วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

2562-11-30 สถานธรรมหมิงอี้ จ.ตาก

西元二○一九年歲次己亥十一月初五日                   仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๒                   สถานธรรมหมิงอี้ จ.ตาก
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี
  เมื่อเริ่มต้นก็ต้องไปให้ถึงสุด         อย่าเดินเดินหยุดหยุดหมดความหมาย
เมื่อเข้าใจก็ต้องเดินให้ถึงชัย           ความลำบากคัดคนให้ใครเก่งจริง
                              เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก น้อมกายกราบอัญชุลี
องค์มารดา                               ถามเมธีทุกท่านเกษมสำราญฤๅ
   ตามรอยเท้าแห่งอริยาแนบสนิท     หมุนชีวิตแห่งกงล้อบาปบุญเคลื่อน
ประสบการณ์ล้วนแล้วเป็นเครื่องเตือน      ไว้เป็นประกันเหมือนสัจธรรมความจริง
ความเหงาเศร้าอันวิเวกน่าสะพรึง     เหงาที่หนึ่งเป็นหนีหลีกสรรพสิ่ง
ปกติคงไว้ยากมีใครนิ่ง                  แยกแยะความสิ่งสิ่งนั้นอะไร
ถือสาจริงได้ทุกข์เองนั้นสนอง         วัฏจักรล้วนต้องเป็นไปเช่นไหน
อุเบกขาใดสิ่งทำก่อนทำใจ             รวบรวมนั้นสิ่งกระจัดกระจายหนียิ่งลึก
รู้จักทำใจได้ไม่หมองหม่น              ขณะพ้นไม่สร้างแต่รู้สึก
ประเมินผลตระหนักเหตุทุกข์รู้ลึก     ให้มาฝึกปล่อยวางเพิ่มหวั่นลำพอง
ไม่ข่มเหงไม่ก่อบาปพยาบาท          ไม่เร่งบำเพ็ญเกรงอำนาจชวนผยอง
คนบำเพ็ญฝึกอ่อนน้อมตามครรลอง  ปฏิบัติธรรมเตือนตนต้องประจำวัน
คนไม่มีดีพร้อมโดยธรรมชาติ          หากไม่ขาดก็เกินต้องบากบั่น
เข็นครกขึ้นภูเขาต้องฝ่าฟัน            นอกในใจนั้นมีธรรมครอง
                                                                                                               ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี


ทำอะไรต้องทำจริง เมื่อมุ่งมั่นแล้วก็ต้องไปให้สุด ใครเปลี่ยนใจมาวันนี้วันเดียวพอ (ไม่เปลี่ยน)  อยากจะรู้อะไรก็ควรรู้ให้ชัดก่อนที่จะปฏิเสธ จะได้ไม่เสียโอกาส หรือเสียสิ่งที่ไม่น่าจะเสียไป การศึกษาธรรม สิ่งที่สำคัญคือ เรียนรู้ใจตน ผ่อนปรนเรื่องผู้อื่น จะปฏิบัติธรรมไม่ใช่เอาธรรมะไปตีกรอบวัดค่าใคร ไปตรวจสอบใคร แต่ผู้ปฏิบัติธรรมคือผู้ที่เข้มงวดตนเอง ผ่อนปรนผู้อื่น แก้ไขตัวเองไม่แก้ไขผู้อื่น เรียกว่าหนทางที่ถูกต้องในการปฏิบัติธรรม แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเราปฏิบัติธรรมเข้มงวดผู้อื่น ผ่อนปรนตัวเอง เรียกร้องผู้อื่น แต่ลืมเรียกร้องใจตน เช่นนี้ไม่ถูกต้อง
บางครั้งการนิ่งเงียบคือธรรมะที่ดีที่สุด เพราะหนึ่งคำพูดคือหนึ่งความคิดเห็น และหนึ่งความคิดเห็น ชอบตัดสินผู้คนว่าถูกว่าผิด ทั้งที่จริงๆ แล้ว ทุกความคิดเห็นมีทั้งถูกและผิด แต่ถึงที่สุดแล้วเราก็ต้องปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นจริงตามธรรมชาติ สิ่งที่ดีที่สุดบางครั้งก็คือการนิ่งเงียบและยอมรับความจริง ซึ่งบางทีชีวิตเราลืมตรงนี้ไป เรื่องบางเรื่องเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เราไม่มีส่วนรู้เห็น แต่เราก็ทำตัวเหมือนรู้ไปหมด ใช่หรือไม่
เรื่องบางเรื่องเรายังไม่เข้าใจแจ่มชัด แต่เราก็คิดว่าเรารู้ชัด จนถึงที่สุดแล้วชีวิตเป็นสิ่งที่ยาก ยากจะทำให้ดีที่สุด ใช่หรือเปล่า ท่านว่าโลกนี้น่าอยู่เพราะ (มีธรรมะ)  มีธรรมะ แล้วทุกวันเรามีธรรมะไหม (มีบ้างไม่มีบ้าง)  ชีวิตก็เลยน่าอยู่บ้าง ไม่น่าอยู่บ้าง แล้วเรายังมีชีวิตอยู่ได้เพราะ (เรามีธรรมะในใจ)  อย่างนั้นเมื่อไรไม่มีธรรมะ ก็ขาดชีวิตชีวาใช่ไหม ไม่มีอะไรผิด ไม่มีอะไรถูก เมื่อพูดถึงธรรมะและความเป็นจริงในชีวิต
เคยได้ยินไหมว่าถ้าไม่มีคนๆ หนึ่งเสียสละเพื่อเรา เราจะยังอยู่บนโลกนี้ได้ไหม ถ้าไม่มีคนที่รู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ และเห็นผู้อื่นสำคัญกว่าตัวเอง จะมีเราอยู่บนโลกนี้ได้ไหม แต่พูดอย่างนี้คงนึกไม่ออกใช่ไหม มีคนๆ หนึ่งที่กินอิ่มและอยู่สบายโดยที่ไม่ต้องทำอะไร เพราะมีคนที่ยอมลำบาก เพื่อให้เรากินอิ่มและอยู่สบาย
โลกนี้น่าอยู่และเรายังมีชีวิตอยู่ได้ เพราะมนุษย์รู้จักเห็นคุณค่าของผู้อื่นมากกว่าตัวเอง และรู้จักเสียสละผลประโยชน์ส่วนตน เสียสละความสุขส่วนตนเพื่อคนอื่น วันนี้เรามีเงินใช้ มีเงินเที่ยว มีชีวิตอยู่ได้จนเติบโตทุกวันนี้ เพราะความรับผิดชอบของพ่อแม่ เพราะความเสียสละความสุขตัวเองเพื่อลูก ถูกไหม (ถูก)  เราเกิดเป็นคน เราจะห่วงแต่ความสุขตนจนไม่นึกถึงความสุขผู้อื่นได้ไหม (ไม่ได้)  โลกนี้น่าอยู่ก็เพราะมีผู้เสียสละ เพราะมีผู้เมตตา เพราะมีคนที่เมื่อมีความสุขคิดถึงคนที่ทุกข์ เมื่อได้ดีคิดถึงคนที่โชคร้าย จริงไหม (จริง)  แต่มนุษย์มักจะให้เหตุผลในการทำดีว่า ขอให้มั่งมีก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยอนุเคราะห์ช่วยเหลือคน ถ้าคิดอย่างนี้พ่อแม่คงไม่ต้องดูแลเรา เพราะพ่อแม่ทำทุกอย่างเพื่อจะให้มีฐานะและมาดูแลเรา ถูกไหม (ถูก)     วันหนึ่งถ้าเรามีโอกาสเป็นพ่อแม่บ้าง แล้วเราไม่เคยคิดเสียสละเลย เราจะเลี้ยงลูกได้สำเร็จไหม และชีวิตนี้จะมีรุ่นต่อไปไหม (ไม่มี)  ถ้าทุกคนคิดแค่เพียงว่า ขอตัวเองมีก่อน แล้วค่อยช่วยคนอื่น แล้วเราจะมีรุ่นหลังให้สืบต่อไหม (ไม่มี) 
โลกนี้น่าอยู่ได้และเรายังคงอยู่ได้เพราะเมื่อเราสุขนึกถึงคนที่ทุกข์ เมื่อเรามีนึกถึงคนที่ไร้ ไม่จำเป็นจะต้องรอจนร่ำรวยแล้วถึงให้ เพราะถ้าคิดแบบนั้นคงไม่มีวันให้ใครได้ จริงไหม (จริง)  เมื่อไรเรารวย (ไม่ทราบ)  เมื่อไรเราพอ (ไม่มี)  มีแต่ว่ายิ่งให้ก็ (ยิ่งได้)  แต่มีคนคิดจะให้ไหม ในเมื่อตัวเองยังบอกว่าตัวเองยังไม่ได้เลย  ฉะนั้นมีน้อยแต่ยังได้ให้ ดีกว่ารอจนสมบูรณ์แล้วไม่เคยให้ใครเลย เช่นนี้น่าเสียดาย
อยากเกิดเป็นคนที่มีเท่าไรก็ให้ หรือเกิดมาเป็นคนที่มีแต่ได้รับ ท่านอยากเกิดเป็นคนประเภทใด (คนที่มีแล้วให้)  เราว่าไม่จริงนะ เพราะชีวิตเกิดมามีแต่ขอ ขอให้รวยก่อน ขอให้ดีก่อน ขอให้สุขก่อน แล้วฉันถึงจะให้ คนที่เกิดมามีแต่ให้ เขาเรียกว่าราชา คนที่เกิดมามีแต่ขอก่อนแล้วค่อยให้ เขาเรียกว่า (ยาจก)
ในเมื่อท่านก็รู้อยู่เต็มอกว่า โลกนี้น่าอยู่และตัวเรานี้ยังอยู่ได้เพราะมีคนเสียสละที่รู้จักคิดถึงสุขของคนอื่นมากกว่าสุขของตัวเอง โลกนี้น่าอยู่เพราะมีคนที่เมื่อตัวเองสุขยังนึกถึงคนที่ทุกข์ และโลกนี้ทำให้เรายังอยู่ได้เพราะว่าความรับผิดชอบของคนที่ยอมเสียสละความสุขของตัวเองเพื่อความสุขของลูกหลาน ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่าอยู่อย่างราชาที่มีแต่ให้ ดีกว่ามีชีวิตอยู่อย่างขอทาน ที่เอาแต่ขอแต่ไม่เคยให้ใคร เพราะตัวเองไม่เคยพอสักที แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม การมาฟังธรรมะ ถ้าท่านไม่ตีกรอบธรรมะว่าจะต้องเป็นพระเทศน์ จะต้องได้ธรรมะเฉพาะในวัด ที่ไหนก็มีธรรมะได้ ท่านก็คงเปิดใจฟังเราได้รู้เรื่อง แต่มนุษย์มักอดไม่ได้ที่จะตีกรอบความรู้ความเข้าใจของตัวเองอย่างยึดมั่นตายตัว ความเป็นจริงล้วนไม่คงที่ ฉะนั้นมั่นใจหรือว่าสิ่งที่เรารู้นั้นเป็นความจริง
มนุษย์มีความรู้ความเข้าใจอยู่ในใจ แล้วเราก็มั่นใจว่าสิ่งที่เรารู้เข้าใจนั้นถูกต้อง เราถามท่านง่ายๆ หนึ่งบวกหนึ่งเป็น (สอง)  แล้วหนึ่งบวกหนึ่งเป็นศูนย์ได้ไหม แล้วหนึ่งบวกหนึ่งติดลบได้ไหม ทำไมไม่เป็นสองล่ะ แอปเปิลรวมกับตัวเราเป็นอะไร หนึ่งหรือสอง ถ้าเราถือก็เป็นแอปเปิลหนึ่งและตัวเราหนึ่ง ถ้ามนุษย์ตีกรอบความจริงว่าจะต้องเป็นอย่างนี้ แต่มันใช้วัดทุกสิ่งทุกอย่างได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าเกิดว่าแอปเปิลเราได้มาแล้วเรากินไปแล้ว ตอนนี้ก็ยังเหลือเราหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งที่เราอยากจะบอกก็คือ ในโลกของความเป็นจริงเราคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะต้องได้แบบนี้ เรามักมีสูตรสำเร็จ ทำดีต้องได้ดี พูดดีต้องมีคนชม แต่ในโลกของความเป็นจริงทำดีแล้วไม่ได้ดีเป็นไปได้ไหม (ได้)  แล้วการไม่ได้ดีคือเรื่องแย่ไหม โลกนี้เป็นโลกของความสัมพันธ์กัน มีคนเก่งก็ต้องมีคนไม่เก่ง อย่างนั้นหมายความว่าคนไม่เก่งเป็นคนไม่ดีใช่ไหม (ไม่ใช่)  ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อทำดีแล้วโดนว่า อย่างนั้นการโดนว่าไม่ดีใช่ไหม (ไม่ใช่)  อย่าตีกรอบของความคิดตัวเองจนทำให้เราไม่ซื่อตรงกับความจริง อย่าเอากรอบของความรู้ความเข้าใจมามองสรรพสิ่งอย่างตายตัวจนทำให้เราไม่เปิดใจกว้าง เราบอกว่าทำดีต้องได้ดี แต่ถ้าทำดีแล้วไม่ได้ดีนั่นเป็นคนอื่น หรือเป็นเพราะแบบนั้นไม่ดี หรือเป็นเพราะว่าคนอาจจะคิดได้ทั้งดีและไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเราเก่งถ้าเราฉลาด เราควรดูถูกคนที่ไม่เก่งไหม เราควรหงุดหงิดกับคนที่สอนยากไหม (ไม่ควร)  คนล้มอย่าข้าม วันนี้เขาไม่เก่งต่อไปเขาอาจจะเก่ง แล้วเราอาจจะไม่เก่ง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอย่าตีกรอบตายตัวว่าฉันเรียนไม่เก่ง ฉันไม่ประสบผลสำเร็จอะไรเลย ฉันไม่มีดีอะไรเลย คิดแบบนี้ทำร้ายตัวเองไหม ไม่ดูถูกตัวเองจนเกินไป แต่ก็ไม่ใช่จะย่ำอยู่กับที่จนไม่คิดจะพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้า ตอนนี้เรายืนอยู่ตรงนี้ แต่อีกสิบนาทีเรายืนอีกที่หนึ่ง อย่างนั้นคนที่บอกว่าเมื่อสักครู่เรายืนอยู่ตรงนี้เขาพูดผิด คนที่บอกว่าเรายืนอยู่ตรงนั้นคือคนถูก ใช่ไหม (ไม่ใช่)  วันนี้เราพบสุขแต่อีกวันหนึ่งเราพบทุกข์ ชีวิตเราต้องทุกข์แล้วไม่มีวันสุข ใช่ไหม (ไม่ใช่)
ถ้าวันนี้เราโดนคนทำร้าย แล้วเราจำเป็นต้องเกลียดคนที่ทำร้ายไหม เมื่อไรที่คิดจะเกลียดก็แปลว่าเราพร้อมจะทิ้งความสุขและเอาความทุกข์หรือนรกเผาไหม้ใจด้วยความเกลียด อย่างนั้นควรหรือที่จะเกลียด (ไม่ควร)  เขาเกลียดเราวันนี้ แต่เขาอาจจะสอนอะไรดีๆ กับเราในวันหน้า ความเกลียดของเขาในวันนี้ อาจจะให้คุณค่าและความหมายที่แท้จริงที่เราไม่เคยรู้จักตัวเองก็เป็นได้ ยิ่งเขาเกลียดเรามากเท่าไหร่ เรายิ่งต้องดูแลตัวเองให้เข้มแข็งมากเท่านั้น จริงไหม (จริง)  แต่ในทางตรงกันข้าม เขายิ่งรักเรามากเท่าไรทำไมเรายิ่งอ่อนแอมากเท่านั้น ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นควรหรือที่จะเกลียดคนที่น่ารังเกียจ (ไม่ควร)
ไม่มีอะไรจริงเสมอไป และไม่มีอะไรเป็นเช่นนั้นตลอดกาล ขอเพียงเราไม่ดูถูกคุณค่าตัวเองและปล่อยชีวิตเป็นไปตามสิ่งแวดล้อม ชีวิตเราก็อยู่ในกำมือและเราควบคุมได้ เก่งภายนอก แข็งแกร่งภายนอก ไม่สู้ความเก่งที่หนักแน่นและรู้คุณค่าตัวเองในใจ ความแข็งแกร่งภายนอกจะมีประโยชน์อะไรถ้าไร้ซึ่งความแข็งแกร่งและสงบนิ่ง รู้คุณค่าตนในใจ
ต่อไปจะเกลียดคนที่น่ารังเกียจไหม จะเกลียดคนที่ว่าเราไหม (ไม่)  เพราะอะไรหรือ  ในดีมีร้ายในร้ายมีดี ถ้ามนุษย์พยายามหาความสมบูรณ์แบบ มนุษย์อาจจะไม่ซื่อตรงต่อความจริง เพราะมนุษย์มักจะบอกว่า ความสำเร็จ ความงาม ความดี ความสมหวังชัยชนะ หรือความสุข คือสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดในชีวิต เพราะเมื่อใดที่เราบอกว่า สิ่งนั้นคือสุขเราก็ต้องเรียนรู้ทุกข์ สิ่งนั้นสมบูรณ์ เราก็ต้องรู้จักความไม่สมบูรณ์ สิ่งที่ไม่สมบูรณ์สิ่งที่เรียกว่าทุกข์ แท้จริงแล้วมันใช่ทุกข์ไหม แท้จริงคือสิ่งที่ไม่งามไหม (ไม่ใช่)
มนุษย์มักจะกำหนดสิ่งที่เรียกว่าความสุขคือแบบนี้ เมื่อกำหนดความสุข ความทุกข์ก็บังเกิดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เมื่อกำหนดความดี ความไม่ดีก็เกิด เมื่อไรที่เรามีสิ่งที่ชอบ ความไม่ชอบก็เกิด ฉะนั้นสิ่งที่ไม่ชอบ สิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่เรียกว่าทุกข์ แท้จริงแล้วคือสิ่งที่ไม่ดี จริงหรือไม่ (ไม่จริง)
โลกนี้เป็นโลกของความสัมพันธ์กัน ความเกี่ยวเนื่องซึ่งกัน มีคนดีก็มีคนไม่ดี มีสิ่งที่เรียกว่าสำเร็จก็มีสิ่งที่เรียกว่าล้มเหลว ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์อยากมีธรรมะก็เพราะว่ามนุษย์พบความทุกข์ พบความล้มเหลว พบความพ่ายแพ้ พบความผิดหวัง แล้วชีวิตจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อพบความสุข พบความสำเร็จ ชนะเท่านั้น ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ต่อไปแม้เราจะพ่ายแพ้ เราก็เข้าใจความสมบูรณ์ในชีวิต แม้เราจะทุกข์เราก็รู้ว่ามันมี (สุข)  ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกข์กับสุขไม่ได้แยกจากกัน อยู่ที่ใจเรากำหนดเท่านั้นเอง
อยากถามหาความหมายของชีวิต จงอย่าถามใครไกลเกินเอื้อม แต่จงหันกลับมาถามที่ใจตน เพราะถ้าโลกนี้เป็นโลกแห่งความเป็นจริง ผู้มีสติปัญญาเรียนรู้อยู่กับความเป็นจริง ย่อมไม่หวาดหวั่นเมื่อเจอความทุกข์ แต่จะก่อเกิดความเข้าใจและเป็นอิสระ มนุษย์มีเรื่องให้ติดเยอะแยะไปหมด แล้วพอติดก็หนีไม่พ้นความหวาดกลัว และพอกลัวขึ้นมา ทุกข์ขึ้นมา ก็ค่อยนึกถึงธรรม ทั้งที่จริงๆ แล้วผู้ที่กำหนดชีวิตให้สุขทุกข์ไม่ใช่ใคร นอกจากใจเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ระหว่างต้นกล้วยกับต้นทุเรียน ท่านว่าอะไรดีกว่าอะไร (กล้วย)  ชีวิตเราควรเป็นเหมือนต้นทุเรียนหรือต้นกล้วย ต่างก็ดีคนละแบบ ถ้าเกิดว่าทางเลือกมีแค่สอง ท่านก็คิดได้แค่สอง ใช่หรือไม่  มีใครจะบอกว่าจะเป็นทั้งกล้วยและทุเรียนบ้าง กล้วยมีประโยชน์ไหม (มี)  ส่วนไหนมีประโยชน์ (ทั้งต้น)  แต่สิ่งที่น่ากลัวของกล้วยคือ เมื่อหน่ออ่อนแทงยอดมา ต้องฟันหน่อเก่าทิ้ง ถ้ายังเสียดายหน่อเก่าก็จะล้ม หน่อใหม่ก็จะตาย ฉะนั้นในสิ่งที่ดีที่สุดก็ยังมีข้อที่ต้องระวัง ใช่หรือไม่ (ใช่)
คนบางคนเหมือนต้นกล้วย แต่เพื่อนเราบางคนเหมือนต้นทุเรียน อยู่กันตั้งนานหาอะไรไม่ค่อยเจอ เหมือนอยู่กับสามีอยู่กันตั้งนานกว่าจะออกผลสักทีเหมือนทุเรียนไหม เหมือนเราอยู่กับเพื่อนเราขยันทุกอย่างแต่เพื่อนเป็นเหมือนต้นทุเรียน มีไว้ประดับ นานๆ จะมีค่าสักทีใช่หรือไม่ (ใช่)
ในความเป็นจริงไม่มีอะไรดีพร้อมสมบูรณ์แบบ ในความเป็นจริงไม่มีอะไรที่มีค่ามากกว่าอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีค่าในตัวของตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรมจึงไม่ได้สอนให้เรายกตัวเองสูงแล้วข่มคนอื่น แต่การเรียนรู้ธรรมสอนให้เรารู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นต้นกล้วยหรือต้นทุเรียน ไม่ว่าจะเป็นต้นใหญ่ที่ให้ร่มเงาหรือต้นหญ้า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีคุณ แต่ในคุณประโยชน์นั้นก็ต้องรู้จักระมัดระวังโทษที่ตามมาด้วย ถ้าคนๆ นั้นไม่รู้จักแก่นของสรรพสิ่งหรือไม่รู้ความจริงของชีวิต
ในโลกมีคนหลากหลายแบบ เป็นหญ้าเทียมพื้นหรือเป็นต้นไม้สูงให้ร่มเงา เป็นดอกไม้ที่ไม่มีกลิ่นหอมแต่กลับมีกลิ่นเหม็น เขาควรหรือที่เราจะผูกใจเจ็บและรังเกียจ แล้วทำให้เราต้องสูญเสียความสุขไปจากใจ ทั้งที่จริงๆแล้วทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีดีมีร้าย ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ เมื่อสอนตัวเราได้ ทุกสิ่งก็เท่าเทียมกัน เมื่อไม่เอาตัวเองวัด ทุกอย่างก็มีค่าเท่ากัน แต่ที่เรียกว่าดีร้ายได้เสียทุกข์สุขนั้นล้วนเป็นเพราะใช้ใจตัวเองไปวัดทั้งสิ้น เมื่อใจบริสุทธิ์แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เท่ากัน ไม่มีอะไรร้ายในวันที่เราดี จริงหรือไม่ (จริง)
วันนี้เราได้มาผูกบุญกับท่าน อย่าเพิ่งดูถูกคุณค่าตัวเอง นั่งวันนี้อาจจะทรมาน อาจจะลำบาก และอาจจะฟังไม่รู้เรื่องก็ไม่เป็นไร มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก วันนี้เรามาเพื่อให้ท่านได้ประจักษ์ว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเลวร้าย ถ้าใจเราเข้าใจทุกสิ่ง โลกนี้ไม่มีอะไรดีที่สุด ถ้าเราซื่อตรงต่อความจริง อย่ายึดมั่นความคิดจนลืมเปิดใจกว้าง ตราบใดที่ชีวิตยังต้องหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปเรื่อย ไม่มีอะไรดีที่สุดและแย่ที่สุด ใช่ไหม (ใช่)


วันอาทิตย์ที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๒                      สถานธรรมหมิงอี้ จ.ตาก
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ลี้ลับเพราะไม่ศึกษา                    ศรัทธาแบบงมงายไร้วันตื่น
ชอบปาฏิหาริย์เพ้อฝันทั้งคืน           แม้ลืมตาตื่นศิษย์รักหลงทางเรื่อยไป
                        เราคือ
     จี้กงอาจารย์เจ้า       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานหมิงอี้ แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                   ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์บ้างไหม

  หนทางพิสูจน์ม้า                       กาลเวลาพิสูจน์คน
ชีวิตต้องฝึกฝน                           เกิดเป็นคนต้องเดินทาง
เดินไปทางไหนสดใส                    เดินไปทางไหนใจกว้าง
เดินเข้าใกล้ใจไม่จาง                     สว่างภายในจิตตน
ค้นหาตัวเองให้เจอ                      ไม่เผลอท่ามกลางสับสน
แม้จะมีวันอับจน                         แต่ตนรู้จักตัวเอง
ปัญหาเป็นเรื่องธรรมดา                ความคิดอารมณ์ข่มเหง
ฝึกตนรู้จักตัวเอง                         คนเก่งสติต้องไว
ทุกข์สุขเป็นเรื่องธรรมดา               ศรัทธาความดียิ่งใหญ่
อย่าเป็นหินทับหญ้าไว้                  สะสางภายในจิตตน
                                                          ฮา ฮา หยุด



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ศิษย์เคยได้ยินไหมว่าสูงสุดคืนสู่สามัญ ถ้าธรรมะคือสิ่งที่สูงที่สุด สิ่งที่ดีที่สุด แปลว่าสิ่งที่สูงที่สุดและดีที่สุดก็คือความเป็นธรรมดา ดังนั้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็เป็นธรรมดา โดนด่าก็เป็น (ธรรมดา)  สามีทิ้งก็เป็น (ธรรมดา)  อกหักรักคุดก็เป็น (ธรรมดา)  ฉะนั้นผู้สามารถยืนอยู่บนสิ่งที่ธรรมดาได้โดยรักษาจิตปกติไม่เสียศูนย์ ไม่เสียความเป็นคนดี คนนั้นก็คือคนที่สามารถเอาธรรมมาใช้และรักษาความปกติได้ แต่คนโดยส่วนใหญ่ยังรับความเป็นธรรมดาไม่ได้ มักชอบทำอะไรตามใจตัวเอง แต่โลกในความเป็นจริงนั้นเดินตามความเป็นจริง ไม่ได้เดินตามใจเรา ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากพ้นทุกข์ แค่ยอมรับความจริงอันเป็น (ธรรมดา)  ที่เราทุกข์เพราะเราไม่รับความจริงและเอาแต่ใจตน ใช่ไหม (ใช่) 
ถ้าเรามีสติอยู่เสมอหนทางพ้นทุกข์คือการค้นหาความจริงภายในใจตน ถ้าเราอยากพ้นทุกข์ ขอแค่มีสติปัญญา ยอมรับความจริงแล้วเราจะพ้นทุกข์ พ้นความกลัวในโลกนี้ ศิษย์กลัวตายไหม แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เรายอมรับ ความตายเป็นเรื่องธรรมดา ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่สิ่งสำคัญคือ อยู่ให้ดีหรือยัง ถ้าอยู่ไม่ดี อย่าเพิ่งตาย เพราะตายไปแล้วก็ยังจะไม่พ้นทุกข์
เกิดเป็นคนถ้าไม่คิดว่าตัวเองผิดพลาดบ้างเลย เราก็ไม่มีวันก้าวหน้า ผิดก็แก้ไขยอมรับ ทำให้ดีขึ้น อย่าซ้ำรอยเดิม ไม่เช่นนั้นแล้วจะเป็นบาปกรรมติดตัว ถูกหรือไม่ (ถูก)  มนุษย์มีทางเลือก อย่าพูดว่าตัวเองไม่มีทางเลือก ขอแค่เพียงเราขยันสู้ และเลือกทางที่ถูกต้อง หนทางสว่างอยู่ไม่ไกล แต่เสียอย่างเดียวเรามักอดใจไม่ไหว ห้ามใจไม่อยู่ ความโลภ กิเลส เลยทับถมให้เรามองไม่เห็นทางที่ถูกต้อง
บางครั้งความอยากอาจจะดูไม่บาป แต่การสนอง โดยที่ไม่คำนึงถึงเหตุผล ความถูกต้อง และความดีงาม ทำให้กลายเป็นบาป และบาปให้ผลคือความทุกข์ และให้ผลคือกรรมที่หนีไม่พ้นเพราะเราเป็นคนสร้างเหตุ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ส่วนใหญ่มนุษย์มักจะมองว่าธรรมะคือสิ่งที่อยู่ในวัด ธรรมะคือสิ่งที่พระพูด ถ้าอยากจะปฏิบัติธรรมะก็แค่ให้ทาน สวดมนต์ ทำบุญอาจารย์จะบอกศิษย์ว่า ธรรมะมีอะไรมากกว่านั้น ธรรมะที่ศิษย์รู้เป็นไปเพื่อ “ละ” ไม่ใช่เป็นไปเพื่อ “ยึด” ทุกครั้งที่ปฏิบัติ ปฏิบัติเพื่อละ ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อยึด ธรรมะคือสิ่งที่ทำเพื่อปล่อยวางไม่ยึดถือ เราทำบุญเพื่อละ ไม่ใช่ทำบุญเพื่อยึด เราบำเพ็ญทานเพื่อละ ไม่ใช่บำเพ็ญทานเพื่อยึด
ศิษย์เอยถ้าจะพูดเรื่องธรรมะเราต้องปรับเรื่องความคิดให้ถูกต้องก่อน ถ้ามีความคิดที่ผิด เราก็จะดำเนินผิด ธรรมะเราปฏิบัติเพื่อละ ไม่ใช่เพื่อยึด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราทำบุญเพื่อชำระล้างจิตใจให้บริสุทธิ์ ฉะนั้นเราทำบุญทำทานเพื่อละ ไม่ใช่เพื่อยึด  แต่ตอนนี้ศิษย์กำลังหลงกับการปฏิบัติธรรม เหมือนจะละ แต่ก็เหมือนจะยึด แล้วตกลงจะละหรือจะยึด (ละ)    ละด้วยแล้วก็ยึดด้วย ไม่ถูก ปฏิบัติธรรมละด้วยยึดด้วย เหมือนที่ศิษย์ชอบเป็น ทำบุญไปแล้วก็ขอถูกสามตัว ให้ไปแล้วขอลูกหลานร่มเย็น ขอสามีเชื่อฟัง ขอลูกประสบผลสำเร็จในหน้าที่การงาน ไปที่ไหนก็มีแต่คนดีคนรัก สาธุ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วตกลงเราละหรือเรายึด บุญคือสิ่งที่ทำเพื่อชำระล้างใจให้สะอาด คำว่าละคือสะอาด แล้วตอนนี้เราละหรือเรายึด (ละ)  มือหนึ่งละมือหนึ่งยึดถูกไหม (ไม่ถูก)  ถ้าธรรมะมีไว้เพื่อให้เราละมากกว่ายึด แล้วอะไรจะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจล่ะ สิ่งที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจคือความจริงแท้ เพราะความจริงแท้จะทำให้ศิษย์ไม่ทุกข์ แต่ถ้าศิษย์ยึดเหนี่ยวความดี ความดีก็ทำเราทุกข์ ทำดีต้องได้ดี พอไม่ได้ดีทุกข์ไหม (ทุกข์)  เราทำดีเพื่อละ ไม่ใช่ทำดีเพื่อยึด ทุกข์เพราะละหรือทุกข์เพราะยึด (ยึด)   
ถ้าทำบุญไปเพื่อจะหวังผลและจะได้กลับมา แก่ เจ็บ ตาย ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเอาไหม (ไม่เอา)  ควรทำเพื่อละหรือควรทำเพื่อยึด (ละ)  ควรทำเพื่อหวังผลหรือควรทำเพื่อไม่ต้องมีผลอะไร (ไม่มีผลอะไร)  ที่แล้วมาทำเพื่อหวังผลใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์เรียนรู้หลักธรรม ศิษย์ต้องเข้าใจแก่นของหลักธรรมให้ถูกต้อง เราศึกษาธรรมแปลว่าเราต้องไม่ยึดอะไรเลย แก่นแห่งธรรมะทั้งมวลล้วนสอนไว้ว่า ใดๆ ในโลก ล้วนไม่ควรยึดมั่นถือมั่น สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นล้วนมีความดับ เมื่อไรที่เราพยายามจะดับแปลว่าเรายังมีการยึดไม่ปล่อยวาง ทุกสิ่งล้วนมีเหตุและผล ถ้าเราไม่สร้างเหตุเราก็ไม่ต้องไปรับผล ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร สิ่งนั้นก็ไม่เป็นนายมาบังคับใจเรา วันนี้ศิษย์ยังทุกข์อยู่เพราะศิษย์พยายามยึด ทั้งที่จริงๆ แล้ว ไม่มีอะไรในโลกยึดได้เลย จริงไหม (จริง)  บอกห้ามแก่ แก่ไหม (แก่)  บอกห้ามเจ็บ เจ็บไหม (เจ็บ)  บอกห้ามตาย ตายไหม (ตาย)  มันฟังเราไหม (ไม่ฟัง) สิ่งนี้ต้องเป็นของฉันคนเดียว ห้ามเปลี่ยนแปลง เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ต้องรักฉันคนเดียว ห้ามแบ่งใจเด็ดขาด อย่าตาย อย่าเจ็บ เราเป็นแบบนี้ ใช่ไหม (ใช่)  ห้ามร้าย ห้ามชั่ว ห้ามโกหก ห้ามตระบัดสัตย์ เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) ที่เราทุกข์อยู่เพราะเรากำลังหวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ทุกสิ่งเกิดแล้วมันก็ดับอยู่แล้ว เราอยากพ้นทุกข์ต้องพยายามปล่อยเพราะเรายึดกับความคิดไว้ ปล่อยที่ความคิด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างศิษย์ยื้อไม่ได้ จริงไหม (จริง)  
พอเข้าใจธรรมะหรือยัง (เข้าใจ)  อาจารย์พูดง่ายๆ คนด่าเรา ถ้าเราไม่ถือสา  เราไม่เอามาใส่ใจ เราเห็นเหมือนไม่เห็น ทำอะไรเราได้ไหม แต่ถ้าเราถือสา เราใส่ใจ เราคิด แล้วเราทุกข์เพราะ (คิด) อยากดับทุกข์ จงหาความจริงแท้ในใจตน อยากจะพ้นทุกข์ พ้นความกลัวในโลก จงมีสติปัญญามองให้เห็นความจริง แล้วมนุษย์จะพ้นทุกข์พ้นความกลัวได้  ถ้าจิตใจเข้มแข็ง จริงไหม (จริง)  แล้วเราจะเอาอะไรมารับมือ เวลาที่เราเจอความทุกข์ รู้ขนาดนี้ ทำใจได้ไหม (ได้)
เขายืมเงินไปแล้วไม่คืน ถ้าศิษย์ไม่สร้างเหตุให้เขามายืม ศิษย์ก็ไม่ต้องมานั่งกลุ้มใจว่าเมื่อไรเขาจะคืน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอยากจะช่วยคน ให้แบบที่เขาไม่คืนก็ไม่เป็นไร แต่อย่าให้เขาเท่าที่เขาอยากได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะขออยู่ร่ำไป ถูกไหม (ถูก)  ให้เท่าที่เราช่วยเหลือแล้วเขาไม่คืนเรา เราก็ไม่เดือดร้อน เหมือนเวลาเรารับมือกับความทุกข์ เราจะเอาธรรมะมาปฏิบัติในชีวิตอย่างไร
เมื่อครู่อาจารย์บอกวิธีในการดับทุกข์ด้วยการเข้าถึงธรรมะ ด้วยการเข้าใจธรรมะอันเป็นพื้นฐานของความเป็นคน หรือเรียกว่าเข้าใจธรรมะอันเป็นจริงที่หลีกหนีไม่พ้น วิธีปฏิบัติที่จะดับทุกข์ได้ง่ายๆ ถ้าโดนเขาด่ามาศิษย์ทำอย่างไร (เฉยและพยายามนิ่ง)  แต่คำว่า “เฉย” กับคำว่า “พยายามนิ่ง” ของศิษย์นั้น ในใจเก็บสิ่งนั้นมาเป็นอารมณ์ไหม (เก็บ)  แล้วจำได้ไหมว่าเขาว่าเรา (จำได้)  ทำไมอาจารย์ถึงพูดเช่นนี้ เวลาคนเขาว่าเรา ที่เรานิ่ง เราเฉยเป็นสิ่งที่ดี ศิษย์รู้ไหมว่าการนิ่งการเฉยนี้ สามารถตัดรากแห่งบาปทั้งมวลได้ การอดทนนิ่งได้ สามารถหยุดรากเหง้าของการทะเลาะวิวาทไม่ให้เกิดได้ ลดการติเตียนได้ แล้วการอดทนนิ่งได้เป็นทางแห่งการเจริญศีล สมาธิ และเป็นการเจริญกุศลทั้งมวลด้วย จิตที่นิ่งได้เมื่อโดนกระทบยังสามารถพ้นบ่วงเวร พ้นบ่วงมารได้ด้วย แต่โดยส่วนใหญ่เวลาเราโดนว่า หรือเราโดนทำร้าย เราอภัย เรายอม อดทนใช่ไหม (ใช่)  สิ่งที่ศิษย์ทำได้คือพยายามให้อภัยทาน แต่คำว่าให้อภัยเป็นทาน เวลาเจอหน้าเขายังขัดเคืองใจไหม (มีบ้าง)  และในใจยังจำสิ่งที่เขาว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ทำดีทำไมจึงไม่พ้นทุกข์เราก็อภัยแล้ว เราก็นิ่งแล้ว คำว่าผูกเวรแปลว่า ใจจำได้ว่าเขาด่าว่า เอาชนะ ถากถาง กินแรง เวรกำลังถูกผูกไว้ที่ใจ เมื่อไรที่ใจจำได้ว่าคนอื่นทำไม่ดีกับเรา ทำร้ายเราแล้วจำไม่ลืม นั่นเรียกว่า “ผูกเวร” และเมื่อไรที่เจอคนที่ทำไม่ดีกับเราแล้วเผลอประชดประชัน เผลอด่ากระแหนะกระแหน หรือเผลอนินทานั่นเรียกว่า “จองกรรม” ถึงแม้ศิษย์จะบอกว่า ศิษย์อภัย แต่ถ้าในใจยังไม่สิ้นความยึดถือในตัวตน ไม่มีวันสิ้นทุกข์ ดังที่พระพุทธองค์บอกไว้ว่า ปฏิบัติธรรม ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา ละบาปบำเพ็ญบุญเข้าถึงความบริสุทธิ์ ทานเป็นเบื้องต้นของศีล ศีลเป็นเบื้องต้นของสมาธิ และสมาธิเป็นเบื้องต้นของปัญญา ถ้าศิษย์ทำแค่ทาน แต่ศิษย์ยังไม่สามารถละการเบียดเบียนในใจได้ ศิษย์ก็ยังไม่พ้นทุกข์ ถึงแม้ศิษย์จะทำดีขนาดไหน ก็ยังไม่พ้นทุกข์  ให้อภัยแต่ในใจยังเก็บความไม่ดีของเขาอยู่ ยังจำได้อยู่ อย่างนี้จะพ้นไหม เวรยังถูกยืดเยื้ออยู่ในใจเพราะเรายังผูกเวรไว้ยังยึดความโกรธไว้ในใจ ยังยึดความเกลียดไว้ในใจ  ฉะนั้นหนทางที่จะถึงความบริสุทธิ์ได้ก็คือ เมื่อจะให้ต้องให้ให้ถึงที่สุด เมื่อจะปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติให้สูงสุด เห็นแจ้งจนไม่เกิดความหวั่นไหวในใจ และมองเห็นเป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง มนุษย์จะสิ้นวัฏฏะเวียนว่ายตายเกิดได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์สามารถดับสิ้นซึ่งความคิดยึดมั่นถือมั่นในตัวตนจนหมดไม่เหลือ มนุษย์จึงจะสามารถพ้นเวียนว่ายตายเกิดได้ ยากไหม (ไม่ยาก) 
(พระอาจารย์เมตตาเรียกนักเรียนฝ่ายชายหนึ่งคนออกมายืนหน้าชั้น แล้วทักทายด้วยการตีศรีษะ)  
ทำแบบนี้อาจารย์ตีเสร็จก็แล้ว ศิษย์จบไหม (ไม่จบ)  นั่นคือกำลังผูกเวรให้ยืดเยื้อ ถ้าแค่โดนตบ คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วด่าในใจตกนรก แต่ถ้าพ้นจากความคิด ไม่คิดอะไร ช่างมัน ทุกอย่างเกิดแล้วจบแล้ว จงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ฉะนั้นที่อาจารย์ตีก็จบแล้วถูกไหม ถ้าเราไม่ยึดติด เราอยู่กับปัจจุบัน เรายอมรับความจริง ก็แค่ตีก็แค่เจ็บที่กาย แต่ไม่เจ็บที่ใจ จบไหม (จบ)  ฉะนั้นอยากสิ้นเวรสิ้นกรรมก็อยู่ที่ว่าจบหรือไม่จบถ้าไม่จบก็ผูกใจเจ็บ ก็หนีไม่พ้นทุกข์ แต่ถ้าจบแล้วจบกัน ศิษย์เอ๋ย ถูกตีเจ็บแค่กาย แต่ถ้าเราแค้นมันเจ็บไปถึงใจและทำให้เราต้องกลับมาเวียนว่าย ต้องแก้แค้นอีก ศิษย์จำไว้นะ คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วตกนรก แต่ถ้าพ้นจากความยึดติดในตัวตน นั่นคือพ้นทุกข์พ้นบาปกรรมนิจนิรันดร์
การศึกษาธรรมไม่ใช่การปฏิบัติแค่ภายนอก ต้องลงแรงปฏิบัติที่ภายใน มนุษย์เกิดมาพร้อมกับกรรม เราเป็นผลพวงของกรรมที่เราสร้าง เราอยากสร้างกรรมต่อหรือเราอยากจบกรรม (จบกรรม)  แล้วทุกวันนี้เราผูกกรรมต่อหรือเราจบกรรม อย่าบำเพ็ญแค่ระดับทาน แต่ให้ก้าวไปจนระดับศีลบริสุทธิ์ ถ้าเราโดนเขาเบียดเบียน เราไม่เบียดเบียนกลับ เราจะให้ธรรมะเป็นทาน ประเสริฐกว่าทานทั้งปวง ถ้าเขาด่าเรามา แต่เราปฏิบัติด้วยเมตตากลับ เราให้ทานที่ประเสริฐ เขาเบียดเบียนเรา แต่เราเมตตากลับ เราสามารถทำทานได้ทุกที่ทำให้อยู่ที่ไหนก็เย็นได้ด้วยใจเราเอง เขาด่ามาฉันจะเมตตากลับ เขาโกงมาฉันจะซื่อตรงกลับ เขาทำร้ายมา ฉันจะใจเย็นกลับ ฉันจะไม่ทำร้ายเขา นี่เรียกว่า ให้ทานที่ยิ่งใหญ่และทานนั้นสามารถเป็นบุญเป็นกุศลได้ ทำได้ไหม (ได้)  ปฏิบัติธรรมอย่างนี้ยากไหม (ไม่ยาก)  เมื่อเรามองเห็นความเป็นจริงว่า มันก็เป็นธรรมดา วันนี้เขาด่าฉัน วันพรุ่งนี้เขาอาจจะชมฉันก็ได้ ในเมื่อชีวิตมีโอกาส ทำไมไม่พลิกชีวิตให้เป็นการพ้นทุกข์ ทำไมปล่อยให้ชีวิตจมอยู่กับความทุกข์ อย่าบอกว่าไม่มีทางเลือก ชีวิตมีทางเลือก แต่เมื่อเลือกจงก้าวให้สูงที่สุดและจงไปให้ดีที่สุด อย่ามีธรรมะแค่ผิวเผิน ทำทุกวันให้เป็นการพ้นทุกข์พ้นกรรม ดีกว่าใช้อารมณ์ ดีกว่าสร้างบาปแล้วผลสุดท้ายก็หนีไม่พ้นทุกข์
มนุษย์ยังทุกข์เพราะเรื่องอะไรบ้าง (การเรียน)  การเรียนทำให้เกิดปัญญา ปัญญานำพาให้เราพ้นทุกข์ได้ แล้วปัญญาสามารถนำพาชีวิตให้พ้นความลำบากได้ ฉะนั้นอย่าไปทุกข์ ก้มหน้ายอมรับความจริง ใช่ไหม (ใช่) 

(อยากมีปัญญา)  อยากในสิ่งที่ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม ความอยากนั้นจะไม่ทำให้เราทุกข์ แต่ต้องไม่ลืมความจริงว่า บางทีอาจจะสมหวังหรือไม่สมหวังก็ได้ ความอยากก็จะไม่ทุกข์   
(ทุกข์เพราะเจ็บป่วย)  เจ็บป่วยหนีพ้นไหมศิษย์ (ไม่พ้น)  รักษาได้ให้รักษา สู้ได้สู้ และยอมรับกับสิ่งที่เป็น อย่าทุกข์กายแล้วลงไปที่ใจไม่อย่างนั้นจะทำให้ทรมาน ใครบ้างไม่เคยเจ็บ ใครบ้างไม่เคยป่วย มีไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นเราป่วยเป็นเรื่องธรรมดา
ความเจ็บป่วยมีอยู่สองแบบ แบบที่หนึ่งคือ เราสร้างเอง แบบที่สองคือ เวรกรรมตกผล ทำไมกินเหมือนกัน อยู่เหมือนกัน คนอื่นไม่ป่วยแต่เราป่วย เมื่อป่วยแล้วรักษาไม่หาย เป็นเพราะเวรกรรม แล้ววิธีจะแก้เวรกรรมได้คือ ยินดีชดใช้และสร้างบุญกุศลให้มากๆ อย่าสร้างบาปอีก 
(ทุกข์เพราะใจยึดมั่น)  ตอนนี้รู้หรือยังว่ามันยึดไม่ได้ ศิษย์จำไว้นะ ทำตัวเองให้ดีที่สุด ถึงเวลาผลจะเป็นอย่างไรกล้ายอมรับ จะทำให้เราไม่ทุกข์
(ทุกข์เพราะหนี้สิน เรื่องทำมาหากิน อาชีพ)  ตอนแรกคิดว่าเราหามาเพื่อเราจะได้มีความสุข แต่หาไปหามากลายเป็นหนี้สิน ยังอยากทำต่อไหม (ก็ยังต้องทำ) ถ้าศิษย์อยากให้จบ แค่ยอมรับ อย่าหนี สู้ด้วยใจที่ยอมรับความจริง เมตตาธรรมจะแปรบาปให้เป็นบุญ แปรทุกข์ให้เป็นพ้นทุกข์มนุษย์ยังทุกข์ไม่จบสิ้นเพราะไม่สามารถควบคุมความคิดได้ และความคิดเป็นต้นเหตุสำคัญที่สุด  ฉะนั้นถ้าเราเปลี่ยนความคิดชีวิตก็เปลี่ยน ถ้ายังดื้อดึงในความคิดเดิมเราก็ทุกข์เพราะความคิด จิตมนุษย์ชอบไหลลงสู่ที่ต่ำ ชอบคิดแย่มากกว่าคิดดี ถ้าศิษย์อยากพ้นทุกข์ ต้องเปลี่ยนความคิดให้ได้
(เรียนไม่รู้เรื่อง)  ถ้าใจชอบ ยากอย่างไรก็ทำจนได้ เต้นไม่เป็น แต่ถ้าชอบเต้น ท่ายากๆ ศิษย์ก็เต้นได้ เพราะใจชอบ เพราะใจรัก ถ้าอยากเรียนให้รู้เรื่องต้องเริ่มที่ใจศิษย์ก่อน ถ้ารักในการเรียน ยากอย่างไรก็เรียนรู้เรื่อง แต่ถ้าไม่รักในเรียน ง่ายอย่างไรมันก็เรียนไม่รู้เรื่อง จริงไหม (จริง)  แล้วการเรียนก็เพื่อตัวเองนะ ไม่ใช่เพื่อพ่อแม่
(หนี้สินของตนเอง)  ทุกคนในโลกนี้ไม่มีใครไม่มีหนี้ บางคนมีหนี้ทางใจ บางคนมีหนี้ทางร่างกาย หนี้ทางทรัพย์สินยินดีชดใช้ด้วยใจเป็นสุข ยังดีกว่าปล่อยให้เป็นหนี้ทางใจ ฉะนั้นมีหนี้ก็ใช้ และพยายามลดความอยากให้มาก เงินที่มีอยู่ก็จะเพิ่มขึ้น ถ้ายังอยากเท่าเดิม แต่เงินเท่านี้ ก็มีหนี้ไม่จบสิ้น แล้วประคองสติให้ดี ทำอะไรคิดให้เยอะๆ หยุดความอยากของตัวเองให้น้อยลงสิ่งที่มีจะมีมูลค่าที่จะไปใช้หนี้ได้ แต่ถ้าความอยากยังสูง หนี้ก็ยังมีอยู่ จะไม่มีวันชดใช้ได้หมดลดความอยากของตัวเองให้มากที่สุด หนี้จะได้ผ่อนหมด ลูกหนี้ที่ดีคือใช้แต่น้อยแต่ไม่เกี่ยงงอนเขาก็จะรับ พยายามพึ่งตนเองให้มาก อย่าคิดพึ่งคนอื่น ที่มีหนี้เพราะเราคิดว่าพึ่งคนนั้นก็ได้ พึ่งคนนี้ก็ได้ใช่ หนี้เราถึงมีเต็มไปหมด แต่ถ้าเมื่อไรเราคิดพึ่งตัวเองเราจะก่อหนี้ไหม ถ้าเรารับผิดชอบต่อตัวเองเราจะสร้างหนี้ให้ใครเดือดร้อนไหม เงินใครใครก็รักจริงไหม ยืมเขามาเขาก็อยากได้คืน ฉะนั้นเป็นลูกหนี้ที่ดี ยินดีชดใช้นะ แต่ละคนมีปัญหาที่แตกต่างกัน แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือเมื่อเราเจอปัญหา เราพร้อมรับความเป็นจริงไหม ชีวิตไม่อยากสูญเสีย แต่มีใครบ้างไม่สูญเสีย ชีวิตไม่อยากพลัดพรากไม่อยากล้มละลาย แต่ใครบ้างไม่พลัดพรากไม่ล้มละลาย เพราะถึงที่สุดเราต้องกลับไปสู่ความไม่มี ไม่ได้ ไม่เอา แล้วเราจะยึดเพื่อให้ทุกข์ทำไม ถ้าของจะเป็นของเราอย่างไรก็เป็นของเรา แต่ถ้าไม่ใช่ของเราทำอย่างไรก็ไม่ใช่ของเรา ให้รู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ทำอะไรให้คิดถึงหัวอกของพ่อแม่ พ่อแม่จะเดือดร้อนไหม พ่อแม่จะเจ็บปวดไหม พ่อแม่จะเสียใจไหมที่เราทำแบบนี้ ถ้าทำได้แบบนี้ศิษย์จะไม่ทุกข์นะ
(ทุกข์เพราะแค้น)  ถูกกดขี่ข่มเหง ถูกดูถูก ถูกเหยียดหยาม เราโกรธแค้น เราเคืองใจ ถูกคนดูถูกคุณค่าเรา เราเจ็บแค้น  แต่ความเจ็บแค้นนี้มันเป็นเหมือนไฟเผา เราสูญเสียความสุขไปเพียงเพราะว่าเราแค้นเราเจ็บ ศิษย์รู้ไหมว่า การเกิดเป็นคน สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คืออัตตาตัวตนที่ยึดมั่นถือมั่นอย่างไม่ปล่อยวาง รู้อะไรแล้วรู้ไม่สุดมันคืออวิชชา ที่ทำให้เราไม่มีวันพ้นทุกข์  ยังอยากจะผูกไว้หรือ (ตอนเขาทำเรา เขาก็จบโดยที่เขามีความสุข ถ้าเราทำแบบนั้นเราก็จบแบบเรามีความสุข)  ศิษย์มั่นใจว่าคิดถูกใช่ไหม (ถูก)  วัฏจักรของมนุษย์ที่ยังเวียนว่ายไม่จบสิ้นก็เพราะมนุษย์ไม่สามารถวางความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เราก็เลยไม่มีวันพ้นทุกข์ ทั้งที่จริงๆ แล้วศิษย์มีหนทางพ้นทุกข์ในตัวเอง ศิษย์มีสิ่งที่ดีในตัวเอง เอาเป็นแค่แรงผลักดันแต่ไม่ผูกใจเจ็บไม่ได้หรือ ไม่ผูกใจเจ็บ แค่ยอมรับความจริง ถ้าอาจารย์บอกว่าชาติที่แล้วศิษย์ไปทำเขา ชาตินี้เขาทำศิษย์กลับ ถ้าอย่างนั้นแปลว่าศิษย์อยากทำกลับเพื่อจะได้กลับมาเจอกันอีก เอาไหม (คิดว่าไม่น่าจะได้กลับ)  ไม่แน่นะ แต่จะกลับมาเป็นคนหรือเปล่า ถ้าอยากได้อย่างนั้น อาจารย์ไม่ว่าอะไร เพราะถึงที่สุดไม่มีใครขีดเส้นชีวิตศิษย์ได้นอกจากตัวเอง

อาจารย์ให้ส้มโอก็แล้วกัน ลองไปไตร่ตรองทีละนิด ส้มโอก่อนจะกินมันต้องปอกเปลือกก็หนามาก ใช่ไหม (ใช่)  ชีวิตก็เหมือนกัน กว่าศิษย์จะเข้าใจความจริงแท้ของชีวิต บางครั้งต้องผ่านความยากลำบาก ผ่านการเรียนรู้ แล้วศิษย์จะเข้าใจ เราอยู่ในโลก คนๆ หนึ่งที่ทำให้เรารักสุดจิตสุดใจ คนๆ หนึ่งที่ทำให้เราอยู่ด้วยไม่ไปไหน เราอยู่กับเขาแล้วรักเขาเพราะเขาทำในสิ่งที่ธรรมดา แต่ซื่อตรงและจริงใจ ค่าของคนอยู่ที่การกระทำ มีแฟนเป็น      ด็อกเตอร์ มีลูกเป็นด็อกเตอร์ แต่คุยกับเราไม่รู้เรื่อง สู้มีลูกธรรมดาดีกว่า จริงไหม มีเพื่อนสวย มีเพื่อนเก่ง แต่ไม่แยแสไม่สนใจเราเลย ไม่เคยคำนึงถึงหัวอกเราเลย เราขอมีเพื่อนธรรมดาที่เข้าใจเราดีกว่า จริงไหม (จริง) 
ศิษย์เคยดูประวัติพระพุทธเจ้าไหม เคยดูประวัติพระกวนอินไหม ยิ่งกรรมหนักแต่สามารถพลิกใจได้ คนธรรมดากลายเป็นพุทธะ ยิ่งทุกข์หนักแล้วพลิกใจรักษาใจจนสะอาดบริสุทธิ์ มีผู้หญิงคนหนึ่งโดนเผาทั้งเป็น เพราะเมียน้อยอิจฉา เลยจุดไฟเผาผู้หญิงที่เป็นเมียหลักให้ตายทั้งเป็น ขณะที่เขาโดนเผาทั้งเป็น ในใจเขาคิดเสมอว่า เขาจะไม่แค้น ไม่โกรธ เขาขอบคุณที่ทำให้เขาสิ้นทุกข์และสิ้นกรรมจบชาตินี้เลย ตายแล้วกลับพ้นทุกข์ทันที แต่ถ้าขณะนั้นถ้าเขาคิดแค่เพียงว่า ทำไมต้องทำฉัน ทำไมต้องฆ่าฉัน จิตเมื่อยังไม่พ้น ความคิดก็กลายเป็นตกนรก แล้วก็กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ชั่วขณะจิตเดียวเองนะศิษย์ แปรบาปให้เป็นบุญ แปรทุกข์ให้เป็นสิ้นทุกข์สิ้นกรรม อาจารย์บังคับศิษย์ไม่ได้ อยู่ที่ตัวศิษย์เองเลือกเดิน รู้นะว่าอะไรดี อะไรไม่ดี แต่อดใจไม่ได้ว่าทำไมต้องทำกับฉัน ทำไมต้องทำกับผมซึ่งเป็นลูก แต่เหตุผลอธิบายกันไม่ได้ แต่สิ่งที่อยู่เหนือเหตุผลคือ ความจริงแห่งธรรมะที่ทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ เราจะยอมรับไหม ล้างใจให้บริสุทธิ์เพื่อกลับคืนสู่ภาวะธรรมอันเดิมแท้ มนุษย์มาจากธรรมะ ไม่ใช่มาจากความทุกข์ คิดให้ดีๆ
(ทุกข์เพราะความคาดหวัง)  เหมือนศิษย์คาดหวังแอปเปิลจากอาจารย์ โอกาสที่จะได้ไม่ได้มีเท่ากันไหม (เท่ากัน)  แล้วคิดยังไงเพื่อจะได้ไม่ทุกข์ (อย่าไปคาดหวัง)  แล้วเราไม่คาดหวังได้ไหม เรามีหน้าที่ทำให้ดีที่สุด ถ้าศิษย์กล้าจริง ศิษย์เข้มแข็งจริง ศิษย์สู้ชีวิตจริง และศิษย์รักตัวเองจริง กลัวอะไร ล้มแล้วลุก ผิดแล้วสู้ใหม่ พ่ายแล้วชนะได้ ขอเพียงศิษย์ไม่ยอมแพ้ใจตัวเอง ไม่ต้องไปสนใจคำดูถูกใคร สนใจประคองใจตัวเองให้ดีก็พอ ธรรมะคือความเป็นกลาง มีธรรมคือดึงใจให้เป็นกลาง เพื่อไม่ต้องเสียศูนย์
(ทุกข์เพราะหลงสาว)  หลงสาวหรือหลงตัวเอง สิ่งที่เห็นว่าสวย แท้จริงอาจไม่สวย สิ่งที่ไม่สวย แท้จริงอาจสวย ในโลกแห่งความเป็นจริงไม่มีอะไรเที่ยงแท้ อย่าหลงจนลืมความจริง เหมือนอาจารย์บอกว่ากินแอปเปิลผลนี้อร่อย กินแล้วแข็งแรง แต่ก็ตายเร็ว เอาไหม (ไม่เอา)  หลงกับสิ่งที่ตัวเองชอบ มีแล้วทำให้ศิษย์ตายไวหรือตายช้า และทำให้ศิษย์ตายทั้งเป็น ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าไม่อยากตายทั้งเป็น ก็จงมองสิ่งที่หลงให้แจ่มชัด ไม่อย่างนั้นก็จะทุกข์เพราะตัวเอง 
(ทุกข์เพราะไม่เคยพอใจในสิ่งที่มี สิ่งที่เป็น) ศิษย์รู้ไหมคนที่เกิดมาแล้วไม่เคยพอใจตัวเอง คือคนที่เกิดมาแล้วขาดทุนตั้งแต่เกิด แต่ถ้าคิดว่า แบบนี้ก็ดีแล้ว ดีไหม (ดี)  อย่างน้อยอยู่กับตัวเองเงียบๆ คนเดียวก็อยู่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  
(ไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี)  ทุกข์เพราะความไม่พอ (มีความทุกข์เพราะความอยาก ที่ทนทุกข์เพราะสิ่งที่ตนมีอยู่ไม่เพียงพอ)  ได้แล้วก็ไม่รู้สึกสุขเลย แปลว่าภรรยาอยู่นี่มีสุขไหม (ภรรยาเราไม่สามารถอ่านใจเขาได้ เขาจะทุกข์หรือจะสุขก็ได้ ทุกคนทุกข์เพราะว่าไม่พอใจสิ่งที่ตนมี) เราทุกข์เพราะเราไม่พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ น่าสงสารนะ ศิษย์ควรจะดีใจแล้วควรมีความสุขนะ อายุตั้งปูนนี้แล้ว ยังอยู่รอดปลอดภัยยืนได้เข้มแข็ง โชคดีที่สุด เกิดมาควรพอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้ และจงเป็นสุขกับสิ่งที่มี แค่นี้ก็ดีนักหนาแล้ว ตอนนี้ไม่ทุกข์แล้ว ใช่ไหม (ไม่ทุกข์)  ดีแล้วที่ได้แก่ ดีกว่าเกิดมายังไม่มีโอกาสแก่แล้วก็ตายเลย
(ทุกข์เพราะความคิด)  ต้องระมัดระวังความคิด เพราะจิตของมนุษย์ง่ายที่จะไหลลงต่ำ ง่ายที่จะใฝ่หาความทุกข์และง่ายจะไปตามอารมณ์ ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมคือการฝึกข่มจิต จิตที่ฝึกดีแล้วคือจิตที่นำสุขมาให้ แต่เราเคยข่มจิตตัวเองบ้างไหม เราเคยระงับใจตัวเองได้ไหม ทุกข์เพราะพูดในสิ่งที่ไม่น่าพูด ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำ และยังข่มจิตตัวเองไม่ได้ เพราะไม่รู้อะไรดีอะไรไม่ดี  ฉะนั้นเวลาจะทำอะไร คิดง่ายๆ ทำแบบนี้แล้วมันโหดร้ายกับคนอื่นไหม ทำแบบนี้แล้วทำร้ายใจคนไหม ถ้าคิดแบบนี้เสมอจะทำผิดไหม (ไม่ทำ) 
(ทุกข์เพราะไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร)  ถ้าวันนี้ขยัน วันนี้พากเพียร วันนี้ซื่อตรง วันนี้รับผิดชอบหน้าที่ ไม่ต้องกลัวอนาคต แต่ถ้ามัวห่วงอนาคต วันนี้ยังเอาไม่รอดอนาคตก็ดับ ฉะนั้นชีวิตอยู่ที่ปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด อนาคตดีแน่ แต่ถ้าปัจจุบันยังขี้เกียจ ขี่มอเตอรไซต์เที่ยวอยู่ทุกวัน อนาคตก็ไม่รอด จริงไหม
(กลัวทำให้พ่อแม่เสียใจ)  ตอบอาจารย์ตอบดี แต่พอถึงเวลาสนใจพ่อแม่ไหม ถ้าศิษย์คิดได้อยู่เสมอว่าไม่มีพ่อแม่ก็ไม่มีเราในวันนี้ ทำอะไรคิดถึงพ่อแม่เป็นหลัก ถือว่าเป็นลูกกตัญญู ขอให้คิดได้อย่างนี้เสมอ แอปเปิลผลนี้เอาให้ใครดี (ครึ่งหนึ่งของพ่อ ครึ่งหนึ่งของแม่)  ปรบมือให้หน่อย
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ทำใจให้เป็น”)
พูดไปจนถึงที่สุด ถ้าศิษย์ไม่ทำอาจารย์ก็พูดอะไรไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  รู้ธรรมแต่ไม่ปฏิบัติธรรมก็น่าเสียดาย จริงไหม (จริง)  เสียดายนักเรียนในชั้นนี้ มีโอกาสฝึกปัญญาเพิ่มพูนทางธรรมบ้าง อย่าคิดว่าธรรมะเป็นเรื่องไกลชีวิต เพราะถึงที่สุดแล้ววันหนึ่งคนที่ต้องทุกข์และหนีไม่พ้นทุกข์ก็คือตัวของศิษย์เอง จะปฏิบัติบำเพ็ญอย่างไร ไม่ยากเลย ดำเนินชีวิตแบบไม่ผิดศีล ดำเนินชีวิตกับผู้คนไม่ขาดคุณธรรมความเป็นคน กับพ่อแม่รู้กตัญญู กับพี่น้องรู้จักรักใคร่ปรองดอง กับเพื่อนซื่อตรงจริงใจ รับผิดชอบหน้าที่ด้วยคุณธรรมเต็มหัวใจ เช่นนี้แล้ว เงยหน้าก็ไม่อายฟ้า ก้มหน้าก็ไม่อายดิน ชีวิตก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว เพราะศีลไม่ขาด ธรรมไม่พร่อง กรรมเวรไม่ยืดเยื้อ แม้ต้องตายวันนี้ก็ไม่เสียดายชีวิต ฉะนั้นความตายไม่น่ากลัว ความเจ็บก็ไม่น่ากลัว แต่การเกิดเป็นคนแล้วไม่รู้ทางดับทุกข์ น่ากลัวกว่า จริงไหม (จริง)  

ดูแลกาย ดูแลใจตัวเองให้ดี เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง เรามาจากธรรม  เราก็ต้องกลับคืนสู่ธรรม เราคือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และเราก็ต้องกลับคืนสู่ธรรมชาติ บ้านเดิมแท้ของศิษย์คือบ้านแห่งธรรม บ้านในโลกหนีไม่พ้นทุกข์ แต่บ้านแห่งธรรมคือความสงบเย็น รู้จักกลับบ้านในโลกแล้วไม่อยากกลับบ้านที่แท้จริงหรือ บ้านที่ไม่มีทุกข์  บ้านที่พ้นทุกข์ บ้านที่พ้นเวรพ้นกรรม ยังละบาปไม่ได้ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าคนดี ฉะนั้นเริ่มต้น ละบาป บำเพ็ญบุญ ถือครองคุณธรรมในการอยู่ร่วมกับคน หนทางบำเพ็ญธรรมจึงไม่ใช่เรื่องยาก มีโอกาส อาจารย์คงได้มาผูกบุญกับศิษย์อีกนะ รักษาบุญอันนี้ไว้ด้วยหัวใจที่ดี อย่าทำผิด ได้ไหม (ได้)  ถ้าศิษย์ทำผิด แม้ตัวจะอยู่แต่ใจศิษย์ติดอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ พุทธะมาโปรดจะไม่มีประโยชน์เลยถ้าธรรมะที่ฟังไม่เคยเข้าไปอยู่ในใจศิษย์ ลองเอาไปคิดพิจารณาดูว่าสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้ เพื่ออาจารย์หรือเพื่อศิษย์ ทุกข์แล้วค่อยมีธรรม หรือควรมีธรรมก่อนแล้วจะได้ไม่ทุกข์ คิดไตร่ตรองให้ดีนะ 


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ทำใจให้เป็น”
    กงล้อแห่งชีวิตล้วนเหมือนกัน        เป็นสัจธรรมอันเป็นหนึ่งที่คงไว้
ยากมีใครหลีกหนีความจริงได้           ทุกสิ่งล้วนต้องเป็นไปเช่นนั้นเอง
ทำสิ่งใดได้สิ่งนั้นหนีไม่พ้น                ไม่สร้างเหตุตกผลมาข่มเหง
ไม่ก่อบาปเพิ่มทุกข์รู้หวั่นเกรง           บำเพ็ญเร่งฝึกมีธรรมเตือนตน




พระอาจารย์เมตตาแก้ไขเพลงพระโอวาทและประทานชื่อเพลงที่ให้ไว้ ณ สถานธรรมหมิงเอิน จ.เพชรบูรณ์ วันที่ ๙-๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๒
เพลงพระโอวาทหน้า ๑๒ ย่อหน้าสุดท้าย
เดิม
    แพ้นี้เพราะไม่อยากแพ้ อ่อนแอกว่าคนยอมแพ้ชินชา ถ้าเรียนรู้เห็น เพี้ยนหลอกสายตา ชอบฟังดีกว่า กำไรธรรมะกว่าเดิม
แก้ไขเป็น
    ลี้ลับเพราะไม่ศึกษา ศรัทธาแบบงมงายไร้วันตื่น ชอบปาฏิหาริย์ เพ้อฝันทั้งคืน แม้ลืมตาตื่น ศิษย์รักหลงทางเรื่อยไป

    ลึกลับเพราะไม่เรียนรู้ อะไรนั้นคือธรรมะจริงจริง ใช้เดาแบบนี้เพราะไม่รู้จริง เมื่อขวัญมินิ่ง อย่างไรจะศึกษา
    แพ้นี้เพราะไม่อยากแพ้ อ่อนแอกว่าคนยอมแพ้ชินชา ถ้าเรียนรู้เห็นเพี้ยนหลอกสายตา ชอบฟังดีกว่า กำไรธรรมะกว่าเดิม
    *หลักในวันนี้ ธรรมะดีดี อย่าละทิ้งการศึกษา จิตใจเท่านั้นกลับคืนฟ้ามา ธรรมที่อรรถาครบถ้วนเพราะทำ
    **ลี้ลับเพราะไม่ศึกษา ศรัทธาแบบงมงายไร้วันตื่น ชอบปาฏิหาริย์ เพ้อฝันทั้งคืน แม้ลืมตาตื่น ศิษย์รักหลงทางเรื่อยไป (ซ้ำ *,**) 
ทำนองเพลง : คิดถึงฉันบ้างคืนนี้

ชื่อเพลง : ธรรมะไม่ใช่เรื่องลี้ลับ
x

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

2562-11-16 สถานธรรมจื้อเจวี๋ย สงขลา

西元二○一九年歲次己亥十月二十日                             仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๒                สถานธรรมจื้อเจวี๋ย สงขลา
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
     ใช้ธรรมนำทางชีวิต                  มิคิดก่อกรรมทำเข็ญ
         รู้พอรู้ใช้สุขเป็น                         เช้าเย็นมีธรรมต่อกัน
                              เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ     รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก น้อมกายอัญชุลี
องค์มารดา                   ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

   ชมใจมโนธรรม                         ชมจริยะล้ำสุกใส
งดงามจากเมตตาไว้                     น่ารักงามง่ายระบือ
เนื่องขาดความเหมาะสม               ใจสะสมกิเลสยึดถือ
ทำไมไม่ซื่อซื่อ                           จงบำเพ็ญสื่อสารธรรม
กายตรงวาจาตรง                        จิตตรงเป็นประจำ
คำพูดการกระทำ                         คิดย้ำบำเพ็ญจริง
สำเร็จจากยุคลำเค็ญ                     คิดพูดเห็นสติ
วางเรื่องเก่าอคติ                         ความจริงชี้ปัญญา
อัคคีอย่ากอบเข้า                         ลามเผากระทั่งฟ้า
กวาดกิเลสกองขยะ                      ลุกปะทะคิดอะไร
ชีวิตเรื่องสั้นสั้น                          อย่ารอวันสลาย
วันหนึ่งทำอะไร                          ใช้ใจใช้สมอง
เข้าถึงแต่กฎเกณฑ์                      บำเพ็ญของตนพร่อง
บำเพ็ญทุกเรื่องต้อง                     มองมองไม่อัตตา
แม้มีคนปรานี                             ไม่มีพ้นปัญหา
เรื่องคนอื่นธรรมดา                      เห็นชะตากรรมตน
ชีวิตไม่เที่ยงหนา                         นาวากลางลมฝน
สรรพสิ่งล้วนปะปน                      มรรคผลในท่ามกลาง

                                                                                                ฮา ฮา หยุด



พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ

เราบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าการมาของเราคงทำให้ท่านลำบากใจไม่มากก็น้อย ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นเราคุยกันต่อนะ ได้ไหม (ได้)  เมื่อเราเรียนรู้ว่าถึงแม้เราจะเก่งขนาดไหน แต่บางครั้งเราก็ผิดพลาดได้ในความเก่งนั้น ในสิ่งที่เรารู้บางครั้งเราก็ผิดพลาดได้ในสิ่งที่เรารู้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อไรที่เราเจอคนผิดพลาด เมื่อไรที่เราเจอคนทำผิด เราควรไหมที่จะติฉินนินทา (ไม่ควร)  เราควรไหมที่จะหักหาญน้ำใจ (ไม่ควร)  เราควรไหมที่จะเอาไปต่อว่าต่อขาน (ไม่ควร)  แล้วเราควรไหมที่จะเอาไปบอกกล่าวผู้อื่น (ไม่ควร)  แล้วเราทำไหม (ไม่ทำ)  เราเก่งขนาดไหนเมื่อมาอยู่ในโลกกว้าง เมื่อมาอยู่กับผู้คนมากขึ้น เราจึงรู้ว่าบางครั้งเราแทบจะไม่เก่งเลย หรือบางครั้งสิ่งที่เรารู้มากขนาดไหน แต่เมื่อมาอยู่กับผู้คนมากขึ้น เราจึงรู้ว่าสิ่งที่เรารู้นั้นเป็นความรู้ที่บางครั้งใช้อะไรไม่ได้เลย เหมือนเราต้องนับหนึ่งใหม่เรียนรู้ใหม่ และในสิ่งที่เรารู้สิ่งที่เราเก่งเราก็พร้อมจะผิดพลาดได้ และในสิ่งที่เรามั่นใจเราก็พร้อมจะก้าวพลาดได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อเจอคนที่พลาดเมื่อเจอคนที่ไม่เก่ง เราควรไหมที่จะนินทา เราควรไหมที่จะต่อว่าต่อขาน เราควรไหมที่จะเหน็บแนมให้เขาเจ็บปวด (ไม่ควร)  แล้วเราทำไหม (ไม่ทำ)  หัวอกเขาหัวอกเรา เราก็เคยผิดเขาก็เคยผิด ฉะนั้นถ้าจะทำสิ่งที่เรารู้สึกไม่ชอบ สิ่งที่คนเขาทำผิดพลาด แล้วทำผิดพลาดกับเรา เราจะมาแปรความผิดพลาดนั้นเป็นความโกรธเกลียด เป็นอารมณ์ เป็นกรรมต่อกัน หรือจะแปรความผิดพลาดของเขาเป็นความเห็นอกเห็นใจ เข้าใจ อภัย และรู้ซึ้งถึงความเป็นจริง อะไรดีกว่ากัน เราควรจะแปรความผิดพลาดของเขาเป็นความเห็นใจ เข้าใจ อภัย ใช่ไหม แต่ปกติเราเห็นใจไหม
ถ้าอย่างนั้นเราถามท่านหน่อย โลกนี้น่าอยู่เพราะคนเข้าใจกัน เห็นใจกัน ใช่ไหม และโลกนี้ไม่น่าอยู่เพราะคนเอาแต่ทำร้าย เหน็บแนม ซึ่งกันและกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราทำโลกน่าอยู่หรือเราทำโลกไม่น่าอยู่ และเราอยากได้โลกที่น่าอยู่หรือโลกที่ไม่น่าอยู่ (น่าอยู่)  เราอยากได้โลกน่าอยู่แต่เราทำโลกไม่น่าอยู่ ใช่ไหม เราต้องการอีกอย่างแต่เราทำอีกอย่าง อย่างนั้นถูกต้องไหม (ไม่ถูกต้อง)  และผลสุดท้ายกรรมก็ตกมาที่ตัวเรา ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น ใช่หรือไม่ ก็เราไม่เคยเห็นใจเขา เราไม่เคยเรียนรู้ที่จะเข้าใจเขา และจะมีใครเข้าใจเห็นใจเรา ถูกไหม เขาผิดพลาด เราก็เคยผิดพลาด ถ้าแปรความผิดพลาดเป็นความเห็นใจ แปรความผิดพลาดเป็นความเข้าใจ โลกนี้คงสันติสุข จริงไหม แต่ทุกวันนี้ไม่สันติสุข ใช่ไหม แต่ส่วนใหญ่ที่เรามอบไปความรักหรือความเกลียด ทั้งรักทั้งเกลียดเลยใช่ไหม
ท่านไม่เคยได้ยินหรือว่า ปัญญาหาได้จากการเรียน ปัญญาเพิ่มได้ด้วยการเรียนรู้ ผู้ใดใคร่อยากมีปัญญา ผู้นั้นต้องใคร่รักการเรียนรู้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งปัญญาแห่งธรรมที่นำพาให้เราพ้นทุกข์ด้วย ปัญญานำพาให้เราพ้นทุกข์ได้ ปัญญาทำให้เราอยู่ร่วมกับทุกข์ได้อย่างเป็นสุข ปัญญาทำให้เรามีชีวิตอยู่บนโลกด้วยความเข้าใจทุกข์ อย่างนี้การศึกษาเรียนรู้ธรรมไม่น่าสนใจหรอกหรือ (น่าสนใจ) 
นั่งไม่นั่ง (นั่ง)  เชิญนั่ง ไม่ต้องพิธีรีตองมากนะ เพราะอยู่บ้านปกติไม่เคยสนใจใคร ไม่เคยแคร์ใครใช่หรือไม่ (ใช่)  มาอยู่ที่นี่จะกินก็ต้องเชิญคนนั้น จะนั่งก็ต้องเรียกคนนี้ ถ้าเราอยู่ในโลก เรารู้จักคำนึงถึงหัวอกคนอื่นก่อนที่จะนึกถึงตัวเองคนเช่นนี้ไม่น่ารักหรอกหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะนั่งก็ห่วงคนอื่นให้คนอื่นนั่งก่อน จะกินก็นึกถึงคนอื่นก่อนเช่นนี้ไม่น่ารักหรอกหรือ (น่ารัก)  เพราะปกติเคยห่วงคนอื่นไหม (ห่วง)  ห่วงแต่คนในบ้านมากกว่าใช่ไหม (ใช่)  อย่ารำคาญพิธีรีตองเล็กๆ น้อยๆ เลยนะ เพราะพิธีรีตองก็เป็นจริยะ ที่ทำให้เรารู้จักคำนึงถึงผู้อื่นมากกว่านึกถึงตัวเอง ให้เรารู้จักสำนึกคุณถึงผู้อื่นก่อนที่จะห่วงแต่ตัวเอง ใช่หรือไม่
วันนี้ท่านมาฟังธรรมะ ธรรมะในความคิดของท่านโดยส่วนใหญ่มักจะตีกรอบว่าแค่สวดมนต์ ไหว้พระ ทำบุญ ทอดกฐิน ธรรมะสอนให้เราเป็นคนดี ใช่หรือไม่ แต่วันนี้ถ้าเราบอกว่าธรรมะไม่ใช่มีแค่นั้น ธรรมะยังมีอีกส่วนหนึ่ง และยังมีอีกหลายๆ ส่วนที่ท่านลืมมองไป ธรรมะไม่ได้สอนให้เราเป็นแค่คนดี แต่ธรรมะยังสอนให้เราเรียนรู้ที่จะเข้าใจความจริงและนำพาให้เราพ้นทุกข์ ซึ่งธรรมะอันนี้เราไม่เคยเอามาใช้เลย จริงไหม เอามาแต่ทำให้ตัวเองดี เอามาแต่ปฏิบัติให้ตัวเองดี แต่ไม่เคยเอาธรรมะมาปฏิบัติให้ตัวเองพ้นทุกข์สักที ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นเราถามต่อ ธรรมะที่วันนี้ที่ท่านมาฟัง ไม่ใช่แค่เป็นคนดี แต่เป็นธรรมะที่ปฏิบัติแล้วทำให้เราพ้นทุกข์ อย่างนั้นท่านกลัวทุกข์หรือกล้าเผชิญความทุกข์ (กล้าทุกข์)  อย่างนั้นคนที่กล้าเผชิญความทุกข์ เขาจะเลือกเจอแต่สุขใช่ไหม ความทุกข์ไม่เอาใช่ไหม คนที่บอกว่าคือคนที่กล้าทุกข์ คือคนที่หวังวอนขอทำดีแล้วต้องเจอแต่สิ่งดีๆ อย่าเจอสิ่งที่ไม่ดีใช่ไหม คนที่กล้าเผชิญความทุกข์คือคนที่เลือกจะเจอแต่สิ่งที่ดี สิ่งที่เลือกว่าทุกข์ไม่ยอมเจอใช่ไหม (ไม่ใช่) 
คนที่กล้าเผชิญความทุกข์คือคนที่กราบพระ ทำดีแล้วก็บอกว่าขอให้เจอแต่สิ่งดีๆ แล้วนั่นคือคนที่กล้าเผชิญทุกข์หรือ ตกลงว่าท่านอยู่ในโลก ท่านกล้าทุกข์หรือท่านไม่กล้าสู้ทุกข์ (ไม่กล้าสู้ทุกข์)  ถ้าคนกล้าที่จะทุกข์เขาจะไม่เลือกเจอแต่สิ่งที่ดี ถ้าคนที่เข้าใจทุกข์ กล้าเผชิญทุกข์ เขาจะยอมรับทั้งดีและไม่ดี ใช่หรือไม่ ถ้าอย่างนั้นผู้ที่กล้าเผชิญความทุกข์ เขาจะกล้ายอมรับความจริงว่า โลกนี้มีทั้งดีและไม่ดี โลกนี้มีทั้งสุขและทุกข์ เพราะเป็นธรรมดาของโลกและในความเป็นธรรมดานั่นคือความจริงอันหนีไม่พ้น ถ้าอย่างนั้นคนที่กล้าเผชิญความทุกข์คือคนที่เรียนรู้ที่จะอยู่กับทุกข์และสุขได้ และคนที่ทำดีโดยไม่หวังวอนขอว่าจะต้องเจอแต่สิ่งที่ดี ฉะนั้นตอนนี้เราปฏิบัติธรรมแบบไหน ถ้าคนที่ปฏิบัติธรรมแบบเข้าใจ และนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์คงไม่ปฏิบัติธรรมแล้วเอาแต่ขอว่าจงเจอแต่สิ่งที่ดี จงมีแต่สิ่งที่ดี
ใช่ไหม แต่คนที่เขาเข้าใจทุกข์และปฏิบัติเป็น เขาจะกล้าเผชิญความทุกข์ ไม่ว่าความทุกข์นั้นจะดีหรือไม่ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นปฏิบัติธรรมอย่าเอาแต่ธรรมมาแค่เป็นคนดี แต่ต้องเอาธรรมมาทำให้เราเห็นแจ้งทั้งทุกข์และสุข ใช่หรือไม่ และส่วนใหญ่ความทุกข์ที่เราไม่อยากเจอมีอะไรบ้าง มีแต่เรื่องที่เป็นทุกข์ใจทั้งนั้นเลยใช่ไหม (ใช่)  แล้วในเรื่องที่ทุกข์ใจนี้คือส่วนหนึ่งของชีวิต แล้วคือความจริงที่หนีไม่พ้นใช่หรือไม่ แล้วคือความจริงอันเป็นธรรมดาโลกไหม (ใช่)  มีเยอะแยะเลยถูกไหม

จริงๆ แล้ว มนุษย์เราทุกคนมีเรื่องความทุกข์ที่หนีไม่พ้นเป็นหลักๆ อยู่ไม่กี่เรื่อง เรื่องหนึ่งคือความแก่ เรื่องหนึ่งคือความเจ็บ เรื่องหนึ่งคือความตาย หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป คือความทุกข์ที่หนีไม่พ้น ที่มีอยู่ในทุกชีวิต ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เป็นรูป หรือสิ่งที่เป็นนาม ก็มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หนีไม่พ้น สมมติถ้าเป็นแค่ตัวเราแค่ร่างกายนี้ มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย  ปกติก็มีแค่นี้ แต่ถ้าเมื่อใดเอาตัวเราใส่เข้าไปในชีวิต เรามีมากกว่านี้ไหม (มาก)  ออกมาเยอะเลย ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเอาตัวเราออกเราก็มีแค่ (เกิด แก่ เจ็บ ตาย)  ฉะนั้นถ้าเราเอาตัวเราใส่เข้าไป ตัวเรานอกจาก แก่ เจ็บ ตาย แล้วเราก็ยังมีเพิ่มอะไรเข้าไปอีก (อารมณ์)  เอาง่ายๆ นะ มนุษย์เราทุกคนมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ความเป็นจริงอันหนีไม่พ้นที่เรียกว่า แก่ เจ็บ ตาย แล้วยังเป็นเช่นนั้นจนกว่าที่เราจะหมดลมหายใจไป ถึงจะสิ้นสิ่งนั้นได้ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเมื่อไรสิ่งนั้นเติมคำว่าตัวตนเข้าไป ความทุกข์จะไม่ใช่แค่สามอย่าง จะมีมากมายนับไม่ถ้วนเขียนบนกระดานก็ไม่หมด ใช่ไหม (ใช่)  แล้วสิ่งนั้นจะค่อยๆ เริ่มเกิด ค่อยๆ เริ่มมี เพราะเมื่อเราใส่อารมณ์เข้าไป ใส่ตัวตนเข้าไป พอมีอารมณ์จากเจ็บเราก็เริ่มเจ็บมาก เจ็บน้อย ใช่ไหม พอมีอารมณ์เราก็เริ่มเจ็บเพราะเขาทำเรา หรือเจ็บเพราะเราทำเขา ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเมื่อใดเราดับทุกข์ง่ายๆ เมื่อใดเราถอนอารมณ์ออก ถอนตัวตนออก เราก็จะเหลือทุกข์แค่ (เกิด แก่ เจ็บ ตาย)
เรายังถอนอารมณ์ออกไม่ได้ ถอนความเป็นตัวตนออกไม่ได้ ความทุกข์ก็จะมีไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ เปรียบเทียบง่ายๆ ถ้าสมมติว่ากระเช้าดอกไม้นี้หนีพ้นความแก่เจ็บตายได้ไหม (ไม่ได้)  เรารู้ว่ายังไงก็ต้องเหี่ยว กระเช้ายังไงก็ต้องพังสลาย แต่เมื่อไรที่เราเห็นกระเช้านี้มีใครดึงดอกไม้เราก็เฉยๆ ใครมาทำกระเช้าพังเราก็เฉยๆ แต่เราจะเจ็บมากยิ่งขึ้นถ้าบอกว่า “ของเรา”ใช่ไหม แต่เมื่อถอนของเราทิ้ง เจ็บไหม ทุกข์ไหม อย่างนั้นที่เราทุกข์เพราะเราพยายามอยากเป็นเจ้าของในสิ่งที่เราหนีไม่พ้นทุกข์ใช่ไหม แล้วเราอยากเจ็บอีกไหม (ไม่)  ถ้าอย่างนั้นลองเติมคำว่า ของเรา “เเต่เเฟนให้มา” เจ็บขึ้นไหม อยากเจ็บอีกไหม ของเรา แต่แฟนให้มา “แต่แฟนไม่ให้เรา” เจ็บไหม ฉะนั้นที่เราทุกข์อยู่ทุกวันนี้ทั้งที่เรารู้ว่าสรรพสิ่งในโลกไม่ว่าตัวเราหรือของอะไรก็ตาม หนีไม่พ้นความแก่ ความเจ็บ ความตาย แต่ที่เราเจ็บกับสิ่งๆ นั้นมาก หรือทุกข์กับสิ่งๆ นั้นมาก เพราะเรายึดติดกับคำว่าตัวตน เพราะเรามีอารมณ์ร่วมกับสิ่งๆ นั้น ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าเราไม่อยากทุกข์ เราไม่อยากเจ็บ บางครั้งเราต้องทำอย่างไรหนอ (ปล่อยวาง)  ปล่อยวางจริงไหม ท่านเคยได้ยินไหม ของบางอย่างมันมีก็จริง แต่ถ้าเราไม่คิดมันก็ไม่ทุกข์ ของบางอย่างมันไม่มี แต่เมื่อเราคิด เราก็ทุกข์ ใช่ไหม ฉะนั้นที่เราทุกข์เพราะเราคิด
ใช่หรือไม่

ฉะนั้นชีวิตนี้เป็นภาพสะท้อนของจิตใจเมื่อใจว่างทุกสิ่งก็ว่าง เมื่อใจมีทุกสิ่งก็มีถูกไหม (ถูก)  เหมือนเปรียบเทียบง่ายๆ คิดง่ายๆ บางคนยังคิดไม่ออกท่านเคยได้ยินคำว่า ผีเห็นผีไหม (เคย)  รู้ไส้รู้พุงเขาเพราะว่าเราก็เป็นอย่างนั้นใช่ไหม (ใช่)  เจ็บมากเท่าไหร่ก็เพราะเราคิดอย่างนั้นใช่ไหม ฉะนั้นถ้าความคิดนั้นไม่มีอยู่ในใจเรา เราจะเจ็บไหม (ไม่เจ็บ)  หรือเปรียบเทียบง่ายๆ อีก ท่านเคยเห็นไหมผู้หญิงไม่เคยติดเหล้า ผู้หญิงไม่เคยติดบุหรี่ ต่อให้เดินผ่านร้านเหล้าร้านบุหรี่จะหวั่นไหวไหม (ไม่)  จะรู้สึกเปรี้ยวปากไหม (ไม่)  เพราะบุหรี่และเหล้ามันไม่มีในใจใช่ไหม (ใช่)  แต่ตรงกันข้ามฝ่ายชาย แม้ไม่เห็นเหล้าไม่เห็นบุหรี่ แต่เหล้ากับบุหรี่มันอยู่ในใจอยากไหม (อยาก)  อย่าพูดสิมันเปรี้ยวปากถูกไหม ฉะนั้นฉันใดก็ฉันนั้นถ้าเรามองสิ่งนั้นไม่ใช่ทุกข์อีกต่อไป ถ้าเรามองสิ่งนั้นไม่ใช่ความเจ็บล่ะ ถ้าเรามองสิ่งนั้นเป็นความธรรมดา ใจเราเห็นเป็นธรรมดาก็ไม่เจ็บ ใจเราเห็นไม่ทุกข์ก็ไม่เจ็บ ใจเราเห็นเป็นเช่นนั้นเองก็ไม่เจ็บใช่ไหม (ใช่)  ผีเห็นผีเห็นอะไรก็ทำอย่างนั้น คิดอะไรก็ได้อย่างนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าเกิดว่าในใจเรามันว่างที่เห็นมันจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  เมื่อจิตว่างสรรพสิ่งก็ว่างเปล่าใช่ไหม (ใช่)  หรือเป็นเพราะว่าเราเต็มไปด้วยความยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งนี้ทุกข์ สิ่งนั้นทุกข์ สิ่งนี้ไม่ดี สิ่งนั้นไม่ดี
ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเราจะแก้ที่เขาหรือแก้ที่เรา ว่าอย่างไร แก้ที่เขาหรือแก้ที่เรา (แก้ที่เรา)  เหมือนเราถามท่านง่ายๆ ปลูกดอกไม้ถ้าดอกไม้มันมีทั้งสวยและไม่สวยโทษสภาวะแวดล้อมหรือโทษต้นไม้

ถ้าเราดูแลดีก็แล้ว บำรุงดีก็แล้ว ทำอะไรดีทุกอย่างก็แล้ว เราก็ยังหนีไม่พ้นมีดอกไม้ไม่สวย มีผลไม้ไม่ดี โทษเขาหรือโทษเรา ชีวิตมีทุกข์ที่หนีไม่พ้น ใช่หรือไม่ และความหนีไม่พ้นนั่นคือส่วนหนึ่งของชีวิต และคือความจริง ถ้าอย่างนั้นความจริงคือชีวิต ชีวิตคือธรรมดา ผู้ใดยอมรับความจริงอันเป็นธรรมดา ผู้นั้นย่อมเข้าใจธรรม ถูกหรือไม่
ยอมรับความจริงอันธรรมดาได้ มนุษย์ก็สามารถเรียนรู้ที่จะเข้าใจชีวิตและพ้นทุกข์ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขึ้นชื่อว่าชีวิตหนีความตาย ความพลัดพราก หนีความสูญเสียได้ไหม (ไม่ได้)  หนีความไม่มีได้ไหม (ได้)  เพราะเรามาจากความไม่มี พอถึงวันหนึ่งเราก็ต้อง (ตาย)  ฉะนั้นเราบอกว่าเป็นคนหนึ่งที่กล้าเผชิญความทุกข์ สิ่งที่เราพูดมาทั้งหมดใช่ทุกข์ไหม
เราหนีความแก่ ความเจ็บได้ไหม (ไม่ได้)  ขึ้นชื่อว่าชีวิตมีความแก่ มีความเจ็บ มีความพลัดพราก มีความสูญเสีย มีความไม่มีเป็น (ธรรมดา)  และเป็นส่วนหนึ่งของ (ชีวิต)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรายังมีชีวิต เราก็หนีไม่พ้นความจริงอันนี้ถูกหรือไม่ (ถูก)  และความจริงอันนี้คือส่วนหนึ่งของ (ชีวิต)  อันเป็นความจริงอันเป็นธรรมดา แต่เรายอมรับความจริงอันเป็นธรรมดาและเป็นทุกข์ ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกข์ไหม (ไม่)  ถ้าในใจเรายังกังวลถึงความแก่ ความเจ็บว่าเป็นทุกข์ ฉะนั้นเกิด แก่ เจ็บ เราก็เป็นทุกข์  แต่ถ้าเรามองว่าความแก่ ความเจ็บ ความเกิดเป็นธรรมดาของโลก เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  เราก็จะไม่ทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นชีวิตเกิดขึ้นมาจากความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ฉะนั้นถ้าจะเปลี่ยนชีวิตก็ต้องเปลี่ยนที่ (ความคิด ความรู้ ความเข้าใจ)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงบอกว่าไปไหว้พระเก้าวัดก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าไม่เปลี่ยนที่ (ความคิด)  ถูกหรือไม่ (ถูก)  ความทุกข์แท้จริงแล้วทุกข์จริงไหม (ไม่จริง)
ถ้าสมมติว่าชีวิตเราเหมือนสายน้ำ เหมือนคลองเป็นสายน้ำเส้นหนึ่ง เราหวังว่าคลองนี้จะต้องมีแต่น้ำสะอาดที่ไหลผ่านเท่านั้นเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  วันหนึ่งต้องมีน้ำเสียและเมื่อมันไหลมา แล้วจะไหลไปไหม ไม่ว่าจะเป็นน้ำสะอาดหรือน้ำสกปรก สักวันหนึ่งไหลมาก็ต้องไหลไป เมื่อไหลไปแล้วไปเลย เรียกกลับไม่ได้ ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นที่ท่านบอกว่าทุกข์ มันจบไปหรือยัง มันไปแล้ว ใช่ไหม ทำไมคลองนั้นยังรู้สึกสกปรกอยู่ แล้วเมื่อมันมาอีกรอบ ถามใจท่านจะเก็บกลับไว้หรือให้ผ่านแล้วผ่านไป มันผ่านไปเลยหรือเราเก็บกักไว้ มันผ่านไปเลยแต่ใจท่านไม่ยอมผ่าน ใช่หรือไม่ ถ้าอย่างนั้นจึงมีคำพูดว่า แม้ทุกข์จะจริงขนาดไหนแต่ในความเป็นจริง ทุกข์นั้นก็ยังสามารถลวงหลอกเราได้ สิ่งที่จริงอาจจะไม่จริงก็ได้ เหมือนดังคำกล่าวพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า จิตเดิมแท้นั้นประภัสสรแต่หมองหม่นเพราะกิเลสจรมา
ใช่ไหม เหมือนเราดูพระจันทร์หรือพระอาทิตย์ สว่างไหม (สว่าง)  แต่หมองหม่นไปเพราะเมฆ เพราะฉะนั้นเมฆก็เหมือนความทุกข์ไหม แล้วเมฆอยู่นานไหม เมฆไปไหม แล้วพระอาทิตย์ยังสว่างเหมือนเดิมไหม แต่ที่ใจท่านไม่สว่างเพราะใจท่านยังอยากเอาเมฆไปอยู่กับตัว ถูกไหม ถ้าอย่างนั้นพอจะเข้าใจหรือยัง ยากไหม ไม่ยากเลย อยู่ที่เราจัดการและรับมือกับความเป็นจริงในชีวิตอย่างไร ทั้งที่จริงๆ แล้วความเป็นจริงแห่งชีวิตล้วนเป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง ใช่ไหม

ไม่ใช่เรื่องยากในการที่จะเข้าใจความทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  แต่เสียอย่างเดียวสมาธิและสติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว เลยฟังแล้วไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงไหม บางท่านรู้เรื่องบางท่านไม่รู้เรื่องก็เป็นธรรมดาจริงไหม เหมือนบางคนเห็นด้วยกับเราบางคนไม่เห็นด้วยก็เป็นเรื่อง (ธรรมดา)  ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเมื่อใดที่มนุษย์สามารถมองเห็นความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาได้ ความทุกข์เราจะลดน้อยลง และเราจะรู้จักและเข้าใจอะไรที่เรียกว่าประพฤติปฏิบัติธรรม ใช่ไหม (ใช่)  เราเพิ่งเคยได้ยินว่าถ้าเรามุ่งมั่นทำสิ่งดี แล้วเจอความไม่ดีมาต่อกรเรายังต้องหยัดยืนในความดีนั้นไว้ โดยไม่สูญเสียความดีไปจากใจ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วท่านรู้ไหมความเป็นมนุษย์เรียกว่าความปกติ จริงไหม (จริง)  ชีวิตคือความปกติอันเป็นธรรมดา ฉะนั้นเมื่อใดที่เราทำตัวเองผิดปกติ แปลว่าเรากำลังดำเนินชีวิตผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความเป็นปกติคือความเป็นธรรมดา ความธรรมดาคือความปกติ อย่างนั้นที่เราผิดปกติเพราะเราทำสิ่งที่ผิดธรรมดา แล้วเราก็เลยหนีไม่พ้นความทุกข์ แต่ถ้าเราเข้าใจว่าสิ่งนั้นคือสิ่งที่ปกติธรรมดา เราก็จะไม่ทุกข์ จริงไหม (จริง)  ถามจริงๆ นะ เหมือนเราพยายามจัดดอกไม้ใส่ตะกร้า มีคนชมใช่ไหม (ใช่)  แล้วก็มีคนว่าใช่ไหม (ใช่)  แล้วก็มีทั้งคนที่ไม่พูดอะไรใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นคนที่รักษาใจปกติโดยที่เข้าใจธรรม ก็จะไม่รู้สึกอะไรทั้งตอนโดนชมและตอนโดนติ ถ้าโดนชมแล้วใจพองโตก็แปลว่าผิดปกติ ไม่ใช่ธรรมะ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วถ้าโดนว่าแล้วใจเราหดหู่ก็แปลว่าเราผิดปกติ ใช่ไหม (ใช่) 
ถ้าเกิดว่าเขาชมก็แล้ว ว่าก็แล้วใจเรายังปกติ แปลว่าเราเป็นอิสระและพ้นทุกข์จริงไหม (จริง)  แล้วชีวิตเราล่ะอยากพ้นทุกข์ไหม (อยาก)  ฉะนั้นโดนชมก็ (ปกติ)  โดนว่าก็ (ปกติ)  ไม่ชมไม่ว่าก็ (ปกติ)  แล้วเราปกติหรือผิดปกติ (ผิดปกติ)  ก็เท่านั้นเอง ธรรมะไม่ยากเลยจริงไหม (จริง)  คนขี้โมโหปกติหรือผิดปกติ (ผิดปกติ)  คนชอบนินทาคนอื่นปกติหรือผิดปกติ (ผิดปกติ)  คนที่เอาแต่กินไม่สนใจคนอื่นปกติหรือผิดปกติ (ผิดปกติ)  คนที่อยากสวยมากกว่าคนอื่นปกติหรือผิดปกติ (ผิดปกติ)  ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นธรรมะคือไม่ใช่แค่คนดี แต่ธรรมะคือเข้าใจความเป็นจริง จนรักษาความเป็นปกติของใจ และยอมรับได้ในความเป็นธรรมดา จนบังเกิดธรรมขึ้นในใจ ด้วยความเป็นปกติใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อไรที่ผิดปกติ ก็แปลว่าท่านลืมธรรม ฉะนั้นกลับไปโดนใครว่า ก็รักษาความปกติ โดนใครชมก็ปกติ เขาไม่พูดอะไรเลยก็ (ปกติ)  ได้ไหม (ได้)  เพราะทุกสิ่งล้วนสะท้อนความเป็นจริงแห่งใจ เมื่อไรเขาทำอะไรผิดปกติ แสดงว่าใจเราก็ผิดปกติใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไรที่เขาทำอะไรที่ทำให้เราทุกข์ แปลว่าใจเราก็ไม่ยอมรับความทุกข์อันเป็นธรรมดาใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นผู้ที่เข้าใจธรรมะแท้จริง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเช่นนั้นเอง ไม่มีอารมณ์ ไม่มีอัตตาตัวตน เราจึงเกิดมาเพื่อดับ ไม่ใช่เกิดมาเพื่อทุกข์
มีโอกาสคงได้ผูกบุญกัน พรุ่งนี้ตั้งต้นใหม่ดีไหม (ดี)  ถ้าวันนี้อยู่ฟังจนถึงเย็นขอให้ใจสู้ได้ไหม (ได้)  อย่าดูถูกพลังใจตัวเอง ถ้าทำได้ เราจะได้ยิ่งกว่าได้ แต่ถ้าคิดว่าตัวเองไม่ได้ แม้นิดหน่อยมันก็ไม่ไหวใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าบอกว่าไหว เชื่อไหมว่า พลังใจจะทำให้ท่านสามารถทำในสิ่งที่มนุษย์คนหนึ่งไม่เชื่อว่าจะทำได้ เหมือนเราเข้าใจผู้คน ยิ่งเข้าใจมาก ใจเรายิ่งกว้าง เมื่อเราเข้าใจธรรม หัวใจเราจะเปิดกว้าง ความทุกข์จะน้อยลง และเราจะกลับคืนสู่สภาวธรรมได้ง่ายยิ่งขึ้น ลองศึกษาดูนะ


   วันอาทิตย์ที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๒        สถานธรรมจื้อเจวี๋ย สงขลา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  การรู้ธรรมต้องรู้แจ้งกระจ่างชัด      การปฏิบัติจะต้องทำให้เห็น
ข้อธรรมะทุกข้อต้องทำให้เป็น         การบำเพ็ญรู้เองทำเองเป็นสำคัญ
                        เราคือ
     จี้กงอาจารย์เจ้า       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่แดนโลก น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                   ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์บ้างไหม
   
คนบำเพ็ญธรรม ทำตัวแตกต่าง ทุกทุกครั้งใช้อ่อนน้อมมาแทนตัว บังเอิญสบตากัน ใครหลบตาฉัน ยิ้มกลัวกลัว อาจเป็นสิ่งใกล้ตัว ฉันลืมเรื่องใดไปตามกาล
คนลืมธรรม เหลียวไปมองรอย ร้อยทั้งร้อย เดินผ่านมาในวันวาน อย่าไปเหนื่อยเกินไป เจ้าอาจไม่ทนเหมือนตำนาน บำเพ็ญนานนาน พึงกวดขัน ทบทวนใจ ดวงใจดวงเดียว จงอย่าหายไป
*ตัวปัญหา ความไม่รู้ของเจ้าเอง เดินตรงเผง เหมือนคนเก่งมาก ท้ายอืดอาด ลา ลัล ลา ลา ลา ลัล ลา ลัล ลา ลา อึดอัดไหม ละวางวุ่นวายท้ายอยู่ต่อ
**คนบำเพ็ญธรรม ทำตัวแตกต่าง ทุกทุกครั้งใช้อ่อนน้อมมาแทนตัว บังเอิญสบตากัน ใครหลบตาฉัน ยิ้มกลัวกลัว คนลืมตัว จึงแอบยิ้มกันในใจ เกรงการบำเพ็ญ เป็นแค่ฝันไป (ซ้ำ *,**)

ทำนองเพลง : วอนลมฝากรัก
ชื่อเพลง : เป็นแค่ฝันไป



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เป็นแบบนั้นก็ได้นะ ถ้ามีบุญก็ได้เจอกันใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าไร้บุญวาสนาแม้อยู่ตรงหน้าก็ไม่รู้จักกัน จริงหรือเปล่า (จริง)  ฉะนั้นไม่ต้องร้องเพลงเรียกอาจารย์แล้วนะ ยิ่งเรียกก็เป็นการยึดติด ศึกษาธรรมเพื่อละวางการยึดมั่นถือมั่น  ถ้าปฏิบัติแล้วยังยึดมั่นถือมั่นนั่นเรียกว่าหลงผิดทาง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ชีวิตถ้าอยากมีสุขง่ายๆ ก็อย่าเรื่องมาก  ถ้าอันนั้นก็ไม่ได้ อันนี้ก็ไม่เอา อย่างนั้นก็ต้องอย่างนี้ อย่างนี้ก็ต้องอย่างนั้น ชีวิตสุขยากแน่ๆ  ช่วงนี้เศรษฐกิจดีไหม (ไม่ดี)  หาเงินยากไหม (ยาก)  แล้วทำอย่างไรให้เงินที่มีน้อยๆ มันดูมีค่าเยอะขึ้น ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย มี ๑๐๐ ใช้ ๑๒๐ จนไม่จน (จน)  มี ๑๐๐ ใช้ ๑,๐๐๐ จนไม่จน (จน)  แล้วมี ๑๐๐ ไปใช้อีก ๒๐๐ ถึง ๓๐๐ จนไม่จน (จน)  ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยเถอะในห้องนี้ใครบ้างมี ๑๐๐ ใช้แค่ ๕๐  ศิษย์เอ๋ยศิษย์ลองคิดนะสมมติว่าวันนี้ศิษย์หาเงินได้ ๑๐๐ แล้วศิษย์ก็คิดว่าไม่เป็นไรพรุ่งนี้คงได้อีก ๑๐๐ ฉะนั้นเราเลยใช้ ๘๐, ๙๐, ๙๕ แต่ถึงเวลาจริงๆ  พรุ่งนี้หาไม่ได้ เหลือห้าบาทเองนะ ศิษย์เอยถ้าศิษย์อยู่ในโลกปัจจุบันนี้ เปลี่ยนความคิดแล้วเงินจะมากขึ้น อย่าไปหวังในอนาคต เพราะถ้าเงินในอนาคต มันกดไม่ได้ มันไม่มา เราจะตายก่อน เพราะเราเคยชินกับการใช้เงินเป็นว่าเล่น ใช้เงินแบบไม่ขาดมือ แล้วถ้าวันหนึ่งเงินขาดมือ ตายไหม (ตาย)  ไม่ตาย  ยังหายใจอยู่    เงินไม่ได้มาบาดคอตายเพราะศิษย์ไม่ยอมสู้ ฉะนั้นอยากให้เงินเยอะขึ้น ศิษย์เคยไหมมีเงินเป็นหมื่น แต่ความอยากเกินหมื่น มีเป็นหมื่นเหลือนิดเดียว ถ้ามีเงินเป็นหมื่น แต่ความอยาก เป็น สิบ ยี่สิบ เงินเยอะไหม (เยอะ)  แล้วเราเป็นแบบไหน
ฉะนั้นจะพูดธรรมะกับใครก็ตาม ถ้าเขายังมีเงินไม่พอใช้ ยังกินไม่อิ่ม ยังมีความสุขในชีวิตไม่ได้ ก็อย่าไปพูดธรรมะกับเขา จริงไหม (จริง)  ถ้าอาจารย์จะพูดธรรมะกับศิษย์ก็ต้องพูดเรื่องเงินก่อน พูดธรรมะก็ฟังได้หน่อยใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามกลับนะ ถ้าตอนนี้เงินหายาก มีเท่านี้ แต่ความอยากของศิษย์ลดลง เงินเหลือเยอะไหม (เหลือเยอะ)  แต่มันน่าสงสารอีกประเภทหนึ่ง คือนำเงินในอนาคตมาใช้มาก ตอนนี้แม้จะอยากลดลง ก็ไม่ได้ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นก็ต้องคิดหาทางอย่ายอมแพ้ ตราบที่เรายังมีชีวิตอยู่ มือมีไหม (มี)  เท้ามีไหม (มี)  ตัวมีไหม (มี)  และลมหายใจมีไหม (มี)  แต่เสียอย่างเดียวใจไม่สู้  ฉะนั้นมือมี เท้ามี ตัวมี แต่ใจต้องสู้ด้วย  ถูกหรือไม่ (ถูก)  เกิดเป็นคนอย่ายอมตายง่ายๆ  ตายให้ยากๆ  หน่อย  เหมือนเราดูหนังทำไมพระเอกจึงตายยากตายเย็น ใช่ไหม (ใช่)  ทีผู้ร้ายโดยยิงเปรี้ยงตายเลย พอพระเอกโดนยิง เปรี้ยงๆ  ฟื้นขึ้นมาเฉยเลย แล้วเราชอบไหม (ชอบ)  ทำไมไม่เป็นแบบนั้นล่ะ
มีอะไรมันหนักหนาสาหัสสากัน สู้ไหมล่ะ (สู้)  รอดไหมล่ะ (รอด)  ตายไม่ตาย (ไม่ตาย)  ให้มันได้อย่างนี้นะ จำคำอาจารย์ไว้นะศิษย์เอ๋ย ถ้าอยากมีเงิน ความอยากให้มันน้อยๆ แล้วเงินมันจะมากขึ้น แต่ถ้ามีเงินเท่านี้ความอยากมันเท่านี้ มีเท่าไหร่มันก็ไม่พอกิน กินเท่าไหร่มันก็ไม่อิ่ม เพราะความอยากมันมาก สังเกตเวลาเราอยากกิน ตอนเราหิวอะไรมันก็อยากหมด วางทั้งโต๊ะยังบอกไม่พอเลยจริงไหม (จริง)  กับข้าวมีมากมายพอไหม ไม่พอ แต่พออิ่มแล้วข้าวเม็ดเดียวยังไม่อยากจะกินแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเหมือนกันศิษย์ถ้าอยากอยู่บนโลกนี้ ถ้าไม่อยากลำบาก ลดความอยากตัวเองให้น้อยที่สุด แล้วชีวิตเราจะไม่ต้องเหนื่อยกับการสนองตัณหา สนองความอยากตัวเองอย่างไม่รู้จักพอ เราก็รู้ใจนี่ว่าใจเรามันถมเต็มไหม (ไม่เต็ม)  มีร้อยอยากได้กระเป๋าร้อยยี่สิบใช่ไหม (ใช่)  ไม่เป็นไรอาจารย์เดี๋ยวพอมีพันเผื่อจะได้กระเป๋าร้อยยี่สิบ แต่พอมีพันอยากได้กระเป๋าสองพันถูกไหมล่ะ (ถูก)  จริง อย่ามาพูดว่าไม่จริงเลยใช่ไหม (ใช่)  พอมันมีเงินเยอะขึ้น พอมีเงินหมื่นใช้กระเป๋าสองสามร้อยไหม (ไม่)  ใช่ไหมล่ะ
ต้อนรับอาจารย์ไหม (ต้อนรับ)   ต้อนรับอาจารย์จะยืนคุยกันหรือจะนั่งคุยกัน (นั่ง)  แปลว่าถ้าอาจารย์นั่งศิษย์ก็ (นั่ง)  อาจารย์ยืนศิษย์ก็ (ยืน, นั่ง)  ให้เกียรติกันหรือเปล่าศิษย์ ตัวเองสบายปล่อยคนอื่นลำบากได้หรือ (ได้)  ได้หรือเสียแรงนะ อุตส่าห์ฝึกบำเพ็ญมานะ ตัวเองสบาย คนอื่นลำบากช่างหัว ใช่ไหม
เริ่มฟังธรรมะนานๆ ก็เริ่มเมื่อย ใช่ไหม ก็อาจจะมีบ้างนิดหน่อย คราวหน้าอาจารย์บอกว่า ใช่ไม่ใช่ ใช่ก็ยกไหล่ (พระอาจารย์เมตตาให้ยกไหล่หนึ่งครั้ง)  ถ้าไม่ใช่ (พระอาจารย์เมตตาให้ยกไหล่สองครั้ง)  เพื่อเป็นการบริหารตัว ใช่ไหม อะไรที่เป็นการตอบว่า ดี ใช่ ให้ยกไหล่หนึ่งครั้ง อะไรที่ไม่ดี ไม่ใช่ ให้ยกไหล่ซ้ายหนึ่งครั้ง ขวาหนึ่งครั้ง
โดยส่วนใหญ่เวลาศิษย์จะทำอะไรก็ตาม หรือเวลาที่ศิษย์เดินเข้ามาในวัด หรือเข้ามาศึกษาธรรมสิ่งที่เรามักจะชอบมากที่สุด และทำกันบ่อยๆ คือชอบขอ ใช่ไหม (ใช่)  (ฝึกสติ)  เราทำอะไรถ้าเรามีสติเราจะไม่ผิดพลาด ถูกไหม (ถูก)  บางทีพูดช้าๆ ทำอะไรช้าๆ คิดสักนิดหนึ่งด้วยสติแล้วจะทำให้ชีวิตนั้นผิดพลาดน้อยลง จริงไหม (จริง)  สิ่งที่ศิษย์ส่วนใหญ่นั้นชอบมาวัด เวลาเข้ามาศึกษาธรรม ในใจชอบหวังวอนขอใช่หรือไม่ (ใช่)  และสิ่งที่เราขอ สมมติว่าอาจารย์ให้มีสองอย่าง อย่างหนึ่งคือสิ่งที่ชอบกันมากคืออยากได้เงิน พอพูดเรื่องเงินใครๆ ก็อยากได้  แต่ถ้าพูดถึงเงินกับสุขภาพ อาจารย์บอกว่าชีวิตเราบางทีขอได้แค่อย่างเดียว ไม่มีทางที่จะขอได้แล้วขอได้อีก ฉะนั้นถ้าอาจารย์ถามว่ามีสองอย่างระหว่างเงินกับสุขภาพ เอาอะไร (สุขภาพ)  แล้วตอนนี้ได้อะไร ได้เงินแต่สุขภาพเสียหายไปหลายแสนเลย  เพราะชีวิตเรา ก่อนจะเริ่มต้นอะไรศิษย์จะต้องลำดับความสำคัญของชีวิตให้ถูกต้อง เพราะถ้าศิษย์ให้ความสำคัญกับชีวิตผิด ศิษย์ก็จะเดินผิดไปตลอดทาง เหมือนเวลาเราเกิดขึ้นมา มนุษย์ทุกคนมักจะแสวงหาเงิน ใช่หรือไม่
เงินมาแล้วค่อยมีสุขภาพดีทีหลังถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)  ตกลงว่าหาสุขภาพดีก่อนแล้วค่อยหาเงิน หรือหาเงินก่อนแล้วค่อยมีสุขภาพดี (สุขภาพ)  ที่แล้วๆ มาทำแทบตาย แล้วก็เอาเงินไปรักษาตัวเอง เพราะว่าอยากได้เงินจนลืมสุขภาพใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์ต้องเข้าใจก่อนว่า ถ้าชีวิตเหลือแค่สุขภาพกับเงิน เราต้องรักษา (สุขภาพ)  เพราะสุขภาพที่ดีจะหาเงินอย่างไรก็หาได้ แต่ถ้ามีเงินมากมาย แต่สุขภาพไม่ดี หาเงินมาเท่าไหร่ก็ใช้ไปกับสุขภาพไม่หายใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วปัจจุบันนี้เพื่อเงินจนลืมแล้วทำลายสุขภาพทั้งตัวเองและคนรอบข้างจริงไหม (จริง)  แปลว่าเพื่อเงินสามารถทำลายคนรอบข้างได้เลย ไม่ดีนะ ฉะนั้นอย่าเพียงเพื่อเงินแล้วทำลายสุขภาพจิต และทำลายสุขภาพคนรอบข้างเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ใช่ไหม (ใช่)  ตอนนี้เรารู้แล้ว ว่าสุขภาพสำคัญกว่าเงินใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนเราขอแค่สองอย่างไหม (ไม่)  ส่วนใหญ่พอมีสุขภาพดี มีเงินทองแล้ว สิ่งที่ศิษย์ปรารถนาอีกอย่างหนึ่งก็คือ ตำแหน่ง ชื่อเสียง ลาภยศใช่หรือไม่ (ใช่)  ที่ไม่ตอบแปลว่าไม่หวังใช่ไหม (ใช่)  ไม่หวังก็ดี แต่โดยส่วนใหญ่ พอเราสุขภาพดีมีเงินแล้ว สิ่งที่ศิษย์ปรารถนาตามมาก็คือ ครอบครัวต้องร่มเย็นใช่หรือไม่ (ใช่) 
ถ้าให้เลือกในสามอย่างนี้ แล้วเหลือเพียงอย่างเดียว ครอบครัวร่มเย็น สุขภาพดี เงิน แล้วเราจะเลือกอย่างไหน อะไรสำคัญที่สุด ยากไหม มีเงินแต่ครอบครัวไม่ร่มเย็น มีเงินแต่สุขภาพดี แต่ครอบครัวไม่ดี ดีไหม   (ไม่ดี)  ถ้าศิษย์ยังหาความสำคัญไม่ได้ ก็จะดำเนินชีวิตผิด อาจารย์อยากให้ศิษย์ไตร่ตรองดู ถ้าหากว่าเงินไม่มี สุขภาพเราอาจจะไม่ดี แต่ครอบครัวร่มเย็น ไม่ดีหรือ (ดี)  ดีกว่าจริงไหม คนบางคนเพื่อตัวสบาย เพื่อตัวเองมีสุขไม่สนใจครอบครัว เราเป็นแบบนั้นไหม เป็นไหม (ไม่เป็น)  ฉะนั้นเวลาเรายืนอยู่ มีชีวิตอยู่ อย่าเพียงเพื่อตัวเองสบาย แล้วครอบครัวหายนะ ไม่ถูกต้อง อย่าเพียงแต่เพื่อตัวเองมีสุข แล้วครอบครัวไม่ร่มเย็นไม่ถูกต้อง  เราต้องเห็นครอบครัวร่มเย็นก่อนแม้เราจะลำบากก็ตาม นี่ถึงจะเรียกว่า นำพาคนได้อย่างแท้จริง ถูกไหม (ถูก)  อาจารย์ถามศิษย์ ถ้าศิษย์ทำเพียงเพื่อสุขภาพตัวเองรอด ตัวเองมีเงิน ตัวเองดี แต่ครอบครัวหายนะ ครอบครัววิบัติ เอาไหม (ไม่เอา)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม คนที่ครอบครัวแตกแยกเพราะหวังแต่ตัวเองสุข  คนที่ครอบครัวล้มเหลว ครอบครัวแตกกระสานซ่านกระเซ็น เพราะห่วงแต่ความสุขของตัวเอง ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นศิษย์คิดให้ดีๆ นะ อย่ามีชีวิตอยู่แต่ตัวเองสบาย แล้วครอบครัวไม่ร่มเย็น อย่างนั้นไม่ถูกต้อง ตัวเองแม้ไม่สบายครอบครัวร่มเย็น ถึงเรียกว่าประพฤติถูกต้อง ถูกหรือไม่ (ถูก) 
คุยกับอาจารย์ง่ายๆ อย่าฟังอย่างเดียวนะต้องคิดตามไปด้วย ถ้าระหว่างธรรมะกับชีวิต ให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง (ชีวิต,ธรรมะ)  ไหนใครเลือกชีวิตยกมือขึ้น ไหนใครเลือกธรรมะยกมือขึ้น ชีวิตเลือกสองอย่างไม่ได้นะศิษย์ บางครั้งชีวิตมันมีทางเลือก เลือกว่าจะรักษาชีวิตแล้วทอดทิ้งคุณธรรมหรือรักษาคุณธรรมแล้วยอมทอดทิ้งชีวิต แล้วเราส่วนใหญ่ทิ้งคุณธรรมเพื่อรักษาชีวิต ถูกไม่ถูก (ไม่ถูก)  ดีไม่ดี (ไม่ดี)  แล้วเมื่อสักครู่นี้ที่เลือกชีวิตมากกว่าคุณธรรม ใครเลือก ขอตัวเองรอดคนอื่นตาย ช่างหัวมัน ได้ไม่ได้ (ไม่ได้)  ขอตัวเองมีกิน จะโกงคนอื่นก็ช่างหัวมัน ได้ไม่ได้ (ไม่ได้)  ถ้าอย่างนั้นเพื่อให้อาจารย์อยู่ นักเรียนตายหมดเลย ดีไม่ดี (ไม่ดี)  ก็อาจารย์เลือกตามศิษย์ เอาชีวิตตัวเองก่อนธรรมะทีหลัง ใช่ไหมศิษย์ ศิษย์จะบอกว่าคนเรามันต้องเดินคู่กันไป แต่บางครั้งถ้าเกิดว่าศิษย์เลือกแล้วศิษย์คิดว่าชีวิตศิษย์สำคัญ ไม่เป็นไรอาจารย์ ทำชั่วไปก่อนแล้วต่อไปยังมีลมหายใจอยู่แล้วค่อยไปทำดี ใช่ไหม
(ต้องคู่กันไป)  ต้องคู่กันไป ถูกไหม (ถูก)  แต่ถึงเวลา เราเคยนึกถึงธรรมมากกว่าชีวิตไหม (นึกถึง)  วันนี้เขาให้มาฟังธรรมยังคิดแล้วคิดอีกเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะฟังธรรมทำไมล่ะ ฟังเยอะแล้ว รู้อยู่แล้ว พอแล้ว ศิษย์เอ๋ยคนเราโดยส่วนใหญ่มักรักชีวิตมากกว่ารักธรรมะ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วก็คิดว่าชีวิตรอดก่อน ธรรมะมีทีหลัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า ในโลกนี้ถึงจะมีสติปัญญาล้ำ แต่สติปัญญาล้ำก็ไม่สามารถต้านแรงกรรมได้ เคยได้ยินไหม (เคยได้ยิน)  แล้วการที่เราต้องกลับมาเกิดก็เพราะเรามีกรรม และการที่เราต้องเจอกับคนที่เราไม่อยากเจอก็เพราะว่ากรรมมันส่งผล  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราไม่อยากกลับมาเกิดอีก ไม่อยากกลับมาทุกข์อีก เราจะต้องไม่มีกรรม เพราะฉะนั้นชีวิตนี้เรารักษาชีวิตแล้วเราไม่ต้องมีธรรม (ไม่ได้)  การกระทำแบบนี้มันเรียกว่ามีกรรมหรือมีบุญ (มีกรรม)  การกระทำแบบนี้เรียกว่ามีชีวิตอยู่เพื่อสร้างบุญหรือสร้างบาป (สร้างบาป,สร้างบุญ)  เอาตัวรอด ธรรมะทิ้งไว้ก่อน สร้างบุญหรือสร้างบาป (สร้างบุญ, สร้างบาป)  พูดกันตามธรรมดาจริงไหมศิษย์ เอาตัวรอด ธรรมะไว้ทีหลัง ไปเที่ยวก่อน ศิษย์เคยได้ยินประโยคนี้ไหม อาจารย์ย้ำนะ ไม่มีแรงใดเสมอเท่าแรงกรรม และไม่มีอำนาจใดต้านแรงกรรมได้อยู่ ถ้ากรรมนั้นมันตกผลของการที่เราทำ ถ้าอย่างนั้นเราจะรอให้ชีวิตต้องมีกรรม แล้วถึงจะมีธรรม หรือเราควรมีธรรม เพื่อจะได้สิ้นกรรม (มีธรรมได้สิ้นกรรม)  แต่ถึงเวลาเราเลือกมีกรรม หรือเราเลือกมีธรรม (มีกรรม, มีธรรม)
แล้วศิษย์เคยได้ยินไหม เมื่อไม่ยืนอยู่ขอบเหวก็ไม่คิดจะระวังตัว ไม่กระหายน้ำก็ไม่คิดจะเดินไปดื่มน้ำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็แปลว่ารอให้เรามีทุกข์มีกรรมแล้วเราก็ไปมีธรรม ทันไม่ทัน (ไม่ทัน)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม (ไม่เป็น เป็นบ้างไม่เป็นบ้าง) 
ฉะนั้นทำไมอาจารย์จึงอยากบอกว่า เวลาเรามีชีวิตอยู่เราต้องรู้สิ่งสำคัญในชีวิตก่อนว่าในชีวิตอะไรสำคัญที่สุด  อาจารย์จะบอกศิษย์ว่าชีวิตหนึ่งมีคุณค่ามากที่สุด ประเสริฐที่สุด คือปฏิบัติธรรมและนำพาให้ตนพ้นทุกข์  นี่คือค่าที่สูงที่สุดของการเกิดเป็นคน และค่าที่แย่ที่สุด ต่ำที่สุดคือมีชีวิตอยู่แต่ตกเป็นทาสของกิเลสและตัณหา และหนีไม่พ้นเวรกรรม ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าสิ่งสำคัญในการเกิดเป็นคนนั้นมีสองอย่างคือ พ้นทุกข์กับการตกเป็นทาสของกรรม  อะไรก็ตามที่ทำให้เราสามารถพ้นทุกข์ได้เราควรจะไตร่ตรองและมีไว้ในชีวิต ดีหรือไม่ อาจารย์ถามว่า ระหว่างเงินกับปัญญาให้เลือกเอาว่าเอาอะไร (ปัญญา)  ตอบชัดทันท่วงที แต่พอถึงเวลาเอาเงินหรือปัญญา (ปัญญา)  แล้วปัญญาเกิดได้ด้วยการเรียนรู้ ไม่หน่ายการเรียนรู้ ไม่หน่ายการศึกษา เราจึงมีปัญญาถูกหรือไม่  (ถูก)  เงินมีวันหมด แต่ถ้าปัญญาเรียนรู้แล้วไม่มีวันหมด และยิ่งถ้าอ่อนน้อมถ่อมตน ปัญญาก็จะเพิ่มพูนไปได้เรื่อยๆ ถูกหรือไม่ (ถูก)  เงินหายได้ ปัญญาไม่มีวันหมด ไม่มีวันหายได้ ถ้าคนๆ นั้นรู้จักเรียนรู้และอ่อนน้อมถ่อมตนใช่หรือไม่ (ใช่) 
แล้วศิษย์รู้ไหมว่าเงินหมดแล้ว ปัญญายังทำให้เงินมีได้ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเลือกมีเงินแต่ไม่เอาปัญญา พอเงินไม่มีปัญญาก็ไม่รอดจริงไหม (จริง)  ถ้าอย่างนั้นแล้วธรรมะสำคัญกับชีวิตเราไหม (สำคัญ)  สำคัญแค่เป็นคนดีแค่นั้นไหม (ใช่)  ไม่น่าใช่นะ แล้วเมื่อสักครู่อาจารย์ก็พูดไว้บอกว่า ไม่มีแรงใดเสมอแรงกรรม และไม่มีอำนาจใดต้านอำนาจกรรมได้ถูกหรือไม่ (ถูก)  เราย้อนกลับมาหน่อยว่า เราดำเนินชีวิตอย่างไรที่เรียกว่าสร้างกรรมมากกว่ามีธรรม อาจารย์ถามนิดหนึ่ง ในใจเราจำความไม่ดีของคนอื่นได้มากกว่าจำความดีใช่ไหม (ใช่)  ใครทำดีกับเราจำได้ไหม (จำได้)  ไม่ได้ แต่ใครด่าเราจำได้ไหม จำได้ ใครเอาเงินเราไปไม่คืน จำได้ จำไม่ลืมถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นกรรมมีอยู่สองทาง ทางหนึ่งคือตกเป็นทาสของกิเลส กับอีกทางหนึ่งการผูกเวร คำว่าผูกเวรแปลว่า ใครทำผิดกับเรา แล้วจำได้ไม่ลืมนั่นแหละเรียกว่าผูกเวร แล้วพอเจอคนที่ด่าเรา แล้วเราจำได้ไม่ลืม แล้วเวลาเขาคุยกับเรา เราก็พูดประชดประชัน กระแหนะกระแหนนั่นเรียกว่าผูกกรรม พอเจอหน้าเขายังเอาไปกระซิบกระซาบกับคนอื่นนั่นเรียกว่า จองเวรจองกรรม แล้วยังเอาไปนินทากับคนอื่นแปลว่า ลากกรรมมาให้อยู่กับตัว ฉะนั้นในใจของศิษย์มีเวรมีกรรมไหม คนไม่ดีจำได้หมดเลยใช่ไหม (ใช่)  ส่วนคนดีจำไม่ได้เลย การผูกเวร แปลว่า จำได้ว่าคนนั้นด่าเรา คนนั้นลักขโมยเรา คนนี้หักหาญน้ำใจเรา คนนี้เอาชนะเรา นี่คือผูกเวรไว้ จำไม่ลืม และพอถึงเวลาเจอหน้า  ไม่ต้องมายิ้มเลยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเราจะอยู่อย่างคนไม่มีเวรกรรมได้อย่างไร
เมื่อสักครู่นี้คุยกันค้างเรื่องอะไรหรือ เรื่องชีวิตกับธรรมะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นเรามาดูหน่อย ถ้าเกิดว่าเราจะอยู่ในโลกแล้วไม่ต้องมีกรรม แต่เราต้องเอาธรรมะมาช่วยยั้งใจ อยากอยู่ในโลกแบบไม่ต้องมีกรรม ถ้าอาจารย์ถามว่า ถ้าอยู่ในโลกนี้กรรมมันทำให้เกิดภัย ผลของการกระทำผิด ทำไม่ดีมันก่อให้เกิดทุกข์ ใช่หรือไม่ เหมือนที่อาจารย์บอก กรรมมันมีสองอย่างคือกรรมที่ตกเป็นทาสของกิเลสตัณหา  และกรรมอีกอย่างที่ผูกใจเจ็บ ยึดมั่นไม่ยอมลืม ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นกรรมที่ผูกใจเจ็บ ยึดมั่นไม่ยอมลืม เราพอลืมมันได้บ้างไหม ได้ไหม (ได้)  ถ้าอย่างนั้นเวลามีอะไรในใจล้างมันเสีย ดีหรือไม่ ใครด่าเราก็ไม่โกรธ ใครเอาเงินเราไปไม่คืนก็ไม่โกรธ ใครเอาสามีเราไปก็ไม่โกรธ ฝ่ายชายดีกว่านะน่าจะชอบ ใครเอาแฟนเราไปก็ไม่โกรธ (ไม่โกรธ)  เอาไปเลยจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเราจะทำอย่างไร ที่จะทำให้เราไม่ตกเป็นทาสกิเลส แล้วเราจะทำอย่างไรที่ใจเรามันจะไม่ฝังใจจำในสิ่งที่ไม่ดีๆ ใช่ไหม (ใช่)  สมมติว่าในโลกนี้มันมีสิ่งที่ศิษย์ไม่ชอบ คือคำว่า แก่ เจ็บ ตาย  เราไม่ชอบใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราหนีพ้นไหม (ไม่พ้น)  อย่างไรเราก็ต้องเจอถูกไหม (ถูก)  ตายไหม (ตาย)  เมื่อสักครู่เราเลือกแล้วนะเราขอมีชีวิตที่มีธรรมมากกว่ามีชีวิตแต่ไร้ธรรมแล้วกลายเป็นสร้างกรรมถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นในคำว่า แก่ เจ็บ ตาย อาจารย์เพิ่มอีกอย่างหนึ่งศิษย์ชอบคำว่าเกิดไหม ชอบไหม ชอบไม่ชอบ (ไม่ชอบ)  ในความเป็นจริงของทุกชีวิตไม่ว่ามนุษย์หรือสรรพสิ่งหนีไม่พ้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย ใช่ไม่ใช่ (ใช่)  ทุกสิ่งแม้แต่พัด มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไหม มีไหม (มี)  ในพัดก็มีเกิด ถ้าไม่สานมันจะเกิดพัดไหมล่ะและถ้าจะเกิดอีกได้ไหม (ได้)  แล้วพัดจะตายไปจากโลกได้ไหม (ได้)  เหมือนกันนะศิษย์จำไว้นะชีวิตนี้ไม่ต่างอะไรกับพัด ถ้าหมดสิ้นอยากแล้ว หมดสิ้นอยากการถักทอพัดแล้วพัดนี้ก็จะหายไปจากโลกถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าเมื่อไหร่ยังอยากมีพัดอีกมันก็เกิดอีก ฉันใดก็ฉันนั้นตัวเราจะสิ้นกรรมได้ก็ต่อเมื่อเราหมดอยากแล้ว ถ้าเรายังอยากอีกเราก็จะเกิดอีกๆ
แต่ถ้ามนุษย์เราสิ้นความอยาก เราก็ไม่ต้องพบกับการเกิด ในคำว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย อะไรน่ากลัวที่สุด (เกิด)  ทำไมล่ะ (เพราะเกิดแล้วก็มี แก่ เจ็บ ตายตามมา)  เก่งรู้ดี ฉะนั้นชีวิตจะสิ้นกรรมได้ถ้าเราไม่เกิด  แล้วเราเกิดไหม (เกิด)  เกิดเป็นกายหนึ่งครั้ง แต่เกิดความอยาก ไม่สิ้นสุด แล้วถ้าเกิดเป็นกายหนึ่งครั้ง แล้วในการเกิดนั้น ยังสั่งสมความอยากไม่จบสิ้น ในความอยากนั้นจะต้องทำให้เรากลับมาเกิดอีก แล้วเรารู้ไหม (รู้)  แล้วยังอยากไหม (อยาก)  อาจารย์ถามหน่อยเจ็บไหม (เจ็บ)  แก่ เศร้าไหม (เศร้า)  เศร้าทำไม ดีที่ได้แก่ ถ้าไม่แก่ก็ตายเลย คนเราแก่ ตาย กลัวไหม (ไม่กลัว)  อย่างนั้นไปอยู่ชายแดนภาคใต้ กลัวไม่กลัว  (ไม่กลัว)  แต่ไม่ไป ศิษย์รู้ไหม พระพุทธะจึงบอกไว้ว่า ถ้าอยากเกิด อย่ามองเพียงการเกิดเป็นร่างกาย มนุษย์เกิดความอยากเมื่อไหร่ ความอยากก็จะทำให้เราพบกับความเจ็บ ความตาย และอยากมากเท่าไหร่ ก็ต้องพบกับ แก่ เจ็บ ตาย จริงไหม แล้วชีวิตนี้ เราต้องพบกี่ครั้ง อยากไม่ถ้วน  ฉะนั้นในคำว่าแก่เจ็บตาย จะต้องพบกับคำว่าสูญเสียพลัดพรากจากสิ่งที่รัก  ทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รัก  แล้วก็ต้องตายกับคนไม่รัก เพราะอะไร เพราะอยากเกิด เพราะอยากมี ใช่หรือไม่ (ใช่)
เพราะฉะนั้น สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่การตาย แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการเกิด และเราจะดับความเกิดได้อย่างไร ในเมื่อเรา แก่ เจ็บ ตาย ไม่เคยเข็ด  มีของอะไรพอสูญเสีย ร้องไห้ มีของได้มาแล้วไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่า หวาดกลัว ใช่หรือไม่ ถ้าอย่างนั้นเราจะแก้อย่างไร (ทำหมัน)  แค่มองเห็นเขาแล้วเกิดอยากพูดนั่นคือการเกิด แค่มองเห็นเสื้อตัวหนึ่งแล้วอยากซื้อนั่นคือการเกิด แค่เห็นกับข้าวแล้วเกิดความคิดว่าอร่อยไม่อร่อย นั่นก็คือการเกิด ชีวิตหนึ่งเราเกิดกายแค่ครั้งเดียวแต่ความอยากเรานับไม่ถ้วน ถ้าอย่างนั้นมนุษย์จึงไม่สามารถสิ้นการเกิดได้ สิ้นความแก่ เจ็บ ตายได้ ถ้ามนุษย์ยังหยุดเกิดไม่ได้ จริงไหม ธรรมะจึงสอนๆ อยากให้รู้ธรรมะเยอะๆ ธรรมะจึงสอน สอนว่าไม่ได้ให้แค่ไปทำหมัน ถ้าอย่างนั้นถามหน่อย ทำหมันเขาหรือทำหมันเรา อาจารย์ว่าควรทำทั้งเขาและเราถูกไหม มันจะได้ไม่เกิดนะ อย่าไปทำหมันแต่เขาแล้วเราไม่ทำ ใช่ไหม ธรรมะยังสอนต่ออีกว่า ถ้าเราจะหยุดการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้วิธีที่แก้ อย่าไปแก้ที่ปลายเหตุ ช้าไป มันต้องแก้ที่ขั้วต้นเหตุเลย จริงไหม แล้วต้นเหตุมันมาจากไหน (ตัวเราเอง) 
เคยได้ยินไหม ทุกสิ่งสำเร็จสำคัญที่ใจ ใจประเสริฐสุด สำคัญที่ใจ สำเร็จที่ใจ ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากจะแก้ต้องไปแก้ที่ (ใจ)  เพราะใจเป็นต้นเหตุของความอยากทั้งมวล ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าอย่างนั้นเมื่อพูดถึงใจก็ต้องหันกลับมาดูที่ (ตัวเรา)  จึงมีคำพูดคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า มนุษย์ก็เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งเมื่อเติบโตมาแล้ว แล้วเราไม่มีเมล็ดพันธุ์แห่งความอยากอีก ต้นไม้นี้พอโตไปล้มไปก็สูญสลายไปไม่กลับมาเกิดอีกถูกไหม (ถูก)  แต่มนุษย์เรามันไม่ใช่ต้นไม้ เพราะมนุษย์เราชอบฝังความอยากไว้ในเนื้อนาแห่งจิตใจ ฝังความไม่ชอบใจไว้ในจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวิธีที่จะแก้ ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมบอกว่า ถ้าใจดี พูดก็พูด (ดี)  ทำก็ดี คิดก็ (ดี)  ฉะนั้นถ้าสร้างเหตุดี การกระทำก็ (ดี)  และอีกอย่างหนึ่งคือ โดยส่วนใหญ่แล้วมนุษย์คิดดี หรือคิดไม่ดี (ไม่ดี)  ถ้าเราคิดร้าย พูดก็ (ร้าย)  ทำก็ (ร้าย)  ปฏิบัติก็ (ร้าย)  เมื่อสร้างเหตุร้าย ผลที่สุดก็คือความทุกข์และหนีไม่พ้นเป็นรอยเกวียนตามรอยเท้าโค และหนีไม่พ้นต้องเป็นกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นธรรมะจึงสอนต่ออีก พอพูดถึงธรรมะนั่งหลับกันเชียว พอพูดถึงทำหมันตาตื่นเลยนะศิษย์เอ๋ย ถ้าอย่างนั้นฟังต่อ ฟังให้จบ
ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งที่พูดบอกว่ามนุษย์เราโชคดีที่สุด โชคดีที่สุดตรงไหนรู้ไหม (เป็นสัตว์ประเสริฐ)  ตอบได้ดี แต่เราทำตัวประเสริฐหรือทำตัวโลโซ เราทำตัวดีหรือเราทำตัวแย่ (ดี, แย่)  มนุษย์มักจะบอกว่าเกิดเป็นคนช่างโชคดี ถ้าได้ถูกลอตเตอรี่ ใช่หรือไม่ (ไม่)  แต่พุทธะบอกว่าเกิดเป็นคนโชคดีที่สุดก็คือสามารถประคองจิตใจเมื่อเจอวันที่เลวร้ายที่สุด แต่ยังสามารถพบความสงบเย็นได้ จริงไหม (จริง)  ถ้าชีวิตนี้เราบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดจากใจ สำคัญที่ใจ สำเร็จที่ใจ และประเสริฐสุขที่ใจ ฉะนั้นไม่ว่าอะไรมา แม้จะเลวร้ายที่สุดในชีวิต แต่เราสามารถประคองใจจนสงบเย็นได้ โชคดีที่สุด และคนที่สุขที่สุดคือคนที่สามารถพบความทุกข์แต่สามารถเจอความสุขได้ ใช่หรือไม่
แปลว่าเราทำอย่างนี้ได้ไหมล่ะ (ได้)  ฉะนั้นถ้าชีวิตสำคัญที่ใจ สำเร็จที่ใจ เราต้องดูแลใจของเราให้ดี ในวันที่แย่ที่สุด เราสามารถประคองใจจนมั่นคงได้ เย็นได้ เราก็คือคนที่โชคดีที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในวันที่เราทุกข์ที่สุด แต่เราสามารถพบความสุขได้ เราคือคนที่โชคดีที่สุด แต่ถึงเวลาเราทำได้อย่างนั้นไหม (ไม่ได้)  ทำอย่างไรดีล่ะ เวลาที่ใจเราเจอเรื่องไม่ดี แต่เราสามารถแปลใจให้สงบเย็นได้ (ปล่อยวาง)  เวลาเจอเรื่องทุกข์แต่เราสามารถนำพาจิตใจให้พบความสุขได้ ยากไหม (ยาก)  วิธีที่ง่ายๆ เลย ศิษย์เราต้องรู้ก่อนว่าใจของเราเป็นไปตามอะไร แล้วมาจากอะไร ใจของเราเป็นไปตามสิ่งแวดล้อมถูกไม่ถูก (ถูก)  ใจเราดีก็ต่อเมื่อคนพูดดีๆ ใช่ไม่ใช่ (ใช่)  ใจเราร้ายเมื่อคนพูดร้ายๆ ใช่ไม่ใช่ (ใช่)  ตกลงว่าใจเราเป็นไปตามอำนาจสิ่งแวดล้อมหรืออำนาจของตัวเอง (อำนาจของตัวเอง)  คุยกับศิษย์ชั้นนี้ เพราะถ้าพูดธรรมดานะหลับ ฉะนั้นต้องใช้พาวเวอร์เรนเจอร์  เราดีไม่ดีขึ้นอยู่กับคนอื่นหรือขึ้นอยู่กับตัวเรา (ตัวเรา)  ฉะนั้นเขาร้ายมาเราก็ (ร้ายตอบ)  เขาร้ายมาเราก็ (ดีตอบ)  ชีวิตอยู่ที่ตัวเรานะ
ศิษย์เคยได้ยินไหม ไม่มีอะไรร้ายในวันที่จิตใจเราดีๆ และไม่มีอะไรดีในวันที่จิตใจเราหงุดหงิด ฉะนั้นชีวิตเราใจเรามันเป็นอย่างไรไม่ใช่ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม แต่ขึ้นอยู่กับตัวเราเป็นเป็นคนกำหนด แล้วตัวเราเป็นไปตามอำนาจอะไร (อารมณ์, ความคิด, สติ, ปัญญา)  ตามอำนาจความรู้ ความคิด ความเข้าใจ ที่เราสั่งสมไว้ในสมอง  สวยไม่สวยเอาอะไรวัด เอาใจวัด ดีไม่ดีเอาอะไรวัด  เอาตัวเองเป็นเกณฑ์ จริงไหม (จริง)  เขาดีไหม  ก็เหมือนจะดีนะ แต่ขี้นินทาไปหน่อยไม่ไหวๆ  ใช่ไหม (ใช่)  ก็เหมือนจะได้นะ แต่มันเสียไปเยอะ สามตัวก็ได้แล้วนะแต่ที่แล้วมาเสียไปเยอะเลย แทบจะเอาลอตเตอรี่ มาต้มแทนมาม่าเลย 
ฉะนั้นจิตใจ เป็นไปตามอำนาจ ความรู้และความคิด ที่เราสั่งสม และเราก็ชอบกำหนดกฎเกณฑ์ และเราก็ชอบตั้งศาลเตี้ย ตัดสินสิ่งนี้ดี ไม่ดี ชอบ ไม่ชอบ ทั้งที่ดี ดีไหม ไม่ดี ไม่ดีจริงๆ ไหม แล้วเราตาบอดไหม (บอด)  ฉะนั้นสิ่งที่เราตัดสิน แล้วใจเราบอกว่าเรารู้เราเห็นจริง แท้จริงแล้วยังไม่จริง สิ่งที่เราพูดว่าเรารู้เราถูก จริงๆ แล้วยังไม่ถูก เหมือนอาจารย์ถามนะ  ถ้าสมมติ อาจารย์เดินมา แล้วอาจารย์ก็เดินไป จบไหม เมื่อไหร่จะออกมา ใช่ไหม นั่นแหละความอยากของมนุษย์ที่ทำให้เรื่องมันวุ่นวาย ถ้าทุกสิ่งมันผ่านไปแล้วก็จบจากใจก็จบ ถูกไหม แต่ที่ไม่จบ ไม่เหมาะ ไม่ควร เพราะใจที่บอกว่าอาจารย์มาแค่นี้ แล้วอาจารย์ไปแล้ว ไปเลย ได้ไหม ได้ เพราะชีวิตจริงๆ ก็เป็นแบบนี้ ดูเหมือนจะจบแต่ก็ไม่จบ แต่ก็ต้องจบ ใช่หรือไม่ ดูเหมือนจะดีแต่ก็เหมือนไม่ดี แต่ก็ดี จริงไหม อาจารย์ถามจริงๆ คนที่ศิษย์บอกว่าเขาร้าย มันร้ายจริงไหม น่าเกลียดจริงไหม ใช่หรือไม่ ถ้าอย่างนั้นถ้าเราสามารถวางใจของตัวเองได้ แล้วมองสรรพสิ่งตามความเป็นจริง ถามหน่อยอะไรน่ารักที่สุด มีไหม แล้วใครน่าเกลียดที่สุด เราว่าบางทีเราน่าเกลียดแต่บางทีมันก็ยังมีดีอยู่นะอาจารย์ จริงไหม เราว่าตัวเองน่ารักแต่บางทีมันก็ทุเรศเหมือนกัน ใช่ไหม ศิษย์เอย ถ้าศิษย์วางความเป็นตัวตนเอง วางใจตัวเองออกแล้วมองโลกตามความเป็นจริง ศิษย์จะเห็นว่า แท้จริงสิ่งที่น่าเกลียดมันไม่ได้น่าเกลียด สิ่งที่น่ารักก็ไม่ได้น่ารักเสมอไป และสิ่งที่ว่ามันดีมันอาจจะไม่ดีก็ได้ แล้วสิ่งที่ศิษย์บอกว่าสมบูรณ์ที่สุด แท้จริงก็มีข้อบกพร่องที่สุด เมื่อเราเห็นชัดขนาดนั้น และถ้าเราเห็นชัดถึงขนาดว่า สิ่งที่เราว่าชอบมาก อยากมาก ก็หนีไม่พ้นเดี๋ยวต้องเจ็บกับมัน เดี๋ยวต้องตายกับมัน เดี๋ยวต้องแก่กับมัน เดี๋ยวต้องพลัดพรากกับมัน เรายังอยากได้มันไหม เรายังอยากอยู่กับมันแบบกรรมอะไรเราจึงต้องมาเจอกับมันนะ หรือว่าจะเจอแบบมีบุญต่อกันดี แล้วทุกขณะที่เราทำ เราทำบุญร่วมกันหรือทำกรรมกันมา ใช่ไหม
ถ้าใจ ยังยึดติด ชอบ ชัง ดีร้าย อันไหน เราชอบ อันไหนชัง ที่ตัดสิน ก็คือใจเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใจที่เรารู้ ใจที่เราคิด ใจที่เรากำหนด ฉะนั้นถ้ามาตรฐานของเรามันพังไปแล้ว เราจะบอกใครดี ไม่  เหมือนที่พระพุทธองค์สอนว่า อย่าเพิ่งเชื่อ ถ้าเรายังไม่รู้จักถึงที่สุด จริงไหม (จริง)  เหมือนอาจารย์บอกว่าคนนี้ยืนหน่อย ก้มนานแล้ว คนนี้อาจารย์ว่าหล่อๆ ถ้าอาจารย์เชื่ออย่างนั้น  ชีวิตนี้อาจารย์ก็จะไม่หล่อกว่านี้จริงไหม ใช่ไหม (ใช่)  แล้วถ้าอาจารย์เชื่อแต่ใจตัวเองแล้วตาบอด หูหนวก ไม่ฟังใคร อาจารย์ก็บอกว่าคนนี้หล่อที่สุดใช่ไหม  แต่จริงๆ แล้วในความเป็นจริงของโลก มีคนหล่อกว่าใช่ไหม แล้วมีคนดีกว่าใช่ไหม เมื่อเป็นอย่างนี้ศิษย์จะโดนเขาหลอกให้ศิษย์หลงได้ไหมล่ะ แล้วศิษย์จะอยากไหมล่ะ ในเมื่อทุกขณะจิตศิษย์คิดว่า  มันต้องมีดีกว่านี้  ใช่ไหม(ใช่)  แล้วถ้าหากศิษย์บอกว่า ศิษย์เจอคนนี้ไม่ถูกสเปกไม่เข้าตา ตัวก็ดำ หัวก็เหม่ง สิวก็ดก ก้นก็ตอบ พุงก็โต หาดีไม่เจอหรอก เฮ้อ แต่ศิษย์มั่นใจหรือว่าถ้าศิษย์ไปหาใหม่จะดีกว่านี้ (ใช่)  คิดว่าใหม่อาจจะได้แบบนี้  เอาไม่เอา (ไม่เอา)  ฉะนั้นศิษย์เอยอย่าเพิ่งเชื่อในกิเลสที่หลงรัก และอย่าเพิ่งเชื่อในกิเลสที่ตัวเองเกลียดชัง  อือนี่ไม่ดี  มันต้องมีหล่อกว่านี้ ไปๆ  มาๆ  จับพลัดจับผลูได้คนนี้  ไม่ดีหรือ ลงหลักปักฐานแน่นเลยนะ  นี่แหละเรียกว่าสำคัญที่ใจ แต่ใจนั้นก่อนที่จะ
ต้องมองให้ถึงที่สุด แล้วเราจะไม่ถูกโลกใบนี้ลวงหลอกให้เราหลงรัก หรือโลภ โกรธ หลงอะไรได้ง่ายๆ เพราะเรามีสติปัญญา เห็นทุกสิ่งอย่างแจ่มชัดใช่ไหม (ใช่)  แต่มนุษย์เรามักจะเชื่อใจตัวเอง แล้วก็ปิดตาให้แคบๆ แล้วก็บอกว่า คนนี้แหละหล่อสุดแล้ว แล้วก็ปิดตาเชื่อแคบๆ ว่าคนนี้แหละน่าเกลียดที่สุดแล้ว แต่จริงๆ แล้วคนนี้อาจจะ (ดี)  และคนนี้อาจจะ (ไม่ดี)  ไม่ดีหรือ ไม่แน่นะถ้าคนนี้ยังไม่พอใจ อยู่ได้แบบนี้ (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายคนที่ ๓ ออกมาหน้าชั้น)  ดีไหม ถ้าสามแล้วยังได้แค่นี้ก็ต้องดีแล้วล่ะใช่ไหม (ใช่)  เอาไม่เอา (เอา)  ยังเลือกอีกเดี๋ยวก็ได้ดีหรอกถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าศิษย์ไม่อยากทุกข์ ไม่อยากร่อนแล้ว ไปๆ มาๆ แทนที่จะได้เพชรกลับได้ก้อนกรวด ศิษย์ก็จงหยุดความอยากตัวเองให้มันน้อยที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าวันหนึ่งต้องเจอกับคนๆ นี้ทำอย่างไรดี (นักเรียนชายคนที่ ๓)  ปรับใจตัวเองจะอยู่อย่างคนมีธรรมต่อกันหรือจะอยู่อย่างคนมีกรรมต่อกัน (มีธรรมต่อกัน)  พ่อด่าแม่ แม่ก็ยิ้มกลับ พ่อใช้แม่ แม่ก็ทำดีกลับ เหมือนที่ศิษย์พูดบอกว่าศิษย์ชอบทำบุญทำทานไหม (ทำ)  และชอบให้ธรรมะเป็นทานเป็นธรรมที่ประเสริฐที่ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นแม้พ่อจะให้กิเลสมา แม่จะให้ธรรมะไป ถ้าพ่อจะโกรธมา แม่จะอภัยกลับไป นี่แหละเรียกว่าทำทุกที่ให้เป็นการปฏิบัติธรรมและให้ธรรมะเป็นทาน พ่อจะเป็นอย่างไร แม่ก็จะมีธรรมะเป็นทานใช่ไหม (ใช่)  อย่าเป็นคนทำบุญในวัดเก่ง แต่ลืมทำบุญกับคนใกล้ตัว อย่าเป็นคนดีแต่ในวัด แต่ในบ้านกลับไม่ดี นั้นน่าเสียดายจริงไหม (จริง)
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง : วอนลมฝากรัก, ชื่อเพลง : เป็นแค่ฝันไป)
อาจารย์ขอไปคุยกับศิษย์ข้างล่าง อาจารย์ตั้งคำถาม อะไรที่ทำให้มีแล้วมีกรรม อะไรที่มีแล้วมีธรรม ตอบได้อาจารย์จะให้ผลไม้เอาไหม  ธรรมอะไรที่อยู่แล้วจะมีกรรมมากกว่ามีธรรม และธรรมอะไรที่อยู่แล้วมีธรรมและเราจะละกรรมได้ เราต้องคิดต่อแล้ว ถ้าศิษย์ไม่อยากกลับมาแล้วต้องมาเวียนว่ายตายเกิด เกิดแล้วเกิดอีก ใช่หรือไม่ ถ้าอย่างนั้นแค่เป็นคนดีพอไหม แต่ถ้าเป็นคนดีแล้วยังหวังผล ร้องขอต่อ ถ้าอย่างนี้คนดีก็ต้องกลับมาเกิดเพื่อรับผล พอหมดบุญก็ต้องเวียนเกิดอีก ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นคนดีที่ไม่หวังวอนผลจะไม่มีกรรม ใช่หรือไม่ แล้วเป็นคนแบบไหนที่จะมีกรรมมากกว่ามีธรรม

(พระอาจารย์เมตตาผู้ร่วมฟัง)
สบายดีกันไหม  จิตใจยังเหมือนเดิมนะ ยังขี้น้อยใจอยู่ไหม ยังน่ารักเหมือนเดิมหรือเปล่า  ยังแอบไปกินเนื้อสัตว์เยอะๆ  อีกใช่ไหม ปลงไม่ตกรสชาด ดีใจที่ศิษย์กลับมาอีกครั้งหนึ่ง แต่ยังทำตัวเหมือนเดิมไม่ค่อยน่าดีใจเท่าไหร่เลย แก้นิสัยที่ไม่ดีได้บ้างหรือยัง  ทำตัวเหมือนเดิม  ถ้าศิษย์อยากฝึกบำเพ็ญสิ่งแรกที่ศิษย์ต้องทำคือละความโกรธให้ได้ ความโกรธยังละไม่ได้ ไม่มีโอกาสเจออาจารย์  และถ้าหากความโลภ หลงไม่เบาบาง ถึงจะรับธรรมะแล้ว ก็ยังไม่พ้นทุกข์นะศิษย์ เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม ถึงจะกินเจแล้ว  แต่โลภ โกรธ หลงไม่เคยเบาบางในใจ นิสัยยังเหมือนเดิม แก้ไม่ได้ ไม่พ้นทุกข์นะศิษย์ ถ้าศิษย์อยากพ้นทุกข์ศิษย์ต้องกล้าลงแรงที่ใจตัวเอง บำเพ็ญธรรมไม่ใช่แค่ปฏิบัติธรรรม ไม่ใช่แค่เสียสละช่วยคนอื่น แต่สิ่งสำคัญในการบำเพ็ญธรรมคือขัดเกลาจิตใจตน  จนไม่เหลือความยึดมั่นถือมั่นว่าเราเป็นแบบนี้ แบบนั้น เพราะถ้ายังมีตัวตนอยู่ ศิษย์ยังไม่พ้นความทุกข์ที่ศิษย์ต้องไปรับผลแห่งกรรมนั้น
ในตัวมนุษย์เรานั้นมันมีสิ่งที่เรียกว่ากายหยาบ แล้วก็เรียกว่ากายละเอียด ใช่หรือไม่ หรือเรียกอีกอย่างว่าสังขาร กับจิตญาณ สังขารเมื่อตายไปก็ลงสู่ดิน จิตญาณถ้าหากเข้าถึงความบริสุทธิ์ เข้าถึงจิตเดิมแท้ไร้ซึ่งอัตตาตัวตนที่ยึดถือมาบดบัง เมื่อนั้นศิษย์จะกลับคืนสู่ฟ้าเบื้องบนได้ แต่ถ้าเมื่อไรมีกายหยาบนี้ศิษย์เอาตัวตนไปบดบังจิตเดิมแท้ เอาตัวตนไปเป็นตัวแท้ ศิษย์จะไม่มีวันพบจิตเดิมแท้และกลับคืนสู่ฟ้าเบื้องบนได้ เพราะคำว่าตัวตนมันมีนิสัย มันมีกิเลสและมันหนีไม่พ้นกรรม ถูกหรือไม่ ถ้าอย่างนั้นบำเพ็ญจึงต้องขัดเกลาตัวตนจนเหลือแต่กายกับจิต โดยที่กายคืนสู่ดิน จิตคืนสู่ฟ้า ใช่หรือไม่ แต่ถ้าในตัวศิษย์ยังประกอบไปด้วยตัวตนอยู่ มีอัตตาอยู่ มีความเป็นตัวตนเต็มอยู่ในใจของตัวศิษย์เอง ศิษย์ก็จะหนีไม่พ้นกรรมที่ศิษย์สร้าง กรรมที่ศิษย์ก่อ กรรมนั้นก็มาจากกิเลส มาจากความยึดติด มาจากนิสัยที่ชอบจดจำความไม่ดีของคนอื่น เหมือนที่อาจารย์บอกไว้ คำว่า ผูกเวรแปลว่าจำเรื่องไม่ดีของคนอื่นไม่ลืม และถึงเวลาก็ชอบกระแนะกระแหน ประชดประชัน นี่แหละที่เรียกว่าจองเวรจองกรรม ใช่หรือไม่ ถ้าตัวตนยังไม่สามารถดับได้ ตายไปก็ยังไม่สิ้นกรรม แต่ถ้าเมื่อไหร่ตัวตนศิษย์ดับได้เหลือแต่จิตเดิมแท้ที่เรียกว่าสภาวธรรม ศิษย์ก็จะพ้นทุกข์แท้จริง ถ้าปฏิบัติธรรมแล้วยังไม่ถึงธรรมตรงนี้ ยังไม่พ้นทุกข์ เข้าใจไหมศิษย์
อย่างหนึ่งที่อาจารย์เห็นศิษย์ชอบพูดกัน ปฏิบัติธรรมแล้วจะไม่แก่ จะไม่เจ็บ จะไม่ตาย จะไม่เจออุบัติเหตุ ไม่จริง ปฏิบัติธรรมยังต้องแก่ ยังต้องเจ็บ ยังต้องตาย และอาจจะเจออุบัติเหตุได้ แต่อุบัติเหตุนั้นเป็นการใช้กรรมที่ตัวเองสร้าง ใช่หรือไม่ และมนุษย์ทุกคนก็มีโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นกรรมที่ตัวเองก่อ ถูกหรือไม่ และกรรมนั้นจะสิ้นก็ต่อเมื่อเรากล้ายอมรับชะตากรรม ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง เพราะอาจารย์บอกแล้วคนที่โชคดีที่สามารถรักษาใจที่ปกติได้ในวันที่เลวร้ายที่สุด และคนที่สามารถบำเพ็ญธรรมแล้วมีสุขมากที่สุดในวันที่ทุกข์จนไม่สามารถพูดกับใครได้ จนน้ำตามันล้นจนท่วมหน้าท่วมตาแต่เราก็สามารถพบความสุขได้ นั่นแหละคือคนที่สามารถบำเพ็ญธรรมและนำธรรมมาใช้จนพ้นทุกข์ แล้วธรรมก็ไม่ใช่สิ่งวิเศษอะไรแต่ธรรมคือความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาที่เรายอมรับเข้าใจจนพ้นทุกข์ ความเป็นธรรมดาที่คนมีดีบ้างไม่ดีบ้าง สังขารมีดีบ้างไม่ดีบ้าง เจ็บบ้างก็ดี โดนว่าบ้างก็ดี เงินหายบ้างก็ดี จริงไหมศิษย์ เสียบ้างก็ได้ ไม่เห็นเป็นไร ฟังบ้างก็ได้เยอะเหลือเกินแต่ก็ดี ดีตรงที่ทำไมเขาเอาเรื่องไม่ดีมาให้เราเพราะเขาเชื่อใจใช่หรือไม่ ทำไมเขาเล่าเรื่องต่างๆ มาให้เราเพราะเขาไว้ใจเรา ใช่หรือไม่
ถ้าอย่างนั้นเราอยู่บนโลกนี้เพื่อเอาทุกอย่างมาทำให้พบธรรม หรืออยู่เพื่อเอาทุกอย่างให้มีเวรกรรมต่อกัน ถามใจศิษย์เอง ใจเป็นตัวสะท้อนภาพของทุกสิ่งและทุกสิ่งสะท้อนให้เห็นใจ ใช่หรือไม่ มันไม่ต้องการเจ้าของ มันไม่ต้องการตัวตน มันเป็นสภาวะที่บริสุทธิ์อยู่แล้วอย่างนั้น แต่เราต่างหากที่ทำให้มันสกปรก จริงไหม ศึกษาธรรมต้องไปให้ถึงธรรม เพราะถึงที่สุดเขาก็คือธรรม เราก็คือธรรมและถึงที่สุดเราก็ต้องกลับสู่ธรรม ใช่ไหม ฉะนั้นจะทุกข์ทำไม จะเจ็บทำไม ลุกขึ้นสู้ รู้คุณค่าตัวเองรักตัวเอง ไม่ได้หรือ ศิษย์ทุกข์อาจารย์ก็เจ็บ เจ็บตรงที่ช่วยอะไรไม่ได้ มีลูกแต่ลูกเอาตัวเองไม่รอด คนเป็นพ่อไม่รู้จะทำอย่างไร ทำไมไม่บอกตัวเองว่าวันนี้ฉันต้องดีขึ้น วันนี้ฉันต้องเข้มแข็งขึ้น ไม่รักตัวเองหรือศิษย์ แล้วทำไมชอบทำสิ่งที่ผิด แล้วทำไมชอบทำตัวเองให้มันทุกข์ รักตัวเองไหม แล้วทำไมชอบทำให้ตัวเองเจ็บ รักตัวเองก็รู้จักดูแลตัวเองหน่อยนะ
(ขอบคุณพระอาจารย์เมตตา)  รักศิษย์ทุกคน ห่วงศิษย์ทุกคน แต่ศิษย์ต้องรักตัวเองด้วย รักตัวเองให้เป็น รักตัวเองให้ถูก อย่าเดินทางผิด อย่าทำบาป อย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ขอนะ บาปที่หนักที่สุดก็คือบาปที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และกรรมที่หนักที่สุดก็คือความหลงผิดคิดว่าตัวเองถูกเสมอใช่หรือไม่
อาจารย์คงต้องไปแล้วนะ แล้วแปลว่าจะตั้งใจบำเพ็ญเจอเรื่องราวอะไรก็ยึดหลักความถูกต้อง ประพฤติในศีล ประพฤติในธรรม อย่าไปหลงในโลกใบนี้เลยนะศิษย์เอย เห็นหลายครั้งตีก็แล้ว อาจารย์จับก็แล้ว ถึงเวลาก็ยังเหมือนเดิม ให้อาจารย์หายห่วงได้แล้วใช่ไหม ฉะนั้นเรื่องอะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ผ่านไป รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์และดีงามดีกว่านะ มุ่งมั่นบำเพ็ญเพื่อตัวเองนำพาตัวเองให้พ้นทุกข์ดีกว่านะใช่ไหม อย่าคิดผิดอย่าทำผิดทำบาปกรรมเลยนะศิษย์เอย ดูแลตัวเองกันให้ดีๆ นะ เดินบนหนทางบำเพ็ญแล้วต้องไปให้ถึงซึ่งความบริสุทธิ์ ความดีงามในจิตใจ ละบาปบำเพ็ญบุญ รักษาจิตให้ดีงาม อุทิศเสียสละมุ่งมั่นไปให้ถึงที่สุดนะศิษย์เอย ตั้งใจบำเพ็ญ อย่ากลัวความยากลำบาก อย่ากลัวอุปสรรคอย่าท้อแท้ไปให้ถึงที่สุดนะ
ศิษย์ที่ปกติคือศิษย์ที่น่ารักที่สุด ศิษย์ที่ชอบผิดปกติคือศิษย์ที่ชอบทำตัวตามกิเลสอารมณ์จริงไหม ให้อาจารย์เลิกห่วงเสียทีนะ อาจารย์จะเลิกห่วงได้ก็ต่อเมื่อศิษย์มุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้อง เข้มแข็ง เดินทางถูก อย่ากลัว อย่ายอมแพ้ หมดกรรมด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ สิ้นกรรมด้วยเพราะเรากล้ายอมชดใช้  ศิษย์เอ๋ยถ้าชีวิตต้องเจอเรื่องที่ไม่คาดฝัน ขอให้ยอมรับมัน ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ ด้วยหัวใจที่ไม่ตัดพ้อต่อว่า แล้วเราจะได้หมดกรรมกันไป จริงไหม  นำพาเขาให้ถูก ทำแบบอย่างให้ดีนะ ไปล่ะนะ รักษาตัวเองกันให้ดีนะศิษย์เอ๋ย ดูแลจิต ดูแลใจให้ดี เจอเรื่องอะไรรักษาความดีไว้จนสุดลมหายใจ ไม่ตัดพ้อ ไม่ต่อว่า ไม่สร้างบาปกรรมต่อ ยอมจบสิ้นชะตากรรมที่ไม่ดีนั้นด้วยจิตใจที่รู้จักสำนึกขอขมา ฉะนั้นเจอเรื่องราวอะไรเข้มแข็งไว้ ถือเป็นโอกาสได้ชำระกรรม เจอเรื่องราวอะไร ถือเป็นโอกาสได้หมดสิ้นกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอาจารย์มีมือร้อยมือได้อาจารย์อยากมีมือร้อยมือตอนนี้จริงๆ เลย อาจารย์จะได้โอบกอดศิษย์รักของอาจารย์ทุกคน ขอบคุณในความเสียสละนะ ขอบคุณในหัวใจที่เสียสละอุทิศนะศิษย์เอ๋ย รักษาความดีนั้นไว้นะ อาจารย์คงต้องไปแล้วนะ ดูแลตัวเองกันดีๆ นะ ถือความเมตตานำพาผู้อื่นด้วยหัวใจที่เข้มแข็งนะ รักษาความดีงามไว้นะ
อย่ากลัวความทุกข์ยาก แต่ควรระมัดระวังใจตัวเองที่ไม่สู้กับความทุกข์จริงไหม (จริง)  อย่ากลัวคนอื่นเลยแต่กลัวใจตัวเองที่ไม่เข้มแข็งพอที่จะมุ่งมั่นทำดีให้ถึงที่สุดมากกว่าจริงไหม (จริง)  คนอื่นร้ายอย่างไร เหตุการณ์น่ากลัวอย่างไร ไม่สู้เท่ากับใจที่ไม่สู้ ใจที่มันไม่ยึดมั่นถือมั่นความถูกต้องใช่หรือเปล่า (ใช่)  เข้มแข็งนะ มั่นคงให้ถึงที่สุดนะ เดินไปให้จนถึงทางนะ อย่ากลัวลำบากนะ ควรกลัวสิ่งที่ควรกลัวมากที่สุดคือ อารมณ์กิเลสในใจตัวเองที่ควบคุมไม่ได้จริงไหม เภทภัยข้างนอกไม่น่ากลัวเท่ากับลมปากเรา ภยันตรายข้างนอกไม่น่ากลัวเท่ากับหัวใจเราที่ไม่ยึดมั่นสิ่งที่ถูกต้อง คนอื่นไม่น่ากลัวเท่ากับใจตัวเองที่ไม่รักษาความดีงาม หาความซื่อตรงไม่ได้ ศีลธรรมไม่มี เสียดายเกิดเป็นคน แต่ถ้าศีลธรรมก็มี คุณธรรมก็มีตายไปไม่เห็นต้องกลัวอะไร แต่ถ้าศีลธรรมไม่มี คุณธรรมยังบกพร่อง ตายไม่ได้ เพราะตายไปแล้วมีแต่กรรมใช่หรือไม่ ศิษย์เอยแค่นี้ยังอดทนไม่ได้ ชีวิตจริงศิษย์จะทนไหวหรือ
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนในชั้นต่อ)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “คุณนะทำ”)
พระโอวาทซ้อนเอาไว้ให้ศิษย์นำพาชีวิต ได้คำว่า “คุณนะทำ” แต่ผมไม่ทำ ได้ไหม (ไม่ได้)  มนุษย์เราประเสริฐตรงที่การประพฤติปฏิบัติ ถ้าละบาปได้จึงเรียกว่าคนบุญ ถ้าละบาปไม่ได้ถึงจะทำดีแค่ไหนก็ยังมีผิดบาปอยู่ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถึงจะมีคำว่า  “ละบาปบำเพ็ญบุญ”  แต่ถ้าบำเพ็ญบุญแล้วยังละบาปไม่ได้ บุญนั้นก็ไม่อาจเรียกว่าบุญที่บริสุทธิ์  เหมือนมือหนึ่งเราทำบุญ แต่อีกมือหนึ่งเรายังเกี่ยวกรรมอยู่ เรายังสร้างบาปอยู่ เช่นนี้ก็ไม่อาจเรียกว่าคนดีแท้จริงได้ จริงหรือไม่
คุณธรรมต่างจากศีลธรรมอย่างไร ศีลธรรมคือเครื่องชะล้างไม่ให้เราทำผิดบาป  ข้อยกเว้นที่เราไม่ควรจะทำ อย่างเช่นไม่เบียดเบียน ไม่เบียดเบียนผู้อื่นเป็นการสร้างกรรมหรือสร้างธรรม แล้วถ้าเบียดเบียนผู้อื่นมีธรรมหรือมีกรรม แล้วปกติเราเบียดเบียนคนอื่นไหม ฆ่าคนอื่นเพื่อชีวิตตัวเองไหม ฉะนั้น ศีลเป็นเครื่องละให้เราไม่ประพฤติผิด ส่วนคุณธรรมเป็นเครื่องที่ประพฤติปฏิบัติในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสันติสุข อย่างเช่น เราปฏิบัติต่อเขา ไม่ได้ด้วยอารมณ์ แต่ปฏิบัติต่อเขาด้วยหน้าที่ความถูกต้องในการเป็นคน เช่นนี้แล้วเวลาทำงาน ทำงานด้วยความซื่อตรง ไม่ได้ทำงานด้วยความอยากได้เงิน คุณค่าต่างกัน ถ้าอยากได้เงินเราก็ได้กรรมกับกิเลส แต่ถ้าเราปฏิบัติด้วยความซื่อตรง สิ่งที่เราได้ก็คือความเป็นธรรม ใช่หรือไม่ คุณธรรมมีไว้เพื่อให้เราทำ ไม่ได้มีไว้เพื่อนานนานจะทำทีนะ
เดี๋ยวนี้คนเสพสื่อเยอะมาก พอเสพมาก  เราก็สร้างกรรมด้วยสายตาใช่ไหม  แล้วก็ด่าเขาด้วยความคิดใช่ไหม  แล้วก็ชอบอ่านข่าวที่ไม่ดีนะ พออ่านเสร็จแอบด่าในใจไหม ทนไม่ไหวกดพิมพ์เลย  แล้วพอด่าทีมีคนเห็นด้วยกรรมก็ทวีคูณ คนกดไลค์หนึ่งครั้ง เราด่ามีคนกดไลค์ เท่ากับเราสร้างกรรมด้วยใช่หรือไม่ ฉะนั้นสื่อปัจจุบันนี้เราต้องระวัง สื่อนั้นทำให้เรามีกิเลสมากกว่ามีธรรม อ่านน้อยๆ ดีหรือไม่  แล้วเสพก็เสพแต่ที่ดีๆ ดีไหม (ดี)  ที่ไม่ดี ดูไม่ดู ต้องถามฝ่ายชาย ไม่ดู ศิษย์เอยเสียสละเพื่อคนอื่น  สร้างธรรม ดีกว่าสร้างกรรมนะ แล้วศิษย์จะเข้าใจว่าชีวิตนี้อยู่อย่างไม่มีกรรมดีที่สุด แล้วทำอย่างไรดีละ ไม่มีกรรม และมีแต่ธรรม กับพ่อแม่ กับเพื่อน กับที่ทำงานประพฤติอย่างไหน ทุกอย่างที่ประพฤติล้วนสอดคล้องต่อธรรม ไม่ผิดศีลธรรม แต่มนุษย์ไม่ใช่  กับพ่อแม่ชอบตามใจตัวเอง กับเพื่อนชอบเห็นแก่ตัว ใช่หรือไม่ สิ่งที่เราได้ก็คือนิสัย อารมณ์ และความทุกข์ ยิ้มเข้าไว้ศิษย์มุมปากมันตก  เดี๋ยวฮวงจุ้ยจะไม่ดี เข้าใจไหม เชื่ออาจารย์ อย่าทำปากอย่างนี้ เป็นผู้หญิงหมดสวยเพราะปากอย่างนี้ ผู้ชายหมดหล่อก็ได้เพราะปากอย่างนี้ อยากให้หน้าตาน่ารัก มีราศี ใครมองใครเห็นใครก็รัก จริงไหม
แล้วคนปัจจุบันยิ้มยากเหลือเกิน อยากสร้างบุญก็ทำบุญด้วยการยิ้ม คนอื่นเห็นคนนั้นเป็นอะไรนะ แต่อย่างน้อยก็ทำให้เขารู้สึกดี จริงไหม ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ไม่ถามต่อแล้วนะ เพราะอาจารย์ต้องคำนึงถึงคนที่เขารำคาญมากกว่าคนที่รู้สึกดี จริงๆ ศิษย์เชื่ออาจารย์เถอะ บางครั้งศิษย์มองเห็นว่าปัญหานิดๆ หน่อยๆ มันไม่เกิด มันไม่ถึงเรา แต่บางครั้งถ้าเราใส่ใจปัญหานิดๆ หน่อยๆ ให้ดีเราจะทำให้โลกนี้มีแต่สิ่งที่น่าอยู่ จริงไหม แต่ถ้าเรามัวแต่สนใจความสุขตนเองจนไม่มองดูว่าคนอื่นทุกข์เพราะเราแล้วเราก็ไม่ต้องทำอะไรทำเหมือนเดิมไม่สนใจคนอื่นสักวันความทุกข์ก็จะมาทำร้ายเรา จริงไหม ถ้าอย่างนั้นทำอย่างไรมีกรรม ทำอย่างไรมีบุญ (มีสติ, การมีธรรมมากกว่ามีกรรมคือศึกษาธรรมและนำไปปฏิบัติ, ฟังธรรมและมีสติอยู่ตลอดเวลา, ชีวิตจะได้เปลี่ยนเพราะเราเปลี่ยนความคิด)  ถ้าอย่างนั้นถ้าเราไม่รู้ว่าชีวิตเราจะยาวจะสั้นทำไมเราไม่ทำสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตที่ไม่เรียกว่ากรรมแต่เป็นธรรมะ ที่อย่างน้อยจบไปแล้วคนก็ลืมเราไม่ลง ดีไหม
(ทำดีละเว้นความชั่ว, คนเราจะต้องมีสติ มีปัญญา มีจิตใจที่ดี ทำแต่สิ่งดีๆ, ทำอะไรด้วยสติปัญญา, หมั่นทำความดีสร้างธรรมะเยอะๆ)  ความดีอะไรล่ะที่ควรทำ เอาแอปเปิลของเราไปให้คนอื่น นี่คือการปฏิบัติธรรมถูกไหม ถึงเวลาก็ทำไม่ได้ อะไรเรียกว่าทำแล้วมีกรรม อะไรเรียกว่าทำแล้วมีธรรม ความดี ศิษย์เอ๋ย ตอบว่า (หมั่นทำความดี)  ตอบได้อย่างเดียวเลย ห้องนี้ตอบเหมือนกันหมดเหมือนลอกข้อสอบเลย ทำอะไรแล้วมีธรรมะ ทำดี ตั้งแต่หัวจดท้าย ทำอะไรแล้วมีธรรมะ ทำดี แล้วดีอย่างไรล่ะ (ทำบุญ)  บุญอะไรล่ะ นั่นสิ นั่นเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในมนุษย์ รู้แค่เพียงว่าทำดีแต่อะไรเรียกว่าดี เอาง่ายๆ นะศิษย์ มีโอกาสได้แอปเปิล มีใครไหมที่จะบอกอาจารย์ว่าไม่เอา และเอาไปให้คนข้างๆ ความดีคือความเสียสละ  ความดีคือคิดถึงตัวเองน้อยหน่อย คิดถึงผู้อื่นมากหน่อยแล้วเราเป็นแบบนั้นไหมล่ะ (ทำดีกับพ่อแม่)  อย่าทำดีแต่เฉพาะกับพ่อแม่  แต่ควรทำดีกับทุกคน จริงไหม (จริง, จะปฏิบัติต่อไป)  แล้วปฏิบัติอย่างไรเรียกว่าความสุขและความดีของครอบครัว นั่นก็คือ (ทำสิ่งที่ถูกต้อง, ซื่อตรง, มีเมตตาธรรม, มีมโนธรรมสำนึกที่ดีงาม)
 (จะสร้างความดีตลอด, การไม่เบียดเบียน)  การไม่เบียดเบียนคนทางสายตา คำพูด และการกระทำ (คุณธรรม)  ข้อไหนหรือ ถ้าคิดไม่ออกแปลว่าไม่ค่อยมีจริงไหม  เมตตาธรรมขอแค่เมตตา เมื่อเมตตาก็ไม่เบียดเบียน  เมื่อเมตตาก็ไม่ทำร้ายคนอื่น  เมื่อเมตตาก็ไม่โกหก โป้ปด   ไม่ฉ้อฉล แต่ซื่อตรง เมื่อเมตตาก็จะไม่ทำร้ายใครแต่จะซื่อตรง แค่นี้ทำได้ไหม คุณธรรม เมตตา มโนธรรม จริยธรรม คือความสุภาพอ่อนน้อม ปัญญาธรรม ทำอะไรรู้จักคิดไตร่ตรอง
อาจารย์คงต้องกลับแล้วนะ มีโอกาสคงได้กลับมาผูกบุญกันอีก บำเพ็ญธรรมไม่ใช่แค่เป็นคนดี แต่เราบำเพ็ญธรรมเพื่อละบาปบำเพ็ญบุญกลับสู่สภาวะเดิมแท้ เรามาจากธรรมกลับคืนสู่ธรรมที่คือบ้านเดิมแท้ของเรา เราเกิดมาเป็นส่วนหนึ่งของธรรมเราก็ต้องกลับสู่ธรรม แต่ถ้ายังยึดติดตัวตน ก็ยังหนีไม่พ้นกรรม ใช่หรือไม่
เราอยากกลับบ้านไหม บ้านที่ไม่ต้องทุกข์ บ้านที่ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด บ้านที่พ้นทุกข์แท้จริง นั่นคือธรรมะ จริงไหม แล้วเราไม่กลับหรือ ฉะนั้น หนทางบำเพ็ญธรรมไม่ใช่มีแค่นรก สวรรค์  แต่มีอีกอันหนึ่งเรียกว่าธรรม เป็นสภาวะเป็นกลาง หัวใจปกติ เขาคนนั้นกำลังเดินทางกลับบ้านที่แท้จริง ถ้าเมื่อไหร่ ยังยึดติด ดีร้าย นั่นไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ เพราะธรรมที่แท้จริง คือความเป็นกลาง กลับมาศึกษาธรรมบ้าง อย่ากลับแล้วกลับเลยจะได้ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด คงได้ผูกบุญกันนะ กลับบ้านที่แท้จริงที่ไม่ต้องทุกข์ บ้านที่พ้นทุกข์


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท 
"คุณ
นะ
ทำ "
     เมตตาไม่ขาดจากใจ   มโนธรรมไว้เหมาะสม
ซื่อตรงจงใจน่าชม                   จริยะงามสมบำเพ็ญ
   ยึดถือสื่อกิเลสง่ายล้ำยุคเก่า    กอบกองเข้าเผาลุกลามความคิดเห็น
คิดถึงแต่เรื่องคนอื่นต้องบำเพ็ญ มองไม่เห็นใจของตนไม่พ้นกรรม


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา