วันพฤหัสบดีที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช
๒๕๓๙ พุทธสถานไท่อิน กรุงเทพฯ
พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวฝอถง
น้อมดวงใจใฝ่บำเพ็ญเป็นเมธี น้อมยินดีสามัคคีร่วมศึกษา
น้อมเจริญพระธรรมมีคุณา น้อมตนพาช่วยตนแลช่วยคน
เราคือ
เสียวเสี่ยวฝอถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานไท่อิน แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านทานอิ่มไหม
อริยาปุถุชนต่างกันที่ไหน ล้วนแล้วได้มีกายเป็นมนุษย์
แต่ไฉนปุถุชนไม่พ้นหลุด เพราะขาดจุดปรมัตถ์อันเป็นทาง
โบราณกาลการแสวงทางหลุดพ้น ต้องสละที่นอกตนทุกทุกอย่าง
ต้องผนวชเข้าสู่แก่นความว่าง ไร้ด่างพร้อยในยามใดจึงได้คืน
แต่ปัจจุบันวันเวลาสู่คับขัน ทุกชีวันลอยคออยู่กลางกระแสคลื่น
ถ้าถลื่นแรงก็ไม่พ้นถูกคลื่นกลืน จึงควรหยุดใส่ฟืนลงให้ไฟ
แต่จะพ้นทะเลทุกข์ต้องตัดราก ดั่งตัดอยากต้องตัดที่ใจเป็นใหญ่
โลกคับขันธรรมจะมากู้โลกไว้ ในกาลนี้มารดาให้นาวาธรรม
ต้องก้มกราบวิสุทธิอาจารย์ผู้มีกุญแจ โองการแท้จึงจะพาท่านพ้นข้าม
จำต้องฝ่าความลำบากดั่งคมหนาม สัจธรรมงามจะเป็นพาหนะพา
ในยามนี้จึงนับเป็นผู้รวยโอกาส อย่าให้พลาดต้องลงแรงทั้งแขนขา
ลงแรงใจท่านอย่ามัวประวิงเวลา กาลข้างหน้าพระศรีอาริย์จะเก็บงาน
ในยุคสามยุคนี้ต้องบำเพ็ญ ท่านจำเป็นต้องศึกษาให้แตกฉาน
อย่ามัวตรมความทุกข์ในอดีตกาล หันหน้าท่านเข้าสู่ความเป็นจริง
ร้อยด้ายเข้าเข็มจำต้องใช้สมาธิ การดำเนินวิถีชีวิตต้องสงบยิ่ง
พิจารณาอย่ามัวหลงหาแย่งชิง สุดท้ายทิ้งทรัพย์ยศถาไปตามกรรม
ฮิ ฮิ หยุด
พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวฝอถง
เรากับท่านก็เหมือนๆ
กันใช่ไหม มีร่างกายเหมือนๆ กันใช่ไหม มีแขนมีขาใช่หรือเปล่า แต่เรากับท่านต่างกันตรงไหน ทำไมคนข้างหน้าถึงเรียกเราว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วทำไมเขาไม่เรียกท่านว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ล่ะ
ทั้งๆ ที่ก็เป็นมนุษย์เหมือนกันใช่หรือเปล่า ไม่เหมือนเหรอ ถามเมธีทุกท่านทานอิ่มไหม (อิ่ม) ใช่เราทำให้ท่านอิ่มหรือ
(ขอบคุณแม่ครัว) ขอบคุณแม่ครัวคนเดียวหรือเปล่า (ไม่) ต้องขอกขอบคุณแม่ครัว ขอบคุณทุกๆ
คน แล้วก็ขอบคุณตนเองที่เดินไปตัวข้าวมาทานใช่ไหม ทำไมการขอบคุณตนเองทำไม่ได้หรือ
พูดยากหรือ อริยะกับปุถุชนต่างกันที่ไหน
(อริยะมีการพูดดี ทำดีและก็คิดดี) แล้วปุถุชนไม่พูดดี ทำดี คิดดีหรือ เรามีกายก็อยากได้ยินใช่ไหม
มนุษย์เมื่อมีกายก็อยากได้ยินเสียง อยากมองเห็น อยากสัมผัสได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเกิดไม่มีกายแล้วถึงมีเสียงให้ได้ยินก็ไม่ได้ยินแล้วใช่ไหม
(ใช่) ฉะนั้นตอนนี้เรายืมกายเขามาให้ท่านเห็น ท่านก็ต้องตอบให้เขาได้ยินบ้างดีหรือเปล่า
(ดี)
(อริยะมีคุณธรรมและรู้ทางหลุดพ้นแล้ว
แต่ปุถุชนยังมีโลภ โกรธ หลงอยู่) ทำไมตอนแรกเราถึงบอกว่าท่านกับเราไม่ต่างกัน ปุถุชนกับพุทธะก็ไม่ต่างกัน
ต่างเคยเป็นมนุษย์มาก่อน แต่ท่านต่างกันตรงไหน ต่างกันตรงที่ท่านมีจิตหลุดพ้นแล้ว
แต่ท่านยังมีจิตที่ยังไม่รู้ทางใช่หรือไม่ เรามาตรงนี้ เดี๋ยวเพียงแป๊บเดียวเราก็สามารถกลับคืนสู่เบื้องบน แต่ท่านมาบนโลกมาอยู่กี่ปีแล้ว (หกหมื่นกว่าปี)
แล้วตอนนี้อายุกี่ขวบ ผ่านไปตั้งหลายขวบแล้วแต่เรายังไม่รู้ว่าความหมายของชีวิตคืออะไรแน่
คือการแสวงหาหรือว่าคือการดิ้นรน บางทีเรายังไม่รู้เลยว่าชีวิตที่เราดำรงอยู่นี้
เป็นชีวิตมีความหมายว่าอะไร เป็นชิวิตที่กำลังจะไปทางไหนใช่หรือเปล่า รู้แต่เพียงว่า
ชีวิตนี้ต้องเจอแน่ๆ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย และนอกจากเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีใครเคยอยากหาอย่างอื่นบ้างอีกไหม
เรามองเห็นตั้งหลายคน ไม่ได้หาเกิด ไม่ได้หาแก่ ไม่ได้หาเจ็บ ไม่ได้หาตายหรอก
หามากกว่าสี่อย่างนี้อีก หาทรัพย์ หาความรัก หาวิชาความรู้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นยกย่องมนุษย์ที่ตรงไหน
ยกย่องเขาที่มีทรัพย์สินที่มีเกียรติยศมั่งคั่ง หรือยกย่องเขาที่มีคุณธรรม ความดีงาม
(คุณธรรม ความดีงาม) สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องยกย่องคนที่มีคุณงามความดี แล้วตัวท่านยกย่องตัวเขาที่มียศถา
มีเงินทอง หรือว่าเรายกย่องเขาที่เขาเป็นคนดี รักเขาที่เป็นคนดี การจะเรียกหาความดีจากโลกนี้ได้
เราจะเรียกหาจากใครก่อนดี ต้องเรียกร้องจากตัวเราเอง โลกนี้มีแต่ชั่วร้ายมีแต่ฆ่ากัน
ทำไมไม่มีคนทำความดี คำถามที่หลุดจากปากเราคำแรกคือ ทำไมไม่มีใครทำความดี แต่ไม่มีใครถามเลยว่า
ทำไมเราไม่เริ่มทำความดี เพราะทุกคนมักหลุดออกไปง่ายๆ ว่าทำไมคนอื่นไม่ทำความดี
ทำไมเขาถึงทำให้เราโกรธใช่หรือเปล่า ความดีเป็นสิ่งที่ง่าย จะทำก็ง่าย แต่บางทีเราก็ไม่เข้าใจว่าเราทำความดีไปเพื่ออะไร
เรายังถามตัวเองอีกว่าเราทำความดีไปเพื่ออะไรกัน ทำแล้วยังโดนเขาว่า การทำดีนั้นบางครั้งเราลองนึก
ลองมองให้เห็นว่า เมื่อเราทำดี ใจคนที่สงบสุขไร้ทุกข์ วิตกกังวลได้คือใคร (ตัวเราเอง)
คือคนที่ทำดีใช่หรือเปล่า ต้องเป็นตัวท่านทำดีด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่)
สุภาษิตโบราณกล่าวไว้ว่า
คนที่มีความมั่งคั่งประดับได้แค่ที่อยู่ แต่คนที่ทำความดีประดับได้ที่จิตใจใช่ไหม
ฉะนั้นความดีเป็นสิ่งที่มีคนยกย่อง แต่อย่าทำความดีเพราะต้องการคนยกย่องนั้นเป็นการทำความดีที่
(เพื่อเอาหน้า) เป็นการทำดีที่ผิด คนเราทำดีได้ต้องมีความจริงใจต่อกัน คิดอยากทำเพราะว่าทำแล้วเป็นสุขใจ
เมื่อนำไปปฏิบัติในบ้านเรา เราก็เหมือนกับร่มโพธิ์อันร่มเย็นของบ้านใช่ไหม แล้วเมื่อเราหมั่นทำดีไปเรื่อยๆ
ความดีนั้นก็จะกระจายส่งต่อไปให้ผู้อื่นได้ใช่หรือเปล่า เพราะเมื่อคนอื่นเห็นว่าคนนี้เป็นคนดีนะ
ดำเนินชีวิตอย่างนี้ เราเห็นเราก็อยากทำตามใช่ไหม เฉกเช่นใครดีที่มองเห็นได้ชัดเจน
วันนี้วันที่เท่าไหร่ (ในหลวง) กษัตริย์ของทุกๆ ท่านใช่ไหม ท่านทำดีท่านเคยหวังไหมว่าทุกท่านต้องรักท่าน
ท่านไม่เคยขอร้องใช่ไหม ท่านทำดีเพราะอยากให้ประเทศชาติสันติสงบสุข การปกครองที่ไร้การครอบครองถึงจะเป็นการปกครองที่ดีเยี่ยมใช่ไหม
(ใช่) ฉะนั้นเราต้องเลียนแบบบุคคลที่เห็นได้ง่าย เห็นได้ชัด เราจะปกครองบ้านอย่างไรให้รู้สึกว่า
เราสามารถทำเองได้ สอนโดยไม่ต้องพูด การสอนโดยไม่ต้องพูดนั้น ตัวเราต้องเป็นแกนนำให้เขาเห็นได้ชัดเจนใช่หรือไม่
(ใช่) วันนี้มาศึกษาธรรมะเปรียบเหมือนทัพพีตกอยู่ในหม้อแกงใช่หรือเปล่า วันนี้มาศึกษาธรรมะตัวท่านเหมือนกับทัพพีตกอยู่ในหม้อแกงแล้วท่านจะเป็นทัพพีดีหรือเปล่า
แล้วท่านอยากเป็นทัพพีที่ตกอยู่ในหม้อแกงดีไหม (ไม่ดี) บางคนทัพพีลอยได้ด้วยโดนบังคับให้ตกลงมา
ก็ตกตุ๊บ ตกลงมาเลย สุภาษิตโบราณกล่าวว่า การเป็นทัพพีที่ตกอยู่ในหม้อแกง ไม่มีคุณค่าเลยใช่ไหม
(ไม่มี) มีแต่ให้คนอื่นได้ แต่ตัวเราไม่ได้อะไรเลย เพราะรสของแกงเป็นอย่างไรเรายังไม่รู้เลย ฉะนั้นวันนี้มาศึกษาธรรมะอย่าปิดกั้นใจตนเอง เปิดให้กว้างๆ
แล้วท่านก็จะไม่เป็นทัพพีที่ถูกผลักให้ตกลงมาในหม้อแกง
ในชีวิตของทุกๆ
คน ใครๆ ก็อยากจะพบกับหนทางที่สว่างไสวใช่ไหม (ใช่) สิ่งใดที่เป็นความมืดมน
ความหมองมัวก็ไม่มีใครอยากเข้าไปอยู่ใช่หรือเปล่า ตอนนี้ขอถามหน่อยว่า ชีวิตของท่านหมองหม่นหรือว่าสว่างไสว
(สว่างไสว) ชิวิตท่านจุดหมายปลายทางอยู่ที่ใด บางคนมีชีวิตอยู่ไปวันๆ ทำงาน เรียนหนังสือ
แต่ถามว่าจุดหมายปลายทางของเราอยู่ที่ไหน ไม่รู้เหมือนกันใช่ไหม แต่ถ้าเกิดคนที่รู้จักเห็นตนเอง
รู้จักกระทำดี รู้จักสิ่งแวดล้อม รู้จักกระทำตนเองให้เหมาะควร รู้จักแก้ไขสิ่งผิด
ในยามดำรงชีวิต ในยามดำรงชีวิตเขาก็จะพบหนทางที่สว่างไสวได้ในบั้นปลาย แต่ถ้าเกิดชีวิตของท่านอยู่มาวันๆ
หนึ่งก็ดำรงชีวิตผ่านไปวันๆ หนึ่งเท่านั้น จุดหมายปลายทางของท่านก็เป็นเพียงวันๆ
หนึ่งเท่านั้นใช่หรือเปล่า (ใช่) จุดหมายปลายทางจะสว่างไสวได้นั้นเราก็ต้องเริ่มต้นกระทำก่อน
การจะเริ่มต้นกระทำนั้น เราก็ต้องมีจุดหมายปลายทางด้วยว่าดำรงชีวิต เราจะเพียงแค่มีชีวิตอยู่ไปวันๆ
หนึ่ง หรือเราจะดำรงชีวิตเพื่อจะไปบำเพ็ญค้นหา ความหลุดพ้นกลับสู่นิพพาน ลองคิดดูเองนะว่า
ระหว่างมีบ้านสองหลังให้ท่านเลือก บ้านหนึ่งแขวนป้ายไว้ว่า บ้านแห่งพุทธะ อีกบ้านแขวนป้ายไว้ว่า
บ้านแห่งเศรษฐีที่มั่งคั่งด้วยลาภยศและทรัพย์สิน สองบ้านนี้ให้ท่านเลือกว่าจะเลือกบ้านไหน
ตอนนี้บางคนก็ยังลังเลในใจ ถ้าคนคิดยาวๆ ก็จะเลือกอะไร ถ้าคิดยาวๆ เลือกยาวก็น่าเศร้าใจ
ถ้าคนคิดยาวๆ แล้วเลือกสั้นแล้วสามารถกลับไปสู่เบื้องบน จะเลือกยาวหรือเลือกสั้น
(เลือกสั้น) แล้วบ้านของเศรษฐีที่มีลาภยศ ชื่อเสียง ข้างบนมีหรือเปล่า (ไม่มี) มีแต่บ้านแห่งพุทธะอริยะอยู่ข้างบนใช่หรือเปล่า
ฉะนั้นถ้ายอมเลือกบ้านแห่งพุทธะข้างล่างก็สามารถขึ้นไปบ้านแห่งพุทธะข้างบนได้ตอนนี้อยากจะเลือกบ้านไหน
(บ้านพุทธะ) แล้วบ้านแห่งพุทธะจะเป็นบ้านแห่งพุทธะที่สมบูรณ์ไหม ใช่ที่มีป้ายชื่อหรือเปล่า
ตอนนี้ทุกท่านเหมือนกับมีป้ายชื่อว่าเป็นพุทธะอยู่ทุกๆ คน ทุกๆ จิตใจ ทุกๆ ดวง แต่จะเป็นได้จริงๆ
เป็นได้แท้ๆ นั้น ไม่ใช่อยู่ที่เพียงป้ายชื่อ แต่ต้องอยู่ที่การดำรงประพฤติปฏิบัติใช่หรือไม่
การบำเพ็ญธรรมะนั้นไม่ใช่ให้ท่านหลีกหนีจากสังคม ไม่ใช่ให้ท่านเลิกนับถือศาสนาใดๆ
ไม่ใช่ให้ท่านกระทำแปลกๆ พิศดาร ไม่ใช่ทั้งนั้นเลย แต่การบำเพ็ญธรรมให้ดำรงอยู่ในชีวิตจะดำรงอยู่อย่างไรให้ค้นพบจิตอันเป็นพุทธะที่อยู่ในตัวทุกๆ
ท่าน มีกายเนื้อเหมือนพุทธะ พุทธองค์ “องค์การแท้จึงจะพาท่านพ้นข้าม” พ้นข้ามอะไร
เราก็บอกไปแล้วว่าถ้าท่านมีสัจธรรมก็จะพาข้ามพ้นได้ แต่ข้ามพ้นอะไรล่ะ ถ้าท่านยังไม่รู้ว่าอยู่บนโลกนี้เราจะหลุดพ้นอะไรแล้ว
อยู่บนโลกนี้จะข้ามพ้นอะไรนั้น จะข้ามได้ไหม จะข้ามพ้นหรือเปล่า ถ้าท่านไม่รู้จะข้ามอะไรแล้วท่านจะทำความดีเพื่อหลุดพ้น
เพื่อพ้นอะไร (ความทุกข์) จะพ้นข้ามได้ต้องข้ามพ้นความทุกข์ ข้ามพ้นกิเลส ข้ามพ้นตัณหาและก็ข้ามพ้นอะไรดี
(ความชั่ว)
ทุกท่านต่างมีโซ่ตรวนพันธนาการแตกต่างกันออกไป
ต่างมีอุปสรรคในการหลุดพ้นจากโลกนี้แตกต่างกันออกไปใช่ไหม จะข้ามพ้นอะไรดี
(ความโลภ) (เจ้ากรรมนายเวร) เราจะข้ามพ้นอะไรดีที่เป็นอุปสรรค กิเลสมีทั้งหมดเท่าไหร่
(อาจารย์บรรยายธรรม : ถ้าอุปกิเลสทั้งหมดมีสิบหก ถ้ากิเลสโดยปกติก็มีสิบ)
ถ้าท่านข้ามพ้นความคิด
ท่านก็หลุดพ้นได้ใช่หรือเปล่า คิดมาก คิดเป็นทุกข์ คิดฟุ้งซ่าน ถ้าท่านข้ามพ้นได้
ท่านก็หลุดพ้นได้แล้วจริงหรือเปล่า คนเราทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะฟุ้งซ่านฟุ้งเพราะคิดไม่ตก
เพื่อหลบหนีความทุกข์ดีไหม
(ดี) อย่าปล่อยให้ตัวเองทุกข์แล้วถึงจะหันหน้าเข้ามาหาองค์พุทธะอย่างนี้ช้าไปไหม
(ช้า) เวลาทุกคนรู้รู้เพียงแต่ขณะนี้ ตอนนี้ แต่ต่อไปเราสามารถรู้ไหม (ไม่ได้) อย่ามัวแต่สนุกสนานกับโลกใบนี้
อย่ามัวหลงแสงสีกับโลกใบนี้ อย่ามัวหลงกับความรัก โลภ โกรธ หลง กับตัวตนเรานี้ ถ้ายิ่งหลงมาก
เราก็ไม่มีวันได้พบหนทางที่สว่างไสวอีกเลยรู้ไหม (รู้) เรามาบอกแล้ว แต่หากไปเจอเราที่ไหนแล้วจะมาบอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เห็นมาบอกเลยว่าต้องบำเพ็ญธรรมะ
ตอนนั้นมาบอกจะทันหรือเปล่า (ทัน) ตอนนั้นท่านจะเจอเราข้างบนหรือเปล่าก็ไม่รู้
อาจจะเจอระหว่างทางสามแพร่งก็ได้ ท่านรู้จักไหม
เมื่อเรารู้จักกระทำความดี
รู้จักดำรงชีวิตไปในทางที่สว่างแล้วเราต้องรู้จักอะไรเพิ่มเติมอีกไหม รู้จักพัดโบกชีวิต
เมื่อสักครู่เราลืมบอกไปว่า การที่จะข้ามพ้นทะเลทุกข์ได้ การจะข้ามพ้นอุปสรรคต่างๆ
นานาได้ สิ่งแรกต้องข้ามพ้นใจตนเองก่อน ถ้าตนเองยังข้ามไม่พ้นแล้วอย่างไรที่เป็นอยู่ภายนอก
ท่านก็ไม่มีวันข้ามพ้นใช่หรือเปล่า (ใช่) พบตนเองที่แท้จริงแล้วเอาชนะตนเองให้ได้ดีไหม
(ดี) เอาชนะตนนั้นยากกว่าเอาชนะผู้อื่นใช่ไหม (ใช่) แต่เอาชนะตนเองให้ไม่โกรธหนึ่งวันท่านจะมีความสุขถึงห้าสิบวันหรือร้อยวันเลยใช่ไหม
(ใช่) นี่คือคำโบราณเขากล่าวไว้ ไม่ใช่เราเป็นคนกำหนด ถ้าเราไม่โกรธผู้อื่นได้วันหนึ่งเราก็ไม่ต้องถูกไฟเผาใจให้ระทมทุกข์ใช่ไหม
(ใช่) ทำไมเราถึงบอกว่าต้องรู้จักพัดโบกชีวิต การพัดโบกชีวิตต้องพัดโบกอย่างไร เมื่อเราหลงสิ่งใดมากเกินไป
ใจเราก็จะยิ่งพองขึ้นไปไกลขึ้น เพราะไปหลงกับสิ่งนั้น กับคนๆ นั้น ฉะนั้นเราจะพัดโบกอย่างไร
ก็พัดโบกใจให้กลับเข้ามา เมื่อจิตใจทุกข์กลุ้มใจ วิตกกังวล หมดเรี่ยวแรงที่จะต่อสู้กับชีวิต
ก็กระพือๆ พัดชีวิตให้มีเรี่ยวแรง ต่อสู้อีกครั้งหนึ่ง ง่ายไหม ทำได้ไหม พอล้มทีกว่าจะลุกขึ้นได้อีกวันหนึ่งขอล้มต่ออีกรอบหนึ่ง
ฉะนั้นต้องดับที่เหตุ อย่าไปดับที่ผล ไม่ใช่ว่าพอทุกข์แล้ว แล้วค่อยมาคิดดับ อย่างนี้ไม่ทัน
ต้องดับที่เหตุสกัดกั้นอารมณ์ สกัดกั้นความอยากก่อน อยากมากเกินไป ตัดทิ้ง
โกรธมากเกินไปก็ตัดทิ้ง รักมากไป (ตัดทิ้ง) มีหลายคนไม่ตอบ เพราะตัดไม่ลง ไม่ต้องตัดก็ได้
ให้ค่อยๆ ลดค่อยๆ ปล่อย ค่อยๆ วาง รักเขามากก็ต้องวางให้เขามากๆ ด้วย โกรธเขามากก็ต้องพยายามอย่างไร
โกรธแล้วต้องทำอย่างไร (ปล่อยวาง) แล้วทำอย่างไรอีก เมตตาเขา ให้อภัยเขาใช่ไหม (ใช่)
เราบอกว่าคนที่เรารักก็เปรียบเหมือนมิตรที่คอยให้กำลังใจ คนที่เราเกลียด คนที่เราไม่ชอบ
เปรียบเหมือนอะไร ครู อาจารย์ของเราใช่ไหม ครู อาจารย์ที่สอนชีวิตที่แท้จริงว่าต้องมีทุกข์
ต้องมีสุข ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นเมื่อเขาไม่ชอบเรา เมื่อเขาเกลียดเรา เราก็สามารถทำตน
ให้เขาเห็นสิ่งที่ดี แล้วก็สามารถทำตนเองให้เขาน้อมจิตน้อมใจ หันมามองว่า เราเป็นคนดีให้ได้
พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เคยรังเกียจไหมว่าคนนี้ไม่ดี ไม่สั่งสอน คนนี้ขี้โมโหไม่อยากสอน
เป็นอย่างนี้ไหม (ไม่เป็น) ฉะนั้นกระทำดีแล้วอย่าเป็นคนเลือกที่รักมักที่ชัง
กระทำดีแล้วอย่าเป็นคนที่ขี้โมโห เมื่อทำดีแล้วอย่าเป็นคนดีแต่เพียงให้บุญให้ทานแต่การกระทำดีนั้นต้องพร้อมสมบูรณ์
ทั้งกาย วาจา ใจ และการกระทำใช่ไหม
ดำรงชีวิตห้อยอะไรไว้มากก็ไม่ดี
แบกหนักมากก็หนักมากใช่ไหม ชีวิตนี้มีกายกับจิตใจก็พอแล้ว อย่าแบกอะไรให้มันหนักจิตใจนัก
เป็นเหมือนลมพัดที่พัดผ่านไปเย็นดีหรือเปล่า พัดไปหาใครคนนั้นก็มีแต่ความสงบสุข ไม่ใช่พัดแล้วเขากระเด็นไปเลย
อย่าเป็นลมที่พัดแรงๆ
สุดท้ายหมดชีวิตแล้ว
ถึงแม้จะมากทรัพย์สิน มากมีเงินทอง มากมีความอยาก สุดท้ายเราก็ต้องไปตามกรรมใช่ไหม
(ใช่) อย่าให้กาลเวลาเปลี่ยนแปลงจิตใจของตัวเราดีหรือเปล่า (ดี) ความมั่นคงขอให้มีอยู่
ทำอะไรด้วยความมั่นคงในการที่จะคิด ปฏิบัติตน
ความเปลี่ยนแปลงของจิตใจตอนนี้ก็จะปรากฎขึ้น ตอนนี้คิดที่อยากจะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็ต้องเร่งมือ
ลงแรงกระหน่ำให้เต็มที่ ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะคนที่มีชีวิตกระทำดีแล้ว เมื่อเจอทุกข์หรืออุปสรรคก็ไม่มาเสียใจภายหลังใช่ไหม
(ใช่) ฉะนั้นอย่าให้ชีวิตของตนเองหมดไปกับคำว่าสายไปเสียแล้วดีไหม (ดี) ตอนนี้ยังมีชีวิตยังมีภาระยังมีกำลัง
ยังมีวิชาความรู้ หันหน้าไปหาสิ่งที่ดี หันหน้าไปสู่ความสว่างดีหรือเปล่า (ดี)
เขาบอกว่าไม่ว่าทรัพย์สิน
ยศถาหรือแม้นแต่ชีวิตเรา สักวันหนึ่งก็มีวันที่จะหมดสิ้นไป สักวันหนึ่งก็ต้องมีวันหมด
ทรัพย์สินเมื่อมีมากเกินไปแล้วก็ต้องมีวันหมดสิ้น เมื่อได้เกียรติได้ยศถาสักวันหนึ่งก็ต้องมีวันทิ้งสิ่งนั้นไปใช่ไหม
(ใช่) เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เราก็ต้องรู้จักคำว่าพอ รู้จักละ รู้จักลด ชีวิตที่มันเกินเลย
ชีวิตที่มันขาดหายไป หาสิ่งที่ดีเติมจิตใจของตนเองนี้ให้สมบูรณ์กับคำว่า “พุทธะ”
ให้สมบูรณ์กับคำว่า “พุทธะคู่บำเพ็ญ” ดีไหม (ดี) แล้วบ้านพุทธะหลังนี้ก็จะเปิดอ้าน้อมรับทุกท่านดีไหม
(ดี) อยู่บ้านพุทธะบนโลกนี้ได้ ท่านจึงสามารถกลับคืนสู่บ้านพุทธะบนแดนฟ้าได้ เข้าใจไหม
(เข้าใจ) ถ้าใครยังฟังไม่เข้าใจวันนี้มาศึกษาพรุ่งนี้หรือมะรืนมีโอกาสก็หมั่นมาศึกษาเพิ่มเติม
การบำเพ็ญถ้าท่านบำเพ็ญเอง ท่านก็ได้รับเอง การศึกษาท่านจะกระจ่างได้ก็อยู่ที่การค้นคว้าศึกษาลงมือปฏิบัติกระทำอย่างจริงจังดีหรือเปล่า
(ดี)
วันนี้มาก็เพียงสั้นๆ เล็กๆ น้อยๆ
มาคุยให้ท่านรู้ ให้กำลังใจตัวเอง อย่าลืมพัดกระพือจิตใจ บำเพ็ญไปเรื่อยๆ ดีไหม กลับไปเจอกันข้างบนดีหรือเปล่า
(ดี) เรารอทุกท่านอยู่ข้างบนนะ กระทำให้ได้ความดี อย่าเห็นว่าเรามาหลอกลวงท่าน
เราหวังดีกลับท่าน อยากไปพบท่านข้างบนจริงๆ ข้างบนมีความสุขมาก