วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2540

2540-05-20


วันอังคารที่ ๒๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๐

พระโอวาทพระโพธิสัตว์กวนอิน

ทิพย์สถานในโลกท่านชุมนุม หลังงองุ้มเมื่อชราเยือนใช่ไหม

ขอท่านเร่งบำเพ็ญอย่างใส่ใจ ใบไม้ร่วงผลิใบใหม่ย่อมยากเกิน

เราคือ

เมี่ยวซ่านกวนอิน รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน กตัญชุลี

พระอนุตตรธรรมมารดา ถามเมธีทุกท่านเกษมสำราญฤๅ

พระโอวาทพระโพธิสัตว์กวนอิน

หนึ่งในหลักคุณสัมพันธ์ทั้งห้า พ่อแม่ที่พึงให้ต่อบุตร ผู้ปกครองที่พึงให้ต่อผู้ใต้ปกครอง ผู้ที่เป็นพี่ที่พึงให้ต่อน้อง และนั่นก็คือความเมตตาใช่หรือไม่ ความเมตตาเป็นพื้นฐานของคุณธรรมที่สั่งสมบ่มเพาะอยู่ในจิตใจของมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม แต่เพราะอะไรความเมตตาจึงค่อยๆ จางไป กลายเป็นการกระทำที่ผิดพลาด กลายเป็นจิตใจที่เลวร้าย เพราะเป็นความรักที่มืดบอด เพราะเป็นความห่วงที่ลืมความถูกต้อง ใช่หรือไม่ ความรักในความเมตตานั้นแม้เป็นพื้นฐานก็ตาม แต่เราต้องพึงยึดหลักความซื่อตรง หากเรามีจิตเมตตาแต่ไร้ซึ่งความซื่อตรงแล้ว สิ่งนั้นย่อมทำลายสิ่งดีงามในตัวทุกผู้ทุกนามได้ เหมือนกับเรามีความรัก ในบุตรหลานของเรา ถ้าเรารักเขามากเกินไป มีจิตใจที่เอนเอียงแล้ว เมื่อลูกหลานของเราถูกทำร้าย เราก็อดไม่ได้ที่จะเกลียดชังบุคคลผู้ที่มาทำร้ายลูกหลานเรา จริงไหม

เมื่อคิดจะเมตตา เมื่อคิดจะรักขออย่าให้แบ่งชนชั้นหรือแบ่งตัวเขาตัวเรา ลูกฉันลูกเธอ ถ้าเราทำได้เช่นนี้ ความเมตตาที่งดงาม และความเมตตาที่แท้จริงก็จะออกมาจากจิตใจได้ ดังที่คำโบราณกล่าวไว้ว่า หนึ่งซื่อตรงสามารถหลีกเร้นความชั่วร้ายนานาประการได้ หนึ่งความคดสามารถทำลายล้างร้อยความดีในตัวตนได้ เช่นเดียวกัน เมื่อรู้ว่าเราเป็นผู้ใหญ่ที่จะต้องปกครองผู้น้อย ความเมตตามีแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่จะต้องทำให้กับผู้น้อย นั่นก็คือการบ่มเพาะสร้างสมคุณงามความดีให้กับเขา ใช่หรือไม่ แม้เราจะสร้างสมทรัพย์สมบัติพัสถานมากมาย แต่เราไม่เคยอบรมบ่มเพาะคุณธรรมความดีงาม การดำรงชีวิตที่ถูกที่ควร แม้จะมีสมบัติหมื่นล้านพันแสน ไม่นานไม่ช้าลูกหลานก็ต้องใช้หมด ชีวิตก็ยากเจริญรุ่งเรืองขึ้นได้ แต่ในทางตรงกันข้าม หากเรารู้จักบ่มเพาะทั้งคุณธรรมความดีงาม เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกหลาน และสร้างสมสิ่งที่ดีงาม ถึงแม้มีทรัพย์สมบัติไม่มาก แต่ถ้าเกิดลูกหลานรู้จักนำคุณธรรมความดีงาม ชีวิตที่ถูกต้องเที่ยงแท้ เขาก็สามารถนำเงินทองเพียงเล็กน้อยไปสร้างสมความเจริญงอกงามให้กับชีวิตได้เช่นกัน

การปกครองลูกหลานถ้าลูกหลานเกิดทำผิดพลาด เราต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ การจะเป็นลมเย็นพัดผ่านเพื่อละลายน้ำแข็งอันหนาทึบได้นั้น ก็เปรียบเหมือนกับการที่จะแก้ไขข้อบกพร่อง ข้อผิดพลาดของลูกหลานนั้น เราต้องรู้จักใช้อารมณ์อันเยือกเย็น ใช้อารมณ์อันสุขุม ทำลายล้างความไม่ดีของลูกหลาน แต่การจะทำลายได้นั้น สิ่งที่เราจะต้องมีนั้นก็คือความสุขุม เมื่อเขาผิดพลาดอย่าเพิ่งใช้อารมณ์ว่ากล่าวในทันที แต่เราต้องรู้จักค่อยๆ ตะล่อมๆ เพื่อหาโอกาส เมื่อถึงคราวเหมาะก็ค่อยๆ พูดตักเตือน มีลูกหลานคนไหนบ้างที่ไม่รักพ่อแม่ ที่ไม่รักปู่ย่าตายายที่ใจเย็น ที่เป็นคนยิ้มง่าย ที่เป็นคนมีความเมตตา ฉะนั้นเราเป็นผู้นำของบ้าน เป็นผู้ปกครองของคนในบ้าน ตัวเรานั้นต้องไม่เป็นผู้ชักพาสิ่งร้ายเข้ามาในบ้านก่อนเป็นคนแรก

การรู้จักสำรวจตนนั้นเป็นสิ่งที่ดี ดีอย่างไรล่ะ ข้อหนึ่ง ได้มองได้เห็นอย่างกว้างขึ้น หากทุกวันเราใช้แต่สายตามองลูกหลาน จับผิดลูกหลาน หรือเป็นห่วงลูกหลานจนเกินไป ก็จะทำให้เราละเลยเพิกเฉยความดีที่อยู่ในตัวเราทุกวันมีแต่สร้างสิ่งที่ไม่ดี เมื่อถามลูกหลานว่าตนเองทำไมเป็นอย่างนั้น ทำไมลูกหลานไม่ได้ดีอย่างที่เราต้องการ หากลูกหลานไม่มีแบบอย่างที่ดีในบ้านแล้ว จะให้ลูกหลานไปทำดีได้อย่างไร

วันนี้มาฟังธรรมะ ฟังไปเพื่ออะไรกัน ในประวัติศาสตร์ที่เราได้เคยร่ำเรียนกันมา มนุษย์ที่คิดจะศึกษาไขว่คว้าหาหลักสัจธรรม หาหลักธรรมะบำเพ็ญตนนั้นก็เพื่อที่จะหลุดพ้นจากโลก แต่ตอนนี้ท่านมาศึกษาหลักธรรม สิ่งที่ท่านต้องการเพียงแค่ต้องการเห็นการยืมร่าง เพียงแค่ต้องการเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นหรือ ขอให้มองตนเองให้ชัดเจน ที่เราศึกษาธรรมะกันไปนั้นก็เพื่อค้นหาความเป็นจริงแห่งชีวิต หาทางหลุดพ้นแห่งชีวิตที่แท้จริง มาพบพุทธะแม้จะเป็นพุทธสถานก็ต้องได้พุทธะกลับไปอยู่ในตัวตนด้วย แต่ถ้าเกิดมาพบพุทธะ ได้เห็นเพียงกายแห่งพุทธะแต่ไม่สามารถสัมผัสถึงสภาวะความเป็นพุทธะ นั่นก็คือจิตใจท่านยังสงบไม่เพียงพอ คนโบราณนั้นเมื่อคิดจะมาศึกษาหลักธรรมในพุทธสถาน ล้วนต้องเปิดใจกว้าง ความวิตกความทุกข์ร้อนล้วนทิ้งไว้ที่บ้าน เมื่อมาถึงสถานธรรมก็จะมีใจพร้อมรับได้ทุกเรื่องทุกราว

จุดมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการเป็นมนุษย์นั้นก็คือ การได้สามารถบำเพ็ญตนกลับคืนสู่แดนนิพพาน แต่การจะบำเพ็ญตนกลับนิพพานใช่เพียงแค่ได้รับรู้วิถีธรรมแล้วก็ไปดำเนินชีวิตตามปกติเท่านั้นหรือ เราจะค้นหาแสวงหาทรัพย์สิน หรือจะไปค้นหาความเป็นจริงแห่งชีวิต อยากไปค้นหาความเป็นจริงแห่งชีวิตใช่ไหม การจะไปค้นหานั้นจิตใจต้องหนักแน่น มิอย่างนั้นหากกระแสลม กระแสธารแห่งทุกข์สุขก็จะพัดพาจิตใจท่านกลับเป็นเช่นเดิม แม้ทะเลที่มีคลื่นยากหยุดนั้นก็ยังไม่เท่ากับจิตใจที่มีมากไปด้วยคลื่นเพราะเรายังปลงไม่ได้ วางไม่ลงใช่ไหม เฉกเช่นลูกหลานต้องออกไปไกลหูไกลตา จิตใจของเราก็ไม่สามารถวางหรือปล่อยลงได้ การอวยพรให้เขาจากไปแล้วพบแต่สิ่งที่ดีงาม กับการมานั่งวิตกกังวลทุกข์ร้อน กลัวเขาจะเป็นเช่นนั้นกลัวเขาจะเป็นเช่นนี้ แล้วสิ่งใดที่ท่านควรจะกระทำ เมื่อเขาจากท่านไป (อวยพรเขา)

สิ่งที่น่ากลัวสำหรับผู้ที่อายุมากตอนนี้นั่นก็คือความโดดเดี่ยวอ้างว้าง บางคนหลีกหนีด้วยการไปเที่ยว ไปพักผ่อน ไปหาคนคุยด้วยเพื่อหลบหนีความโดดเดี่ยวอ้างว้าง แต่การทำเช่นนั้น เป็นการหลีกหนีได้ชั่วครู่

ชั่วคราว เมื่อเจอความทุกข์ เราก็อยากหนีใช่ไหม สิ่งไหนที่ทำให้เราสบายใจ ที่ทำให้เราเพลิดเพลิน ลืมความทุกข์ไปชั่วระยะหนึ่ง เราก็เร่งรีบไปหาใช่หรือเปล่า แล้วต้องคิดหลีกหนีความโดดเดี่ยว อ้างว้าง ความไม่รู้ชีวิตที่แท้นี้ไปอีกนานเท่าไร เราอยากค้นพบความเป็นจริงหรือความสงบร่มเย็นในบั้นปลายชีวิตกันบ้างหรือไม่ แล้วจะทำอย่างไร เคยคิดกันบ้างหรือเปล่า หรือว่าคิดเพียงชั่วครู่ เมื่อหาไม่ได้ก็กลับไปในวัฏฏะ เวียนวนแห่งทุกข์สุขอีก ทำไมไม่ตั้งใจอดทนค้นหาอย่างแท้จริง ความเป็นพุทธะไม่ได้อยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่ทุกท่าน แล้วการดับทุกข์ ดับวิตกกังวล ดับเภทภัยจะแปรเปลี่ยนได้นั้นก็อยู่ในมือ อยู่ในจิตใจอันนี้ แต่น้อยคนนักเมื่อลงแรงแล้วเจอความยากลำบากก็พ่ายแพ้ ไม่คิดที่จะกระทำต่อ หากไม่คิดที่จะขึ้นที่สูงก็ยากพบความสุขสมหวังแห่งที่สูงได้ หากไม่รู้ว่าตนกำลังเวียนว่ายอยู่ในกระแสธารก็ยากที่จะรู้ว่ากระแสธารนั้นวนเวียนวังวนแค่ไหน

การวิงวอนขอเมื่อพบพุทธะนั้นก่อนที่จะวิงวอนขอ เราเคยถามตนเองบ้างไหมว่าเราลงมือกระทำสิ่งนั้นบ้างหรือเปล่า ขอให้เราพ้นทุกข์ พ้นภัย ขอให้เราประสบแต่สิ่งที่ดีงาม แต่ทุกวันเดินไปหาแต่ทุกข์ เดินไปหาแต่ภัย หลีกหนีความดีงาม ตื่นขึ้นเถิดมองให้เห็นความเป็นจริง บั้นปลายแห่งชีวิตอยู่เพียงลมหายใจสุดท้าย วันนี้มีลมหายใจ วันพรุ่งนี้ลมหายใจอยู่แห่งใด วันนี้มีทรัพย์สิน มีความสุข พรุ่งนี้ทรัพย์สินความสุขหายไปไหน หากยังหลับตา หากยังปิดหูทำตนไม่รับรู้ความจริงข้างหน้า ทุกวันหาแต่ความมืดมน แล้วความสว่างล่ะ มีใครคิดจะจุดประกายขึ้นมาบ้าง จุดประกายอย่างไร เริ่มต้นที่กระทำภายในบ้าน เป็นบุคคลที่ร่มเย็นมีความอบอุ่น ไม่มีอารมณ์ร้อน วู่วาม มีจิตใจตามทันทุกสถานการณ์ที่พลิกผ่านเข้ามา จิตใจที่ตามทัน จิตใจที่มองเห็นความชั่วร้ายในตนนั่นก็คือความเป็นพุทธะ

ยุคขาวกับยุคแดงต่างกันตรงไหน ยุคขาวนั้นหากตั้งใจบำเพ็ญ ขัดเกลาจิตใจอันสกปรก ฟื้นฟูความเป็นพุทธะเดินตรงสู่ทาง กลับคืนสู่นิพพาน ท่านก็จะได้พบแสงสว่างอันนิจนิรันดร์ แต่ยุคแดงนั้นท่านจะต้องเป็นเมธีฝ่ายชาย บวช โกนผม นุ่งห่มเหลือง ซึ่งเมธีฝ่ายหญิงยากจะกระทำได้ ถึงแม้จะมีการนุ่งขาวห่มขาวแต่ถ้าให้ถือศีลตามที่พระพุทธองค์บัญญัติก็ยากที่จะมีใครถือได้ครบ แม้เพียงศีลห้าทุกวันก็ยากที่จะกระทำครบได้ หากศีลห้าทำครบ ทุกวันบำเพ็ญตน ช่วยเหลือตนเอง ช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว ท่านก็สามารถกลับคืนได้เช่นกัน

หากวันนี้มาฟังธรรมเพียงหนึ่งวัน แต่มีความเข้าใจเพียงชั่วครู่ชั่วคราว ต่อไปคิดจะมาศึกษาเพิ่มเติมหรือไม่ (คิด) แต่มีบางคนยังอดไม่ได้ใช่หรือเปล่า หากวันนี้ยังปลงไม่ได้วางไม่ได้ ไม่คิดบำเพ็ญอย่างแท้จริง เมื่อต้องพ้นจากกายนี้ไป วิญญาณท่านก็ยากจะกลับคืนสู่แดนพุทธาลัยหรือแดนนิพพาน เราเห็นมาหลายคนแล้ว ที่วนเวียนแล้วก็พูดว่า ถ้าตนเองได้มีกายอีกครั้งหนึ่งได้พบพุทธะอีกครั้งหนึ่ง ตนเองจะตั้งใจบำเพ็ญ แต่ทำไมล่ะยังมีคนอีกมากมายร่ำร้อง ร้องเรียกเรา แต่น้อยคนนัก เมื่อพูดไปแล้วกล่าวไปแล้วจะทำได้จริง พูดวันนี้ พรุ่งนี้ก็ลืมเลือน พูดปีนี้ ปีหน้าก็หายไป เพราะอะไร เรายากกลับคืนแดนพุทธาลัยไปเสวยวิมุตติสุข ทุกวันท่านยังพร่ำสวดนามแห่งเราอยู่ แต่มีใครพร่ำสวดแล้วจะเข้าใจถึงจิตแห่งโพธิสัตว์ ยังพูดไม่ทันจบมือก็ไป วาจาก็กล่าวเสียแล้ว แม้เราจะแปลงพระภาคกี่พระภาคก็ตามพูดก็แล้ว นำภัยมาตักเตือนก็แล้ว ความเจ็บปวดตักเตือนก็แล้ว น้อยคนนักที่จะเห็นชีวิตอันแท้จริง ต้องให้นอนอยู่บนเตียงเฉยๆ แล้วลืมตาขึ้นพูดว่า ร่างนี้อนิจจังเสียเหลือเกิน โลกนี้ไม่เที่ยงแท้ ท่านถึงคิดจะบำเพ็ญธรรม ไม่ห่วงตนเองบ้างหรือ (ห่วง) แล้วคนดีๆ เช่นทุกท่านที่นั่งอยู่ที่นี้ไม่คิดหรือ ว่าคนดีๆ อย่างเรา ถึงแม้จะมีดีบ้างร้ายบ้าง ก็สามารถกลับแดนพุทธาลัยได้ เพียงแต่ล้างสิ่งร้าย ฟื้นฟูสิ่งดี ค้นพบพุทธะบำเพ็ญตนตามหลักธรรม บำเพ็ญนั้นอาจจะยากในการฉุดช่วยคน แต่ก่อนที่จะพูดว่าฉุดช่วยคนนั้นยาก ฉุดช่วยคนนี้ง่าย ถามก่อนว่าใจที่เราไปฉุดช่วยคนเหล่านั้นมีความเมตตาเท่าไร มีความยากง่ายอยู่ในใจหรือเปล่า จิตใจแห่งพุทธะทุกดวงต่างมีรอยบาดแผลแห่งเภทภัย ต่างมีบาดแผลแห่งมายา เมื่อมันอักเสบหรือลุกลามขึ้นมาขอให้รับรู้ว่านั้นเป็นการเตือน เตือนว่าเรามีร่างกายเท่านี้ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ย่อมจะมีวันใกล้เส้นดับสูญเช่นกัน พูดไปร้อยคำพันคำ ความศักดิ์สิทธิ์ของเราก็เริ่มเบาบางลง เพราะอะไร เพราะพุทธะไม่เคยแสดงความศักดิ์สิทธิ์เท่าที่เราพูดเลย ทุกคนแม้จะชี้แนะ จะบอกกล่าวเป็นหมื่นเป็นพันคำ สายน้ำก็ยังชอบลงต่ำวันยังค่ำ เฉกเช่นจิตใจของคนที่ลื่นไหลสู่แดนมายา หรือสู่แดนเลวร้ายได้ง่ายยิ่งนัก แต่การวิดน้ำขึ้นอยู่ที่สูง การปีนสู่ที่สูง ถึงแม้จะยาก แต่ถ้าผู้ใดทำได้นั้นก็เป็นสิ่งที่ดีใช่หรือไม่

น้ำจะกลั่นตัวคืนสู่ฟ้าได้ย่อมบริสุทธิ์อย่างแท้จริง จิตใจจะบริสุทธิ์คืนฟ้าได้ย่อมผ่านการเคี่ยวกรำหล่อหลอมอย่างหนักแสนหนัก สำคัญที่ว่าจะยอมไหม จะเดินหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นเก้าอี้พุทธะหรืออาสน์บัวแห่งพุทธะท่านก็จะไม่มีวันได้เหยียบหรือได้นั่งอีกต่อไป เพราะไม่ยอมเข้าใจถึงชีวิต เพราะไม่ยอมบำเพ็ญธรรมด้วยการลงแรง

วันนี้ฟังธรรมะ พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ขอให้ท่านตั้งใจศึกษาให้ดี ถึงแม้การมาครั้งนี้ของเราจะเป็นเพียงชั่วครู่ ไม่ได้ให้อะไรที่เป็นคำศักดิ์สิทธิ์มากมาย แต่อยากจะชี้ว่าความเป็นพุทธะอยู่ในตัวท่าน ตำราแห่งการฝึกฝน การเป็นพุทธะก็ขึ้นอยู่ที่ท่านเป็นผู้เขียนขึ้น แต่จะสำเร็จหรือเปล่า หรือว่าคั่งค้างก็อยู่ที่ตัวท่านเองใช่ไหม (ใช่)

(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานลูกอมให้นักเรียนและผู้ปฏิบัติงานธรรม) ขอให้ความหวานนี้อย่าเป็นเพียงลิ้มรส แต่ความหวานนี้ให้บำเพ็ญด้วยความหวาน กล่าววาจาอะไร ก็ด้วยถ้อยคำที่หวาน และไพเราะนุ่มนวลได้ไหม ถ้อยคำที่เลวร้ายทิ่มแทงบาดหูผู้อื่นนั้นเลิกเสียเถิด บำเพ็ญใส่ชุดขาวทั้งชุด แต่วาจายังพูดไม่ได้ขาวเลย ก็ยากจะเป็นผู้บำเพ็ญที่แท้จริงได้

ขอให้ตั้งใจศึกษาให้ดี ถ้ามีโอกาสขอให้มารับแสงแห่งพุทธะดีหรือไม่ อย่าดูเบาแสงแห่งตะเกียงสามดวงนี้ที่ดูเหมือนประทีปดวงเล็กๆ แต่ถ้าเมื่อไรประทีปดวงเล็กนี้เข้าไปจุดสว่างในกลางใจแล้วความเป็นพุทธะย่อมบังเกิด พุทธะก็อยู่ข้างๆ ท่าน แต่ท่านจะเป็นผู้ขับไล่พุทธะหรืออัญเชิญพุทธะนั้นอยู่ที่การปฏิบัติ หากปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พุทธะย่อมเป็นกำลังใจ ย่อมเป็นแรงฉุดนำ แต่หากตัวท่านเผลอปฏิบัติ เผลอมืดหลงกิเลสมายาในโลกนี้ความเป็นพุทธะก็ยากที่จะมีในตัวท่าน แม้กระทั่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยากจะอยู่ข้างๆ ปกปักรักษาท่านได้ ขอให้รักษาโอกาสให้ดี ตอนนี้ยังมีลมหายใจ ตอนนี้ยังมีเรี่ยวแรง รีบบำเพ็ญกลับคืนสู่แดนนิพพาน

สิ่งมงคล สิ่งดีงาม สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ตัวเราแล้ว อย่าดูเบาความเป็นพุทธะ หากแม้นท่านมีพุทธะ แต่ทุกวันไม่เคยพร่ำเรียกพุทธะในตัวตนแล้ว สักวันหนึ่งพุทธะนี้ก็ย่อมเสื่อมสลาย เพราะอารมณ์ร้ายๆ ใช่ไหม เวลาสั้นนักขอให้ตั้งใจให้ดี บำเพ็ญให้ดี
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา