่งท่า (ผู้ปฏิบัติงานธรรมทำท่าโค้งคำนับ) ปรบมือหน่อยนะ นั่นก็คือว่าบางครั้งเราก็ต้องรู้จักอ่อนน้อม และข้างในก็มีความเข้มแข็งใช่หรือไม่ (ใช่) ผู้ชายอย่าคิดว่าต้องเข้มแข็งตลอดไป บางครั้งต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนด้วย ผู้หญิงไม่ใช่ต้องเป็นความอ่อนน้อมเสมอไปอย่างเดียว บางครั้งก็ต้องรู้จักเข้มแข็งบ้างใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งเราก็ต้องยืนด้วยลำแข้งของตัวเราเอง ชีวิตของเราไม่สามารถจะมีคนอื่นหรือคนรอบข้างไปตลอดชีวิตของเราได้ มักจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราก็ต้องปรับปรุงตัวเองไปเรื่อยๆ นั่นก็คืออยู่กับใครก็สามารถอยู่ได้ ไม่ใช่ว่าอยู่กับกลุ่มนี้ได้ แต่อีกกลุ่มหนึ่งกลับอยู่ไม่ได้ อย่างนั้นก็ไม่ถูก เราจะเป็นคนที่อยู่ได้ในกลุ่มเดียวก็ไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ต้องเป็นคนที่อยู่ได้ในทุกกลุ่ม แต่การอยู่ได้ในทุกกลุ่มไม่ใช่เป็นงูหลายหัวใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์นั้นเข้าใจคิดจริงๆ ท่านมีปัญญามากๆ บอกว่าให้รู้จักมีความอดทน อะไรก็อดทนหมดเลย เรื่องที่เรื่องควรจะหยุดก็ไม่ยอมหยุด อย่างนั้นก็ไม่ถูกใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าบอกว่าให้เป็นคนที่เข้าได้กับทุกๆ คน นี่ก็เข้าได้ กลายเป็นนกสี่หัวห้าหัวใช่หรือไม่ (ใช่) เขาเรียกว่ามีปัญญาแต่ใช้ปัญญาไปในทางที่ไม่ถูกต้องใช่ไหม (ใช่) เราไม่ชอบเป็นคนที่มีหลายหัวใช่หรือเปล่า (ใช่) เราจะเล่านิทานให้ฟังเรื่องหนึ่ง งูตัวหนึ่งมีสองหัว ไม่มีหาง หัวหนึ่งเป็นแบบหนึ่ง อีกหัวหนึ่งเป็นอีกแบบหนึ่ง เวลาไปไหนก็ต้องไปด้วยกัน มีอยู่วันหนึ่งเขาเกิดมีความต้องการไม่เหมือนกัน อีกหัวหนึ่งอยากไปทางซ้าย อีกหัวหนึ่งอยากไปทางขวา แล้วเขาจะทำอย่างไรดี เขาก็เลยไปหาคนๆ หนึ่งช่วยตัดสินใจว่าจะเลือกทางซ้ายดีหรือทางขวาดี ปรากฏว่าคนที่ตัดสินใจเขาก็ยื่นข้อเสนอว่า ท่านอยากสมหวังไหม งูทางซ้ายก็บอกว่าอยากสิ ฉันอยากสมหวัง แล้วก็ถามงูทางขวาอีก ท่านอยากสมหวังไหม งูทางขวาก็ตอบว่าอยากสิอยากสมหวัง แล้วก็หันกลับมาถามงูสองหัวพร้อมๆ กัน ท่านยอมเขาได้ไหม (ไม่ยอม) ท่านยอมเขาได้ไหม (ไม่ได้) ผลสุดท้ายถ้าเราตัดสินท่านจะเอาไหม นั่นก็คือต่างคนต่างได้ไปในสิ่งที่ต้องการ งูก็บอกว่าดีๆ เอาๆ เขาก็เอามีดสับลงไป ปรากฏว่าไม่ได้ไปทั้งคู่ใช่หรือไม่ (ใช่) นิทานเรื่องนี้ต้องบอกว่าสามัคคี หรือพูดง่ายๆ คือเวลาเรามีชีวิตเราต้องรู้จักรวมใจเป็นหนึ่ง เวลาเรารวมใจเป็นหนึ่งจะทำอะไรก็ย่อมสำเร็จ แต่ถ้าใจเราแตกแยก ไม่ว่าจะเป็นคนบำเพ็ญธรรม ไม่ว่าเวลาเราเรียนหนังสือ หรือว่าเราทำงาน ถ้าใจเราแตกแยกคิดโน่นคิดนี่ก็ยากที่จะทำอะไรได้สำเร็จสักอย่าง กลายเป็นคนที่ประสบความล้มเหลวในชีวิตใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเวลาจะทำอะไรอย่าเป็นงูสองหัว ดีหรือเปล่า (ดี)

ถ้าเกิดว่าเป็นงานอย่างเดียว แต่มีคนทำห้าคนหรือหกคน แล้วเกิดแบ่งความคิดเป็นสองกลุ่ม มีสองทางที่เขาเลือก เราจะทำอย่างไรดี นั่นก็คือต่างฝ่ายต่างพบกันครึ่งทางใช่หรือไม่ (ใช่) เราต้องยอมลดทิฐิ ความเป็นตัวของเราลงครึ่งหนึ่ง แล้วก็หันหน้าเข้าหากันใช่ไหม (ใช่)

(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานกลอนพระโอวาท)

สำนวนของกระชังคือกระชังก้นรั่วใช่ไหม (ใช่) กระชังจะมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งคือก้นรั่วใช่หรือไม่ (ใช่) เราบอกว่า ”ก็เปรียบกระชังเกลียดน้ำเพราะอะไร” กระชังไม่ได้เกลียดน้ำ แต่เป็นเพราะว่ากระชังมีข้อเสียคือก้นรั่ว เวลาตักน้ำ น้ำจึงไหลออกมาใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเราอยู่ร่วมกับคน บางครั้งเรามักเจออุปสรรคที่ทำให้เรารู้สึกไม่ถูกใจ ไม่พอใจ หรือเราผ่านไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วเราจะโทษว่าอุปสรรคไม่ดี อุปสรรคน่าเกลียด คนอื่นไม่ดี คนอื่นน่าเกลียด ทำให้เราเป็นคนขี้โมโห ทำให้เราเป็นคนไม่ดี ได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าท่านพูดว่าได้ ก็แปลว่าตัวท่านเหมือนกระชังที่เกลียดน้ำ กระชังที่เกลียดน้ำก็เพราะว่าเวลาตักน้ำที่ไรน้ำมักจะรั่วออกมาใช่หรือไม่ หรือพูดง่ายๆ ก็คือน้ำมักจะทำให้คนอื่นรู้ว่ากระชังนั้นก้นรั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาคนอื่นมาทำให้ท่านบาดหมางใจ มาทำให้ท่านรู้สึกไม่ดี มาเป็นอุปสรรคขัดขวางเวลาท่านจะทำอะไร บางครั้งท่านอย่าไปว่าเขา ถ้าท่านทำแล้วไม่ผ่าน ก็แปลว่าตัวท่านนั้น ยังดีไม่พอใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนเขามายั่วอารมณ์ให้ท่านโกรธ แล้วท่านก็โกรธ ท่านจะบอกว่าเขาเป็นคนผิดได้หรือไม่ (ไม่ได้) แต่เป็นเพราะว่าเรายังอดทนและขันติไม่พอ เหมือนเวลาเราอยู่รวมกันแล้วเราก็บอกว่าเขานี่ชอบทำให้ฉันโกรธเรื่อยเลย เขาชอบทำให้ฉันขี้บ่นเรื่อยเลย เขาเป็นอุปสรรคเป็นมารในการบำเพ็ญได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นแปลว่าตัวเราเป็นอุปสรรคของตัวเองหรือเป็นกระชังที่ก้นรั่วใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเราเจอเรื่องอะไรที่เรารู้สึกว่ายากต่อการที่จะฝ่าให้สำเร็จ เราอย่าไปโทษเขา แต่เราต้องถามว่าตัวเรานั้นมีข้อบกพร่องตรงนั้นไหม

ท่านรู้ไหมว่ามือของท่านมีประโยชน์ นอกจากมีประโยชน์สำหรับตัวเองแล้ว ยังมีประโยชน์ไว้ช่วยคนอื่นได้อีก อย่างเช่นเวลาเห็นเขาจะจมน้ำ เรายื่นมือไปให้เขาจับใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วมือนี้ก็ยังสามารถทำร้ายคนได้อีก อย่างเช่นวันนี้ไม่พอใจ ก็หยิกเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วเราจะเอามือนี้ทำบุญหรือทำบาปดี (ทำบุญ)

(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาตบบ่านักเรียนในชั้นเบาๆ )

ถ้าอย่างนี้ถือว่าทำบุญใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าตบแรงหน่อยก็ทำบาปใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นนอกจากอยู่ที่การกระทำแล้วยังอยู่ที่น้ำหนักเบาน้ำหนักแรงในการกระทำสิ่งนั้นด้วยใช่ไหม (ใช่) บางครั้งเรามีความจริงใจทำให้เขา แต่ถ้าเบาเกินไปก็อาจจะทำให้เขาเข้าใจผิดไปอีกทางหนึ่งก็ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) เขาหัวเราะก็แปลว่าใช้ได้ถูกใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเขาร้องไห้ เราถึงจะต้องรู้จักเบาๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่) มือของเรานอกจากจะทำเพื่อตัวเราเองแล้วยังต้องช่วยคนอื่นได้อีกด้วย แต่มือเรามีจำกัด ถ้าเกิดเราใช้มือนี้ทำประโยชน์ก็คงช่วยได้ไม่กี่คนใช่หรือไม่ (ใช่) เราจะต้องรู้จักนำคุณธรรมมาเสริม เราถึงจะสามารถช่วยผองชนได้ ถ้าเกิดว่ามือนี้เวลาเราจะทำอะไร เราคำนึงถึงคุณธรรมความถูกต้อง มือนี้นอกจากจะประกาศความดีให้กับตัวเราเองแล้ว ยังเป็นการเผื่อแผ่ความดีส่งต่อไปให้คนอื่นอีก เวลาเราเห็นคนอื่นตกทุกข์ได้ยาก เรารู้แล้วว่าทางนี้เป็นการบำเพ็ญ เราก็ยื่นมือไปช่วยเขา แต่การยื่นหนึ่งมือนี้จะสามารถช่วยคนได้เป็นสิบเป็นร้อยใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นก็คือยื่นมือแห่งคุณธรรมไปช่วยผองชนใช่หรือไม่ (ใช่) มีชีวิตไม่ใช่มีคุณค่าเพียงเพื่อตน แต่ยังมีเพื่อผองชนด้วย เห็นใครตกทุกข์ได้ยาก เรายื่นมือแห่งคุณธรรมไปช่วยเหลือเขา ดีหรือไม่ (ดี) แล้วมือนี้ก็จะช่วยบังแดดอันร้อนอันทุกข์ยากของปวงชนได้เข้าใจไหม (เข้าใจ) นอกจากเราจะมีมือบังแดดให้กับตัวเองแล้ว เรายังสามารถเอามือแห่งคุณธรรมนี้บังแดดแห่งความทุกข์ยากของผองชนได้ด้วย หากเราทำได้เช่นนี้ ท่านก็สามารถเป็นพุทธะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์น้อยๆ ได้เหมือนกัน วันนี้ก็คงมาเพียงสั้นๆ เท่านี้ อยู่ในโลกนี้ขอให้เข้าใจตัวเองให้ได้ เข้าใจผู้อื่นให้เป็น แล้วก็เข้าใจเรื่องราวของโลกให้ได้ หากเข้าใจทั้งตัวเองและข้างนอกได้ ก็ยากที่จะทุกข์เพราะรู้จักนำพาตนเองเป็นในสภาวะเหตุการณ์ต่างๆ

(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานกลอนพระโอวาทสำหรับผู้ปฏิบัติงานธรรม)

“ร่วมงานกันนานวันยิ่งเห็นชัด ต่างก็งัดความเป็นคนทิฐิสูง

ปากก็ยอมแต่ใจไม่อารมณ์ปรุง เผลอก็จูงเรื่องของเขามาสนทนา”

ท่องให้ขึ้นใจ อย่าทำอย่างนี้ เพราะมันไม่ดี ขอให้โชคดีออกจากประตูได้ แล้วไกลเป็นพันลี้ ไม่ใช่เรื่องดีออกจากประตูก็ออกไม่ได้ แต่เรื่องร้ายไปไกลเป็นพันลี้ อย่างนี้มธุรสวาจาก็กลายเป็นกะปิวาจาใช่หรือเปล่า (ใช่) เคราะห์ร้ายมักจะเกิดจากปาก ความยุ่งยากลำบากมักเกิดจากความอยากของตัวตน หากเราไม่อยากยุ่งยากลำบาก เราก็ต้องรู้จักพอดีกับการมีชีวิต พอดีกับการดำรงตน อย่างที่พระพุทธองค์สอนไว้ หากรู้จักทางสายกลางเมื่อยามมีชีวิตรู้จักพึงพอในสิ่งที่ตนมีอยู่ เราก็จะเป็นสุขได้ ถ้าทำได้ท่านก็จะมีสุข หากสุขที่ตนมียังหาไม่ได้ แล้วจะไปหาสุขข้างนอกได้อย่างไรใช่หรือไม่ (ใช่) สุขเริ่มต้นง่ายๆ ก็คือไม่ว่ามีอะไรเราก็พอใจ เราก็มีสุขแล้ว แต่ถ้าเกิดว่าอยู่ในบ้านเราไม่เป็นสุข แล้วออกนอกบ้านเราจะเป็นสุขได้จริงหรือ ก็คงเป็นของหลอกลวงเท่านั้นใช่หรือไม่ (ใช่)

ขอให้ตั้งใจศึกษาให้ดี วันนี้มาแล้ว พรุ่งนี้ขอให้มาอีกได้ไหม มาอีกวันเดียวก็จะจบชั้น มีอีกเรื่องหนึ่งอยากบอกท่าน บางครั้งท่านเคยเห็นแก้วน้ำไหม เวลาเขาเทน้ำให้ท่านครึ่งหนึ่ง ถ้าคนค่อยๆ คิดเป็นก็บอกว่าได้ตั้งครึ่งใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าคนคิดร้ายก็บอกว่าทำไมให้แค่ครึ่ง วันนี้มานั่งศึกษาธรรมะก็ต้องภูมิใจหน่อยว่ามาตั้งหนึ่งวันแล้ว เหลืออีกแค่วันเดียวเองต้องทำให้ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) ไม่ใช่บอกว่าเพิ่งแค่วันเดียวเองใช่ไหม (ใช่) เรื่องราวในโลกนี้บางครั้งถ้าเกิดว่าเราพยายามทำแล้วได้เท่านี้ เราก็คิดว่าเหมือนแก้วน้ำ ได้ตั้งครึ่งหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่เหมือนกับคนบางคนพยายามแล้วแต่ไม่ได้เลย หากคิดจะเปรียบเทียบต้องเปรียบเทียบให้เป็น ต้องเปรียบเทียบทั้งสูงและต่ำได้ แล้วเราก็จะมีความสุขในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ มีความสุขกับการดำรงชีวิตอย่างรู้พอเหมาะพอควร

เราจะกลับแล้วนะ ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี วันนี้มาศึกษา มีโอกาสก็เปลี่ยนจากการศึกษามาทำหน้าที่ช่วยเหลือเขาบ้าง มาใช้มือสร้างกุศลดีหรือไม่ (ดี) กุศลจะเกิดได้เพราะเรารู้จักทำ ใครทำคนนั้นก็ได้ เวลาตอนนี้ของเรามีอยู่เพียงลมหายใจเข้ากับออกเท่านั้นเอง เราไม่รู้ว่าวันนี้เราจะได้เข้าหรือจะได้ออกอีกหรือเปล่า ฉะนั้นถ้าทุกๆ วัน เราทำดีเราสร้างกุศลช่วยเหลือคน ไม่เป็นคนขี้โมโห ไม่เป็นคนอารมณ์หุนหันง่าย เราก็เป็นผู้บำเพ็ญที่ดีได้ใช่หรือไม่ (ใช่) และมีโอกาสเรามีแรง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นคนที่เรียนสูง แต่เราสามารถเอาแรง เอาสติปัญญาที่เรามีอยู่ไปช่วยเหลือคนได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)

ท่านอยากกลับคืนเบื้องฟ้าหรือเปล่า อยากกลับใช่ไหม ต้องทำจิตใจให้เบาๆ อย่าคิดมาก อย่ากังวลมาก เรื่องไหนปล่อยได้ก็ปล่อย จิตใจที่เบาจิตใจที่ใสถึงจะกลับคืนเบื้องฟ้า ถ้าเป็นจิตใจที่ขุ่นมัวไปด้วยกิเลสตัณหายากกลับคืนนะ ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี วันนี้ใครทำถูกใจท่านก็ยิ้มแย้ม ใครไม่ถูกใจก็ยังยิ้มแย้มออก เปรียบเหมือนพระศรีอาริย์ใช่หรือเปล่า (ใช่) เรื่องดีๆ เก็บเข้าไว้ในตัว รู้จักกลั่นกรอง ใจของเราต้องรู้จักกลั่นกรองเลือกสรรและสร้างสรรค์แต่สิ่งที่ดี แล้วตัวท่านนั้นก็จะเป็นคนดีที่บำเพ็ญได้ดีจริงๆ








วันอาทิตย์ที่ ๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๑ พุทธสถานฮุ่ยอวี้ จ.ขอนแก่น

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง



ยากแสนยากจะได้มีกายมนุษย์ รู้วิสุทธิ์หนทางนี้ทวีลำบาก

อย่ามัวเพลินทุกทุกวันเพื่อท้องปาก อาจารย์ฝากบำเพ็ญธรรมเจริญรอย

เราคือ

พุทธะจี้กง รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยอวี้ แฝงกายกราบเบื้องหน้า

องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนช่วงนี้ลำบากหรือเปล่า



ฤดูกาลผันเปลี่ยนเวียนสลับ ศิษย์ลองนับอายุตนเท่าไรแล้ว

มีเวลาบำเพ็ญอีกเท่าไหร่แล้ว ความแน่วแน่ถูกปลูกฝังมั่นคงหรือยัง

แม้ว่าฝนไม่ตกพรำในวันนี้ แต่ฤดีศิษย์ฉ่ำน้ำเย็นมิห่าง

มิเผลอเพลินเดินเล่นเที่ยวริมทาง รู้ว่ายังห่างไกลใฝ่พยายาม

สักวันหนึ่งเป็นเมฆฝนให้มวลชน ทุกถิ่นยลเยี่ยมแล้วเย็นฉ่ำน้ำ

มิครั่นคร้านแม้คำคนคอยทิ่มตำ ศิษย์พยายามความสำเร็จย่อมมาเยือน

มาเริ่มต้นกันใหม่จากวันนี้ เอาความดีเข้ามาเป็นเหมือนเพื่อน

เห็นคนทุกข์อย่ามัวสุขทำแชเชือน ตะวันเดือนมิเคยเลิกส่องแสงนวล

กุศลสร้างใครทำใครได้รับ อย่ามัวนับมากน้อยมีสัดส่วน

ทุกทุกวันศิษย์เอ๋ยรู้ทบทวน ความคิดทวนอย่าไขว้เขวห่างหลักธรรม

ศิษย์รักเอยเสียดายนักวันนี้พบ มิอาจอยู่รอศิษย์จบชั้นเลิศล้ำ

ข้าพูดไปหวังใจให้ศิษย์จำ และจงนำไปปฏิบัติอย่างเห็นดี

วัฏสงสารวนเวียนง่ายหลุดพ้นยาก เร่งฝ่าขวากแม้ลำบากอย่าเดินหนี

ทั้งวาจาใจกายกิริยาดี ศิษย์รู้มีจุดหมายยากหลงทาง

ฮา ฮา หยุด







ศิษย์บำเพ็ญเป็นสุขเพราะมีเมตตา ไม่ระอาทุกข์ยากอย่างสิ้นหวัง เมื่อศิษย์จะเดินก้าวขอระวัง สู้จริงจังไม่ลุ่มหลง

ต่อตนเองต้องหัดย้อนมองทุกวัน เฝ้าแบ่งปันมิยึดติดในผล ต่อเวไนยเทียมเท่าเหมือนตน ช่วยมวลชนไร้วันหน่าย

* จากนี้เปลี่ยนแปลง เข้าหาซึ่งกัน เร่งละซึ่งความดื้อรั้น ทุกจิตใจดั่งแสงตะวัน ให้แสงแก่กัน แสงสว่างทั่วฟ้า

ศิษย์รักเอยมองออกแล้วเห็นจริง เจ้าเกิดมาแล้วไม่ใช่มัวฝัน หนักทนเอาเบาให้รู้ทัน อุปสรรคอันบั่นทอนสูญเอง (ซ้ำ *)

เพลง : ใจตะวัน

ทำนองเพลง : รักเป็นดั่งต้นไม้













พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง



เอาอะไรต้อนรับอาจารย์ (ใจ) ใจเป็นอย่างไรล่ะ ใจคิดอะไรอยู่ (คิดถึงพระอาจารย์) ใจที่ออกมาต้อนรับคนต้องเป็นใจชนิดไหน ใจมนุษย์ดูง่ายหรือดูยาก ดูยากใช่ไหม (ใช่) หนึ่งนาทีคิดกี่เรื่อง (หลายเรื่อง) แล้วชั่วโมงหนึ่งคิดกี่เรื่อง (หลายเรื่อง) มานั่งอยู่วันครึ่งแล้วคิดกี่เรื่อง แล้วใจอย่างนี้ต้อนรับอาจารย์ได้หรือเปล่า ใจที่จะเอามาบำเพ็ญธรรมต้องเป็นใจชนิดไหน เรามาสองวันนี้ต้องการเริ่มที่จะบำเพ็ญธรรมใช่หรือไม่ แล้วถามว่าใจของเราที่จะตระเตรียมในการออกเดินทางบำเพ็ญนั้นควรจะเป็นใจชนิดไหน (ใจบริสุทธิ์) จิตใจที่บริสุทธิ์อย่างเดียวพอไหม (ไม่พอ) ใจที่เหลือนั้นควรจะเป็นใจชนิดไหน (ใจเมตตา) ใจที่ดีที่สุดคือใจของเราเองใช่หรือไม่ (ใช่) ใจตัวเราเองที่เป็นใจตัวเราเอง ไม่ใช่ใจของเราเองแต่มีอารมณ์มากมาย มีกิเลสไม่หยุดใช่หรือเปล่า (ใช่) ใจชนิดนี้เป็นใจของเราใช่ไหม ใจที่เต็มไปด้วยกิเลสก็เป็นใจของกิเลสไม่ใช่ใจของเราใช่หรือไม่ (ใช่) ใจที่เต็มไปด้วยอารมณ์ก็เป็นใจของอารมณ์ไม่ใช่ใจของเรา ใจที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นเกลียดชังผู้อื่นก็เป็นใจของความโกรธไม่ใช่ใจของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วใจชนิดไหนที่เป็นใจของเรา ศิษย์นึกออกไหม ใจของศิษย์จริงๆ นั้นเป็นอย่างไรที่นอกเหนือจากอารมณ์ความต้องการความรู้สึก เป็นใจอย่างไรเคยมองหรือเปล่า เพราะทุกๆ เวลาทุกๆ นาทีคิดไปหนึ่งเรื่อง ก็เป็นเรื่องของความคิด ที่เกิดความคิดก็เพราะว่าเรามีอารมณ์ใช่หรือไม่ เป็นเพราะว่าเรามองคนอื่นมากเกินไป เราก็เลยมีอารมณ์ว่าคนนั้นโกรธเขา หรือเราชอบเขาใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วถามว่าใจจริงๆ ของศิษย์นั้นเป็นอย่างไร ใจนี้ที่นำมาบำเพ็ญธรรม ถ้าหากว่าไม่ใช้ใจดวงนี้แล้วจะนำอะไรมาบำเพ็ญ เอาอารมณ์มาบำเพ็ญใช่หรือเปล่า ยิ่งมีอารมณ์ ยิ่งมีความรู้สึก ยิ่งมีกิเลส ยิ่งบำเพ็ญก็เลยยิ่งแย่ใช่หรือเปล่า (ใช่) เคยรู้สึกไหมว่าเราบำเพ็ญแล้วทำไมเราบำเพ็ญไม่ดีสักที ที่เราเคยอ่านหนังสือก็อยู่แต่ในหนังสือ ทำไมความดีต่างๆ ไม่เป็นของเราใช่หรือเปล่า (ใช่) ทำไมคนดีที่อยู่ในหนังสือไม่ใช่เราเพราะอะไร เพราะว่าเราขาดใจดวงหนึ่งไป ใจดวงนี้เรียกว่าอะไร (ใจสงบ)

ใจที่เป็นใจของเราเองและเป็นใจที่เป็นตัวของเราเองนั้นเป็นอย่างไร ความเป็นตัวของเราเองใช่ความเย่อหยิ่งหรือเปล่า (ไม่ใช่) มองข้ามหัวคนใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่) เป็นใจที่ไม่สนใจว่าใครเขาจะเป็นอย่างไร สนใจแต่ตัวเราใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่) เราไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวขนาดนั้นใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วถามว่าใจดวงนี้เป็นอย่างไร อีกสักครู่ค่อยพูดถึงดีหรือไม่ ตอนนี้นั่งคิดไปพลางๆ ก่อน

ทุกวันนี้ที่มีชีวิตอยู่เคยคิดไหมว่าชีวิตของเรานั้นอยู่เพื่ออะไร เกิดขึ้นมาแล้วก็เป็นเด็กเล่นซนไปวันๆ พอโตขึ้นมาก็เรียนหนังสือทำมาหากิน พอโตขึ้นมาอีกหน่อยก็แต่งงานมีลูก มีลูกแล้วจากนั้นก็เป็นคุณยาย ถึงเวลาป่วยไข้แล้วก็ถึงเวลาจากโลกนี้ไป มีเท่านี้เองใช่หรือเปล่า (ใช่) ชีวิตนี้ที่อาจารย์พูดไปสิ่งใดมีค่า สิ่งที่หลงเหลือไว้ให้โลกนี้ก็คือลูกหลานใช่หรือเปล่า (ใช่) หลงเหลือลูกหลานที่เป็นคนที่ดีหรือไม่ดีไว้ในโลกนี้อีก ถามว่าชีวิตนี้เพื่อสิ่งนี้หรือเปล่า ชีวิตนี้เพื่อความร่ำรวยยศถาบรรดาศักดิ์ เพื่อหน้าที่การงานตำแหน่งสูงๆ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) แล้วชีวิตนี้เพื่ออะไรล่ะ (เพื่อนิพพาน) ถามหัวหน้าชั้นไปนิพพานไปอย่างไร (บำเพ็ญเพียรประพฤติปฏิบัติดี) อาจารย์ว่าแค่เทวดาก็พอนะ เพราะฉะนั้นวันนี้เป็นวันที่สองของการประชุมแล้ว เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าร้อนนั่งมาสองวันแล้ว อยากจะรู้ว่าได้คิดไปถึงไหน ว่าสองวันที่มานั่งเขาพูดเรื่องการบำเพ็ญ พุทธะกับนิพพาน แล้วคนๆ นั้นที่เขาพูดถึงใช่เราหรือเปล่า ถ้าคนๆ นี้เป็นเรา เมื่อกลับไปหลังจากวันนี้ต้องทำอย่างไร (ปฏิบัติ) กลับไปบ้านนั่งดูทีวีหรือเปล่า นั่งดูทีวีละครหนึ่งเรื่องใช้เวลาไปกี่ชั่วโมง เสียเวลาหรือไม่ (เสียเวลา) วันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมงนั่งดูหนังดูทีวีไปแล้วกี่ชั่วโมง แล้วทำอะไรอีก มีคนบอกว่านอน แล้วนอนไปกี่ชั่วโมง ๘ ชั่วโมงใช่หรือเปล่า เสียเวลาหรือไม่ (เสียเวลา) ๘ ชั่วโมงนอนและนั่งดูละครอีก ๒ ชั่วโมง เวลาที่เหลือบอกว่าต้องทำงาน ไม่ทำงานแล้วอยู่ไม่ได้ ถามว่าแล้วเอาเวลาตรงไหนมาบำเพ็ญ (ก่อนนอน)

ชีวิตนี้มีอายุอยู่ ๑๐๐ ปี นอนไปกี่ครั้ง ๓๖๕ วันคูณ ๑๐๐ ปี แล้วก่อนจะนอนหนึ่งคืนไปนิพพานได้ไหม (ไม่ได้) อาจารย์จะพูดให้ฟัง เวลา ๒๔ ชั่วโมงนี้ ทุกขณะจิตเราต้องบำเพ็ญได้ เวลาเราเจอคนอื่นเขาว่า นินทาเรา คนมาบอกเรา เราจะโมโหหรือไม่ (โมโห) เวลาที่เราทำการค้า ทำไร่ ทำสวน ทำนา มีคนมาขโมยเงินเราตอนที่เราออกไปนอกบ้าน โมโหหรือไม่ โมโหเหมือนกัน แต่รีบดับไฟ แต่มีคนมาขโมยใหม่ แต่ไม่โมโหแล้วใช่หรือเปล่า เงินทองของนอกกาย ความโมโหของในกาย เงินทองมีอยู่แล้วดึงออกไปได้ แต่ความโกรธดึงเอาออกไปได้หรือเปล่า ถ้าดึงความโกรธได้ก็ต้องดึงใจได้ เพราะถ้าเราไม่มีใจก็ตาย? ใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นอันไหนมีค่ามากกว่า ระหว่างเงินกับใจ (ใจ) บางคนแค่ความโกรธแล้วยังมีมากกว่าความโกรธคือความเกลียด ความเกลียดที่อยู่ในใจของเราเปรียบเสมือนกับระเบิดเวลาใช่หรือเปล่า (ใช่) วันนี้ไม่เห็นหน้าเขาไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้าหากว่าไปเจอคนที่เราเกลียดแล้วยังว่าเราอีก ถามว่าระเบิดเวลานี้จะระเบิดไหม (ระเบิด) ถ้าเราทำให้ไม่มีระเบิดเวลาในใจของเราได้ เราเป็นผู้บำเพ็ญหรือเปล่า เราก็เป็นผู้บำเพ็ญระดับหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์ไม่ได้บอกว่าเป็นผู้บำเพ็ญที่ดี แต่เป็นผู้บำเพ็ญระดับหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)

มาพูดถึงเรื่องกิเลสอีก ถ้าเราอยากจะได้สิ่งนี้ แต่เราไม่สมความปรารถนา เราควรจะตัดสิ่งไหนดี ตัดสิ่งที่เราอยากจะได้หรือตัดใจดี ตัดอะไรดีกว่ากัน เราควรที่จะตัดใจ ไม่ไปโลภในสิ่งนั้นๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) สิ่งเหล่านี้เรียกว่าการบำเพ็ญ บำเพ็ญจิตใจของเรานั้นให้กลมมากขึ้น สมมติใจของเราไม่กลม เหมือนผลไม้โดนแมลงแทะก็เป็นรู เป็นรอยเว้า ใจของเราที่โดนกิเลสเกาะมานาน กัดกินมานาน เหมือนกับหินปูนที่ทำให้สิ่งที่บอบบางเช่นใจของเรากร่อนสลายไป จะทำอย่างไรให้ใจของเรากลมใส กลมเกลี้ยงไม่มีรอยตำหนิ ต้องอาศัยเวลาใช่หรือไม่ (ใช่) การบำเพ็ญต้องอาศัยเวลา เพราะฉะนั้นทุกๆ เวลาที่ผ่านไป ทุกๆ นาที และวินาทีให้เอาอะไรมาเติมใจของเรา สิ่งที่จะมาเติมใจต้องเป็นใจของเรา ไม่ต้องมีมาใส่ใจ ไม่ต้องนำสิ่งใดมาเติม แต่ให้เอาใจของเราที่ขาดหายไปมาเติม ใจของเราที่ขาดหายไป ขาดหายไปกับอะไร ขาดหายไปกับความรัก โลภ โกรธ หลง ใช่หรือเปล่า (ใช่) ใจที่ขาดหายไปได้ขาดหายไปกับสิ่งที่ไม่สมควรใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเอาใจของเราที่ขาดหายไปกับความรัก ความโลภ ความโกรธ และความหลง คืนกลับมาทั้งหมด ให้เป็นใจของเราเหมือนเดิม เราโลภเพราะว่าสิ่งนั้นมากระทบตาเรา เราเกิดความอยากได้ เราเอาใจของเราเข้าไปผูก เราลองเดินถอยหลังกลับเหมือนกับให้เวลาย้อนกลับได้ แล้วเราเอาใจของเราแยกออกจากสิ่งนั้นๆ แยกจากเงินทองกองโต แยกจากสิ่งที่เป็นสีสัน สีแสงที่เราชอบ ดึงใจของเรากลับมาง่ายหรือเปล่า สิ่งนี้ไม่ต้องลงทุนใช่หรือไม่ (ใช่) แค่เก็บใจของเรากลับมาเป็นเรื่องที่ไม่ยาก ใจของเราเป็นสิ่งสำคัญกับเราอยู่แล้วเหมือนเป็นเนื้อเดียวกัน เมื่อยามใดเอาสีผิวของเราไปเทียบกับสีผิวของคนอื่น ต่อให้ใกล้เคียงกันเท่าไรก็ไม่เป็นเนื้อเดียวกันใช่หรือเปล่า แต่ถ้าเอาผิวของเราไปเทียบกับผิวของเราก็เข้ากันได้ ดังนี้เช่นเดียวกันเรียกว่า
"การบำเพ็ญ"

การบำเพ็ญนั้นยังไม่พอ ที่อาจารย์บอกว่าแบ่งเวลา ๒๔ ชั่วโมงออกแล้วจะเอาตัวเราเข้าไปแทรกตรงไหน สิ่งนี้เรียกว่าการสร้างกุศล เวลา ๒๔ ชั่วโมงของเรา เราใช้คุ้มหรือเปล่า ทุกๆ วัน ที่ผ่านมาไม่ว่าอายุจะขึ้น เลข ๒, ๓, ๔, ๕ หรือเลขที่ ๖, ๗,๘ ทุกๆ เวลานาทีของเรายังไม่ค่อยคุ้มเท่าไรเลย ถ้าหากศิษย์ต้องการเข้านิพพาน แล้วเบื้องบนถามศิษย์ว่า ที่ผ่านมาศิษย์ช่วยพาคนมารับธรรมกี่คน ถ้าถามแล้วศิษย์ตอบไม่ได้แสดงว่าศิษย์เป็นคนดีจริง ช่วยมามากจนนับไม่ได้ นับไม่ถูกแล้ว แต่ถ้าบอกว่าช่วย ๕ คน ๑๐๐ คน ๒๐๐ คน แสดงว่าเรายังช่วยคนนับได้ ปีหนึ่งมี ๓๖๕ วัน ช่วยคนมา ๒๐๐ คน ยังไม่เท่ากับจำนวนวันของหนึ่งปีเลยใช่หรือเปล่า ถามว่าใช้ชีวิตนี้คุ้มหรือเปล่า เรายังไม่นับด้วยซ้ำว่าวันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง แล้ว ๒๔ ชั่วโมงเรามีเวลาว่างกี่ครั้ง สิ่งนี้เรียกว่าเป็นสิ่งที่สร้างกุศลหรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นการสร้างกุศลควบคู่ไปกับการบำเพ็ญธรรม สร้างด้วยตัวของเราเอง

สถานธรรมที่นี้มีชื่อว่า "ฮุ่ยอวี้" แปลว่า "ปัญญาอันสว่างกระจ่างสดใส เหมือนกับแสงตะวันที่ทอแสงได้" เพราะฉะนั้นปัญญานี้เป็นสิ่งสำคัญไหม (สำคัญ) สมมติว่ามีก้อนหินมาตั้งขวางทางอยู่ก้อนหนึ่ง ถามว่าเราจะทำอย่างไร ถ้าเราข้ามไปเฉยๆ อย่างนี้เรียกว่าคนฉลาด เพราะคนฉลาดนั้นจะพาตัวเองรอด โดยไม่สนใจคนอื่น อย่างนี้คนที่เดินตามมาก็จะสะดุดล้มได้ แต่ถ้ายกหินออกจากทางคนอื่นก็เดินง่ายๆ อย่างนี้เรียกว่ามีปัญญา ปัญญานี้ทำให้เราไม่คิดถึงแค่ตัวเอง แต่คิดถึงผู้อื่นด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) แต่คนที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรก็คือคนที่ต้องคอยให้ผู้อื่นมาช่วย แล้วคนประเภทนี้จะสำเร็จธรรมก็ยาก เพราะถ้าหากเคราะห์ดีเจอคนมาช่วยก็ดีไป แต่ถ้าหากโชคร้ายไม่เจอคนช่วยก็อยู่ที่ตรงนั้น วันเวลาก็เดินไปเรื่อยๆ แล้วถามว่าใครเดินไม่ถึงเส้นชัย ก็ตัวเราเองใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ใช่นั่งรออยู่กับบ้านให้คนโทรศัพท์มาเรียก เดินไปเรียก ขับรถไปเรียกมาประชุมธรรม ที่สุดแล้วสองวันนี้เขามารับ แต่วันต่อไปเขาขี้เกียจมารับเราจะมาเองได้หรือเปล่า (ได้)

ในตอนนี้เศรษฐกิจเป็นอย่างนี้ แล้วเราผู้เป็นคนที่ถูกคนอื่นเอาเปรียบแบบนี้เราเป็นผู้มีความลำบากที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าความสุขนั้นก็เกิดขึ้นได้ แม้ว่าคนอื่นเขาจะมีเงินทองมากกว่าเรา แม้ว่าเขาจะมีบ้านหลังใหญ่กว่าเรา เขาอาจจะเกิดความทุกข์ใจก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) มีเงินทองมากเกินไป กลัวขโมยขึ้นไหม (กลัว) แต่พวกเรานั้นมีเงินทองน้อยๆ สบายตัวดีหรือเปล่า ไปไหนมาไหนก็ไม่ต้องกลัวคนเขามาทำร้ายใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้เรามานั่งที่นี่มีคนทำกับข้าวให้กิน สุขหรือเปล่า (สุข) ตอนนี้เราเป็นคนที่ไม่มีทรัพย์สินเท่าไหร่ ทองหยองไม่มีใส่ ออกไปข้างนอกก็ไม่ต้องกลัวใครจี้ สุขหรือไม่ (สุข) ตอนนี้เรามีอิสระเสรีดี เดินไปไหนมาไหนไม่ต้องโดนจับผิด ไม่มีใครรู้จัก สุขหรือไม่ (สุข) ความสุขหาง่ายไหม (ง่าย) แล้วทำไมคนถึงไม่สุขล่ะ เพราะว่าเรานั้นยังไม่รู้จักพอในสิ่งที่เรามีใช่หรือไม่ ของๆ เราเองเราไม่เคยเห็นความดีใช่หรือเปล่า (ใช่) เสื้อที่เราใส่ดูเก่าไปนิด แต่ถ้าหากไม่มีเสื้อตัวนี้เราก็โป๊ใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นเสื้อตัวนี้ดีหรือเปล่า กางเกงตัวนี้ขาดนิดๆ ต้องปะชุนบ่อยๆ แต่ถ้าไม่มีกางเกงตัวนี้เป็นยังไง (โป๊) ตอนนี้เรามีบ้าน ที่บ้านเรามีพ่อแม่พี่น้องอยู่ พ่อแม่พี่น้องเราพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่องเลย ดูแล้วเหมือนกับติงต๊องหน่อย แต่ถ้าไม่มีท่านก็ไม่มีเราใช่หรือเปล่า ของทุกสิ่งทุกอย่างมีข้อดีของเขาไหม (มี) เคยมองเห็นข้อดีของเขาหรือเปล่า (เคย) ตอนนี้เรามีบ้านอยู่หลังหนึ่ง ดูแล้วโทรมๆ ไปสักนิดหนึ่ง บ้านนั้นแทบจะหาความสุขไม่ได้ เพราะว่าอะไร ที่บ้านเรามีความสุขดีหรือไม่ บางวันก็ดีบางวันก็ไม่ดี อาจารย์จะบอกให้ ตอนนี้ปัญหาที่สำคัญที่สุดนั้นไม่ใช่อยู่ที่คนอื่น ปัญหาสำคัญนั้นอยู่ที่ตัวเราเอง คนในบ้านของเรานั้นดีทุกคน ทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่น้อยนี้ดีทุกอย่าง แต่ว่าคนที่ไม่ดีย่อมเป็นเราใช่หรือไม่ เพราะว่าทุกๆ อย่างนั้นเราไม่พอใจใช่หรือเปล่า บ้านหลังนี้ถึงแม้จะโทรมหน่อย ทุกคนในบ้านพี่ก็รักน้อง น้องก็รักพี่ ลูกก็รักพ่อแม่ พ่อแม่ก็รักลูก ถามว่าบ้านหลังนี้มีความสุขไหม (มี) มีความสุขแล้วบ้านหลังนี้โทรมเหมือนเดิมไหม (ไม่โทรม) บ้านนั้นก็ยังโทรมเหมือนเดิม คนในบ้านก็ยังเป็นคนเดิม แต่มีความสุขได้ด้วยการรู้จักพอใช่หรือไม่ (ใช่) ต่อไปนี้หลังจากกลับไปบ้าน บ้านเราดีไหม (ดี) ลูกเราดื้อนิดๆ หลานเราเกเรหน่อยๆ ไม่เป็นไรนะ ทำใจให้สบายใช่หรือเปล่า เขาจะออกไปตีรันฟันแทงกับใคร ก็ห้ามแล้วไม่ฟัง เราก็ต้องปล่อยวาง วางได้ก็มีสุขใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตของเรานั้นก็เป็นชีวิตที่มีความสุขดี

ในวันนี้เป็นวันที่สองของการมานั่งประชุมธรรมแล้ว ศิษย์ของอาจารย์ตอนนี้มีจุดมุ่งหมายสิ่งใดบ้างในชีวิต คนที่มีจุดมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่ อาจารย์ถามว่ามีความคิดที่จะเอาจุดมุ่งหมายของเรานั้นให้เล็กกว่าเดิมนิดนึง แล้วเอาการบำเพ็ญของเรานั้นสอดแทรกเข้าไปดีหรือไม่ หากว่าเรารอให้เราถึงจุดมุ่งหมายที่เราต้องการเสียก่อน อันเป็นจุดที่สูงสุด ถึงเวลาแล้วจะเหลือเวลาสักเท่าไหร่มาบำเพ็ญ นักเรียนคนที่เป็นนักศึกษาต้องการที่จะได้ปริญญาก่อนจึงจะมีเวลาบำเพ็ญ ลูกต้องการที่จะให้แม่ดีก่อนเราถึงจะเป็นเด็กดีได้ พ่อแม่ต้องการให้ลูกเป็นฝั่งเป็นฝาก่อนเราถึงจะบำเพ็ญได้ แต่ถ้าว่าจริงๆ แล้วทุกๆ อย่างนั้นเป็นอย่างที่เราคิดไหม (ไม่เป็น) ถ้าเรามัวแต่หมกมุ่นกับจุดมุ่งหมายทางโลกโดยที่ไม่เหลียวมองว่าผมขาวนั้นขึ้นมาบนศีรษะกี่เส้นแล้ว ไม่หันมามองว่าชีวิตของเรานั้นเหลือเวลาอีกเท่าไหร่แล้ว คนตายนั้นจำเป็นไหมว่าจะต้องเป็นคนแก่ (ไม่จำเป็น) บางคนนั้นผมบนศีรษะยังไม่ทันจะขาวชีวิตก็ดับดิ้นได้แล้วใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นอย่าได้รอให้ตัวของเรานั้นมีเวลาใช่หรือไม่ (ใช่)

เมื่อสักครู่พูดถึงการบำเพ็ญ การบำเพ็ญนั้นไม่ต้องลงทุนไม่ต้องเสียสละอะไรเลยทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างนั้นลงแรงที่ใจของเรา เราทำใจของเราให้งดงามสว่างไสวเหมือนกับตะวันเหมือนกับแสงอาทิตย์เป็นสิ่งยากไหม (ไม่ยาก) แม้ว่าจะมีความยากอยู่บ้างในการหักห้ามใจของตัวเราเอง แต่ก็ไม่ยากเกินไปเพราะว่าใจของเรานั้นเราเป็นผู้ควบคุมใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกับเรานั้นเป็นผู้ขับรถ รถคันนี้จะเลี้ยวซ้ายก็เพราะมือเราหักให้เลี้ยวซ้าย จะเลี้ยวขวาก็เพราะว่ามือเราหักให้เลี้ยวขวาใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วเรา จะบอกว่าเราหักรถเลี้ยวไปทางขวา แต่จริงๆ แล้วไม่อยากไปเลยนั้นเป็นไปได้ไหม เป็นไปไม่ได้เพราะว่าถึงแม้จะมีเหตุการณ์มาบังคับเท่าไหร่พวงมาลัยก็ไม่หมุนไปเองใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเราจะกระทำความผิดจะกระทำความชั่ว ต่อให้มีเหตุการณ์บังคับเท่าไหร่ เราก็ต้องบอกตัวเราเองว่าเราไม่ทำ เพราะว่าเรานั้นไม่ได้คิดอยากจะกระทำใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าเราหักพวงมาลัยไปทางขวา แล้วก็ทำความชั่วไปเรียบร้อยเราจะบอกว่าเราไม่ตั้งใจเลยหรือ ก็ย่อมไม่มีคนเชื่อเรา เขาก็บอกว่าเราเป็นคนที่ทำผิดแล้วไม่ยอมรับใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นทุกๆ เวลา ทุกๆ นาทีนอกจากการบำเพ็ญจิตใจของเราแล้ว เรายังต้องไม่เผลอที่จะทำผิดง่ายๆ ไม่ทำผิดด้วยการควบคุมสิ่งใดบ้างล่ะ

(พระอาจารย์เมตตาประทานแอปเปิ้ลให้หัวหน้าชั้นแต่หัวหน้าชั้นไม่รับ พระอาจารย์เลยเปลี่ยนเป็นสับปะรด)

มนุษย์นั้นเวลาที่มีผลประโยชน์ใหญ่กว่าเดิมจะเอาไหม (เอา) เขาบอกว่ามนุษย์นั้นใช้ผลประโยชน์มาล่อใจใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้ามีผลประโยชน์ตอนแรกบอกไม่เอา แต่ถ้าใหญ่กว่าเดิมเอาไหม (เอา) แต่ถ้าเราบอกว่าไม่เอาแล้วเราควรจะทำไม (ไม่เอา) นอกจากว่าคนๆ นั้นจะมอบให้เองถึงจะถูกต้องตามหลักคุณธรรมใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราบอกว่าไม่เอาเราก็ต้องไม่เอา แล้วคนที่เขามอบให้ ถ้าเขาจะมอบให้เขาก็จะทำไม (ให้เอง) ถ้าหากว่าคนเรารักษาสัจจะ หากปลาใหญ่หลุดไปแล้ว แต่ถ้าหากว่าปลาจะเข้าสวิงเขาจะเข้ามาเองใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นรักษาอะไรดีกว่า (รักษาสัจจะ)

อาจารย์จะให้ผลไม้ลูกนี้แก่เขาแต่อาจารย์จะขอแลกกับบุหรี่ซองนี้ได้ไหม (ได้) อาจารย์ไม่ได้แลกกับบุหรี่ซองนี้แต่แลกกับการสูบบุหรี่ตลอดไปนะ ในชั้นนี้มีใครบ้างที่สูบบุหรี่ ให้ยืนขึ้น สิ่งนี้ดีหรือไม่ (ไม่ดี) เมื่อรู้ว่าสิ่งนี้ไม่ดีจำเป็นจะต้องทำอย่างไร (เลิก) ถ้าหากมันคันคอ คอแห้งจะทำอย่างไรดี (ดื่มน้ำ) แล้วทำได้ไหม อันนี้สูบเข้าไปแล้วทำให้ปอดเป็นสีดำ ชอบปอดสีดำหรือสีแดง (สีแดง) ชอบปอดที่ไม่มีสารพิษหรือเปล่า แล้วถ้าสูบเข้าไปทุกวันๆ มีหรือไม่มี ตอนนี้บุหรี่เป็นสิ่งไม่ดีเพราะฉะนั้นกับบุหรี่ก็ควรจะทำอย่างไร (เลิก) กิเลสเป็นสิ่งที่ดีไหม (ไม่ดี) ถามว่ากิเลสควรเลิกไหม (เลิก) สูบบุหรี่ทำให้เป็นปอดดำ แต่ถ้ามีกิเลสทำให้อะไร (ใจดำ) ถ้ามีกิเลสทำให้เป็นอย่างไร จะเป็นก็ไม่ได้จะตายก็ไม่ได้ใช่ไหม อันนี้คือสภาพของคนที่มีกิเลสใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าคนที่จะบำเพ็ญธรรมเป็นผู้มีความเด็ดเดี่ยวเอามีดคมๆ มาตัด ตัดฉับเดียวกิเลสกับเราขาดกัน บุหรี่กับเราก็ขาดกันใช่ไหม

(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนที่สูบบุหรี่ดื่มน้ำ)

เราจะสาบานต่อหน้าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ใครที่ทำไม่ได้ให้นั่งลง เดี๋ยวเราดื่มน้ำนี้แล้วหากคนที่ทำไม่ได้โรคภัยจากบุหรี่ก็จะลุกลามรวดเร็ว หากทำได้โรคภัยจากบุหรี่ก็จะถอยหลังหมดสิ้น เพราะฉะนั้นหลังจากดื่มน้ำนี้แล้วบุหรี่มวนเดียวก็ไม่สูบดีหรือเปล่า ทำได้นะ ดื่มตั้งแต่คนแรกไปจนถึงคนสุดท้าย มีทั้งหมดหกคน อันนี้สาบานกับอาจารย์นะ (ครับ) เพราะอาจารย์ร่วมดื่มไปด้วย ถ้าแอบไปสูบอีกแม้แต่มวนเดียวสิ่งนี้ก็ไม่มีผลทันที เพราะฉะนั้นตั้งใจให้ดีๆ ตั้งใจให้มากๆ จะมีความอยากสูบขึ้นมาก็ต้องระงับให้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ต้องเอาคำสัญญาและความรักตัวกลัวตายขึ้นมาให้มากๆ ไม่ใช่บอกว่ามีโอกาส ไม่ใช่หมายความว่ามีปากจะมีโอกาสที่จะคาบบุหรี่ คนที่เขาตายไปก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่มีปาก เขาก็มีปากที่จะมาคาบบุหรี่อันนี้ เพียงแต่ไม่มีโอกาสที่จะทำให้บุหรี่มวนนี้เข้าไปในปอดตัวเองอีกแล้ว เพราะฉะนั้นควรสังวรณ์ตัวเราไว้ให้ดีๆ ดีหรือไม่ (ดี)

อาจารย์จะบอกให้ ชีวิตนั้นเป็นเรื่องที่สั้น ไม่มีเวลามาให้เราคิดบ่อยๆ ว่าที่เป็นอย่างนี้เพราะอะไร การบำเพ็ญธรรมนั้นก็ไม่จำเป็นว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แค่มีศิษย์มีอาจารย์ การบำเพ็ญธรรมก็เดินต่อไปได้ เวลาที่เรามีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์ คนคิดมากอาจจะคิดได้ แต่เราเป็นคนคิดน้อยก็ทำได้ใช่ไหม (ใช่)

คำว่า "อ่อนนอกแข็งใน" เราต้องเข้าใจก่อนว่า อ่อนนี้คือ อ่อนน้อม แข็งภายในคือ เข้มแข็ง การบำเพ็ญธรรมก็ต้องทำเช่นนี้ เวลามาสถานธรรมก็จะมีคนทำอะไรไม่ค่อยถูกใจ แต่ถ้าศิษย์เดินมาทุกวัน อาจารย์เชื่อว่า ต่อให้มีคนว่าเรา เขาก็ว่าเราไม่ได้ทุกวันใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นมาให้บ่อยๆ ดีไหม เขาว่าเรา เราโมโหไหม (ไม่โมโห) เพราะฉะนั้นความอ่อนน้อมทำให้เราฝ่าอุปสรรคได้อีกหลายอย่าง หากว่าศิษย์เชื่ออาจารย์ ถ้าศิษย์นั้นมีคำว่า “อ่อนน้อม” คำเดียว คนที่เขาจะว่าเราเขาก็พูดไม่ออกใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะว่าเรามีความอ่อนน้อม บางคนคิดตั้งหลายจบว่าทำอย่างไรดีให้คนเขาว่าเราน้อยๆ หน่อย เวลาที่คนเขาว่าเรา เราก็โค้งรับ เขาก็ไม่กล้าว่าเรา แต่ถ้าเขากล้าว่าเราก็ให้เขาว่าไป แต่อาจารย์เชื่อแน่ว่าไม่มีใครกล้า เพราะฉะนั้นความอ่อนน้อมเป็นอุปสรรคหรือเปล่า (ไม่เป็นอุปสรรค) เวลาเขาว่าเราหนักๆ ขึ้น เราก็โค้งๆ หนักๆ ขึ้น เขาก็จะได้มองตัวเองบ้าง จำเป็นไหมที่จะต้องใช้คำพูดสักคำพูดหนึ่ง (ไม่จำเป็น)

เวลาที่เราช่วยคนอื่นเราเบื่อหรือเปล่า เวลาที่เขาพูดไม่รู้เรื่อง เราเบื่อไหม เวลาที่เขาพูดจามากไป ฉลาดเกินไป เราก็เบื่อมากเกินไป จริงๆ แล้วคนที่ไม่รู้จักว่าอะไรเป็นอะไรก็คือเราใช่หรือเปล่า (ใช่) คนทุกคนมีข้อดีอยู่ในตัวเอง เหมือนกับตัวเราก็มีข้อดีข้อเสียใช่หรือเปล่า (ใช่) คนดีก็ต้องมีข้อดี และข้อไม่ดีด้วย เวลาเราจะมองเสื้อสักตัวหนึ่ง เราก็ต้องมองด้านที่สวยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเราจะซื้อรถสักคันหนึ่ง เราก็ต้องเลือกรถคันที่สวยๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่) สมมติว่าเราไปซื้อรถมือสองเราต้องดูแต่ด้านดีๆ สมมติว่าคนๆ หนึ่งเป็นคนแก่พูดจาไม่รู้เรื่อง เราก็บอกตัวเราเองว่าเรารักเขา แล้วเราก็มองให้เห็นแต่ข้อดีของเขา แต่ถ้าทุกวันศิษย์มองเขามีแต่ข้อเสียๆ คนอื่นก็มองเห็นแต่ข้อเสียของเขา เพราะฉะนั้นมองเขาเป็นคนดีทุกวันๆ คนอื่นก็มองเขาดีด้วย อันว่าสรรพสิ่งในโลก ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์หรือสิ่งของ ถ้าหากว่าเป็นสิ่งที่ดีแล้วไม่จำเป็นให้ศิษย์พูดว่าเป็นสิ่งที่ดี ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อให้ศิษย์ไม่พูด สิ่งๆ นั้นก็จะประกาศตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) การที่มนุษย์นั้นใช้ปากในการพูดจามากเกินไป จริงๆ แล้วไม่จำเป็นที่เราต้องใช้มากขนาดนั้น ไม่ใช่มีหูก็ฟังเต็มที่ มีปากก็พูดเต็มที่ มีตาก็มองมากจนเกินไป ทำไมพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงสอนว่ามีหูก็รู้จักฟังแต่สิ่งที่ดี ปากก็รู้จักพูดแต่สิ่งที่ดี ตาก็รู้จักมองแต่สิ่งที่ดี แต่ไม่ใช่ตาของเราร้อยส่วน เราใช้แค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งที่ไม่ดีไม่จำเป็นต้องใช้ ใช่หรือไม่ (ใช่)

ทุกสิ่งในโลกนี้ไม่เที่ยง ผมของเรา เราก็ยังรักษาไม่ได้ ตัวของเรา เราก็ยังรักษาไม่ได้ เพราะฉะนั้นโอกาสนี้ วันนี้เขาเรียกให้เรามาประชุมธรรม เรียกให้เรามาบำเพ็ญ อาจารย์ไม่ได้บอกให้เชื่อพวกเขาที่มายืนพูดในที่นี้ แต่เราต้องเชื่อเขาด้วยปัญญาที่เราพิจารณาและเห็นแล้ว เราไม่อยากจะแก่ ไม่อยากจะตาย แต่เราก็ต้องแก่ ต้องตาย แล้วก่อนที่เราจะตาย เราจะสิ่งใดที่มีคุณค่าให้เกิดประโยชน์ นอกจากเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นแล้ว ก็ต้องเป็นประโยชน์ต่อตัวเองด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นเรียกว่าสาธารณะประโยชน์ เป็นต่อตนเองเรียกว่าประโยชน์เฉพาะตน ต้องไม่เดือดร้อนต่อผู้อื่นด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) แต่อาจารย์ไม่เคยเห็นผลประโยชน์อะไรในโลกนี้ที่ไม่เดือดร้อนผู้อื่นนอกจากการบำเพ็ญธรรม ส่วนคนบำเพ็ญธรรมที่เดือดร้อนต่อผู้อื่นแสดงว่ายังบำเพ็ญไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)

การบำเพ็ญธรรมคือ การบำเพ็ญตนเอง ถ้าคนรอบข้างเรายังไม่เข้าใจ เราต้องอธิบายให้เขาเข้าใจ คนอื่นเข้าใจได้เพราะเราเข้าใจแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) สิ่งที่เราพูดออกไปก็สามารถทำให้คนอื่นเข้าใจได้ ตอนนี้การบำเพ็ญธรรมเข้าสู่ครัวเรือน จึงจำเป็นจะต้องให้ศิษย์บำเพ็ญในบ้าน ฉะนั้นในบ้านของเราจะต้องเป็นบ้านที่รักกัน และมีความสุข การที่บ้านเราจะมีความสุขนั้น ตัวเราต้องรู้จักให้คนอื่นก่อน เมื่อเรารู้จักให้คนในบ้าน รู้จักส่งมอบ ไม่ใช่รู้จักรับอย่างเดียว เมื่อนั้นในบ้านของเราก็จะสงบสุขได้ ถ้ามัวรับแต่ไม่รู้จักให้เช่นนั้นบ้านก็จะไม่สงบสุข ฉะนั้นฝึกหัดการให้อะไรก็ได้ที่เราไม่เสียดายก่อน แล้วตอนหลังจึงฝึกการให้ของที่เราเสียดาย เราต้องฝึกหัดการให้อะไร (การให้น้ำใจ)

"จากนี้เปลี่ยนแปลงเข้าหาซึ่งกัน เร่งละซึ่งความดื้อรั้น" ดื้อรั้นไหม (ดื้อ) ศิษย์อาจารย์ดื้อทุกคน ไม่มีคนไหนเลยที่ไม่ดื้อใช่หรือไม่ (ใช่) ความดื้อรั้นเป็นอุปสรรคขวางกั้นการอยู่ร่วมกัน เพราะความดื้อนั้นมาจากการเอาแต่ใจและเอาใจตนเอง เราลองเอาใจของเรานั้นดึงออกมาตรงนี้ ไม่มีผลประโยชน์ของเราและไม่มีความชอบ ไม่ชอบของเรา เราก็จะไม่ดื้อเองใช่หรือเปล่า (ใช่) ดื้อกันทุกคนเลยนะ บางคนก็ดื้อน่ารัก แต่บางคนดื้อแล้วอาจารย์เศร้า

"ศิษย์รักเอยมองออกแล้วเห็นจริง" เวลาเรามองสิ่งนี้ออกว่าเป็นสีขาวหรือสีดำ สีแดงหรือสีเหลือง เราก็จะได้เห็นสิ่งที่จริงของสิ่งๆ นั้นใช่หรือไม่ (ใช่) ถามว่าตัวเองนั้นเป็นคนมีวาสนาหรือเปล่า เราเกิดมาร่างกายครบสามสิบสอง มีสิทธิ์ที่จะมองว่าแอปเปิ้ลสองลูกนี้ลูกไหนแดงกว่ากันใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วมีสิทธิ์ที่จะมองออกว่าอันไหนเป็นสีเหลืองอันไหนเป็นสีแดงใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ได้เกิดมาเป็นคนตาบอดสี เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็ถือว่าเราเป็นผู้ที่มีบุญแล้ว แล้วเราจะบริหารบุญของเราอย่างไร ถามว่าเราจะใช้บุญของเราอย่างไร บางคนนั้นตอนเด็กๆ เป็นคนที่สุขสบาย ยิ่งโตมายิ่งมีอุปสรรคมากจนกระทั่งเราเอาไม่อยู่ ถามว่าอะไรที่ทำให้เราเป็นแบบนี้ (ใจ) สิ่งใดที่ทำให้เรานั้นได้รับความทุกข์มากขึ้น หรือสิ่งใดที่จะแปรความทุกข์ของเราให้กลายเป็นความสุข เราควรจะพิจารณาและเราควรจะมองเห็น ไม่เช่นนั้นแล้วเราจะถูกกับดักของตัวเราเอง

สิ่งแรกอันเป็นรูปธรรมคืออะไร (วาสนา,บารมี) วาสนาเป็นรูปธรรมหรือเปล่า วาสนาเป็นนามธรรมนะ แล้วรูปธรรมคืออะไร เวลาที่เรานั้นจะได้ดีหรือเรานั้นจะตกอับ ประการแรกให้มองตัวของเรา มองนิสัยของเราก่อน มองสิ่งที่เราทำอยู่ทุกวัน มองความคิดของเรา แต่สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรม ส่วนนามธรรมก็คือบุญกุศล คนหลายคนนั้นตกอับเพราะว่าเฝ้าดื่มน้ำแก้วเก่า ดื่มจนน้ำหมดแก้ว แล้วถามว่าจะเอาน้ำจากที่ไหน เราต้องทำอย่างไรจึงจะมีน้ำดื่มต่อไป ในแก้วนี้มีน้ำใช่หรือไม่ (ใช่) น้ำถูกหลั่งออกมาแล้วหมดไหม ยังไม่หมด แต่เทออกมาอีกหมดไหม (หมด) ถามว่าบุญกุศลก็คือน้ำที่อยู่ในแก้วนี้ หากว่าเราเทน้ำออกหมดแล้ว น้ำหมดไหม ทำอย่างไรจึงจะมีน้ำ ต้องเติมน้ำกลับเข้าไปใช่หรือไม่ (ใช่) ต้องเติมน้ำกลับเข้าไป น้ำจึงมีให้ศิษย์นั้นเทอีก หากว่าเรานั้นไม่รู้จักสร้างกุศลก็จะเป็นการที่เราจะต้องลำบากในภายภาคหน้า อันนี้อาจารย์พูดเพราะว่าศิษย์หลายๆ คนทุกๆ วันนี้ยากจนเพราะว่าไม่มีบุญกุศล มัวแต่กินบุญเก่าจนบุญหมด แล้วตอนนี้ก็ทุกข์ยากลำบาก เพราะฉะนั้นทำไมฟ้าดินจึงกำหนดการสร้างบุญกุศลขึ้นมารู้ไหม การสร้างบุญกุศลแต่ละครั้งนั้น มีใครที่เป็นผู้ที่ได้รับผลบุญผลกุศลของเรา สมมติว่าเราเอาข้าวไปตักบาตรพระ ใครได้รับผลนั้น (ตัวเราเอง) พระก็มีข้าวกินใช่หรือเปล่า (ใช่) ยังมีอีกเวลาศิษย์นั้นไปช่วยคนตกน้ำ คนที่ได้รับผลนั้นก็คือเด็กได้ขึ้นมาจากน้ำใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์ทำสิ่งนี้เพราะว่าเรานั้นจะได้เป็นคนมีบุญใช่หรือไม่ (ใช่) เราไปตักบาตรเพราะว่าเราต้องการบุญใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าหากว่าไม่มีบุญมาบังคับแล้วถามว่าเรานั้นจะไปตักบาตรไหม ถ้าอยู่ดีๆ เราอาจจะไม่ไปทำหรืออาจจะนานๆ ไปทำทีใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นฟ้าดินจึงให้มนุษย์นั้นรู้จักที่จะสร้างบุญเพื่อที่จะเป็นล้อที่หมุนได้ เพื่อให้มีการเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ ของการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่มนุษย์สมัยนี้แม้กระทั่งมีบุญมาล่อใจยังไม่รู้จักทำอีก บอกว่าทำอันนี้ได้บุญ บอกว่าบุญมองไม่เห็น แท้ที่จริงแล้วรูปธรรมแห่งบุญก็คือการช่วยเหลือผู้อื่น ศิษย์เข้าไปช่วยเหลือผู้อื่นนั้นก็ทำให้มีการช่วยเหลือขึ้นในวงสังคมใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์ไม่กล้าไปฆ่าคนวางเพลิงเพราะว่ากลัวบาปใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่ามนุษย์ทุกๆ คนไม่เชื่อในบาปและบุญจะเกิดอะไรขึ้น ก็ต่างคนต่างไปทำชั่วใช่หรือไม่ (ใช่) พอทำชั่วกันมากๆ สังคมในโลกอันนี้ก็จะเป็นสังคมโลกที่พินาศ เพราะฉะนั้นการสร้างบุญสร้างกุศลนั้นอาจารย์จึงบอกว่าอย่าได้หวังผลตอบแทนใดๆ กลับมาจากบุญนั้น เพียงแต่ศิษย์สร้างไปยึดรูปธรรมเป็นหลัก คือการช่วยเหลือผู้อื่น หากว่าเขานั้นติดขัดอะไร เราใช้มือเราลงไปช่วย เดินทางไปช่วยได้ก็ช่วย ใช้ใจช่วยได้ก็ช่วย ยิ่งช่วยมากเท่าไรจิตใจของเราก็จะยิ่งเต็มยิ่งสมบูรณ์และสว่างไสว ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างนั้นแม้ว่าศิษย์จะเชื่อหรือไม่เชื่อในเรื่องบุญหรือกรรม ก็ขอให้รู้จักที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ผลดีนั้นไม่ต้องรอถึงชาติหน้า ผลดีนั้นก็สามารถอิ่มเอิบในใจใช่หรือไม่ (ใช่)

เวลาเจออุปสรรคความยากลำบากทั้งหลายที่หนักหนาสาหัสต้องรู้จักอดทน ต้องรู้จักทนเอาใช่หรือไม่ (ใช่) แม้ว่าคนอื่นทนไม่ได้แต่ศิษย์ของอาจารย์ต้องทนให้ได้ เพราะมีคำกล่าวไว้ว่า "ทนในสิ่งที่ผู้อื่นทนไม่ได้จึงเป็นปราชญ์เมธี" หากว่าศิษย์ทนไม่ได้เหมือนกับที่คนอื่นทนไม่ได้ แล้วถามว่าร้อยคนจะเป็นพุทธอริยะได้สักกี่องค์ ถ้าคนๆ นั้นไม่ใช่ศิษย์แล้วจะเป็นใคร ทนนั้นเมื่อหนักก็ต้องทน เบาก็อย่าชะล่าใจว่าอุปสรรคเบาๆ อีกไม่กี่วันค่อยแก้ หรือว่าสิ่งใดก็แล้วแต่เมื่อมาเบาๆ มากระทบเบาๆ ก็ต้องรู้ทัน ความรู้ทันจะไม่ทำให้ไฟกองนี้ลุกลามไปใหญ่โต นอกจากไม่ทำให้ไฟกองเล็กกลายเป็นไฟกองใหญ่แล้ว ยังสามารถดับสนิทตั้งแต่ต้นลมใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นอุปสรรคอันบั่นทอนนี้สูญเองโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากมาย ไม่ต้องเศร้าไม่ต้องเสียใจ ให้คิดอยู่เสมอว่ามีคนที่เขาลำบากกว่าเรา มีคนที่ยากกว่าเรา ในวันนี้เรามีอุปสรรค เกิดมาเป็นคนทำไมช่างแร้นแค้นนัก คนที่แร้นแค้นและแถมเป็นคนพิการด้วยยังจะมีอุปสรรคมากกว่าเราอีกใช่หรือไม่ (ใช่) ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่มนุษย์ตั้งใจแล้วทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมก็เช่นเดียวกัน ไม่เกินความพยายามของศิษย์ ขอให้ศิษย์นั้นได้ตัดสินใจ ได้มุ่งหน้า พุทธะองค์นั้นที่เบื้องบนได้คัดเลือกจะต้องเป็นศิษย์อย่างแน่นอน ในบัดนี้ฟ้าดินเปิดกว้าง เมื่อตื่นแล้วอย่าครึ่งหลับครึ่งตื่น เมื่อตื่นแล้วขอให้ตื่นขึ้นมาจริงๆ อย่าตื่นแบบคนงัวเงีย รู้จักคนที่ครึ่งหลับครึ่งตื่นไหม ครึ่งหลับครึ่งตื่นเหมือนกับตอนที่อาจารย์บอกกับหัวหน้าชั้นว่าบุหรี่นั้นไม่ดีจะเอาไหม ถ้ายังบอกว่าเอาทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ดี นั่นก็คือครึ่งหลับครึ่งตื่นใช่หรือไม่ (ใช่) ในชีวิตประจำวันของศิษย์นั้น มีอีกหลายเรื่องราวที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นครึ่งหลับครึ่งตื่น รู้ว่าไม่ดีแต่ก็ยังอยากทำ ทำแล้วไม่เห็นว่าจะดีกว่าตอนไม่ทำตรงไหน แต่ก็ทำใช่หรือไม่ (ใช่)

(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท "น้ำหนึ่งใจเดียว")

"น้ำหนึ่งใจเดียว" แปลว่า "สามัคคีและปรองดอง" ใช่หรือไม่ (ใช่) การบำเพ็ญธรรมสมัยนี้เป็นการบำเพ็ญที่เป็นสังคม ไม่ใช่เป็นการบำเพ็ญธรรมที่ปลีกวิเวกออกไปอยู่คนเดียวตามป่าเขาลำเนาไพร สิ่งที่ยากที่สุดในการอยู่ร่วมกันคือการที่เราจะมีใจอยู่ร่วมกันใช่หรือไม่ (ใช่) เรานั้นไม่สามารถมีใจที่เหมือนเขาเพราะว่าเราไม่ใช่พี่น้องกันใช่หรือเปล่า ถามว่าเราเป็นพี่น้องกันใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นถ้าหนักก็ทนเอาเบาให้รู้ทัน เรื่องใดอภัยได้สละได้ให้ทำ คนที่อยู่ในที่นี้ อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นอยู่ด้วยกันอย่างพี่น้อง ปรองดองสมานฉันท์ ไม่บอกว่าเขาไม่ดีหรือว่าเราไม่ดี ศิษย์อาจารย์ดีทุกคน เวลาที่คนอื่นเขาทำอะไรผิดไป ไม่แน่ว่าเราอาจจะไม่มีสิทธิ์อภัยเขาก็ได้ เพราะว่าเขาอาจจะไม่ได้ทำอะไรที่เป็นความเดือดร้อนให้เรา เราแทบจะไม่มีสิทธิ์อภัยเลยในบางครั้ง คนที่มีสิทธิ์อภัยคือคนที่โดนผลกระทบ อาจารย์อยากจะบอกว่าต่างคนต่างทำงาน ต่างคนต่างเจริญปณิธานแห่งตน ใครไม่ดีเท่าไร ใครดีเท่าไร ขอให้วางใจเป็นกลางและทุกคนก็จะมีใจเป็นสุขทำได้ไหม (ได้) ทางนี้ทุกคนเลือกและทุกคนเดิน ขอให้เรานั้นรักกันเหมือนพี่น้อง อาจารย์ก็พอใจแล้ว อย่าลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดที่อาจารย์พูดไป คนที่อยู่ข้างๆ ของเรานั้นเป็นคนที่ดีที่สุด ขอให้เราระลึกเช่นนี้ไว้เสมอ แม้ว่าคนอื่นเขาจะดีเท่าไร แต่เขาไม่ใช่คนที่ยืนอยู่ข้างเรา เขาไม่ได้มองเห็นสิ่งเดียวกับเราเพราะยืนอยู่กันคนละที่ เขาไม่ได้ฟังในสิ่งเดียวกับที่เราได้ฟัง เพราะฉะนั้นเมื่อศิษย์ไปยืนข้างใคร คนๆ นั้นเป็นคนที่ดีที่สุด แต่จงรู้ว่าแม้เขาจะไม่ดีในสิ่งใด ไม่ใช่เปลี่ยนไปยืนอยู่กับอีกคนหนึ่งแล้วเราก็บอกว่าเขาไม่ดีอย่างนี้ไม่ได้

(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาททำนองเพลง "รักเป็นดั่งต้นไม้")

"ศิษย์บำเพ็ญเป็นสุขเพราะมีเมตตา ไม่ระอาทุกข์ยากอย่างสิ้นหวัง" ถ้าเรานั้นเป็นผู้มีความเมตตา เรานั้นก็จะมีความสุขใช่ไหม อันความสุขนั้นหาได้ง่ายเพียงแค่เรานั้นมองความทุกข์ยากออก บางคนนั้นเกิดความท้อแท้ระอาใจในความทุกข์ยากที่ตนเองประสบอย่างสิ้นหวัง อาจารย์บอกว่าไม่ระอาคืออย่าได้เหนื่อยหน่ายต่อสิ่งเหล่านี้

"เมื่อศิษย์จะเดินก้าวขอระวัง สู้จริงจังไม่ลุ่มหลง ต่อตนเองต้องหัดย้อนมองทุกวัน" สู้จริงจังเช่นอะไร บางทีเราเจอในสิ่งที่เราชอบ ของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราชอบ บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่เราชอบ คนที่เราชอบแล้วเราก็เที่ยวตามเขาไป ในที่สุดแล้วเราไม่ได้สู้กับใจของเราเลย จริงๆ แล้วใจเราควรจะเป็นกลาง ไม่ควรชอบสิ่งใดมากกว่าหรือไม่ชอบสิ่งใดเลย สู้กับใจของเราเองสู้กับกิเลสที่ทำให้เราลุ่มหลงนั้น อย่าได้คล้อยตามไปแม้แต่วินาที ต่อตนเองหมายความว่าตัวเราเองมองตัวเราเองไว้

"จากนี้เปลี่ยนแปลงเข้าหาซึ่งกัน" ไม่ใช่ไปเรียกร้องให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงทำในสิ่งที่เราชอบอย่างเดียว เราจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเข้าไปหาเขาด้วย บางทีเรานั้นเรียกร้องให้คนอื่นทำมากเกินไป โดยที่ตัวเรานั้นทำนิดเดียว การบำเพ็ญธรรมใครทำก็ได้ ไม่ต้องบอกว่าเราทำมากเขาทำน้อย แม้เขาจะทำน้อยกุศลที่ได้ก็จะน้อยเป็นเรื่องของเขา ไม่มีสิทธิ์ที่จะวิจารณ์ไม่มีสิทธิ์ที่จะต่อว่า หากว่าคนนั้นเขาทำมากเขาก็ได้ผลมาก เราไปว่าเขาป่าแห่งกุศลของเราก็ยิ่งถูกเผา เพราะฉะนั้นควรไม่ควรว่าคนอื่น

ใครอยากซื้อล๊อตเตอรี่แล้วถูกทุกงวดไหม อาจารย์บอกให้นะเล่นอันนี้มีแต่จนใช่หรือเปล่า อยากจนหรืออยากรวย (อยากรวย) อยากรวยต้องเลิก ไม่มีใครสามารถซื้อแล้วถูกได้ทุกงวด ไม่มีใครสามารถซื้อแล้วถูกได้กำไร มีแต่ขาดทุน เงินที่ทำมาก็จากหยาดเหงื่อแรงงานทั้งนั้นใช่หรือไม่ (ใช่) หาเงินเหนื่อยไหม (เหนื่อย) แล้วทำไมใช้ง่ายๆ ตัวเลขก็มีแค่สิบตัว คิดไปคิดมาจับตัวนั้นสลับตัวนี้ จับตัวนี้สลับตัวนั้น ไปเที่ยวฝันให้เหนื่อยทำไม ทางที่ดีอยากจะรวยก็คือเลิกอย่างเดียว เลิกไม่ง่าย แต่ถ้าคนพยายามแล้วเลิกได้ อยากให้คนอื่นเขาว่าเราว่าเป็นคนบ้าหวยไหม (ไม่อยาก) ถ้าไม่อยากทำอย่างไร เราทำจะไม่ให้เขาว่าได้อย่างไร

(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท เพลง "ใจตะวัน" ทำนองเพลง "รักเป็นดั่งต้นไม้") ใจตะวันเป็นอย่างไร เป็นใจที่ทั้งกลมทั้งสว่างใช่หรือไม่ วันนี้อาจารย์มาพูดเรื่องจิตใจ ทำอย่างไรจึงจะทำให้ใจนี้ทั้งกลมทั้งใสทั้งสว่าง อาศัยเวลาที่ศิษย์นั้นสละไป สละมากใจก็สว่างมาก สละน้อยใจของเราก็สว่างน้อย ใช่หรือเปล่า (ใช่)

ในวันนี้อาจารย์มาเจอหน้าศิษย์ ศิษย์เจอหน้าอาจารย์ เวลานี้เป็นเวลาที่มีค่าที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) สิ่งที่อาจารย์บอกศิษย์ไปนั้นหวังว่าศิษย์ของอาจารย์คงจะจำได้ทุกคนนะ เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นชีพไม่ยาว เปรียบไปแล้วเหมือนกับแมลง สิ่งที่ศิษย์ทำทุกๆ วันนี้เปรียบไปแล้วเหมือนกับการเล่นละครฉากหนึ่ง บทหนึ่ง วันหนึ่งผ่านไป ขอให้เข้าใจตนเอง มองหาดูว่าสิ่งใดที่ศิษย์ควรจะทำที่สุด ไม่เช่นนั้นแล้วร้อยปีผ่านไป ฝาโลงปิดกายก็เหลือแค่ลูกหลาน ความดีเพียงเล็กน้อยกับความชั่วอีกไม่มาก ในที่สุดแล้วคนเช่นนี้ไม่สามารถสำเร็จเป็นพุทธะได้ สิ่งที่ควรจะระวังที่สุดนั่นก็คือทุกๆ วันที่ผ่านไปนั้น เป็นสิ่งที่อันตรายที่สุด หากว่าใช้ไม่ดีอาจจะนำสิ่งที่ศิษย์ไม่คาดคิดมาสู่ตน หากว่าศิษย์ใช้ดีๆ ก็อาจจะนำไปสู่ผลอันยิ่งใหญ่ได้ เพราะฉะนั้นหลังจากวันนี้ในชีวิตประจำวัน ทุกๆ วันขอให้ศิษย์เพิ่มการบำเพ็ญธรรมเข้าไปดีหรือไม่ (ดี) และหลังจากทุกๆ วันที่ผ่านไปเมื่อมีเวลาว่างอย่านอนอยู่บ้านเฉยๆ เปิดเพลงฟัง ดูทีวี นินทาคนอื่น ต้องเปลี่ยนชีวิตของเรานั้นใหม่ใช่หรือไม่ (ใช่) พูดแต่ธรรมะเวลาเจอคนอื่น คนนี้เป็นคนดีรู้จักชวนเขารับธรรมะดีหรือไม่ (ดี) ถ้าหากว่าศิษย์ทำได้เช่นนี้ชีวิตของตนก็จะมีความสงบเย็นมากขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะว่าธรรมะนั้นอยู่ที่เราใช่หรือเปล่า (ใช่) ธรรมะอยู่ที่ปากเรา ธรรมะอยู่ที่ใจเราทำได้ไหม (ทำได้)

ตาของมนุษย์มองได้แต่ภายนอก มองไม่เห็นว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดีกันแน่ บางทีเสียเงินตั้งมากมายแต่ไปซื้อเอาสิ่งไม่ดีมา มองไม่เห็นว่าจริงๆ นั้นเป็นของดีหรือไม่ดี บางทีเสียเงินนิดๆ หน่อยๆ เพื่อที่จะซื้อของดีกลับไม่เอา อย่างบุหรี่นับว่าเป็นของไม่ดี เหล้าก็เป็นของไม่ดีกลับเสียเงินซื้อมาใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วก็ปรุงแต่งกันเข้าไป ปรุงแต่งจนขนาดว่าเหล้าบางขวด บางยี่ห้อแพงแต่กลับชอบ ชอบที่จะซื้อหาไว้

อีกสักครู่อาจารย์ก็จะกลับแล้ว หวังใจเป็นอย่างยิ่ง ศิษย์รักทั้งหลายขอให้การบำเพ็ญยิ่งบำเพ็ญยิ่งดี อย่าให้ได้ชื่อว่ายิ่งบำเพ็ญยิ่งแย่ แม้ว่าจะดีกว่าคนข้างนอก แต่ก็ต้องรู้ว่าเราจะดีขึ้นกว่านี้ได้ ดีในแบบอย่างของคนที่บำเพ็ญธรรม ดีในแบบอย่างที่สมควรจะเป็น ถ้าหากวันนี้ วินาทีนี้ที่เกิดอารมณ์ขึ้น เกิดกิเลสขึ้น ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจและไม่รู้จักหักห้ามตนเอง แล้วอ้างว่าคนเขาไม่เห็นไม่เป็นไร อาจารย์อยากจะบอกว่าเป็นความคิดที่ผิด เราไม่ดีคนไม่เห็นแต่ใจเป็นแผล ไม่สู้ทำตัวของเราไม่ให้มีแผลจะได้ไม่ต้องมารักษาให้เปลืองแรงเปล่า เอาเวลาแห่งการรักษาของเรานี้ไปทำอย่างอื่นได้อีกมากมาย ในช่วงนี้โลกวุ่นวาย ใจสับสน มีสิ่งมากมายหลายอย่างเป็นสิ่งที่ยากกว่า เป็นสิ่งที่เหนื่อยแรงกว่า จะเดินหนีก็ทำไม่ได้ จิตใจนั้นน้ำตาจะร่วงก็ขอให้ร่วงเพราะเราคิดจะสู้ ไม่ใช่ร่วงเพราะคิดจะแพ้เขา ดีหรือเปล่า (ดี) อาจารย์จะบอกให้ สิ่งที่เป็นอุปสรรคทั้งหลายไม่ได้สร้างความทุกข์ใจ แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคทั้งหลายมาสร้างประสบการณ์ และสร้างชีวิตให้ดีขึ้น เหตุที่เราทุกข์ก็เพราะว่าเรานั้นไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่เรามี เหมือนกับที่อาจารย์บอกกับศิษย์ตอนแรก มีเงินน้อยหน่อยก็ดี ไม่ต้องกลัวขโมย แต่งตัวโทรมหน่อยก็ดี จะได้เหมือนกับผู้บำเพ็ญทั้งหลาย มีจิตใจดีก็ดี มีจิตใจเมตตาก็ดี จะได้ไม่รู้จักเอาเปรียบคนอื่นเขา ใครทำมากเราไม่ว่า เราอย่าทำน้อย อย่าเรียกร้องให้คนอื่นดีโดยที่เรายังไม่ดี

การบำเพ็ญธรรมนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ไม่ยากเกินไป ศิษย์ทั้งหลายมุ่งหมายกลับคืนขึ้นนิพพาน อาจารย์ก็หวังว่าศิษย์จะเดินไปถึงปลายทาง หวังว่าพุทธะองค์นั้นจะเป็นศิษย์ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ใช่สามวันกลับไปก็ลืมหมดแล้ว เขาพูดอะไรก็ไม่รู้ ยิ่งคิดก็ยิ่งเหมือนงมงาย ยิ่งไม่ชอบใจเข้าทุกที อาจารย์หวังว่าคงไม่เป็นเช่นนั้น เวลาคนเขาไปตามเรามาสถานธรรม ถ้าว่างก็ต้องเสียสละเวลามา ถ้าไม่ว่างก็ต้องพยายามทำให้ว่าง ถ้าทำไม่ได้จริงๆ จึงบอกตนเองว่า ไม่เป็นไร แต่ไม่ใช่ว่าเราบอกว่าเราไม่ว่างเพราะว่าเราอยากไม่ว่าง ไม่ว่างเพราะใจไม่ว่าง อย่างนี้เราจะไปนิพพานได้ไหม

การบำเพ็ญธรรมไม่ได้ใช้เวลาน้อยๆ ยิ่งศิษย์มีเวลาให้ตัวเองมากเท่าไร การบำเพ็ญธรรมก็ก้าวหน้าขึ้นเท่านั้น การเดินก็สั้นลงเท่านั้น แต่หากวันนี้อ้างไม่ว่าง แล้วพรุ่งนี้ว่างไหม (ไม่ว่าง) วันนี้ไม่ว่าง พรุ่งนี้ก็ไม่ว่าง มะรืนก็ไม่ว่าง พอดีมะเรื่องนี้จะตายก็ไม่รู้ตัว ทีนี้ก็ว่างตลอดไปเลย แต่ว่างอะไร (ว่างเปล่า) อย่าคิดว่าตัวเราดีมาก อย่าคิดว่าตัวเราดีน้อย แม้ว่าเราจะเป็นชาวบ้านธรรมดา แต่ชาวบ้านธรรมดานี้ถ้าโอกาสเปิดถึงข้างหน้า ไม่รอช้ารีบวิ่งใช่หรือเปล่า แม้ว่าจะมีร่างกายสังขารที่โรยราแล้ว คนแก่วิ่งไหวไหม (ไหว) วิ่งในที่นี้ไม่ใช่เอาเท้าสองเท้ารีบก้าว แต่วิ่งในที่นี้คือเอาใจของเราออกไปวิ่ง วิ่งแล้วให้ใจของเรามีธรรมะ คนหนุ่มสาวและคนวัยกลางคนวิ่งไหวไหม (ไหว) ทุกคนวิ่งไหว วิ่งได้ แต่อย่าลืมวิ่ง วันนี้เจอกันแล้ววันหน้าเราได้เจอกันอีกหรือเปล่า (เจอ)

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เวลาล่วงเลยรวดเร็วยิ่งกว่าสิ่งใดๆ คราวใดอาจารย์เห็นศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่รู้จักกุมโอกาสไว้ให้ดี เพียงแค่ความสงสัยชั่วขณะหนึ่ง แค่ความไม่เข้าใจเพียงนิดหน่อย อาจารย์รู้สึกว่าน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง คนใดก็แล้วแต่สัญญากับอาจารย์ไปแล้วว่าเลิกเหล้าได้ เลิกบุหรี่ได้ ให้กลับไปทำให้ได้ด้วย อย่าเผลอ อันว่ารถนั้นจะเลี้ยวขวาได้เราต้องหักมือให้รถเลี้ยว บุหรี่จะเข้าปากเราได้ เราก็ต้องจุดไฟแช็คให้เขาด้วย มันถึงจะสำเร็จ มันต้องผ่านขั้นตอนอีกตั้งหลายขั้นตอนใช่ไหม (ใช่)

ไม่รู้ว่าอีกหน่อยพอถึงเวลาต้องคัดเลือกพุทธะขึ้นมาแล้ว จะเหลือศิษย์อีกเท่าไหร่ที่กลับบ้าน ต่อจากนั้นแม้ว่าเป็นอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม อาจารย์บรรยายธรรม เป็นฐันจู่ เป็นคนไหนก็แล้วแต่ เป็นศิษย์อาจารย์ไม่ได้หมายความว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นจะได้กลับคืนขึ้นสู่พุทธภูมิ เพราะฉะนั้นควบคุมใจของตนเองไว้ให้ดี ทุกๆ เวลา ทุกๆ นาทีใช้ให้เป็นประโยชน์ วันนี้หนึ่งวันมีธรรมะให้ศิษย์ได้บำเพ็ญก็จงบำเพ็ญไป รอถึงวันหนึ่งไม่มีอนุตตรธรรมลงมาให้บำเพ็ญแล้ว เก็บกลับหมดแล้ว โอกาสปิดแล้ว ค่อยมานั่งเสียดายก็สายไป



(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานธรรมท่านหนึ่ง)

คนนี้น่ะฉลาด เขารู้ว่าควรทำอะไร แต่เขาก็ไม่ทำ เขาทำเป็นไม่รู้ ทำเฉยเสีย เพราะรู้ว่าถ้าเฉยแล้วเดี๋ยวก็มีคนมาทำเอง ใช่ไหม (ประเภทรู้แล้วแต่ไม่อยากจะแก้ไขเนี่ย ถามจริงๆ ว่าจะให้อาจารย์พูดว่าอะไร จริงๆ แล้วอาจารย์รู้ว่าศิษย์เข้าใจอะไรอีกหลายอย่างใช่ไหม (ศิษย์ยังโง่อยู่ครับ) ) ถ้าโง่จริงๆ ก็ดีสินะ เพราะว่าคนโง่นั้นสำเร็จเป็นพุทธะได้ง่ายใช่หรือไม่ โดนคนอื่นเขาหลอกใช้ครั้งสองครั้งมีกุศลหรือเปล่า หวังอย่างยิ่งว่าวันหนึ่งเกิดการคัดเลือกแล้ว ศิษย์ของอาจารย์นั้นจะไม่ตกการทดสอบอันนั้นๆ มากเกินไป อย่าว่าแต่ฝนตก รถติด ไฟไหม้ น้ำท่วม โดนรถชนแล้วบอกว่านั่นเป็นการทดสอบ การทดสอบมาไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก ที่เจอๆ กันมาอยู่นี้เป็นวิบากกรรมที่ตนเองสร้างทั้งนั้น เอาไว้เจอกับการทดสอบจริงๆ แล้วค่อยมาพูดกัน ที่เจอวันนี้ยังไม่ใช่ พวกศิษย์ยังไม่เจออะไรจริงๆ จังๆ เลย อาจารย์มองหน้าศิษย์ทุกๆ คน อาจารย์ยังไม่เคยเห็นใครเจอทดสอบจริงๆ เลย ลองเอาไปเทียบกับสมัยที่อาจารย์กลับชาติลงมาเกิดดูสิ ว่าที่ศิษย์นั้นเจอเป็นเพียงเศษเท่าไหร่ของเท่าไหร่ ฉะนั้นวันนี้มีอุปสรรคบ้างก็ถือว่ายังง่าย ต่อเมื่อมีอุปสรรคจริงๆ แล้วสิ่งที่อาจารย์พูดทุกคำๆ นั้นหวังว่าศิษย์จะใส่ใจด้วยได้ไหม (ได้) ไม่ใช่ถึงเวลาเจอการทดสอบจริงๆ แล้วก็บอกว่าลาก่อนนะอาจารย์จี้กงไม่เอาแล้ว อย่างนี้เศร้าไหม อาจารย์เศร้าที่สุดเลยนะ ใครจำไตรรัตน์ไม่ได้ขอให้ทวนจนจำได้ ศิษย์ที่อยู่ข้างล่างอาจารย์ลาก่อนวันหน้าเจอศิษย์ใหม่ หวังว่าจะดีขึ้นทุกๆ คน อุปสรรคที่สำคัญที่สุดใครรู้ไหม ยิ่งคิดมากยิ่งไม่ดี แต่ถ้าคิดน้อยๆ เท่าไหร่ก็ยิ่งดี ลาก่อน






[๑] เกษมศานต์ โปร่งอารมณ์, ชื่นชมยินดี


[๒] อินทรียสังวร ความสำรวมอินทรีย์ คืออายตนะภายใน ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ




พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท

“น้ำหนึ่งใจเดียว”

ลมเมื่อพัดไม่มีสักคราวจะไม่เย็น น้ำกระเซ็นไม่มีสักคราวจะไม่กระจาย

จิตเมตตาสมบูรณ์ในตนคู่กับอภัย ความเข้าใจสามารถในตนคือพลัง

คนจริงใจงดงามอยู่พร้อมเพราะอ่อนน้อม กลางวงล้อมอยู่ร่วมกันฝ่าเป็นที่ตั้ง

เมื่อต่างถือตนเป็นใหญ่น่าเกลียดชัง เปรียบได้ดั่งยกมือบังดวงตะวัน

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2541

2541-10-17 พุทธสถาน ฉือเหยริน จ.นครศรีธรรมราช



PDF 2541-10-17-ฉือเหยริน #20.pdf

#สัจธรรมชีวิต  #ความสุข  #ไตรรัตน์  #คำพูด  #คนดีไม่ถึงนิพพาน 


วันเสาร์ที่ ๑๗ ตุลาคม  พุทธศักราช ๒๕๔๑      พุทธสถาน ฉือ เหยริ.นครศรีฯ
                                                   สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

     คุมความคิดการกระทำสามัคคีเกิด    สอบหาผู้ล้ำเลิศกลางยุคขาว
สามคนเดินมีหนึ่งเป็นอาจารย์เรา          ภูมิภพโลกปัญญาเชาว์ใช้ให้ดี
                            เราคือ
     องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ             รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา            ลงสู่แดนโลกีย์   เคียมคัล
องค์มารดา                      ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
                                      ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา  ฮวา

     เกิดเป็นคนอัตตาหนักตระหนักเถิด    ยากจะเกิดยากจะมีความสำเร็จ
หากชีวิตยึดติดดั่งกินบอระเพ็ด              อารมณ์เจ็ด ขวางกั้นจิตพุทธา
แม้ว่าเป็นคนจนรวยล้วนคือคน             แม้ขัดสนอย่าหลงผิดทำชั่วช้า
ด้วยเกิดมาเพียงร้อยปีสั้นเวลา              สร้างคุณค่าชีวิตตนจะดีไหม
หากว่าเป็นผู้มีปัญญาเกิด                    คนประเสริฐไม่คิดแต่ผลของตัว
ขอเป็นจิตพ้นโคลนตมดังดอกบัว           แลจงกลัวบาปกรรมอย่าริทำ
ด้วยเวลาสั้นนักชีพหนึ่งนี้                     เป็นคนดีทั้งชาติมิเสียแร
บำเพ็ญธรรมนำจิตใจให้กล้าแกร่ง         ลงทั้งแรงกายและใจเป็นทุนเดิม
ในบัดนี้นับว่าเป็นโอกาสดี               ศิษย์น้องพี่มาอยู่ร่วมหนึ่งสถาน
ทำบุญร่วมกันมาจึงบริบาล            ขอชื่นบานในจิตนี้อย่าลังเล
ความกังขาเกิดขึ้นเมื่อยามใด           ความตั้งใจจะเลือนหาย ณ บัดนั้น
ความเข้าใจพังทลายในฉับพลัน       ความรู้ทันย่อมยากที่จะเกิดมา
เมื่อได้รู้ตนเองให้เร่งตื่น                   มาฟื้นคืนพุทธจิตในกายหนา
นำธรรมาแพร่สะพัดไม่แค่วาจา        การกระทำสำคัญกว่าหลายเท่าตัว
เกิดมาเป็นคนมีทุกข์สุขสลับ            อายุนับถอยหลังแล้วใช่ไหม
ท่านคิดจะพ้นเวียนว่ายบ้างหรือไม่    หยุดเกิดตายหยุดภพชาติสู่สุทธา
การบำเพ็ญส่งข้ามฟากทะเลทุกข์     แต่ต้องลุกจากวิสัยคนอันเบื้องหน้า
ด้วยจิตใจสามารถเป็นชวาลา         กลับคืนฟ้านอกและในต้องสอดคล้อง
จงรู้เท่าทันจิตตนอันเปลี่ยนแปลง     มิคลางแคลงผู้อื่นดีหรือไม่
ย้อนใจตนยึดหลักธรรมจึงรอดได้      หาไม่แล้วจะงมงายสู่ทางวน
ฉวยโอกาสตอนเป็นคนธรรมโลกครึ่ง  ใจเป็นหนึ่งสู่กายหนึ่งมิสับสน
ไม่ยึดว่าผู้ทำถูกมีแต่ตน                  แม้อับจนย่อมไม่นานฟ้าสางเยือน
ในที่นี้ล้วนมีบุญกับพุทธะ                หวังน้องจะอยู่ครบกำหนดเวลา
หวังน้องจะเรียนรู้ทางพุทธา             หวังน้องกล้าศึกษาให้เข้าใจ
ในวันนี้รักษาพุทธระเบียบ               อย่างเรียบร้อยจากตนเองเป็นส่วนใหญ่
ทางข้างหน้ายังมีอีกยาวไกล            คนเดินไกลใจต้องยิ่งดีขึ้นตาม
ขอให้รู้ส่งกุศลบรรพชน                   อาศัยตนเหนื่อยหน่อยสร้างบุญมาก
การบำเพ็ญไม่มีใดที่หลายหลาก       แต่ขอฝากมองย้อนตนดีที่สุด
จงตั้งใจให้มากมากฟังหลักธรรม         ใส่ใจจำให้ปฏิบัติอย่างครบถ้วน
ปราชญ์เมธีต้องปราศจากความเรรวน  ใดสมควรจึงกระทำคนเจริญตาม
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป          คนตั้งใจพี่บันทึกไว้ถ้วนถี่
คนเกียจคร้านพี่จดไว้ไม่รอรี                ขอน้องพี่ตั้งใจโดยใจเป็นกลาง
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน            
                                                    ฮวา  ฮวา   หยุด





 


อารมณ์เจ็ด            . ความปีติยินดี  ๒. ความโกรธ ๓. ความเศร้าเสียใจ
                                   . ความสุข  ๕. ความรักใคร่  ๖. ความแค้น ๗. ความอยาก                    
บริบาล                ดูแลรักษา  ดูแลเลี้ยงดู
ชวาลา                ตะเกียง                                                                       







วันเสาร์ที่ ๑๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียน ฮั่นจงหลี

     ในยุคนี้ผู้บำเพ็ญนำพ้นภัย          เลือกเฟ้นไปผู้งามพร้อมคืนเบื้องฟ้า
ให้ฝึกฝนในแดนโลกด้วยปัญญา       อย่าได้ช้ายืมกายปลอมบำเพ็ญจริง
                            เราคือ
    หนึ่งในแปดเซียน ฮั่นจงหลีต้าเซียน      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา               ลงสู่แดนโลกีย์ แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา             ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

     หมั่นศึกษาหลักสัจธรรมเข้าใจเพิ่ม   มุ่งส่งเสริมกันด้วยธรรมมิบาดหมาง
บังเกิดเป็นวาจาคิดก่อนสามครั้ง       โลกสีขาวความยั้งคอยอำนวย
สะสมกรรมเบาเบาพาตนพินาศ        เสียงกัมปนาทหนักกรรมเพราะประมาทฉวย
คุมความประพฤติทุกขณะไม่สำรวย สำรวม ด้วยคนคืนต้องงามแยบยล
ความฉลาดนั้นฤๅพาคืนฟ้า              คืนสุทธาต่างมีเหมือนคือกุศล
มีดีมีร้ายก็คือคน                            เมธาทุกผู้คนพึงฝึกอภัย
อยู่ร่วมกันอย่าเคืองเฟื่องนิวรณ์       คอยบั่นทอนค้นขุดนั้นไร้ความหมาย
ฝึกปัญญาเมตตาความกล้าไม่เดียวดาย   ยามฝึกร่วมอาการใจสิ้นอัตตา
เข้าใจกันจึงสามารถบังเกิดสุข          บังเกิดทุกข์จึงสามารถเดินทั่วหล้า
ปัญญาคนปรีดาฉายทุกหย่อมหญ้า       มิตรมีค่าที่จริงใจสำคัญ
น้อมเพียงพอพบยิ่งมิตรสหาย          มีเรื่องใดดรี เราเที่ยงผจัญ
ลมสะพัดเรื่องร้ายตัดหยุดคาดคั้น      ใครจาบัลย์ เราช่วยสอนรู้พอ
                                                                                     ฮา ฮา  หยุด




 


สำรวย             สวย    หยิบหย่งมุ่งแต่จะแต่งตัวให้สวยงาม
สำรวม          ระมัดระวัง  เหนี่ยวรั้ง  ครอง
3นิวรณ์           สิ่งห้ามกันจิตไว้มิให้บรรลุความดี ๕ ประการ
                         . ความพอใจรักใคร่           . ความพยาบาท
                         . ความง่วงเหงาหาวนอน  . ความฟุ้งซ่านรำคาญ
                         . ความลังเลใจ
ดรี                   เรือ
ผจัญ                ต่อสู้  ประจัญ
จาบัลย์             ทุรนทุราย  สะอึกสะอื้น




พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียน ฮั่นจงหลี

หากกองทัพ คนข้างหน้าเดินแต่คนข้างหลังไม่เดิน กองทัพนี้ก็เป็นกองทัพที่ขาดระเบียบวินัยไม่มีความสามัคคี การร่วมแรงร่วมพลังจึงเกิดความสามัคคีอันยิ่งใหญ่ เสียงเดียวยากจะมีพลังเท่ากับหลายๆ เสียงรวมกัน แต่ถ้าเสียงไปใจไม่ไปก็ยิ่งลำบาก
 การอยู่ตรงนี้นั่งฟังเฉยๆ ย่อมเป็นธรรมดาที่ต้องรู้สึกเมื่อย เหนื่อยและเบื่อ การมีบทเพลงขับกล่อมเปลี่ยนบรรยากาศจากการนั่งฟังอย่างเดียว เป็นร้องบ้าง จึงทำให้เรารู้สึกกระปรี้กระเปร่า จะอายอะไรจากการกระทำ ถ้าเราไม่ได้ทำผิดไม่ได้ทำร้ายใคร แต่การร้องเพลงเปลี่ยนบรรยากาศทั้งช่วยเหลือตัวเองและช่วยเหลือคนอื่น สิ่งใดที่ทำแล้วเกิดประโยชน์จงทำเถิด สิ่งใดที่ทำแล้วเกิดโทษจงตัดทิ้ง  
โดยปกติคนทั่วไปมักจะชอบสิ่งดี สิ่งที่เป็นมงคลแก่ตน สิ่งใดที่นำความอัปมงคล ความเสื่อมเสีย ความเดือดร้อน เรามักจะไม่อยากอยู่ใกล้และไม่คิดกระทำ แล้ววันนี้การมาศึกษาหลักธรรม เพื่อรู้หนทางที่จะได้นำพาตนและบำเพ็ญตนคืนเบื้องฟ้านั้นเป็นสิ่งที่ดีและการที่จะทำให้ถึงก็จะต้องมีความเข้าใจเป็นพื้นฐานก่อน ถ้าเราไม่รู้วิธีปฏิบัติที่เด่นชัด เราไม่มีความเข้าใจที่เพียงพอ แม้ได้ไปก็ย่อมไร้ค่า เฉกเช่นเดียวกับเรามีรถอยู่คันหนึ่ง หากเราไม่รู้จักใช้ไม่รู้จักควบคุมรถคันนี้ก็ไม่มีประโยชน์ต่อตัวเรา แต่การที่จะมองถึงการบำเพ็ญธรรมนั้นก็ต้องย้อนมาดูที่จิตใจก่อนแล้วเราถึงจะมองรูปกาย เนื่องจากจิตใจเป็นรากฐานสำคัญของตัวบุคคล หากจิตใจดีการกระทำย่อมออกมาดี หากจิตใจร้ายการกระทำย่อมออกมาร้าย แต่จิตใจนั้นก็ขึ้นอยู่กับการปลูกฝังอุปนิสัยที่ดีตั้งแต่แรกเริ่ม หากมนุษย์เรารู้จักปลูกฝังอบรมบ่มเพาะอุปนิสัยตนเองให้ดีพร้อมแล้ว เวลาจะกระทำสิ่งใดก็ย่อมยากที่จะผิดพลาด จิตใจที่ดีอุปนิสัยที่ดีย่อมเป็นรากฐานแห่งการกระทำทุกสิ่งทุกอย่าง  แล้วถ้าจิตใจดีแต่การกระทำตรงข้ามกับจิตใจจะเป็นเช่นไร แปลว่าถ้าจิตใจดีสิ่งที่อยู่รอบข้างเราก็ล้วนต้องดีไปด้วยใช่หรือไม่ แต่ปัจจุบันนี้สิ่งรอบข้างเราทำไมถึงเลวร้ายทั้งๆ ที่มีเราจิตใจที่ดี ก็แปลว่า ใจเรากับการกระทำไม่สอดคล้องกันเพราะคนคนหนึ่งก็เป็นผลของสังคมๆ หนึ่ง อย่าพูดว่าเราไม่มีส่วนในสังคม ทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของสังคม สังคมดีได้คนก็ต้องเป็นคนดี คนดีได้จิตใจก็ต้องดี คิดย้อนกลับถ้าจิตใจไม่ดีคนก็ต้องชั่วร้าย ถ้าคนชั่วร้ายสังคมก็ต้องวุ่นวาย แล้วตอนนี้เราจะพูดได้ไหมว่า สังคมวุ่นวาย คนสับสน แต่จิตใจของเราดี ฟังแล้วแปลกหรือไม่ (แปลก) แปลว่าจิตใจเราผิดพลาด เรารักสิ่งดี ชอบสิ่งดี แต่การกระทำให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เรารักและชอบมักขัดแย้งกับความถูกต้องและความดีงามไม่สอดคล้องกับคุณธรรมและศีลธรรม จึงเป็นความรักที่นำไปสู่ทางที่ผิดและหลง ผลของสังคมจะโทษแค่ตัวสังคมไม่ได้ แต่ต้องโทษไปถึงจิตใจของคน
ในสำนวนของปราชญ์โบราณนั้นท่านกล่าวไว้ว่าเมื่อท่านเป็นคนดี ไยจะต้องไปสนใจผู้อื่นด้วย เขาจะเลวหรือดีมากดีน้อยก็เรื่องของเขา ไม่จำเป็นต้องสนใจ แต่เขาตอบว่า คนเราถ้าไม่อยู่กับคนแล้วจะไปอยู่ร่วมกับอะไร หากตัวฉันมีความสุข แต่สังคมวุ่นวายแล้วฉันจะสุขได้อย่างไร เราจะมองว่าข้างนอกเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ไม่ได้ เพราะข้างนอกก็มีผลต่อจิตใจเราเหมือนกัน หลายต่อหลายครั้งที่เราคิดว่าแต่ก่อนเราเป็นคนดี แต่ปัจจุบันนี้เรายากจะดีได้เพราะบอกว่า สังคมเลวร้ายเราก็เลยรู้สึกย่ำแย่ตามไปด้วย สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงจิตใจคน แต่ความเคยชินก็เปลี่ยนแปลงจิตใจคนได้เช่นเดียวกัน มนุษย์เรารู้จักควบคุมตนเองอย่างเดียวไม่พอ ต้องรู้จักควบคุมจิตใจด้วย ใจจึงเป็นส่วนสำคัญ หากรากไม่แข็งแรงมีหนอนชอนไช ต้นไม้ที่เติบโตจะเป็นต้นไม้ที่ยิ่งใหญ่ได้หรือไม่ แม้ภายนอกจะสวยแต่ถ้าภายในเว้าแหว่ง จะเป็นต้นไม้ที่มีคุณค่าหรือเปล่า จิตใจของคนก็เฉกเช่นเดียวกัน ถ้าภายนอกรูปลักษณ์เราสวยงามหล่อเหลา มีความภูมิฐาน มีเกียรติยศทรัพย์สิน แต่ภายในจิตใจเราเว้าแหว่ง ขาดซึ่งคุณธรรมศีลธรรม เราก็ย่อมเป็นคนดีที่มีคุณค่าที่แท้จริงของสังคมไม่ได้
ยืมกายปลอมบำเพ็ญจริง นั่นก็คือยืมร่างกายปลอมนี้บำเพ็ญพุทธจิตบำเพ็ญกุศลให้กลับคืนสู่เบื้องบน เราคิดว่าตัวเรานั้นเป็นตัวตนที่แท้จริงหรือไม่ (ไม่) แล้วทำไมจึงเฝ้ารักเฝ้าหวงกันมากนัก ของที่ไม่จริงก็คือของที่เปลี่ยนแปลงหาความเป็นตัวตนที่แท้จริงไม่ได้  แล้วตัวเรานี้เปลี่ยนแปลงไปตลอดหรือไม่ (เปลี่ยน) เปลี่ยนแปลงไปเพราะอะไรบ้าง (กาลเวลา, สิ่งแวดล้อม, ความเกิดแก่เจ็บตาย, กิเลสตัณหาอุปาทาน, สิ่งโลมเร้า, ความโลภ โกรธ หลง) ความไม่พอใจในตนเองเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราต้องเปลี่ยนแปลง  บางครั้งกาลเวลาทำให้เราเปลี่ยนแปลงไป นั่นเป็นสัจธรรม แต่ถ้าจิตใจของเราไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา  แม้ร่างกายจะเปลี่ยนแปลงไป แต่จิตใจก็ยังสุกใสสว่างเหมือนเดิม  แต่บางคนกาลเวลายิ่งผ่านไป จิตใจยิ่งย่ำแย่ยิ่งหม่นหมองยิ่งอับแสง ก็เพราะว่าจิตใจของเขาไหลและเปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งแวดล้อม แล้วการกระทำหรือการปฏิบัติตนเช่นนี้เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ (ไม่) เพราะยิ่งเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เรายิ่งไม่รู้จักตัวเอง เมื่อไม่รู้จักตน เราก็คงยากที่จะนำพาตนและช่วยเหลือตนได้ สภาพแวดล้อมหรือผู้อื่นจะเปลี่ยนแปลงวุ่นวายเลวร้ายอย่างไร แต่ถ้าหากว่าจิตใจเรายังคงสุกใสเหมือนเดิม ภายนอกที่เลวร้ายและวุ่นวายก็ยากจะชักนำพาเราไปได้ แต่เรายากที่จะควบคุมตนเองได้เพราะเรามักเคยชินกับการปล่อยมากกว่าการควบคุมจิตใจ เรามักเคยชินกับการไม่พอใจตนเอง ไม่ชอบความเป็นตัวเอง หรือไม่ก็ยึดมั่นในความเป็นตัวของตัวเองมากเกินไป จึงทำให้เราเปลี่ยนแปลงไปไม่หยุดนิ่งความเป็นตัวของตัวเองจึงขึ้นๆ ลงๆ ไม่แน่นอน เช่นนี้ ย่อมง่ายที่จะวุ่นวาย และย่อมยากที่จะสงบและหาความสันติสุขให้กับชีวิตได้ ในเมื่อรู้เช่นนี้เราก็ต้องรู้จักนำพาควบคุมชีวิตของตนเองให้เป็น
คนเรานั้นมักจะเหมือนกับสิ่งๆหนึ่งที่ไม่ชอบให้ใครมาตีกรอบ และไม่ชอบให้ใครมาผลักดัน ยิ่งผลักกลับยิ่งถอย ยิ่งดึงไปข้างหน้ากลับยิ่งอยากถอยไปข้างหลัง มองดูอย่างนี้แล้ว คล้ายกับสัตว์อะไร(แมว) พอเราจับหางก็อยากเดินไปข้างหน้า พอเรากดหัวก็อยากถอยหลังหรืออยากชะโงกตัวขึ้นมาใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วเราชอบให้คนอื่นมาผลักดันมาดึงเรา แล้วเราถึงจะยอมทำหรอกหรือ ก็คงจะไม่มีใครชอบ ฉะนั้นก่อนที่เราจะให้สภาวะแวดล้อมมาผลักดันเราให้เราต้องเป็นไป เราจึงต้องรู้จักควบคุมตนเองให้เป็นเสียก่อน จึงเรียกว่าป้องกันก่อนที่ภัยจะเกิด อย่าปล่อยให้ภัยมากำหนดความเป็นคนของเรา อย่าปล่อยให้สิ่งแวดล้อมมาทำลายความมีชีวิตและความมีคุณค่าของการเป็นคนของเรา เราเป็นคนที่ประเสริฐ เรามีปัญญา เรามีสติ เช่นนั้นเราต้องนำพาชีวิตของตนเองให้เป็น อย่าปล่อยให้สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงตนเอง เช่นนี้ย่อมไม่มีประโยชน์เลย เรียนรู้มาก็เสียเปล่า มีความสามารถก็ไร้ค่า
หมั่นศึกษาหลักสัจธรรมเข้าใจเพิ่มการศึกษาหลักสัจธรรมนั้นมีประโยชน์ต่อตัวเราหรือไม่ (มีแล้วสัจธรรมคืออะไร ถ้าตอบไม่ได้แสดงว่าหัวข้อที่ฟังเมื่อสักครู่นี้หลับกันหมดใช่หรือไม่ (ไม่หลับถ้าเช่นนั้นแสดงว่าสิ่งที่ฟังไม่เข้าหูใช่หรือไม่ (ไม่ใช่ถ้าท่านฟังเข้าหูและไม่หลับก็ต้องโทษคนพูดใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) การโทษผู้อื่นง่ายกว่าโทษตัวเอง สะบัดความผิดให้คนอื่นง่ายกว่าตัวเองรับความผิดใช่หรือไม่ เราไม่ต้องการเช่นนั้นแต่เพราะอะไรเราจึงมักมองไม่เห็นตนเองอยู่ร่ำไปว่าตนเองแท้จริงแล้วเป็นคนเช่นไรกันแน่ เป็นคนที่ดีหรือไม่มีความดีเลย บางครั้งเรามองไม่เห็นตนเองอย่างแท้จริงต้องให้คนอื่นช่วยมอง ว่าฉันเป็นคนอย่างไร แล้วพอเขาพูดก็ว่ามันไม่น่าจะใช่ แล้วอย่างนี้เราเป็นคนที่รู้จักตนเองหรือไม่รู้จักตนเองกันแน่ (ไม่รู้จักตนเอง) หากตนเองไม่รู้จักตนเอง แล้วจะมีเวลาไปรู้จักข้างนอกได้หรือ แต่มนุษย์เรามักจะรู้จักภายนอกดีกว่ารู้จักตนเอง เราเข้าใจชีวิตของคนอื่น เขาเป็นอย่างนั้น เขาเป็นอย่างนี้ ต้องแก้อย่างนั้น ต้องแก้อย่างนี้  แต่พอตัวเองเป็นเข้าเสียเอง กลับไม่รู้ว่าเราจะแก้อย่างไร  ถ้าเช่นนั้นก็ต้องรู้จักและเข้าใจก่อนว่า สัจธรรมมีความเกี่ยวข้องกับชีวิต เพราะหลักสัจธรรมคือความเป็นจริงแห่งชีวิตที่หนีไม่พ้น  เราเดินไปที่ไหนก็มีสัจธรรมล้อมรอบตัวเราอยู่เสมอ เราจะไปอยู่แห่งหนตำบลใด สัจธรรมก็ติดตามเราไปอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ในเมื่อเรารู้เช่นนี้แล้ว เรามีความเข้าใจและยอมรับสัจธรรมอย่างแท้จริงหรือไม่ หากเรารู้แต่ไม่ยอมรับสัจธรรม ก็ยากที่จะมาน้อมนำชีวิตเราได้ ฉะนั้นเรารู้ว่าชีวิตทุกคนต้องมีทุกข์ต้องมีการเกิดแก่เจ็บตายและต้องเปลี่ยนแปลงไปไม่สิ้นสุด บางคนเปลี่ยนแปลงไปจุดสิ้นสุดของเขาสามารถคืนสู่เบื้องบน บางคนเปลี่ยนแปลงไปจุดสิ้นสุดของเขากลับสู่เบื้องล่าง ฟังดูเช่นนี้แล้วจุดสิ้นสุดของทุกคนในที่นี้ก็คงไม่อยากเป็นอย่างหลังใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกคนอยากมีจุดสิ้นสุดที่ดีงามและสามารถพาตนเองกลับสู่เบื้องฟ้าได้ แต่การจะมีจุดสิ้นสุดที่ดีงามแล้วกลับคืนสู่เบื้องฟ้านั้น เราต้องมีความเข้าใจอย่างจริงแท้ อย่าเป็นเพียงผู้รู้ที่เมื่อพบกับเหตุการณ์แล้วกลับทำอะไรไม่ได้
เรายอมรับการมีชีวิตได้ เมื่อสูญเสียชีวิตเราก็ต้องรับได้เช่นเดียวกัน เพราะว่ามนุษย์เรานั้นเรื่องราวในโลกเราจะเลือกเอาแต่ข้างหน้าโดยไม่สนใจข้างหลังนั้นเป็นไปไม่ได้ เราจะเอาแต่รับโดยที่เราไม่เคยมีความรู้สึกไม่ชอบบ้างบางทีก็เป็นไปไม่ได้ เราอดไม่ได้ที่ต้องมีรักและมีชอบ มีเกียรติและมีไร้เกียรติ ฉะนั้นเราต้องรู้จักวางตัวให้ถูกต้องเหมาะสม จะเลือกที่รักมักที่ชังอยู่ในโลกนี้ไม่ได้ เพราะความเป็นจริงของโลกนี้สอนให้เรารู้ว่า มีทุกข์แล้วก็มีสุขสลับกันไป มีได้ก็ย่อมมีเสียเป็นเรื่องที่แน่นอน หากเรารู้แล้วเข้าใจและน้อมนำสู่ใจ เมื่อเจอเหตุการณ์ เราคิดได้ทันเราปรับใจได้ทัน เราก็ไม่ต้องหวาดหวั่นกับเรื่องราวที่ผ่านเข้ามา เมื่อเรื่องราวภายนอกสามารถควบคุมได้เรื่องราวภายในที่เกิดขึ้นในจิตใจก็ยากที่จะบังเกิด ยากที่จะเข้ามาสู่ใจและทำร้ายใจเราได้ ฉะนั้นการที่เราจะควบคุมชีวิตของเรา ก็ควบคุมข้างนอกก่อนแล้วจึงป้องกันข้างใน เพราะข้างในใจเรา บางครั้งมองไม่เห็น ไม่มีรูปร่าง แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างนอกเราสามารถเห็น สามารถคาดเดาได้ เราสามารถพินิจพิเคราะห์ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แล้วเราจะรับมืออย่างไร หากข้างนอกเราป้องกันได้ดี มีหรือที่ข้างนอกจะมาทำร้ายจิตใจเราได้ แต่ถ้าข้างนอกเราป้องกันไม่ดี ข้างในเราไม่ดูแล ก็จะวุ่นวายและเกิดความทุกข์กับตัวเราได้ง่าย
บังเกิดเป็นวาจาคิดก่อนสามครั้งการทำอะไรโดยไม่คิด การคิดเพียงชั่วครู่แล้วกระทำ และการมองมุมใดมุมหนึ่งของตนเองโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างเป็นอันตรายหรือไม่ (เป็นก่อนที่เราจะกระทำเราต้องคิดไตร่ตรองให้รอบคอบถึงสามครั้งจึงยากที่จะผิดพลาดได้ เมื่อเรากระทำสิ่งใดนั้น บางครั้งเราไม่สามารถกระทำเพียงคนเดียว เราต้องมีผู้อื่นร่วมด้วย ซึ่งเราจะใช้แต่อารมณ์ของเราต่ออารมณ์ของเขาย่อมยากที่จะทำให้งานสำเร็จ การที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นนั้นเราจะต้องนำอะไรปฏิบัติต่อเขา หากเรานำความซื่อสัตย์ นำน้ำใจ นำคุณธรรมความจริงใจปฏิบัติต่อเขา การอยู่ร่วมกับคนอื่นหรืออยู่ร่วมกับคนในสังคม ก็ย่อมเป็นปกติสุขได้   ถ้าเกิดอยู่ร่วมกันเราไม่สนใจผู้อื่น หวังแต่ประโยชน์ส่วนตนจะเป็นอย่างไร เอาแต่ใจตนเอง ไม่ชอบสิ่งใดก็ไม่ทำสิ่งนั้น เมื่อรักสิ่งใดก็เอาแต่ทำสิ่งนั้น เช่นนี้ จะเป็นอย่างไร (ทำให้คนอื่นเดือดร้อน,ทำให้สังคมไม่ปกติสุข,ทำให้ไม่เกิดความสามัคคี) งานไม่บรรลุเป้าหมาย แทนที่เราจะได้มิตร เราก็ย่อมได้ (ศัตรูจากงานที่จะได้หนึ่งแรง อาจจะได้หลายแรง ถ้าเราทำกับเขาดีๆ ใช่หรือไม่ (ใช่กลายเป็นว่าเขาต้องทำคนเดียวและเดือดร้อนคนเดียวใช่หรือไม่ (ใช่)
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ถ้าวันนี้ ฟังธรรมะไม่รู้เรื่อง ข้าวไม่ต้องทานดีไหม การรบมีอยู่อย่างหนึ่งคือ ทุบหม้อข้าวทิ้ง แล้วหวังไปทานเอาดาบหน้า ทำให้เขามีความมุ่งมั่นและไปให้ถึงใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าเช่นนั้นวันนี้มาฝึกฝนกันหน่อยดีหรือเปล่า หากฟังธรรมะไม่รู้เรื่อง พูดไม่ได้แม้ประโยคหนึ่ง ก็ไม่ต้องทานข้าว  ไม่ต้องกลับบ้านดีหรือไม่
โลกสีขาวความยั้งคอยอำนวย หากมนุษย์อยู่ร่วมกันโดยรู้จักนำหลักสัจธรรมมาใช้ รู้จักนำหลักธรรมมาปฏิบัติต่อกัน ความสันติสุขและความร่มเย็นย่อมบังเกิดได้ แล้วสิ่งหนึ่งที่จะช่วยยับยั้งเราไม่ให้เป็นผู้กระทำผิด ยับยั้งไม่ให้เป็นผู้เบียดเบียนผู้อื่นและทำร้ายผู้อื่นได้ นั่นก็คือการมีมโนธรรมสำนึก หากทุกคนเมื่อดำรงชีวิตอยู่ มีมโนธรรมสำนึกอันดีงาม รู้จักความถูกต้อง รู้จักผิดชอบชั่วดี สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวยับยั้งไม่ให้เรากระทำชั่ว ไม่ให้เราเป็นคนที่เลวร้ายในสังคม ฟังดูง่ายแต่ทำยาก เพราะขึ้นชื่อว่าผลประโยชน์ ทรัพย์สิน เกียรติยศ พอมนุษย์ยกย่องว่ามีค่า ก็ยึดติดในความมีคุณค่าและยอมทิ้งคุณค่าของตนเพื่อให้ได้มาซึ่งคุณค่าแห่งทรัพย์สินและวัตถุ คุณค่าของมนุษย์ขึ้นอยู่กับทรัพย์สินและเกียรติยศหรือเปล่า (ไม่หากตอบว่าใช่ก็ไม่ถือว่าผิด ถ้าหากว่าผู้ที่มีทรัพย์สินนำทรัพย์สินและชื่อเสียงเกียรติยศนั้นมาสร้างสิ่งที่ดีงาม มาสร้างคุณค่าของการเป็นมนุษย์ที่แท้ให้กับผู้อื่นได้รับรู้ และแม้ว่าเราไม่มีอะไร ไม่มีแม้ชื่อเสียง เกียรติยศ จะเป็นคนไม่มีคุณค่าหรือ ก็ไม่ใช่ คุณค่าของคนก็คือการที่เราอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างปรกติสุข เขายอมรับเราและเรายอมรับเขา สรุปคือ การเป็นคนที่มีคุณค่า คือการมีชีวิตอยู่ไม่เพียงเพื่อตน แต่เพื่อช่วยเหลือผู้คน นำพาสิ่งที่ดีงามมาสู่สังคมและผู้อื่น ทุกๆ คนก็อยากเป็นคนที่มีคุณค่าและมีประโยชน์ ไม่ว่าอยู่กับใครก็อยู่ได้ ไม่ใช่ว่าอยู่กับคนนั้นได้ แต่อยู่กับผู้อื่นไม่ได้ บางครั้งเรามีชีวิตอยู่ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ไม่เคยช่วยเหลือใคร ไม่เคยทำร้ายใคร แต่บางครั้งก็มีผลสะท้อนกับสังคมเหมือนกัน หากสิ่งที่เรากระทำเราไม่สนใจสภาพแวดล้อม เช่น วันนี้เราอยากตัดต้นไม้ต้นหนึ่ง แต่เราไม่สนใจสภาพแวดล้อม ขณะนี้แทบจะไม่มีต้นไม้แล้ว เราจะทำเพื่อตน เรามองรอบข้างแต่มองภายในวงที่แคบเกินไปจะมองก็ต้องมองวงกว้างด้วย สมมติว่าตอนนี้สังคมหรือหมู่บ้านที่เราอยู่ต้องการไม้  แต่เราตัดไม้ทิ้งแล้วทำให้สังคมนั้นสงบสุข  แต่เราอาจทำให้โลกทั้งโลกนั้นขาดแคลนน้ำก็เป็นไปได้ บางครั้งดำเนินชีวิตอย่าคิดว่าไม่ส่งผลกระทบกับใคร บางครั้งก็มีผลกระทบกับคนรอบข้างหรือสภาวะแวดล้อมของโลกด้วย ทุกชีวิตล้วนเป็นผลของสังคม ฉะนั้นไม่ว่าเราจะขยับเขยื้อนเพียงนิด หากไม่คิดถึงสังคมไม่คิดถึงคนอื่นก็ย่อมเกิดอันตรายหรือเกิดความผิดพลาดได้ง่าย
ความผิดแม้เพียงเส้นผม หากปล่อยไว้นานก็ย่อมมากมายเป็นหมื่นลี้พันลี้ได้ มนุษย์มักชอบทำแม้ความผิดเล็กๆ น้อยๆ แต่ความดีอันเล็กน้อยเรามักไม่ชอบทำ จึงทำให้ความชั่วร้ายพอกพูนสูง ทำให้ความดีนอนนิ่งไม่เคยเพิ่มเติม แล้วตัวเราเป็นอย่างไร ร้ายหรือดี  ลองมองตนเองสักพักหนึ่ง แล้วถามตัวเองลึกๆ ว่า ตอนนี้หากเราต้องดับสิ้นไป เราจะขึ้นสวรรค์หรือลงนรก เราเป็นคนดีหรือเป็นคนร้ายกัน ขอให้เราลองคิดกันดู บางคนไม่เคยมองเลย ฉะนั้นเวลามองกระจกทีไร จึงมองเห็นแต่ภายนอกของตัวเอง มองไม่เห็นข้างในจิตใจเสียที จนกระทั่งเวลามีอารมณ์ร้ายหรือเกิดความรู้สึกย่ำแย่ในจิตใจ เราจึงจะมองเห็นตนเองได้  สิ่งศักดิ์สิทธิ์เคยพูดอยู่ครั้งหนึ่งว่า มนุษย์เมื่อเจอกับความทุกข์ยากจึงจะสามารถมองเห็นคุณธรรมได้ อย่ามองเห็นว่าความทุกข์นั้นต้องนำมาแต่ความทุกข์และความเศร้าตรม บางครั้งความทุกข์ก็ให้แง่คิด ทำให้เรามองเห็นความเป็นตัวของตัวเองดีขึ้น เมื่อเรามองเห็นแล้วก็คงไม่มองอย่างนิ่งเฉย ขอยกตัวอย่างให้เห็นเด่นชัดขึ้น นั่นก็คือ พระจันทร์ บางครั้งพระจันทร์เต็มดวงบางครั้งเว้าแหว่ง  เวลาเต็มดวงเรารู้สึกว่าพระจันทร์สวยเปล่งปลั่ง แต่ตอนที่เว้าแหว่งนั้นไม่สวย และถ้าเป็นจันทร์ที่มีสุริยคราสก็จะทำให้ดวงจันทร์นั้นมืดมนอับแสง มนุษย์ก็มักจะเคาะตีโห่ร้องขับไล่ความชั่วร้ายไปให้พ้น แต่เวลามนุษย์มีความชั่วร้าย ทำไมจึงไม่มีใจเฉกเช่นมองเห็นสุริยคราสบ้างเล่า กลับนอนนิ่งเฉยสบาย เพราะว่าเรามักไม่รู้ว่าตนเองหม่นหมองไป ทั้งที่จริงเราไม่ชอบความหม่นหมอง แต่เรามักมองไม่เห็นตนเอง เราจึงไม่สามารถรู้ได้ว่าตอนนี้ใจเราหม่นหมองเหมือนสุริยคราสหรือเปล่า รู้แค่เพียงตอนจันทร์เต็มดวงกับตอนที่เว้าแหว่งเท่านั้น จันทร์ที่เว้าแหว่งคือตอนที่จิตใจเรามีแต่ความโมโห มีแต่ความคิดที่ไม่ดี มีความคิดอิจฉาผู้อื่น เห็นผู้อื่นได้ดีแล้วไม่ดีใจ แต่พอจันทร์หม่นหมองไปทั้งดวงแล้วเรากลับไม่รู้เลย จริงๆ แล้วทุกคนคงไม่ชอบสุริยคราสและจันทร์ที่เว้าแหว่ง ความดีและความไม่ดีนั้นทุกคนก็มีอยู่ แต่มีกันอยู่คนละส่วนไม่ได้เข้าไปปะปนกันเลย แค่เหลื่อมล้ำและซ้อนกันเป็นภาพซ้อนเท่านั้นเอง หากเราลบภาพซ้อนอันเลวร้าย ขับไล่ความเลวร้ายที่เป็นสิ่งไม่ดีในจิตใจได้ เราก็จะพบจิตใจอันสว่างไสว จริงๆ แล้วทุกท่านมีจิตใจอันดีงามอยู่ แต่เป็นเพราะมีภาพซ้อนแห่งความเลวร้าย ทัศนคติและประสบการณ์อันเลวร้ายมาทับถมจิตใจ หากเราล้างได้ปล่อยวางได้  เริ่มต้นวันนี้กระทำแต่สิ่งที่ดีงาม สิ่งที่เลวร้ายนำมาเป็นบทเรียน ที่สำคัญอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ต้องมองให้เห็นตนเองก่อนว่าตนเองมีความเลวร้ายหรือไม่ เมื่อไรที่เรามองเห็นก็ย่อมง่ายที่จะขจัดความเลวร้ายทิ้ง แต่ถ้าตัวเรามองไม่เห็นสิ่งเลวร้ายในตนแล้วเราจะขับไล่อะไร  เหมือนการออกรบ ท่านออกรบก็เพราะเห็นศัตรูมาถึงที่แล้ว แล้วเมื่อรบเราก็ต้องพร้อมอยู่เสมอ หากศัตรูมาถึงที่แล้วเราเอาแต่นอน เอาแต่ปล่อยจิตปล่อยใจ เอาแต่ปล่อยให้กิเลสสิ่งชั่วร้ายมาอยู่ในจิตใจ เวลาไปรบเราก็ต้องแพ้ใช่หรือไม่  แต่ทุกขณะชีวิตถ้าเรารู้จักปกป้องควบคุมดูแลตนเองและนำพาชีวิตของตนเอง เวลามีอันตรายหรือภัยเกิดขึ้น มีเรื่องราวเกิดขึ้นมา เราก็ง่ายที่จะตั้งรับและต่อสู้ มองเช่นนี้ไม่ยากเลย ชีวิตก็เหมือนกับการรบ แต่รบทุกครั้งต้องชนะทุกครั้งหรือไม่ บางครั้งต้องแพ้ แต่แพ้เพื่อชนะใจตนเอง ไม่ใช่ว่าชนะแล้วเอาแต่ชนะอย่างเดียว การเป็นผู้ชนะตลอดก็ใช่ว่าจะเป็นผู้ชนะที่แท้จริง
ความฉลาดนั้นฤๅพาคืนฟ้าคนที่เป็นคนฉลาดไม่เคยเสียสละให้ใคร  ไม่เคยยอมแพ้ใครและไม่เคยทำอะไรให้ใคร ในโลกนี้มีมากไหม (มากบนฟ้ามีมากไหม แทบจะไม่มีเลย บนฟ้าส่วนมากเป็นคนเช่นไรที่สามารถคืนฟ้าได้ คนที่อยู่บนฟ้าได้เป็นคนเสียสละเท่าที่ตนเองเสียสละได้ บางครั้งเสียจนไม่มีอะไรจะให้เสีย ยอมเสียสละแม้แต่ตัวตนเอง คนเช่นนี้จึงสามารถกลับคืนเบื้องฟ้าได้  คนที่โง่ ซื่อๆ กลับคืนเบื้องฟ้าได้ไหม (ได้คนที่ฉลาดไม่ยอมแพ้ใคร ยังไม่ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์เลย
มนุษย์เราสามารถดำรงชีวิต สามารถที่จะกลับคืนเบื้องฟ้าได้ไหม บอกให้โง่ก็ไม่ยอม ให้เสียสละก็ไม่ยอม พอจะเสียสละก็คิดแล้วคิดอีกเสียไปก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย พอจะให้ก็ให้บ้างไม่ให้บ้าง แล้วจะขึ้นฟ้าได้ไหม ขึ้นไปสักพักก็ตกลงมาแล้ว  การดำรงตนก็สามารถทำให้เรารู้ว่าตนจะเป็นเช่นไร ไม่ต้องไปดูหมอ ไปดูโหราศาสตร์ ตอนนี้เป็นอย่างไรทำเช่นไรผลก็เป็นเช่นนั้น อยากเป็นคนโชคดีมีความสุข แต่ทุกวันเอาแต่เบียดเบียนทำร้ายคนจะมีความสุขได้หรือไม่   อยากมีความสุขหรือเปล่า เบียดเบียนทำร้ายใครหรือไม่ ไม่ทำร้ายเขาแต่พรากชีวิตเขา พรากอย่างไรบ้าง (ทานเนื้อสัตว์ทำร้ายเขาเบียดเบียนเนื้อเขาหรือบอกว่าสัตว์เล็กเกิดมาให้สัตว์ใหญ่กินเป็นเช่นนั้นหรือเปล่า  ช้างเปลี่ยนจากกินอ้อยมากินท่าน ก็โกรธไม่ได้  ถ้าเสือออกมากินคน ท่านก็โทษเสือไม่ได้ เพราะเล็กกว่า  ให้คนที่เข้มแข็งกว่าข่มเหงคนที่อ่อนแอกว่าให้คนที่ไม่มีทางสู้ถูกรังแกถูกพรากชีวิต ท่านเองก็ไม่ต้องการให้ใครมาทำกับท่านเช่นนี้ใช่หรือเปล่า (ใช่ทำไมจึงทำ เขาไม่มีแรงต่อสู้ ไม่มีเสียงให้ท่านได้ยินก็เลยพรากเขาไป โดยพื้นฐานของจิตใจเมื่อเห็นเขามีชีวิตเป็นอย่างไรก็ทนไม่ได้ต้องเห็นเขาตายต่อหน้าต่อตา เมื่อเห็นได้ยินเสียงเจ็บปวดทรมาน แต่ทำไมคนบางคนแม้เขาตายต่อหน้าก็สามารถทนเห็นได้ แม้เขาโอดครวญต่อหน้าต่อตาก็ทนเห็นได้เพราะอะไร (หิว,อยาก,ความเห็นแก่ตน) เพียงเพราะเสียงท้องร้อง ท้องจึงใหญ่มากกว่าความมีเมตตา บางครั้งก็ติดรสเพียงแค่ลิ้นที่สั้นๆ นี้ จึงยอมแม้กระทั่งทำร้ายและเบียดเบียนคนอื่น
 เวลาคนอื่นทำร้ายเรา การที่จะให้เรายอมอภัยให้ง่ายๆ จะยอมไหม (ไม่ยอม) กำปั้นมากำปั้นตอบ ขามาก็ขาตอบ บางทีมาขาเดียวกลับไปสองขา อย่างน้อยต้องเอาให้หายเจ็บใจใช่หรือไม่ (ใช่บางครั้งเมื่อโดนกรรมเข้ากับตัวเองเมื่อถูกเคราะห์ร้ายกับตัวเองบ้างเราอย่าได้โทษเขาเลย ต้องรู้จักให้อภัยและยอมรับชะตากรรมกับสิ่งที่ตนเองเคยกระทำมา ต้องยอมรับความเป็นจริง  ผู้ที่ยอมก้มรับความเป็นจริงผู้นั้นจะสามารถอยู่บนโลกนี้ได้อย่างแท้จริง หากคนที่อยู่บนโลกนี้ไม่ยอมรับอะไรได้ง่ายๆ ยึดมั่นแต่ความเป็นตัวของตัวเอง และความสามารถของตัวเองก็อยากที่จะมีชีวิตอย่างปกติสุขหรืออยู่บนโลกนี้ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสันติสุข ทุกคนต่างมีประสบการณ์ชีวิตมาต่างกันไป บางครั้งสอนให้รู้ว่าชีวิตต้องสู้เพื่ออะไร บางคนสู้เพื่อธำรงคุณธรรม ความดีงาม แต่บางคนสู้เพื่อปากท้อง บางคนสู้เพื่อให้ได้ทรัพย์สินมากมาย แต่แท้จริงแล้วที่หามาได้ เตียงก็นอนแค่นี้ ห้องก็อยู่เพียงเท่านี้เงินก็หยิบได้จำกัด บางครั้งปล่อยได้ก็ต้องรู้จักปล่อย ชีวิตมีโอกาสต้องรู้จักสร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้โอกาสแก่ตัวเองประกอบกรรมดีบ้าง จึงมีสำนวนกล่าวไว้ว่า เมื่อมีความดีมาอยู่ตรงหน้าก็อย่าชักช้าที่จะรีบฉกฉวยกระทำ แม้คนนั้นจะเป็นอาจารย์ ก็ไม่ยอมน้อยหน้าในการกระทำต้องพร้อมที่จะปฏิบัติธรรม ไม่ใช่บอกว่าพอมีโอกาสได้ทำดี อาจารย์ทำก่อน พ่อแม่ทำก่อน โอกาสทำได้ก็ทำดีเป็นศรีเป็นศักดิ์แก่ครอบครัวเป็นความภาคภูมิใจของ พ่อแม่อีกต่างหาก  เมื่อมีโอกาสทำดีเร่งรีบกระทำไม่เสียหายใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อขึ้นชื่อว่าคนแล้วก็ย่อมมีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายสิ่งดีสิ่งร้าย บางครั้งยากที่จะอภัยให้กับคนอื่น  แล้วท่านมีสิ่งเลวร้ายไหม (มี) ให้อภัยตัวเองหรือเปล่า (ให้เมื่อคนอื่นเลวร้ายแล้วไม่ให้อภัย แต่ตัวเองเลวร้ายให้อภัย แสดงว่าไม่ยุติธรรม ไม่เที่ยงธรรม ไหนบอกว่ารักความยุติธรรม รักความถูกต้อง  แปลว่าไม่รักคนอื่นแต่รักแต่ตัวเอง เป็นคนลำเอียงใช่หรือไม่ (ใช่บางครั้งให้อภัยตนเองได้ก็ต้องพร้อมให้อภัยคนอื่นได้ เมื่อรู้ว่าตนเองยังเป็นคนดีไม่พอ ยังมีร้ายบ้างดีบ้าง บางครั้งคนอื่นก็เช่นเดียวกัน หากเราพร้อมที่จะให้อภัยเขา เมตตาเขาก็ย่อมเป็นสิ่งที่ดี  บางครั้งเมื่อให้อภัยแล้ว บอกว่าให้อภัยแต่ภายในใจยังจำได้แม่นยำว่า เคยว่า ผ่านไปสิบปีก็จำได้  พร้อมที่จะขุดออกมาได้ทุกเมื่อ แม้ว่าจะไม่ดีขึ้นอย่างไร จะมีดีขึ้นมาเมื่อใดก็ไม่สนใจ ยังจำได้ไม่ยุติธรรมเลย เป็นคนที่อภัยไม่แท้จริงเป็นคนหลอกลวงเพียงสีหน้าวาจา แต่ภายในใจยังแฝงสิ่งชั่วร้ายของคนอื่นไว้เต็มเม็ดเต็มหน่วยใช่หรือไม่ (ใช่) คนทุกคนมีใจเหมือนมีหลุม อยู่ร่วมสิบคนก็มีหลุมสิบคน หลุมของแต่ละคนล้วนแต่สะสมสิ่งที่ไม่ดีเน่าเหม็นทั้งนั้น  การปลูกฝัง หรือนำสิ่งที่ไม่ดีไว้ในใจในกายหรือใจของเรานั้นเป็นสิ่งที่ดีหรือเปล่า (ไม่ดี) ใจที่เต็มไปด้วยสิ่งที่เน่าเหม็นก็เป็นใจที่เน่าเหม็น อยากเป็นใจที่ดีงามบริสุทธิ์ก็ต้องบรรจุแต่สิ่งที่ดีงามของคนอื่นไว้ ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่เลวร้ายก็คิดว่าเป็นบทเรียน จะไม่มีเช่นเขา แต่ไม่ใช่เอาความเลวร้ายของเขามาเป็นข้อเหตุการณ์และจำไว้ว่าเมื่อเจอหน้าเขา เป็นคนชั่วร้าย อย่างนี้ไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ไม่ใช่ปลุกทีจึงตื่นทีนะ ผ่านไปอีกสองสามวันก็หลับต่อ แม้จะตื่นวันนี้แต่ถ้าต่อไปไม่คิดตื่นอย่างนี้ก็เปล่าประโยชน์ มาแล้วต้องได้ธรรมกลับไป และต้องสามารถทำได้ด้วย  ถ้าท่านทำได้ก็ดีต่อตัวเอง แม้เราจะพูดผิด แต่ถ้าท่านรู้จักกลั่นกรองสิ่งที่ถูก ท่านก็ย่อมได้รับสิ่งที่ดีไป
ฝึกปัญญาเมตตาความกล้าไม่เดียวดาย ยามฝึกร่วมอาการใจสิ้นอัตตา
เมื่อเราอยู่ร่วมกับคนอื่นหรือสังคมอย่าใช้ความเป็นตัวของตนเองวัดความเป็นคนของเขา อย่ายึดในความคิดของตนเองจนเกินไป แล้วทำให้เขาไม่สามารถเป็นตัวของตนเองได้ บ่อยครั้ง ที่เรามักหวังให้เขาเป็นคนดีอย่างที่เราคิด แต่บางครั้งเราก็ยึดความเป็นตัวของตนเอง จนทำให้เขาไม่มีอิสระที่จะคิด ฉะนั้นเวลาอยู่ร่วมกันต้องให้อิสระกับเขาบ้าง เราไม่ชอบถูกกักขังอย่างไรก็อย่าไปกักขังคนอื่นให้ต้องเป็นอย่างนั้น เราต้องลดอัตตาความเป็นตัวของตนเองลงไปบ้าง จึงจะสามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างสนิทและกลมกลืน  หากอยู่กับคนอื่น ฉันก็มีความคิดของฉัน เธอก็มีความคิดของเธอ ก็ย่อมอยู่ร่วมกันไม่ได้  ยอมกันได้ก็ยอม ไม่เสียหลายใช่ไหม แต่บางครั้งเรามักจะปฏิบัติต่อกันไม่ถูกต้อง เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่มีธรรมะแล้ว พอเห็นคนร้ายก็ใช้ธรรมะตอบ อย่างนั้นบางครั้งก็ไม่ถูก พอเห็นความไม่ถูกต้องเราต้องใช้ความเที่ยงธรรมตอบ พอเห็นคนดีเราต้องรู้จักนำความดีตอบ  เห็นใครทำไม่ถูก ไม่ใช่เราใจอ่อนโอนอ่อนผ่อนตามเขา เมื่อเขาทำไม่ถูกเราต้องชี้ให้เขาเห็น  เมื่อคบกับคนที่ถูกเราก็ต้องดำรงความถูกต้อง ไม่ใช่ปล่อยปละตัวเองไป  การอยู่ร่วมกันเป็นการฝึกฝนและขัดเกลาจิตใจตนเอง สามารถทำให้เรารู้จักตนเองหรือทำให้เราเลวร้ายยิ่งขึ้นกว่าเดิมก็เป็นได้ ฉะนั้นเวลาอยู่ร่วมกับคนในสังคมเป็นธรรมดาที่เราต้องฝึกฝนตนเองว่าอยู่ร่วมกับเขาได้เป็นปกติสุขไหม อยู่ร่วมกับเขาสามารถนำพาไปสู่สิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่แต่ก่อนเราเป็นคนมีคุณธรรม ไปๆ มาๆ กลายเป็นคนไร้คุณธรรมแปลว่า สิ่งที่เราอยู่ร่วมกับเขา เรานำไปปฏิบัติต่อเขาไม่ถูก ไม่ใช่เขามาสู่เราไม่ถูก
เข้าใจกันจึงสามารถบังเกิดสุข     บังเกิดทุกข์จึงสามารถเดินทั่วหล้า
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นอธิบายกลอน)
(นักเรียนตอบ : เหมือนกับคนที่เป็นทุกข์คิดไม่ตกเดินคิดไปเรื่อยๆ คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ตกก็เดินไม่หยุด) เวลาคนเรามีความทุกข์ไม่สบายใจ บางทีแก้ไม่ได้ก็เดินคิดไปเรื่อยๆ แล้วถ้าในความหมายแฝงละ เพราะบางทีเราศึกษาสมุดเล่มเดียวก็รู้เกือบทั่วโลกเลยใช่หรือไม่ บางทีความคิดของเราก็แล่นไปเกือบทั่วโลก ทั้งเหนือใต้ออกตก (นักเรียนตอบ : เวลาเกิดสิ่งที่เราไม่สบอารมณ์มีทุกข์ใจ จิตของเราก็จะนึกไปได้ถึงสวรรค์ ถึงนรก ถึงพระ ถึงมารคนเราบางครั้งเวลาทุกข์ใจก็คิดจนตัวเองลงต่ำได้ บ่อยครั้งเวลาที่เราทุกข์ท้อใจผิดหวัง ถ้าไม่คิดไปทางดีก็คิดไปทางร้าย เพราะรู้สึกว่าการไหลลงต่ำนั้นง่าย ในเมื่อทำดีแล้วไม่ได้ดีตามที่คนอื่นต้องการตามที่ตนเองต้องการ ก็ปล่อยตัวเองเลวร้ายเลย อย่างนี้ไม่ถูกต้อง
อยู่บนโลกนี้เรายากที่จะอยู่คนเดียวได้ตลอดเวลา ส่วนใหญ่เราต้องอยู่ร่วมกับคนอื่น ไม่ครอบครัวก็สังคม เวลาอยู่ร่วมกัน เมื่อเรามีความสุขยินดีปรีดาเขาก็รู้สึกว่าเป็นสุขกับเราไปด้วย แต่บางครั้งเวลาเราทุกข์เราเหมือนอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีใครทุกข์กับเรา เมื่อเวลาเราทุกข์เราต้องรู้จักคิดพิจารณาหาสาเหตุของความทุกข์ให้เจอ เหมือนที่พุทธองค์เคยสอน เมื่อพบเหตุให้ดับที่เหตุไม่ใช่ดับที่ผลที่เกิด เราทุกข์เพราะว่าใจเราไปสัมผัสและตระหนักรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น เราทุกข์เพราะเราคาดหวังอยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หากเราปล่อยความพลาดหวังเสีย ไม่ไปสัมผัสกับเรื่องราวภายนอกมาก เราก็คงไม่ทุกข์มาก หากใจเราไม่คาดหวังและต้องการมาก เราก็คงไม่ต้องทุกข์และเสียใจมาก หากทุกข์มาเราก็เฉยๆ มีอารมณ์รับรู้และสามารถรับได้ทัน สุขมาเราก็ยินดีปรีดาอย่างพอเหมาะ ไม่หลงระเริงจนเกินไป ก็คงมีชีวิตที่เป็นสุขมาก คงเป็นสุขที่แท้จริงไม่ขึ้นๆ ลงๆ ตามคำว่าทุกข์และสุขที่เรากำหนดในจิตใจ บ่อยครั้ง ที่เรากำหนดว่าความสุขของเราก็คือ การได้ในสิ่งที่ต้องการ การสมหวังในสิ่งที่ปรารถนา เมื่อเราไม่ได้และไม่สมหวัง นั่นแหละเรียกว่าทุกข์ จริงๆ แล้วกำหนดอย่างนี้ไม่ถูกต้อง สำหรับเราเมื่อไม่ได้สิ่งนี้เป็นทุกข์ แต่สำหรับคนอื่นเมื่อไม่ได้สิ่งนี้อาจเป็นสุขก็ได้ เช่น มีคนๆ หนึ่งเป็นคนธรรมดาไม่ได้ร่ำรวย พอมีวันหนึ่งมีคนให้ผักเขามามากมาย แล้วเขาได้ผักเหล่านี้มาทำอาหาร ถ้าเปรียบเทียบกับมื้อก่อนๆ แล้วก็มากกว่ามื้อที่เขาเคยมี เขาก็เลยรู้สึกว่าอาหารมื้อนี้เป็นมื้อที่อร่อยที่สุดในชีวิต เขาคิดว่า การกินอาหารเช่นนี้แล้วปรุงด้วยรสเช่นนี้ น่าจะนำไปทูนถวายกับฮ่องเต้ น่าจะนำไปทูนถวายกับผู้ที่มีบรรดาศักดิ์ เพราะว่าทำแบบนี้กินแล้วมีความสุข แต่ภรรยาของเขากลับขำ เพราะเขาบอกว่ามื้ออย่างนี้ของท่านที่ท่านเรียกว่ามีความสุขที่สุด นั้นถ้าไปเทียบกับคนที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ที่มีอาหารกินเหลือเฟือ กลับเป็นมื้อที่มีความทุกข์ที่สุด ฉะนั้นสุขที่เราเรียกว่าสุขที่สุดนั้นแท้จริงแล้วอาจไม่ใช่สุขที่แท้จริงก็ได้ สุขที่เราติดและคาดหวังว่าจะต้องเป็นอย่างนี้แล้วจึงเรียกว่าสุข บางทีถ้าไม่เป็นเช่นนั้น เราก็อาจยิ้มได้ก็เป็นได้ เพราะความสุขที่แท้จริงนั้น คือ สุขที่สงบ สุขที่สันติ สุขที่ปราศจากการได้มาด้วยการดิ้นรนการแสวงหาและการทำร้ายจิตใจที่ดีงามของตนเองต่างหาก เหมือนแมลงที่บอกว่าดอกไม้ดอกนี้มีน้ำหวานเต็มเลย แต่ถ้าแมลงเงยหน้าขึ้นมาดูอีกสักนิดหนึ่ง เขาอาจจะเห็นว่ามีดอกที่ใหญ่กว่าและมีน้ำหวานมากกว่าก็เป็นได้ วันนี้ทุกท่านคิดว่าความสุขที่พบในขณะนี้เพียงพอแล้ว แต่ถ้าคิดกันให้ลึกๆ ความสุขที่แท้จริงไม่ได้อยู่บนโลกนี้ ไม่ใช่สุขจากรูปทรัพย์ เกียรติยศหรือความพอใจ แต่ความสุขที่แท้จริงนิจนิรันดร์ได้จากความสงบที่ปราศจากการแสวงหาดิ้นรนและการเบียดเบียนผู้อื่นและเบียดเบียนทำร้ายคุณธรรมในตนเอง ชีวิตที่เราคิดว่าสุขทุกข์ แท้จริงอาจไม่ใช่สุขและทุกข์ก็ได้ อย่ายึดติดในความคิดและปัญญาอันนี้จนเกินไป เพราะจะทำให้เรายากค้นพบความแท้จริงแห่งชีวิต
เข้าใจความหมายของการพายเรือธรรมหรือไม่ โลกนี้เปรียบเหมือนทะเลทุกข์ คนที่ยังไม่พบฝั่งก็คือยังเวียนว่ายอยู่ในทะเลทุกข์ การได้รับธรรมก็คือได้ขึ้นเรือเพื่อกลับคืนสู่ฝั่งนิพพาน เมื่อรับธรรมไปแล้วจะนิ่งเฉยไม่ศึกษาได้หรือเปล่า แล้วเมื่อมีโอกาสก็ทำอย่างไร (นำไปปฏิบัติ, ไปช่วยเขา) ถ้าทำทั้งสองอย่างดีหรือไม่ นั่นก็คือ เรียกร้องเขาได้ ก็ต้องเรียกร้องตัวเองได้ด้วย ก่อนที่จะเรียกร้องให้ผู้อื่นเป็นคนดีกระทำดี ก่อนที่จะเรียกร้องให้สังคมเที่ยงธรรมยุติธรรม เราก็ต้องเรียกร้องตัวเองด้วย เราเรียกร้องอยากให้เขาดีต่อเราแต่เราไม่เคยดีต่อเขาอย่างนี้ก็ไม่ถูก ฉะนั้นเมื่อรู้แล้วว่าการศึกษาและการบำเพ็ญธรรม คือ การอบรมขัดเกลาจิตใจตนเอง นำตนเองไปสู่แสงสว่าง เมื่อตนเองรู้ก็ช่วยผู้อื่นให้รู้ด้วย นั่นก็คือ ฝึกจิตใจเปิดเมตตา  แม้ไฟของตะเกียงจะหมดแล้ว แต่ก็ยังส่งต่อให้แสงเทียน แม้ไฟในตัวเราจะหมดแล้ว เราก็ยังสามารถส่งต่อไฟแห่งจิตใจของเราไปยังรุ่นลูกรุ่นหลานได้ ไฟในที่นี้คือ ปณิธานความมุ่งมั่นที่จะกระทำสิ่งดี ทำไมในโลกนี้ไม่ว่ายุคสมัยใด พูดเรื่องความดีไม่เคยล้าสมัย เพราะไม่ว่ายุคสมัยใดความดีและคนดีเป็นที่ต้องการของทุกคน ความดียังคงอยู่ก็เพราะว่ารุ่นก่อนเป็นแบบอย่างและสอนรุ่นหลังมา แล้วเราอยากให้ความดีหมดแค่รุ่นเราเพียงเท่านี้หรือ ถ้าไม่อยากเราก็ต้องรู้จักส่งต่อไฟแห่งความมุ่งมั่นแห่งการกระทำดีดวงนี้ให้คงอยู่นิจนิรันดร์
สิ่งที่ขอย้ำเตือนก่อนจากกัน ขอให้นำไปพิจารณาให้ดีว่าเป็นหลักธรรมที่หลอกลวงหรือไม่  หรือคำพูดที่พูดมาต้องการแสดงละครตบตาหรือเปล่า หากคิดเช่นนั้นก็คงยากที่จะห้ามความคิด ขอให้คิดว่าแม้จะพูดไม่ดี หรือพูดแล้วน่าคิด  ขอให้นำเอาไปใช้ วันนี้ที่มาอาจจะไม่ถูกใจใครไปทุกคน อาจจะคิดเห็นตรงบ้างไม่ตรงบ้าง แต่การอยู่ร่วมกันในสังคม หรือการมีชีวิตอยู่ในสังคมต้องรู้จักกลั่นกรองสิ่งที่ดีงามนำมาสอนนำมาสู่จิตใจ อะไรเลวร้ายหากจิตใจไม่พันผูกไม่สัมผัสไม่รับรู้ก็ยากจะมีผลต่อจิตใจได้  อยากมีสันติสุขสู่จิตใจ สู่บ้านเรือนต้องรู้จักนำคุณธรรมนั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์  ใช่หรือไม่ (ใช่ที่ใดที่ปราศจากความเคืองแค้นมีแต่ความเป็นมิตรกัน มียิ้มแย้มกัน ที่นั่นก็คือที่การรู้จักนำน้ำใจไมตรีให้แก่กัน แม้เขาจะผิดบ้างทำพลาดบ้างพร้อมที่จะให้อภัย อยากให้ที่อยู่เป็นเช่นไรก็ขึ้นกับทำกระทำเช่นไรกับที่นั้นง่ายไหม (ง่าย) หากอยากให้บ้านเป็นบ้านที่มีความผาสุก เราก็นำความผาสุกนำคุณธรรมแห่งความผาสุกแห่งความร่มเย็นมาใช้ หากต้องการอยู่กับเพื่อนด้วยความสันติสุขปราศจากความโกรธแค้นชิงชังกัน มองหน้ากันไม่ติด คือต้องรู้จักนำอะไรมาใช้เพื่อไม่ต้องพบเจอสิ่งนี้การนำน้ำใจอันดีงาม การให้อภัยมาใช้ อยากให้เขาเคารพ ศรัทธา ต้องมีสัจจะแล้วสร้างความเมตตาให้กับเขา  เขาจึงเคารพนับถือเรา ศรัทธาเราได้
คุณธรรมหากใครรู้จักน้อมนำไปปฏิบัติได้ คนนั้นย่อมเป็นผู้ที่ค้นพบความผาสุกในชีวิตได้  คุณธรรมอย่ามองเพียงแค่จารึกในหนังสือ หรือปรากฏในพระคัมภีร์ พระไตรปิฎก  คุณธรรมสามารถค้นพบได้ในจิตใจแห่งความเป็นคนอันเที่ยงตรง ยุติธรรม ไม่ลำเอียง ไม่เข้าข้างตนก็จะพบคุณธรรมที่แท้จริงในตัวตนได้   ให้หมั่นย้อนมองหมั่นตรวจสอบดูตน อยากกลับไปแดนนิพพานหรือไม่ (อยากแม้จะยาก แต่ถ้าเกิดยอมทุกข์มากแล้วก็ต้องไปให้ถึง
ในประวัติศาสตร์ ทหารที่มีขวัญกำลังใจในการต่อสู้ ก็คือทุบหม้อข้าวให้แตก ทำให้เขามีกำลังใจ ฮึกเหิม เพื่อที่จะต่อสู้ เพื่อที่จะได้กินข้าว หากวันนี้เป็นคนดีไม่ได้ก็จะไม่ยอมทานข้าวดีหรือไม่   บางครั้งเวลาทำดีมักจะไม่ได้ผลดีตอบแทน แต่คนที่ทำดีแล้วหากต้องตกในอันตราย หากยังรักษาความดีเช่นเกลือรักษาความเค็มอันตรายนั้นก็ยากจะมาทำร้ายตัวเราได้ใช่หรือไม่ (ใช่แม้จะอยู่ในเหตุที่ทำให้เกิดความผิดพลาด ความผิดพลาดนั้นก็ยากมาสู่เขาได้  ความดีแม้จะได้รับผลช้า แม้จะได้รับทุกข์เพียงเล็กน้อย ก็คงไม่ท้อถอยในการทำความดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)   เพราะเราได้ตั้งใจและมุ่งมั่นไปให้ถึง  หากมนุษย์มีความมุ่งมั่นจะไปให้ถึงซึ่งความดี มีหรือความชั่วร้ายจะเกิดขึ้นในจิตใจ หรือตัวเราได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) หากมุ่งมั่นไปให้ถึงต้องปกป้องและรักษาความดีนี้ไปตลอด หากปกป้องรักษาความดี ความดีก็ไม่สูญหายไปจากตัวเรา  หากเป็นผู้รักษาความดีดำรงความดีให้ถึงที่สุดนั่นแหละคือการบำเพ็ญธรรม คือคนที่สามารถเป็นพุทธะได้  แต่ถ้าหากเป็นพุทธะมีความเมตตา มีโอกาสได้ช่วยเหลือ ดึงเขาไปด้วย ดีหรือไม่ (ไม่สุขคนเดียวคงไม่เท่ามีมหาชนร่วมสุขด้วย วันนี้ก็คงเท่านี้พร้อมที่จะขึ้นหรือเปล่า พร้อมที่จะทุบหม้อตัวเองหรือไม่ คือมุ่งหมายให้ไปให้ถึงซึ่งความดี ไม่ยอมแพ้และไม่ท้อถอย  แล้วเราจะไปพบกันเบื้องบน อย่าได้ไปติดยึดในรูปลักษณ์ ทรัพย์สิน สิ่งที่เป็นของปลอมอย่าได้ไปยึดติดผูกพันมาก ความผูกพันที่เราควรรักษาก็คือรักษาพุทธะจิตและค้นพบความเป็นพุทธจิตแห่งพุทธะให้เจอ เมื่อไรที่ค้นพบเจอก็จะได้กลับเป็นพุทธะได้ แม้จะเป็นคนไม่ดีมาก่อน แต่นับจากนี้ไปจะต้องเป็นคนดีให้จงได้ ดีหรือไม่ (ดีขอให้ตั้งใจและมุ่งมั่นไปให้ถึง
ขออำนวยชัยและอำนวยพร ให้ทุกท่านเป็นคนดีและเป็นคนที่ค้นพบความเป็นพุทธะให้จงได้ สิ่งใดเลวร้ายที่เคยผ่านมา ขอให้เป็นบทเรียนที่ดี  ใครที่เคยถูกทำร้ายทำให้ผิดหวังเสียใจ อย่าได้ท้อแท้ให้คิดว่าเป็นพลังในการต่อสู้ เป็นบทเรียนที่ดีงามและมีค่าต่อชีวิต แพ้ครั้งนี้จะไม่แพ้อีกต่อไป จะต้องเอาชนะใจตนเองให้ได้







วันอาทิตย์ที่ ๑๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

     สลัดคราบปุถุชนสู่พุทธะ             ต้องมานะอดทนใจเข้มแข็ง
มิหวาดกลัวน้ำตามาทิ่มแทง            รู้พลิกแพลงด้วยปัญญาอันเฉียบคม
                   เราคือ
     จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา                  ลงสู่โลกมนุษย์  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                ถามศิษย์รักทุกคนง่วงนอนหรือเปล่า

ไฟมิส่งต่อเทียนจุดอย่างไร               ต่างเวไนยเข้าใจกันย่อมอ่อนข้อ
จากใจไร้คำกล่าวอันละออ              แต่กว้างพอย่อมปูทางอำไพ
ชมโลกกว้างทัศนามาหลายจบ         แต่คืนสงบโลกนี้กลับไร้
เกิดเป็นคนชีพสั้นพลันเวียนว่าย       อย่าระบายอารมณ์กิเลสตามใจพึง
ชีวิตนี้มีค่ายิ่งกว่าสิ่งใด                    รู้จักใช้เกิดคุณค่าอย่างทั่วถึง
อันเวลาแบ่งให้เป็นรู้คะนึง               ใจเป็นหนึ่งตื่นจากฝันอันยาวนาน
สามัคคีกันเถิดนะศิษย์น้อยเอ๋ย         อันนิสัยความคุ้นเคยทำลายสมานฉันท์
อาจารย์นี้มองดูศิษย์อยู่ทุกวัน          มิเท่าทันใจตนเองสักเวลา
อยู่ด้วยกันฉันท์พี่น้องมีค่ายิ่ง            ทุกทุกสิ่งจะเป็นเรือสู่เบื้องหน้า
ต่างคนดีไยอยู่ร่วมยากยิ่งนา            ทำงานฟ้าใจใช่ฟ้ายากเดินไกล
แดนโลกีย์เป็นทางผ่านอย่าหลงเลย   อย่าละเลยมองใจตนเปี่ยมความหมาย
อายตนะพาศิษย์ให้วอดวาย            ศิษย์อาจตายทั้งเป็นถ้าไปหลงเพลิน
อาจารย์ฝากศิษย์เอ๋ยดีต่อกัน           รู้บากบั่นมองใครไม่มองผิวเผิน
การเจอกันรู้จักกันใช่บังเอิญ            อยากจะเดินร่วมทางเลือกมอบสิ่งดี
                                                                                 ฮา   ฮา    หยุด

          คนที่เป็นหนึ่งใครว่าเป็นสุข ความทุกข์ช่างเหน็บหนาว เมื่อยืนที่สูงเกินไป อ่อนน้อมลงก่อน รับฟังกันทุกสิ่ง หลีกเลี่ยงเรื่องความจริงถึงจนใจ
          วันนี้ไม่อาจดึงให้คงอยู่ ชีวิตที่เลิศหรูก็ทำได้เพียงแค่วาดเอา ความฝันความสุข ดั่งเมฆาแสนเบา อย่าเฝ้าวนวกแล้วไม่ตื่นใจ
     *    เฝ้าเตือนเจ้ารู้ทัน เจ้าจงได้รู้ทัน ประมาทหนึ่งวันห่างออกไป
     **  หากยังแสวง ความทุกข์ก็ยังอยู่มั่นคง น้ำตาลง ร่วงไหลไม่เคยจะเข้าใจ ปลดปลงมายาร้อยพัน ไม่เพียงความทุกข์จางไป ฟ้านั้นก็แปรสว่างไสว
     *** ไม่ติดแสวงลาภยศจอมปลอมสิ่งนอกกาย ไม่นำพาลาภยศเงินทองสิ่งล่อใจ ที่เคยกังวลลดลง มั่นคงก็เพราะมั่นใจ มองย้อนใจตนมีกิเลสไหม ขจัดไป (ซ้ำ *,**,***)
                                                         ชื่อเพลง  ยิ่งแสวงยิ่งตีจาก
                                                                ทำนองเพลง : แค่มีเธอ
                                                                                              
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


ตอนนี้ชีวิตของเรานั้นรีบๆ เข้ามาแล้วใช่ไหม ตอนนี้เวลาของเราเหลืออีกเท่าไหร่ ถ้าหากว่าวัยรุ่นก็เหลือครึ่งหนึ่งใช่หรือเปล่า แต่ถ้าหากอายุมากแล้วก็เหลือน้อย น่ากลัวไหม เพราะฉะนั้นเราจะทำอะไรดี ช่วงนี้เราจะต้องบำเพ็ญให้จริงๆ บำเพ็ญแบบสามวันดีสี่วันไข้ได้ไหม  (ไม่ได้วันนี้ขยันหน่อยก็มาสถานธรรมพรุ่งนี้ไม่ขยันแล้วก็เดินช้าๆ  แต่อย่าหยุดเดิน ถ้าวันไหนเราขยันเราก็รีบเดินแต่ถ้าให้ดีไม่ควรมีใจขี้เกียจ  เพราะว่าขี้เกียจหนึ่งวันก็ช้าไปหนึ่งวัน เวลาก็เหลือน้อยลง คนบำเพ็ญต้องรู้จักช่วยคนอื่น คนบำเพ็ญต้องตั้งใจทำในสิ่งที่ดี ไม่มีร่างกายอันนี้ถามว่าจะทำในสิ่งที่ดีได้อย่างไร ไม่เหมือนกับตอนที่เรามีร่างกายอยู่ ถึงจะแก่แล้วไม่ค่อยสบายแต่เราก็ต้องรู้จักทำเรื่อยๆ คนยิ่งทำมากยิ่งได้มาก คนหาเงินได้มากก็ยิ่งมีเงินมาก คนขี้เกียจหาเงินเป็นอย่างไร คนบำเพ็ญมากมีมรรคผลไหม (มี) คนบำเพ็ญน้อยมีมรรคผลไหม อยากมีหรือไม่มี (อยากมีอยากมีก็ต้องรีบ (บำเพ็ญดีๆ
เวลาปรบมือไม่เห็นพร้อมกันแสดงว่าเรายังมีความสามัคคีไม่เพียงพอ   คนข้างหน้ารู้จักคนข้างหลังไหม คนข้างหลังรู้จักคนข้างหน้าไหม  คนกลางรู้จักคนข้างหน้าและข้างหลังไหม  เพราะฉะนั้นใจของเรายังไม่ได้รวมกัน ไม่รู้จักกัน จึงไม่มีความสามัคคีกัน  มาอยู่ที่นี่เป็นเหมือนพี่เหมือนน้อง ต้องสนิทสนมกัน ภายนอกนั้นคนแบ่งชนชั้นวรรณะว่าสูงต่ำ จนรวย แล้วศิษย์ต้องแบ่งไหม (ไม่)   อยู่บ้านเป็นเถ้าแก่มาที่นี่เป็นนักเรียน  ถ้าอยู่ที่บ้านเป็นคุณหนู มาที่นี่เป็นอะไร อาจจะเป็นคนล้างจานก็ได้
 คนเรามักจะคิดถึงเวลาที่มีความสุข เวลาแห่งความทุกข์ไม่ชอบไม่คิดถึง ชอบความทุกข์หรือความสุข เราชอบความสุขกันทุกคน แต่ถามว่าความสุขมีทุกวันไหม (ไม่มีแล้วความสุขอยู่นานไหม ความสุขอยู่ไม่นาน และชีวิตนี้ก็อยู่ไม่นาน เมื่อชีวิตนี้มีความสุขบ้างความทุกข์บ้าง ต้องรู้จักประมาณตนอย่ามัวแต่หลงอยู่ในความสุขจนลืมความทุกข์ ความทุกข์มีข้อดีตรงไหน เป็นคนดีตอนนี้มีความทุกข์ เป็นคนดีตอนนี้มีความสุข ความทุกข์และความสุขนั้น ความทุกข์ดีหรือไม่ดี จะบอกว่าดีและไม่ดีสองคำตอบหนึ่งเดียวได้หรือเปล่า (ไม่ได้) ดี 24 คนเขียนไว้  ชายมีเท่าไหร่เขียนมาให้ชัดเจน  คนที่ว่าไม่ดียกมือขึ้น ยกขึ้นมาให้สูงด้วยนะ มีใครไม่ยอมยกมือบ้าง ( ชาย 39 ,หญิง 64 ) รวมกันแล้ว หญิง 88 ชาย 45 ที่เหลือมีใครที่ไม่ยอมยก  คนที่ไม่ยอมยกก็คือคนที่เอาเปรียบคนอื่น อันความทุกข์และความสุขนั้น คนมักจะเรียกหาแต่ความสุขใช่หรือไม่ (ใช่) ความสุขทำให้เรารู้สึกอย่างไร (สบาย) เหมือนกับที่เรานั่งอยู่ในห้องนี้ก็มีแอร์ ออกไปก็มีเงินใช้ ลูกก็ดีหลานก็ดี ผลการเรียนก็ได้ที่ 1 นั่นก็ถือว่าเป็นความสุขของเรา มีสิ่งเหล่านี้เราจึงมีความสุข แต่ถ้าหากว่าความสุขนั้น เวลาที่เราสูญเสียไปจากคนที่สอบได้ที่ 1 ก็สอบได้ที่สุดท้าย จากบ้านสวยๆ ที่มีแอร์ติดอยู่ก็ถูกธนาคารมายึด เวลานั่งอยู่ในห้องนี้ นั่งอยู่ดีๆ แอร์ก็เกิดเสียขึ้นมา แล้วถามว่าเรามีความสุขหรือไม่ เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีความสุขก็จะมีความอะไรด้วย (ความทุกข์) เพราะว่าชีวิตนี้ไม่ว่าสิ่งต่างๆ ที่พัฒนาขึ้นมา เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือร่างกายของเราเสียได้หรือไม่ (ได้) สุขภาพของเรายืนยงหรือเปล่า (ไม่ยืนยง) ร่างกายของเราที่บอกว่าอยู่ดีๆ ก็ยังป่วยได้ ฉะนั้นความสุขดีหรือไม่ดี (ไม่ดี) หากไม่มีความสุขก็จะไม่มีความทุกข์ เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่อยากมีความทุกข์ ก็ต้องรู้จักความที่ไม่มีสุขจนเกินไป เพราะฉะนั้นความทุกข์ดีตรงไหน หากว่าเราเคยถูกมีดบาด รู้ว่ามีดบาดแล้วเจ็บ เราจะรู้จักระวังมากขึ้น ในตอนนี้ชีวิตของเรามีความทุกข์มากกว่าความสุข ความทุกข์สอนให้เราเป็นคนเต็มคน แล้วเราจะต้องรู้ว่าเรานั้นจะต้องมีชีวิตอย่างระมัดระวัง เพราะฉะนั้นความทุกข์เป็นสิ่งที่ดี เป็นบทเรียนต่างๆ ให้กับชีวิต เหมือนกับการเรียนรู้ที่ว่าถ้าหากเราออกไปตากฝน กลับมาเราก็จะเป็นไข้ ดังนั้นทุกครั้งที่กลับมาจากการตากฝนจึงรู้จักการอาบน้ำ ความทุกข์จึงถือเป็นสิ่งที่ดีแต่ว่ามนุษย์นั้นหลีกเลี่ยง ถ้าหากศิษย์ไม่รู้จักสร้างความทุกข์เล็กๆ ขึ้นมา ความทุกข์ใหญ่ๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น ถ้าเราไม่รู้จักระวังความทุกข์เล็กๆ นี้ ก็จะต้องเจอกับความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ในวันข้างหน้า เหมือนกับแก้วที่บิ่นแล้ว ก็ย่อมที่จะแตกง่ายกว่าแก้วธรรมดา หากว่ามีรอยร้าวแล้ว เอาหินไปเคาะทีเดียวก็จะแตก แบบนี้สู้แก้วที่สมบูรณ์ไม่ได้ใช่หรือเปล่า(ใช่) เพราะฉะนั้นการมีชีวิตนี้ ความทุกข์สอนให้เราเป็นคนเต็มคน รู้จักความทุกข์คืออะไรจึงจะรู้จักระมัดระวังใช่หรือไม่ (ใช่)
 การบำเพ็ญธรรมก็เช่นเดียวกัน วันนี้ฟังเรื่องการบำเพ็ญภายในภายนอก อาจารย์เจตนามาหลังหัวข้อนี้ ให้รู้ไว้ว่าการบำเพ็ญนั้น มีทั้งการบำเพ็ญภายในและภายนอก ใจของเรา ความคิดความอ่านของเราอยู่ภายใน แต่การกระทำของเราคืออะไร ภายนอกก็คือการกระทำ ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมก็ใช้สองอย่างนี้เช่นเดียวกัน
วันนี้อยากจะได้ผลไม้ไหม (อยากเมื่อวานนี้ใครยังไม่ได้ยกมือขึ้น อย่ายกขึ้นยกลงยกลงยกขึ้น ไม่ได้ก็ต้องบอกว่าไม่ได้ ได้ก็บอกว่าได้ ฉะนั้นคนที่ยังไม่ได้ผลไม้เยอะไหม คนที่ยังบำเพ็ญธรรมแล้วยังไม่รู้จักการบำเพ็ญจริงๆ มากไหม (มาก) ถามว่าหนึ่งในนั้นเป็นศิษย์หรือเปล่า (เป็น) มนุษย์เมื่อบำเพ็ญนั้นบำเพ็ญให้จิตใจเที่ยงตรง ตอนนี้เรามีจิตใจที่เที่ยงตรงหรือเปล่า (เปล่า) เรายังชอบคนนี้แต่ไม่ชอบคนโน้น ชอบสีฟ้าแต่ไม่ชอบสีดำ ชอบสีเขียวไม่ชอบสีขาว อันนี้คือกริยาของใจที่ออกมาอย่างไม่เที่ยงตรง คนนี้ดำๆ เราไม่ชอบ คนนี้ขาวๆเราชอบ นี่คือกริยาของใจที่เกิดความไม่เที่ยงตรงใช่หรือไม่ (ใช่) เราไม่สามารถจะมองให้คนนั้นกลายเป็นคนเหมือนๆกันได้ เพราะว่าใจของเราไม่ตรง การบำเพ็ญเป็นพุทธะก็คือการบำเพ็ญให้ใจนั้นเที่ยงตรง มองแอปเปิ้ลก็ต้องเป็นแอปเปิ้ล มองส้มก็ต้องมองให้ออกว่าเป็นส้ม ไม่ใช่เอาความคิดของเราเข้าไปแล้วบอกว่าส้มเหมือนกัน แต่ว่าส้มผลนี้อร่อยกว่า เราจะคิดแบบนี้ก็แสดงว่าใจของเรายังไม่เที่ยง แทนที่เราจะมองส้มว่าเป็นส้มแล้วก็อย่าเพิ่งตัดสินจากภายนอกว่าอร่อยหรือไม่ บางทีเราบอกว่าส้มนี้อร่อยแต่แกะออกมากินอาจจะไม่อร่อยก็ได้ การที่เราบอกว่าอร่อยไว้ก่อนแสดงว่าเราไปวัดคนอื่นใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นเป็นความเสียหายใช่หรือเปล่า (ใช่) เสียหายที่เขาหรือเสียหายที่เรา (เรา) ถึงแม้คนอื่นไม่รู้แต่ใครรู้ (เรารู้) ฉะนั้นความผิดที่เกิดขึ้นต่างๆนานาที่เราทำผิดมาในชีวิตนี้ ถึงแม้จะแก้ตัวให้ตายแต่ตัวเองก็ผิดอยู่ดี เพราะฉะนั้นถ้าให้ดีจงอย่าทำผิด ลองนับดูสิว่าวันหนึ่งเราทำความผิดคร่าวๆ นับตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอนเลย นับว่าที่เราทำความผิดบ่อยๆ วันหนึ่งกี่ครั้ง และที่เราทำถูกไปมีทั้งหมดกี่ครั้ง นับได้ไหม (ไม่ได้) ทำไมล่ะ (เยอะไปหมด) จริงหรือไม่ที่เรามีความผิดมากกว่าความถูก ถามว่าคนอย่างนี้เป็นพุทธะได้ไหม(ไม่ได้ฉะนั้นคำว่านิพพาน กับพุทธะก็เลยไกลเรา แทนที่มันจะอยู่ใกล้เรากว่านี้ เพราะว่าเรารู้จักที่จะแก้ไขแล้วทำให้จิตใจของเรานั้นตั้งอยู่กับความถูกต้อง ไม่ใช่ว่าคนแก่ๆ จึงจะบำเพ็ญ คนอายุน้อยแต่รู้จักที่จะบำเพ็ญก็มีมากมาย เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นวัดที่ภายนอกไม่ได้ บางทีเราตัวดำๆ แต่ใจเราขาวมาก แต่บางทีตัวเราขาวๆ ใจกลับดำอย่างไม่น่าเชื่อเลย เพราะฉะนั้นความสำคัญของการบำเพ็ญจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ หน้าตา หรือบุคลิกแต่อยู่ที่ใจ ต่างหาก อาจารย์ถามว่าใจของศิษย์หนึ่งวันได้ความผิดกี่ครั้ง ที่ทำอยู่บ่อยๆ ทุกวันๆ จนไม่ยอมแก้นั้น ในที่สุดความผิดอันนี้กลายเป็นนิสัยของเรา และในที่สุดเราก็กลายเป็นคนนิสัยเสีย แล้วทำไมเราไม่แก้นิสัยของเราให้มันดี แก้ไม่แก้ (แก้) ถ้าใครกลับไปไม่แก้อาจารย์จะให้มโนธรรมสำนึกของเราลงโทษเราเอง คนอื่นไม่เห็นแต่เราเห็น เหมือนกับเวลาที่จะซ่อนของ หาเงินมาได้หนึ่งพันสมมติว่าปกติเราต้องเอาเงินไปเก็บกองกลาง สมมติว่าปกติต้องเอาไปเก็บไว้ในที่ๆหนึ่งในบ้าน เช่นให้พ่อรักษา ให้แม่รักษา หรือภรรยารักษา แต่ที่นี้เราบอกว่าอันนี้จะแอบไว้ใช้เอง ใช้งานมีประโยชน์หน่อย เราซ่อนไว้ไม่มีคนอื่นรู้เลย ใครรู้ ใช่เรารู้ อยู่ในซอกที่เท่าไหร่ชั้นที่เท่าไหร่ ใครรู้ ใช่เรารู้ แม่นไหม แม่นยิ่งกว่าหมอดูเสียอีกใช่ไหม(ใช่) แม่นยิ่งกว่าเทพอีก รู้หมดเลยว่าอยู่ซอกไหน มีเท่าไหร่ แบงค์สีอะไร รู้หมดเลย ฉะนั้นความผิดก็เป็นเช่นนี้ เป็นเหมือนกับการซ่อนของเรา แม้ว่าเราจะสามารถซ่อนสีหน้าของเราโดยปราศจากคนมองออกว่าคิดดีคิดร้าย แม้ว่าเราจะซ่อนใจของเรานั้นมิดชิดโดยไม่สามารถให้คนอื่นรู้เลยว่าเราเคยทำผิดอะไรมาบ้าง แม้ว่าเราจะซ่อนความรู้สึกของเราทั้งหมดไว้มิดชิด แต่ถามว่าใครรู้ ตัวเรารู้ ถามว่าใครลงโทษ ตัวเราลงโทษตัวเองทั้งนั้น ไม่มีใครมาลงโทษเรา ในที่สุดทำความผิดมากมากสีหน้าก็หมองคล้ำ เรื่องราวที่เก็บสะสมอยู่ในใจทำให้หนักมาก ทำให้เกิดความหนักใจ ในที่สุดเราเป็นคนอมทุกข์เพราะว่าเราทำผิด เพราะฉะนั้นนี่เป็นหนึ่งในสาเหตุของความทุกข์ทั้งมวลที่เกิดจากตัวเราเอง เราแค่มีจิตใจเริ่มต้นว่าเราจะแอบทำสิ่งนี้กลายเป็นเปลี่ยนตัวเราภายนอกทั้งหมด ให้เป็นคนที่มีสีหน้าหนักใจ เป็นคนที่มีความทุกข์ แสดงว่าเรื่องราวภายในใจนั้นออกมาเปลี่ยนแปลงตัวเราที่อยู่ภายนอก เพราะฉะนั้นแม้ความผิดเล็กๆน้อยๆก็ไม่ควรทำ ถ้าหากว่าเรากล้าทำผิดเล็กๆ วันหน้าก็ทำใหญ่ขึ้น ในที่สุดทำใหญ่มากๆถามว่าจะมีใครช่วยเราได้ แม้แต่ตัวเราเองก็ช่วยตัวเราเองไม่ได้ จะไปปักธูปขอพระคุ้มครองก็คุ้มไม่ไหว ตอนที่ทำความผิดไปบอกพระหรือเปล่าว่าจะทำความผิด(ไม่บอก) เพราะฉะนั้นตอนที่ท่านคุ้มหัวจะคุ้มอยู่หรือเปล่า ถึงตอนนั้นก็คุ้มไม่อยู่แล้ว ถ้าให้ดีเราต้องรู้จักแก้ไขตัวเอง ทั้งแก้ ทั้งไข แก้คือแก้ความผิดให้เป็นถูก ไขคือไขใจของเราให้สะอาด ไม่ว่าจะสิ่งใดลี้ลับซ่อนอยู่ภายในจะต้องลากออกมาทำความสะอาดให้หมด ถามว่าคนที่ไม่มีความผิดเลยเป็นคนดีอย่างเที่ยงแท้บริสุทธิ์ใกล้หรือไม่ใกล้นิพพาน(ใกล้)สักครู่อาจารย์จะพูดต่อไปว่าคนดีทำไมจึงไปไม่ถึงนิพพาน
 รู้จักคราบแห่งปุถุชนไหม เรารู้ได้ว่าเรามีคราบแห่งปุถุชน  คือจิตใจที่ไม่สะอาดทั้งหลายคือกิเลสทั้งหลายเป็นคราบแห่งปุถุชน  พุทธะปราศจากกิเลส อารมณ์  ถวิลหาห่วงอาวรณ์ หรือว่าอยากได้ใคร่รู้ต่าง ๆ พุทธะไม่มีสิ่งเหล่านี้  ปุถุชนมีเต็มไปหมดใช่หรือไม่ (ใช่เมื่อเราใช้อารมณ์อย่างนี้ก็เกิดเป็นคราบแห่งปุถุชน ฉะนั้นสลัดคราบแห่งปุถุชนก็คือสลัดจิตใจที่มีกิเลส ขจัดใจที่มีอารมณ์ จิตใจที่เอาแต่ใจตัวเอง คนเอาแต่ใจตัวเองนั้นมีแต่เด็ก ถามว่าเราเอาแต่ใจตัวเองไหม  ผู้หญิงอยากจะได้เสื้อสวยๆ สักตัวหนึ่ง   เสื้อของเราจะสีขาวจืดๆ ก็ต้องปักนิดฉลุหน่อยใช่หรือไม่ (ใช่ผมของเราจะสวยหรือไม่สวยจะต้องมีการตกแต่งม้วนสักนิดดัดสักหน่อย อย่างนี้เอาแต่ใจตัวเองไหม เรียกว่ากิเลส อารมณ์ที่เรียกร้องอยู่ภายในเรียกว่าการเอาแต่ใจ ในที่สุดแล้วเอาแต่ใจตัวเองไม่เป็นไร แต่ถ้าเอาแต่ใจตัวเองแล้วเดือดร้อนผู้อื่นมีคนเดือดร้อนจากการกระทำของเราด้วย ถ้าเอาแต่ใจตัวเองแต่ว่าต้องทำให้คนอื่นเดือดร้อนจะเป็นความเดือดร้อนอย่างสูงสุด
 ผู้ชายเอาแต่ใจตัวเองหรือเปล่า เราอยากได้มอเตอร์ไซด์สักคันทำอย่างไร อยากได้รองเท้าสวยๆ  ทำอย่างไร (ซื้อ) เอาเงินที่ไหนมาซื้อ ทั้งๆ ที่เราไม่รู้เราก็หาใช่หรือไม่ เป็นการแสวงหาอย่างยิ่งใหญ่จนกว่าจะได้ของมาจึงหยุดหา  ผู้ใหญ่ก็อยากจะได้อะไร (รถยนต์) ส่วนใหญ่แล้วเราก็อยากได้โน่นอยากได้นี่เป็นการตามใจเราเองใช่หรือไม่ ผู้บำเพ็ญธรรมใช้ชีวิตสมถะเรียบง่าย แต่เรายังมีกิเลสโหยหาสิ่งต่างๆ รอบตัว ในที่สุดแล้วทำให้เรานั้นไม่มีเวลามาบำเพ็ญธรรม เพราะว่าเรานั้นมัวแต่ไปหาโน่นหานี่ มีบ้านหนึ่งหลังหนึ่งก็อยากได้อีกหลังนึ่ง มีรถคันที่สวยอยู่แล้วแต่อยากได้อีกคันที่สวยกว่า มีบุหรี่อยู่ในกระเป๋ายังหาเงินมาซื้อบุหรี่ซองต่อไป เมื่อสักครู่อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมที่บรรยายบอกว่าคนที่ไม่รู้จักพอกลายเป็นคนที่จนที่สุด ทำไมถึงจนเพราะเราไม่รู้จักพอ ถ้ารู้จักพอแล้วมีเงินก็รู้สึกมีแล้ว พอใช้มีกินไม่ต้องดิ้นรนขวนขวายมากไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจมากก็มีความสุขแล้วใช่หรือไม่ (ใช่แต่ว่าบางคนไม่ใช่อย่างนั้นบางคนมีเงินพันอยากได้เงินหมื่นมีเงินหมื่นอยากได้แสน มีแสนอยากได้ล้าน มีล้านอยากได้สิบล้าน 
การรู้จักพลิกแพลงเป็นเช่นไร อย่างสมมติว่ามีกล่องสี่เหลี่ยมสักกล่องหนึ่งแล้วศิษย์ต้องการใช้กล่องๆ นี้ แต่กล่องที่ชูด้านหน้านั้นออกมาเลอะเทอะแล้ว แต่ศิษย์ต้องการกล่องที่สะอาดต้องรู้จักพลิกกล่องแล้วเอาอีกด้านหนึ่งหันไป  อาจไปหาผ้ามาเช็ดมาถูใช่หรือไม่ หรืออาจทำให้เลอะมากขึ้น เปรียบเทียบแล้วชีวิตของคนนั้นบางคน เป็นคนฉลาดแต่ขาดเฉลียวไม่รู้จักที่จะเอาจิตใจของตนเองนั้นลงไปคำนวณด้วย ทำให้เกิดผิดพลาดอย่างมากมาย ผิดพลาดเพราะว่าเรานั้นอยากจะได้กล่องที่สะอาดกลับหาสิ่งอำนวยความสะดวกนั้นประทินเข้าไปทำให้ในที่สุดแล้วกล่องๆ นี้แทนที่จะสะอาดอาจจะเลอะทั้งกล่องก็ได้ การบำเพ็ญธรรมต้องรู้จักพลิกแพลงด้วยสภาพจิตใจที่เป็นปกติ หากว่าเรานั้นอยากจะพลิกแพลง แต่ใจของเรานั้นแฝงไว้ด้วยอารมณ์ แฝงไว้ด้วยกิเลส อยากจะให้คนนั้นๆ มาช่วยทำ รู้ว่าคนที่ดีแต่เราชอบคนๆ นี้มากกว่าก็หยิบคนๆ นี้ขึ้นมาแล้วทำความเดือดร้อนวุ่นวายใช่หรือไม่  ใจของศิษย์นั้นสะอาดหรือยัง น่าชมไหม น่าชมกว่าภูเขาเขียวๆ ลำน้ำใสๆ  ไหม เคยถามใจของตัวเราเองไหม ใจเรางามเหมือนหน้าที่ตกแต่งหรือเปล่า หน้าของเราถ้าหากว่าเป็นกระเป็นฝ้าหรือเป็นสีดำหน่อยเรารีบล้างทิ้งใช่หรือเปล่า ถ้าหากว่าเลอะถ่านเลอะอะไรสักนิดหนึ่งรีบล้าง แต่ใจของเราที่เปื้อนฝุ่นเราล้างทิ้งแล้วหรือยัง (ยังใจของเรานั้นถูกพอกพูนเลอะจนมีความหนา เวลาที่เราโมโหทีก็หนาขึ้นหนึ่งชั้น เวลาที่เรามีความโลภก็หนาขึ้นอีกหนึ่งชั้น  เวลาที่มีความหลงก็หนาขึ้นอีก ลองคิดดูว่าตอนนี้ใจของเราหนาขึ้นมากี่ชั้นแล้ว  น่ากลัวไหม   ต้องเอามือของเราไปยกฝุ่นออกทีละชั้น แล้วพยายามอย่าให้ของใหม่ลงไปดีหรือไม่ ลองคิดดูว่าใจของเราที่พอกพูนไปด้วยฝุ่นกิเลสนั้นมากมายหลายชั้น ถ้าหากว่าผ่านเวลานานไป ฝุ่นนั้น กิเลสนั้นกลายเป็นใจเดียวกับเราผสมผสานเข้าไปในใจของเราแล้วถึงเวลานั้นอยากจะแกะออกก็เจ็บตัว บางคนรู้สึกรักมากเสียดายมากการจะแกะออกไปนั้นเป็นเรื่องยากๆ ในที่สุดเวลาที่จะแกะเลือดเราก็ออกมาด้วย  คุ้มไหมกับการปล่อยให้กิเลสพอกพูนอยู่ในใจของเรา ไม่คุ้มเลยกับการที่ทำให้เรามีกิเลสมากมาย เวลาเห็นคนอื่นเขาทำผิดแล้วได้ดีเราอยากจะทำตามไหม (ไม่)   ไม่อยากทำผิดตามแต่อยากได้ของที่คนๆ นั้นได้ ในที่สุดก็หมดหนทางเราก็ทำผิดอย่างเขา คุ้มไม่คุ้มกับการที่เอาตัวเราเข้าไปเสี่ยง  ไปทำผิดตามเขาเพราะอยากได้ของสิ่งเดียวกับเขา ศิษย์อาจารย์เป็นคนที่มีศาสนาซึ่งสอนให้รู้กฎแห่งกรรม คำว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ฟังกันมาตั้งแต่เด็ก เชื่อไม่เชื่อ (เชื่อเราเชื่อคำนี้ก็ควรจะรู้ว่าถ้าหากว่าคนอื่นไม่ดีแล้วเราจำเป็นต้องไม่ดีตามหรือเปล่า (ไม่จำเป็น) ไม่ว่าจะมีเหตุปัจจัยใดๆ  ผลักนำเกื้อหนุน ให้เราจะต้องทำชั่วต้องหลีกเลี่ยงให้ได้ เมื่อเราทำผิดเข้าไปแล้วเราก็กลายเป็นคนผิดใช่หรือเปล่า ถึงวันนั้นเราบอกว่าเราไม่ตั้งใจไปขโมยของ ไม่ได้ตั้งใจไปฆ่าคน ไม่ได้ตั้งใจไปทำผิดนั้นๆ  แต่เราเป็นคนทำกับมือจะมีคนให้อภัยเราหรือเปล่า เพราะเราเป็นคนทำผิด เพราะฉะนั้นถ้าให้ดีก็ต้องรู้จักทำในสิ่งที่ถูกต้อง
พุทธะนั่งอยู่บนฐานบัว แล้วที่จะให้อาจารย์นั่งคือไม้แข็งๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่ถามว่าเป็นพุทธะแล้วนั่งฐานบัวศิษย์อยากนั่งไหม (อยากมีดอกบัวดอกใหญ่ให้เรานั่งได้เคยเห็นหรือเปล่า นั่งแล้วไม่จมเคยเห็นหรือเปล่า (ไม่เคยแล้วอยากจะได้ไหม (อยากได้ถ้าเราอยากจะได้เราต้องบำรุงดอกบัวดอกนี้ให้ใหญ่ๆ ไม่อย่างนั้นก็จะเล็กเท่ากับดอกบัวที่เห็นอยู่บนโลก  เป็นคนบำเพ็ญธรรมต้องคล่องแคล่วว่องไว แต่ทุกๆ ก้าวที่ก้าวออกไปทำสิ่งใดต้องมีสติ ไม่ใช่ทำไปรวดเร็วจริงแต่ผิดหมด ต้องรู้จักช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม ถ้าทำเร็วๆแต่ผิดหมดก็ไม่คุ้มใช่หรือเปล่า มีเงินทองถึงร้อยล้านไม่สามารถซื้อเวลาได้ ชีวิตของเรามีความสำคัญมากกว่าเงินทอง มีชีวิตจึงมีโอกาสที่จะบำเพ็ญธรรม ไม่มีชีวิตแล้วแม้โอกาสบำเพ็ญธรรมสักเสี้ยวหนึ่งก็ไม่มีแล้ว
เมื่อสักครู่นี้ฟังหัวข้อ การบำเพ็ญภายในและภายนอก  ถามว่าการบำเพ็ญภายในคืออะไร (บำเพ็ญช่วยเหลือตนเอง, ทำจิตให้เป็นสมาธิ, ทำจิตใจให้สะอาด, ทำจิตใจให้สงบ, ความพอดี) ความพอดีอยู่ที่ไหน (อยู่ที่จิตใจแล้วควรจะพอดีเรื่องใดก่อน (ทุกเรื่องต้องรู้จักพอดีจากเรื่องง่ายๆ ไปหาเรื่องที่ยาก เรื่องง่ายๆ ได้แก่ ทรัพย์สินที่อยู่รอบๆ ตัวเรา เป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด  (ทำจิตให้รู้จักพอ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง)
ลัญจกรที่อาจารย์ให้ไปเป็นกุญแจประตู เวลาเข้าบ้านต้องใช้กุญแจ ไม่มีกุญแจเข้าได้ไหม ถามว่าเราทำกุญแจหาย ถึงเวลาไปอยู่ที่หน้าประตูแล้วทำอย่างไร (งัดบ้านได้หรือเปล่า (ไม่ได้สมมติว่าศิษย์ห้องนี้มีบ้านหลังเดียวกัน พอขึ้นคนหนึ่งงัด สองคนงัด สามคนงัด ต่อไปก็ไม่ต้องใช้กุญแจใช่หรือเปล่า (ใช่เพราะว่าคนในบ้านงัดพังหมดแล้ว  แต่แท้ที่จริงแล้วนิพพานมีประตูอันกล้าแข็งถึงสามประตู หากว่าใครไม่มีกุญแจอย่าหวังได้ งัดปีนป่ายก็ไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้นเรามีหัวสมองไว้จำสิ่งต่างๆ มากมาย ไตรรัตน์ง่ายๆ แค่สามอย่างจำได้ไหม ถ้าจำไม่ได้ก็ต้องจำให้ได้  เพราะว่าไม่อย่างนั้นเวลาไปถึงหน้าประตูแล้วเข้าบ้านไม่ได้ พอเดินเข้าบ้านไม่ได้ก็ทำอย่างไร บ้านหลังนี้ไม่มีคนเปิดประตูมาต้อนรับ ไม่ต้องรอ นั่งไปเท่าไหร่ก็ไม่มีคนออกมาเรียกให้เข้าบ้าน บ้านหลังนี้ออกจะประหลาดให้ยืนรอเท่าไหร่ก็ไม่มีคนออกมาต้อนรับ ถึงออกมาต้อนรับแล้วก็เชิญให้เข้าบ้านไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าให้ดีกุญแจของใคร ใครก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบเอง  ถ้าเกิดว่าทำกุญแจตกหายระหว่างทางจะทำอย่างไร (ใช้กุญแจสำรองอย่าคิดว่ากุญแจสำรองทำง่าย กุญแจสำรองต้องทำอย่างนี้ พาเพื่อนหนึ่งคนไปสถานธรรมแล้วให้เขาจำให้ได้ พาเพื่อนสองคนไปสถานธรรมแล้วให้เขาจำให้ได้ นี่คือ การแจกกุญแจสำรองคนละชุด
เมื่อเรามีกุญแจแล้วเราลืมกุญแจควรทำอย่างไร เราลืมไตรรัตน์แล้ว อย่าคิดว่าจะมีคนมาบอกเราได้ เมื่อเราออกจากร่างกายอันนี้ไปแล้ว ร่างกายอันนี้ขาดลมหายใจเพราะว่าไม่มีจิตเป็นผู้บงการแล้ว ร่างกายนี้ก็แน่นิ่ง ไม่มีลมหายใจสามารถเคลื่อนไหวได้อีก เมื่อวิญญาณเราออกจากร่างกายอันนี้แล้วก็ล่องลอย คนที่มีจิตที่ดีงามบริสุทธิ์ จิตอันนี้เป็นจิตที่เบาสบายก็ลอยขึ้น หากว่าเป็นจิตที่หนักก็ตกลงใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าหากว่าจิตเราเบาก็เปรียบเหมือนขนนกที่เบา  หากว่าจิตเราหนักก็เป็นก้อนหินที่หนัก  ถึงเวลานั้นแล้วถามว่าเมื่อจิตของเราได้ขึ้นนิพพานแล้วแต่ว่าเราลืมกุญแจ ถึงเวลาเมื่อขึ้นไปไม่ได้แล้วก็ต้องลงมาใหม่ถูกหรือเปล่า ถามว่าคุ้มไม่คุ้ม (ไม่คุ้มแต่ถ้าขึ้นไปแล้วก็ไม่ได้หมายความว่า เมื่อเข้าไปบ้านแล้วจะเข้าแล้วเข้าเลย เข้าบ้านแล้วก็ออกจากบ้านได้  ดูว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นมีจิตใจที่เป็นพุทธะพอหรือไม่ หากเราไม่มีจิตใจที่เป็นพุทธะเราจะอยู่บ้านพุทธะได้ไหม (ไม่ได้ถ้าเรามีจิตใจเป็นเช่นผีนรกเราก็ควรจะอยู่ที่ไหน (นรกถ้าเรามีจิตใจเช่นเดียวกับพุทธะเราก็ไปอยู่กับพุทธะใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อสักครู่นี้อาจารย์พูดว่าทำไมคนดีถึงขึ้นนิพพานไม่ได้ คนที่บำเพ็ญแล้วด้วยนะ อยากรู้ไหม (อยากรู้) ศิษย์ต้องอยากรู้ให้มากในเรื่องนี้เพราะว่าเกี่ยวกับการบำเพ็ญโดยตรง บางคนบำเพ็ญไปยิ่งบำเพ็ญไปใจของเรายิ่งพอกพูนความมีอคติมากขึ้น พอกพูนความยึดติดมากขึ้น หลุดจากเรื่องนั้นก็มายึดติดเรื่องนี้ จิตใจของเรานั้นบงการไปทั่ว จิตใจของเรานั้นไม่พอใจไปทั่ว ในที่สุดแล้วจิตใจมีความลำเอียงไม่ตรง ไม่กลาง เอียงซ้ายเอียงขวา ในที่สุดแล้วยิ่งบำเพ็ญ บำเพ็ญเหมือนกันแต่บำเพ็ญเป็นผี  ยิ่งบำเพ็ญใจของเรายิ่งกลายเป็นผีไม่ใช่เป็นพุทธะ เพราะฉะนั้นการที่เราฉาบหน้าของเราด้วยการเป็นคนดีแต่ว่าจิตใจของเรานั้นไม่เที่ยงตรงเป็นสิ่งอันตรายที่สุด เพราะว่าคนอื่นจะดูเราไม่ออกเลยว่าเราเป็นเช่นไร ศิษย์นั้นยังสู้ไม่ได้กับคนที่เขานั้นมีจิตใจที่ทำสิ่งที่ตัวเองคิด แต่ถ้าให้ดีการทำตามใจในสิ่งที่ตัวเองคิดก็เป็นข้อเสียอีกเหมือนกัน สู้เราดีทั้งภายในและภายนอกจริงๆ ไม่ได้  การที่เราโกหกคนอื่นนั้นเป็นสิ่งที่ง่ายแต่ไม่สามารถโกหกตนเองได้ หากว่ายังมีจิตใจที่รังเกียจ รังเกียจคนนี้ แล้วชอบคนนี้ อันนี้เป็นจิตใจของคนที่เป็นพุทธะหรือไม่ (ไม่ใช่เราต้องไม่จิตใจที่แยกแยะใครเลย จึงจะสามารถนำทั้งตัวเองและผู้อื่นไปได้ตลอดรอดฝั่ง ไม่ใช่นำผู้อื่นได้แต่เอาตัวเองไม่รอดนะ
การจะพาใครสักคนหนึ่งมารับธรรมะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะยาก แต่การที่จะส่งเสริมเขาให้ตลอดรอดฝั่งเป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่า เราไม่สามารถจะบอกว่าวันนี้เขาดีไปชวนเขามารับธรรมะ  แล้วอีกห้าวันต่อมาเขาไม่ดีแล้ว แล้วเราก็ไม่เอาเขา การทำเช่นนี้เป็นการทำผิดต่อบรรพชนของคนที่เราพามาเป็นอย่างยิ่ง อันด้วยทุกๆ  คนนั้นมีสิทธิ์ที่จะเป็นพุทธะองค์หนึ่ง เพราะทุกคนมีพุทธะจิตธรรมญาณเท่ากัน  จงหาโอกาสที่จะส่งเสริมกันให้ดีๆ  เข้าใจแล้วจงรู้จักที่จะมอบสิ่งดีๆ ให้กัน  ไม่ใช่ว่าทุกวันขัดใจกันเล็กๆ  น้อยๆ  ในที่สุดแล้วมองหน้ากันไม่ติด  แล้วถามว่าจะบำเพ็ญต่อไปได้อย่างไร จะโทษว่าผู้อื่นผิดแล้วตัวเราไม่ผิดก็ไม่ได้  เราต้องผิดด้วยกันทั้งคู่  ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนดีทุกคน   เพราะฉะนั้นเวลาผิด  ช่วยกันแบกความผิดหรือเปล่า เมื่อทุกร่วมแบกขึ้นมาเรื่องผิดก็กลายเป็นเรื่องไม่ผิด เพราะทุกๆ   ครั้งที่เอาผิดกันไม่ใช่พุทธะมาเอาผิดมนุษย์ แต่มนุษย์เอาผิดกันเอง ทุกๆ   คนเป็นคนดีเหมือนกัน แล้วทำไมอยู่ด้วยกันมันถึงไม่ดี แปลกไหม  
ไฟมิส่งต่อ เทียนจุดอย่างไร หากว่าเราเป็นคนที่เก่งกว่าก็อย่าหลงตัวเองว่าเราเก่ง เมื่อเรารู้จักส่งต่อไฟไปให้ผู้อื่น เราก็ต้องเอาไฟที่ดีส่งไปให้  ไฟแห่งธรรมะไฟแห่งคุณธรรมส่งต่อไปให้ จึงสามารถสว่างชั่วนาน  หากเป็นเทียนที่เผาตัวเอง เราจะเหลือความดีอะไรให้กับตัวเอง ทุกๆ  สิ่งทุกๆ  อย่างก็เผาเป็นแสงให้กับประชาหมดเราจะดีได้อย่างไรกลายเป็นคนดีให้คนอื่นยกย่องได้อย่างไรทั้งที่เราไม่เหลือความดีอะไรเลย  การทำเช่นนี้จึงเป็นการไม่ยึดติดในความดี  ถ้าเรายึดติดในความดีเราก็จะมีความดี แล้วในที่สุดคนอื่นว่าเราไม่ดีก็ไม่ได้ เพราะเรายึดติดในความดีของเรา เพราะฉะนั้น  ถ้าไฟอันนี้เราไม่ส่งต่อไปยึดแต่ว่าเราเป็นคนดี หรือส่งไปให้เขานิดหนึ่ง อย่างนี้ไม่ถูกต้องอันว่าวิชาความรู้ ข้อหลักธรรมต่างๆ  ไม่มีสิ่งใดเป็นความลับ การกระทำดีที่สุดคือการแสดงออก


ต่างเวไนยเข้าใจกันยอมอ่อนข้อ   ต่างก็เป็นเวไนยทุกคนใช่หรือไม่  ไม่มีใครเป็นพุทธะ เป็นเวไนยเหมือนกันจึงต้องเข้าใจกันใช่หรือเปล่า ศิษย์ของอาจารย์มีความเข้าใจกันดีหรือเปล่า  ทำไมจึงบอกว่าคนอื่นเป็นอย่างนั้น  แล้วฉันเป็นอย่างนี้ฉันทำถูกแล้วเธอทำผิดต่างก็เป็นเวไนยใช่หรือไม่ เราก็มีวันทำผิดเหมือนกับคนอื่นที่ทำผิด วันนี้เขาผิดเราต้องให้อภัย  วันหน้าเราผิดเขาจะได้อภัย ความเข้าใจเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุด ไม่มีความเข้าใจแล้วความสุขแห่งการร่วมกันจะอยู่ที่ใด แล้วใครจะเป็นพี่น้องเราจริงๆ  ในยามที่ไม่มีคนเข้าใจเรา เราต้องการคนเข้าใจเราสักคนหนึ่ง การเข้าใจกันนั้นแสดงออกได้สามอย่าง คือ  กาย วาจา ใจ  เราต้องมีใจที่เข้าใจเขาจริงๆ  ไม่เสแสร้งและจริงใจ จึงจะสามารถแสดงออกมาทางกายได้ จะโค้งและชี้แนะก็ด้วยความจริง วาจาของเรานั้นก็ไม่เป็นวาจาที่กระโชกโฮกฮากและกระตุกไปกระตุกมา  เพราะว่าเราจริงใจ 
มนุษย์ปัจจุบันขาดแคลนที่สุดคือความจริงใจต่อกัน  สวมหน้ากากเข้าหากัน หน้ากากแม้จะสวยงามเท่าไรก็ไม่สู้หน้าตาจริงๆ  ของเรา   หน้าตาจริงๆ  ของเราแม้ไม่สวย ไม่ได้ทาปากทาหน้า แต่หน้าตาของเรานั้นเป็นหน้าตาที่บริสุทธิ์  หากว่าเป็นคนโกรธคนง่ายโมโหบ่อย ควบคุมอารมณ์ไม่ได้  แค่มีอารมณ์นิดหน่อยก็ไม่ได้ฉันไม่เอา  หน้าตานี้น่าดูไหม  นานไปก็เป็นหน้าตาของคนที่โมโหง่าย   คนที่ไม่มองใครตรงๆ  เพราะว่าจิตใจของเขาคดงอใช่หรือไม่  หน้าตาของคนที่โลภเป็นอย่างไร (ตาโตดูแล้วหลุกหลิกใช่หรือไม่  สมมติว่าศิษย์สามารถมองส้มสองผลในเวลาเดียวกันได้หรือเปล่า  (ไม่ได้ส้มอันนี้มีหนึ่งผลแต่เวลามีสองผลมองอีก ใช่หรือเปล่า  ตาก็กลอกไปทางซ้ายทีทางขวาที อยากได้อันนี้ด้วยอยากได้อีกอันด้วย ในที่สุดก็กลายเป็นคนโลภ  และอีกอย่างมือจะมาก่อน แต่ว่ามนุษย์สมัยนี้มีความสามารถมากกว่าคนสมัยก่อนเวลาอยากได้ก็ไม่พูดตรงๆ  ว่าอยากได้พูดจาแฝงความนัยพูดจาประจบประแจงแฝงความนัย ในที่สุดแล้วก็เป็นกรรมปาก เพราะฉะนั้นความรัก โลภ โกรธ หลง เป็นสาเหตุสำคัญของกิเลสใช่หรือไม่  ต้องปลูกฝังไว้ไหม เสียดายไหม  (ไม่)  
ความจริงเป็นสิ่งที่น่ายอมรับ เวลาเราผิดเราก็บอกว่าผิด เวลาเราถูกก็บอกว่าถูก  เวลาเราไม่รู้ก็บอกไม่รู้  เวลารู้ก็บอกว่ารู้  รู้ก็คือรู้ ไม่รู้ก็คือไม่รู้เราไม่น่าจะกลัวเสียหน้าพูดไปนิดๆ  หน่อยๆ  เหมือนกับการพูดธรรมะ เวลารู้ก็บอกว่ารู้พูดให้ชัดเจน เวลาไม่รู้ก็ต้องบอกว่าไม่รู้ เราไม่รู้เราจะบอกว่ารู้ได้อย่างไร  เวลาผิดก็ต้องยอมรับผิด  เวลาเราถูกก็บอกว่าถูก แต่คนอื่นเขาบอกว่าผิด เขาใส่ความเรา  เราพยายามพูดเท่าไรเขาก็ไม่ฟังบอกว่าเราผิดอยู่เรื่อย ทำอย่างไรดี  เราต้องทำให้เขารู้ว่าเราถูกด้วยการกระทำ ในเมื่อพูดใช้ไม่ได้ก็ต้องทำให้เขารู้ใช่หรือไม่ (ใช่)   ต้องกระทำให้รู้เพราะว่าการพูดเป็นสิ่งที่อันตรายที่สุดบางคนชอบนินทากัน วิธีนี้ก็ไม่ถูกต้อง วิธีที่ถูกต้องคือการพูดจาให้เข้าใจ พูดไม่ได้ใช้การกระทำ แต่ไม่มีการนินทาว่าร้ายเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะว่าศิษย์เผลอว่าร้ายไปสักคนหนึ่งหรือว่าร้ายคนที่ว่าเราผิด จากศิษย์คนที่ถูกจะกลายเป็นคนที่ผิดทันที  เพราะฉะนั้นอย่าได้เผลอง่ายๆ 
คนที่ชอบเล่นหวยเวลาที่อยากจะถูกหวยให้หยอดกระปุก เอาเงินที่จะไปซื้อหวย วันนี้ซื้อ 20  บาท ก็หยอด 20 บาท  พอตอนเย็นหวยออกก็ถูกหวย เวลาที่หวย 16 วันก็เอาเงินมาหยอดทุกวัน พอ 16 วันครบ ก็ถูกหวย  ไม่ต้องเสียเวลาไปตีความฝันให้เมื่อย  บางคนบอกว่าถูกอะไรได้เงินน้อยนิดเดียว  วันนี้ซื้อหวย  20  บาท  เงินไปแล้วไม่กลับ ถ้าอยากถูกบ่อยๆ   ได้เยอะสักที  ห้าวันสิบวันมาแกะทีได้เยอะไหม (เยอะ) ทำมาก็ถูกหวย ถ้าหากว่าอยากจะให้เหมือนหน่อย ก็สามวันห้าวันก็ถูกสักครั้งหนึ่ง เดือนหนึ่งถูกสักครั่งหนึ่งก็แกะออกมาใช่ไหม ซื้อมาวันละยี่สิบบาทสามสิบวันได้เท่าไหร่ (หกร้อย) เยอะใหม่ ได้เยอะแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) ง่ายใหม่ (ง่าย) นี้เป็นวิธีการเลิก อาจารย์บอกให้นี้เป็นวิธีการเลิก เลิกซื้อหวยใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะถ้าศิษย์ทำอย่างนี้ได้ทุกวัน แม้ว่าพอดีเลขที่เราจะถูก แต่ว่าเดียวอีกยี่สิบวันเราก็ถูกแล้ว เรากำหนดได้ด้วยว่าอีกยี่สิบวันเราจะถูกหวยใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้น อีกยี่สิบวันเราก็จะได้เหมือนเพื่อนบ้าน ไม่ขายหน้าไม่อับอายใช่หรือเปล่า แต่ถ้าหากว่าเราเอาเงินไปซื้อหวยหมดจนไม่มีเงินนี้อับอายใหม่ (อับอาย)    ไม่รู้นั่งหลับหรือเข้าสมาธิ อยากรู้ใหม่ว่าเขาทำอะไร  (อยากรู้) นี้เป็นอารมณ์ของมนุษย์ อยากรู้ใช่ใหม่ว่าคนข้างหน้าเขาเป็นอะไรใช่หรือเปล่า (ใช่อาจารย์จะบอกให้มนุษย์ควรรู้ในสิ่งที่ควรรู้  ควรจะรู้ในสิ่งที่ใช่หรือเปล่า (ใช่) สิ่งใดมีประโยชน์จึงรู้ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าสิ่งใดไม่ประโยชน์ต้องรู้ใหม่ (ไม่ต้องเวลาไม่รู้แล้วเกิดอะไรขึ้น เกิดความอยากเปรียบเสมือนอะไร มีกิเลสออกมาให้จับแล้วใช่ไหม เป็นการเล่นเกมส์อาจารย์จะสมมติให้ดู เคยเห็นพื้นดินที่เรียบๆ  ไหม  ผุดขึ้นมาหนึ่งอันคือจิตใจของเราที่มีความราบเรียบเวลาเรานินทาว่าร้ายคนอื่นมันก็ขึ้นๆ มา หินหนึ่งก้อนใช่หรือเปล่า เวลาเรามีอคติกับคนอื่นมีอะไร หินหนึ่งก้อน มีอะไรอีก  เวลามีอารมณ์ก็มีหินอีกก้อน มีมากก็ก้อนใหญ่มีเล็กก็ก้อนเล็ก เพราะฉะนั้นอย่าให้จิตใจของเราเรียบๆ  หรือมีหินเยอะๆ  เวลาเราอยากมีความอยากรู้อยากเห็นก็มีหินหนึ่งก้อนใช่หรือเปล่า
บางคนบำเพ็ญธรรมมีแต่ความสบาย บอกว่าเขารวยกว่าเราเขาเลยสบายใช่อย่างนั้นหรือเปล่า  การบำเพ็ญธรรมนั้นสำคัญที่สุดไม่ใช่อยู่ที่ทรัพย์สินภายนอก  การบำเพ็ญธรรมสำคัญที่สุดอยู่ที่จิตใจของเรา จิตใจเรียบๆ  สบายๆ  แม้ว่าอุปสรรคมากับสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากใจก็ฝ่าไปด้วยความราบรื่นสบายใจ กลับกันกับคนที่ภายในใจนั้นขนาดภายในตัวเองขจัดเรียบๆ  ไม่ได้นับประสาอะไรจะไปขจัดกิเลสภายนอก  เพราะฉะนั้นดินอันนี้เรียบๆ  หากว่าจิตใจของเรานั้นไม่บริสุทธิ์ก็จะเกิดหินหนึ่งก้อน เอาไว้เดินให้สะดุดเล่นๆ   เพราะฉะนั้นควรที่ทำอย่างไง เกลี่ยใหม่ใช่หรือไม่ใช้อะไรเกลี่ย (ใจ,บุญกุศล,ศีล,ทาน,ภาวนา,ความพอดี,ความดี,สติ,ปัญญา, ด้วยกายและจิตใจ,บำเพ็ญภายในและบำเพ็ญภายนอก,ภาวนา, ธรรมะ) ธรรมะใกล้เคียงแล้ว แต่มีอย่างหนึ่งถูกที่สุด  เราต้องทำอย่างไรอย่างหนึ่งจึงได้มรรคผล นั่นคือการบำเพ็ญใช่หรือเปล่า (ใช่) เวลาที่เราจะเอามรรคผลมาสักลูกไม่ใช่ว่าจะเอามาได้เฉยๆ ถ้าหากว่าเรานั่งอยู่กับบ้านสถานธรรมก็ไม่ไป เรียกไปศึกษาธรรมะก็ไม่เอา  ศิษย์นั้นจะเข้าใจธรรมะหรือเปล่าแล้วจะบำเพ็ญอะไร  การบำเพ็ญนั้น บำเพ็ญไปไม่ถูกทาง ฉะนั้นเขาเรียกเราฟังธรรมะไปสถานธรรมบอกว่าไม่ว่างดีหรือเปล่า
ทำไมถึงบอกว่าใช้สัจธรรมรู้หรือเปล่า  เราบำเพ็ญธรรม คำว่าธรรมคำหลังนั้นย่อมาจากอะไร  บำเพ็ญธรรมก็คือบำเพ็ญสัจธรรมใช่หรือไม่  แล้วถามว่าสัจจะแปลว่าอะไร  สัจจะแปลว่าความเป็นจริงถูกหรือเปล่า  ธรรมะก็คือความดี  แสดงว่าเราจะต้องบำเพ็ญในสิ่งที่เป็นความจริง  บำเพ็ญในสิ่งที่เป็นความจริง  ไม่ใช่ว่าเราจะแก้ปัญหาใดๆ  ได้ด้วยการห่างไกลจากสัจธรรมถ้าหากว่ายิ่งเข้าใกล้กิเลสยิ่งเข้าใกล้กิเลสยิ่งเข้าใกล้ตัณหาก็ยิ่งไม่สามารถจะเจอทางที่ถูกต้องได้หวังว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นทำสิ่งใดก็แล้วแต่ให้ผิดไปจากความเป็นจริงก็ไม่สามารถที่จะเจอทางสว่างไสวได้  หากว่าบำเพ็ญธรรมถูกต้องตามสัจธรรมทุกอย่างการที่เราจะทำอะไรนั้นแม้ว่าเราจะยากในตอนต้นหรือลำบากในตอนปลาย ในที่สุดแล้วก็จะถึงเส้นชัย เพราะฉะนั้นการกระทำสิ่งใดก็แล้วแต่ไม่พลาดไม่เพี้ยนจากความเป็นจริง การบำเพ็ญนั้นต้องอาศัยความจริงเป็นหลัก
เราจะขจัดกิเลส กิเลสของเราก็คือการที่เรานั้นชอบสิ่งนี้มากเกิดไป ดังเช่น เราชอบดูทีวี ถ้าหากว่าเรานั่งอยู่หน้าจอทีวีทุก กิเลสตัวนี้ก็ตัดไปได้ไหม (ไม่ได้) เรายังชอบกินเนื้อสัตว์ แต่ว่าเรา จะกินเจ  แล้วทุกๆ   วันเรายังเหล่ตาไปมองทุกวันแล้วก็คิดว่ามันอร่อย ๆ   ถามว่าศิษย์จะตัดได้ไหม (ไม่ได้เพราะฉะนั้นการที่เราจะบำเพ็ญก็คือบำเพ็ญสัจธรรมความเป็นจริง อย่าได้ทำสิ่งใดก็แล้วแต่ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง ทุกสิ่งทุกอย่างขอให้หันมามองความจริงจึงจะมีความสำเร็จได้ หากว่าเราอยากบำเพ็ญธรรม แต่ว่าทุกๆ  ครั้งหลอกตัวเอง  หลอกผู้อื่น แล้วถามว่าจะบำเพ็ญธรรมอะไร
ใจแห่งฟ้าคือผู้ที่มีใจเมตตา  แต่ละคนมาที่นี่ฝึกการเป็นพุทธะก็นั่งเก้าอี้เซียน แต่ก็นั่งพาดไปพาดมาตัวไหลไปไหลมา   โดยเฉพาะผู้ชาย  การเป็นพุทธะต้องฝึกอย่างจริงจัง   สบายๆ อย่างนี้แล้วจะต้องเข้มงวดกับตัวเองหน่อย  ธรรมะไม่ใช่ฟังสองวันแล้วเป็นพุทธะได้ จะต้องศึกษาให้เข้าใจอีกมากมาย  ถามว่าเป็นพุทธะ ตอนอยู่คนเดียวคิดร้ายหรือทำสิ่งที่ไม่ดี  ปล่อยใจฟุ้งซ่านลอยไกลได้ไหม  ส่วนกลางอยู่ร่วมกันก็จะต้องอยู่ร่วมกันกับกัลยาณมิตรพาตัวเองไปอยู่ร่วมกับคนไม่ดีก็ย่อมจะทำไม่ดี  เวลาเห็นเพื่อนเขาดื่มเหล้าเราไม่ดื่มก็กลายเป็นตัวประหลาดใช่หรือเปล่า  ในที่สุดเขาคะยั้นคะยอเราก็ต้อง (เราก็ต้องดื่มเพราะฉะนั้นพาตัวไปพบกัลยาณมิตรดีหรือไม่ (ดีหากว่าเราเป็นคนไม่ดีก็ต้องทำตัวให้เป็นคนดี  คนอื่นเขาดีอยู่แล้วก็อย่าไปชวนเขาทำไม่ดี เราต้องดูตัวเราด้วย จะเป็นฮิปปี้หรือว่าจะเป็นพุทธะดี  เราจะต้องทำตัวเราให้เหมาะสม  เราจะบอกว่าเราเป็นคนดี  แต่ว่าที่เราทำอยู่นี้ ใครๆ  เขามองแล้วบอกว่าไม่ดี  เราก็ต้องมาย้อนมองตัวเอง  เวลาเราส่องกระจกเห็นอะไร เห็นตัวเองใช่ไหม  ถามว่าในกระจกนั้นพุทธะหรือมาร (แล้วแต่อารมณ์,เห็นทั้งมารและพุทธ) เวลาส่องกระจกเห็นอะไร (ตัวเอง,รูปลักษณ์ภายนอก,คน,เงาตัวเอง) อาจารย์จะบอกให้ ถ้าเรามองเห็นพุทธะในกระจกนั้นแสดงว่าเราก็เป็นพุทธะ ถ้าเรายังไม่ดีพอเราก็บอกกับตัวเองว่าเราเห็นมารในกระจก หรือว่าเห็นกึ่งพุทธะกึ่งมารอยู่ในนั้น ครึ่งผีครึ่งคนหรือเปล่า ต้องพิจารณาใช่หรือไม่(ใช่) ถ้าเรามองกระจกแล้วยังเห็นเป็นตัวเราเองยังเห็นนี่คือคน นี่คือกายภายนอกนอกนี่คือเนื้อหนังมังสา แสดงว่าเราก็ยังเป็นคนอยู่ เป็นคนที่มีภูมิปัญญา คนที่มีความเฉลียวฉลาดเฉยๆ แต่ถ้าเราสามารถมองเห็นลึกไปกว่านั้น เห็นตนเป็นพุทธะ เห็นตนเป็นมาร แสดงว่าเราเป็นคนที่มีภูมิปัญญาเป็นเลิศ และผู้ที่บำเพ็ญแล้วสามารถกลับหน้าจากมารเป็นพุทธะได้ นี่จึงจะเป็นอนาคตของพุทธะ หากว่ายังเห็นแต่ตนเองยังเห็นแต่ร่างกายคนนั้นก็เป็นคน ถ้าหากว่าเห็นตนเองแล้วบอกว่านี่คือกึ่งพุทธะกึ่งมารต้องรีบบำเพ็ญแล้ว
ห้องพระนั้นย้ายที่ไปแล้วแต่ว่าต้อนรับศิษย์รักทุกคนเหมือนเดิม ถามว่าศิษย์รักต้อนรับตัวเองไปสถานธรรมไหม ยินดีที่ตัวเองจะไปสถานธรรมหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าคนเค้าไม่เรียกแล้วไม่ไปนะ ไปไหม (ไป) ไปแล้วมีอะไรขัดหู ขัดตา ขัดใจ ไปหรือเปล่า (ไป) ถ้าขัดตาเราก็เข่นตาหน่อยดีไหม(ดี) ถ้าขัดหูเราก็เกาทิ้งหน่อยดีไหม(ดี) ถ้าขัดใจเราทำอย่างไรดี ก็เอาสีขาวลงไปเติม เป็นการฝึกฝนตนเองยิ่งมีสิ่งที่เป็นอุปสรรคมากเท่าไหร่ มรรคผลการบำเพ็ญให้บรรลุก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น หากว่าคนที่ชอบเดินทางราบเรียบราบรื่น ก็แสดงว่าอยากจะบำเพ็ญไม่ค่อยจะสำเร็จ  แต่ถ้าหากว่ายิ่งอุปสรรคความยากมากเท่าไหร่ ยิ่งฝ่าพ้นมากเท่าไหร่ ประสบการณ์สูงเท่าไหร่ มรรคผลก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น อยากได้ไหมมรรคผล(อยาก) อยากได้ก็ต้องเดิน ต้องพยายาม ไม่ใช่ว่านั่งอยู่แต่ที่บ้าน วันๆดูทีวี ฟังเพลง ดูหนังแล้วไปทำงาน โวยวายๆ สองสามทีแล้วก็กลับบ้าน กลับมาบ้านก็ฉันเป็นใหญ่อีก ในที่สุดแล้วก็เป็นปุถุชน อยากจะเป็นพุทธะก็ต้องขัดหู ขัดตา ขัดใจบ้าง บางที่อะไรๆ ก็ไม่เป็นอย่างที่เราคิดก็ต้องทำใจ แล้วเราก็ต้องทำให้ดีอย่าทำเหมือนเขา บอกว่าเขาไม่ดีเลยขัดใจจริงๆ แต่พอเรามาอยู่ที่เดียวกับเขา เขาเดินออกไปแล้วเราไปยืนอยู่ที่เดียวกับเขาแล้วทำท่าเดียวกับเขาเลย ก็กลายเป็นคนไม่ดีใช่หรือเปล่า เวลาคนเค้ามาเห็นเราก็ขัดใจเขาอีก แทนที่เราจะดีขึ้น ไม่ทำในสิ่งที่เขาทำ ก็เปล่า เราไปทำในสิ่งที่เขาทำ ก็เลยเป็นพวกเดียวกัน ดีก็ดีเหมือนกัน ไม่ดีก็ไม่ดีเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเลือกทำแต่สิ่งที่ดี ดีหรือเปล่า(ดี) อะไรที่เราไม่ชอบใจก็อย่าไปทำ ไม่เช่นนั้นแล้ววันหลังคนอื่นก็ไม่ชอบใจ การอยู่ที่นี่
บำเพ็ญธรรมยุคนี้ คือการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่เป็นคณะเป็นกลุ่มเป็นก้อน การมีสังคมจึงทำให้การบำเพ็ญนั้นมีสิ่งที่มาขัดใจเรามากมาย แต่ว่าการบำเพ็ญเช่นนี้จึงจะให้เห็นว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นมีฝีมือสูงเท่าไร การอยู่ร่วมกันนั้นจึงจะต้องเอาจริยะมารยาทมาเป็นอันดับหนึ่ง จริยามารยาทเป็นอย่างไร หากว่าเขาเดินมาจะชนเรา ถ้าเราไม่ยอมหลีกก็ชน ดังนั้นจึงควรมีการหลีกทางให้กัน โดยไม่ยึดติด ในบางครั้งนั้นถึงแม้เราจะอายุมากกว่าแต่ถ้าเราถอยก้าวเดียวแต่เขาต้องถอยเป็นสิบก้าวเราก็ควรถอยให้เขา ขอให้ศิษย์นั้นรู้จักที่จะพลิกแพลง อย่างนี้จึงเรียกปัญญา หาใช่ว่าเรานั้นมองสิ่งต่างๆแล้วมองไม่เห็นความในแห่งธรรมไม่ เราควรจะมองไปรอบๆข้างเรา แม้ว่าจะเป็นแค่การเดินสวนทาง ก็ย่อมย้อนมองเห็นว่าเราควรทำอย่างไรในการบำเพ็ญธรรมของเราได้ว่าควรจะเป็นอย่างไร




อยู่สถานธรรมต้องรู้จักหัดฝึกฝนสิ่งต่างๆ  ให้มากด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน ด้วยความรู้จริงจึงพูด  ถ้าหากว่าสิ่งใดที่คนข้างหน้าทำดีก็จงเลียนแบบ ถ้าหากคนข้างหน้าทำไม่ดีก็ไม่ต้องเลียนแบบ
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท  ชื่อเพลง ยิ่งแสวงยิ่งตีจากทำนองเพลง แค่มีเธอ”)
ยิ่งแสวงหมายถึง ลาภยศ เงินทอง สิ่งจอมปลอมนอกกาย  หากเรายิ่งแสวงก็ยิ่งตีจากใช่หรือไม่ เวลาเราอยากจะได้เงินเหมือนเงินวิ่งหนีหรือเปล่า อยากได้ลาภยศเหมือนลาภยศวิ่งหนีหรือเปล่า (เหมือน) ไม่ว่าอยากได้สิ่งใดก็เหมือนตีจากแต่เราก็ยิ่งแสวง  อาจารย์อยากให้ศิษย์แสวงสัจธรรม สิ่งนี้ไม่ตีจากตัวเราเพราะว่าอยู่ในตัวเรา เพราะฉะนั้นสิ่งนี้เป็นของศิษย์อยู่แล้วศิษย์จงแสวงให้มากเข้า  
(พระอาจารย์เมตตาประทานน้ำให้นักเรียนและผู้ร่วมฟังในชั้นดื่ม)
ดื่มน้ำคิดถึงอะไร เวลาดื่มน้ำคิดถึงต้นน้ำ เรามีร่างกายเพราะว่ามีพ่อแม่ ฉะนั้นบุญคุณต่างๆ ลืมไม่ได้ บุญคุณประเทศชาติลืมไม่ได้ บุญคุณพ่อแม่บุญคุณฟ้าดินก็เช่นกัน คิดแล้วต้องตอบแทนให้ได้ด้วย ขอให้ศิษย์เดินทางไปสู่ต้นน้ำได้ราบรื่น  บางคนบอกว่าทำไมชีวิตไม่ราบรื่นสักที ก็เพราะมีสิ่งหนึ่งเรียกว่ากรรม กรรมเป็นการกระทำ คือสิ่งที่ศิษย์เคยทำมาแล้ว เป็นสาเหตุที่ทำให้มีหน้าตาและผิวพรรณเช่นนี้ เกิดในสภาวะแวดล้อมและสังคมเช่นนี้ เรามีกรรม กรรมเก่ายังไม่ใช้ กรรมใหม่ยังทำเพิ่มขึ้นทุกวัน ชีวิตจึงไม่มีความสุขไม่สมหวัง  มีลูกไม่ได้ดั่งใจ แต่งงานก็ไม่ได้ดังที่คิด สังคมคนแวดล้อมของเราทำไมถึงเป็นเช่นนี้ หาเงินแล้วทำไมต้องเสียเงินด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นวิบากกรรม อยากจะพ้นจากกรรมก็ต้องชดใช้กรรมด้วยการกระทำ จิตใจมีความสำนึก เมื่อเราชดใช้จนหมดไม่เหลือแล้วจึงจะโล่งสบาย ความสำคัญอยู่ที่กรรมใหม่อย่าสร้างเพิ่ม ไม่เช่นนั้นก็เป็นเหมือนกับกระชังที่ก้นรั่ว ใส่น้ำเท่าไรก็รั่วออกหมด หากว่าเราไปเจาะรูรั่ว คือการกระทำของเรา ในที่สุดแล้วทำดีมากแต่ก็ทำชั่วมาก จึงไม่เหลืออะไรเลย เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมก็คือ ซื่อๆ โง่ๆ ธรรมดาๆ ไม่มีอะไรพิเศษ  สำคัญที่สุดก็คือควบคุมอารมณ์ของตนเองให้ดี  เพราะว่าอารมณ์นี้จะเป็นสิ่งที่ร้ายแรงที่สุดที่อยู่ข้างในตัวเรา  เป็นยาพิษที่พร้อมจะออกฤทธิ์อยู่ตลอดเวลา ใครที่มีอารมณ์รุนแรงก็หัดควบคุมให้เป็นอารมณ์ที่เบา ขจัดทิ้งให้หมดไปอย่าได้เสียดาย บางคนมีอารมณ์อยู่นิดหน่อย แล้วก็คิดว่าไม่เป็นไร มีอารมณ์บ้างชีวิตมีสีสัน แต่การมีอารมณ์ยิ่งทำให้ชีวิตวอดวายมากขึ้น
ส่งเสริมกันด้วยวาจาเป็นสีขาว ปกติคำเป็นนามธรรม แต่อาจารย์บอกว่าให้คำพูดออกมาเป็นสีขาว แล้วคำพูดสีดำเป็นอย่างไร  คำพูดสีดำก็คือคำพูดที่พูดให้ร้ายผู้อื่น  คำพูดสีแดงก็คือ พูดโพนทะนาคนอื่นให้เขาเสียหาย สียิ่งแดงยิ่งเด่นชัด คำพูดสีเหลืองคือคำพูดที่โกหกมดเท็จ ศิษย์จะสมมติคำพูดเป็นสีอะไรก็ได้ แต่คำพูดสีขาวก็คือคำพูดที่รู้จักส่งเสริมผู้อื่น  คำพูดที่เป็นเรื่องดี คือพูดแล้วส่งเสริมผู้อื่น การส่งเสริมคนย่อมเป็นเรื่องที่ดี เรื่องใดที่เป็นเรื่องมงคล พบเราก็ต้องยิ่งกว้างออกไปใช่หรือไม่ แต่ถ้าเราไปรู้เรื่องความผิดของคนอื่นเราก็้องไม่พูด ไม่ไปโพนทะนาให้เขาเสียหาย เรื่องร้ายตัดอยู่ที่เราไม่ส่งต่อ ใครเขาจะเสียหายอย่างไร เราอย่าได้ส่งต่อไปดีหรือเปล่า ไม่เช่นนั้นเราเสียความรู้สึกคนเดียวไม่พอ ยังทำให้คนอื่นเสียความรู้สึกเหมือนกับเราไปด้วย ในที่สุดคนๆ นั้นอีกสองวันเขาอยากเป็นคนดีก็ไม่ต้องทำดีพอดี เพราะรู้สึกว่ามีคนว่าเขา 
ช่วยเวไนยเข้าใจกันใจกว้างพอ”  เรามีใจที่กว้างพอหรือเปล่าใจของเราใส่อะไรได้บ้าง ใจของเราใส่โลกได้ทั้งใบ ใส่พระอาทิตย์ได้ทั้งดวง  ใส่พระจันทร์หรือใส่บ้านได้ทั้งหลัง  ใส่คนทั้งโลกก็ใส่ได้  แต่ว่ามนุษย์มักมีใจคับแคบไม่รู้จักเพียงพอในสิ่งที่ตนเองมี แล้วหาสิ่งที่เป็นขยะมาใส่ เพราะฉะนั้นควรมีใจกว้างๆ อะไรอภัยได้ก็รู้จักอภัย ยอมรับได้ก็จงยอมรับเสียง่ายๆ  ไม่เช่นนั้นแล้วหากว่าเราเป็นคนใจแคบความทุกข์ก็ตกที่เรา
ความคิดเบากรรมหนักกัมปนาทเวลาเราคิดเราคิดเบาๆ ใช่หรือเปล่า ไม่มีใครรู้แต่เรารู้อยู่คนเดียว แต่เวลาเราทำออกมากรรมหนักกัมปนาท กัมปนาท แปลว่า เสียงที่กึกก้อง เพราะฉะนั้นถ้าให้ดีก็คือ แม้แต่คิดร้ายก็อย่าได้คิด ความคิดนั้นเบาเพราะว่าไม่มีคนอื่นสามารถรับรู้ได้แต่เมื่อกระทำออกมาแล้วอย่าคิดว่าความลับมีในโลก
ความประพฤติทุกขณะไม่ประมาท หมายถึงความประพฤติทุกขณะจิตไม่ใช่ความประพฤติเฉพาะตอนที่อยู่ในสถานธรรม หรือความประพฤติเฉพาะตอนที่เราเผอเรอ  จึงบอกว่าความประพฤติทุกขณะไม่มีความประมาท
คนฉลาดนั้นฤๅคืนสุทธาคนยิ่งมีความฉลาดเจ้าเล่ห์แกมโกงเท่าไร ยิ่งไม่สามารถคืนสุทธาได้ คนที่โง่ให้เขาเอาเปรียบเป็นสะพานให้เขาเดิน ยิ่งเป็นพุทธะเร็วรู้หรือเปล่า
ไร้คำยอ  หากไม่มีคนที่เฝ้าแต่ยกยอปอปั้นกัน โลกถึงจะสงบได้ มัวแต่ยกว่าคนนี้ดีคนนี้ไม่ดี ในที่สุดโลกในใจศิษย์ก็ไม่สงบ โลกภายนอกก็ยิ่งไม่สงบใหญ่ ฉะนั้นอย่าเป็นคนที่ยอใคร หากเขาดีเขาก็จะดีด้วยตัวเอง หากเขาไม่ดีแต่ไปบอกว่าเขาดีจนเขาหลงตัวเอง เมื่อเผลอไปทำผิดแล้วโดนคนอื่นว่า แล้วเขาจะไม่สงสัยหรือว่าเราเป็นคนประเภทไหน เราก็กลายเป็นคนไม่ดี แล้วเขาก็ไม่อยากมาสถานธรรมอีก ถามว่าเขาจะคิดว่าคนที่ว่าเขาหรือคนที่ยอเขาผิด (คนว่า) หากเราไปชมเขาจนเกินเหตุเขาก็เสียคน เพราะฉะนั้นพูดแต่ความจริง ชมกันบ้างเพื่อเป็นกำลังใจ ปลอบประโลมให้มีน้ำหล่อเลี้ยงในใจของกันและกัน  ความเข้าใจกันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้อยู่ร่วมกันได้ คำเยินยอเป็นสุดโต่งในด้านเสีย หากศิษย์ยอเขา วาจาของเราก็เป็นวาจาที่ไม่บริสุทธิ์ คนที่ฟังไปก็จะไม่บอกว่าตัวเองผิด แต่จะว่าคนที่ว่าเขานั้นผิด นี่ก็จะเป็นข้อเสียทั้งต่อเราและเขา ไม่มีข้อดีเลย  ความสงบของการอยู่ร่วมกันก็คือ ไม่มีใครดีกว่าใคร เมื่อมีคนดีกว่าก็ย่อมมีคนไม่ดี แล้วใครจะยอมเป็นคนไม่ดี จริงหรือเปล่า ฉะนั้นหากว่าเราไม่ดี ก็ไม่ดีเท่ากันหมด ดีก็ดีเท่ากันหมด ถ้าเราว่าเขาไม่ดีเราก็ไม่ดี ถ้าเราว่าเขาดีเราก็ดี อย่าได้มีใครดีกว่าใครจึงจะอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข บางคนอาจมีความสามารถด้านใดมากกว่า แต่ความสามารถนั้นไม่ต้องการการยกยอกันเกินไป มีชมบ้างบางครั้งแต่ไม่ใช่ยอ
ต่างมีดีมีร้ายทุกผู้คน ทุกคนก็มีข้อดีข้อร้าย "อย่าขุดค้นบั่นทอนการฝึกเมตตา" บางคนชอบเอาเรื่องที่จบแล้วมาว่าใหม่ ดูในครอบครัวเรา เราอยากให้พ่อแม่พี่น้องมาว่าเราบ่อยๆ ไหม สิ่งที่เราผิดไปแล้ว สำนึกแล้ว แก้ผิดไปแล้ว อยากให้เขามาว่าเราอีกไหม (ไม่อยาก) การอยู่ร่วมกันในสถานธรรมก็เช่นเดียวกัน อย่าพยายามค้นเอาสิ่งที่แอบแฝงให้ปรากฏ การขุดค้นนั้นบั่นทอนการฝึกเมตตา คือ ความปรานี ความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน เพราะคนที่เมตตาย่อมไม่ขุดค้นความผิดผู้อื่นออกมาโพนทะนา
ร่วมใจกันจึงสามารถฉายปรีดา ความปรีดาเป็นเหมือนแสงสว่างที่ฉายออกมาได้ ไม่ใช่อยู่ในใจเราคนเดียว ความปรีดานี้เกิดจากความร่วมมือกันเท่านั้น
คนมีค่าที่จริงใจย่อมเพียงพอ ให้ถามตัวเราว่าเรามีความจริงใจพอหรือไม่ มานั่งฟังธรรมเราศรัทธาจริงใจพอหรือเปล่า ทำการงานซื่อสัตย์จริงใจพอหรือไม่
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า เอาใจเขามาใส่ใจเรา)
คำนี้อาจารย์อยากให้ศิษย์ทำให้ได้ อาจารย์รู้สึกว่าศิษย์ของอาจารย์มีการทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อยมาก อาจารย์อยากให้รู้ว่าไม่มีใครไม่ดีในสายตาอาจารย์ ไม่มีใครดีกว่าใครในสายตาอาจารย์ ทุกคนเป็นคนดีและอาจารย์อยากให้ศิษย์เอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่เช่นนั้นบ้านนี้ก็จะลุกเป็นเพลิง ไม่ว่าศิษย์จะอยู่ร่วมกับใครหรือจะทำอะไร ต้องเกรงใจกัน เอาใจเขามาใส่ใจเรา มีมารยาท อย่าข้ามหน้าข้ามตากันไปมา แต่เมื่อเขาข้ามหน้าเราไป เราอย่าได้รู้สึกว่าเสียเกียรติ คนบำเพ็ญธรรมไม่ต้องมีเกียรติทางโลกแล้ว อะไรเราทุกข์เป็นเขาก็ทุกข์เป็น อะไรเราสุขเป็นเขาก็สุขเป็น ใจเราระเริงได้เขาก็ระเริงได้ ใจเขาใจเราก็สีเดียวกัน เต้นเท่าๆ กันเหมือนๆ กัน คนเหมือนกันบำเพ็ญด้วยกันทั้งนั้นอย่าได้แบ่งแยกกันเลย อาจารย์หวังว่าศิษย์จะอยู่ร่วมกันด้วยความสุข ยิ่งนานวันยิ่งสุขมีความปีติยินดีต่อกันให้มาก
(พระอาจารย์เมตตากับหัวหน้าชั้นและรองหัวหน้าชั้น)
วันนี้ศิษย์ช่วยงานธรรมช่วยอาจารย์ แต่วันหน้าอาจารย์ไม่รู้ว่าศิษย์จะเปลี่ยนไปถึงไหน ก็อยากบอกศิษย์ว่าให้กลับไปศึกษาให้เข้าใจให้ดี อาจารย์ไม่ได้ต้องการบ้านของศิษย์ แต่ต้องการให้ศิษย์บำเพ็ญธรรม ถ้าเข้าใจแล้วทุกๆ อย่างย่อมดีขึ้นเอง ข้อคั่งค้างในใจย่อมแก้ได้ด้วยตัวศิษย์เอง ไม่มีหนังสือเล่มไหนตอบศิษย์ได้ว่า ที่ศิษย์สงสัยคืออะไร จนกว่าศิษย์จะตอบตัวเอง
ในวันนี้อาจารย์มาเวลาสั้นๆ พบหน้าศิษย์รักทุกคน อาจารย์ก็ยินดีมีความสุข แต่ไม่รู้ว่าศิษย์มีความสุขที่ได้เจอกันหรือเปล่า ศิษย์รู้จักอาจารย์กันทุกคนแล้วใช่ไหม การรู้จักกันรู้จักง่าย พบกันง่ายจากกันยาก เราอย่าเจอกันรู้จักกันเพียงผิวเผินภายนอกเลยนะ  ร่างที่อาจารย์ใช้นี้ไม่ใช่ร่างของอาจารย์ การที่ศิษย์จะรู้จักอาจารย์ อยากให้รู้จักอย่างแท้จริงมากกว่า อาจารย์มีชื่อว่า "จี้กง" แปลว่า อนุเคราะห์ชาวโลก หากศิษย์อยากรู้จักอาจารย์ ขอให้รู้จักกันโดยช่วยคนเหมือนที่อาจารย์ทำ ทุกวันนี้ไม่ว่าอาจารย์จะกลับชาติมาเกิดกี่ครั้ง อาจารย์ก็ยังออกช่วยคนอยู่นั่นเอง ไม่ใช่อาจารย์ไม่รู้ว่าการเป็นมนุษย์มีความทุกข์ กิเลสขจัดยากเช่นไร แต่อาจารย์เคยเป็นมนุษย์และเคยขจัดกิเลสเหล่านี้แล้ว จึงกล้าบอกศิษย์ว่า หากศิษย์กล้าที่จะขจัด มีหรือที่กิเลสจะไม่ไป ทุกๆ วันก้าววันละก้าว มีหรือนิพพานนั้นห่างไกล กลัวก็แต่ศิษย์ไม่พยายามตั้งใจและเห็นการที่อาจารย์มาเป็นเรื่องเล่น สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกก็คือ ใจของตัวเราเอง ใจเราเป็นมารหรือเป็นพระก็ห่างกันแค่วินาทีเดียว หากว่ามีเมตตาจิต วินาทีนั้นก็เป็นพุทธะ มีความสุขเหมือนล่องลอยบนสวรรค์ แต่หากวินาทีนั้นคิดร้ายให้ร้ายคนก็เหมือนตกนรกหมกไหม้ ใบหน้าแสดงออกถึงความเป็นมารอย่างเต็มที่ ศิษย์อยากเป็นพุทธะก็จงสลัดคราบแห่งปุถุชนอันนี้ให้พ้นไปจากตัว
(พระอาจารย์เมตตากับผู้ที่จัดหาสถานที่ประชุมธรรม)
หยุดก้าวเมื่อไรก็ถอยหลังลงคลองเท่านั้น ก้าวไปเรื่อยๆ ก็มีแต่ก้าวหน้า
อีกสักครู่อาจารย์ก็ไปแล้ว ไม่ได้อยู่ดูหน้าใสๆ ของศิษย์ทุกคนอีกแล้ว  อาจารย์ไปแล้วจะลืมอาจารย์ไหม (ไม่ลืมอาจารย์ก็ไม่ลืมศิษย์เช่นเดียวกัน  วันนี้เจอกันวันหน้าเจอกันหรือเปล่า เจอกันในสภาพไหน  ดีกว่าเดิมหรือแย่กว่าเดิม (ดีกว่าเดิม) ถ้าเราแย่กว่าเดิม คนที่จะเสียก่อนก็คือเรา  ทุกๆ วันต้องส่องกระจกมองให้เห็นพุทธะข้างในหรือไม่ก็เห็นมารยิ้มก่อน มารยิ้มได้ต่อไปพุทธะก็ปรากฏใช่หรือเปล่า  ทุกๆ  วินาทีไม่ว่าเราไปเจอกระจกที่ไหนเราต้องมองว่ามารหรือพุทธะ
ทุกๆ  วันมีค่า ทุกๆ  นาทีมีค่า อันว่าชีวิตนั้นสั้นเหมือนแมลง แมลงนั้นเวลามีชีวิตขึ้นมาก็ไม่กี่วัน สิ่งศักดิ์สิทธิ์มองมนุษย์ในโลกก็ไม่กี่วันเอง เหมือนกับที่มนุษย์มองชีวิตของแมลง ต่อไปไม่ว่าคนอื่นจะพูดจาว่าอย่างไร อย่าเห็นว่าการบำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องงมงาย ขอให้ศึกษาธรรมะที่แท้จริง ถ้าหากคนจะบอกว่าเรางมงาย ก็ต้องดูตัวเราว่างมงายหรือไม่ เพราะว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นไม่มีความงมงายเข้ามาข้องเกี่ยว
 ในบัดนี้ยุคกาลสมัยเปลี่ยนไปการบำเพ็ญธรรมนั้นต้องบำเพ็ญในครัวเรือน เพราะฉะนั้นความลำบากจึงยิ่งทวีเป็นเท่าตัว ยิ่งคนมากเท่าไรก็ยิ่งทวีความลำบากในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นมากเท่านั้น หวังว่าศิษย์ทุกๆ คนจะมีจุดมุ่งหมายที่มั่นคงแน่นอน รักษาตัวกันให้ดีทุกๆ คน ไม่ว่าคนไหนก็เป็นศิษย์รักของอาจารย์  รู้ใจอาจารย์ก็บำเพ็ญให้ดีๆ อย่ามัวให้คนอื่นเขาเรียก
อาจารย์รู้ว่าศิษย์หลายคนไม่มีความเชื่อมั่นถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ อยากจะเชื่อว่ามีสิ่งเหล่านี้ แต่อาจารย์อยากจะบอกว่า อย่าได้มีความคิดชั่ววูบ อารมณ์ชั่วแล่นขาดการพิจารณาธรรมะที่สูงส่งและแท้จริงอันนี้ ไม่เช่นนั้นแล้วศิษย์จะต้องเสียใจไปจนชั่วนาน ไม่ชั่วชีวิตนะ ชั่วชีวิตนั้นสั้นไป ชั่วฟ้าดินสลายก็ว่าได้ อาจารย์ไม่อยากจะบอกว่า สองสามชั่วโมงที่อาจารย์มาอยากจะให้ศิษย์เชื่อและศรัทธา อยากให้ศิษย์เข้าใจว่าการบำเพ็ญนั้นเป็นอย่างไร ทำไมถึงคิดอย่างนั้น ทำไมจึงต้องรับหน้าที่อันนี้

อาจารย์นั้นมองเห็นศิษย์เปลี่ยนไปทุกๆ วันทุกๆ ปี ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าตนเองเดินมาถึงครึ่งทางหรือยัง ชีวิตของเรานั้นอีกยาวไกลเท่าไร จะจบสิ้นวันนี้หรือพรุ่งนี้ เพราะฉะนั้นศิษย์อย่าประมาท อย่าบอกว่าเราดีคนอื่นไม่ดี อาจารย์บอกแล้ว ทุกๆ คนสำหรับอาจารย์นั้นดีไปหมด ดีจนบางทีอาจารย์ไม่กล้าทดสอบ ปล่อยศิษย์อยู่เฉยๆ เจ้ากรรมนายเวรมาก็ปกป้องให้ จนศิษย์ไม่รู้เลยว่าอันที่จริงแล้วศิษย์ควรที่จะรับหนักกว่านี้หรือแย่กว่านี้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าศิษย์จะเดินไปถึงไหน อาจารย์อยากจะเตือนหรืออยากจะว่า แต่ไม่เคยกล้าเลย เพราะฉะนั้นโอวาทอันนี้ที่จริงแล้วท่านฮั่นจงหลีได้เมตตาสอนสั่งศิษย์ไว้มากมาย มีคำพูดหลายคำเป็นคำพูดของอาจารย์ มีหลายๆ คำที่อาจารย์อยากจะบอกศิษย์แต่ไม่เคยกล้า ขอให้ศิษย์ไปอ่านแล้วก็ดู ทั้งของอาจารย์ ของท่านฮั่นจงหลีและท่านองค์ประธานคุมสอบสามภูมิ ดูซิว่าศิษย์คนไหนรู้ใจอาจารย์บ้าง



อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา