วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2539

2539-12-28 พุทธสถานเฉิงอี้ จ.ราชบุรี


PDF 2539-12-28-เฉิงอี้ #23.pdf

#ทวนกระแส  #สติ  #ปัญญา   #ฉุดช่วยบรรพชน


วันที่ ๒๘ ธันวาคม  พุทธศักราช ๒๕๓๙
พระโอวาทท่านแปดเซียนหลันไฉ่เหอ

  วิหคเหินทิศาเดียวมุ่งกลับบ้าน  ชีวิตท่านเบาบางงานกุศล
เมื่อต้องข้ามทะเลทุกข์จึงอับจน  ดั่งอุบลเพลินลุ่มหลงในโคลนตม
    เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่พุทธสถานเฉิงอี้     แฝงกายกตัญชลี
องค์มารดา  ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
  ยังสามารถเห็นฟ้าสางวันนี้  ให้รู้ที่ทบทวนลองไปคิด
เป็นโชคดีที่ผ่านคืนยังชีวิต  เตือนพินิจหนึ่งในมากยอมทบทวน
กี่ผลงานทำได้ปีหนึ่งนี้  ณ สิ่งดีมียากรู้สงวน
บำเพ็ญจิตบ้างหรือไม่จงใคร่ครวญ  นานเพียงไหนแค่มากตรวนอันตราย
พินิจในทุกสิ่งล้วนตามทำนอง  ถูกครรลองแก้ไขฤดีไม่มีพ่าย
ฝึกพุทธะจงมองทวนให้เข้าใจ  ยอมตัดทิ้งมากเท่าไรยิ่งเจริญ
ปรารถนาอยู่หรือไปน้ำพาแล่น  ศึกษาแก่นการตามไปเป็นผิวเผิน
รู้ขั้นตอนยามเรือพายอย่าเพลิดเพลิน  ให้ดำเนินทวนน้ำจึงพ้นตรวน
ของมีค่าแลกมาใช่ง่ายดาย  รักสบายยากสำเร็จลองคิดหวน
จิตอำไพขึ้นปีใหม่หยุดทบทวน  ณ จิตใจเราควรฟื้นฟูนำ
เป็นคนใหม่ตามพยายามรอยอริยา  ทุกนาทีมีค่าแปรบำเพ็ญข้าม
ทั้งชีวิตขวนขวายด้วยตนมีธรรม  ทุกเช้าค่ำรู้พลาดรู้แก้ไข
บำเพ็ญจิตต้องเสมอทั้งต้นปลาย  จนสุดท้ายของขวัญคือได้สู่จุดหมาย
บัลลังก์เซียนเปี่ยมค่างามเกินบรรยาย  ผู้จะได้เสมอผู้ลงแรง
      ฮา  ฮา   หยุด





  มุ่งกลับไปแดนเดิมตั้งใจ   ต้องใฝ่การบำเพ็ญ มุ่งมั่นพา   โดดเด่นดังดารา แสงพราวพร่างพราย   ปฏิบัติธรรมที่มี จิตแห่งความกังขายากนำพา   ร่างเหยียดหมดนาที ให้เดินคืนสุทธา
  อาจมีวันล้า  ฟื้นฟูใจตนมิเบียดเบียน จนออกห่าง   หากเป็นคนช้า จงรุด มิรอจน ต้องเจ็บใจ ที่เอนเอียงอยู่   ช่วงเวลาที่สำคัญ ก็คือยามนี้   ผ่านล่วงไปคงมิอาจเรียกคืนหวน ได้เช่นเดิม
เพลง : นาทีแห่งดาว
ทำนองเพลง : เก็บมันเอาไว้


พระโอวาทท่านแปดเซียนหลันไฉ่เหอ

วันนี้ตั้งใจมาทำอะไรกัน  คิดมาประชุมธรรมก็ต้องตั้งใจฟังใช่ไหม  แต่ทำไมถึงตั้งใจหลับกัน  บางคนก็มองเราด้วยความฉงนสนเท่ห์  บางคน
ก็มองเราด้วยความไม่เชื่อ  ตั้งใจฟังกันหรือเปล่า ไม่ใช่อยู่ข้างหลังเมื่อย
ก็ออกไปข้างนอก อย่างนี้แล้วเขาเรียกว่าตั้งใจฟังจริงๆ หรือเปล่า  ฉะนั้น
ถ้ารู้สึกเมื่อยหรือง่วงก็ต้องรู้จักนั่งให้ถูกวิธี  ถ้านั่งสบายก็หลับสบายใช่ไหม  จะฟังสบายได้อย่างไร  บางคนก็ผงกศรีษะไปอย่างนั้น บางคนก็ไม่ได้ยินเลย
ใช่หรือเปล่า  อย่างนี้จะเรียกว่าตั้งใจมาศึกษาอย่างแท้จริงไหม
ชีวิตก็เหมือนกับอากาศใช่ไหม เหมือนตรงไหน  ถึงแม้ท่านจะไม่เชื่อว่าเราจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริง หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เท็จ  แต่เป็นการคุยสนทนากับคนๆ หนึ่งดีหรือไม่  พุทธจิตลงมาสู่กายมนุษย์ก็เป็นปุถุชนคนธรรมดาใช่หรือไม่  จะต่างกันตรงไหน  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เคยย้ำบ่อยครั้ง ว่าต่างกันตรงที่พุทธจิต
ภายในของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพุทธะ ท่านรู้แจ้งทุกสิ่งแล้วสามารถกลับคืนสู่
เบื้องบนได้ แต่พุทธจิตที่อยู่ภายในกายของมนุษย์ของทุกท่านที่นั่งอยู่ที่นี้ สามารถกลับคืนเบื้องบนได้ไหม  สามารถรู้แจ้งชีวิตแห่งตนได้หรือเปล่า  ได้แต่เพียงแค่รู้ แต่เมื่อถึงเหตุการณ์ที่ต้องนำมาใช้ ก็ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างกระจ่างแจ้ง ใช่หรือไม่  มนุษย์นั้นก็เป็นเพียงผู้ที่เรียนรู้เพื่อถมความรู้ให้เต็ม
ภายในใจ  แต่มีใครบ้างที่จะเรียนรู้เพื่อเข้าใจความเป็นมนุษย์ ความเป็นคนอย่างแท้จริง  เราเรียนรู้เพียงว่าเรียนจบแล้วเราจะทำอะไร มีหน้าที่อะไร  เรารู้เพียงแต่ภายนอก แต่จิตใจภายในเราไม่เคยรู้ ใช่หรือไม่ แล้วสำนวนที่ว่า
“ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” จะมีไว้ทำไม ในเมื่อเรารู้เพียงแค่ภายนอก แต่
จิตใจภายในของตนเองไม่รู้แม้เพียงสักนิดเดียว อย่างนี้จะสามารถดำรงชีวิตได้อย่างแท้จริงไหม  แต่บางคนอาจจะตอบว่าชีวิตเราก็วิ่งตามไปกับอารมณ์
วิ่งตามไปกับความอยาก คอยวิ่งไปทางโน้นที ทางนี้ที  แต่บางทีเมื่อเหนี่อยแล้วก็อยากหาที่พัก อยากหาที่สงบ  บางทีเราสามารถสงบ หาที่พักผ่อนให้กับ
ร่างกายได้ แต่จิตใจที่เหนื่อยล้า จิตใจที่มืดมน เราสามารถหาความสงบได้จากที่ไหน ใจตนเองอยู่ตรงไหน ตอนนี้รู้หรือยัง แล้วควบคุมได้หรือยัง  บางคนรู้แล้วก็เหมือนไม่รู้ รู้แล้วก็เหมือนปิดตาตนเอง  ปิดตาตนเองส่องกระจกจะมองเห็นกระจกไหม  มาศึกษาธรรมะแต่ตาทั้งสองข้างปิดไปด้วยความกังขาและ
ความสงสัย แล้วอย่างนี้จะศึกษาได้กระจ่างหรือเปล่า ไม่กระจ่างใช่ไหม 
เราอ่านหนังสือ เราจะเข้าใจหนังสือได้ก็ต่อเมื่อเรามีจิตใจที่อยากค้นคว้าหาความรู้ในหนังสือ ว่าเนื้อหาข้างในเป็นอย่างไร ใช่หรือไม่  ถ้าเปิดหนังสืออ่าน แล้วในใจก็คิดว่าไม่ชอบคนเขียนคนนี้เลย ถึงแม้อ่านไปตั้งแต่ต้นจนจบก็
ไม่เข้าใจใช่ไหม มาศึกษาหลักธรรมก็เหมือนกัน ถ้าท่านปิดใจตัวเองไว้จะศึกษาเข้าใจไหม ถ้าเรามีความง่วงปิดกั้นตนเองอยู่ จะศึกษายังศึกษาไม่เข้าใจ  ฉะนั้นมาศึกษาตนเอง ดวงตาแห่งปัญญาได้เปิดอย่างแท้จริงหรือเปล่า ดวงตาแห่งจิตใจได้ไขที่จะศึกษาแท้จริงหรือไม่
ชีวิตก็เหมือนกับอากาศใช่ไหม เหมือนตรงไหน (ความว่าง)  ไม่ใช่ความว่างอย่างเดียว อากาศนี้ก็เปลี่ยนแปลงเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว เหมือนกับ
เราทุกคนที่บางครั้งก็ทุกข์บางครั้งก็สุข เมื่อมีความสุขก็เหมือนลมเย็นที่โชย
พัดผ่านมา เมื่อมีความทุกข์ก็เหมือนฝนฟ้าคะนองที่ตกภายในใจใช่ใหม (ใช่)  จิตใจนั้นสำคัญยิ่ง เราอยากจะให้ทุกข์มากเพียงไหน อยากจะให้สุขมาก
เพียงไหน ถ้าจิตใจนี้ไม่ไปน้อมรับ ไม่ไปหยิบยืมนำพามาไว้กับตัวเอง ก็ยาก
ที่จะทุกข์ ก็ยากที่จะสุขได้อย่างแท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์นั้นการอยู่เฉยๆ มักจะเป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้ยาก นั่งเฉยๆ สักพักก็รู้สึกเมื่อย อยู่เฉยไม่ได้นานก็รู้สึกเบื่อ  ฉะนั้นเมื่อมนุษย์อยู่นิ่งเฉยไม่ได้ก็ชอบดิ้นรนไขว่คว้าแสวงหา อยากเป็นคนที่มีชื่อเสียง อยากเป็นคนที่มีคุณค่า 
ถ้าเราถามทุกท่านว่าคุณค่าของคนอยู่ที่ตรงไหน ใช่อยู่ที่ประดับตกแต่งให้ตัวเองมีความสวยงาม มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย หรือเป็นคนที่มีตำแหน่งฐานะ
สูงส่งไหม  คุณค่าของมนุษย์อยู่ตรงไหน อยู่ที่จิตใจใช่หรือไม่
ในที่นี้ถ้าเราพูดว่าทุกคนคือคนดี ไม่มีใครเป็นคนไม่ดี  แต่จะเป็นคนไม่ดีก็ต่อเมื่อ เราเริ่มกระทำสิ่งร้าย เราเริ่มประกอบสิ่งไม่ดี ใช่หรือเปล่า  ถ้าเรามียศถาสูงส่ง แต่ว่าภายในจิตใจเรายังมีความอิจฉาริษยาอยู่ความสูงส่งนั้น
ก็เป็นเพียงเปลือกนอกใช่ไหม เรายากที่จะมองเห็นคนไหนดีคนไหนไม่ดีได้
ฉะนั้นถ้าทุกคนบอกว่าตนเองเป็นคนดีแต่ไม่ได้แสดงความดีออกมาให้ผู้อื่นเห็น เขาจะสามารถรู้ไหมว่าเราเป็นคนดีที่แท้จริง หรือว่าเป็นคนดีที่เก็บไว้อยู่ภายใน ถ้าในโลกนี้ทุกคนต่างเป็นคนดีที่เก็บไว้อยู่ภายใน โลกนี้จะสันติสุขไหม แค่เราอยู่กับเพื่อน อยู่กับญาติพี่น้อง เราก็อยากให้ญาติพี่น้องทำแต่สิ่งที่ดีใช่ไหม ถ้าเราอยู่กับญาติอยู่กับเพื่อน แต่เพื่อนอยู่เฉยๆ นิ่งๆ แล้วก็บอกว่าตัวเองเป็นคนดี  แต่วันแล้ววันเล่าเราก็ไม่เคยมองเห็นความดีจากตัวเขาเลย อย่างนี้จะสามารถเรียกว่าเป็นคนดีที่แท้จริงได้ไหม ฉะนั้นเมื่อตนเองรู้แล้วว่าตนเองเป็นคนดี และอยากให้คนรอบข้างเป็นคนดีด้วย ตนเองก็ต้องเริ่มทำจากตนเองก่อนใช่หรือไม่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็พูดอยู่บ่อยๆ ว่าเรียกร้องผู้อื่นไม่สู้เรียกร้องตนเอง ตนเองเป็น
ผู้เริ่มทำ ไม่สู้บังคับข่มขู่ให้ผู้อื่นเริ่มทำก่อนใช่หรือไม่ แล้วโลกนี้จะดีได้ บริสุทธิ์สงบราบเรียบได้อย่างแท้จริง ความชั่วร้ายต้องหมดสิ้นไปจากโลกใบนี้ด้วย
ใช่หรือไม่ เราอยากให้โลกนี้เต็มไปด้วยพฤกษาที่อุดมสมบูรณ์ เราก็ต้องปลูกพฤกษา เราอยากให้โลกใบนี้เต็มไปด้วยคนที่ประกอบคุณงามความดี เราก็ต้องปลูกคุณงามความดีใช่ไหม แล้วตอนนี้พื้นนาแห่งจิตใจ พื้นนาแห่งร่างกายอันนี้เคยหยั่ง เคยฝังรากลึกแห่งความดีมากมายเพียงไหน เคยมองตนเองไหมว่า
ที่ว่าตนนั้นดี ดีอย่างไร หรือดีเพียงแค่ภายนอก แต่ภายในยังอดไม่ได้ที่ยังเห็นคนอื่นดีกว่าตน แล้วนึกอยากจะแข่งขันที่เห็นคนอื่นได้ดีกว่าเรา นึกอยากจะ
ต่อสู้อยู่ร่ำไปใช่ไหม ฉะนั้นจิตแห่งพุทธะนั้นจะเป็นจิตแห่งพุทธะที่แท้จริง
ได้หรือไม่ ตอนนี้รู้สึกแล้วว่าตนเองเป็นพุทธะที่ยังมีจิตใจไม่สมบูรณ์เพียบพร้อมเราก็ต้องบำเพ็ญ บำเพ็ญเพื่อฟื้นฟูพุทธจิตให้งดงาม ให้ผ่องใสได้อย่างแท้จริง สิ่งไม่ดีหมั่นชะล้าง สิ่งดีหมั่นถนอมรักษา ทำได้ไหม เป็นคนดีเขาจะเรียกเราว่าดีได้ เราต้องดีไปตลอดรอดฝั่งใช่หรือไม่ แต่ถ้าดีแล้วมีอารมณ์โมโหอย่างนี้
จะเรียกว่าดีแล้วขี้โมโหใช่ไหม เป็นคนดีที่ชอบทำบุญ ชอบทำทาน ชอบ
ช่วยเหลือผู้อื่น เห็นผู้อื่นทำดีมีความสุข แต่มักชอบลืมเรียกตนเองให้ทำดี
ได้เท่าเขาใช่ไหม เมื่อเห็นผู้อื่นล้มเหลวผิดพลั้งมีใครบ้างที่มีจิตใจอยากจะ
ฉุดช่วยเขา อยากจะเข้าไปปลอบใจเขาบ้างมีหรือเปล่า โลกนี้ใครๆ ก็อยากได้ความจริงใจต่อกัน ความเมตตารักใคร่ต่อกันอย่างแท้จริงใช่ไหม ฉะนั้นคิด
บ้างหรือไม่ที่อยากจะบำเพ็ญดีชะล้างสิ่งไม่ดี  ถ้าไม่เริ่มคิดเราจะเร่งให้ท่านกระทำก็เร่งไม่ขึ้นใช่ไหม คนถ้าไม่คิดจะปลูกต้นไม้ ตีเขาเท่าไหร่ต้นไม้ก็ยากขึ้นจากคนๆ นั้นได้ใช่หรือไม่  ตอนนี้เมื่อเริ่มมีใจคิดอยากกระทำดี อยากบำเพ็ญดี ก็ต้องมาศึกษาวิธีที่จะทำดีให้ได้อย่างตลอดรอดฝั่งใช่ไหม เพราะทุกคนทำดี
แล้วมักล้มกลางคัน ทุกคนทำดีแล้วพบอุปสรรคมักพ่ายแพ้ใช่ไหม  ฉะนั้นพุทธะในใจก็เป็นพุทธะเพียงครึ่งหนึ่ง เป็นพุทธะที่เป็นเพียงดาวกระพริบบ้างดับบ้าง
ใช่ไหม ฉะนั้นอยากจะเป็นดาวที่สุกสว่างอย่างแท้จริง อยากเป็นดาวที่งดงามอย่างแท้จริงก็ต้องเรียนรู้วิธีตัดความเลวร้ายชะล้างสิ่งเลวร้ายแห่งตน นั่นคืออะไร (กิเลส)  สติปัญญานั้นอยู่ที่ท่านใช่ไหม คนที่จะค้นหาให้เจอแล้วก็ดึงมา
ใช้ให้ได้ก็คือท่านอีก  เราเป็นเพียงผู้ชี้ทาง ถ้าชี้แล้วท่านไม่เดินตาม ท่านจะไปถึงหรือเปล่า ก็ไม่ถึงคำว่า “สติ” ไม่ถึงคำว่า “ปัญญา” ใช่ไหม  ถ้าวุ่นวายไปเรื่อยๆ เราก็ไม่สามารถพบสติ  แต่ถ้าใจเรานิ่งสงบ เราจึงจะพบสติได้   และถ้ามีสติอยู่ทุกขณะจิต ทุกลมหายใจ  ท่านก็จะสามารถมีสมาธิ เมื่อมีสมาธิอยู่
ทุกขณะ  ปัญญาจึงจะเกิดได้ เข้าใจไหม
ถึงแม้ท่านท่องกาพย์กลอนได้มากมาย มีสัจธรรมก็เรียนรู้ได้จนหมดสิ้น แต่ถ้าไม่สามารถหยิบใช้ได้ทันท่วงที นึกถึงได้ทันเหตุการณ์ แม้จะมีเงินตรามากมายหรือมีอาวุธข้างกาย เมื่อภัยมาใกล้ตัว เราก็ยากจะหยิบใช้ได้ทันใช่ไหม  ฉะนั้นมีความรู้ มีปัญญา มีสติ ก็ต้องรู้จักควบคุมจิตใจให้ถูกต้อง  การจะ
ควบคุมจิตใจได้นั้นเราต้องรู้จักตัวตนเดิมแท้ของตนก่อน ถ้าไม่รู้จักตัวตนเดิมแท้ของตนว่าตนเองเป็นคนอย่างไร เราจะสามารถควบคุมตนเองได้ไหม ตนเองที่แท้จริงก็คือตนที่ไร้ตน สามารถเดินไปตามรอยแห่งธรรมะปฏิบัติสอดคล้องกับหลักสัจธรรม นั่นคือตนที่รู้จักใช้ตนได้ถูกต้อง ไม่ใช่ตนที่ตกเป็นทาสแห่งตนเอง ไม่ใช่ตนที่ติดอยู่กับหน้าตา ติดอยู่กับชื่อเสียง ติดอยู่กับลาภยศ เข้าใจหรือเปล่า  จะตัดสิ่งใดได้นั้นให้เราพบความดี ให้เราพบความสงบ นั่นก็คือตัดตนเองให้ได้ก่อน  เมื่อมีตนจึงมีกิเลส เมื่อมีที่อยู่ให้กับกิเลส ก็มีอารมณ์ มีความอยาก ไม่รู้จักจบ ไม่รู้จักสิ้น ใช่ไหม
“ศึกษาแก่นการตามไปเป็นผิวเผิน”  มาศึกษาต้องมีใจที่อยากศึกษา ไม่ใช่มาเพราะอยากตามคนอื่นมา ถ้ามาแบบนี้ท่านก็จะเรียนรู้ได้เพียงผิวเผิน นั่งได้ ๑ นาที ก็ไม่อยากฟังแล้วใช่ไหม
อยู่บนโลกนี้ ถ้าเราปล่อยไปตามกระแสโลก ปล่อยไปตามกระแสลมพัดมา เราก็ยากที่จะรู้ตนเองได้ว่าตนเองจะไปถูกอะไรกระทบกระทั่ง  ฉะนั้นดำรงชีวิตบนโลกต้องรู้จักทวนกระแสแห่งจิตใจ ทวนกระแสแห่งโลก แต่การทวนกระแสจิตใจ ทวนกระแสแห่งโลก ไม่ใช่ทำตัวเป็นคนขวางโลก ทำตัวเป็นคนแปลกประหลาดแห่งโลก  ต้องเข้าใจตรงนี้ให้ถูกต้อง เพราะมีผู้บำเพ็ญธรรมบางคนเมื่ออยู่ในสังคมภายนอกก็มักจะโดนคนว่าเป็นคนแปลกประหลาด เป็นคนขวางโลก การทวนกระแสนั้นก็คือ การทวนอารมณ์แห่งจิตใจ เมื่อเราประสบความสุข ความดีใจ ความพอใจ ภายในใจก็อย่าลุ่มหลงในความสุขความพอใจนั้นจนเกินไป  ให้มีใจหยั่งคิดว่าเมื่อเรามีได้ก็ต้องมีเสีย เมื่อมีทุกข์ก็ต้องมีสุข  ในการดำเนินชีวิตหากรู้จักยับยั้งจิตใจไม่ให้หลงสิ่งใดจนเกินไป ไม่ให้ทุกข์เศร้าเสียใจจนกลัดกลุ้มวิตกกังวล ชีวิตนี้เราก็จะไม่มีทุกข์ไม่มีสุขจนเกินไปใช่ไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง เก็บมันเอาไว้  ชื่อเพลง นาทีแห่งดาว)
นาทีแห่งดาวนั้น แม้จะสว่างเพียงชั่วครู่ แต่ถ้าท่านสามารถรักษาความสว่างเพียงชั่วครู่นี้ให้อยู่ตลอดไปในจิตใจได้  ท่านก็สามารถดำรงชีวิต
ภายนอกได้ กำลังใจก็เหมือนความสว่างแห่งร่างกาย ถ้าเรามีกำลังใจที่เข้มแข็งไม่มืดมน เราก็สามารถดำรงชีวิตได้
การดำรงชีวิตนั้นเราอย่ามองเพียงตัวเราคนเดียว เราต้องมองคนอื่นด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่)   ชีวิตนี้เราต้องอยู่ร่วมกันหลายๆ คน  ถึงแม้จริงๆ
จะบอกว่าไม่เมื่อย แต่ผู้อื่นอาจจะเมื่อยได้  ฉะนั้นก็ต้องรู้จักมองผู้อื่นบ้าง  ในการดำรงชีวิตนี้ไม่ได้มีแค่ตัวเราคนเดียวแต่ยังมีผู้อื่นอีก  ฉะนั้นเห็นใจเราก็ต้องเห็นใจเขา เคารพเราก็อย่าลืมเคารพเขาด้วยดีไหม (ดี)
สิ่งมีค่าต่างๆ ล้วนแลกมาได้ไม่ง่าย แต่จิตใจของเราที่มีค่ายิ่งกว่าเงิน ยิ่งกว่าทรัพย์สินนั้น ทำไมเราถึงปล่อยปละ ทำไมเราถึงละเลย  ถ้ากายนี้ไร้ซึ่งญาณแล้ว ทรัพย์สินเงินทอง ยศถา ความรู้มีคุณค่ามีประโยชน์ไหม  ไม่มีใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นการรู้จักดำเนินชีวิตต้องรู้จักความพอดี รู้จักหยุดบ้าง   หยุดแล้วก็
ไม่ใช่หยุดเลย หยุดแล้วต้องรู้จักทบทวนด้วยว่าสิ่งใดที่ดี สิ่งใดที่ไม่ดี สิ่งใดควรคงอยู่ สิ่งใดควรแก้ไข ใช่ไหม
(พระพุทธองค์กล่าวว่า คนเรานี้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในทะเลทุกข์
การอยู่ในโลกมนุษย์นี้เหมือนทะเลทุกข์ อยู่กับความทุกข์ตลอดเวลา ถึงแม้ว่า
จะมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย แต่ถ้าเรายังไม่รู้ว่าโลกนี้เป็นทะเลทุกข์ และเมื่อเราอยู่ในทะเลทุกข์ ทำอย่างไรเราจึงจะหลุดพ้นจากทะเลทุกข์ได้  ดังนั้นจึงได้มีธรรมะลงมาฉุดช่วยเรา ธรรมะจึงเหมือนกับเป็นเรือธรรมที่จะมาดึงเราขึ้นจากทะเล เมื่อเราขึ้นมาสู่เรือธรรมะ เราก็สามารถที่จะคืนฝั่งนิพพานได้ พ้นจากทะเลทุกข์นี้ได้  เพราะฉะนั้นนาวาธรรมในปัจจุบันมีมากมาย เช่นพุทธสถานแห่งนี้เราก็เรียกว่านาวาธรรม เพราะว่าเรามีโอกาสมารับรู้ธรรมะ รับรู้ทาง
หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด)
กลอนที่เราให้ถ้ามีโอกาสขอให้ไปศึกษาเพิ่มเติม พวกท่านยังมีหัวข้อ-ธรรมที่ต้องศึกษาอีกหลายหัวข้อใช่ไหม ตั้งใจฟังให้ดีๆ  สิ่งศักดิ์สิทธิ์มา ท่านจะเชื่อหรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ  ที่สำคัญก็คือศึกษา ๒ วันแล้วต้องได้ประโยชน์หรือมาแค่ ๑ วันก็ได้ประโยชน์ด้วย
ชีวิตนี้คุณค่าอยู่ที่ตรงไหน เราก็พูดไปแล้ว คุณค่านั้นก็อยู่ที่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเป็นสุข ไปอยู่ที่ไหนใครก็ต้อนรับ ไปอยู่ที่ไหนใครก็รักใคร่ อย่างนี้จึงจะเป็นชีวิตที่มีคุณค่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่ชีวิตนี้ไปที่ไหนใครๆ ก็
ขับไล่  ไปที่ไหนใครๆ ก็ไม่ต้องการ ชีวิตอย่างนี้เป็นชีวิตที่เกิดมาแล้วเสียเปล่า  อย่างนี้ศึกษาหลักธรรมไปแล้วไม่เกิดคุณค่าใช่ไหม (ใช่)  เพียงธรรมะง่ายๆ
เรารักเขา เขารักเรา  เรามีเมตตาต่อเขา เราอยากให้เขาเป็นสุข  เขาก็อยากให้เราอยู่กับเขาด้วยใช่ไหม (ใช่)  ง่ายๆ เองใช่หรือเปล่า  ฉะนั้นมองให้เห็น
ตัวตนเองที่มีหน้าตาเดิมแท้ ที่ไร้ซึ่งอารมณ์ ไม่มีความรัก ไม่มีความชอบ
ไม่มีความโลภ ไม่มีความหลง  ถ้าท่านหาหน้าตาเดิมแท้ของตนเองพบเมื่อไหร่ ท่านก็สามารถกลับคืนเบื้องบนได้เมื่อนั้น ถ้าไปอยู่เบื้องบนแต่ยังมีจิตที่ชอบเลือกที่รักมักที่ชัง พุทธจิตแม้จะกลับคืนเบื้องบนก็อยู่ไม่ได้นานใช่ไหม (ใช่) 
เมื่อไรที่เราทำชั่วนรกก็อยู่ที่ตัวเรา  เมื่อไรที่เราคิดร้าย เราก็เป็นเหมือนมารร้าย ใช่ไหม (ใช่)  ว่าคนอื่นเลว ว่าคนอื่นไม่ดี ถามตนเองก่อนว่ามีสิ่งเลวมีสิ่งไม่ดีไหม  ชมคนอื่นดี ชมคนอื่นน่ารัก ก็แปลว่าเรามีความดี มีความน่ารักอยู่
ใช่หรือเปล่า (ใช่)  พุทธจิตของทุกท่านนั้นก็เป็นพุทธะ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้
แต่ทำไมถึงกลับคืนเบื้องบนไม่ได้ ก็เพราะว่าไม่รู้จักเดินให้เต็มที่ ไม่รู้จักบำเพ็ญอย่างจริงจัง พ่ายแพ้ความดีของตนเอง พ่ายแพ้อุปสรรคต่างๆ  ฉะนั้นมาศึกษาหนึ่งวันแล้ว ขอให้ได้คุณค่า  ไม่เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่เชื่อคนข้างหน้า ก็ขอให้เชื่อคนที่ชักพาเรามา เพราะเขาเห็นว่าเราเป็นคนดีจึงอยากให้เราพบสิ่งที่ดี แต่สิ่งที่ดีนี้สามารถนำไปใช้ในชีวิตได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตจะดี ชีวิตจะงดงามต้องเดินตามรอยปราชญ์ เดินตามรอยพระโพธิสัตว์ที่มีจิตเมตตา ไม่หวังผล ไม่หวัง
สิ่งตอบแทน โดนเขาว่าก็ยังคงรักเขา ยังคงเมตตาเขาใช่ไหม (ใช่)  เรายังเห็นหลายๆ คนอาจจะไม่มาที่นี่อีก  ถึงแม้จะไม่มาก็ให้จำไตรรัตน์ไว้ให้ดี รักษา
คุณความดีให้อยู่กับตน แล้วพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จะคุ้มครองท่าน จากร่างกายแล้วสิ่งที่เรานำไปได้คือความดีความชั่วใช่ไหม  ถ้ามีความดีมาก ท่านก็สามารถเป็นพุทธะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้  แต่ถ้ามีความชั่วมาก ท่านก็ไม่สามารถเป็นได้ เข้าใจไหม (เข้าใจ)
บำเพ็ญธรรมดีหรือเปล่า (ดี)  อยู่ที่ท่านคิดพิจารณาให้ดี  มีโอกาสวันนี้ไม่ใช่ง่ายดาย อย่าปล่อยทิ้งไปให้น่าเสียดาย




วันที่ ๒๙ ธันวาคม  พุทธศักราช ๒๕๓๙
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  คนมากมายให้สามัคคีย่อมลำบาก  แต่ไม่ยากพยายามหน่อยจะดีไหม
ณ ผลดีลองตรองดูเกิดที่ใคร  เจริญใจได้ฟื้นฟูพุทธญาณ
    เราคือ
  พระอรหันต์อนุเคราะห์ชาวโลก    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่พุทธสถานเฉิงอี้     แฝงกายเคียมคัล
องค์มารดาแล้ว  ถามศิษย์รักทุกคนมีความสุขหรือเปล่า
  สงสารศิษย์เจ้าพินิจไปถึงไหน  มองใครใครหลายคนก็ต่างสี
อย่าเปรียบเทียบสิ่งเดียวกับที่เรามี  ศิษย์คนดีควรมองตนวันนี้เทอญ
เป็นมนุษย์เมื่อยหลังเมื่อยกระดูก  อาศัยหยูกอาศัยยารักษาไม่หาย
อาศัยบุญก็จะมีสบายใจ  แต่ให้ง่ายพ้นไปเลยจะยิ่งดี
โอ้อาจารย์แก้วดีแล้วที่ศิษย์ใฝ่หา  สองวันนี้ได้มานั่งฟังอาจารย์
ทานเจได้นับว่าบุญเหลือประมาณ  แลประสานจงสมบูรณ์ทั้งกายใจ
วัชระอยู่ในมืออย่าปล่อยทิ้ง  ทิ้งเพชรจริงไปคว้าดินน่าใจหาย
ชีวิตนี้อย่ามัวเฝ้าเสี่ยงทาย  ก่อนวางวายให้สร้างกุศลพอคืนแดน
นั่งฟังธรรมจนเข้าใจอย่าทำเฉย  ศิษย์ต่างเคยเป็นพุทธาบนแดนฟ้า
อย่าให้มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาพร่างตา  แล้วคิดว่านั่นคือจริงทวีลำบาก


ในชาตินี้ขอให้เป็นชาติสุดท้าย  รวมพลังมาเร่งพายดรีฟ้า
การบำเพ็ญแม้ลำบากแต่มากค่า  ให้ศิษย์อย่าเพิกเฉยจนเลยกาล
ฮา  ฮา  หยุด
หมายเหตุ : กลอนที่ขีดเส้นใต้พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันแต่ง





หลงฝักใฝ่ หนึ่งปีใจทบทวน  เรื่องต่างล้วนวุ่นวาย ไม่หยุดลงสักที  หากมีเป้าหมายเข้าใจทันที  ไม่มีคงล้มซัดเซทั้งปี
เปลี่ยนปีใจทบทวน  ไม่ติดกิเลสที่ชักชวน  เส้นทางสายด่วนต้องทวนครั้งใหญ่  ศิษย์มีใจทบทวน มาแก้ไขเร็วเข้าเร่งด่วน  สะบั้นชนวนนึกคลางแคลง  เริ่มต้นวันนี้มีจิตแห่ง...พุทธา
ขอผลัดต่อ ยากคืนฐานพุทธา  เมื่อเกณฑ์ฟ้าเลื่อนไป  ว่ายเวียนโดยมิควร
ทำนองเพลง : ฝันและใฝ่


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ฟังธรรมะไป ๒ วันแล้วศิษย์ของอาจารย์ได้ปัญญาเปิดขึ้นหรือเปล่า 
ถ้าจะให้อาจารย์นั่ง ศิษย์ของอาจารย์ต้องเป็นคนอย่างไร (เป็นคนดี)  แล้วศิษย์ของอาจารย์ยังไม่ดีอีกหรือ  ไหนใครว่าตัวเองยังไม่ดีบ้าง คนไม่ดีแล้วเขาชวนมารับธรรมะได้อย่างไร  ถ้าอยากจะให้อาจารย์นั่งศิษย์ของอาจารย์ต้องเป็นคนขยัน ต้องมีความเมตตา ต้องเข้าใจในหลักสัจธรรมอย่างแท้จริง ที่สำคัญต้องให้โลกนี้ทั้งโลกเป็นอย่างไร (สันติสุข)  การฟังธรรมะเราจะต้องจับประเด็นสำคัญของการฟังธรรมะได้ เมื่อจับประเด็นการฟังธรรมะที่สำคัญได้ก็ย่อมนำมาซึ่งความเข้าใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ในการพูดสนทนาธรรมแต่ละหน ถ้าหากว่าจับประเด็นไม่ได้เลย ก็มีความกลัวอยู่ ความไม่เข้าใจอยู่ แต่ไปด้วยกันก็คือการไม่ตั้งใจฟัง  ศิษย์ของอาจารย์นั้นจะได้อะไรจากการฟังธรรมะไหม  การที่ให้มาจัดประชุมธรรมสองวัน ไม่ใช่ว่าเป็นการให้ศิษย์นั้นมานั่งอยู่เฉยๆ คนที่เขามาพูดบรรยายธรรมให้เราฟังนั้น ก็ขอบคุณเราใช่ไหม  ที่เรานั้นมานั่งฟังเขาพูดใช่หรือเปล่า  แต่ว่าเรานั้นก็อย่าลืมขอบคุณเขาด้วย  ขอบคุณนั้นไม่ใช่การขอบคุณออกจากปากตรงนี้แต่เป็นการขอบคุณออกจากจิตใจการขอบคุณออกจากจิตใจนั้นทำอย่างไร ทำง่ายไหม(ง่าย)  เวลาที่เรามีความโกรธนั้น  โกรธมาจากตรงไหน(ใจ)  เวลาที่เรามีความชอบนั้นชอบมาจากทางไหน(ใจ)แล้วเวลาที่เราจะขอบคุณ  เราขอบคุณออกมาจากใจหรือเปล่า  ส่วนใหญ่นั้นจะให้เราขอบคุณออกมาจากจิตใจนั้น  ต้องมีการทำประโยชน์ที่เราพึงใจด้วย  เราจึงจะรู้สึกว่าเรานั้นอยากจะขอบคุณเขา  แต่ว่าวันนี้ไม่เหมือนกัน  ถึงแม้ประโยชน์นั้นศิษย์ยังไม่เห็นก็ต้องมีการขอบคุณออกจากใจได้  ใจดวงนี้เราต้องบังคับบัญชาได้ ต้องทำให้ใจนั้นรู้สิ่งที่เรากระทำอยู่ตลอดเวลา สิ่งนั้นเรียกว่า “สติ” เข้าใจหรือไม่
นั่งฟังธรรมะมา ๒ วันแล้ว ถามว่าการบำเพ็ญของศิษย์เป็นแบบไหน (การปฏิบัติตาม)  การตามนั้นถ้าหากว่าตามไปเฉยๆ ตามไปโดยไม่รู้อะไร  ตามโดยไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจ  การตามชนิดนี้เรียกว่าตามเพียงผิวเผิน  มรรคผลนั้นก็ได้แค่มองเห็น แต่ไม่สามารถไขว่คว้ามาเป็นของตัวเองได้  เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญนั้นคือการศึกษาให้เข้าใจเอง เข้าใจแล้วต้องมีความเข้าใจอย่างแท้จริง  ในยามปกตินั้น ทุกๆ คนก็คือคนธรรมดาสามัญคนหนึ่ง แต่คนธรรมดาคนนี้ต้องหาทางที่เป็นเอก ก็คือหนทางที่จะบรรลุมรรคผลได้ แล้วศิษย์คิดว่า ศิษย์หาเจอหรือยัง (เจอแล้ว)  คนเราอายุมากน้อยนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่าทุกๆ วันของชีวิตนั้นยังสามารถที่จะทำอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม ต่อมวลมนุษย์ อย่างนี้จึงจะเรียกว่าทุกๆ วันของเรานั้นยังมีค่า  คนบางคนนั้นเกิดมามีอายุ ๑๐๐ ปี แต่ว่าไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้กับใครเลย ถามว่าคนๆ นั้นอายุ ๑๐๐ ปี มีค่าหรือเปล่า (ไม่มีค่า)  หรือว่าจะมีประโยชน์ให้แค่ลูกหลานของตนเอง  ถ้าหากว่าผู้เป็นพ่อแม่นั้นเป็นคนที่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรต่อสังคมเลย เมื่อมีลูกหลานซึ่งดำเนินรอยตาม เขาก็จะเป็นคนที่ไม่มีประโยชน์ต่อสังคมเช่นกัน  เพราะฉะนั้นเมื่อเราเป็นผู้ที่รู้แล้ว ตื่นแล้ว ต้องเป็นผู้นำที่ดี  “นำ” ในที่นี้หมายความว่านำเขาไปในทางที่ดี  ถามว่าเมื่อมีทุกข์ศิษย์ของอาจารย์จะพ้นได้อย่างไร ศิษย์นั้นต้องปิดทางนรก ถามว่าเราจะปิดอย่างไร เมื่อมีกายเนื้อเป็นมนุษย์นั้นทุกคนหนีไม่พ้นความเจ็บป่วย ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่  การที่เราเจ็บป่วยอยู่ในโลกมนุษย์นั้น ถ้าเป็นโรคที่ร้ายแรงรักษาไม่หายก็เหมือนอยู่ในนรก แต่ว่าจิตใจที่เป็นจิตพุทธะของเรานั้น ขณะนี้ยังสามารถที่จะพลิกตัวตื่นขึ้นมาได้  ศิษย์ของอาจารย์คิดว่าบุญสัมพันธ์ บุญวาระเช่นนี้ง่ายหรือไม่ (ง่าย, ไม่ง่าย)  คนที่ตอบว่าง่ายก็ต้องบำเพ็ญแบบง่ายๆ ดีไหม (ดี)  อันว่าความสบายนั้นก็เป็นภัยชนิดหนึ่ง มีรถมารับถึงที่แล้วก็ไปส่งถึงที่ มีอาหารมาวางถึงหน้า  ความสบายเช่นนี้นั้นทำให้เราหลงได้ไหม (ได้)  ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์อยากบำเพ็ญแบบสบายๆ ให้ตั้งใจบำเพ็ญจริงๆ ถ้าหากว่าอยากจะให้ตัวเองสบาย ต้องรู้จักทำให้คนอื่นสบายด้วย อย่าลืมคำนี้ของอาจารย์นะ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ถ้าศิษย์ทำให้ตนเองสบายแต่ทำความลำบากให้ผู้อื่น ตนเองนั้นจะสบายได้หรือไม่ (ไม่ได้)
เรามานั่งตัวตรงๆ เหมือนนั่งอยู่บนฐานบัวของเซียนดีไหม  อาจารย์สอนการนั่งบนฐานของเซียนไว้ก่อน นั่งตัวตรงๆ พิงพนักเก้าอี้ให้น้อยที่สุด เอามือประสานไว้ข้างหน้า อย่านั่งกอดอก ให้เท้าชิดกัน วางไว้ราบเรียบ ดวงตานั้นอย่าล่อกแล่ก จิตใจเปิดกว้างมีเมตตา ขานั้นให้ขยับเข้ามาชิดกัน ถ้าสามารถนั่งอย่างนี้ได้ ๒ วัน  ถือว่าเป็นการฝึกฝนที่ดี
ตอนนี้ใกล้ปีใหม่แล้ว ปีใหม่ศิษย์อยากเจอสิ่งดีๆ หรือเปล่า (อยาก)  ถ้าอยากเจอจะต้องเป็นคนอย่างไร (คนดี)  ปีใหม่นี้อยากเป็นคนที่โชคดี ก็ต้องเป็นคนใหม่เหมือนกับปีที่ใหม่ใช่ไหม (ใช่)  อายุเราที่มากขึ้นหมายความว่าเราเป็นคนมีประสบการณ์ในการบำเพ็ญธรรมะ ในการอยู่ทางโลก ทางโลกนั้นก็เพลาๆ ให้น้อยลง ซึ่งหมายความว่าอะไรก็ตามที่ยอมได้ ลดได้ ละได้ ก็ให้กระทำเพื่อให้ใจของเรานั้นเป็นใจที่มีความสุข ดีหรือเปล่า (ดี)  ถ้าศิษย์ทำได้อย่างที่อาจารย์พูด ศิษย์ก็จะเป็นคนที่มีความสุข  ขอให้ปีใหม่นี้เป็นคนใหม่ ดีหรือเปล่า (ดี)  ตอนนี้อาจารย์ให้เพลงหนึ่งเพลง เพลงนี้มีความหมายว่า ถ้าศิษย์ของอาจารย์นั้นหลงฝักใฝ่ หนึ่งปีที่ผ่านมาให้มีใจทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่วุ่นวายที่ยังไม่หยุดลง  ถ้าหากว่ามีเป้าหมายในการเดินทาง เราจะไม่สนใจสิ่งอื่นใดมากกว่าเป้าหมาย เราจะไม่สนใจสิ่งใดมากกว่าจุดหมาย ใจของเรานั้นไม่ยุ่งในเรื่องไร้สาระทั้งหลาย จิตใจดวงนี้ก็จะเป็นจิตใจที่ไม่ล้ม และแน่นอนว่ามีความสุข  แต่อาจารย์ขอถามว่านั้นมีความสุขใดที่จีรังยั่งยืนบ้าง (ไม่มี)  ทำจิตใจของเราให้เป็นจิตใจที่กระปรี้กระเปร่า ที่สดชื่นอยู่เสมอ เหมือนกับต้นไม้ที่ได้น้ำรินรด ดีหรือเปล่า (ดี)  ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์เป็นคนที่ไม่มีเป้าหมาย เป็นคนที่ล้มลุกคลุกคลานตลอดเวลา เป็นอย่างนี้ทั้งปี  อาจารย์ขอศิษย์ให้เป็นคนที่มีจุดมุ่งหมายในการทำสิ่งใดก็ตาม ถ้ามุ่งหมายว่าอยากให้การค้าเจริญรุ่งเรือง เมื่อเจริญรุ่งเรืองแล้ว จงวางมือซะ ทำได้หรือเปล่า (ได้)  ถ้าทำได้เช่นนี้ศิษย์เองที่จะมีความสุข แต่คนส่วนใหญ่นั้น เมื่อการค้าเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปแล้ว งานรุมรัดตัวทำให้เรานั้นกลายเป็นอีกคนหนึ่งที่เราเองนั้นก็ไม่รู้จักใช่ไหม (ใช่)  ทำไมมนุษย์ในสังคมนั้นจึงมีหน้ากาก เพราะว่าทุกๆ คนนั้นมีความทะเยอทะยานอยู่ ถ้าศิษย์ตัดในส่วนนี้ได้ หาสิ่งที่ดีให้กับตนเอง ศิษย์ของอาจารย์ก็จะมีความสุขใช่หรือเปล่า (ใช่)  ธรรมะคือธรรมชาติ วันนี้มานั่งฟังธรรมะ เรานั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ อยู่กับอาจารย์แล้วก็ต้องมีความเป็นธรรมชาติด้วยเข้าใจไหม (เข้าใจ)  ใครก็ตามที่ยังมีจิตใจลังเลสงสัย ขอให้วางจิตใจนั้นลงเสียก่อน มิฉะนั้นนั่งฟังอาจารย์ไปจนกระทั่งอาจารย์กลับไปแล้ว ใครกันเล่าที่ยังแบกความสงสัยนี้ เพราะฉะนั้นก็ให้ตั้งใจฟังเสียดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  ในสถานธรรมนั้นเปรียบเหมือนบ้านของเรา  เพราะฉะนั้นการที่เราจะมีบ้านที่ดีนั้น ก็คือเราจะต้องมีความศรัทธาจริงใจ เมื่ออยู่ในบ้านที่ชื่อว่าบ้านศรัทธาจริงใจ ศิษย์ก็จะต้องมีความศรัทธาจริงใจ การเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้จึงจะประสบความสำเร็จ ให้อาศัยบ้านหลังเล็กๆ หลังนี้หมายถึงเรือธรรมลำนี้บำเพ็ญให้สำเร็จได้มรรคผล เมื่อบ้านหลังนี้ผุผังตามกาลเวลา ตัวศิษย์ก็จะยังไม่ผุผัง จะมีกายทิพย์ จะกลายเป็นเรือทิพย์เข้าใจไหม (เข้าใจ)
“เปลี่ยนปีไปทบทวน ไม่ติดกิเลสที่ชักชวน เส้นทางสายด่วนต้องทวนครั้งใหญ่”  หมายความว่า ตอนนี้เรานั่งอยู่บนเรือธรรม  เรือธรรมลำนี้ถ้าไหลตามน้ำเป็นอย่างไร ตอนนี้เปลี่ยนปีหมายถึงเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเรา  หัวเลี้ยวหัวต่อหมายความว่า เรานั้นมีร่างกายที่เป็นคนเป็นมนุษย์ดีกว่าสัตว์ทั้งหลายมากมาย แต่ถ้าคิดจะฝึกเป็นพระพุทธะ คิดจะฝึกเป็นเซียน ถามว่าไกลหรือเปล่า (ไกล)  ถ้าไกลก็ขยันๆ เดินจะได้ใกล้ขึ้น  ตอนนี้อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเพราะมีกายเป็นมนุษย์ แต่ว่าอยากจะได้อริยมรรคที่เป็นเซียน อาจารย์บอกว่าไม่ยาก เพราะหากนึกตรึกตรองให้ดีคนที่เป็นเซียนนั้นก็ล้วนเคยมีกายมนุษย์ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจจะบอกว่าท่านมีบุญบารมีมาถึง ๕๐๐ ชาติ  แต่ตัวเรายังมีบุญไม่พอ แต่หากว่าสมทบกับบุญแห่งบรรพชนพอไหม (พอ)  ศิษย์เชื่อไหมว่าบรรพชนของเรามีบุญ (เชื่อ)  เพราะฉะนั้นการที่เราจะบรรลุธรรมในชาตินี้ ไม่เนื่องต่อเพียงเราคนเดียว แต่ต้องมองกลับไปถึงบรรพชนของเรา เรามีโอกาสบำเพ็ญธรรม รับธรรมะในชาตินี้ล้วนเป็นบุญของบรรพชนตั้งแต่สมัยโบราณกาล  การฉุดโปรดสามภพนั้นไม่ได้บันทึก แต่ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นเป็นคนที่เกิดมาทันพอดี ถามว่าตนเองนั้นมีบุญไหม (มี)  เมื่อมีบุญมากมายขนาดนี้การบำเพ็ญนั้นเราต้องใช้จิตใจแห่งโพธิสัตว์ การที่เราจะบำเพ็ญนั้นเราบำเพ็ญตัวของเราเอง เรายอมรับความยากลำบาก เพราะเราเป็นคนที่มีบุญไม่มากมาย แต่อย่าลืมว่าการที่เราจะบำเพ็ญชาตินี้เราจะต้องช่วยบรรพชนด้วย ช่วยเวไนยสัตว์ทั้งมวลด้วย จำได้ไหม (ได้)  ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นเป็นคนที่ไม่คิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป การบำเพ็ญในชาตินี้ เราก็จะมีสิทธิ์ขึ้นไปสู่แดนนิพพานได้ แต่หากว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่มีความเชื่อในตนเอง ความคลางแคลงที่เกิดขึ้นย่อมนำมาซึ่งความสงสัย ความสงสัยไม่จบสิ้นนั้นทำให้เราบำเพ็ญธรรมไม่ได้ เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)  เพราะฉะนั้นมีโอกาสวันนี้ ก็ให้ใช้โอกาสวันนี้เป็นพุทธะให้เต็มที่ มีโอกาสวันพรุ่งนี้ก็ให้ใช้โอกาสวันพรุ่งนี้ให้เต็มที่ เรานั้นไม่สามารถจะมั่นใจว่าตัวเราเองนั้นจะสามารถมีชีวิตอยู่นานเท่าไหร่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่แน่ว่าชื่อของศิษย์นั้นอาจจะเป็นชื่อที่ต้องเสียชีวิตในวันพรุ่งนี้ ใครจะทราบใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นมีโอกาสวันนี้ วันนี้เป็นคนขยัน  มีโอกาสพรุ่งนี้ พรุ่งนี้เป็นคนขยัน มีธรรมะหนึ่งวันให้เราศึกษา ก็ศึกษาหนี่งวัน  มีธรรมะให้เราปฏิบัติหนึ่งวัน ก็ปฏิบัติหนึ่งวัน เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)  อาจารย์พูดอย่างนี้เป็นการเอาเปรียบศิษย์เกินไปไหม (ไม่)  ผลดีต่างๆ ตกอยู่ที่ใคร (ศิษย์)  การที่เราฟื้นฟูจิตใจของเราขึ้นมาได้นั้น จิตของใครที่จะสะอาด (ตัวเราเอง)  เพราะฉะนั้นวันนี้บอกว่าให้เรามาสะบั้นบ่วงแห่งความคลางแคลง มีความสงสัยมากมายนับไม่ถ้วน ถ้าหากว่าเราสามารถตัดห่วงนี้ได้จะเป็นคนที่มีความสุขใจที่สุด ไม่ว่าเรานั้นจะยืนอยู่ตรงไหน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ในสังคมโลกนั้นสอนวิธีการเอาตัวรอด แต่ในสังคมของการบำเพ็ญธรรมนั้น สอนวิธีการเป็นพระพุทธะ ทางโลกและทางธรรมติดตามควบคู่กัน  แต่หากว่าศิษย์นั้นให้ความสำคัญทางด้านธรรมะ  ในที่สุดเมื่อถึงสุดท้ายศิษย์ก็จะตัดทางโลกได้ แต่ถ้าหากศิษย์หนักไปทางโลกเบาในทางธรรม ถามว่ามีคนอีกมากมายที่เขาพยายามบำเพ็ญ แล้วศิษย์ของอาจารย์จะได้รับการคัดเลือกไปจากผลไม้เข่งนั้นไหม  มีผลไม้หนึ่งเข่งมีทั้งดีมีทั้งเสีย ผลไม้เข่งนี้เป็นผลไม้วิเศษ ดีขึ้นได้ทุกวัน เสียลงได้ทุกวัน  ศิษย์ของอาจารย์เป็นผลไม้ที่เสียลงทุกวัน  คนอื่นนั้นเป็นผลไม้ที่ดีขึ้นทุกวัน ถามว่าหากให้ศิษย์เลือกกินผลไม้เข่งนั้น ศิษย์จะเลือกผลไม้ที่ดีหรือผลไม้ที่เสีย (ที่ดี)  เพราะฉะนั้นศิษย์ก็ต้องบำเพ็ญดีๆ  ถ้าหากว่าขอผลัดไปก็จะไม่มีฐานพุทธะให้ศิษย์นั่ง และถ้าหากว่าเกณฑ์ฟ้าเลื่อนไปแล้ว ต้องเวียนว่ายตายเกิดจนเราเองนั้นก็คิดไม่ถึง ชาตินี้ไม่รู้ชาติที่แล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นชาตินี้ที่เรารู้ตัวเราเอง พบโอกาสที่ดีที่สุด ถ้าหากว่ามีความสงสัยมากกว่า ความจริงนั้นก็จะไม่ปรากฎ  การเวียนว่ายตายเกิดถือว่าทุกข์ไหม (ทุกข์)  นึกถึงภาพเมื่อเรากำลังจะจมน้ำทะเล ภาพของการสำลักน้ำ สำลักแล้วสำลักอีก อยากจะพ้นก็ไม่พ้น อยากจะตายก็ตายไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  กลัวตัวเองนั้นจะลำบากถ้าหากจมน้ำลงไป ถ้าหากว่าขึ้นมาก็ไม่มีเรือขึ้นมา เมื่อเราเกิดมาย่อมไม่รู้ตน เมื่อเราแก่ก็มีความทุกข์ทรมานต่อสังขารที่ปวดๆ เมื่อยๆ ใช่ไหม (ใช่)  อันว่าเราเจ็บเราทุกข์ทรมานอยู่แล้ว ถามว่าตายนั้นหนักกว่าเรานั้นจะทุกข์ทรมานกว่าไหม (กว่า)  แล้วถ้าหากว่าเราต้องเวียนไปบรรจบสิ่งนั้นอีก เชื่อว่าศิษย์ของอาจารย์คงจะนึกออกว่าเป็นความทุกข์เท่าไหร่  ตอนนี้แม้ว่าภาวะรอบๆ ข้างของเราทำให้เรานั้นมีความทุกข์ ไม่ราบรื่น มีปัญหามากมาย แต่ท่ามกลางปัญหานั้นศิษย์จะต้องรู้จักตนเองให้ดี เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)  อาจารย์นั้นรักศิษย์ทุกคน เฝ้าแต่ตักเตือน ถามว่าศิษย์วันนี้จากกันไปแล้วไม่เชื่ออาจารย์ มีโอกาสมานั่งเรือสองวัน ต่อไปนี้จะไม่นั่งเรืออีก  หากตัดสินใจไปเช่นนี้ศิษย์ก็คงจะเดินลงทะเลไปเหมือนกับที่อาจารย์ว่า  เพราะฉะนั้นจึงบอกให้ศิษย์รักษาโอกาสที่เป็นกายคนนี้ให้ดี  ตอนนี้ในมือมีเพชรอยู่แล้ว อย่าโยนเพชรทิ้ง แล้วกำดินขึ้นมาแทน หรือว่าจะรักษาเพชรไว้ แล้วทิ้งดินไป
ทุกๆ ครั้งที่ศิษย์ของอาจารย์ได้ประสบความสุขหรือความทุกข์ขอให้นึกถึงเพลงนี้ ทบทวนเพลงนี้ขึ้นมา  ถ้าศิษย์ทำได้ตามคำของอาจารย์ ความทุกข์ก็จะมีน้อยลง ความสุขก็จะไม่มีมากเกินไปหรือน้อยเกินไปจนกระทั่งเราจะไม่ได้พบ  เพลงนี้เป็นพรปีใหม่ของอาจารย์ ก็ถือว่าเป็นพรที่ดีที่สุดสำหรับศิษย์  เข้าใจใช่ไหม (เข้าใจ)
พระโอวาทของการประชุมธรรมครั้งนี้เป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของปีใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จะให้เป็นการบ้านกลับไปคิดด้วย ช่วงที่เราว่างเว้นจากการประชุมธรรมเป็นช่วงที่ดี ศิษย์ต้องใช้เวลาให้มีคุณค่า เพราะฉะนั้นเมื่อได้คำนี้กลับไปแล้วต้องทำให้ได้ด้วย ทำได้แล้วก็ต้องเป็นคนใหม่ ทำได้แล้วศิษย์ของอาจารย์ก็มีความเจริญรุ่งเรือง
การบำเพ็ญนั้นไม่รอคนที่ช้า เวลาก็ไม่รอใคร ศิษย์ของอาจารย์ก็เช่นกัน ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการรักษาสุขภาพ แต่อย่าลืมว่าใจของเรานั้นก็ต้องรักษาเช่นกัน มีกาย ใจจึงอยู่ได้  มีใจ กายจึงอยู่ได้  อย่ามองว่าอาจารย์เป็นผู้วิเศษ รักษาโรคภัย  อยากจะให้โรคภัยทางกายหายไม่สู้ตัวเราเองนั้นหายป่วยทางด้านจิตใจดีกว่า  คนทั่วไปให้ความสำคัญกับการป่วยทางกายใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าจริงๆ แล้วใจที่ป่วยนั้นย่อมหนักกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นโรคที่เรามองไม่เห็น ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่เมื่อย แต่ว่าเต็มไปด้วยพิษใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญคือบำเพ็ญฟื้นฟูใจ ฟื้นฟูให้เรานั้นเป็นปกติดี  ทุกๆ วันนี้ใจของเรายังไม่เป็นปกติดี เมื่อใจป่วยกายก็ป่วยด้วย  เพราะฉะนั้นศิษย์ต้องรักษาให้หายป่วยทั้งกายทั้งใจ
อาจารย์เห็นว่าเราทุกคนนั้นยังเด็กอยู่ บำเพ็ญนั้นเป็นเด็กก็ดี เพราะว่าเด็กนั้นมีจิตใจที่บริสุทธิ์ใส ไม่เคยคิดร้ายต่อผู้ใด ในธรรมะต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ตัวเรานั้นสามารถหาข้อดีออกมาได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่จุดไหน ส่วนไหน  ศิษย์ของอาจารย์นั้นให้หาข้อดีออกมาจากธรรมะต่างๆ  ธรรมะคือธรรมชาติ หากว่าศิษย์เข้าใจจริงๆ แล้วธรรมชาติอยู่ที่ไหน หลักเหตุผลนั้นมีไว้เพื่อที่ให้ความยุติธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าศิษย์คิดอย่างไม่มีเหตุผล ยามนั้นก็ไกลธรรมะ  เพราะว่าธรรมะคือธรรมชาติ คือความเป็นกลาง  ศิษย์ของอาจารย์ต่างหากที่เป็นคนห่างไกลความเป็นกลาง เรานั้นมานั่งฟังธรรมะ ควรจะมีความเข้าใจธรรมะอย่างแท้จริง  การเข้าใจธรรมะอย่างแท้จริงนั้น พิจารณาจากสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลที่สุด อาจารย์นั้นไม่บังคับให้ศิษย์ทำอะไรทั้งสิ้น ไม่บอกให้ศิษย์ต้องทำสิ่งนี้ ไม่ทำสิ่งนี้  ทุกๆ อย่างขึ้นอยู่กับมโนธรรมสำนึกของศิษย์เอง เมื่อศิษย์ทำได้มีความเป็นกลางที่สุด ยามนั้นศิษย์ก็เป็นคนที่มีธรรมะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นจะกลัวอะไรว่าคนอื่นจะบังคับเราให้ทำอะไร ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ในแต่ละคนนั้นจะหาผู้ที่เข้าใจธรรมะจริงๆ นั้นหาได้ยาก  ไม่ใช่ว่าคนๆ นี้บำเพ็ญธรรมะมาก่อนแล้ว เขาก็มีความเข้าใจธรรมะมากกว่าเรา เขาเข้าใจจริงมากกว่าเรา มองตรงนั้นหรือเปล่า  ศิษย์ของอาจารย์ต้องมองสิ่งที่เป็นสัจธรรมมากที่สุด จึงได้ชื่อว่าเป็นคนที่บำเพ็ญที่ดีที่สุด ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ยามอยากจะได้สิ่งใดที่ดีขึ้น มีค่ามากขึ้น ก็ให้ทบทวนสิ่งนั้น แก้ไขสิ่งที่บกพร่องที่อยู่ในสิ่งนั้นๆ เราก็จะได้สิ่งที่ดีขึ้นใช่หรือเปล่า (ใช่)  อาจารย์บอกให้ศิษย์เอาเงินมาเพื่อที่จะบำรุงสิ่งต่างๆ หรือเปล่า (ไม่)  อย่างนี้เท่ากับว่าอาจารย์ก็ไม่ได้บอกให้ศิษย์ทำสิ่งใดที่เกินไปกว่ากำลังของศิษย์เลยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นขอให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมฟังให้ดีๆ  ชั้นเรียนนี้เป็นชั้นเรียนสุดท้ายของปีนี้ เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่ยังไม่ดีก็ทบทวนแล้วก็แก้ไข สิ่งใดที่ดีอยู่แล้วก็ทบทวนแล้วก็ทำให้ดียิ่งขึ้นได้หรือเปล่า (ได้)  สิ่งใดที่รู้อยู่แล้วแต่ยังทำไม่ได้ หรือคิดว่าทำไม่ได้ก็ลองแก้ไขดู  เมื่อศิษย์เป็นคนใหม่แล้ว คนใหม่คนนี้จะเป็นคนช่วยโลกดีหรือเปล่า (ดี)  ตอนนี้ก็ได้รู้แล้วว่าอาจารย์นั้นอยากให้ศิษย์ทบทวนมากที่สุด อยากให้ศิษย์แก้ไขมากที่สุด ไม่ใช่เป็นการบีบบังคับหรือว่าให้ทำอะไรเกินกำลัง แต่ว่าให้รู้ที่จะทบทวนแก้ไข  เมื่อแก้ไขได้ ฟื้นฟูได้ ก็เป็นพุทธะ
ในวันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ศิษย์อยู่ด้วยกันกับอาจารย์ อย่างน้อยอาจารย์อยากบอกศิษย์ว่า การบำเพ็ญนั้นควรบำเพ็ญอย่างไรโดยคร่าวๆ  ที่เหลือนั้นคงจะให้ศิษย์กลับไปศึกษาเอง แน่นอนว่าอาจารย์นั้นไม่สามารถทำให้ศิษย์เข้าใจได้ทุกคน  คนในที่นี้นั้นมีหลายระดับความรู้ ก็ไม่สามารถชี้เฉพาะเจาะจงให้ใครคนใดคนหนึ่งเข้าใจได้  เมื่ออีกคนเข้าใจ อีกคนก็จะไม่เข้าใจ  เพราะฉะนั้น ที่ดีที่สุดสำหรับตนเองก็คือการที่เรากลับไปศึกษาเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่าลืมว่าเรานั้นไม่ได้มาคนเดียว บุญของเรานั้นไม่ใช่เป็นบุญของเราคนเดียว เป็นบุญของบรรพชนด้วย  ศิษย์จะทำอย่างไรให้ดีที่สุด ให้บุญนั้นถึงมือบรรพชนด้วย  อย่ามองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่นๆ แค่มาฟังธรรมะสองวันก็จบไป เรือนั้นมีไว้ให้พาย มีไว้ให้นั่ง และจอดรับศิษย์ทุกคน  ถ้าหากศิษย์เองเป็นคนที่ไม่ใส่ใจ เรือลำนี้แล่นขึ้นไปสู่เบื้องบนโดยว่างเปล่า ไม่มีคนที่จะนั่งไปด้วย ย่อมจะถือว่าเรือลำนั้นเป็นเรือที่ไม่มีใครสนใจ เราต้องดูว่าคนที่เป็นเจ้าของสถานธรรมนั้นได้ทำเต็มที่หรือยัง  เราต้องดูตัวเราซึ่งเป็นบุคลากร ซึ่งเป็นคนใหม่นั้นได้สนใจหรือเปล่า  อย่ามัวรอให้คนอื่นเขามาตาม มาเรียกถึงจะไปสถานธรรม ให้ฝึกความกระตือรือร้นไว้เป็นพื้นฐานให้กับตนเอง  ถ้ามีเวลาน้อยก็สละน้อย ถ้ามีเวลามากก็สละมาก  ความลำบากนั้นเป็นธรรมดาของคน ถ้าไม่เจอความลำบากเลยย่อมไม่รู้ว่าความสบายเป็นอย่างไร คนที่ทำงานมาเหนื่อยทั้งวันนั้น พอได้พักผ่อน ได้ล้มตัวลงนอน ก็ย่อมรู้สึกว่าเป็นสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าศิษย์ทำงานไม่หนักพอ กลางคืนอาจจะนอนไม่หลับ  เพราะฉะนั้นอยากจะได้มรรคผล เราก็จะต้องเหนื่อยพอ กุศลเราก็จะต้องมากพอ  อาจารย์อยากจะถามศิษย์ทุกคนในตอนนี้ว่าเชื่อหรือเปล่าว่าตนเองนั้นสามารถที่จะพ้นขึ้นสู่นิพพานได้ (เชื่อ)  ถ้าเชื่อแล้วขอให้ศิษย์ไปพยายาม ถ้าไม่เชื่อขอให้ศึกษาต่อไป
ในวันนี้คงพบกันเพียงเท่านี้ก่อน อย่าได้แบกความสงสัย ความสับสน ความลังเล ความไม่เข้าใจ มาเป็นสิ่งที่บั่นทอนตัวเราเอง  คนทุกคนก็เป็นคนดีหมด แต่คนดีที่สามารถบรรลุคืนนั้นมีกี่คน  เป็นเทวดาก็สำเร็จได้ เพราะเป็นคนดี  เป็นมนุษย์คนก็ยกย่องว่าเป็นคนดี แต่ตัวเราย่อมรู้ตัวเราเองมากที่สุด คนที่ติดหลงในคำชม คำยกยอ ไม่ฟังคำติเตียนจากใคร  คนๆ นั้นจะยังไม่เจริญ เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)  คนเดินขึ้นไปยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว ให้รู้จักหาทางให้กับตนเอง ถ้าจะมีทั้งทางธรรมและทางโลกอยู่ด้วยกัน ก็ขอให้มีอย่างสมดุล  มีอย่างพอดี เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)
ชั้นนี้เป็นชั้นประชุมธรรมที่สุดท้ายของปีแล้ว ใจหนึ่งอยากจะอวยพรให้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนประสบแต่ความโชคดี แต่อย่างที่อาจารย์ว่าดีมากเกินไปก็เป็นภัยกับศิษย์เอง  มนุษย์เกิดมาย่อมต้องมีโรคภัย  เพราะฉะนั้นความลำบากจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเกิดขึ้นบ้าง อย่ามัวไปท้อกับสิ่งเหล่านั้น  มีสิ่งเหล่านั้นจึงสอนให้รู้คุณค่าของการเป็นคน  ชั้นนี้เป็นชั้นสุดท้าย ขอให้ศิษย์ทุกๆ คนกลับมาสถานธรรม จะมาศึกษาหรือว่าจะมาเพียงแค่ยืนดู  อาจารย์ก็ยังดีใจ ไม่อยากจะเห็นศิษย์ของอาจารย์หายไปต่อหน้าต่อตา  จากวันนี้ไปใครที่คิดว่าตนเองพอแก้ไขอะไรได้ ก็ไปเริ่มแก้ไข




อ่านต่อ...

วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2539

วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2539

2539-12-7 พุทธสถานผู่ถี จ.พิษณุโลก


PDF 2539-12-07-ผู่ถี #21.pdf

#ขั้นตอนการบำเพ็ญ   #ขั้นตอนบำเพ็ญ  #จุดสูงสุดของการบำเพ็ญธรรม

อ่านต่อ...

วันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2539

2539-12-5 พุทธสถานไท่อิน กรุงเทพฯ

วันพฤหัสบดีที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๓๙  พุทธสถานไท่อิน  กรุงเทพฯ
พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวฝอถง
  น้อมดวงใจใฝ่บำเพ็ญเป็นเมธี  น้อมยินดีสามัคคีร่วมศึกษา
น้อมเจริญพระธรรมมีคุณา  น้อมตนพาช่วยตนแลช่วยคน
    เราคือ
  เสียวเสี่ยวฝอถง      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา  ลงสู่พุทธสถานไท่อิน  แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา    ถามเมธีทุกท่านทานอิ่มไหม
  อริยาปุถุชนต่างกันที่ไหน  ล้วนแล้วได้มีกายเป็นมนุษย์
แต่ไฉนปุถุชนไม่พ้นหลุด  เพราะขาดจุดปรมัตถ์อันเป็นทาง
โบราณกาลการแสวงทางหลุดพ้น  ต้องสละที่นอกตนทุกทุกอย่าง
ต้องผนวชเข้าสู่แก่นความว่าง  ไร้ด่างพร้อยในยามใดจึงได้คืน
แต่ปัจจุบันวันเวลาสู่คับขัน  ทุกชีวันลอยคออยู่กลางกระแสคลื่น
ถ้าถลื่นแรงก็ไม่พ้นถูกคลื่นกลืน  จึงควรหยุดใส่ฟืนลงให้ไฟ
แต่จะพ้นทะเลทุกข์ต้องตัดราก  ดั่งตัดอยากต้องตัดที่ใจเป็นใหญ่
โลกคับขันธรรมจะมากู้โลกไว้  ในกาลนี้มารดาให้นาวาธรรม
ต้องก้มกราบวิสุทธิอาจารย์ผู้มีกุญแจ  โองการแท้จึงจะพาท่านพ้นข้าม
จำต้องฝ่าความลำบากดั่งคมหนาม  สัจธรรมงามจะเป็นพาหนะพา
ในยามนี้จึงนับเป็นผู้รวยโอกาส  อย่าให้พลาดต้องลงแรงทั้งแขนขา
ลงแรงใจท่านอย่ามัวประวิงเวลา  กาลข้างหน้าพระศรีอาริย์จะเก็บงาน
ในยุคสามยุคนี้ต้องบำเพ็ญ  ท่านจำเป็นต้องศึกษาให้แตกฉาน
อย่ามัวตรมความทุกข์ในอดีตกาล  หันหน้าท่านเข้าสู่ความเป็นจริง
ร้อยด้ายเข้าเข็มจำต้องใช้สมาธิ  การดำเนินวิถีชีวิตต้องสงบยิ่ง
พิจารณาอย่ามัวหลงหาแย่งชิง  สุดท้ายทิ้งทรัพย์ยศถาไปตามกรรม
        ฮิ ฮิ หยุด


พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวฝอถง

เรากับท่านก็เหมือนๆ กันใช่ไหม  มีร่างกายเหมือนๆ กันใช่ไหม มีแขนมีขาใช่หรือเปล่า  แต่เรากับท่านต่างกันตรงไหน  ทำไมคนข้างหน้าถึงเรียกเราว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์  แล้วทำไมเขาไม่เรียกท่านว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ล่ะ ทั้งๆ ที่ก็เป็นมนุษย์เหมือนกันใช่หรือเปล่า ไม่เหมือนเหรอ  ถามเมธีทุกท่านทานอิ่มไหม (อิ่ม) ใช่เราทำให้ท่านอิ่มหรือ (ขอบคุณแม่ครัว) ขอบคุณแม่ครัวคนเดียวหรือเปล่า (ไม่) ต้องขอกขอบคุณแม่ครัว ขอบคุณทุกๆ คน แล้วก็ขอบคุณตนเองที่เดินไปตัวข้าวมาทานใช่ไหม ทำไมการขอบคุณตนเองทำไม่ได้หรือ พูดยากหรือ  อริยะกับปุถุชนต่างกันที่ไหน (อริยะมีการพูดดี ทำดีและก็คิดดี) แล้วปุถุชนไม่พูดดี ทำดี คิดดีหรือ เรามีกายก็อยากได้ยินใช่ไหม มนุษย์เมื่อมีกายก็อยากได้ยินเสียง อยากมองเห็น อยากสัมผัสได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเกิดไม่มีกายแล้วถึงมีเสียงให้ได้ยินก็ไม่ได้ยินแล้วใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นตอนนี้เรายืมกายเขามาให้ท่านเห็น ท่านก็ต้องตอบให้เขาได้ยินบ้างดีหรือเปล่า (ดี)
(อริยะมีคุณธรรมและรู้ทางหลุดพ้นแล้ว แต่ปุถุชนยังมีโลภ โกรธ หลงอยู่) ทำไมตอนแรกเราถึงบอกว่าท่านกับเราไม่ต่างกัน ปุถุชนกับพุทธะก็ไม่ต่างกัน ต่างเคยเป็นมนุษย์มาก่อน แต่ท่านต่างกันตรงไหน ต่างกันตรงที่ท่านมีจิตหลุดพ้นแล้ว แต่ท่านยังมีจิตที่ยังไม่รู้ทางใช่หรือไม่ เรามาตรงนี้ เดี๋ยวเพียงแป๊บเดียวเราก็สามารถกลับคืนสู่เบื้องบน  แต่ท่านมาบนโลกมาอยู่กี่ปีแล้ว (หกหมื่นกว่าปี) แล้วตอนนี้อายุกี่ขวบ ผ่านไปตั้งหลายขวบแล้วแต่เรายังไม่รู้ว่าความหมายของชีวิตคืออะไรแน่ คือการแสวงหาหรือว่าคือการดิ้นรน บางทีเรายังไม่รู้เลยว่าชีวิตที่เราดำรงอยู่นี้ เป็นชีวิตมีความหมายว่าอะไร เป็นชิวิตที่กำลังจะไปทางไหนใช่หรือเปล่า รู้แต่เพียงว่า ชีวิตนี้ต้องเจอแน่ๆ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย และนอกจากเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีใครเคยอยากหาอย่างอื่นบ้างอีกไหม เรามองเห็นตั้งหลายคน ไม่ได้หาเกิด ไม่ได้หาแก่ ไม่ได้หาเจ็บ ไม่ได้หาตายหรอก หามากกว่าสี่อย่างนี้อีก หาทรัพย์ หาความรัก หาวิชาความรู้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นยกย่องมนุษย์ที่ตรงไหน ยกย่องเขาที่มีทรัพย์สินที่มีเกียรติยศมั่งคั่ง หรือยกย่องเขาที่มีคุณธรรม ความดีงาม (คุณธรรม ความดีงาม) สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องยกย่องคนที่มีคุณงามความดี แล้วตัวท่านยกย่องตัวเขาที่มียศถา มีเงินทอง หรือว่าเรายกย่องเขาที่เขาเป็นคนดี รักเขาที่เป็นคนดี การจะเรียกหาความดีจากโลกนี้ได้ เราจะเรียกหาจากใครก่อนดี ต้องเรียกร้องจากตัวเราเอง โลกนี้มีแต่ชั่วร้ายมีแต่ฆ่ากัน ทำไมไม่มีคนทำความดี คำถามที่หลุดจากปากเราคำแรกคือ ทำไมไม่มีใครทำความดี แต่ไม่มีใครถามเลยว่า ทำไมเราไม่เริ่มทำความดี เพราะทุกคนมักหลุดออกไปง่ายๆ ว่าทำไมคนอื่นไม่ทำความดี ทำไมเขาถึงทำให้เราโกรธใช่หรือเปล่า ความดีเป็นสิ่งที่ง่าย จะทำก็ง่าย แต่บางทีเราก็ไม่เข้าใจว่าเราทำความดีไปเพื่ออะไร เรายังถามตัวเองอีกว่าเราทำความดีไปเพื่ออะไรกัน ทำแล้วยังโดนเขาว่า การทำดีนั้นบางครั้งเราลองนึก ลองมองให้เห็นว่า เมื่อเราทำดี ใจคนที่สงบสุขไร้ทุกข์ วิตกกังวลได้คือใคร (ตัวเราเอง) คือคนที่ทำดีใช่หรือเปล่า ต้องเป็นตัวท่านทำดีด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่)
สุภาษิตโบราณกล่าวไว้ว่า คนที่มีความมั่งคั่งประดับได้แค่ที่อยู่ แต่คนที่ทำความดีประดับได้ที่จิตใจใช่ไหม ฉะนั้นความดีเป็นสิ่งที่มีคนยกย่อง แต่อย่าทำความดีเพราะต้องการคนยกย่องนั้นเป็นการทำความดีที่ (เพื่อเอาหน้า) เป็นการทำดีที่ผิด คนเราทำดีได้ต้องมีความจริงใจต่อกัน คิดอยากทำเพราะว่าทำแล้วเป็นสุขใจ เมื่อนำไปปฏิบัติในบ้านเรา เราก็เหมือนกับร่มโพธิ์อันร่มเย็นของบ้านใช่ไหม แล้วเมื่อเราหมั่นทำดีไปเรื่อยๆ ความดีนั้นก็จะกระจายส่งต่อไปให้ผู้อื่นได้ใช่หรือเปล่า เพราะเมื่อคนอื่นเห็นว่าคนนี้เป็นคนดีนะ ดำเนินชีวิตอย่างนี้ เราเห็นเราก็อยากทำตามใช่ไหม เฉกเช่นใครดีที่มองเห็นได้ชัดเจน วันนี้วันที่เท่าไหร่ (ในหลวง) กษัตริย์ของทุกๆ ท่านใช่ไหม ท่านทำดีท่านเคยหวังไหมว่าทุกท่านต้องรักท่าน ท่านไม่เคยขอร้องใช่ไหม ท่านทำดีเพราะอยากให้ประเทศชาติสันติสงบสุข การปกครองที่ไร้การครอบครองถึงจะเป็นการปกครองที่ดีเยี่ยมใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเราต้องเลียนแบบบุคคลที่เห็นได้ง่าย เห็นได้ชัด เราจะปกครองบ้านอย่างไรให้รู้สึกว่า เราสามารถทำเองได้ สอนโดยไม่ต้องพูด การสอนโดยไม่ต้องพูดนั้น ตัวเราต้องเป็นแกนนำให้เขาเห็นได้ชัดเจนใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้มาศึกษาธรรมะเปรียบเหมือนทัพพีตกอยู่ในหม้อแกงใช่หรือเปล่า วันนี้มาศึกษาธรรมะตัวท่านเหมือนกับทัพพีตกอยู่ในหม้อแกงแล้วท่านจะเป็นทัพพีดีหรือเปล่า แล้วท่านอยากเป็นทัพพีที่ตกอยู่ในหม้อแกงดีไหม (ไม่ดี) บางคนทัพพีลอยได้ด้วยโดนบังคับให้ตกลงมา ก็ตกตุ๊บ ตกลงมาเลย สุภาษิตโบราณกล่าวว่า การเป็นทัพพีที่ตกอยู่ในหม้อแกง ไม่มีคุณค่าเลยใช่ไหม (ไม่มี) มีแต่ให้คนอื่นได้ แต่ตัวเราไม่ได้อะไรเลย เพราะรสของแกงเป็นอย่างไรเรายังไม่รู้เลย  ฉะนั้นวันนี้มาศึกษาธรรมะอย่าปิดกั้นใจตนเอง เปิดให้กว้างๆ แล้วท่านก็จะไม่เป็นทัพพีที่ถูกผลักให้ตกลงมาในหม้อแกง
ในชีวิตของทุกๆ คน ใครๆ ก็อยากจะพบกับหนทางที่สว่างไสวใช่ไหม (ใช่) สิ่งใดที่เป็นความมืดมน ความหมองมัวก็ไม่มีใครอยากเข้าไปอยู่ใช่หรือเปล่า ตอนนี้ขอถามหน่อยว่า ชีวิตของท่านหมองหม่นหรือว่าสว่างไสว (สว่างไสว) ชิวิตท่านจุดหมายปลายทางอยู่ที่ใด บางคนมีชีวิตอยู่ไปวันๆ ทำงาน เรียนหนังสือ แต่ถามว่าจุดหมายปลายทางของเราอยู่ที่ไหน ไม่รู้เหมือนกันใช่ไหม แต่ถ้าเกิดคนที่รู้จักเห็นตนเอง รู้จักกระทำดี รู้จักสิ่งแวดล้อม รู้จักกระทำตนเองให้เหมาะควร รู้จักแก้ไขสิ่งผิด ในยามดำรงชีวิต ในยามดำรงชีวิตเขาก็จะพบหนทางที่สว่างไสวได้ในบั้นปลาย แต่ถ้าเกิดชีวิตของท่านอยู่มาวันๆ หนึ่งก็ดำรงชีวิตผ่านไปวันๆ หนึ่งเท่านั้น จุดหมายปลายทางของท่านก็เป็นเพียงวันๆ หนึ่งเท่านั้นใช่หรือเปล่า (ใช่) จุดหมายปลายทางจะสว่างไสวได้นั้นเราก็ต้องเริ่มต้นกระทำก่อน การจะเริ่มต้นกระทำนั้น เราก็ต้องมีจุดหมายปลายทางด้วยว่าดำรงชีวิต เราจะเพียงแค่มีชีวิตอยู่ไปวันๆ หนึ่ง หรือเราจะดำรงชีวิตเพื่อจะไปบำเพ็ญค้นหา ความหลุดพ้นกลับสู่นิพพาน ลองคิดดูเองนะว่า ระหว่างมีบ้านสองหลังให้ท่านเลือก บ้านหนึ่งแขวนป้ายไว้ว่า บ้านแห่งพุทธะ อีกบ้านแขวนป้ายไว้ว่า บ้านแห่งเศรษฐีที่มั่งคั่งด้วยลาภยศและทรัพย์สิน สองบ้านนี้ให้ท่านเลือกว่าจะเลือกบ้านไหน ตอนนี้บางคนก็ยังลังเลในใจ ถ้าคนคิดยาวๆ ก็จะเลือกอะไร ถ้าคิดยาวๆ เลือกยาวก็น่าเศร้าใจ ถ้าคนคิดยาวๆ แล้วเลือกสั้นแล้วสามารถกลับไปสู่เบื้องบน จะเลือกยาวหรือเลือกสั้น (เลือกสั้น) แล้วบ้านของเศรษฐีที่มีลาภยศ ชื่อเสียง ข้างบนมีหรือเปล่า (ไม่มี) มีแต่บ้านแห่งพุทธะอริยะอยู่ข้างบนใช่หรือเปล่า ฉะนั้นถ้ายอมเลือกบ้านแห่งพุทธะข้างล่างก็สามารถขึ้นไปบ้านแห่งพุทธะข้างบนได้ตอนนี้อยากจะเลือกบ้านไหน (บ้านพุทธะ) แล้วบ้านแห่งพุทธะจะเป็นบ้านแห่งพุทธะที่สมบูรณ์ไหม ใช่ที่มีป้ายชื่อหรือเปล่า ตอนนี้ทุกท่านเหมือนกับมีป้ายชื่อว่าเป็นพุทธะอยู่ทุกๆ คน ทุกๆ จิตใจ ทุกๆ ดวง แต่จะเป็นได้จริงๆ เป็นได้แท้ๆ นั้น ไม่ใช่อยู่ที่เพียงป้ายชื่อ แต่ต้องอยู่ที่การดำรงประพฤติปฏิบัติใช่หรือไม่ การบำเพ็ญธรรมะนั้นไม่ใช่ให้ท่านหลีกหนีจากสังคม ไม่ใช่ให้ท่านเลิกนับถือศาสนาใดๆ ไม่ใช่ให้ท่านกระทำแปลกๆ พิศดาร ไม่ใช่ทั้งนั้นเลย แต่การบำเพ็ญธรรมให้ดำรงอยู่ในชีวิตจะดำรงอยู่อย่างไรให้ค้นพบจิตอันเป็นพุทธะที่อยู่ในตัวทุกๆ ท่าน มีกายเนื้อเหมือนพุทธะ พุทธองค์ “องค์การแท้จึงจะพาท่านพ้นข้าม” พ้นข้ามอะไร เราก็บอกไปแล้วว่าถ้าท่านมีสัจธรรมก็จะพาข้ามพ้นได้ แต่ข้ามพ้นอะไรล่ะ ถ้าท่านยังไม่รู้ว่าอยู่บนโลกนี้เราจะหลุดพ้นอะไรแล้ว อยู่บนโลกนี้จะข้ามพ้นอะไรนั้น จะข้ามได้ไหม จะข้ามพ้นหรือเปล่า ถ้าท่านไม่รู้จะข้ามอะไรแล้วท่านจะทำความดีเพื่อหลุดพ้น เพื่อพ้นอะไร (ความทุกข์) จะพ้นข้ามได้ต้องข้ามพ้นความทุกข์ ข้ามพ้นกิเลส ข้ามพ้นตัณหาและก็ข้ามพ้นอะไรดี (ความชั่ว)
ทุกท่านต่างมีโซ่ตรวนพันธนาการแตกต่างกันออกไป ต่างมีอุปสรรคในการหลุดพ้นจากโลกนี้แตกต่างกันออกไปใช่ไหม จะข้ามพ้นอะไรดี (ความโลภ) (เจ้ากรรมนายเวร) เราจะข้ามพ้นอะไรดีที่เป็นอุปสรรค กิเลสมีทั้งหมดเท่าไหร่ (อาจารย์บรรยายธรรม : ถ้าอุปกิเลสทั้งหมดมีสิบหก ถ้ากิเลสโดยปกติก็มีสิบ)
ถ้าท่านข้ามพ้นความคิด ท่านก็หลุดพ้นได้ใช่หรือเปล่า คิดมาก คิดเป็นทุกข์ คิดฟุ้งซ่าน ถ้าท่านข้ามพ้นได้ ท่านก็หลุดพ้นได้แล้วจริงหรือเปล่า คนเราทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะฟุ้งซ่านฟุ้งเพราะคิดไม่ตก
เพื่อหลบหนีความทุกข์ดีไหม (ดี) อย่าปล่อยให้ตัวเองทุกข์แล้วถึงจะหันหน้าเข้ามาหาองค์พุทธะอย่างนี้ช้าไปไหม (ช้า) เวลาทุกคนรู้รู้เพียงแต่ขณะนี้ ตอนนี้ แต่ต่อไปเราสามารถรู้ไหม (ไม่ได้) อย่ามัวแต่สนุกสนานกับโลกใบนี้ อย่ามัวหลงแสงสีกับโลกใบนี้ อย่ามัวหลงกับความรัก โลภ โกรธ หลง กับตัวตนเรานี้ ถ้ายิ่งหลงมาก เราก็ไม่มีวันได้พบหนทางที่สว่างไสวอีกเลยรู้ไหม (รู้) เรามาบอกแล้ว แต่หากไปเจอเราที่ไหนแล้วจะมาบอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เห็นมาบอกเลยว่าต้องบำเพ็ญธรรมะ ตอนนั้นมาบอกจะทันหรือเปล่า (ทัน) ตอนนั้นท่านจะเจอเราข้างบนหรือเปล่าก็ไม่รู้ อาจจะเจอระหว่างทางสามแพร่งก็ได้ ท่านรู้จักไหม
เมื่อเรารู้จักกระทำความดี รู้จักดำรงชีวิตไปในทางที่สว่างแล้วเราต้องรู้จักอะไรเพิ่มเติมอีกไหม รู้จักพัดโบกชีวิต เมื่อสักครู่เราลืมบอกไปว่า การที่จะข้ามพ้นทะเลทุกข์ได้ การจะข้ามพ้นอุปสรรคต่างๆ นานาได้ สิ่งแรกต้องข้ามพ้นใจตนเองก่อน ถ้าตนเองยังข้ามไม่พ้นแล้วอย่างไรที่เป็นอยู่ภายนอก ท่านก็ไม่มีวันข้ามพ้นใช่หรือเปล่า (ใช่) พบตนเองที่แท้จริงแล้วเอาชนะตนเองให้ได้ดีไหม (ดี) เอาชนะตนนั้นยากกว่าเอาชนะผู้อื่นใช่ไหม (ใช่) แต่เอาชนะตนเองให้ไม่โกรธหนึ่งวันท่านจะมีความสุขถึงห้าสิบวันหรือร้อยวันเลยใช่ไหม (ใช่) นี่คือคำโบราณเขากล่าวไว้ ไม่ใช่เราเป็นคนกำหนด ถ้าเราไม่โกรธผู้อื่นได้วันหนึ่งเราก็ไม่ต้องถูกไฟเผาใจให้ระทมทุกข์ใช่ไหม (ใช่) ทำไมเราถึงบอกว่าต้องรู้จักพัดโบกชีวิต การพัดโบกชีวิตต้องพัดโบกอย่างไร เมื่อเราหลงสิ่งใดมากเกินไป ใจเราก็จะยิ่งพองขึ้นไปไกลขึ้น เพราะไปหลงกับสิ่งนั้น กับคนๆ นั้น ฉะนั้นเราจะพัดโบกอย่างไร ก็พัดโบกใจให้กลับเข้ามา เมื่อจิตใจทุกข์กลุ้มใจ วิตกกังวล หมดเรี่ยวแรงที่จะต่อสู้กับชีวิต ก็กระพือๆ พัดชีวิตให้มีเรี่ยวแรง ต่อสู้อีกครั้งหนึ่ง ง่ายไหม ทำได้ไหม พอล้มทีกว่าจะลุกขึ้นได้อีกวันหนึ่งขอล้มต่ออีกรอบหนึ่ง ฉะนั้นต้องดับที่เหตุ อย่าไปดับที่ผล ไม่ใช่ว่าพอทุกข์แล้ว แล้วค่อยมาคิดดับ อย่างนี้ไม่ทัน ต้องดับที่เหตุสกัดกั้นอารมณ์ สกัดกั้นความอยากก่อน อยากมากเกินไป ตัดทิ้ง โกรธมากเกินไปก็ตัดทิ้ง รักมากไป (ตัดทิ้ง) มีหลายคนไม่ตอบ เพราะตัดไม่ลง ไม่ต้องตัดก็ได้ ให้ค่อยๆ ลดค่อยๆ ปล่อย ค่อยๆ วาง รักเขามากก็ต้องวางให้เขามากๆ ด้วย โกรธเขามากก็ต้องพยายามอย่างไร โกรธแล้วต้องทำอย่างไร (ปล่อยวาง) แล้วทำอย่างไรอีก เมตตาเขา ให้อภัยเขาใช่ไหม (ใช่) เราบอกว่าคนที่เรารักก็เปรียบเหมือนมิตรที่คอยให้กำลังใจ คนที่เราเกลียด คนที่เราไม่ชอบ เปรียบเหมือนอะไร ครู อาจารย์ของเราใช่ไหม ครู อาจารย์ที่สอนชีวิตที่แท้จริงว่าต้องมีทุกข์ ต้องมีสุข ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นเมื่อเขาไม่ชอบเรา เมื่อเขาเกลียดเรา เราก็สามารถทำตน ให้เขาเห็นสิ่งที่ดี แล้วก็สามารถทำตนเองให้เขาน้อมจิตน้อมใจ หันมามองว่า เราเป็นคนดีให้ได้ พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เคยรังเกียจไหมว่าคนนี้ไม่ดี ไม่สั่งสอน คนนี้ขี้โมโหไม่อยากสอน เป็นอย่างนี้ไหม (ไม่เป็น) ฉะนั้นกระทำดีแล้วอย่าเป็นคนเลือกที่รักมักที่ชัง กระทำดีแล้วอย่าเป็นคนที่ขี้โมโห เมื่อทำดีแล้วอย่าเป็นคนดีแต่เพียงให้บุญให้ทานแต่การกระทำดีนั้นต้องพร้อมสมบูรณ์ ทั้งกาย วาจา ใจ และการกระทำใช่ไหม
ดำรงชีวิตห้อยอะไรไว้มากก็ไม่ดี แบกหนักมากก็หนักมากใช่ไหม ชีวิตนี้มีกายกับจิตใจก็พอแล้ว อย่าแบกอะไรให้มันหนักจิตใจนัก เป็นเหมือนลมพัดที่พัดผ่านไปเย็นดีหรือเปล่า พัดไปหาใครคนนั้นก็มีแต่ความสงบสุข ไม่ใช่พัดแล้วเขากระเด็นไปเลย อย่าเป็นลมที่พัดแรงๆ
สุดท้ายหมดชีวิตแล้ว ถึงแม้จะมากทรัพย์สิน มากมีเงินทอง มากมีความอยาก สุดท้ายเราก็ต้องไปตามกรรมใช่ไหม (ใช่) อย่าให้กาลเวลาเปลี่ยนแปลงจิตใจของตัวเราดีหรือเปล่า (ดี) ความมั่นคงขอให้มีอยู่ ทำอะไรด้วยความมั่นคงในการที่จะคิด ปฏิบัติตน  ความเปลี่ยนแปลงของจิตใจตอนนี้ก็จะปรากฎขึ้น ตอนนี้คิดที่อยากจะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็ต้องเร่งมือ ลงแรงกระหน่ำให้เต็มที่ ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะคนที่มีชีวิตกระทำดีแล้ว เมื่อเจอทุกข์หรืออุปสรรคก็ไม่มาเสียใจภายหลังใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นอย่าให้ชีวิตของตนเองหมดไปกับคำว่าสายไปเสียแล้วดีไหม (ดี) ตอนนี้ยังมีชีวิตยังมีภาระยังมีกำลัง ยังมีวิชาความรู้ หันหน้าไปหาสิ่งที่ดี หันหน้าไปสู่ความสว่างดีหรือเปล่า (ดี)
เขาบอกว่าไม่ว่าทรัพย์สิน ยศถาหรือแม้นแต่ชีวิตเรา สักวันหนึ่งก็มีวันที่จะหมดสิ้นไป สักวันหนึ่งก็ต้องมีวันหมด ทรัพย์สินเมื่อมีมากเกินไปแล้วก็ต้องมีวันหมดสิ้น เมื่อได้เกียรติได้ยศถาสักวันหนึ่งก็ต้องมีวันทิ้งสิ่งนั้นไปใช่ไหม (ใช่) เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เราก็ต้องรู้จักคำว่าพอ รู้จักละ รู้จักลด ชีวิตที่มันเกินเลย ชีวิตที่มันขาดหายไป หาสิ่งที่ดีเติมจิตใจของตนเองนี้ให้สมบูรณ์กับคำว่า “พุทธะ” ให้สมบูรณ์กับคำว่า “พุทธะคู่บำเพ็ญ” ดีไหม (ดี) แล้วบ้านพุทธะหลังนี้ก็จะเปิดอ้าน้อมรับทุกท่านดีไหม (ดี) อยู่บ้านพุทธะบนโลกนี้ได้ ท่านจึงสามารถกลับคืนสู่บ้านพุทธะบนแดนฟ้าได้ เข้าใจไหม (เข้าใจ) ถ้าใครยังฟังไม่เข้าใจวันนี้มาศึกษาพรุ่งนี้หรือมะรืนมีโอกาสก็หมั่นมาศึกษาเพิ่มเติม การบำเพ็ญถ้าท่านบำเพ็ญเอง ท่านก็ได้รับเอง การศึกษาท่านจะกระจ่างได้ก็อยู่ที่การค้นคว้าศึกษาลงมือปฏิบัติกระทำอย่างจริงจังดีหรือเปล่า (ดี)
วันนี้มาก็เพียงสั้นๆ เล็กๆ น้อยๆ มาคุยให้ท่านรู้ ให้กำลังใจตัวเอง อย่าลืมพัดกระพือจิตใจ บำเพ็ญไปเรื่อยๆ ดีไหม กลับไปเจอกันข้างบนดีหรือเปล่า (ดี) เรารอทุกท่านอยู่ข้างบนนะ กระทำให้ได้ความดี อย่าเห็นว่าเรามาหลอกลวงท่าน เราหวังดีกลับท่าน อยากไปพบท่านข้างบนจริงๆ ข้างบนมีความสุขมาก


อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539

วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539

2539-11-15 พุทธสถานอิ๋งเซิ่ง จ.อุตรดิตถ์


PDF 2539-11-15-อิ๋งเซิ่ง #19.pdf

#กตัญญู  #สามโลก  #สามภพ  #ไตรภูมิ  #มนุษยธรรม  #ไตรรัตน์  

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539

วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2539

2539-10-26 พุทธสถาน ไท่อิน ดาวคะนอง

วันเสาร์ที่  ๒๖  ตุลาคม  พุทธศักราช  ๒๕๓๙     พุทธสถาน ไท่อิน  ดาวคะนอง
                สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
พุทธะนำบรรยากาศธรรมลงสู่โลก     อริยะโบกธงนำขบวนฉลอง
ทั่วสถานล้วนญาณเดิมเราพี่น้อง        สากลโลกโปรดประคองถ้วนคืนแดน
                เราทั้งหลาย
                พุทธะอริยะทั่วสากลโลก   นำขบวนเสด็จแห่ง
พระมารดา           ลงสู่สถาน  กราบ
มารดา  โดยพร้อมเพรียงแล้ว            ยืนแยกเรียงรายมิต่อความ
                ฮา  ฮา  หยุด
หมื่นความคิดมากมายความเคยชิน   พระพุทธะในกายสิ้นดั่งตักษัย
โพธิจิตรุดรู้เร่งแก้ไว              สัตว์น้อยใหญ่ล้วนญาณเดียวกับมารดา
                เราทั้งหลาย
                หมื่นพระโพธิสัตว์            นำขบวนเสด็จ
องค์มารดา        ลงสู่โลก  พร้อมก้มกราบ
มารดาแล้ว         กำชับท่านอย่าเอ็ดอึง
                ฮา  ฮา  หยุด


ท้าวเทพพรหมองค์อินทร์ผู้ยิ่งใหญ่      จตุทิศบริบาลในคนดียิ่ง
โลกทุกวันเสื่อมทรามอย่างแท้จริง       บาลคนจริงกำราบคนผู้เลวทราม
                เราทั้งหลาย
            ท้าวจตุโลกบาล   นำดาวหมู่ทั้งยี่สิบแปด พร้อมเทพฝ่ายอสนี วายุ พยัคฆา
            นาคา  เป็นขบวนหน้า
องค์อนุตตรธรรมมารดา  ลงสู่แดนโลกีย์  กราบเบื้องพระแท่น
องค์มารดาแล้ว   ยืนแยกสองฝั่งมิต่อความ
                ฮวา  ฮวา  หยุด
แปดคุณธรรมเลือนหายไปกับตา       วัชรสถานกลับถูกคนเฝ้าเหยียดหยาม
ญาณในตนไม่ใส่ใจคอยมองข้าม         เทพหมู่เราคอยปรามอย่าหลงตน
                เราทั้งหลาย
                แปดวัชรญาณเทพ          นำขบวนเสด็จ
องค์อนุตตรธรรมมารดา  สู่แดนบูรพา  ก้มกราบ
องค์มารดา        ขอเมธีตั้งใจจริง
                ฮวา  ฮวา  หยุด


พระพฤฒาชราวัยหลังงอคด               ชันษาลดลงมิได้เตือนหลานหลาน
แห่งตัวข้าอย่าจมปลักอดีตกาล          ทักษิณาลัย         เร่งหลานหลานศรัทธาจริง
                เราทั้งหลาย
                พระพฤฒาชันษาแห่งทักษิณาลัย พร้อมนำ แปดเซียนทั้งสามชั้นมารอกราบ
องค์มารดา        เราพาแปดเซียนกราบ
องค์มารดาแล้ว   ถามหลานหลานเหนื่อยหรือเปล่า
                ฮา  ฮา  หยุด
จอมเทพไทแม้เป็นใหญ่ในชั้นฟ้า         คนเทพผียุคสามมาภัยกวาดสิ้น
วินัยมีท่านศึกษาอย่าดูหมิ่น วินัยธรข้ากำราบผู้ไม่เกรง
                เราทั้งหลาย
                จอมเทพวินัยธร กวัน จัง หลวี่ เอวี้ย           ลงเตรียมรับ
องค์มารดา        ลงสู่โลก  กราบ
มารดาย้ำทุกท่านรักษากฎระเบียบจริง
ลงควบคุมอย่าวุ่นวายไร้สาระรับองค์พระด้วยศรัทธาอย่าลุ่มหลง
ทั้งจิตใจอย่าคลอนแคลนให้มั่นคงจะยืนยงอมตะได้เพียงบำเพ็ญ
มิต่อความ
                ฮวา  ฮวา  หยุด


องค์ประธานคุมสอบไปทั่วเหนือใต้   คุมผู้ได้ตั้งใจบำเพ็ญหนา
สอบถ้าผ่านเลื่อนขั้นสู่อริยา                สามภูมิมาช่วยกันโปรดขึ้นนาวา
                เราคือ
                องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ         นำเสด็จ
องค์มารดา        ลงสู่บูรพทิศ  เคียมคัล
องค์มารดา        ถามน้องพี่เกษมฤๅ
ในกาลนี้เภทภัยลงทำลายใครเป็นหยกมิมอดไปกับไฟผลาญ
ลงแรงจริงคือผู้มองเห็นไกลการณ์ปัจจุบันเริ่มวุ่นวายให้มั่นคง
                ฮวา  ฮวา  หยุด
ฝึกบำเพ็ญอย่าเกี่ยงงอนการทำงาน  ร่วมมือกันย่อมลุล่วงได้เป็นผล
จิตสวยงามแฝงอยู่ในกายคน               ดีมีจนอย่าแยกแบ่งให้ชุลมุน
                เราคือ
                อู้ฉันศิษย์พี่        รับเสด็จ
องค์มารดา        ลงสู่โลก  ก้มกราบ
องค์มารดา        แล้วศิษย์พี่มิต่อความ
                ฮา  ฮา  หยุด


ไม่ลงแรงมีหรือได้มรรคผล    ขาดอดทนแล้วจะทำไฉนหนา
คนมีแรงเร่งช่วยแรงอย่าบ่นว่า             มีกำลังมาช่วยฟ้าอย่าลังเล
                เราคือ
                เม่าเหมิ่งศิษย์พี่   นำเสด็จ
องค์มารดา        สู่โลกีย์  ก้มกราบ
องค์มารดา        แล้วศิษย์พี่มิต่อความ
                ฮวา  ฮวา  หยุด
พระพุทธคุณดั่งอมฤตชะโลมแดน       โพธิแม้นได้ตื่นแจ้งอย่านอนนิ่ง
สัตว์ทั่วฟ้าล้วนกรรมหนักจึงพลิกสิ่ง   อนุศาสน์อย่าได้ทิ้งเหล่าเวไนย
                เราคือ
                พระโพธิสัตว์อนุศาสน์      นำเสด็จ
องค์อนุตตรธรรมมารดา  ลงสู่โลก  น้อมกราบ
องค์มารดา        ถามน้องพี่เกษมฤๅ
                ฮา  ฮา  หยุด


มิเคยนึกเสียใจในภายหลัง   ย้อนความยังยากบรรยายเป็นคำหนา
น้องพี่เรายุคขาวนี้จริงจังนา พลาดเวลาต้องเสียใจจนวายปราณ
                เราทั้งหลาย
                เต๋อฮว่าเซียนหมู่  เต๋อฮว่าเจินจวิน  หลี่เอวี๋ยนเซียนจวิน       ลงพร้อมเสด็จแห่ง
มารดาขอน้องพี่ตั้งใจ           กราบ
องค์มารดา        อย่าวอกแวกไปห่างไกล
                ฮา  ฮา  หยุด
ด้วยมหากรุณาธิคุณแห่งเบื้องบน       ฟื้นญาณตนโดยเร็วไวอย่าเกียจคร้าน
ด้วยเวลาเร่งรัดดังเหตุการณ์               เร่งคืนบ้านสุขใจปารมิตา
                เราทั้งหลาย
                ไป๋สุ่ยเหล่าเหยริน            นำพานักธรรมผู้สำเร็จไปด้วยกัน        ตามเสด็จ
องค์มารดา        จากนิพพานสู่แดนโลก  กราบ
มารดาถามเมธีทุกท่านเป็นอย่างไร
                ฮา  ฮา  หยุด



มิรู้ถึงพิษสงแห่งความทุกข์ยาก            แม้ทุกข์มากในโลกมิอาจเปรียบได้
หวังวอนคนทุกคนได้กลับใจ รู้ว่าผิดเร่งแก้ไขอย่าทำเมิน
                เราคือ
                กษิติครรภ์โพธิสัตว์          รับเสด็จ
องค์มารดา        พร้อมด้วยพญายมทั้งสิบขุม              ร่วมกราบ
องค์มารดา        ขอเมธีสงบใจมิต่อความ
                ฮา  ฮา  หยุด
แม้ทุกข์ยากเท่าไรไม่บ่นว่า   ขอศิษยาคืนกลับสู่แดนฟ้า
เจ้าทำผิดอาจารย์ช่วยแบกจงตามมา อย่าอ่อนล้าจากสาเหตุภายนอกตน
                เราคือ
                จงฮว๋าเซิ่งหมู่      มารับเสด็จ
องค์มารดาผู้เมตตา             กราบ
มารดาถามศิษย์รักสุขหรือไร  อาจารย์นี้มิต่อความ
                ฮา  ฮา  หยุด


เมื่อตั้งใจบำเพ็ญแล้วเสมอต้นปลาย  อย่าให้ร้ายกันเองจะขื่นขม
ศิษย์เอ๋ยศิษย์อย่ามัวชอบคำชม          ทุกข์ระทมจะเกิดแก่ศิษย์รักเอง
                เราคือ
                อรหันต์จี้กง        นำเสด็จ
องค์มารดา        ลงสู่โลก  กราบ
มารดาถามศิษย์ข้าเหนื่อยหรือไม่กัน
                ฮา  ฮา  หยุด
ทะเลทุกข์คลื่นน้ำตาสะบัดซัด              เดินทางลัดไยชอบแวะให้คลาดหลง
หรือท่านไม่มั่นใจทางสายตรง              มัวพะวงดังคนจับปลาสองมือ
                เราทั้งหลาย
                เมี่ยวซั่นกวนอิน พร้อมด้วย ผู่เสียนผูซ่า เหวินซูผูซ่า   ลงรับเสด็จ
องค์มารดาผู้เมตตา             กราบพระแท่น
องค์มารดา        ถามเมธีสราญฤๅ
                ฮา  ฮา  หยุด



บัลลังก์บัวเก้าชั้น ณ แดนสรวง            ต้องไร้ห่วงพันธนาการดั่งคนเขลา
ขอเมธีอย่าเพิ่งเร่งดูเบา        ก้าวเท้ายาวตามรอยเราอริยา
                เราทั้งหลาย
                ศาสดาทั้งห้า      ลงรับเสด็จ
องค์มารดาแห่งดวงญาณ   กราบ
มารดาขอเมธีสงบใจ
เอกธรรมไร้รูปลักษณ์แต่ก่อนมา         คนค้นหาปรุงแต่งเสียยิ่งใหญ่
ประตูญาณทางตรงแฝงในกายหามิได้จากภายนอกความวุ่นวาย
                ฮา  ฮา  หยุด
กาลเคลื่อนคล้อยธรรมจักรได้พลิกหมุน             เจริญคุณพระถุงย่ามสู่โลกหนา
ยุคแดงผ่านยุคขาวใกล้เวลา                จงตั้งหน้าบำเพ็ญดังมังกรบิน
                เราคือ
                จินกงจู่ซือ          นำเสด็จ
องค์มารดา        ลงสู่โลก  กราบ
มารดาถามศิษย์หลานทุกท่านเกษมฤๅ
                เรามิขอกล่าวความให้ยาวเกิน
                ฮา  ฮา  หยุด


จากปัจฉิมสู่บูรพามารดาลง                สู่โลกผงธุลีกราดดาษดื่นหนา
ท่านเมธีนับเป็นผู้มากวาสนา               ภูมิธรรมปัญญาอย่าปล่อยเลย
                เราทั้งสอง
                อวิ๋นเป่า เอ้อร์ถง ติดตาม
องค์มารดาผู้เมตตา             ลงสู่โลก  กราบ
องค์มารดา        ขอทุกท่านตั้งใจยิ่งกว่าครั้งใด  ยืนเป็นแนวให้งดงามรอมารดา
                ลงกล่าวความ
                ฮิ  ฮิ  หยุด
เห็นลูกรักอยู่มากมายในสถาน            นาวาอันผ่องพรรณกระจ่างศรี
โอ้ลูกแม่ล้วนต่างเป็นคนดี    เรียกนทีให้รำลึกก่อนเป็นธาร
สงบใจอันใสเย็นฟังคำแม่     จิตแน่วแน่รวมกับแม่จะดีไหม
อย่าใช้หูแห่งกายปลอมฟังผ่านไป       ให้ใช้ใจดวงเดียวเท่านั้นพอ
                เรา
อนุตตรธรรมมารดา        นำเหล่าพุทธะลงสู่โลกบูรพา
                ถามลูกยาเป็นอย่างไรได้พบเจอ
ทุกทุกคนคงยืนกันจนเมื่อยแล้วให้ลูกแก้วพักสักครู่ค่อยต่อความ
ลูกสามคุณกราบแม่พักผ่อนเทอญ
                เฮ้อ  หยุด
                ถวิลหาลูกน้อยใจแทบขาด   ถูกอำนาจกิเลสพาจนญาณหมอง
แม้นแม่นี้อยากที่จะไปปกป้อง             แต่ลูกลองใจยินยอมยากช่วยทัน
ในความหลังครั้งยังอยู่สุทธาสถาน     เป็นดั่งบ้านไร้ทุกข์ไร้โศกศัลย์
เรียกลูกลงพัฒนาโลกกลับหลงควัน   ทุกทุกวันมีแต่ตกต่ำลง
ใจเป็นแม่กระไรหรือปล่อยลูกหลง      บัญชาส่งพุทธะช่วยเจ้านั้น
มีกี่คนที่จะไม่ดูหมิ่นกัน          ยังยืนยันจะยอมหลงอีกต่อไป
เมื่อใจลูกตกต่ำนรกขยาย    กว้างออกไปสุดประมาณกรรมเจ้านั้น
ขอลูกแม่เร่งตื่นฟื้นชีวัน         กรรมอนันต์แม่นิรโทษให้ผู้บำเพ็ญ
หากบำเพ็ญจริงจังในยุคนี้    มรรคผลมีสามพันหกสี่หมื่นแปด
ขอลูกรักตั้งใจเป็นประการแรก            แม่นี้ยอมประกันเจ้าคืนบ้านเรา
แค่เหยียบเท้าเจ็บถึงใจใครก็รู้              แม่เฝ้าดูก็เช่นกันนะลูกเอ๋ย
เจ้าลุ่มหลงเกียจคร้านจนชินเคย          เจ้าละเลยโดยไม่รู้ภัยใกล้ตา
แปดทดสอบเป็นไปตามชะตาตน        อย่าท้อบ่นให้ท้อแท้นะลูกรัก
ในยามคืนวันไหนได้ประจักษ์               เป็นเสาหลักแม่มอบบัวเป็นสีทอง
วงการธรรมยิ่งใหญ่ไร้อวี่หลิน             ลูกจะกินความขมที่ป่วนท้อง
จงอดทนมารผยองปัญญาทอง           จะคุ้มครองเจ้าลูกน้อยให้พ้นภัย
แม้คนไปโองการฟ้ายังคงอยู่                ให้เจ้ารู้คุณปัญญานำมาใช้
หูจงหนักอย่าได้คิดแปรใจ    ไม่เช่นนั้นต้องรอไปอีกแสนนาน
บ้างตั้งตนเป็นอาจารย์กลับชาติมา     บ้างตั้งตนพระศรีอาริย์เก็บกาลใหญ่
ใช้สัจธรรมพิจารณาค่อยค่อยไป         จะเชื่อใครพินิจตรองมองให้ดี
กาลสืบทอดรุ่นสิบแปดได้ยุติ               ใครอุตริแอบอ้างรับกรรมหนัก
แล้วสักวันลูกรักได้ประจักษ์ ให้ลูกรักศรัทธาตามอาวุโสไป
สายทองส่งสู่โลกเพียงหนึ่งเส้น            มาเลือกเฟ้นพุทธบุตรกลับแดนสรวง
ขอลูกรู้จักปลงอย่าติดห่วง   ก่อนกรรมทวงให้เร่งใช้อย่ารอรี
ใช้นามแห่งธรรมาสร้างชื่อเสียง           ใช้หน้าที่ลำเลียงความสุขสม
ใช้ลาภยศพยุงธรรมยากชื่นชม             จักระทมโดยยากแก้ถ่ายถอนทัน
เมื่อรู้ว่าตนผิดให้รีบแก้          อย่าแน่วแน่ต่อไปตาฟ้าเห็น
เมื่อทำผิดมิแก้ผิดจะยากเย็น               จะลำเค็ญเมื่อสิ้นกายตัวนี้ไป
วงการธรรมภาคเหนือลูกแห่งแม่       คุกเข่ามาเชิญมานะลูกเอ๋ย
ทุกทุกคนมิเว้นคนใดเลย       ลูกรักเอยเจรจาดีสามัคคีกัน
อภัยกันอย่าปล่อยเรื่องให้บานปลาย จนสุดท้ายอับจนใจจึงเฉลย
ลูกเอ๋ยลูกนิสัยใดเรียกความชินเคย    อย่าละเลยขจัดทิ้งในเร็ววัน
ผู้นำมีเมตตาปรานีจิต           ผู้น้อยติดตามไปก็ไม่หวั่น
มนุษยธรรมน้ำใจให้ครบครัน                อย่าแบ่งกันด้วยเหตุแห่งอวิชชา  ทราบไหม
วงการธรรมภาคใต้ให้เร่งรุด                ขอจงหยุดคำนินทาอีกว่าร้าย
คนหนึ่งคนย่อมทำร้ายไม่เลือกได้        ย่อมสามารถส่งเสริมไปถึงแดนเดิม
จิตเมตตาใช่แสดงเพียงฉาบฉวย         แม้สำรวยภูมิฐานเพียงเปลือกหนา
การขัดเกลาแท้จริงจึงมีค่า    อย่าปล่อยผ่านเลยตาเพียงง่ายดาย
วงการธรรมตะวันออกแม่เชิญลูก      จงไปปลูกรากฐานธรรมมั่นคงหนา
ให้ไปแก้สิ่งที่ผิดแต่ก่อนมา   ให้พยายามต่อหน้าลับหลังเทียม
เมื่อวงการเล็กเล็กเจ้าปรองดอง          เมื่อใหญ่โตต่างตำแหน่งครองมีขวากหนาม
ขอลูกแม่เจ้าจงเชื่อฟังคำ      ทุกทุกยามระวังให้จงดี
ฝึกอ่อนน้อมฝึกกล้าหาญอีกเมตตา    ฝึกจริยาเป็นหลักอย่าหน่ายหนี
สายธาราแท้จริงไม่คอยนาที                ลูกฤดีต้องเข้มแข็งแลอาจอง
วงการธรรมตะวันตกแม่เชิญลูก         ให้ไปผูกบุญสัมพันธ์ให้กว้างขวาง
ให้รู้ผ่อนรู้หนักบุกเบิกทาง    เวลาว่างให้ศึกษาซึ่งธรรมา
อย่าปล่อยให้ร่างกายต้องเสื่อมทรุด   เพราะลูกรุดไปช่วยคนพ้นเวียนว่าย
แม่ระทมหากลูกป่วยเจียนตาย            แต่ไม่ได้ฐานบัวเอาไว้ครอง
อุทิศกายใจพลีวีรชน             ไม่แบ่งยากดีมีจนนะลูกรัก
ไต่ภูผายิ่งสูงยิ่งยากหนัก      ให้ลูกรักรู้จักตนอย่างแท้จริง
ลูกกราบแม่แล้วเชิญยืนที่เดิม
ลูกเอ๋ยลูกต่างก็แม่เป็นญาณเดียว      ไยลูกเหลียวเลือกที่รักมักที่ชัง
ลูกเอ๋ยลูกสำนึกตนบนระวัง อย่าพลาดพลั้งดั่งที่แล้วเคยเป็นมา
เห็นลูกแม่น้ำตาร่วงเพราะเหตุใด         ใครหนอใครเวียนว่ายวนหนักหนา
ขอลูกอย่าทำให้แม่ต้องผวา ลูกรักมาสู่อ้อมอกดีไหมเอย
ลูกฝันร้ายแล้วตื่นขึ้นเมื่อยามดึก         ให้ลูกตรึกอย่าเสียเวลาไปเฉยเฉย
เมื่อลูกแม่ตื่นแล้วอย่าหลับอีกเลย      โอ้ลูกเอ๋ยแม่กำสรวลน้ำตาริน
แม่รู้สึกอย่างไรเมื่อลูกเวียนว่าย          แม่รู้สึกอย่างไรเมื่อลูกไม่เข้าใจแม่นี้
แม่รู้สึกอย่างไรเมื่อสั่งดรี      ให้ออกเรือครานี้คงจบกัน
ลองนำใจความเป็นแม่มาลองคิด        แม้ลูกผิดแม่มิเคยจะโมหันธ์
ขอเพียงลูกเร่งตื่นฟื้นให้ทัน   ฝ่าปวงควันงานหลงฮว๋ามีลูกรวม
ในเฉียบพลันเห็นกิเลสวิ่งสู่จิต              ขุ่นหมองติดลูกยังคงหนักแน่นไหม
หรือว่าปล่อยตามน้ำจมห่างไกล         ลูกมิไยดีแม่หรืออย่างไรกัน
เมื่อห่างไกลพุทธสถานดังห่างแม่        ลูกจะแปรจิตใจไปอีกไหม
ลูกจะเหมือนคนหลับใหลนานเท่าใด   ลูกจะใส่ใจคำแม่บ้างไหมเอย
ตอบแม่นี้เป็นประจักษ์สักหน่อยนิด    ว่าลูกคิดบำเพ็ญถึงเบื้องฟ้า
ว่าลูกแม่จะคงเพียรอุตส่าห์  ว่าลูกรักจักศรัทธาจิตหนึ่งเดียว
ลูกหน้าที่ผู้ถ่ายทอดแทนเบื้องฟ้า       ลูกตั้งใจฟังวาจาแห่งแม่นี้
พ่อเมตตาลูกกตัญญูคำนี้มี  ลูกหน้าที่ยิ่งใหญ่นำประชา
ต้องมีความเมตตานิจศีล      ดีมากน้อยล้วนไรริ้นคำอิจฉา
ความเจริญเกิดขึ้นใช้ปัญญา               อย่ามัวหาสิ่งมายาแห่งบุคลากร
คำนี้ให้พิจารณาให้ถ้วนถี่     อย่าได้พลีเพราะใครประจบคำสอพลอ
จงกระทำตามกำลังอย่ารีรอ                มิย่นย่อคืนฐานเดิมจะยังงาม
เป็นผู้บรรยายธรรมแทนฟ้าต้องฝึกฝน              ลำบากทนอย่ามัวหลงไม่ศึกษา
วิทยาล้วนจากการเรียนรู้นา                วันข้างหน้างานใหญ่ยิ่งยังมีมา
ต้องเรียนรู้เป็นผู้รู้สารพัด      ต้องรู้จัดงานธรรมโลกให้ชัดหนา
เป็นปากเสียงแทนแม่องค์มารดา        ให้ถ้วนหน้าเจ้าจงได้ความร่มเย็น
ผู้ดูแลนาวาเรือใหญ่น้อย     เจ้านี้ลอยเรืออยู่กลางทะเลน้ำ
แม้หนาวเย็นหรือว่าจะมืดค่ำ               จงครองตนนึกย้ำความอดทน
ตำแหน่งฟ้าจินเซียนผู้ตั้งใจ ส่งเสริมให้ถ้วนหน้าอย่าลำเอียง
เป็นหน้าตาเบื้องบนยากหลีกเลี่ยง     ใครมาพบขอเต็มใจส่งเสริมเทอญ
ใจจะขาดเมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ลูกแม่มีฟังเข้าใจหรือไม่หนา
ขอลูกรักบำเพ็ญจริงจังนา    ขอลูกยาสำเร็จกันโดยเร็ววัน
ใครที่ยืนไม่ไหวให้ถอยออก  แม่ยังบอกอีกเล็กน้อยตั้งใจหนา
หกหมื่นปีเวียนว่ายไปใช่น้อยนา          กระดูกตั้งเท่าภูผาตระหง่านยืน
ขอลูกรักอย่าประมาทการเดินทาง      ทุกเยื้องย่างอย่ากลัวซึ่งขวากหนาม
ขอให้ลูกไปเฝ้าพยายาม       กรรมติดตามจักมีผู้คอยช่วยเอย
ต้องรู้จักลูกแม่มีฟังเข้าใจหรือไม่หนา
ต้องรู้จักแสดงศรัทธาจากใจจริง          หมั่นละทิ้งกิเลสนะลูกเอ๋ย
คำของแม่เจ้าอย่าปล่อยผ่านเลย        โอ้ลูกเอ๋ยดั่งกมลแก้วจิตใจ
ลูกบางคนยังใหม่ไม่เข้าใจ    โอ้ตรัยรัตน์จำได้ไหมลูกแม่เอ๋ย
จำไม่ได้ยากคืนฟ้านะลูกเอย               แม่เฉลยคือสัญญาแม่ลูกกัน
ปณิธานสิบเป็นพื้นฐานครั้งเจอกัน      ลูกปฏิบัติเป็นแม่นมั่นหรือไม่หนา
ตามรอยแห่งอาวุโสคนเบื้องหน้า        ใช่งมงายเลอะเลือนบ้าอย่างเข้าใจ
ชีวิตคนสั้นนักเกิดแก่เจ็บ      ตายแล้วจากร่างกายตนนี้หนา
แปดความทุกข์ต้องผ่านโชคชะตา       แม้ยศถาสูงศักดิ์ยากหยุดเอย
ในวันนี้ลูกของแม่สร้างกุศล  เหนื่อยยากจนกระเทือนถึงสังขาร
เวลานี้การทดสอบเข้าโรมรัน               ก่อนคืนบ้านละมลทินให้จงดี
บางคนนั้นติดเสพติดจนยากแก้           เหล้าบุหรี่มึนเมาญาณแน่ลุ่มหลง
จงลดละแล้วเลิกผงาดองค์  อริยาคงกลับมาใกล้เพียงนัยน์ตา
ลูกเอ๋ยลูกว่าก็แล้วปลอบก็แล้ว           โอ้ลูกแก้วชลเนตรกลายโลหิตหนา
ขอลูกรักกลับไปเคียงข้างมารดา         ขอลูกยาใส่ใจคำไม่ทำเมิน
เมื่อโลกวุ่นใช้ปัญญาเข้ากำราบ          ห่วงลูกอาจถูกอวิชชาพาให้หลง
ตั้งต้นใหม่หากพลาดพลั้งหรือล้มลง    แม่ยังคงคอยลูกตลอดกาล
ในวันนี้พบหน้าลูกยังหวาดหวั่น           ให้เท่าทันหมั่นรำลึกคืนกลับหนา
แล้วแม่นี้สุดที่จะเอ่ยคำลา    โอ้ลูกยารักษาตนรักษาญาณ
ยากตัดใจลาจากลูกรักแม่    ให้หมั่นแก้เจริญปณิธานสร้างกุศล
แล้วแม่นี้คอยลูกอยู่เบื้องบน                หวังสักคนคืนกลับพาพร้อมกัน
แล้วแม่นั้นพาพุทธะกลับแดนเดิม
เฮ้อ  ถอย


พระนามของสิ่งศักดิ์องค์ต่างๆ
ในบทพระโอวาทเทียบเป็นภาษาจีน
พระอนุตตรธรรมมารดาหมิง    หมิง      ซั่ง        ตี้
พุทธะอริยะทั่วสากลโลกจู         เทียน     เสิน       เซิ่ง
หมื่นพระโพธิสัตว์อวั้น   เซียน     ผู          ซ่า
ท้าวจตุโลกบาลซื่อ         ต้า        เทียน     อวั๋ง
ดาวหมู่ทั้งยี่สิบแปดเอ้อ สือ        ปา        ซิ่ว
เทพฝ่ายอัสนีเหลย         ปู้
วายุเฟิง ปู้
พยัคฆาหู่          ปู้
นาคาหลง          ปู้
แปดวัชรญาณเทพปา    ต้า        จิน        กัง
พระพฤฒาชันษาแห่งทักษิณาลัย         หนัน     จี๋          เหล่า     เซียน     อง
แปดเซียนทั้งสามชั้นซั่ง จง        เซี่ย       ปา        เซียน
จอมเทพวินัยธร กวัน จัง หลวี่ เอวี้ย    ซื่อ        อุ้ย        ฝ่า        ลวี่        จู่
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิซัน เทียน     จู๋          เข่า
อู้ฉันศิษย์พี่อู้     ฉัน        ซือ        ซยง
เม่าเหมิ่งศิษย์พี่เม่า        เหมิ่ง     ซือ        ซยง
พระโพธิสัตว์อนุศาสน์เจี้ยว        ฮว่า       ผู          ซ่า
เต๋อฮว่าเซียนหมู่เต๋อ      ฮว่า       เซียน     หมู่
เต๋อฮว่าเจินจวินเต๋อ      ฮว่า       เจิน       จวิน
หลี่เอวี๋ยนเซียนจวินหลี่  เอวี๋ยน   เซียน     จวิน
ไป๋สุ่ยเหล่าเหยริไป๋      สุ่ย        เหล่า     เหยริ
กษิติครรภ์โพธิสัตว์ตี้     จั้ง        ผู          ซ่า
จงฮว๋าเซิ่งหมู่จง            ฮว๋า       เซิ่ง       หมู่
อรหันต์จี้กงจี้    กง        หัว        ฝอ
เมี่ยวซั่นกวนอินกวน      อิน        ผู          ซ่า
ผู่เสียนผูซ่าผู่     เสียน     ผู          ซ่า
เหวินซูผูซ่าเหวิน            ซู          ผู          ซ่า
ศาสดาทั้งห้าอู่   เจี้ยว     เซิ่ง       เหยิน
จินกงจู่ซือจิน    กง        จู่          ซือ
อวิ๋นเป่าเอ้อร์ถงอวิ๋น      เป่า       เอ้อร์      ถง


คำศัพท์ในบทพระโอวาท
องค์อนุตตรธรรมมารดา           องค์มารดาผู้ให้กำเนิดฟ้าดิน สรรพสิ่งในจักรวาลและ           ธรรมญาณทั้งปวง
ตักษัย  การสิ้นชีวิต,ตาย
บูรพา  ทิศตะวันออก
เมธี      นักปราชญ์
อมตะ   ความไม่ตาย,พระนิพพาน
เคียมคัล           ไหว้,คำนับ
อมฤต   น้ำทิพย์
วายปราณ         สิ้นชีวิต,ตาย
ปารมิตา           ปรมิตตาหก  หกวิถีทางคืนสู่พระนิพพานคือ
            1.ทานบารมี       4.วิริยะบารมี
            2.ศีลบารมี         5.สมาธิบารมี
            3.ขันติบารมี       6.ปัญญาบารมี
นิพพาน            ความดับกิเลส และกองทุกข์
บัลลังก์บัวเก้าชั้น        มรรคผลฐานบัว 3 ระดับ ระดับหนึ่งมี 3 ชั้น
            รวมเป็นเก้าชั้น
พันธนาการ      การจองจำ
เอกธรรม        สัจธรรมที่เป็นหนึ่งเดียว
ปัจฉิม  ทิศตะวันตก
ถวิล      คิดถึง
สุทธาสถาน       พรหมโลก เป็นที่อยู่ของท่านผู้บริสุทธิ์ คือที่เกิดของ
            พระอนาคามี
นิรโทษ ไม่มีโทษ
สามพันหกสี่หมื่นแปด   สามพันหกตำแหน่งพระอริยะฐานะ  สี่หมื่นแปดพัน ตำแหน่งเมธีฐานะ ที่เบื้องบนกำลังเปิดการสอบ
            คัดเลือกผู้บำเพ็ญอยู่ในขณะนี้
แปดทดสอบ     การทดสอบ  8  รูปแบบ คือ
            1.การทดสอบภายใน
            2.การทดสอบภายนอก
            3.การทดสอบทางอารมณ์
            4.การทดสอบแบบแปลกๆเช่น ล้มละลาย หย่าร้าง ฯลฯ
            5.การทดสอบแบบราบรื่น
            6.การทดสอบแบบไม่ราบรื่น
            7.การทดสอบแบบตาลปัตร
            8.การทดสอบในวงการธรรม
อวี่หลิน พระนามของท่านธรรมอธิการ หันเหล่าเฉียนเหยริ
            แซ่สกุลหัน  พระนามบน อวี่  พระนามล่าง หลิน
พระศรีอาริย์     พระศรีอาริยเมตไตรย  พระนามของพระพุทธเจ้า
            พระองค์หนึ่ง  ซึ่งจะอุบัติขึ้นในภายหน้าหลังจาก
            สิ้นศาสนาพระโคดมแล้ว
สัจธรรม           ธรรมที่แท้จริง,หลักสัจจะ
รุ่นสิบแปด        พระอาจารย์ พระอาจาริณี ซึ่งเป็นพระบรรพจารย์
            สมัยที่ 18 ในทิศบูรพาแห่งสายธรรมนับตั้งแต่
            โบราณกาลมายุคหลัง
อุตริ     แปลกออกไป,นอกแบบ,นอกทาง
ประจักษ์           ชัดเจน,แจ่มแจ้ง,แน่นอน
กำศรวล            โศกเศร้า,คร่ำครวญ,ร้องไห้
ดรี        เรือ
โมหันธ์ ความมืดมนด้วยความหลง
งานหลงฮว๋า      งานชุมนุมอริยะปราชญ์เมธีแห่งธรรมกาลยุคขาว
            บนอนุตตรภูมิ
นิจศีล   ศีลที่รักษาเป็นนิจได้แก่ศีลห้า,เป็นปกติเสมอไป
จินเซียน           อริยะฐานะเบื้องบน
กมล     บัว,ใจ
ตรัยรัตน์          หลักวิถีจิตญาณอันแท้จริงกล่าวคือ เป็นสัจธรรมที่ได้รับ
            ถ่ายทอดจากพระวิสุทธิอาจารย์ :
            1.ญาณทวาร      ประตูเกิดตาย
            2.รหัสคาถา       สัจจคาถาศักดิ์สิทธิ์
            3.ลัญจกร          ตราประทับพุทธะ
ปณิธานสิบ       เป็นความตั้งใจจริงแท้ 10 ประการ ที่ทุกคนได้กล่าว ตั้งก่อนรับธรรม :
          1.ข้าพเจ้าจะประคองรักษาด้วยศรัทธา
            2.(ช) จะสำนึกขอขมาด้วยใจจริง
              (ญ) จะบำเพ็ญด้วยใจจริง
            3.หากเคลือบแฝงเสแสร้ง
            4.ถดถอยไม่ก้าวหน้า
            5.หลอกลวงลบล้างบรรพจารย์
            6.ลบลู่นักธรรมอาวุโส
            7.ไมรักษาพุทธระเบียบ
            8.แพร่งพรายความลับสวรรค์
            9.ปิดบังธรรมไว้มิให้ปรากฎ
            10.(ช) ไม่ปฏิบัติธรรมตามควรแก่กำลัง
               (ญ) ไม่บำเพ็ญธรรมด้วยศรัทธา


แปดความทุกข์ ทุกข์ที่มาจากเหตุ 8 ประการ คือ
            1.ทุกข์จากการเกิด
            2.ทุกข์จากการแก่
            3.ทุกข์จากการเจ็บ
            4.ทุกข์จากการตาย
            5.ทุกข์จากความไม่สมหวังในสิ่งที่อยากได้
            6.ทุกข์จากการพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก
            7.ทุกข์จากความเกลียดชัง ไม่อยาก
            8.ทุกข์จากขันธ์ห้า  รูป เวทนา สัญญา สังขาร
              วิญญาณ
มลทิน  ความมัวหมอง,ความไม่บริสุทธิ์
ชลเนตร           น้ำตา
กำราบ  ทำให้กลัว,ทำให้หลาบ
อวิชชา  ความไม่รู้จริง,ความหลงอันเป็นเหตุให้ไม่รู้จริง


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา