วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2537

2537-05-05 พุทธสถานผู่ถี จ.พิษณุโลก



PDF 2537-05-05-ผูถี #1.pdf



วันพฤหัสบดีที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๗              พุทธสถาน ผู่ถี จ. พิษณุโลก
                สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

ความเข้าใจดุจไอน้ำเพียงบางบาง      ละชินเคยปฏิบัติกลายฝนชุ่มฉ่ำ
ล้างกิเลสที่มีเกาะมืดคล้ำ     แล้วได้นำอนธการแปรสว่าง

                เราคือ
            องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ            รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา  ลงสู่พุทธสถาน      เคียมคัล
องค์มารดา           ถามเมธีน้องทุกท่านเกษมฤๅฮวา  ฮวา

                ฝนโปรยปรายฉ่ำชื่นคืนนที   ในครานี้สามวันจุดมุ่งหมาย
จงตั้งใจด้วยสติมิกลับกลาย เพื่อมลายบาปชำระไร้มลทิน
สำรวมกายวาจาใจให้ตรงเที่ยง           อย่าคิดเบี่ยงอย่าเดินลงนะน้องเอ๋ย
ด้วยความคิดสร้างปัญหาบรรเทาเลย                รู้แจ้งจิตวิลาสศึกษาธรรม
บรรพชนทุกท่านต่างมาอยู่ด้วย           รอกุศลจากท่านที่เดินหน้า
ระหว่างทางจงอย่าถอยเลิกโรยรา      ธรรมอนรรฆล้ำค่าสว่างจิต
จงบำเพ็ญเมตตามิกังวล      แม้อาบเหงื่อแทนฝนมรคาสนอง
มีปัญญาต้องคิดใช้ปกป้อง  จากมวลผองกิเลสที่พินพง
อวเคราะห์ใช้เพื่อทดสอบท่าน           ความตรงมั่นสู่วิโมกข์มากเพียงไหน
อธิมาตรจงรู้ประตูใจ           แล้วย้อนในแสวงตนพบพุทธญาณ

ในสามวันงานร่วมคนและฟ้า               ร่วมสามัคคีนำพาให้ถึงฝั่ง
พ้นทะเลห้วงทุกข์โหมประดัง                จงระวังคำครหาให้ศรัทธา
จริยาระเบียบจงรักษา          ในพุทธสถานจงมีความเคร่งครัด
ความเซื่องซึมมิได้จิตวางจัด ปล่อยมโนจิตตามพัดยากเข้าใจ
ฟังธรรมาด้วยใจเกรงสามพลัน          มิแก่งแย่งแข่งกันให้หมองหม่น
รู้ชีวิตกำหนดทุกผู้คน            จึงได้พ้นปุถุชนคือเมธี
ในวันนี้มิกล่าวความให้มากไป             ศิษย์พี่ยืนอยู่ข้างเคียงจดคะแนน
                ฮวา  ฮวา  หยุด

-------------------------------------------------------------------------------------
๓              มรคาทาง, ช่อง, ถนน
๔              พินพงมากมาย
๕              อวเคราะห์  อุปสรรค, เครื่องกีดขวาง
๖              อธิมาตร     เหลือคณา
๗              เกรงสาม    
๑. เกรงพระโองการจากเบื้องบน
๒. เกรงพระวจนะของพระอริยะ
๓. เกรงผู้มีคุณธรรม


สัจธรรมแท้จริงใกล้เพียงนัยน์ตา          เหล่าเมธาแสวงหา ณ แดนห่างเหิน
เช่นผู้อยู่ในนทีแต่นานเนิ่น     กลับร้องเชิญหาน้ำดับกระหายตน
                เราคือ
            แปดเซียนหลี่เถียไกว่  พร้อมด้วยเหอเซียนกู   ร่วมรับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาลงสู่พุทธสถาน         แฝงกายกตัญชลี
องค์ชคัตตรยาพดงส์แล้วถามเมธีทุกท่านเกษมฤๅ

                ให้เวลาแด่ตนและมวลชน     มหัคภัณฑ์พรากคนเดิมจากรู้ตื่น
เพื่อชีพใหม่รู้วาระพุทธะชื่น  ธรรมโอสถฟื้นตนจริงเร่งฝีพาย
สกัดใจที่เคลือบสัมปยุตกิเลสกล้า      ชำระล้างเคยระเริงไม่มัวพ่าย
โลกหม่นหมองหมายปองดั่งใจ            ทำเช่นไรจึงจะกลายนิรพาณ
สงบใจข้อวุ่นวายทารุณจิตต่ำ              เหลือมั่นคงในธรรมาวาระท้าย
มโนคติที่มิชอบพึงแก้ไข        ทรัพย์ธรรมอภัยสามทานควรกระทำ
คะนึงคิดตนพลั้งผิดไหมเสมอ              อดีตย้อนแก้กลางใจรู้ควรปหานะ
พิจารณ์ดูน้อมจิตแท้ดำรงคุณ              สิ่งไหนสุขุมทวีแยบยลเท่าธรรมา
เมื่อรู้ค่าศึกษาตนเร่งอัสสะ   มิปมาทะพบสัจธรรมจีรังบำเพ็ญใจ
ภูวนเห็นมองอย่างทุกข์หรือสุข             ทะเลทรายภาพสมมติเกิดเลือนหาย
หลับตามิอาจปลดปลงเรื่องร้าย          สิ่งหลอกลวงมลายเพราะอายตนะสงบ
                ฮา  ฮา  หยุด


            โศกปิติชั่วชีวิตหนึ่ง  ดั่งความฝันหลอกตา  กว่าจะฝ่ามายานั้นพ้นก็นานเกิน  สรรพสิ่งภาพลวงยิ่งกว่า  กว่าจะหวังสิ่งใด  อยากจะเก็บลวงตานำไปไม่มีใครทำได้  กว่าจะตื่นเข้าใจทุกอย่าง  กว่าจะเห็นสัทธรรม  กว่าจะผ่านคืนวันมัวเมาก็นานปี  ตื่นมาพานพบภาพจริง จบกับสิ่งมายา
     *      สัจธรรมใกล้เพียงเงา  ใกล้ตัวเรากว่าสิ่งใดใด  แต่กลับมองไกล  ยิ่งมองไกล  ยิ่งจะไกลห่างกันไป  ห่างจากกลางใจ (ห่างออกไป)
            อยากจะหยุดห้วงเวียนว่ายเกิด  ส่องตนด้วยหลักธรรม  หยุดกิเลสนานาประการแล้วดำเนินรอยปราชญ์  หยุดกับสิ่งที่เลยพ้นผ่าน  ผ่านมาแล้วผ่านไป  จบกับสิ่งลวงตนพาตนก้าวบำเพ็ญ  ตื่นมาพานพบภาพจริงจบกับสิ่งมายา       ซ้ำ */* ( )
            หวนทวนกระแสน้ำ  คุมหางเสือไปสู่ทางพุทธา           ซ้ำ */* ( )
            ทำนองเพลง : ง่ายเกินไป






พระโอวาทท่านหลี่เถียไกว่และท่านเหอเซียนกูต้าเซียนเมตตา

พระโอวาทท่านเหอเซียนกู :
การที่จะฟังธรรมะได้เข้าใจนั้นจะต้องไม่ยึดติดในสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือในรูปลักษณ์ต่าง ๆ  จะต้องใช้ปัญญาของเราพิจารณาและแยกแยะว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่จริงหรือปลอม  เมธีทุกท่านล้วนแต่มีปัญญาหรือพุทธจิตเดิมอยู่แล้ว  ท่านลองคิดดูว่าร่างกายของพวกท่านนี้จริงหรือปลอม (ปลอม) เมื่อทุกท่านรู้ว่าปลอมแล้วยังยึดติดอยู่ทำไมเล่า  โลกนี้ก็เป็นมายาเพราะว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่คงอยู่ถาวร  มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป  ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
พวกท่านลองคิดดูสิว่าเกิดกายมาหนึ่งชีวิตมีสุขมีทุกข์ปะปนกันไป  แล้วมีใครบ้างไหมที่มีความสุขนิรันดร์ (ไม่มี) แล้วสุขกับทุกข์ทุกท่านลองคิดดูสิว่า  ในหนึ่งชีวิตของท่านมีสิ่งใดมากกว่า (มีทุกข์มากกว่า) บางคนคิดว่าเกิดมาพร้อมทั้งทรัพย์สินเงินทอง ครอบครัวอบอุ่นหรือแม้แต่เรื่องการศึกษา  แต่ถ้าหากมองลึกเข้าไปถึงข้างใน  ทุกสิ่งทุกอย่างจีรังยั่งยืนหรือไม่ (ไม่)
ชีวิตหนึ่งก็เป็นแค่เพียงความฝัน  คนส่วนใหญ่ยึดอยู่ในความฝันจอมปลอมนี้  ความสุขที่เห็นเพียงเบื้องหน้าอย่าได้ไปยึดติดกับมัน  หนทางการบำเพ็ญมีอุปสรรคมีการทดสอบมากมาย  เมธีทุกท่านลองคิดดูสิว่าการทดสอบน่ากลัวไหม (น่ากลัว, ไม่น่ากลัว) แล้วท่านคิดว่ามนุษย์ในโลกนี้กลัวข้อทดสอบข้อใดที่สุด ถ้าหากว่าเบื้องบนประทานให้ท่านมีทรัพย์สินเงินทองมากมายท่านจะดีใจหรือไม่ (ดีใจ) แสดงว่ากลัวความยากจนมากกว่า (กลัว) หากยากจนเงินทองแต่มากด้วยธรรมไม่ดีกว่าหรือ(ดี) แต่ในใจท่านทั้งหลายคิดว่า  ถ้าได้ควบคู่กันทั้งสองอย่างคงจะดีไม่น้อยเลยใช่ไหม (ใช่)
ปุถุชนคิดว่าเงินทองบันดาลทุกสิ่งได้  ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เป็นภาพลวงตาทั้งสิ้น  ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าถ้าละสังขารไปท่านสามารถนำสิ่งใดติดตนไปได้บ้าง (ความดี, ความชั่ว)
สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนมองลงมาเห็นมีน้อยคนเหลือเกินที่จะตั้งใจทำบุญสร้างกุศล  ทุกคนที่ทำก็แฝงเจตนาไว้ภายในทั้งสิ้น  หวังวอนอยากให้ร่ำรวย หวังวอนอยากให้ร่างกายแข็งแรง หวังวอนให้ครอบครัวอบอุ่น  คิดหวังสิ่งใดสมดังใจปรารถนา นี่อาจจะไม่ใช่ข้อบกพร่องหรอก  แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการที่หลายคนคิดจะบำเพ็ญ  ทุกคนคงคิดว่าพอให้ครอบครัวเราพร้อมกว่านี้  รอให้มีเงินทอง รอให้ร่างกายแข็งแรงจึงจะบำเพ็ญ  ถ้าหากท่านได้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วเมื่อท่านเข้าใจธรรมะ  เริ่มศึกษาบำเพ็ญแล้วก็จะต้องค่อย ๆ ละทิ้งสิ่งที่หลอกลวงตาและไม่ยึดติดกับสิ่งลวงตานี้  อย่างนี้ท่านเข้าใจไหม (เข้าใจ)
สิ่งศักดิ์สิทธิ์คงจะไม่มีทางเรียกร้องท่านได้มากนักและก็คงไม่มีใครสามารถเรียกร้องตัวท่านได้นอกจากตัวท่านเอง  หนทางธรรม หนทางแห่งบุญกุศล  ถ้าหากตัวท่านไม่เดินเองใครเล่าจะเดินแทนท่านได้
เมธีทุกท่านทราบหรือไม่สัจธรรมที่แท้จริงนั้นอยู่ใกล้ตัวเรานี่เอง  กลับยิ่งแสวงไปไกลแสนไกล  บางคนจากถิ่นฐานบ้านเรือนหวังจะแสวงธรรมแท้  ท่านรู้ไหมว่าธรรมแท้จริงนั้นอยู่ภายในตัวเรานี่เอง  ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมและสัจธรรมทั้งสิ้น
พระโอวาทท่านหลี่เถียไกว่ :
สัจธรรมนั้นแท้จริงก็อยู่ในตัวเราแต่ยังมีเมธีบนโลกมากมายเหลือเกินที่ไม่รู้ความจริงข้อนี้  กลับไปแสวงหาภายนอก  แท้ที่จริงแล้วจะเปรียบกันก็เหมือนกับผู้ที่อยู่ในน้ำแต่กลับขอน้ำจากผู้อื่นดับความกระหายของตนเอง
ที่จริงแล้วรอบกายของเราก็มีน้ำอยู่แล้ว  จำเป็นหรือไม่ที่ทุก ๆ ท่านจะต้องไปร้องขอน้ำจากผู้อื่น  หากว่าตนเองย้อนมองกลับมาหาตนเองแล้วก็จะเห็นว่ารอบกายเรานั้นมีน้ำอยู่มากมาย  สามารถที่จะใช้ดับความกระหายของตนเองได้ใช่หรือไม่
ทุกท่านทราบไหมว่าสัจธรรมแห่งตนเองอยู่ที่ไหน(อยู่ที่จุดญาณทวาร)   แล้วจุดญาณทวารอยู่ที่ไหน
มาประชุมธรรมวันนี้ได้อะไรไปแล้วบ้าง  วันนี้ฟังธรรมะใช้สิ่งใดฟัง (ใช้จิตญาณฟัง) แต่ทุก ๆ ท่านอาจจะสงสัยว่าเหตุใดจึงได้กล่าวว่าใช้จิตญาณฟัง  มีใครสงสัยไหม  ก็ถูกทั้งสองอย่างทั้งที่กล่าวว่าใช้จิตญาณฟังและใช้โสตฟัง  ที่จริงก็คือภายในทุก ๆ ท่านก็ใช้จิตญาณรับรู้ข้อความ หรือคำที่อาจารย์บรรยายธรรมได้กล่าวให้ฟัง  และภายนอกก็ใช้หูรับคลื่นเสียงเข้าไปถูกไหม
แอปเปิ้ลนี้ภาษาจีนเรียกว่า "ผิงกว่อ" แทนความหมายได้อย่างหนึ่งคือมรรคผล  หากว่าวันนี้ผู้ใดตั้งใจฟังและสามารถเข้าถึงธรรมได้อย่างแท้จริงและตั้งใจปฏิบัติบำเพ็ญจริง  ในภายหน้าก็สามารถได้รับมรรคผลนี้ได้เช่นเดียวกัน
เมื่อสักครู่นี้ท่านเหอเซียนกูได้ให้เพลงและท่านก็ได้อธิบายไปด้วยผู้ใดที่ตั้งใจฟังคงจะสามารถเข้าใจเนื้อความได้ใช่ไหม  มีใครจะอธิบายให้เราฟังได้บ้าง (ความสุขกับความทุกข์นั้นเหมือนความฝัน  มีแล้วก็หายไปได้  ไม่สามารถอยู่กับเราได้ตลอดไป  ภายในใจจะเก็บความสุขเอาไว้แต่ก็เก็บไม่ได้เป็นภาพลวงตาเรายึดไม่ได้  กว่าเราจะรู้ตัวก็สายไปแล้ว  เพราะว่าเราตายไปแล้ว มันก็ไม่สามารถที่จะกลับคืนมา  เราอย่าไปหลงกับความโลภ ความโกรธ ความหลง  สัจธรรมเหล่านี้อยู่กับตัวเรา มันอยู่ใกล้เราแต่เราไม่คิดจะทำ ไม่คิดจะไขว่คว้า  เราคิดว่ามันอยู่ไกลจากตัวเรา) เมธีท่านนี้อธิบายได้ดีหรือไม่ (ดี) อธิบายว่าอย่างไรละ จะเห็นได้ว่าบางครั้งอาจารย์บรรยายธรรมได้กล่าวธรรมะให้ฟังเราอาจจะดูเหมือนเข้าใจในชั่วขณะนั้น  แต่แท้ที่จริงแล้วยังไม่อาจเข้าถึงธรรมนั้นได้เพราะเหตุใด  เพราะเรายังไม่ลงแรงปฏิบัติใช่ไหม  หรือบางครั้งอาจเป็นเพราะว่าเรายังไม่เคยได้เจอกับสัจธรรมความจริงข้อนั้นจึงยังไม่อาจเข้าถึงได้ใช่ไหม (ใช่)   ฉะนั้นการที่จะเข้าถึงสัจธรรมได้นั้นไม่ใช่เรื่องยาก  แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน
ทุก ๆ ท่านอยากจะหยุดห้วงเวียนว่ายตายเกิดไหม (อยาก) ทำอย่างไรจึงจะหยุดได้ (จะต้องมองดูเข้าไปในตนเอง  ไม่แสวงหาสิ่งหลอกลวงภายนอก)  แสวงหาสิ่งหลอกลวงภายนอกเพื่ออะไร เพื่อมาปรนเปรอกิเลสในตัวเอง  เพราะเหตุใดจึงต้องมองเข้าไปในจิตตนเองเล่า (หาสิ่งที่หลอกลวง) (มองเข้าไปในตนเองเพื่อค้นหาสัจธรรมที่แท้จริงเพื่อเป็นหนทางที่เราจะบำเพ็ญธรรมต่อไป  ไม่หลงกับสิ่งหลอกลวงภายนอกกับโลกเพื่อจะได้ไม่หลงกับมายาทั้งปวง) ใช่ การย้อนมองตนเองจะปฏิบัติจริงโดยที่ไม่มีหลักเลยอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ  การย้อนมองตนเองนั้นทำได้โดย  ให้เราสำรวมจิตสำนึกว่าเรามีจิตเช่นไร  โกรธหรือดีใจหรือเสียใจเช่นไรหรือไม่  ถ้าหากมีแล้ว  ทุกครั้งที่เรามีให้เรารู้ตนอยู่เสมอว่าขณะนี้เรามีอารมณ์นั้น ๆ อยู่แล้วพยายามทำจิตให้สงบตั้งสมาธิให้ดี ๆ แล้ว  อารมณ์เปล่านั้นก็จะค่อย ๆ หายไป  แต่การที่เราจะไม่มีอารมณ์เหล่านั้นตลอดไปเลยก็เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ง่าย  แต่หากว่าเราได้ย้อนมองตนเองอยู่เสมอแล้วรู้ว่าตนเองมีอารมณ์เช่นไรอยู่  ในเวลาไม่นานก็สามารถลบล้างอารมณ์ของตนเองให้
เบาบางลงไปเรื่อย ๆ ได้
พระโอวาทท่านเหอเซียนกู :
เมธีท่านชราเยาว์นั้นต่างก็บำเพ็ญได้  อย่าคิดว่ารอให้ชราแล้วค่อยบำเพ็ญ  เพราะไม่รู้ว่าชีวิตของแต่ละคนนั้น  ชีวิตของใครจะสั้นหรือจะยาว  วันนี้ยังมีลมหายใจ  ทุก ๆ คนเริ่มบำเพ็ญตั้งแต่วันนี้ดีไหม (ดี)
ทุกท่านล้วนมีภูมิธรรมไม่น้อย  ขอเพียงตั้งใจศึกษาธรรมะเพิ่มขึ้นอีกนิดหนึ่ง  อีกไม่นานก็จะสามารถเข้าใจโดยกระจ่าง  เมื่อมรรคผลพร้อมมูลเมื่อไหร่  ก็ขึ้นไปพบกันบนนิพพานดีไหม (ดี)






                วันศุกร์ที่ ๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๗
ยุคสุดท้ายโลกวุ่นวายเราสงบ             ผูกพันพบหน้ากันเกษมศานต์
โอ้ศิษย์รักเมื่อไรจะคืนบ้าน  มารดากานต์รอลูกอยู่จงรู้เถิด

                เราคือ
            อรหันต์จี้กงวิปลาส             รับบัญชาจาก
องค์อนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่ธรรมสถาน แล้วแฝงกายเคียมคัล
องค์มารดาแล้วถามศิษย์รักทุกคนมีความสุขดีหรือเปล่า

                คุมจิตราบเรียบรอดตลอดฝั่ง               มิภวังค์โลกหล้าในกาลตรัยพ้น
หากมิฟื้นญาณทำนุพบอับจน             หลงห้วงวนนิทราทุกข์ทางธรรม
บำเพ็ญสม่ำเสมออย่าให้ขาดความอุตสาหะ     ผ่านแล้วละอย่าไปคิดบาดหมาง
เพียรศึกษาสายทองหมั่นแสวงทาง     กุศลสร้างเดิมช่วยนำพ้นคืน
ดวงจิตใสเห็นได้สิขรตระหง่าน           พุทธญาณหวนใจมั่นเพราะแจ้งทุกข์
รู้ถึงสิ่งเสาะหาอยู่จอมปลอมสุข          เหตุแห่งทุกข์มิข้องสุขนิรันดร์
                ฮา  ฮา  หยุด


_________________________________________
๑ ภวังค์     : ความเป็นอยู่โดยไม่รู้สึกตัว
๒ กาลตรัย : สามกาล คือ กาลอดีต, กาลปัจจุบัน, กาลอนาคต
๓ สิขร       : ภูเขา


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงเมตตา

(พวกเราร่วมกันร้องเพลงต้อนรับ  เป็นการต้อนรับพระอาจารย์) โอ้
สดชื่นจริง ๆ ใช้ได้ ใช้ได้  ปรบมือให้ตัวเองหน่อย  ต้องบอกว่าคนนำเขานำเก่งใช่หรือเปล่า ถึงได้ร้องกันเก่งทุกคนเลย  ร้องเก่งหรือเปล่า (เก่ง) ไหนมีใครบอกว่าตัวเองร้องไม่เก่ง มีหรือเปล่า มีไหม  ร้องไม่เก่งหรือร้องเก่งตัวเองเท่านั้นที่รู้ใช่หรือเปล่า
ทุกคนศรัทธาดีอยู่ใช่ไหม (ใช่) แล้วจะทำอย่างไรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้รู้ว่าทุกคนศรัทธา (ขอเชิญอาจารย์ชี้แนะ) การที่ทุกคนจะปฏิบัติธรรมต้องออกมาจากใจใช่หรือเปล่า  ถ้าใจเรามีความศรัทธาเชื่อมั่นแล้ว  สิ่งที่เราทำออกมาก็ทำในสิ่งที่ถูกต้องและคิดว่าดีแล้วใช่ไหม  ไหนมีใครอยากได้ผลไม้จากอาจารย์บ้าง  ลุกขึ้นทั้งสองคนเลย เป่ายิ้งฉุบ  ให้คนแพ้หรือคนชนะตอบก่อน อย่างนั้นคนชนะก็ตอบก่อนก็แล้วกันนะ  อาจารย์จะให้คำถามใหม่นะ  ถ้าเราอายุมากแล้วเราจะทำอย่างไรให้คนมาบำเพ็ญศึกษาธรรมและมาเชื่อคำของเรา(บอกให้ทุกคนเข้ามาศึกษาธรรมะ) คนที่สองลองตอบอาจารย์ซิว่าเมื่อมีคนหนึ่งบอกว่ารับธรรมะนั้นไม่ดีเลย  อย่าไปเชื่ออย่าไปงมงาย  เราจะบอกเขาว่าอย่างไร (บอกว่าไม่เป็นความจริง) แล้วถ้าเขาพูดอยู่ทุกวัน ๆ ล่ะจะทำอย่างไรดี (พูดให้เขาเลื่อมใสศรัทธา) ใช้การกระทำของเราให้เขาเกิดจิตใจที่ชื่นชมในตัวเรา และชื่นชมในธรรมะด้วยใช่ไหม (ใช่) คนเรานี้บำเพ็ญธรรมต้องมีสิ่งใดบ้าง (ต้องมีจิตศรัทธายึดมั่น) นอกจากศรัทธายึดมั่นแล้วมีอะไรอีก (ไม่มีจิตใจเคลือบแฝงอย่างอื่น มีความมั่นคงจริงใจ ต้องมีศีล สมาธิ ปัญญาเกิดได้ด้วยความเพียรพยายามหรือเปล่า  ถ้าผู้บำเพ็ญไม่มีความเพียรพยายามแล้วสิ่งใด ๆ ก็ไม่สมารถทำได้สำเร็จใช่ไหม
อาจารย์อยากจะทราบว่าการที่ทุกคนเข้ามานั่งในที่นี้  สิ่งเดียวที่ทุกคนหวังอยากได้คืออะไร (หวังอยากได้ทุกสิ่งที่อาจารย์มอบให้) นอกจากผลไม้ที่อาจารย์มอบให้อาจารย์ก็จะมอบภาระอย่างหนึ่งให้ ดีหรือเปล่า จะทำอะไรดี (ปฏิบัติตามที่อาจารย์สอน) แล้วไปปฏิบัติมานะ
อาจารย์ว่าสามวันนี้สามารถฝึกฝนศิษย์ได้หลายอย่างใช่ไหม  อย่างแรกคือความอดทน  การที่มีจิตใจนิ่งไม่ฟุ้งซ่าน  คนที่จะขึ้นมาพูดได้ดีต้องมีจิตนิ่งด้วย  ตอนนี้ทุกคนมีแล้วใช่หรือเปล่าและต่อไปนี้ก็ต้องสามารถจะขึ้นมาพูดได้  ฟังไปตั้งเยอะแยะก็ต้องได้รับมากมายเหมือนกัน  ข้อมูลก็มีแล้ว คุณสมบัติก็พร้อมแล้ว  มีอย่างเดียวที่ทุกคนไม่รู้ว่ามีมากน้อยเท่าไรก็คือความตั้งใจที่จะขึ้นมาใช่ไหม (ใช่) สิ่งที่ทุกคนจะลืมไม่ได้ก็คืออาจารย์และผู้อาวุโสที่อยู่ข้างหน้า  รู้ไหมธรรมะนี้มาจากไหน  มาจากเบื้องบน องค์อนุตตรธรรมมารดาท่านมอบให้ใช่ไหม  เมื่อลงมาแล้วทุกคนรู้ว่าได้รับธรรมะอันล้ำค่าจะต้องไม่ปล่อยทิ้งไป  คนต่อมาผู้ที่สืบทอดพงศาธรรมต่าง ๆ ซึ่งเยอะแยะมากมาย  ปัจจุบันนี้ที่เราเห็นได้ก็คือ เหล่าเฉียนเหยิน เฉียนเหยินและเตี่ยนฉวนซือข้างหน้าเราใช่ไหม (ใช่) ดูสิท่านข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากเมืองจีน ไต้หวัน  มาถึงเมืองไทยและประเทศต่าง ๆ มากมาย  ท่านทั้งหลายก็เหนื่อยใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าหากเหนื่อยแล้วคนที่นี่เข้าใจธรรมะ ท่านก็ปลื้มใจกันทั้งนั้น  อาจารย์เองก็ปลื้มใจด้วย  จริง ๆ แล้วทุกคนที่ปฏิบัติงานธรรมไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทนเลย  การที่มานั่งอยู่ที่นี่มีแต่สิ่งที่ผู้ปฏิบัติงานธรรมเขาให้ทุกคนใช่หรือเปล่า (ใช่) และเมื่อได้รับมากขนากนี้แล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง  เราต้องมีจิตใจสำนึกขอบคุณเขาใช่ไหม (ใช่) คนที่มีจิตใจสำนึกขอบคุณก็แสดงว่ามีจิตใจที่เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์  ถ้าหากมนุษย์คนไหนมีจิตรู้สำนึกว่าตลอดเวลาที่เรายืนอยู่ที่นี่เพราะใคร  เพราะคนแนะนำ
รับรองเราใช่หรือเปล่า (ใช่) ต้องมีจิตใจสำนึกให้มาก ๆ สามวันนี้ถึงจะมีค่า  ถ้าฟังธรรมะมากมายแต่ไม่มีจิตใจสำนึกตัวนี้ ฟังอะไรไปเดี๋ยวเดียวก็เลยไปแล้วใช่ไหม (ใช่)
"หากมิฟื้นญาณทำนุพบอับจน  หลงห้วงวนนิทราทุกข์ทางธรรม"  ถ้าไม่ฟื้นฟูจิตใจธรรมญาณของตัวเอง  ทำนุบำรุงให้ดีขึ้น  ซ่อมแซมที่มันสึกหรอไปก็จะพบกับทางอับจน  ก็เหมือนกับว่าหลงวนในห้วงนิทราที่หลับไม่ตื่นสักที  ถ้าคนไหนบำเพ็ญธรรมแล้วไม่รู้ว่าบำเพ็ญธรรมจริง ๆ ต้องปฏิบัติจิตใจตัวเองอย่างไร  ในที่สุดก็ทุกข์เหมือนกันเพราะไม่รู้ว่าจิตใจตนเองจะเดินไปทางไหนใช่ไหม
"บำเพ็ญสม่ำเสมออย่าให้ขาดความอุตสาหะ  ผ่านแล้วละอย่าไปคิดบาดหมาง"  ไม่ว่าคนอื่นเขาจะมากระทบกระทั่งเราอย่างไร  เราเป็นผู้มีธรรมะแล้วเป็นกัลยาณชนแล้ว  เราจะไม่ปริปากว่าเขาเลยใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้แจกน้ำให้ทุกคน) เวลาแจกน้ำต้องมีคนหนึ่ง
ดูแลอาจารย์ข้างหน้าใช่ไหม  เมื่อสักครู่นี้อาจารย์บอกหรือเปล่าให้สำนึกขอบคุณอาจารย์คนข้างหน้าใช่หรือเปล่า (ใช่) ไม่ใช่แต่อาจารย์เตี่ยนฉวนซือที่คุมที่นี่ที่เดียว  ยังมีเตี่ยนฉวนซือที่อื่นที่มาและยังมีเตี่ยนฉวนซือ, เจี่ยงซือไต้หวันอุตส่าห์มาที่นี่เพื่อให้กำลังใจแด่ทุกคนอีกใช่ไหม (ใช่) มีคำพูดคำจีนคำหนึ่งว่า "ดื่มน้ำแล้วให้นึกถึงต้นธารของน้ำ" คือย้อนนึกให้ถึงต้นตอการเป็นมาของน้ำนี้  เปรียบเสมือนกับการที่เราต้องนึกว่าการที่เรามีโอกาสในวันนี้  สิ่งที่ได้มาในวันนี้ไม่ใช่ได้มาง่าย ๆ  มีความเป็นมาเป็นต้นสายที่ยาวนาน  ดังนั้นเมื่อเราดื่มน้ำจึงควรคิดถึงต้นธาร
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า "สุขไหนจีรัง") ชื่อเพลงคือ "สุขไหนจีรัง" วันนี้ทุกคนมีความสุขเราได้เจอหน้ากันก็เป็นความสุขใช่ไหม  ถ้าเราจากกันนั่นก็คือความทุกข์ใช่ไหม (ใช่) แล้วสุขในโลกนี้เป็นสุขที่ไม่จีรังยั่งยืนใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วทำอย่างไรเราจึงจะมีความสุขให้ได้ตลอด  บำเพ็ญธรรมใช่ไหม และนอกจากบำเพ็ญธรรมแล้วมีสิ่งไหนอีกไหมที่ทำให้เรามีความสุขได้จีรังยั่งยืน  คนที่ตอบว่ามีอาจารย์อยากทราบว่ามีอย่างไร (สุขที่ได้ไปอยู่กับพระอาจารย์จี้กง) ต้องพาอาจารย์น้อย ๆ ที่นั่งอยู่ที่นี้ทุกคนไปด้วย จูงมือกันไป  ถ้าไปนิพพานคนเดียวไม่พาคนที่นั่งข้าง ๆ ไปด้วย  เมื่อขึ้นไปข้างบนจะต้องเสียใจที่อยู่โดดเดี่ยว  กล้าหรือเปล่าที่อยู่โดดเดี่ยว  บางคนไม่กลัวต้องอยู่โดดเดี่ยวเพราะนิพพานสบายไม่มีทุกข์แต่ว่าอยู่ข้างบนคนเดียวแล้วเห็นคนข้างล่างมีทุกข์เราก็เสียใจ  เช่นนี้เราไม่มีความสุขแล้วใช่หรือเปล่า  เพราะฉะนั้นทุกคนต้องเปิดเมตตาจิตให้กว้าง ๆ เรารู้ว่าธรรมนี้ดีต้องชวนคนมารับธรรมะให้เขาได้มีความสุข  รู้ว่าความจริง ๆ นั้นเป็นอย่างไรแล้วก็กลับคืนขึ้นไปด้วยกัน  การกลับคืนขึ้นไปเบื้องบนยากหรือง่าย (ยาก) วันนี้พูดใหม่ว่าการกลับคืนนั้นง่าย  ถ้าใจเราตั้งมั่นจริงดีไหม (ดี)  ทำตามที่อาจารย์บอก อีกหน่อยตอนที่ไม่มีกายเนื้อแล้วเราก็ได้อยู่ด้วยกัน  ทุกคนสามารถหลุดพ้นได้ทั้งนั้นถ้ามั่นใจหวนจิตใสเดิม  จิตนั้นอาจารย์ได้ให้ไปแล้วใช่ไหม อย่าได้หลงลืมกันนะ  แล้วถ้าศิษย์เห็นภาพลวงตาแล้วศิษย์ก็ได้ฝันละเมอไปกับภาพนั้น ๆ  แล้วอย่างนี้ศิษย์จะตื่นได้อย่างไร ใช่หรือเปล่า (ใช่) ตอนนี้ภาพลวงตาสิ่งสวย ๆ งาม ๆ มากมายใช่ไหม  เราจะต้องพยายามรู้ว่าตัวเรานี้จะไม่หลงกับภาพ ๆ นั้น  คนที่อยู่ในโลกนี้ก็ต้องมีทางที่จะต้องเลือกเดินมากมาย  เราเดินไปตามทางที่เต็มไปด้วยกิเลสมากมายแต่จิตใจข้างในของศิษย์นั้นใสสะอาดและบริสุทธิ์  สิ่งต่าง ๆ ที่แปดเปื้อนก็ไม่สามารถเข้ามาที่จิตใจลึก ๆ ของเราใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นทุก ๆ คนจะต้องตั้งใจไว้ว่า ต่อไปนี้ทุกคนจะรักตัวเอง รักเวไนยสัตว์  รักตัวเองไม่ใช่แค่บำรุงกายเนื้อนี้  ต้องบำรุงจิตญาณของตัวเอง  รักเวไนยสัตว์ก็คือรักคนทุก ๆ คนเหมือนกับที่พุทธะท่านได้รักสัตว์โลกทั้งหลายให้อภัยเมตตาสงสารเขา  อย่าไปทำร้ายเขาเหมือนกับที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา  แล้วต่อไปนี้เมื่อในโลกนี้ทุกคนมีแต่ความเมตตาแล้ว  ทุก ๆ วันที่เจอหน้ากันก็มีแต่รอยยิ้มที่ไม่ใช่หน้ากาก ใช่หรือเปล่า (ใช่) หน้ากากที่เป็นรอยยิ้มไม่เอาหรอกนะ  ถ้ามายิ้มให้อาจารย์อย่างนี้  อาจารย์ก็ต้องบอกว่าแย่แน่ ๆ เลย  ขนาดยิ้มให้อาจารย์ยังต้องยิ้มด้วยหน้ากาก  ถ้ายิ้มให้คนอื่นจะเป็นยังไงใช่ไหม  เพราะฉะนั้นใจกับการกระทำของเราต้องเหมือนกัน  ถ้าการกระทำและจิตใจของเราเหมือนกันแล้ว  ก็แสดงว่าเราเป็นพุทธะเป็นผู้ที่มีจิตเที่ยงตรง มีความมั่นควง  รู้ว่าจะต้องเดินทางไปทางไหน  เมื่อเราไม่หลอกผู้อื่นแล้ว  แน่นอนเราก็ไม่หลอกตัวเองอยู่แล้วใช่หรือเปล่า  ทุก ๆ วันคนที่ยังมึน ๆ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตของตนเองก็เพราะว่าตลอดเวลารู้ว่าหนทางที่แท้นี้ดี  แต่ก็หลอกตัวเองว่าเรายังมีหน้าที่ทางโลก เราต้องเรียนหนังสือ เราต้องหาเงินเยอะ ๆ เราต้องเลี้ยงลูกให้ดี  และเราอีกนี่และจะต้องเฝ้าบ้านอยู่กับบ้าน  เราต้องดูทีวีเพื่อความสุขของเราหรือเปล่า  ลองคิดดูซิว่าเราต้องการความสุขอันไหนกันแน่  เราต้องการความสุขที่อยู่ในโลกนี้เที่ยวเต้นไปวัน ๆ หรือว่าเราต้องการความสุขที่ปราศจากความทุกข์ตลอดกาล  นี่แหละหนาเป็นสิ่งที่สำคัญใช่หรือเปล่าศิษย์รัก (ใช่) วันนี้อาจารย์อยู่กับทุกคนนานไหม  เวลาในโลกนี้ก็เป็นแค่พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้ว  ชีวิตมนุษย์ก็เหมือนกัน ถ้าวันนี้ศิษย์บอกว่าพรุ่งนี้ค่อยบำเพ็ญ พรุ่งนี้ก็บอกว่ามะรืนนี้ มะเรื่องนี้หรือว่าปีหน้า  ปล่อยให้ลูกหลานเขาโตก่อนค่อยบำเพ็ญ  แล้วเมื่อไหร่เราจะบำเพ็ญ  การที่เราอยู่ในโลกคนที่เป็นนักเรียนก็บำเพ็ญได้ เรียนไปด้วยบำเพ็ญไปด้วย  คนที่ทำงานก็บำเพ็ญได้เหมือนกัน  ไม่ว่าจะทำหน้าที่อะไรก็แล้วแต่  ธรรมะนี้ไม่ได้อยู่ภายนอกแต่อยู่ภายในจิตของตัวเราเท่านั้นเองใช่ไหม (ใช่) วันนี้อาจารย์พูดเยอะแยะเหลือเกินศิษย์ฟังไปได้แค่ไหนแล้ว ไม่ลืมหมดนะ  แล้วผู้ทำพระโอวาทจะนำพระโอวาทมาให้ทุกคนดู  แล้วทุกครั้งที่ดูโอวาทก็ขอให้ศิษย์ทุกคนนึกถึงอาจารย์และนึกดูว่าตัวศิษย์เองนี้ได้ทำตามที่ศิษย์ได้พูดไว้หรือเปล่า  เมื่อนึกถึงอาจารย์แล้วลองคิดซิว่า  ปณิธานความตั้งมั่นของศิษย์นั้นเหมือนอาจารย์บ้างหรือยัง  มีตรงไหนที่ยังแตกต่างไม่เหมือนอาจารย์บ้าง  ทุกคนเป็นจี้กงน้อย ๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เมื่อทุกคนเป็นจี้กงน้อย ๆ จี้กงแปลว่าเมตตา อนุเคราะห์ชาวโลกทั้งปวง  เพราะฉะนั้นศิษย์ทุกคนจะเป็นผู้ที่เมตตาอนุเคราะห์ชาวโลกทั้งปวงได้ไหม (ได้) ในเมื่อวันนี้มีเวลาอยู่แค่น้อยนิดเราจะต้องรักษาให้คุ้มค่า  ถ้าสมมติว่าเวลาน้อยนิดแค่นี้  เมื่อเวลาผ่านไปศิษย์ลืมมันไปเสียแล้ว อาจารย์เหนื่อยแค่ไหนพร่ำสอนศิษย์แต่ไม่มีใครจำได้  แล้วอย่างนี้อาจารย์มาสอนศิษย์อาจารย์ก็ต้องเสียใจตลอดเวลาใช่หรือเปล่า เมื่ออาจารย์สอนไปแล้วศิษย์ก็ต้องตั้งใจบำเพ็ญทั้งภายในภายนอก ถ้าบำเพ็ญเพียงแค่เปลือกนอกอย่างเดียว อาจารย์เห็นอาจารย์ก็ทุกข์ใจ  ไม่ใช่อาจารย์ทุกข์ใจเพราะหนี้กรรมที่อาจารย์แบกแทนศิษย์หรอกนะ หนี้กรรมจะหนักแค่ไหนอาจารย์ก็แบกให้ได้ อาจารย์มีแรงเท่าไรอาจารย์ก็จะทำเพื่อศิษย์เท่านั้น  ศิษย์ไม่ต้องสนใจว่าอาจารย์จะเหนื่อยหรือเปล่า  ตอนนี้อาจารย์สอนแค่ว่าให้รักตัวเอง รักเวไนย  แค่นี้ทำได้แล้วอีกหน่อยก็มีความสุข  เมื่อรักตัวเองก็ต้องรู้ว่า  เหมือนเราไปขอยืมเงินใครเขามาเราก็ต้องรู้จักใช่คืนให้เขา  ถ้าสมมติว่าเราติดหนี้เขามา  สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราก็ถือว่าเป็นการชดใช้ต่อเขา  เมื่อไรที่ศิษย์ใช้เขาหมดไปแล้ว  และศิษย์มีกุศลพอ  มีจิตใจที่เบาใสพอก็ต้องกลับขึ้นไปได้แน่  หนี้กรรมนี้ศิษย์บางคนก็โดนแค่น้อยนิด บางคนก็โดนมากมาย  แล้วอะไรล่ะจะเป็นเครื่องวัดว่าใครโดนมากโดนน้อย  ถ้าไม่ใช่
ตนเองทำมาจะโดนไหม  ไม่โดนใช่ไหม  อาจารย์รักศิษย์ทุก ๆ คน  แล้วอาจารย์ก็รู้ว่าศิษย์ของอาจารย์ก็รักอาจารย์เหมือนกัน เพราะฉะนั้นความรักที่อาจารย์ให้ศิษย์เป็นความรักที่บริสุทธิ์เหมือนพ่อรักลูกใช่ไหม(ใช่) อาจารย์เป็นทั้งพ่อและแม่ให้แก่ศิษย์  อาจารย์จะดูแลชีวิตและจิตใจของศิษย์อย่างดี  และศิษย์ก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี  เอาละนะเวลาก็ไม่มีมากมาย  ถ้าอาจารย์ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปอีก คนที่อื่นเขาก็รออาจารย์เหมือนกัน ทุกคนในโลกนี้ต้องรู้จักแบ่งเวลานะ  ทางโลกกับทางธรรมต้องแบ่งให้ชัดเจนและต้องรู้ว่าสิ่งไหนสำคัญกว่ากัน  ถ้าครั้งแรกศิษย์ทุ่มสุดตัว  ทางโลกไม่เอาไว้เลย เอาไว้แต่ทางธรรมสุดตัว  ศิษย์ต้องรู้ว่าศิษย์จะบำเพ็ญได้นานแค่ไหน  ค่อย ๆ บำเพ็ญสองอย่าง  ค่อย ๆ ก้าวจะดีกว่า  ก้าวอย่างมั่นคงก็ก้าวได้ตลอดใช่หรือเปล่า (ใช่) อีกหน่อยไม่มีใครเขามาสนใจศิษย์เท่าอาจารย์  บำเพ็ญธรรมต่างคนก็ต่างคิดว่าตนเองถูก  ไม่มีใครเขาเห็นใจกันแล้วศิษย์จะทำอย่างไร แต่การบำเพ็ญธรรมไม่ได้ไร้เยื่อใยขนาดนั้นหรอกนะ  ทุก ๆ คนมีจิตเมตตาไม่เหมือนกับคนข้างนอกที่ไม่มีธรรมะ  วันนี้รู้ความ
ล้ำค่าแล้วขอให้ศิษย์เก็บรักษาเอาไว้   ลาก่อน ขอให้ศิษย์มีความสุขนะ







                วันเสาร์ที่ ๗ พฤษภาคม  พุทธศักราช ๒๕๓๗
บำเพ็ญธรรมด้วยมโนที่คงมั่น              หากไหวหวั่นอามิสอนธการ
ต้องหยุดอยู่ ณ เอกกลางภูผาคล้าย   เพื่อมลายอาสวกิเลสกลับแรกเดิม
                        เราคือ
            องค์ราชบุตรสามนาจา      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    เทียมล้อไฟลงสู่พุทธสถาน ผู่ถี  แล้วก้มกายกราบ
องค์ชคัตตรยาพดงส์ผู้เมตตา
กุศลเป็นสิ่งดีงามสร้างเร็วไว                มัวชักช้าร่ำไรทูตสวรรค์ให้สามัคคี
มรรคผลมีมากมายเร่งเดินไว               บำเพ็ญนอกในลงแรงด้วยใจบากบั่น
มุ่งสู่ปณิธานแกร่ง แจ้งญาณตน  อริยะแฝงกายตน  เมตตาต่อชนกลับถิ่น
                ทำนองเพลง : ปักกิ่ง (โฆษณา)


พระโอวาทราชบุตรสามนาจาเมตตา

เป็นอย่างไรบ้างวันนี้  อาหารเจอร่อยไหม (อร่อย) เมื่ออิ่มและอร่อยแล้วต้องรู้สึกอย่างไรบ้าง (ขอบคุณแม่ครัว) รู้หรือยังว่าเราเป็นใคร  ตอนนี้ทุกคนฟังธรรมะมาก็เยอะ ง่วงนอนหรือเปล่า  คนเราถ้าบำเพ็ญไม่มีใจที่
คงมั่น ไม่มีใจที่ศรัทธาจะมาบำเพ็ญได้หรือเปล่า  แม่ครัวเหนื่อยไหม  ขอให้ทุกคนเปลี่ยนความเหนื่อยมาเป็นสิ่งที่แสดงออกมาให้ทุกคนได้เห็นว่า  เราทำงานธรรมะก็เพื่อให้ผู้อื่นได้รู้จักว่าบำเพ็ญอย่างไร เมื่อเราเห็นคนข้างหน้าบำเพ็ญโดยที่ทำให้เราโดยไม่หวังผลตอบแทน ฉะนั้นเราต้องบำเพ็ญเหมือนกัน  ต้องเปิดใจออกมาให้กว้าง ๆ เหมือนอย่างแม่ครัว หรือผู้นำทุก ๆ คน
เมื่อกี๊ร้องเพลงธรรมะอะไรไปบ้าง  สายทองยาวเนื่องต่อใช่ไหม  เห็นหรือเปล่าว่าพงศาธรรมมีมาตั้งนานแล้ว  ถ้าตอนนี้ไม่รีบบำเพ็ญแล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปบำเพ็ญอีก
ทุกคนเมื่อได้รับธรรมะแล้ว ได้ประชุมธรรมที่เหลืออยู่ก็คือการตั้งปณิธาน  ซึ่งจะต้องดำเนินต่อไป  กลอนนำที่เราให้ไปมีใครพอเข้าใจบ้าง  ทุกคนเมื่อบำเพ็ญธรรมจะต้องมีใจที่คงมั่น  เพราะเราต้องเจออุปสรรคต่าง ๆ มากมาย  ความทุกข์ของเราเกิดจากอะไรทุกคนรู้ไหม  ความทุกข์เมื่อเกิดมามันก็เกิดจากใจเราใช่ไหม  แต่ความทุกข์ที่เกิดนั้นทุกคนอย่าไปจมปลักกับมัน  เมื่อเกิดให้เรารู้ว่ามันเกิด  เกิดแล้วก็ปล่อยวางมันลงไป  อย่าไปแบกกับมันมาก  เราต้องแบกภาระอื่นตั้งเยอะแยะ  ต้องเลี้ยงดูคนอื่น ต้องตอบแทนพระคุณพ่อแม่ใช่ไหม  แล้วเราจะต้องมาแบกทุกข์อีกทำไม  มีหนทางให้เราบำเพ็ญทำไมเราไม่รีบบำเพ็ญ  จะให้พระแม่ของเราต้องเศร้าเสียใจไปถึงไหน  เมื่อทุกคนรู้ว่าทุกข์เกิดที่ใจ  เราก็ต้องย้อนกลับมาที่ใจเราใช่ไหม  ใจมันตั้งอยู่ตรงนี้เราก็พยายามดับทุกข์ที่ตรงนี้  พยายามย้อนมองเมื่อเราย้อนมองบ่อย ๆ เข้าจิตของเราก็จะรู้ว่าอะไรที่เราควรทำ  อะไรที่เราไม่ควรทำ  ฉะนั้นทุก ๆ ครั้งเมื่อมีอะไรเราย้อนกลับมาเราก็จะสามารถพิจารณาได้ว่าสิ่งไหนถูก สิ่งไหนผิด สิ่งไหนควรทำ สิ่งไหนไม่ควรทำ  บางที่เราอาจไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำให้กับคนอื่นนั้นเราว่าเราดีแล้ว  เขาอาจไม่พอใจก็ได้จริงหรือเปล่า  บางคนต้องประสบกับความทุกข์มากมายกับคำพูดที่ตัวเองสร้างไป สร้างกรรมปากบ้าง สร้างด้วยการกระทำบ้างตั้งหลายอย่างหลายแบบ  ฉะนั้นต้องรีบบำเพ็ญตัวเราแล้วก็ย้อนเข้ามาบำเพ็ญที่จิตใจหรือบำเพ็ญที่จิตใจก่อนก็ได้ก่อนก็ได้  แล้วก็ย้อนออกไปที่ตัว
หน้าที่มีตั้งเยอะแยะฉะนั้นทุกคนต้องรีบมาช่วยกันนะ  สถานธรรมที่นี่ก็จะขยายขึ้นอีก  ถ้าคนไม่พอสถานธรรมจะมีไว้ทำไมล่ะถ้าไม่มีคนมา (อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม : พวกเรายินดีมาช่วยไหมครับ) (นักเรียน : ยินดี) อย่างนี้ค่อยชื่นใจ
หัดทานลูกอมนะ (เมตตาให้แจกลูกอม  ให้อาจารย์ก่อน  ให้อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมก่อน  ท่านเป็นผู้นำ (อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม : ท่านได้ให้ธรรมะข้อหนึ่งคือ  ทำอะไรก็แล้วแต่ให้นึกถึงผู้อาวุโสก่อน)
เรามาเล่นเกมก่อนเดี๋ยวค่อยร้องเพลงต่อ  ท่านได้เมตตาให้นักเรียนในชั้นนับจำนวนคนให้เริ่มจากท้ายแถวก่อน  จากท้ายแถวกลับขึ้นมาข้างหน้าเพื่อฝึกย้อนจิตกลับสู่ที่เดิม  การที่จะย้อนกลับสู่จิตเดิมเราต้องฝ่าฟัน  การที่จะบำเพ็ญธรรมเพื่อทวนกระแสนั้นไม่ใช่ง่าย  ทุกคนจะต้องมีสติอยู่ที่จุด ๆ นั้นตลอดเวลา  (เมตตาให้แจกทอฟฟี่ให้แก่ญาติธรรมทุก ๆ ท่าน) ท่านเมตตาประทานเพลงทำนองขนมปักกิ่ง  ทีวีดูก็เพื่อให้เราไม่เคร่งเครียด  เราต้องรู้จักดูทีวี  ดูทีวีก็ย้อนดูจิตของเรา  ในทีวีก็มีทั้งเรื่องเศร้าเสียใจ สมหวัง ฉะนั้นจิตใจของเราเหมือนทีวี  หากไม่อยากมีชีวิตอย่างทีวีก็ต้องตั้งใจบำเพ็ญที่จุด ๆ นั้น
กุศลทุกคนต้องสร้างใช่ไหม  แล้วสิ่งไหนที่เรียกว่ากุศล  (ทำบุญให้ทานรักษาศีล)  (เมตตาแจกทอฟฟี่ให้แก่นักเรียนอีก แต่นักเรียนตอบไม่เอา) อย่างนี้สิถึงจะเรียกว่าผู้บำเพ็ญต้องรู้จักความพอดี  ทำไมจึงกล่าวว่าเข้ามาวงการธรรมไม่จน  ออกจากวงการธรรมไม่รวย  ถ้าทุกคนรู้จักพอดี  ทุกคนก็ไม่มีความอยาก
บำเพ็ญธรรมอย่ายึดติดอะไรมากนัก  ต่อไปหากไม่มีการมายืมร่างอีก  ขอให้มีความสุขที่ใจ  สุขนั้นต้องเกิดจากใจ  ถ้าทุกคนรู้จักพอดีนั่นก็คือความสุขแล้ว  ตั้งใจฟังต่อไป  เมื่อประชุมเสร็จแล้วก็เร่งรีบบำเพ็ญอย่าให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ผิดหวัง  ให้สัญญาไปต้องมีคำสัตย์  พูดแล้วต้องทำให้ได้อย่างที่พูด  ขอให้ทุกคนตั้งใจ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา