วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2562

2562-06-22 สถานธรรมอิ๋งเซียน ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร

西元二○一九年歲次己亥五月二十日                                          仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๒               สถานธรรมอิ๋งเซียน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
  คนไม่รู้เกิดมาเพื่ออะไร                  แม้ตายไปไปไหนก็ไม่รู้
ปัจจุบันก็ไม่รู้ทำอะไรอยู่                 เลยไม่รู้ต้องต่อสู้กับสิ่งใด
                                เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                      ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

   ทำไมใช้ชีวิตเยอะแต่คนแย่              ยุ่งกว่าแม้ในสงบไม่สงบ
ชีวิตมัวจับยามในทางลบ                 กระทบก็ต่างเปิดขันธ์ไม่ควบคุม
จัดชีวิตเป็นกว่าเดิมเพิ่มระเบียบ          ปัญหาเพียบใช้เรื่องร้อนสอนสุขุม
อะไรมาจะอะไรก็ไม่กลุ้ม                  วาจานุ่มงานสะท้อนค่าของคน
พบปะแค่สังสรรค์เป็นเรื่องเล่นเล่น       ทว่าอย่างมาบำเพ็ญต้องเห็นผล
อยู่ด้วยกันเหมือนกระจกสะท้อนตน     โดนวานไหว้โดนบ่นเรื่องธรรมดา
จงใส่ใจบำเพ็ญเป็นคนใหม่               เช้าเข้าใจเย็นถึงมั่นคงหนา
คนเดียวกันดื้อรั้นเจ้าปัญหา              อนิจจาหัวดียึดไม่มีดี
สติใช้ชะลอคุ้มครองพูดคิด                มีชีวิตมากกว่าตามหน้าที่
สร้างเต็มค่าตัวเองเปล่งราศี              มีเวลาไม่ทำดีทำอะไร
หากหงอยเหงาหงอหงอคือชีวิต          เลือกใช้ชีวิตดีกว่าปัญหาได้
หลงปัญหาคิดไม่ออกเพราะอะไร         จิตกระพือคิดพอใจใส่อารมณ์
                                    ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ




ชีวิตหนีไม่พ้นความเกิดและความตาย ใช่ไหม (ใช่)  เคยสงสัยไหมเกิดมาเพื่ออะไร (เคย)  ตายแล้วจะไปไหน บางคนก็บอกว่า เกิดมาก็ใช้ชีวิตให้เต็มที่เพราะเดี๋ยวตายไปก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้ว จริงไหม (จริง)  เเต่ท่านเคยได้ยินไหม จิตเป็นเนื้อนาบุญ ปลูกสิ่งใดได้สิ่งนั้น ถ้าทุกวันเราปลูกเเต่กิเลสตัณหา ความอยากได้ใคร่มีไม่เคยหยุด เหตุปัจจัยเเห่งความอยากยังไม่สามารถหยุดได้ ยังคงอยู่ต่อเนื่องในจิตใจ เมื่อยามมีชีวิตเรายังหยุดไม่ได้ แล้วถ้าตายไปจะหยุดได้ไหม นั่นอาจจะเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เราต้องเกี่ยวเนื่องและเวียนวนก็เป็นได้
เหมือนที่มนุษย์มักจะพูดว่าเมื่อจิตดับไปแล้วมีความห่วงหาอาทร จึงทำให้จิตนั้นไม่สามารถเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างสงบสุข ถ้าจิตของมนุษย์ยังมัวติดอยู่กับตัณหา เเละความอยาก กิเลสตัณหาเป็นเหตุปัจจัยให้มนุษย์หนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อไรที่ยังมีหน่อเนื้อแห่งการอยาก เมื่อไรที่ยังมีเมล็ดพันธุ์แห่งความอยากอยู่ มนุษย์ก็หนีไม่พ้นการเวียนว่ายกลับมาเกิดอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์มักจะพูดว่า ความตายน่ากลัว แต่พุทธะกลับบอกว่าการเกิดมาแล้วต้องรับผลซึ่งความทุกข์ ความเจ็บปวดและความตายอันนับไม่ถ้วนนั้นน่ากลัวกว่า จริงไหม (จริง)  เพราะความเกิดเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น ถ้าเมื่อไรที่จิตใจของมนุษย์ยังไม่ยั้งหยุดเมล็ดพันธุ์เเห่งความอยาก มนุษย์ก็หนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด ใช่หรือไม่ (ใช่) อยากรู้ว่าอนาคตเป็นเช่นไรก็จงมองดูปัจจุบันหรือเมื่อยามมีชีวิต เพราะชีวิตปัจจุบันเป็นตัวกำหนดภพภูมิในอนาคต หรือที่พูดอย่างง่ายก็คือ ถ้าใสบริสุทธิ์ก็กลับคืนฟ้า เเต่ถ้าจิตหนักขุ่นหม่นหมองก็ลงสู่พื้นพสุธา อย่างนั้นลองทบทวนตนว่าเราเกิดมาเพื่ออยากหรือเกิดมาเพื่ออะไร สนองความอยากให้เต็มที่เเล้วจบกันใช่หรือไม่ หากทำเพื่อสนองความอยากเต็มที่เเต่ไม่จบ เเล้วกลับกลายเป็นเหตุปัจจัยเเห่งการเวียนว่ายไม่จบสิ้นเราจะทำอย่างไร ถ้าชีวิตนี้เป็นเเค่การเริ่มต้นเเละกำลังจะไปต่อเราพร้อมหรือยังที่จะไปต่อ พร้อมแล้วหรือยังไม่รู้อะไรเลย บางคนก็เเก้ด้วยการทำบุญทำกุศล เเม้หากทำบุญมากเเค่ไหน เเต่บาปไม่ละ กรรมก็ตามทันจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นไม่ทำบาปนั่นเรียกว่าบุญแล้วประเสริฐกว่าไหม
เปรียบอย่างง่ายว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไร ไม่มีใครตอบได้ เเต่ความเป็นจริงเเห่งธรรมล้วนให้คำตอบอยู่ในใจ เเต่ไม่เคยมีใครหยั่งรู้ ทุกชีวิตเกิดมาเพื่อดับ เเต่เรามีชีวิตอยู่เพื่อดับหรือเพื่อเกิด เเละทุกขณะที่เราทำเป็นไปเพื่อดับหรือเป็นไปเพื่อสนองความอยากได้ใคร่มี ความจริงเราต้องกลับไปสู่ความดับ ทุกชีวิตล้วนเผชิญความดับ เราจะกลับคืนสู่ธรรมที่เรามาได้ก็ต่อเมื่อเราดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับธรรม
แต่ชีวิตของคนไม่เคยสอดคล้องในธรรม ธรรมสอนให้เราเกิดเพื่อดับ มาว่างเปล่าก็ต้องไปว่างเปล่า แต่เราไม่เคยว่าง เราไม่เคยดับได้จริงๆ เราเกิดแล้วก็เกิดอีก อยากแล้วก็อยากอีก มีชีวิตเพื่อถมความอยากให้เต็ม ทั้งที่ธรรมก็บอกอยู่เสมอว่า ใจที่ถมความอยากไม่มีวันเต็ม มีแต่ใจที่หยุดความอยากได้ จึงจะถมได้เต็ม ถ้าชีวิตนี้เรารักชีวิตและเรารับผิดชอบต่อชีวิตตัวเราเองได้ ความทุกข์ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่ถ้าชีวิตนี้เรายังรักตัวเองไม่พอ เรายังรับผิดชอบตัวเองไม่ได้ ความทุกข์ก็เป็นเรื่องที่ท่านหนีไม่พ้น และน่ากลัวอยู่ทุกๆ วัน จริงไหม (จริง)  แล้วไยจึงไม่หาทางพ้นทุกข์หนอ
เหมือนเมื่อก่อนเราหาเพื่อความมี เราหาเพื่อจะได้ไม่จน เราหาเพื่อชีวิตจะได้ไม่ลำบาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรารู้ว่าตรงไหนคือสิ่งที่เราต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มา แต่ตอนนี้เรามี มีในสิ่งที่เราไม่เคยมี มีทุกอย่าง แล้วเรากำลังสู้อยู่กับอะไร ความยากจนภายนอก หรือความยากจนในใจ เรากำลังสู้เพราะเราอยากมี หรือเราสู้เพราะลึกๆ แล้วเรากลัวที่จะไม่มี แต่มนุษย์มักจะหาแล้วหลงลืมว่า จริงๆ แล้วเราหาเพื่อมี หรือเราหาเพื่อชนะใจตัวเองที่กลัวความจริง ถูกไหม (ถูก)  หาไปเพื่ออะไรไม่รู้ หาไปทำไมก็ไม่รู้ ถามว่าแต่ก่อนหาเพราะว่าอยากมี แต่ตอนนี้มีแล้ว แต่ทำไมยังต้องหา เพราะลึกๆ คือกลัวจะรับกับความไม่มีไม่ได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วความไม่มีคือความจริงแท้แห่งสัจธรรม และทุกคนต้องเจอ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
วันนี้เราอยากได้ อยากกินอะไรเราไปหาได้ วันนี้เราอยากทำอะไรเราทำได้ แต่ถ้าวันหนึ่งท่านทำอะไรไม่ได้อย่างที่อยาก ความทุกข์นั้นอยู่ในใจ ให้ใครช่วยซื้อก็ไม่ถูกใจ ให้ใครทำให้ก็ไม่ถูกปาก แต่สิ่งที่เราต้องเอาชนะให้ได้ เราต้องสู้ให้ได้นั่นคือใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นลองถามตัวเองดูว่าเรามีชีวิตเพื่ออะไร เรากำลังหาอะไร ทั้งที่จริงๆ แล้วหาไปถึงที่สุดแล้วเราก็ต้องทิ้งทุกอย่าง ได้ไปจนถึงที่สุดแล้วเราก็ต้องวางทุกอย่าง อย่างนั้นทำไมเราไม่ฝึกอะไรที่ทำให้เราได้ไปด้วยและก็ทำใจวางได้ด้วย มีไปด้วยก็เข้าใจความไม่มีไปด้วย ซึ่งนั่นคืออะไรก็ไม่รู้
หลายคนมักจะถามว่า มาฟังธรรมะทำไม ธรรมะก็รู้อยู่แล้ว แต่แปลกตรงที่รู้อยู่แล้วแต่ไม่เคยทำได้สักที ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเรามามองกันง่ายๆ คร่าวๆ ก่อนดีไหม โดยส่วนใหญ่ถ้าพูดถึงเรื่องธรรมะกับพูดถึงเรื่องทางโลก ก็เหมือนอยู่ตรงกันข้ามกัน จริงไหม (จริง)  ถ้าพูดถึงทางโลก เราก็มักจะนึกถึงความฝัน ความอยาก กิเลส ตัณหา และความวุ่นวาย ในโลกยังมีความสุขด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในความสุขก็มีความทุกข์ เมื่อพูดถึงโลกก็หนีไม่พ้นสุขทุกข์ ความอยาก กิเลส ตัณหาและความวุ่นวาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าพูดถึงทางธรรมจะเรียกว่าสงบ เย็น มีสติ และทำอะไรด้วยปัญญา และทำให้เราหาทางพ้นทุกข์ได้เเละพบสุขที่เเท้จริง ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถ้าเรามีชีวิตอยู่ในทางโลกเเล้วเราบอกว่าทางธรรมเอาไว้ก่อนนั่นก็แปลว่าเราอยากมีชีวิตทางโลกที่วุ่นวาย ไม่สงบเย็นเเละมีสุขทุกข์เวียนไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมะเป็นเรื่องไกลตัวเดี๋ยวเเก่ไปค่อยว่ากัน ก็เเปลว่าเราไม่ต้องการธรรมะที่เย็นใจ ไม่ต้องการธรรมะที่ช่วยดับทุกข์ ไม่ต้องการธรรมะที่ช่วยให้เราละวางกิเลส บางคนยังไม่เข้าใจว่าที่เรามานั่งที่นี่มาทำอะไร มาศึกษาอะไร เรามาศึกษาธรรมะที่เป็นกลางไม่อิงอะไร และเกี่ยวกับชีวิตเราโดยตรง ดีไหม (ดี)
ถ้าธรรมะคือความสงบเย็นเเละการทำอะไรอย่างมีสติ สอนให้เรารู้จักละวางความโลภ โกรธ หลง ทำให้เราเย็นใจเบาใจ เช่นนั้นคนเราควรจะมีธรรมไว้ในชีวิตไหม (ควร)  เมื่อไรที่เราวุ่นวายเเล้วรู้จักธรรม ธรรมจะทำให้เราแม้วุ่นขนาดไหนก็เย็นได้ ถ้าชีวิตเราอยู่ทางโลกเเละเรามีธรรม ทุกข์ขนาดไหนเมื่อมีสติปัญญาก็สามารถทำให้เราพ้นทุกข์ได้ ถ้าเราอยู่ทางโลกเเละเรามีธรรม แม้ใจเราร้อนขนาดไหน ธรรมก็จะทำให้เราใจเย็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าชีวิตนี้มีแต่ร้อนไม่เคยเย็น วุ่นไม่เคยสงบ แสดงว่าเราไม่มีธรรม หรือเป็นเพราะว่าเรามัวเเต่ยุ่งทางโลกจนลืมทางธรรม เเล้วจะรอให้ตัวเองทุกข์ที่สุด เจ็บที่สุด เเย่ที่สุดเเล้วค่อยนำธรรมมาใช้จะทันไหม แก้ไหวไหม (ไม่ไหว)  อย่างนั้นเราควรอยู่ทางโลกแล้วมีธรรมะด้วยดีไหม (ดี)  พอเข้าใจหรือยังว่าทำไมต้องมีธรรมะ (เข้าใจ)  ธรรมะเป็นเรื่องของคนแก่ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ถ้าคนเข้าใจธรรมก็จะต้องรู้ว่าธรรมคือชีวิต ชีวิตหนีไม่พ้นธรรม เพราะเราก็คือธรรม เขาก็คือธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างก็คือธรรม จะเป็นไปได้หรือว่า เราอยู่ในโลกโดยไม่ต้องสนใจธรรม การมีชีวิตอยู่ในโลกและมีธรรมเป็นคู่ชีวิต ดีหรือไม่ (ดี)  
อยู่ในโลกที่เห็นแก่ตัวมาก ธรรมจะช่วยถ่วงสมดุลให้เรารู้จักเห็นแก่ผู้อื่น เราอยู่ในโลกที่มีความอยากมาก แต่พอเรามีธรรม ความอยากทำให้เรารู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาป และรู้จักคำนึงถึงจิตใจผู้อื่น บางครั้งเราคิดถึงคนอื่นมากเกินไป จนเราเอาธรรมมาสอนชีวิต ธรรมจึงสอนว่าอย่าลืมนึกถึงตนและนึกถึงผู้อื่น และอย่ามัวแต่นึกถึงผู้อื่นจนลืมนึกถึงตัวเอง ฉะนั้นเมื่อไรที่ชีวิตขาดสมดุล เมื่อไรที่ชีวิตทุกข์ นั่นแปลว่าเราลืมเอาธรรมมาถ่วงสมดุลใจ เพราะธรรมช่วยให้เราไม่หลงจนเกินไป ยั้งใจได้ด้วยสติและปัญญารู้นำคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น ควรหรือไม่ที่จะมีธรรม (ควร)  ตอนไหน (ตอนนี้)  ควรมีธรรมในทุกขณะ เมื่อคิดเห็นแก่ตน ธรรมจะสอนว่าอย่าลืมคิดถึงคน เมื่อคิดถึงคนอย่าลืมคิดถึงตน เมื่ออยากอย่าลืมนึกถึงความผิดชอบชั่วดี เพราะถ้าผู้ใดมีชีวิตขาดซึ่งความสงบ ขาดซึ่งความเย็น นั่นแปลว่าเขาขาดซึ่งธรรม ชีวิตหาทางพ้นทุกข์ไม่เจอ มีแต่ความทุกข์ไม่จบสิ้น นั่นแปลว่าเขาลืมธรรม
ฉะนั้นฟังธรรมจากเราไม่ยากเลย อยู่ในโลกต้องมีธรรมเพราะธรรมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ ถ้าเมื่อไรที่ท่านมีชีวิตอยู่ วุ่นวาย สุขทุกข์ ขาดสติ นั่นแปลว่าท่านลืมธรรม จริงหรือไม่ แล้วทำอย่างไรเราถึงจะมีธรรม ง่ายๆ เลยอะไรที่ทำให้เราสงบ อะไรที่ทำให้เราเย็น นั่นก็คือ (สติ)  ฉะนั้นอย่าบอกว่าไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร ฟังเราพูดแล้วต้องรู้แล้ว เมื่อไรที่ทำอะไรอย่างมีสติและสงบเย็นนั่นคือถึงธรรมะ แต่ถ้าเมื่อไรทำอะไรแล้ววุ่นวายไม่จบสิ้นนั่นคือยังมีเรื่องของทางโลก มีความเห็นแก่ตน
โลกสอนให้เราฉลาด โลกสอนให้เราเก่ง ความเก่งและความฉลาดทำให้เราเย็นและสงบไหม ทำอย่างไรที่จะเรียกว่ามีชีวิตแล้วอยู่ในโลกประกอบไปด้วยธรรม มนุษย์มักจะถูกสอนให้อยู่ในโลกต้องเก่ง ต้องฉลาด ต้องได้ ต้องสำเร็จ เก่งแล้วถือดีอวดตนมีธรรมะไหม (ไม่มี)  เก่งแล้วคิดว่าตัวเองแน่ มองคนอื่นแบบดูถูกมีธรรมไหม (ไม่มี)  ฉันเก่ง ฉันรู้หมด แน่ใจไหม (ไม่แน่ใจ)  แล้วอย่างไรที่เรียกว่าเก่งแล้วมีสุขและมีธรรม ไม่ทุกข์ใจ (มีธรรมะ) ธรรมะอะไร (มีสติ)  มีสติพอไหม (ต้องมีจิตกุศล)  เก่งแล้วต้องมีจิตที่ดีด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราเก่งแล้วทำอย่างไรให้ความเก่งนั้นสามารถทำให้เราสงบเย็น ไม่วุ่นวาย ทำอะไรแบบมีสติ แล้วเกิดปัญญาได้ในความเก่ง
(เก่งแล้วต้องเผื่อแผ่)  เก่งขนาดไหน ถ้าไปอยู่ที่ไหนแล้วเติมธรรมะสักหนึ่งข้อเข้าไป ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็จะเป็นที่รัก
(จิตเมตตา)  (แบ่งปัน)  รู้จักแบ่งปันก็ตอบได้ดี แต่เอามาเต็มที่แล้วค่อยแบ่งปันหรือ
(ต้องมีคุณธรรม)  (อ่อนน้อมถ่อมตน)  เก่งแค่ไหนก็บอกว่ายังไม่รู้ ฉันยังต้องเรียนรู้เพิ่มเติมอีก เธอเก่งกว่าฉัน ถ้าไม่มีเธอฉันก็ไม่เก่ง แต่คนปัจจุบันเก่งแล้ววุ่นวายเพราะคิดว่าฉันเก่งคนเดียว ไม่มีฉันเธออยู่ไม่ได้ จริงไหม (จริง)  แล้วเราลืมไปหรือเปล่า ถ้าเราอวดในความเก่ง ความเก่งนั้นก็ทำให้เรากลายเป็นคนไม่เก่งได้ เพราะยังมีคนที่เก่งกว่า ฉะนั้นเมื่อไรที่เราเก่ง จงอย่าลืมอ่อนน้อมถ่อมตน มีความเมตตา แล้วก็แบ่งปัน อยู่ที่ไหนคนก็ไม่รังเกียจ อยู่ที่ไหน คนก็รัก และในความเก่งก็ไม่ทำให้เราวุ่นวาย เพราะยิ่งเก่งแล้วอวดเก่งมากจะเหนื่อยไม่จบสิ้น จริงไหม (จริง)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม (ใช่)  ฉะนั้นมีชีวิตอยู่ทางโลกจึงลืมทางธรรมไม่ได้ ถ้ามีทางธรรมเป็นคู่ชีวิต ชีวิตจะมีค่าและเดินไปในโลกอย่างสงบสุข
เรื่องที่เราพูดไม่ใช่เรื่องยาก เเละไม่ใช่เรื่องหลอกลวงให้ท่านงมงาย เเต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับธรรมที่ให้ท่านใช้ในการดำเนินชีวิต เรามักใช้ตามองออกมากกว่ามองเข้า ชอบจับผิดมากกว่าชื่นชม ชอบเห็นร้ายมากกว่าเห็นดี ระหว่างตากับใจ อะไรน่ากลัวกว่ากัน (ใจ)  สิ่งที่น่ากลัวคือนิสัยเขาหรือใจเราที่ไม่ยอมรับความจริง (ใจเรา)  ท่านเคยได้ยินไหมว่า ผีเห็นผี ว่าเขาร้ายก็เเปลว่าเราร้าย ว่าเขาเลวก็เเปลว่าเราเลว สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราอยู่ในโลกเเล้ว สามารถมีธรรมได้ก็คือ เมื่อเรามองออกเเล้วเห็นในสิ่งที่เราไม่อยากเห็น เมื่อเรามองออกเเล้วพบในสิ่งที่เราไม่อยากพบเเล้วเราจะทำอย่างไรดีให้ใจนั้นสงบ เมื่อมีคนด่าเรา เเล้วก็มีอีกคนด่าเราอีก เราจะทำอย่างไร  (ต้องพิจารณาตัวเอง)  แต่ถึงเวลาไม่เห็นพิจารณาตัวเองเลย ใช่ไหม (ใช่)
เราอยากอยู่ในโลกอย่างคนที่มีธรรม หรืออยู่ในโลกอย่างคนที่วนเวียนในโลก ถ้าอยู่อย่างมีธรรม อะไรที่ทำให้เราสงบ นั่นคือเรามีธรรม แต่อะไรที่ทำให้เราวุ่นวาย นั่นคือเป็นโลก ฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่าโลก คือความโลภ ความโกรธ ความหลง แต่สิ่งที่เรียกว่าธรรมคือ ละความโลภ ละความโกรธ ละความหลง ถ้าเกิดเขาว่าเรา เราอยากมีธรรม หรือว่าเราอยากอยู่ฝั่งทางโลก (อยากมีธรรม)  ถ้าเราอยากมีธรรม เราก็ต้องทำสิ่งที่ทำให้เราละโลภ ละโกรธ ละหลง และเย็นสงบ นั่นคือมีธรรม แต่ถ้าเกิดเขาว่าแล้วเรามีโลภ มีโกรธ มีหลง นั่นก็คือเรามีทุกข์ ไม่มีธรรม เมื่ออยากมีธรรมอย่าขาดสติ แต่ถ้าอยากอยู่ฝั่งทางโลกจงไปตามกิเลสอารมณ์ ฉะนั้นโลกกับธรรมต่างกันที่สติกับกิเลสอารมณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าทำอะไรด้วยสติแล้วละซึ่งความโลภ โกรธ หลง เข้าถึงความบริสุทธิ์ นอกจากถึงธรรมแล้วยังเข้าถึงภาวะบุญ เพราะบุญคือเครื่องชำระล้างใจ ฉะนั้นคนด่าเรา เราก็ได้สร้างบุญ และยิ่งถ้าเกิดเขาด่าเรา เราละโลภ โกรธ หลงได้ แล้วยังปฏิบัติต่อเขาด้วยคุณธรรม นั่นแปลว่า เรากำลังสร้างบุญและยังให้ธรรมะเป็นทาน แปลว่าทุกที่เราก็ทำบุญและปฏิบัติธรรมได้ แต่อยู่ที่ว่าเราจะทำหรือไม่ เมื่อไรที่ตามองออก จงหันกลับมามองข้างใน ท่านเชื่อไหมว่าถ้าท่านปฏิบัติได้อย่างที่เราพูด ภายใน 3 เดือน 7 เดือน กิเลสจะไม่เกิดขึ้นในจิตใจ ทุกครั้งที่เห็นอะไร ย้อนมองกลับเข้ามาที่ตัวเอง แล้วถามตัวเองว่าเราดีแล้วหรือ เขาด่าเรา หันกลับมาถามตัวเองว่าเราเคยด่าใครไหม เราว่าเขาไม่ดี เราก็ไม่ดี เมื่อต่างคนต่างไม่ดีจะโกรธกันไหม จะเกลียดกันไหม อย่าไปว่าเขาเลย เขาก็ไม่ต่างกับเราหรอก จริงไหม (จริง)  แต่ทุกครั้งที่เราว่าเขาเพราะเรารู้สึกว่าเราดีกว่าเขา ถ้าทุกครั้งที่เขาโกงเรา ด่าเรา เอาเปรียบเรา แก่งแย่งเรา ลองถามสิว่าเราเคยด่าเขาไหม โกงเขาไหม เอาเปรียบเขาไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเป็นเช่นนั้นเราจะละโลภโกรธหลงได้ในใจเรา และจบที่ใจเรา ไม่ต้องไปแก้ที่เขา และไม่ต้องไปเปลี่ยนเขาเลย เพราะเรามองว่าเขากับเราก็ไม่ต่างกัน จริงหรือเปล่า (จริง)  ว่าคนอื่นเขาไม่ดี ตัวเองดีแล้วหรือ ว่าเขาชั่วร้าย เราไม่ชั่วร้ายเลยหรือ ถ้าสังเกตพระพุทธรูป มีปริศนาธรรมอย่างหนึ่งคือ ท่านไม่เคยเปิดปาก แต่ใช้ดวงตาย้อนมองตน ธรรมะไม่ใช่ให้เราฝึกฝนแก้ใคร แต่ให้ฝึกฝนแก้ไขตัวเรา ไม่ใช่ไปเพ่งโทษใคร แต่เพ่งโทษตรวจสอบตน เหมือนเวลาเราใจดี รู้สึกดี อะไรก็ดีไปหมด แต่เวลาอารมณ์เสียก็เอะอะพาโล จริงไหม ฉะนั้นทุกข์สุขดีร้ายไม่ใช่ขึ้นอยู่กับคนทำร้ายเรา แต่ขึ้นอยู่กับภาวะใจเราเข้มแข็งและมองออกเพียงไร ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องยากไหม (ไม่)
เราอยู่ในโลกเราพยายามแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุด สิ่งที่มีค่าที่สุด แล้วก็สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดที่ชีวิตเราจะหาได้ แต่แปลกที่เราหาสิ่งที่ดีที่สุดแล้วแต่ก็ยังมีสิ่งที่ดีกว่า อย่างนั้นเราจะต้องเปลี่ยนไปเท่าไรเพื่อหาสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดในชีวิต
สมมติว่าตอนนี้เรายังไม่มีดอกไม้ในตะกร้านี้ วันหนึ่งเราเกิดความอยากขึ้นมา บังเอิญไปเจอดอกไม้ดอกหนึ่ง สวยที่สุดแล้ว ดีที่สุดแล้ว แต่พออยู่ไปอยู่มาไม่ได้เรื่องเลย จริงไหม (จริง)  แบบนั้นก็ไม่ดี แบบนี้ก็ไม่ดี แบบนี้ก็แย่ ไปหาใหม่ ตรงนั้นมีดีกว่าเยอะเลย หามาแล้ว ต่างกันไหม (ต่าง)  เริ่มเบื่อของเก่า เริ่มถูกใจของใหม่ใช่ไหม (ใช่)  สวยแปลกตา ของเก่าไม่ได้เรื่อง แต่พอผ่านไปสักเดือนหนึ่ง เริ่มเป็นอย่างไร ไม่ต่างอะไรกันเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดว่าจะได้ดีกว่า แต่กลับเป็นอย่างไร (ไม่น่ามาเลย)  ใช่ไหม (ใช่)  แล้วท่านไม่เคยสังเกตหรือว่า ยิ่งเราคิดแบบนี้มากเท่าไร แล้วเรายิ่งพยายามถมความอยาก สิ่งที่เราอยากหาความสมบูรณ์มากเท่าไร ทำไมก็วกกลับมาเป็นความรู้สึกเดิมที่ว่า ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นเลย ถมความอยากมากเท่าไร เราก็ยิ่งเพิ่มความทุกข์มากขึ้นเท่านั้น ใช่ไหม (ใช่)  ยิ่งเราเอาธรรมมาใช้ในชีวิต เราจึงรู้ว่าถึงที่สุดแล้ว เราจะอยู่กับสิ่งที่เรามี และใจที่ปล่อยวางได้อย่างไร นั่นคือความยากของมนุษย์ รู้ว่ามีแล้วทุกข์ รู้แล้วว่ามีแล้วเจ็บ รู้ว่าความมีความอยากได้ ทำให้เราหนีไม่พ้นความเจ็บปวดและความทุกข์ แต่ก็ยังอยากมีไม่จบสิ้น ฉะนั้นถ้ามีแล้วทำอย่างไรไม่ทุกข์ ทำให้ทุกข์ที่เราเห็นกลายเป็นสุขทันที ทำอย่างไร (รู้จักพอ)  (หาความพอดีในตัวเอง)  (จงพอใจในสิ่งที่ตนเองมี)  อย่างแรกก็คือคิดว่า “มีหรือไม่มีก็ดี” เเละเมื่อมีเเล้วเป็นแค่นี้ก็ดีแล้ว แค่นี้ก็สุขเเล้ว เเค่นี้ก็พอแล้ว เช่นนี้จะได้หรือไม่ได้เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) เเล้วจะเปลี่ยนไปขนาดไหนเราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  เพราะในใจเรารู้จักพอ เมื่อถึงที่สุดถ้าไม่พอวันหนึ่งความเป็นจริงก็จะสอนให้เราต้องพอให้เป็น แล้วทำไมเราไม่เรียนรู้ที่จะจบก่อนที่จะเจ็บ อย่าเจ็บเเล้วค่อยจบ ถ้าเขาได้เเค่นี้ก็ดีแล้ว การที่เราห่วงที่สุด หวังที่สุดก็ไม่มีอะไรเป็นดั่งหวัง เป็นดั่งใจใช่หรือไม่ (ใช่)
คุณค่าของชีวิตที่เเท้จริงคือการมีชีวิตอยู่เพื่อธรรม ไม่ใช่อยู่เพื่อตนเเล้วสนองกิเลสตัณหาเวียนว่ายวน เพราะธรรมนำพาซึ่งความประเสริฐ สงบเย็น เเละเป็นสุข ถามตัวท่านว่าหลังจากนี้อยู่เพื่อธรรมหรืออยู่เพื่อตน (เพื่อธรรม)  การกระทำทุกอย่างต้องเป็นไปด้วยความจริงที่สงบ ไม่ใช่ความฝัน ไม่ใช่ความหลง เเละไม่ใช่กิเลสตัณหาเเละอารมณ์ ลองพิจารณาให้ดี วันนี้เราไม่ได้มาทำให้ท่านงมงาย ไม่ได้มาหลอกลวงเงินทอง ในใจเราโปร่งโล่งเเล้วเพราะทุกท่านยอมรับเเล้วว่าเราไม่ได้มาหลอกท่าน การคุยบางอย่างทำให้เราสว่าง ธรรมบางอย่างทำให้เราสงบ ทำไมเราจึงไม่เพียรไปคุยเพื่อพบสงบเเละสว่าง เเต่บางอย่างยิ่งคุยยิ่งมืด ยิ่งคุยยิ่งทุกข์ ทำไมเพียรไปคุยในเรื่องที่ทำให้มืดเเละทุกข์ ชีวิตท่านเลือกเอง กำหนดเอง ไม่ใช่ฟ้า ไม่ใช่คนอื่น เเต่ล้วนเป็นตัวเราเองที่จะกำหนดชะตาชีวิตตัวเอง ลองให้เวลาตัวเองในการศึกษาธรรมเพื่ออบรมจิตดูเเลใจ ตามใจตัวเองมามากเเล้ว วันนี้ลองฝืนใจดู ทวนกระเเสใจดู อาจจะอึดอัดบ้าง เบื่อบ้าง เเต่เอาชนะได้ด้วยตัวเอง เเละเมื่อเราเจอกับอะไรที่อึดอัดบ้าง เบื่อบ้าง เราจะได้รู้ว่าเราก็ทำได้
อย่ายึดติดเลยนะ ยึดติดแล้วก็เป็นทุกข์ จริงหรือไม่ (จริง)  หลักธรรมหนึ่งที่เราอยากทิ้งท้ายไว้บอกท่านก็คือ มนุษย์เราทุกข์เพราะมีรัก มนุษย์เราทุกข์เพราะมีเกลียด เมื่อใดมนุษย์อยู่ในโลกแล้วไม่รักไม่เกลียด ก็จะไม่ทุกข์ พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่า “ในโลกใบนี้สิ่งที่ไม่น่ารัก คนประมาทกลับเห็นว่าน่ารัก สิ่งที่ไม่น่ายินดี คนประมาทกลับเห็นว่าน่ายินดี สิ่งที่ทุกข์ คนประมาทกลับเห็นว่าสุข” ผู้ใดที่ไม่อยากมีทุกข์ จงอย่าประมาทในการดำเนินชีวิต และมองเห็นชีวิตให้ถ่องแท้ว่าจริงๆ แล้วก็แค่นั้น ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นผู้ที่ไม่อยากทุกข์ ก็จะไม่รักและไม่เกลียดสิ่งใด ลองมองให้ดี สิ่งที่ท่านว่าน่ารักนั้น น่ารักจริงไหม แล้วสิ่งที่ท่านว่าน่าเกลียด น่าเกลียดจริงไหม ถ้ามองลึกๆ อย่างไม่เอาแต่ความคิด ท่านจะพบความเป็นจริงว่า โลกใบนี้ไม่มีอะไรสุขจริง ทุกข์แท้ และไม่มีอะไรดีจริงและร้ายจริง สิ่งที่ตัดสินว่าดีร้ายคือความคิดที่ยึดติด ถ้าสนใจใคร่รู้ในธรรม พรุ่งนี้ลองมาศึกษาต่อดีไหม

วันอาทิตย์ที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๒            สถานธรรมอิ๋งเซียน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  นาฬิกาทุกเรือนเดินสองรอบ           จะเลือกทำที่ชอบทั้งหมดไม่ได้
เวลานี้ชีวิตอยู่ชั่วยามใด                  เหลือเวลาให้แก้ไขหรือไม่กัน
จะต้องรู้ความหมายแห่งชีวิต             ฝึกดวงจิตให้มีความมุ่งมั่น
แม้ว่าโลกดูเหมือนไม่ยุติธรรม            ตื่นจากฝันสุขทุกข์ล้วนอันเดียวกัน
                        เราคือ
     จี้กงอาจารย์เจ้า              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่แดนโลก น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                   ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์บ้างไหม
   
    ใช้ชีวิตเยอะกว่า แม้ในยามเปิดตา ก็สงบในขันธ์ ใช้ชีวิตเป็นกว่า เรื่องอะไรจะมา เป็นแค่งานสังสรรค์ อย่ามาบำเพ็ญเหมือนโดนไหว้วาน ใส่ใจบำเพ็ญถึงเย็นเข้ากัน หัวดียึดมั่นรั้นไม่มีชะลอ
    ใช้ชีวิตมากกว่าคุ้มค่าเต็มเวลา ไม่ทำตัวหงอหงอ ใช้ชีวิตดีกว่าปัญหาคือปัญหา พอคิดคิดไม่พอ คนบำเพ็ญยิ่งเป็นยิ่งเพลิน คนจะดีรู้งี้ไม่พอ รู้เขาปะเหลาะ รู้แล้วบ้ายอทำไม
*   คนบำเพ็ญต้องคิดมุมกลับ จับมุมมองข้อคิดจูงใจ ไม่อยากเป็นพวกสวมหน้ากาก หากจะทำต้องทำจากใจ
** ใช้ชีวิตเพลินกว่าตรงย้อนมองกลับมา พาเข้าใจความหมาย ใช้ชีวิตชีวาเผยความสุขออกมา ยิ้มออกมาได้ไหม ใจเป็นบุญพลิกฟื้นยืนเดินเดิม เกรงกลัวกรรมใช้ธรรมนำใจ ใช้ชีวิตใหม่ขอให้เริ่มจากตัวเอง (ซ้ำ *, **)
ทำนองเพลง : สาวอีสานรอรัก
ชื่อเพลง : ใช้ชีวิตให้เป็น

หมายเหตุ : เนื้อเพลงวรรคแรกมาจากพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เกิดมาเพื่ออะไร”


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง



กินอิ่มไหม ทานอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ลำบากไหม แปลว่าทานได้เรื่อยๆ เลยใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นต่อไปจะทานต่อไหม (ได้)  พูดแล้วทำไม่ได้ก็คือโกหกนะ โกหกก็เป็นการผิดศีลผิดธรรม แล้วก็ดูไม่น่าเชื่อถือจริงไหม วันนี้นั่งฟังวันที่สองแล้ว จบแล้วจบกันไหม (ไม่)  อย่างน้อยเอาสิ่งที่รู้ไปใช้ปฏิบัติก็ยังดี ไม่มากก็น้อย มีบางคนคงรู้สึกยังแปลกใหม่อยู่ แต่บางคนคงเริ่มชินแล้ว เพราะเจอกันครั้งที่สองแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เราอยู่ในโลกนี้ก็มีเรื่องที่จริง เรื่องที่เท็จ เรื่องที่ใช่และเรื่องที่ไม่ใช่ บางครั้งในจริงก็มีเท็จ ในเท็จก็มีจริง ในสุขก็มีทุกข์ ในทุกข์ก็มีสุข ฉะนั้นเมื่อเราเจอทุกข์ ให้คิดว่าเราต้องหาทางออกให้เจอ ถ้าอาจารย์ถามศิษย์ว่า โลกนี้เป็นภาวะคู่ เมื่อมีด้านหนึ่งมันก็ต้องมีอีกด้านหนึ่ง และโลกมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกัน ก็ต้องมีอะไรมาแก้กัน สมมติว่าเวลาเราร้อนใน เราต้องกินอะไรที่ทำให้เราเย็น เพื่อดับร้อน ถูกหรือไม่ เหมือนเวลาที่เราทุกข์ เราจึงรู้ว่าเราต้องค้นหาทางพ้นทุกข์ แปลว่าในความเป็นจริงของโลกใบนี้ ถ้ามีเรื่องหนึ่งเกิดขึ้น ก็ต้องมีเรื่องหนึ่งที่สามารถดับลงได้ เพราะโลกนี้เป็นสิ่งที่คู่กันอยู่ แล้วก็มีอะไรที่มาเเก้กัน ดั่งที่เมื่อมีไฟเกิดขึ้นเรารู้จักที่จะนำน้ำไปดับ เมื่อเราเกิดความทุกข์เราจะเอาอะไรดับทุกข์ มีอะไรที่มาทำให้ดับทุกข์ได้ เเก้ทุกข์ได้ หรือทำให้สิ้นทุกข์ได้ ถ้าสิ่งนี้คือความทุกข์ สิ่งนี้คือความสุข ก็เหมือนกับสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกัน ถ้าเราอยากอยู่บนโลกนี้เเล้วพ้นทุกข์เเละมีแต่สุขจะมีไหม (มี)  เมื่อมีทุกข์เราก็ต้องรู้วิธีเเก้คือการไปหาสุข เเต่ความสุขที่ไปเเก้นั้นก็ยังต้องเวียนกลับมาทุกข์ เเละในความทุกข์เราก็ต้องพยายามวิ่งไปหาสุข ซึ่งสุขนั้นก็ไม่เคยเเก้ทุกข์ได้จริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกับเเรงเหวี่ยงที่เหวี่ยงไปมา ถ้าในโลกนี้มีอะไรที่เเก้กันได้จริง ก็น่าจะมีอะไรที่สามารถดับทุกข์เเล้วไม่กลับมาเหวี่ยงเป็นทุกข์เเละสุขอีก แล้วสิ่งนั้นคืออะไร
(การปล่อยวาง)  ปล่อยวางจากทุกข์ จิตที่ไม่ฟุ้งซ่าน ดังนั้นมาช่วยกันคิด ในเมื่อในโลกนี้มีสิ่งที่เเก้กันได้เเละมีภาวะที่ตรงกันข้าม เเละมีสิ่งที่ทำให้เราพ้นทุกข์ได้ สิ่งนั้นคืออะไร เเละอยู่ที่ไหน เคยเเต่งประโยคหรือไม่ การแต่งประโยคจะต้องมีประธาน กริยา เเละกรรม เราเกิดมาเพื่อมีกรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  เเล้วเราจะพ้นกรรมได้ไหม ถ้าเราไม่มีประธาน เมื่อมีประโยคจึงมีกริยา และจึงมีกรรม ดังนั้นในเมื่อเราอยู่ในโลกเเล้วเราอยากพ้นทุกข์ พ้นกรรม พ้นทุกข์ และพ้นเวียนว่าย เราก็ต้องไม่เป็นประธานความอยากก็จะไม่เกิด แล้วกรรมก็จะไม่มี แล้วเราจะจัดการกับประธานตัวนี้อย่างไร เพราะเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวล เกิดจากประธานตัวเดียว ฉะนั้นถ้าเราหาทางกำจัดประธานตัวนี้ได้ ทุกข์ก็จะไม่มี ทุกข์เกิดที่นี่ เริ่มที่นี่ เราก็ต้องวางลง แล้วจบได้ที่นี่ แต่จะทำอย่างไรให้ ตัวนี้ ไม่เป็นประธาน แล้วก็ไม่เกิดกริยา ฉะนั้นเวลามีปัญหา เมื่อแก้ปัญหาไม่ได้ แล้วเราผูกคอตาย อย่างนี้จะพ้นกรรมไหม (ไม่พ้น)  แล้วจะต้องทำอย่างไร (ฆ่าประธาน)  ฆ่าอย่างไรที่ทำให้เราไม่มีกรรมอันจะส่งผลให้ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด ฆ่าอย่างไรที่ไม่ทำให้เราบาป และไม่มีเวรไม่มีกรรม ทำให้เราต้องตกอยู่ในอบายภูมิ ตกอยู่ในวัฏสงสารที่ไม่จบสิ้น ต้องมีวิธี แต่เราเคยคิดบ้างไหม ทำไมเรื่องคิดหาเงินหาทอง คิดเป็น แต่คิดให้ตัวเองพ้นทุกข์ คิดไม่เป็น น่าเสียดาย ปัญญาเรามีไหม (มี) สติเรามีไหม (มี) ความสามารถเรามีไหม (มี) แต่เราคิดไหม (ไม่คิด) ฉะนั้นอย่าเป็นคนที่ฉลาดแต่เรื่องข้างนอก แต่ลืมฉลาดในเรื่องตัวเอง อย่าเป็นคนที่รู้ข้างนอกรู้เรื่องคนอื่นชัดเจน แต่ไม่รู้จักตัวเองสักนิด แล้วต้องไปแบมือ ขอให้หมอดูช่วยดูหน่อย เวลาคนในบ้านพูดเราก็ด่าเขา แต่พอหมอดูพูดก็มักจะบอกว่าแม่นๆ จบอะไรมาก็ไม่รู้แต่เชื่อหมอหมดเลย แม่นจริงๆ ใช่ไหม (ใช่) 
ศิษย์เคยได้ยินไหม ทุกสิ่งที่ปรากฎล้วนเป็นภาพสะท้อนออกจากจิต ทุกคนเห็นคนดีคนสวยไม่เท่ากัน ทุกคนเห็นคนดีคนร้ายไม่เท่ากัน และทุกคนมีเหตุมีผลไม่เท่ากัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเกิดว่ามนุษย์เราสามารถรู้จักจิตตัวเอง เราก็จะสามารถควบคุมเรื่องราวในโลกนี้ได้ และถ้าเราสามารถเข้าใจจิตตัวเอง เราก็จะสามารถเข้าใจและจัดการเรื่องราวในโลกได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ตอนนี้เรารู้จักตัวเราแล้วหรือยัง เข้าใจตัวเราแล้วหรือยัง เข้าใจคนอื่นเยอะ แต่ไม่เคยเข้าใจตัวเองเลยใช่ไหม (ใช่)  แปลว่าทุกครั้งเราเอาแต่มองออกไม่เคยย้อนมองดูตัวเอง แล้วเราจะทำอย่างไรที่จะรู้จักตัวเอง
มนุษย์ชอบพูดอยู่คำหนึ่ง “รู้อะไรไม่สู้รู้งี้” รู้งี้ซื้อก็ดี รู้งี้ทำก็ดี ฉะนั้นมันไม่ดีสักทีก็เพราะไม่เคยรู้งี้แล้วทำได้ก่อนรู้งี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เกือบจะซื้อแล้วรู้งี้ซื้อก็ดี ยิ่งเป็นล็อตเตอรี่นี่รู้งี้บ่อยเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  
(พระอาจารย์เมตตาถามคำถามนักเรียน)
“อะไรในโลกที่ทำให้มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน” (ความรู้จักพอ)
สติปัญญาทุกคนเท่ากันไหม (ธรรมะในตัว)  ธรรมะในตัวเหมือนกันใช่ไหม (ความสามารถ)  ความสามารถอาจไม่เท่ากันนะ (มีจิตใจความเป็นมนุษย์เท่ากัน,ความเป็นคนเท่ากัน)  อาจารย์ว่าจริงๆ คนเหมือนกัน แต่จิตสำนึกในความเป็นคนไม่เท่ากัน มันอยู่ที่ว่าทุกวันศิษย์ใช้จิตสำนึกดีงาม หรือทุกวันศิษย์ใช้แต่กิเลสอารมณ์ ถ้าใช้กิเลสอารมณ์ จิตสำนึกดีงามจะค่อยๆ หดหาย แต่ถ้าทุกวันทำอะไรนึกถึงความถูกต้องดีงาม จิตสำนึกก็จะมีมากขึ้น
อะไรที่ทำให้ทุกชีวิตเท่าเทียมกัน (ศักดิ์ศรีความเป็นคน, ความตาย , มีสิทธิ์คิดเท่ากัน )  แปลว่ามนุษย์มีสิทธิ์ที่จะเลือกได้เท่ากัน ใช่หรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าเขาจะเลือกหรือไม่เลือก จะทำให้ความเป็นคนไม่เท่ากัน แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่ถูกต้องคือท่านนั้นตอบได้ถูกต้องแล้วนะ ถ้าอาจารย์ถามว่าถ้าตอบได้ถูกแล้ว ให้คนอื่นนั่งแล้วตัวเองยืน ยอมไหม (ยอม)  แล้วทุกคนจะกล้านั่งไหม (ไม่กล้า)  โลกนี้จะยุติธรรมได้ทันที จริงไหม จริงๆ ทุกอย่างยุติธรรมได้และเท่าเทียมได้ เเต่อยู่ที่เราจะวางชีวิตตนเองอย่างไร เขาอาจจะทำให้เรารู้สึกว่าเราถูกดูถูก ถูกเหยียดหยาม เเต่เราก็สามารถทำให้การที่ถูกดูถูกเหยียดหยามนั้นมั่นคงขึ้นมา เเข็งเเกร่งขึ้นมา มุ่งมั่นขึ้นมาก็เป็นได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเเม้จะร้ายขนาดไหน ถ้าเป็นคนฉลาด เป็นคนรู้จักใช้ปัญญาเขาจะคว้าทุกสิ่งทุกอย่างมาเป็นโอกาสในชีวิต มาเป็นกำไรในชีวิต มีเเต่คนที่ไม่สู้ชีวิตเท่านั้นที่จะเอาทุกอย่างมาทำร้ายตัวเอง ศิษย์ตอบได้ถูก ความเเก่ ความเจ็บ ความตาย ทำให้ชีวิตเเม้จะต่างกันขนาดไหนเเต่ก็ต้องกลับมาเดินสายเดียวกัน คือความเป็นจริงเเห่งธรรมะ ฉะนั้นเกิดเป็นคนจะพูดว่าไม่ต้องมีธรรมะ ไม่ต้องสนใจธรรมะไม่ได้ สักวันหนึ่งความเป็นจริงเเห่งธรรมะจะเคาะประตูบอกให้หันกลับมามอง หันกลับมาเข้าใจ เเล้วท่านจะพ้นทุกข์
อาจารย์ให้บทกลอนหนึ่ง รับรองทุกคนจะบอกว่าอาจารย์ให้ผิด “นาฬิกาทุกเรือนเดินสองรอบ” จริงไหม (จริง)  ใครคิดออกบ้าง (ในขณะที่เดินไปข้างหน้า เเต่เวลาก็ถอยหลังเหมือนกัน, เดินสองรอบหมายถึงกลางวันเเละกลางคืน)  ตอบได้ดี เเสดงว่านักเรียนในชั้นนี้ล้วนเป็นผู้มีปัญญา ฉะนั้นอย่าดูเบาปัญญาตัวเอง เพราะมีรอบเที่ยงวันเเละเที่ยงคืน ซึ่งชีวิตมีเเค่ปัจจุบันใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเรามีชีวิตอยู่เเล้วจะเลือกทำเเต่สิ่งที่ชอบไม่ได้ บางครั้งเราต้องยอมรับความเป็นจริง ซึ่งความเป็นจริงอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกใจเราก็เป็นได้  
ฉะนั้นเมื่อความเป็นจริงสอนชีวิต เราจึงต้องเอาความเป็นจริงนั้นมาพิจารณาจนเกิดแพข้ามฟากทำให้เราพ้นทุกข์ได้ เพราะชีวิตนี้หลายคนมักจะพูดว่าคนเราเกิดมาพร้อมกับกรรม และในกรรมนั้นก็ทำให้เราหนีไม่พ้นความทุกข์ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าเป็นกรรมแล้วทำให้เราทุกข์ อย่างนั้นความทุกข์นี้ เราจะพ้นทุกข์ได้ด้วยการสร้างกรรมใหม่ หรือว่าเราจะพ้นทุกข์ด้วยการสิ้นกรรม ทุกครั้งเวลาเราโดนใครว่า โดนใครทำร้าย เราสร้างกรรมใหม่หรือว่าเราสิ้นกรรม ถ้าทุกขณะเราทำอะไร เราพิจารณาด้วยปัญญา ทุกขณะเรามีชีวิตอยู่ เราไม่ล้อเล่นกับชีวิต เพราะชีวิตปัจจุบันนี้เป็นตัวกำหนดอนาคตในวันหน้า และเป็นตัวกำหนดภพภูมิที่เราจะต้องเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิหน้า ถูกหรือไม่ (ถูก) 
หากวันนี้เราเจอเรื่องอะไรมา แล้วทำให้เราทุกข์ เราควรจะดับทุกข์หรือเวียนว่ายในทุกข์ (ดับทุกข์)  ฉะนั้นเวลาเราดับทุกข์ เราแก้ทุกข์แก้กรรมอย่างไร ส่วนใหญ่ด่ามาก็ (ด่าไป)  ร้ายมาก็ (ร้ายไป)  อย่างนั้นจะสิ้นกรรมไหม (ไม่)  ฉะนั้นเรามีวิธีอะไรหนอที่จะอยู่ในโลกนี้แล้วกรรมไม่เกิดอีก แต่อยู่เพื่อใช้กรรมเก่า (ไม่สร้างกรรม)  แล้วทำอย่างไรที่จะไม่สร้างกรรมใหม่ เราก็ต้องมารู้จักตัวเองก่อน เพราะตัวเราเองเป็นเหตุให้เกิดกิเลส ตัวตนเกิดจากความนึกคิด ความรู้ ความเข้าใจ ฉะนั้น ถ้าเห็นอะไรแล้วคิด แล้วนึก แล้วสรุปว่าดีหรือไม่ดี อย่างนั้นแปลว่าเราเกิดตัวตน ถูกไหม (ถูก)
ตัวตนเกิดจากความรู้ ความนึกคิด ความเข้าใจ แล้วความรู้ ความนึกคิด ความเข้าใจนี้มันสามารถก่อเกิดเป็นกิเลส กิเลสเกิดจากความนึกคิดแห่งตัวตน ถ้าเห็นคนนี้แล้วเราเกิดความคิดว่าตัวก็ดำ หน้าก็นิ่ง ยิ้มก็ไม่ยิ้ม ตัวตนของเราก็จะเกิด กิเลสก็จะเกิด แล้วเราก็สรุปเป็นว่าแบบนี้เราชอบ แบบนี้เราไม่ชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อตัวตนเกิด กิเลสเกิด ความทุกข์ก็เกิด ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(พระอาจารย์เมตตาให้หยิบผลกีวี่บนโต๊ะพระ)
เรารู้จักไหม (รู้)  อร่อยก็ต้องหาเงินมาซื้อ แพงก็ซื้อ ใช่ไหม (ใช่) ไม่ยึดติดกับอะไรก็ไม่ต้องมีกรรมกับมันจริงไหม (จริง)  ถ้าเรารู้ว่ากินแล้วอร่อยแล้วเราจะติด ถ้าไม่อร่อยเราก็ไม่เอา เรารู้จนเห็นชัดเราก็จะไม่เกิดความหวั่นไหวในตัวตน ใช่หรือไม่ ฉะนั้นพอเจอกีวี่อีกครั้ง เราก็จะเฉยๆ ถูกไหม (ถูก)  
(พระอาจารย์เมตตาเรียกนักเรียนฝ่ายหญิงคนหนึ่งออกมาหน้าชั้น)
สมมติว่าอาจารย์เห็นศิษย์ท่านนี้ เกิดความคิดว่า สวยเหมือนกันเนอะ เห็นไหมว่า แค่คิดปุ๊บตัวตนเกิดทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าเกิดว่าเขาอ้าปากพูดอะไร เราคิดต่อว่าหน้าก็สวยแต่วาจาไม่ไหวเลย กลายเป็นอย่างไร เกิดเรื่องดี เรื่องร้ายทันที แล้วก่อเกิดเป็นกรรมทันที แต่ถ้าเกิดว่าเราเห็นเขาจนชัด สวยก็เท่านั้น ไม่สวยก็เท่านั้น เกี่ยวอะไรกับเรา แล้วเราจะเกี่ยวกรรมไหม (ไม่เกี่ยว)  มันจบตั้งแต่ยังไม่เกิด ศิษย์ได้สุขมาแค่ไหนก็ทุกข์แค่นั้น ในโลกมีอะไรที่สุขแล้วไม่ทุกข์ โชคดีจังเลยที่เจอเธอ แต่ตอนท้ายไม่รู้ว่ากรรมหรือโชคดี ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อเราเห็นอะไรก็ตาม มองเห็นจนมันชัด จนทะลุทะลวง จนถึงที่สุด มันจะอยากไหม จะเอาไหม จะเกิดกิเลสไหม (ไม่เกิด) 
ชีวิตนี้อยากมาตั้งเท่าไร ทุกข์มาตั้งเท่าไร ไม่เคยเบื่อบ้างหรือ แล้วยังอยากอีกหรือ ถ้าศิษย์อยากทำให้ตัวตนมันไม่เกิด ก็แค่เห็นจนเข้าใจ และไม่อยากเอาอะไรอีกเลย เมื่อนั้นกิเลสก็ไม่มี กรรมก็ไม่มา ที่เหลือก็ทนอยู่กับกรรมเก่า แต่เราเพิ่มกรรมทุกวัน เดี๋ยวอยากได้อันนั้น อยากได้อันนี้ เพิ่มตรงนั้นอีกนิด เพิ่มตรงนี้อีกหน่อย แล้วมันหมดไหม ฉะนั้นจึงมีต่อไปว่า เมื่อไรที่ความคิดเกิดก็เลยหนีไม่พ้นกิเลส แล้วตามมาด้วยบาปกรรมและการเวียนว่าย ความคิดจึงทำให้เราไม่สามารถมองเห็นความจริงแห่งธรรม ถ้าจะใช้ธรรม ถ้าจะมีธรรม จงอย่าเอาแต่คิด เพราะคิดแล้วมันจะไม่เห็นธรรม ยากไหม ดับตัวตนยากไหม เหมือนเราเห็นแล้วเราไม่คิดต่อ เหมือนเขาด่าเรา แล้วเราไม่คิดต่อ จบไหม เพราะธรรมคือคำว่า จบ สงบ เย็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทางโลกคือไม่จบ ไม่สงบ ไม่เย็น ฉะนั้นถ้าเห็นทุกอย่างแล้วมันจบอยู่แค่นั้น ประธานก็ไม่มี กิริยาก็ไม่มี กรรมก็ไม่มี เหมือนตอนนี้เราเห็นว่าชีวิตเราเกิดมาแล้ว อยากมาแล้ว เห็นแล้วเราไม่คิดต่อ เหมือนเราเห็นกระเป๋าสวย อยากได้ไหม (อยาก)  อยากได้กระเป๋า เสื้อ รองเท้า มโนภาพคิดว่าตัวเองได้สวมกระเป๋า ได้สวมรองเท้า แล้วจะหล่อ จะเท่ห์ขนาดไหน เริ่มปรุงแต่ง เริ่มคิดไปเรื่อยใช่ไหม (ใช่)  ทุกครั้งที่เกิด นั่นคือ เมื่อไรที่เกิดตัวตน ศิษย์ก็หนีไม่พ้น กิเลส เวรกรรม บาปและทุกข์ เกิดกี่ครั้งก็ทุกข์ทุกครั้ง ถ้าเราหยุดเกิดได้ ทุกข์ก็จะเบาบางลงได้
ศิษย์เคยมีสติ รู้เห็นความอยากของตัวเองที่อยู่ในใจบ้างไหม (เคย)  เวลามีความโกรธเกิดขึ้นมา แล้วมองเห็นทันที  บอกกับตัวเองว่าฉันไม่โกรธ ฉันไม่อยาก กิเลสมีอยู่หนึ่งอย่างที่อาจารย์ชอบพูดอยู่บ่อยๆ คือ กิเลสก็มีความขี้อาย ถ้ากิเลสมาแล้ว ศิษย์ไม่สนใจ ศิษย์ไม่ให้ค่า กิเลสก็จะบอกว่าไปก็ได้ จริงไหม (จริง)  แต่ถ้ากิเลสมาแล้วศิษย์ให้ค่า ซื้อสักหน่อย ไม่เป็นไร วันนี้อยาก แล้วพรุ่งนี้ค่อยหยุดอยาก วันนี้ไปเบียดเบียนก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยหยุดเบียดเบียน แล้วอย่างนี้เราจะหยุดได้ไหม ใจที่มีความอยากไม่เคยถมเต็มใช่ไหม (ใช่)  แล้วกระแสของกิเลสนั้นก็ให้ผลคือความทุกข์ บาป และกรรมทั้งมวล ศิษย์ถามอาจารย์ว่า ศิษย์จะอยู่ในโลกอย่างไรที่ทำให้เราไม่มีกรรม ก็ให้อยู่อย่างคนไม่มีอยาก แล้วกรรมจะน้อย แล้วทำอย่างไรให้ความอยากเราน้อยลง ก็อยู่อย่างคนที่ใช้ศีลมาค้ำความอยาก อย่าบอกว่าเราทำดีเพื่อจะได้ไปสวรรค์  ไม่ใช่เราทำดีเพื่อไม่ต้องทำชั่ว ข้อสำคัญของการทำดี ทำเพื่ออะไร ทำดีเพื่อให้จิตไม่ไหลลงไปสู่ที่ต่ำ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเวลาที่เราทำอะไรก็ตาม ไม่ว่ามีกิเลส หรือมีอะไร ขอให้เรามีสติ รู้ตัว เพราะทุกขณะเรามีสติรู้ตัว สติจะเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา และนำพาให้มนุษย์พ้นกรรมพ้นทุกข์ และไปถึงยอดแห่งบุญทั้งปวง ฉะนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้มีสติรู้ตัว
ในโลกมีของที่คู่กันเเละเเก้กัน ถ้าเราทำดีมีความสุขเเล้วติดในความดี ความสุขนั้นก็ทำให้เราไปสวรรค์ เเต่ถ้าทำชั่วเเล้วเราละชั่วไม่ได้ ละบาปไม่ได้ ความชั่วนั้นก็จะติดตัวทำให้เรามีทุกข์เเละตกนรก เเต่หนทางเเห่งความเป็นจริงของมนุษย์ยังมีอีกทางซึ่งเรียกว่าทางสายกลาง เรียกว่าธรรมะ ถ้าธรรมะคือตรงกลาง ธรรมะก็คือหนทางที่จะทำให้เราพ้นสุขพ้นทุกข์
ความคิดเเห่งตัวตนสร้างกิเลสเเละสร้างอารมณ์ความรู้สึก เมื่อเรามีตัวตนเเละมีกิเลส เราจึงมักจะเเบ่งอารมณ์เป็นสองความรู้สึก รู้สึกดีเรียกว่าสุข รู้สึกไม่ดีเรียกว่าทุกข์ ในสุขเเละทุกข์ไม่มีความรู้สึกนั้นเรียกว่า (กลาง)  การเข้าถึงธรรมจึงไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าเกิดอะไรขึ้นเเล้วไม่สุขไม่ทุกข์ พบธรรมก็ไร้ตัวตน
ถ้าทุกขณะศิษย์ไม่ตัดสินว่าดีหรือไม่ดี ว่าสุขหรือทุกข์ นั่นก็คือธรรม จริงๆ สิ่งที่เรียกว่าทุกข์ ทุกข์จริงไหม (ไม่จริง)  สิ่งที่เรียกว่าสุข สุขจริงไหม (ไม่จริง)  มีแฟนสุขไหม (สุข) มีเงินสุขไหม(สุข) มีตำแหน่งหน้าที่สุขไหม (สุข)  มีคนให้เกียรติเคารพนับถือสุขไหม (สุข)  แต่สุขนั้นเคยพลิกไปเป็นทุกข์ไหม (เคย)  แล้วทุกข์นั้นเคยทำให้เราสุขไหม (เคย)  จริงๆ แล้วทั้งทุกข์ทั้งสุขนั้นคือตัวเดียวกัน คือความเป็นกลางอันเป็นธรรม แต่ความเป็นตัวตนทำให้เราแบ่งแยกและไม่พบธรรมอันเป็นกลาง เพราะเราเห็นอะไรเราชอบตัดสิน ชอบยึดติด ชอบแบ่งแยก ทั้งที่จริงๆ แล้วที่ว่าร้ายก็ไม่ร้าย ที่ว่าดีก็ไม่น่าดีเท่าไร จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นการเข้าถึงธรรมยากไหม (ไม่ยาก)  แล้วทำได้ไหม (ได้)  แต่อยู่ที่ว่าเคยทำบ้างไหม ถ้าคำว่าธรรมคือความเป็นกลาง ทุกครั้งที่ศิษย์เห็นอะไรแล้วไม่ปักใจรัก ไม่ปักใจเกลียด นั่นคือเรากำลังเป็นกลางและเป็นธรรม เมื่อเป็นธรรมกิเลสเกิดไหม (ไม่เกิด)  กรรมและวิบากกรรมมีไหม (ไม่มี)  ต้องใช้ขันติไหม (ไม่ต้อง)  ขอแค่รู้ใจตัวเองและรักษาความเป็นกลาง 
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมชายคนหนึ่งออกมายืนคู่กับพระอาจารย์)
เห็นอะไร (สูง, เตี้ย)  ถ้ายังคิดอย่างนั้นยังเป็นตัวตนอยู่ จริงไหม (จริง)  อย่าให้รูปลักษณ์มาลวงหลอกความจริงแท้ อย่าให้ความคิดมาบดบังปัญญาอันแท้จริง หากเรามองแล้วเห็นคนนี้สูงกว่าอาจารย์ ต้องมองให้สุด อย่ามองแค่นี้ อย่ามองแล้วยึดติด เพราะชีวิตยังไหลเลื่อนไปได้เรื่อยๆ จริงไหม (จริง) 
ผู้ที่เข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต จะไม่จมปลักอยู่กับเรื่องใดๆ เพราะชีวิตเมื่อไหลเลื่อนแล้วมันก็เปลี่ยนแปลงไป ถูกหรือไม่ มีแต่คนโง่ที่จมปลัก เพราะมันจบไปแล้ว แต่เรามักลากเอาความทุกข์ของเรามาแล้วขังตัวเองอยู่ในทุกข์ ไม่มองความจริง ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกสิ่งล้วนเป็นกลาง มองบนมีคนสูงกว่า แต่ถ้ามองล่างก็มีคนเตี้ยกว่าเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์จะบอกวิธีที่ทำให้เราพ้นทุกข์ พ้นกรรม พ้นเวียนว่ายคือ ตื่นรู้ในความเป็นจริงจนสิ้นตัวตนแห่งการยึดถือ ถ้าศิษย์ทำได้แบบนั้น ศิษย์จะไม่ทุกข์และไม่เกิดอะไรอีกเลย จริงไหม (จริง) 
นิพพาน แปลว่าสงบเย็น อย่าคิดว่าชีวิตมีแค่ 2 ทาง คือสุขและทุกข์ แต่ยังมีทางสายกลาง ซึ่งอยู่ระหว่างสุขกับทุกข์ ด้วยความรู้อย่างเข้าใจ ตื่นรู้อย่างแจ่มแจ้งจนมองไม่เห็นตัวตน ซึ่งเราสามารถค้นพบได้ในสัจธรรม เมื่อไรค้นพบสัจธรรมเมื่อนั้นก็จะค้นพบความจริง และสัจธรรมนั้นก็คือจิตญาณเดิมแท้ของตัวเรา จิตไม่ใช่ดวงญาณกลมๆ ถ้าคิดมีตัวตนเมื่อไรมันก็จะมีที่ให้ทุกข์ แต่จิตคือความเป็นจริงที่ไม่เที่ยงและถึงที่สุดแล้วก็ว่างเปล่าจากตัวตน เหมือนร่างกายเราว่างเปล่าจากตัวตนไหม (ไม่ว่าง) 
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้นักเรียนที่ตอบคำถาม)
ชอบชื่อผลไม้ความหมายดีหรือความหมายไม่ดี ถ้าชอบความหมายดีอาจารย์แจกแอปเปิล ถ้าชอบความหมายไม่ดีอาจารย์แจกมังคุด ดีไหม (ดี) เอามังคุดดีไหม เอามังคุดหรือแอปเปิล น่าเสียดายรู้ว่าสิ่งใดดีไม่คว้า รู้ว่าสิ่งใดไม่ดีก็ไม่แก้ไข ทำให้มนุษย์หนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด เอามังคุดไปเถอะเผื่อกิเลสมันจะได้คุดลงบ้าง เอามังคุดไปเถอะเผื่อความเป็นตัวตนมันจะได้คุดลงไปบ้าง แต่ยิ่งมีมันก็ยิ่งทุกข์ จริงไหม (จริง) 
ชีวิตขึ้นอยู่ที่ตัวศิษย์เองว่าเลือกกระทำเช่นไร อาจารย์บอกแล้วว่าทุกสิ่งเป็นภาพสะท้อนในจิตใจของเรา อย่าไปยึดติดดีร้าย เพราะถึงที่สุดแล้ว ดีหรือร้ายเราก็สามารถควบคุมเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริง ฉะนั้นอย่าดูถูกดูเบาคุณค่าของตัวเอง ถ้าเข้าใจธรรมะเราก็สามารถนำพาชีวิตให้พ้นทุกข์ถึงขนาดสิ้นกรรมได้
มนุษย์ทุกคนมีทุกข์ เเละมนุษย์ทุกคนก็มีกรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำอย่างไรให้เราไม่มีกรรม ที่ทำได้ง่ายก็คืออย่าพยายามผิดศีลเเละเอาอารมณ์เป็นใหญ่ เพราะเมื่อไรที่เราผิดศีล เมื่อนั้นเราก็สร้างเวรกรรมได้ การที่เรารักษาศีลได้ครบจะทำให้เรายากที่จะสร้างเวรกรรมได้ง่าย นักเรียนในชั้นนี้รวมทั้งผู้ปฏิบัติงานธรรม มีศีลห้าครบไหม (ไม่ครบ)  อย่างนั้นก็หนีไม่พ้นเวรกรรมที่ตนเองก่อ อยากเป็นคนมีบุญบารมีไหม (อยาก)  อย่างนั้นเวลาทำอะไรก็อย่าเอาเเต่ใจและให้รู้จักมีคุณธรรม ธรรมระดับศีลช่วยระงับยับยั้งไม่ให้ประพฤติชั่ว ธรรมระดับคุณธรรมช่วยเสริมสร้างบารมีทำให้เราอยู่กับผู้อื่นด้วยบารมีเเละนำพามาซึ่งความสันติสุข  ฉะนั้นเกิดเป็นคนถ้าศีลไม่มี ธรรมก็ไม่มี ชีวิตก็จะหาความสุขสงบเเละความสบายใจไม่ได้เลย
ธรรมะมีศีลธรรม มีสัจธรรม มีคุณธรรม ระดับศีลคือป้องกันการประพฤติผิดประพฤติชั่ว ระดับคุณธรรมคือความเมตตา ความกตัญญู ความซื่อสัตย์ ความอ่อนน้อมถ่อมตน การเคารพให้เกียรติ ล้วนเป็นระดับคุณธรรมที่ประพฤติไว้เพื่อสร้างบารมีเเละนำพามาซึ่งความสันติสุข ฉะนั้นถ้าอยู่กับใครเเล้วไม่เกิดความสันติสุขนั่นเเปลว่าเรากำลังขาดธรรม ถ้าอยู่กับใครเเล้วเจอทุกข์เจอชะตากรรมไม่ดีเเปลว่าเราขาดศีล เเต่ถ้าเกิดก็ครบ ธรรมก็ครบ แบบนี้ก็ไม่ยาก แบบที่ยากคือ ทำอย่างไรให้พ้นทุกข์ เป็นระดับของสัจธรรมเข้าใจนะ แล้วถ้าเข้าใจระดับสัจธรรม แม้จะนั่งสมาธิจนเข้าถึงฌาณสมาบัติ ก็ยังไม่ประเสริฐเท่ากับมีปัญญาตื่นรู้ในความจริงแห่งสัจธรรม ในการเกิดแก่เจ็บตาย หรือเรียกว่า “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” แม้เพียงชั่วหนึ่งขณะ เคยได้ยินไหม (เคย)  แล้วเคยเข้าถึงสักหนึ่งนาทีไหม (เคยแวบเดียว)  พอถึงเวลาอารมณ์ก็ไปต่อแล้วใช่ไหม (ใช่)  โดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกข์เพราะอะไร (ทุกข์เกิดจากความคิด)  คิดในแบบที่ไม่ควรจะคิด และคิดแบบที่ไม่ยอมรับความจริง (ยึดติด) ถ้าอาจารย์บอกว่าแอปเปิลนี้เป็นของศิษย์ แต่บังเอิญหล่น เอาไหม (ทุกข์จากการกระทำ)  การกระทำของใครหรือ (ของตัวเรา)  ถึงเวลาเราโทษตัวเองไหม (ทุกข์เกิดจากการเกิด)  เกิดกี่ครั้งก็ทุกข์ทุกครั้ง ยิ่งถ้าเกิดเป็นอัตตาตัวตน ก็ยิ่งทุกข์
(ทุกข์เพราะความอยาก , ทุกข์เพราะมีตัวตน , ทุกข์เกิดจากใจเรา )
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาททำนอง : สาวอีสานรอรัก ชื่อเพลง : ใช้ชีวิตให้เป็น)
มนุษย์ทุกคนมีความทุกข์แตกต่างกันไป แม้แต่ตอนนี้พอนั่งแล้วไม่ได้ยืนก็เริ่มเป็นทุกข์แล้วใช่ไหม แล้วเราสามารถทำให้ตัวเองพ้นทุกข์ได้ไหม (ได้) ได้นั่งก็ดีนักหนาแล้ว ดูข้างๆ เขายืนจนขาแข็งแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนยืนขาแข็งก็คิดซะว่าดีแล้วฉันได้เสียสละเพื่อคนอื่นบ้าง ใช่ไหม (ใช่)
ถ้าแอปเปิลนี้ไม่มีของใครจะตกจะเปื้อนเราก็ไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้าแอปเปิลเป็นของศิษย์เมื่อไหร่ตกก็ไม่ได้เปื้อนก็ไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเราทุกข์เพราะ (ยึดติด)  ถ้าเปื้อนขี้เอาไหม (เอา)  อาจารย์ถามจริงๆ แอปเปิลกว่าจะออกมาเป็นลูก มันไม่ได้รดด้วยขี้ปุ๋ยขี้วัวขี้ควายหรือ  แล้วจะบอกว่ามันไม่เปื้อนขี้จริงไหม (ไม่จริง)  แล้วเอาไหม (เอา)  เห็นไหมถ้าคิดให้ดีมันก็ไม่ทุกข์ แต่ถ้ายึดในสิ่งที่ตัวเองคิดแล้วมันต้องเป็นแบบนี้ ทุกข์ไหม
ศิษย์เคยคิดไหมอยากให้แอปเปิ้ลมันเป็นส้ม (ไม่เคย)  หวังให้คนหนึ่งต้องเป็นอีกคนหนึ่ง หวังให้อีกคนหนึ่งต้องดีแบบอีกคนหนึ่ง หวังให้ชีวิตไม่อยากเป็นแอปเปิลจงเป็นส้ม แล้วเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราเป็นไหม (เป็น)  เราทุกข์เพราะไม่เคยยอมรับแอปเปิลเป็นแอปเปิล ไม่เคยยอมรับส้มเป็นส้ม แต่หวังอยากให้แอปเปิลเป็นส้ม แล้วทุกข์ไหม (ทุกข์) แล้วรู้ไหม แก้ไหม (แก้)  ถ้าแอปเปิลมันเปื้อนขี้ ใครอยากจะเอา ถ้าแอปเปิลมันตก ใครอยากจะเอา แต่อาจารย์ถามหน่อยนะวันนี้ศิษย์ได้แอปเปิลไม่เคยเปื้อนขี้ ไม่เคยตก แต่พออยู่ไปอยู่มา มันตกไหม มันเปื้อนขี้ไหม เราหาคนที่ดีที่สุด เหมาะสมกับเราที่สุด งดงามกับเราที่สุด แต่ถึงที่สุดแล้วเขางดงามไหม เขาดีไหม แล้วเอาไหม แล้วเราจะทำอย่างไรเมื่อยึดมั่นแล้ว ครอบครองแล้วจะไม่ทุกข์ อย่างนั้นศิษย์ก็จงจำไว้นะ มีเท่าไรก็เหมือนไม่มี ครอบครองเท่าไรก็เหมือนว่างเปล่า อาจารย์ถามหน่อย เธอเป็นคู่ฉัน ไปไหนไปด้วยกัน ทำอะไรด้วยกัน ได้ไหม ฉันตายต้องตายด้วยกันได้ไหม ฉันทุกข์เธอสุขได้ไหม 
สิ่งที่เราต้องยอมรับอย่างหนึ่งก็คือ เรามีอะไรก็ตาม ถึงมีอย่างไรก็ครอบครองไม่ได้ ถึงมีอย่างไรก็เป็นดั่งใจไม่ได้ ถึงมีแค่ไหนถึงที่สุดก็เหมือนไม่มี ถ้าไม่อยากทุกข์ จำคาถาเด็ดของอาจารย์ไว้ มีก็เหมือนไม่มี ได้ก็เหมือนไม่ได้ รู้ก็เหมือนไม่รู้ ศิษย์อยู่กับเขามาตลอดชีวิต รู้จักเขาดีไหม (รู้)  แต่ถึงที่สุดก็เหมือนไม่รู้อะไร เพราะโลกแห่งความเป็นจริงนั้นพลิกเปลี่ยนแปรผัน ถ้าเมื่อไรมนุษย์เข้าใจสัจธรรมที่เรียกว่า ไม่เที่ยง ไม่ควรยึด เพราะถึงที่สุดก็ว่างเปล่า ควรที่จะเอาสัจธรรมมาใช้ในชีวิต ควรเอาสัจธรรมมาพิจารณาจนนำพาให้เราพ้นทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  ครองอะไรได้ มีอะไรเป็นของเรา ทะเบียนก็แค่ชื่อ แต่ถึงเวลาใจเขาไม่อยู่กับเรา เงินอยู่ในกระเป๋าแต่ถึงเวลาผ่านมากี่เจ้าของ อะไรเป็นของเราแท้จริง แม้กระทั่งสังขาร ทำอย่างไรเมื่อตัวเจ็บแล้วใจจะไม่เจ็บ เมื่อตัวแก่แล้วใจจะไม่แก่ เมื่อตัวตายแล้วใจจะตายก่อน แล้วไม่ตายอีกเลย จริงไหม (จริง)  ทำอย่างไร พุทธองค์สอนหลักสัจธรรมที่นำพาให้พ้นทุกข์ พ้นการเกิดและสิ้นการตาย ไม่มีใครไปถึงตรงนั้นเลย ทุกคนแค่อยากทำดีและไปขึ้นสวรรค์ แต่ตรงนี้ มีใครใส่ใจและเอาไปพิจารณาจนบังเกิดความรู้แจ้งเข้าถึงธรรม สนใจไหม (สนใจ)  
เจ็บป่วยหาหมอก็หาย เจ็บเเต่กายอย่าให้เจ็บที่ใจ ฉะนั้นเป็นความเจ็บกับเเค่รู้ความเจ็บอะไรหนักกว่ากัน (เป็นความเจ็บ)  เป็นทุกข์กับรู้ทุกข์อะไรเบากว่ากัน (รู้ทุกข์)  ไม่ว่าความเจ็บอะไรที่เกิดขึ้นกับสังขาร อย่าให้ลงที่ใจ ให้ใจมีหน้าที่เเค่รู้ เเล้วเราจะเจ็บเเค่ที่กายไม่เจ็บลงที่ใจ เเต่ทุกครั้งที่กายเจ็บ ใจเราก็เจ็บ ก็เลยทรมานทั้งกายเเละใจ ฉะนั้นใจจึงมีหน้าที่เเค่รู้ เมื่อไรที่เราเจออะไรเเล้วเเค่รู้ก็จะว่างจากตัวตน เเต่ถ้าเมื่อไรกายเจ็บใจก็เจ็บ นั่นเเปลว่าเรากำลังทำใจให้มีตัวตนเเละมีที่ให้ทุกข์นั่นเอง ฉะนั้นความรู้จึงเป็นสิ่งที่ทำให้เราเกิดสติ เกิดสมาธิ เกิดปัญญาเห็นเเจ้ง เเต่มนุษย์มักจะไม่ค่อยยอมอยู่ในความรู้ ไม่หยุดที่เเค่รู้ ถ้าทำได้ชีวิตศิษย์จะไม่กลัวการตายเเละการเจ็บ เพราะเจ็บเป็นเรื่องของสังขาร กรรมก็เป็นของสังขาร เเต่ไม่เคยเป็นของใจเดิมเเท้ จิตคือสัจธรรมเเละความไม่เที่ยง จิตคือความทุกข์เเละความว่างเปล่าจากตัวตน เเต่มนุษย์ไม่เคยเอาจิตเป็นสัจธรรม มนุษย์มักเอาจิตไปยึดว่าฉันคิดแบบนั้นคิดแบบนี้ ก็เลยหนีไม่พ้นกิเลส กรรมเเละการเวียนว่าย
ยกตัวอย่างง่ายๆ ศิษย์เคยโดนตีไหม (เคย)  เจ็บไหม (เจ็บ)  เเต่ถ้าเราลากความเจ็บว่าใจเราเจ็บ ถ้าเราเจ็บก็เเสดงว่าเรามีตัวตนให้ยึดถือ เเต่ถ้าเเค่รู้ว่ากายเจ็บเราจะเจ็บเเค่ที่กาย เเละจะไม่ลากลงมาที่ใจ เหมือนกับที่เวลามีคนมาด่าเรา เราก็รู้ว่าเขาด่า ไม่ใช่รู้สึกว่าตัวเองโดนเขาด่า ความรู้สึกต่างกันไหม (ต่าง)  เขากำลังด่า เเต่เรากลับคิดว่าเราถูกเขาด่า เรากำลังหาประธานเพื่อไปรับกิริยาเเล้วไปรับกรรม ถ้าเราโดนเขาโกงเราทุกข์ไหม (ทุกข์)  ไม่ต้องไปคิด เขาโกงไม่เกี่ยวกับเรา ชีวิตนี้เรามาตัวเปล่าใช่ไหม (ใช่)   มีเงินทอง มีตำเเหน่งหน้าที่ ล้วนเเต่มาทีหลัง เเละถึงที่สุดเราก็ต้องไม่มี ความไม่มีคือสิ่งเดิมเเท้ ความมีมาทีหลังใช่ไหม (ใช่)  เราไม่ได้อะไรเเละไม่เสียอะไร ฉะนั้นเราโดนเขาโกงไหม (ไม่)  
กลับมายืนที่เดิม ไม่ตายก็หาใหม่ได้ จริงไหม (จริง) จะไปด่าเขา จะไปแค้นเขาทำไม ศิษย์มีเมตตาให้เขายืมเอง ใช่ไหม แต่ถ้ายืมแล้วเขาไม่คืนต้องฝึกทำใจไว้ว่าให้ยืมแบบชนิดที่ว่าไม่คืนก็ไม่เป็นไร อย่าให้จนหมดตัว ไม่อย่างนั้นมันก็ทุกข์ ถูกไหม (ถูก) 
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ร่วมฟัง)
การศึกษาบำเพ็ญธรรมสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เอาธรรมมาพิจารณาจนตื่นรู้ในความจริงและนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเวลาศิษย์แก่ ศิษย์เจ็บ ศิษย์ตาย เราหนีพ้นไหม (ไม่พ้น)  ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์เอ๋ย ทุกครั้งที่เจ็บ ทุกครั้งที่ต้องแก่ ให้มองว่าเราแก่แค่สังขาร เราเจ็บแค่สังขาร ตัวเราไม่มี ตัวเราไม่เอาอะไร ขอไปอย่างคนว่างๆ ไม่ยึดติด ดีขนาดไหนก็ไม่ยึด ชั่วขนาดไหนฉันก็ไม่ทำ ทำจิตให้ว่างๆ แล้วไปอย่างคนที่เบาแล้ว สบายแล้ว ได้ไหม
แต่สิ่งสำคัญศิษย์ต้องรักษาความดีงามในใจให้ได้ก่อน ถ้ายังเป็นคนดีไม่ได้ ก็ยังพ้นทุกข์ไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ความดีทำได้ถึงที่สุดหรือยัง (ยัง)  มีเมตตาคุณธรรมถึงที่สุดหรือยัง ศิษย์เอย ถ้าคนอื่นเขาใจดำแต่เราจะใจดีให้ถึงที่สุด คนอื่นเขาจะใจร้ายด่าเรายังไงแต่เราจะใจดีให้ถึงที่สุด ถ้าถึงที่สุดแล้ว เวลาศิษย์เจ็บป่วย ศิษย์จะปลงได้ ไม่เอาอะไรแล้ว ศิษย์อยากไปแบบโล่งๆ เบาๆ จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าศิษย์ยังไม่ดีที่สุด อย่าเพิ่งตายแล้วมาหาอาจารย์ เพราะอาจารย์ไม่อยากช่วยแก้ปัญหา  ฉะนั้นตราบที่ยังมีลมหายใจ ทำตัวเองให้ดีที่สุด มีเมตตาให้ถึงที่สุด ซื่อตรงให้ถึงที่สุด เสียสละให้มากที่สุด ลดความเป็นอัตตาตัวตนให้น้อยที่สุด แล้วเข้าถึงความเป็นจริงแห่งธรรมคือความว่างเปล่าได้ไหม เพราะถึงที่สุดแล้วไม่มีใครเอาอะไรไปได้ ฉะนั้นฝึกฝนบำเพ็ญ อย่าลงแรงแค่การกระทำภายนอก แต่ลืมลงแรงที่จิตใจ อย่าแก้อะไรได้แต่แก้ใจตัวเองไม่ได้ อย่างนี้ไม่มีประโยชน์ อารมณ์ควบคุมได้หรือยัง ใจเย็นมากหรือยัง ถึงเวลาให้หรือรับมากกว่ากัน 
ศิษย์เอยหนทางแห่งการบำเพ็ญรักษาศีลให้ถูกต้อง ประพฤติปฏิบัติอย่างผู้มีคุณธรรม ให้มากกว่ารับ เชื่ออาจารย์เถอะ ถึงเวลาก็แค่พอกินพอใช้ ถ้ายังสละให้ไม่ได้ ก็บำเพ็ญได้ยาก จริงหรือเปล่า (จริง)  ตั้งใจบำเพ็ญ มีสติรู้ตัวกับทุกขณะที่เกิดขึ้นในชีวิต ไม่ว่าเกิดอะไร ถามใจตัวเอง ศีลธรรมมีหรือยัง คุณธรรมถึงพร้อมหรือยัง ถ้าศีลธรรมถึงพร้อม คุณธรรมถึงพร้อม อะไรจะเกิดก็ไม่หวาดหวั่น เจ็บก็ได้ ตายก็ได้ แต่เจ็บแค่กาย ตายแค่กาย แต่จิตว่างเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทำให้ได้นะ เป็นศิษย์ที่ทำให้อาจารย์ภูมิใจ เป็นศิษย์ที่ทำให้อาจารย์มั่นใจว่าศิษย์จะเดินไปจนถึงที่สุดนะ อย่าเอาแต่ดื้อดึง อย่าเอาแต่ใจ อย่าขี้น้อยใจ เลิกตัดพ้อต่อว่า ทำให้ได้นะ เพราะถึงที่สุดแล้ว เราก็เอาอะไรไปไม่ได้ พึ่งตัวเองดีกว่า
ดูแลตัวเองให้ดี ถ้าศิษย์มั่นใจในชีวิตตัวเอง ไม่ต้องกลัวว่าใครจะอยู่หรือใครจะไป ถ้าศิษย์คิดว่าตัวเองทำได้ศิษย์สู้ไหว ไม่ต้องกลัวหรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะในเมื่อเราสู้ไหวเราทำได้ จริงไหม (จริง)  เอาแต่พึ่งพาคนอื่นนั้นทำให้เราไม่รอดนะ เป็นผู้บำเพ็ญต้องรู้จักดูแลตัวเอง พึ่งพาตัวเอง นำพาตัวเองให้ถูกทาง เราบำเพ็ญเพื่อละความยึดมั่นถือมั่น เพื่อละความหลง ไม่ใช่ละแล้วยึดติดในตัวตน อย่างนี้ก็ผิดทาง เราบำเพ็ญเพื่อสละไม่ยึด ตั้งใจแล้วบำเพ็ญให้ถึงที่สุด ไปให้สุดลมหายใจที่เราทำได้ เมื่อจะเดินก็เดินให้ดีที่สุด เมื่อจะไปก็ไปให้ถึงด้วยหัวใจที่ถูกต้องดีงาม 
อาจารย์เมตตาศิษย์อยู่แล้ว แต่ศิษย์ต้องเข้มแข็ง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ต้องกล้าที่จะรู้ กล้าที่จะรับ เพราะว่าความจริงเท่านั้นเป็นธรรมที่ทำให้เราปลดปลง ปล่อยวางได้ เรามาจากความไม่มี ความมีหรือความไม่มี ก็ไม่เคยเที่ยง ใช่ไหม (ใช่)
สุขภาพไม่ดี เข้มแข็งนะ เอาเวลาที่มีอยู่ทำให้เต็มที่ สังขารมันไม่เที่ยง ยิ่งยึดก็ยิ่งทุกข์ ใช้ชีวิตมากกว่า เวลาเท่ากัน แต่บางคนทำได้เต็มที่ ทำได้มาก นั่นหมายความว่า ใช้ชีวิตมากกว่า ใช้ชีวิตดีกว่า ใช้ชีวิตเยอะกว่า ใช้ชีวิตเป็นกว่า อาจารย์อยากจะให้ศิษย์รู้ว่า ใช้ชีวิตให้เป็นดีกว่า เวลาเจอปัญหาใช้ความคิดอย่างเดียวไม่พอที่จะทำให้พ้นปัญหาได้ เพราะปัญหาที่แท้จริงมักจะเกิดจากจิตของเรา เห็นว่าเป็นปัญหาก็จะเป็นปัญหา แต่ถ้าเห็นไม่เป็นปัญหาก็จะพ้นปัญหาได้ จริงไหม (จริง)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เกิดมาเพื่ออะไร”)
เคยถามตัวเองบ้างไหม ว่าเกิดมาเพื่ออะไร ธรรมะหรือความเป็นจริงล้วนบอกไว้แล้วว่า “เราเกิดมาเพื่อดับ” ไม่ใช่เกิดมาเพื่อทุกข์ แล้วเวียนทุกข์ แล้วก็ไม่จบในทุกข์ แล้วเราเกิดมาเพื่อดับอะไร ดับความเป็นตัวตนที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ทั้งมวลด้วยการรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมที่ไม่ได้อยู่ข้างนอก แต่อยู่ในตัวเรา เคยเห็นธรรมในตัวเราไหม
วันนี้อาจารย์ก็คงต้องลาจากศิษย์แล้ว จะดีมากยิ่งขึ้นถ้าศิษย์นำธรรมไปใช้ประพฤติปฏิบัติธรรม แล้วทำให้ทุกที่เป็นที่ๆ เราสามารถปฏิบัติธรรมได้ สิ่งใดที่ทำให้เราสละความโลภ สละความโกรธ สละความหลง แล้วเกิดจิตผ่องใสนั่นเรียกว่า มีศีล มีบุญ มีธรรมะ มีทาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอให้ศิษย์ปฏิบัติให้ถึงธรรม ไม่ได้เกิดมาเพื่อสนองกิเลสแห่งตัวตน แต่เกิดมาเพื่อเข้าถึงธรรมในใจตัวเองและประจักษ์แจ้งในความจริงของตัวเองว่า เราก็คือธรรม ธรรมที่ไม่ทุกข์ เปลี่ยนแปลง และถึงที่สุดว่างเปล่า
ศิษย์เอ๋ย อย่าล้อเล่นกับชีวิต เพราะถ้าพลาดผิดไปครั้งเดียว กรรมที่ศิษย์ต้องรับชาติเดียวก็ไม่หมด เคยได้ยินไหม ด่าเขาแค่ครั้งเดียวแต่แค้นจนตาย ทำเขาแค่นิดเดียว เอาให้ถึงที่สุด อย่างนั้นเราควรเกิดมาแล้วประมาทในการใช้ชีวิตหรือ แล้วเราควรใช้ชีวิตตามอารมณ์หรือ ในเมื่อเราเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ แล้วไยจึงไม่รู้จักใช้ธรรม เพื่อนำพาให้เราประเสริฐ ลองนำสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้ไปพิจารณาจนบังเกิดธรรม ชีวิตไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ทุกวันล้วนดับไป ใช่หรือไม่
จำคำอาจารย์ไว้นะ ใครทำให้ศิษย์ทุกข์ จงจำไว้ว่า เราเกิดมาเพื่อดับ ฉันไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกข์ ฉันไม่ได้เกิดมาเพื่อเจ็บปวด แต่ฉันจะเอาสิ่งที่เจ็บปวดและเป็นทุกข์ เป็นแพข้ามฟากให้ฉันดับให้ได้ ไปให้ถึงนะ ขอสิ่งดีงามจงมีในใจศิษย์ทุกคน ขอจิตที่ประเสริฐจงนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์นะ อาจารย์ไม่เคยล้อเล่นกับชีวิต ฉะนั้นศิษย์อย่าล้อเล่นกับชีวิตตัวเอง ทำให้ดี ทำให้ถึงที่สุด

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เกิดมาเพื่ออะไร”
    ใช้ชีวิตเยอะกว่า แม้ในยามเปิดตาก็สงบในขันธ์
ใช้ชีวิตเป็นกว่า เรื่องอะไรจะมา เป็นแค่งานสังสรรค์
อย่ามาบำเพ็ญ เหมือนโดนไหว้วาน ใส่ใจบำเพ็ญถึงเย็นเข้ากัน
หัวดียึดมั่นรั้นไม่มีชะลอ ใช้ชีวิตมากกว่าคุ้มค่าเต็มเวลา ไม่ทำตัวหงอหงอ
ใช้ชีวิตดีกว่าปัญหาคือปัญหา พอคิดคิดไม่พอ

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2562

2562-06-08 สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา

   西元二〇一九年嵗次己亥五月初六日                仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒                สถานธรรมเต๋อฮว่า  จ.สงขลา
 พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวฝอถง
  อย่าได้ขาดจิตสำนึกความดีงาม        อย่าได้ขาดความซื่อตรงในหน้าที่
อย่าได้ขาดความกล้าหาญในความดี     เมื่อทำดีก็จงทำให้สุดใจ              
     เราคือ
  เสียวเสี่ยวฝอถง                      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา  ลงสู่แดนโลก น้อมกายอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว   ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
                      
  เมื่อพบจิตฉับพลันลุล่วงพุทธะ        ทรัพย์อริยะแห่งจิตอยู่ตรงนั้น
ธรรมจักรสมบัติในมนุษย์สุดสามัญ     ครอบจักรวาลที่แฝงเร้นในตัว
ระวังใจตามองเพียงหนึ่งหน            วิสัยคนกระสับกระส่ายเห็นจักรเป็นบัว
เห็นใครมีไม่ได้อิจฉาทั่ว                 เลิกสนตากลับตัวจิตแยบยล
หาสมบัติที่ซ่อนอยู่ข้างใน               เป็นโชคในข้างแรมแซมฝน
ไม่ใช่ลาภลอยมาบันดาลดล             โลกมีคนกับปัญหาระหว่างเรา
บำเพ็ญบุญดุลพินิจรับไปแยกแยะ      ต้องการแค่สงบสว่างมากกว่าเก่า
ใดสัจจะที่เรื่องทุกเรื่องราว             ประพฤติเล่าไขความจริงเป็นอะไร
ธรรมเป็นแนวปรัชญาด้วยกฎเกณฑ์    บำเพ็ญเป็นปัญญาด้วยพลิกแพลงได้
เหนือความงามว่าด้วยปรัชญาใจ       รู้ตื่นในตัวเองเที่ยงนิรันดร์
แม้ชาติหน้าไม่พอขวนขวายไป         เดินใช่ไกลมาทำตัวเกียจคร้าน
ยังไม่เป็นมาทำเป็นชำนาญ             คนเก่งฟ้าข้อสำคัญพินิจตัว
                                                                          ฮิ ฮิ หยุด

พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวฝอถง

ตามนุษย์นี่แปลกนะ อยากเห็นอะไรก็ได้เห็น ไม่อยากเห็นอะไรก็ไม่ (ต้องเห็น)  ถ้าอย่างนั้นตาเราสัมพันธ์กับอะไร (ใจ)  ตาสัมพันธ์กับใจ ถ้าใจมันเห็น ใจอยากมองสิ่งที่ดี มันก็จะเห็น (สิ่งดี) แต่ถ้าใจมันกำลังเบื่อ สิ่งที่เห็นก็คือ (สิ่งที่ไม่ดี) ฉะนั้นจะไปโทษเขาว่าทำดีหรือไม่ดีไม่ได้ แต่ต้องถามใจเราก่อนว่าใจเราดีหรือไม่ดีจริงไหม (จริง) เขาพูดไม่ดีหรือใจเรามันเบื่อเลยมองเห็นเขาไม่ดี ถ้าเรารู้สึกว่าดี ตาเราก็จะเห็นดี จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าใจเรารู้สึกเบื่อ ตาเราก็จะทำให้เรามองเห็นแล้วรู้สึก (เบื่อ)  ใจเป็นอย่างไร ตาก็มองเห็น (อย่างนั้น)
ใจของเรามีพลังนะ ถ้าใจเรามีความสุข ตามันก็ประกายแวววาวจริงไหม แต่ถ้าใจเรามันทุกข์ ตาเรามันก็จะหม่นหมองหดหู่ไม่เคยได้ยินหรือ ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ มนุษย์พูดไม่ใช่หรือ แต่ตอนนี้ตาท่านไม่มีประกายแวววาวเลย มีแต่ความหม่นหมองและความหดหู่ จริงไหม ฉะนั้นถ้าเราอยากทำให้คนรอบข้างมีความสุข ก็ต้องเริ่มต้นที่ใจของเรา จริงไหม ถ้าใจเราสุขอยู่ที่ไหนมันก็ (สุข)  ถ้าใจมันทุกข์อยู่ที่ไหนมันก็ (ทุกข์)  ฉะนั้นตอนนี้ใจขมหรือใจสุข วันนี้เรามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับท่าน อย่าคิดว่ามาสอนได้ไหม เรามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นพูดคุยกันในเรื่องที่ไม่ใช่เรียกว่านินทาว่าร้าย แต่เป็นเรื่องที่เราต้องเจอกันทุกวัน แล้วทำอย่างไรถึงเจอแล้วมันจะได้ไม่ทุกข์ ฉะนั้นเริ่มต้นง่ายๆ ถ้าใจเรามันเต็มเปี่ยมไปด้วยความทุกข์ อยู่ที่ไหนมันก็ทุกข์จริงไหม ถ้าใจมันเต็มไปด้วยความร่มเย็นสบายใจ อยู่ที่ไหนก็ (ร่มเย็นสบายใจ)  จริงหรือไม่ (จริง)
เราถามหน่อย คนภาคใต้เป็นคนที่อ่อนแอไม่สู้คนใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)เป็นคนรับอะไรไม่ได้ง่ายๆ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถ้าอย่างนั้นแปลว่าคนใต้เป็นคนเด็ดเดี่ยว ใจสู้ ไม่ยอมแพ้ ใช่ไหม (ใช่)  ไม่อู้ง่ายๆ ไม่เอาเปรียบ ไม่ขี้เกียจ ถ้าอย่างนั้นแปลว่า นั่งฟังแล้วยิ่ง กระปรี้กระเปร่า ยิ่งมีพลัง ยิ่งสดชื่น จริงไหม (จริง) ตอนนี้เป็นอย่างนั้นจริง แต่ตั้งแต่เช้ามาไม่เป็นอย่างนี้เลย ใช่ไหม (ใช่)  บางครั้งความสุขหาไม่ยากหรอก อยู่ที่ว่าจะยอมรับมันและยิ้มกับมันได้ด้วยหัวใจที่กล้าหาญและเด็ดเดี่ยวหรือไม่ จริงไหม (จริง)  ท่านไม่ต้องเชื่อเราก็ได้ แต่ท่านเชื่อใจตัวเองได้ ถ้าท่านเชื่อใจตัวเองว่าสู้ไหว เอาไหว เอาอยู่ ใช่ไหม (ใช่)  ใครพูดอย่างไร ก็ไม่มีประโยชน์เพราะใจฉันจะสู้ จะเอาให้ได้ เอาให้อยู่ ใช่หรือไม่ ถ้าตอนนี้เขาจะพูดดีอย่างไร แต่ถ้าใจท่านบอก ไม่สู้ ไม่เอา ไม่ไหว ใครพูดอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นอย่าดูถูกพลังใจของตัวเอง ถ้าคิดจะสู้ก็สู้ ถ้าคิดจะเอาก็เอาอยู่
แต่บางครั้งเราล้มพลาดไป เราทุกข์ท้อไป เพราะเราลืมใจตัวเอง เอาแต่เชื่อใจคนอื่น จนลืมเชื่อศรัทธาในความเข้มแข็งดีงามและรับไหวกับใจตัวเองไหม ที่แพ้พังราบไปเพราะอะไร เพราะเอาแต่เชื่อใจคนอื่นหรือเชื่อใจตัวเอง (คนอื่น)  เพราะเอาชีวิตไปผูกไว้กับคนอื่นจึงลืมสร้างความเข้มแข็งให้กับจิตใจของตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นชีวิตเรา เราต้องดูแลตัวเราเองเหมือนที่มนุษย์ชอบพูดว่า ใจเราสามารถหยั่งได้เท่าที่เราอยากให้เป็น และบางครั้งใจเราก็เล็ก จนเราไม่คิดจะสู้อะไร จริงไหม (จริง)  แล้วใจจะใหญ่หรือเล็กขึ้นอยู่ที่น้ำคำคน ขึ้นอยู่กับคนรัก ขึ้นอยู่กับคนด่าคนชัง หรือต้องขึ้นอยู่ที่ใจเราเอง (ขึ้นกับใจเราเอง)  แล้วที่ผ่านมาอยู่ที่เราเอง หรืออยู่ที่ปากคนอื่น (คนอื่น)
เกิดเป็นคนอย่าขาดซึ่งจิตสำนึกแห่งความถูกต้องดีงาม ถ้าคนใดคนหนึ่งขาดจิตสำนึกแห่งความถูกต้องดีงาม ก็ยากที่จะอยู่บนโลกได้อย่างสันติสุข และง่ายที่จะเป็นคนที่นำพาให้ผู้อื่นมีทุกข์ และตัวเองก็ต้องพบทุกข์  เหมือนเขาให้เราทำให้ดี แต่เราทำแบบลวกๆ  ผลที่ออกมาเราก็เสีย คนอื่นที่ได้รับก็ไม่ดี  แต่ถ้าเราทำด้วยความซื่อตรงทำด้วยความรับผิดชอบ ทำในสิ่งที่ดีที่สุด ผลที่ได้ออกมา เราก็ภูมิใจ คนที่ได้รับรู้สึกสุขใจที่ได้มา  ถ้ามนุษย์ทุกคนมีจิตสำนึกแห่งความถูกต้องดีงาม ในสังคมก็คงไม่มีการทำร้ายกันหรอก
อยู่ในโลกนี้โลกสอนให้เราเข้มแข็ง ใช่ไหม โลกสอนให้เราเก่ง ใช่ไหม โลกสอนให้เราต้องขวนขวายหาความรู้จนประสบผลสำเร็จ ใช่ไหม โลกสอนเราทุกอย่าง ใช่ไหม สอนให้เรารู้จักรักเป็นอย่างไร ใช่ไหม
โลกสอนให้เราเข้มแข็ง  สอนให้เราอยู่บนโลกนี้ให้ได้ สอนให้เราต้องมีความอดทน สอนให้เราสู้ให้เป็น สอนให้เราขวนขวาย ขยันทำมาหากิน เพื่อเลี้ยงดูตัวเอง โลกสอนเราทุกอย่าง แต่ในเวลาที่อ่อนแอ โลกสอนเราไหม ว่าเราต้องทำอย่างไร เวลาที่เราทุกข์ใจ โลกสอนเราไหม (สอน)  โลกสอนให้เรารู้จักสุข แล้วก็สอนให้เรารู้จักทุกข์ โลกสอนให้เราเข้มแข็งได้ แต่โลกก็สอนให้เรา (อ่อนแอได้)  โลกสอนให้เราสำเร็จได้  และสอนให้เรา (ล้มเหลวได้)  โลกสอนให้เราโชคดี  และสอนให้เรา (โชคร้ายได้) โลกสอนให้เรารู้ว่าคนดีเป็นอย่างไร และสอนให้รู้ว่าคนร้ายเป็นอย่างไร
วันที่เราต้องอ่อนแอ ต้องทุกข์  รู้สึกแย่ วันที่เราล้มเหลว  โลกสอนให้เรากลับมาเข้มแข็งอย่างไร  (ต่อสู้กับความยากลำบาก)  เมื่อวันหนึ่งโลกสอนด้านหนึ่ง อีกวันก็สอนอีกด้านหนึ่ง  เรารู้ได้ว่าทำอย่างไรให้กายเข้มแข็ง เรารู้ว่าทำอย่างไรให้ชีวิตประสบผลสำเร็จ  แต่ถ้าวันหนึ่งโลกสอนให้เราล้มเหลว สอนให้เราอ่อนแอ อะไรให้เราเยียวยาใจ  ในเมื่อโลกสอนแต่กาย แต่ลืมสอนใจ  แล้วเราดูแลแต่กายเป็น แต่ลืมดูแลใจตัวเองให้เป็นจริงไหม (จริง)  โลกสอนให้เราเข้มแข็งกล้าหาญต้องประสบผลสำเร็จ ต้องยิ่งใหญ่ แต่เมื่อวันหนึ่งโลกสอนให้เราอ่อนแอ ล้มเหลว ต้องเป็นทุกข์  กายเราพอรักษาได้ แต่วันหนึ่งวันที่ใจเราอ่อนแอ เจ็บปวด ท้อแท้  เราเอาอะไรมาเยียวยาใจ  หรือเราสอนกายเป็น แต่เราสอนใจไม่เป็น
กายรอดได้ แต่เราดูแลใจตัวเองไม่รอด จริงไหม เวลาเราเจอทุกข์แค่ครั้งหนึ่งบางคนอยากตายเลยใช่ไหม เวลาเราล้มเหลวครั้งหนึ่งเราไม่อยากมีชีวิตอยู่เลย อย่างนั้นแปลว่าเราบำรุงเลี้ยงกายเราได้แต่เราลืมบำรุงเลี้ยงใจ เราดูแลกายเราได้ แต่เราลืมดูแลใจเรา โลกสอนเราด้านหนึ่งแล้วอีกด้านหนึ่งโลกไม่ได้สอน
ให้เรารู้จักทำกายตัวเองให้เข้มแข็งประสบผลสำเร็จได้ แต่ใจเราไม่เคยสอนใจเราเลย ถูกไหม เรามีวิชาทำให้ร่างกายเราอยู่รอด ทำให้ร่างกายเราเข้มแข็ง ทำให้ร่างกายเราสำเร็จ แต่วิชาอะไรล่ะที่ช่วยสอนใจเราเมื่อยามอ่อนแอให้กลับมาเข้มแข็ง วิชาอะไรล่ะที่เมื่อยามทุกข์แล้วสอนให้เราพ้นทุกข์และพบความสุข จากจิตใจของเราเอง นั่นคือวิชาใจเราเอง ดูแลใจเราเอง ใช่ไหม ในวันที่ใจเราท้อ ในวันที่ใจเราผิดหวัง ในวันที่ใจเราเจ็บปวด กายแม้จะตั้งตรงแต่ใจไม่อยากตรงแล้วใช่ไหม แล้วสิ่งที่จะช่วยเยียวยาใจของเราคืออะไรหนอ ธรรมะใช่ไหม ธรรมะช่วยเยียวยาใจใช่ไหม อย่างนั้นเวลาที่ใจเราอ่อนแอ ใจเราทุกข์ เราต้องเอาธรรมะมาสอนใจ ถูกไหม ฉะนั้นชีวิตไม่ใช่ความฝัน ชีวิตไม่ใช่ความคิด แต่ชีวิตคือความจริง ฉะนั้นสิ่งที่จะเยียวยาชีวิตเราได้ เยียวยาใจเราได้คือความจริงและความจริงอันเป็นธรรมดาของโลกเรียกว่าธรรมะใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าผู้ใดที่รู้จักเอาธรรมะมาเยียวยาใจ เอาธรรมะมาสอนใจก็จะยอมรับความจริงที่วันหนึ่งเข้มแข็ง อีกวันหนึ่งอาจจะอ่อนแอ วันหนึ่งมีสุข อีกวันหนึ่งอาจจะ (มีทุกข์)
บำรุงเลี้ยงดูแลใจเราด้วยธรรม ใช่ไหม (ใช่)  แต่มนุษย์นิยามชีวิตของตัวเองว่าความฝัน และความคิด จึงมักจะปล่อยตัวเองให้คิดฝันว่าชีวิตต้องเป็นแบบนั้นต้องเป็นแบบนี้ มองตามความฝัน มองตามความคิด จนลืมมองความจริง ทั้งที่ความจริงเป็นธรรมะที่ช่วยเยียวยาใจได้ดีที่สุด แล้วเราสนธรรมะไหม เราไม่สนธรรมะ เราสนแต่เราคิดอะไรอยากได้อะไร เมื่อไม่เป็นอย่างที่คิดที่อยากได้ เราก็เลยหนีไม่พ้นความทุกข์ แต่ถ้าเรามีชีวิตอยู่เราเอาธรรมะมาเตือนใจเสมอ เอาธรรมะมาสอนใจเราเสมอว่าฝันขนาดไหนคิดขนาดไหน ก็อย่าลืมความจริง อยากได้ขนาดไหน อยากมีขนาดไหน ก็ไม่ควรลืมความจริง เพราะในโลกของความจริงมีได้ก็มีเสีย มีสุขก็มีทุกข์ มีสำเร็จก็มีไม่สำเร็จ ฉะนั้นถ้าทุกขณะชีวิตเราไม่ลืมว่าชีวิตไม่ใช่ความฝัน ชีวิตไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปอย่างที่คิด แต่ชีวิตคือความจริง เราก็คงไม่หนีห่างจากธรรมะ เพราะธรรมะสอนความจริงอันเป็นธรรมดาของโลก
แล้วธรรมะแห่งความเป็นจริงข้อไหน ที่จะช่วยทำให้เราสามารถเยียวยาใจได้ เมื่อเวลาที่เราต้องเจอความจริงในอีกด้านหนึ่งที่เราไม่คาดคิด
และยอมรับที่จะอยู่กับสิ่งๆ นั้นให้ได้   อย่างแรกที่จะทำให้เราอยู่กับความเป็นจริงและช่วยเยียวยาใจ คือ เราต้องไม่มีอคติ  ภัยพิบัติที่เกิดจากการไม่สุภาพสำรวมยังแก้ไขได้ แต่ภัยพิบัติที่เกิดจากความยึดติดถือมั่นในความคิด แก้ยาก (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา ยกตัวอย่าง โดยให้พิธีกรหน้าชั้น เป็นตัวละครสมมติ ว่า  ด้านขวาคือความดี ความสุข ความสำเร็จ  ด้านซ้ายคือความเลว ความแย่ ความล้มเหลว)  ท่านชอบได้ด้านไหนมากกว่ากัน  (ด้านขวาที่ดี)  ถ้าอยากเรียนรู้ความจริงเราต้องไม่อคติกับด้านซ้าย และไม่ยึดติดกับด้านขวา  แต่ถ้าเราเอาแต่ชอบด้านที่ดี  สำเร็จ สมบูรณ์ ไม่ล้มเหลว ไม่พ่ายแพ้ ชีวิตจะต้อง ไม่มีคนเกลียด  มีแต่คนรัก ไม่มีคนเลิกรักฉัน เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ชีวิตของเราคือความจริง ไม่ใช่ความฝัน ไม่ใช่ความคิด  ถ้าฉะนั้นด้านดีก็ดี  ด้านไม่ดีก็ดี ถ้าอยากเรียนรู้เยียวยาใจให้เป็น และใจไม่ต้องอ่อนแอไปกับเรื่องที่ไม่อยากเจอ ไม่ว่าด้านดี หรือไม่ดี เราก็ต้องรับให้ได้ ดูให้เป็น เมื่อสักครู่ ท่านก็บอกเอง ใจเป็นของเราเอง จะเล็กก็อยู่ที่เรา จะใหญ่ก็อยู่ที่เรา จะทุกข์หรือสุขก็อยู่ที่เรา ถ้าเจอเรื่องร้ายเราก็รับได้  เจอคนด่าก็ (ทนได้)  เจอคนหักอกเราก็ (ทนได้)  คนยืมเงินไม่คืน เราก็ (รับได้)  เจอสามี หรือ ภรรยา ไปไม่กลับ เราก็ (รับได้)  จำไว้ เราบอกท่านตั้งแต่แรกว่า ตาเป็นอย่างที่ใจคิด  ถ้าใจไม่รับ อย่างไร ก็ไม่รับ แล้วก็ไม่เห็น ถ้าใจไม่เอา ที่เห็นก็ไม่เห็น  แต่ถ้าใจเอาและรัก ที่ไม่เห็นเราก็จะเห็นยิ่งกว่าเห็น  จริงไหม (จริง)
แต่ถ้าเราบอกว่า ในเมื่อเราบอกว่าใจมันเป็นของเราเอง ท่านศรัทธาเชื่อมั่นในใจตัวเอง ถ้าอย่างนั้นดีร้ายมันอยู่ที่ตัวเขาหรือตัวเรา (ตัวเรา)  ดีร้ายมันอยู่ที่ชะตากรรมหรือเปล่า (เปล่า) ถ้าใครว่าเราร้ายแต่เรารู้ใจเราเองว่าเราร้ายหรือเราดี ใครทำเราทุกข์เรารู้ใจเราเองว่าทุกข์หรือสุข ใช่ไหม  (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นถ้าใจเรารับไหว อะไรมันก็ไหว จริงไหม เหมือนตอนนี้ถ้าใจท่านไม่อยากฟัง  ถูกไหม เราพูดอะไรท่านก็ไม่เข้าหู ก็ใจมันไม่ชอบ ถ้าใจมันชอบจะเห็นมากกว่าเห็น และจะทำให้เรารู้ยิ่งกว่ารู้ ฉะนั้นอย่าดูถูกใจตัวเองและลดคุณค่าของใจตัวเองเพียงเพราะว่า ไม่เอา ไม่ชอบ เพราะในโลกของความเป็นจริง อะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้าเกิดว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ ต้องรับมือให้ได้ ถ้าเราศรัทธาเชื่อมั่นในใจของตัวเอง แม้สิ่งที่ร้ายที่สุดเราก็สามารถแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งที่มีความสุขและมีคุณค่าได้ด้วยใจของตัวเอง เพราะโลกนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้าอย่างนั้นถ้าเราไม่รังเกียจ เราไม่อคติอะไร อะไรเราก็รับไหวและอีกอย่างหนึ่งที่จะทำให้เราสู้ได้เมื่อวันที่เราท้อแท้ก็คือในดีมันมีดี และในแย่กว่ามันมีแย่ลงไปอีกจริงไหม (จริง)
ฉะนั้นในโลกของความเป็นจริงบางครั้งเรารู้สึกว่าเราต้องเจอเรื่องผิดหวัง เราต้องเจอเรื่องแย่ เราต้องเจอเรื่องทุกข์ แต่บางทีถ้ายังไม่หมดลมหายใจ จำไว้นะวันนี้สิ่งที่ท่านทุกข์อาจจะไม่ใช่ทุกข์ที่สุด อาจจะมีทุกข์กว่า และก็ทุกข์กว่า จริงไหม ฉะนั้นอย่าเสียน้ำตากับทุกข์แรกเลยเพราะชีวิตยังมี (ทุกข์กว่า)  และยังมี (ทุกข์กว่า)  ใช่หรือไม่ ฉะนั้นวันไหนที่เจอเรื่องดีใจ ก็จงอย่าดีใจ เพราะบางทียังมีสิ่งที่ (ดีใจกว่า)  และก็ (ดีใจกว่าอีก)  ใช่หรือไม่ ฉะนั้นควรยึดติดกับคนนี้ดีไหม คนนี้ทำฉันผิดหวัง อกหัก หลอกลวงฉัน ฉันอยากตายแล้ว คนที่คิดแบบนี้คือคนที่ลืมไปว่าในโลกนี้ยังมีสิ่งที่ (ทุกข์กว่าอีก)  และก็ (ทุกข์กว่าอีก)  ฉะนั้นเราอยากจะจมกับคนนี้ไหม เราอยากโง่กับคนนี้ไหม เราอยากแย่กับคนนี้ไหม อย่างนั้นเราอย่าลืมว่าในโลกนี้มีดีก็มีดีกว่า มีดีกว่าก็ยังมีดีกว่า ฉะนั้นวันไหนที่เจอเรื่องแย่ๆ ก็จงจำไว้ว่าอาจจะมีสิ่งที่ (ดีกว่า)  ในสิ่งที่ดีอาจจะมีสิ่งที่แย่กว่า และในสิ่งที่แย่ ถ้าเราเปิดใจให้กว้างไม่อคติ ไม่ยึดติด และไม่เห็นแต่สิ่งที่ตัวเองอยากเห็น เปิดใจให้กว้างๆ ไว้ เราจะเห็นว่าในร้ายอาจจะมีดี ในดีอาจจะมีร้าย ใช่หรือไม่ ฉะนั้นสิ่งที่เยียวยาใจและทำให้เราเตือนใจอยู่และไม่ทุกข์กับโลกใบนี้คือ ความจริงที่เป็นธรรมดาของโลก และความจริงที่เป็นธรรมดาของโลกก็สอนว่า มีดีก็มีดีกว่า มีแย่ก็มีแย่กว่า มีทุกข์แล้วก็อาจจะมี (ทุกข์กว่า)  ฉะนั้นเราควรจมอยู่กับสิ่งที่เราคิดเเละเห็น หรือเราควรจะเปิดใจให้กว้างแล้วมองความจริง แล้วถึงเวลาเราเปิดใจกว้างหรือเห็นสิ่งที่ตัวเองอยากเห็น (เปิดใจให้กว้าง)
เวลามีความรักโลกนี้มีเขาคนเดียวใช่ไหม (ไม่ใช่)  โลกนี้เราจะตายเพราะเขาคนเดียวใช่ไหม (ไม่ใช่)  ชีวิตเรามีเวลานี้เวลาเดียวใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถึงเวลาเรายังมีลมหายใจอยู่เรายังมีคนอื่นไหม (มี)  ธรรมะสอนให้รักเดียวใจเดียว แต่ถ้าเราอยากจะเยียวยาใจเราก็ต้องรู้จักเอาธรรมะมาสอนใจว่ามีดีก็มีไม่ดี มีแย่ก็มีแย่กว่า ฉะนั้นอย่าทุกข์ใจ อย่าร้องไห้ไปเลย ดีไหม เพราะธรรมะสอนความจริงอันเป็นกลางที่เรียกว่าความสงบ สุขหรือทุกข์ยังแกว่งไปด้านดีด้านร้าย แต่ธรรมะสอนให้เราพบความสงบอันแท้จริง ผู้ที่รู้จักพึงมีธรรมจึงสามารถรักษาความสงบท่ามกลางความวุ่นวายในโลกได้ และรู้จักประคองจิตเยียวยาใจของตัวเองให้เป็น สำคัญที่สุดในชีวิตสุขได้ก็ต้องทุกข์ได้ สุขและทุกข์มามากพอแล้วก็ต้องรู้จักวางให้ลงบ้าง ฉะนั้นนั่งแล้วก็ต้องยืนเป็นบ้าง นั่งมานานแล้วก็หัดยืนให้เป็น ดีไหม (ดี)  ยืนเป็นยืนเข้มแข็งจะนั่งก็ไม่กลัว ดีกว่าเอาแต่นั่งแล้วไม่คิดจะยืน ฉะนั้นนั่งได้ก็ยืนได้ สุขได้ก็ทุกข์ได้ เมื่อสุขได้ทุกข์ได้ก็ต้องปล่อยวางได้ ลองมาแล้วทั้งชีวิต สุขมาก็หลายครั้งแล้ว ทุกข์มาก็หลายครั้งแล้ว ตอนนี้จะเจออะไรก็ลองดูสักตั้งหนึ่ง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดขอแค่เพียงใจ (สู้)  และยอมรับความจริง
ท่านเคยไหม สุขมาก็มาก ทุกข์มาก็มาก พอถึงเวลาไม่ว่าเขาจะร้ายมาอีกขนาดไหน ใจมันกลับชิน และก็ไม่ทุกข์ ไม่สุข ไม่ติดอะไรแล้ว เพราะเจ็บมาเยอะแล้ว ยิ้มมาเยอะแล้ว วันนี้ยิ้มกับเขาที่เขามีความสุขให้เรา แต่พรุ่งนี้จะทำให้ฉันทุกข์อีกไหมหนอ วันนี้เขาทำให้ฉันทุกข์ ในใจเราก็คิด พรุ่งนี้จะหายทุกข์ไหมหนอ ถ้าเรามองความจริง เราจะไม่ยิ้ม หรือไม่สุข ไม่ทุกข์  จะอยู่กับความสงบความเข้าใจ อะไรจะเกิด เราก็รับได้ เพราะเราเข้มแข็งพอใช่ไหม  ฉะนั้นถ้าอยากเรียนรู้ความจริง ก็อย่าลืมว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นแหละดีที่สุดแล้ว จริงไหม (จริง)  ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว อย่าไปเปรียบเทียบและยึดอนาคต เพราะชีวิตของเราวันนี้ ก็เป็นเพราะเมื่อวานโน้น เมื่อก่อนโน้นเราทำมา ใช่หรือไม่  อนาคตจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับวันนี้เราทำตัวเช่นไร  อะไรเกิดจงเรียนรู้ไว้ว่าดีแล้ว เพราะไม่แน่สิ่งที่เราบอกว่าไม่ดี อีกสิบวัน ยี่สิบวัน อาจจะดี จริงไหม (จริง)  เราอยากหาคนที่ดีที่สุด รักเราที่สุด เข้าใจเราที่สุด แต่ถึงเวลาใครดีที่สุด (เรา)  เข้าข้างตัวเอง  ตัวเราก็ยังไม่ดี ฉะนั้นเราอยู่ในโลกเราพยายามหาสิ่งที่ดีที่สุด ชีวิตที่สมบูรณ์แบบที่สุด ชีวิตที่งดงามที่สุด แต่เราถามท่านลึกๆ  นั้น ในโลกแห่งความเป็นจริง ชีวิตใครสมบูรณ์แบบที่สุด
มีใครดีที่สุด (ไม่มี)  มีใครแย่ที่สุด (ไม่มี)  มีใครน่าเกลียดที่สุด (ไม่มี)  มีใครจนที่สุด (ไม่มี)  คนจนกว่าเราก็มี ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงแม้วันนี้เราจะไม่ถูกลอตเตอรี่ ถูกหวยกิน เราจะเศร้าไหม เราคิดว่าเราถูกหวยถูกลอตเตอรี่เราเป็นคนได้ นึกว่าจะได้ แต่จริงๆเราได้หรือว่าเราเสีย เสียมากกว่าได้ใช่ไหม  ถูกสามตัว เสียไปไม่รู้กี่ตัว ใช่หรือไม่ ฉันใดก็ฉันนั้น ในชีวิตที่เราพูดว่าเราเสียเปรียบคนอื่น คนอื่นทำร้ายเราคนอื่นเอาเปรียบเรา แท้จริงแล้วใครเอาเปรียบ ใครคือคนที่ดีที่สุด ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริง ความเป็นจริงจะสอนให้เรารู้ว่า โลกใบนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดก็พร้อมจะพร่องที่สุด จริงไหม เหมือนสามีที่เราได้มาเราว่าหาดีที่สุดแล้ว แล้วเป็นอย่างไร ภรรยาคิดว่าดีที่สุดแล้ว แล้วเป็นอย่างไร ถ้าเราอยู่ในโลกความเป็นจริง สมบูรณ์มากเท่าไหร่ก็บกพร่องมากเท่านั้น ดูบกพร่องมากเท่าไหร่แต่จริงๆ แล้วก็สมบูรณ์ที่สุดในใจเราแล้ว และในโลกของความเป็นจริงแล้ว
1. อย่าอคติ
2. จงกล้าที่จะรับความจริงไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
3. เพราะโลกใบนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ แล้วทุกข์น้อยลง
อย่างนั้นเราถามคำถามข้อหนึ่งว่า เราอยู่ในโลกเราแสวงหาทรัพย์ เราแสวงหาเกียรติยศ เราแสวงหาเงินทอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งทรัพย์ เกียรติยศ เงินทอง หามาแล้วมักจะได้อะไรกลับมาเสมอ หามาแล้วก็มักจะโดนคนเอาไป หามาแล้วมักจะทำให้เราอยู่ไม่ค่อยเป็นสุข จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเราถามหน่อยว่ามีทรัพย์อะไรในโลกที่หาแล้วไม่หายไปจากใจ แม้หาได้เพียงนิดหน่อยก็ยังอยู่กับเรา ไม่หนีหายไปไหนใครก็แย่งชิงทรัพย์นั้นไปไม่ได้ แล้วยิ่งมีก็ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวใจด้วย คิดนะ เพราะเวลาที่เราอยู่ในโลกหาความสุข แต่ลึกๆ เราก็กลัวความสุขนั้นกลายเป็นความทุกข์ ใช่หรือไม่ หาความสำเร็จลึกๆ เราก็กลัวจะกลายเป็นความล้มเหลว หาความเข้มแข็งแต่ลึกๆ เราก็รู้ว่าใจเราอ่อนแอ สิ่งที่หามาทุกอย่างล้วนทำให้เราไม่เคยมั่นคงได้เลย ใช่ไหม (ใช่)  เราถามท่านหน่อยว่าถ้าเกิดเราจะหา หาอะไรดีหนอที่ทำให้เรามั่นคงไม่หวั่นไหวไม่โดดเดี่ยว ยิ่งหายิ่งมีความสุข
สิ่งนั้นคืออะไร ความดีใช่ไหม กุศลผลบุญใช่ไหม ธรรมะอย่างเดียวใช่ไหม ถ้าใจเรามีธรรมะแล้วก็จะดีใช่ไหม เคยไหมหาความรักแต่ลึกๆ ก็ยังโดดเดี่ยว หาความสำเร็จแต่ลึกๆ ก็ยังกลัวล้มเหลว หาความสุขลึกๆ ก็ยังพบกับทุกข์ เราพยายามหาทุกอย่างเพื่อเติมเต็มให้ใจเราดี ใจเรามีความสุข ให้ชีวิตเรามั่นคง แต่ทำไมทุกสิ่งที่เราหามันไม่เคยมีอะไรมั่นคง ไม่เคยมีอะไรที่ทำให้เรารู้สึกสุขอย่างแท้จริง มันมักจะกลับกลายเป็นทุกข์ และมันมักจะกลับกลายเป็นความอ่อนแอจริงไหม อยู่กับลูกนึกว่าจะสบายใจ แต่ลูกก็ทำให้เราทุกข์ใจ อยู่กับเพื่อนดูเฮฮาปาร์ตี้ดี แต่ไม่รู้ถ้าเวลาเมาแล้วพูดไม่ดีไหม ไม่รู้วันไหนเขาจะตีหัวเราไหม ในโลกเราแสวงหาทุกอย่างเพื่อความสมบูรณ์ในชีวิต เพื่อความสุขในชีวิต แต่ทำไมยิ่งหาเรากลับยิ่งอ่อนแอ ยิ่งหาเรายิ่งกลัว ยิ่งหาเรากลับเหมือนยิ่งทุกข์ ยิ่งกังวล จริงไหม แต่มันมีสิ่งหนึ่งนะ ยิ่งหายิ่งร่มเย็น ยิ่งหายิ่งอิ่มใจอุ่นใจแม้อยู่คนเดียวก็สุขได้ และยิ่งหาใครก็เอาไปไม่ได้ ไม่ต้องกลัวใครจะมาแย่งชิง ไม่ต้องกลัวใครจะมาวิ่งราวไป ทรัพย์ทางโลกยิ่ง หายิ่งมีภัย แต่สิ่งนี้ยิ่งหายิ่งปลอดภัยทรัพย์นั้นคืออะไรล่ะ (ธรรมทานแห่งบุญ, การปล่อยวาง)  ตอบว่าการปล่อยวางใช่ไหม เกือบจะใช่นะแต่ยังไม่ใช่ เขาบอกว่าเราหาทรัพย์ในโลกเพื่อบำรุงเลี้ยงร่างกายใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ท่านรู้ไหม มีทรัพย์อีกประเภทหนึ่งที่สามารถบำรุงเลี้ยงทั้งชาตินี้และชาติไหน และสามารถนำพาให้เราไปปรโลกก็ไม่กลัวตาย
คำตอบคือ “อริยทรัพย์[1]” เป็นทรัพย์อีกประเภทหนึ่งที่เอาไว้ครองใจเยียวยาใจและดูแลใจไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน และเป็นเสบียงที่ดีที่สุดแม้เราตายไป เราก็ไม่กลัวปรโลก ไม่กลัวตกนรกเพราะเราได้ทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม นอกจากธรรมทำให้เราเข้าถึงความเป็นจริง ท่านรู้ไหมว่าธรรมยังสามารถทำให้เราพ้นการเวียนว่ายในโลกได้และธรรมทำให้เราพ้นทุกข์ได้ แต่เราไม่เคยทำเพราะเราดูถูกตัวเองว่าเราทำไม่ได้ ใช่หรือไม่ และอริยทรัพย์ที่เราสามารถพกไปไหนมาไหนด้วย ยิ่งทำแล้วยิ่งมีความสุข เริ่มต้นด้วยการมีเจ็ดอย่าง อันแรกคือศรัทธา(๑) ถ้าไม่ศรัทธาในความถูกต้องดีงาม ไม่ศรัทธาในการประพฤติตนให้ดีงาม ไม่ศรัทธาในบุญกรรม ไม่เชื่อในกรรม ไม่เชื่อในบุญ ท่านก็ทำดีไม่ได้ จริงไหม ฉะนั้นอย่างแรกคือศรัทธา อย่างที่สองคือศีล(๒) อย่างที่สามคือ คนที่ไปอยู่ปรโลกก็ไม่กลัว คนที่ตายก็ไม่กลัว นั่นก็คือคนที่มีหิริ(๓)โอตัปปะ(๔) ความละอายเกรงกลัวต่อบาป รู้จักสะดุ้งกลัวในบาป เพราะบาปให้ผลเป็นกรรมชั่ว และการทำบาปก็เป็นการตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ หนีไม่พ้นบาป หนีไม่พ้นทุกข์ และเมื่อบาปมาให้ผลแล้ว หนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน เราก็ไม่มีวันหนีบาปที่เราสร้างได้ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นนอกจากศรัทธา ศีล หิริ โอตัปปะแล้วยังมีอีกคือการฟังรู้ไหมการมานั่งฟัง(๕) แบบนี้ ก็ให้อริยทรัพย์ที่ประเสริฐ เพราะปัญญาที่รู้แจ้งในความเป็นจริงแห่งธรรม ถ้ามีติดตัวไปแล้ว จะมีติดตัวไปทุกภพทุกชาติ  ถ้าเมื่อเราเจอทุกข์ เราก็แก้ปัญหาทุกข์ได้ นั่นคือจิตที่ใฝ่รู้  เพราะปัญญาที่รู้แจ้งในความเป็นจริง  ฉะนั้นวันนี้มาฟังก็ได้อริยทรัพย์อย่างหนึ่ง เพิ่มความรู้ กับเพิ่มปัญญา(๗) ถ้าได้แล้วเรารู้จักให้(๖) ก็เป็นอริยทรัพย์ อีกอย่างหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเป็นทรัพย์ที่ปฏิบัติแล้วไม่โดดเดี่ยว ปฏิบัติแล้วไม่เคยรู้สึกว่าไม่ว่างเปล่าในชีวิต เป็นทรัพย์เมื่อปฏิบัติแล้วสามารถนำพาซึ่งความสุข แม้ทำดีเพียงนิดเดียว ใครก็เอาไปไม่ได้จริงไหม (จริง)  แล้วเราทำดีหรือทำชั่ว ดีมากกว่า หรือชั่วมากกว่า (ดีมากกว่า) แค่ให้ทำดีละชั่ว ให้ละชั่วก็เรียกว่าทำดี แล้วมีหลายคนที่ทำดี แต่ไม่เคยละชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชั่วแค่ไหนก็พยายามทำดีกลับแค่นั้นใช่ไหม
อย่ามองธรรมะเป็นเรื่องไกลตัว สิ่งที่เราพูดกับท่านในวันนี้เป็นเรื่องธรรมะเกี่ยวกับการดำเนินชีวิต  เพราะถ้าเข้าใจความเป็นธรรมดาของชีวิต เรื่องบนโลกใบนี้ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่ากลัวใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอยากอยู่บนโลกนี้ให้มีความสุข อะไรก็ดี ถ้าบอกว่าอันนี้ก็ไม่ได้ อันนั้นก็ไม่ได้ นั่นแหละชีวิตวุ่นวาย ฉะนั้นอะไรเกิดก็ดี สิ่งที่เยียวยาจิตก็คือ อย่าอคติ อะไรเกิดมันก็ดีที่สุดแล้ว และเปิดใจให้กว้าง เพราะสิ่งในโลกนี้สมบูรณ์ที่สุด มันพร้อมจะพร่องที่สุด  ถ้าจำในสิ่งที่เราพูดได้ ท่านก็จะอยู่ในโลกนี้ไม่มีทุกข์หรอก จะสงบใจเป็นและเรียนรู้ที่จะรับมือกับเรื่องราวในโลกนี้อย่างเข้าใจ จริงไหม (จริง)  เราถามท่าน จริงๆ  แล้วเราอยู่ในโลก เราต้องการคนที่ดีที่สุด หรือเราต้องการคนที่เข้าใจเรามากที่สุด (เข้าใจ)  ต้องการคนที่อยู่กับเราได้แม้ในวันที่เราไม่มีอะไร เราต้องการคนที่รับเราได้แม้เราจะผิดขนาดไหน แต่ก็ยังเลือกที่จะเข้าใจเรา เราต้องการคนที่เห็นใจและเข้าใจเรา แม้เราจะผิดพลาดไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น ชีวิต จริงๆ  แล้วไม่ใช่ต้องการสิ่งที่ดีที่สุดหรอก แต่ต้องการคนที่เข้าใจ และอยู่กับเราได้ในวันที่เราไม่มีอะไร หรือไม่เหลืออะไร ก็อยู่กับเราได้ จริงไหม (จริง)  แล้วเราอยากได้คนที่ดีที่สุดคือคนที่เข้าใจที่สุดล่ะ  ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงของชีวิต ต่อไปใครจะน่าเกลียดที่สุด ไม่มี เพราะคนที่น่าเกลียด เดี๋ยวมีคนที่น่าเกลียดกว่า อย่าเพิ่งไปเกลียดเขาเลยดีไหม ฉะนั้นคนที่น่ารัก บางทีก็อย่าเพิ่งไปหลงรักเลย บางทีเขาอาจจะมีสิ่งที่น่าเกลียดอยู่ก็ได้ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นธรรมจึงคอยเยียวยา และคอยกระตุ้นเตือนใจให้เราไม่ก้าวผิดพลาด และมองเห็นความเป็นจริง ในสิ่งที่เราควรเห็นให้มากกว่าที่เห็น หรือเห็นจนกลายเป็นธรรมดาของโลก เพราะสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือใจของเรา ใจมันเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น และเป็นสิ่งที่ละเอียด และใจก็มักที่จะชอบฝักใฝ่ที่จะไปอยู่กับอารมณ์ที่เราใคร่ปรารถนา ใช่หรือไม่ ฉะนั้นผู้มีปัญญา จึงพยายามฝึกจิตใจ เพราะจิตใจที่ฝึกดีแล้วย่อมนำมาซึ่งความสุข ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเมื่อไหร่ที่มนุษย์เข้าใจธรรม ก็จะฝึกใจ ฝึกใจด้วยการทำอย่างไรล่ะ ใจเรามันชอบฝักใฝ่แต่อารมณ์โน้น อารมณ์นี้ เดี๋ยววิ่งไปเอาอันโน้น อารมณ์นี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ต่อไปนี้เราไม่รับอารมณ์อะไรแล้ว เมื่อไหร่ที่เราสามารถฝึกใจให้รู้เห็นใจได้ทุกขณะจิต และไม่ปล่อยให้อารมณ์ครอบงำเป็นตัวจิตของเรา เมื่อนั้นแหละเราก็พ้นทุกข์ จริงไหม (จริง)  ทันใจตัวเอง เห็นแล้วไม่เกลียด เห็นแล้วไม่รัก เห็นแล้วเข้าใจ นั่นคือธรรม เกลียดเป็นอารมณ์ใช่ไหม รักเป็นอารมณ์ใช่ไหม และอารมณ์ให้ผลเป็นบาปและทุกข์ใช่ไหม แต่ต่อไปเห็นอะไรแล้วไม่เกลียด เข้าใจ เข้าใจ เข้าใจ เมื่อนั้นใจเราก็เป็นธรรมไม่มีกิเลส เมื่อนั้นเราเป็นธรรมเราก็พ้นทุกข์ ฉะนั้นถ้าทุกขณะที่ท่านเห็นแต่ไม่ยึดติดเป็นอารมณ์ เห็นแต่เข้าใจและมองจนสุดถึงความเป็นจริง ท่านจะพ้นทุกข์และไม่ถูกกรรมใดๆ ผูกมัดต่อไป ลองดูนะ เห็นแล้วไม่ชอบ เห็นแล้วไม่รัก เห็นแค่เห็น เมื่อนั้นเราก็พ้นกิเลส พ้นกรรม จริงไหม ฉะนั้นถ้าเราศรัทธาในใจตัวเอง ใจที่ถูกต้อง และใจที่มีธรรม ศรัทธานั้นจะทำให้เราค้นพบอริยทรัพย์ที่อยู่ในตน เพราะถึงที่สุดของการเป็นคนคือความเป็นพุทธะ ถึงที่สุดของการแสวงหาคือธรรมที่ทำให้เราพ้นทุกข์ และถึงที่สุดของการมีชีวิตคือสามารถควบคุมชีวิตจนเป็นอิสระไม่มีกิเลสอีกต่อไป จริงไหม ลองพิจารณาสิ่งที่เราพูดนะ และลองตั้งสติตั้งใจให้ดี เพราะว่าวันนี้ท่านไม่ได้มาเอาสนุก แต่ท่านมาเอาความจริงอันเป็นธรรมดาของโลกที่ถ้าเข้าใจ จะพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ คนทุกคนอย่ามีชีวิตแบบประมาท เพราะเมื่อไรประมาทเราก็ทุกข์จนตาย จงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันและอย่ายึดติดกับอดีต เพราะคนที่เอาแต่อดีตคือคนที่ตายแล้ว แต่คนที่มีชีวิตคือคนที่อยู่กับปัจจุบัน และชีวิตคือความจริง ชีวิตไม่ใช่ความคิด ความคิดไม่ใช่ชีวิต แต่ชีวิตคือความจริง มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันนะ ลองศึกษาให้ดีๆ วันนี้อย่ามาล้อเล่นกับตัวเอง อย่ามาดูถูกคุณค่าธรรมในตัวเอง ถ้าท่านศรัทธาและเชื่อในใจตัวเอง เราก็พร้อมจะบอกว่าใจของท่านคือคนที่สามารถเป็นพุทธะเดินดินได้ ใจของท่านคือคนที่สามารถมีทรัพย์ที่ประเสริฐได้ และใจของท่านสามารถที่จะทำสิ่งใดๆ ก็ตามในโลกได้ขอแค่เพียงเชื่อมั่นในตัวเอง โลกใบใหญ่เรายังรู้ได้ด้วยใจเรา แล้วชีวิตแค่หนึ่งชีวิตเรานำพาให้พ้นทุกข์ไม่ได้หรือมีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ อย่าดูถูกคุณค่าและความสามารถพุทธะในตนเอง



[1] อริยทรัพย์ (น.) แปลว่า ทรัพย์อันประเสริฐ มี ๗ ประการ คือ (๑)ศรัทธา (๒)ศีล (๓)หิริ
                                (๔)โอตตัปปะ (๕)พาหุสัจจะ (๖)จาคะ และ (๗)ปัญญา




วันอาทิตย์ที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๒  สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา
  พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


  ต่างสามัคคีเพราะต่างคนละอคติ      สามัคคีไม่ลืมตัวไม่แบ่งขั้ว
เวลาพิสูจน์เจ้าเองการทำตัว            หอบกระโตงกระเตงชีวิตชั่วดีตามกรรม
ผู้รู้ต้องธรรมกถาด้วยจริยา             ธรรมอยู่เหนือเวลาไม่สูงต่ำ
ทำผิดเองรับผลเองประจำ              การบำเพ็ญนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตน
                   เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานเต๋อฮว่า   น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว  ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์บ้างไหม

     สร้างบารมีธรรม เคราะห์ดีมีกรรม สร้างเจ้าแข็งแกร่ง
    เจ้าเห็นธรรมเห็นไป  ไม่มีจุดหมาย ก็เทียวสิ้นแรง
    ต้องมีปัญหาให้เป็น ไว้คอยบำเพ็ญ เพื่อการรู้แจ้ง
    ความจริงก็แสนยากเย็น อะไรไม่เป็นก็จงเข้มแข็ง
    อยู่เป็นจึงเบิกบาน ดุจดั่งดวงจันทร์ไม่เว้าไม่แหว่ง
                                                            ฮา ฮา  หยุด

สมบัติแห่งอริยะ  จักรวาลที่แฝงในจิตใจคน สายตามองเห็นเพียงจักรกล  ไม่มีใครสนสมบัติที่ซ่อนข้างใน  โชคลาภกับคนมีบุญ แค่งบดุลรับส่ง ไปมา เรื่องที่จะไข เป็นแนวปรัชญา ว่าด้วยปัญญา เป็นความตื่นในตัวเอง  ชาติหน้าไม่พอขวนขวาย ที่มาไกลใช่เป็นเพราะเก่ง ฟ้าขอเจ้าไม่ลืมตัวเอง ชั่วชีวิต กระโตงกระเตง ธรรมต้องรู้เอง อยู่เหนือเวลา
*สร้างบารมีธรรม เคราะห์ดีมีกรรม สร้างเจ้าแข็งแกร่ง เจ้าเห็นธรรม เห็นไป  ไม่มีจุดหมาย ก็เทียวสิ้นแรง ต้องมีปัญหาให้เป็น ไว้คอยบำเพ็ญ เพื่อการรู้แจ้ง ความจริงก็แสนยากเย็น อะไรไม่เป็นก็จงเข้มแข็ง อยู่เป็นจึงเบิกบาน ดุจดั่งดวงจันทร์ไม่เว้าไม่แหว่ง เออ ดูเอา เถอะ นะ เจ้ามาปลูกฟัก ทำไม ได้แฟง       (ซ้ำ *)

ชื่อเพลง:  อริยทรัพย์ในตน
ทำนองเพลง: ตังเก


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


สองวันนี้ใครตั้งใจทำดีเต็มที่ เจก็ไม่แตก บุหรี่ก็ไม่สูบ เหล้าก็ไม่กิน และไม่แอบเล่นหวยสองตัว ผู้ชายไม่ยกแปลว่าแตกเจหมดเลยใช่หรือเปล่า ที่ยกมือแปลว่าแตกเจหมดเลยหรือไม่แตก ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มต้นง่ายๆ นะ อาจารย์ดูหน้าผมก่อนเถอะ ดียังไม่รอด อย่าพูดว่าจะบำเพ็ญไหวหรือเปล่า อย่างนี้หรือจะบำเพ็ญยังอีกไกล ใช่หรือเปล่า อาจารย์เคยแต่ได้ยินว่าเกิดเป็นคนต้องยกตัวเองให้สูง อย่ากดตัวเองให้ต่ำ ดึงตัวเองให้ดีอย่าลากตัวเองให้ชั่วร้าย นี่แหละเรียกว่าคนประเสริฐ จริงไหม (จริง)  ถ้าอย่างนั้นเราเกิดเป็นคนทั้งทีเป็นมนุษย์ที่ใครๆ ก็เรียกว่ามนุษย์ผู้ประเสริฐ เราควรจะดึงตัวเองให้โง่ดักดานหรือว่าดึงตัวเองให้สูงยิ่งขึ้น
ฝ่ายหญิงอาจารย์ไม่ค่อยห่วง เสียอย่างเดียวคือปาก ฝ่ายชายเสียหลายอย่าง และหลายอย่างที่เสียก็มักจะพลาดเพราะอบายมุข และเสียก็เพราะผู้หญิง ฉะนั้น ถ้าถามว่าถ้ามีโอกาส ที่เราได้เกิดเป็นคนทำไมไม่ดึงตัวเองให้สูง ทำไมต้องดึงตัวเองให้ต่ำ  หน้าตาอย่างเราดีไม่ขึ้นหรือ ดีขึ้นไหม (ขึ้น)  อาจารย์ขอดูหน้าหน่อยนะ หน้าที่บอกว่าไม่รอด อย่าก้มหน้า  กล้าทำก็ต้องกล้ารับ แต่อาจารย์มองหน้าแต่ละคน ก็ดีๆ  ทั้งนั้นนะ ถึงเวลาเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องไหม
วันนี้ให้มาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แตกแถวไหม สวรรค์ในอกนรกในใจ  ผู้หญิงชอบเสียเรื่องปาก  ผู้หญิงจะดีจะร้าย ไม่ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ถ้าปากพูดไม่หยุดก็ดูไม่ได้นะ  คนโบราณพูดว่า คนที่พูดเรื่องชั่วๆ  พูดเรื่องไม่ดีของคนอื่น คนนี้เกิดมาพร้อมกับมีขวานอยู่ในปาก ชอบถากถาง ชอบฟันคนให้เจ็บปวด หรือบางทีคนพวกนี้เกิดมามีมีดในปาก ชอบทิ่มแทง บุคคลใดที่ควรสรรเสริญแต่เราตำหนิ แต่บุคคลใดที่ควรตำหนิ เรากลับสรรเสริญ คนเหล่านี้เรียกว่า มีปากเอาไว้อมความชั่ว ฉะนั้นเราเป็นประเภทนี้ไหมศิษย์ ไม่เคยนินทาใครเลย ไม่เคยด่าใครเลย  อาจารย์ชักหนาวๆ  ร้อนๆ  แล้ว ที่เงียบแสดงว่ามีขวาน ทุกคนเลย ที่ไม่พูดแสดงว่ามีมีดทุกคนเลยใช่ไหม  ผู้ปฏิบัติงานธรรมไม่ตอบให้ชื่นใจหน่อย  เคยนินทาไหม (เคย)  แสดงว่าในปากมีขวานทุกคนเลยใช่ไหม อย่าให้ปากเราเสีย อย่าให้ปากพาจน เพราะโรคภัยไข้เจ็บไม่น่ากลัวเท่าปากเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะภัยร้ายขนาดไหนไม่เท่ากับปากเราพาจน ผู้ชายก็เหมือนกันอย่าไปว่าเขาเลย เห็นอย่างนี้ไม่พูด ถ้าพูดแล้ว โอย ออกมาได้อย่างไรเจ็บนะ วันนี้อาจารย์ขอมาพูดเรื่องง่ายๆ ดีไหม ในตัวมนุษย์เรามีสิ่งที่ดีงาม แต่ก็มีอีกสิ่งที่เรียกว่าผลาญความงามในตัวเรา เคยได้ยินไหม นักเรียนชั้นนี้ คิดว่าเราดีไหม (ดี)  แต่เวลาจะชั่วก็ชั่ว
อาจารย์ถามหน่อย ดีก็มี ชั่วก็มี แล้วแบบนี้เรียกว่าดีไหมศิษย์ แต่ถ้าดีก็มี ชั่วก็เก็บไว้ อาจารย์เรียกว่าชั่ว ไม่เรียกว่าดีนะ หรือที่เรียกว่าก้ำกึ่งๆ ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นเรามาคุยกันเรื่องนี้ มนุษย์เราทุกคนก็อยากเป็นคนดี แต่สาเหตุหนึ่งที่เราดีไม่ขึ้นเพราะว่าเรามีตัวผลาญความดี มีตัวทำลายความดีอยู่ในตัวเรา ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรหรือสาเหตุมาจากไหน แล้ววันนี้เรามารู้จักตัวที่ผลาญความดีในใจของเรา เรามารู้จักตัวที่ทำร้ายความดีในตัวเราดีไหม ถ้ากำจัดตัวร้ายได้เราก็คือคนดี ไม่ต้องทำอะไรก็ดีแล้วจริงไหม เหมือนเกิดเป็นคน เราอยู่ในโลก ถ้าเราไม่ทำอะไรใครก็มองเราดี แต่ถ้าเมื่อไรที่เราอ้าปากพูดอะไรผิด ความดีก็ค่อยๆ ลดไปเลยใช่ไหม ฉะนั้นคนดีที่แท้จริงขอแค่เพียงละชั่วได้นั่นก็ดีแล้ว แต่ในความเป็นจริงของมนุษย์ ดีแค่ไหนก็ชั่วแค่นั้น ก็เลยไม่เรียกว่า (ดี)  ใช่ไหม ดีขนาดไหนแต่ถ้าชั่วไม่ละนั่นก็ไม่อาจเรียกว่า (ดี)  แล้วศิษย์ของอาจารย์เป็นแบบนั้นไหม
การบำเพ็ญนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตน อยู่ในโลกนี้พูดน้อยๆ หน่อยก็ผิดน้อยหน่อย บาปก็น้อย ปัญหาก็น้อย เพราะโดยส่วนใหญ่ปัญหาของมนุษย์เราก็มาจากการที่เรามอง การที่เราฟัง การที่เราพูด โดยที่ไม่ใคร่ครวญไตร่ตรองให้ดี ใช่หรือเปล่า
ต้อนรับอาจารย์ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นเอาอะไรต้อนรับดี (เอาใจ)  เอาใจหรือ อาจารย์ว่าแค่เอาสติตั้งใจฟังที่อาจารย์พูดจะดีกว่านะ ใช่ไหม  ขอเพียงมีสติตั้งใจฟังที่อาจารย์พูดนั้นก็เป็นการที่ต้อนรับอาจารย์มากแล้ว ถูกไหม (ถูก)  อย่างนั้นตอนนี้อาจารย์ยืนศิษย์ก็ (ยืน)  อาจารย์นั่งศิษย์ก็ (ยืน)  ตกลงตามนี้ใช่ไหม (ใช่)  พูดอะไรไม่คิดเดี๋ยวต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองพูดนะ ถ้าอาจารย์ยืนศิษย์ก็ (ยืน)  ให้โอกาสแล้ว ฉะนั้นถ้าอาจารย์ยืนศิษย์ก็ (นั่ง)  อาจารย์นั่งศิษย์ก็ (ยืน)  ตกลงเอาอย่างไร (นั่ง)  อาจารย์ถามจริงๆ นะ ในโลกนี้ถ้ามีคนเอาตัวเองเป็นใหญ่ไม่สนใจคนอื่นจะอยู่ได้ไหม (ไม่ได้)  เห็นแก่ตัวเองเป็นหลักไม่สนใจคนอื่นจะรอดไหม (ไม่รอด)  แปลว่าถ้าอาจารย์ยืนศิษย์ก็ (ยืน)  ศิษย์เอยไปไหนอยากให้เขารัก อยากให้เขาเป็นห่วง อยากให้เขาดูแล ถ้าเขายืนศิษย์ก็ยืน ถ้าเขานั่งศิษย์ก็ยืน ถามจริงๆ จะไม่มีคนเป็นห่วงและรักศิษย์หรอก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอยากไปไหนก็เป็นคนที่รักของคนอื่น ใครๆ ก็อยากให้อยู่ด้วย เพราะว่าเป็นคนที่รู้จักลำบากก่อนคนอื่นสบายไม่เป็นไร แต่ศิษย์สบายก่อนคนอื่น ลำบากก็ไม่สนใจใคร แบบนี้ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รอด จริงไหม (จริง)  ถ้าเริ่มต้นไม่ถูกก็ผิดไปตลอดจริงไหม (จริง)  ทำอะไรอย่ามัวแต่ห่วงตัวเอง เพราะถ้ามัวแต่ห่วงตัวเองศิษย์จะไม่มีใครรัก โลกนี้คนเห็นแก่ตัวเยอะแล้ว เราอยากได้คนที่รู้จักเผื่อแผ่ รู้จักคิดถึงหัวอกคนอื่น รู้จักเสียสละให้คนอื่น ศิษย์ไม่อยากได้คนแบบนี้หรือ อยากได้ไหม (อยาก)  ฉะนั้นสิ่งที่ล้างผลาญความดีในใจศิษย์นั้นก็คือการการคิดเอาแต่ได้เอาแต่ตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนเช่นนี้ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีวันทำดีขึ้น จริงไหม (จริง)  คิดถึงแต่ตัวเอง คนอื่นช่างหัวมัน ตัวเองสบาย คนอื่นช่างหัวมันใช่ไหม (ใช่)  คนแบบนี้ถ้ามีอยู่ในใจนะ เป็นเรื่องที่ทำดีไม่ขึ้น ล้างผลาญความดีในใจหมด เหมือนถามว่าอยู่ในโลกนี้ให้ได้ก่อน แล้วค่อยให้เขา ศิษย์เป็นประเภทเอาก่อนหรือให้ก่อน (ให้ก่อน)  จริงหรือ (จริง)  ฉะนั้นสิ่งที่จะล้างผลาญความดีคือคนที่คิดเอาแต่ได้แล้วไม่รู้จักให้ แต่คนในโลกเอาก่อนแล้วค่อยให้จริงไหม (จริง)  ศิษย์ไปตบหัวเขา ไปทำเขามาแล้ว แล้วศิษย์ค่อยไปทำบุญอย่างนี้เรียกว่าดีไหม (ไม่ดี)  ฉะนั้นเมื่อไหร่คิดเอาก่อนให้ คนนั้นไม่มีวันดีขึ้นได้จริงไหม (จริง)  เราเป็นแบบนั้นไหม (ใช่)  ต่อไปจะไม่เป็นใช่ไหม (ใช่)  แต่ก่อนมาเป็นใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามง่ายๆ อาจารย์ตบหัวคนกลุ่มนี้ แล้วอาจารย์ค่อยไปทำดีกับกลุ่มนี้ล้างกันได้ไหม (ไม่ได้)
ศิษย์บอกว่า อาจารย์ไม่ได้หรอก โลกใบนี้ต้องหาให้เต็มที่ก่อน ไปเอามาให้เต็มที่ก่อน แล้วค่อยทำบุญใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับมนุษย์ก็คือ มนุษย์มีความดีแต่ก็มีสิ่งที่น่ากลัว คือสิ่งที่คอยล้างผลาญความดีของเรา อย่างแรกก็คือเห็นแก่ตัวมากกว่าเห็นแก่ส่วนรวม เอาตัวเองเป็นหลัก ผู้อื่นเป็นรอง คนที่คิดแบบนี้อยู่ที่ไหนก็จะทำความดีไม่ขึ้น อาจารย์ถามศิษย์นะ ถ้าสมมติมีโอกาสได้ขนมหนึ่งถุง แต่มีคนสองคน เอาก่อนแล้วค่อยให้ หรือให้ก่อนแล้วค่อยเอา (เอาก่อน, ให้ก่อน) ให้ก่อนแล้วก็บอกว่าแกแบ่งฉันบ้างสิอย่างนั้นเหรอ แปลว่าให้แล้วหวังผลใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากจะให้ต้องไม่หวังผล จะได้ไม่ล้างผลาญความดีถูกหรือไม่ ฉะนั้นถ้ามีโอกาสได้ แต่เราเอาน้อยหน่อย ดีกว่าไหม (ดี)
ฉะนั้นสิ่งที่ล้างผลาญความดีอีกอันหนึ่งที่มีอยู่ในใจมนุษย์ก็คือไม่ชอบเสีย ชอบได้ ไม่ชอบยอม  ฝ่ายชาย ยอมไหม (ยอม)  แล้วถ้าโดนเขาเตะมา ยอมไหม บางครั้งอยากอยู่ในโลกให้เป็นที่รักและใครๆ ก็คิดถึงนั้นสิ่งที่อาจารย์พูดไปเป็นตัวผลาญความดีในตัวเราจริงไหม ไม่ค่อยยอมให้ก่อนชอบได้ก่อนแล้วค่อยให้ ใช่หรือไม่ ใจที่ไม่รู้จักยอม เป็นใจที่ทำให้เราดีขึ้นยาก ใจที่คิดถึงตัวเองมากๆ มากกว่าการคิดถึงคนอื่นก็ทำให้ตัวเองดีขึ้นยาก และอีกอย่างคือใจที่คิดร้ายมากว่าคิดดี  เวลาเจอใครเรามักคิดดีมากกว่าหรือคิดร้ายมากกว่า
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายสองท่านออกมาหน้าชั้นเรียน) เวลาเจอคนแบบนี้ศิษย์คิดดีหรือศิษย์คิดร้าย ขนาดศิษย์เองยังหัวเราะเลย อาจารย์ถามจริงๆ เวลามีคนมาทำดีกับศิษย์แล้วหน้าตาเขาแบบนี้ ยืนแบบจิ๊กโก๋ๆ หน่อยศิษย์ เราคิดดีขึ้นไหม คิดดีหรือคิดร้าย ในความเป็นจริงศิษย์เอยยอมรับที่เราทำดีไม่ขึ้นเพราะเวลาเรามองใครส่วนใหญ่เรามองลบมากกว่ามองบวก เรามองร้ายมากกว่ามองดี แล้วจริงๆ เราลบหรือเราบวก พยายามบวกอยู่ ใช่หรือไม่ ทั้งที่จริงๆ ลบมาตลอด ใช่ไหมศิษย์ ถ้าอย่างนั้นลองทำหน้าให้ดูบวกหน่อย
อย่างนั้นเปลี่ยนเป็นคนนี้ พระอาจารย์ถามศิษย์ พอเป็นคนนี้คิดดีหรือคิดร้าย (ดี)  หน้าตาดูน่าจะดีใช่ไหม พระอาจารย์เปรียบเทียบให้ดูว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่ล้างผลาญความดีในใจของมนุษย์ก็คือ เวลามันเห็นชัดเจน บางทีเราก็อยากทำดีกับคนอื่น แต่บางทีหน้าตาดูไม่น่าจะดี ศิษย์เอ๋ยหน้าตาศิษย์จะน่ารักทันทีถ้าศิษย์ยิ้มเยอะๆ แต่คนนี้ไม่ยิ้มก็รู้สึกว่ารอดปลอดภัย ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในการดำเนินในชีวิตของเราก็คือ บางครั้งเราอยากเป็นคนดี เราอยากทำสิ่งที่ดี แต่ใจของเราคอยที่จะคิดร้ายมากกว่าคิดดี เพราะคนในโลกนี้ไม่หวังสิ่งนี้ก็หวังสิ่งนั้น ใช่หรือไม่ ถึงเราอยากจะทำดีแค่ไหนแต่หน้าตาไม่น่าไว้ใจ ใช่ไหม ฉะนั้นสิ่งที่ล้างผลาญความดีในใจของเราอีกอย่างหนึ่งก็คือ เวลาเรามองอะไรเรามักจะชอบมองลบมากกว่ามองบวก มองในแง่ร้ายมากกว่าในแง่ดี
ตัวที่ล้างผลาญความดีทำให้คนเราไม่สามารถดีขึ้นได้ นั่นก็คือ เวลามีโอกาสจะทำดีเราไม่ค่อยทำ เราชอบผิดศีลขาดธรรม ฉะนั้นคนที่ดีไม่ขึ้นก็คือคนที่ไม่เคยมีศีลมีธรรม ทำอะไรไม่เคยคำนึงถึงศีลธรรม ฉะนั้นถ้ามีชีวิตอยู่เอาแต่ตัวเองเป็นหลัก ไม่คำนึงถึงศีลธรรม โอกาสที่จะดีขึ้นดียากไหม (ยาก)  ยกตัวอย่าง วันนี้เขาชวนมาฟังธรรมะ แต่เราว่าไปดื่มเหล้าสักเป๊กสองเป๊กดีไหม แล้วค่อยไปฟังธรรมะ พอเหล้าเข้าปาก เป๊กเดียวไม่พอจริงไหม สิ่งที่น่ากลัวที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถดีขึ้นได้คือ หนึ่งขาดจิตสำนึกแห่งศีลธรรม  สอง ทำอะไรชอบเอาแต่ตัวเองเป็นหลักไม่ค่อยมีสติ เอาแต่อารมณ์เป็นใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์จะบอกให้นะศิษย์เอย กลุ่มโน้นแอบนินทาศิษย์ ว่าไม่ได้เรื่อง แก่ก็แก่ เหี่ยวก็เหี่ยว โกรธไหม (ไม่โกรธ)  ไม่โกรธหรือ โกรธไม่ไหวเพราะหน้าตาดุ  อีกสิ่งหนึ่งคือ เราชอบทำอะไรขาดสติ เอาอารมณ์เป็นใหญ่ เขาด่ามา ด่าตอบ อย่างนี้แหละดีไม่ขึ้น เขาเตะมา เตะไป นั่นแหละดีไม่ขึ้น และอีกอย่างที่ทำให้เราไม่สามารถมองเห็นความเป็นจริงได้อย่างแจ่มชัด สรุปสิ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถดีขึ้นได้เป็นข้อๆ ดังนี้
ข้อหนึ่ง ไม่สามารถครองในศีลในธรรมได้
ข้อสอง ไม่สามารถมีสติในการดำรงชีวิตได้ ถืออารมณ์เป็นใหญ่
ข้อสาม มองไม่เห็นความเป็นจริงของโลก จึงถูกภาวะของโลกลวงหลอกและทำความดีไม่ขึ้น
ฉะนั้นสิ่งที่ล้างผลาญความดี ภายนอกและภายในอยู่ที่ตัวศิษย์เอง ธรรมะจึงสอนไว้ว่า จงฉลาดในการใช้จิตของตัวเองให้เป็น จงฉลาดในการดำเนินชีวิต แล้วรู้จักควบคุมจิตของตัวเองให้ได้ เพราะโลกนี้ แม้จะจริงสักแค่ไหน ถ้าเราเห็นได้ชัด เข้าใจได้ถูกต้อง มันก็ลวงหลอกเราไม่ได้  ส่วนใหญ่คนทำอะไรจะใช้อารมณ์และขาดสติ ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ สติเตลิดปัญญาก็ไม่มี
ฉะนั้นสติจะทำให้เรากลับมาสู่ความเป็นกลาง และไม่เอาอะไรเข้าข้างตัวเอง เมื่อพูดถึงสิ่งที่ล้างผลาญความดีแล้ว อาจารย์ถามหน่อยว่า เกิดเป็นคนเราดีได้ไหม (ได้)  แล้วเราดีจนสุดลมหายใจได้ไหม (ได้)  เราดีจนถึงที่สุดได้ไหม   แต่ศิษย์หลายคนบอก อาจารย์แต่ดีแล้วมันเหนื่อยบางครั้งดีแล้วมันท้อนะ ถ้าทำดีแล้วเหนื่อยแปลว่ายังยึดติด ถ้าทำดีแล้วท้อแปลว่ายังคาดหวัง แต่ถ้าทำดีที่แท้จริงจะไม่เหนื่อยจะไม่ท้อ เพราะว่าการทำดีทำเพื่ออะไรรู้ไหม เราทำดีเพื่อขอสองตัวใช่ไหม เราทำดีเพื่อขอพรให้ตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นเราทำดีเพื่ออะไรหรือ อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้ทำไมเกิดเป็นคนต้องทำดี หลายคนบอกว่าดีบ้างไม่ดีบ้างก็ได้อาจารย์ วันนี้ดีพรุ่งนี้ไม่ดีก็ได้ใช่ไหม ศิษย์คิดออกไหมว่าทำไมต้องทำดี ตอบไม่ได้เลยหรือ (ทำให้มีความสุข)  เพราะทำดีทำให้มีความสุข ทำชั่วทำให้เราทุกข์ใจ ฉะนั้นถ้าเราทุกข์แปลว่าเราทำชั่วมาใช่ไหม (ใช่)  แล้วชีวิตสุขมากกว่าทุกข์ไหม หรือทุกข์มากกว่าสุข (ทุกข์มากกว่า)  อย่างนั้นแปลว่าศิษย์แอบทำชั่วมากกว่าทำดี ถูกไหม
อาจารย์จะบอกให้ว่าเหตุผลหนึ่งที่เราต้องทำดี เพราะเราทำดีเพื่อป้องกันไม่ให้จิตเราคิดชั่ว เราทำดีเพื่อป้องกันไม่ให้จิตไหลลงต่ำ เราทำดีเพื่อควบคุมจิตเราไม่ให้เลวร้าย ฉะนั้นที่เราทำดีไม่ใช่ต้องการผล แต่ที่เราทำดีเพราะป้องกันตัว ใครทำดีแล้วหวังผลความดีนั้นไม่ถูกต้อง จริงไหม (จริง)  เพราะเหตุผลของการทำดีคือป้องกันจิตให้ไม่ไหลลงต่ำ ไม่ให้ผลาญความดี เหมือนทำไมเราเลือกที่จะทำดีไม่ทำชั่ว เพราะว่าถ้าทำชั่วแล้วผลก็คือความทุกข์ แต่ทำดีผลคือความสุขความร่มเย็น แล้วเราเลือกทำดีหรือทำชั่ว (ทำดี)  โดยส่วนใหญ่มนุษย์จะบอกว่า  ก็อยากทำความดี แต่ดีบ้างชั่วบ้างไม่เป็นไร อาจารย์จะบอกศิษย์นะ ศิษย์เอยถ้าผิดไปแล้วจึงค่อยมาทำดีลบล้างมันสายไป ถ้าทุกข์แล้วจึงค่อยมาฝึกจิตมันช้าไป ฉะนั้นฝึกทำตัวเองดีๆ ไว้ดีไหม (ดี)  แล้วจะทำดีอย่างไรง่ายๆ กับพ่อแม่เราต้องรู้จัก (กตัญญู)  กับหน้าที่เราต้องรู้จัก (รับผิดชอบ)  รับผิดชอบแล้วก็ซื่อตรงด้วย
เอาเปรียบคนอื่นแล้วเอาตำแหน่งใหญ่ๆ เอาเงินเยอะๆ อย่างนี้ก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ กับเพื่อนฝูงเราต้อง (จริงใจ)  จริงใจ มีน้ำใจ เคารพให้เกียรติ อย่างนี้แปลว่ารู้จักมีธรรม มีศีลแล้วยังมีธรรม สมมติค้าขายอย่างไรไม่ให้ผิดศีล มีชีวิตอย่างไรไม่ให้ผิดศีล คนเราโดยส่วนใหญ่ ตัวศิษย์เองโดยส่วนใหญ่สุขภาพแข็งแรงดีไหม (ไม่ดี)  เจ็บออดๆ แอดๆ ไหม ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้ว่าการมีศีลป้องกันความชั่วอย่างเดียวไม่พอ การมีศีลยังป้องกันให้เราไม่ต้องเจอเคราะห์ร้ายด้วย เพราะคนที่ไม่เบียดเบียน ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนคนทางตา กาย วาจา ใจ จะเป็นคนที่อยู่ที่ไหนก็มีความสุข แต่คนที่ชอบเบียดเบียนคนอื่น ด่าเขาทางตา ปากก็ว่า ใจก็ตำหนิคิดร้าย คนอย่างนี้ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุข ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เจริญ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการมีศีลก็คือการฝึกให้เรามีเมตตาจิต ไม่เบียดเบียนชีวิตคนอื่นเพื่อชีวิตตัวเอง แล้วเราเบียดเบียนไหม ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตใช่ไหม        ยืมมือคนอื่นฆ่าใช่ไหม ถูกหรือไม่ ฉะนั้นการที่เราประพฤติดีก็เพื่อป้องกันให้เราไม่ประพฤติชั่ว การบำเพ็ญธรรมมีสามระดับ ระดับแรกเรียกว่าระดับศีลคือละชั่ว ระดับที่สองคือระดับคุณธรรมเพื่อบำเพ็ญบุญ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าศีลสิบได้ครบ ศิษย์จะปัญญาดีไหมฝ่ายชาย เรียนหนังสือดีไหม สมองฉับไหวไหม ถ้าสูบบุหรี่เก่ง กินเหล้าเก่ง สมองจะไม่ดี จริงไหม (จริง)  ถ้าพูดโกหกเก่ง พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อถือ ใช่ไหม ถ้าชอบมีกิ๊ก ใครก็ไม่มีวันซื่อตรงกับเราเพราะตัวเราไม่เคยซื่อตรง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ารู้จักเคารพให้เกียรติ ไปอยู่ที่ไหนครอบครัวก็ร่มเย็นจริงไหม (จริง)  ถ้าปฏิบัติศีลได้ดี มีหรือชีวิตจะไม่มีความสุข มีใครกล้ายกมือแล้วบอกอาจารย์ดังๆ ว่าศีลห้าเราถือครบ
การบำเพ็ญธรรม อาจารย์ขอแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ มีศีลป้องกันความชั่ว มีธรรมได้บำเพ็ญบุญ ธรรมระดับคุณธรรมจะช่วยให้เราได้สร้างบุญ อาจารย์ถามจริงๆ มีครอบครัวร่มเย็นไหม ไปอยู่ที่ไหนอยากสงบสุขไหม แต่ถ้าศิษย์มีแต่ศีล ศิษย์ไม่มีคุณธรรมความเป็นคนไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ร่มเย็นจริงไหม ฉะนั้นถ้าเกิดศิษย์อยาก อยู่ที่ไหนก็ร่มเย็น อยู่กับใครก็มีสุข ไม่มีทุกข์ทางใจ ศิษย์ก็ต้องมีทั้งศีลและธรรม ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้ามีศีลธรรมครองใจ มีศีลธรรมครองชีวิต อยู่ในโลกก็ไม่ค่อยน่ากลัวแล้วใช่ไหม บาปเราก็ไม่สร้างแล้ว อันแรกคือธรรมระดับศีล อันที่สองคือธรรมระดับคุณธรรม ธรรมระดับคุณธรรมช่วยสร้างบุญ นี่ล่ะละชั่วบำเพ็ญบุญ ศิษย์มักจะพูดกับอาจารย์เสมอว่าเป็นคนดีแล้วชั่วก็ไม่ทำแล้วแต่ทำไมเรายังหนีไม่พ้น (ทุกข์)
เพราะอันนี้ไม่ทำให้ศิษย์ไหลลงต่ำ ไม่ถูกความชั่วผลาญให้กลายเป็นคนดีไม่ขึ้น  คุณธรรมอะไรที่ช่วยสร้างบุญ ใครนึกออกบ้าง ปฏิบัติร่วมกันแล้วทำให้เกิดบุญ ใครตอบได้บ้าง (ซื่อสัตย์, สุจริต)  ตอบได้ดีปรบมือหน่อย  เอาขนมไปหนึ่งอัน  มีอะไรอีก (ซื่อสัตย์) ถ้านึกไม่ออกแสดงว่าชีวิตนี้ไม่เคยมีคุณธรรมอะไรนะ (จิตอาสา, ช่วยเหลือคนที่ลำบากกว่า, รู้จักแบ่งเวลาช่วยเหลือคน)  อาจารย์อยากบอกอย่างหนึ่งที่พูดคำหนึ่ง แล้วสามารถรวมได้ทุกอย่างคุณธรรมอะไร รู้ไหม  กล้าพูด ก็ต้องกล้าทำ ลุกขึ้นมาตอบ (พ่อแม่ยังอยู่ดูแลพ่อแม่, เคารพให้เกียรติ)
(เมตตา)  ถามในใจลึกๆ จิตเมตตาที่รู้จักสงสารคนอื่นมีในใจเราไหม (มี)  หากเราแผ่ความเมตตานี้ให้กว้างๆ เราจะมีน้ำใจไหม เราจะด่าคนอื่นไหม เราจะเบียดเบียนคนอื่นไหม เราจะคดโกงคนอื่นไหม เราจะชิงชังคนอื่นไหม (ไม่)  ฉะนั้นถ้ามีเมตตาหยั่งลึกลงในจิตใจ ความชั่วจะไม่เกิดเลยจริงไหม (จริง)  แล้วเรามีเมตตาไหม เมตตาแต่ตัวเองกับคนอื่นไม่เมตตาใช่ไหม (รู้จักปล่อยวาง)  รู้จักปล่อยวางหรือ ยังไม่ทันได้ทำก็ปล่อยแล้ว ต้องทำให้เต็มที่ก่อน ถ้ายังไม่ทำแล้วปล่อยเขาเรียกว่าไม่รับผิดชอบ ใช่ไหม (ใช่)  ต้องทำให้ถูกต้องทำให้ดีที่สุดก่อน เมื่อทำจนถึงที่สุดดีที่สุดเราควรปล่อยวาง ผลจะเป็นอย่างไรต้องกล้ายอมรับ นี้ล่ะถึงจะเรียกว่าถูกต้อง
ฉะนั้นเริ่มต้นง่ายๆ นะ ศิษย์เอยการบำเพ็ญธรรมระดับคุณธรรมก็คือ
1. ต้องเมตตา
2. ต้องซื่อตรง
3. ต้องมีมโนธรรมสำนึกที่ดีงาม
เกิดเป็นคนถ้าขาดซึ่งมโนธรรมสำนึกที่ดีงาม เราก็พร้อมที่จะทำชั่วได้ จริงไหม (จริง)  อาจารย์จะบอกอีกนะ ศิษย์บำเพ็ญถึงสองระดับนี้ก็ยังไม่สามารถทำให้ตัวเองพ้นทุกข์ได้
ฉะนั้นระดับที่สามคือ บำเพ็ญระดับสัจธรรม เข้าถึงความเป็นจริงแห่งธรรมะ อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ อาจารย์ถามว่าในโลกนี้มีใครบ้างไม่มีทุกข์ (ไม่มี)  ทุกคนล้วนมีทุกข์ ทุกข์ตั้งแต่เกิดจน (ตาย)  สมมติอาจารย์มีแอปเปิ้ลผลหนึ่ง กินแล้วมีสุข กินแล้วมีบุญ กินแล้วโชคดี เอาไหม (เอา)  แต่ศิษย์อย่าลืมนะแอปเปิ้ลของอาจารย์โชคดีแค่ไหนก็โชคร้ายแค่นั้น เอาไหม (เอา, ไม่เอา)  มีบุญแค่ไหนก็อาจจะมีบาปแค่นั้น เอาไหม (เอา)
 แอปเปิ้ลอาจารย์กินแล้วมีบุญ เอาไหม แต่บุญมากเท่าไหร่ก็บาปมากเท่านั้น โชคดีขนาดไหนก็โชคร้ายขนาดนั้น กินแอปเปิ้ลอาจารย์แล้วถูกลอตเตอรี่ 3 ตัว แต่ที่เหลือถูกกินหมดทุกงวด แอปเปิ้ลของอาจารย์ได้แล้วสมหวัง แต่สมหวังขนาดไหนก็ต้องผิดหวังมาก เอาไหม (ไม่เอา)  อาจารย์ถามศิษย์หน่อย เราอยู่ในโลกมีอะไรเราก็ทุกข์ มีแฟนก็ทุกข์เพราะ (แฟน)  มีลูกก็ทุกข์เพราะ (ลูก)  มีเงินก็ทุกข์เพราะเงิน (เงิน)  มีเสื้อผ้าก็ทุกข์เพราะ (เสื้อผ้า)  มีเพื่อนก็ทุกข์เพราะ (เพื่อน)  แฟน เงิน เสื้อผ้า ลูก สามี ภรรยา เป็นต้นเหตุของความทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  แฟนของศิษย์ให้ศิษย์มีสุขขนาดไหนก็ให้ศิษย์ทุกข์มากขนาดนั้น เงินให้ศิษย์สุขขนาดไหน มันก็ให้ศิษย์ทุกข์มากขนาดนั้น ใช่ไม่ใช่ แอปเปิ้ลยังไม่เอาแล้วแฟนเอาไหม (เอา)  แล้วเงินเอาไหม (เอา)  ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย รู้ว่ามีแล้วทุกข์ รู้ว่ามีแล้วไม่รอด รู้ว่ามีแล้วมันเจ็บ เอาไม่เอา (ไม่เอา)  แต่ถึงเวลาเราเห็นชัดขนาดนั้นไหม (ไม่เห็น)
(พระอาจารย์เมตตาเชิญนักเรียนรองหัวหน้าชั้นออกมายืนหน้าชั้น)  เหมือนตอนแรกได้แฟนมาใหม่ๆ อาจารย์ชอบได้ฟังบ่อยๆ บุญอะไรมาหนุนนำกันหนอ ฟ้าสร้างบุญให้เรามาเกิดคู่กัน ใช่ไหม แต่พอนานไป กรรมอะไรของฉัน ถูกไหม แล้วมันต่างอะไรกับแอปเปิ้ลอาจารย์ ตอนแรกกินแล้วบุญแต่ตอนนี้กรรม ถูกไหม
ฉะนั้นสิ่งที่ล้างผลาญความดีคือสิ่งที่เรามองไม่เห็นความจริงในโลกจนแจ่มชัด ถ้าเราเห็นจนแจ่มชัดจะไม่ลวงให้เราหลง ไม่ลวงให้เราทุกข์ได้  ถ้าเรารู้ว่า มีความรัก สุขขนาดไหน ก็ทุกข์ขนาดนั้นจริงไหม  มีคนที่น่ารักดีกับเราขนาดไหน เขาก็ร้ายขนาดนั้น เอาไหม (เอา)  ในโลกแห่งความเป็นจริง ถ้าอยากรู้ทุกข์และหนทางพ้นทุกข์ ต้องมองให้ชัดอย่าหลอกตัวเอง อย่าหลอกจิตตัวเอง มีอะไรบ้าง ที่มีแล้วไม่ทุกข์ มีอะไรบ้างได้แล้วมีแต่สุขแล้วไม่ทุกข์ (ไม่มี)  ฉะนั้นสิ่งที่เราครอบครอง ควรครอบครองให้น้อยที่สุดหรือครอบครองให้มากที่สุด  อยากให้มากที่สุดแล้วทุกข์มากที่สุด หรืออยากให้น้อยแล้วทุกข์น้อยลง  ในเมื่อเราเห็นชัดว่า มีอะไรก็ทุกข์ จะเอาอีกไหม  ถ้าอย่างนี้ ศิษย์จะทำอย่างไร เมื่ออยู่แล้วมันทุกข์  ตอนแรกมันก็สุขนะ และตอนนี้ถ้าทุกข์ละ  ศิษย์บอกอาจารย์มันทุกข์ไม่ไหวแล้ว ทำไมทำกับผมอย่างนี้ ทำไมหน้าซื่อใจคด ทำไมหน้าหวานแต่ใจขมเหลือเกิน รับไม่ได้แล้ว อาจารย์จะบอกให้ว่า ปัญหาบางอย่างที่ทำให้ศิษย์ทุกข์แล้วใจรับไม่ไหว ศิษย์เคยได้ยินไหม ขยายใจให้กว้าง กว้างจนปัญหามันเหลือนิดเดียว ที่รับไม่ไหวเพราะใจเราแคบ ใจเรายึดติด ใจเรามีกรอบ ทุกข์มาก็เจ็บง่าย แต่ถ้าต่อไปนี้ทุกข์มาเปิดใจให้กว้าง วางใจให้ใหญ่
เรื่องที่แย่ขนาดไหน ถึงแม้ว่ามันจะหนักขนาดไหน มันก็จะกลายเป็นเรื่องที่เล็ก (นิดเดียว)  เหมือนอย่างฉันทุกข์กับเธอเหลือเกิน ทุกข์เหลือเกิน ในเมื่อมองหน้าแล้วทุกข์ หันไปมองคนอื่นเผื่อจะหาย หันไปหาคนใหม่ดีไหม เผื่อจะหาย ถูกไหม (ไม่ถูก)  คนที่คิดอย่างนี้ เรียกว่าความวัวยังไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก แล้วเราก็ชอบเป็นแบบนี้ อันนี้ไม่ดีไปหาควายใหม่เลย ธรรมะคนโบราณก็สอนแล้ว ความวัวยังไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรกอีก ศิษย์เอยเมื่อเราอยู่กับเขาแล้วทุกข์  เคยได้ยินไหม ว่าต้องมองให้กว้าง ใครบ้างไม่ผิดหวัง  ไม่อกหัก ไม่ล้มแล้ว ไม่เคยเจ็บป่วย พอคิดอย่างนี้ ฉันก็ทุกข์ คนอื่นก็ทุกข์ไม่ต่างกัน เราเลยมองว่าเราทุกข์น้อยลง แล้วเรากับเขาก็ทุกข์ไม่ต่างกันจริงไหม พอคิดอย่างนี้ เราก็ไม่จมอยู่กับความทุกข์ จะวางความทุกข์ได้ เพราะยังมีคนอีกมาก ที่ทุกข์มากกว่าเรา และเคยได้ยินไหม เวลาเราทุกข์ เราจะจมอยู่กับความทุกข์ เราจะหนีทุกข์ หรือเอาทุกข์มาทำให้เราพ้นทุกข์ (เอาทุกข์มาให้พ้นทุกข์)
ถ้าอย่างนั้น เรามาเปลี่ยนกรรมให้สิ้นกรรม แล้วเปลี่ยนกรรมเป็นการสร้างบุญสร้างทาน ดีไหม (ดี)  ศิษย์ชอบทำบุญ ทำทานไหม (ชอบ) อะไรที่ทำให้เราทุกข์แล้วเราแปรเป็นบุญ แปรเป็นทาน แปรเป็นหนทางพ้นทุกข์ เราทำได้ไหม (ใช่)  บุญคือเครื่องชำระล้างกิเลส ให้หมดสิ้นไปจากใจ แล้วใจบริสุทธิ์ บุญคือทำให้เราสงบใช่หรือไม่  ฉะนั้นถ้าเกิดเขาทำเราทุกข์ แต่เราจะแปรทุกข์ให้เป็นบุญ เขาทำเราทุกข์ เขาทำให้เรามีกรรม เราจะทำให้เราสิ้นกรรม ฉะนั้นเขาทำเราทุกข์มากขนาดไหน เราก็จะบอก ดีแล้วได้ละกรรมออกไปจากใจ ฉันได้ละความเกลียดออกจากใจ ฉันจะได้รักเธอมากๆ  ฉันจะต้องซื่อตรงกับเธอ เธอจะคดโกงฉันอย่างไร ฉันก็จะซื่อตรง  ฉันก็จะเอาธรรมะให้เธอ  ฉันก็จะเมตตาเธอ เธอจะใจร้ายขนาดไหน ฉันจะแปรเปลี่ยนเธอ แปรความร้ายให้เป็นความดี  แปรบาปให้เป็นบุญ แปรกรรมให้เป็นสิ้นกรรม เอาไหมละ (เอา)
ถ้าศิษย์สามารถทำทานกับคนได้ ศิษย์ก็แปรคนร้ายให้กลายเป็นพระ แปรบ้านให้กลายเป็นวัด ฉะนั้นถ้าเขาด่าศิษย์แล้วศิษย์ไม่ด่ากลับ แต่ศิษย์บอกว่าศิษย์จะเปลี่ยนแปรกรรมให้เป็นบุญ ฉะนั้นถ้าเขาด่าเรามา เราจะสละความโกรธ เราจะเมตตา เราจะเอาธรรมให้เขา เราจะซื่อตรงกับเขา อย่างนี้แปลว่าใครด่าเรามา เราก็ได้สร้างบุญ ถูกไหม ใครด่าเรามา เราให้ธรรมะเป็นทานและธรรมะของเราให้แบบไม่เจาะจงด้วย เราได้ทำสังฆทานด้วย จริงไหม (จริง)  ประเสริฐกว่าไหม (ประเสริฐกว่า)  เราไม่จำเป็นต้องทำบุญที่วัดใช่ไหม ถ้าทำแล้วสละกิเลส สละความยึดมั่นถือมั่น แล้วก็ก่อเกิดเป็นคุณธรรม ทำให้กิเลสหายไปจากตัว แล้วก่อเกิดเป็นความอบอุ่นร่มเย็น สงบสุข นั่นก็แปลว่าเราจะอยู่กับใคร เราก็สามารถสร้างบุญสร้างทานได้ ใช่ไหม ฉะนั้นเราแปรทุกข์ให้เป็นความพ้นทุกข์ได้ไหมล่ะ (ได้)  เขาอยากจะมีกิ๊ก ก็ช่างเขา เราไม่กิ๊กกับใคร เราซื่อตรงกับเขา เพราะเราไม่รู้ว่าชาติก่อนเราทำอะไรกับเขาไว้บ้าง แต่ชาตินี้เราจะทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม ขอเพียงแค่ศิษย์ปฏิบัติต่อเขาด้วยความซื่อตรง ปฏิบัติต่อเขาด้วยความเมตตา ถึงเขาจะไม่ซื่อตรง ไม่เมตตาก็ช่างเขา เราปฏิบัติของเราไป อยากทำทานทุกที่ไหม (อยาก)  อยากทำบุญทุกที่ไหม (อยาก)  ทำไมเราไม่ทำกับคนในบ้านเราล่ะ ถ้าทำแล้วละความโลภได้ ทำแล้วละความโกรธได้ ทำแล้วทำให้ใจเราสงบสุข ใจร่มเย็นได้ ทำดีไหม (ดี)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาท ชื่อเพลง : อริยทรัพย์ในตน ทำนองเพลง : ตังเก)
ดูเอาเถอะนะเจ้ามาปลูกฟักทำไมได้แฟง ฟักลูกใหญ่กว่าแฟงแต่คล้ายๆ กัน แฟงลูกเล็กกว่าใช่ไหม เราอยู่ไม่ใช่มาเพื่อทุกข์แต่เราอยู่เพื่อพ้นทุกข์และเข้าใจในทุกข์และนำพาให้ตนพบธรรม แต่ปรากฏว่าเราอยู่เราก็ทุกข์ แล้วก็ทุกข์ แล้วก็ตายในความทุกข์ ช่างน่าเสียดาย
พระอาจารย์เมตตาชื่อสถานธรรม เต๋อเหยริน มีทั้งคุณธรรม มีทั้งความดีงามนำพาผู้คน
ห้องพระมีหลายที่นะศิษย์เอย เรามาศึกษาบำเพ็ญธรรมเพื่อนำพาให้ตัวเองเข้าใจในธรรม อยู่ร่วมกับคนได้อย่างเป็นสุข และนำพาตัวเองให้พ้นทุกข์ ศิษย์เอยทุกข์ไหม หน่ายไหม ท้อไหม (ท้อ)  ไม่ท้อนะยังมีลมหายใจก็สู้กันต่อไป แต่จะสู้อย่างคนที่จมปลักอยู่กับความทุกข์ หรือจะสู้อย่างคนที่รู้จักเอาทุกข์มาแปลบุญเป็นกุศล เป็นทางพ้นทุกข์เป็นการสิ้นกรรม จริงไหม (จริง)  คนเราอยู่ร่วมกันเพราะบุญกรรมกันมาก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ถามหน่อยเวลามีเรื่องอะไรกันมาเราอยากอยู่เพื่อจบกรรม หรืออยู่เพื่อเกี่ยวกรรม (จบกรรม)  อยากอยู่เพื่อมีบุญร่วมกรรมหรือมีบาปร่วมกัน (บุญร่วมกัน)  ฉะนั้นถ้าอยากอยู่ร่วมกันอย่างคนมีบุญร่วมกันไม่มีบาปไม่มีกรรม แล้วคนที่มีบุญร่วมกันก็ควรปฏิบัติต่อกันด้วยคุณธรรมไม่ใช่อารมณ์   
ควรปฏิบัติด้วยความถูกต้อง ใช่ไหม (ใช่)  ควรปฏิบัติต่อกันด้วยความดีงาม ใช่ไหม (ใช่)  แต่ทุกวันนี้ศิษย์ปฏิบัติต่อคนด้วยอารมณ์ล้วนๆ เลย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอารมณ์นำมาซึ่งความทุกข์ อารมณ์นำมาซึ่งกิเลส และอารมณ์นำมาซึ่งวิบากกรรม และวัฏฏะการเวียนว่าย
ศิษย์อยู่ในโลกมีทุกข์มามากพอแล้ว ทุกข์แห่งความเกิด ทุกข์แห่งความแก่ ทุกข์แห่งความเจ็บ และทุกข์แห่งความตาย หนีพ้นไหม (ไม่พ้น)  กลัวไหม (ไม่กลัว)  ศิษย์ของอาจารย์ไม่กลัวตายแล้วใช่ไหม (ไม่กลัว)  ไม่กลัวเจ็บแล้วใช่ไหม แปลว่าถ้าเกิดเจ็บแล้วจะเจ็บแค่กายไม่เจ็บที่ใจ ตายแค่สังขารแต่ใจไม่ตายใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์รู้ไหมว่าการเข้าใจธรรมจะทำให้เราพ้นทุกข์ได้อย่างไร ศิษย์เคยได้ยินไหมอยู่ในโลกหาเท่าไร มีก็เหมือนไม่มี เรามีเงินเป็นร้อย เรามีเงินเป็นสิบ แต่ทำไมมีก็เหมือนไม่มี เรื่องราวในโลกเรารู้มากมายแต่ทำไมถึงที่สุดรู้ก็เหมือนไม่รู้ แล้วเมื่อเราเรียนรู้ไปจนถึงที่สุด เราก็จะรู้ว่าในโลกนี้มีก็เหมือนไม่มี แบบนี้เรายังอยากอีกไหม (ไม่อยาก)  ในเมื่อถ้าเราเข้าใจหลักสัจธรรมอันนี้ก็ดีนะ แต่ถึงเวลาเราก็อยากอีก อาจารย์จะให้คาถาให้ศิษย์เอาไว้เวลาเจอทุกข์ จำไว้นะศิษย์ในโลกใบนี้เห็นก็เหมือนไม่เห็น มีก็เหมือนไม่มี รู้ก็เหมือนไม่รู้ จริงไหม (จริง)  ทำตัวรู้ไปหมดทุกอย่าง ที่เราว่ารู้ จริงๆ เรารู้ไหม (ไม่รู้)  ที่เราว่ามีเขา จริงๆ เรามีเขาไหม (ไม่มี)  ที่เราว่าได้ เราเคยได้อะไรไหม เมื่อไรที่เราทุกข์เพราะการมีใจ ถ้าเราทุกข์เพราะเรามีจิต อาจารย์ถามหน่อยในเมื่อใจของเรามันขยายใหญ่ได้ เมื่อใหญ่มากก็เจ็บมาก หรือใหญ่มากแล้วจะเจ็บน้อยลง ใจแคบใจเล็กยิ่งทำให้เราอึดอัด ใช่ไหม (ใช่)  แต่หากใจกว้างจนหาที่สุดไม่ได้เราจะทุกข์เราจะเจ็บน้อยลง จริงไหม (จริง)  เรามาดูนิสัยของใจ กับนิสัยของกิเลสหน่อยเอาไหม สมมติว่าตอนนี้ใจเรามีความทุกข์เข้ามาในใจ ความทุกข์มีรูปลักษณ์ไหม (ไม่มี)  โลภ โกรธ หลง มีรูปลักษณ์ไหม (ไม่มี)  ถ้าไม่มีก็แปลว่ามันพร้อมที่จะหายไปได้ทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเมื่อใดที่เราสนใจมันจากไม่มีจะกลายเป็น (มี)  จากไม่เหลือจะกลายเป็น (เหลือ)  ฉะนั้นถ้าตอนนี้เราเห็นหน้าเขาแล้วเราทุกข์ เราจะทำอย่างไรดี
เราทุกข์เพราะเราใส่ใจ เราเจ็บเพราะเราใส่ใจ ภาษาไทยมันบอกชัดเจนเลยเอามันมาใส่ใจ เราผิดหวังเพราะเรา (เอามันมาใส่ใจ)  ถ้าอย่างนั้นตอนนี้มันอยู่ในใจ เราจะทำอย่างไรให้มันลดไปจากใจ ทำอย่างไรให้มันออกไปจากใจ คิดออกไหม ทำอย่างไรดีจะได้ไม่ต้องทุกข์กับมัน มองเป็นอื่นดีกว่า เราเห็นเหมือนไม่เห็น เพราะถ้าเห็นแล้วมันทุกข์ มองแล้วมันเจ็บปวด แล้วเราทำเห็นเหมือนไม่เห็น ดีไหม (ดี)  แล้วเวลาความทุกข์มา ศิษย์จำไว้อย่างหนึ่ง อย่าเล่นกับความทุกข์ อย่าจริงจังกับความทุกข์ มันเข้ามาเราไม่ใส่ใจ เราไม่ปรุงแต่ง เราไม่เพิ่มความทุกข์เข้าไป เดี๋ยวความทุกข์มันจะหายไปเอง แต่ถ้าเมื่อไหร่เจ็บ ทำไมเขาทำอย่างนี้ ทำไมเขาไม่รู้จักตั้งใจฟัง อุตส่าห์สอนแล้วสอนอีก สอนแล้วก็เปล่าประโยชน์ นี่เขาเรียกว่าเอามันมาใส่ใจ แล้วเรายังปรุงแต่ง ยังใส่อารมณ์เข้าไป แล้วคนที่เจ็บเขาเจ็บกับเราไหม เขาทุกข์กับเราไหม เขาแค่นั่งหลับเฉยๆ  คนที่มีอารมณ์ คนที่โมโหก็เราทั้งนั้นเลย แล้วเราจะเหนื่อยไปทำไม ในเมื่อเขาไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย ถูกไหม ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะบอกนะศิษย์ เราทุกข์เพราะเราเอาเขามาใส่ใจแล้วยิ่งทุกข์ เราก็ไม่สนใจเขาสิ ในใจเรายังมีเรื่องให้คิด มีเรื่องอื่นให้น่าสนใจมากกว่าไม่ต้องไปดูดำดูดีเขาเลย  ถ้าเอามาคิดแล้วมันทุกข์ ถ้าใส่ใจแล้วมันทุกข์ก็เลิกคิดดีไหม
คำว่าปล่อยวางแปลว่าไม่กลับมาคิดอีก ศิษย์จำคำให้ดีๆ นะ มนุษย์รู้จักคำว่าปล่อยวางแต่ไม่เข้าใจคำว่าปล่อยวางที่แท้จริงคืออะไรใช่ไหม ฉะนั้นคำว่าปล่อยวางที่แท้จริงแปลว่า ถ้าคิดแล้วมันเป็นทุกข์ ปล่อยวางก็คือไม่เอากลับมาคิดซ้ำคิดซากให้ทุกข์อีก นั่นแหละเรียกว่าปล่อยวาง
พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “อริยทรัพย์ในตน”
เมื่อวานบอกไว้ใช่ไหมว่ามีเจ็ดอย่าง เพราะอริยทรัพย์อีกอันหนึ่งที่ประเสริฐก็คือการรู้จักเรียนรู้เข้าถึงความจริงจนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง ไม่ถูกโลกใบนี้ลวงหลอกอีกต่อไป
ขอให้เดินทางกลับโดยปลอดภัย ขอให้ความดีคุ้มครองศิษย์ วงเล็บเฉพาะคนที่รู้จักทำความดีโดยไม่ย่อท้อ ส่วนที่ดีบ้างเสียบ้าง อาจารย์ไม่รู้ เพราะความชั่ว มันก็ย่อมตามคนชั่วไป ฉะนั้นมีโอกาสทำดีแต่เลือกทำชั่ว ก็ช่วยไม่ได้  อาจารย์บอกไปแล้วนะ ชีวิตเรา เราเป็นคนขีดเส้นเอง อนาคตจะเป็นเช่นไรไม่ใช่ฟ้ากำหนด ไม่ใช่ใครเป็นคนกำหนด แต่เราต้องกำหนดด้วยตัวเราเอง ถ้าศิษย์ศรัทธาเชื่อมั่นในความดีงาม ความดีงามนั่นแหละจะคุ้มครองศิษย์เอง ไม่ว่าภพภูมิไหนความดีมันก็จะนำพาให้ศิษย์พบแต่สิ่งที่ดีงาม แต่ถ้าศิษย์เลือกประพฤติชั่ว ทำชั่ว ศิษย์เอ๋ยไม่ต้องชาติไหนหรอก   ชาตินี้ศิษย์ก็หนีไม่พ้นกรรมที่ศิษย์สร้าง ทำไมคนเราต้องมีธรรมะ เพราะธรรมะจะนำพามาซึ่งความสงบร่มเย็นในชีวิต ถึงที่สุดศิษย์จะหาอะไรก็ตามแต่ท้ายที่สุดศิษย์ไม่อยากได้ความร่มเย็นในชีวิตหรือ ศิษย์ไม่อยากได้ความสันติสุขในชีวิตหรือ แล้วสันติสุขร่มเย็นในชีวิตมันมาจากไหน มันก็มาจากความประพฤติที่ถูกต้องและดีงาม ใช่ไหม (ใช่)  ไม่มีใครทำร้ายเราหรอกนอกจากตัวเราเอง ไม่มีใครฆ่าศิษย์ให้ตายทั้งเป็นได้นอกจากความคิดของศิษย์เองที่ไม่ปล่อยวาง จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นโลกนี้อะไรจะเกิด ขอเพียงเราเชื่อมั่นในความถูกต้องดีงามว่าเราเกิดมาศีลเราไม่ขาด ธรรมเราไม่พร่อง หนทางดับทุกข์ย่อมไม่ไกลในชีวิตและชาตินี้หรอก ถ้าศิษย์ไม่ดูถูกตัวเอง ศิษย์ก็เป็นคนดีที่บำเพ็ญธรรมและช่วยเหลือคนได้ ถ้าตัวเองรอดมีหรือจะช่วยคนอื่นไม่ได้ แต่ถ้าตัวเองยังฝึกไม่ได้ ยังพ้นทุกข์ไม่ได้ ศิษย์ไปอยู่ที่ไหนศิษย์ก็ทำให้คนอื่นทุกข์ จริงหรือไม่ (จริง)  ศิษย์เอ๋ยอาจารย์ชอบอยู่อย่างหนึ่ง มีคนหนึ่งที่เจอเรื่องทุกข์ แต่เขาสามารถอดทนและไม่ทุกข์ได้ เพราะคิดอย่างเดียวว่าถ้าเขาทุกข์แล้วคนที่รักจะทุกข์ยิ่งกว่าเขา เขาเลยไม่ทุกข์ ถ้าพูดแล้วทำให้คนอื่นทุกข์ เขาขอไม่พูด เขาขอทุกข์คนเดียว ศิษย์เคยมีใจแบบนี้ไหม ถ้าทำได้เช่นนี้ถือว่าประเสริฐแล้วล่ะ ถ้าทุกข์แล้วทำให้คนที่รักมันเจ็บ ฉันจะไม่ทุกข์ ฉันจะเข้มแข็ง ถ้าทุกข์แล้วทำให้คนไม่ได้ดีขึ้นเลย ฉันจะขอทุกข์คนเดียว พูดไปก็ทำให้คนอื่นทุกข์ด้วย ถ้าอย่างนั้นฉันขอทุกข์คนเดียวก็ได้ แล้วฉันจะเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นบุญและสิ้นกรรมและยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมา อาจารย์หวังเล็กๆว่าศิษย์จะเป็นเช่นนั้น เมื่อไหร่ทุกข์ลองถามตัวเองว่าถ้าทุกข์แล้วทำให้คนอื่นเขาต้องทุกข์ด้วย คุ้มหรือ ที่จะทุกข์ ถ้าพูดแล้วทำให้เขาทุกข์ด้วย ถ้าอย่างนั้นเราก็ยอมกลืนความทุกข์แล้วไม่พูดดีไหม (ดี)
ดีที่รู้จักบำเพ็ญและไม่ยอมแพ้ต่อความทุกข์ อาจารย์คงต้องไปแล้วมีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก ศิษย์เอ๋ยอย่าดูถูกคุณค่าของความดีงามในใจตนเพราะถึงที่สุดศิษย์สามารถพ้นทุกข์และเป็นพุทธะบนแดนดินในโลกได้ อยู่ที่ทำหรือไม่ทำ และทำเพื่อธรรมหรือทำเพียงเพื่อตัวตน ถ้าเพื่อธรรมมันก็จะพ้นทุกข์แต่ถ้าเพื่อตนมันก็จะกลายเป็นความเห็นแก่ตน



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “อริยทรัพย์ในตน”

            สมบัติแห่งอริยะ จักรวาลที่แฝงในจิตใจคน  สายตามองเห็นเพียงจักรกล  ไม่มีใครสนสมบัติที่ซ่อนข้างใน โชคลาภกับคนมีบุญ แค่งบดุลรับส่งไปมา เรื่องที่จะไขเป็นแนวปรัชญา ว่าด้วยปัญญาเป็นความตื่นในตัวเอง      ชาติหน้าไม่พอขวนขวาย ที่มาไกลใช่เป็นเพราะเก่ง ฟ้าขอเจ้าไม่ลืมตัวเอง ชั่วชีวิตกระโตงกระเตง ธรรมต้องรู้เองอยู่เหนือเวลา

อริยทรัพย์ (น.) แปลว่า ทรัพย์อันประเสริฐ มี ๗ ประการ คือ

                    (๑)ศรัทธา (๒)ศีล (๓)หิริ (๔)โอตตัปปะ (๕)พาหุสัจจะ (๖)จาคะ (๗)ปัญญา

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา