วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2537

2537-05-14 พุทธสถานเต๋อฮว่า จ.สงขลา


PDF 2537-05-14-เต๋อฮว่า #2.pdf

#ร่วมแรงร่วมใจ  #ทานสาม  #ทาน 



วันเสาร์ที่ ๑๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๗   พุทธสถาน เต๋อฮว่า หาดใหญ่
 สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

ตุรคโลดแล่นโจนทะยาน       นำชยุติกาลแพร่ไปสู่มนุษย์
บุญสัมพันธ์จวบวาระโปรดแผ่ฉุด       จงเร่งรุดศึกษาบำเพ็ญตน
                เราคือ
            องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ            รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาลงสู่ธรรมสถาน        เคียมคัล
องค์มารดาถามศิษย์น้องทุกคนเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟังฮา  ฮา
                เกิดเป็นคนสุขทุกข์ล้วนได้รับ               จะพร้อมรับสิ่งก่อนเท่านั้นหนา
ศิษย์น้องรู้กาลยุคท้ายพิจารณา          จะพบว่าชีพสั้นนักจงละวาง
ความสุขในโลกนี้ยากยั่งยืน เพียงตนตื่นรู้มิอาจเหนี่ยวรั้งสุขได้
ทุกข์ยากออกทรมานเคี่ยวกรำใจ        แต่ผู้ใดอยู่ในทุกข์ได้ปราศจากทุกข์
ขอจงรู้เกิดเป็นเพื่อทดสอบ  สติรอบคอบรู้ยับยั้งรู้เหตุผล
รู้ชีวิตรักโลภโกรธและความหลง          มิอาจคงใจอริยะอยู่ได้เลย
หากต้องการแสวงหาทางบริสุทธิ์        จงเร่งรุดตรวจสอบตนทุกย่างก้าว
จงเร่งคิดช่วยเวไนยพ้นมัวเมา              อย่าได้เศร้าหลงติดวนกิเลสใจ
ประชุมธรรมสองวันเลิศล้ำค่า              จงเร่งรีบศึกษาสู่มรรคผล
ก้าวทะยานสู่แดนนิพพานเบื้องบน     อย่าให้ใจแห่งมารตนลบทางมลาย
รับตรัยรัตน์อนุตตรค่ายิ่งใหญ่              ผู้มีใจใฝ่ดีต้องฝึกฝน
เป็นผู้ปฏิบัติงานธรรมแทนเบื้องบน     เพื่อหมู่ชนรุ่นหลังจิตประเสริฐตาม
กุศลกรรมปธานสี่ขอจงรู้      ตื่นจิตครูในใจตนสว่างจ้า
กรรมใดใดพลั้งผิดแล้วแก้ใหม่ภาวนา หวังใจเจิดจ้าผ่องวิสุทธิ์ดั่งทารกงาม
ต่อแต่นี้รู้ชีวิตอันแสนสั้น       จงมุ่งมั่นมิหลงผิดติดอกุศล
จงมุ่งมั่นแพร่ธรรมเพื่อปวงชน              สักวันหนึ่งดลใจคนแปรอริยา
ในวันนี้ศิษย์พี่คุมชั้นเรียน      ขอทุกคนพากเพียรรักษ์ระเบียบเทอญ
แล้วแฝงกายยืนคุมชั้นบันทึกกรรม
                ฮวา  ฮวา  หยุด




ระลอกคลื่นลมพลิ้วเย็นสบาย             ภายในใจสดใสฟังธรรมกระจ่าง
ให้จิตอยู่ ณ สถานด้วยปล่อยวาง        ปูเส้นทางแห่งอริยาเพื่อบำเพ็ญ
                เราคือ
            แปดเซียน หลี่เถียไกว่        พร้อมด้วยหลันไฉ่เหอ         ร่วมรับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาลงสู่อริยสถาน         แฝงกายเคียมคัล
องค์มารดา           ถามเมธีทุกท่านสุขสบายฤๅ
                คนเดิมหลงทางอามิสปิดกั้นทาง         เดินหลงทางรู้แล้วฤๅยังท่าน
เดินประคองแท้บำเพ็ญยับยั้งแรงกรรม              เพื่อจดจำเห็นกายแท้สุขนิรันดร์
พุทธจิตหลงติดห้วงภวังค์      มโนรั้งให้ใจเลือนตอกย้ำ
                ฮา  ฮา  หยุด

                มนัสย้อนเพื่อตนส่องทางสว่าง            ด้วยตระหนักว่างแห่งจิตเสมอมั่น
แม้เคว้งคว้างต้องการฝ่ากระแสควัน  นำตนนั้นพร้อมร่วมสู่มรรคา
ญาณกลับสกาวตนเคียงดั้งเดิมอยู่     เร่งมุ่งสู่บ้านบากบั่นมิท้อถอย
ยอมอดทนเพื่อตามปราชญ์เจริญรอย                กิเลสใดร้อยพันจงขัดเกลา
                ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทท่านหลี่เถียไกว่และท่านหลันไฉ่เหอเมตตา

ท่านหลี่ต้าเซียน  :           เมธีทุกท่านฟังธรรมะเข้าใจกันหรือเปล่า (เข้าใจ)
ท่านหลันต้าเซียน            :เดี๋ยวนี้ของทุกอย่างก็เริ่มมีน้อยลง  ทุกคนได้นำของที่ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์  แล้วแต่ที่จะเหมาะสมตามโอกาส  แล้วทำไมเมื่อของมีเยอะจึงไม่รู้จักใช้  ต่อเมื่อของนั้นเริ่มสูญเสียไปจึงจะมารู้คุณค่าของสิ่งของนั้น ของทุกอย่างไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีอยู่ที่จิตของเราจะเห็นคุณค่าของนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านหลี่ต้าเซียน  :เมธีทุกท่าน  ถ้าในวันนี้ให้ท่านมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงท่านจะคิดบำเพ็ญไหม  ถ้าท่านมีร่างกายอย่างเราล่ะ  ท่านจะทำอย่างไร
ท่านหลันต้าเซียน            :           ทุกคนเกิดมาในร่างกายนี้นานแล้ว  รู้ไหมว่าสิ่งที่มีคุณค่าของตัวเราอยู่ที่ไหน (รู้) รู้แล้วนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง (ทำจิตใจให้บริสุทธิ์) ใช่ ทุกคนมีจิตแต่ใครล่ะจะรู้คุณค่าแห่งจิต  เกิดมาในร่างกายนี้ท่านเจริญเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้  เรารู้คุณค่าแห่งจิตมากน้อยแค่ไหน  แต่ก่อนเราละเลยปล่อยปละ  ในเมื่อตอนนี้มีโอกาสได้รู้ที่ตั้งแห่งจิตของตัวเองแล้ว  ให้รีบนำจิตตรงนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ให้มีคุณค่า   จิตตรงนั้นเป็นหลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่างให้กับเรา  เป็นทั้งพ่อแม่ ครู พี่น้อง เพื่อน คอยปลอบโยนเรา   ให้ความเห็น คอยดูแลรักษาเรา  ไม่ว่าเราจะเป็นอะไรเขาก็จะบอกว่าต้องไปทำอย่างนั้นนะ  ต้องไปทำอย่างนี้นะ ใช่หรือไม่ (ใช่) ในเมื่อรู้แล้วว่าจิตมีอยู่  เราก็รีบนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์  ให้เห็น
คุณค่า  มีโอกาสก็รีบมาบำเพ็ญ
ท่านหลี่ต้าเซียน  :           เมธีทุกท่านเข้าใจกลอนที่เราให้ไปไหม  ใครสามารถอธิบายได้ "คนเดิมหลงอามิสปิดกั้นทาง  เดินหลงทางรู้แล้วฤๅยังท่าน  เดินประคองแท้บำเพ็ญยับยั้งแรงกรรม  เพื่อจดจำเห็นกายแท้สุขนิรันดร์" เข้าใจไหม
เมธีท่านเห็นว่าชีวิตนี้มีความสุขไหม (ไม่มี) เพราะเหตุใดจึงไม่มีเล่า ต้องหาเช้ากินค่ำหรือ แล้วทำอย่างไรถึงจะพ้นทุกข์นั้นล่ะ (ต้องบำเพ็ญธรรมตลอดไป) การบำเพ็ญธรรมนั้นมิใช่เพียงว่าจะบำเพ็ญเพียงภายนอก  ใจที่หยุดเพื่อที่จะพิจารณาหาว่าที่บำเพ็ญนั้นเราก้าวถูกหรือไม่  ถ้าบำเพ็ญยังมีอารมณ์อยู่  ทุกท่านคิดว่าท่านจะบำเพ็ญอย่างมีความสุขไหม (ไม่มี) การบำเพ็ญนั้นท่านต้องตั้งจิตตั้งใจไว้ที่ไหนบ้าง  ไว้ที่จิตญาณดวงเดิม พุทธญาณเข้าใจไหม
รูปกายนั้นใครบ้างที่ไม่อยากให้งดงาม  ทุกท่านคงคิดว่าอยากมีร่างกายที่งดงาม  แต่จริง ๆ แล้วถ้าท่านมีรูปกายที่ดงงามท่านจะหลงไหม (หลง) การบำเพ็ญไม่ใช่บอกว่าไม่ให้มีร่างกายที่งดงาม  แต่หมายถึงว่าให้ใช้ร่างกายนี้บำเพ็ญเพื่อที่จะสร้างกุศล  เพราะว่าชีวิตในโลกนี้ไม่ใช่ชีวิตที่นิรันดร์
ท่านหลันต้าเซียน            :           ตอนนี้ทุกคนก็รู้ทางแห่งจิตวิญญาณของตัวเอง ก็ขอให้ทุกคนทวนกระแสบำเพ็ญเพื่อกลับสู่ทางสว่าง  ใครตอบได้บ้างว่าทางสว่างคือที่ไหน (แดนนิพพาน) ถูกต้อง  ถ้าตอบแล้วต้องมีความกล้า  เมื่อเมธีท่านมีความกล้าแล้วถึงแม้จะตอบถูกหรือตอบผิดก็ไม่เป็นไร  การที่เราผิดก่อนแล้วเราจะได้ผลที่ถูกตามหลังใช่ไหม (ใช่)
ท่านหลี่ต้าเซียน  :           การทำงานก็ย่อมจะมีการร่วมมือกัน อย่างเช่นท่านตอบคนเดียวแล้วจะออกมาเป็นผลงานที่ดีไหม
ทางสว่างคือที่ไหน คืออะไร  ถ้าไม่ตอบมรรคผลนั้นท่านจะได้ไหม  ถ้าท่านไม่ทำงานจะมีสิ่งใดที่เป็นผลงานให้ท่าน
ท่านหลันต้าเซียน            :           คำตอบไปไหน  ไปกับบรรยากาศ ไปกับอาหาร ไปกับสิ่งต่าง ๆ มากมาย  จิตใจลงมาก็นานแล้วทำไมถึงยังหลงอยู่อีก  เมื่อมีโอกาสบำเพ็ญก็ให้รีบบำเพ็ญอย่ารีรอ  การบำเพ็ญนั้นไม่ยากเลย  เพียงแค่ให้มีสติไม่พลั้งเผลอ  เพราะเมื่อไหร่ที่เราเผลอ  สิ่งที่เราไม่ต้องการหรือสิ่งที่เรารักใคร่ก็จะต้องสูญเสียไปใช่หรือไม่(ใช่) สมมติมีเมธีท่านหนึ่งเดินไปตามทาง  ถ้ามัวแต่มองของที่ตัวถืออยู่ไม่ได้มองถนน  ถ้าถนนนั้นเรียบก็จะเดินได้อย่างสบาย  ถึงแม้ว่าของจะหนักก็แบกได้  ถ้าถนนขรุขระแล้วหกล้มของหลุดมือไปแล้วเราจะหยิบของขึ้นก่อนหรือว่าจะยกตัวก่อน (ยกตัวก่อน) แล้วแบกของไว้ทำไมในเมื่อยกตัวก่อน (ถ้าเราเห็นแก่ตัวเราก็ไม่สามารถที่จะปฏิบัติธรรมได้หรือช่วยเหลือมนุษย์ได้  ถ้าหากเราเห็นแก่ตัวเราพยายามเอาตัวเราก่อนเราก็ไม่มีสิทธิ์จะเอาของที่เราแบกได้  คือความตั้งใจของเราที่จะช่วยคน  แล้วเกิดเราช่วยตัวเราก่อน  เราทิ้งของเหมือนกับเราทิ้งความตั้งใจของเรา) เมธีท่านนี้มีความเมตตากรุณา  นึกถึงสิ่งของก่อนแล้วค่อยนึกถึงตัวเอง
มรรคผลไม่ใช่สิ่งที่รับครั้งเดียวแล้วเพียงพอ ทุกคนต้องสะสม  เราเกิดมากี่ชาติสร้างบาปกรรมมากเท่าไหร่เราก็ไม่รู้  แล้วเราจะบอกว่าแอปเปิ้ลลูกเดียวจะเดินทางไปแสนไกลพอทานไหม
ท่านหลี่ต้าเซียน  :           ถ้าเราถามคำถามแล้วไม่มีใครกล้าตอบจะเป็นผู้นำคนอื่นได้อย่างไร คนที่ตอบว่าไม่ได้ ไม่กล้าใช่ไหม จะต้องมีความกล้านะ
ท่านหลันต้าเซียน            :           เมื่อสักครู่ถ้าเราสนใจตัวเราก่อนค่อยสนใจสัมภาระจะเป็นอย่างไร (เราต้องยกตัวเราก่อน  ถ้าไม่ลุกขึ้นก่อนแล้วจะยกของอื่นได้อย่างไร) ถ้าหากเราไม่รู้หนทางที่จะกลับบ้านหรือไม่รู้จิตญาณของตัวเอง  เราจะไปช่วยใครได้  ในเมื่อมีโอกาสมาศึกษาธรรม ฟังธรรมตั้งแต่เช้า  รู้หนทาง รู้วิธีการปฏิบัติ ช่วยคนที่อยู่รอบข้างเราให้เขาเข้าใจ  ในเมื่อเราปฏิบัติดีเขาก็สนใจที่จะมาศึกษาธรรมะนี้  เมื่อเขาสนใจต้องแสดงความเมตตาออกมาให้เขาได้รู้ ให้เขาได้มีโอกาสศึกษา  เราช่วยเขาได้โดยชวนเขามารับธรรมะ  ถึงเราจะไม่เข้าใจก็ให้อาจารย์ที่อยู่ข้างหน้าอธิบายให้เขาเข้าใจ ให้เขามีโอกาส  เหมือนหนังสือเล่มหนึ่งเราบอกว่าดี  แต่ถ้าเขาไม่ได้มาศึกษาค้นคว้า  เขาก็จะไม่รู้ค่าหนังสือเล่มนี้เลย
ท่านหลี่ต้าเซียน  :           ให้ผลไม้เป็นรางวัลเพื่อนำไปบำเพ็ญ เอาไปบำรุงร่างกาย  การบำเพ็ญต้องเสียสละ  ต้องฉุดช่วยผู้อื่น
หนทางการบำเพ็ญถ้าสองคนร่วมกันบำเพ็ญแล้วเกิดกระทบกระทั่งจะมีอารมณ์ขึ้นมา  จะตั้งสติอยู่ที่ใด ที่อารมณ์หรือจิตใจ (จิตญาณ) จิตญาณเป็นสิ่งสำคัญ  คนที่ยังไม่รู้จิตญาณของตัวเองคิดว่าจะไปช่วยเขาไหม
ท่านหลันต้าเซียน            :           คนที่อยู่ข้างหน้าพร้อมที่ช่วยเหลือเรา เหนื่อยเพื่อเรา บางครั้งการให้เรารู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ดีเพราะว่าใจเรารวมเป็นหนึ่ง  ไม่เกิดแบ่งจิตเป็นสอง แต่เมื่อใดที่เราต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ใจทุกคนก็ต้องแบ่งเป็นสอง  ตอนนี้ขอให้ทุกคนรีบบำเพ็ญโอกาสไม่รอแล้ว ขอให้ตัวเองมีสติรู้จักคิด รู้จักทำ เมื่อรู้ที่จะทำอะไรหลาย ๆ อย่าง ให้รู้จักเมตตาที่จะช่วยเหลือผู้อื่น รู้ว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควรทำ
ท่านหลี่ต้าเซียน  :           การเป็นหัวหน้าชั้นมิใช่หมายความว่าเป็นแค่หัวหน้าชั้น  แต่เป็นคนที่ต้องนำพาผู้อื่น  เป็นคนที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์คัดเลือก เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าพวกเขามีกี่คน  ถ้าทุกคนไม่เข้าใจเราก็ต้องทำตัวเองให้เข้าใจเสียก่อน  หลังจากนั้นจะได้นำพาเขาได้  แล้วถ้าตัวเองเกิดความยากลำบากควรจะฟันฝ่าอุปสรรคซึ่งมิใช่เป็นเรื่องง่ายที่จะฟันฝ่าได้ในพริบตา
อาจารย์บรรยายธรรมต้องเตรียมหัวข้อแต่ละหัวข้อด้วยความตั้งใจ  การเข้าใจธรรมะควรตั้งใจฟัง  มิใช่ว่าสองวันจะอธิบายได้หมด  การเข้ามาในสถานธรรมหากท่านรับธรรมะแล้วทุกคนล้วนแต่มีรากบุญ  ขอให้ประคองจิตของตัวเอง  ช่วยงานอาจารย์  แม้ว่าวันนี้ยังไม่เข้าใจก็อย่าได้ปิดกั้นโอกาสของตัวเอง  ขอให้เร่งบำเพ็ญใจของทุกคน  ขออย่าให้เกิดความสงสัย ความสงสัยนั้นทำให้เรารู้สึกสะท้อนใจ  แม้ว่าท่านจะไม่เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มายืมร่างก็ขอให้เชื่อในธรรมะ เชื่อในสายธรรม  คนที่บำเพ็ญต้องเป็นตัวอย่างที่ดี  แก้ไข
ตัวเองให้ได้  ปรับปรุงตัวเองแล้วทุกคนจะเห็นตาม  ถ้าหากวันนี้ไม่มีธรรมะมาฉุดโปรด  ทุกท่านคิดว่าจะมารวมกัน ณ ที่นี้ได้หรือไม่  การที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์โปรดยุคสามเพื่อที่จะให้ทุกท่านได้กลับคืน  ไม่มีสิ่งใดที่น่ารออีกแล้ว ขอให้บำเพ็ญจิตตัวเองสร้างกุศล ต้องมีความกตัญญูต่อพ่อแม่ให้มากเข้าใจไหม (เข้าใจ)
ท่านหลันต้าเซียน            :           น้ำฝนนั้นมีประโยชน์  ท้องฟ้าจึงประทานฝนให้  ถึง
แม้ว่าเสียงฟ้าร้องจะดูเหมือนฟ้าร้องไห้  แต่ฟ้ายังยินดีที่จะร้องไห้เพื่อให้มนุษย์ทุกคนได้ชื่นฉ่ำ  ฟ้าเมตตาแม้ว่าตัวเองจะต้องทุกข์ทนเพียงใดก็ยังประทานฝนให้ทุกคนได้รับความชุ่มฉ่ำทั้งทางกายและจิตใจ  การศึกษาธรรมไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือเพียงอย่างเดียว  เราดูบรรยากาศรอบข้างเราก็สามารถเห็นธรรมะได้  ฝนแม้จะอยู่สูงก็ยังตกลงมายังพื้นดินให้คนเหยียบย่ำ  คนเมื่อเกิดมาถ้าเอาแต่หัวสูงไม่คิดที่จะอ่อนน้อมถ่อมตน มั่นใจในตัวเอง ไม่คิดยอมใคร คิดแต่ตัวเองเป็นใหญ่เช่นนี้จะเหมือนกับสายฝนหรือเปล่า  เห็นไหมว่าฟ้าเมตตาให้ความชุ่มฉ่ำและยังให้ธรรมะกับเรา  ให้เรารู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน  ความอ่อนสามารถชนะความแข็งกร้าวได้  ใครสามารถยกตัวอย่างให้เราทราบบ้างว่า ความอ่อนสามารถชนะความแข็งได้เช่นไร (เช่นต้นอ้ออ่อนไปตามลม มีความอ่อนน้อม ถ้าเป็นต้นสักเมื่อลมพัด
แรง ๆ ก็จะโค่นได้) ฉะนั้นรู้ว่าความอ่อนสามารถชนะความแข็ง  ทุกคนขอให้รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่  ถึงแม้ว่าเราจะมีความสุข ความรู้สูงมากเพียง  แต่บางสิ่งบางอย่างเราก็ไม่ได้รู้มาก่อน  ถ้าทุกคนไม่รู้จักที่จะอ่อนน้อมถ่อมตนแล้วเราจะมีโอกาสรู้เรื่องราวต่าง ๆ มากมายหรือไม่
ท่านหลี่ต้าเซียน  :           (พวกเราได้ร่วมร้องเพลงกำลังใจ) เมธีท่านร้องเพลงจบแล้วเข้าใจความหมายหรือไม่ (เข้าใจ) เช่นนั้นเราขอถามว่าเภทภัยในจิตเรามีอะไรบ้าง (กิเลส ตัณหาและอบายมุขทั้งหลาย) ถ้าจะกำจัดสิ่งเหล่านี้ทิ้งไปเราจะต้องทำอย่างไร (ขจัดขัดเกลาจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์) วันนี้ได้พบทุกท่านทำให้เราตื่นเต้น  เพราะเราจากกันมานานแล้ว  เมธีท่านมีจุดมุ่งหมายในชีวิตเพื่อบำเพ็ญหรือว่าเพื่อจะมีชีวิตที่ร่ำรวยมีสีสัน (เพื่อบำเพ็ญ) อาจารย์ที่มาบุกเบิกด้วยความยากลำบากเพื่อสิ่งใด  เพื่อทำให้ทุกคนเข้าใจธรรมะ  ขอให้ทุกคนได้หยุดคิดพิจารณาเห็นความจริงใจของพวกเขา
ในวันนี้เรามาเพื่อที่จะทำให้ทุกคนเข้าใจธรรมะมากขึ้น  แต่
ขอให้ทุกท่านพยายามขจัดความสงสัยต่าง ๆ ที่อยู่ในจิตใจ  ขอให้ตั้งใจศรัทธาฉุดช่วยคนโดยไม่กลัวความยากลำบาก  ทุกท่านอยากที่จะสำเร็จมรรคผล อยากที่จะเจริญในธรรมะก็ควรที่จะตั้งใจบำเพ็ญ  ในโลกนี้ท่านมีอายุก็เพียงแค่ร้อยปี  ไม่ได้นานกว่านั้น  ความศรัทธานั้นจะทำให้ท่านเข้าใจ  ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี ๆ นะ  ให้ทุก ๆ คนบำเพ็ญธรรมด้วยความแจ่มใสทุก ๆ วัน
ท่านหลันต้าเซียน            :           เมื่อรู้แล้วว่าจิตนี้มีคุณค่าให้รีบ ๆ นำคุณค่านั้นมาใช้ให้มีประโยชน์ก่อนที่จะสายเกินไป  ถ้าร่างกายเราเหลือน้อยเกินแล้วคุณค่าที่มีอยู่ในตัวเราจะนำมาใช้ประโยชน์อีกได้อย่างไร
ท่านหลี่ต้าเซียน  :           ตั้งใจบำเพ็ญนะ  เกิดเป็นมนุษย์มีกายเนื้อนี้ไม่ใช่ทุก ๆ ชาติ  ทุก ๆ ท่านจะเกิดมามีกายเนื้อย่างชาตินี้  บางคนคิดว่าเกิดมาเป็นมนุษย์ถึงแม้ว่าจะร่ำรวยเงินทองแต่ว่าไม่มีสุขเลยใช่หรือไม่ (ใช่) ขอให้ทุกคนตั้งใจบำเพ็ญธรรมให้ดี ๆ
ท่านหลันต้าเซียน            :           เมื่อรู้แล้วก็ให้เร่งรีบปฏิบัติ  อย่าลืมของที่มีคุณค่าต้องรีบนำมาใช้ให้มีประโยชน์  ต้องเร่งรีบบำเพ็ญนะ



                วันอาทิตย์ที่ ๑๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๗

ปิติยินดีเวียนให้พบสุขสันต์  กลางชีวันรอคอยเพียงศิษย์หวน
พบหน้าศิษย์เห็นใจยังเรรวน                ใจผันผวนเคียงอาจารย์ไม่อยากยืน
                เราคือ
            พระอรหันต์จี้กงวิปลาส พร้อมด้วยศิษย์พี่นาจา            รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาลงสู่อริยสถาน         แฝงกายกตัญชลี
องค์มารดาถามศิษย์รักทุกคนมีความสุขดีหรือเปล่า

                มุ่งสู่ใจบัลลังก์แก้วแดนวิโมกข์             สะบัดโบกธงแรงกรรมกระหน่ำ
เตือนสติตนยับยั้งแรงกรรม  ทวนกระแสคุกคามใส่ใจรากญาณ
หากกรรมพรากจิตประคองพ้นโศกศัลย์             โอบชีวันบำเพ็ญแท้เผยใจจักรพรรดิ
ตื่นกลางโลกีย์มืดมัวเร่งสลัด                มัดจิตยิ่งมัวซ้อนภาพทุกข์
รอเพียงนานเดียวดายไม่ไหวหวั่น       ทุกคืนวันเพียงดั่งเพลิงลุกลาม
เห็นศิษย์ยังเลือนแสวงบรรเทาตาม     ยิ่งรักความหวังดาวจรัสมายา
เลิกอำพรางแล้วสู่ใจละเว้น  รู้หยุดเป็นฝุ่นภาพแปรใส
ห่างธรรมจริงหลงได้ช่วยใคร                ให้ทิ้งเวลาพลาดไกลวนเวียน
ธรรมแยบยลยากสื่อจิตปิดกั้น             มละร้อยพันรังควานประตูขาดดุลยพินิจ
เปลี่ยนแปรทุกข์ตัณหารู้ญาณสถิต     กิเลสพรากศิษย์น้องตรังค์โหมฤทัย
ทวนกรรมกระแสบำเพ็ญมุ่งตามประสงค์          ไป่ดำรงรักษ์จิตให้พิสุทธิ์ใส
แพ้ยับยั้งใจประคองลืมเข้าใจ              ภัยร้อยพันมิเท่าศิษย์เบือน
บาดแผลในดวงใจระทมเศร้า               รอศิษย์หวนเฝ้าอดทนยากเอ่ยเอื้อน
ใจอาจารย์ทิ่มแทงทุกข์ศิษย์แชเชือน    ศิษย์ลืมเลือนสัญญาจะกลับคืน
                ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงและพระนาจาเมตตา

พวกท่านอยากให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านอื่นมาหรือเปล่า (อยาก) ถ้าอยากในสิ่งที่ดีก็ดี ถ้าอยากในสิ่งที่ไม่ดีก็ไม่ดี  แล้วอยากให้ใครมาล่ะ (พระอาจารย์)
ทุกคนตั้งใจฟังหรือเปล่า (ตั้งใจ) สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ใหญ่เสมอไปเด็กก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้  ถ้าทุกคนมีความตั้งใจในการบำเพ็ญก็จะสำเร็จได้
เดี๋ยวนี้ทุกคนอยู่ในโลกมนุษย์  เจอทั้งสิ่งที่สมหวังและผิดหวัง  สิ่งที่สมหวังทำให้ศิษย์น้องมีความสุขเบิกบานใจ ถ้าหากผิดหวังก็รู้สึกเบื่อหน่ายท้อแท้และหมดกำลังใจ  วนเวียนเช่นนี้เมื่อไรจะหยุดนิ่ง
ถ้าเรามีใจที่มั่นคงในธรรมเพียงหนึ่งเดียวแล้ว  ถึงจะมีการทดสอบให้หวั่นไหวสั่นคลอน  เราก็สามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคง  และถ้ามีความทุกข์เกิดที่ใจให้ดับที่จิตของตนเอง
การกตัญญูต่อพ่อแม่ควรจะพามารับธรรมะ  และพยายามให้ท่านศึกษาให้เข้าใจ  เราควรจะดูแลเอาใจใส่ให้ความรัก เอื้ออาทรแก่ท่าน  เมื่อท่านเห็นเราเป็นคนดีท่านจึงจะมารับธรรมะ  ความคิดเราเริ่มที่ใจ ถ้าใจไม่บริสุทธิ์  การที่จะพาคนมารับธรรมะถึงแม้ว่าจะเป็นโอกาสของเขา ก็ไม่สามารถมารับธรรมะได้   ฉะนั้นเราต้องศึกษาธรรมะปฏิบัติตนก่อน  ขอให้พยายาม  กุศลที่เราสร้างเป็นของเราเอง  ศิษย์ทุกคนต้องอดทนฟันฝ่าอุปสรรคไม่ใช่ว่าคิดจะบำเพ็ญก็บำเพ็ญได้
การให้ทานมีอยู่ ๓ อย่าง ให้ทรัพย์เป็นทาน  พูดธรรมะเป็นทาน  และให้อภัยทาน
การให้ทรัพย์เป็นทาน  อาจารย์ไม่ได้บอกให้ทุกคนสละทรัพย์  แต่ทำเท่าที่เหมาะสมกับตนเอง
การให้ธรรมะเป็นทาน  การที่ส่งเสริมให้คนเป็นคนดี  ชักชวนเขามารับธรรมะได้ก็ต้องเกิดจากความพยายามของศิษย์ทุกคน  อาจารย์ไม่มีร่างกายไปฉุดโปรดเองต้องอาศัยศิษย์ทุกคนช่วยอาจารย์
สิ่งที่ทำยากก็การให้อภัยทาน เกิดจากการไม่โกรธ  ศิษย์ของอาจารย์ล้วนขาดแคลน  เราต้องมีความสามัคคีและให้อภัยกัน
การบำเพ็ญธรรม  ความรู้ไม่ใช่สิ่งสำคัญเลยอยู่ที่ใจตรงและต้องอยู่ในความไม่ประมาท  ในการบำเพ็ญธรรมจะต้องเดินไปอีกไกลและไม่ใช่เดินแบบไม่มีจุดหมาย  อย่ายึดติดอยู่ในสิ่งต่าง ๆ ที่รั้งให้ตัวเองอยู่ในโลกีย์  รูปลักษณ์ที่สวยงาม ความอยากได้นั่นอยากได้นี่  การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ว่าอยู่เหนือผู้อื่น  คนมาก่อนอาจจะอยู่ข้างหลัง  คนที่มาทีหลังอาจจะอยู่ข้างหน้าก็ได้ เพราะเขาบำเพ็ญได้ดีกว่า  ทุกคนอย่าประมาทและต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน  ศิษย์รักทุกคนต้องตั้งใจบำเพ็ญเจ้ากรรมนายเวรไม่ได้รอศิษย์  เขาไม่สนใจว่าศิษย์จะตั้งใจมากแค่ไหน  ความเคืองแค้นที่เกิดทำให้เขาไม่อ่อนข้อให้เรา
จิตของศิษย์ถ้าเป็นเสมือนธงก็สามารถที่จะโบกสะบัดให้แรงกรรมของตัวเองที่สะสมมาหลายชาติหายไปได้  อยู่ที่มีความพยายามแค่ไหน ไม่ก่อกรรมใหม่ขึ้นมาและลดกรรมเก่า  หนทางในการบำเพ็ญธรรมต้องทวนกระแส  ถ้าติดในรูปรสต้องเบิกที่จะติดและหันมาใส่ใจจิตญาณของตัวเอง ไม่หลงมัวเมาในโลกีย์  ถ้าเรามีทุกข์เรากำจัดความทุกข์นั้นไม่ได้  เราจะต้องมีสติที่มั่นคงและมีจิตที่มั่นคง  รู้ว่ามีความทุกข์อะไรแล้วกำจัดความทุกข์นั้นออกไป  เราก็จะมีความสุขและพยายามทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ขจัดกิเลสต่าง ๆ ให้หมดไป  ศึกษาธรรมะให้มาก ๆ ถึงแม้อายุยังน้อยก็สามารถที่จะบำเพ็ญได้
(ตอนบ่ายพระอาจารย์จี้กงและพระนาจาได้เมตตาประทานพระโอวาทอีกครั้ง)
วันนี้ถ้าอาจารย์ไม่มาทุกคนคงจะเสียใจ  ความสงสัยทำให้จิตเราไม่สว่าง  ถ้าจิตมีปัญหามากมายหาคำตอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไร  มีปัญหาถามอาจารย์บรรยายธรรมก็เป็นสิ่งที่ดี  แต่ถ้าหากความสงสัยทำให้ศิษย์ไม่บำเพ็ญก็ไม่มีประโยชน์  ถ้าให้ทุกคนอยู่เรือธรรมนี้ตลอดไปจะอยู่ได้ไหม  เรือธรรมก็คือสถานธรรมนั่นเอง
จิตของทุกคนถ้าอยากเป็นพุทธะก็ต้องมองคนอื่นให้เป็นพุทธะเช่นเดียวกัน  อย่าไปมองสิ่งที่ไม่ดีของคนอื่นแล้วมองตัวเองว่าดีอยู่ตลอดเวลา
ธรรมะคือสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา  เมื่อจิตของเราเปิดออกพร้อมที่จะรับธรรมะ  ถึงแม้จะมีสิ่งใด ๆ มาขวางกั้น เช่นความรัก ความโกรธ ความโลภ และความหลง  ถ้าอยากให้สิ่งเหล่านั้นหายไปก็ต้องตั้งจิตอยู่ที่จุดนั้น  ทำไมถึงเรียกว่าโลกนี้คือทะเลทุกข์  เพราะอยู่ในโลกนี้ต้องเจอกับสิ่งมากมาย  เราจะต้องต่อสู้ทั้งจิตใจของตัวเองและความไม่เข้าใจของผู้อื่นที่เข้ามารังควานจิตใจของเรา  ขอให้ทุกคนว่ายน้ำทวนกระแสแห่งทุกข์นี้
สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาบอกให้พวกเราเร่งบำเพ็ญ  แต่ถ้าหากว่าพวกบิดเบือนไม่บำเพ็ญก็ไม่มีใครจะต่อว่าท่านได้  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คงได้แต่เฝ้ามองว่าเมื่อใดที่ทุกคนจะกลับมาบำเพ็ญอีก  ขอให้ความตั้งใจนี้คงทนถาวรและต้องบำเพ็ญเสมอไป  อย่าให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องคอย  ทุกคนต้องเอาความตั้งใจชองตัวเองมาฉุดช่วยผู้อื่น  ไม่ได้บังคับว่าบำเพ็ญแล้วไม่ต้องทำงาน ไม่จำเป็น  เมื่อจิตบริสุทธิ์ ใส ว่าง มีโอกาสมาก็มา  ถ้าไม่มีโอกาสมาเมื่อประสบกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็คิดถึงจุด ๆ นั้น  ถึงแม้จะพบเหตุการณ์อะไรก็แล้วแต่จะรู้ว่าจุดนั้นมีประโยชน์มากมาย  ขอให้ทุกคนตั้งใจบำเพ็ญช่วยตัวเองและช่วยผู้อื่นด้วย
การมานั่งฟังธรรมะในวันนี้ต้องนั่งตัวตรง  เพราะเก้าอี้นี้เป็นเก้าอี้พุทธะ  บรรพชนที่เขามาด้วยต้องคุกเข่าฟังธรรมะรออยู่ข้างนอก  อย่าให้พวกเขาต้องเสียใจ  เขามาพร้อมกับศิษย์น้องทุกคน
การกระทำทุกอย่างจะต้องมีจริยระเบียบ  เมื่ออยู่ในสถานธรรมต้องมีพุทธระเบียบที่เราทุกคนต้องรู้
ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่ทุกคนจะร่วมร้องเพลงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ฉะนั้นขอให้ทุกคนตั้งใจร้องเพล  เมื่อทุกคนตั้งใจฟังธรรมะแล้วอย่าปล่อยเวลาให้เสียเปล่า  เมื่อมาฟังธรรมะ เมื่อมาทำสิ่งที่ดีก็ต้องตั้งใจให้เต็มที่  สมกับที่ได้สละงานหลาย ๆ อย่างมาฟังธรรมในวันนี้
ศีลห้ามีอยู่ในใจของทุกคน  ขอให้ทำความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง  พระพุทธเจ้าท่านมอบสิ่งนี้ไว้เพื่ออะไร  ทำไมธรรมขันธ์จึงมีถึงแปดหมื่นก็เพราะว่าการดับทุกข์มีมากมายอยู่ที่ว่าใครจะบำเพ็ญได้  ธรรมขันธ์นั้นเป็นหนทางที่ถูกต้อง  อย่าหลงในโลกที่เป็นมายา  แต่ก่อนทุกคนอยู่อย่างธรรมชาติไม่มีความสะดวกสบายมากมายขนาดนี้ทุกคนก็ยังอยู่ได้  บรรพชนของเราทำไมถึงอยู่ได้โดยไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกขนาดนี้  เพราะว่าอยู่ที่ใจ  ในเมื่อตอนนี้ยังมีอยู่ก็ให้รู้ว่ามี  แต่ถ้ามันต้องจากไปก็ต้องตัดสิ่งที่มีอยู่นั้นออกให้หมด  ความเข้าใจธรรมะสามารถแปรเปลี่ยนเป็นความเมตตาให้ทุกคนได้รับรู้  เมื่อเข้าใจธรรมะแล้วก็ต้องให้คนอื่นได้เข้าใจธรรมะเช่นกัน
อาจารย์ไม่อยากจากศิษย์รัก  เพราะศิษย์ยังไม่ตื่น  ทำให้อาจารย์เจ็บปวดในการรอคอย  ศิษย์รักทุกคนคิดว่าชีวิตนี้เป็นความฝัน  จะต้องรู้ว่าการที่จะกลับไปสู่แดนอนุตตรนั้นจะต้องทำอย่างไร (ต้องบำเพ็ญ) เวรกรรมของศิษย์ทุกคนมากมายจนกระทั่งอาจารย์เจ็บปวดนัก  จะให้อาจารย์แบกก็ไม่ว่า  ขอให้ศิษย์ทุกคนเร่งบำเพ็ญ  เวลาไม่ได้รอศิษย์เลย  ความเจ็บปวดที่อาจารย์ได้รับมีมากกว่าศิษย์  ถ้าศิษย์ไม่เริ่มบำเพ็ญตอนนี้แล้วจะเริ่มเมื่อไหร่  เวรกรรมที่มีอยู่ทำให้ศิษย์ห่างไกลจากอาจารย์  ทุกคนจะต้องย้อนมองตัวเอง  อาจารย์พบศิษย์ครั้งนี้แล้วอาจารย์ไม่รู้ว่าจะได้พบศิษย์อีกหรือเปล่า  อาจารย์ไม่ต้องการให้ศิษย์มาเฉพาะตอนประชุมธรรม  เวลาอื่นอาจารย์เองก็เฝ้ามองศิษย์อยู่เหมือนกันไม่ใช่วันนี้เท่านั้นที่อาจารย์อยากเจอศิษย์  อาจารย์อยากเจอศิษย์ทุกวัน
มาสถานธรรมแล้วมาศึกษาจิตของตัวเอง  เมื่อเข้าใจแล้วฉุดช่วยคนแทนอาจารย์  อาจารย์อยากใกล้ศิษย์ทุกคน  ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญธรรม  ทางบำเพ็ญนั้นยากนัก  ศิษย์รักของอาจารย์จะกล้าฝ่าฟันไปไหม (กล้า)
อาจารย์อดทนเพื่อศิษย์ได้เสมอ  แล้วศิษย์อดทนเพื่อตัวเอง  เพื่อมรรคผลข้างหน้าได้ไหม  อาจารย์อยากมองหน้าศิษย์ทุกคนให้ชัด ๆ อยากให้ศิษย์บำเพ็ญ  เพราะไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าศิษย์รักของอาจารย์มีใจจริงที่จะบำเพ็ญได้ตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า  วันไหนคิดจะถอยไปขอให้คิดถึงอาจารย์  อาจารย์อยู่เคียงข้างศิษย์ทุกคนเสมอ  ขอให้ศิษย์เร่งตื่นขึ้น  ไม่ว่าจะนานเท่าไรอาจารย์ก็จะคอย  ลาก่อน

อ่านต่อ...

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2537

2537-05-05 พุทธสถานผู่ถี จ.พิษณุโลก



PDF 2537-05-05-ผูถี #1.pdf



วันพฤหัสบดีที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๗              พุทธสถาน ผู่ถี จ. พิษณุโลก
                สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

ความเข้าใจดุจไอน้ำเพียงบางบาง      ละชินเคยปฏิบัติกลายฝนชุ่มฉ่ำ
ล้างกิเลสที่มีเกาะมืดคล้ำ     แล้วได้นำอนธการแปรสว่าง

                เราคือ
            องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ            รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา  ลงสู่พุทธสถาน      เคียมคัล
องค์มารดา           ถามเมธีน้องทุกท่านเกษมฤๅฮวา  ฮวา

                ฝนโปรยปรายฉ่ำชื่นคืนนที   ในครานี้สามวันจุดมุ่งหมาย
จงตั้งใจด้วยสติมิกลับกลาย เพื่อมลายบาปชำระไร้มลทิน
สำรวมกายวาจาใจให้ตรงเที่ยง           อย่าคิดเบี่ยงอย่าเดินลงนะน้องเอ๋ย
ด้วยความคิดสร้างปัญหาบรรเทาเลย                รู้แจ้งจิตวิลาสศึกษาธรรม
บรรพชนทุกท่านต่างมาอยู่ด้วย           รอกุศลจากท่านที่เดินหน้า
ระหว่างทางจงอย่าถอยเลิกโรยรา      ธรรมอนรรฆล้ำค่าสว่างจิต
จงบำเพ็ญเมตตามิกังวล      แม้อาบเหงื่อแทนฝนมรคาสนอง
มีปัญญาต้องคิดใช้ปกป้อง  จากมวลผองกิเลสที่พินพง
อวเคราะห์ใช้เพื่อทดสอบท่าน           ความตรงมั่นสู่วิโมกข์มากเพียงไหน
อธิมาตรจงรู้ประตูใจ           แล้วย้อนในแสวงตนพบพุทธญาณ

ในสามวันงานร่วมคนและฟ้า               ร่วมสามัคคีนำพาให้ถึงฝั่ง
พ้นทะเลห้วงทุกข์โหมประดัง                จงระวังคำครหาให้ศรัทธา
จริยาระเบียบจงรักษา          ในพุทธสถานจงมีความเคร่งครัด
ความเซื่องซึมมิได้จิตวางจัด ปล่อยมโนจิตตามพัดยากเข้าใจ
ฟังธรรมาด้วยใจเกรงสามพลัน          มิแก่งแย่งแข่งกันให้หมองหม่น
รู้ชีวิตกำหนดทุกผู้คน            จึงได้พ้นปุถุชนคือเมธี
ในวันนี้มิกล่าวความให้มากไป             ศิษย์พี่ยืนอยู่ข้างเคียงจดคะแนน
                ฮวา  ฮวา  หยุด

-------------------------------------------------------------------------------------
๓              มรคาทาง, ช่อง, ถนน
๔              พินพงมากมาย
๕              อวเคราะห์  อุปสรรค, เครื่องกีดขวาง
๖              อธิมาตร     เหลือคณา
๗              เกรงสาม    
๑. เกรงพระโองการจากเบื้องบน
๒. เกรงพระวจนะของพระอริยะ
๓. เกรงผู้มีคุณธรรม


สัจธรรมแท้จริงใกล้เพียงนัยน์ตา          เหล่าเมธาแสวงหา ณ แดนห่างเหิน
เช่นผู้อยู่ในนทีแต่นานเนิ่น     กลับร้องเชิญหาน้ำดับกระหายตน
                เราคือ
            แปดเซียนหลี่เถียไกว่  พร้อมด้วยเหอเซียนกู   ร่วมรับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาลงสู่พุทธสถาน         แฝงกายกตัญชลี
องค์ชคัตตรยาพดงส์แล้วถามเมธีทุกท่านเกษมฤๅ

                ให้เวลาแด่ตนและมวลชน     มหัคภัณฑ์พรากคนเดิมจากรู้ตื่น
เพื่อชีพใหม่รู้วาระพุทธะชื่น  ธรรมโอสถฟื้นตนจริงเร่งฝีพาย
สกัดใจที่เคลือบสัมปยุตกิเลสกล้า      ชำระล้างเคยระเริงไม่มัวพ่าย
โลกหม่นหมองหมายปองดั่งใจ            ทำเช่นไรจึงจะกลายนิรพาณ
สงบใจข้อวุ่นวายทารุณจิตต่ำ              เหลือมั่นคงในธรรมาวาระท้าย
มโนคติที่มิชอบพึงแก้ไข        ทรัพย์ธรรมอภัยสามทานควรกระทำ
คะนึงคิดตนพลั้งผิดไหมเสมอ              อดีตย้อนแก้กลางใจรู้ควรปหานะ
พิจารณ์ดูน้อมจิตแท้ดำรงคุณ              สิ่งไหนสุขุมทวีแยบยลเท่าธรรมา
เมื่อรู้ค่าศึกษาตนเร่งอัสสะ   มิปมาทะพบสัจธรรมจีรังบำเพ็ญใจ
ภูวนเห็นมองอย่างทุกข์หรือสุข             ทะเลทรายภาพสมมติเกิดเลือนหาย
หลับตามิอาจปลดปลงเรื่องร้าย          สิ่งหลอกลวงมลายเพราะอายตนะสงบ
                ฮา  ฮา  หยุด


            โศกปิติชั่วชีวิตหนึ่ง  ดั่งความฝันหลอกตา  กว่าจะฝ่ามายานั้นพ้นก็นานเกิน  สรรพสิ่งภาพลวงยิ่งกว่า  กว่าจะหวังสิ่งใด  อยากจะเก็บลวงตานำไปไม่มีใครทำได้  กว่าจะตื่นเข้าใจทุกอย่าง  กว่าจะเห็นสัทธรรม  กว่าจะผ่านคืนวันมัวเมาก็นานปี  ตื่นมาพานพบภาพจริง จบกับสิ่งมายา
     *      สัจธรรมใกล้เพียงเงา  ใกล้ตัวเรากว่าสิ่งใดใด  แต่กลับมองไกล  ยิ่งมองไกล  ยิ่งจะไกลห่างกันไป  ห่างจากกลางใจ (ห่างออกไป)
            อยากจะหยุดห้วงเวียนว่ายเกิด  ส่องตนด้วยหลักธรรม  หยุดกิเลสนานาประการแล้วดำเนินรอยปราชญ์  หยุดกับสิ่งที่เลยพ้นผ่าน  ผ่านมาแล้วผ่านไป  จบกับสิ่งลวงตนพาตนก้าวบำเพ็ญ  ตื่นมาพานพบภาพจริงจบกับสิ่งมายา       ซ้ำ */* ( )
            หวนทวนกระแสน้ำ  คุมหางเสือไปสู่ทางพุทธา           ซ้ำ */* ( )
            ทำนองเพลง : ง่ายเกินไป






พระโอวาทท่านหลี่เถียไกว่และท่านเหอเซียนกูต้าเซียนเมตตา

พระโอวาทท่านเหอเซียนกู :
การที่จะฟังธรรมะได้เข้าใจนั้นจะต้องไม่ยึดติดในสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือในรูปลักษณ์ต่าง ๆ  จะต้องใช้ปัญญาของเราพิจารณาและแยกแยะว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่จริงหรือปลอม  เมธีทุกท่านล้วนแต่มีปัญญาหรือพุทธจิตเดิมอยู่แล้ว  ท่านลองคิดดูว่าร่างกายของพวกท่านนี้จริงหรือปลอม (ปลอม) เมื่อทุกท่านรู้ว่าปลอมแล้วยังยึดติดอยู่ทำไมเล่า  โลกนี้ก็เป็นมายาเพราะว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่คงอยู่ถาวร  มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป  ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
พวกท่านลองคิดดูสิว่าเกิดกายมาหนึ่งชีวิตมีสุขมีทุกข์ปะปนกันไป  แล้วมีใครบ้างไหมที่มีความสุขนิรันดร์ (ไม่มี) แล้วสุขกับทุกข์ทุกท่านลองคิดดูสิว่า  ในหนึ่งชีวิตของท่านมีสิ่งใดมากกว่า (มีทุกข์มากกว่า) บางคนคิดว่าเกิดมาพร้อมทั้งทรัพย์สินเงินทอง ครอบครัวอบอุ่นหรือแม้แต่เรื่องการศึกษา  แต่ถ้าหากมองลึกเข้าไปถึงข้างใน  ทุกสิ่งทุกอย่างจีรังยั่งยืนหรือไม่ (ไม่)
ชีวิตหนึ่งก็เป็นแค่เพียงความฝัน  คนส่วนใหญ่ยึดอยู่ในความฝันจอมปลอมนี้  ความสุขที่เห็นเพียงเบื้องหน้าอย่าได้ไปยึดติดกับมัน  หนทางการบำเพ็ญมีอุปสรรคมีการทดสอบมากมาย  เมธีทุกท่านลองคิดดูสิว่าการทดสอบน่ากลัวไหม (น่ากลัว, ไม่น่ากลัว) แล้วท่านคิดว่ามนุษย์ในโลกนี้กลัวข้อทดสอบข้อใดที่สุด ถ้าหากว่าเบื้องบนประทานให้ท่านมีทรัพย์สินเงินทองมากมายท่านจะดีใจหรือไม่ (ดีใจ) แสดงว่ากลัวความยากจนมากกว่า (กลัว) หากยากจนเงินทองแต่มากด้วยธรรมไม่ดีกว่าหรือ(ดี) แต่ในใจท่านทั้งหลายคิดว่า  ถ้าได้ควบคู่กันทั้งสองอย่างคงจะดีไม่น้อยเลยใช่ไหม (ใช่)
ปุถุชนคิดว่าเงินทองบันดาลทุกสิ่งได้  ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เป็นภาพลวงตาทั้งสิ้น  ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าถ้าละสังขารไปท่านสามารถนำสิ่งใดติดตนไปได้บ้าง (ความดี, ความชั่ว)
สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนมองลงมาเห็นมีน้อยคนเหลือเกินที่จะตั้งใจทำบุญสร้างกุศล  ทุกคนที่ทำก็แฝงเจตนาไว้ภายในทั้งสิ้น  หวังวอนอยากให้ร่ำรวย หวังวอนอยากให้ร่างกายแข็งแรง หวังวอนให้ครอบครัวอบอุ่น  คิดหวังสิ่งใดสมดังใจปรารถนา นี่อาจจะไม่ใช่ข้อบกพร่องหรอก  แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการที่หลายคนคิดจะบำเพ็ญ  ทุกคนคงคิดว่าพอให้ครอบครัวเราพร้อมกว่านี้  รอให้มีเงินทอง รอให้ร่างกายแข็งแรงจึงจะบำเพ็ญ  ถ้าหากท่านได้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วเมื่อท่านเข้าใจธรรมะ  เริ่มศึกษาบำเพ็ญแล้วก็จะต้องค่อย ๆ ละทิ้งสิ่งที่หลอกลวงตาและไม่ยึดติดกับสิ่งลวงตานี้  อย่างนี้ท่านเข้าใจไหม (เข้าใจ)
สิ่งศักดิ์สิทธิ์คงจะไม่มีทางเรียกร้องท่านได้มากนักและก็คงไม่มีใครสามารถเรียกร้องตัวท่านได้นอกจากตัวท่านเอง  หนทางธรรม หนทางแห่งบุญกุศล  ถ้าหากตัวท่านไม่เดินเองใครเล่าจะเดินแทนท่านได้
เมธีทุกท่านทราบหรือไม่สัจธรรมที่แท้จริงนั้นอยู่ใกล้ตัวเรานี่เอง  กลับยิ่งแสวงไปไกลแสนไกล  บางคนจากถิ่นฐานบ้านเรือนหวังจะแสวงธรรมแท้  ท่านรู้ไหมว่าธรรมแท้จริงนั้นอยู่ภายในตัวเรานี่เอง  ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมและสัจธรรมทั้งสิ้น
พระโอวาทท่านหลี่เถียไกว่ :
สัจธรรมนั้นแท้จริงก็อยู่ในตัวเราแต่ยังมีเมธีบนโลกมากมายเหลือเกินที่ไม่รู้ความจริงข้อนี้  กลับไปแสวงหาภายนอก  แท้ที่จริงแล้วจะเปรียบกันก็เหมือนกับผู้ที่อยู่ในน้ำแต่กลับขอน้ำจากผู้อื่นดับความกระหายของตนเอง
ที่จริงแล้วรอบกายของเราก็มีน้ำอยู่แล้ว  จำเป็นหรือไม่ที่ทุก ๆ ท่านจะต้องไปร้องขอน้ำจากผู้อื่น  หากว่าตนเองย้อนมองกลับมาหาตนเองแล้วก็จะเห็นว่ารอบกายเรานั้นมีน้ำอยู่มากมาย  สามารถที่จะใช้ดับความกระหายของตนเองได้ใช่หรือไม่
ทุกท่านทราบไหมว่าสัจธรรมแห่งตนเองอยู่ที่ไหน(อยู่ที่จุดญาณทวาร)   แล้วจุดญาณทวารอยู่ที่ไหน
มาประชุมธรรมวันนี้ได้อะไรไปแล้วบ้าง  วันนี้ฟังธรรมะใช้สิ่งใดฟัง (ใช้จิตญาณฟัง) แต่ทุก ๆ ท่านอาจจะสงสัยว่าเหตุใดจึงได้กล่าวว่าใช้จิตญาณฟัง  มีใครสงสัยไหม  ก็ถูกทั้งสองอย่างทั้งที่กล่าวว่าใช้จิตญาณฟังและใช้โสตฟัง  ที่จริงก็คือภายในทุก ๆ ท่านก็ใช้จิตญาณรับรู้ข้อความ หรือคำที่อาจารย์บรรยายธรรมได้กล่าวให้ฟัง  และภายนอกก็ใช้หูรับคลื่นเสียงเข้าไปถูกไหม
แอปเปิ้ลนี้ภาษาจีนเรียกว่า "ผิงกว่อ" แทนความหมายได้อย่างหนึ่งคือมรรคผล  หากว่าวันนี้ผู้ใดตั้งใจฟังและสามารถเข้าถึงธรรมได้อย่างแท้จริงและตั้งใจปฏิบัติบำเพ็ญจริง  ในภายหน้าก็สามารถได้รับมรรคผลนี้ได้เช่นเดียวกัน
เมื่อสักครู่นี้ท่านเหอเซียนกูได้ให้เพลงและท่านก็ได้อธิบายไปด้วยผู้ใดที่ตั้งใจฟังคงจะสามารถเข้าใจเนื้อความได้ใช่ไหม  มีใครจะอธิบายให้เราฟังได้บ้าง (ความสุขกับความทุกข์นั้นเหมือนความฝัน  มีแล้วก็หายไปได้  ไม่สามารถอยู่กับเราได้ตลอดไป  ภายในใจจะเก็บความสุขเอาไว้แต่ก็เก็บไม่ได้เป็นภาพลวงตาเรายึดไม่ได้  กว่าเราจะรู้ตัวก็สายไปแล้ว  เพราะว่าเราตายไปแล้ว มันก็ไม่สามารถที่จะกลับคืนมา  เราอย่าไปหลงกับความโลภ ความโกรธ ความหลง  สัจธรรมเหล่านี้อยู่กับตัวเรา มันอยู่ใกล้เราแต่เราไม่คิดจะทำ ไม่คิดจะไขว่คว้า  เราคิดว่ามันอยู่ไกลจากตัวเรา) เมธีท่านนี้อธิบายได้ดีหรือไม่ (ดี) อธิบายว่าอย่างไรละ จะเห็นได้ว่าบางครั้งอาจารย์บรรยายธรรมได้กล่าวธรรมะให้ฟังเราอาจจะดูเหมือนเข้าใจในชั่วขณะนั้น  แต่แท้ที่จริงแล้วยังไม่อาจเข้าถึงธรรมนั้นได้เพราะเหตุใด  เพราะเรายังไม่ลงแรงปฏิบัติใช่ไหม  หรือบางครั้งอาจเป็นเพราะว่าเรายังไม่เคยได้เจอกับสัจธรรมความจริงข้อนั้นจึงยังไม่อาจเข้าถึงได้ใช่ไหม (ใช่)   ฉะนั้นการที่จะเข้าถึงสัจธรรมได้นั้นไม่ใช่เรื่องยาก  แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน
ทุก ๆ ท่านอยากจะหยุดห้วงเวียนว่ายตายเกิดไหม (อยาก) ทำอย่างไรจึงจะหยุดได้ (จะต้องมองดูเข้าไปในตนเอง  ไม่แสวงหาสิ่งหลอกลวงภายนอก)  แสวงหาสิ่งหลอกลวงภายนอกเพื่ออะไร เพื่อมาปรนเปรอกิเลสในตัวเอง  เพราะเหตุใดจึงต้องมองเข้าไปในจิตตนเองเล่า (หาสิ่งที่หลอกลวง) (มองเข้าไปในตนเองเพื่อค้นหาสัจธรรมที่แท้จริงเพื่อเป็นหนทางที่เราจะบำเพ็ญธรรมต่อไป  ไม่หลงกับสิ่งหลอกลวงภายนอกกับโลกเพื่อจะได้ไม่หลงกับมายาทั้งปวง) ใช่ การย้อนมองตนเองจะปฏิบัติจริงโดยที่ไม่มีหลักเลยอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ  การย้อนมองตนเองนั้นทำได้โดย  ให้เราสำรวมจิตสำนึกว่าเรามีจิตเช่นไร  โกรธหรือดีใจหรือเสียใจเช่นไรหรือไม่  ถ้าหากมีแล้ว  ทุกครั้งที่เรามีให้เรารู้ตนอยู่เสมอว่าขณะนี้เรามีอารมณ์นั้น ๆ อยู่แล้วพยายามทำจิตให้สงบตั้งสมาธิให้ดี ๆ แล้ว  อารมณ์เปล่านั้นก็จะค่อย ๆ หายไป  แต่การที่เราจะไม่มีอารมณ์เหล่านั้นตลอดไปเลยก็เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ง่าย  แต่หากว่าเราได้ย้อนมองตนเองอยู่เสมอแล้วรู้ว่าตนเองมีอารมณ์เช่นไรอยู่  ในเวลาไม่นานก็สามารถลบล้างอารมณ์ของตนเองให้
เบาบางลงไปเรื่อย ๆ ได้
พระโอวาทท่านเหอเซียนกู :
เมธีท่านชราเยาว์นั้นต่างก็บำเพ็ญได้  อย่าคิดว่ารอให้ชราแล้วค่อยบำเพ็ญ  เพราะไม่รู้ว่าชีวิตของแต่ละคนนั้น  ชีวิตของใครจะสั้นหรือจะยาว  วันนี้ยังมีลมหายใจ  ทุก ๆ คนเริ่มบำเพ็ญตั้งแต่วันนี้ดีไหม (ดี)
ทุกท่านล้วนมีภูมิธรรมไม่น้อย  ขอเพียงตั้งใจศึกษาธรรมะเพิ่มขึ้นอีกนิดหนึ่ง  อีกไม่นานก็จะสามารถเข้าใจโดยกระจ่าง  เมื่อมรรคผลพร้อมมูลเมื่อไหร่  ก็ขึ้นไปพบกันบนนิพพานดีไหม (ดี)






                วันศุกร์ที่ ๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๗
ยุคสุดท้ายโลกวุ่นวายเราสงบ             ผูกพันพบหน้ากันเกษมศานต์
โอ้ศิษย์รักเมื่อไรจะคืนบ้าน  มารดากานต์รอลูกอยู่จงรู้เถิด

                เราคือ
            อรหันต์จี้กงวิปลาส             รับบัญชาจาก
องค์อนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่ธรรมสถาน แล้วแฝงกายเคียมคัล
องค์มารดาแล้วถามศิษย์รักทุกคนมีความสุขดีหรือเปล่า

                คุมจิตราบเรียบรอดตลอดฝั่ง               มิภวังค์โลกหล้าในกาลตรัยพ้น
หากมิฟื้นญาณทำนุพบอับจน             หลงห้วงวนนิทราทุกข์ทางธรรม
บำเพ็ญสม่ำเสมออย่าให้ขาดความอุตสาหะ     ผ่านแล้วละอย่าไปคิดบาดหมาง
เพียรศึกษาสายทองหมั่นแสวงทาง     กุศลสร้างเดิมช่วยนำพ้นคืน
ดวงจิตใสเห็นได้สิขรตระหง่าน           พุทธญาณหวนใจมั่นเพราะแจ้งทุกข์
รู้ถึงสิ่งเสาะหาอยู่จอมปลอมสุข          เหตุแห่งทุกข์มิข้องสุขนิรันดร์
                ฮา  ฮา  หยุด


_________________________________________
๑ ภวังค์     : ความเป็นอยู่โดยไม่รู้สึกตัว
๒ กาลตรัย : สามกาล คือ กาลอดีต, กาลปัจจุบัน, กาลอนาคต
๓ สิขร       : ภูเขา


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงเมตตา

(พวกเราร่วมกันร้องเพลงต้อนรับ  เป็นการต้อนรับพระอาจารย์) โอ้
สดชื่นจริง ๆ ใช้ได้ ใช้ได้  ปรบมือให้ตัวเองหน่อย  ต้องบอกว่าคนนำเขานำเก่งใช่หรือเปล่า ถึงได้ร้องกันเก่งทุกคนเลย  ร้องเก่งหรือเปล่า (เก่ง) ไหนมีใครบอกว่าตัวเองร้องไม่เก่ง มีหรือเปล่า มีไหม  ร้องไม่เก่งหรือร้องเก่งตัวเองเท่านั้นที่รู้ใช่หรือเปล่า
ทุกคนศรัทธาดีอยู่ใช่ไหม (ใช่) แล้วจะทำอย่างไรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้รู้ว่าทุกคนศรัทธา (ขอเชิญอาจารย์ชี้แนะ) การที่ทุกคนจะปฏิบัติธรรมต้องออกมาจากใจใช่หรือเปล่า  ถ้าใจเรามีความศรัทธาเชื่อมั่นแล้ว  สิ่งที่เราทำออกมาก็ทำในสิ่งที่ถูกต้องและคิดว่าดีแล้วใช่ไหม  ไหนมีใครอยากได้ผลไม้จากอาจารย์บ้าง  ลุกขึ้นทั้งสองคนเลย เป่ายิ้งฉุบ  ให้คนแพ้หรือคนชนะตอบก่อน อย่างนั้นคนชนะก็ตอบก่อนก็แล้วกันนะ  อาจารย์จะให้คำถามใหม่นะ  ถ้าเราอายุมากแล้วเราจะทำอย่างไรให้คนมาบำเพ็ญศึกษาธรรมและมาเชื่อคำของเรา(บอกให้ทุกคนเข้ามาศึกษาธรรมะ) คนที่สองลองตอบอาจารย์ซิว่าเมื่อมีคนหนึ่งบอกว่ารับธรรมะนั้นไม่ดีเลย  อย่าไปเชื่ออย่าไปงมงาย  เราจะบอกเขาว่าอย่างไร (บอกว่าไม่เป็นความจริง) แล้วถ้าเขาพูดอยู่ทุกวัน ๆ ล่ะจะทำอย่างไรดี (พูดให้เขาเลื่อมใสศรัทธา) ใช้การกระทำของเราให้เขาเกิดจิตใจที่ชื่นชมในตัวเรา และชื่นชมในธรรมะด้วยใช่ไหม (ใช่) คนเรานี้บำเพ็ญธรรมต้องมีสิ่งใดบ้าง (ต้องมีจิตศรัทธายึดมั่น) นอกจากศรัทธายึดมั่นแล้วมีอะไรอีก (ไม่มีจิตใจเคลือบแฝงอย่างอื่น มีความมั่นคงจริงใจ ต้องมีศีล สมาธิ ปัญญาเกิดได้ด้วยความเพียรพยายามหรือเปล่า  ถ้าผู้บำเพ็ญไม่มีความเพียรพยายามแล้วสิ่งใด ๆ ก็ไม่สมารถทำได้สำเร็จใช่ไหม
อาจารย์อยากจะทราบว่าการที่ทุกคนเข้ามานั่งในที่นี้  สิ่งเดียวที่ทุกคนหวังอยากได้คืออะไร (หวังอยากได้ทุกสิ่งที่อาจารย์มอบให้) นอกจากผลไม้ที่อาจารย์มอบให้อาจารย์ก็จะมอบภาระอย่างหนึ่งให้ ดีหรือเปล่า จะทำอะไรดี (ปฏิบัติตามที่อาจารย์สอน) แล้วไปปฏิบัติมานะ
อาจารย์ว่าสามวันนี้สามารถฝึกฝนศิษย์ได้หลายอย่างใช่ไหม  อย่างแรกคือความอดทน  การที่มีจิตใจนิ่งไม่ฟุ้งซ่าน  คนที่จะขึ้นมาพูดได้ดีต้องมีจิตนิ่งด้วย  ตอนนี้ทุกคนมีแล้วใช่หรือเปล่าและต่อไปนี้ก็ต้องสามารถจะขึ้นมาพูดได้  ฟังไปตั้งเยอะแยะก็ต้องได้รับมากมายเหมือนกัน  ข้อมูลก็มีแล้ว คุณสมบัติก็พร้อมแล้ว  มีอย่างเดียวที่ทุกคนไม่รู้ว่ามีมากน้อยเท่าไรก็คือความตั้งใจที่จะขึ้นมาใช่ไหม (ใช่) สิ่งที่ทุกคนจะลืมไม่ได้ก็คืออาจารย์และผู้อาวุโสที่อยู่ข้างหน้า  รู้ไหมธรรมะนี้มาจากไหน  มาจากเบื้องบน องค์อนุตตรธรรมมารดาท่านมอบให้ใช่ไหม  เมื่อลงมาแล้วทุกคนรู้ว่าได้รับธรรมะอันล้ำค่าจะต้องไม่ปล่อยทิ้งไป  คนต่อมาผู้ที่สืบทอดพงศาธรรมต่าง ๆ ซึ่งเยอะแยะมากมาย  ปัจจุบันนี้ที่เราเห็นได้ก็คือ เหล่าเฉียนเหยิน เฉียนเหยินและเตี่ยนฉวนซือข้างหน้าเราใช่ไหม (ใช่) ดูสิท่านข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากเมืองจีน ไต้หวัน  มาถึงเมืองไทยและประเทศต่าง ๆ มากมาย  ท่านทั้งหลายก็เหนื่อยใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าหากเหนื่อยแล้วคนที่นี่เข้าใจธรรมะ ท่านก็ปลื้มใจกันทั้งนั้น  อาจารย์เองก็ปลื้มใจด้วย  จริง ๆ แล้วทุกคนที่ปฏิบัติงานธรรมไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทนเลย  การที่มานั่งอยู่ที่นี่มีแต่สิ่งที่ผู้ปฏิบัติงานธรรมเขาให้ทุกคนใช่หรือเปล่า (ใช่) และเมื่อได้รับมากขนากนี้แล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง  เราต้องมีจิตใจสำนึกขอบคุณเขาใช่ไหม (ใช่) คนที่มีจิตใจสำนึกขอบคุณก็แสดงว่ามีจิตใจที่เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์  ถ้าหากมนุษย์คนไหนมีจิตรู้สำนึกว่าตลอดเวลาที่เรายืนอยู่ที่นี่เพราะใคร  เพราะคนแนะนำ
รับรองเราใช่หรือเปล่า (ใช่) ต้องมีจิตใจสำนึกให้มาก ๆ สามวันนี้ถึงจะมีค่า  ถ้าฟังธรรมะมากมายแต่ไม่มีจิตใจสำนึกตัวนี้ ฟังอะไรไปเดี๋ยวเดียวก็เลยไปแล้วใช่ไหม (ใช่)
"หากมิฟื้นญาณทำนุพบอับจน  หลงห้วงวนนิทราทุกข์ทางธรรม"  ถ้าไม่ฟื้นฟูจิตใจธรรมญาณของตัวเอง  ทำนุบำรุงให้ดีขึ้น  ซ่อมแซมที่มันสึกหรอไปก็จะพบกับทางอับจน  ก็เหมือนกับว่าหลงวนในห้วงนิทราที่หลับไม่ตื่นสักที  ถ้าคนไหนบำเพ็ญธรรมแล้วไม่รู้ว่าบำเพ็ญธรรมจริง ๆ ต้องปฏิบัติจิตใจตัวเองอย่างไร  ในที่สุดก็ทุกข์เหมือนกันเพราะไม่รู้ว่าจิตใจตนเองจะเดินไปทางไหนใช่ไหม
"บำเพ็ญสม่ำเสมออย่าให้ขาดความอุตสาหะ  ผ่านแล้วละอย่าไปคิดบาดหมาง"  ไม่ว่าคนอื่นเขาจะมากระทบกระทั่งเราอย่างไร  เราเป็นผู้มีธรรมะแล้วเป็นกัลยาณชนแล้ว  เราจะไม่ปริปากว่าเขาเลยใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้แจกน้ำให้ทุกคน) เวลาแจกน้ำต้องมีคนหนึ่ง
ดูแลอาจารย์ข้างหน้าใช่ไหม  เมื่อสักครู่นี้อาจารย์บอกหรือเปล่าให้สำนึกขอบคุณอาจารย์คนข้างหน้าใช่หรือเปล่า (ใช่) ไม่ใช่แต่อาจารย์เตี่ยนฉวนซือที่คุมที่นี่ที่เดียว  ยังมีเตี่ยนฉวนซือที่อื่นที่มาและยังมีเตี่ยนฉวนซือ, เจี่ยงซือไต้หวันอุตส่าห์มาที่นี่เพื่อให้กำลังใจแด่ทุกคนอีกใช่ไหม (ใช่) มีคำพูดคำจีนคำหนึ่งว่า "ดื่มน้ำแล้วให้นึกถึงต้นธารของน้ำ" คือย้อนนึกให้ถึงต้นตอการเป็นมาของน้ำนี้  เปรียบเสมือนกับการที่เราต้องนึกว่าการที่เรามีโอกาสในวันนี้  สิ่งที่ได้มาในวันนี้ไม่ใช่ได้มาง่าย ๆ  มีความเป็นมาเป็นต้นสายที่ยาวนาน  ดังนั้นเมื่อเราดื่มน้ำจึงควรคิดถึงต้นธาร
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า "สุขไหนจีรัง") ชื่อเพลงคือ "สุขไหนจีรัง" วันนี้ทุกคนมีความสุขเราได้เจอหน้ากันก็เป็นความสุขใช่ไหม  ถ้าเราจากกันนั่นก็คือความทุกข์ใช่ไหม (ใช่) แล้วสุขในโลกนี้เป็นสุขที่ไม่จีรังยั่งยืนใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วทำอย่างไรเราจึงจะมีความสุขให้ได้ตลอด  บำเพ็ญธรรมใช่ไหม และนอกจากบำเพ็ญธรรมแล้วมีสิ่งไหนอีกไหมที่ทำให้เรามีความสุขได้จีรังยั่งยืน  คนที่ตอบว่ามีอาจารย์อยากทราบว่ามีอย่างไร (สุขที่ได้ไปอยู่กับพระอาจารย์จี้กง) ต้องพาอาจารย์น้อย ๆ ที่นั่งอยู่ที่นี้ทุกคนไปด้วย จูงมือกันไป  ถ้าไปนิพพานคนเดียวไม่พาคนที่นั่งข้าง ๆ ไปด้วย  เมื่อขึ้นไปข้างบนจะต้องเสียใจที่อยู่โดดเดี่ยว  กล้าหรือเปล่าที่อยู่โดดเดี่ยว  บางคนไม่กลัวต้องอยู่โดดเดี่ยวเพราะนิพพานสบายไม่มีทุกข์แต่ว่าอยู่ข้างบนคนเดียวแล้วเห็นคนข้างล่างมีทุกข์เราก็เสียใจ  เช่นนี้เราไม่มีความสุขแล้วใช่หรือเปล่า  เพราะฉะนั้นทุกคนต้องเปิดเมตตาจิตให้กว้าง ๆ เรารู้ว่าธรรมนี้ดีต้องชวนคนมารับธรรมะให้เขาได้มีความสุข  รู้ว่าความจริง ๆ นั้นเป็นอย่างไรแล้วก็กลับคืนขึ้นไปด้วยกัน  การกลับคืนขึ้นไปเบื้องบนยากหรือง่าย (ยาก) วันนี้พูดใหม่ว่าการกลับคืนนั้นง่าย  ถ้าใจเราตั้งมั่นจริงดีไหม (ดี)  ทำตามที่อาจารย์บอก อีกหน่อยตอนที่ไม่มีกายเนื้อแล้วเราก็ได้อยู่ด้วยกัน  ทุกคนสามารถหลุดพ้นได้ทั้งนั้นถ้ามั่นใจหวนจิตใสเดิม  จิตนั้นอาจารย์ได้ให้ไปแล้วใช่ไหม อย่าได้หลงลืมกันนะ  แล้วถ้าศิษย์เห็นภาพลวงตาแล้วศิษย์ก็ได้ฝันละเมอไปกับภาพนั้น ๆ  แล้วอย่างนี้ศิษย์จะตื่นได้อย่างไร ใช่หรือเปล่า (ใช่) ตอนนี้ภาพลวงตาสิ่งสวย ๆ งาม ๆ มากมายใช่ไหม  เราจะต้องพยายามรู้ว่าตัวเรานี้จะไม่หลงกับภาพ ๆ นั้น  คนที่อยู่ในโลกนี้ก็ต้องมีทางที่จะต้องเลือกเดินมากมาย  เราเดินไปตามทางที่เต็มไปด้วยกิเลสมากมายแต่จิตใจข้างในของศิษย์นั้นใสสะอาดและบริสุทธิ์  สิ่งต่าง ๆ ที่แปดเปื้อนก็ไม่สามารถเข้ามาที่จิตใจลึก ๆ ของเราใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นทุก ๆ คนจะต้องตั้งใจไว้ว่า ต่อไปนี้ทุกคนจะรักตัวเอง รักเวไนยสัตว์  รักตัวเองไม่ใช่แค่บำรุงกายเนื้อนี้  ต้องบำรุงจิตญาณของตัวเอง  รักเวไนยสัตว์ก็คือรักคนทุก ๆ คนเหมือนกับที่พุทธะท่านได้รักสัตว์โลกทั้งหลายให้อภัยเมตตาสงสารเขา  อย่าไปทำร้ายเขาเหมือนกับที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา  แล้วต่อไปนี้เมื่อในโลกนี้ทุกคนมีแต่ความเมตตาแล้ว  ทุก ๆ วันที่เจอหน้ากันก็มีแต่รอยยิ้มที่ไม่ใช่หน้ากาก ใช่หรือเปล่า (ใช่) หน้ากากที่เป็นรอยยิ้มไม่เอาหรอกนะ  ถ้ามายิ้มให้อาจารย์อย่างนี้  อาจารย์ก็ต้องบอกว่าแย่แน่ ๆ เลย  ขนาดยิ้มให้อาจารย์ยังต้องยิ้มด้วยหน้ากาก  ถ้ายิ้มให้คนอื่นจะเป็นยังไงใช่ไหม  เพราะฉะนั้นใจกับการกระทำของเราต้องเหมือนกัน  ถ้าการกระทำและจิตใจของเราเหมือนกันแล้ว  ก็แสดงว่าเราเป็นพุทธะเป็นผู้ที่มีจิตเที่ยงตรง มีความมั่นควง  รู้ว่าจะต้องเดินทางไปทางไหน  เมื่อเราไม่หลอกผู้อื่นแล้ว  แน่นอนเราก็ไม่หลอกตัวเองอยู่แล้วใช่หรือเปล่า  ทุก ๆ วันคนที่ยังมึน ๆ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตของตนเองก็เพราะว่าตลอดเวลารู้ว่าหนทางที่แท้นี้ดี  แต่ก็หลอกตัวเองว่าเรายังมีหน้าที่ทางโลก เราต้องเรียนหนังสือ เราต้องหาเงินเยอะ ๆ เราต้องเลี้ยงลูกให้ดี  และเราอีกนี่และจะต้องเฝ้าบ้านอยู่กับบ้าน  เราต้องดูทีวีเพื่อความสุขของเราหรือเปล่า  ลองคิดดูซิว่าเราต้องการความสุขอันไหนกันแน่  เราต้องการความสุขที่อยู่ในโลกนี้เที่ยวเต้นไปวัน ๆ หรือว่าเราต้องการความสุขที่ปราศจากความทุกข์ตลอดกาล  นี่แหละหนาเป็นสิ่งที่สำคัญใช่หรือเปล่าศิษย์รัก (ใช่) วันนี้อาจารย์อยู่กับทุกคนนานไหม  เวลาในโลกนี้ก็เป็นแค่พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้ว  ชีวิตมนุษย์ก็เหมือนกัน ถ้าวันนี้ศิษย์บอกว่าพรุ่งนี้ค่อยบำเพ็ญ พรุ่งนี้ก็บอกว่ามะรืนนี้ มะเรื่องนี้หรือว่าปีหน้า  ปล่อยให้ลูกหลานเขาโตก่อนค่อยบำเพ็ญ  แล้วเมื่อไหร่เราจะบำเพ็ญ  การที่เราอยู่ในโลกคนที่เป็นนักเรียนก็บำเพ็ญได้ เรียนไปด้วยบำเพ็ญไปด้วย  คนที่ทำงานก็บำเพ็ญได้เหมือนกัน  ไม่ว่าจะทำหน้าที่อะไรก็แล้วแต่  ธรรมะนี้ไม่ได้อยู่ภายนอกแต่อยู่ภายในจิตของตัวเราเท่านั้นเองใช่ไหม (ใช่) วันนี้อาจารย์พูดเยอะแยะเหลือเกินศิษย์ฟังไปได้แค่ไหนแล้ว ไม่ลืมหมดนะ  แล้วผู้ทำพระโอวาทจะนำพระโอวาทมาให้ทุกคนดู  แล้วทุกครั้งที่ดูโอวาทก็ขอให้ศิษย์ทุกคนนึกถึงอาจารย์และนึกดูว่าตัวศิษย์เองนี้ได้ทำตามที่ศิษย์ได้พูดไว้หรือเปล่า  เมื่อนึกถึงอาจารย์แล้วลองคิดซิว่า  ปณิธานความตั้งมั่นของศิษย์นั้นเหมือนอาจารย์บ้างหรือยัง  มีตรงไหนที่ยังแตกต่างไม่เหมือนอาจารย์บ้าง  ทุกคนเป็นจี้กงน้อย ๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เมื่อทุกคนเป็นจี้กงน้อย ๆ จี้กงแปลว่าเมตตา อนุเคราะห์ชาวโลกทั้งปวง  เพราะฉะนั้นศิษย์ทุกคนจะเป็นผู้ที่เมตตาอนุเคราะห์ชาวโลกทั้งปวงได้ไหม (ได้) ในเมื่อวันนี้มีเวลาอยู่แค่น้อยนิดเราจะต้องรักษาให้คุ้มค่า  ถ้าสมมติว่าเวลาน้อยนิดแค่นี้  เมื่อเวลาผ่านไปศิษย์ลืมมันไปเสียแล้ว อาจารย์เหนื่อยแค่ไหนพร่ำสอนศิษย์แต่ไม่มีใครจำได้  แล้วอย่างนี้อาจารย์มาสอนศิษย์อาจารย์ก็ต้องเสียใจตลอดเวลาใช่หรือเปล่า เมื่ออาจารย์สอนไปแล้วศิษย์ก็ต้องตั้งใจบำเพ็ญทั้งภายในภายนอก ถ้าบำเพ็ญเพียงแค่เปลือกนอกอย่างเดียว อาจารย์เห็นอาจารย์ก็ทุกข์ใจ  ไม่ใช่อาจารย์ทุกข์ใจเพราะหนี้กรรมที่อาจารย์แบกแทนศิษย์หรอกนะ หนี้กรรมจะหนักแค่ไหนอาจารย์ก็แบกให้ได้ อาจารย์มีแรงเท่าไรอาจารย์ก็จะทำเพื่อศิษย์เท่านั้น  ศิษย์ไม่ต้องสนใจว่าอาจารย์จะเหนื่อยหรือเปล่า  ตอนนี้อาจารย์สอนแค่ว่าให้รักตัวเอง รักเวไนย  แค่นี้ทำได้แล้วอีกหน่อยก็มีความสุข  เมื่อรักตัวเองก็ต้องรู้ว่า  เหมือนเราไปขอยืมเงินใครเขามาเราก็ต้องรู้จักใช่คืนให้เขา  ถ้าสมมติว่าเราติดหนี้เขามา  สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราก็ถือว่าเป็นการชดใช้ต่อเขา  เมื่อไรที่ศิษย์ใช้เขาหมดไปแล้ว  และศิษย์มีกุศลพอ  มีจิตใจที่เบาใสพอก็ต้องกลับขึ้นไปได้แน่  หนี้กรรมนี้ศิษย์บางคนก็โดนแค่น้อยนิด บางคนก็โดนมากมาย  แล้วอะไรล่ะจะเป็นเครื่องวัดว่าใครโดนมากโดนน้อย  ถ้าไม่ใช่
ตนเองทำมาจะโดนไหม  ไม่โดนใช่ไหม  อาจารย์รักศิษย์ทุก ๆ คน  แล้วอาจารย์ก็รู้ว่าศิษย์ของอาจารย์ก็รักอาจารย์เหมือนกัน เพราะฉะนั้นความรักที่อาจารย์ให้ศิษย์เป็นความรักที่บริสุทธิ์เหมือนพ่อรักลูกใช่ไหม(ใช่) อาจารย์เป็นทั้งพ่อและแม่ให้แก่ศิษย์  อาจารย์จะดูแลชีวิตและจิตใจของศิษย์อย่างดี  และศิษย์ก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี  เอาละนะเวลาก็ไม่มีมากมาย  ถ้าอาจารย์ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปอีก คนที่อื่นเขาก็รออาจารย์เหมือนกัน ทุกคนในโลกนี้ต้องรู้จักแบ่งเวลานะ  ทางโลกกับทางธรรมต้องแบ่งให้ชัดเจนและต้องรู้ว่าสิ่งไหนสำคัญกว่ากัน  ถ้าครั้งแรกศิษย์ทุ่มสุดตัว  ทางโลกไม่เอาไว้เลย เอาไว้แต่ทางธรรมสุดตัว  ศิษย์ต้องรู้ว่าศิษย์จะบำเพ็ญได้นานแค่ไหน  ค่อย ๆ บำเพ็ญสองอย่าง  ค่อย ๆ ก้าวจะดีกว่า  ก้าวอย่างมั่นคงก็ก้าวได้ตลอดใช่หรือเปล่า (ใช่) อีกหน่อยไม่มีใครเขามาสนใจศิษย์เท่าอาจารย์  บำเพ็ญธรรมต่างคนก็ต่างคิดว่าตนเองถูก  ไม่มีใครเขาเห็นใจกันแล้วศิษย์จะทำอย่างไร แต่การบำเพ็ญธรรมไม่ได้ไร้เยื่อใยขนาดนั้นหรอกนะ  ทุก ๆ คนมีจิตเมตตาไม่เหมือนกับคนข้างนอกที่ไม่มีธรรมะ  วันนี้รู้ความ
ล้ำค่าแล้วขอให้ศิษย์เก็บรักษาเอาไว้   ลาก่อน ขอให้ศิษย์มีความสุขนะ







                วันเสาร์ที่ ๗ พฤษภาคม  พุทธศักราช ๒๕๓๗
บำเพ็ญธรรมด้วยมโนที่คงมั่น              หากไหวหวั่นอามิสอนธการ
ต้องหยุดอยู่ ณ เอกกลางภูผาคล้าย   เพื่อมลายอาสวกิเลสกลับแรกเดิม
                        เราคือ
            องค์ราชบุตรสามนาจา      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    เทียมล้อไฟลงสู่พุทธสถาน ผู่ถี  แล้วก้มกายกราบ
องค์ชคัตตรยาพดงส์ผู้เมตตา
กุศลเป็นสิ่งดีงามสร้างเร็วไว                มัวชักช้าร่ำไรทูตสวรรค์ให้สามัคคี
มรรคผลมีมากมายเร่งเดินไว               บำเพ็ญนอกในลงแรงด้วยใจบากบั่น
มุ่งสู่ปณิธานแกร่ง แจ้งญาณตน  อริยะแฝงกายตน  เมตตาต่อชนกลับถิ่น
                ทำนองเพลง : ปักกิ่ง (โฆษณา)


พระโอวาทราชบุตรสามนาจาเมตตา

เป็นอย่างไรบ้างวันนี้  อาหารเจอร่อยไหม (อร่อย) เมื่ออิ่มและอร่อยแล้วต้องรู้สึกอย่างไรบ้าง (ขอบคุณแม่ครัว) รู้หรือยังว่าเราเป็นใคร  ตอนนี้ทุกคนฟังธรรมะมาก็เยอะ ง่วงนอนหรือเปล่า  คนเราถ้าบำเพ็ญไม่มีใจที่
คงมั่น ไม่มีใจที่ศรัทธาจะมาบำเพ็ญได้หรือเปล่า  แม่ครัวเหนื่อยไหม  ขอให้ทุกคนเปลี่ยนความเหนื่อยมาเป็นสิ่งที่แสดงออกมาให้ทุกคนได้เห็นว่า  เราทำงานธรรมะก็เพื่อให้ผู้อื่นได้รู้จักว่าบำเพ็ญอย่างไร เมื่อเราเห็นคนข้างหน้าบำเพ็ญโดยที่ทำให้เราโดยไม่หวังผลตอบแทน ฉะนั้นเราต้องบำเพ็ญเหมือนกัน  ต้องเปิดใจออกมาให้กว้าง ๆ เหมือนอย่างแม่ครัว หรือผู้นำทุก ๆ คน
เมื่อกี๊ร้องเพลงธรรมะอะไรไปบ้าง  สายทองยาวเนื่องต่อใช่ไหม  เห็นหรือเปล่าว่าพงศาธรรมมีมาตั้งนานแล้ว  ถ้าตอนนี้ไม่รีบบำเพ็ญแล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปบำเพ็ญอีก
ทุกคนเมื่อได้รับธรรมะแล้ว ได้ประชุมธรรมที่เหลืออยู่ก็คือการตั้งปณิธาน  ซึ่งจะต้องดำเนินต่อไป  กลอนนำที่เราให้ไปมีใครพอเข้าใจบ้าง  ทุกคนเมื่อบำเพ็ญธรรมจะต้องมีใจที่คงมั่น  เพราะเราต้องเจออุปสรรคต่าง ๆ มากมาย  ความทุกข์ของเราเกิดจากอะไรทุกคนรู้ไหม  ความทุกข์เมื่อเกิดมามันก็เกิดจากใจเราใช่ไหม  แต่ความทุกข์ที่เกิดนั้นทุกคนอย่าไปจมปลักกับมัน  เมื่อเกิดให้เรารู้ว่ามันเกิด  เกิดแล้วก็ปล่อยวางมันลงไป  อย่าไปแบกกับมันมาก  เราต้องแบกภาระอื่นตั้งเยอะแยะ  ต้องเลี้ยงดูคนอื่น ต้องตอบแทนพระคุณพ่อแม่ใช่ไหม  แล้วเราจะต้องมาแบกทุกข์อีกทำไม  มีหนทางให้เราบำเพ็ญทำไมเราไม่รีบบำเพ็ญ  จะให้พระแม่ของเราต้องเศร้าเสียใจไปถึงไหน  เมื่อทุกคนรู้ว่าทุกข์เกิดที่ใจ  เราก็ต้องย้อนกลับมาที่ใจเราใช่ไหม  ใจมันตั้งอยู่ตรงนี้เราก็พยายามดับทุกข์ที่ตรงนี้  พยายามย้อนมองเมื่อเราย้อนมองบ่อย ๆ เข้าจิตของเราก็จะรู้ว่าอะไรที่เราควรทำ  อะไรที่เราไม่ควรทำ  ฉะนั้นทุก ๆ ครั้งเมื่อมีอะไรเราย้อนกลับมาเราก็จะสามารถพิจารณาได้ว่าสิ่งไหนถูก สิ่งไหนผิด สิ่งไหนควรทำ สิ่งไหนไม่ควรทำ  บางที่เราอาจไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำให้กับคนอื่นนั้นเราว่าเราดีแล้ว  เขาอาจไม่พอใจก็ได้จริงหรือเปล่า  บางคนต้องประสบกับความทุกข์มากมายกับคำพูดที่ตัวเองสร้างไป สร้างกรรมปากบ้าง สร้างด้วยการกระทำบ้างตั้งหลายอย่างหลายแบบ  ฉะนั้นต้องรีบบำเพ็ญตัวเราแล้วก็ย้อนเข้ามาบำเพ็ญที่จิตใจหรือบำเพ็ญที่จิตใจก่อนก็ได้ก่อนก็ได้  แล้วก็ย้อนออกไปที่ตัว
หน้าที่มีตั้งเยอะแยะฉะนั้นทุกคนต้องรีบมาช่วยกันนะ  สถานธรรมที่นี่ก็จะขยายขึ้นอีก  ถ้าคนไม่พอสถานธรรมจะมีไว้ทำไมล่ะถ้าไม่มีคนมา (อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม : พวกเรายินดีมาช่วยไหมครับ) (นักเรียน : ยินดี) อย่างนี้ค่อยชื่นใจ
หัดทานลูกอมนะ (เมตตาให้แจกลูกอม  ให้อาจารย์ก่อน  ให้อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมก่อน  ท่านเป็นผู้นำ (อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม : ท่านได้ให้ธรรมะข้อหนึ่งคือ  ทำอะไรก็แล้วแต่ให้นึกถึงผู้อาวุโสก่อน)
เรามาเล่นเกมก่อนเดี๋ยวค่อยร้องเพลงต่อ  ท่านได้เมตตาให้นักเรียนในชั้นนับจำนวนคนให้เริ่มจากท้ายแถวก่อน  จากท้ายแถวกลับขึ้นมาข้างหน้าเพื่อฝึกย้อนจิตกลับสู่ที่เดิม  การที่จะย้อนกลับสู่จิตเดิมเราต้องฝ่าฟัน  การที่จะบำเพ็ญธรรมเพื่อทวนกระแสนั้นไม่ใช่ง่าย  ทุกคนจะต้องมีสติอยู่ที่จุด ๆ นั้นตลอดเวลา  (เมตตาให้แจกทอฟฟี่ให้แก่ญาติธรรมทุก ๆ ท่าน) ท่านเมตตาประทานเพลงทำนองขนมปักกิ่ง  ทีวีดูก็เพื่อให้เราไม่เคร่งเครียด  เราต้องรู้จักดูทีวี  ดูทีวีก็ย้อนดูจิตของเรา  ในทีวีก็มีทั้งเรื่องเศร้าเสียใจ สมหวัง ฉะนั้นจิตใจของเราเหมือนทีวี  หากไม่อยากมีชีวิตอย่างทีวีก็ต้องตั้งใจบำเพ็ญที่จุด ๆ นั้น
กุศลทุกคนต้องสร้างใช่ไหม  แล้วสิ่งไหนที่เรียกว่ากุศล  (ทำบุญให้ทานรักษาศีล)  (เมตตาแจกทอฟฟี่ให้แก่นักเรียนอีก แต่นักเรียนตอบไม่เอา) อย่างนี้สิถึงจะเรียกว่าผู้บำเพ็ญต้องรู้จักความพอดี  ทำไมจึงกล่าวว่าเข้ามาวงการธรรมไม่จน  ออกจากวงการธรรมไม่รวย  ถ้าทุกคนรู้จักพอดี  ทุกคนก็ไม่มีความอยาก
บำเพ็ญธรรมอย่ายึดติดอะไรมากนัก  ต่อไปหากไม่มีการมายืมร่างอีก  ขอให้มีความสุขที่ใจ  สุขนั้นต้องเกิดจากใจ  ถ้าทุกคนรู้จักพอดีนั่นก็คือความสุขแล้ว  ตั้งใจฟังต่อไป  เมื่อประชุมเสร็จแล้วก็เร่งรีบบำเพ็ญอย่าให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ผิดหวัง  ให้สัญญาไปต้องมีคำสัตย์  พูดแล้วต้องทำให้ได้อย่างที่พูด  ขอให้ทุกคนตั้งใจ

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา