วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2540

วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2540

2540-12-11 พุทธสถานฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์

วันพฤหัสบดีที่  ๑๑  ธันวาคม  พุทธศักราช  ๒๕๔๐  พุทธสถานฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง
พระโอวาทพระพฤฒาชันษาแห่งทักษิณาลัย

        ตั้งใจเดินตั้งใจจริงเพื่อคืนแดน  ชีวิตหนึ่งแร้นแค้นไม่จบสิ้น
      หาความจริงท่ามกลางเพชรเป็นอาจิณ  ยามได้สิ้นกิเลสแล้วสบายตัว
    เราคือ
     พระพฤฒาชันษาแห่งทักษิณาลัย      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ผู้เมตตา  ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยจื้อ  แฝงกายกราบต่อหน้า
องค์มารดา แล้ว       ถามหลานหลานทั้งหลายมีความสุขดีหรือเปล่า

       นาวาธรรมความดีงามประดับประดา  จงรักษาเสมอต้นปลายความงามใส
       จิตพิสุทธิ์สว่างโชติช่วงไกล    โพธิ์แผ่ใบคุ้มเวไนยให้ร่มเย็น
       หรี่ตามองหลานย้อนมองตนเองเถิด     ใจประเสริฐฟ้าและดินยังอยากเห็น
       โลกลุ่มร้อน   จิตใจสงบเย็น    การลงแรงแม้เหนื่อยนักอย่าย่อท้อ
       รู้จักพอรู้จักตนรู้จักน้อม    ด้วยปัญญาที่แจ่มชัดเป็นขั้นตอน
       ด้วยความจริงชีวิตคนไม่ยาวนาน  ธรรมญาณอย่าได้เอาไปกดขี่
       ธรรมชาติแห่งมนุษย์เป็นคนดี    รับหนึ่งชี้จึงสามารถกลับคืนแดน
       บำเพ็ญเอยหลานเอยเร่งซ่อมแซม  บุปผาแย้มพริบตาร่วงไปไกลแสน
       พระมหากรุณาธิคุณฟ้าต้องทดแทน  ใจคือแก่นรู้นำพากุศลดี
          ฮา ฮา หยุด



  การมานั่งฟังวันนี้ได้เกิดจากการเสียสละของหลานๆ ใช่หรือเปล่า  (ใช่) สละเวลาได้ต้องรู้จักสละสิ่งอื่นได้เช่นเดียวกัน  สละอะไร  มนุษย์มีสิ่งใดมากที่สุด  ในขั้นตอนของชีวิตแต่ละขั้นตอนที่ผ่านมา  ความมากขึ้นตามลำดับของอายุนั้นคือสิ่งใด  เป็นสิ่งที่เราล้วนสะสมไว้เองใช่หรือไม่ จะมีผู้อื่นหาให้เราก็เปล่า  แต่มนุษย์ก็มีมากๆ รวมๆกันเรียกว่ากิเลส
  ในวันนี้มาพร้อมหน้ากันเท่านี้  ถือว่าเป็นคนที่ไม่มากไม่น้อย  ตั้งแต่วันนี้ไปฝึกการเป็นอะไร (พุทธะ) ณ วันนี้มีสิ่งใดที่เหมือนพุทธะแล้วบ้าง (ความดี,ความพยายาม,เสียสละ) พุทธะมีมากมายหลายพระองค์ด้วยคุณธรรมบางอย่างที่มากมายล้นพ้นจึงสำเร็จเป็นพุทธะได้  ถามหลานๆ ว่าเจ้ามีอะไรที่มากมายพอที่จะให้สิ่งนั้นผลักดันให้ตนเองเป็นพุทธะ (มีจิตใจที่ดีงาม) ถ้าหากสิ่งนั้นไม่ได้มากก็ยังไม่พอที่จะให้หลานๆ สำเร็จเป็นพุทธะ ใช่หรือไม่ การเป็นพุทธะแท้จริงไม่สำคัญอยู่ที่ว่ามากหรือน้อย  แต่สำคัญอยู่ที่ว่ามีหรือไม่  ส่วนใหญ่นั้นมีแต่ด้วยเวลาอันสั้น  ไม่มีด้วยเวลาอันยืดยาว  ไม่สามารถประคองใจดวงนี้ไว้ได้  ทุกๆ คนเคยผ่านการประชุมธรรมมาแล้ว  จิตใจอันนั้นแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แปรเปลี่ยนจนน่าตกใจ ใช่หรือไม่  หลานๆ ไม่ได้ตกใจเลยกับจิตใจของตนเองที่แปรเปลี่ยนไป  แต่พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนเบื้องฟ้าต่างหากที่เป็นผู้ตกใจ ใช่หรือไม่  มิหนำซ้ำคนที่ไม่มีใจอยู่ดีๆ มีใจพุทธะก็ตกใจเช่นเดียวกัน  ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นก็เพราะว่ากลัวจะรักษาใจนี้ได้ไม่ยืดยาวไม่เนิ่นนาน
  หลายคนที่นี่นอกจากเป็นนักธรรมอาวุโสแล้ว  อายุก็ยังมากด้วย  คนอายุมากเขาบอกว่าเปรียบเสมือนไม้ใกล้ฝั่ง  กลัวไหมว่าตนเองจะไปถึงฝั่งแล้ว  คนบำเพ็ญธรรมต้องกลัวตายหรือไม่  หากว่าตนเองมีกุศล  ตนเองได้ทำตนเหมือนพุทธะ  ความตายก็ไม่น่ากลัวใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าทุกๆ วันยังผูกกรรมไว้กับเวไนยสัตว์ทั้งหลาย  เพื่อนร่วมโลกทั้งหลาย  กลัวหรือไม่ว่าตนเองจะต้องไปชดใช้หนี้  เพราะฉะนั้นควรจะตัดเหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิดตั้งแต่วันนี้ใช่หรือเปล่า (ใช่) เมื่อไม่เข้าใจถึงเหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิดว่าอยู่ที่ไหน จะไปแก้ที่ไหน เมื่อไม่เข้าใจว่าเรานั้นอยู่ในวัฎสงสารได้อย่างไร   แล้วเราจะจบสิ้นเหตุแห่งวัฎสงสารได้อย่างไร  อยากจะจบสิ้นตัวเราก็สิ้นด้วย  แต่สิ้นตรงนี้สิ้นอะไร 
  โดยทั่วๆ ไปมนุษย์ไม่สามารถรู้จักตนเองได้ เพียงแต่รู้จักว่าเรานั้นเกิดมา เรานั้นต้องหา เรานั้นต้องตายไป จึงไม่สามารถจบสิ้นตนเองได้ รู้จักว่าเราต้องการ แต่ไม่รู้จักคิดว่าเรานั้นจะหยุดต้องการ จิตใจของเรานั้นคิดแต่ว่าเราอยากได้อะไร แต่ไม่คิดว่าเมื่อไหร่การที่เราจะหยุดความอยากได้ของเราใช่หรือเปล่า ลองเอาความอยากได้ของเราทั้งหมดวางลง  เอาความขัดแย้งโต้แย้งของเราวางลง  บางคนนั้นไม่ชอบที่จะถกเถียงกับผู้อื่น  แต่ชอบที่จะถกเถียงกับตนเองไม่รู้จักจบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) เหตุแห่งวัฎสงสารก็คือกรรม กิเลสและความไม่ยอมสละทั้งหลาย  จึงทำให้เรานั้นยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่  ถามหลานๆ ว่าทุกคนมีกรรมไหม  ทุกคนมีกิเลสไหม (มี) หมดชาตินี้จะหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิดได้หรือไม่  หลายๆ คนมั่นใจว่าตนเองได้  หลายๆ คนมั่นใจว่าตนเองไม่ได้   ความแตกต่างอยู่ที่ไหน  คนที่เคยลงแรงมาก่อนค่อนข้างมั่นใจ  คนที่ไม่เคยลงแรงเลยจึงยังไม่มั่นใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเราต้องไปลงแรงบ้าง จึงจะรู้ว่าเรานั้นจะมั่นใจตนเองได้อย่างไร หากว่าคนที่ตอบตนเองไม่ได้ให้เร่งหาคำตอบให้กับตนเองดีหรือไม่
  มนุษย์มักจะลืมตัวในขณะที่ตนเองมีความสุขที่สุด  มีความสุขได้สมหวังกินอิ่มนอนหลับ  ในตอนนั้นเป็นตอนที่เราลืมความทุกข์ไปเลยใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์มักจะคิดว่าความทุกข์เป็นสิ่งไม่ดี  แต่แท้ที่จริงแล้วความทุกข์ดีหรือไม่ดี  ในขณะที่เรากำลังทุกข์ใจอยู่นั้น  เราสามารถเห็นจิตใจตนเองที่กำลังโมโห  เห็นจิตใจตนเองกำลังผิดหวัง  เห็นที่จะรู้จักแก้ไขสำนึกใช่หรือไม่ ถามว่าเช่นนี้แล้วความทุกข์ไม่ดีตรงไหน ในปัจจุบันด้วยเรื่องราวที่วุ่นวาย ด้วยโรคภัยไข้เจ็บที่มารุมเร้าโลกใบนี้  มนุษย์นั้นจะไม่สามารถที่จะพบเจอความสุขที่สุดได้   น้อยคนนักที่จะประสบพบได้  เมื่อรู้เช่นนี้แล้วสามารถที่จะปลงใจได้หรือเปล่า (ได้) เมื่อถึงเวลาที่เรากำลังผิดหวัง  เมื่อถึงเวลาที่เราท้อแท้จะให้กำลังใจตนเองได้หรือเปล่า   อย่าเข้าใจว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นจะชักนำให้เราสุขสบาย  แท้จริงแล้วการบำเพ็ญธรรมคือการฝึกฝน ขัดเกลา  แก้ไข และปรับปรุง  คือความทุกข์ที่จะเจอสุขได้บ้าง  หรือกล่าวอีกทีก็คือความสุขท่ามกลางความทุกข์  หากว่าสงบใจไม่ลงแล้วก็จะไม่เจอความสุขเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) หากจิตใจของเรายังใฝ่ปองทะยานอยากไม่จบสิ้น  คิดหวังว่าตัวเราจะเจอในสิ่งที่ดีที่งามทั้งๆ ที่จิตใจของเรานั้นไม่งดงามเลย  จะได้รับไหม  น้ำใสนั้นย่อมคู่กับน้ำใส  น้ำขุ่นย่อมคู่กับน้ำขุ่น  ธรรมชาติก็ให้อย่างนั้นใช่หรือไม่  หากว่าตัวเราเป็นน้ำใส  แต่ว่าเรานั้นทำตัวไปปนเปื้อนอยู่ในน้ำขุ่น  น้ำใสนี้ก็กลายเป็นน้ำขุ่นได้  หากว่าตัวเราเป็นน้ำขุ่นตักไปใส่น้ำใส  น้ำขุ่นเพียงเล็กน้อยอยู่รวมกับน้ำใส  น้ำนี้ก็กลายเป็นน้ำใสได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในการบำเพ็ญธรรมคนหมู่มากมีคนที่ขุ่นและใส  แต่โดยทั่วๆ ไปนั้นคนที่อยู่ที่นี่ได้จะต้องมีความใสมากกว่าขุ่น  เพราะฉะนั้นจงขจัดเศษที่อยู่ในจิตใจของเราออกไป  เพื่อให้น้ำนี้กลับใสดังเดิม เพื่อให้ความจริงปรากฎว่าผู้บำเพ็ญธรรมทุกๆ คนนั้นเป็นคนดีเหมือนกับที่ทุกๆ คนคาดหวังไว้ ทำได้ไหม  (ทำได้)  เมื่อตัวของเราดี คนอื่นมองว่าดี ธรรมะนี้ก็เป็นธรรมะที่ดี ใช่หรือไม่  แต่หากว่าคนถือเพชร แต่ตัวดำใจก็ดำ  เพชรนี้แม้จะส่องประกาย ก็ไม่มีใครอยากจะชม  เพราะฉะนั้นทุกๆ คนที่มีตรัยรัตน์อยู่ในมือ  ทุกๆ คนที่มีของวิเศษอยู่ในกายจงทำตัวของเรานั้นให้สะอาด  อย่าคิดว่าการที่เราเกิดเป็นคน  ใครๆ ก็ยอมให้เราหมด อยู่เหนือคนอื่นแล้วนับว่าเป็นเรื่องที่ดี  ถามว่าดีหรือไม่ (ไม่ดี) เรานั้นลืมตัวจึงไม่สามารถเป็นคนดีได้  ยิ่งอยู่ในที่ๆ สบายเท่าไหร่ขอให้รู้ว่าเรานั้นจะยิ่งตื่นขึ้นยากเท่านั้นใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกับมีเตียงที่สบายนอน อยากจะลุกขึ้นง่ายไหม  แต่หากว่าอยู่บนกองฟาง บนเตียงไม้ ที่นอนหลับไม่สบายเลย เราจะตื่นขึ้นได้เร็วไหม (เร็ว)  เพราะฉะนั้นตอนนี้ไม่มีเวลาให้เรามานั่งชักช้า  ให้มานั่งผัดวันประกันพรุ่งอีกแล้ว  คนอื่นเตือนเรา เราเชื่อหรือเปล่า  ถ้าหากว่าลูกหลานหรือคนที่อายุน้อยกว่ามาเตือนเรา  เราเชื่อไหม  ต้องคิดหนักหรือไม่ก็โมโหก่อน  ความเติบโตหรือความชราอยู่ที่ไหน  เห็นว่าตัวเราผมขาวหงอกเฒ่าเเล้วใช่หรือไม่  ความชรานั้นอยู่ที่ใจไม่สู้  ร่างกายไม่แข็งแรง  ความถือตนของเราที่ไม่ยอมวาง นั่นจึงเรียกว่าคนชรา  แต่หากว่าใจของเรายังแกร่งมีความยึดมั่นตั้งใจ  คนชราคนนี้ก็ไม่ผิดกับคนที่มีเรี่ยวแรงเหมือนสมัยสาวๆ ใช่หรือไม่  กลัวแต่ว่าหลานๆ แก่ทั้งกายทั้งใจยากที่จะบอกได้ว่าคนใดกันแน่ที่ยังมีแรง  การบำเพ็ญธรรมนั้นถึงแม้ว่าตัวเราจะชราแล้ว  คนชรานั้นขอให้รู้จักที่จะสั่งสอนลูกหลานไม่ว่าชายหรือหญิงให้เป็นคนดีต่อไป  ถึงแม้ว่าต่อไปไม้อันนี้จะไปถึงฝั่งแล้วก็ยังมีผู้บำเพ็ญสืบทอดให้  อย่าได้สายไปแล้วมาคิดนั่งเสียใจ  ขอให้ชราแต่ว่าใจยังสู้ ใช่ไหม (ใช่) โรคภัยส่วนใหญ่นั้นวัยของเราต่างหากที่ไม่ยอมสู้เลย  จึงไม่สามารถที่จะอยู่ค้ำฟ้าดินได้
  เมื่อสักครู่ที่พูดไปถ้าหากว่าคนเขายอมลงให้กับเรา  คนเขายอมพ่ายแพ้ให้กับเรา  เราคิดว่าสิ่งนั้นน่าดีใจหรือว่าน่าเสียใจ  สมมติว่าเรานั้นกำลังทะเลาะกับสามีหรือว่ากับภรรยา  หากว่าภรรยาหรือสามียอมให้กับเรา   เราดีใจไหม (ดีใจ)  แต่จริงแล้วน่าจะดีใจหรือว่าเสียใจ  น่าเสียใจที่เราทะเลาะกันจนเป็นเรื่อง  น่าเสียใจที่มีคนตามใจเราอีกคราว เราจะอยู่บนกองสุขโดยที่ปล่อยเขาอยู่บนกองทุกข์ใช่หรือเปล่า  เพราะฉะนั้นการทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นเรื่องน่าเสียใจไหม  เมื่อเขายอมให้กับเรา เราก็ชนะอีกหนึ่งหน  ถ้าหากว่าเราชนะร้อยหน  มีอยู่หนหนึ่งเราจะต้องพ่ายแพ้แล้วเราจะทำใจได้หรือเปล่า  เราทำใจไม่ได้คิดมากไหม  กลุ้มใจหรือเปล่า  แล้วตอนนั้นเราจะต้องทุกข์เหมือนอยู่บนความชนะทั้งร้อยหนกลายเป็นความพ่ายแพ้ใช่หรือเปล่า (ใช่) ไม่เท่ากับว่าเรานั้นยอมฝึกฝนที่จะชนะบ้าง  แพ้บ้าง  แม้ว่าเราจะมีความทุกข์แต่ความสุขก็จะบังเกิดขึ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราผู้เฒ่าจึงพูดไว้ว่า มนุษย์ในสมัยนี้อยากจะมีความสุขที่สุดหรือหายากแล้ว  ไม่แน่ว่าความสุขที่สุดที่เราเคยคาดหวังไว้ อาจจะกลายเป็นความทุกข์และรสขมในบั้นปลายก็ได้ใช่หรือเปล่า  ทุกวันนี้จึงต้องปลงใจได้และทำใจได้ ใช่หรือไม่  หากว่าทำใจไม่ได้ใครจะช่วยเรา  ในเมื่อตลอดมาก็ไม่เคยจะฟังใคร ใช่ไหม (ใช่) อย่าให้ตนเองนั้นเก่งโดยที่ไม่รู้จักความไม่เก่งเลย  อย่าให้ตนเองนั้นกล้าโดยไม่รู้จักความกลัว  อย่าให้ตนเองชนะโดยไม่รู้จักความพ่ายแพ้ 
  อยู่ที่นี่หลายๆ คนเป็นคนยากจน  เป็นคนไม่มีเงิน  แต่ถามว่าความรวยที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ไหน  (อยู่ที่ใจ)  หากว่าคนรวยมีความทุกข์เช้ากลางวัน เย็น กลางคืนนอนไม่หลับเลยต้องการไหม  (ไม่ต้องการ) หากว่าเป็นคนจนแต่ว่าไม่มีภาระเดือดร้อนเข้าประตูไหน ออกบ้านไหนก็มีคนยอมรับนับถือดีกว่าหรือเปล่า  (ดีกว่า)  ชีวิตนี้หากว่ายังอยากร่ำรวยอยู่บ้างจงรู้จักอดออม  จงทำชีวิตให้ดีงาม  พรุ่งนี้หนึ่งวันจงทำชีวิตให้ดีงาม  หนึ่งวันต่อหนึ่งวันรู้จักสร้างกุศลและเป็นผู้บำเพ็ญธรรม  จำใส่ใจไว้เสมอว่าเรานั้นเป็นผู้บำเพ็ญธรรม  ไม่ใช่ว่าเรานั้นเป็นผู้บำเพ็ญธรรมแต่ทำตนไม่เหมือนเลย  การปฏิบัตินั้นไม่ได้เลย  เช่นนั้นหากบอกว่าเราบำเพ็ญได้ถูกต้องไหม  มาคำนวณสรุปรวบยอดเอาตอนหลังว่าเราบำเพ็ญ ไม่ใช่เลย  ไม่เหมือนผู้บำเพ็ญธรรมเลย  จะแก้ก็สายแล้ว เสียใจก็ไม่ทันกาล
  (สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เมตตาให้เจ้าของสถานธรรมออกมาหน้าชั้น) เจ้าของสถานธรรมที่นี่มีอยู่กี่คน อยากจะทานอะไรดี ทั้งซ้ายทั้งขวาก็ล้วนเป็นคนเรี่ยวแรงน้อยเหมือนกับเรา  มีแต่เจ้าเท่านั้นที่ยังมีเรี่ยวแรงอันดี  การลงแรงจึงต้องลงแรงมากกว่าคนอื่น  บางทีทั้งซ้ายทั้งขวาอาจจะแค่เอาใจช่วย  เพราะฉะนั้นขอให้ทำให้ประจักษ์แก่ฟ้าดินนะ  ขอให้พยายามให้เต็มที่  เมื่อมนุษย์พยายามเต็มที่ฟ้าจะคอยหนุนช่วย  เมื่อฟ้าพยายามเต็มที่จึงขอให้มนุษย์นั้นหนุนช่วยด้วย  งานฟ้าดินนั้นเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ประจักษ์ไกลไปถึงสามโลก  จึงขอให้ทุกๆ เวลา ทุกๆ นาทีเอาความเชื่อมั่น เอาความศรัทธา เอาความตั้งใจไปช่วยคน  
  การบำเพ็ญธรรมด้วยกันนั้น  ในชั้นเรียนนี้เรียกว่านักธรรมอาวุโส  เพราะฉะนั้นจะต้องฝึกสิ่งใดบ้าง การบำเพ็ญธรรมต่อกันระหว่างเพื่อนและเพื่อน  พี่และน้อง  ญาติและญาติ  คนใกล้กับคนไกลต้องมีความจริงใจ ใช่หรือเปล่า  ทั้งกาย วาจา ใจต้องบริสุทธิ์ให้แก่กัน  ยกตัวอย่างวาจา วาจาต่อกันนั้นต้องเป็นวาจาที่ไพเราะ ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ใช่ว่าหาวาจาที่ไม่สมควรพูด ไม่เหมาะสมพูดมาให้แก่กันใช่หรือเปล่า โดยเฉพาะผู้น้อยและผู้อาวุโสยิ่งไม่สมควรกล่าววาจาตามใจชอบใช่หรือไม่ การกล่าววาจาไพเราะรวมไปถึงมีมารยาทต่อกันด้วย  มนุษย์นั้นยิ่งสนิทสนมยิ่งต้องรู้จักระวัง เพราะความสนิทสนมนี่เองทำให้มารยาทที่มีต่อกันขาดสะบั้นลง  จึงเป็นการยากที่จะรักษาไว้  ทางวาจาแล้วยังมีทางใจ  วาจาพูดเกิดจากใจคิด เพราะฉะนั้นจึงต้องรู้จักคิดก่อนที่จะพูดด้วย  อย่าให้บังเกิดขึ้นแม้กระทั่งเปลวไฟ  สะเก็ดไฟเล็กๆที่ออกมาจากไฟ  ไม่เช่นนั้นแล้วเปลวไฟนี้จะเผาผลาญตนให้เป็นจุล  บางคนนั้นคิดไว้ไม่ได้พูดไม่ได้ทำ  แต่เป็นการคิดร้ายให้โทษ  โทษนี้จึงเป็นการให้โทษแก่ตนเองมากที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)
  การกระทำนั้นจะต้องเป็นการกระทำที่ดีงาม  ได้ผ่านปัญญาคิดไตร่ตรองออกมาแล้วจึงนำมาใช้  ไม่ใช่ว่าทุกๆ เรื่องราวทุกๆ การกระทำนั้นเราจะทำได้ถูกต้องเหมาะสม  โดยที่ผู้อื่นนั้นไม่เหมาะสมเลย  มนุษย์นั้นวางใจในตนเอง แต่กลับไม่วางใจในตัวผู้อื่น  แม้ว่าจะให้คนๆ นั้นไปทำงานใดๆ ให้  แต่ตนเองนั้นไม่วางใจ ไม่จริงใจ  จนถึงสุดท้ายแล้วเมื่อมีผลเสียตามมาทีหลัง  ปลาเน่าตัวเดียวก็เน่าทั้งครอก ใช่หรือเปล่า (ใช่) เมื่อให้โทษผู้อื่นจึงไม่วายจะย้อนมาสู่ตนเอง  เพราะฉะนั้นความบริสุทธิ์จึงต้องเริ่มตั้งแต่ใจ  การกระทำเรื่องราวจึงขจัดออกมาได้อย่างบริสุทธิ์ ใช่หรือไม่  อย่าให้ตัวเราเป็นต้นเหตุของความทะเลาะเบาะแว้ง  ของเรื่องราวที่ไม่เป็นมงคล  ไม่เช่นนั้นจะสำเร็จเป็นเทพองค์ไหนไม่ได้เลย  ใช่หรือเปล่า  อันว่าคนนั้นมีทรัพย์สินด้วยการสะสม  ด้วยการสุจริตชอบ ด้วยการรู้จักอดออม เป็นเศรษฐีตลอดชีวิต  ด้วยคุณงามที่เขาสร้างไว้  คนก็ยกย่องให้เขาเป็นเทพแห่งทรัพย์สมบัติ คนนั้นมีอายุมั่นขวัญยืนร่างกายสุขภาพแข็งแรง  มีราศีผุดผ่อง  คนนั้นก็ยกย่องให้เป็นเทพอายุยืน  ทั้งสององค์นั้นต้องเหมือนกันอยู่อย่างก็คือต้องมีความประพฤติที่ดีงามไม่เคยด่างพร้อย  ถามหลานๆ ว่าถ้าหากหลานเป็นต้นเหตุของความทะเลาะเบาะแว้งในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ว  ภายภาคหน้าจะสำเร็จเป็นเทพหรือเป็นมาร  จึงต้องคิดดูให้ดีๆ ว่าชีวิตนี้อย่าได้เป็นสาเหตุของความไม่มงคล  ของความอัปมงคลทั้งหลายที่อยู่ในโลก  ด้วยการที่กาย วาจา ใจของเรานั้นต้องไม่คิด ไม่ทำ ไม่พูด 
  ในชาตินี้ในกัปกัลป์นี้ฟ้าดินให้โอกาสที่จะให้ชาวบ้านธรรมดาสามัญสำเร็จขึ้นไปเป็นพุทธะได้ จึงไม่เป็นการแปลกที่เราไม่มีราศีที่ดี  ที่เราเกิดมาเป็นคนหาเช้ากินค่ำ  ขอเพียงว่าหลานๆนั้นรู้ซึ้งในชีวิตนี้โดยชอบ  ดำเนินไปโดยชอบ  ทำเหมือนดังที่พุทธะและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าไว้  ทำดังที่สัจธรรมนั้นกล่าวให้ทำ หลานๆ นั้นจะไม่พ้นนิพพานเลย  แต่อย่าทำอย่างทีเล่นทีจริง  เข้าใจไหม  ในเวลาที่เราเผลอเพียงนิดเดียว ในพริบตานั้นทำให้เราหลุดลงจากตะแกรง  กลายเป็นคนไร้ค่า  ไม่สามารถจะกลับคืนขึ้นเบื้องบนได้ เข้าใจไหม  (เข้าใจ)
  อันว่าต่อกันนั้นยังมีอีกมากมายที่พึงต้องทำ  ได้แก่อะไรบ้าง  ความมีเมตตาต่อกัน  ความเข้าใจกัน  ความเห็นใจกัน  เตือนหลานๆ การศึกษาธรรมนั้นจะต้องทำอย่างเสมอต้นเสมอปลาย  ก็จงเสียสละแรง เสียสละเวลามาให้เต็มที่  อย่าให้คนอื่นต้องคอยเรียกคอยจูง  ไม่เช่นนั้นกุศลที่เราควรจะได้รับก็จะโดนลบโดนหารไปเสียสิ้น เหมือนกับถังน้ำที่รั่ว  
  (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจกผลไม้ให้ทุกคนในชั้น) ความสำคัญของตรัยรัตน์ที่รับไปจะต้องให้ความสำคัญให้มากๆ ต้องจดจำให้ได้ ต้องมาหมั่นฝึกฝนให้ได้  พุทธะระเบียบต่างๆ ก็จำเป็นจะต้องมาฝึกฝนให้ได้  ให้ก้าวหน้ามากๆ จะได้นำผู้อื่นได้ด้วย จะได้เบาแรงของกันและกันด้วย  อยู่ใกล้หน่อยอย่าให้คนอื่นเขาเรียกให้มาเองดีไหม  หลานๆ เราก็น่ารักทุกคนเราพูดอะไรก็ค่ะ ก็ครับหมดเลย  เวลาจะทำไม่รู้ว่าจะค่ะ จะครับอย่างนี้หรือเปล่า  บ้านใกล้เรือนเคียงมาไม่ยากก็ต้องมาบ่อยๆดีหรือเปล่า  ณ เบื้องบนสักวันหนึ่งทุกคนจะต้องไปผ่านด่านของท่านซันกวนต้าตี้  เพราะฉะนั้นจงไหว้พระเป็น  ท่องต่างๆเป็นตั้งแต่ในโลก  อย่ารอให้ถึงเวลาแล้วการฝึกฝนยากขึ้นเป็นร้อยเท่าตัว เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ต้องมาช่วยกันให้มาก  ในเสาคานอันหนึ่งนั้นถ้าหากว่าแบกอยู่คนเดียว ก็หนักอยู่คนเดียว  แต่หากว่าสามคน ห้าคนช่วยกันแบก ก็เบาขึ้นใช่หรือเปล่า  ความเข้าใจให้กันและกันมีไหม  ความรักและเคารพต่อกันมีบ้างหรือเปล่า  ก้าวเท้าให้เร็วๆ หน่อย  ก้าวเท้าไม่ทันก็เจอคลื่นลูกหน้า 
  ในวันนี้ไม่ใช่วันหยุด  คนที่มาจึงมีน้อยและเป็นคนที่ชรา  เป็นโอกาสดีของเราด้วยอายุเท่านี้การทำงานเป็นโอกาสดีที่สุด  อายุเท่านี้จึงต้องรู้จักบำเพ็ญธรรมแล้ว  ถ้าไม่บำเพ็ญตอนที่ว่างๆ อย่างนี้  ไม่รู้ว่าหลานๆ จะได้บำเพ็ญเมื่อไหร่  การบำเพ็ญนั้นมีทั้งทางด้านกายและใจ   หากบำเพ็ญกายยังไม่ดีก็บำเพ็ญใจให้มากๆ  หากบำเพ็ญใจยังไม่ดีก็บำเพ็ญกายให้มากๆ 
  ผู้ปฏิบัติงานธรรมสองวันนี้ต้องเหนื่อยเป็นพิเศษใช่หรือเปล่า  เพราะฉะนั้นผู้บำเพ็ญธรรมควรที่จะมีจิตแห่งความขอบคุณ  ขอบคุณนั้นไม่ใช่ขอบคุณแม่ครัวอย่างเดียว  มีฟ้า มีดิน มีผู้มีพระคุณต่อเราอีกมากมาย
  เมื่อสักครู่พูดถึงต่อกันมีอยู่มากมาย  ความเข้าใจเอาใจใส่ต่อกัน ความเห็นอกเห็นใจ  การอยู่ร่วมกันต้องมีความสามัคคีกัน  อย่างที่ว่าไว้  อย่าบอกว่าเราต้องการสิ่งใด  สิ่งนั้นเราต้องได้  ไม่รู้จักวางสิ่งนี้  เพราะว่าสิ่งนี้อาจจะเป็นต้นเหตุของความวุ่นวาย  อาจจะทำให้จิตใจของเราไม่สามารถสงบลงได้  ใจของเราเป็นสิ่งที่ดีงามที่สุด  แต่บางทีใจของเราก็เป็นสิ่งที่น่ากลัวด้วย  จึงอย่าได้สะสมความน่ากลัวต่างๆ นั้นให้กับจิตใจของเราเอง  ในคำว่าต่อกัน  ต่อกันนั้น  ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดหรือใครกับใครต่อกัน  ให้กลับไปคิดว่าตัวเราขาดสิ่งใด  ตัวเราขาดสิ่งใดไม่แน่ว่าคนอื่นเขาจะขาด  การตักเตือนกันจึงต้องระมัดระวังด้วย  คนอื่นอาจจะเป็นในสิ่งหนึ่งที่เราไม่เคยเป็น   เพราะฉะนั้นมนุษย์ในสมัยปัจจุบันมองหน้าไม่รู้ใจ  อารมณ์โมโหจึงเป็นอารมณ์เก็บกดชนิดหนึ่ง  จึงต้องรู้จักระวัง  อย่าปล่อยให้สะสมไว้เนิ่นนาน  ถึงเวลาระเบิดขึ้นมาตัวเราเองก็ยังห้ามตัวเราเองไม่อยู่ เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ) 
  วงการธรรมะนั้นสามารถเจริญรุ่งเรืองอาศัยมนุษย์นั้นเป็นผู้ควบคุม  อาศัยสวรรค์เป็นผู้บัญชา  ทุกๆ ก้าวจึงต้องระมัดระวัง  ถ้าตัวเราไม่ดีไม่ได้หมายความว่าธรรมะนั้นจะไม่ดี  เพราะฉะนั้นคนใดที่ไม่ดี  เหมือนกับรถคันหนึ่งที่ไม่ดี  อะไหล่ตัวไหนที่ไม่ดีเสียมากๆ จะต้องถูกถอดเปลี่ยนไป  เราจึงต้องระมัดระวังตัวของเราเอง  ในทางกลับกันถ้าหากว่ารถคันนี้มีอะไหล่อยู่ตัวหนึ่งที่ดีมากเกินไป  อะไหล่ของรถเก๋งจะใส่อยู่ในรถบรรทุกได้หรือไม่  ไม่ได้  การทำความดีจึงอย่าทำดีเกินหน้าเกินตาผู้อื่นเขา  ตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าระมัดระวัง  เพราะมนุษย์อยู่กันได้เป็นสังคม  สังคมนี้ต้องรู้จักให้มีความเอกภาพด้วย  ขอให้เริ่มที่ตัวเราก่อน เข้าใจไหม
  ที่นี่มีอยู่สองแบบคือเด็กและคนชรา  เพราะฉะนั้นจงจำไว้ด้วยเด็กคนหนึ่งสามปี ห้าปีเขาก็ต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่  ตอนนี้นอกจากส่งเสริมคนชราสามปี ห้าปีอาจจะไม่อยู่แล้ว ก็ยังต้องส่งเสริมให้เดิน  เมื่อเด็กสามปี  ห้าปีโตเป็นผู้ใหญ่เขาอาจเป็นคนดีของโลก ของสังคม มีกุศลมีคุณงามความดีช่วยชีวิตช่วยอนาคตเขาไว้  จึงขอให้ส่งเสริมด้วยเช่นกัน  ตอนนี้วงการธรรมะดูแล้วเรื่อยๆ แต่ว่าต่อไปเด็กๆ จะป็นกำลังสำคัญ  เพราะฉะนั้นหลานทั้งหลายจะต้องรู้จักที่จะเข้าใจและส่งเสริมกันให้ไปรอดถึงฝั่ง เข้าใจไหม
  ในวันนี้ได้พบหน้าหลานๆ ก็ถือว่าเรานั้นมีบุญต่อกัน  หลานๆ นั้นมีวาสนาเราเองก็มีวาสนาเช่นเดียวกัน  ขอให้นำตนเองให้เป็นผู้เมตตาไปช่วยผู้อื่นได้  เมื่อช่วยผู้อื่นได้ก็เท่ากับว่าช่วยตนเองได้เช่นกัน  ถ้าหากว่าหลานไม่เชื่อก็ลองไปประพฤติปฏิบัติดู  อันว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นทุกๆ ก้าว ทุกๆ ขณะจิตต้องเป็นธรรมะ  ต้องเอาธรรมะที่แฝงอยู่ภายในออกมา  แสงอันเกิดจากจิตไม่ใช่เกิดจากที่ฟ้าประทาน  แต่เกิดที่ตัวเรานั้นทำเอง  ตัวเรานั้นมีความสว่างออกจากใจเอง  พื้นฐานคือกาย วาจา ใจที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง    ในวันนี้ได้ชื่อว่าเป็นนักธรรมอาวุโส ความอาวุโสนี้ก็ให้เกิดขึ้นที่จิตใจ ขอให้เกิดขึ้นเพราะว่ามีรอยเท้าทิ้งไว้บนพื้นมาก  ไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะว่ามีฝุ่นเกาะจับมาก  หลังจากวันนี้จะตั้งใจบำเพ็ญใช่หรือไม่  ญาติธรรมที่เป็นญาติธรรมบุรีรัมย์เองยิ่งต้องลงแรง  เรานั้นมีเพื่อนผู้ร่วมบำเพ็ญน้อย  จึงต้องรู้ไว้ว่ามีคนน้อย  คนช่วยพายก็น้อย  เราจะทำอย่างไรให้มากขึ้น  เอาความเมตตาให้มากขึ้น เพิ่มพูนขึ้น ผู้ร่วมบำเพ็ญก็จะมากขึ้นเอง  หากผู้อื่นไม่เข้าใจธรรมะ  จงเอาความประพฤติการปฏิบัติของเราที่ดีงามให้ผู้อื่นเห็น  เขาก็จะเข้าใจได้ว่าการบำเพ็ญนั้นคืออะไร  เพราะว่าการบำเพ็ญนั้นไม่มีหน้าไม่มีหลัง  ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีเกียรติยศ ไม่มีใบประกาศจะบอกว่าการบำเพ็ญนั้นคืออะไร  อาศัยแต่มนุษย์เท่านั้นที่เป็นผู้กระทำ  เป็นผู้ใฝ่ดี  ขอให้วันหน้าๆนั้นได้มีความเจริญก้าวหน้าขึ้นก็เพราะว่ามนุษย์นั้นไม่สมารถรู้ได้ว่าอนาคตของตนคืออะไร  อย่าได้พยายามใฝ่รู้ว่าอนาคตของตนเองคืออะไร  แต่ทำทุกๆ วันที่มีอยู่ในขณะนี้ให้ดี  ภายภาคหน้าถ้าเจออุปสรรคขออย่าให้ท้อใจ  อันว่ายุคนี้มีการเคี่ยวกรำ  เคี่ยวกรำนั้นขึ้นชื่อว่าทุกข์จึงไม่มีความสุขเเน่นอน  แต่จบจากชีวิตนี้แล้วอาจจะได้ความสุขที่นิรันดร์ ต้องการไหม  ขอให้มีความเชื่อมั่นในธรรมะ  ขอให้มีความเชื่อมั่นในตนเอง  ขอให้รู้จักตนเองด้วย  อย่างไรก็แล้วแต่ยังขออวยพรให้หลานๆมีความสุข บุญและชะตาของเราสร้างไว้อย่างไรไม่สามารถเปลี่ยนเเปลงได้ง่ายๆนอกจากว่าผู้ที่ตั้งใจจริง  การเกิดตายนั้นเป็นเรื่องที่วอนขอไม่ได้  ไม่สามารถหลุดรอดไปได้  บางครั้งชีวิตคนจึงต้องทำใจด้วย เข้าใจหรือไม่  วันหน้าเจอกันใหม่  ลาก่อน


อ่านต่อ...

วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2540

วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2540

2540-12-02 พุทธสถานสกุลเฉิน (หมิงฮุย) จ.ลพบุรี



PDF 2540-12-02-หมิงฮุย #26.pdf


#หลักธรรม   #บัวสี่เหล่า  #มนุษยธรรม  #กดขี่  #บีบคั้น #ช่วงชิง #ผลักไส  #เปิดหมิงฮุย

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540

วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540

วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2540

2540-10-25 พุทธสถานจือเจวี๋ย จ.สงขลา


PDF 2540-10-25-จือเจวี๋ย #20.pdf

#ปลูกบัวกลางไฟ 

วันจันทร์ที่ ๒๗ ตุลาคม  พุทธศักราช ๒๕๔๐  พุทธสถาน จือเจวี๋ย  จ.สงขลา
พระโอวาทท่าน เจี้ยวฮว่าผูซ่า

  น้อมดวงใจน้อมกายน้องบัณฑิต  น้อมวาจาดั่งบรรพชิตปัญญาใส
อันกริยาเปรียบจริยาอยู่ภายใน  เปรียบอาภรณ์อันสวมใส่ได้งดงาม
    เราคือ
  เจี้ยวฮว่าผูซ่า    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่พุทธสถาน   แฝงกายกราบ
พระอนุตตรธรรมมารดา    ถามศิษย์น้องทุกท่านเกษมฤๅ

หยดน้ำค้างจากปลายฟ้า  เปรียบนั้นหนาชีวิตคน  ที่มิเคยสักหน  จะยืนยงได้ยาวไกล  เกาะใบไม้แต่ยามเช้า  แดดมาเร้า
เลือนหายไป  น้ำตาพาลจะไหล  โปรดเข้าใจโปรดตนเอง
*  ใจอันคิดคืนกลับ  เสรีดั่งหงส์ร่อนบิน  เป็นมังกรบนดิน  เพียรแค่สิ้นหมดลมหายใจ  ให้เราล้มเพื่อจะลุก  อย่าเกรงทุกข์มาทำร้ายใจ  ถึงผิดไปไม่สาย  อย่ามัวอายให้หวั่นเกรง ( ซ้ำ *)
เพลง : มีความอดทน
ทำนองเพลง : สู้ต่อไป


(ท่านเจี้ยวฮว่าผูซ่าเมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันแต่งชื่อเพลง)
นกกลับรัง  ล้มเพื่อลุก  กำลังใจ
มุ่งไปสู่ความมั่นใจ  ใจคิดคืนกลับ  สู้เพื่อคืนบ้านเดิม
ผิดไปไม่สาย  เสรีภาพ  ใจสู้
ขอสู้แค่ชาตินี้  หวนกลับ  ชีวิตดั่งหยดน้ำค้าง
สามัคคี  ยังไม่สาย  สู่ชีวิตอิสระ



พระโอวาทท่านเจี้ยวฮว่าผูซ่า

หยกที่อยู่ท่ามกลางหินนั้น  เคยแสดงตัวเองให้โดดเด่นว่าตัวเองคือหยกหรือไม่ จนกว่าจะมีผู้ค้นพบและหยิบเอามาเจียระไน ให้เป็นหยกใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นผู้บำเพ็ญธรรมในยุคนี้มีใครบ้างที่ทำตัวโดดเด่นเกินไป จนเขารังเกียจ ก็เลิกกระทำเสีย  แล้วส่วนคนที่กระทำในสิ่งตรงกันข้าม  คือทำตัวให้ต่ำต้อยเกินไปจนคนอื่นเขามองดูไร้ค่า ก็รีบเร่งตัวเองยิ่งขึ้นดีหรือไม่ (ดี)  ทุกคนต่างมีคุณค่ามีความสามารถกันคนละแบบ คนละด้าน  แต่อยู่ที่ว่าตนเองจะรู้จักความสามารถของตนเองไหม  จะรู้จักนำความสามารถของตนเองมาใช้ให้เกิดประโยชน์หรือเปล่า ใช่ไหม (ใช่) 
วันนี้เป็นบัณฑิตที่มาเริ่มต้นศึกษานับหนึ่งใหม่ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่) แม้จะเคยศึกษาบำเพ็ญมา แต่พอมานั่งในชั้นเรียนก็จะเหมือนนักเรียนใหม่อยู่ การศึกษาก็เพื่อเพิ่มเติมสิ่งที่มีอยู่ให้หนักแน่น  ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น  ศิษย์น้องที่นั่งอยู่ที่นี่มีพื้นฐานการบำเพ็ญกันบ้างหรือไม่ (มี)  แล้วมีประสบการณ์การบำเพ็ญกันบ้างหรือเปล่า (มี)  ทุกคนมีมากน้อยแตกต่างกันใช่ไหม  ศิษย์พี่ขอถามว่าการบำเพ็ญธรรมยากหรือไม่  มีศิษย์น้องบางท่านตอบว่ายาก  บางท่านไม่ได้ตอบ  ท่านที่ตอบว่ายากลองลุกขึ้นมาตอบซิว่ายากอย่างไรบ้าง  ยากที่จะเอาชนะใจนี้ให้เด็ดเดี่ยวมั่นคงใช่ไหม (ใช่)  มีภาระที่ต้องผูกพันจึงยากที่จะบำเพ็ญใช่หรือไม่  ต้องต่อสู้กับตนเองยังไม่พอ  ยังต้องทนกับวาจา การปฏิบัติของผู้อื่นที่อยู่รอบข้างด้วยใช่ไหม (ใช่)  ถ้าศิษย์พี่จะกล่าวเตือนบ้างว่าการที่จะศึกษาบำเพ็ญธรรมนั้น  พื้นฐานที่สำคัญนั้นก็คือเราต้องมีเวลาให้กับการศึกษาก่อน  ถ้าหากว่าเราเข้ามาในวงการอนุตตรธรรม เข้ามาบำเพ็ญธรรม แต่ไม่มีความเข้าใจ  ถึงสิ่งที่ตนเองเข้ามาเลยนั้น  ก็ยากที่จะดำเนินได้แจ่มชัดใช่ไหม  แล้วก็ยากที่จะมั่นคงได้  ฉะนั้นสิ่งแรกที่ศิษย์น้องจะต้องกระทำคือสละเวลาของตนเอง  เมื่อมีเวลาก็ใช้เวลานั้นมาศึกษาเพิ่มเติม ในหลักแห่งอนุตตรธรรม ในเกณฑ์แห่งฟ้านี้ว่าทำไมจึงต้องมีการบำเพ็ญธรรม  แล้วจะบำเพ็ญอย่างไร  บำเพ็ญมีจุดหมายไปที่ใด  ถ้ามีเวลาให้เวลากับสิ่งนี้ให้เต็มที่  ทำความกระจ่างให้จงได้  เพราะเมื่อมีความเข้าใจแล้วความศรัทธาก็ย่อมบังเกิด ใช่หรือไม่  เมื่อศรัทธาบังเกิดขึ้นแล้วนั้นก็ยากที่จะถูกคนกล่าวหาได้ว่าคนนี้งมงายใช่ไหม  เพราะสิ่งที่เขาศรัทธานั้นเขามีความศรัทธาอย่างเข้าใจ ศรัทธาอย่างกระจ่าง และศรัทธาอย่างมีเหตุผล  เมื่อมีความศรัทธาแล้วถึงแม้จะถูกคนว่างมงายเราก็สามารถตอบให้กับใจตนเองได้ว่า เราศรัทธาอะไร เชื่ออย่างงมงายไม่มีเหตุไม่มีผลใช่หรือไหม  เมื่อเรามีความศรัทธา มีความเข้าใจแล้ว ก็ต้องตอกย้ำความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว และมั่นคงให้กับตนเอง  เมื่อมีความเด็ดเดี่ยวมั่นคง เราก็จะมีจุดหมายที่แน่วแน่แล้วว่าเราศึกษาไปเพื่ออะไร  ศึกษาแล้วเรามีแนวทาง  มีทิศทางอย่างไร   หากเราเข้าใจสิ่งนี้ก็ยากที่จะสั่นไหวสั่นคลอน ก็ยากที่จะโอนเอนได้ แล้วทิศทางของศิษย์น้องทุกคนที่นั่งในที่นี้คืออะไร (การหลุดพ้น  ให้มีจิตแห่งพุทธะ  พายเรือธรรมฉุดช่วยเวไนยกลับคืนสู่แดนพุทธา)  ต้องเข้าใจและแยกแยะให้ดีระหว่างทิศทางกับจุดมุ่งหมาย  ทิศทางนั้นก็คือปณิธานที่ได้ตั้งไว้  จุดมุ่งหมายก็คือสิ่งสุดท้ายที่เราจะต้องฝ่าฟันไปให้ถึง ดำรงชีวิตไปให้ถึงจุดมุ่งหมายใช่หรือไม่  ฉะนั้นปณิธานก็คือส่วนที่ทำให้เรารู้ว่าเราเดินถูกต้องไหม  สิ่งที่เรากำลังไปนี้เป็นทิศทางที่ถูกกับที่เราตั้งไว้หรือเปล่า  ศิษย์น้องบางท่านตั้งปณิธานกันไปก็มากมาย  แต่หลายท่านมักจะจำไม่ได้ว่าปณิธานทั้งหมดมีอะไรบ้าง  ปณิธานนั้นต้องทำความเข้าใจว่าจะต้องเดินอย่างไรใช่ไหม  รู้แค่เพียงว่าตัวเองมีปณิธาน  แต่ไม่รู้ว่าปณิธานนั้นคืออะไร  ทำให้การเดินของศิษย์น้องหวั่นไหวเอนเอียงไปบ้างใช่หรือไม่  ฉะนั้นปณิธาน จุดมุ่งหมายจะต้องเด่นชัดในตัวตนเองด้วย เข้าใจหรือเปล่า
เราก็เหมือนพี่ๆ น้องๆ กันใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนตอนนี้เรากลับบ้านมาเจอหน้ากัน เจอหน้ากันก็มีทักทายกันบ้าง  ไม่ลืมที่จะมีสัมมาคารวะต่อกัน  ไม่ลืมที่จะมีรอยยิ้มที่ยิ้มแย้มให้แก่กันใช่หรือไม่ และก็ไม่ลืมที่จะมีความเกรงอกเกรงใจเมื่ออยู่ด้วยกัน  เมื่อเราอยู่ร่วมกัน สิ่งที่เราต้องการจาก อีกฝ่ายหนึ่งนั่นคือความจริงใจใช่หรือไม่  ความจริงใจนั้นสามารถปรากฏได้โดยที่ยังไม่ต้องพูด  ก็คือรอยยิ้มจากใบหน้าเมื่อพบเจอกัน  เป็นผู้บำเพ็ญธรรมในยุคนี้ก็เป็นเหมือนตัวแทนแห่งอนุตตรธรรม เป็นตัวแทนแห่งผู้ที่จะบำเพ็ญธรรม  ตัวแทนนั้นก็เปรียบเหมือนทูต  ทูตที่จะนำธรรมส่งมอบไปให้กับผู้อื่น  ยิ่งส่งออกไปตัวเองก็ยิ่งมีมากขึ้นใช่ไหม  ไม่เหมือนสิ่งของที่ยิ่งให้ก็ยิ่งหมดไป  แต่หลักธรรมนี้เรายิ่งให้เรากลับยิ่งได้  เรายิ่งเสียก็เหมือนยิ่งได้เพิ่มใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่ให้กันง่ายๆ ก็คือรอยยิ้มที่ไม่มีวันเหือดหายไปจากใบหน้าของศิษย์น้อง ดีหรือไม่ (ดี)  เป็นผู้บำเพ็ญธรรมที่มีความสุขอยู่ตลอด  มีรอยยิ้มที่รับได้ทุกเรื่องราว  ไม่ว่าความทุกข์นั้นจะเจ็บปวด  ไม่ว่าความทุกข์นั้นจะต้องหลั่งออกมาเป็นน้ำตา  แต่ก็สามารถลบเลือนหายไปได้ด้วยรอยยิ้มใช่ไหม (ใช่) ถึงจะทุกข์ถึงจะสุขมากมายเพียงใด ศิษย์น้องก็ต้องพูดออกมาว่า สบายดีหรือไม่  แม้จะผ่านความเจ็บปวด แม้จะผ่านวาจาร้อยพันคำ แต่ศิษย์น้องก็ผ่านมาจนได้มานั่งอยู่ในที่นี้ ก็นับว่ามีภูมิธรรมไม่เบาแล้ว ฉะนั้นภูมิธรรมนี้จะสั่งสมเพิ่มขึ้น หรือว่ามีแค่เท่านี้ หรือว่าหดหายไป ก็อยู่ที่ว่าก้าวต่อไปที่จะออกจากบ้านหลังนี้ ก้าวต่อไปในขณะที่ไม่ได้พบศิษย์พี่นี้
โอวาทกลอนที่ได้ไปเมื่อวานนั้น ขอให้ไปอ่านหลายๆ รอบแล้วจะเข้าใจความหมายของ “ปลูกบัวกลางไฟ” แล้วจะเข้าใจความหมายของวันนี้ว่าจะบำเพ็ญอย่างไร เพราะตอนนี้ วาระนี้ ภายนอกเริ่มปั่นป่วนแรงขึ้น  ทวีมากขึ้นทุกวัน จะเคี่ยวกรำจิตใจของศิษย์น้องอย่างไร ถึงจะแข็งแกร่ง จะเคี่ยวกรำจิตใจศิษย์น้องอย่างไร ถึงจะงดงามได้อย่างแท้จริง ก็อยู่ที่ว่า ศิษย์น้องจะทนต่อความตรากตรำ สามารถผ่านอันตราย ปัญหาต่างๆ ได้หรือไม่ ได้อย่างไร ใช้วิธีใหน ขอให้ไปศึกษาเพิ่มเติมดูจากโอวาทเมื่อวานนี้ดีหรือไม่ (ดี) ดังเช่นมีคำหนึ่ง “กาละจริยา” กาละก็คือ รู้จักกาลเทศะ จริยาก็คือ จริยธรรม เมื่อออกไปเราต้องพบกับเหตุการณ์ต่างๆ เราต้องรู้ตัวเองว่าจะดำเนินตนอย่างไร ให้เหมาะสมกับเหตุการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะยิ่งเหตุการณ์ในปัจจุบันนี้ไม่เหมือนเดิม เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน จิตใจคนนั้นหยั่งยากยิ่ง แม้แต่จิตใจของศิษย์น้องที่นั่งอยู่ที่นี้ด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้เห็นอยู่ตรงนี้ พรุ่งนี้อาจจะหวั่นไป ฉะนั้นประคองจิตใจให้มั่นคงอยู่ในแก่นธรรม อยู่ในโลกนี้แต่สามารถชนะ ไม่ใช่การชนะด้วยการแก่งแย่ง แต่เอาชนะให้อยู่เหนือทั้งรูปธรรม และนามธรรมได้ เข้าใจไหม (เข้าใจ) ทำอาจจะยากขึ้นมานิดหนึ่ง นั่นก็คือว่า ไม่ว่าอยู่ในสภาวะแวดล้อมใด คนพูดแบบใด จิตใจเราก็ยังบริสุทธิ์ เป็นธรรมชาติอยู่ จิตใจที่คิดจะบำเพ็ญ จิตใจที่คิดจะกระทำดี จะยังคงมีอยู่ไม่สั่นไหวไปกับสิ่งแวดล้อม เมื่อคิดจะบำเพ็ญขอให้มีความขยัน กระตือรือร้น และอดทน ความขยันนั้นก็คือ ความพากเพียร มีแต่บุคคลที่ขยันพากเพียรอย่างไม่ลดละ กระตือรือร้นอย่างไม่หยุดหย่อน ถึงจะสามารถพบแดนนิพพาน กลับคืนเบื้องบนได้ แต่บุคคลที่เกียจคร้านทำอย่างไรถึงจะขจัดความเกียจคร้านได้ ต้องอดทนลบล้างความเกียจคร้านให้ได้ เอาชนะและอยู่เหนือความเกียจคร้านให้ได้ แต่ทุกคนที่บอกว่าตนเองเป็นผู้บำเพ็ญธรรม ต้องไม่ลืมว่าตนเองกำลังบำเพ็ญธรรมอยู่ ต้องย้ำเตือนอยู่เสมอไม่ว่าการกระทำ ไม่ว่าวาจา ต้องมีความเคร่งครัดในตัวเอง อย่าปล่อยตนเองหละหลวมไปง่ายๆ แม้เศษเสี้ยวนาที ก็ต้องไม่ลืมว่าตัวเองเป็นผู้ที่ฝึกฝนบำเพ็ญ ทำได้ไหม (ได้) ตอนนี้ศิษย์น้องอาจจะพูดว่า ทำไมศิษย์พี่มาพูดจึงมีแต่ข้อที่ทำยากทั้งนั้นเลย มีแต่ข้อที่ยังทำไม่ได้เลย ใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าเกิดศิษย์พี่พูดว่า ไม่ตีน้องตอนนี้ให้กลับคืนเบื้องบน แล้วจะไปตีศิษย์น้องตอนไหน ไปตีตอนที่ศิษย์น้องไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว ไปตีตอนที่ศิษย์น้องไม่มีร่างกายนี้แล้ว ทันหรือเปล่า (ไม่ทัน) ถึงแม้จะกลับคืนขึ้นไปได้ แต่ศิษย์น้องก็ทนอยู่เบื้องบนไม่ได้ เพราะอะไร เพราะใจของศิษย์น้องเอง ที่ทำร้ายตัวเองใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นวันนี้ศิษย์พี่มาย้ำเตือนบ้าง ตีบ้าง ขอให้จดจำและไปทำให้ได้ดีหรือไม่ (ดี) และก็เป็นผลดีต่อศิษย์น้องทั้งนั้น ชีวิตนี้อย่าบอกว่ามีแต่เรื่องง่ายที่เข้ามาในชีวิตนี้ เมื่อเกิดขึ้นมา การรักษาให้มีชีวิตอยู่รอดก็ยากแล้วใช่ไหม (ใช่) จะรักษาตนเองให้อยู่รอดและมีค่ามากที่สุด ก็ยิ่งยากขึ้นไปใหญ่ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นบำเพ็ญธรรมแม้จะเป็นเรื่องยาก แต่เหนือของคำว่ายากคือ แดนนิพพาน ศิษย์น้องจะไม่ไปหรือ แต่ชีวิตที่เราผจญอยู่ ต้องแข่งขัน ต้องต่อสู้ ต้องแก่งแย่งชิงดีนั้น ยากเหมือนกันใช่ไหม (ใช่) แต่จุดมุ่งหมายอยู่ตรงไหน ช่างเลื่อนลอยหาไม่เจอใช่หรือไม่ (ใช่) มีเพียงแค่เอาชนะ มีเพียงแค่หวังทรัพย์สิน แต่เมื่อมีรูปมีนามแล้ว ก็ล้วนอยู่ในวัฏฏะของความไม่เที่ยงทั้งนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ช่วงเวลาของคำว่าลำบากก็มีเพียงแค่นี้ มีเพียงหมดสิ้นลมหายใจแค่ช่วงหนึ่งเท่านั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อหมดไปแล้วความยากจะมีต่อไปนั้น ก็อยู่ที่ผลบุญผลกรรมที่เราสร้างทั้งสิ้น ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นการหมั่นส่งเสริมคุณงามความดีให้กับตน จะทำเช่นไร ถือความซื่อสัตย์เป็นหลัก สิ่งใดที่ไม่ชอบ ไม่ควรกระทำ  ก็เริ่มเลิกที่จะไม่กระทำ  สิ่งใดที่ชอบที่ควรกระทำ  ทำแล้วเหมาะสมก็รีบทำ สิ่งใดที่เป็นบาปอย่าได้กระทำ สิ่งใดที่เป็นคุณงามความดี สร้างสมบุญกุศลขอให้หมั่นสร้าง ค่อยๆ รินมรรคผลของตนเองให้กลมสมบูรณ์โดยเร็วที่สุด ตราบที่เรายังมีช่วงลมหายใจเข้าออกอยู่นี้ ถ้าเราไม่ริน ไม่หมั่นเติมบุญกุศลของเราแล้ว ให้คนอื่นมาทำให้ เขาให้เราได้หรือไม่ (ไม่ได้) อย่างที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์เคยกล่าวไว้ “บำเพ็ญธรรมใครทำใครได้รับ” ต่อการบำเพ็ญธรรมของผู้บำเพ็ญธรรมนั้น ถ้าสิ่งใดเราไม่มั่นใจว่าทำไปแล้วก่อผลดีหรือไม่ ก็อย่าเพิ่งทำ สิ่งใดที่มั่นใจว่าทำไปแล้ว ต้องก่อผลดีแต่ก็ขอให้มีความระมัดระวัง ต่อวาจาที่พูดออกไปนั้น ถ้าพูดไปแล้ว ไม่มั่นใจก็อย่าได้รีบร้อนพูด เมื่อจะพูดแล้วมีความมั่นใจเต็มที่ เมื่อพูดไปก็ต้องมีความสำรวม และระมัดระวัง การพูดตักเตือนคนอื่นไม่ได้ยากตรงที่เขาจะรับฟังเราหรือไม่ แต่ยากตรงที่เรากับเขาจะสื่อความหมายได้ตรงหรือแจ่มชัดตามที่เราต้องการหรือไม่ ฉะนั้นการจะปฏิบัติ จะต้องมีความเคร่งครัดและระมัดระวัง อยู่ในความสำรวมยิ่งทำได้ไหม (ได้) หากศิษย์พี่พูดว่า  จงให้วาจานั้นช้ากว่าการกระทำ แต่มีการกระทำที่ไวคล่องแคล่วทำได้ไหม (ได้) เมื่อคิดจะทำก็ให้นึกถึงวาจาที่ตัวเองพูดออกไป  เมื่อตัวเองจะพูดอะไรออกไป  ก็ให้คิดถึงการกระทำที่ตัวเองจะทำว่าทำได้หรือไม่ หากทุกขณะจิตคิดอย่างนี้ ความผิดพลาดความล้มเหลว ก็ยากจะปรากฎในตัวศิษย์น้องได้ รู้ไหมว่าเวลาศิษย์น้องทำผิดพลาดครั้งหนึ่ง มิใช่ศิษย์น้องคนเดียวที่หวั่นเกรงแต่พระอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนที่คอยหนุนช่วย ก็หวั่นเกรงเช่นกัน ท่านหวั่นเกรงว่าพลาดไปแล้วล้มไปแล้วจะไม่ยอมลุกขึ้นมาอีก หวั่นเกรงว่าผิดไปแล้วจะไม่ยอมกลับคืนเบื้องบน จะซ้ำเติมตัวเองให้ยิ่งแย่ลงไปอีก  ฉะนั้นเมื่อไรที่ศิษย์น้องผิดพลาดไป แล้วเกิดมีความหวั่นเกรง ต่อพุทธะเบื้องบนก็จงรู้ไว้ด้วยว่า พุทธะเบื้องบนก็กลัวศิษย์น้องจะไม่กลับคืนไปอีก รู้เช่นนี้จะได้มีกำลังใจให้กับศิษย์น้อง
ชื่อเพลงนั้นศิษย์พี่อยากให้ศิษย์น้องลองอ่านเนื้อหา แล้วลองช่วยกันตั้งดีไหม ชื่อเพลงนี้ศิษย์พี่ให้มีความหมาย เหมือนกับการมาครั้งนี้
บำเพ็ญธรรมนั้นไม่ว่าพุทธะหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ไหนไม่มีท่านใดที่บำเพ็ญง่ายๆ แล้วกลับคืนเบื้องบนง่ายๆ ไม่มีท่านไหนที่เลิกบำเพ็ญกลางคันแล้วกลับมาบำเพ็ญต่อ เบื่อแล้วก็ไม่ทิ้งแต่เบื่อแล้วยังฝ่าฟันความเบื่อนี้ให้หมดสิ้นให้จงได้ใช่ไหม (ใช่) ศิษย์น้องมักจะอดทนกันได้ไม่เต็มที่ อดทนไม่ได้เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าบางครั้งเราไม่รู้จักหลีกหนีบ้าง เมื่อเรารู้ว่าเราอดทนที่จะฟังคำเหยียดหยามไม่ได้ อดทนคำว่ากล่าวไม่ได้ทำไมไม่รู้จักหลีกหนีบ้าง ทำไมต้องไปเดินเข้าใกล้สิ่งที่ทำให้เราต้องทนไม่ได้ ขั้นแรกในการบำเพ็ญนั้นก็คือ  หลีกหนีสิ่งชั่วร้ายก่อน เมื่อเราทำใจได้แล้วเมื่อถึงคราวที่หลีกหนีไม่ได้ก็อดทนให้ได้ และเมื่อถึงอีกขั้นหนึ่งที่ยากขึ้นไปก็คือสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าดีหรือไม่ดี ไม่ว่าเลวร้ายหรือไม่เลวร้ายเป็นสิ่งเหมือนกันหมดไม่มีจิตใจว่าตัวเราชอบแบบนี้หรือไม่ชอบแบบนี้ นั่นก็คือการบำเพ็ญที่ยากขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ทำได้ทีละขั้นทีละขั้น ศิษย์น้องก็จะอยู่บนโลกนี้อย่างเกษมปรีดา อยู่บนโลกนี้อย่างอิสระเสรีเหมือนนกที่ไร้พันธนาการ เหมือนมังกรที่พร้อมจะร่อนถลาคืนสู่เบื้องบน มังกรนี้ยังเป็นมังกรดินที่อยู่บนดินเพราะไร้ปีก ไร้เรี่ยวแรงที่จะผกโผถลาขึ้นไปสู่เบื้องฟ้า ก็เพราะอะไร เพราะยังหล่อหลอมเคี่ยวกรำตนเองยังได้ไม่เต็มที่ ยังเบาใสไม่เพียงพอฉะนั้นตอนนี้มีเวลามีลมหายใจอยู่ก็ให้เร่งรีบดีหรือไม่ (ดี) แล้วเราจะเป็นมังกรที่ถลาคืนขึ้นสู่แดนนิพพาน กลับคืนไปร่วมงานหลงฮว๋าร่วมกันมีความสุขยิ่งกว่าความสุขใดๆ ในโลกนี้ ความสุขที่ไร้รูปไร้นาม ความสุขที่ไร้การเพื่อรักเพื่อชัง ความสุขที่ไร้การอิ่มเอิบในใจนั่นคือความสุขที่เที่ยงแท้ นั่นคือความสุขที่เราไม่ต้องรู้สึกว่าตกลงไปในห้วงทุกข์เมื่อไหร่อีก
“ใจอันคิดคืนกลับ  เสรีดั่งหงส์ร่อนบิน
เป็นมังกรบนดิน  เพียงแค่สิ้นลมหายใจ”
สองบทเป็นการย้ำเตือนว่า ศิษย์น้องมีเวลาเพียงแค่ลมหายใจเท่านั้น หมดลมหายใจนี้จะเป็นนกที่อิสระเสรีจะเป็นมังกรที่อยู่เพียงแค่บนดินหรือไม่ก็อยู่ที่ว่าช่วงชีวิตช่วงลมหายใจนี้ทำตนเองได้มากน้อยเพียงใดเป็นพุทธะเต็มตัวหรือไม่  มีคำกล่าวว่า  “นกที่อยู่ในกรงก็ยากหาความเป็นธรรมชาติ  ได้อย่างแท้จริง ต้นไม้ที่ปลูกในกระถาง  ก็ยากที่จะมองดูแช่มชื่นกว่า ต้นไม้ที่เกิดขึ้นตามป่าเขา” สรรพสิ่งที่เรียงร้อยกันอยู่อย่างธรรมชาติถึงจะปรากฎความงดงามได้อย่างแท้จริง ชีวิตที่ศิษย์น้องผจญอยู่ในโลกนี้  ก็อยู่ในธรรมชาติแต่เราจะกลั่นกรองชีวิตให้กลับคืนความเป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์ใสแท้นั้น ก็อยู่ในมือของศิษย์น้อง ก็อยู่ที่การดำรงชีวิตต่อไปของศิษย์น้องนั่นเองว่าจะกลับคืนความใสเดิมไหมหรือยังอยากมัวเมาโลกีย์อยู่ ขอให้เลือกเอา
เดี๋ยวพอจบชั้นแล้วศิษย์พี่ขอตัวแทนช่วยแจกแอปเปิ้ล ขอให้มีความราบๆ เรียบๆ ไปตลอดในการบำเพ็ญธรรมดีหรือไม่ (ดี) หากต้องเจออุปสรรคบ้างก็คิดเสียว่าแอปเปิ้ลที่เราได้รับนี้ มีหนอนมีสิ่งที่ไม่ดีให้ดึงออกเสียดีหรือไม่ (ดี) หากแอปเปิ้ลที่ทานนี้รสชาดไม่หวาน มีทั้งเปรี้ยวมีทั้งฝาดก็คิดว่าชีวิตนี้ยังต้องผจญไปอยู่เรื่อยๆ ขอให้ตอนนี้เปรี้ยวหวานฝาดอย่างไรก็ขอให้ยังมุ่งมั่นกลับคืนเบื้องบน มุ่งไปสู่ความมั่นใจทำได้หรือเปล่า (ทำได้)
เป็นผู้บำเพ็ญธรรม แม้จะเป็นลูกศิษย์ของพระอาจารย์จี้กงแม้จะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยหนุนช่วย แต่ก่อนจะทำอะไรแล้วมาขอให้พระอาจารย์ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้องถามตัวเองด้วยว่าได้ลงแรงเต็มที่หรือไม่ ถึงจะมาขอพลังหนุนจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์พลังหนุนจากพระอาจารย์ ตัวเองยังลงแรงไม่เต็มที่ แล้วขอพลังหนุนจากคนอื่น ถ้าพระอาจารย์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้ไปแล้วเต็มที่แต่ศิษย์น้องเอง ไม่หยิบฉวยเอามาใช้ อย่างนี้จะโทษใครดี (ตัวเอง)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาสอนนักเรียนในชั้นร้องเพลง)
ยังร้องไม่ได้ก็ต้องสู้ต่อไปใช่หรือไม่ (ใช่) มีแต่ความขยันและความพากเพียรถึงจะเอาชนะแล้วประสบผลสำเร็จได้ใช่ไหม (ใช่) บำเพ็ญธรรมะอย่าเบื่อง่ายๆ อย่าเกียจคร้านง่ายๆ ต้องอดทนให้ได้ต่อสู้ให้ได้ ศิษย์พี่ไม่รู้จะบอกศิษย์น้องอย่างไร หากศิษย์พี่ยกตัวอย่างให้ตัวอย่างหนึ่ง หากมีกระจกกั้นบานหน้าต่างอยู่ครึ่งบานศิษย์น้องเปรียบเหมือนคนที่กำลังจะปืนขึ้นไปให้ถึงปลายกระจกเพื่อกลับคืนสู่เบื้องบน แต่ศิษย์น้องสายตามองไม่ได้ไกลมองเห็นแค่เพียงว่ากระจกนี้สูงจนไร้ที่สิ้นสุด ยิ่งปีนก็รู้สึกว่าไม่ไหวแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือพุทธะมองเห็นปลายสิ้นสุดของกระจกนั้น ถึงแม้จะพยายามผลักดัน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจึงจะให้ศิษย์น้องได้เห็นปลายสิ้นสุดของกระจกนั้น ว่าปลายสิ้นสุดของกระจกนั้นยังอยู่ไม่ไกลหากพยายามปีนต่อไป แม้จะลื่นแม้จะยากมองเห็น แต่ถ้าพยายามไปเรื่อยๆ ปลายสิ้นสุดนั้นก็คือแดนนิพพาน ปลายแห่งความขมทุกข์ยากที่สุดนั้นก็คือความสำเร็จ แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรหรือเอื้อนเอ่ยหรือใช้แนวทางใด เพราะว่าอับจนใจเหลือเกิน เหมือนกับศิษย์น้องต้องการให้เด็กยืนขึ้นให้ได้ ถ้าเมื่อไหร่ที่เขายืนขึ้นได้ เขาก็รู้ผลแห่งการยืนนั้นสะดวกสบายยิ่งกว่าการคลานใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์พี่พระอาจารย์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ก็เหมือนกัน ถ้าศิษย์น้องฝ่าฟันความลำบากนี้บำเพ็ญจนกระทั่งหยัดยืนได้ก็จะรู้ว่าการหยัดยืนได้นั้นมีความสุขยิ่งกว่าการคลานอยู่บนโลกอีกเข้าใจไหม (เข้าใจ)
น้ำตาที่ล้างความทุกข์ความเจ็บปวดออกไปให้หมดสิ้น  และเราพร้อมที่จะเป็นคนใหม่ เริ่มต้นใหม่ให้ใสสะอาดเหมือนเดิมดีหรือไม่  อย่าเพิ่งหลับใหลต่อนะ  เมื่ออยู่ร่วมกันความสามัคคีต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง  แม้การกระทำนั้นเราจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งด้วยความเต็มใจ  แต่ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งนั้นไม่ชอบในสิ่งที่เราทำ ก็ขอให้พินิจพิจารณาให้ดี  อยู่ร่วมกันวาจาที่ร้ายอย่าออกมาดีหรือไม่  เป็นพุทธะ เป็นผู้บำเพ็ญธรรม ไม่ใช่เป็นแค่เพียงสมบูรณ์เพียงภายนอก  แต่วาจานั้นกลับยังไม่สามารถทำได้ดี  อย่าเป็นเพียงผู้ที่ฉาบสีขาวทับสีดำ  แต่ต้องเป็นผู้ที่มีสีขาวตั้งแต่เดิม  ไม่มีสีดำแฝงอยู่ภายในเข้าใจไหม (เข้าใจ)  ฉะนั้นจะต้องขัดเกลาให้ได้  วาจานั้นพูดแต่น้อยๆ ดีหรือไม่  แต่เมื่อเห็นคนอื่นจะต้องผิดพลาดไป วาจานั้นต้องเร่งรีบพูดให้กำลังใจเขา ปลุกประโลมปลอบใจเขา  มือนั้นเรามีเพียง ๒ มือ  แต่หลักธรรมนั้นมีหลายมือหลายกรยิ่งนัก  หากเราใช้มือไปช่วยอาจจะช่วยได้ไม่หมด  มีแต่นำหลักธรรมนั้นไปช่วย จึงจะช่วยเขาได้ทันท่วงทีและทันทุกคนเข้าใจไหม (เข้าใจ)
ตอนนี้ลองสำรวจตนเองดูสิว่าเป็นผู้ที่บำเพ็ญธรรมก้าวหน้า หรือว่าถดถอยกว่าเดิม  หากทุกวันสำรวจตัวเองก็จะรู้ว่าตัวเองนั้นมีความก้าวหน้าหรือมีการถดถอย  จิตใจตัวเราเองนั้นหากว่าดีแล้วก็ขอให้รักษาความดี  หากยังมีข้อเสียอยู่ก็ให้รีบลบล้างทิ้ง อย่าขาวเพราะว่าทาสีดำทับไป  แต่ต้องเป็นคนที่ขาวเพราะไม่มีสีดำปกปิดไว้ ใช่ไหม (ใช่)
จวบจนสิ้นลมหายใจศิษย์น้องก็ยังคงบำเพ็ญต่อไป  จวบจนสิ้นลมหายใจศิษย์น้องก็ไม่คิดที่จะกล้ำกรายสิ่งเลวร้าย สิ่งที่ไม่ดี ดีไหม (ดี) ผู้ที่มีหน้าที่ขอให้พึงตรวจสอบตัวเองดูว่า ตัวเองได้ทำเหมาะสมกับหน้าที่ ที่ตัวเองได้รับไหม  ผู้ที่ยังไม่มีหน้าที่ก็อย่าได้น้อยเนื้อต่ำใจว่า ตัวเองนั้นไม่เหมาะสมหรือไร  แต่ให้พินิจพิจารณาดูว่า ตัวเองได้ทำตนเหมาะสมที่จะมีตำแหน่งให้รองรับหรือไม่ ดีหรือไม่ (ดี)  เมื่ออยู่ร่วมกันก็ต้องมีผู้น้อย มีผู้ใหญ่  สัมมาคารวะยังต้องมีให้แก่กัน  ความจริงใจก็ยังต้องมีให้แก่กัน  ความเกรงอกเกรงใจก็ยังต้องมีให้แก่กัน  อย่าเห็นว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรม  อย่าเห็นว่าเป็นผู้ที่สนิทกันแล้วจึงมองข้ามความเกรงอกเกรงใจกัน  นึกจะว่าเขาก็ว่าโดยที่ไม่ได้ดูเขา อย่างนี้ก็เป็นการทำร้ายเขา แทนที่จะให้กำลังใจเขาใช่ไหม (ใช่)  บางคนเราต้องการตักเตือนเขาเพื่อให้เขาพบสิ่งที่ดีกว่า แต่บางครั้งเราก็ต้องดูเหตุการณ์ด้วย ว่าเขาพร้อมไหม ที่จะรับฟังตอนนี้ เขาไปเจอสิ่งใดมาหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นสิ่งที่ตักเตือนอาจจะกลายเป็นสิ่งที่ตอกย้ำ ทำให้เขายิ่งตกต่ำลงไปได้ใช่ไหม (ใช่) การแก้ตัวว่า ตัวเองนั้นเป็นผู้ถูก ตัวเองเป็นผู้ไม่ผิดก็ขอให้พึงสำนึกว่า หากเรายิ่งแก้เหมือนยิ่งรัดตนเอง ปล่อยให้เขาเข้าใจผิดไปบ้าง ถ้าเราเป็นคนดีจริง ฐานของการรองรับ ความดีนั้นก็ต้องหนักแน่นมั่นคง ถึงแม้จะโดนคำพูดว่ากล่าวให้ผิดไปบ้าง ฐานนั้นก็ยากที่จะเลือนหายไปได้ใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าศิษย์น้องยังไม่ดีจริง การโดนเขาว่าโดนเขากล่าวหา เราต้องยิ่งสำนึกในตัวเองว่าฐานในความดีของเราไม่มั่นคง ต้องไปปูให้มั่นคงยิ่งขึ้น ไม่ใช่มานั่งแก้คำกล่าวหา คำว่าร้ายใช่ไหม (ใช่) แก้ที่ต้นไม่ใช่แก้ที่ปลายใช่หรือเปล่า (ใช่) กำลังใจที่ศิษย์พี่อยากให้มีมากมาย แต่ไม่รู้ว่าศิษย์น้องจะได้รับกันไปมากมายอย่างที่ศิษย์พี่หวังหรือเปล่า ถ้าเมื่อไรท้อแท้จำเนื้อเพลงไม่ได้ ก็ขอให้จำคำพูดนี้ไว้ว่า “สู้ต่อไป”
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันแต่งชื่อเพลง)
จำให้ได้นะว่าตนเองให้ชื่อเพลงกับศิษย์พี่ว่าอย่างไร  ทำไมศิษย์พี่จึงให้ตั้งชื่อเพลงกันรู้ไหม  เพราะอยากจะให้รู้ว่านับจากนี้ไปศิษย์น้องจะมีปฏิปทาที่จะบำเพ็ญอย่างไร เพราะเมื่อศึกษาไปแล้วตัวเองต้องมีปฏิปทามุ่งมั่นว่าจะบำเพ็ญอย่างไรต่อไป แล้วจะนำสิ่งใดไปเป็นแรง เป็นกำลังใจตลอดหนทางนับจากวันนี้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นชื่อเพลงที่ออกมาจากความคิด ออกมาจากพุทธจิตของศิษย์น้องก็ขอให้จำไว้ให้ดี  นั่นจะเป็นแรงที่จะช่วยผลักดันให้ศิษย์น้องไปให้ถึงแดนนิพพาน  แม้จะคิดชื่อไม่ออก  ก็ขอให้สิ่งที่ไม่มีอะไรเลยนั้นเป็นสิ่งที่ช่วยผลักดัน  อันความว่างเปล่า สดใสนี้กลับคืนขึ้นไปได้เช่นเดียวกัน  ความว่างเปล่าเป็นสิ่งมีค่าของความว่างเปล่า ความมีเป็นสิ่งมีค่าของความมี แต่จะมีหรือว่างนั้น ทั้งสองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่คู่กัน  เมื่อมีแล้วก็ต้องรู้จักว่าง  เมื่อว่างแล้วก็ต้องพร้อมที่จะมีได้เข้าใจไหม (เข้าใจ) เหมือนเคยว่าตัวเองนั้นว่างมาก่อน  ฉะนั้นเมื่อทุกข์เข้ามาก็พร้อมที่จะรับและพร้อมที่จะสู้ได้ เมื่อมีความสุขเข้ามา  เมื่อถึงคราวที่จะไม่มีสุข ก็พร้อมที่จะไม่มีได้
งานนี้สำเร็จได้ ลุล่วงได้ก็เพราะศิษย์น้องร่วมมือกัน แต่จบงานแล้วขอให้ร่วมแรงร่วมใจช่วยกันเก็บให้เรียบร้อย ดีหรือไม่ (ดี)  ไม่ใช่กองไว้ให้เขาทำต่อ  อย่างนี้ไม่ใช่น้องของศิษย์พี่ ใช่ไหม  ที่นี่เป็นเหมือนบ้านของศิษย์น้อง ฉะนั้นบ้านของเราสะอาดอย่างไร บ้านนี้ก็ต้องสะอาดอย่างนั้น

(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานชื่อเพลง “มีความอดทน”)
ขอให้พิมพ์ชื่อเพลงที่ศิษย์น้องร่วมกันแต่งเอาไว้ข้างๆ เพราะถือว่าเป็นการร่วมกันระหว่างพี่น้อง พี่น้องนั้นไม่ควรมีการแบ่งชนชั้นวรรณะ  ไม่มีการแบ่งว่านี่คือพุทธะ นี่คือเวไนย แต่พี่น้องก็คือพี่กับน้อง ลาจากกันด้วยรอยยิ้มนะ  อดทนให้ได้ไม่ว่าวาจา ไม่ว่าการกระทำของใคร  อดทนในสิ่งที่คนอื่นเขาอดทนไม่ได้  นั่นคือศิษย์น้องของศิษย์พี่  จำคำนี้ไว้ให้ดี




พระโอวาทซ้อนพระโอวาท     ปลูกบัวกลางไฟ
                         ในยามนี้โลกดังไฟใจร้อนตาม ภัยคุกคามทั้งนอกในไม่เหลือขวัญ
แต่จงปลูกบัวเสียกลางไฟเดียวกัน                  คือศวัสกาลจิตเลื่อนสูงจากภายใน
ธรรมะจริงทดสอบจริงคัดคนจริง                     ฟ้าไม่ทิ้งคนมีรากบุญยิ่งใหญ่

อย่าหมายเพียงสมหวังหรือไม่อย่างไร            ทองสุกใสผ่านหล่อหลอมจึงงดงาม

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2540

วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2540

2540-09-28 พุทธสถานฉือจี้ ผิงตง ประเทศไต้หวัน

วันเสาร์ที่ ๒๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๐   พุทธสถานฉือจี้ ผิงตง ประเทศไต้หวัน

   นาวาธรรมไทยดำรงข้ามทะเล   มิโยเยแกร่งกล้าย่อมไปถึง
กระทำตนให้เวไนยได้พิงพึ่ง   ให้ไปถึงแก่นธรรมที่อยู่ไกล
   เราคือ
   พระพฤฒาชันษาแห่งทักษิณาลัย   รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา   ลงสู่พุทธสถานฉือจี้  แฝงกายเคียมคัล
องค์มารดาแล้ว   ถามหลานหลาน ทั้งหลายพร้อมแล้วหรือยัง

   ขอให้หลานพยุงตนพยุงจิต   คำพูดสะกิดใช้เตือนใจอย่าไขว้เขว
วันข้างหน้ามองโลกกว้างมิปนเป   อวิชชาเล่ห์อย่าหลงตามกระแสธาร
วนแล้ววนวนแล้ววนคือเกิดตาย   ได้เจอไฟโคมนำทางใช่ความฝัน
เมื่อพบแล้วเข้าใจแล้วยิ่งแบ่งปัน   อุปสรรคกั้นจงเร่งฝ่านะหลานเอย
ขอให้เดินด้วยใจเป็นสัมมา   โลกเปลี่ยนยุคจงกล้าเชื่ออย่านิ่งเฉย
การบำเพ็ญต้องลงแรงมิละเลย   ละชินเคยดั่งเช็ดเปื้อนบนหน้าตน
รอคอยวันหลานงดงามมีมรรคผล   ดั่งฉ่ำฝนโปรยสู่พื้นทุกแห่งหน
ธรรมดาชีวิตมีวันอับจน   จึงสอนหลานละใจคนข้นอัตตา
งานยุคสามฟ้าดินลงโปรดช่วย   จิตใจป่วย ณ จุดใดเร่งรักษา
อาศัยคนออกแรงช่วยพายนาวา   สู้เถิดหนากับพายุที่คว่ำเรือ
   ฮา ฮา  หยุด

หมายเหตุ กลอนที่ขีดเส้นใต้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันแต่ง

พระโอวาทพระพฤฒาชันษาแห่งทักษิณาลัย

วันนี้มาที่นี้มีความสุขไหม (มี) ความสุขนี้รักษาไว้ได้ไหม ความสุขนี้รักษาไว้อย่างไร(ทำความดี,บำเพ็ญไปเรื่อยๆ มั่นทำความดี) แน่ใจหรือเปล่าว่า วิธีที่ตอบมาสามารถรักษาความสุขได้ตลอดไป ความสุขนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีรูปลักษณ์ เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี(ดี) คนเรานั้นมีความสุขได้ แต่ความสุขนั้นจำจะต้องไม่อยู่บนความทุกข์ผู้ใด
ในวันนี้หลานๆ สามารถเดินเข้ามาสู่ในพุทธสถานนี้สามารถฟังธรรมะได้ ตัวเองมีบุญหรือเปล่า (มี) คนมีบุญทั้งหลายตอนนี้มีความสุขไหม บุญตรงนี้สามารถทำให้หลานๆ มีความสุขได้ตลอดไปไหม ตอนนี้มีความทุกข์ไหม (ไม่มี) แล้วเมื่อวานนี้มีความทุกข์ไหม (มี) แสดงว่าแม้ว่าเราจะมีความดี ไม่ได้หมายความว่า ความสุขของเรานั้นจะจีรังยั่งยืนใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นหลานๆ จะต้องไม่ยึดติดกับความสุขที่ตนเองมี ความสุขของเรานั้น จะทำด้วยสิ่งใด ความสุขนั้นไม่จีรังยั่งยืนหลานทำให้เกิดได้ เกิดแล้วดับได้ เมื่อยามดับไปนั้น ปล่อยวางลงได้ไหม (ได้) สมมติว่าตอนนี้มีเงินอยู่ห้าหมื่น อยู่ๆ ก็หายไปเลย ความสุขนี้แตกดับได้ไหม (แตกดับ) แล้วเรานั้นปลงได้ไหม (ต้องพยายาม) ถึงเวลาพยายามจริงๆ ไหม ต้องศึกษาธรรมะอย่าเพิ่งงง ตั้งใจฟังให้ดี
รอบๆ ข้างของเราใช่ญาติของเราหรือไม่ (ไม่ใช่) เราไม่ใช่ญาติเขา เขาก็มาดูแลเราทำอาหารให้เรากิน ธรรมะนี้ดีหรือไม่ (ดี) แล้วหลานคิดว่าจะรักษาธรรมะนี้ตลอดไปไหม (รักษา) รักษาอย่างไรดี (มั่นปฏิบัติธรรม) ตอนนี้คิดเริ่มปฏิบัติธรรมไหม พวกเขามีความจริงใจต่อเราถึงเพียงนี้ แสดงว่าเพียงมองภายนอกธรรมะนี้ก็ไม่ใช่ธรรมะธรรมดาแล้ว เรามีร่างกายเกิดมาเป็นคนเรี่ยวแรงแข้งขาเราก็มี เราจะใช้ตัวของเราเองนั้นไปในทางใด พิจารณาให้ถ้วนถี่ เรานั้นใช้เรี่ยวแรงของเราเราทำงานในหน้าที่ของเราอยู่ อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมาแล้วอย่างอื่นเราจะรักษาไว้ไหม มีกายก็ต้องมีใจ ใจของเรานั้นใช้สิ่งใดหล่อเลี้ยงอยู่ เวลาว่างๆ ไปหาความสุขมากกว่าหรือมาสถานธรรมมาก กว่า (มาสถานธรรมดีกว่า) พูดไปแล้วทำได้หรือเปล่า
หายงงหรือยัง หายงงแล้วความสงสัยก็ครอบงำใช่หรือเปล่า บำเพ็ญธรรมมีความสงสัยบำเพ็ญไปสงสัยไปจะไม่ได้อะไรเลย เพราะฉะนั้น อันใดควรอันใดไม่ควร ควรจะรู้และเข้าใจ ตั้งใจแล้วพิจารณา ตอนนี้นั้นชีวิตของเราก้าวขึ้นมาอยู่ในเลขสาม ใกล้เลขสี่เช่นนี้แล้วอีกหน่อยเราต้องชราเฒ่าไหม (ชรา) แล้วการเกิดตายเคยคิดอย่างหนักหรือเปล่า (ไม่เคย) เริ่มตอนนี้เลยดีไหม การเกิดการตายนั้นเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สุด เพราะว่าชีวิตคนเรา เกิดมาทุกคนต้องตายก่อนที่เราจะตายเราคิดอะไรอยู่ ชั่ววินาทีนี้ถ้าหากว่ามีรถมาชนเรา หรืออีกสามวันข้างหน้าเราเจอเหตุการณ์เช่นนี้ เราก็อาจจะตายใช่ไหม (ใช่) สามวันข้างหน้าเราได้เริ่มคิดหรือยัง
เราอยากจะให้ชีวิตของเรานั้นเป็นคนเช่นไร มาอยู่ที่นี่กับข้างนอกเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน) เพราะฉะนั้น ในนี้มีสิ่งดีให้เราเห็นมากมายเกือบจะเหมือนอยู่บนสวรรค์ใช่หรือไม่ ออกไปข้างนอกนั้นก็เหมือนอยู่ในทะเล ถ้าหากเป็นสิ่งหนึ่งที่ลอยอยู่บนทะเล คลื่นสัดเราก็ต้องไปตามคลื่น เพราะฉะนั้นตอนนี้ มีโอกาสที่จะให้เรามาทำจิตใจสงบๆ ที่พุทธสถาน เราจะต้องตัดความสงสัยและการคิดว่าชีวิตของเรานั้น จะดำเนินอย่างไรต่อไปเริ่มคิดเสียตั้งแต่ตอนนี้ อย่าคิดว่าเขาพูดอะไรที่เรายังไปไม่ถึง หรือเป็นเรื่องที่ไกลเกินตัวชีวิตนั้นก็เป็นของเรา เรามุ่งหมายทางใดก็คือความตั้งใจของเรา หลานๆ อยากจะอยู่บนคลื่นน้ำให้คลื่นซัดตลอดไปหรือไม่ (ไม่อยาก) เพราะฉะนั้นเราต้องทำความเข้าใจกับธรรมะที่เราได้รับไปแล้วศึกษาดีไหม (ดี) ศึกษาอย่างนี้ต้องลงแรงมากมายลงแรงตรงไหน เช่นอยากไปเที่ยวเราก็ต้องจูงใจตนเองว่า มีเวลาแล้วเราจะให้เวลากับการมานั่งฟังธรรมะมากหน่อยดีหรือไม่
หลานไม่ใช่คนพื้นที่นี้ก็ยังมีคนเขาโอบอุ้มเรา มีคนเขารักเราโดยไม่รังเกียจ เราจะต้องรู้ว่า นี้เป็นพระมหากรุณาธิคุณแห่งฟ้าดิน ไม่ใช่ตัวเราคนเดียวเขาจึงมารักเราอย่างนี้ชีวิตหนึ่งของเรา ในคน 10 คน มีคนรักเราถึง 5 คนหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นโอบอุ้มเวลาและชีวิตนี้ให้ดี เมื่อดอกไม้ร่วงโรยไปแล้ว ยังเหลือเป็นเมล็ดพันธุ์เพื่อปลูกพืชต้นต่อๆ ไป หากเราเป็นดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้น ต่อไปเราจะเอาเมล็ดพันธุ์ไหน โปรยให้กับพื้นดิน
ในโลกนี้มีความวุ่นวายนานา ในธรรมมีความสงบนานา อยู่ที่หลานทั้งหลายจะเลือกทางไหน เวลาใกล้หมดให้หลานๆ ได้ศึกษาและเรียนรู้ ขอให้เสียสละเวลาให้กับตนเองมากๆ ในชั้นจำเป็นจะต้องฝึกฝนตั้งหลายอย่างไม่ใช่แค่วิชาความรู้ ชีวิตของเราเท่านั้น แต่เรานั้นยังเกี่ยวเนื่องไปกับคนอีกหลายคน หากธรรมะล้ำค่าเราก็จะไปสู่ทางหลุดพ้นไม่ใช่บอกว่าธรรมะล้ำค่าเราก็ปล่อยเสียหมด เริ่มตั้งแต่วันนี้ดีหรือเปล่า (ดี) แน่ใจหรือเปล่า (แน่ใจ)ถ้าหากมีคนต่อว่าเรา บอกว่ามาทำอะไรก็ไม่รู้ กลัวสิ่งนี้มากที่สุดใช่หรือเปล่า (ไม่กลัว) หวังว่าจะไม่ลืมคำพูดที่ตัวเองได้พูดไป ขอให้ทำสิ่งที่ตนเองพูดให้ฟ้าดิน ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกองค์เห็น การมาครั้งนี้จึงจะไม่เป็นการพบหน้ากันที่เสียเปล่าไป
สิ่งที่หลานเข้ามาศึกษานั้น ในยุคปัจจุบันนี้เป็นสิ่งที่เร่งร้อน เพราะว่ามนุษย์นั้นทำชั่วมากทำดีน้อย จึงหวังว่าความดีของหลานๆ จะช่วยคำชูโลกนี้ไว้เช่นเดียวกัน หากว่าชีวิตของเราสามารถดำเนินไปได้แล้วเสียสละให้กับตัว ลูกหลาน และเวไนย จึงจะเรียกว่าความพึ่งพาได้ หากว่าเป็นพุทธสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วจำเป็นจะต้องมีคุณธรรมต่างๆ มาค้ำชู หลานๆ นั้นอยากจะวิ่งไปสู่ฟ้า นิพพานไหม ถ้าหากเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดทุกข์ทรมานหรือเปล่า ดูว่าหลานๆ ให้ไว้คือสิ่งใด
"ให้ไปถึงแก่นธรรมที่อยู่ไกล" จะไปถึงแก่นธรรมนี้จริงๆ หรือเปล่า แต่ว่าในคำพูดของหลานๆ นั้น หลานรู้ไหมว่าสิ่งใดคือแก่นธรรม การบำเพ็ญธรรมนั้นก็หาสิ่งนี้ การบำเพ็ญนั้นทำอย่างไรบ้าง นอกจากการเสียสละเวลาแล้วยังต้องลงแรงกับจิตใจของตน เราเคยส่องกระจกกันทุกคนใช่ไหม บนกระจกนั้นมีหน้าของใคร (หน้าของเรา) หน้าของเราเวลามีรอยเปื้อนเราต้องเช็ดไหม (เช็ด) ถ้าเช็ดไม่ออกทำอย่างไร (ล้าง) แล้วถ้าล้างไม่ออกทำอย่างไร เราต้องปล่อยแล้วรอยเปื้อนนั้นจะค่อยๆ ออกไปตามวันเวลาใช่หรือไม่ ไม่มีรอยเปื้อนอันใดที่อยู่ได้ตลอดไป หากว่าเราตั้งใจที่จะเช็ด จิตใจของเราก็เป็นเช่นนี้เราจำเป็นที่จะต้องเช็ดรอยเปื้อนที่อยู่บนจิตใจของเรา พอมีความคิดไม่ดีเกิดขึ้นเราจะต้องเช็ดสิ่งนี้ออกให้ได้ ยังมีความคิดมากมายที่ไม่รู้จักปลงไม่รู้จักวาง เราจะต้องเช็ดสิ่งนี้ออกให้ได้หลานๆ ทำได้ไหม การเช็ด เช็ดสิ่งใดยังเป็นเรื่องที่เราต้องคิดถึงอีก แต่วันนี้เวลาคงจะสั้นไป ถ้าเราเซียนองอยู่นานคงอดกลับบ้านใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่) อย่างนี้ก็เท่ากับว่าหลานๆ นั้น ตั้งใจและเต็มใจเราไม่ได้อยากให้หลานๆ ไม่กลับบ้านแต่อยากให้หลานๆ รู้ว่า การบำเพ็ญนั้นก็ยากแสนยาก แต่จะพบรอยเปื้อนบนหน้าตัวเองก็ต้องหา กระจกมาส่อง ก็คือให้ผู้อื่นมองใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นผู้อื่นมองแล้วกระจกอันนี้ก็คือปากของหลานๆ เขาย่อมพูดเป็นบอกเป็น เราจะต้องทำใจที่จะรับต้องฟังในสิ่งที่เขาพูดไม่ใช่ว่าคนอื่นพูดกับเรา พอพูดไม่ดีเราก็โมโหถ้าทำเช่นนี้ก็ไม่มีความอดทนพอใช่หรือไม่ การบำเพ็ญนั้นจะต้องลงแรงเรียกว่าปฏิบัติ หลานๆ นั้นจะปฏิบัติไปด้วยความอดทนไหม (อดทน) ความอดทนนี้จำเป็นจะต้องทำให้ฟ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นเห็นให้ได้ เวลาในชีวิตนี้ของหลานๆ คุ้มค่าสามารถพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ ถ้าหากว่าไม่ปล่อยเลยไป ไม่ผัดวันประกันพรุ่งให้กลายเป็นดินพอกหางหมู ตอนนั้นถ้าหากว่าเราเกียจคร้านคำที่เราบอกว่าจะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดนั้นก็ยังเป็นเรื่องยาก
มารับธรรมะได้วันนี้ ขอบพระคุณคนที่แนะนำให้เรามาหรือเปล่า หรือคิดว่าทำไมตามกวนใจเราจริงๆ ขอบคุณดีหรือกวนใจดี (ขอบคุณ) หากจิตใจของเรานั้นคิดว่ากวนใจ ก็แสดงว่าเรานั้นมีจิตใจที่บำเพ็ญอยู่ยังไม่พอ ถ้าหากจิตใจเราเป็นจิตใจที่ขอบคุณก็จะมีจิตใจที่งดงามตามมาเรื่อยๆ บนโต๊ะพระให้หลานๆ เลือกว่าจะเอาอะไรให้เขาดี (แตงโมครับ)เวลาคิดคิดคนเดียวก็ไม่ได้เพราะมากันตั้ง 8 คน แล้ว 8 คน จะรวมมือพายเรือสามัคคีกันได้หรือเปล่า ถ้าหากคนหนึ่งพายข้างซ้าย อีกคนหนึ่งพายข้างขวาหากเราพายกันไปในทิศทางเดียวกันก็ดีอยู่ แต่หากเราไม่มีการปรึกษาหารือเกิดพายนี้ตีกันจะว่าอย่างไร เพราะฉะนั้นลองปรึกษากันเป็นการเริ่มต้น
"อาศัยคนออกแรงช่วยพายุนาวา  สู้เถิดหนากับพายุที่คว่ำเรือ" เราพายเรือกัน เพราะฉะนั้นเราจึงต้องสู้กับพายุ เมื่อเรือออกไปกลางทะเลแล้วเจอพายุเราจะต้องให้เรือของเรามั่นคงที่สุด ความสามัคคีเป็นสิ่งสำคัญวันนี้มาได้ 8 คน หากว่าเราสามัคคีกันเราเป็นคนดี คนที่เขาดูเราเขาก็จะแสดงความยินดีกับเรา เพราะฉะนั้นขอให้ทำแบบอย่างที่ดี ให้พ่อแม่ ญาติพี่น้อง และเพื่อนเราเห็น ถึงแม้ว่าจะไม่ดีต่อใครเลยแต่รับรองว่าดีกับตัวหลานๆ ทุกคน
ตกลกว่าให้อะไรดี (แตงโมครับ) การให้ที่ดีที่สุดไม่ใช่อยู่ที่สิ่งของ การให้ที่ดีที่สุดคือการให้ใจ ใจของเราที่รักเขาจริงๆ เพื่อที่จะให้เขาดีใจ เรานั้นจะต้องตั้งใจบำเพ็ญธรรม หากเราเป็นลูกพ่อแม่ต้องการให้เราเป็นคนดีทุกคนการให้พ่อแม่ก็คือการปฏิบัติที่ดี เมื่อพ่อแม่เห็นก็สบายใจ หากว่าเรามีครอบครัวแล้วการให้ที่ดีที่สุดคือ ความรับผิดชอบที่เรามีต่อเขา เขาต้องการสิ่งนี้ที่สุดใช่หรือไม่ ต่อเวไนยแล้วต้องการความเมตตาเพื่อจะให้เขานั้นรู้สึกว่า เรารักเขาด้วยความจริงใจ ต่อผู้แนะนำของเรานั้นคือการตอบแทนบุญคุณด้วยการบำเพ็ญตลอดชีวิต ไม่ใช่ว่าบำเพ็ญไปครึ่งๆ กลางๆ เจอคนว่าเราใจของเราก็คิดไปต่างๆ นานา ก็ท้อถอยใจ
วันนี้ขอให้หลานๆ ทุกคนพร้อมที่จะเริ่มต้นและจบลงด้วยมรรคผลที่อยู่บนนิพพาน ให้เรานั้นเป็นผู้ที่มีชื่อหลงเหลือไว้ตราบนานเท่านาน เพราะฉะนั้นจะต้องเป็นตัวหลานลงมือปฏิบัติทั้งสิ้น ไม่มีใครสามารถจะหาเงินแทนเราได้ จึงไม่มีใครหามรรคผลแทนเราได้ เราบำเพ็ญเท่าไร เราก็จะได้เท่านั้น หลานๆ เชื่อหรือไม่เชื่อ (เชื่อ) และเชื่อว่าตัวเราจะไปถึงไหม ขอให้เรามีความเชื่อมั่นนิพพานก็อยู่เบื้องหน้า เราไม่มีความเชื่อมั่นต่อให้เอาเพชรมากองอยู่ตรงหน้าเราอาจจะบอกว่า เป็นเพชรปลอมเพราะคิดว่าใครเขาจะให้เพชรเราง่ายๆ เราจึงต้องทดลองดูก่อนอย่าเพิ่งปล่อยไปทั้งๆ ที่ยังไม่ทดลองขอให้เรานั้นใช้ชีวิตนี้ให้คุ้มค่า อย่าคิดว่าธรรมะเมื่อได้มาง่ายก็ทิ้งไปง่าย ขอให้เราได้ง่ายและสำเร็จง่ายดีไหม (ดี)
มาวันนี้มากันกี่คน ขอให้ร่วมมือร่วมแรงสามัคคีกัน จับมือคล้องกันไว้ มีความหนักแน่นเหมือนกันมือที่คล้องเกี่ยวกัน โอกาสหน้าเจอกันใหม่ขออย่าได้เบื่อหน่ายการบำเพ็ญ ชีวิตนี้ของคนเราหาสิ่งที่ดีที่สุดที่อยู่ในชีวิตนี้ หามาแล้วก็คือการสำเร็จขึ้นอยู่บนนิพพาน ไม่เกิดไม่ตาย ไม่อิ่มไม่หิว ไม่ต้องยืนอยู่ในความทุกข์ไม่ต้องวนอยู่ในความสุข สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เที่ยงแท้ขอให้หลานๆ ทุกคนมีความสุขอยู่กับสิ่งที่หลานๆ เลือกสรร
หวังว่าวันหน้ามีโอกาสจะได้พบหลานๆ อีกด้วยความก้าวหน้า ด้วยการเดินหน้า และลงแรงได้หรือเปล่า เมื่อครู่เสียงสะท้อนเข้าไปสู่ใจคือธรรมะอะไรจำได้หรือเปล่า กลับไปคิดดีหรือเปล่า ไม่ใช่ธรรมะที่เราพูดทั้งหมดลืมหมดเลย หลงเหลือไว้แต่ความสงสัย และการยึดติดกับรูปลักษณ์ที่มายืมร่างในวันนี้ ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วใจของเราไม่ได้เปิดกว้างออก น้ำที่จะรดต้นไม้นั้นก็จะรดไปไม่ถึงต้น ไม่ถึงราก จึงไม่มีประโยชน์อะไรสู้กับพายุที่คว่ำเรือของตนเองในวันข้างหน้า มีโอกาสแล้วเจอกันใหม่


อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2540

วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2540

วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2540

วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2540

2540-06-14-สกุลสีหานาท (ฮุ่ยอวี้) จ.ขอนแก่น



PDF 2540-06-14-สกุลสีหานาท #11.pdf

#ความหมายฮุ่ยอวี้   #ใช้หลักธรรมในการบำเพ็ญ

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2540

วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2540

2540-05-31 พุทธสถานเจาหยรู จ.เชียงใหม่


PDF 2540-05-31-เจาหยรู #9.pdf

#อนุตตรธรรม  #ศาสนา  #กตัญญู  #คุณฟ้า  #คุณดิน  #ฟ้าดิน

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2540

2540-05-24 พุทธสถานฉงเต๋อ จ.กาญจนบุรี


PDF 2540-05-24-ฉงเต๋อ #8.pdf

#ความหมายฉงเต๋อ  #จิตใจผ่องแผ้ว  #สามกาล  #บำเพ็ญในครัวเรือน  #สี่รู้  #ย้อนมอง

อ่านต่อ...

วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2540

2540-05-20


วันอังคารที่ ๒๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๐

พระโอวาทพระโพธิสัตว์กวนอิน

ทิพย์สถานในโลกท่านชุมนุม หลังงองุ้มเมื่อชราเยือนใช่ไหม

ขอท่านเร่งบำเพ็ญอย่างใส่ใจ ใบไม้ร่วงผลิใบใหม่ย่อมยากเกิน

เราคือ

เมี่ยวซ่านกวนอิน รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน กตัญชุลี

พระอนุตตรธรรมมารดา ถามเมธีทุกท่านเกษมสำราญฤๅ

พระโอวาทพระโพธิสัตว์กวนอิน

หนึ่งในหลักคุณสัมพันธ์ทั้งห้า พ่อแม่ที่พึงให้ต่อบุตร ผู้ปกครองที่พึงให้ต่อผู้ใต้ปกครอง ผู้ที่เป็นพี่ที่พึงให้ต่อน้อง และนั่นก็คือความเมตตาใช่หรือไม่ ความเมตตาเป็นพื้นฐานของคุณธรรมที่สั่งสมบ่มเพาะอยู่ในจิตใจของมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม แต่เพราะอะไรความเมตตาจึงค่อยๆ จางไป กลายเป็นการกระทำที่ผิดพลาด กลายเป็นจิตใจที่เลวร้าย เพราะเป็นความรักที่มืดบอด เพราะเป็นความห่วงที่ลืมความถูกต้อง ใช่หรือไม่ ความรักในความเมตตานั้นแม้เป็นพื้นฐานก็ตาม แต่เราต้องพึงยึดหลักความซื่อตรง หากเรามีจิตเมตตาแต่ไร้ซึ่งความซื่อตรงแล้ว สิ่งนั้นย่อมทำลายสิ่งดีงามในตัวทุกผู้ทุกนามได้ เหมือนกับเรามีความรัก ในบุตรหลานของเรา ถ้าเรารักเขามากเกินไป มีจิตใจที่เอนเอียงแล้ว เมื่อลูกหลานของเราถูกทำร้าย เราก็อดไม่ได้ที่จะเกลียดชังบุคคลผู้ที่มาทำร้ายลูกหลานเรา จริงไหม

เมื่อคิดจะเมตตา เมื่อคิดจะรักขออย่าให้แบ่งชนชั้นหรือแบ่งตัวเขาตัวเรา ลูกฉันลูกเธอ ถ้าเราทำได้เช่นนี้ ความเมตตาที่งดงาม และความเมตตาที่แท้จริงก็จะออกมาจากจิตใจได้ ดังที่คำโบราณกล่าวไว้ว่า หนึ่งซื่อตรงสามารถหลีกเร้นความชั่วร้ายนานาประการได้ หนึ่งความคดสามารถทำลายล้างร้อยความดีในตัวตนได้ เช่นเดียวกัน เมื่อรู้ว่าเราเป็นผู้ใหญ่ที่จะต้องปกครองผู้น้อย ความเมตตามีแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่จะต้องทำให้กับผู้น้อย นั่นก็คือการบ่มเพาะสร้างสมคุณงามความดีให้กับเขา ใช่หรือไม่ แม้เราจะสร้างสมทรัพย์สมบัติพัสถานมากมาย แต่เราไม่เคยอบรมบ่มเพาะคุณธรรมความดีงาม การดำรงชีวิตที่ถูกที่ควร แม้จะมีสมบัติหมื่นล้านพันแสน ไม่นานไม่ช้าลูกหลานก็ต้องใช้หมด ชีวิตก็ยากเจริญรุ่งเรืองขึ้นได้ แต่ในทางตรงกันข้าม หากเรารู้จักบ่มเพาะทั้งคุณธรรมความดีงาม เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกหลาน และสร้างสมสิ่งที่ดีงาม ถึงแม้มีทรัพย์สมบัติไม่มาก แต่ถ้าเกิดลูกหลานรู้จักนำคุณธรรมความดีงาม ชีวิตที่ถูกต้องเที่ยงแท้ เขาก็สามารถนำเงินทองเพียงเล็กน้อยไปสร้างสมความเจริญงอกงามให้กับชีวิตได้เช่นกัน

การปกครองลูกหลานถ้าลูกหลานเกิดทำผิดพลาด เราต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ การจะเป็นลมเย็นพัดผ่านเพื่อละลายน้ำแข็งอันหนาทึบได้นั้น ก็เปรียบเหมือนกับการที่จะแก้ไขข้อบกพร่อง ข้อผิดพลาดของลูกหลานนั้น เราต้องรู้จักใช้อารมณ์อันเยือกเย็น ใช้อารมณ์อันสุขุม ทำลายล้างความไม่ดีของลูกหลาน แต่การจะทำลายได้นั้น สิ่งที่เราจะต้องมีนั้นก็คือความสุขุม เมื่อเขาผิดพลาดอย่าเพิ่งใช้อารมณ์ว่ากล่าวในทันที แต่เราต้องรู้จักค่อยๆ ตะล่อมๆ เพื่อหาโอกาส เมื่อถึงคราวเหมาะก็ค่อยๆ พูดตักเตือน มีลูกหลานคนไหนบ้างที่ไม่รักพ่อแม่ ที่ไม่รักปู่ย่าตายายที่ใจเย็น ที่เป็นคนยิ้มง่าย ที่เป็นคนมีความเมตตา ฉะนั้นเราเป็นผู้นำของบ้าน เป็นผู้ปกครองของคนในบ้าน ตัวเรานั้นต้องไม่เป็นผู้ชักพาสิ่งร้ายเข้ามาในบ้านก่อนเป็นคนแรก

การรู้จักสำรวจตนนั้นเป็นสิ่งที่ดี ดีอย่างไรล่ะ ข้อหนึ่ง ได้มองได้เห็นอย่างกว้างขึ้น หากทุกวันเราใช้แต่สายตามองลูกหลาน จับผิดลูกหลาน หรือเป็นห่วงลูกหลานจนเกินไป ก็จะทำให้เราละเลยเพิกเฉยความดีที่อยู่ในตัวเราทุกวันมีแต่สร้างสิ่งที่ไม่ดี เมื่อถามลูกหลานว่าตนเองทำไมเป็นอย่างนั้น ทำไมลูกหลานไม่ได้ดีอย่างที่เราต้องการ หากลูกหลานไม่มีแบบอย่างที่ดีในบ้านแล้ว จะให้ลูกหลานไปทำดีได้อย่างไร

วันนี้มาฟังธรรมะ ฟังไปเพื่ออะไรกัน ในประวัติศาสตร์ที่เราได้เคยร่ำเรียนกันมา มนุษย์ที่คิดจะศึกษาไขว่คว้าหาหลักสัจธรรม หาหลักธรรมะบำเพ็ญตนนั้นก็เพื่อที่จะหลุดพ้นจากโลก แต่ตอนนี้ท่านมาศึกษาหลักธรรม สิ่งที่ท่านต้องการเพียงแค่ต้องการเห็นการยืมร่าง เพียงแค่ต้องการเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นหรือ ขอให้มองตนเองให้ชัดเจน ที่เราศึกษาธรรมะกันไปนั้นก็เพื่อค้นหาความเป็นจริงแห่งชีวิต หาทางหลุดพ้นแห่งชีวิตที่แท้จริง มาพบพุทธะแม้จะเป็นพุทธสถานก็ต้องได้พุทธะกลับไปอยู่ในตัวตนด้วย แต่ถ้าเกิดมาพบพุทธะ ได้เห็นเพียงกายแห่งพุทธะแต่ไม่สามารถสัมผัสถึงสภาวะความเป็นพุทธะ นั่นก็คือจิตใจท่านยังสงบไม่เพียงพอ คนโบราณนั้นเมื่อคิดจะมาศึกษาหลักธรรมในพุทธสถาน ล้วนต้องเปิดใจกว้าง ความวิตกความทุกข์ร้อนล้วนทิ้งไว้ที่บ้าน เมื่อมาถึงสถานธรรมก็จะมีใจพร้อมรับได้ทุกเรื่องทุกราว

จุดมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการเป็นมนุษย์นั้นก็คือ การได้สามารถบำเพ็ญตนกลับคืนสู่แดนนิพพาน แต่การจะบำเพ็ญตนกลับนิพพานใช่เพียงแค่ได้รับรู้วิถีธรรมแล้วก็ไปดำเนินชีวิตตามปกติเท่านั้นหรือ เราจะค้นหาแสวงหาทรัพย์สิน หรือจะไปค้นหาความเป็นจริงแห่งชีวิต อยากไปค้นหาความเป็นจริงแห่งชีวิตใช่ไหม การจะไปค้นหานั้นจิตใจต้องหนักแน่น มิอย่างนั้นหากกระแสลม กระแสธารแห่งทุกข์สุขก็จะพัดพาจิตใจท่านกลับเป็นเช่นเดิม แม้ทะเลที่มีคลื่นยากหยุดนั้นก็ยังไม่เท่ากับจิตใจที่มีมากไปด้วยคลื่นเพราะเรายังปลงไม่ได้ วางไม่ลงใช่ไหม เฉกเช่นลูกหลานต้องออกไปไกลหูไกลตา จิตใจของเราก็ไม่สามารถวางหรือปล่อยลงได้ การอวยพรให้เขาจากไปแล้วพบแต่สิ่งที่ดีงาม กับการมานั่งวิตกกังวลทุกข์ร้อน กลัวเขาจะเป็นเช่นนั้นกลัวเขาจะเป็นเช่นนี้ แล้วสิ่งใดที่ท่านควรจะกระทำ เมื่อเขาจากท่านไป (อวยพรเขา)

สิ่งที่น่ากลัวสำหรับผู้ที่อายุมากตอนนี้นั่นก็คือความโดดเดี่ยวอ้างว้าง บางคนหลีกหนีด้วยการไปเที่ยว ไปพักผ่อน ไปหาคนคุยด้วยเพื่อหลบหนีความโดดเดี่ยวอ้างว้าง แต่การทำเช่นนั้น เป็นการหลีกหนีได้ชั่วครู่

ชั่วคราว เมื่อเจอความทุกข์ เราก็อยากหนีใช่ไหม สิ่งไหนที่ทำให้เราสบายใจ ที่ทำให้เราเพลิดเพลิน ลืมความทุกข์ไปชั่วระยะหนึ่ง เราก็เร่งรีบไปหาใช่หรือเปล่า แล้วต้องคิดหลีกหนีความโดดเดี่ยว อ้างว้าง ความไม่รู้ชีวิตที่แท้นี้ไปอีกนานเท่าไร เราอยากค้นพบความเป็นจริงหรือความสงบร่มเย็นในบั้นปลายชีวิตกันบ้างหรือไม่ แล้วจะทำอย่างไร เคยคิดกันบ้างหรือเปล่า หรือว่าคิดเพียงชั่วครู่ เมื่อหาไม่ได้ก็กลับไปในวัฏฏะ เวียนวนแห่งทุกข์สุขอีก ทำไมไม่ตั้งใจอดทนค้นหาอย่างแท้จริง ความเป็นพุทธะไม่ได้อยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่ทุกท่าน แล้วการดับทุกข์ ดับวิตกกังวล ดับเภทภัยจะแปรเปลี่ยนได้นั้นก็อยู่ในมือ อยู่ในจิตใจอันนี้ แต่น้อยคนนักเมื่อลงแรงแล้วเจอความยากลำบากก็พ่ายแพ้ ไม่คิดที่จะกระทำต่อ หากไม่คิดที่จะขึ้นที่สูงก็ยากพบความสุขสมหวังแห่งที่สูงได้ หากไม่รู้ว่าตนกำลังเวียนว่ายอยู่ในกระแสธารก็ยากที่จะรู้ว่ากระแสธารนั้นวนเวียนวังวนแค่ไหน

การวิงวอนขอเมื่อพบพุทธะนั้นก่อนที่จะวิงวอนขอ เราเคยถามตนเองบ้างไหมว่าเราลงมือกระทำสิ่งนั้นบ้างหรือเปล่า ขอให้เราพ้นทุกข์ พ้นภัย ขอให้เราประสบแต่สิ่งที่ดีงาม แต่ทุกวันเดินไปหาแต่ทุกข์ เดินไปหาแต่ภัย หลีกหนีความดีงาม ตื่นขึ้นเถิดมองให้เห็นความเป็นจริง บั้นปลายแห่งชีวิตอยู่เพียงลมหายใจสุดท้าย วันนี้มีลมหายใจ วันพรุ่งนี้ลมหายใจอยู่แห่งใด วันนี้มีทรัพย์สิน มีความสุข พรุ่งนี้ทรัพย์สินความสุขหายไปไหน หากยังหลับตา หากยังปิดหูทำตนไม่รับรู้ความจริงข้างหน้า ทุกวันหาแต่ความมืดมน แล้วความสว่างล่ะ มีใครคิดจะจุดประกายขึ้นมาบ้าง จุดประกายอย่างไร เริ่มต้นที่กระทำภายในบ้าน เป็นบุคคลที่ร่มเย็นมีความอบอุ่น ไม่มีอารมณ์ร้อน วู่วาม มีจิตใจตามทันทุกสถานการณ์ที่พลิกผ่านเข้ามา จิตใจที่ตามทัน จิตใจที่มองเห็นความชั่วร้ายในตนนั่นก็คือความเป็นพุทธะ

ยุคขาวกับยุคแดงต่างกันตรงไหน ยุคขาวนั้นหากตั้งใจบำเพ็ญ ขัดเกลาจิตใจอันสกปรก ฟื้นฟูความเป็นพุทธะเดินตรงสู่ทาง กลับคืนสู่นิพพาน ท่านก็จะได้พบแสงสว่างอันนิจนิรันดร์ แต่ยุคแดงนั้นท่านจะต้องเป็นเมธีฝ่ายชาย บวช โกนผม นุ่งห่มเหลือง ซึ่งเมธีฝ่ายหญิงยากจะกระทำได้ ถึงแม้จะมีการนุ่งขาวห่มขาวแต่ถ้าให้ถือศีลตามที่พระพุทธองค์บัญญัติก็ยากที่จะมีใครถือได้ครบ แม้เพียงศีลห้าทุกวันก็ยากที่จะกระทำครบได้ หากศีลห้าทำครบ ทุกวันบำเพ็ญตน ช่วยเหลือตนเอง ช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว ท่านก็สามารถกลับคืนได้เช่นกัน

หากวันนี้มาฟังธรรมเพียงหนึ่งวัน แต่มีความเข้าใจเพียงชั่วครู่ชั่วคราว ต่อไปคิดจะมาศึกษาเพิ่มเติมหรือไม่ (คิด) แต่มีบางคนยังอดไม่ได้ใช่หรือเปล่า หากวันนี้ยังปลงไม่ได้วางไม่ได้ ไม่คิดบำเพ็ญอย่างแท้จริง เมื่อต้องพ้นจากกายนี้ไป วิญญาณท่านก็ยากจะกลับคืนสู่แดนพุทธาลัยหรือแดนนิพพาน เราเห็นมาหลายคนแล้ว ที่วนเวียนแล้วก็พูดว่า ถ้าตนเองได้มีกายอีกครั้งหนึ่งได้พบพุทธะอีกครั้งหนึ่ง ตนเองจะตั้งใจบำเพ็ญ แต่ทำไมล่ะยังมีคนอีกมากมายร่ำร้อง ร้องเรียกเรา แต่น้อยคนนัก เมื่อพูดไปแล้วกล่าวไปแล้วจะทำได้จริง พูดวันนี้ พรุ่งนี้ก็ลืมเลือน พูดปีนี้ ปีหน้าก็หายไป เพราะอะไร เรายากกลับคืนแดนพุทธาลัยไปเสวยวิมุตติสุข ทุกวันท่านยังพร่ำสวดนามแห่งเราอยู่ แต่มีใครพร่ำสวดแล้วจะเข้าใจถึงจิตแห่งโพธิสัตว์ ยังพูดไม่ทันจบมือก็ไป วาจาก็กล่าวเสียแล้ว แม้เราจะแปลงพระภาคกี่พระภาคก็ตามพูดก็แล้ว นำภัยมาตักเตือนก็แล้ว ความเจ็บปวดตักเตือนก็แล้ว น้อยคนนักที่จะเห็นชีวิตอันแท้จริง ต้องให้นอนอยู่บนเตียงเฉยๆ แล้วลืมตาขึ้นพูดว่า ร่างนี้อนิจจังเสียเหลือเกิน โลกนี้ไม่เที่ยงแท้ ท่านถึงคิดจะบำเพ็ญธรรม ไม่ห่วงตนเองบ้างหรือ (ห่วง) แล้วคนดีๆ เช่นทุกท่านที่นั่งอยู่ที่นี้ไม่คิดหรือ ว่าคนดีๆ อย่างเรา ถึงแม้จะมีดีบ้างร้ายบ้าง ก็สามารถกลับแดนพุทธาลัยได้ เพียงแต่ล้างสิ่งร้าย ฟื้นฟูสิ่งดี ค้นพบพุทธะบำเพ็ญตนตามหลักธรรม บำเพ็ญนั้นอาจจะยากในการฉุดช่วยคน แต่ก่อนที่จะพูดว่าฉุดช่วยคนนั้นยาก ฉุดช่วยคนนี้ง่าย ถามก่อนว่าใจที่เราไปฉุดช่วยคนเหล่านั้นมีความเมตตาเท่าไร มีความยากง่ายอยู่ในใจหรือเปล่า จิตใจแห่งพุทธะทุกดวงต่างมีรอยบาดแผลแห่งเภทภัย ต่างมีบาดแผลแห่งมายา เมื่อมันอักเสบหรือลุกลามขึ้นมาขอให้รับรู้ว่านั้นเป็นการเตือน เตือนว่าเรามีร่างกายเท่านี้ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ย่อมจะมีวันใกล้เส้นดับสูญเช่นกัน พูดไปร้อยคำพันคำ ความศักดิ์สิทธิ์ของเราก็เริ่มเบาบางลง เพราะอะไร เพราะพุทธะไม่เคยแสดงความศักดิ์สิทธิ์เท่าที่เราพูดเลย ทุกคนแม้จะชี้แนะ จะบอกกล่าวเป็นหมื่นเป็นพันคำ สายน้ำก็ยังชอบลงต่ำวันยังค่ำ เฉกเช่นจิตใจของคนที่ลื่นไหลสู่แดนมายา หรือสู่แดนเลวร้ายได้ง่ายยิ่งนัก แต่การวิดน้ำขึ้นอยู่ที่สูง การปีนสู่ที่สูง ถึงแม้จะยาก แต่ถ้าผู้ใดทำได้นั้นก็เป็นสิ่งที่ดีใช่หรือไม่

น้ำจะกลั่นตัวคืนสู่ฟ้าได้ย่อมบริสุทธิ์อย่างแท้จริง จิตใจจะบริสุทธิ์คืนฟ้าได้ย่อมผ่านการเคี่ยวกรำหล่อหลอมอย่างหนักแสนหนัก สำคัญที่ว่าจะยอมไหม จะเดินหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นเก้าอี้พุทธะหรืออาสน์บัวแห่งพุทธะท่านก็จะไม่มีวันได้เหยียบหรือได้นั่งอีกต่อไป เพราะไม่ยอมเข้าใจถึงชีวิต เพราะไม่ยอมบำเพ็ญธรรมด้วยการลงแรง

วันนี้ฟังธรรมะ พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ขอให้ท่านตั้งใจศึกษาให้ดี ถึงแม้การมาครั้งนี้ของเราจะเป็นเพียงชั่วครู่ ไม่ได้ให้อะไรที่เป็นคำศักดิ์สิทธิ์มากมาย แต่อยากจะชี้ว่าความเป็นพุทธะอยู่ในตัวท่าน ตำราแห่งการฝึกฝน การเป็นพุทธะก็ขึ้นอยู่ที่ท่านเป็นผู้เขียนขึ้น แต่จะสำเร็จหรือเปล่า หรือว่าคั่งค้างก็อยู่ที่ตัวท่านเองใช่ไหม (ใช่)

(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานลูกอมให้นักเรียนและผู้ปฏิบัติงานธรรม) ขอให้ความหวานนี้อย่าเป็นเพียงลิ้มรส แต่ความหวานนี้ให้บำเพ็ญด้วยความหวาน กล่าววาจาอะไร ก็ด้วยถ้อยคำที่หวาน และไพเราะนุ่มนวลได้ไหม ถ้อยคำที่เลวร้ายทิ่มแทงบาดหูผู้อื่นนั้นเลิกเสียเถิด บำเพ็ญใส่ชุดขาวทั้งชุด แต่วาจายังพูดไม่ได้ขาวเลย ก็ยากจะเป็นผู้บำเพ็ญที่แท้จริงได้

ขอให้ตั้งใจศึกษาให้ดี ถ้ามีโอกาสขอให้มารับแสงแห่งพุทธะดีหรือไม่ อย่าดูเบาแสงแห่งตะเกียงสามดวงนี้ที่ดูเหมือนประทีปดวงเล็กๆ แต่ถ้าเมื่อไรประทีปดวงเล็กนี้เข้าไปจุดสว่างในกลางใจแล้วความเป็นพุทธะย่อมบังเกิด พุทธะก็อยู่ข้างๆ ท่าน แต่ท่านจะเป็นผู้ขับไล่พุทธะหรืออัญเชิญพุทธะนั้นอยู่ที่การปฏิบัติ หากปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พุทธะย่อมเป็นกำลังใจ ย่อมเป็นแรงฉุดนำ แต่หากตัวท่านเผลอปฏิบัติ เผลอมืดหลงกิเลสมายาในโลกนี้ความเป็นพุทธะก็ยากที่จะมีในตัวท่าน แม้กระทั่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยากจะอยู่ข้างๆ ปกปักรักษาท่านได้ ขอให้รักษาโอกาสให้ดี ตอนนี้ยังมีลมหายใจ ตอนนี้ยังมีเรี่ยวแรง รีบบำเพ็ญกลับคืนสู่แดนนิพพาน

สิ่งมงคล สิ่งดีงาม สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ตัวเราแล้ว อย่าดูเบาความเป็นพุทธะ หากแม้นท่านมีพุทธะ แต่ทุกวันไม่เคยพร่ำเรียกพุทธะในตัวตนแล้ว สักวันหนึ่งพุทธะนี้ก็ย่อมเสื่อมสลาย เพราะอารมณ์ร้ายๆ ใช่ไหม เวลาสั้นนักขอให้ตั้งใจให้ดี บำเพ็ญให้ดี

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2540

2540-05-17 พุทธสถานสกุลพัน (ฮุ่ยจื้อ) จ.บุรีรัมย์


PDF 2540-05-17-สกุลพัน ฮุ่ยจื้อ #7.pdf

#คนเก่ง #บุคลากร  #ศาสนา  #อนุตตรธรรม #ไตรรัตน์  #จุดญาณทวาร

วันเสาร์ที่ ๑๗ พฤษภาคม  พุทธศักราช ๒๕๔๐   พุทธสถานสกุลพัน  กระสัง จ.บุรีรัมย์
   สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
   องค์ประธานในกายงามด้วยสำรวม   คุมใจร่วมฟังธรรมาสมัครสมาน
สอบวันนี้เพื่อเลื่อนชั้นเรียนวันวาน   สามภูมิงานอริยะโปรดต้องตั้งใจ
      เราคือ
   องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่พุทธสถาน  เคียมคัล
องค์มารดา      ถามน้องพี่ทุกท่านสราญฤๅ
         ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง   ฮวา ฮวา
   เมฆลอยเลื่อนไปตามลมไร้ทิศทาง   น้องท่านยังเกิดพิจารณาเข้าใจไหม
ชีวิตนี้หกหมื่นปีนานเท่าใด   วนเวียนว่ายตามชะตาให้หมองลง
ในบัดนี้ฟ้านำชี้ดั่งแสงอาทิตย์   น้องท่านคิดบำเพ็ญธรรมอย่าสับสน
พิจารณาเป็นหลักการพุทธะดล   ไม่อับจนเพราะใจนี้สว่างพอ
เมื่อรับแล้ววิถีธรรมจิตบรรลุ   ดังปะทุเพลิงมงคลเป็นแสงฉาย
นำทางตนนำทางคนจนวางวาย   ในสุดท้ายได้นั้นคืออริยมรรค
ใจพุทธาในยามนี้ตื่นแล้วไหม   หาสมบัติรอพอใจมีไหมหนา
พอได้หนึ่งอยากมีสิบเหลือคณนา   ทั้งชีวาพิจารณาเถิดประเสริฐจริง
บำเพ็ญธรรมอย่าเป็นคนช่างเบื่อง่าย   ทำงานใดต้องทำจนล่วงทุกสิ่ง
บำเพ็ญธรรมอ่อนน้อมจากจิตจริง   คนเย่อหยิ่งมากทิฐิอันตราย
อันใบไม้ยามแรกผลิคือสีเขียว   ยามแห้งเหี่ยวกลายสีเหลืองแปรใช่ไหม
อย่ายึดติดความคิดตนเสมอไป   จงผ่อนปรนรู้ละให้โล่งสบาย
ชีวิตหนึ่งเพียงฝันไม่เนิ่นนาน   น้องคิดอ่านประการใดให้ชัดหนา
ชีวิตนี้จะเป็นดั่งชวาลา   หรือจะจมห้วงมายาจนวันตาย
เมื่อเกิดมามีร่างกายในบัดนี้   ขอรู้พลีเพื่อประโยชน์ส่วนรวมหนา
ขอจิตใจฝึกไว้ความเมตตา   นำประชาด้วยกรุณาอันมากพอ
ในวันนี้พี่พูดมาก็มากมาย   น้องหญิงชายพิจารณาให้ถ้วนถี่
เมื่อก้าวขึ้นมาแล้วธรรมดรี   ขอให้มีจิตใจช่วยกันพาย
จงตั้งใจให้สะเทือนซึ่งฟ้าดิน   โลกาถิ่นจะปีนเขาใช่จะง่าย
จะลงเขาสิแท้เพียงเผลอใจ   ขอน้องไปควบคุมตนเสมอต้นปลาย
ในวันนี้มิกล่าวความให้มากไป   สองวันนี้ตั้งใจกันเถิดหนา
บำเพ็ญเพื่อบรรพชนคอยตั้งตา   เผื่อเบื้องหน้าลูกหลานอีกเก้าชั่วคน
จงตั้งใจมาให้ครบทั้งสองวัน   และรักษาระเบียบอันเคร่งครัดหนา
คลื่นลูกหลังวิ่งแซงคลื่นลูกหน้า   แต่พิจารณาด้วยน้อมรับในบุญคุณ
แล้วพี่นั้นยืนคุมข้างบันทึกคะแนน
         ฮวา  ฮวา  หยุด


วันเสาร์ที่ ๑๗ พฤษภาคม  พุทธศักราช ๒๕๔๐
พระโอวาทพระนาจา
   ลองหันหน้าเข้าหากันปรองดองเถิด   งานบังเกิดสำเร็จด้วยแรงแข็งขัน
ใครได้ดีเรายิ้มปรี่มิชิงชัง   ให้เกียรติกันช่วยกันแท้ร่วมทางเดิน
      เราคือ
   ศิษย์พี่นาจา      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่พุทธสถาน  แฝงกายเคียมคัล
องค์มารดาแล้ว      ถามน้องทุกท่านนั่งฟังธรรมะง่วงนอนหรือเปล่า
   อรุณรุ่งทิวาเริ่มเบิกทั่วฟ้า   คลื่นเมฆาม้วนตลบลบเลือนหาย
ชีวิตหนึ่งที่หลงเพลินลำพองใจ   ประมาทไซร้ภัยมาใกล้นองน้ำตา
สายธารารินต่ำรวมกลายสมุทร   เปี่ยมพลังแห่งสามัคคีดุจอาวุธหนา
จะทำลายเหล่าศัตรูสู้กิเลสมายา   คืนสุทธาหรือนรกานต์เพียงคิดเดียว
อวดผยองต้องผวาในอำนาจ   อวดวาจาขาดปฏิบัติไร้คนเหลียว
น้อยวาจามากปฏิบัติประเสริฐทีเดียว   เลาะลดเลี้ยวอย่ารีบร้อนบ่อนทำลาย
สุขุมก้าวงำประกายมิสำแดงเด่น   อ่อนน้อมเช่นกิ่งผลดกเอื้อสหาย
ความรอบคอบพิจารณาถ้วนทุกด้านไป   ช่วยตนให้พ้นบ่วงร้ายแห่งโลกา
ความหุนหันยึดตัวตนอีกเคยชิน   ยึดติดเป็นอาจิณเร่งขจัดหนา
ใดใดต่างอนิจจังปลงเถิดนา   บำเพ็ญหาหนทางจริงกลับบ้านเทอญ
         ฮิ  ฮิ  หยุด




พระโอวาทพระนาจา
ทุกท่านมาถึงที่นี่แล้วอย่าได้ปิดใจ มิเช่นนั้นก็น่าเสียดายโอกาส แล้วก็จะฟังธรรมะไม่รู้เรื่อง
น้ำตาเกิดจากที่ใด ก็เกิดจากตัวเราใช่ไหม (ใช่) เราดีใจ เราเสียใจ เรามีทุกข์ เรามีสุข ก็มาจากตัวเรา ตัวเราเป็นคนทำทั้งสิ้น เมื่อยังเป็นคน เราก็ยังไม่พ้นคำว่าดีและร้าย ฉะนั้นคนบำเพ็ญธรรมเขาบำเพ็ญเพื่ออะไร เขาบำเพ็ญเพื่อลบตัว ‘ร้าย’ ออกให้เหลือแต่ตัว ‘ดี’ ใช่ไหม (ใช่) แต่จริงๆ แล้ว ทั้งดีและร้ายก็เป็นเพียงสัญลักษณ์ที่คนกำหนดขึ้น ทั้งดีและร้ายก็มาจาก
จิตหนึ่งใจเดียวของเราทุกคน แล้วสิ่งไหนที่ทำความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นเศร้าโศกเสียใจ (ร้าย) สิ่งไหนทำให้คนอื่นมีความสุข ยิ้มแย้มแจ่มใส (ดี) สองสิ่งนี้ท่านชอบสิ่งไหนมากกว่ากัน (ดี) ใครๆ ก็ชอบสิ่งดีใช่ไหม (ใช่)ฉะนั้นจะลบสิ่งร้ายออกให้หมด ให้เหลือแต่สิ่งดีก็ต้องรู้จักบำเพ็ญตน บำเพ็ญธรรมะ ธรรมะใช่อยู่ที่คนพูด ใช่อยู่ที่วัดหรือไม่ (ไม่) ธรรมะอยู่ที่ตัวทุกๆ คน แล้วคำว่าเมตตาเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดขึ้นจากคนปฏิบัติใช่หรือไม่ แล้วก็กำหนดว่านี่คือหลักธรรม ฉะนั้นทั้งสิ่งร้ายและสิ่งดีล้วนอยู่ในตัวเรา แต่อยู่ที่ว่าเมื่อไรเราจะขจัดร้ายให้หมด ให้เหลือแต่สิ่งที่ดี แล้วเมื่อไรเราจะบำเพ็ญดีให้ถึงขั้นไม่ยึดติดทั้งดีและร้าย เท่านี้เองในการที่จะบำเพ็ญธรรม ในการที่จะดำรงชีวิตให้ถูกต้อง ให้ถูกทาง ง่ายไหม (ง่าย)
ศิษย์น้องยังเป็นผู้ไม่รู้ ศิษย์พี่ก็ยังไม่กล้าว่ากล่าวอะไรมาก จะต้องว่ากล่าวผู้นำศิษย์น้องใช่ไหม (ใช่) ใช่หรือ ยอมให้ตัวเองถูก แล้วให้คนอื่นผิดอย่างนั้นหรือ เช่นนี้ก็แปลว่าไม่มีความดี ไม่มีความเมตตา เพราะคิดว่าเราถูกคนเดียว นี่เป็นสิ่งที่ไม่ดีใช่หรือเปล่า ดีกับไม่ดีก็ต่างกันแค่ด้านหน้าและด้านหลัง อยู่ที่ว่าเมื่อไรเราจะพลิกใจที่สกปรกนี้ให้เป็นใจที่บริสุทธิ์ได้ ใจนั้นมีอยู่ใจเดียว ดังนั้นเราจึงต้องรักษาใจเดียวที่ดีของเรานี้ให้อยู่ตลอดไป
ถ้าหากมีคนข้างหลังก็ต้องมีคนข้างหน้า แล้วคนข้างหน้าก็ต้องเป็นแบบอย่างให้กับคนรุ่นหลังใช่หรือไม่ ถ้าหากคนข้างหน้าไม่คิดทำสิ่งดีคนข้างหลังก็ไม่คิดทำสิ่งดี ต่อไปคำว่าดีก็จะค่อยๆ หายไป และคำว่าร้ายก็จะเด่นชัดขึ้น ไม่มีใครที่อยากหันหลังให้คนอื่นใช่หรือเปล่า หากทำเช่นนี้จะเรียกว่าปฏิบัติดีหรือปฏิบัติร้าย
ศิษย์น้องมักมีนิสัยอย่างหนึ่งคือ ชอบลืม ใช่หรือเปล่า บางทีเดินไปสักพักหนึ่งก็สงสัยว่าเรากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ฉะนั้นจะทำอะไร ก็ต้องมีสติและปัญญา ต้องตามให้ทัน ความผิดพลาดจึงจะไม่เกิดขึ้น แต่เมื่อทำผิดแล้ว ก็ต้องกลับมาทำให้ถูกให้ได้ใช่ไหม (ใช่)
ในคัมภีร์โบราณเคยกล่าวไว้ว่า การที่เราจะกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น ขอให้เราคิดก่อนว่า สิ่งที่เราจะทำนั้นชักพาเราให้หลงมัวเมาหรือเปล่า ชักพาเราให้ลุ่มหลงในกิเลสตัณหาหรือเปล่า ชักพาเราให้เราใฝ่ต่ำหรือไม่ ถ้าสิ่งที่เราจะกระทำนั้น แฝงไปด้วยความมัวเมาหรือความใฝ่ต่ำ ก็ให้เร่งรีบนำปัญญาฉุดดึงขึ้นมา เมื่อนั้นสิ่งเลวร้ายและเภทภัยก็จะไม่เกิดขึ้นกับศิษย์น้อง แต่เพราะอะไรมนุษย์จึงมักประสบกับเภทภัย ทำสิ่งใดก็ยากประสพผลสำเร็จ ก็เพราะว่าคิดไม่ทัน คิดไม่รอบคอบ กระทำอะไรลงไปล้วนทำตามอารมณ์ ล้วนทำตามความหุนหันพลันแล่นใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นมีสิ่งหนึ่งที่จะเป็นหลักในการที่จะเปลี่ยนแปลงเภทภัย เปลี่ยนแปลงเคราะห์ร้ายให้กลายเป็นโชคกลายเป็นวาสนา ก็อยู่ที่การคิดให้ทัน ก่อนที่เราจะกระทำสิ่งใดๆ ใช้ปัญญาไตร่ตรองให้รอบคอบว่าสิ่งนั้นถูกหรือไม่ สิ่งนั้นทำให้เราใฝ่ต่ำไหม พาให้เรามัวเมาหรือเปล่า เท่านี้ก็จะเป็นหลักที่ทำให้ชีวิตนี้ไม่พบเภทภัย ไม่ต้องเดือดร้อน แต่ศิษย์น้องทุกคนก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น พอมีอารมณ์ก็ทำตามอารมณ์ทันที เมื่อโกรธก็ให้ได้โกรธทันที ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่มีใครยอมสกัดกั้นไกล่เกลี่ยอารมณ์นี้ให้ราบเรียบ แล้วคนที่มานั่งร้องไห้นั้นคือใคร ก็คือตัวเราเอง แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่อยู่เหนือการกระทำของเรา นั่นก็คือชะตากรรม บางคนทำไมอยู่ดีๆ ก็ตกเก้าอี้ได้ ขับรถอยู่ดีๆ ก็ขับไปชนเขาได้ นั่นเป็นเพราะทุกคนมีชะตากรรมที่แตกต่างกันไป บางคนก็พบเร็ว บางคนก็พบช้า เพราะอะไรถึงพบเร็วหรือช้า ลองถามตัวเราเอง เรามีบุญได้เกิดกายสวยงามเพียบพร้อม แล้วเราได้ล้างผลาญบุญของตัวเองหรือเปล่า เรามีสิ่งดีงามอยู่ในตนเอง แล้วได้เคยกระจายสิ่งดีงามให้แผ่ออกไปบ้างหรือไม่ ทุกวันมีแต่ทำลายล้างบุญของเรา สร้างแต่สิ่งที่เลวร้าย สร้างแต่สิ่งที่เบียดเบียนผู้อื่นใช่หรือเปล่า (ใช่) บางคนถึงแม้ว่าไม่ได้สร้าง ไม่ได้ทำร้ายผู้อื่น แต่ก็ไม่เคยสร้างสมบุญให้เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นกรรมมีอยู่เท่าไร ก็ไม่สามารถลดทอนได้ เมื่อเหตุการณ์ประจวบเหมาะมาถึง เราก็ต้องพบเคราะห์ภัยที่ยากจะหลีกเลี่ยง ตอนนี้มีโอกาสรับรู้สิ่งที่ดีงามที่จะไปฟื้นฟูจิตญาณ แต่ทำไมศิษย์น้องจึงไม่เร่งรีบทำก็ไม่รู้ ปล่อยให้ตนเองเสียใจร้องไห้ แล้วค่อยคิดแก้ คิดหาทางที่ถูก อยากให้ถึงขั้นนั้น แล้วค่อยเข้ามาหาเพื่อคิดหาหนทางแก้ไขปัญหาชีวิตหรือ ในเมื่อตอนนี้มีหนทางที่ดีที่จะนำพาชีวิตไปในทางที่ถูกและดีงาม ทำไมไม่เอา ปฏิเสธง่ายๆ โดยที่ตัวเองยังไม่ได้ไปดูเลยว่า ข้างในนั้นเป็นอย่างไร ยังไม่ทันก้าวเข้าไปดูว่าดีหรือเปล่า ก็ปฏิเสธเสียแล้ว ก็เท่ากับปิดหูปิดตาตนเองใช่หรือไม่ มัวแต่นิ่งนอนใจ คิดว่าพรุ่งนี้จึงค่อยทำดี ให้คนอื่นทำดีไปก่อน เป็นเช่นนี้ไหม ในคัมภีร์ปราชญ์กล่าวไว้ว่า คนเก่งนั้นมีอยู่ สี่ แบบ ได้แก่
๑.   เก่งวาจา เก่งการกระทำ
๒.    ไม่เก่งวาจา เก่งการกระทำ
๓.   เก่งวาจา ไม่เก่งการกระทำ
๔.   ไม่เก่งทั้งวาจาและการกระทำ
แบบที่หนึ่ง เรียกว่า เป็นบุคลากรชั้นยอด แบบที่สอง ถึงแม้พูดไม่เก่ง ถ้าขยันในการกระทำงานทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เกี่ยงงอน กระทำด้วยความบากบั่น คนๆ นั้นก็มีค่าต่อสังคมใช่หรือไม่ (ใช่) แบบที่สาม ต้องระวังไว้ นั่นก็คือคนที่พูดเก่ง มีวาทศิลป์ดี แต่การปฏิบัตินั้นยังด้อยอยู่ เพราะยังทำไม่ค่อยได้ เพราะฉะนั้นเราต้องรู้จักส่งเสริมคนประเภทนี้ให้ดี ถ้าส่งเสริมไม่ดีเขาก็จะไปผิดทางได้ แล้วจะส่งเสริมอย่างไร ใครตอบได้บ้าง (ไม่ได้) ยังไม่ทันทำก็บอกว่าไม่ได้ ถ้าเราบอกให้แบกไม้หนึ่งอัน แบกได้ไหม (ได้) แล้วบอกให้แบกคุณธรรมไว้หนึ่งวัน ใครทำได้บ้าง แบกไม่ได้เลยหรือ วันเดียวยังแบกไม่ได้ แล้วจะแบกไปตลอดชีวิตได้อย่างไรกัน ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นอยู่ที่ใจ ได้ก็อยู่ที่ใจ ไม่ได้ก็อยู่ที่ใจ แต่ถ้าเราตั้งใจว่าจะทำให้ได้ไว้ก่อน หากทำไม่ได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านก็จะเพิ่มปัญญาส่งเสริมเรา แต่ถ้าเราบอกว่าไม่ได้ แม้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยากจะช่วยเราเต็มที่อย่างไรก็ไม่มีทางได้ ศิษย์น้องชอบดูละครไหม (ชอบ) ถึงแม้วันนี้ศิษย์น้องจะคิดว่าศิษย์พี่มาเล่นละครให้ดู แต่ถ้าละครนี้เล่นแล้วทำให้ศิษย์น้องพบพุทธะได้ ศิษย์พี่ก็ยอม
คนเก่งแบบที่สาม ศิษย์พี่บอกว่าเป็นคนที่พูดเก่งแต่ไม่สามารถปฏิบัติอย่างที่พูดได้ทุกอย่างใช่ไหม ฉะนั้นเราก็ต้องรู้จักนำเขาให้ถูกทาง ส่งเสริมเขาให้ถูกต้อง เขาก็จะสามารถเปล่งประกายสิ่งที่ดีงามออกมาได้ ส่วนคนที่สี่ นั้นก็คือไม่เก่งทั้งวาจาและไม่เก่งทั้งการกระทำ เพราะอะไรถึงไม่เก่ง เพราะเขาไม่รู้จักนำสิ่งที่ดีของตนมาใช้อย่างถูกต้อง เขาไม่กล้าที่จะแสดงออกในสิ่งที่ตนมีอยู่ มีคนไหนบ้างที่คิดว่าตนเองไม่ฉลาดเลย ทำอะไรไม่เป็นเลยมีไหมในโลกนี้ (ไม่มี) ไม่มีเลยใช่หรือไม่ ฉะนั้นศิษย์น้องในที่นี้ก็เหมือนกัน มีใครบอกได้ไหมว่า ตนเองไม่สามารถเป็นพุทธะได้ ศิษย์พี่ขอยืนยันเลยว่าไม่มีใคร ทุกคนสามารถเป็นพุทธะได้ แต่อยู่ที่ว่าจะยอมทำไหม จะหาสิ่งที่เป็นพุทธะออกมาแล้วดำเนินความเป็นพุทธะหรือไม่เท่านั้นเองใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เขาก็พูดกันอีกอย่างหนึ่งว่า คนที่แม้เก่งทั้งวาจาทั้งการกระทำก็ต้องระวังด้วย ต้องระวังความหลงตนใช่หรือไม่ (ใช่) เก่งวาจาและเก่งการกระทำด้วย แต่ถ้ากระทำสองอย่างนี้ ไปในทางที่ผิด คนๆ นั้นก็เหมือนกับเสือที่มีขนสีทองเปล่งประกายแวววาว ซึ่งมีอยู่ในตัวศิษย์น้องทุกคน แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์น้องเปิดกรงปล่อยเสือออกมา แล้วจับเสือติดปีกอีก คราวนี้เสือก็ไม่อยากอยู่ในป่า ไม่อยากอยู่ในความสงบแล้ว ฉะนั้นอย่าปล่อยให้เสือนี้ออกมาจากตัวเรา อย่าส่งเสริมเสือตัวนั้นให้ติดปีกหรือบินไปทำร้ายคนอื่นหรือแม้กระทั่งตนเองดีไหม (ดี)
จริงๆ แล้ว ธรรมะก็มีหลักเหมือนกัน คืออยากให้ทุกคนปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่บนทางปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คิดสิ่งไหนที่ทำให้เราคิดทำดี เลิกสิ่งร้าย ก็คือตัวตนที่อยู่ภายในตนเอง ตอนนี้เราได้รับรู้แล้วว่าตัวตนเราอยู่หนไหน เพราะฉะนั้นเราก็ต้องรู้จักควบคุมตัวตนตนนั้น แล้วเราจะเอาอะไรไปควบคุม ก็คือเอาหลักธรรมที่เราได้ศึกษา เอาหลักธรรมที่เราได้นับถือมาเป็นตัวควบคุม แล้วสิ่งที่เราได้ศึกษานั้นสอนอะไรแก่เราบ้าง สอนสัจธรรมความเป็นจริงแห่งชีวิตใช่หรือไม่ ตัวเรามีหลักธรรมแล้ว ตัวเราก็ต้องเข้าใจสัจธรรม เราจึงจะสามารถดำเนินชีวิตได้ถูกหนทาง ไม่เป๋ไปเป๋มา เข้าใจไหม แล้วเราก็จะไม่เดินไปตกหลุมตกหล่ม สามารถที่จะยั้งตัวเองให้ทัน ไม่พลาดตกไปอีกดีหรือเปล่า (ดี)
มนุษย์นั้นต้องใส่เสื้อผ้าแล้วเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าศิษย์พี่กำหนดให้มีเสื้อผ้าสี่ชุด ชุดที่หนึ่งใส่แล้วยิ้มทั้งวัน ชุดที่สองใส่แล้วโกรธทั้งวัน ชุดที่สามใส่แล้วมีแต่น้ำตาร้องไห้ ชุดที่สี่ใส่แล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น เฉยๆ ปกติ แล้วศิษย์น้องอยากใส่ชุดไหน มนุษย์นั้นยังวนเวียนความเป็นมนุษย์ ก็เพราะว่ายังมีสี่อย่างนี้อยู่ แล้วจะทำอย่างไรจึงจะควบคุมสี่ชุดนี้ให้เหลือชุดเดียวได้ มนุษย์นี้ที่ทุกข์ก็เพราะว่ามีทั้งร้องไห้ ดีใจ แล้วก็โกรธ สามสิ่งนี้ส่วนมากทำให้เราไม่สบายใจ แต่บางคนมีเพิ่มอีกหนึ่งสิ่ง  คืออยู่เฉยไม่ได้ ต้องออกไปแสวงหาสิ่งที่สนุก นั่นเป็นเพราะเราไม่รู้จักตัวเราเองที่แท้จริง แต่ความเป็นพุทธะที่ศิษย์พี่อยากจะบอกในตัวศิษย์น้องนั้นคือให้รู้จักตัวเอง ให้รู้จักควบคุมไม่ให้มีความโกรธ ความเสียใจ ความหมองหม่นทุกข์ทนที่ไม่มีวันจบสิ้น ทั้งสามสิ่งนี้เป็นอันตราย เมื่อศิษย์น้องไปจับสามสิ่งนี้เข้ามาอยู่ในตัวศิษย์น้องคนเดียว ความวุ่นวาย ความสงบสุข ความร่มเย็นในชีวิตก็จะไม่มีในตัวศิษย์น้องอีกเลย จะร่มเย็นได้ก็ต่อเมื่อเราทิ้งสี่ชุดนี้แล้วไปหาพระธรรม ไปหาวัดใช่หรือไม่ แล้วเราไม่อยากนำวัด หรือนำพระธรรมให้มาอยู่ในตัวเราหรือ ทำไมเราไม่บวชจิตของเรา นั่นคือการกระทำตนที่อยู่ภายใน แล้วส่งประกายให้ภายนอกเป็นทั้งพระภายในและพระภายนอก แล้วจะเป็นพระได้อย่างไร ก็ต้องดำรงตนให้เป็นที่น่าเคารพ น่าเชื่อถือ น่าศรัทธาใช่หรือไม่ สิ่งที่เลวร้าย สิ่งที่น่ากลัวนั่นก็คือ ความเห็นแก่ตน ความอิจฉาริษยา ความลำเอียง   ความมักมากในกาม ทุกคนต่างมีสิ่งนี้มากน้อยด้วยกัน แต่สิ่งดีเราก็มี นั่นก็คือ ความเห็นอกเห็นใจกัน จริงใจต่อกัน ทุกคนต่างมีทั้งดีและร้าย แต่เราจะควบคุมสองอย่างนี้ได้อย่างไร นั่นคือให้ฟื้นฟูสิ่งดีงาม หลบหลีกตนเองให้พ้นจากสิ่งชั่วร้าย เหมือนกับดอกบัวที่อยู่ในโคลนตม สามารถถีบตัวจากโคลนตมให้ชูช่อ จนสามารถมองเห็นเหนือน้ำได้ นั่นคือสามารถชูช่อแล้วพบกับแสงสว่างและอากาศใช่หรือไม่ (ใช่)
คนก็เหมือนกัน ตอนนี้โลกน่ากลัวและเลวร้ายหรือเปล่า แล้วเราจะรู้จักดำรงตนเองอย่างไร เพื่อที่จะพ้นจากเภทภัยนี้ เราจะต้องรู้จักดำรงตนให้ถูกต้อง พยายามผลักดันตัวเองให้สูงขึ้น ให้พ้นจากสิ่งเลวร้ายนี้ให้ได้หากเราไม่เดินหาอบายมุข แล้วอบายมุขจะเดินเข้าหาตัวเราไหม
เมื่อมีสองสิ่ง สิ่งหนึ่งขาดแคลน แต่อีกสิ่งหนึ่งมีเต็มเปี่ยมล้นเหลือเกิน มีผู้กล่าวว่ากฎแห่งธรรมชาติก็คือ นำสิ่งที่เต็มเปี่ยมนี้ไปให้กับสิ่งที่ขาดแคลนใช่หรือไม่ แต่สังคมของเราเป็นอย่างไร กฎของสังคมไม่ใช่เป็นแบบธรรมชาติ กฎสังคมเบียดบังคนที่ไม่มี ไปเพิ่มให้กับคนที่มี ให้ยิ่งมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นจิตใจของผู้บำเพ็ญธรรมเหล่านี้ ก็คือเขานำสิ่งที่เขาเข้าใจ ถึงแม้มีไม่มาก แต่ก็พยายามทำให้ศิษย์น้องมีความเข้าใจด้วย สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีหรือเปล่า เขามาเพื่อเบียดบังศิษย์น้องไหม มีแต่ลงแรงกายแรงใจเสียสละ เพื่ออยากให้เราเข้าใจเพียงสักนิดหนึ่ง อยากให้เรามาฟังแค่เพียงครู่ก็ยังดี แล้วคนประเภทนี้สังคมไม่ต้องการหรือ (ต้องการ) ศิษย์พี่ขอจิตใจเช่นนี้นำไปเผื่อแผ่ให้คนอื่นได้รับรู้ต่อไป ถึงแม้จะเข้าใจเพียงนิดหนึ่ง แต่นำความเข้าใจนี้ไปให้กับผู้อื่น จิตใจนี้ก็จะเป็นจิตใจแห่งพุทธะ จิตใจอันดีงามก็มีอยู่ในทุกคน แต่น้อยคนนักที่จะมองเห็นและทำได้จริง อยากอยู่ในโลกที่น้อยนักที่จะพบคนดีไหม เราไม่อยากเจอโลกที่เลวร้าย ที่น่ากลัวใช่หรือไม่ แต่ตอนนี้ศิษย์น้องกำลังเดินเข้าไปหาโลกที่เลวร้าย โลกที่น่ากลัว เพราะฉะนั้นเราไม่คิดที่จะเดินไปหาคนที่ดี เราไม่คิดที่จะกระทำสิ่งที่ดีให้ได้เบ่งบาน ให้ได้ขยาย เพื่อลดให้คนร้ายๆ หายไปหรือเรายังอยากเป็นทั้งดีบ้างไม่ดีบ้างอยู่หรือ ถ้าหากวันใดสิ่งที่ไม่ดีเบ่งบานขึ้นมา ติดปีกขึ้นมา แล้วออกมากัดกินคน โลกนั้นก็น่ากลัวใช่หรือไม่
เพราะฉะนั้นก่อนที่ศิษย์น้องจะตัดสินใจว่าจะบำเพ็ญหรือไม่นั้น ศิษย์พี่อยากให้ศิษย์น้องศึกษาและพิจารณาให้รอบคอบ ศิษย์พี่ไม่ได้บอกศิษย์น้องให้เชื่อทันที การกระทำสิ่งใดก็ตามอย่าเห็นเพียงด้านเดียวแล้วตัดสินใจกระทำ แต่เราต้องเห็นทุกๆ ด้าน มองให้เข้าใจอย่างถี่ถ้วน แล้วลงมือกระทำ ลงมือปฏิบัติ เหมือนเราจะทำงานสิ่งใด เราจะใช้เครื่องมืออะไร ศิษย์น้องจะต้องอ่านรายละเอียด อ่านวิธีใช้ เช่นเดียวกัน วันนี้จะมาบำเพ็ญก็ต้องศึกษาธรรมะให้เข้าใจก่อน ถ้าศึกษาไม่เข้าใจแล้วไปปฏิบัติก็เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความเป็นพุทธะก็ยากที่จะบังเกิดได้ อย่าเห็นเพียงว่าธรรมะตีเป็นราคา แก้วแหวนเงินทองไม่ได้ แต่ธรรมะนั้นถ้าเรารู้จักนำไปใช้ให้ถูกต้องกับชีวิตแล้ว ธรรมะนี้จะสามารถส่งเสริมศิษย์น้องให้สามารถกลับคืนเบื้องบนได้ อย่าได้ดูเบา
บำเพ็ญธรรมนั้นไม่ยาก แต่ที่ยากที่สุดคือคนไม่ยอมบำเพ็ญ เราอาจจะเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันได้เพียงวันนี้วันเดียว หรือจะเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันไปตลอดชั่วกาลนาน ก็อยู่ที่ว่าจะกลับคืนขึ้นไปหรือไม่ จะกลับเข้ามาศึกษาเพิ่มเติมหรือเปล่า เชื่อไม่เชื่อ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่อยู่ที่ว่าจะฟื้นฟูพุทธจิตธรรมญาณของตัวศิษย์น้องเองหรือเปล่า ชี้วันนี้ก็เพียงสะกิดแค่วันนี้ จะให้คนมาชี้ทุกวันจึงจะทำหรือ ความเป็นพุทธะต้องเกิดจากตัวศิษย์น้องเอง ฟื้นฟูให้ได้ ค้นพบให้เจอ เราจะค้นพบความดีงามที่ไม่ต้องการสิ่งใด ไม่ต้องการแม้เพื่อเอาหน้า แต่ต้องการเพื่อหลุดพ้นจากโลกที่เลวร้าย โลกที่มีแต่คนแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น วันนี้เราไม่คิดที่จะเอื้อมมือไปช่วยคนอื่นหรือ ทำไมสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงคิดยื่นมือลงมาช่วยก็เพราะว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เห็นว่า โลกที่สุขยิ่งกว่าสุขบนโลกนี้คือแดนนิพพาน โลกที่สุขสบายร่มเย็นยิ่งกว่านี้คือการบำเพ็ญพุทธะ แต่ศิษย์น้องยังไม่เห็น ศิษย์น้องยังไม่เดิน พุทธะจึงเร่งรีบส่งมอบ สิ่งที่จะทำให้ศิษย์น้องเดินไปแล้วกลับไปถึงได้ นั่นก็คือหลักธรรม คือการบำเพ็ญธรรม บางคนเสียใจแล้ว ก็ไม่มีโอกาสเสียใจในรอบที่สอง เพราะว่าอะไร เพราะว่าเขาเสียใจแล้วกายก็หมดไปด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าศิษย์พี่ทำให้ศิษย์น้องตกใจแล้วตื่นขึ้น แล้วคิดบำเพ็ญได้ ศิษย์พี่ก็อยากทำ แต่ตอนนี้ให้ทั้งตกใจ ทั้งดีใจ เศร้าใจ ก็ไม่มีใครยอมขึ้นสักที โบกมือลา แล้วไปเจอกันข้างบนนะ อย่าเห็นศิษย์พี่แค่ตอนนี้ แต่ต้องมองให้เห็นศิษย์พี่จริงๆ แล้วศิษย์น้องจะเป็นผู้พบพุทธะ พบได้แม้กระทั่งขณะอยู่บนโลกนี้ ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี



วันอาทิตย์ที่ ๑๘ พฤษภาคม  พุทธศักราช ๒๕๔๐
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
   อันเกิดแก่แลเจ็บตายใครกล้าแทน   เก่งกาจแสนร้อยปีไม่พ้นต้องเวียนหมุน
ขอศิษย์รู้เวลานี้ฟ้าการุณย์   ศิษย์รู้หยุ่นอย่าแกร่งอย่างเดียวจะเสียการ
      เราคือ
   อรหันต์จี้กง      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่พุทธสถาน   แฝงกายเคียมคัล
องค์มารดา      ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีหรือเปล่า
   อันความทุกข์ที่มีมากดั่งทะเล   ให้ทุ่มเทในจิตปลงอย่างจริงแท้
ย้อนกลับมาฟื้นฟูใจเฝ้าดูแล   อย่ายอมแพ้เหล่ากิเลสอันมากมาย
ในโลกนี้มากอนิจจังความไม่เที่ยง   ข้าขอเพียงใจศิษยาเกิดมุ่งหมาย
จงตั้งใจให้เป็นจริงจนวันตาย   อย่ายอมพ่ายดั่งตัวไหมตายในรัง
ใจดั่งเพชรแกร่งกล้าความเชื่อมั่น   สู้ไม่หวั่นสามัคคีนำสว่าง
รสชาติที่ดีที่สุดคือรสจาง   ทุกเยื้องย่างต้องนิ่งในใจตน
ปรกติแฝงอยู่ในความวุ่นวาย   ศิษย์ทั้งหลายเจอทุกข์มากอย่าสับสน
พบลำบากท้ายที่สุดคืนเบื้องบน   ขมเสียจนใจป่นท้ายหวานตามมา
บำเพ็ญธรรมเข้มงวดกับตนอย่างยวดยิ่ง   แต่จงกริ่งเมตตาคนมุ่งรักษา
โลกมากมายขุนพลมารเหล่ามายา   บำเพ็ญพาสู่เบื้องเดิมบ้านของเรา
อันน้ำใสใสมากไร้ฝูงปลา   คนช่างว่าใจของใครถูกแผดเผา
คนจู้จี้มีแต่คนเขาดูเบา   ศิษย์รักเจ้าเพียรให้ครบกายวาจาใจ


ปัจจุบันคือยุคสามใช่ยุคแดง   ความเปลี่ยนแปลงต่างก็แฝงซึ่งความหมาย
บำเพ็ญอยู่ในครัวเรือนใช่ป่าไพร   ศิษย์ตั้งใจต้องศึกษาจึงเข้าใจจริง
มุ่งมั่นจริงมีพุทธสถานนามปัญญา    (ฮุ่ยจื้อ) ใช้ฝ่าอุปสรรคในทุกสิ่ง
ใช้กำจัดคำลมเพราะจิตนิ่ง   ปัญญาจริงฝ่ากิเลสพันธนาการ
ข้าอวยพรงานธรรมนี้เจริญรุ่ง   เอาใจเขาใส่ใจเรามุ่งสื่อสาร
เตือนใจตนย้อนกมลทุกเมื่อกาล   บริบาลด้วยเมตตากันและกัน
สามัคคีกันและกันนำพากัน   เวลากาลมักแปรใจคนเปลี่ยนผัน
ใครท้อแท้เราปลอบใจเฝ้าผลักดัน   ใครทางตันมิทิ้งกันนะศิษย์เอย
         ฮา ฮา หยุด


   ภาพรอยยิ้มจางไปไกล ใจแบกทุกข์ที่หนัก  คือใจรักหลงเข้าเบียดเบียน  แสงเทียนที่จวนสิ้นแรง  ใจแกร่งทางสุดท้าย  สู้อยู่กับปัจจุบัน
   จากวันนี้ใจเป็นกลาง ด้วยใจรู้วางปล่อย  ใจดวงน้อยลืมตาจากฝัน  ละการเก็บเป็นสุขใจ  ดวงจิตคลายความรั้น  เดินไล่ทันเจ้ามายา
*   เมื่อคิดยามนี้แสงธรรมจะอยู่นานเท่าใด  มืดแล้วครานั้นถึงคราวต้องเก็บไป  ศิษย์จงรู้บำเพ็ญธรรม พร่ำบอกซ้ำยามจาก  การเวียนว่ายคือทรมาน  รักษาเถิดโอกาสอันมีแต่ในช่วงนี้  ลองคิดดูให้ดีนา     ( ซ้ำ  * )
เพลง : ฝากเอาไว้ให้คิด
ทำนองเพลง : ฝากไว้



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ชั้นนี้ส่วนใหญ่อายุมากแล้วใช่ไหม อายุมากแล้วคิดจะทำอะไรให้กับชีวิตของตนเอง (ทำความดี) อาจารย์พูดถึงเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีคนกล้าตายแทนเราหรือเปล่า (ไม่มี) ไม่มีใช่หรือเปล่า ตอนนี้เราอายุก็มากแล้ว จะวิ่งเร็วเดินเร็วไม่ได้อีกแล้วใช่ไหม พอเดินเร็วๆ ก็ล้มง่าย วิ่งเร็วๆ เป็นอย่างไร ก็อาจจะหน้าคว่ำลงไปกับดินเลย เมื่อคิดได้เช่นนี้ ตอนนี้อายุมากแล้วจะทำอะไร (ทำความดี, อยากบำเพ็ญความดี อยากสร้างกุศลทุกๆ อย่าง) สร้างความดีหมดทุกอย่างเลย ที่อาจารย์พูดบนกระดานนั้น ใครอ่านหนังสือไม่ออกไม่เป็นไร
คนเราเก่งไม่เก่งไม่ใช่ดูที่การอ่านหนังสือ อย่างไรจึงเรียกว่าเป็นคนเก่ง (เก่งทั้งการพูดและการกระทำ) คนเก่งๆ ที่ไหน เก่งที่รู้จักเสมอต้นเสมอปลายใช่หรือเปล่า (ใช่) อย่าทำไปตามอารมณ์ของเรา คนที่เป็นคนเก่งในที่นี่ อาจารย์ถามว่าคนเก่งแล้ว เก่งไม่ตลอด จะนับว่าเก่งไหม (ไม่เก่ง) สมมติว่าเราจะทำหน้าที่ผัดกับข้าวให้คนกิน เราต้องผัดกับข้าวทั้ง ๓ มื้อใช่ไหม เขาถึงจะไม่อด (ใช่) แต่หากว่าเราผัดกับข้าวตอนเช้า แต่ว่าตอนเที่ยงไม่ทำ มาทำตอนเย็นอีกมื้อหนึ่ง มื้อกลางวันก็ปล่อยเขาอด อย่างนี้จะนับว่าเป็นแม่ครัวที่เก่งไหม (ไม่เก่ง) แล้วถ้าหากว่าเราเป็นนักเรียน หากตั้งใจฟังเฉพาะชั่วโมงที่ชอบ อย่างนี้จะเป็นนักเรียนที่เก่งหรือเปล่า (ไม่เก่ง) ที่สำคัญอยู่ที่การเอาออกไปปฏิบัติให้สม่ำเสมอ เสมอต้นเสมอปลาย จึงนับว่าเราได้มองออกว่าเราควรดำเนินเช่นไร อย่างเช่นมีสองคนเดินมาพร้อมกัน เดินจังหวะเท่าๆ กัน เผอิญว่าคนหนึ่งนั้นเหนื่อยเสียก่อน แล้วก็หยุดลง ส่วนอีกคนหนึ่งยังเดินต่อ เขาก็แซงเราไป สมมติว่าเขาเลือกเอาคนที่เข้าเส้นชัยเพียงคนเดียว เราก็แพ้แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) หากศิษย์พิจารณาออกก็ให้เร่งๆ ตอบ คนอื่นเขาตอบไม่ใช่เราตอบ คนอื่นเขาเพียรมิใช่เราเพียร
ความทุกข์นั้นมีกันทุกคนไหม แล้วความทุกข์เลือกคนหรือไม่ ความทุกข์ไม่ได้เลือกคน แต่ว่าเราเป็นคนเลือกความทุกข์ ตอนนี้อยู่ในโลกมนุษย์ ศิษย์รู้จักคำว่าทุกข์และสุขใช่ไหม (ใช่) สองสิ่งนี้เจอสิ่งไหนมากกว่ากัน (ทุกข์) ทุกข์นี้เราเป็นคนเรียกหา และเราจะเป็นคนขจัดเองได้หรือเปล่า (ได้) เรากำจัดด้วยวิธีอะไร (ปฏิบัติธรรม) ปฏิบัติธรรมมีข้อธรรมที่สามารถดับทุกข์ได้ จะดับทุกข์อย่างไร ความทุกข์นั้นมีมากเหมือนทะเล ถ้าหากว่าเอาตัวเราไปเปรียบก็เป็นเพียงแค่ปลาตัวหนึ่งในน้ำทะเลเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นความทุกข์ที่มีมากมาย ที่เรากวักเรียกมาเช่นนี้ เราจะดับทุกข์นี้ได้อย่างไร (ทำใจของเราเองให้เป็นสุข) การทำจิตใจของเราให้เป็นสุขนั้น เราก็มีความสุขเพียงคนเดียว มิได้ทำให้ผู้อื่นมีความสุขไปด้วย ศิษย์ของอาจารย์ที่นั่งอยู่ที่นี่เป็นผู้มีปัญญา มีไหวพริบ มีความรู้และเป็นผู้มีความเก่งกาจทั้งหลาย ตอนนี้หากเปิดใจรับฟัง ที่นี่มีบรรยากาศแห่งธรรม คนรอบข้างก็ย่อมแสดงออกให้เห็น ถึงบรรยากาศแห่งธรรมได้ อย่าได้เก็บความสงสัยนั้น ให้บั่นทอนศักยภาพแห่งการฟังธรรมะในครั้งนี้ เมื่อมีความเฉื่อยอยู่ในใจก็ขอให้มีความกระฉับกระเฉงว่องไว เพื่อที่จะปรับปรุงใจขึ้นสู่ใจพุทธะ ศิษย์ของอาจารย์ที่อยู่ที่นี่จะพร้อมใจร่วมแรงสักนิดได้ไหม (ได้) ตาของเราซึ่งมีไว้มอง หูของเราซึ่งมีไว้ฟัง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอายตนะทั้งสิ้น หากจบจากสองวันนี้ การตัดสินใจใดๆ ว่าถูกหรือผิด ว่าใช่หรือไม่ใช่ จริงหรือเท็จนั้น ขอให้มองใจของเราเป็นส่วนประกอบว่า ใจนั้นมีความอคติมากน้อยเพียงใด จึงทำให้เกิดเหตุนี้
ในชั้นนี้มีคนอยู่ ๒ ประเภท
ประเภทที่   ๑   คือคนที่มีความเก่งกาจ มีวิจารณญาณดี
ประเภทที่   ๒   คือคนที่หาเช้ากินค่ำ ซึ่งยังไม่เหมาะกับการฟังธรรมะ
ขอให้ทุกคนเข้าใจถึงความยากลำบากของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มา ต้องพูดให้คนทั้ง ๒ ระดับเข้าใจ เมื่อวันนี้มีโอกาสศึกษาธรรมะ ก็รีบศึกษา เมื่อพรุ่งนี้ไปอยู่ทางโลกสังคมให้นำทางธรรมเข้าปฏิบัติ นี่เป็นหลักการพื้นฐาน เมื่อรู้เช่นนี้ขอให้พึ่งตัวเราเองคนเดียว เราจะทำให้ตัวเรานั้นมีบรรยากาศธรรมได้ อากาศแม้จะร้อนแต่หากใจสู้แล้ว กายนี้จะสู้ไหม (สู้) มีหลายๆ คนที่แทบจะทนความร้อนไม่ไหว แต่ถามว่าถ้าใจสู้ กายก็จะสู้ใช่ไหม (ใช่) ใจของเรานั้นเป็นใจพุทธะ มาที่นี่ ๒ วัน ก็เพื่อมาฟื้นฟูใจพุทธะ แต่ถ้าหากไม่รู้จักเปิดใจ ไม่สู้ความร้อนก็จะจบไปอย่างน่าเสียดายเข้าใจไหม (เข้าใจ) เพราะฉะนั้นร่วมแรงสามัคคีกันตอบดีหรือเปล่า (ดี) ผู้บำเพ็ญนั้นทนร้อน ทนหนาวได้ไหม (ได้) แน่ใจหรือเปล่า สมมติว่าอีกหน่อยติดแอร์ขึ้นมาจนหนาว อาจจะหนาวเหน็บเกินไปก็ได้ หากศิษย์ทนได้ อาจารย์ก็ขอให้ศิษย์นั้นทนด้วยใจที่มีความอดทน
ฟังหัวข้ออนุตตรธรรมกับศาสนาไปแล้วหรือยัง (ฟังแล้ว) อนุตตรธรรมนั้นคืออะไร (รากของต้นไม้) อาจารย์เปรียบอนุตตรธรรมเสมือนแก่น ในต้นไม้ ศาสนาเปรียบเหมือนเปลือก แล้วเวลาศิษย์มองต้นไม้ ศิษย์มองที่เปลือกหรือมองที่แก่น (ที่เปลือก) เปลือกที่ศิษย์มองอยู่นั้น เป็นดังศาสนาทั้งหลาย เป็นสิ่งจรรโลงทำให้เรานั้นมีจิตใจที่ดีงาม สั่งสมจิตใจเราให้ดีงาม ถ้าหากว่าในขณะนี้ไม่มีศาสนาเกิดขึ้นในโลก ถามว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นจะเป็นผู้มีธรรมอยู่ในใจไหม (ไม่มี) ฉะนั้นนี่คือคุณของศาสนา แม้ในบัดนี้จะมีศาสนาอยู่แต่มนุษย์นั้นเชื่อฟังไหม (ไม่เชื่อ) เปรียบประหนึ่งว่าพ่อแม่พูดแล้วลูกไม่ฟัง บางคนไม่ฟังแล้ว ก็กลายเป็นคนไม่ดีไป สามารถทำบาปทำชั่วมากมายใช่หรือเปล่า ฉะนั้นการให้เรามานั่งมองเปลือกบางคนยังไม่ยอมมองเลยใช่หรือเปล่า ฉะนั้นอาจารย์เปรียบเทียบให้ฟังบอกว่าเปลือกนั้นมีอยู่หลายเปลือก มีเปลือกด้านซ้าย เปลือกด้านขวา แต่ก็ล้วนเป็นเปลือกเหมือนกัน เหมือนกับคนหนึ่งนับถือศาสนาคริสต์ อีกคนหนึ่งนับถือศาสนาอิสลามแต่ทุกๆ คนนั้นคือ คนดีทั้งสิ้น ศาสนาพุทธนั้นสอนให้ปลง ศาสนาปราชญ์นั้นสอนให้มีความเมตตา ยามเรามีความทุกข์ ถ้าเรานับถือศาสนาปราชญ์ เราขอความเมตตา ถามว่าเมตตาอย่างไร เมตตาต่ออะไรจึงจะหายทุกข์ (เมตตาต่อเพื่อนมนุษย์) อาจารย์บอกว่าคนเรานั้นดี ดีอยู่ที่ไหน ดีอยู่ที่เสมอต้นเสมอปลาย ศาสนาปราชญ์สอนให้เราเมตตา เราจะเมตตาจนพ้นทุกข์ได้อย่างไร หากเรามีทุกข์เราเมตตาต่อตนเองดีไหม (ดี) ถ้าหากผู้อื่นมีความทุกข์เราควรทำอย่างไร (เมตตาต่อผู้อื่น) ถ้าเรานั้นไม่เมตตาเลยถามว่าเราจะบำเพ็ญได้ไหม (ไม่ได้) การบำเพ็ญแท้จริงลำบากหรือง่าย ฝ่ายหญิงตอบว่าไม่ลำบาก ฝ่ายชายตอบว่าลำบาก ศิษย์อยากรู้ไหมว่าทำไม ปัจจุบันนั้นพระอริยะโพธิสัตว์ทั้งหลายที่มาจุติเกิดในโลกนั้นเป็นผู้หญิงโดยมาก เป็นเรื่องจริงที่ว่าผู้ชายทำดียากกว่าผู้หญิงใช่หรือเปล่า (ใช่) เป็นเพราะผู้ชายนั้นยั้งใจตนลำบาก เวลาโมโหและเวลาหลงก็มีอารมณ์เช่นนี้มากกว่าคนอื่นเขา เพราะฉะนั้นผู้ชายจึงทำดีได้ลำบาก ผู้หญิงบอกว่าไม่ลำบากแต่แท้จริงเป็นอย่างไร ผู้หญิงนั้นทำอะไรไม่ค่อยบรรลุไปถึงปลาย ผู้ชายเมื่อตั้งใจทำอะไรแล้ว ย่อมบรรลุไปถึงปลาย เพราะฉะนั้นถามว่าบำเพ็ญลำบากไหม ผู้หญิงตอบว่าไม่ลำบาก ผู้ชายตอบว่าลำบาก เพราะว่ารู้ใจของตัวเองดี แต่ว่าเมื่อผู้หญิงพูดว่าไม่ลำบาก ก็ขอให้มีความตั้งใจและตั้งมั่นดีหรือเปล่า (ดี)
ในโลกนี้มากอนิจจังความไม่เที่ยงใช่ไหม (ใช่) ยกตัวอย่าง เช่น เสื้อผ้าที่เราใส่ เก้าอี้ที่เรานั่ง แว่นตาที่เราสวมก็ไม่อนิจจังใช่ไหม (ใช่) ทรัพย์สินเงินทองก็ไม่อนิจจัง ลาภยศ ฐานันดรก็ไม่อนิจจัง ถามศิษย์คนไหนปลงได้ ถ้าตอนนี้บอกว่าไม่มีทรัพย์สินเป็นคนล้มละลาย ปลงได้ไหม (ไม่ได้) เคราะห์ภัยและวาสนานั้นมาไม่ให้ตั้งตัว ยามเคราะห์ภัยมามากคนทำใจไม่เป็น ร้ายแรงที่สุดก็วิกลจริตใช่หรือเปล่า ถ้ามีวาสนาแล้วใช้มากเกินไปเปรียบประหนึ่งคนมีความสุข มิได้คำนึงถึงความทุกข์ที่ตนเองเคยผ่าน และบางคนมีความทุกข์ ก็มิได้คิดถึงสุขที่ตนเองเพิ่งจะผ่านมาใช่ไหม (ใช่) มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ อาจารย์บอกว่าทุกๆ ขณะจิตอย่าได้ประมาทให้ระวังตัวเองอยู่เสมอ แต่มิใช่ระแวงความทุกข์ความสุขนั้นเกิดขึ้นสลับกันไปสลับกันมา ไม่มีใครทุกข์ตลอดชีวิตและไม่มีใครที่สุขตลอดชีวิต เปรียบประหนึ่งการกินมะระ แรกกินเข้าก็ขมแต่ปลายลิ้นเป็นอย่างไร (หวาน) นี่คือสัจธรรมถ้าหากเราไม่เป็นคนขี้เกียจ สักวันหนึ่งก็ร่ำรวย แต่ต่อให้เรามีทรัพย์สมบัติมากมาย ถ้าหากเราใช้อย่างสุรุ่ยสุร่าย สุดท้ายเป็นอย่างไร (หมดได้)
ใดใดต่างอนิจจัง ไม่มีสิ่งใดเลยที่มีความจีรังยั่งยืนเหมือนกับเมื่อสักครู่นี้ที่ยกตัวอย่างไป ไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า หรือแม้กระทั่งตัวเราเอง ตัวเรายังต้องตายไป เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงเช่นกัน แต่ว่าขอให้ศิษย์นั้นมีสิ่งใดที่เป็นจริง (จิตใจ , ธรรมะ , ความจริงใจและความจริงจังคือความจริง) มนุษย์ทุกคนต่างเก่งกาจ แต่หาไม่ได้สักคนหนึ่งที่จะพบสัจธรรมที่แท้จริง เพราะความเก่งกาจมีมากเกินไป ไม่ได้คำนึงถึงด้านของความเป็นจริงที่เราเหยียบย่ำไป เหมือนคนที่มีปัญหาเมื่อปัญหารุมเร้ามากๆ ทางออกแม้อยู่ข้างหน้าก็มองไม่เห็น ตอนนี้ทางออกอยู่เบื้องหน้าอาจารย์ชี้คำตอบให้อยู่แล้ว กลับไม่มีคนไหนเลยที่จะมองเห็น
อาจารย์มาวันนี้มิใช่มาเล่นละคร ไม่ต้องทำหน้าเป็นผู้ชมแล้วก็ชมโดยไม่ยอมตอบอะไร ในวันนี้อาจารย์มาต้องถามและต้องตอบ เพราะว่าเรานั้นเหมือนอยู่ในชั้นเรียนไม่ใช่นั่งชมการแสดงขอให้ศิษย์ทุกๆ คนนั้นเข้าใจเสียใหม่
ศิษย์ของอาจารย์เชื่อมั่นไหมว่า วันนี้เรารับธรรมะแล้ว สามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ (เชื่อ) คำว่าเชื่ออย่าอยู่บนปากแต่ขอให้อยู่ในใจของเรา ให้เรานั้นปฏิบัติออกมาให้ได้ ทางนิพพานนั้นเปิดกว้างให้กับศิษย์ทุกคน ขอเพียงศิษย์ปฏิบัติจริงตั้งใจจริงรับรองว่าศิษย์ไปถึง แต่หากว่าตั้งใจบ้าง ไม่ตั้งใจบ้าง อาจารย์เชื่อแน่ว่า ศิษย์ของอาจารย์คงไปไม่ถึงแน่นอน อาจารย์ถามว่าจะไปถึงนิพพานใช้อะไร (ให้บำเพ็ญภาวนา) อาจารย์บอกให้ฟังว่า บำเพ็ญภาวนา ภาวนาแต่ตัวเรา ถ้าเราพ้นก็พ้นแค่ตัวเอง คนอื่นไม่พ้นด้วย พอใจหรือเปล่า (พยายามเดิน , พยายามตั้งใจ , ตั้งใจให้ตรง)
ในการบำเพ็ญนั้นก็มีหลากหลาย ขอให้ศิษย์เลือกในทางที่ถูกต้องที่สุดในวิจารณญาณของตนเอง หากว่าการเลือกของเรานั้นไปได้ถูกต้อง ทางที่เราเดินนั้นท้ายที่สุดก็คือนิพพาน แต่หากว่าการบำเพ็ญของเรา เลือกในทางที่ผิดแล้ว ก็จะเป็นอย่างไร ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป การเวียนว่ายตายเกิดนั้นคือสิ่งใด ก็คือการละทิ้งกายนี้ไปอาศัยอยู่กายอื่น ศิษย์พอใจไหมกับตนเองที่ต้องมาเกิดอีกหนหนึ่ง โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเราเป็นใคร เกิดมาเราจึงรู้ว่า เราชื่ออะไร เราเป็นอย่างไร และเรามีฐานะอย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
บางคนเกิดมาก็ร่ำรวย มีเงินมีทอง บางคนเกิดมาก็ยากจนแร้นแค้นสิ้นดีใช่ไหม ศิษย์ของอาจารย์นั้นรู้ไหมว่าตนเองจะไปเกิดเป็นสิ่งใด (ไม่รู้) เพราะฉะนั้นตอนนี้เป็นตอนที่ดีที่สุด เพราะว่าเรารู้ เรามีสติ รู้ว่าเราสามารถตัดสินใจได้ว่าต่อไปเราจะทำอย่างไร อย่าให้สายเกิน ถ้ารอให้เรานั้นไม่สามารถตัดสินใจในสิ่งใดได้ เช่นเมื่อทิ้งกายสังขารไปแล้วค่อยมาบอกว่าเราน่าจะทำอย่างนั้น เราน่าจะทำอย่างนี้ เวลานั้นก็เรียกว่า เวลาที่สายเกินไปใช่ไหม เพราะฉะนั้นตอนนี้ตั้งใจดีไหม (ดี) ตั้งใจทำอะไร ตอนนี้เราตั้งใจบำเพ็ญดีไหม (ดี) บำเพ็ญช่วยตนเองก่อนแล้วจึงช่วยผู้อื่นดีไหม หลายๆ คนอยู่ในบุรีรัมย์นี้ใช่หรือเปล่า เมื่อเราอยู่ที่นี่แล้ว สถานธรรมก็มี เราก็ควรที่จะบำเพ็ญได้ไหม บำเพ็ญด้วยอะไร (มาศึกษาด้วยตนเอง, ด้วยใจสมัครและบริสุทธิ์ใจ, ตั้งใจบำเพ็ญจริง) เวลาที่คนเราเจอความยากจนมากๆ เจอความลำบากมากๆ คนในโลกนั้นก็มีคำปลอบใจอยู่คำหนึ่งคือ แขนขามีเหมือนกันกลัวทำไมกับความยากจน ไม่เกียจไม่คร้านสักวันหนึ่งก็ต้องได้ดี การบำเพ็ญธรรมก็เช่นกัน บอกว่าแขนขามีเหมือนกันกลัวทำไม เดินเข้าวิ่งเข้าจะถึงไหม (ถึง) ศิษย์ของอาจารย์เชื่อมั่นไหมว่าไปถึง
นิพพานและมรรคผลอยู่ดีๆ ลอยมาอยู่ตรงหน้าให้เราหรือเปล่า (ไม่) หากศิษย์ตั้งใจชาติหน้าเกิดมาเป็นคนอีก ต้องเกิดมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ไม่ต้องบำเพ็ญธรรมโดยธรรมชาติก็จะต้องเป็นอย่างนั้นเอง เพราะว่าศิษย์อยู่ในธรรมชาติ แรงเหวี่ยงของโลกที่เป็นอย่างนี้ การหลุดพ้นเหนือโลกนั้นเป็นไปไม่ได้ หากศิษย์ตั้งใจจะบำเพ็ญธรรม ต้องกระทำสิ่งที่เรียกว่าการบำเพ็ญธรรม เพื่อดีดตัวเรานั้นพ้นไปจากทะเลทุกข์ได้เข้าใจไหม
“พร่ำบอกซ้ำยามจาก การเวียนว่ายคือทรมาน” การเวียนว่ายคือทรมานหรือเปล่า (ทรมาน) เวียนว่ายอยู่ในความทุกข์และความสุข สองสิ่งนี้ทรมานหรือเปล่า ยังอยากจะพ้นจากทรมานนี้ไหม
“รักษาเถิดโอกาสอันมีแต่ในช่วงนี้” ทำไมถึงว่าโอกาสมีแต่ในช่วงนี้ เพราะว่าอนุตตรธรรมมิใช่ศาสนา มีเฉพาะในช่วงนี้ หากศิษย์มัวแต่คลางแคลง รอให้รู้แน่ๆ เสียก่อน ไม่แน่ว่าอนุตตรธรรมจะไม่มีให้ศิษย์บำเพ็ญอีกแล้ว ถ้าเป็นศาสนาจะอยู่ยั่งยืนตลอดกาล แต่หากว่าเป็นอนุตตรธรรมจะอยู่ยั่งยืนหรือเปล่า อนุตตรธรรมมิได้อยู่ยั่งยืนนาน เพียงแต่เป็นแก่นที่แฝงอยู่ที่ทำให้ศิษย์มองไม่เห็น ถ้าหากพิจารณาให้ดีๆ ศิษย์ก็จะรู้เมื่อบอกว่าอนุตตรธรรมะนั้นชี้บอกจุดญาณทวารให้เรา ถามว่าตั้งแต่โบราณกาลมานั้น อ่านคัมภีร์เล่มไหนๆ เขาเคยบอกไหมว่ามีชี้ (ไม่มี) มีเพียงแต่เขาบอกว่า ชี้แต่แฝงอยู่ในคัมภีร์นั้นๆ ศิษย์มองไม่เห็น เปรียบเสมือนอาจารย์บอกว่าอนุตตรธรรมคือแก่น และศาสนาคือเปลือก ในเมื่อแก่นนั้นไม่ยอมให้ศิษย์เห็น ก็คงไม่ให้ศิษย์เห็นตลอดไป ไม่ตั้งใจดู ไม่ผ่าออกมาดูก็จะมองไม่เห็น คิดจะผ่าแก่นออกมาดูไหม (คิด, น่าจะทำ) ในเมื่อน่าจะทำก็ต้องลงมือ
อาจารย์จะจบด้วยคำพูดว่า “ลองคิดดูให้ดีนา” แสดงว่าอะไรๆ ที่ผ่านตามาทั้งหมด ก็ต้องให้ศิษย์คิดใช่ไหม มนุษย์นั้นไม่ขาดก็เกินใช่หรือเปล่า ขาดตรงไหน เกินตรงไหน ที่มนุษย์นั้นขาด ตัวอย่างเช่น ขาดความเมตตา ขาดความรักคนอื่น ขาดความเข้าใจคนอื่น ความเห็นใจคนอื่น ใช่หรือเปล่า เกินอย่างเช่นอะไร มีความริษยาคนอื่นทำให้เกิดเพลิงขึ้นในใจ นี่เรียกว่า เกิดขึ้นมาจากใจ เพราะฉะนั้นมนุษย์ก็เกินมาก ถ้าหากบำเพ็ญธรรมะแล้ว ก็จะไม่ขาดไม่เกินดีหรือเปล่า อยู่พอดีๆ ที่พระพุทธองค์เรียกว่า “ทางสายกลาง” ดีหรือเปล่า (ดี) ทางสายกลางอยู่ที่ไหน ทางสายกลางอยู่ที่ใจ จบสองวันนี้แล้วมีหน้าที่หรือเปล่า หน้าที่ต้องเอาไปคิดใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์ประทานนามสถานธรรมว่า ฮุ่ยจื้อ แปลว่า ปัญญา)
ชื่อสถานธรรมได้ให้แล้ว ก็ให้ร่วมกันรับผิดชอบไหวไหม อาจารย์ไม่ใช่กดดันอยู่ที่เรา แต่ให้เราตัดสินใจ เมื่อตัดสินใจไปแล้ว ก็ทำให้เต็มที่ อาจารย์อยากให้เป็นสถานธรรมส่วนรวม แต่กลัวว่าศิษย์จะเหนื่อยเกินไป แล้วเราจะเก็บมากังวล ความกังวลเป็นทุกข์ที่มากมายที่สุด เป็นทุกข์ที่แก้ยากที่สุดในบรรดาความทุกข์ทั้งหลาย เพราะว่าจะกดทับอยู่ในจิตใจตลอดเวลา สิ่งนี้เป็นสิ่งที่อาจารย์เป็นห่วง
(อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมเมตตา : เรือธรรมแต่ละลำจะได้ชื่อสถานธรรม ไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นการประจักษ์ว่าญาติธรรมชาวกระสังมีบุญวาสนา เพราะว่าสถานธรรมที่เป็นส่วนรวมก็เปรียบเสมือนเรือธรรม เรือธรรมก็จะต้องมีชื่อเรือว่าเป็นพุทธสถานชื่ออะไรๆ ตอนนี้สถานธรรมที่นี่ได้ชื่อว่า ฮุ่ยจื้อ แล้วทีหลังชาวกระสังและบุรีรัมย์ทั้งหลาย ก็จะอาศัยเรือลำนี้เพื่อกลับคืนนิพพาน คืนเบื้องบน ก็เหมือนกับว่า สถานธรรมหรือนาวาธรรมฮุ่ยจื้อกลับไปถึงแล้ว ได้นำพาคนบุญทั้งหลายกลับไปแล้ว เมื่อสิบปีที่แล้วที่พิษณุโลก ตอนนั้นได้ไปแพร่ธรรมที่นั่นสองปีแล้ว หลังจากสองปีก็ขอร้องให้พระอาจารย์ประทานนามสถานธรรมให้ พระอาจารย์ก็ร้องไห้เสียใจ ที่อยากจะขอให้มีนามสถานธรรม แต่ไม่มีผู้ที่ตั้งใจที่จะร่วมรับผิดชอบ เมื่อกี้พระอาจารย์ก็เมตตาถามพันเจี่ยงซือ (อาจารย์นงนุช) ว่าถ้าวันนี้ประทานนามให้ จะรับผิดชอบไหวไหม จริงๆ แล้วสถานธรรมแต่ละแห่งก็ไม่ใช่เป็นแรงของคนๆ หนึ่งจะทำได้ เพราะว่าอาจารย์นงนุชเข้าใจในหลักธรรมดี ได้มีใจที่จะมาช่วยเหลือคนบุญที่กระสังบุรีรัมย์นี้ และเป็นคนที่ฉลาดเฉลียว รู้ถึงคุณค่าของธรรมะ ไม่เพียงแต่ที่จะมาช่วยญาติธรรมทางกระสังคนเดิมทั้งหลาย ในจังหวัดบุรีรัมย์รวมทั้งอำเภอเมืองก็ไปช่วยด้วย และเป็นลูกกตัญญู พ่อเสียไปแล้ว เพื่อที่จะแสดงความกตัญญูต่อพ่อ ก็ตั้งใจที่จะทางเจตลอดชีวิตเพื่อฉุดช่วยจิตญาณของพ่อ และครั้งนี้ก็ลาออกจากงานที่กรุงเทพ เพื่อมาอยู่เป็นเพื่อนแม่ ทั้งหมดนี้ก็เกิดจากใจที่กตัญญูนั่นเอง และคิดตั้งใจที่จะแล่นเรือธรรมลำนี้ ก็หวังว่าชาวกระสังทุกท่านจะร่วมแรงร่วมใจกัน เพราะว่าพวกเราทุกคนที่นี่ล้วนแต่โชคดีมีบุญ พระอาจารย์ท่านก็เมตตาประทานนามสถานธรรมให้ ก็เป็นประจักษ์ว่าทุกท่านที่นี่ล้วนมีภูมิธรรม รากธรรม พวกเราก็กราบขอบพระคุณพระอาจารย์เมตตา)
ทุกๆ คนมีกำลัง กำลังนี้เอามาสามัคคีกันดีไหม น้ำจากแม่น้ำเพียงสายเดียวไม่สามารถทำให้เกิดมหาสมุทรได้ แต่ต้องเป็นสิบสาย ร้อยสาย ใช่หรือเปล่า ตอนนี้ศิษย์ที่ฟังอยู่ที่นี่พร้อมใจกันสามัคคีได้ไหม (ได้) ความสามัคคีนั้น เมื่อพบความยากแล้วเป็นอย่างไร หากช่วยกันแก้ปัญหา ความยากก็พ่ายได้ใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นร่วมแรงแข็งขันอย่าไปกลัวความทุกข์ อย่าไปกลัวคำคนอื่นพูด กลัวเพียงแต่ใจเราเท่านั้นที่เป็นผู้พูด ใช่หรือเปล่า (ใช่) คนอื่นพูด เรายังฟังและพิจารณาได้ แต่พอตัวเราพูดเองเป็นอย่างไร พิจารณายากเลยใช่หรือไม่
งานธรรมสำเร็จลุล่วง บางคนก็เหนื่อยมามากกว่าที่จะให้ศิษย์มานั่งเก้าอี้สบายๆ อย่างนี้ได้ ฉะนั้นจึงต้องขอบคุณเขา ไม่มีเขาก็ไม่มีเรา การตอบแทนของเรานั้นอยู่ตรงไหน การตอบแทนของเราคือตั้งใจฟัง บำเพ็ญธรรมะให้ประจักษ์แก่ใจว่าเรานั้นก็จริงใจที่จะบำเพ็ญธรรม หลุดพ้นกลับคืนขึ้นสู่นิพพาน นิพพานอยู่เบื้องหน้า มั่นใจก็ไปได้ คนไม่มั่นใจจะไปไม่ถึง เพราะว่าอยู่บนนิพพานแล้ว แต่ใจของเรายังคิดว่านี่คือนรก นี่คือโลก ไม่ใช่นิพพาน ใช่หรือเปล่า ขอให้กายของเรานั้นถึงแม้ว่าจะเป็นปุถุชนคนหนึ่ง แต่ใจของเราขอให้เป็นใจของเทพที่มีความเมตตาอยู่สม่ำเสมอดีหรือเปล่า (ดี) ทำได้อย่างที่อาจารย์บอกไหม (ได้)
ทนร้อนอีกครึ่งวันดีไหม (ดี) จบจากสองวันนี้ ศึกษาให้เข้าใจมากกว่าเดิมดีไหม (ดี) หลังจากวันนี้แล้วอาจารย์ยังจะเห็นหน้าศิษย์ทุกคนอีกไหม ถ้าหากว่ามีคนมาบอกศิษย์ว่า ธรรมะนี้ไม่จริง ศิษย์จะคิดอย่างไร ศิษย์เชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็นในสองวันนี้หรือเชื่อในคำพูดของผู้อื่น อาจารย์กลัวที่สุดก็คือ ปากของคนที่เฝ้าให้ร้ายผู้อื่น โดยที่ไม่มองว่าผู้อื่นเป็นอย่างไร ปากคนเรานั้นกลับเท็จให้เป็นจริง กลับจริงให้เป็นเท็จได้ ศิษย์ของอาจารย์เชื่ออย่างนั้นไหม ขอให้มั่นใจเชื่อมั่น มองในธรรมะที่ตนเองเห็น มองดูว่าใช่หรือไม่ใช่ คนว่าใช่ แต่ถ้าไม่ลงแรงทำเลย ก็คือไม่ใช่ เพราะว่าของจริงนั้นมีอยู่แต่ไม่เคยอยู่ในมือเรา เข้าใจคำว่า “ของจริงมีอยู่ แต่ไม่เคยอยู่ในมือเรา” ไหม คำนี้ก็หมายความว่า ใจของเรานั้นไม่เคยตอบรับ ไม่เคยเอามาปฏิบัติลงแรง ธรรมะจริงจึงไกลตัว เพราะฉะนั้นขอให้ศิษย์มีธรรมะจริงอยู่ในมือของตนเอง จะหยิบฉวยใช้สอยก็สะดวก
อาจารย์นั้นซาบซึ้งในความเหนื่อยยากของศิษย์ทุกคนที่มาที่นี่ ซาบซึ้งในตัวนักเรียนทุกๆ คนที่สามารถทนร้อนอยู่ถึงสองวัน ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนมีความอดทนดีทุกคนเลย ศิษย์ของอาจารย์ก็เก่งทุกคน แต่ว่าร้อนในสองวันนี้สร้างได้อย่างมากก็แค่ความเข้าใจพื้นฐาน การยืมร่างของอาจารย์นั้นไม่ใช่สิ่งนิรันดร์ ศิษย์จะเชื่อว่าจริงหรือว่าไม่จริงอย่างไรก็ได้ สำคัญที่สุดอยู่ที่การปฏิบัติของเรา การเปิดตามองของเรา ศิษย์ผู้เก่งกาจของอาจารย์ทุกๆ คนพิจารณาตัวเราให้ดี ทุกๆ อย่างอยู่ที่ศิษย์ ขาเป็นขาของศิษย์ แขนเป็นแขนของศิษย์ คิดหรือว่าอาจารย์จะสามารถจับแขนของศิษย์ยกขึ้นมา แล้วบอกว่านี่คือกุศล ทำนะ หรือให้อาจารย์ยกขาของศิษย์ให้เดินไปๆ ถามว่าอาจารย์ยกไหวไหม (ไม่ไหว) ศิษย์นั้นมีอยู่มากมาย มีอยู่เต็มโลก เวไนยสัตว์ก็มีอยู่เต็มโลก หากให้อาจารย์ช่วยยกขา อาจารย์คงช่วยให้สำเร็จนิพพานได้แค่คนเดียวแต่ศิษย์ของอาจารย์ช่วยกันได้ อาจารย์ขอร้อง ช่วยกันดีหรือเปล่า (ดี) นิพพานอยู่เบื้องหน้า อย่าลืมเดิน อย่ามัวแต่นั่งหลับสบาย กิเลสนั้นน่ากลัว ใจศิษย์ก็พันพัวอยู่ในสิ่งนั้น คนที่จะถึงได้มีแต่ศิษย์คนเดียวเท่านั้น อาจารย์เชื่อมั่นว่าถ้าศิษย์ทุกคนทำ ทุกคนก็จะไปถึง
ลากันวันนี้ หวังว่าวันหน้าพบศิษย์ใหม่ เป็นคนใหม่ เป็นคนเดิม เป็นคนใหม่ตรงไหน แก้ได้ก็เป็นคนใหม่ เป็นคนเดิมตรงไหน มีจิตใจที่คงเดิมมั่นคงเหมือนดังตอนที่มีใจมากที่สุด เข้าใจไหม (เข้าใจ) เวลาอาจารย์หมดแล้ว วันหลังอาจารย์พบศิษย์ใหม่ ขอให้ศิษย์เป็นคนเดิมที่เป็นคนดี ขอให้เราได้เจอกันอีก อย่าให้ความลังเลสงสัยนั้นปิดศิษย์ให้ตกพ่ายไป สู้ทั้งที สู้ให้ชนะ เข้าใจไหม (เข้าใจ) ชนะที่ดีที่สุดคือ ชนะใจตัวเอง โกรธเคืองกันมากเท่าไร อภัยกันมากเท่านั้น คนใจกว้างเท่านั้น จึงจะมีคนเคารพมาก


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา