西元二○一八年歲次丙申十一月廿七日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑ สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านฮั่นจงหลี
ทำผิดศีลอย่าพูดว่าจำเป็น แล้วที่เป็นตัวเราก็ต้องเปลี่ยน
ตัดอวัยวะรักษาชีวิตดุจเล่มเทียน อย่าวนเวียนติดนิสัยกิเลสอารมณ์
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
จ้องบำเพ็ญเหมือนกับพร่อง ไม่ลองดูเหมือนจะง่าย ถ้าไม่ทุกข์จะเป็นจะตาย ก็ไม่ทำใจโลกที่ท่านรู้กัน ชีวิตของคนที่มีทุกข์ สร้างบุญไม่หวังผลบ้าง ไม่รู้
ก็ไม่ระวัง ไม่เกิดทุกข์ก็ไม่พบธรรม
* อย่าได้หลงรักความโลภแบบไม่ลืมตา อย่าเสียปัญญา อุตส่าห์ฝึกฝนไว้จนได้ คิดจนหลับใหล ทุกข์มาจากไหน ก็ยิ่งหนักหัวตา ไม่ใช้ความเครียดเพราะหมายถึงความเศร้าหมอง ทุกข์สุขเป็นกองอากาศ ก็พัดผ่านได้ ทุกข์แค่ไหนท้อแค่ไหนแค่ใจหลอก
การบำเพ็ญเป็นการพัก วันหนึ่งประจักษ์กับหัวใจ ถอนสลักไร้ตัวตน หลุดพ้นได้
** ถ้าบำเพ็ญได้ไม่พอ พร้อมทะเลาะกับผู้คนเสมอ เตือนท่านควานที่แผลจนเจอ เจ็บที่สุดอย่าเผลอลืมแก้ไข ซ่อนกิเลสบำเพ็ญสร้างปัญหา
ไม่ศึกษาแล้วจะพูดธรรมแบบไหน ท่านเกิดแก่เจ็บและตายได้ ชีวิตเพื่ออะไร
(ซ้ำ **, *, *, เบิ่งให้ออกเด้อ…คนดี)
ทำนองเพลง : คำแพง
ชื่อเพลง : ยืมความทุกข์มาบำเพ็ญ
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านฮั่นจงหลี
เกิดเป็นคนถ้าไม่ซื่อตรงแล้วยังผิดศีลธรรม จะหาความเป็นมงคล ความประเสริฐ ความดีในชีวิตก็คงยาก ดังที่มนุษย์พูดว่า หว่านพืชเช่นไร
ก็ได้รับผลเช่นนั้น ถ้าหมั่นสร้างความดี กรรมดีย่อมนำพาให้เราพบความสุข ความเจริญ แต่ถ้าเราสร้างกรรมชั่ว ประพฤติปฏิบัติผิดศีลธรรม จะหวังความเป็นมงคลให้กับชีวิต ก็คงเป็นไปได้ยาก คนที่ทำผิดศีลธรรม ก็คือคนที่ประพฤติปฏิบัติไม่ดี เมื่อประพฤติปฏิบัติไม่ดี หวังจะมีความสุขก็เป็นไปได้ยาก หวังจะก่อเกิดชีวิตอันร่มเย็นก็ยิ่งยาก ถามตัวเองว่าวันนี้เป็นเช่นไร จะโทษฟ้าโทษดินได้กระนั้นหรือ ควรจะถามตัวเองว่าแต่ก่อนทำเช่นไรมา วันนี้ถึงต้องพบพาลเรื่องราวแบบนี้ วันหน้าจะเป็นเช่นไร ก็ขึ้นอยู่กับวันนี้ทำสิ่งที่ถูกต้องดีงามหรือไม่ หวังให้ชีวิตดีงาม มีสิ่งมงคล มีโชคลาภ ถามตัวเองว่า ประพฤติปฏิบัติถูกต้องต่อศีลธรรม มีความซื่อตรงหรือไม่ เหมือนเราถามท่านว่า เกิดเป็นคนเอาแต่โลภ มีหรือจะไม่ถูกลวงให้หลง เกิดเป็นคนเอาแต่หลงหัวปักหัวปำ มีหรือจะไม่ทำผิดพลาด เกิดเป็นคนเอาแต่ยึดมั่นความคิดของตัวเอง ไม่รับฟังความคิดของใคร คิดว่าตัวเองถูกอยู่ร่ำไป มีหรือชีวิตจะพานพบสิ่งที่ดีงาม ไม่พบความเสียใจ ฉะนั้นก่อนที่จะถามคนอื่นว่ามา
ทำร้ายเราทำไม ควรจะหันมาย้อนมองและถามตัวเองก่อนว่า ตนเองปฏิบัติได้ดี ได้ถูกต้องในศีลธรรมแห่งความเป็นคนหรือไม่
ท่านอยู่กับใครก็อยากอยู่อย่างมีความสุข แล้วอยู่อย่างไรให้มีความสุข เห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ โกหกผิดศีลขาดธรรม เช่นนี้หรือเรียกว่ามีความสุข ปลูกแตงย่อมได้แตง ปลูกถั่วย่อมได้ถั่ว กระทำเช่นไรย่อมได้รับผลเช่นนั้น ถ้าเราประพฤติปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความซื่อตรงจริงใจ มีน้ำใจ เปิดใจกว้าง เห็นใจและให้อภัย มีหรือผู้คนจะไม่จริงใจ ซื่อตรง เห็นใจ และให้อภัยเรา แต่คนโดยส่วนใหญ่ต่างคนต่างเอาตัวเองรอด ต่างคนต่างเห็นแก่ตัว แล้วความเห็นแก่ตัวจะทำให้เราพบความสุขไหม (ไม่) แต่ไยมนุษย์จึงชอบบ่นตัดพ้อว่า ทำไมต้องทำดีกับคนที่ไม่ดี ทำไมฉันต้องเป็นคนเสียสละ ทำไมฉันต้องเป็นคนยอม ทั้งที่คนที่เรายอมเป็นคนที่เห็นแก่ตัวและเอาแต่ได้ จนบางครั้งเราท้อจนไม่อยากทำ
ท่านเคยได้ยินไหมว่า ความคิดที่ยึดติดในตัวตนเป็นหนทางแห่งความเห็นแก่ตัว และนำพาให้มนุษย์ง่ายที่จะหลงทำผิดพลาด แต่การที่รู้จักอุทิศเสียสละให้ ยอมทำดี เป็นมงคลอันประเสริฐแก่ชีวิต
ถ้าเราพยายามที่จะให้ พยายามที่จะเสียสละ แต่อีกฝ่ายก็ยังจะเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ เรายังทำดีไหม (ทำ) เพราะอะไร เพราะความคิดที่ยึดติดว่าคนนั้นถูก คนนี้ผิด แล้วไม่มุ่งมั่นทำดีตลอด ก็ง่ายที่จะทำให้ตัวเราเห็นแก่ตัว และก็ง่ายที่จะทำให้หลงผิดพลาด ไม่เหมือนกับจิตใจที่เราอุทิศให้ เสียสละ มุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีงามอันเป็นมงคลที่เรียกว่า คุณธรรม เมตตา ความซื่อตรง ความเสียสละ ยิ่งทำให้เป็นมงคลกับชีวิตและเป็นความสุขกับชีวิต เรียกง่ายๆ ว่า กรรมดีกับกรรมชั่ว
กรรมชั่วเมื่อทำ ผลที่ได้ก็คือเป็นทุกข์ ทำลายชีวิต ถ้าถึงที่สุดก็หนี
ไม่พ้นผลชั่วที่ตัวเองสร้าง แต่การประพฤติปฏิบัติความดีโดยไม่ย่อท้อ ความดีเป็นชื่อของความสุข เป็นชื่อของชีวิต ความสว่างไสว ความเจริญเติบโต
ยิ่งทำยิ่งเป็นสุข ยิ่งทำยิ่งสว่างยิ่งโล่ง ถ้าเมื่อไรเลิกทำความดี ก็ง่ายต่อการที่จะเดินไปสู่หนทางที่เรียกว่า นรก คือคนที่เห็นแก่ตัว ไม่เคยเห็นแก่ใครจนถึงที่สุด เมื่อไรที่ทำดีแล้ว เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เมื่อนั้นไม่อาจเรียกว่า ความดี
ทุกท่านที่อยู่ในที่นี้เป็นคนมีศีลมีธรรมไหม มีคำกล่าวว่า เกิดเป็นคนถ้าผิดศีลขาดธรรม แม้จะไม่มีภัยภายนอก แต่ภายในใจก็ยากหาความสงบได้ ฉะนั้นแม้มีความสำเร็จมากมาย แต่ใจลึกๆ หาความสุขกายสบายใจไม่ได้ นั่นก็แปลว่าตัวท่านต้องถามตัวเองและยอมรับว่าศีลธรรมเรามีครบหรือไม่ รู้ทั้งรู้ว่าทำบาปเป็นสิ่งที่ไม่ดี ผิดศีลเป็นสิ่งที่นำพาให้เป็นทุกข์ แต่มนุษย์ก็อ้างว่าจำเป็นเพื่อความอยู่รอด ช่างน่าเสียดาย ฉะนั้นถ้าถอนเสียได้ซึ่งจิตอกุศล ถอนเสียได้ซึ่งความผิดบาปทั้งมวล มุ่งมั่นเติมจิตใจให้มีแต่ความดีงามถูกต้อง แผ่ขยายต่อชีวิตตัวเองและไปสู่ชีวิตของผู้อื่น มีหรือวันหน้าจะไม่พบสุข มนุษย์เอาแต่ผิดศีลขาดธรรม แล้วผลที่สุดก็ต้องมานั่งแก้ในสิ่งที่ตัวเองได้ทำ หยุดยั้งความชั่วร้ายในใจนั้นหยุดยากหรือ เราว่าทำดีง่ายกว่าทำชั่วอีกนะ เดินไปขอบคุณ เดินไปขอโทษ กับเดินไปต่อว่าให้เขาเจ็บปวด อะไรง่ายกว่ากันหรือ (เดินไปขอบคุณ เดินไปขอโทษ) แต่เมื่อถึงเวลา ทำไมคำว่า “ขอบคุณ” และ “ขอโทษ” จึงออกจากใจของเราได้ยากกว่า
ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าชีวิตนี้จะเป็นอย่างไร อยู่ที่ตัวเองกำหนดตัวเอง
เราใคร่ขอถามท่านว่า ท่านปล่อยให้ชะตาชีวิตกำหนดเรา หรือเราเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิต ท่านมักจะปล่อยให้ชีวิตไปตามยถากรรมมากกว่า ถูกไหม (ถูก) เกิดเป็นคนไม่ซื่อตรงต่อตัวเองแล้ว อย่าพูดถึงศีลธรรมเลย แค่พูดกับเรายังโกหกเลย แล้วจะหาความสุขที่แท้จริงได้อย่างไร
เราเคยคิดไตร่ตรองไหมว่า ถ้าเราเป็นผู้กำหนดชีวิตตัวเอง แล้วชีวิตเราขึ้นอยู่กับอะไร ทำไมบางครั้งจึงอยากทำดี บางครั้งไม่อยากทำดี ท่านคิดว่า ตัวเรานี้มักจะปล่อยให้ตัวเราทำไปตามอะไร (ตามใจ) ถ้าอย่างนั้นชีวิตนี้ขึ้นอยู่ที่ใจ ใจดีก็ (ดี) ใจร้ายก็ (ร้าย) ถ้าใครว่าเรา ตอนนั้นเราใจดี เราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)
ตกลงชีวิตของท่านไม่ได้อยู่ที่ผู้อื่นกำหนด ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วอยู่ที่ (ตัวเราเองกำหนด) ฉะนั้นเคราะห์ดีหรือเคราะห์ร้าย ชะตาดีหรือชะตาร้าย อย่างนี้จะโทษใครได้ไหม (ไม่ได้) แล้วจะโทษที่ไหน (โทษที่ตัวเราเอง)
ฉะนั้นถ้าอยากจะแปรเคราะห์ร้ายให้กลายเป็นดี ก็ต้องแปรที่ใจ
ใจของเราจะดีหรือจะร้ายนั้น ขึ้นอยู่กับอารมณ์ตอนนั้นว่าเป็นเช่นไร
ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าอารมณ์ดี อะไรๆ ก็ดี ถ้าอารมณ์ร้าย อะไรๆ ก็ร้าย ฉะนั้นถ้าเขาด่าเรา หากเราอารมณ์ดี ใจของเราก็ (ดี) อย่างนั้นหากเขาชมเรา
แต่เราอารมณ์ร้าย ผลก็ไม่ดี เพราะอารมณ์ของเราไม่ดี ฉะนั้นดีหรือร้ายนั้นไม่ได้อยู่ที่ใครกำหนด แต่ดีหรือร้ายก็ไม่ได้อยู่ที่ฟ้ากำหนด แต่ดีหรือร้ายอยู่ที่ใจของเราเป็นเช่นไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านเคยได้ยินไหม “ชีวิตหมุนเปลี่ยนไปตามความคิด ผลของการกระทำแห่งชีวิตล้วนมาจากใจที่นึกคิดเช่นไร” สิ่งที่ควบคุมใจเราได้คือ “ความคิด” ฉะนั้นถึงตามใจได้ ถึงรู้ทันใจ แต่ถ้าไม่เท่าทันความคิด ความคิดก็ชักพาใจให้หลงผิดได้ ลองมองดูว่าความคิดมีอิทธิพลต่อใจไหม ความคิดบงการทั้งกายและใจ และความคิดยังอิทธิพลต่อคำพูด การกระทำและชะตากรรม เราคิดเช่นไรเราก็ดำเนินชีวิตเช่นนั้น เราคิดตัดสินแบบใดเราก็พูดแบบนั้น ใช่ไหม (ใช่) แล้วโดยส่วนใหญ่มนุษย์คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้นทันที ไม่เคยฝืนความคิด คิดจะว่าก็ว่า คิดจะโมโหก็โมโห แปลว่าใจมักไหลไปตามความคิด ถ้าอยากเปลี่ยนใจเปลี่ยนชะตากรรมเปลี่ยนชีวิต ก็ต้องเปลี่ยนความคิด เรามาดูหน่อยว่าความคิดของคนน่ากลัวไหม มนุษย์มักคิดต่ำมากกว่าดึงตัวเองสูง แล้วเมื่อความคิดรวมกับนิสัยของใจคน ยิ่งน่ากลัวยิ่งนัก เพราะใจคนมักเป็นใจที่ไม่ค่อยยอมแพ้ เอาแต่ได้ ถือดี เมื่อใจรวมกับความคิดจึงเป็นสิ่งที่น่ากลัว ยอมคนไหม ท่านแพ้เขาชนะ ท่านยอมไหม
ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ใจอย่างเดียว แต่เป็นนิสัยของใจที่รวมกับความคิด นิสัยของใจชอบระแวงมากกว่าระวัง คิดร้ายมากกว่าคิดดี และเมื่อคิดร้ายแล้วก็ชอบเชื่อมั่นยึดติดว่าตัวเองคิดถูกใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นพูดออกมา กระทำออกมา แสดงออกมา จึงกลายเป็นชะตากรรมที่ปฏิบัติต่อผู้อื่นได้ไม่ค่อยซื่อตรงและจริงใจใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าอยากเปลี่ยนต้องเปลี่ยนที่ความคิดและนิสัยของใจ เปลี่ยนเป็นคิดดีๆ เข้าไว้ดีไหม (ดี) ดีแต่น่ากลัวตรงที่พอคิดดีแล้วกลายเป็นคนชอบจับผิด เหมือนที่ท่านบอกว่าให้มองแง่ดีไว้ แต่มองแง่ดี มองไปมองมากลายเป็นคนจับผิด ไม่เห็นดีเลย ธรรมะจึงสอนว่าจงเอาธรรมะมาช่วยขัดเกลาความคิด จงเอาธรรมะมาช่วยชำระล้างใจให้ถูกต้อง เพราะถ้ามนุษย์ไม่มีธรรม มนุษย์ก็ง่ายที่จะคิดและปล่อยตามนิสัยของใจที่ไหลลงต่ำมากกว่าขึ้นสูง ที่ชอบเอาดีเอาได้มากกว่ารู้จักให้ใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วนำธรรมะอะไรมาคอยควบคุมความคิด และชะล้างนิสัยของใจที่ชอบหลงผิด ถ้าเป็นมนุษย์ก็ต้องคิดให้เป็น คิดให้สูง คิดอย่างคนมีสติ รู้เท่าทันความคิด ไม่ปล่อยให้อารมณ์ครอบงำชักนำความคิดใช่หรือไม่ (ใช่) การมีสติรู้เท่าทันความคิด ไม่ปล่อยอารมณ์ครอบงำความคิด จึงเป็นยารักษาที่ดี ช่วยให้เราดำเนินชีวิตอย่างสุขุม ใจเย็นและระมัดระวัง อันนี้แค่เป็นความเข้าใจ เป็นความรู้พื้นฐาน แต่สิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ ช่วยยับยั้งความคิด
ชะล้างนิสัยของใจ
นิสัยของใจอีกอันหนึ่งที่น่ากลัวก็คือ ชอบจมอยู่กับความทุกข์ แล้วรู้ว่าเป็นทุกข์ ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ แต่ก็ชอบจมอยู่ในความทุกข์ เราจะมาช่วยแก้ วิธีที่จะแก้ก็คือ จงรู้จักนำธรรมะมาควบคุมความคิด มาชะล้างใจ เคยไหมเวลาเจอคนที่หน้าบึ้ง จิตเราก็ตก พูดไม่ไพเราะ ใจก็แย่ ใช่ไหม (ใช่) แค่คนที่ขายของสะบัดเสียงใส่เรา เราก็อารมณ์เสีย นั่งรถด้วยกัน เจอใครพูดนินทา เราก็อารมณ์ไม่ดี ทั้งที่ก็บอกว่า ชีวิตขึ้นอยู่กับใจของเรา แต่ถึงเวลาเราก็อดผันแปรไปตามสิ่งที่กระทบที่เรียกว่า แวดล้อมพัดผ่านมาไม่ได้ ฉะนั้นพระพุทธะท่านสอนว่า จงรู้จักนำธรรมมาใช้ควบคุมความคิด ชำระล้างใจ
ท่านเคยได้ยินไหมว่า ธรรมสอนให้เราพบเจอความสว่าง ความสงบ ความเย็นและพ้นทุกข์ ถ้ายิ่งคิดแล้วยิ่งมืด ยิ่งทุกข์ ยังจะคิดต่อไหม ก็ยังคิด แถมหาดนตรีมาบรรเลงขับกล่อมให้ยิ่งเศร้า แถมอะไรมาซ้ำเติมให้ตัวเองยิ่งเจ็บ ถ้าคิดแบบนี้ทำให้พ้นทุกข์ไหม (ไม่) ธรรมสอนว่า ทำอะไรก็ได้ที่ทำแล้วทำให้สว่าง สงบเย็นและพ้นทุกข์ เคยไหม คิดแบบคนสว่าง คิดแล้วทำให้เราสงบ คิดแล้วทำให้เราใจเย็น คิดแล้วทำให้เราพ้นทุกข์ คิดแบบไหน (ปล่อยวาง) ปล่อยได้ไหม ก็ยากใช่ไหม (ใช่) สิ่งที่มนุษย์มักเป็นคือการจ้องจับผิด เมื่อจ้องจับผิดก็จะเห็นคนโน้นก็ไม่ดี เห็นคนนั้นก็แย่ การจ้องจับผิดคือทางที่ทำให้เรามืด ทำให้เราทุกข์ ทำให้เราไม่สงบ ฉะนั้นไม่จ้องจับผิดใคร เอาแต่ขัดเกลาแก้ไขตนเอง อย่างนี้จะสว่างไหม (สว่าง) จะสงบไหม (สงบ) พ้นทุกข์ไหม (พ้น) ฉะนั้นถ้าอยากสว่างก็เลิกจับผิด แล้วเปลี่ยนระแวงเป็นระมัดระวังใจ อยากแก้ความคิด อยากแก้นิสัย ก็เลิกระแวงผู้อื่น แล้วทำตัวเองให้ดี ทำตัวเองให้ถูก แล้วเอาเวลาจับผิดผู้อื่นนั้นมาเป็นเวลาแก้ไขตัวเอง ระมัดระวังตัวเอง เพราะตัวเองจะได้ไม่สร้างเหตุให้ตัวเองทุกข์
ใช่หรือไม่ (ใช่)
อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยดับให้เราสามารถคลายความเศร้า คลายความรังเกียจเขาได้ ก็คือ แปรความเกลียดความไม่ชอบ เป็นความเห็นใจ เข้าใจ อภัย ไม่เกลียดไม่โกรธ สิ่งนี้จะแปรเปลี่ยนใจที่คิดร้าย ใจที่ทุกข์ ให้เป็นใจที่สงบเย็น หากเราว่าเขา เราก็เจ็บ เขาผิดเราก็ไม่ได้ถูกกว่าเขา เขาแย่เราก็ไม่ได้ดีกว่าเขา จริงไหม (จริง) ว่าเขาไม่ดี แล้วเราดีกว่าเขาสักเท่าไรหรือ เห็นเขาแล้วไม่เห็นเรา หรือว่าเราก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเขาเลย เขานิสัยไม่ดี เราก็ (ไม่ดี) ใช่ไหม (ใช่)
ถ้ากล้ายอมรับอย่างนี้ การที่เราจะมองเขาแย่ การที่เราจะรังเกียจ การที่เราจะโกรธ จะแปรเปลี่ยนเป็นความเห็นใจ ความมืดความทุกข์จะกลายเป็นความสว่าง สงบเย็นและสบายใจ และธรรมะก็สอนให้สร้างบุญอย่าสร้างบาป ทำคนอื่นเจ็บก็คือบาป ทำคนอื่นมีสุขก็คือบุญ ท่านอยากสร้างบุญหรือสร้างบาป (บุญ) และทุกครั้งที่ว่าผู้อื่นบาปหรือบุญ (บาป) ทำบุญแต่ที่วัด กับคนไม่เคยทำบุญเลย รู้จักแต่ให้ทาน แต่ไม่เคยให้ธรรมะเป็นทานเลยใช่ไหม ให้อภัยเป็นทานไม่ได้หรือ ฉะนั้นก่อนจะคิดอะไรตามใจตัวเอง ตามนิสัยของใจ จงมีสติคิดทบทวนก่อนว่า ถ้าความคิดนั้นพาไปสู่ความมืด ความวุ่นวายและความทุกข์ นั่นไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง แต่ถ้าความคิดใดทำแล้วสว่าง ทำแล้วพ้นทุกข์ ทำแล้วบังเกิดบุญ คิดแบบนั้น
ไม่ดีกว่าหรือ คิดได้ทันอย่างนั้นไหม นิสัยของใจชอบขึ้นแล้วก็ลง ดีแล้วก็ร้าย ใจเราก็ไม่ต่างอะไรกับธรรมชาติที่มีขึ้นได้ก็ลงได้ ลงได้ก็ขึ้นได้ แต่แปลกเวลาลงทำไมขึ้นยาก แล้วเวลาขึ้นหรือลงกลับมาปกติไม่ได้หรือ ทำไมต้องเหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวา เป็นคนปกติไม่เป็นใช่ไหม น้ำยังมีวันขึ้นและลง ใจของคนมีขึ้นและลง แต่อย่าลืมกลับมาปกติ และอยู่กับความปกติธรรมดา ธรรมชาติของใจก็ไม่ต่างอะไรกับธรรมชาติของน้ำ ขึ้นได้ลงได้และกลับมาปกติได้ ความปกติคือคุณธรรมของความเป็นคน แต่ความเหวี่ยงซ้าย เหวี่ยงขวา คือความผิดปกติที่ทำให้มนุษย์ง่ายที่จะขาดศีลธรรม ธรรมคือความเป็นธรรมดาอันเป็นกลาง ฉะนั้นถ้าศึกษาปฏิบัติธรรม อย่าลืมใจอันเป็นกลาง แต่มนุษย์ใจมักจะติดร้าย ติดดี แล้วก็บอกว่า ก็เป็นได้แค่นี้ แต่จริงๆ แล้วมีอีก คือความธรรมดา
อีกเรื่องหนึ่งก่อนจะจากกัน มนุษย์แปลกอยู่อย่างหนึ่งตรงที่เวลามีความสุข ก็ชอบคิดในเรื่องที่พาลให้ทุกข์ เจอคนชมน่าจะดีใจก็กลับระแวง เจอเรื่องที่ได้ น่าจะสุขใจก็กลับวิตกกังวล ฉะนั้นถ้าเป็นหนึ่งในผู้ปฏิบัติธรรม ไม่ควรคิดแบบนี้ เพราะถ้าคิดแบบนี้ทำให้ตัวเองทุกข์เปล่าๆ ถ้ากลัวแล้ว
ทำให้ทุกข์ วิตกกังวล กลัวตัวเองเจ็บปวด ทำไมไม่กล้าสู้และยอมรับความจริง ใจของคน ชีวิตของคน ไม่ได้เกิดมาเป็นทาสของอารมณ์เสมอไป แล้วเมื่ออารมณ์มาแล้ว จำไว้นะว่าเราเลือกได้ที่จะจมอยู่กับอารมณ์หรือจะหลุดพ้นจากอารมณ์
เราหนีให้เราไม่คิดไม่ได้ เราหนีให้เราไม่มีอารมณ์ไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะมีอารมณ์แล้วพ้นทุกข์ เห็นแจ้งจริง หรือวิตกกังวลและจมกับทุกข์ เราเลือกได้ ใช่ไหม (ใช่) ขอแค่เพียงมีสติ รู้ทันความคิดและนิสัยของใจตน แล้วชะตาชีวิตก็ไม่ต้องกราบฟ้า ไม่ต้องไหว้ดิน ไม่ต้องขอใครให้ชม เราก็สามารถกำหนดชีวิตของเราได้ เพราะเรารู้จักคิดให้เป็น คิดให้สูง คิดให้สว่าง คิดให้สงบเย็น และพ้นทุกข์
ลองไตร่ตรองสิ่งที่เราพูด ถ้าฟังแล้วไม่รู้เรื่องก็แปลว่าใจไม่ได้จดจ่อ ไม่ได้ใส่ใจ ใช่ไหม (ใช่) มนุษย์มีใจอันประเสริฐอยู่หนึ่งอย่าง ขอแค่เพียง
ใส่ใจและรักที่จะทำ สิ่งที่ธรรมดาก็จะกลายเป็นสิ่งที่วิเศษ สิ่งที่ดูเป็นปกติ
ก็จะกลายเป็นคุณงามความดีได้ ขอแค่เพียงการใส่ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) มัวแต่ใส่ใจเรื่องอื่น แต่น่าเสียดายลืมใส่ใจที่จะกำหนดชีวิตของตนเอง มัวแต่ห่วงคนอื่นว่ารักหรือไม่รักเรา แต่น่าเสียดายที่ท่านไม่ใส่ใจและรักคุณค่าของตัวเองให้เดินไปสู่ทางที่ถูกต้องและดีงาม สุดท้ายคนที่ต้องรับผลของการกระทำคือตัวเรา แล้วทำไมไม่คิดให้ดีก่อนจะพูด ก่อนจะทำ คิดอย่างคนสว่าง คิดอย่างคนสงบ คิดอย่างคนพ้นทุกข์ ไม่ใช่คิดอย่างคนวุ่นวาย มืดมน หลงผิดบาปและจมในห้วงทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ชีวิตอยู่ที่ความคิด ความคิดควบคุมได้ด้วยคุณธรรม ความคิดชีวิตและจิตใจควบคุมได้ด้วยธรรม อย่าปฏิบัติธรรมแต่เพียงภายนอก แต่ลืมเอาธรรมมาควบคุมนำพาชะตาชีวิตและจิตใจตน หว่านพืชเช่นไรรับผลเช่นนั้น ไยจึงไม่สร้างธรรมเพื่อรับผลธรรม ไยจึงสร้างกรรมแล้วผลสุดท้าย
ก็ต้องรับกรรม
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก รักษาบุญรักษาโอกาสนี้กันให้ดี มีชีวิตคิดอย่างสว่าง คิดอย่างสงบ และคิดอย่างคนพ้นทุกข์ อย่าคิดอย่างคนจมอยู่ในทุกข์ และนำพาให้ตนเองมืดมนเลยนะ
วันอาทิตย์ที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑ สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
บำเพ็ญนอกแต่ภายในไม่ฝึกฝน ท้ายก็พ่ายติดขัดวนนิสัยเก่า
ติดอัตตาตัวตนความเป็นเรา ยอมขัดเกลาหรือว่าทำตัวแบบเดิม
ใจที่วุ่นก็วุ่นไปทุกสิ่ง ใจที่นิ่งทุกสิ่งก็ยิ่งเพิ่ม
ทุกสิ่งล้วนเริ่มจบที่ใจเดิม ไม่โทษเขาแต่เริ่มย้อนดูตน
เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเจิ้งซิน แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีบ่
เพราะศรัทธาจึงพร่ำยกมือไหว้ ศรัทธาใดไม่ปฏิบัติไร้ประโยชน์
มีศรัทธาไม่ปฏิบัติย่อมเกิดโทษ แสนปราโมทย์ปฏิบัติเป็นธรรมบูชา
ฝึกธรรมะฝึกปัญญาฝึกพลิกแพลง ฝึกความแกร่งฝึกนิสัยฝึกจิตนิ่ง
ฝึกยอมรับโดยไม่แบกไว้ทุกสิ่ง ฝึกวางจริงแต่ไม่ใช่แล้งน้ำใจ
โลกที่รู้ไม่เป็นอย่างที่เห็น เรื่องที่เจนไม่เป็นอย่างที่หมาย
มีเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ไม่ยึดในรูปธรรมนามธรรม
บำเพ็ญจิตให้เป็นไทไม่เป็นทาส บำเพ็ญกายไม่ให้พลาดไม่ให้พลั้ง
คำพูดจาต้องไม่สร้างวจีกรรม หนทางธรรมไม่สร้างหนี้จองเวรใคร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
มีนกตัวหนึ่งที่พยายามบินและบินให้สูงที่สุด ชีวิตของนกตัวนี้ต้องหมดสิ้นแล้ว แต่ใจของนกตัวนี้ยังอยากที่จะบินให้สูงที่สุด แม้ร่างกายตัวนี้จะหมดไปแล้ว แต่ใจที่จะกลับคืนสู่สภาวะที่สูงที่สุด ดีที่สุด ยังคงมีอยู่
ศิษย์เกิดเป็นคนย่อมหนีไม่พ้นความแก่เจ็บตาย แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่สามารถจะลืมได้คือ หัวใจที่ยิ่งใหญ่และมุ่งมั่น แม้สังขารและร่างกายเราจะไม่มี แต่เรามีใจที่ยิ่งใหญ่และมุ่งมั่น ใจดวงนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับสภาวธรรม ฉะนั้นถ้าวันหนึ่งมันต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ยอมทิ้งร่างกาย ยอมทิ้งความยึดมั่นถือมั่น เพื่อกลับคืนสู่สภาวธรรมที่เคยทอดทิ้งมา ไม่ห่วงแล้วร่างกาย ขอกลับไปสู่ใจที่เป็นสภาวะเดิมที่ประเสริฐที่สุด ที่งามที่สุด ที่ดีที่สุดดวงนั้นดีกว่า
ความเป็นคนมีเวลาจำกัด แต่ใจที่เข้าถึงธรรมที่ไม่ยอมแพ้ ที่จะมุ่งมั่นไปสู่สิ่งที่ดีงามที่สุด ไม่มีเวลาจำกัด สามารถสละตัวตนและกลับคืนสู่สภาวธรรมได้ ความมุ่งมั่นของคนเป็นหัวใจที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งถ้าทำอะไรด้วยใจที่สู้ไม่ถอย แม้สังขารจะละแล้วแต่ใจที่สู้ไม่ถอยสามารถกลับคืนสู่ฟ้าได้
ถึงเวลาศิษย์ต้องทิ้งร่างกายไหม (ทิ้ง) ระหว่างนรกกับฟ้า เราอยากไปไหน (ฟ้า) หลายคนก็อยากเลือกไปฟ้า แล้วฟ้าเป็นแบบไหน (กว้าง) แล้วใจเรากว้างหรือแคบ วันนี้เราอยู่บนโลกถ้าตายไปเราก็อยากกลับสู่ฟ้า ไม่อยากลงนรก นรกใจกว้างหรือแคบ (แคบ) แคบมากใช่ไหม แคบจนดำมาก แล้วใจเราตอนนี้ใจขาวหรือใจดำ กว้างหรือแคบ (กว้าง) ขาวหรือดำ (ขาว) หนักหรือเบา (หนัก)
หากอยากขึ้นฟ้า นอกจากต้องใจกว้าง ใจสะอาด ใจเบา แล้วเบาไหม (เบา) เห็นยึดถือทุกอย่าง สิ่งนั้นก็ไม่ยอม สิ่งนี้ก็ไม่ยอม อย่างนี้เรียกว่า หนักหรือเบา (หนัก) ตอนนี้มีความสุขหรือความทุกข์ ถ้าอยู่บนโลกแล้วทุกข์มากกว่าสุข นั่นก็แปลว่าไม่ใช่สวรรค์ นั่นคือนรก เพราะนรกเป็นที่ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ แต่สวรรค์เป็นที่ที่เต็มไปด้วยความสุข อย่างนี้ไม่ต้องถามแล้วว่าตายแล้วไปไหน
สวรรค์เป็นที่ที่มีธรรมหรือไร้ธรรม แล้วตอนนี้เรามีธรรมหรือไร้ธรรม มีเมตตา มีความซื่อตรง มีความเสียสละ มีจิตใจกรุณาปรานี เรามีแบบนี้ไหม นานๆ ถึงจะมีใช่ไหม
อาจารย์ถามศิษย์ง่ายๆ แค่นี้ ศิษย์ก็ดูตัวเองออกแล้วว่าชีวิตตัวเองจะไปทางไหน จะไปสุขหรือไปทุกข์ ไปนรกหรือไปสวรรค์ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้เราสุขหรือทุกข์มันอยู่ที่ใจของศิษย์ เมื่อรู้อย่างนี้อยากมีใจที่เป็นสุขไม่มีใจที่เป็นทุกข์กันบ้างไหม ถ้าอยากแล้วทำแบบไหน กลับไปทำแบบเดิม หรือว่าเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น อาจารย์ถามศิษย์ว่าระหว่างเงินกับชีวิตอะไรสำคัญกว่ากัน (ชีวิต) ทำไมอาจารย์เห็นหลายๆ คนหาเงินแบบลืมชีวิต หาเงินแบบไม่คิดชีวิต และบางคนหาเงินจนทำร้ายชีวิตก็มี หรือยิ่งหนักเข้าไปอีกคือทำร้ายชีวิตแล้วยังไปผูกเวรผูกกรรมก็มี นั่นแปลว่าเงินสำคัญกว่าชีวิตใช่ไหม (ไม่ใช่) แต่ในใจก็บอกอาจารย์ถ้าชีวิตนี้ไม่มีเงินมันก็ตายนะ ตกลงจะเอาเงินหรือเอาชีวิต แต่ตอนนี้เอาเงินก่อน ชีวิตไว้ที่หลังใช่ไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจ้งพระนาม)
ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม (ยินดี) อาจารย์ขอเวลาสักช่วงหนึ่งสนทนาธรรมกับศิษย์ ถือเป็นการแลกเปลี่ยนธรรมะซึ่งกันและกัน และการแลกเปลี่ยนนี้เผื่อจะเป็นการเพิ่มพูนปัญญาให้ศิษย์มองเห็นโลก เห็นชีวิตได้เข้าใจยิ่งชัดขึ้น เหมือนที่ตอนแรกศิษย์บอกว่า เงินกับชีวิตอะไรสำคัญ เราก็พูดได้ว่าชีวิตสำคัญ แต่บางครั้งเราหาเงินจนลืมชีวิต เราว่าชีวิตเป็นสิ่งสำคัญแต่บางครั้งเรามัวสนใจอารมณ์ ความรู้สึกตนจนทำร้ายชีวิต ห่วงแต่ความรู้สึกว่าตัวเราทุกข์ แล้วก็ฆ่าชีวิตตัวเองให้ตายทั้งเป็น อารมณ์สำคัญกว่าชีวิตหรือ สิ่งที่สำคัญในชีวิตกว่าชีวิตนั่นก็คือการยังมีลมหายใจเพื่อสร้างสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม แต่บางครั้งความคิดสั้น ความคิดง่ายๆ ก็ทำร้ายชีวิตโดยไม่รู้ตัว
ชีวิตคือร่างกาย แต่ในชีวิตก็ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่เรียกว่าจิตใจ เรามัวแต่บำรุงร่างกาย เรารู้วิธีบำรุงร่างกายให้ดีให้งดงาม แต่เราอย่าลืมบำรุงใจ มนุษย์มักสนใจเพียงกายภายนอกจนลืมสนใจจิตใจ เพราะถ้าไม่มีจิตใจที่เข็มแข็ง ถ้าไม่มีจิตใจที่รู้จักคิด รู้จักเข้าใจชีวิต เราก็ไม่สามารถทำชีวิตภายนอกให้เติบโตได้ ฉะนั้นภายในก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนเท่ากับภายนอก ถ้าเราสนใจแต่ภายนอก จนลืมดูแลภายใน เราก็จะพบทุกข์และแก้ไขทุกข์ไม่ออก
เคยเห็นไหมคนที่ใจสลาย เคยเห็นไหมคนที่ตรอมใจจนตาย ร่างกายของเขาก็ดีๆ แต่เพราะอะไรหรือที่เขาใจสลาย เพราะอะไรหรือที่เขาตรอมใจ เพราะอะไรหรือที่เขาทุกข์เจ็บปวดใจจนไม่อยากมีชีวิต เราไม่เคยฝึกจิตให้ยอมรับความจริงเลย ทุกขณะที่มีชีวิตเราเอาแต่ตามใจตัวเองตลอด สนองใจของตัวเองตลอด แล้ววันหนึ่งให้มายอมรับความจริง อย่างนี้ทำใจได้ไหม (ไม่ได้) เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาศิษย์ตามใจตัวเองมาโดยตลอด แล้วถ้าวันหนึ่งเจอเรื่องที่ขัดใจ เจอเรื่องที่ไม่ใช่กับใจที่เราต้องการ แล้วตอนนั้น ศิษย์จะทำใจทันไหม (ไม่ทัน) เมื่อไม่ทัน บางคนก็ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกเลย เพราะรับความจริงไม่ได้ อายที่จะต้องเจอกับความจริง แล้วทำไมตอนนี้เราไม่เรียนรู้ที่จะฝึกใจของตัวเราเอง ฝึกใจที่จะยอมรับความจริงบ้าง ตลอดชีวิตที่ผ่านมาตามใจตัวเองมาเยอะ วันนี้ลองมาฝึกใจเรียนรู้ความจริง เพื่อให้ภายในเข้มแข็งและภายนอกแข็งแกร่ง
การยอมรับความจริงคือเรียนธรรมะ เรียนความจริงให้ฝึกฝนที่จะอยู่บนโลกความจริงนี้ให้ได้ ใจที่ฝึกดีแล้ว ใจที่เรียนรู้รับความจริงได้แล้ว จะสามารถอยู่กับโลกที่ผันผวนพลิกผันได้ด้วยความเข้าใจและไม่ทุกข์ ปัจจุบันนี้เราไม่คิดจะมองความจริง เรามองแต่สิ่งที่ตามใจ พอความจริงฟาดเข้ามาทีหนึ่ง เราก็ทุกข์ทีหนึ่ง พอเข้ามาหลายๆ ที ก็เกือบตายทั้งเป็น ถ้าเรารู้จักยอมรับความจริง ไม่เอาแต่โทษและไม่ยึดติดความคิดตัวเอง เราก็ไม่ทุกข์ แต่คนในโลก ชอบคิดว่าผู้อื่นทำเราลำบาก ไม่ยอมช่วยเรา แต่ลืมมองว่าตัวเรายึดติดความคิดตัวเราเองหรือไม่
ใจของมนุษย์ที่รับความจริงไม่ได้เพราะมนุษย์อยากมี อยากเป็น อยากได้ แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์เรียนรู้ความจริงแห่งธรรม ศิษย์จะรู้ว่าไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไร และเราไม่เคยได้อะไร เมื่อถึงเวลาจะได้จะมีจะเป็นหรือจะไม่ได้จะไม่มีจะไม่เป็น ศิษย์ก็จะไม่ทุกข์ เพราะความต้องการของมนุษย์กับความจริงมักตรงข้ามกันเสมอ มนุษย์ต้องมีต้องเป็นต้องได้ต้องยิ่งใหญ่ แต่การเรียนรู้ธรรมกลับทำให้เรายิ่งเรียนรู้ยิ่งเข้าใจว่า แท้จริงแล้วเราไม่เคยมี ไม่เคยเป็น และไม่เคยได้ ถึงที่สุดเราก็เล็กจนแทบไม่มีอะไร ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าถึงสภาวธรรม เข้าถึงธรรมแห่งความเป็นจริง ศิษย์จะไม่ทุกข์ แต่มีมนุษย์กี่คนที่จะเข้าใจประโยคที่อาจารย์พูดตรงนี้
เรามีไปเรื่อยๆ มีก็เหมือนไม่มี เราพยายามจะเป็นคนเก่งเป็นคนดีเป็นคนมีความสามารถเป็นคนที่สำเร็จ แต่ยิ่งเป็นก็เหมือนไม่ได้เป็น สำเร็จอย่างหนึ่งถึงเวลาอีกอย่างหนึ่งก็ไม่สำเร็จ สำเร็จที่เคยคิดว่าเป็นแบบแผนของความสำเร็จ ก็ไม่ใช่ความสำเร็จที่จะใช้ได้อีก
ธรรมสอนให้เรารู้ว่า เรียนรู้ให้เป็น ให้มี แล้วอย่าไปเอา เพราะไม่เคยมีอะไรเป็นของเราจริงๆ เราว่าเรามีแฟน ถึงเวลาแฟน (ไปมีคนอื่น) เราว่าเรามีเงินมากมาย ถึงเวลาตายไปเอาไปได้ไหม (ไม่ได้) โมโห เกลียด ด่าเขา ถึงเวลาเอาไปได้ไหม (ไม่ได้) เอาไปได้แต่ความเจ็บแค้นในใจ แล้วก็เผาใจ ทำให้ใจหนักและตกนรก แล้วควรจะโกรธไหม (ไม่โกรธ) โกรธไปก็ไม่ได้อะไร หลงไปก็ไม่ได้อะไร แต่พอโกรธไป หลงไป แต่ได้เพิ่มมาอย่างหนึ่งเป็นของแถมคือ ตกนรก แต่ถ้าไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง ไม่ยึดมั่น ได้ของแถมคือ ขึ้นสวรรค์
อาจารย์ขอถาม เราอยู่เพื่อให้หรือเราอยู่เพื่อรับ คนที่รับมาแล้วค่อยให้ กับคนที่ทั้งชีวิตไม่เคยรับมีแต่ให้ ควรเอามาก่อนแล้วค่อยให้ หรือควรจะให้ไปเลยแล้วไม่ต้องเอา (ควรให้ไปเลย) ถ้าขึ้นสวรรค์ก็ควรจะให้ไปเลย ไม่ต้องเอาอะไรไป เพราะจะได้เบาที่สุด จะได้ไม่มืด ไม่หนัก ใช่ไหม (ใช่) แล้วชีวิตของเราจะรับหรือให้ คนที่ไปรับมาก่อนแล้วค่อยให้ อย่างนี้เรียกว่าคนดีไหม
ศิษย์ชอบทำบุญทำทานไหม (ชอบ) แล้วเคยได้ยินไหม การถวายสังฆทานเป็นทานที่ยิ่งใหญ่กว่าทานใดๆ สังฆทานคือทางที่ไม่เจาะจง ใช่ไหม (ใช่) ดังนั้นถ้าเราอยากทำบุญที่ดีเราต้องถวายสังฆทาน เพราะเป็นทานที่ไม่เจาะจง ดังนั้นไม่ว่าจะกับใคร ศิษย์ก็ไม่เจาะจง ศิษย์ก็ให้ อย่างนี้ศิษย์ก็ได้ให้ตลอดชีวิตเพราะไม่เจาะจงว่าให้กับใคร ไม่มีทานใดประเสริฐเท่ากับการให้ธรรมะเป็นทาน การให้นั้นได้ถอนความเป็นตัวตน ถอนความงง ถอนความงก ถอนกิเลส ถอนอัตตา ถอนความยึดติด คนดีเขาจะเลือกที่รักมักที่ชังไหม (ไม่) ถ้าคนที่ดีจริง เขาต้องทำได้ทุกที่ ทุกคน ทุกเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากเดินหนทางที่แท้จริง หนทางที่กลับคืนสู่ความจริง ในเมื่อศิษย์ก็รู้ว่า โลภไปแล้ว หลงไปแล้ว ตายไปก็เอาไปไม่ได้ แต่ถ้าศิษย์เริ่มต้นปฏิบัติด้วยการให้ เราดำเนินชีวิตทำสิ่งที่ดีที่สุด ทุกขณะเรามีความสุขที่ได้ทำงาน ความสุขเราไม่ได้อยู่ที่เงินเดือน ตำแหน่ง และศักดิ์ศรี ความสุขเราอยู่ที่ทำตัวเป็นคนให้ดีที่สุด
เราก็รู้ว่าเราเกิดมาพร้อมกับกรรม แล้วศิษย์อยากมีกรรมเพิ่มไหม (ไม่อยาก) ในเมื่อศิษย์ไม่อยากมีกรรม แค่ได้มีชีวิตอยู่ ได้ทำงาน ได้ปลูกข้าว ได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง มีความสุขแล้ว ความสุขมีอยู่ทุกวันที่ได้ทำงาน แต่ศิษย์ของอาจารย์ไม่ใช่ ความสุขอยู่ที่การเอาเงินไปเที่ยว ความสุขอยู่ที่การได้รับเงินเดือน ความสุขอยู่ที่การได้กำไร ความสุขมีอยู่วันเดียว แต่ความสุขของอาจารย์มีทุกวันที่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้องโดยไม่เห็นแก่ตัวและไม่ผิดศีลธรรม อาจารย์มีสุขทุกวันแล้ว อาจารย์ต้องง้อใครไหม ว่าคนนี้ต้องให้ตำแหน่งอาจารย์ ต้องชมอาจารย์ อาจารย์ไม่ง้อแล้ว เพราะอาจารย์มีสุขทุกวันที่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่ศิษย์ของอาจารย์ไม่ใช่ สุขเมื่อผู้อื่นชม แล้วเราไม่รู้คุณค่าตัวเองหรือ สุขเมื่อเลื่อนตำแหน่ง สุขเมื่อได้รับคำชมได้รับเกียรติ
ฉะนั้นถ้าศิษย์จะเริ่มต้นหนทางกลับคืนสู่ฟ้า ฟ้าต้องการให้เราเบา ให้เราสูง ให้เรามีธรรม ให้เราให้ ฟ้าไม่เคยให้แล้วเรียกร้องผล ฉะนั้นอยากกลับสู่ฟ้า อยากเป็นใจฟ้า อยากมีใจธรรม ศิษย์ลองไปให้คนที่เขายากไร้มากๆ เราคิดว่าเราช่วยเขา เราให้เขาแล้วเขายิ้มและขอบคุณ เราได้สุขกลับมาทันที ป้าๆ ไม่ต้องขอบคุณหนูขนาดนั้น หนูมีเยอะหนูเลยแบ่งให้ป้า เราคิดว่าเราช่วยเขาแต่ไปๆ มาๆ เขากลับ (ช่วยเรา) พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ความสุขของพระพุทธะคือ การกระโดดลงไปช่วยคนให้พ้นทุกข์ แต่ความสุขของมนุษย์คือ ความสุขอย่างเห็นแก่ตัวที่นิ่งดูดาย ไม่คิดช่วยใคร นี่คือใจเราต่างจากใจฟ้ายิ่งนัก เพราะเริ่มต้นเราไม่คิดจะให้ เราคิดแต่จะรับ ศิษย์รู้ไหมการให้คือ รากฐานแห่งความดีงามทั้งปวง ถ้าศิษย์ให้ไม่ได้ ศิษย์จะเมตตาใคร ยอมใครและซื่อสัตย์กับใคร ให้ได้ไหม (ให้ได้) การให้ที่ง่ายที่สุดคือ ให้ความเมตตา ให้ความจริงใจ ให้น้ำใจไมตรี ให้ความซื่อตรง ให้ความน่าเคารพเชื่อถือ ให้ความน่าศรัทธา ให้เกียรติ แบบนี้ต้องเสียทรัพย์ไหม (ไม่เสีย) ซื่อตรงได้ไหม ไม่ใช่ซื่อแต่ไม่ตรงนะ
เคยถวายสังฆทานกับคนไหม (เคย) อะไรก็ถวายได้โดยไม่เจาะจงใช่ไหม (ใช่) ให้น้ำใจเขา ให้อภัยเขา ไม่เคืองโกรธเขา ไม่ผูกใจเจ็บเขา ให้เมตตาเขา นี่เรียกว่าให้ธรรม ทำได้โดยการให้ธรรมะเป็นทาน สร้างบุญแล้ว สร้างสังฆทานแล้วยังสร้างกุศล ได้ชำระล้างตัวตนไม่ยึดถือด้วย ฉะนั้นการเริ่มต้นจึงเป็นเรื่องง่าย ไม่ใช่เรื่องยากเลย แล้วศิษย์ทำได้ไหม (ได้)
ถ้าเรามีโอกาสเจอหน้าใคร เราจะให้อะไรเป็นทาน
(ให้โอกาสคนผิด) ให้โอกาสคนผิดด้วยหัวใจที่เข้มแข็งและลุกขึ้นสู้อีกครั้ง (ให้มิตรภาพ ให้ความจริงใจ) ทำให้ได้นะ ไม่ว่าคนนั้นเขาจะจริงใจหรือไม่จริงใจ (ให้อภัยและมีความเป็นมิตรกับทุกคน ให้อภัย ความรู้) ก่อนที่จะให้อภัยแปลว่า โกรธ ฉะนั้นถ้าพยายามให้ความเข้าใจ เราจะไม่ต้องพยายามอภัยใครเลย ยิ่งถ้าเราเมตตาเขามากๆ เรายังต้องให้อภัยใครไหม (ให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้น) โดยเอาตัวเราเป็นแบบอย่าง ทำเป็นแบบอย่างให้เขาเห็น ดีกว่าสอนด้วยคำพูดอีก (ให้ความรักความเมตตา) แต่เลือกที่รักมักที่ชังไม่ได้ รักแล้วต้องรักเท่าๆ กันถึงจะไม่บาป ไม่สร้างกรรม รักแล้วยึดติดก็ก่อเกิดทุกข์ รักแล้วต้องวางให้เป็นด้วย (ให้รอยยิ้ม) รอยยิ้มอย่างเดียวไม่พอ ปากยิ้มแต่ใจคดโกงไม่เอา ปากยิ้มแต่ตาแอบไปมองคนอื่นก็ไม่ได้ ต้องมีความซื่อตรงจริงใจ
รู้จักให้เกียรติไม่ดูถูกดูหมิ่นใคร แล้วก่อนที่จะให้เกียรติผู้อื่น เราก็ต้องทำตัวเองให้น่าเคารพด้วยใช่ไหม (ใช่) แล้วอย่าเป็นเพียงแค่คำพูด แต่ต้องทำให้ได้ด้วย จริงไหม (จริง)
(ความเมตตาและรักกัน) แต่รักกันก็อย่ารักกันเฉพาะแค่พวกพ้อง ถ้าจะรักก็ต้องรักให้เท่ากันทุกคนใช่ไหม (ใช่) (รู้จักบุญคุณคน) แปลว่าทุกคนมีบุญคุณเราก็จะไม่นินทาใช่ไหม (ใช่) (ให้ความจริงใจ) ทำให้ได้นะ เพราะถ้าเจอคนที่ไม่จริงใจ จงอย่าท้อ (ความรักความเมตตา) ความรักนั้นต้องไม่เป็นการยึดมั่นถือมั่น (ให้รอยยิ้มและกำลังใจ) บางครั้งก็ต้องรู้จักให้โอกาสคนที่เขาผิดพลาดด้วยใช่ไหม (ใช่) แล้วถ้าเจอโลกที่ไม่ยุติธรรมไม่ซื่อสัตย์แล้วเรายังจะให้อยู่ไหม (ให้อภัย) ศิษย์เอ๋ยถ้าเมื่อไรศิษย์คิดจะให้อภัย แปลว่าลึกๆ แล้วศิษย์แอบโกรธเขาก่อน ไม่พอใจเขาก่อน ใช่ไหม (ใช่) (ให้อภัยและให้ธรรมะ) ธรรมะอะไรหรือ (ให้เขามาปฏิบัติธรรม) สู้เราปฏิบัติธรรมเป็นตัวอย่างให้เขาดูดีกว่า
(อภัยและรอยยิ้ม) ถามจริงๆ ตอนที่รู้สึกต้องให้อภัยเรายิ้มออกไหมศิษย์ พยายามให้ความเข้าใจ ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร เราต้องเข้าใจให้มากที่สุด แล้วศิษย์จะได้ไม่ต้องใช้คำว่า อภัย เพราะเขาผิดได้ เราผิดได้ เขาแย่ได้ เราแย่ได้เหมือนกัน (รักกันและชอบกัน) แต่บางคนเหม็นขี้หน้ากัน ยังไม่ทันได้ชอบกัน ต้องทำอย่างไร (ขอบคุณ) ทำให้ได้อย่างนี้นะ (เขาไม่ดีเราต้องให้โอกาสและต้องซื่อสัตย์) เราต้องอดทนให้ได้ในสิ่งที่เขาเป็นแบบนั้น บางครั้งนอกจากให้คนอื่นเป็นแล้ว ศิษย์ต้องให้ใจตัวเองทำอย่างไรให้รับกับคนแบบนั้นให้ได้ ศิษย์อย่าลืมสังฆทานให้คนอื่น อย่าลืมให้กำลังใจตัวเอง หนูจะต้องทนให้ได้ (ต้องจริงใจและซื่อสัตย์ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน) ตอบได้ดี เพิ่งก้าวแรกเองไปรอดไหม เริ่มต้นทำอย่างไรก็ได้ที่ทำให้เรารู้จักให้ แต่เราต้องให้กำลังใจตัวเองในการยอมรับผู้คนที่ไม่ได้ดั่งใจเรา
รู้จักถวายสังฆทานให้ผู้อื่น อย่าลืมสังฆทานให้ตัวเองด้วยนะ อดทนให้ได้กับสามีที่เป็นแบบนี้ เข้มแข็งให้ได้กับลูกที่เป็นแบบนี้ ยอมรับให้ได้กับเพื่อนที่เป็นแบบนั้น เมื่อเคลียร์ใจตัวเองได้ เราก็ยอมให้ได้ เขาไม่จริงใจแต่เราจะจริงใจ เขาไม่ดีแต่เราจะดี ให้รู้กันไปชีวิตนี้ดีไม่ได้แต่เราจะดีให้ได้ เราจะสู้และไปต่อ ก้าวแรก คือ “ให้”
ก้าวที่สอง คือ ต้องละชั่วให้ได้ ต้นเหตุแห่งบาปทั้งมวลล้วนก่อเกิดมาจากกิเลสที่เรียกว่า “โลภ โกรธ หลง” ถึงแม้เราจะขจัดกิเลส โลภ โกรธ หลง ได้ แต่ตัวต้นเหตุที่สร้างโรงงานโลภ โกรธ หลง คือ (ความคิด) ฉะนั้นถึงบอกว่าสิ้นกิเลสยังไม่สิ้นทุกข์ ตราบใดตัวสร้างทุกข์ยังคิดไม่เป็น ยังไม่มีสติยังไม่มีธรรมะพอ อย่างนั้นคนที่จะเดินขึ้นสวรรค์นอกจากให้แล้ว อยู่เพื่อสนองกิเลสหรืออยู่เพื่อลดละกิเลส (ลดละกิเกส) เรากินเพื่ออยู่หรืออยู่เพื่อกิน ใส่เพื่ออุ่นหรือใส่เพื่อสวยหล่อ ถ้าศิษย์จะก้าวต่อไปศิษย์ต้องละกิเลสให้ได้ ถ้าศิษย์ยังละกิเลส ละความโลภโกรธหลงไม่ได้ ศิษย์ก็จะก้าวต่อไม่ได้ ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า “ไม่มีหายนะใดน่ากลัวเท่ากับความไม่รู้จักพอ ไม่มีภัยพิบัติใดยิ่งใหญ่เท่ากับความโลภ” ถ้ารู้จักพอก็สงบได้ รู้จักพอรู้จักหยุดก็หลีกหนีภัยพิบัติได้
แต่มนุษย์มีใครบ้าง มีแบงก์ร้อยแล้วไม่มีแบงก์พัน ได้เงินมาสนองกิเลสอารมณ์ แต่ครอบครัวแตกแยก ไม่มีมิตรแท้ ไม่มีเพื่อนจริงเอาไหม (ไม่เอา) มีบ้านมีรถครบครันแต่ลูกอยู่ทาง พ่อแม่อยู่โดดเดี่ยวเอาไหม (ไม่เอา) ฉะนั้นถ้าศิษย์ยังคงผิดศีลขาดธรรม ศิษย์ก็จะไม่มีวันครอบครัวร่มเย็นได้ เมื่อละบาปได้ก็ต้องบำเพ็ญบุญ เมื่อเราไม่ผิดศีลแล้ว สิ่งที่ศิษย์ต้องสร้างให้คนที่ดีแล้วดียิ่งๆ ขึ้นไป นั่นก็คือการมีคุณธรรมต่อกัน การมีคุณธรรมต่อกันทำให้ครอบครัวร่มเย็น ทำให้ชีวิตมีค่ามีความหมาย ไม่มีความซื่อตรงจริงใจกับใคร ไปอยู่ที่ไหนจะมีใครรักไหม (ไม่มี) อาจารย์ถามศิษย์เจอใครหล่อ สวย มองไหม (ไม่มองแค่เหล่ๆ) หลงไหม (ไม่หลงแต่ขอดูอีกสักทีหนึ่ง) ไม่ได้นะศิษย์ ใจเขาใจเรา อกเขาอกเรา เรายังอยากได้คนซื่อตรงแต่ตัวเราไม่ซื่อตรง เรายังอยากได้คนจริงใจไม่เอาเปรียบไม่เอาแต่ได้ แต่เราเอาเปรียบเอาแต่ได้ไม่จริงใจ ฉะนั้นก้าวที่สองที่อาจารย์อยากให้ศิษย์ทำให้ได้คือ หนึ่งต้องไม่เบียดเบียนทั้งตา กาย ใจ สองต้องไม่อยากได้ของเขามาเป็นของเรา สามซื่อตรงจริงใจรับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดีที่สุด คำไหนคำนั้นถ้าทำได้เช่นนี้ นี่แหละก้าวที่สอง
ซื่อตรงไหม (ซื่อตรง) เบียดเบียนไหม (ไม่เบียดเบียน) จริงใจไหม (จริงใจ) แน่ใจนะ อย่างนี้แปลว่ากลับบ้านไปจะไม่เบียดเบียนชีวิตของใครให้เป็นชีวิตของเราใช่ไหม (ใช่) อย่างนี้ก็แปลว่าจะไม่กินเนื้อสัตว์ใช่ไหม เอาไหมอาจารย์ให้ ไม่กิน 3 อย่างเอง แค่ไม่กินสัตว์บนฟ้า สัตว์บนบก และสัตว์ในน้ำ ศิษย์เอ๋ย โลกนี้เป็นโลกของเหตุและผล ถ้าเราไม่สร้างเหตุแล้วเราจะได้รับผลไหม (ไม่รับ) แล้วศิษย์ไปเบียดเบียนชีวิตของเขาเพื่อชีวิตของเรา แล้วศิษย์คิดว่าเขาจะไม่เบียดเบียนศิษย์กลับหรือ ตัวอย่างง่ายๆ เช่น ในใจของศิษย์จำคนที่ด่าศิษย์ได้แม่นกว่าจำคนที่ชมศิษย์ใช่ไหม (ใช่) เหมือนกันกับที่ศิษย์ไปเอาชีวิตของเขา แล้วคิดว่าเขาจะไม่จำศิษย์ฝังใจหรือ แล้วศิษย์กินเขา คิดว่าเขาจะไม่แค้นศิษย์หรือ แล้วถ้าศิษย์ตบเขาแล้วเขาขอตบคืน คิดว่าเขาจะตบกลับเท่ากับที่ศิษย์ตบเขาไหม (ไม่) เขาก็เอาคืนให้ศิษย์เจ็บที่สุด ถ้าศิษย์ไม่เจ็บ เขาก็เอาคนที่ศิษย์รักที่สุด แล้วทำให้ศิษย์ทรมานแล้วตายทั้งเป็น เอาแบบนี้ไหม (ไม่เอา) จงไปคิดดูนะ
ละบาปบำเพ็ญบุญ บำเพ็ญบุญด้วยการไม่เบียดเบียน ไม่อยากได้ของใครมาเป็นของเรา รักแค่ไหน ดีแค่ไหน ได้แค่นี้พอแล้ว ดีกว่านี้ก็ไม่เอา แต่มนุษย์ไม่ใช่มีแต่เรียกร้องให้เธอต้องดีกับฉันอีกนิด เธอไม่เหมือนเดิมนะ เธอต้องดีกว่านี้อีกสิ ใช่ไหม เพียงแค่คิดว่าเขาต้องดีกับเรา นั่นก็แปลว่า อยากได้ของเขามาเป็นของเรา แล้วเมื่อได้แล้ว เราเคยพอไหม (ไม่พอ) ฉะนั้นเมื่ออยากลดความโลภ ก็ต้องรู้จักพอ รู้จักหยุดเป็น
อาจารย์ถาม กิเลสอะไรที่ศิษย์อยากกำจัดทิ้งที่สุด (กิเลสตัณหา) อายุขนาดนี้แล้วยังมีตัณหาอีกหรือศิษย์ อาจารย์ตกใจนะ ตัณหาแบบไหน ไม่ใช่แบบชายหญิงนะ ตัณหาคือ ความอยากไม่รู้จักพอ ใช่ไหม (ความโลภ) ต้องไม่โลภ เพราะถ้าโลภมากจะเป็นเปรตนะศิษย์ (ใจเย็นมีสติ) ทำอะไรอย่าใจร้อน (น้อยใจ, อย่าเห็นแก่ตัว) ตัวโตทำไมขี้น้อยใจ กล้าตอบก็ตอบได้ดี บางทีน้อยใจที่รักเขาแต่เขาไม่รักตอบเลยน้อยใจ เราอย่าเห็นแก่ตัว เพราะถ้าเราเอาแต่เห็นแก่ตัว เราก็จะไม่มีน้ำใจให้กับใคร
(กิเลสตัณหา) ยังเหลืออยู่หรือ (ยังเหลือ) อายุเท่าไร (62 ปี) ยังมีตัณหาอีกหรือ อายุขนาดนี้ไม่ควรมีแล้ว ควรจะต้องปลงและปล่อยวางได้แล้ว (ไม่โกรธมากลาภหาย) อาจารย์เคยได้ยินแต่ว่า โลภมากลาภหาย (ต้องมีศีลห้าเป็นหลัก) เพราะสิ่งที่อาจารย์พูดคือ ศีลห้า คือความเป็นปกติ คนที่ไม่มีศีลห้าคือ คนที่ผิดปกติ แล้วชีวิตนี้ศีลห้าถือได้ครบไหม (ครบครับ) แค่นี้ก็โกหกแล้ว ศีลห้าทำคนให้เป็นคนปกติ แต่ถ้าไม่มีศีลห้าก็ไม่ปกติ
(ไม่โลภ ไม่โกรธและไม่หลงตัวเอง) ไม่หลงตัวเองหรือเพศตรงข้าม ต้องระวัง (ความใจร้อน) ตอนนี้ทำอะไรต้องมีสติยั้งคิด ไตร่ตรองให้ดี (กิเลสในใจเรา) ก็คือความยึดมั่นถือมั่นในความคิดตน มักคิดว่า ตนถูกเสมอ
ข้อที่สาม มองเห็นความเป็นจริงอย่างแจ่มชัด จนไม่ยึดมั่นถือมั่นแม้กระทั่งตัวตน เมื่อเข้าถึงสภาวสัจธรรม สัจธรรมจะสลายความเป็นตัวตนจนหมดสิ้น จนเข้าถึงสภาวะว่าง หรือเรียกว่า “ธรรมอันเดิมแท้” แต่มนุษย์มักจะชอบใช้ความคิดความเข้าใจจนลืมมองความจริง ในโลกนี้ทุกสิ่งเปลี่ยนไหม คงอยู่ไหม ทุกสิ่งมีเหมือนไม่มี ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เราเข้าใจว่าสิ่งที่คงอยู่พร้อมจะเปลี่ยนแปลง เราจะทุกข์กับมันไหม ถ้าวันหนึ่งหน้าเราจากดีๆ กลายเป็นเหี่ยว มีแขนขาครบกลายเป็นแขนด้วน วันหนึ่งชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือ แล้วศิษย์จะทุกข์ไหม ศิษย์เอ๋ย ถ้าศิษย์มองแล้วเข้าใจความเป็นจริง ศิษย์จะรู้ว่าในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น ไม่มีอะไรที่คงที่ตลอด เมื่อเกิดการแปรเปลี่ยนเกิดการพลิกผัน ศิษย์จะได้ไม่ทุกข์กับสิ่งนั้น เพราะเราเห็นแจ้งจริง
ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์ต้องก้าวไปให้ถึงก็คือ พิจารณาธรรมแห่งความเป็นจริงจนบังเกิดความรู้แจ้ง และกลับคืนสู่สภาวธรรมอันเดิมแท้ในใจตน นั่นแหละคือสิ่งที่ศิษย์ต้องพิจารณาให้เนื่องๆ ด้วยการพิจารณาไตรลักษณ์ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า หมั่นพิจารณาแล้วศิษย์จะเข้าใจในธรรมอันแจ่มแจ้ง ทุกสิ่งทุกอย่างแค่คงอยู่ชั่วคราว แล้วถึงเวลาก็เปลี่ยนแปลงไป
อาจารย์ถามศิษย์ว่า ระหว่างไฟกับน้ำอะไรน่ากลัวกว่า (ไฟ) อะไรดีกว่า (น้ำ) ถ้ามีแต่น้ำแต่ไม่มีไฟ (อยู่ไม่ได้) ถ้าอาจารย์เปรียบเทียบไฟเหมือนความโกรธ ความเกลียด น้ำเหมือนความเมตตา จิตใจที่ดีงาม จิตใจที่เสียสละ เราอยู่ในโลกมีแต่น้ำไม่มีไฟ (อยู่ไม่ได้) แล้วเป็นไปได้ไหม ที่ในโลกนี้มีแต่คนมีเมตตา ไม่มีคนน่ากลัว (เป็นไปไม่ได้) เป็นไปได้ไหมที่ภูเขากับพื้นดินต้องเป็นระนาบเดียวกัน (ไม่ได้) ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า สูงและต่ำ แล้วเราอยู่ระหว่างสูงกับต่ำได้ จึงเรียกว่า ชีวิต ถ้าคำชมเหมือนการขึ้นภูเขาสูง คำด่าเหมือนกับคนที่กดให้เรามาเหยียบพื้นดิน อยู่บนพื้นดินน่ารังเกียจสู้ไม่ได้กับการอยู่บนภูเขาสูงหรือ แล้วเป็นไปได้ไหมว่าชีวิตนี้จะมีแต่พื้นดินไม่มีเขาสูง และมีเขาสูงไม่ยอมรับพื้นดิน (ไม่ได้) เมื่อเป็นไปไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น
แท้จริงแล้วโลกมีความเป็นกลางอยู่ แต่มนุษย์ยึดติดชอบชัง จึงรู้สึกว่าอันนี้ดีอันนี้แย่ แต่ถามจริงๆ คำด่าของเขาแย่ไหม (ไม่แย่) คำด่าทำให้เราเห็นตัวเองชัด แต่คำชมทำให้เราลืมความจริงและหลงตัวเอง เหมือนที่ศิษย์ว่า “ไฟมันร้อนแต่ก็ขาดไฟไม่ได้ น้ำมันเย็นแต่ถ้าอยู่กับน้ำจนเกินไปก็ฆ่าเราให้ตายทั้งเป็น” ธรรมะจึงสอนให้เรียนรู้ว่า แท้จริงแล้วโลกนี้ไม่มีอะไรดีไม่มีอะไรแย่ แต่สิ่งที่เรียกว่า ดี แย่ คือใจของศิษย์ที่ยึดติดแบ่งแยก แท้จริงแล้วฟ้าสอนว่า ทุกสิ่งล้วนเป็นกลาง เมื่อไรที่ศิษย์สามารถเข้าถึงสภาวธรรมอันเป็นกลางได้ เมื่อนั้นบาปกรรมจะไม่เกิดขึ้นในใจศิษย์ แต่เมื่อไรที่ศิษย์ยังยึดติดแบ่งแยก ศิษย์ก็หนีไม่พ้นบาปกรรมและการเวียนว่าย เราอยากอยู่เพื่อทุกข์หรืออยากอยู่เพื่อสุข (สุข) ในทุกข์ยังมีสุข ในสุขยังมีทุกข์ แล้วชีวิตนี้เราด้อยปัญญาจนหาสุขในทุกข์ไม่เจอหรือศิษย์ คนเราเข้มแข็งขนาดไหนยังต้องมีอ่อนแอ แต่อ่อนแอขนาดไหนเราหาความเข้มแข็งไม่ได้หรือ แล้วในความอ่อนแอเข้มแข็งเรากลับมาปกติ ไม่ต้องเข้มแข็งไม่ต้องอ่อนแอไม่ได้หรือ แล้วเราอยู่คนเดียวโดยที่ไม่มีใครรัก แต่รู้จักรักตัวเองและรักคนอื่นไม่ได้หรือ (ได้) ทำไมต้องรอให้ใครมารัก ต้องรอให้ใครมาเห็นค่าด้วย ตัวเองไม่เห็นค่าตัวเองหรือ สร้างสรรค์คุณงามความดีด้วยชีวิตตัวเอง ด้วยความศรัทธาเชื่อมั่นในใจตัวเอง
ศิษย์เอ๋ยเกิดเป็นคนไม่มีใครหนีความแก่ ความเจ็บ ความตายได้ เมื่อเป็นศิษย์อาจารย์อย่ากลัวตาย อย่ากลัวเจ็บ เพราะความเจ็บความตายมันทำให้ศิษย์เด็ดเดี่ยวต่อความมุ่งมั่นว่าจะกลับคืนฟ้า และกลับสู่สภาวธรรมที่เรียกว่าว่างเปล่า สังขารนี้ไม่ต้องห่วงมัน อยากตายๆ ไป รักษาใจดีกว่า ใจมันไม่มีกรรม ใจมันไม่มีอยากได้ ด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตน และกลับสู่ความจริงแท้ ถ้าชีวิตได้เดินกลับสู่ความจริง และทำให้เราว่างเปล่า ทำให้เราปลดปลง ทำไมต้องกลัวความจริงข้างหน้า สู้เข้มแข็งไปให้ถึงสภาวธรรมที่แท้จริงที่ไม่ได้อยู่ข้างนอก ที่ไม่ต้องพึ่งใครแต่พึ่งตัวเอง เชื่อมั่นในความดีตัวเอง และนำพาผู้อื่นให้พ้นทุกข์ด้วยหัวใจความเป็นพุทธะ ด้วยใจที่แจ้งถึงความเสียสละ ถอนตัวตนจนหมดสิ้น กลับสู่สภาวธรรมอันเดิมแท้ที่เป็นรากเดิมของใจศิษย์ อย่ามัวหลงกับโลภ กิเลส อย่ามัวหลงกับร่างกายอันไม่เที่ยงแท้ แต่ต้องตื่นขึ้น และเห็นความจริง ไม่มีอะไรเป็นของเรา และเราไม่เคยได้อะไร และเราไม่จำเป็นต้องเป็นอะไร แค่กลับสู่ที่เดิมที่เรามา มีชีวิตไหนบ้างที่เกิดมาแล้วไม่ตาย มีแล้วไม่กลับสู่ความว่าง ถ้ายังหลงมีอีกมันก็จะมีไม่จบสิ้น แต่ถ้าปล่อยความมีได้ กลับสู่ความว่างได้ นั่นแหละพ้นทุกข์โดยแท้จริง แล้วจะยึดความมีให้ทุกข์ทำไม
อาจารย์อยากให้ขวัญและกำลังใจแก่ศิษย์ทุกคน ให้เข้มแข็ง มุ่งมั่นก้าวต่อไป ด้วยหัวใจที่ไม่ยึดติดในโลภ โกรธ หลง หรือสังขารอันไม่เที่ยงแท้นี้ มีปณิธานความมุ่งมั่นที่แจ่มชัด โลกนี้น่าหลงใหลนักหรือ ตัวตนนี้น่ายึดถือจนทิ้งวางไม่ลงเลยหรือ รักษากายใจและความมุ่งมั่นให้เด็ดเดี่ยว เหมือนสวรรค์ชั้นฟ้าที่มีแต่ให้ แล้วก็ให้ แล้วยังจะเอาอะไรอีกหรือกับโลกใบนี้ แล้วศิษย์จะรู้ว่าการปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นตัวตนนั้นคือความสุขที่สุด สุขที่เย็นที่สุด สุขที่พ้นทุกข์ที่สุด ทำให้ได้นะ อาจารย์เชื่อมั่นในตัวของศิษย์ ศิษย์ก็ต้องเชื่อมั่นในความมุ่งมั่นของหัวใจนี้ ลองดูนะ ลองนำธรรมไปพิจารณาให้เห็นแจ้งความเป็นจริง
(พระอาจารย์เมตตาอธิบายความหมายของเนื้อเพลง “ยืมความทุกข์มาบำเพ็ญ”)
“ทุกข์แค่ไหน ท้อแค่ไหน แค่ใจหลอก” ใจนั้นหลอกให้ไหลไปตามอารมณ์ แต่ถ้าเรามองให้เห็นความเป็นจริงแล้ว จะเห็นว่าความท้อก็เป็นเพียงแค่ช่วงหนึ่ง ทุกข์ก็เพียงแค่ช่วงหนึ่ง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ของจริงแท้ สำคัญที่ใจ อย่าให้ไหลไปตามอารมณ์ ต้องเป็นแบบใจเดิม ใจที่ว่าง ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร อะไรจะเกิดก็กล้ารับได้ คำว่า “จ้องบำเพ็ญเหมือนกับพร่อง”แปลว่า ยิ่งเราฝึกฝนบำเพ็ญมากเท่าไร เราก็ยิ่งรู้ตัวเองว่า เรายังพร่องอยู่ เรายังไม่ดีอยู่ เราจึงต้องแก้ไขให้มากที่สุด
อาจารย์ให้กำลังใจศิษย์นะ มุ่งมั่นในการทำความดีต่อไปนะ จิตที่อุทิศเสียสละคือจิตแห่งโพธิสัตว์ จิตที่ยอมทุกข์เพื่อคนอื่น จิตที่ไม่กลัวความเหนื่อยยากคือจิตแห่งพุทธะที่ศิษย์ต้องรักษาให้ดี ยอมเสียสละความสุขของตัวเอง เพื่อนำพาให้คนอื่นพ้นทุกข์ เพื่อให้คนได้กินอิ่มมีสุข นี่คือจิตแห่งพุทธะ
เดินให้ถึงที่สุดนะ ไม่รักศิษย์ตรงนี้แล้วจะไปรักศิษย์ที่ไหนใช่ไหม
มีโอกาสคงได้กลับมาร่วมบุญศึกษาธรรมร่วมกันอีกนะ อย่าปล่อยชีวิตให้ซัดเซพเนจร หลงโลก หลงกิเลส จนลืมมองความจริง อย่าเอาแต่ใจ เอาแต่อารมณ์ จนลืมความจริงแท้ที่ทำให้ชีวิตต้องทุกข์เศร้า ทุกข์ของโลกใบนี้ ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับทุกข์แห่งการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ดูแลตัวเองให้ดีนะศิษย์เอ๋ย เพื่อช่วยเวไนย อย่าท้อ เพื่อช่วยผู้คนให้พ้นทุกข์ เข้มแข็งให้ได้นะ
วันเสาร์ที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑ สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านฮั่นจงหลี
ทำผิดศีลอย่าพูดว่าจำเป็น แล้วที่เป็นตัวเราก็ต้องเปลี่ยน
ตัดอวัยวะรักษาชีวิตดุจเล่มเทียน อย่าวนเวียนติดนิสัยกิเลสอารมณ์
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
จ้องบำเพ็ญเหมือนกับพร่อง ไม่ลองดูเหมือนจะง่าย ถ้าไม่ทุกข์จะเป็นจะตาย ก็ไม่ทำใจโลกที่ท่านรู้กัน ชีวิตของคนที่มีทุกข์ สร้างบุญไม่หวังผลบ้าง ไม่รู้
ก็ไม่ระวัง ไม่เกิดทุกข์ก็ไม่พบธรรม
* อย่าได้หลงรักความโลภแบบไม่ลืมตา อย่าเสียปัญญา อุตส่าห์ฝึกฝนไว้จนได้ คิดจนหลับใหล ทุกข์มาจากไหน ก็ยิ่งหนักหัวตา ไม่ใช้ความเครียดเพราะหมายถึงความเศร้าหมอง ทุกข์สุขเป็นกองอากาศ ก็พัดผ่านได้ ทุกข์แค่ไหนท้อแค่ไหนแค่ใจหลอก
การบำเพ็ญเป็นการพัก วันหนึ่งประจักษ์กับหัวใจ ถอนสลักไร้ตัวตน หลุดพ้นได้
** ถ้าบำเพ็ญได้ไม่พอ พร้อมทะเลาะกับผู้คนเสมอ เตือนท่านควานที่แผลจนเจอ เจ็บที่สุดอย่าเผลอลืมแก้ไข ซ่อนกิเลสบำเพ็ญสร้างปัญหา
ไม่ศึกษาแล้วจะพูดธรรมแบบไหน ท่านเกิดแก่เจ็บและตายได้ ชีวิตเพื่ออะไร
(ซ้ำ **, *, *, เบิ่งให้ออกเด้อ…คนดี)
ทำนองเพลง : คำแพง
ชื่อเพลง : ยืมความทุกข์มาบำเพ็ญ
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านฮั่นจงหลี
เกิดเป็นคนถ้าไม่ซื่อตรงแล้วยังผิดศีลธรรม จะหาความเป็นมงคล ความประเสริฐ ความดีในชีวิตก็คงยาก ดังที่มนุษย์พูดว่า หว่านพืชเช่นไร
ก็ได้รับผลเช่นนั้น ถ้าหมั่นสร้างความดี กรรมดีย่อมนำพาให้เราพบความสุข ความเจริญ แต่ถ้าเราสร้างกรรมชั่ว ประพฤติปฏิบัติผิดศีลธรรม จะหวังความเป็นมงคลให้กับชีวิต ก็คงเป็นไปได้ยาก คนที่ทำผิดศีลธรรม ก็คือคนที่ประพฤติปฏิบัติไม่ดี เมื่อประพฤติปฏิบัติไม่ดี หวังจะมีความสุขก็เป็นไปได้ยาก หวังจะก่อเกิดชีวิตอันร่มเย็นก็ยิ่งยาก ถามตัวเองว่าวันนี้เป็นเช่นไร จะโทษฟ้าโทษดินได้กระนั้นหรือ ควรจะถามตัวเองว่าแต่ก่อนทำเช่นไรมา วันนี้ถึงต้องพบพาลเรื่องราวแบบนี้ วันหน้าจะเป็นเช่นไร ก็ขึ้นอยู่กับวันนี้ทำสิ่งที่ถูกต้องดีงามหรือไม่ หวังให้ชีวิตดีงาม มีสิ่งมงคล มีโชคลาภ ถามตัวเองว่า ประพฤติปฏิบัติถูกต้องต่อศีลธรรม มีความซื่อตรงหรือไม่ เหมือนเราถามท่านว่า เกิดเป็นคนเอาแต่โลภ มีหรือจะไม่ถูกลวงให้หลง เกิดเป็นคนเอาแต่หลงหัวปักหัวปำ มีหรือจะไม่ทำผิดพลาด เกิดเป็นคนเอาแต่ยึดมั่นความคิดของตัวเอง ไม่รับฟังความคิดของใคร คิดว่าตัวเองถูกอยู่ร่ำไป มีหรือชีวิตจะพานพบสิ่งที่ดีงาม ไม่พบความเสียใจ ฉะนั้นก่อนที่จะถามคนอื่นว่ามา
ทำร้ายเราทำไม ควรจะหันมาย้อนมองและถามตัวเองก่อนว่า ตนเองปฏิบัติได้ดี ได้ถูกต้องในศีลธรรมแห่งความเป็นคนหรือไม่
ท่านอยู่กับใครก็อยากอยู่อย่างมีความสุข แล้วอยู่อย่างไรให้มีความสุข เห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ โกหกผิดศีลขาดธรรม เช่นนี้หรือเรียกว่ามีความสุข ปลูกแตงย่อมได้แตง ปลูกถั่วย่อมได้ถั่ว กระทำเช่นไรย่อมได้รับผลเช่นนั้น ถ้าเราประพฤติปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความซื่อตรงจริงใจ มีน้ำใจ เปิดใจกว้าง เห็นใจและให้อภัย มีหรือผู้คนจะไม่จริงใจ ซื่อตรง เห็นใจ และให้อภัยเรา แต่คนโดยส่วนใหญ่ต่างคนต่างเอาตัวเองรอด ต่างคนต่างเห็นแก่ตัว แล้วความเห็นแก่ตัวจะทำให้เราพบความสุขไหม (ไม่) แต่ไยมนุษย์จึงชอบบ่นตัดพ้อว่า ทำไมต้องทำดีกับคนที่ไม่ดี ทำไมฉันต้องเป็นคนเสียสละ ทำไมฉันต้องเป็นคนยอม ทั้งที่คนที่เรายอมเป็นคนที่เห็นแก่ตัวและเอาแต่ได้ จนบางครั้งเราท้อจนไม่อยากทำ
ท่านเคยได้ยินไหมว่า ความคิดที่ยึดติดในตัวตนเป็นหนทางแห่งความเห็นแก่ตัว และนำพาให้มนุษย์ง่ายที่จะหลงทำผิดพลาด แต่การที่รู้จักอุทิศเสียสละให้ ยอมทำดี เป็นมงคลอันประเสริฐแก่ชีวิต
ถ้าเราพยายามที่จะให้ พยายามที่จะเสียสละ แต่อีกฝ่ายก็ยังจะเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ เรายังทำดีไหม (ทำ) เพราะอะไร เพราะความคิดที่ยึดติดว่าคนนั้นถูก คนนี้ผิด แล้วไม่มุ่งมั่นทำดีตลอด ก็ง่ายที่จะทำให้ตัวเราเห็นแก่ตัว และก็ง่ายที่จะทำให้หลงผิดพลาด ไม่เหมือนกับจิตใจที่เราอุทิศให้ เสียสละ มุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีงามอันเป็นมงคลที่เรียกว่า คุณธรรม เมตตา ความซื่อตรง ความเสียสละ ยิ่งทำให้เป็นมงคลกับชีวิตและเป็นความสุขกับชีวิต เรียกง่ายๆ ว่า กรรมดีกับกรรมชั่ว
กรรมชั่วเมื่อทำ ผลที่ได้ก็คือเป็นทุกข์ ทำลายชีวิต ถ้าถึงที่สุดก็หนี
ไม่พ้นผลชั่วที่ตัวเองสร้าง แต่การประพฤติปฏิบัติความดีโดยไม่ย่อท้อ ความดีเป็นชื่อของความสุข เป็นชื่อของชีวิต ความสว่างไสว ความเจริญเติบโต
ยิ่งทำยิ่งเป็นสุข ยิ่งทำยิ่งสว่างยิ่งโล่ง ถ้าเมื่อไรเลิกทำความดี ก็ง่ายต่อการที่จะเดินไปสู่หนทางที่เรียกว่า นรก คือคนที่เห็นแก่ตัว ไม่เคยเห็นแก่ใครจนถึงที่สุด เมื่อไรที่ทำดีแล้ว เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เมื่อนั้นไม่อาจเรียกว่า ความดี
ทุกท่านที่อยู่ในที่นี้เป็นคนมีศีลมีธรรมไหม มีคำกล่าวว่า เกิดเป็นคนถ้าผิดศีลขาดธรรม แม้จะไม่มีภัยภายนอก แต่ภายในใจก็ยากหาความสงบได้ ฉะนั้นแม้มีความสำเร็จมากมาย แต่ใจลึกๆ หาความสุขกายสบายใจไม่ได้ นั่นก็แปลว่าตัวท่านต้องถามตัวเองและยอมรับว่าศีลธรรมเรามีครบหรือไม่ รู้ทั้งรู้ว่าทำบาปเป็นสิ่งที่ไม่ดี ผิดศีลเป็นสิ่งที่นำพาให้เป็นทุกข์ แต่มนุษย์ก็อ้างว่าจำเป็นเพื่อความอยู่รอด ช่างน่าเสียดาย ฉะนั้นถ้าถอนเสียได้ซึ่งจิตอกุศล ถอนเสียได้ซึ่งความผิดบาปทั้งมวล มุ่งมั่นเติมจิตใจให้มีแต่ความดีงามถูกต้อง แผ่ขยายต่อชีวิตตัวเองและไปสู่ชีวิตของผู้อื่น มีหรือวันหน้าจะไม่พบสุข มนุษย์เอาแต่ผิดศีลขาดธรรม แล้วผลที่สุดก็ต้องมานั่งแก้ในสิ่งที่ตัวเองได้ทำ หยุดยั้งความชั่วร้ายในใจนั้นหยุดยากหรือ เราว่าทำดีง่ายกว่าทำชั่วอีกนะ เดินไปขอบคุณ เดินไปขอโทษ กับเดินไปต่อว่าให้เขาเจ็บปวด อะไรง่ายกว่ากันหรือ (เดินไปขอบคุณ เดินไปขอโทษ) แต่เมื่อถึงเวลา ทำไมคำว่า “ขอบคุณ” และ “ขอโทษ” จึงออกจากใจของเราได้ยากกว่า
ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าชีวิตนี้จะเป็นอย่างไร อยู่ที่ตัวเองกำหนดตัวเอง
เราใคร่ขอถามท่านว่า ท่านปล่อยให้ชะตาชีวิตกำหนดเรา หรือเราเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิต ท่านมักจะปล่อยให้ชีวิตไปตามยถากรรมมากกว่า ถูกไหม (ถูก) เกิดเป็นคนไม่ซื่อตรงต่อตัวเองแล้ว อย่าพูดถึงศีลธรรมเลย แค่พูดกับเรายังโกหกเลย แล้วจะหาความสุขที่แท้จริงได้อย่างไร
เราเคยคิดไตร่ตรองไหมว่า ถ้าเราเป็นผู้กำหนดชีวิตตัวเอง แล้วชีวิตเราขึ้นอยู่กับอะไร ทำไมบางครั้งจึงอยากทำดี บางครั้งไม่อยากทำดี ท่านคิดว่า ตัวเรานี้มักจะปล่อยให้ตัวเราทำไปตามอะไร (ตามใจ) ถ้าอย่างนั้นชีวิตนี้ขึ้นอยู่ที่ใจ ใจดีก็ (ดี) ใจร้ายก็ (ร้าย) ถ้าใครว่าเรา ตอนนั้นเราใจดี เราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)
ตกลงชีวิตของท่านไม่ได้อยู่ที่ผู้อื่นกำหนด ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วอยู่ที่ (ตัวเราเองกำหนด) ฉะนั้นเคราะห์ดีหรือเคราะห์ร้าย ชะตาดีหรือชะตาร้าย อย่างนี้จะโทษใครได้ไหม (ไม่ได้) แล้วจะโทษที่ไหน (โทษที่ตัวเราเอง)
ฉะนั้นถ้าอยากจะแปรเคราะห์ร้ายให้กลายเป็นดี ก็ต้องแปรที่ใจ
ใจของเราจะดีหรือจะร้ายนั้น ขึ้นอยู่กับอารมณ์ตอนนั้นว่าเป็นเช่นไร
ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าอารมณ์ดี อะไรๆ ก็ดี ถ้าอารมณ์ร้าย อะไรๆ ก็ร้าย ฉะนั้นถ้าเขาด่าเรา หากเราอารมณ์ดี ใจของเราก็ (ดี) อย่างนั้นหากเขาชมเรา
แต่เราอารมณ์ร้าย ผลก็ไม่ดี เพราะอารมณ์ของเราไม่ดี ฉะนั้นดีหรือร้ายนั้นไม่ได้อยู่ที่ใครกำหนด แต่ดีหรือร้ายก็ไม่ได้อยู่ที่ฟ้ากำหนด แต่ดีหรือร้ายอยู่ที่ใจของเราเป็นเช่นไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านเคยได้ยินไหม “ชีวิตหมุนเปลี่ยนไปตามความคิด ผลของการกระทำแห่งชีวิตล้วนมาจากใจที่นึกคิดเช่นไร” สิ่งที่ควบคุมใจเราได้คือ “ความคิด” ฉะนั้นถึงตามใจได้ ถึงรู้ทันใจ แต่ถ้าไม่เท่าทันความคิด ความคิดก็ชักพาใจให้หลงผิดได้ ลองมองดูว่าความคิดมีอิทธิพลต่อใจไหม ความคิดบงการทั้งกายและใจ และความคิดยังอิทธิพลต่อคำพูด การกระทำและชะตากรรม เราคิดเช่นไรเราก็ดำเนินชีวิตเช่นนั้น เราคิดตัดสินแบบใดเราก็พูดแบบนั้น ใช่ไหม (ใช่) แล้วโดยส่วนใหญ่มนุษย์คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้นทันที ไม่เคยฝืนความคิด คิดจะว่าก็ว่า คิดจะโมโหก็โมโห แปลว่าใจมักไหลไปตามความคิด ถ้าอยากเปลี่ยนใจเปลี่ยนชะตากรรมเปลี่ยนชีวิต ก็ต้องเปลี่ยนความคิด เรามาดูหน่อยว่าความคิดของคนน่ากลัวไหม มนุษย์มักคิดต่ำมากกว่าดึงตัวเองสูง แล้วเมื่อความคิดรวมกับนิสัยของใจคน ยิ่งน่ากลัวยิ่งนัก เพราะใจคนมักเป็นใจที่ไม่ค่อยยอมแพ้ เอาแต่ได้ ถือดี เมื่อใจรวมกับความคิดจึงเป็นสิ่งที่น่ากลัว ยอมคนไหม ท่านแพ้เขาชนะ ท่านยอมไหม
ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ใจอย่างเดียว แต่เป็นนิสัยของใจที่รวมกับความคิด นิสัยของใจชอบระแวงมากกว่าระวัง คิดร้ายมากกว่าคิดดี และเมื่อคิดร้ายแล้วก็ชอบเชื่อมั่นยึดติดว่าตัวเองคิดถูกใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นพูดออกมา กระทำออกมา แสดงออกมา จึงกลายเป็นชะตากรรมที่ปฏิบัติต่อผู้อื่นได้ไม่ค่อยซื่อตรงและจริงใจใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าอยากเปลี่ยนต้องเปลี่ยนที่ความคิดและนิสัยของใจ เปลี่ยนเป็นคิดดีๆ เข้าไว้ดีไหม (ดี) ดีแต่น่ากลัวตรงที่พอคิดดีแล้วกลายเป็นคนชอบจับผิด เหมือนที่ท่านบอกว่าให้มองแง่ดีไว้ แต่มองแง่ดี มองไปมองมากลายเป็นคนจับผิด ไม่เห็นดีเลย ธรรมะจึงสอนว่าจงเอาธรรมะมาช่วยขัดเกลาความคิด จงเอาธรรมะมาช่วยชำระล้างใจให้ถูกต้อง เพราะถ้ามนุษย์ไม่มีธรรม มนุษย์ก็ง่ายที่จะคิดและปล่อยตามนิสัยของใจที่ไหลลงต่ำมากกว่าขึ้นสูง ที่ชอบเอาดีเอาได้มากกว่ารู้จักให้ใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วนำธรรมะอะไรมาคอยควบคุมความคิด และชะล้างนิสัยของใจที่ชอบหลงผิด ถ้าเป็นมนุษย์ก็ต้องคิดให้เป็น คิดให้สูง คิดอย่างคนมีสติ รู้เท่าทันความคิด ไม่ปล่อยให้อารมณ์ครอบงำชักนำความคิดใช่หรือไม่ (ใช่) การมีสติรู้เท่าทันความคิด ไม่ปล่อยอารมณ์ครอบงำความคิด จึงเป็นยารักษาที่ดี ช่วยให้เราดำเนินชีวิตอย่างสุขุม ใจเย็นและระมัดระวัง อันนี้แค่เป็นความเข้าใจ เป็นความรู้พื้นฐาน แต่สิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ ช่วยยับยั้งความคิด
ชะล้างนิสัยของใจ
นิสัยของใจอีกอันหนึ่งที่น่ากลัวก็คือ ชอบจมอยู่กับความทุกข์ แล้วรู้ว่าเป็นทุกข์ ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ แต่ก็ชอบจมอยู่ในความทุกข์ เราจะมาช่วยแก้ วิธีที่จะแก้ก็คือ จงรู้จักนำธรรมะมาควบคุมความคิด มาชะล้างใจ เคยไหมเวลาเจอคนที่หน้าบึ้ง จิตเราก็ตก พูดไม่ไพเราะ ใจก็แย่ ใช่ไหม (ใช่) แค่คนที่ขายของสะบัดเสียงใส่เรา เราก็อารมณ์เสีย นั่งรถด้วยกัน เจอใครพูดนินทา เราก็อารมณ์ไม่ดี ทั้งที่ก็บอกว่า ชีวิตขึ้นอยู่กับใจของเรา แต่ถึงเวลาเราก็อดผันแปรไปตามสิ่งที่กระทบที่เรียกว่า แวดล้อมพัดผ่านมาไม่ได้ ฉะนั้นพระพุทธะท่านสอนว่า จงรู้จักนำธรรมมาใช้ควบคุมความคิด ชำระล้างใจ
ท่านเคยได้ยินไหมว่า ธรรมสอนให้เราพบเจอความสว่าง ความสงบ ความเย็นและพ้นทุกข์ ถ้ายิ่งคิดแล้วยิ่งมืด ยิ่งทุกข์ ยังจะคิดต่อไหม ก็ยังคิด แถมหาดนตรีมาบรรเลงขับกล่อมให้ยิ่งเศร้า แถมอะไรมาซ้ำเติมให้ตัวเองยิ่งเจ็บ ถ้าคิดแบบนี้ทำให้พ้นทุกข์ไหม (ไม่) ธรรมสอนว่า ทำอะไรก็ได้ที่ทำแล้วทำให้สว่าง สงบเย็นและพ้นทุกข์ เคยไหม คิดแบบคนสว่าง คิดแล้วทำให้เราสงบ คิดแล้วทำให้เราใจเย็น คิดแล้วทำให้เราพ้นทุกข์ คิดแบบไหน (ปล่อยวาง) ปล่อยได้ไหม ก็ยากใช่ไหม (ใช่) สิ่งที่มนุษย์มักเป็นคือการจ้องจับผิด เมื่อจ้องจับผิดก็จะเห็นคนโน้นก็ไม่ดี เห็นคนนั้นก็แย่ การจ้องจับผิดคือทางที่ทำให้เรามืด ทำให้เราทุกข์ ทำให้เราไม่สงบ ฉะนั้นไม่จ้องจับผิดใคร เอาแต่ขัดเกลาแก้ไขตนเอง อย่างนี้จะสว่างไหม (สว่าง) จะสงบไหม (สงบ) พ้นทุกข์ไหม (พ้น) ฉะนั้นถ้าอยากสว่างก็เลิกจับผิด แล้วเปลี่ยนระแวงเป็นระมัดระวังใจ อยากแก้ความคิด อยากแก้นิสัย ก็เลิกระแวงผู้อื่น แล้วทำตัวเองให้ดี ทำตัวเองให้ถูก แล้วเอาเวลาจับผิดผู้อื่นนั้นมาเป็นเวลาแก้ไขตัวเอง ระมัดระวังตัวเอง เพราะตัวเองจะได้ไม่สร้างเหตุให้ตัวเองทุกข์
ใช่หรือไม่ (ใช่)
อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยดับให้เราสามารถคลายความเศร้า คลายความรังเกียจเขาได้ ก็คือ แปรความเกลียดความไม่ชอบ เป็นความเห็นใจ เข้าใจ อภัย ไม่เกลียดไม่โกรธ สิ่งนี้จะแปรเปลี่ยนใจที่คิดร้าย ใจที่ทุกข์ ให้เป็นใจที่สงบเย็น หากเราว่าเขา เราก็เจ็บ เขาผิดเราก็ไม่ได้ถูกกว่าเขา เขาแย่เราก็ไม่ได้ดีกว่าเขา จริงไหม (จริง) ว่าเขาไม่ดี แล้วเราดีกว่าเขาสักเท่าไรหรือ เห็นเขาแล้วไม่เห็นเรา หรือว่าเราก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเขาเลย เขานิสัยไม่ดี เราก็ (ไม่ดี) ใช่ไหม (ใช่)
ถ้ากล้ายอมรับอย่างนี้ การที่เราจะมองเขาแย่ การที่เราจะรังเกียจ การที่เราจะโกรธ จะแปรเปลี่ยนเป็นความเห็นใจ ความมืดความทุกข์จะกลายเป็นความสว่าง สงบเย็นและสบายใจ และธรรมะก็สอนให้สร้างบุญอย่าสร้างบาป ทำคนอื่นเจ็บก็คือบาป ทำคนอื่นมีสุขก็คือบุญ ท่านอยากสร้างบุญหรือสร้างบาป (บุญ) และทุกครั้งที่ว่าผู้อื่นบาปหรือบุญ (บาป) ทำบุญแต่ที่วัด กับคนไม่เคยทำบุญเลย รู้จักแต่ให้ทาน แต่ไม่เคยให้ธรรมะเป็นทานเลยใช่ไหม ให้อภัยเป็นทานไม่ได้หรือ ฉะนั้นก่อนจะคิดอะไรตามใจตัวเอง ตามนิสัยของใจ จงมีสติคิดทบทวนก่อนว่า ถ้าความคิดนั้นพาไปสู่ความมืด ความวุ่นวายและความทุกข์ นั่นไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง แต่ถ้าความคิดใดทำแล้วสว่าง ทำแล้วพ้นทุกข์ ทำแล้วบังเกิดบุญ คิดแบบนั้น
ไม่ดีกว่าหรือ คิดได้ทันอย่างนั้นไหม นิสัยของใจชอบขึ้นแล้วก็ลง ดีแล้วก็ร้าย ใจเราก็ไม่ต่างอะไรกับธรรมชาติที่มีขึ้นได้ก็ลงได้ ลงได้ก็ขึ้นได้ แต่แปลกเวลาลงทำไมขึ้นยาก แล้วเวลาขึ้นหรือลงกลับมาปกติไม่ได้หรือ ทำไมต้องเหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวา เป็นคนปกติไม่เป็นใช่ไหม น้ำยังมีวันขึ้นและลง ใจของคนมีขึ้นและลง แต่อย่าลืมกลับมาปกติ และอยู่กับความปกติธรรมดา ธรรมชาติของใจก็ไม่ต่างอะไรกับธรรมชาติของน้ำ ขึ้นได้ลงได้และกลับมาปกติได้ ความปกติคือคุณธรรมของความเป็นคน แต่ความเหวี่ยงซ้าย เหวี่ยงขวา คือความผิดปกติที่ทำให้มนุษย์ง่ายที่จะขาดศีลธรรม ธรรมคือความเป็นธรรมดาอันเป็นกลาง ฉะนั้นถ้าศึกษาปฏิบัติธรรม อย่าลืมใจอันเป็นกลาง แต่มนุษย์ใจมักจะติดร้าย ติดดี แล้วก็บอกว่า ก็เป็นได้แค่นี้ แต่จริงๆ แล้วมีอีก คือความธรรมดา
อีกเรื่องหนึ่งก่อนจะจากกัน มนุษย์แปลกอยู่อย่างหนึ่งตรงที่เวลามีความสุข ก็ชอบคิดในเรื่องที่พาลให้ทุกข์ เจอคนชมน่าจะดีใจก็กลับระแวง เจอเรื่องที่ได้ น่าจะสุขใจก็กลับวิตกกังวล ฉะนั้นถ้าเป็นหนึ่งในผู้ปฏิบัติธรรม ไม่ควรคิดแบบนี้ เพราะถ้าคิดแบบนี้ทำให้ตัวเองทุกข์เปล่าๆ ถ้ากลัวแล้ว
ทำให้ทุกข์ วิตกกังวล กลัวตัวเองเจ็บปวด ทำไมไม่กล้าสู้และยอมรับความจริง ใจของคน ชีวิตของคน ไม่ได้เกิดมาเป็นทาสของอารมณ์เสมอไป แล้วเมื่ออารมณ์มาแล้ว จำไว้นะว่าเราเลือกได้ที่จะจมอยู่กับอารมณ์หรือจะหลุดพ้นจากอารมณ์
เราหนีให้เราไม่คิดไม่ได้ เราหนีให้เราไม่มีอารมณ์ไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะมีอารมณ์แล้วพ้นทุกข์ เห็นแจ้งจริง หรือวิตกกังวลและจมกับทุกข์ เราเลือกได้ ใช่ไหม (ใช่) ขอแค่เพียงมีสติ รู้ทันความคิดและนิสัยของใจตน แล้วชะตาชีวิตก็ไม่ต้องกราบฟ้า ไม่ต้องไหว้ดิน ไม่ต้องขอใครให้ชม เราก็สามารถกำหนดชีวิตของเราได้ เพราะเรารู้จักคิดให้เป็น คิดให้สูง คิดให้สว่าง คิดให้สงบเย็น และพ้นทุกข์
ลองไตร่ตรองสิ่งที่เราพูด ถ้าฟังแล้วไม่รู้เรื่องก็แปลว่าใจไม่ได้จดจ่อ ไม่ได้ใส่ใจ ใช่ไหม (ใช่) มนุษย์มีใจอันประเสริฐอยู่หนึ่งอย่าง ขอแค่เพียง
ใส่ใจและรักที่จะทำ สิ่งที่ธรรมดาก็จะกลายเป็นสิ่งที่วิเศษ สิ่งที่ดูเป็นปกติ
ก็จะกลายเป็นคุณงามความดีได้ ขอแค่เพียงการใส่ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) มัวแต่ใส่ใจเรื่องอื่น แต่น่าเสียดายลืมใส่ใจที่จะกำหนดชีวิตของตนเอง มัวแต่ห่วงคนอื่นว่ารักหรือไม่รักเรา แต่น่าเสียดายที่ท่านไม่ใส่ใจและรักคุณค่าของตัวเองให้เดินไปสู่ทางที่ถูกต้องและดีงาม สุดท้ายคนที่ต้องรับผลของการกระทำคือตัวเรา แล้วทำไมไม่คิดให้ดีก่อนจะพูด ก่อนจะทำ คิดอย่างคนสว่าง คิดอย่างคนสงบ คิดอย่างคนพ้นทุกข์ ไม่ใช่คิดอย่างคนวุ่นวาย มืดมน หลงผิดบาปและจมในห้วงทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ชีวิตอยู่ที่ความคิด ความคิดควบคุมได้ด้วยคุณธรรม ความคิดชีวิตและจิตใจควบคุมได้ด้วยธรรม อย่าปฏิบัติธรรมแต่เพียงภายนอก แต่ลืมเอาธรรมมาควบคุมนำพาชะตาชีวิตและจิตใจตน หว่านพืชเช่นไรรับผลเช่นนั้น ไยจึงไม่สร้างธรรมเพื่อรับผลธรรม ไยจึงสร้างกรรมแล้วผลสุดท้าย
ก็ต้องรับกรรม
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก รักษาบุญรักษาโอกาสนี้กันให้ดี มีชีวิตคิดอย่างสว่าง คิดอย่างสงบ และคิดอย่างคนพ้นทุกข์ อย่าคิดอย่างคนจมอยู่ในทุกข์ และนำพาให้ตนเองมืดมนเลยนะ
วันอาทิตย์ที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑ สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
บำเพ็ญนอกแต่ภายในไม่ฝึกฝน ท้ายก็พ่ายติดขัดวนนิสัยเก่า
ติดอัตตาตัวตนความเป็นเรา ยอมขัดเกลาหรือว่าทำตัวแบบเดิม
ใจที่วุ่นก็วุ่นไปทุกสิ่ง ใจที่นิ่งทุกสิ่งก็ยิ่งเพิ่ม
ทุกสิ่งล้วนเริ่มจบที่ใจเดิม ไม่โทษเขาแต่เริ่มย้อนดูตน
เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเจิ้งซิน แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีบ่
เพราะศรัทธาจึงพร่ำยกมือไหว้ ศรัทธาใดไม่ปฏิบัติไร้ประโยชน์
มีศรัทธาไม่ปฏิบัติย่อมเกิดโทษ แสนปราโมทย์ปฏิบัติเป็นธรรมบูชา
ฝึกธรรมะฝึกปัญญาฝึกพลิกแพลง ฝึกความแกร่งฝึกนิสัยฝึกจิตนิ่ง
ฝึกยอมรับโดยไม่แบกไว้ทุกสิ่ง ฝึกวางจริงแต่ไม่ใช่แล้งน้ำใจ
โลกที่รู้ไม่เป็นอย่างที่เห็น เรื่องที่เจนไม่เป็นอย่างที่หมาย
มีเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ไม่ยึดในรูปธรรมนามธรรม
บำเพ็ญจิตให้เป็นไทไม่เป็นทาส บำเพ็ญกายไม่ให้พลาดไม่ให้พลั้ง
คำพูดจาต้องไม่สร้างวจีกรรม หนทางธรรมไม่สร้างหนี้จองเวรใคร
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
มีนกตัวหนึ่งที่พยายามบินและบินให้สูงที่สุด ชีวิตของนกตัวนี้ต้องหมดสิ้นแล้ว แต่ใจของนกตัวนี้ยังอยากที่จะบินให้สูงที่สุด แม้ร่างกายตัวนี้จะหมดไปแล้ว แต่ใจที่จะกลับคืนสู่สภาวะที่สูงที่สุด ดีที่สุด ยังคงมีอยู่
ศิษย์เกิดเป็นคนย่อมหนีไม่พ้นความแก่เจ็บตาย แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่สามารถจะลืมได้คือ หัวใจที่ยิ่งใหญ่และมุ่งมั่น แม้สังขารและร่างกายเราจะไม่มี แต่เรามีใจที่ยิ่งใหญ่และมุ่งมั่น ใจดวงนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับสภาวธรรม ฉะนั้นถ้าวันหนึ่งมันต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ยอมทิ้งร่างกาย ยอมทิ้งความยึดมั่นถือมั่น เพื่อกลับคืนสู่สภาวธรรมที่เคยทอดทิ้งมา ไม่ห่วงแล้วร่างกาย ขอกลับไปสู่ใจที่เป็นสภาวะเดิมที่ประเสริฐที่สุด ที่งามที่สุด ที่ดีที่สุดดวงนั้นดีกว่า
ความเป็นคนมีเวลาจำกัด แต่ใจที่เข้าถึงธรรมที่ไม่ยอมแพ้ ที่จะมุ่งมั่นไปสู่สิ่งที่ดีงามที่สุด ไม่มีเวลาจำกัด สามารถสละตัวตนและกลับคืนสู่สภาวธรรมได้ ความมุ่งมั่นของคนเป็นหัวใจที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งถ้าทำอะไรด้วยใจที่สู้ไม่ถอย แม้สังขารจะละแล้วแต่ใจที่สู้ไม่ถอยสามารถกลับคืนสู่ฟ้าได้
ถึงเวลาศิษย์ต้องทิ้งร่างกายไหม (ทิ้ง) ระหว่างนรกกับฟ้า เราอยากไปไหน (ฟ้า) หลายคนก็อยากเลือกไปฟ้า แล้วฟ้าเป็นแบบไหน (กว้าง) แล้วใจเรากว้างหรือแคบ วันนี้เราอยู่บนโลกถ้าตายไปเราก็อยากกลับสู่ฟ้า ไม่อยากลงนรก นรกใจกว้างหรือแคบ (แคบ) แคบมากใช่ไหม แคบจนดำมาก แล้วใจเราตอนนี้ใจขาวหรือใจดำ กว้างหรือแคบ (กว้าง) ขาวหรือดำ (ขาว) หนักหรือเบา (หนัก)
หากอยากขึ้นฟ้า นอกจากต้องใจกว้าง ใจสะอาด ใจเบา แล้วเบาไหม (เบา) เห็นยึดถือทุกอย่าง สิ่งนั้นก็ไม่ยอม สิ่งนี้ก็ไม่ยอม อย่างนี้เรียกว่า หนักหรือเบา (หนัก) ตอนนี้มีความสุขหรือความทุกข์ ถ้าอยู่บนโลกแล้วทุกข์มากกว่าสุข นั่นก็แปลว่าไม่ใช่สวรรค์ นั่นคือนรก เพราะนรกเป็นที่ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ แต่สวรรค์เป็นที่ที่เต็มไปด้วยความสุข อย่างนี้ไม่ต้องถามแล้วว่าตายแล้วไปไหน
สวรรค์เป็นที่ที่มีธรรมหรือไร้ธรรม แล้วตอนนี้เรามีธรรมหรือไร้ธรรม มีเมตตา มีความซื่อตรง มีความเสียสละ มีจิตใจกรุณาปรานี เรามีแบบนี้ไหม นานๆ ถึงจะมีใช่ไหม
อาจารย์ถามศิษย์ง่ายๆ แค่นี้ ศิษย์ก็ดูตัวเองออกแล้วว่าชีวิตตัวเองจะไปทางไหน จะไปสุขหรือไปทุกข์ ไปนรกหรือไปสวรรค์ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้เราสุขหรือทุกข์มันอยู่ที่ใจของศิษย์ เมื่อรู้อย่างนี้อยากมีใจที่เป็นสุขไม่มีใจที่เป็นทุกข์กันบ้างไหม ถ้าอยากแล้วทำแบบไหน กลับไปทำแบบเดิม หรือว่าเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น อาจารย์ถามศิษย์ว่าระหว่างเงินกับชีวิตอะไรสำคัญกว่ากัน (ชีวิต) ทำไมอาจารย์เห็นหลายๆ คนหาเงินแบบลืมชีวิต หาเงินแบบไม่คิดชีวิต และบางคนหาเงินจนทำร้ายชีวิตก็มี หรือยิ่งหนักเข้าไปอีกคือทำร้ายชีวิตแล้วยังไปผูกเวรผูกกรรมก็มี นั่นแปลว่าเงินสำคัญกว่าชีวิตใช่ไหม (ไม่ใช่) แต่ในใจก็บอกอาจารย์ถ้าชีวิตนี้ไม่มีเงินมันก็ตายนะ ตกลงจะเอาเงินหรือเอาชีวิต แต่ตอนนี้เอาเงินก่อน ชีวิตไว้ที่หลังใช่ไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจ้งพระนาม)
ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม (ยินดี) อาจารย์ขอเวลาสักช่วงหนึ่งสนทนาธรรมกับศิษย์ ถือเป็นการแลกเปลี่ยนธรรมะซึ่งกันและกัน และการแลกเปลี่ยนนี้เผื่อจะเป็นการเพิ่มพูนปัญญาให้ศิษย์มองเห็นโลก เห็นชีวิตได้เข้าใจยิ่งชัดขึ้น เหมือนที่ตอนแรกศิษย์บอกว่า เงินกับชีวิตอะไรสำคัญ เราก็พูดได้ว่าชีวิตสำคัญ แต่บางครั้งเราหาเงินจนลืมชีวิต เราว่าชีวิตเป็นสิ่งสำคัญแต่บางครั้งเรามัวสนใจอารมณ์ ความรู้สึกตนจนทำร้ายชีวิต ห่วงแต่ความรู้สึกว่าตัวเราทุกข์ แล้วก็ฆ่าชีวิตตัวเองให้ตายทั้งเป็น อารมณ์สำคัญกว่าชีวิตหรือ สิ่งที่สำคัญในชีวิตกว่าชีวิตนั่นก็คือการยังมีลมหายใจเพื่อสร้างสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม แต่บางครั้งความคิดสั้น ความคิดง่ายๆ ก็ทำร้ายชีวิตโดยไม่รู้ตัว
ชีวิตคือร่างกาย แต่ในชีวิตก็ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่เรียกว่าจิตใจ เรามัวแต่บำรุงร่างกาย เรารู้วิธีบำรุงร่างกายให้ดีให้งดงาม แต่เราอย่าลืมบำรุงใจ มนุษย์มักสนใจเพียงกายภายนอกจนลืมสนใจจิตใจ เพราะถ้าไม่มีจิตใจที่เข็มแข็ง ถ้าไม่มีจิตใจที่รู้จักคิด รู้จักเข้าใจชีวิต เราก็ไม่สามารถทำชีวิตภายนอกให้เติบโตได้ ฉะนั้นภายในก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนเท่ากับภายนอก ถ้าเราสนใจแต่ภายนอก จนลืมดูแลภายใน เราก็จะพบทุกข์และแก้ไขทุกข์ไม่ออก
เคยเห็นไหมคนที่ใจสลาย เคยเห็นไหมคนที่ตรอมใจจนตาย ร่างกายของเขาก็ดีๆ แต่เพราะอะไรหรือที่เขาใจสลาย เพราะอะไรหรือที่เขาตรอมใจ เพราะอะไรหรือที่เขาทุกข์เจ็บปวดใจจนไม่อยากมีชีวิต เราไม่เคยฝึกจิตให้ยอมรับความจริงเลย ทุกขณะที่มีชีวิตเราเอาแต่ตามใจตัวเองตลอด สนองใจของตัวเองตลอด แล้ววันหนึ่งให้มายอมรับความจริง อย่างนี้ทำใจได้ไหม (ไม่ได้) เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาศิษย์ตามใจตัวเองมาโดยตลอด แล้วถ้าวันหนึ่งเจอเรื่องที่ขัดใจ เจอเรื่องที่ไม่ใช่กับใจที่เราต้องการ แล้วตอนนั้น ศิษย์จะทำใจทันไหม (ไม่ทัน) เมื่อไม่ทัน บางคนก็ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกเลย เพราะรับความจริงไม่ได้ อายที่จะต้องเจอกับความจริง แล้วทำไมตอนนี้เราไม่เรียนรู้ที่จะฝึกใจของตัวเราเอง ฝึกใจที่จะยอมรับความจริงบ้าง ตลอดชีวิตที่ผ่านมาตามใจตัวเองมาเยอะ วันนี้ลองมาฝึกใจเรียนรู้ความจริง เพื่อให้ภายในเข้มแข็งและภายนอกแข็งแกร่ง
การยอมรับความจริงคือเรียนธรรมะ เรียนความจริงให้ฝึกฝนที่จะอยู่บนโลกความจริงนี้ให้ได้ ใจที่ฝึกดีแล้ว ใจที่เรียนรู้รับความจริงได้แล้ว จะสามารถอยู่กับโลกที่ผันผวนพลิกผันได้ด้วยความเข้าใจและไม่ทุกข์ ปัจจุบันนี้เราไม่คิดจะมองความจริง เรามองแต่สิ่งที่ตามใจ พอความจริงฟาดเข้ามาทีหนึ่ง เราก็ทุกข์ทีหนึ่ง พอเข้ามาหลายๆ ที ก็เกือบตายทั้งเป็น ถ้าเรารู้จักยอมรับความจริง ไม่เอาแต่โทษและไม่ยึดติดความคิดตัวเอง เราก็ไม่ทุกข์ แต่คนในโลก ชอบคิดว่าผู้อื่นทำเราลำบาก ไม่ยอมช่วยเรา แต่ลืมมองว่าตัวเรายึดติดความคิดตัวเราเองหรือไม่
ใจของมนุษย์ที่รับความจริงไม่ได้เพราะมนุษย์อยากมี อยากเป็น อยากได้ แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์เรียนรู้ความจริงแห่งธรรม ศิษย์จะรู้ว่าไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไร และเราไม่เคยได้อะไร เมื่อถึงเวลาจะได้จะมีจะเป็นหรือจะไม่ได้จะไม่มีจะไม่เป็น ศิษย์ก็จะไม่ทุกข์ เพราะความต้องการของมนุษย์กับความจริงมักตรงข้ามกันเสมอ มนุษย์ต้องมีต้องเป็นต้องได้ต้องยิ่งใหญ่ แต่การเรียนรู้ธรรมกลับทำให้เรายิ่งเรียนรู้ยิ่งเข้าใจว่า แท้จริงแล้วเราไม่เคยมี ไม่เคยเป็น และไม่เคยได้ ถึงที่สุดเราก็เล็กจนแทบไม่มีอะไร ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าถึงสภาวธรรม เข้าถึงธรรมแห่งความเป็นจริง ศิษย์จะไม่ทุกข์ แต่มีมนุษย์กี่คนที่จะเข้าใจประโยคที่อาจารย์พูดตรงนี้
เรามีไปเรื่อยๆ มีก็เหมือนไม่มี เราพยายามจะเป็นคนเก่งเป็นคนดีเป็นคนมีความสามารถเป็นคนที่สำเร็จ แต่ยิ่งเป็นก็เหมือนไม่ได้เป็น สำเร็จอย่างหนึ่งถึงเวลาอีกอย่างหนึ่งก็ไม่สำเร็จ สำเร็จที่เคยคิดว่าเป็นแบบแผนของความสำเร็จ ก็ไม่ใช่ความสำเร็จที่จะใช้ได้อีก
ธรรมสอนให้เรารู้ว่า เรียนรู้ให้เป็น ให้มี แล้วอย่าไปเอา เพราะไม่เคยมีอะไรเป็นของเราจริงๆ เราว่าเรามีแฟน ถึงเวลาแฟน (ไปมีคนอื่น) เราว่าเรามีเงินมากมาย ถึงเวลาตายไปเอาไปได้ไหม (ไม่ได้) โมโห เกลียด ด่าเขา ถึงเวลาเอาไปได้ไหม (ไม่ได้) เอาไปได้แต่ความเจ็บแค้นในใจ แล้วก็เผาใจ ทำให้ใจหนักและตกนรก แล้วควรจะโกรธไหม (ไม่โกรธ) โกรธไปก็ไม่ได้อะไร หลงไปก็ไม่ได้อะไร แต่พอโกรธไป หลงไป แต่ได้เพิ่มมาอย่างหนึ่งเป็นของแถมคือ ตกนรก แต่ถ้าไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง ไม่ยึดมั่น ได้ของแถมคือ ขึ้นสวรรค์
อาจารย์ขอถาม เราอยู่เพื่อให้หรือเราอยู่เพื่อรับ คนที่รับมาแล้วค่อยให้ กับคนที่ทั้งชีวิตไม่เคยรับมีแต่ให้ ควรเอามาก่อนแล้วค่อยให้ หรือควรจะให้ไปเลยแล้วไม่ต้องเอา (ควรให้ไปเลย) ถ้าขึ้นสวรรค์ก็ควรจะให้ไปเลย ไม่ต้องเอาอะไรไป เพราะจะได้เบาที่สุด จะได้ไม่มืด ไม่หนัก ใช่ไหม (ใช่) แล้วชีวิตของเราจะรับหรือให้ คนที่ไปรับมาก่อนแล้วค่อยให้ อย่างนี้เรียกว่าคนดีไหม
ศิษย์ชอบทำบุญทำทานไหม (ชอบ) แล้วเคยได้ยินไหม การถวายสังฆทานเป็นทานที่ยิ่งใหญ่กว่าทานใดๆ สังฆทานคือทางที่ไม่เจาะจง ใช่ไหม (ใช่) ดังนั้นถ้าเราอยากทำบุญที่ดีเราต้องถวายสังฆทาน เพราะเป็นทานที่ไม่เจาะจง ดังนั้นไม่ว่าจะกับใคร ศิษย์ก็ไม่เจาะจง ศิษย์ก็ให้ อย่างนี้ศิษย์ก็ได้ให้ตลอดชีวิตเพราะไม่เจาะจงว่าให้กับใคร ไม่มีทานใดประเสริฐเท่ากับการให้ธรรมะเป็นทาน การให้นั้นได้ถอนความเป็นตัวตน ถอนความงง ถอนความงก ถอนกิเลส ถอนอัตตา ถอนความยึดติด คนดีเขาจะเลือกที่รักมักที่ชังไหม (ไม่) ถ้าคนที่ดีจริง เขาต้องทำได้ทุกที่ ทุกคน ทุกเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากเดินหนทางที่แท้จริง หนทางที่กลับคืนสู่ความจริง ในเมื่อศิษย์ก็รู้ว่า โลภไปแล้ว หลงไปแล้ว ตายไปก็เอาไปไม่ได้ แต่ถ้าศิษย์เริ่มต้นปฏิบัติด้วยการให้ เราดำเนินชีวิตทำสิ่งที่ดีที่สุด ทุกขณะเรามีความสุขที่ได้ทำงาน ความสุขเราไม่ได้อยู่ที่เงินเดือน ตำแหน่ง และศักดิ์ศรี ความสุขเราอยู่ที่ทำตัวเป็นคนให้ดีที่สุด
เราก็รู้ว่าเราเกิดมาพร้อมกับกรรม แล้วศิษย์อยากมีกรรมเพิ่มไหม (ไม่อยาก) ในเมื่อศิษย์ไม่อยากมีกรรม แค่ได้มีชีวิตอยู่ ได้ทำงาน ได้ปลูกข้าว ได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง มีความสุขแล้ว ความสุขมีอยู่ทุกวันที่ได้ทำงาน แต่ศิษย์ของอาจารย์ไม่ใช่ ความสุขอยู่ที่การเอาเงินไปเที่ยว ความสุขอยู่ที่การได้รับเงินเดือน ความสุขอยู่ที่การได้กำไร ความสุขมีอยู่วันเดียว แต่ความสุขของอาจารย์มีทุกวันที่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้องโดยไม่เห็นแก่ตัวและไม่ผิดศีลธรรม อาจารย์มีสุขทุกวันแล้ว อาจารย์ต้องง้อใครไหม ว่าคนนี้ต้องให้ตำแหน่งอาจารย์ ต้องชมอาจารย์ อาจารย์ไม่ง้อแล้ว เพราะอาจารย์มีสุขทุกวันที่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่ศิษย์ของอาจารย์ไม่ใช่ สุขเมื่อผู้อื่นชม แล้วเราไม่รู้คุณค่าตัวเองหรือ สุขเมื่อเลื่อนตำแหน่ง สุขเมื่อได้รับคำชมได้รับเกียรติ
ฉะนั้นถ้าศิษย์จะเริ่มต้นหนทางกลับคืนสู่ฟ้า ฟ้าต้องการให้เราเบา ให้เราสูง ให้เรามีธรรม ให้เราให้ ฟ้าไม่เคยให้แล้วเรียกร้องผล ฉะนั้นอยากกลับสู่ฟ้า อยากเป็นใจฟ้า อยากมีใจธรรม ศิษย์ลองไปให้คนที่เขายากไร้มากๆ เราคิดว่าเราช่วยเขา เราให้เขาแล้วเขายิ้มและขอบคุณ เราได้สุขกลับมาทันที ป้าๆ ไม่ต้องขอบคุณหนูขนาดนั้น หนูมีเยอะหนูเลยแบ่งให้ป้า เราคิดว่าเราช่วยเขาแต่ไปๆ มาๆ เขากลับ (ช่วยเรา) พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ความสุขของพระพุทธะคือ การกระโดดลงไปช่วยคนให้พ้นทุกข์ แต่ความสุขของมนุษย์คือ ความสุขอย่างเห็นแก่ตัวที่นิ่งดูดาย ไม่คิดช่วยใคร นี่คือใจเราต่างจากใจฟ้ายิ่งนัก เพราะเริ่มต้นเราไม่คิดจะให้ เราคิดแต่จะรับ ศิษย์รู้ไหมการให้คือ รากฐานแห่งความดีงามทั้งปวง ถ้าศิษย์ให้ไม่ได้ ศิษย์จะเมตตาใคร ยอมใครและซื่อสัตย์กับใคร ให้ได้ไหม (ให้ได้) การให้ที่ง่ายที่สุดคือ ให้ความเมตตา ให้ความจริงใจ ให้น้ำใจไมตรี ให้ความซื่อตรง ให้ความน่าเคารพเชื่อถือ ให้ความน่าศรัทธา ให้เกียรติ แบบนี้ต้องเสียทรัพย์ไหม (ไม่เสีย) ซื่อตรงได้ไหม ไม่ใช่ซื่อแต่ไม่ตรงนะ
เคยถวายสังฆทานกับคนไหม (เคย) อะไรก็ถวายได้โดยไม่เจาะจงใช่ไหม (ใช่) ให้น้ำใจเขา ให้อภัยเขา ไม่เคืองโกรธเขา ไม่ผูกใจเจ็บเขา ให้เมตตาเขา นี่เรียกว่าให้ธรรม ทำได้โดยการให้ธรรมะเป็นทาน สร้างบุญแล้ว สร้างสังฆทานแล้วยังสร้างกุศล ได้ชำระล้างตัวตนไม่ยึดถือด้วย ฉะนั้นการเริ่มต้นจึงเป็นเรื่องง่าย ไม่ใช่เรื่องยากเลย แล้วศิษย์ทำได้ไหม (ได้)
ถ้าเรามีโอกาสเจอหน้าใคร เราจะให้อะไรเป็นทาน
(ให้โอกาสคนผิด) ให้โอกาสคนผิดด้วยหัวใจที่เข้มแข็งและลุกขึ้นสู้อีกครั้ง (ให้มิตรภาพ ให้ความจริงใจ) ทำให้ได้นะ ไม่ว่าคนนั้นเขาจะจริงใจหรือไม่จริงใจ (ให้อภัยและมีความเป็นมิตรกับทุกคน ให้อภัย ความรู้) ก่อนที่จะให้อภัยแปลว่า โกรธ ฉะนั้นถ้าพยายามให้ความเข้าใจ เราจะไม่ต้องพยายามอภัยใครเลย ยิ่งถ้าเราเมตตาเขามากๆ เรายังต้องให้อภัยใครไหม (ให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้น) โดยเอาตัวเราเป็นแบบอย่าง ทำเป็นแบบอย่างให้เขาเห็น ดีกว่าสอนด้วยคำพูดอีก (ให้ความรักความเมตตา) แต่เลือกที่รักมักที่ชังไม่ได้ รักแล้วต้องรักเท่าๆ กันถึงจะไม่บาป ไม่สร้างกรรม รักแล้วยึดติดก็ก่อเกิดทุกข์ รักแล้วต้องวางให้เป็นด้วย (ให้รอยยิ้ม) รอยยิ้มอย่างเดียวไม่พอ ปากยิ้มแต่ใจคดโกงไม่เอา ปากยิ้มแต่ตาแอบไปมองคนอื่นก็ไม่ได้ ต้องมีความซื่อตรงจริงใจ
รู้จักให้เกียรติไม่ดูถูกดูหมิ่นใคร แล้วก่อนที่จะให้เกียรติผู้อื่น เราก็ต้องทำตัวเองให้น่าเคารพด้วยใช่ไหม (ใช่) แล้วอย่าเป็นเพียงแค่คำพูด แต่ต้องทำให้ได้ด้วย จริงไหม (จริง)
(ความเมตตาและรักกัน) แต่รักกันก็อย่ารักกันเฉพาะแค่พวกพ้อง ถ้าจะรักก็ต้องรักให้เท่ากันทุกคนใช่ไหม (ใช่) (รู้จักบุญคุณคน) แปลว่าทุกคนมีบุญคุณเราก็จะไม่นินทาใช่ไหม (ใช่) (ให้ความจริงใจ) ทำให้ได้นะ เพราะถ้าเจอคนที่ไม่จริงใจ จงอย่าท้อ (ความรักความเมตตา) ความรักนั้นต้องไม่เป็นการยึดมั่นถือมั่น (ให้รอยยิ้มและกำลังใจ) บางครั้งก็ต้องรู้จักให้โอกาสคนที่เขาผิดพลาดด้วยใช่ไหม (ใช่) แล้วถ้าเจอโลกที่ไม่ยุติธรรมไม่ซื่อสัตย์แล้วเรายังจะให้อยู่ไหม (ให้อภัย) ศิษย์เอ๋ยถ้าเมื่อไรศิษย์คิดจะให้อภัย แปลว่าลึกๆ แล้วศิษย์แอบโกรธเขาก่อน ไม่พอใจเขาก่อน ใช่ไหม (ใช่) (ให้อภัยและให้ธรรมะ) ธรรมะอะไรหรือ (ให้เขามาปฏิบัติธรรม) สู้เราปฏิบัติธรรมเป็นตัวอย่างให้เขาดูดีกว่า
(อภัยและรอยยิ้ม) ถามจริงๆ ตอนที่รู้สึกต้องให้อภัยเรายิ้มออกไหมศิษย์ พยายามให้ความเข้าใจ ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร เราต้องเข้าใจให้มากที่สุด แล้วศิษย์จะได้ไม่ต้องใช้คำว่า อภัย เพราะเขาผิดได้ เราผิดได้ เขาแย่ได้ เราแย่ได้เหมือนกัน (รักกันและชอบกัน) แต่บางคนเหม็นขี้หน้ากัน ยังไม่ทันได้ชอบกัน ต้องทำอย่างไร (ขอบคุณ) ทำให้ได้อย่างนี้นะ (เขาไม่ดีเราต้องให้โอกาสและต้องซื่อสัตย์) เราต้องอดทนให้ได้ในสิ่งที่เขาเป็นแบบนั้น บางครั้งนอกจากให้คนอื่นเป็นแล้ว ศิษย์ต้องให้ใจตัวเองทำอย่างไรให้รับกับคนแบบนั้นให้ได้ ศิษย์อย่าลืมสังฆทานให้คนอื่น อย่าลืมให้กำลังใจตัวเอง หนูจะต้องทนให้ได้ (ต้องจริงใจและซื่อสัตย์ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน) ตอบได้ดี เพิ่งก้าวแรกเองไปรอดไหม เริ่มต้นทำอย่างไรก็ได้ที่ทำให้เรารู้จักให้ แต่เราต้องให้กำลังใจตัวเองในการยอมรับผู้คนที่ไม่ได้ดั่งใจเรา
รู้จักถวายสังฆทานให้ผู้อื่น อย่าลืมสังฆทานให้ตัวเองด้วยนะ อดทนให้ได้กับสามีที่เป็นแบบนี้ เข้มแข็งให้ได้กับลูกที่เป็นแบบนี้ ยอมรับให้ได้กับเพื่อนที่เป็นแบบนั้น เมื่อเคลียร์ใจตัวเองได้ เราก็ยอมให้ได้ เขาไม่จริงใจแต่เราจะจริงใจ เขาไม่ดีแต่เราจะดี ให้รู้กันไปชีวิตนี้ดีไม่ได้แต่เราจะดีให้ได้ เราจะสู้และไปต่อ ก้าวแรก คือ “ให้”
ก้าวที่สอง คือ ต้องละชั่วให้ได้ ต้นเหตุแห่งบาปทั้งมวลล้วนก่อเกิดมาจากกิเลสที่เรียกว่า “โลภ โกรธ หลง” ถึงแม้เราจะขจัดกิเลส โลภ โกรธ หลง ได้ แต่ตัวต้นเหตุที่สร้างโรงงานโลภ โกรธ หลง คือ (ความคิด) ฉะนั้นถึงบอกว่าสิ้นกิเลสยังไม่สิ้นทุกข์ ตราบใดตัวสร้างทุกข์ยังคิดไม่เป็น ยังไม่มีสติยังไม่มีธรรมะพอ อย่างนั้นคนที่จะเดินขึ้นสวรรค์นอกจากให้แล้ว อยู่เพื่อสนองกิเลสหรืออยู่เพื่อลดละกิเลส (ลดละกิเกส) เรากินเพื่ออยู่หรืออยู่เพื่อกิน ใส่เพื่ออุ่นหรือใส่เพื่อสวยหล่อ ถ้าศิษย์จะก้าวต่อไปศิษย์ต้องละกิเลสให้ได้ ถ้าศิษย์ยังละกิเลส ละความโลภโกรธหลงไม่ได้ ศิษย์ก็จะก้าวต่อไม่ได้ ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า “ไม่มีหายนะใดน่ากลัวเท่ากับความไม่รู้จักพอ ไม่มีภัยพิบัติใดยิ่งใหญ่เท่ากับความโลภ” ถ้ารู้จักพอก็สงบได้ รู้จักพอรู้จักหยุดก็หลีกหนีภัยพิบัติได้
แต่มนุษย์มีใครบ้าง มีแบงก์ร้อยแล้วไม่มีแบงก์พัน ได้เงินมาสนองกิเลสอารมณ์ แต่ครอบครัวแตกแยก ไม่มีมิตรแท้ ไม่มีเพื่อนจริงเอาไหม (ไม่เอา) มีบ้านมีรถครบครันแต่ลูกอยู่ทาง พ่อแม่อยู่โดดเดี่ยวเอาไหม (ไม่เอา) ฉะนั้นถ้าศิษย์ยังคงผิดศีลขาดธรรม ศิษย์ก็จะไม่มีวันครอบครัวร่มเย็นได้ เมื่อละบาปได้ก็ต้องบำเพ็ญบุญ เมื่อเราไม่ผิดศีลแล้ว สิ่งที่ศิษย์ต้องสร้างให้คนที่ดีแล้วดียิ่งๆ ขึ้นไป นั่นก็คือการมีคุณธรรมต่อกัน การมีคุณธรรมต่อกันทำให้ครอบครัวร่มเย็น ทำให้ชีวิตมีค่ามีความหมาย ไม่มีความซื่อตรงจริงใจกับใคร ไปอยู่ที่ไหนจะมีใครรักไหม (ไม่มี) อาจารย์ถามศิษย์เจอใครหล่อ สวย มองไหม (ไม่มองแค่เหล่ๆ) หลงไหม (ไม่หลงแต่ขอดูอีกสักทีหนึ่ง) ไม่ได้นะศิษย์ ใจเขาใจเรา อกเขาอกเรา เรายังอยากได้คนซื่อตรงแต่ตัวเราไม่ซื่อตรง เรายังอยากได้คนจริงใจไม่เอาเปรียบไม่เอาแต่ได้ แต่เราเอาเปรียบเอาแต่ได้ไม่จริงใจ ฉะนั้นก้าวที่สองที่อาจารย์อยากให้ศิษย์ทำให้ได้คือ หนึ่งต้องไม่เบียดเบียนทั้งตา กาย ใจ สองต้องไม่อยากได้ของเขามาเป็นของเรา สามซื่อตรงจริงใจรับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดีที่สุด คำไหนคำนั้นถ้าทำได้เช่นนี้ นี่แหละก้าวที่สอง
ซื่อตรงไหม (ซื่อตรง) เบียดเบียนไหม (ไม่เบียดเบียน) จริงใจไหม (จริงใจ) แน่ใจนะ อย่างนี้แปลว่ากลับบ้านไปจะไม่เบียดเบียนชีวิตของใครให้เป็นชีวิตของเราใช่ไหม (ใช่) อย่างนี้ก็แปลว่าจะไม่กินเนื้อสัตว์ใช่ไหม เอาไหมอาจารย์ให้ ไม่กิน 3 อย่างเอง แค่ไม่กินสัตว์บนฟ้า สัตว์บนบก และสัตว์ในน้ำ ศิษย์เอ๋ย โลกนี้เป็นโลกของเหตุและผล ถ้าเราไม่สร้างเหตุแล้วเราจะได้รับผลไหม (ไม่รับ) แล้วศิษย์ไปเบียดเบียนชีวิตของเขาเพื่อชีวิตของเรา แล้วศิษย์คิดว่าเขาจะไม่เบียดเบียนศิษย์กลับหรือ ตัวอย่างง่ายๆ เช่น ในใจของศิษย์จำคนที่ด่าศิษย์ได้แม่นกว่าจำคนที่ชมศิษย์ใช่ไหม (ใช่) เหมือนกันกับที่ศิษย์ไปเอาชีวิตของเขา แล้วคิดว่าเขาจะไม่จำศิษย์ฝังใจหรือ แล้วศิษย์กินเขา คิดว่าเขาจะไม่แค้นศิษย์หรือ แล้วถ้าศิษย์ตบเขาแล้วเขาขอตบคืน คิดว่าเขาจะตบกลับเท่ากับที่ศิษย์ตบเขาไหม (ไม่) เขาก็เอาคืนให้ศิษย์เจ็บที่สุด ถ้าศิษย์ไม่เจ็บ เขาก็เอาคนที่ศิษย์รักที่สุด แล้วทำให้ศิษย์ทรมานแล้วตายทั้งเป็น เอาแบบนี้ไหม (ไม่เอา) จงไปคิดดูนะ
ละบาปบำเพ็ญบุญ บำเพ็ญบุญด้วยการไม่เบียดเบียน ไม่อยากได้ของใครมาเป็นของเรา รักแค่ไหน ดีแค่ไหน ได้แค่นี้พอแล้ว ดีกว่านี้ก็ไม่เอา แต่มนุษย์ไม่ใช่มีแต่เรียกร้องให้เธอต้องดีกับฉันอีกนิด เธอไม่เหมือนเดิมนะ เธอต้องดีกว่านี้อีกสิ ใช่ไหม เพียงแค่คิดว่าเขาต้องดีกับเรา นั่นก็แปลว่า อยากได้ของเขามาเป็นของเรา แล้วเมื่อได้แล้ว เราเคยพอไหม (ไม่พอ) ฉะนั้นเมื่ออยากลดความโลภ ก็ต้องรู้จักพอ รู้จักหยุดเป็น
อาจารย์ถาม กิเลสอะไรที่ศิษย์อยากกำจัดทิ้งที่สุด (กิเลสตัณหา) อายุขนาดนี้แล้วยังมีตัณหาอีกหรือศิษย์ อาจารย์ตกใจนะ ตัณหาแบบไหน ไม่ใช่แบบชายหญิงนะ ตัณหาคือ ความอยากไม่รู้จักพอ ใช่ไหม (ความโลภ) ต้องไม่โลภ เพราะถ้าโลภมากจะเป็นเปรตนะศิษย์ (ใจเย็นมีสติ) ทำอะไรอย่าใจร้อน (น้อยใจ, อย่าเห็นแก่ตัว) ตัวโตทำไมขี้น้อยใจ กล้าตอบก็ตอบได้ดี บางทีน้อยใจที่รักเขาแต่เขาไม่รักตอบเลยน้อยใจ เราอย่าเห็นแก่ตัว เพราะถ้าเราเอาแต่เห็นแก่ตัว เราก็จะไม่มีน้ำใจให้กับใคร
(กิเลสตัณหา) ยังเหลืออยู่หรือ (ยังเหลือ) อายุเท่าไร (62 ปี) ยังมีตัณหาอีกหรือ อายุขนาดนี้ไม่ควรมีแล้ว ควรจะต้องปลงและปล่อยวางได้แล้ว (ไม่โกรธมากลาภหาย) อาจารย์เคยได้ยินแต่ว่า โลภมากลาภหาย (ต้องมีศีลห้าเป็นหลัก) เพราะสิ่งที่อาจารย์พูดคือ ศีลห้า คือความเป็นปกติ คนที่ไม่มีศีลห้าคือ คนที่ผิดปกติ แล้วชีวิตนี้ศีลห้าถือได้ครบไหม (ครบครับ) แค่นี้ก็โกหกแล้ว ศีลห้าทำคนให้เป็นคนปกติ แต่ถ้าไม่มีศีลห้าก็ไม่ปกติ
(ไม่โลภ ไม่โกรธและไม่หลงตัวเอง) ไม่หลงตัวเองหรือเพศตรงข้าม ต้องระวัง (ความใจร้อน) ตอนนี้ทำอะไรต้องมีสติยั้งคิด ไตร่ตรองให้ดี (กิเลสในใจเรา) ก็คือความยึดมั่นถือมั่นในความคิดตน มักคิดว่า ตนถูกเสมอ
ข้อที่สาม มองเห็นความเป็นจริงอย่างแจ่มชัด จนไม่ยึดมั่นถือมั่นแม้กระทั่งตัวตน เมื่อเข้าถึงสภาวสัจธรรม สัจธรรมจะสลายความเป็นตัวตนจนหมดสิ้น จนเข้าถึงสภาวะว่าง หรือเรียกว่า “ธรรมอันเดิมแท้” แต่มนุษย์มักจะชอบใช้ความคิดความเข้าใจจนลืมมองความจริง ในโลกนี้ทุกสิ่งเปลี่ยนไหม คงอยู่ไหม ทุกสิ่งมีเหมือนไม่มี ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เราเข้าใจว่าสิ่งที่คงอยู่พร้อมจะเปลี่ยนแปลง เราจะทุกข์กับมันไหม ถ้าวันหนึ่งหน้าเราจากดีๆ กลายเป็นเหี่ยว มีแขนขาครบกลายเป็นแขนด้วน วันหนึ่งชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือ แล้วศิษย์จะทุกข์ไหม ศิษย์เอ๋ย ถ้าศิษย์มองแล้วเข้าใจความเป็นจริง ศิษย์จะรู้ว่าในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น ไม่มีอะไรที่คงที่ตลอด เมื่อเกิดการแปรเปลี่ยนเกิดการพลิกผัน ศิษย์จะได้ไม่ทุกข์กับสิ่งนั้น เพราะเราเห็นแจ้งจริง
ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์ต้องก้าวไปให้ถึงก็คือ พิจารณาธรรมแห่งความเป็นจริงจนบังเกิดความรู้แจ้ง และกลับคืนสู่สภาวธรรมอันเดิมแท้ในใจตน นั่นแหละคือสิ่งที่ศิษย์ต้องพิจารณาให้เนื่องๆ ด้วยการพิจารณาไตรลักษณ์ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า หมั่นพิจารณาแล้วศิษย์จะเข้าใจในธรรมอันแจ่มแจ้ง ทุกสิ่งทุกอย่างแค่คงอยู่ชั่วคราว แล้วถึงเวลาก็เปลี่ยนแปลงไป
อาจารย์ถามศิษย์ว่า ระหว่างไฟกับน้ำอะไรน่ากลัวกว่า (ไฟ) อะไรดีกว่า (น้ำ) ถ้ามีแต่น้ำแต่ไม่มีไฟ (อยู่ไม่ได้) ถ้าอาจารย์เปรียบเทียบไฟเหมือนความโกรธ ความเกลียด น้ำเหมือนความเมตตา จิตใจที่ดีงาม จิตใจที่เสียสละ เราอยู่ในโลกมีแต่น้ำไม่มีไฟ (อยู่ไม่ได้) แล้วเป็นไปได้ไหม ที่ในโลกนี้มีแต่คนมีเมตตา ไม่มีคนน่ากลัว (เป็นไปไม่ได้) เป็นไปได้ไหมที่ภูเขากับพื้นดินต้องเป็นระนาบเดียวกัน (ไม่ได้) ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า สูงและต่ำ แล้วเราอยู่ระหว่างสูงกับต่ำได้ จึงเรียกว่า ชีวิต ถ้าคำชมเหมือนการขึ้นภูเขาสูง คำด่าเหมือนกับคนที่กดให้เรามาเหยียบพื้นดิน อยู่บนพื้นดินน่ารังเกียจสู้ไม่ได้กับการอยู่บนภูเขาสูงหรือ แล้วเป็นไปได้ไหมว่าชีวิตนี้จะมีแต่พื้นดินไม่มีเขาสูง และมีเขาสูงไม่ยอมรับพื้นดิน (ไม่ได้) เมื่อเป็นไปไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น
แท้จริงแล้วโลกมีความเป็นกลางอยู่ แต่มนุษย์ยึดติดชอบชัง จึงรู้สึกว่าอันนี้ดีอันนี้แย่ แต่ถามจริงๆ คำด่าของเขาแย่ไหม (ไม่แย่) คำด่าทำให้เราเห็นตัวเองชัด แต่คำชมทำให้เราลืมความจริงและหลงตัวเอง เหมือนที่ศิษย์ว่า “ไฟมันร้อนแต่ก็ขาดไฟไม่ได้ น้ำมันเย็นแต่ถ้าอยู่กับน้ำจนเกินไปก็ฆ่าเราให้ตายทั้งเป็น” ธรรมะจึงสอนให้เรียนรู้ว่า แท้จริงแล้วโลกนี้ไม่มีอะไรดีไม่มีอะไรแย่ แต่สิ่งที่เรียกว่า ดี แย่ คือใจของศิษย์ที่ยึดติดแบ่งแยก แท้จริงแล้วฟ้าสอนว่า ทุกสิ่งล้วนเป็นกลาง เมื่อไรที่ศิษย์สามารถเข้าถึงสภาวธรรมอันเป็นกลางได้ เมื่อนั้นบาปกรรมจะไม่เกิดขึ้นในใจศิษย์ แต่เมื่อไรที่ศิษย์ยังยึดติดแบ่งแยก ศิษย์ก็หนีไม่พ้นบาปกรรมและการเวียนว่าย เราอยากอยู่เพื่อทุกข์หรืออยากอยู่เพื่อสุข (สุข) ในทุกข์ยังมีสุข ในสุขยังมีทุกข์ แล้วชีวิตนี้เราด้อยปัญญาจนหาสุขในทุกข์ไม่เจอหรือศิษย์ คนเราเข้มแข็งขนาดไหนยังต้องมีอ่อนแอ แต่อ่อนแอขนาดไหนเราหาความเข้มแข็งไม่ได้หรือ แล้วในความอ่อนแอเข้มแข็งเรากลับมาปกติ ไม่ต้องเข้มแข็งไม่ต้องอ่อนแอไม่ได้หรือ แล้วเราอยู่คนเดียวโดยที่ไม่มีใครรัก แต่รู้จักรักตัวเองและรักคนอื่นไม่ได้หรือ (ได้) ทำไมต้องรอให้ใครมารัก ต้องรอให้ใครมาเห็นค่าด้วย ตัวเองไม่เห็นค่าตัวเองหรือ สร้างสรรค์คุณงามความดีด้วยชีวิตตัวเอง ด้วยความศรัทธาเชื่อมั่นในใจตัวเอง
ศิษย์เอ๋ยเกิดเป็นคนไม่มีใครหนีความแก่ ความเจ็บ ความตายได้ เมื่อเป็นศิษย์อาจารย์อย่ากลัวตาย อย่ากลัวเจ็บ เพราะความเจ็บความตายมันทำให้ศิษย์เด็ดเดี่ยวต่อความมุ่งมั่นว่าจะกลับคืนฟ้า และกลับสู่สภาวธรรมที่เรียกว่าว่างเปล่า สังขารนี้ไม่ต้องห่วงมัน อยากตายๆ ไป รักษาใจดีกว่า ใจมันไม่มีกรรม ใจมันไม่มีอยากได้ ด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตน และกลับสู่ความจริงแท้ ถ้าชีวิตได้เดินกลับสู่ความจริง และทำให้เราว่างเปล่า ทำให้เราปลดปลง ทำไมต้องกลัวความจริงข้างหน้า สู้เข้มแข็งไปให้ถึงสภาวธรรมที่แท้จริงที่ไม่ได้อยู่ข้างนอก ที่ไม่ต้องพึ่งใครแต่พึ่งตัวเอง เชื่อมั่นในความดีตัวเอง และนำพาผู้อื่นให้พ้นทุกข์ด้วยหัวใจความเป็นพุทธะ ด้วยใจที่แจ้งถึงความเสียสละ ถอนตัวตนจนหมดสิ้น กลับสู่สภาวธรรมอันเดิมแท้ที่เป็นรากเดิมของใจศิษย์ อย่ามัวหลงกับโลภ กิเลส อย่ามัวหลงกับร่างกายอันไม่เที่ยงแท้ แต่ต้องตื่นขึ้น และเห็นความจริง ไม่มีอะไรเป็นของเรา และเราไม่เคยได้อะไร และเราไม่จำเป็นต้องเป็นอะไร แค่กลับสู่ที่เดิมที่เรามา มีชีวิตไหนบ้างที่เกิดมาแล้วไม่ตาย มีแล้วไม่กลับสู่ความว่าง ถ้ายังหลงมีอีกมันก็จะมีไม่จบสิ้น แต่ถ้าปล่อยความมีได้ กลับสู่ความว่างได้ นั่นแหละพ้นทุกข์โดยแท้จริง แล้วจะยึดความมีให้ทุกข์ทำไม
อาจารย์อยากให้ขวัญและกำลังใจแก่ศิษย์ทุกคน ให้เข้มแข็ง มุ่งมั่นก้าวต่อไป ด้วยหัวใจที่ไม่ยึดติดในโลภ โกรธ หลง หรือสังขารอันไม่เที่ยงแท้นี้ มีปณิธานความมุ่งมั่นที่แจ่มชัด โลกนี้น่าหลงใหลนักหรือ ตัวตนนี้น่ายึดถือจนทิ้งวางไม่ลงเลยหรือ รักษากายใจและความมุ่งมั่นให้เด็ดเดี่ยว เหมือนสวรรค์ชั้นฟ้าที่มีแต่ให้ แล้วก็ให้ แล้วยังจะเอาอะไรอีกหรือกับโลกใบนี้ แล้วศิษย์จะรู้ว่าการปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นตัวตนนั้นคือความสุขที่สุด สุขที่เย็นที่สุด สุขที่พ้นทุกข์ที่สุด ทำให้ได้นะ อาจารย์เชื่อมั่นในตัวของศิษย์ ศิษย์ก็ต้องเชื่อมั่นในความมุ่งมั่นของหัวใจนี้ ลองดูนะ ลองนำธรรมไปพิจารณาให้เห็นแจ้งความเป็นจริง
(พระอาจารย์เมตตาอธิบายความหมายของเนื้อเพลง “ยืมความทุกข์มาบำเพ็ญ”)
“ทุกข์แค่ไหน ท้อแค่ไหน แค่ใจหลอก” ใจนั้นหลอกให้ไหลไปตามอารมณ์ แต่ถ้าเรามองให้เห็นความเป็นจริงแล้ว จะเห็นว่าความท้อก็เป็นเพียงแค่ช่วงหนึ่ง ทุกข์ก็เพียงแค่ช่วงหนึ่ง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ของจริงแท้ สำคัญที่ใจ อย่าให้ไหลไปตามอารมณ์ ต้องเป็นแบบใจเดิม ใจที่ว่าง ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร อะไรจะเกิดก็กล้ารับได้ คำว่า “จ้องบำเพ็ญเหมือนกับพร่อง”แปลว่า ยิ่งเราฝึกฝนบำเพ็ญมากเท่าไร เราก็ยิ่งรู้ตัวเองว่า เรายังพร่องอยู่ เรายังไม่ดีอยู่ เราจึงต้องแก้ไขให้มากที่สุด
อาจารย์ให้กำลังใจศิษย์นะ มุ่งมั่นในการทำความดีต่อไปนะ จิตที่อุทิศเสียสละคือจิตแห่งโพธิสัตว์ จิตที่ยอมทุกข์เพื่อคนอื่น จิตที่ไม่กลัวความเหนื่อยยากคือจิตแห่งพุทธะที่ศิษย์ต้องรักษาให้ดี ยอมเสียสละความสุขของตัวเอง เพื่อนำพาให้คนอื่นพ้นทุกข์ เพื่อให้คนได้กินอิ่มมีสุข นี่คือจิตแห่งพุทธะ
เดินให้ถึงที่สุดนะ ไม่รักศิษย์ตรงนี้แล้วจะไปรักศิษย์ที่ไหนใช่ไหม
มีโอกาสคงได้กลับมาร่วมบุญศึกษาธรรมร่วมกันอีกนะ อย่าปล่อยชีวิตให้ซัดเซพเนจร หลงโลก หลงกิเลส จนลืมมองความจริง อย่าเอาแต่ใจ เอาแต่อารมณ์ จนลืมความจริงแท้ที่ทำให้ชีวิตต้องทุกข์เศร้า ทุกข์ของโลกใบนี้ ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับทุกข์แห่งการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ดูแลตัวเองให้ดีนะศิษย์เอ๋ย เพื่อช่วยเวไนย อย่าท้อ เพื่อช่วยผู้คนให้พ้นทุกข์ เข้มแข็งให้ได้นะ