วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2561

2561-12-22 สถานธรรมจื้อเจวี๋ย อ.สิงหนคร จ.สงขลา

西元二〇一八年歲次戊戌十一月十六日                         仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑   สถานธรรมจื้อเจวี๋ย จ.สงขลา
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
  ความสุขหายง่ายไปไว                ความทุกข์หายยากหลีกพ้น
มาฝึกดับทุกข์ในตน                      ดีกว่าทุกข์ทนวางวาย
                            เราคือ
   ศิษย์พี่นาจา  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกแฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                        ถามศิษย์น้องทุกคนยินดีต้อนรับเราไหม
  สรรพสิ่งนั้นหนาล้วนคืนว่าง          อันใดสมบูรณ์บ้างในโลกนี้
ดั่งลมพัดผันผ่านวันวารี                 โลกชั่วคราวทุกข์เปลี่ยนที่ไม่อาทร
ปรารถนาครองสิ่งใดแล้วยึดชิง              ครองครอบสิ่งทุกอย่างตามหลอกหลอน
ปรารถนาใดได้จริงหลงวิ่งวอน          ปลงใจสิ่งที่ร้อนด้วยธรรมะ
อย่ากังวลทุกข์หนักไม่น่ากลัว          จิตตื่นตัวคือยึดแล้วสละ
คนทิฐิมีความคิดความมานะ[1]           อารยะ[2]ถือทุกข์ที่ยื้อคืออนิจจา
หัวใจยึดติดย่อมไม่ผ่อนคลาย          ยึดมั่นหมายเพียงนั้นกั้นเวหา
ทะนงรับความจริงจึงเปิดฟ้า            ทางไปเป็นทางมาหวนศุกล[3]
ทำดีเองไม่ใช่อะไรฉุด                    ดีกว่าฝืนยื้อยุดให้สับสน
ชีวิตสั้นจำไว้ใฝ่หลุดพ้น                  บำเพ็ญตนใจดั่งเพชรตัดกิเลส
                                                                                ฮิ ฮิ หยุด


[1] มานะ:น.ความถือตัว, ความสำคัญตน,ความพยายาม, ความตั้งใจจริง, ความพากเพียร
[2] อารยะ:น.ผู้มีธรรม, อริยบุคคล       ว.เจริญ
[3] ศุกล:ว. สุกใส,สว่าง,ขาว,บริสุทธิ์.


พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
โดยส่วนใหญ่คนมาสถานธรรมก็อดตั้งคำถามสงสัยไม่ได้ว่าธรรมะมีค่าอะไร ธรรมะดีอย่างไรที่ฉันจะต้องมาเสียเวลานั่งฟัง เสียเวลาที่จะไปเที่ยวไปหาเงินดีกว่า บางครั้งเราอดคลางแคลงใจไม่ได้ คิดในใจว่าธรรมะมีค่าขนาดไหน ธรรมะมีประโยชน์อย่างไรที่ยอมเสียเวลามานั่งฟัง และยอมเสียความเป็นตัวเองเพื่อมาอดทนฟังใครก็ไม่รู้พูด ถูกไหม (ถูก)
ธรรมะดีกับเราอย่างไร ชีวิตเราไม่มีธรรมะก็อยู่ได้ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ฉะนั้นวันนี้ถ้าเรามาตอบคำถามนี้กับท่าน ท่านอยากจะลองฟังดูไหม (อยาก)  ไม่ว่าจะเป็นผู้ปฏิบัติงานธรรม นักเรียนในชั้น หรือคนที่ปฏิบัติธรรมะมานานๆ ก็อดถามใจตัวเองไม่ได้ว่า ธรรมะมีค่าขนาดที่ฉันต้องแลกกับชีวิตเลยหรือ ธรรมะมีค่าขนาดที่ฉันต้องยอมอดทนอดกลั้นขนาดนี้เลยหรือ ธรรมะดีขนาดนี้เลยหรือที่ฉันต้องยอมเสียเวลาชีวิตของฉันมาเพื่อฟัง เพราะธรรมะดีกับจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราฟังธรรมะมาตั้งมาก เรายังไม่เห็นดีเลย ลองฟังแล้วไตร่ตรอง แล้วหยั่งคิดดูว่าสิ่งที่เราพูดท่านคิดเห็นเป็นอย่างไร
อย่างนั้นเราถามท่านนะ ข้อหนึ่งที่ส่วนใหญ่เรามาฟังธรรมะ เคยได้ยินไหม คนเราเกิดมาก็ต้อง (ตาย)  และชีวิตนี้สิ่งที่เรากลัวที่สุดก็คือ (ความตาย)  บางคนบอกกลัวตาย บางคนบอกกลัวเจ็บป่วย บางคนบอกกลัวทุกข์ บางคนบอกกลัวพลัดพราก บางคนกลัวล่มจม บางคนกลัวน้ำท่วม ใช่ไหม
แต่ชีวิตอยู่แล้วยึดติดทุกอย่าง กับชีวิตที่อยู่แล้วเข้าใจ รู้จักปล่อยวางด้วยธรรมะ กลับทำให้เรามีชีวิตอย่างไม่กลัวตายไม่กลัวสูญเสียและไม่กลัวแม้กระทั่งความเจ็บปวด ชีวิตที่เข้าใจธรรมทำให้เราปล่อยวางแม้กระทั่งความทุกข์ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมมีค่าพอที่ท่านจะเสียเวลา เสียสละ เพื่อมีธรรมเพราะความตายเป็นสิ่งที่มนุษย์กลัวที่สุด เพราะความทุกข์เป็นสิ่งที่มนุษย์หนีไม่พ้น เพราะความพลัดพรากเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องเจอ ฉะนั้นถ้าใครถามตัวเองว่าทำไมฉันต้องเสียเวลามานั่งฟังธรรม เพราะการฟังธรรมนั้นทำให้เราเข้าใจชีวิตความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาที่หนีไม่พ้น เกิดมาก็ต้องแก่ ต้องเจ็บและก็ต้องตาย เกิดมาแล้วก็หนีไม่พ้นทุกข์ แล้ววิชาไหนที่จะทำให้เราเข้าใจความแก่แล้วไม่ทุกข์ ความทุกข์แล้วไม่ทุกข์ตาย ความพลัดพรากแล้วไม่เจ็บปวด ความตายแล้วไม่ทรมาน นั่นก็คือวิชาที่ทำให้เราเข้าใจธรรมะ ฉะนั้นถ้าเขาบอกว่ามาฟังธรรมะไหม ท่านเลยบอกว่ามา เพราะมันทำให้เราได้ปลดปลง ปล่อยวาง ทุกข์ที่เราแบกมาตลอดชีวิต แต่มาที่นี่มาแล้วปล่อยหรือมาแล้วยังแบก (ปล่อย)
แล้วมีเหตุผลข้อเดียวไหมที่ทำให้เราอยากมาฟังธรรมะและยอมเสียสละชีวิตเพื่อธรรมะ ไม่ใช่แน่นอน อย่างนั้นถามท่านนะคนเรากลัวเจ็บ กลัวมีเคราะห์ กลัวโชคไม่ดี กลัวถูกทำร้าย อย่างนั้นรู้ไหมว่าถ้าฟังธรรมะแล้วท่านจะสามารถทำให้เคราะห์ร้ายกลายเป็นเคราะห์ดี ดวงร้ายกลายเป็นดวงดีได้ด้วยการดับต้นเหตุแห่งเคราะห์ แห่งทุกข์และแห่งเภทภัยอันตรายทั้งปวง เพราะเวลาเราดวงไม่ดี เคราะห์ไม่ดี เราก็พยายามไปสะเดาะเคราะห์ ฉะนั้นท่านรู้ไหม เคราะห์ เภทภัย ดวงชะตาไม่ดี หรือภัยอันตรายต่างๆ ล้วนมาจากปาก เคยได้ยินไหมว่า ปากพาจน คนจะได้ดีก็เพราะปาก คนจะไม่ดีก็เพราะปาก ฉะนั้นที่เราดวงชะตาไม่ดีก็เพราะ (ปาก)  ถ้าจะแก้ที่ดวงชะตามันแย่ แก้ที่วัดหรือแก้ที่ปาก (แก้ที่ปาก)  แต่พอถึงเวลาเห็นไปแก้ที่วัด ไม่ได้แก้ที่ปากใช่หรือไม่ (ใช่)  เคราะห์ร้าย เคราะห์ไม่ดีล้วนเกิดจากนิสัยเราทั้งสิ้น เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ โลภ ตระหนี่ บ่น นินทา เล่นลอตเตอรี่ เล่นหวยใต้ดิน ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นทำไมเราต้องศึกษาธรรมะ เพราะธรรมช่วยให้เรารู้จักควบคุมโลภ โกรธ หลงและความเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว เพื่อยับยั้งต้นเหตุแห่งเคราะห์ภัยและเวรภัยทั้งปวงได้ จริงไหม โลภ โกรธ หลง ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ได้ ล้วนออกมาจากอัตภาพที่ชื่อคำว่า “ตัวตน” ผู้ใดบรรเทาความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้ ผู้นั้นก็จะสามารถดับทุกข์ ดับเหตุแห่งทุกข์และดับเหตุแห่งภัยได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเพิ่มฟังธรรมะจากหนึ่งวันเป็นสองวัน เพื่อให้รู้ว่าการไม่ต้องมีเคราะห์จะได้ทำให้เรารู้จักปลงไม่ตาย ตายไม่ตาย ไม่เจ็บป่วยมาก ไม่อยากฟังหรือ ยังกลับหลงยึดมั่นตัวตนอีก
 (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจ้งพระนาม และเมตตาให้นักเรียนในชั้นเต้นเพลงอิปปี้ยา เพื่อคลายความเมื่อยล้าให้แก่นักเรียนในชั้น)
โดยส่วนใหญ่ศิษย์น้องทุกคนมักจะอดคิดไม่ได้ว่าทำไมฉันจะต้องเสียเวลากับธรรมะ ทำไมฉันจะต้องอุทิศชีวิตตัวเองกับธรรมะ ทำไมฉันจะต้องมานั่งฟังธรรมะ ศิษย์น้องจำไว้อย่างหนึ่งนะ เมื่อไรที่เราไม่สามารถเป็นบัวพ้นน้ำ เราก็ไม่มีวันที่จะฟังธรรมะครั้งเดียวแล้วเข้าใจ ฟังครั้งเดียวแล้วดับทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราไม่ใช่บัวพ้นน้ำ เราก็อาจจะเป็นบัวที่อยู่ใต้น้ำหรือติดโคลนตม เราก็อาจจะเป็นประเภทที่ฟังบ่อยๆ ฟังเยอะๆ เพื่อจะได้เอามาใช้ในชีวิต เหมือนตอนแรกที่พูดว่าฟังธรรมะเพื่ออะไร ยอมสละเวลาเพื่ออะไร เพื่อเราจะได้เห็นความเป็นจริงของชีวิต เหมือนศิษย์พี่กับศิษย์น้องทุกคน ใครที่หนีความแก่ หนีความเจ็บ หนีความตายได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นผู้ที่เข้าถึงธรรมแห่งความเป็นจริงอันเรียกว่าธรรมดาของทุกชีวิต เขาค้นพบธรรมและไม่ยึดมั่นชีวิต เมื่อชีวิตมาถึงความตายก็สามารถปลดปลงและปล่อยวางได้ แต่ถ้าเป็นคนที่เขายังไม่สามารถมีธรรมในชีวิต คนๆ นั้นก็จะมีชีวิตอยู่โดยคิดว่า ก็ฉันเป็นอย่างนี้ ก็ฉันมีอย่างนี้ ฉันไม่ชอบอย่างนี้ และก็ติดว่าฉันเป็นคนดี ฉันชอบแบบนั้น ฉันชอบแบบนี้ เมื่อติดคำว่าตัวตนและยึดตัวตนก็หนีไม่พ้นเหตุแห่งการสร้างกรรมและความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อใดที่มนุษย์ไม่เข้าใจว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย คือกลับไปสู่สภาวธรรม แต่มนุษย์กลับสู่การยึดมั่นถือมั่นตัวตน มนุษย์ก็เลยหนีไม่พ้นกรรมดีและกรรมชั่วและหนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ตัวเองยึดติดและหลงสร้าง
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาถือผลลูกพลับซึ่งเป็นตัวแทนความโชคดี และถือผลแอปเปิลซึ่งเป็นตัวแทนความโชคร้าย)
อย่างนั้นศิษย์พี่ถามนะ ผลนี้ดี ผลนี้ไม่ดี เลือกผลไหน (ผลดี)  แล้วเมื่อสักครู่ใครบอกไม่ยึดติด ศิษย์พี่จะบอกให้ถ้าผลดีเรียกว่าสุข เรียกว่าสมหวัง เรียกว่าโชคดี ถ้าผลไม่ดีเรียกว่า โชคร้าย เรียกว่าทุกข์ เรียกว่าความตาย ศิษย์พี่ถามว่าความจริงโลกนี้มันมีด้านเดียวหรือมีสองด้าน (สองด้าน)  ชีวิตนี้มีด้านเดียวหรือสองด้าน (สองด้าน)  แล้วเป็นไปได้ไหมที่ชีวิตจะเลือกแต่ด้านหน้าไม่เอาด้านหลัง (ไม่ได้)  อย่างนั้นผลนี้ดี ผลนี้ไม่ดีเลือกผลไหน (ทั้งสอง)  ถ้าศิษย์น้องเข้าใจชีวิตเมื่อเลือกที่จะอยู่ก็ต้องไม่กลัวที่จะตาย เมื่อเลือกที่จะเข้มแข็ง ก็ต้องไม่กลัวเจ็บปวด เข้มแข็งได้ก็เจ็บปวดได้ เมื่อเจ็บปวดแล้วจะเข้มแข็งไม่ได้หรือ (ได้)
นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ทำไมต้องฟังธรรมะมากๆ  เพราะธรรมะจะตอกย้ำเข้าไปในจิตใจว่า เกิดมาก็หนีความตายไม่พ้น และความเกิดกับความตายไม่เคยอยู่ห่างกัน อยู่ด้วยกันเสมอ เพราะทุกวันที่ศิษย์น้องเกิด ศิษย์น้องกำลังตายใช่ไหม และทุกวันที่ศิษย์น้องมีความสุข ก็มีความทุกข์อยู่ในใจ และทุกวันที่ศิษย์น้องมีความทุกข์ แต่ลึกๆ ก็เหมือนกับมีความสุขจริงไหม และทุกวันที่ศิษย์น้องแข็งแรงก็มีความเจ็บป่วยซ่อนอยู่ใช่ไหม เวลาเจ็บป่วยแล้วกลับมาแข็งแรงไม่ได้หรือ (ได้)  รักษากายได้ แต่อย่าลืมความเข้มแข็งในจิตใจ เพราะหมอรักษาได้เพียงกาย แต่ถ้าใจไม่สู้ ก็ไม่หาย กินยาดีขนาดไหนก็ไม่รอด ฉะนั้นความเข้าใจธรรมอันเป็นธรรมดาของชีวิต มันคุ้มไหมกับการที่เราจะศึกษา แล้วจะทำให้เราเข้าใจชีวิตยิ่งขึ้น คุ้มไหมกับการที่เรายอมเสียสละเพื่อจะมีธรรม (คุ้ม)  อีกอย่างหนึ่งของคนที่มีธรรมะประจำจะปากเสียไหม (ไม่)  จะเป็นคนใจดำอำมหิตไหม จะเป็นคนปากว่าตาขยิบไหม แล้วจะเป็นคนปากหวานก้นเปรี้ยวไหม (ไม่)  จะเป็นคนพูดอย่างทำอย่างไหม (ไม่)  เมื่อเป็นคนที่พูดอะไรทำได้อย่างนั้น เป็นคนซื่อสัตย์ เป็นคนซื่อตรง เขาจะเคราะห์ร้ายไหม (ไม่)  เขาจะดวงชะตาไม่ดีไหม (ไม่)  ถึงมีแต่ก็คงเป็นกรรมเก่าใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่กรรมใหม่เราไม่สร้างถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นถ้าเกิดเป็นคนที่มีธรรมเสมอ เราจะมีเคราะห์ร้ายไหม (ไม่มี)  เราจะหมดทุกข์ไหม (หมด)  แล้วเราจะดับทุกข์ได้ไหม (ได้)  แล้วเราจะมีธรรมไหม (มี)  เสียอย่างเดียวเมื่อถึงเวลามนุษย์ไม่เคยเห็นแก่ธรรม แต่มักจะเห็นแก่ตัว จริงไหม เมื่อถึงเวลาให้เลือกธรรมกับเลือกตัวเอง เลือกอะไร ยกตัวอย่างเช่น ถามว่าเป็นคนใจดีไหม ชอบคนใจดีไหม (ชอบ)  เมื่อถึงเวลาใจดีกับตัวเองแต่ใจร้ายกับ (ผู้อื่น)  เมตตาต่อตัวเองแต่ (ไม่เมตตาผู้อื่น)  ฉะนั้นธรรมะจึงสอนว่าถ้าศึกษาธรรมจงเห็นแก่ธรรมไม่ใช่เห็นแก่ตัว และเมื่อไรที่มีธรรมในตัวศิษย์น้องก็จะกลับคืนสู่ธรรมไม่ต้องกลับไปใช้เวรใช้กรรม เราถามง่ายๆ ชอบคนใจดี ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อถึงเวลาเราใจดีหรือใจร้าย (ใจดี)  อย่างนั้นถามนะ กินเนื้อสัตว์ไหม เนื้อสัตว์อร่อยไหม ถ้าไปกินผักรู้สึกลำบาก ใช่ไหม (ใช่)  เลยยอมสงสารตัวเองแล้วฆ่าสัตว์ทิ้งแล้วตัวเองกิน เคยเป็นแบบนี้ไหม หาผักกินยาก อาหารเจกินยาก สงสารตัวเองที่ต้องกินลำบากเลยกินเนื้อสัตว์ใช่ไหม แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม เบียดเบียนคนอื่นเพื่อสงสารตัวเอง อย่างนั้นเราปฏิบัติธรรมเพื่อตัวหรือปฏิบัติธรรมเพื่อธรรม ชอบไหมคนให้อภัย  ชอบไหมคนให้ทาน  ชอบไหมคนที่เมตตา (ชอบ)    แต่เมื่อถึงเวลาเราให้อภัยไหม แต่เมื่อเจอหน้ายังเกลียดเขา ยังพยายามให้อภัยอยู่แต่ยังไม่ลืม อย่างนี้เรียกว่าคนให้อภัยหรือ (ไม่)  ศิษย์น้องถ้าเขาให้อภัยจริงเขาจะลืมและจบมันไปตั้งนานแล้ว แค่ความเมตตาลึกๆ ในใจ ชอบคนเมตตา ชอบคนใจดี ชอบคนมีน้ำใจ แต่ที่ตัวเองเป็นคือเอาแต่เรียกร้องคนอื่นแต่ตัวเองไม่เคยเป็นเลย ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าปฏิบัติเพื่อธรรมไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อตัว ถ้ากินแล้วทำลายความมีเมตตาธรรม ถ้าพูดแล้วทำลายความเมตตาในจิตใจ เขายอมไม่พูดยอมไม่กิน เพราะเห็นธรรมเป็นตัว ดีกว่าเห็นตัวเป็นกิเลสอารมณ์และหนีไม่พ้นวิบากกรรม เหมือนเราอดไม่ได้ถ้าเขาด่าเรา เราก็ต้อง (ตบ)  ด่าปุ๊บตบปั๊บเลยหรือแล้วถ้าเราโดนตบ (ตบกลับ)  นักเรียนชั้นนี้มือไวใจเร็วจริงๆ เลยนะ ถ้าเขาด่าแล้วเราด่ากลับ เราน่าจะขอบคุณเขานะเพราะเราได้ใช้กรรมจบสิ้น    จริงไหม เราจะได้ไม่มีเคราะห์ภัย เราอยู่ในโลกนี้เราอยากได้มิตรหรือเราอยากได้ศัตรู (อยากได้มิตร)  แล้วเราสร้างมิตรหรือเราสร้างศัตรู สร้างศัตรูมากกว่าสร้างมิตร สามวันดีสี่วันไข้ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นพอเข้าใจในเหตุผลที่ศิษย์พี่อยากให้ศิษย์น้องศึกษาธรรมไหม แล้วทำไมต้องมีธรรม เพราะทุกชีวิตเกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมชาติที่ต้องกลับคืนสู่ธรรม แต่ถ้ามนุษย์ไม่สามารถกลับคืนสู่ธรรมได้ มนุษย์ยังยึดติดความเป็นตัวตน มนุษย์ก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ตัวเองจะต้องไปแบกรับและยึดถือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตายครั้งเดียวเจ็บพอไหม พอแล้วถูกไหม แต่การยึดมั่นถือมั่นโดยที่ถือตัวตนเป็นหลักแล้วไม่สนใจธรรมจะทำให้ศิษย์น้องตายแล้วตายอีก เจ็บแล้วเจ็บอีก ทุกข์แล้วทุกข์อีก จนหาที่สุดไม่ได้ จนกว่าศิษย์น้องจะกลับคืนสู่ธรรม     เรามาจากธรรม และธรรมคือบ้านเดิมแท้ของจิตวิญญาณและสังขาร ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเราก็ควรกลับคืนสู่ที่เรามาถูกไหม แต่ทำไมเราไม่ถือธรรมเต็มตัว แต่เรากลับถือกิเลส อัตตา นิสัย ความเคยชิน เป็นตัวตน และเป็นสาเหตุให้เราหนีไม่พ้นเคราะห์ภัย เวรกรรม และวิบากกรรม ถูกไหม (ถูก)
ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ใครเป็นสายพุทธน่าจะรู้จักคำว่าปัจจัตตัง ปัจจัตตัง แปลว่า ธรรมต้องปฏิบัติเอง รู้เอง อย่าเพิ่งเชื่อในสิ่งที่ศิษย์พี่พูด แต่จงเอาสิ่งที่ศิษย์พี่พูดไปปฏิบัติจนตื่นรู้ด้วยตัวเองแล้วจึงเชื่อ ไม่ใช่เห็นยืมร่างแล้วเชื่อ อย่างนั้นเรียกว่างมงาย แต่จงเอาสิ่งที่รู้ไปปฏิบัติ ไตร่ตรองแล้วเกิดความกระจ่างแจ้งด้วยตัวเองถึงจะเชื่อ อย่างนี้จึงจะเรียกว่าทำอะไรด้วยปัญญา ด้วยสติ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ไม่ใช่แค่เห็นเป็นร่างทรงแล้วเขาบอกว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่างนี้เรียกว่างมงาย ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์น้องเป็นคนฉลาด แล้วทุกอย่างเป็นการคว้าโอกาสหรือเสียโอกาส แล้วทุกอย่างเป็นคุณค่าหรือไม่มีคุณค่า แล้วทุกอย่างที่มีชีวิตผ่านมามีสุขหรือว่ามีทุกข์ ศิษย์พี่จะบอกอะไรอีกอย่างหนึ่งนะ ในโลกใบนี้มนุษย์ทุกคนไม่มีใครเกิดมาดีพร้อม และก็ไม่มีใครเกิดมาพร้อมสมบูรณ์ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นคนที่รู้จักใช้ชีวิตเป็นคนที่แม้จะเกิดมาไม่สมบูรณ์หรือไม่ดีพร้อม แต่เกิดมาแล้วถ้าเราเข้าใจชีวิต เราคงไม่ใช้ชีวิตเอาแต่ขอคนอื่น ถูกไหม (ถูก)
จริงๆ เราเป็นคนช่างขอ หรือช่างให้ (สองอย่าง)  เกิดมาเอาแต่ขอ เอาแต่วอน เอาแต่ฝันใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเกิดว่าเราเกิดมาไม่พร้อมสมบูรณ์  เราไม่ได้พร้อมเหมือนทุกคน ทุกคนก็เลยเลือกชีวิตด้วยการขอความรักจากใครสักคน ขอรอยยิ้มจากใครสักคน แล้วก็เพ้อฝันไปเป็นวันๆ แล้วก็ปล่อยชีวิตให้เสียโอกาสไปใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือชีวิตของคนที่ไม่สมบูรณ์และไม่ได้เกิดมาพร้อมใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนที่ทำอย่างนี้ฉลาดหรือไม่ฉลาด (ไม่ฉลาด)  แล้วเราเป็นอย่างนี้ไหม (ไม่เป็น)  เราเกิดมาวิงวอนขอไหม (ขอ)  ใช่โดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนเกิดมาขอนั่น ขอนี่ แล้วก็บ่น ตัดพ้อนั่น ตัดพ้อนี่ แล้วก็โทษคนนั้น โทษคนนี้ แล้วก็ปล่อยชีวิตผ่านๆ ไปโดยไม่มีคุณค่า ไม่มีสาระอะไรเลย คุณค่ามากที่สุดก็คือสนองความอยากของตัวเองแค่นั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าทุกวันผ่านไปสนองความอยากของตัวเองก็หนีไม่พ้นการยึดติดตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่ถ้าศิษย์พี่บอกว่ามีอีกทางหนึ่ง แม้เราไม่ได้เกิดมาสมบูรณ์แต่เราจะทำทุกอย่างให้เป็นโอกาส ทุกอย่างให้เป็นคุณค่า ทุกอย่างทุกเวลาเป็นการเรียนรู้ และทุกอย่างทุกเวลาไม่ว่าจะทุกข์แค่ไหน ฉันก็จะพยายามค้นหาความสุขและทางพ้นทุกข์ให้เจอ ศิษย์พี่ถามหน่อยนะว่า คนเช่นนี้แม้เกิดมาไม่พร้อมสมบูรณ์ แต่ทุกวันเขาก็ทำให้ดีที่สุดใช่ไหม (ใช่)  เพราะเขาถือว่าทุกวันคือการสร้างโอกาส ไม่ใช่เสียโอกาส ทุกวันคือสิ่งที่มีคุณค่า ไม่ใช่ปล่อยให้ไร้คุณค่า ไร้ความหมาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  และทุกวันคือการหาความสุขเพื่อหนทางพ้นทุกข์ แต่ชีวิตนี้เราเป็นแบบนี้ไหม (ไม่)  ถ้าทำได้อย่างศิษย์พี่พูด จะเป็นคนที่แม้จะเกิดมาไม่พร้อมสมบูรณ์ก็สมบูรณ์ได้ แม้จะเกิดมาไม่ฉลาดแต่ก็เฉลียวได้ แม้เกิดมาจะทุกข์แต่ก็สามารถค้นพบความสุขได้ ท่ามกลางความทุกข์ เพราะทำทุกอย่าง ทำทุกเรื่องเป็นโอกาส เป็นการเรียนรู้และเป็นหนทางพ้นทุกข์ แต่มนุษย์และศิษย์น้องทุกคนไม่ใช่ ศิษย์น้องชอบรอโอกาส ชอบรอเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชอบให้เวลาสถานการณ์บีบคั้นจนทำให้เราต้องเข้มแข็ง บีบคั้นให้เราทุกข์จนถึงที่สุดแล้วเราค่อยหาทางพ้นทุกข์ แต่ศิษย์พี่ถามหน่อย ถึงเวลาตอนนั้นใจเรารับไหวหรือ เมื่อไม่เคยฝึกใจเลย จึงปรากฎให้เห็นอยู่บ่อยๆ ว่า แค่อกหักก็ฆ่าตัวตาย แค่ล้มละลายก็ผูกคอตาย แม้จะฟังธรรมไปมากเท่าไร เมื่อน้ำท่วมสวนยางก็ฆ่าตัวตาย หรือแม้แต่เอาไก่ไปชนแล้วแพ้ก็ฆ่าไก่ตาย ไม่เคยฆ่าตัวเองเลยนะ
ฉะนั้นศิษย์พี่ถามนะ ทุกเวลาที่ชีวิตสูญเสียไปคือโอกาสหรือเสียโอกาส คือคุณค่าที่ชีวิตหนึ่งได้เรียนรู้และรู้วิธีดับทุกข์ หรือเกิดมาเพื่อมีแต่ทุกข์ ฉะนั้นรู้แล้วว่าธรรมมีค่า จะเอาธรรมมาให้เกิดค่า หรือจะให้ธรรมก็คือธรรม เราก็คือเรา เพราะถึงเวลาคนที่ทุกข์ คนที่เจ็บ คนที่แย่ก็คือเรา ดังนั้นในบางครั้งที่ศิษย์น้องรัก ศิษย์น้องหวง ศิษย์น้องห่วง มันไม่เคยช่วยเรา ถ้าเราไม่รู้จักช่วยตัวเองด้วยธรรม จริงไหม (จริง)  เรื่องจะร้ายเรื่องจะดีไม่สำคัญเท่ากับใจของตัวเอง ศิษย์พี่ถามถูกลอตเตอรี่ ดีใจไหม (ดีใจ)  สุขไหม (สุข)  แต่ถ้าซื้อแค่ห้าบาท สุขไหม (ไม่สุข)  ทำไมกลายเป็นทุกข์ล่ะ (ซื้อนิดเดียว)  เห็นไหมเรื่องราวในโลกนี้ไม่ใช่ดีหรือร้าย ไม่ใช่ได้หรือเสีย สิ่งที่สำคัญคือใจมันพอหรือไม่พอ ถ้าไม่พอแม้เรื่องดีที่สุดก็กลายเป็นเรื่องร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ารู้จักพอแม้เรื่องร้ายที่สุดมันก็มีดี จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเรื่องราวในโลกนี้สิ่งที่เราต้องดูแลและเข้าใจให้ถึงแก่นแท้ของธรรมไม่ใช่ภายนอก แต่คือหัวใจเรา ถ้าเราเข้าใจแก่นแท้ของธรรมที่อยู่ในใจ รู้จักพอบ้าง เจ็บแล้วอย่าเจ็บอีก ทุกข์แล้วอย่าโง่ทุกข์ซ้ำ แย่แล้วอย่าแย่ซ้ำในเรื่องเดิม ต้องรู้จักเข็ด ต้องรู้จักจำ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเอาธรรมมาสอนแล้วเราจะเข้าใจแก่นแท้ของชีวิต หินมันหนักเมื่อเราแบกฉันใด ความทุกข์ ความผิดหวัง ความเสียใจ มันหนักเมื่อเรายึดมั่นไม่ปล่อยวางฉันนั้น
ฉะนั้นเราทุกข์เพราะอะไร ที่เราทุกข์เพราะเราเอาแต่ครุ่นคิดไม่ยอมรับความจริง เขาด่าเราก็ความจริง แม้เขาจะว่าเราเจ็บปวด มันก็ความจริงเพราะความจริงมันคือธรรม และธรรมมันก็คือความจริง ธรรมคือความจริงอันเป็นธรรมดา มีใครไม่โดนด่าบ้าง ไม่มีใช่ไหม (ใช่)  วันนี้ฉันโดนด่า พรุ่งนี้ฉันโดนชม มันก็ธรรมดา ใช่ไหม ฉะนั้นเมื่อเวลาเราเจอเรื่องราวศิษย์น้องจะเอามันมาเป็นโอกาสเพื่อสิ้นทุกข์ หรือศิษย์น้องจะเอาเรื่องนั้นมาทำร้ายให้ทุกข์ คนที่ฉลาด คนมีธรรม จึงเป็นคนฉลาดเอาทุกเรื่องราวมาทำให้พ้นทุกข์ และเอาทุกเรื่องราวมาเป็นโอกาสให้เราค้นพบธรรม แต่มนุษย์ด่ามาแล้วได้กิเลส ได้ความโกรธ ได้ความเกลียดกลับไปใช่หรือไม่ แล้วโกรธ เกลียดก็หนีไม่พ้นความทุกข์ วิบากกรรม แล้วก็ตามมาด้วยอกุศลกรรม พอมีทุกข์มากๆ ก็ไปทำบุญแล้วมันแก้ได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าอยากจะแก้ได้ ต้องแก้ที่นิสัย ถ้ามือข้างหนึ่งของศิษย์น้องไปทำบุญ แต่มืออีกข้างศิษย์น้องยังละปากตัวเอง ละอารมณ์ ละกิเลสตัวเองไม่ได้ มันจะใช้กันได้หรือ เหมือนด่าคนนี้แต่ไปทำบุญที่ตรงโน้น ชดใช้กันได้ไหม กรวดน้ำให้ได้ไหม (ไม่ได้)  ศิษย์พี่ว่าไม่ได้ จริงไหม สู้ทำบุญทั้งตรงโน้น ตรงนั้นและคนที่เราด่าเขา  ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเกิดมามีชีวิต อย่าบอกว่าไม่มีทางเลือก มันเลือกได้อยู่ที่เรารู้จักคิดอย่างคนมีสติปัญญา อย่าบอกว่าชีวิตอับจนหนทาง มันไม่มีวันอับจน อยู่ที่ศิษย์น้องสู้หรือไม่สู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ขอเพียงอย่างเดียว อย่าทำผิด อย่าคิดร้าย อย่าขาดธรรม เพราะถึงจะสู้ขนาดไหนแต่ถ้าทำผิด คิดร้าย ขาดคุณธรรม มันไม่มีวันเจริญ จำไว้นะศิษย์น้อง จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นมีโอกาสสูบบุหรี่ต่อดีไหม (ไม่ดี)  แล้วแต่ศิษย์น้องแล้วกันนะ เพราะเหมือนที่ศิษย์พี่บอก ทุกอย่างมีทางเดิน แต่เราจะเอามาเป็นโอกาสหรือเสียโอกาส เอามาสร้างบุญสร้างกุศล หรือเอามาผูกใจเจ็บด่าทอให้เขาเจ็บปวด วันนี้อยากสร้างบุญกับศิษย์พี่ไหม ง่ายๆ ฟังธรรมแล้วยิ้ม เชื่อไหมว่าคนพูดเขาจะมีกำลังใจถึงแม้เราจะไม่รู้เรื่องก็ตามแต่เราก็ยิ้ม พอเดินลงไปเจอพี่เลี้ยงก็ยิ้ม เป็นบุญที่สร้างง่ายๆ มาก เพราะโลกใบนี้ขาดคนมีความสุขและรู้จักส่งความสุขให้กับผู้อื่น ใกล้ปีใหม่แล้ว ส่งสุขกันหน่อย เจอใครก็ยิ้ม เพราะมันเป็นความสุขที่เราให้ได้โดยไม่มีวันหมด และยิ่งให้เหมือนยิ่งมีพลัง จริงไหม (จริง)  และไม่ต้องเสียเงินเสียทองด้วย ไม่เป็นไรเขาไม่ยิ้มแต่เราก็จะยิ้ม ดีไหม (ดี)  คนบนโลกนี้นอกจากขาดความสุขแล้ว ยังขาดความสุขที่ไม่มีวันหมดด้วย ฉะนั้นเราจะเป็นคนที่มีความสุขไม่มีวันหมด ยิ่งเขาว่าอย่างไร ฉันก็จะยิ้ม สามีบ่น ภรรยาก็จะยิ้ม ภรรยาบ่นทำไมกลับมาบ้านดึกสามีก็ยิ้ม แต่ไม่ได้ไปมีใครนะ เราไปฟังธรรมะ ต้องอธิบายด้วยเพราะบางคนเขาอยากฟังคำอธิบาย แต่ถ้าบางคนพูดมากแล้วไม่ต้องพูด ยิ้มเข้าไว้ ดีไหม (ดี)  ฉะนั้นศิษย์พี่ก็อยากส่งความสุขให้ศิษย์น้อง ไปล่ะนะ มีโอกาสยิ้มให้มากๆ นะ ส่งความสุขอย่าส่งแค่วันปีใหม่ ส่งความสุขทุกๆวันเพราะเราอยากได้ความสุขในชีวิตใช่ไหม (ใช่)  ไปล่ะนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก


วันอาทิตย์ที่ ๒๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ สถานธรรมจื้อเจวี๋ย จ.สงขลา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

      สำรวมตนเมื่อยึดมั่นในสิ่งใด        ย่อมหลงไปในทางมายาได้ง่าย
เมื่อใดยอมรับความจริงที่ปรากฏ       ด้วยหัวใจสงบนั่นเรียกว่าธรรม
สิ่งที่ปรากฏล้วนเป็นภาพสะท้อน      ที่ออกมาจากใจตน
จิตที่อิสระแค่รู้แต่ไม่เอาเรื่องราว              

                            เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว               ถามศิษย์รักทุกคนยังคงยินดีต้อนรับอาจารย์บ้างไหม 

* ถ้าคิดด้วยธรรมะ ชีวิตมีอะไร วันนี้ยังไม่ใช่ คนรู้จึงบำเพ็ญ โลกไม่มีเหตุผล คนทุกข์มีจิตใจ อย่าเพิ่งคิดมากมาย ปลงให้หายเศร้าเซ็ง
** คิดว่าได้อะไร คิดว่าของใครดีกว่ากัน คิดในทางกลับกัน สิ่งนั้นมิเคยมีอยู่
*** ศิษย์เอ๋ยเจ้าบำเพ็ญได้ไหม กำกับความคิดด้วยปัญญา ไม่รู้ไม่เป็นไรหรอกหนา ผู้มีธรรมะ ผิดถูกอย่างไร สุขได้ทุกข์ได้ หันไปหันมา
(ซ้ำ * , ** , *** , ***)
 สุขได้ทุกข์ได้ ล้วนธรรมดา
ทำนองเพลง : กอดฉัน
ชื่อเพลง : คิดด้วยธรรมะ

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

คนเราจะยิ้มให้สวย ยิ้มให้หล่อ ยิ้มนั้นต้องมีความจริงใจ ถามใจทุกท่าน ชอบคนแทงข้างหลัง,คนนินทาไหม พูดกับเราดีแต่แอบไปนินทาเรา เราชอบไหม (ไม่ชอบ)  แล้วเราเป็นไหม (ไม่เป็น)  โกหกนั้นตายตกนรกนะ ขอดูหน้าให้ชื่นใจหน่อยดีไหม (ดี)  จะได้เห็นหน้าตาว่ายิ้มจริงๆ หรือเปล่า เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  ดีใจที่ได้เจอ มีคำพูดคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า  “อยู่ในโลกนี้ เราสามารถทำให้โลกนี้เป็นสวรรค์บนดินได้” อย่างนั้นถ้าเป็นสวรรค์บนดินก็ด้วยการทำอะไร ทำความดี ทำให้โลกเป็นสวรรค์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนที่ทำความดีไม่ละชั่วจะเป็นสวรรค์ไหม (ไม่)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม (ไม่เป็น)  เราสามารถทำให้แดนโลกนี้กลายเป็นสวรรค์บนดิน คิดและทำในสิ่งที่ดีงาม มนุษย์เราด้านหนึ่งดีแต่อีกด้านหนึ่งก็ยังไม่สามารถละชั่วได้เราจะทำให้โลกนี้เป็นสวรรค์บนดินได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราจะทำชีวิตให้มีความสุขได้ไหม (ได้)  ศิษย์เอ๋ยทำดีแค่ไหนแต่ถ้าชั่วยังไม่ละ ยังมีนิสัยและกิเลสอัตตาตัวตนพอกหนามันก็ไม่อาจเรียกว่าดี ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าอยากทำโลกนี้ให้เป็นสวรรค์บนดินก็แค่ละชั่ว นั่นก็เรียกดีที่หนึ่งแล้ว
แต่มนุษย์ปัจจุบันนี้ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนอาจารย์ก็เห็นมานักต่อนักแล้ว ดีก็ทำแต่ชั่วไม่ละ มันก็เรียกว่าดีได้อย่างถ่องแท้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกันถ้าศิษย์ทำดีขนาดไหนแต่ถ้าศิษย์ยังชั่วละไม่ได้ ก็ไม่อาจเรียกว่าคนดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบนดินจึงเป็นได้ทั้งสวรรค์และนรก อยู่ที่เรากระทำและอยู่ที่เราคิดถูกหรือไม่ อย่างที่เรามักรู้กันว่าคิดดีขึ้นสวรรค์คิดชั่วลงนรก  แล้วเราคิดดีหรือคิดชั่ว (คิดดี)  ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามว่า เมื่อคิดดีขึ้นสวรรค์คิดชั่วลงนรก แล้วธรรมะอยู่ตรงไหน ตอบได้อาจารย์อยู่ต่อ ตอบไม่ได้อาจารย์กลับดีไหม ลองทดสอบภูมิปัญญาของศิษย์ ในเมื่อคิดดีขึ้นสวรรค์คิดชั่วลงนรก
แล้วถ้าพ้นจากความคิด ธรรมะอยู่ที่ไหน (อยู่ที่การปฏิบัติธรรม ธรรมะอยู่ในใจ ธรรมะอยู่ในทุกๆ ที่ ที่เราเข้าใจโลกนี้)  ใช่หรือไม่ เราก็เป็นธรรม เขาก็เป็นธรรม คิดดีขึ้นสวรรค์ก็เป็นธรรมะ คิดชั่วลงนรกก็เป็นธรรมะ แต่ธรรมะแท้มีหนึ่งเดียวที่นำพาพ้นทุกข์ นั่นคือ (อยู่ที่การกระทำความดีเรียกว่าธรรมะ)  คนที่ปฏิบัติไม่ดีเขาเรียกว่าอธรรม (ธรรมะอยู่ในตัวเราเอง)  ตอบแค่นั้นถูกไหม
ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมอยู่ทุกๆ ที่ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ธรรมะที่ปฏิบัติดียังไม่ได้ทำให้เราพ้นทุกข์ ธรรมะที่ปฏิบัติไม่ดียังทำให้เราต้องทุกข์แล้วทุกข์เล่า แต่ธรรมะทางสายกลางที่เป็นหนึ่งเดียวแล้วทำให้เราพ้นทุกข์คือ คิดดีไปสวรรค์ คิดชั่วลงนรก พ้นจากความคิดไม่ยึดติดสิ่งใดเรียกว่า “สภาวธรรมอันเป็นกลาง” จริงไหม ทำดีก็ยังมีทุกข์ของคนดี ทำชั่วก็ยังมีทุกข์ของคนชั่ว หากพ้นจากความคิดดีคิดชั่ว เข้าใจความเป็นจริงและเป็นกลาง ไม่หวั่นไหวในสิ่งที่มากระทบและไม่เกิดอารมณ์ดีร้ายได้เสีย แต่สามารถรักษาความสงบเย็นอันเป็นกลางได้ นั้นไม่เรียกว่า “สภาวธรรม” (ธรรมะคือความว่างเปล่า)  แต่หากยังยึดมั่นถือมั่นก็ยังไม่มีธรรมะ (ธรรมะคือศีล สมาธิ ปัญญา)  ธรรมะคือศีล สมาธิ ปัญญา ใช่ไหม (ใช่,ไม่ใช่)  ธรรมะสามารถพูดได้หลายอย่างเช่น ธรรมะคือหน้าที่ ธรรมะคือกฎเกณฑ์ ธรรมะคือความจริง ธรรมะคือสรรพสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนเป็นธรรม และเราจะเจอธรรมได้ก็ต่อเมื่อเราต้องประพฤติปฏิบัติแล้วเจอกับตัวเอง
อาจารย์ถามหน่อยนะ คุณค่าของชีวิตมนุษย์ที่สูงที่สุดคืออะไร (การหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด)  ตอบได้ดี แต่ถึงเวลาเราก็มักจะมองว่าสิ่งนั้นไกลเกินเอื้อม วาสนาเราคงไปไม่ถึง แต่อย่างน้อยถ้าอาจารย์บอกว่าไปไม่ถึงแต่พยายามหาทางดับทุกข์และพ้นทุกข์ด้วยหัวใจที่สงบบ้างก็คงจะดี ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่น่าสงสารที่สุดและน่าเสียดายที่สุดในการเกิดเป็นคนคืออะไร (การไม่ปล่อยวาง, การชดใช้กรรม)  แค่น่าสงสารแต่ไม่น่าเสียดาย เพราะมนุษย์เกิดมาพร้อมกับกรรม คุณค่าของมนุษย์ที่สูงสุดคือการหาทางดับทุกข์
เกิดเป็นคนเรื่องที่น่าเสียดายและน่าเศร้าใจที่สุดคือ การตกเป็นทาสของอบายมุข ตัณหา กิเลส และหนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ตัวเองก่อ ฉะนั้นถ้าเราหมั่นพิจารณาเสมอๆ เราก็คงรู้แล้วว่า ทำไมเราถึงจะต้องศึกษาธรรมและเรียนรู้ธรรม แต่มนุษย์ไม่เคยคิดเลยจริงไหม (จริง)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจ้งพระนาม และเมตตาให้นักเรียนเล่นเกมยืนนั่ง)
นั่งแล้วชอบหลับถูกไหม (ถูก)  ยืนเป็นเพื่อนกันดีไหม ใครขาไม่ดีอาจารย์อนุญาตให้นั่ง แต่ใครขาดียืนเป็นเพื่อนอาจารย์ดีไหม (ดี)  มาเล่นเกมสักเกมหนึ่ง ถ้าอาจารย์บอกให้ยืน ก็ยืน อาจารย์บอกให้นั่งก็นั่ง ถ้ากลุ่มไหนทำช้าสักคนหนึ่งต้องรับผิดชอบยืนทั้งกลุ่มดีไหม (ดี)  บางครั้งคนที่มีปัญหาในสังคมเพียงคนเดียว ถ้าเราไม่ร่วมรับผิดชอบ เราเองจะสร้างปัญหาที่กลายมาเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่ได้  ฉะนั้นถ้าใครเป็นปัญหา อย่าเพิ่งกดขี่ อย่าเพิ่งทับถมเขา แต่ควรให้กำลังใจและให้โอกาส ปัญหานั้นจะไม่กลายเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่ถูกไหม (ถูก)  (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาหน้าชั้น)  สมมติอาจารย์บอกว่า เขาเตี้ย แก่ หง่อม แล้วทุกคนก็ดูถูก ดูหมิ่นเขา อย่างนี้เขาจะกลายเป็นคนดีในสังคมไหม (ไม่)  แต่ถ้ามีคนหนึ่งว่า แต่คนหนึ่งบอก เขาไม่เตี้ย ไม่แก่ ไม่หง่อม เราคือคนที่ให้โอกาสใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้ามีใครผิดสักคนอย่าว่าเขานะ ได้หรือไม่ (ได้)  เพราะเราคือคนให้โอกาสและจะไม่สร้างปัญหาเพิ่มในสังคม ด้วยน้ำมือเราเองถูกไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้เล่มเกมนั่งลง ยืนขึ้น)
ถ้าใครพลาดหนึ่งคนทั้งกลุ่มต้องยืนเป็นเพื่อนพระอาจารย์ ครึ่งชั่วโมงเอาไหม (เอา)  นั่งลง, ยืนขึ้น  ผิดไหม (ไม่ผิด) อาจารย์บอกแล้วอย่าปกป้องคนผิด ผิดแต่ผิดไม่หมด เพราะเขายังไม่ยืนเต็มที่ จำไว้นะศิษย์เมื่อไหร่ที่เราพบคนผิดพลาด ไม่ว่าเขาตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เราต้องยอมรับว่าเขาผิดอย่าไปปกป้อง แต่ฉันจะให้โอกาส ไม่ใช่ทับถม นินทา ว่าร้าย แล้วโลกจะมีคนดีไหม แต่กลายเป็นว่ามีแต่คนไม่ดีเพิ่มขึ้น เพราะว่าทุกคนไม่ให้โอกาส  ฉะนั้น สวรรค์บนดินจะเกิดได้ ไม่ใช่คนที่เอาธรรมะ ไปยึดติดดี แล้วต้องดีอย่างเดียว  ชั่วไม่ได้ อย่างนี้ไม่ถูกต้อง สวรรค์บนดินจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อเรายอมรับ ไม่ว่าเขาจะดี หรือร้าย ไม่ใช่ว่าร้ายแล้วไม่มีดี  ฉะนั้นแม้เราเจอคนดี ถ้าหากเกิดวันหนึ่งเขาร้าย เราก็อย่าไปโกรธเคืองเขา
ศิษย์จำไว้นะ เมื่อใดที่เรากล้าให้โอกาสคนผิดแล้ววันหนึ่งถ้าเราทำผิดคนจะให้โอกาสเรา แต่ถ้าศิษย์ไม่เคยให้โอกาสคนผิด เมื่อถึงเวลาศิษย์ผิด เขาก็จะไม่ให้โอกาสศิษย์เลย แล้วเราเคยให้โอกาสคนผิดบ้างไหม แล้วเราเป็นคนที่คอยเหยียบย่ำซ้ำเติมคนผิดไหม (เคย)  ต่อไปไม่ทำแล้วดีไหม ไม่นินทาไม่ว่า ไม่เขียนลงในเฟสบุ๊ก ไม่ด่าลงไปในไลน์ ใช่ไหม (ใช่)  สิ่งที่มนุษย์ขาดไปในชีวิตคือบางครั้งต้องรู้จักเงียบบ้าง การรู้จักนิ่งเฉยบ้าง ไม่รู้ ไม่ตอบ ไม่พูด มันก็ไม่ผิดอะไร  รู้แล้วตอบแล้วพูดบางทีมันก็ไม่ถูกจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าเราอยากอยู่ในโลกแล้วให้ปัญหามันน้อยๆ บางครั้งไม่พูดก็ไม่เสียหายอะไร แต่ถึงเวลาเราพูดหรือไม่พูด (พูด)
ในห้องนี้ทุกคนล้วนมีความรัก โลภ โกรธ หลง ใช่ไหม (ใช่)  ส่วนใหญ่มีทุกคนใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามว่า ความโกรธ ความเกลียดดีไหม (ไม่ดี)  ควรมีไว้ในจิตใจไหม (ไม่ควร)  แต่เรามีไหม (มี)  สมมติว่ามีคนๆ หนึ่งหรือตัวศิษย์เองถูกเพื่อนที่รักที่สุดแทงศิษย์ข้างหลัง ทำร้ายศิษย์จนเกือบยืนไม่ได้ โกรธ แค้นไหม เพื่อนที่ศิษย์รักมากที่สุดทำร้ายศิษย์ด้วยการแทงข้างหลัง และเอาสิ่งที่ศิษย์หามาด้วยกันเอาไปเป็นของตัวเองหมด และทำให้ศิษย์เหมือนกลายไปเป็นคนล่มจมและเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ โกรธไหม เกลียดไหม แค้นไหม ศิษย์เอย มันเป็นธรรมดาของใจเรา มันต้องแค้น มันต้องโกรธ มันต้องโมโห และมันต้องเอาให้ถึงที่สุด เขาทำกับชีวิตเราได้ลงคอแล้วสิ้นศรัทธาความเชื่อถือ ความไว้เนื้อเชื่อใจ แล้วเวลาศิษย์แค้นจะแค่ยิงปังเดียวแล้วจบไหม (ไม่จบ)  ต้องยิงอีกเท่าไร ยิงรัวๆ พอหายโกรธก็คิดได้สำนึกได้ แล้วหากมีใครเดินผ่านมาเห็นเหตุการณ์จะยิงเขาไหม (ยิง)  อย่างนั้นอาจารย์ถามศิษย์ว่าความโกรธที่เรามีอยู่ในใจ เราไม่เคยฝึก เราไม่เคยควบคุม เราไม่เคยดูแล ปล่อยให้มีอยู่ในใจตลอด แล้วหากวันหนึ่งความโกรธที่ครอบงำจิตใจแล้วปล่อยให้ชีวิตศิษย์พังแล้วตายทั้งเป็น ศิษย์อยากมีไหม (ไม่อยาก)  อยากคิดจะควบคุมบ้างไหม (อยาก)  ศิษย์จะพยายามไม่โกรธ ศิษย์เป็นคนที่รักคนง่าย ดีไหม (ดี)  เจอใครหนูก็รัก ไม่โกรธใครเลย จะได้ไม่สร้างบาปไม่สร้างกรรม ดีไหม (ไม่ดี)  ฉะนั้นแปลว่ารักเกินก็ไม่ดี โกรธเกินก็ไม่ดี แล้วศิษย์เคยเห็นไหม  รักมากก็แค้นมากแล้วต้องเอาคืนให้มาก  ในเมื่อเอาคืนกับเขาไม่ได้ ก็เอาคืนกับลูกเขาเลย จริงไหม (จริง)
อย่างนั้นอาจารย์ถามนะ ศิษย์เคยทำร้ายใครข้างหลังไหม ศิษย์เคยรักใครมากแล้วทอดทิ้งเขาไหม แล้วก็ฆ่าเขาอย่างไม่ใยดี ถามใจลึกๆ นะ มีทุกคน อย่างเช่นเลี้ยงวัวมารักไหม (รัก)  เอาเขาไปชนแล้วแพ้โมโหไหม ชนแล้วแพ้ฆ่าเขาเลย แล้วเขาจะแค้นเราไหม (แค้น)  แล้วเขาจะเอาคืนกลับไหม (เอาคืนกลับ)  แล้วคนที่ศิษย์รักมาก เขาทำศิษย์ได้ลงคอ เขาโกหก เขาไปมีใหม่ เขาทำร้ายศิษย์ เขาหลอกลวงเอาเงินศิษย์ ศิษย์ทำใจได้ไหม     (ได้ให้เขาไปเลย)  ตอนนี้ศิษย์พูดได้เพราะยังไม่เจอกับตัว ถ้าศิษย์เจอกับตัวศิษย์จะไม่พูดกับอาจารย์แบบนี้
อาจารย์จึงอยากบอกว่า โลภ โกรธ หลงเป็นทางมาแห่งกรรม ซึ่งเรียกว่ากรรมดี กรรมชั่วและผลสุดท้ายก็กลายเป็นชะตากรรม แล้วก็กลายเป็นวิบากกรรม แล้วก็กลายเป็นเวียนว่ายตายเกิดชดใช้กรรม ใช่ไหม (ใช่)  แล้วโลภ โกรธ หลง เกิดจากอะไร ฉะนั้นการที่เราสามารถดับทุกข์ได้เราต้องรู้ต้นเหตุแห่งทุกข์ ถ้าเรารู้ต้นเหตุแห่งทุกข์ การจะดับทุกข์ก็ไม่ใช่เรื่องยากถูกหรือไม่ (ถูก)  มนุษย์โดยส่วนใหญ่ทุกข์เพราะ กิเลสที่ตัวเองสร้าง หนีไม่พ้นโลภ โกรธ หลง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อาจารย์มีวิธีที่จะทำให้เราเห็นโลภ โกรธ หลง และหยุดโลภโกรธ หลง ได้ด้วยตัวเราเอง และจะทำให้เราสิ้นกรรม สิ้นวิบากกรรม ศิษย์สนใจจะฟังอาจารย์ไหม (สนใจ)  และอยากลองไปทำดูบ้างไหม (อยาก)  มาดูนิสัยของความโลภก่อน เวลาเราจะโลภ เราจะอยากได้ ความโลภจะทำให้รู้สึกว่า อยากเอามันเข้าหาตัวใช่ไหม (ใช่)  อะไรก็ได้ขอให้มากๆ แล้วเข้ามาหาตัวเรียกว่า โลภ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเมื่อไรที่คิดอยากได้อะไร โอบกอดรัดเข้ามาหาตัวนั้นเรียกว่า โลภ โกรธเป็นอย่างไร อยากผลักไปไกลๆ เกลียด ไปเสีย หนีมันให้ไกลเรียกว่าโกรธ ส่วนหลง หลงตนทุกคนใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเวลาเราหลงตัวเอง บ่นแล้ว บ่นอีกถูกไหม (ถูก)  ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเมื่อไรมีอารมณ์อยากผลักไส นั่นแหละเรียกว่า โกรธ อยากได้เอามาเข้าหาตัว เรียกว่า โลภ ถ้าเมื่อไรวนเวียนไม่ไปไหน อยู่อย่างนั้นเรียกว่า หลง พอรู้จัก โลภ โกรธ หลงหรือยัง พอเห็นชัดแล้วนะ อาจารย์ถามหน่อยว่า โลภ โกรธ หลง มาจากไหน โดยส่วนใหญ่ก็บอกว่ามาจากใจเรา อะไรๆ ก็ใจหมดใช่ไหม (มาจากความคิด)  ตอบได้ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นโลภ โกรธ หลง เริ่มต้นมาจาก การเห็นอะไร แล้วรู้สึก แล้วคิด แล้วยึดติดถูกไหม (ถูก)  เห็นอะไรแล้วตัดสิน โลภ โกรธ หลงมันเริ่มต้นมาจากความรู้สึกดี พอรู้ดีก็เริ่มรู้สึกไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเริ่มรู้สึกชอบก็เริ่มรู้สึกไม่ชอบใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์สามารถหยุดโลภ โกรธ หลง ด้วยความรู้สึกเท่าทัน เราจะตกเป็นทาสของมันไหม (ไม่)  พอเห็นดี ดีแล้วไง หล่อแล้วไงใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์เคยโดนคนตำหนิแล้วเผอิญมีงานด่วน แล้วบอกเขาว่า เดี๋ยวก่อนๆ เคยไหม เห็นแล้วไม่คิดมันก็ไม่อยู่ในใจ แต่ไม่เห็นแล้วเอามาคิดมันก็อยู่ในใจ ฉะนั้นเห็นว่าหล่อขนาดไหนแต่ถ้าเราไม่คิด ไม่สนใจ ไม่ตัดสิน ไม่ยึดติด มันจะมีอารมณ์ขึ้นมาไหม (ไม่มี)  และถ้าเรายับยั้งได้ โลภ โกรธ หลง จะเกิดไหม (ไม่เกิด)  เมื่อโลภ โกรธ หลง ไม่เกิด กิเลสไม่เกิด กรรมไม่มี วิบากกรมไม่ต้องไปรับ จบไหม แล้วเราเหลือแต่ใช้กรรมเก่า นี่คือการปฏิบัติธรรม แล้วทำได้ไหม ฉะนั้นเมื่อเห็นใครด่าเรา อย่าเพิ่งตัดสิน อย่าเพิ่งโกรธ อย่าเพิ่งยึดติด อย่าเพิ่งคิด ช่างมันดีไหม (ดี)  เพราะว่าโกรธ ผลที่สุดก็คือนรกเผาใจ เพราะว่าหลงถึงที่สุดก็คืออบายภูมิ สัตว์เดรัจฉาน เพราะว่าโลภถึงที่สุดก็คือภพภูมิแห่งเปรต พญามาร ศิษย์จะเอาไหม (ไม่เอา)  เมื่อตัวตนเกิดขึ้น เอาง่ายๆ สมมติว่าเราเห็นแล้วถูกใจ คิดต่อไหม ไปต่อไหมต่อศิษย์ก็หนีไม่พ้นกรรมที่เรียกว่าตัวตน เมื่อมีความรู้สึกก็จะก่อเกิดเป็นตัวตน แล้วก่อเป็นภพ ชาติ ชรา มรณา พอเริ่มมีความรู้สึก แล้วความรู้สึกนั่นแหละเป็นตัวเราตัดสิน ฉะนั้นถ้ารู้สึกแล้วเราไปต่อ ก็จะก่อเกิดเป็นการกระทำที่เรียกว่า กรรมดี กรรมชั่ว แต่ถ้าไม่ไปต่อ ก็จะไม่มีกรรมต่อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  โลภ โกรธ หลง ก็จะไม่มีเพราะว่าเจ็บแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นมนุษย์สามารถหยุดยั้งโลภ โกรธ หลงได้ ถ้าเรารู้แก่นแท้ความเป็นจริงแห่งใจตน เขาไม่ได้ยั่วยวน แต่ใจเราหวั่นไหว เขาไม่ได้เซ็กซี่บาดใจ ฉะนั้นเหมือนคนกินเหล้า เหล้ามันตั้งอยู่ไม่เคยกินจะเปรี้ยวปากไหม (ไม่)  ปกติมันตั้งอยู่มันจะน้ำลายไหลไหม (ไม่)  ก็เพราะมันไม่เคยมีความรู้สึกสิ่งนั้นอยู่ในใจถูกหรือไม่ เหมือนกันถ้าเราไม่มีตัณหา ไม่มีกิเลส ไม่มีความใคร่ ไม่มีความรัก ฉะนั้นยากไหมแต่อาจารย์ไม่ได้ให้ศิษย์ไม่รู้สึกไม่รู้สา แต่รู้สึกจนเห็นชัดแล้วไม่เอาอีกแล้ว ถูกไหม (ถูก)  ลองถามคนที่แต่งงานถามสิ มีใครกวักมือให้มาแต่งงานไหม (ไม่มี)  คนในอยากออกคนนอกอยากเข้า ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราสามารถหยุดยั้งได้ทันเราก็สามารถตัดกิเลสที่เป็นต้นเหตุแห่งการสร้างวิบากกรรมได้ ไม่ยากใช่หรือไม่ แต่จะทำอย่างไรให้เราเห็นชัดจนอะไรๆ ก็ไม่อยากโลภ โกรธ หลง อีกต่อไป
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนหญิง 1 ท่านออกมายืนหน้าห้อง)
ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามนะ คนๆ นี้สวยไหม แล้วคนๆ นี้ขี้เหร่ไหม คนๆ นี้ดีไหม แล้วคนๆ นี้ไม่ดีได้ไหม (ได้)  แล้วคนๆ นี้เป็นโชคดีใช่ไหม (ใช่)  แต่บางทีก็คือโชคร้ายใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นชีวิตนี้เราอยากเสี่ยงโชคไหม เราอยากลองขึ้นสวรรค์แล้วตกนรกไหม (ไม่)  ฉะนั้นการศึกษาธรรมประเด็นหลักของการศึกษาธรรมคือเรียนรู้ธรรมเพื่อนำทางให้เราพ้นทุกข์ ไม่ใช่เรียนรู้ธรรมเพียงเพื่อเป็นคนดีแล้วเกลียดคนชั่ว ไม่ใช่ศึกษาธรรมแล้วเรียนความดีแล้วเอาความดีไปตีกรอบว่าคนอื่นไม่ดี ไม่ใช่ เราเรียนรู้ธรรมเพื่อสำรวจตรวจสอบใจตัวเองดูแลใจตัวเองเมื่อเราถูกใครๆ ก็ถูก ใช่หรือไม่ แต่เมื่อไรที่เรามองเขาผิด ใครๆ ก็ผิดได้ในสายตาเรา จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเกิดว่าเราเห็นเขาแล้วเราคิดแค่ว่าก็สวยดี ก็น่ารักดี แต่ก็ไม่เอา เหมือนสาลี่นี้อาจารย์ถามนะ กินแล้วจะแข็งแรงไม่ตายไม่จนเอาไหม ไหนใครเอายกมือขึ้น เอานะ เดี๋ยวอาจารย์ให้ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามนะ มีอะไรบ้างที่กินแล้วแข็งแรงแล้วไม่เจ็บป่วยมีไหม (ไม่มี)  กินแล้วมีแต่รวยไม่จนมีไหม (ไม่มี) ฉะนั้นถ้าไม่อยากโลภก็จงมองความจริง อย่ามองเอาแต่ประโยชน์ส่วนตนจนลืมความจริง ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นคนโง่ที่ถูกหลอกลวง ใช่ไหม (ใช่)  เพราะจะมีจะจนจะแข็งแรงจะอ่อนแอ ไม่ได้อยู่ที่สามีแต่อยู่ที่ (ใจ)  ตัวเราเอง ใช่ไหม อย่างนั้นถามใหม่ กินแล้วสามีจะรักสามีจะหลง เอาไหม (ไม่เอา)
ฟังอาจารย์พูดยากไหม (ไม่ยาก)  พอทำได้ไหม (ได้)  แต่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อศิษย์ต้องมีสติและปัญญารู้เท่าทัน อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะ ศิษย์ว่าความเจ็บปวดเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  ความพลัดพรากเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  พรใดก็ไม่ประเสริฐเท่ากับรู้จักประพฤติปฏิบัติตนให้ดีงามใช่ไหม (ใช่)  เดี๋ยวปีใหม่พระอาจารย์จะให้พรศิษย์ดีไหม (ดี)  ยังไม่ถึงเลย ให้ก่อนได้ไหม ศิษย์เอยดีหรือไม่ดีอยู่ที่เรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทำอย่างไรล่ะที่จะทำให้เรารู้สึกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เราไม่เป็นทุกข์ เราต้องพยายามเรียนรู้ทุกอย่าง เข้าใจก่อน จริงไหม ความเจ็บปวดเป็นทุกข์ไหม แล้วเราสามารถพ้นทุกข์ได้ไหม (ได้)  ทุกคนล้วนกลัวความเจ็บ แต่เราจะสามารถเอาชนะความเจ็บได้ก็ต่อเมื่อเราเห็นความเจ็บแล้วเราสามารถเอาชนะได้ ถ้าเราเอาแต่ตั้งแง่รังเกียจเราจะแก้ได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราจะเห็นคุณค่ามันไหม เราจะกลัวมันถูกไหม (ไม่ถูก)  แต่ถ้าเราสามารถเห็นคุณค่าได้ เข้าใจมันได้ เราจะอยู่กับมันอย่าง (มีความสุข)
แล้วความเจ็บดีอย่างไร ความพลัดพรากดีอย่างไร และถ้าเกิดว่าวันไหนเราต้องพลัดพราก วันไหนเราต้องเจ็บ และวันไหนเราต้องตาย เราก็จะได้ไม่ทุกข์กับมันเพราะเราเข้าใจแล้ว จริงไหม (จริง)  ศิษย์สามารถหาเจอไหม ความเจ็บป่วยดีอย่างไร ความเจ็บป่วยเป็นสัญญาณเตือนภัยว่าเรากำลังดำเนินชีวิตมีความผิดปกติในร่างกาย เจ็บก่อนแล้วค่อยตาย ดีกว่ายังไม่ทันเจ็บแล้วก็ตาย จริงไหม (จริง)  เพราะเมื่อไรที่เจ็บแปลว่าในร่างกายเรามีสิ่งผิดปกติ ในร่างกายเรากำลังดำเนินอะไรผิดปกติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาเราเจ็บป่วยเราจึงต้องพึงสังวรไว้สองอย่างคือ สำนึกขอขมา เพราะเราไม่รู้ว่าเราไปทำอะไรมา เราจึงต้องเป็นโรคนี้ โรคมีตั้งเยอะไม่เป็น ดันมาเป็นโรคนี้ ใช่ไม่ใช่กรรมที่เราสร้าง อย่างแรก ขอบคุณสำนึกแก้ไข อย่างที่สองดีใจยังไม่ตาย ถูกไหม ยังมีเวลาสั่งเสีย ยังมีเวลาเตรียมตัว ยังมีเวลาทำให้ดีที่สุด เรายังมีเวลาไม่เสียใจก่อนที่ตัวเองจะตาย ก่อนที่ตัวเองยังไม่ได้ทำอะไร ฉะนั้นควรกลัวความเจ็บป่วยไหม ควรจะดีใจที่ได้ป่วย จริงๆ ศิษย์ อย่าไปรู้สึกเกลียดยิ่งเรารักความแข็งแรงเท่าไหร่ ก็รับไม่ได้เมื่อเราเจ็บป่วย ทำให้เราได้เข้าใจความเป็นจริง อันเป็นธรรมดา และเมื่อเราเจ็บป่วย เราไม่ต้องทำอะไร เดี๋ยวข้าวถึง แกงถึง แล้วเราจะรู้เลยว่าใครรักเราจริง เราจะรู้เลยว่าเวลามาเยี่ยมเขา มาสมน้ำหน้าหรือมาเห็นใจ ถ้าอย่างนั้นจะทุกข์กับความเจ็บป่วยไหม (ไม่ทุกข์)
ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามต่อ ความพลัดพรากกับความสูญเสีย ดีไหม (ไม่ดี, ความพลัดพรากเป็นสิ่งที่ไม่ดี)  ตอบอย่างนี้ช่วยให้เราชื่นใจและรับกับความพลัดพรากได้ไหม (ไม่ได้)  จำไว้ความพลัดพรากทำให้เรารู้จักรักษาเวลา ถนอมเวลาและรักษาคุณค่ากับคนที่เรารักให้มากที่สุด และถนอมเวลากับคนที่ชิดใกล้กับเราให้ดีที่สุด จริงไหม ฉะนั้นความพลัดพรากไม่ใช่น่ากลัว แต่สิ่งที่น่าคิดคือเราทำดีที่สุดกับเขาหรือยัง เมื่อพลัดพรากเราจะไม่เสียใจ จะไม่เศร้าใจ ความพลัดพรากก็ดีอีกอย่าง คือทำให้เรารู้จักถนอมเวลากับคนใกล้ชิดให้ดีที่สุดจริงไหม ฉะนั้นเมื่อเจอความพลัดพรากดีไหม (ดี) จะทำให้เราย้อนไปได้ว่าเราจะต้องดูแลคนที่เหลือให้ดีที่สุด และทำเวลาวันนี้ให้กับเขาให้ดีที่สุด จริงไหม (จริง)  เพราะเมื่อไรที่เราพลัดพรากแล้วเราต้องเสียใจ แปลว่าเรายังทำไม่ถึงที่สุด ฉะนั้นจะมีอะไรไม่ดีถ้าจะต้องพลัดพรากในเมื่อเราทำดีที่สุดแล้ว เมื่อชีวิตทำดีที่สุดแล้วความตายน่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  แต่ความตายจะสอนให้เรารู้ว่าสักวันหนึ่งฉันมาจากดินฉันต้องกลับคืนสู่ดิน สักวันหนึ่งจิตฉันมาจากฟ้าฉันก็ขอกลับคืนสู่ฟ้า ฉะนั้นเมื่อถึงเวลาจะตายฉันก็ปลดปลงได้เพราะทุกวันฉันทำดีที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นไม่ว่าจะพลัดพราก ไม่ว่าจะเจ็บปวด หรือแม้กระทั่งความตายเราก็จะเข้าถึงธรรมได้ เพราะชีวิตเราปลดปลงและเราทำถึงที่สุดแล้ว
อาจารย์จะถามว่าความทุกข์ดีไม่ดี (เพราะเจอความทุกข์แล้วเราจะได้รู้จักความสุข) แล้วถึงเวลาเอาทุกข์ไหม (ไม่เอา)  พูดได้แต่ทำไมทำไม่ได้ล่ะศิษย์เอย เหมือนเวลาเราอยู่กับแฟนเรา ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทุกข์แต่ก็มีความสุข แต่ก็สุขไม่เต็มปาก เหมือนจะดีแต่มันอีกนิดหนึ่งก็จะดีกว่านะแต่ก็ไม่เคยผ่านสักที ใช่หรือไม่ ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์เรียกว่าสุข แท้จริงแล้วอาจจะสุขไม่จริง ทุกข์ไม่แท้ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจความเป็นจริงโลกใบนี้ไม่เคยมีสุขจริง ไม่เคยมีทุกข์แท้ นี่คือธรรมะ ฉะนั้นเราจะยึดอะไรกับความสุขและเราจะเกลียดอะไรกับความทุกข์ ในเมื่อก็ไม่เคยสุขจริงและก็ไม่เคยทุกข์จริง เหมือนเขาชมเราว่าสวยมีความสุขไหม (มีความสุข)  แต่สักพักหนึ่งกลับคิดว่า เขาชมหรือเขาประชดกันแน่ พอสักพักหนึ่งเขาด่าเรา ไม่เห็นสวยตรงไหนเลย ทุกข์ไหม แต่ถ้าเราคิดว่าฉันสวยเสียอย่าง เธอจะว่าอย่างไรฉันก็ไม่สนใจ ดีไหม (ดี)  ฉะนั้นโลกนี้จริงๆ อะไรเรียกว่าทุกข์แท้ อะไรเรียกว่าสุขจริง ถ้าเข้าใจเราจะยึดติดสุขไหมและถ้าเข้าใจเราจะหลงอยู่กับความทุกข์ไหม โลกนี้สุขไม่จริง ทุกข์ไม่แท้ใช่หรือไม่(ใช่) ฉะนั้นอาจารย์ให้ธรรมะสามข้อไว้เตือนใจศิษย์เวลาเจอเรื่องราวจะได้ย้ำเตือนใจ
๑. โลกนี้ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์พร้อม
๒. ไม่มีอะไรไม่เปลี่ยนแปลง
๓. ถึงที่สุดก็ไม่มีอะไรเป็นของเรา
ถ้าเตือนเสมอๆ ศิษย์จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ไม่มีอะไรสมบูรณ์พร้อม เมื่อวานนี้เขาด่า วันนี้เขาชม วันนี้เราได้กำไร พรุ่งนี้เราขาดทุน  มีสิ่งใดเที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  ถ้าคิดอย่างนี้เสมอเราจะเข้าใจธรรม แล้วเราจะปลดปลงได้ถูกไหม (ถูก)
(พระอาจารย์เมตตาให้บทเพลงพระโอวาท  ทำนองเพลง กอดฉัน   ชื่อเพลง คิดด้วยธรรมะ) 
ฉะนั้นเวลาท้อใจ เวลาทุกข์ใจจำบทเพลงนี้ไว้เตือนใจตัวเอง
 (นักเรียนในชั้นร่วมฝึกร้องเพลงพระโอวาทที่พระอาจารย์เมตตาประทานให้)
อาจารย์รบกวนหน่อยนะ ก่อนกลับให้ทุกคนเตรียมแก้วน้ำใส่น้ำในแก้วทุกคน จะให้ทุกคนเอาแก้วน้ำนั้นมา อวยพร ขอให้ทุกคนแข็งแรง ขอให้มีสุข มีสวัสดิภาพ แล้วเอาคำนั้นมารวมกัน คำอวยพรของอาจารย์คนเดียวไม่มีค่าเท่ากับคำอวยพรของทุกคนรวมกัน แล้วเอาน้ำที่เป็นคำอวยพรของทุกคนเทรวมกัน เราก็จะได้คำอวยพรของทุกคน เช่น ขอให้ทุกคนแข็งแรง ขอให้บ้านเมืองสงบสุข ขอให้ทุกคนคิดดีอย่าคิดร้าย ดีไหม และได้นำคำอวยพรของอาจารย์รวมไปด้วยดีไหม แล้วเอามาเทรวมกัน
ศิษย์เอ๋ยเราเกิดมามีบุญวาสนาไหม (มี)  อาจารย์จะบอกว่าคนที่เกิดมาไม่พร้อมสมบูรณ์ คนที่เกิดมาไม่มีบุญวาสนา อาจารย์จะบอกวิธีแก้ง่ายๆ เอาไหม (เอา)  ศิษย์เอ๋ยจำไว้นะ คนที่เกิดมาไม่มีพร้อมสมบูรณ์ ไม่มีบุญวาสนาเยอะ สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมได้ ถึงแม้เราจะเกิดมาไม่มั่งมี แต่รู้จักขยันหมั่นเพียร รู้จักอดทนอดกลั้น ชะตาชีวิตเปลี่ยนแปลงได้ แม้เราเกิดมาไม่มีบุญวาสนา ไปอยู่ที่ไหนใครก็ไม่รัก ไม่มีใครอุปถัมภ์ค้ำชู แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการรู้จักขยัน ซื่อตรง มีน้ำใจและสุภาพอ่อนน้อม ไปอยู่ที่ไหนใครก็รัก ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีคนรังเกียจ แล้วปัจจุบันนี้ถ้าเราไม่มั่งมี แล้วก็ไม่มีบุญ นั้นก็แปลว่าเราขี้เกียจ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นอยากเป็นคนมั่งมี แล้วมีบุญวาสนาเป็นที่รัก จงรู้จักสุภาพอ่อนน้อม มีน้ำใจ
ศิษย์รู้ไหม สิ่งที่มีค่ามากที่สุดคือพลังมุ่งมั่น พลังแห่งความศรัทธาถูกต้องและดีงามมันจะก่อเกิดปาฏิหารย์ได้ ใช่หรือไม่ ขอเพียงศรัทธาเชื่อมั่นในความถูกต้องและดีงามและปฏิบัติอย่างไม่ย่อท้ออะไรๆ ก็เปลี่ยนได้จริงหรือไม่ แต่กลัวอย่างเดียวมนุษย์ความเป็นคนยังไม่สมบูรณ์และหวังจะมีความเป็นธรรมคงเป็นไปได้ยาก ใช่หรือไม่
ขออวยพรด้วยพลังแห่งความดี พลังแห่งความศรัทธา พลังแห่งความเชื่อมั่นว่าขอให้ทุกคนสุขภาพแข็งแรง แม้แข็งแรงแล้วก็ขอให้หายเจ็บหายป่วย ขอให้การงานราบรื่นแม้ไม่ราบรื่นก็ขอให้ฟันฝ่าไปได้ด้วยความสงบร่มเย็น แม้จะมีทุกข์บ้างก็ขอให้พบเจอความสุข แม้ชีวิตจะเจ็บปวดบ้างแต่ก็ขอให้รู้จักเข้มแข็ง ฉะนั้นจงเชื่อมั่นในพลังที่ตัวเองตั้งใจและเอาพลังนั้นใส่เข้าไปในแก้วเยอะๆ อธิษฐานเยอะๆ เผื่อพรนั้นมันจะย้อนกลับมาที่ตัวเรานั้น ใช่ไหม สิ่งที่ตั้งใจให้ผู้อื่นนั่นแหละยิ่งให้เราก็จะยิ่งได้รับ แต่สิ่งที่เราหวังจากผู้อื่นแต่เราไม่เคยให้ เราจะไม่มีวันได้รับ ใช่หรือไม่ ใครตั้งจิตเสร็จแล้วก็ส่งคืน พี่เลี้ยงเทน้ำแล้วถือแก้วรวมกันแล้วจะได้ถือน้ำได้เยอะขึ้น ผู้ปฏิบัติงานธรรมใครยังไม่ทำก็กลับไปทำด้วยนะ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนออกมาวงพระโอวาทซ้อน)
อาจารย์ถามใครตอบได้ก็ตอบ แล้วอาจารย์จะให้รางวัลได้ไหม (ได้)  อาจารย์ถามง่ายๆ โลกนี้หมุนตามใจเราหรือตามความเป็นจริง (ตามความเป็นจริง, ตามใจเรา)  ตามใจเราแน่ใจหรือ อยากให้เขายิ้ม เขายังไม่ยิ้มเลยจริงไหม (จริง)  อยากให้เขารัก เขายังไม่รักเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากให้พ่อแม่เข้าใจ เขายังไม่ค่อยเข้าใจเราเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นโลกหมุนตามจริงหรือหมุนตามใจ (หมุนตามความเป็นจริง)  แล้วเรามักจะไปตามความจริงหรือไปตามใจ (ตามใจ)  เราอยากให้โลกหมุนตามใจหรือหมุนตามจริง (หมุนตามใจ)  แล้วชีวิตเราอยู่กับความจริงหรืออยู่กับการตามใจ (ตามจริง)  ศิษย์เอยโลกหมุนตามจริงแต่ตอนนี้พระอาจารย์กำลังตามใจศิษย์ ใช่ไหม (ใช่)  คนมีบุญวาสนาเหมือนโลกหมุนตามใจ แต่ถ้าคนไร้บุญวาสนาโลกเหมือนหมุนตามจริง จริงไหม แล้วเรามีบุญพอไหม ถ้าอยากมีบุญจงรู้จักมีน้ำใจและรู้จักมีสัมมาคารวะ ใช่หรือไม่ (ใช่, อยากให้โลกหมุนตามใจ)  ถ้าไม่อยากทุกข์อย่าพยายามให้โลกหมุนตามใจ แต่จงกล้ามองโลกหมุนตามจริงแล้วเราจะไม่ทุกข์ จริงไหม (จริง, โลกหมุนตามจริง)  แล้วเรายืนอยู่บนความจริงไหม ตามใจมากก็ทุกข์มากจริงไหม (โลกหมุนตามจริง)  แล้วเราเคยเห็นความจริงของโลกบ้างไหม เห็นว่าวันนี้เช้า วันนี้มืด วันนี้ได้ วันนี้เสีย อยู่ที่เวลาเราเห็น เราจะเห็นแบบธรรมหรือเห็นเป็นกิเลสสร้างกรรม บางครั้งโลกหมุนตามจริงแต่บางครั้งเราก็สามารถหมุนตามใจได้ ฝืนได้ แต่จำไว้นะ มันฝืนได้ไม่นาน ฝืนอย่างไรก็ต้องกลับมาสู่ความจริง จริงไหม แล้วเราเรียนรู้ที่จะรับความจริงได้ไหม ฉะนั้นถ้าเราเรียนรู้รับความจริงได้เราจะไม่กลัวความแก่ ไม่กลัวความเจ็บ ใช่หรือไม่
ความจริงไม่เคยลวงตาแต่เรามักจะตาบอดกับความจริง เพราะมัวแต่หลงติดในสิ่งที่ตัวเองคิด (โลกแห่งความเป็นจริง)  แล้วเรายอมรับความจริงได้ไหม แม้ลูกกับสามีไม่ได้ดั่งใจนะ (พยายามทำให้ได้)  จะพยายามได้ก็ต่อเมื่อเราวางความคิดของตนและยอมรับความเป็นจริง ทำอะไรเลือกที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง มากกว่าทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง (ทำดีก็ต้องยอมรับ แต่ถ้าไม่ดีก็ต้องยอมรับเช่นกัน)  มันก็คือความเป็นจริง (มีทั้งสุขและทุกข์เราก็ต้องยอมรับทั้งสองอย่าง)  แต่อาจารย์บอกไว้ตั้งแต่ต้นศิษย์เอาความคิดตัดสินว่าสิ่งนั้นดี สิ่งนั้นไม่ดี แต่ถึงที่สุดอะไรดีไม่ดีจริง (ไม่มี แต่เราต้องพยายามยอมรับให้ได้)  ถ้ายังพยายามแปลว่าเรายังยึดติด แต่ถ้าเข้าใจความเป็นจริงจะไม่ยึดติด เพราะทุกสิ่งธรรมดาล้วนเป็นเช่นนั้นเอง แต่ที่ยังยึดติดก็เพราะว่า เมื่อเรายึดติดเราก็ตัดสิน เมื่อตัดสินก็จะมีดีมีร้ายมีทุกข์มีสุข จะหนีไม่พ้นวิบากกรรมที่เรียกว่ากรรมดีกรรมชั่ว แต่ถ้าเมื่อใดที่ศิษย์เห็นอะไรแล้วไม่ตัดสิน ยอมรับความเป็นจริง ว่าเขาจะแย่ขนาดไหนก็ไม่ใช่ไม่มีดี เขาจะดีขนาดไหนก็ไม่ใช่ไม่มีแย่ ฉะนั้นเมื่อเข้าใจทั้งดีและแย่ เราจะรู้สึกอะไรก็เฉย ไม่ใช่อยู่เฉยๆ นะ แต่เห็นชัดเจนจนไม่ได้ยึดติดว่าเขาจะต้องดีหรือไม่ดี ไม่คาดหวัง ไม่ผิดหวัง เพราะเห็นชัดแล้ว (อย่ายึดติดยึดมั่น) ใช่ อย่ายึดติดยึดมั่นไม่น่ากลัวเท่ากับอย่าพยายามเห็นอะไรแล้วชอบตัดสิน เชื่อไหมว่าเราเห็นอะไรปุ๊บใจเราคิดแล้ว แบบนี้ไม่เอา แบบนี้เอา จริงไหม แล้วเราสามารถรู้ทันแล้วสามารถหยุดได้ไหม ว่าแบบนี้เอาก็ได้ แบบนี้เอาก็ดี หรือแบบนี้ไม่เอาก็ได้ ไม่เอาก็ดี นี้ล่ะเรียกว่ารู้ทันใจจนสามารถหยุดกิเลสและไม่ก่อกรรมใหม่
อาจารย์บอกตั้งแต่แรก กิเลสมามันก็มาจากดี ใช่ไหม แล้วเมื่อดี ตัณหามันก็เกิดแล้ว เมื่อตัณหาเกิดมันก็ตามมาด้วย โลภ โกรธ หลง และเราก็ไม่จบสิ้นคือวิบากกรรม ถ้าชั่วขณะ เห็นอะไรเราก็ เข้าใจ รู้ทันมันจะมีกรรมต่อไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่คนอื่น แต่สิ่งที่น่ากลัวคือเรารู้ทันใจเราและเราหยุดใจเราได้ไหม หยุดใจได้ศิษย์จะได้ไม่ต้องสร้างกรรมใหม่ เมื่อกิเลสไม่เกิด กรรมไม่มี เมื่อกรรมไม่มีเราก็ใช้แค่กรรมเก่า แต่กรรมมันจะหมุนไปตามอะไร อาจารย์อยากจะบอกกรรมมันจะหมุนไปตามความเป็นคน ถ้าความเป็นคนขาดคุณธรรมกรรมมันจะมาไว ถ้าความเป็นคนดำรงคุณธรรมได้เที่ยงตรงกรรมมันจะไม่มี จริงไหม เหมือนง่ายๆ ถ้าเราเมตตาเรามีมโนธรรม เรามีสัตยธรรม ความเป็นคนเรามีครบจะมีกรรมไหม เมื่อความเป็นคนพร้อมสมบูรณ์กรรมที่เหลือก็คงจะเป็นอดีตแต่คงไม่ใช่ชาตินี้แล้ว ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวของมนุษย์มันไม่ใช่ความทุกข์ที่อยู่ตรงหน้า แต่สิ่งที่น่ากลัวของมนุษย์คือว่าเราไม่เคยรู้เท่าทันใจและหยุดยั้งมันให้ได้ จริงหรือไม่ เหมือนที่เวลาเรามองอะไร เราไม่เคยมองตามจริง เรามองตามใจ รักษาระยะให้มันดีเสมอต้นเสมอปลายไม่ได้เหรอ จริงไหม ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงเราจะมองตามความจริงไม่มองตามใจ เมื่อเห็นตามจริงก็เห็นธรรม แต่ถ้าเห็นตามใจก็เห็นกิเลสและวิบากกรรม ใช่หรือไม่ (หมุนตามจริงและตามใจ)
จริงๆ อาจารย์จะบอกว่าโลกนี้บางครั้งเหมือนหมุนตามจริง แต่บางครั้งบางคนมันทำไมมันประจวบเหมาะจะทำอะไรมันก็ได้ แต่ทำไมฉันไม่ได้ จริงไหม เหมือนที่อาจารย์บอก คนบางคนเกิดมาพร้อมบุญวาสนาแต่คนบางคนเกิดมาไร้บุญไร้วาสนา คนบางคนเกิดมาทำอะไรมันก็ขึ้น ทำอะไรมันก็รวย แต่พอเราทำมันจนๆ ขาดทุน ป่นปี้ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นเพราะอะไรก็ต้องหันกลับไปที่ตัวเราแม้เราไม่มีขอให้ขยัน แม้เราไม่ได้ก็ขอให้อดทนมีน้ำใจ รู้จักอ่อนน้อม รู้จักให้อภัย เดี๋ยวมันก็มีเดี๋ยวมันก็ได้ (ความเป็นจริงของเรา)  แล้วความเป็นจริงของเราคือตอนนี้ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยตอนนี้เราโชคดีหรือเราโชคไม่ดี เพราะอายุปูนนี้แล้วยังแข็งแรงอีก  ใช่ไหม ดีมาก โชคดีแล้วนะ รักษาบุญวาสนา ยิ้มเก่งๆ ทำบุญเยอะๆ มีน้ำใจกับคนเยอะๆ ศิษย์เอย อาจารย์ถามคนที่นั่งกระซิบ อาจารย์ถามหน่อย โลกหมุนตามจริงหรือโลกหมุนตามใจ (หมุนตามจริง)  แต่บางครั้งก็เหมือนหมุนตามใจใคร ถ้าอยากเรียนรู้ที่จะเข้าใจธรรมะ จงกล้าที่จะวางความคิดตนและยอมรับความคิดผู้อื่นหรือจงกล้าที่จะวางความคิดตนและยอมรับความจริง ใช่ไหม
มีใครอยากตอบอาจารย์บ้างไหมฝ่ายชาย (เห็นตามความเป็นจริง)  ความเป็นจริงก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นตรงนี้ ความจริงบางครั้งไม่ตามใจ ฉะนั้นเมื่อเจอสิ่งที่ไม่ตามใจเราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ,ความจริงหมุนไปตามโลก)  อาจารย์บอกว่า โลกหมุนไปตามจริง แต่ศิษย์ท่านนี้บอกว่า ความจริงหมุนไปตามโลก ศิษย์ช่วยอาจารย์คิดหน่อยว่า เขาพูดถูกหรือพูดผิด (ถูก)  ความจริงหมุนไปตามโลกถูกไหม (สัจธรรมของโลกคือเกิดแก่เจ็บตาย คุณความดี แต่ละคนมีความทุกข์ ความสุขเกิดจากตา หู ลิ้น กายใจ คนเราจะปล่อยวางได้ก็คือเมตตา มุทิตา อุเบกขา)  ศิษย์เอ๋ยพยายามเมตตา มุทิตา อุเบกขาก็ไม่พอ วางไม่ลง (แล้วต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา)  ศีล สมาธิ ปัญญา มีทั้งสามอย่าง เมตตา มุทิตา อุเบกขา บางทีก็วางไม่ลงถ้าไม่รู้จักพอ มันไม่ยากหรอกถ้ารู้จักพอสักที ไม่พอก็ไม่เคยได้ดี ถ้าชีวิตเจออย่างนี้ ศิษย์จะทนไหวไหมหนอ
(โลกหมุนไปตามใจ)  ตามใจได้ใช่ไหม แล้วศิษย์คิดว่า ศิษย์จะฝืนตามใจตัวเองได้นานแค่ไหน สักวันหนึ่งมันต้องกลับมาพบความจริง        ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้เรามีแรงหมุนตามใจได้ แต่สักวันหนึ่งศิษย์ก็หนีไม่พ้นความเป็นจริง ฉะนั้นอย่าลืมนะ ความจริงที่หนีไม่พ้นก็คือ เราจะเอาชนะทุกข์ได้อย่างไร เราจะฟันฝ่ากิเลสได้อย่างไร ในเมื่อเราไม่เคยคิดจะมีธรรมะอยู่ในใจจริงไหม (จริง,ถ้าเราเข้าใจความจริง โลกก็จะหมุนตามใจเราได้)  ตอบได้ดี ปรบมือหน่อย เหมือนอากาศร้อนแต่ศิษย์ดันใส่เสื้อหนาวอย่างนี้เรียกว่าอะไร (ไม่เข้าใจความจริง)
ศิษย์เอยศิษย์คนที่กำลังจะไปเป็นคนที่รับราชการ อาจารย์ขอฝากเตือนไว้อย่างหนึ่งนะศิษย์เอย เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ศิษย์ได้มันคือของประชาชน ฉะนั้นถ้าศิษย์ไม่สามารถรักษาหน้าที่ ไม่ซื่อตรงต่อหน้าที่ ศิษย์ก็จะเป็นคนที่เป็นขี้ข้าประชาชน และติดหนี้ประชาชน เงินหนึ่งบาทของศิษย์เท่ากับภาษีของประชาชนประเทศไทยทั้งประเทศ แต่บาปกรรมจะหนักกว่าคนอื่นเพราะจะเท่ากับจำนวนของประชาชนทั้งประเทศ แต่ถ้าศิษย์ถือความซื่อตรงรับผิดชอบ ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดดูแลทุกข์สุขประชาชนได้ดี ศิษย์จะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองเพราะเขาถือว่าเป็นคนของประเทศ คนจีนโบราณใครที่ทำงานให้ข้าราชการ ใครที่ทำงานให้ประชาชน เขาถือว่าเป็นคนที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีเทพคุ้มครอง ฉะนั้นเทพอยู่ห่างไม่เท่าไหร่ มารก็อยู่ห่างไม่เท่าไหร่เหมือนกัน ศิษย์อยากเอาเทพหรือเอามาร (เทพ)  ตัวอย่างที่ดีและตัวอย่างที่ไม่ดี มีให้เห็นอยู่ที่ศิษย์เลือกเอา ฉะนั้นจะเป็นขี้ข้าประชาชน หรือจะเป็นคนของประชาชนที่ประชาชนรักหรือจะเป็นหนี้ประชาชนอยู่ที่ตัวศิษย์ดำเนินชีวิต จริงไหม คนอื่นเขาหาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง เขาจะทำอะไรมันก็แค่บุญบาปของเขาแค่นั้นแต่ศิษย์หาด้วยเงินจากน้ำพักน้ำแรงคนทั้งประเทศ ฉะนั้นผิดนิดหนึ่งมันไม่ใช่บาปแค่หนึ่งเดียวแต่มันบาปเท่ากับคนทั้งประเทศ จริงไหม อาจารย์พูดเกินไปไหม อาจารย์พูดโกหกไหม ฉะนั้นอยากมีเทพคุ้มครองก็จงรักษาความซื่อตรงให้ศักดิ์สิทธิ์ จริงไหม
 (พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “วางได้ใจเบา”)
ศิษย์เอย เราทุกข์เพราะความคิดยึดติดแต่เราสามารถวางความคิดได้ใจเราก็โล่งโปร่งเบา จริงไหม แต่ถ้าวางความคิดไม่ได้เราก็หนักอึ้ง จริงไหม อาจารย์มานานแล้วเบื่อไหม อาจารย์ขอกลับได้ไหม
ร้องเพลงส่งอาจารย์ดีไหม (ดี)  จริงๆ อาจารย์ยังมีธรรมะมากมายอยากจะพูดกับศิษย์ ธรรมะไม่ใช่สอนให้ศิษย์แค่เป็นคนดีแล้วเกลียดคนชั่ว แต่ธรรมะสอนให้ศิษย์รู้จักนำพาตัวเอง เอาความดีไปช่วยผู้อื่น แล้วไม่เอาความชั่วไปตัดสินว่าใคร ธรรมะสอนให้เรารู้จักย้อนมองส่องตน ตรวจสอบตัวเองก่อนที่จะไปว่าคนอื่น เพราะเมื่อไรที่ว่าคนอื่น ศิษย์เคยได้ยินคำว่า   ผีเห็นผีไหม (เคย)  ว่าเขาน่าเกลียดแปลว่าเรานั่นล่ะน่าเกลียด ใช่ไหม ว่าเขาร้ายแปลว่าเรานั่นเองร้าย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นคนที่ปฏิบัติธรรมจึงรู้จักย้อนมองส่องตน ไม่ตรวจสอบไม่ว่าใคร ได้หรือไม่ (ได้)
จำไว้อีกอย่างหนึ่งนะศิษย์ ชีวิตมีทางเลือกเสมอ อย่าบอกว่าไม่มีทางเลือก แต่อย่าเลือกเอาแต่ตามใจตัวเอง จงเลือกที่จะวางความคิดตัวเอง แล้วมองความจริง และเราจะพบความสุข เพราะถ้าทุกคนตามใจตัวเองเราจะไม่มีวันพบสุข จริงไหม (จริง)  เพราะคนในโลกนี้ไม่ขาดก็เกิน ใช่ไหม (ใช่)  อยากให้พอดีมีไหม (ไม่มี)  อยากให้ก้าวหน้าดีอีกนิดหนึ่งเขาก็ย่ำอยู่กับที่ จริงไหม (จริง)  อยากให้เขาย่ำอยู่กับที่เขาก็เอาแต่ถอยหลังลงคลอง      จริงไหม (จริง)  แล้วเราทำอย่างไรได้ เราก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วทำใจ จริงไหม เหมือนทำแล้วอยากได้กำไรแต่ดันขาดทุน เราก็ได้แต่ทำใจ ศิษย์จำไว้นะปัจจุบันนี้ เรื่องราวในโลกล้วนน่ากลัวยิ่งขึ้น ฉะนั้นอย่าขายของหรือทำอะไรเพียงเพื่อหาเงิน แต่จงขายของเพียงเพื่ออยู่ได้ ปลูกต้นไม้ทำอะไรก็ตามจงปลูกเพื่ออยู่ได้ ไม่ใช่ปลูกเพื่อหาเงิน เพราะไม่เช่นนั้นศิษย์จะตาย เป็นสิ่งที่อาจารย์อยากบอก เพราะอนาคตไม่มีใครเดาได้ ฉะนั้นอย่าหวังเพียงเพื่อหาเงิน แต่จงหวังเพียงแค่อยู่
 (นักเรียนในชั้นร้องเพลงส่งพระอาจารย์ พระอาจารย์เสด็จลงมาเมตตาผู้ร่วมฟัง)
อาจารย์อยากให้กำลังใจ อยากให้รู้จักพูด อยากให้รู้จักคิด เหนื่อยไหม ไม่เหนื่อยนะ ศิษย์เอย ให้อาจารย์ตบหัวแต่ถึงเวลาก็ลืมอาจารย์      ให้อาจารย์ให้พรแต่ถึงเวลาก็ทำนิสัยดื้อเหมือนเดิมแล้วอย่างนี้มันจะช่วยอะไรได้ จริงไหม สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์คือนิสัยความเคยชินที่ไม่ยอมแก้ ใช่ไหม ศิษย์เอยเวลามีน้อยแล้วนะ ถึงเวลาบอกกับตัวเองสังขารคืนสู่ดินจิตขอคืนสู่ฟ้าอะไรๆ ก็ไม่เอาแล้วเพราะทำได้ดีที่สุดแล้ว แต่ถ้ายังทำไม่ดีที่สุดจงรู้จักปลดปลงปล่อยวาง ยึดบุญมันก็ทำให้เรากลับต้องไปเสวยบุญแล้วเราก็ต้องกลับมาเวียนว่าย แต่ถ้าบาปไม่ยึดเลย บาปไม่ทำ บุญสร้างแต่ไม่ยึดมันก็จะทำให้กลายเป็นกุศล กุศลช่วยชำระล้างกิเลสและความเป็นอัตตาตัวตน จะชำระล้างได้อย่างไรล่ะ ก็เมื่อทำแล้วสามารถกระชากตัวตนออกไปได้ กระชากนิสัยความเคยชินออกไปได้ ฉะนั้นศิษย์จงรู้จักควบคุมตัวเองให้ดี ถ้าทำอะไรแล้วสามารถปลดปลงตัวเองได้ ทำอะไรแล้วสามารถละลายกิเลสได้ สิ่งนั้นเรียกว่ากุศล สิ่งนั้นเรียกว่าทางบุญ แต่ถ้าทำแล้วยังยึดติดยังยึดมั่นยังหลง อย่างนั้นเรียกว่าบุญอันไม่บริสุทธิ์
ฟังอาจารย์เยอะแล้วจริงๆ คงไม่อยากได้ยินอาจารย์พูดหรอก คงอยากให้อาจารย์ตบหัวแล้วหายทุกข์หายโศกแล้วแข็งแรงๆ ใช่ไหม ตบแล้วตบอีกแต่ถึงเวลาก็ลืมอาจารย์ได้ลงคอ ถ้าไม่รู้จักปลดปลงไม่รู้จักปล่อยวาง แล้วจะวางโลกใบนี้ได้อย่างไร ถ้าไม่รู้จักเสียสละมาฟังธรรมแล้วศิษย์จะสร้างกุศลอะไร ชีวิตถึงที่สุดต้องคืนสู่ธรรม ทำให้ศิษย์คืนสู่ธรรมได้ จงรู้จักสละให้ จงรู้จักที่จะช่วยเหลือ จงรู้จักที่จะไม่กลัวลำบาก ถูกไหม ความทุกข์ในโลกนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว จริงไหม
มัวแต่ติดโทรศัพท์จนลืมยิ้มไปหรือไม่ในชีวิต ติดโทรศัพท์จนลืมพูดคำว่าขอบคุณ หรือยิ้มแย้มให้กับคนที่ดีกับเราหรือเปล่า ตั้งใจช่วยเหลือคนให้ดีที่สุดเท่าที่ชีวิตหนึ่งเราจะทำได้ เมื่อถึงวันหนึ่งเราต้องจากไป เราก็จะไม่กลัวความเจ็บ ไม่กลัวความตาย เพราะทำดีที่สุดแล้ว เพราะเต็มที่แล้ว แม้ใครจะว่า แม้ใครจะด่าทอให้เจ็บปวด แต่จิตใจที่ดีงามยังรักษาเอาไว้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง จิตใจที่อยากช่วยคนมั่นคงอยู่อย่างนั้น ต้องลงแรงให้เยอะหน่อย ลงแรงไม่อยากเลยใช่ไหม แค่ให้โอกาสตัวเองในการยื่นมือช่วยคน แค่ไม่นิ่งดูดายเมื่อคนเดือดร้อน
ในจิตใจตั้งใจบำเพ็ญนะ บางครั้งมันก็คือกรรมที่เราสร้างชดใช้ไป มุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีแม้อะไรจะเกิดขึ้น ศิษย์เอยอาจารย์ไม่เคยทิ้งศิษย์ขอเพียงศิษย์ศรัทธาในความถูกต้อง ศรัทธาเชื่อมั่นในความดี ความศรัทธานั้นแหละจะคุ้มครองศิษย์ แต่กลัวศิษย์เจอปัญหานิด ก็สิ้นศรัทธา เจอเรื่องนิดหน่อยก็หมดศรัทธาแล้วอะไรจะช่วยศิษย์ได้ ในเมื่อความดีศิษย์ยังสิ้นศรัทธา ฉะนั้นเชื่อมั่น ศรัทธาในความดีของตัวเอง ทำเพื่อลดละกิเลส ทำเพื่อช่วยผู้คน ถ้าทำแล้วช่วยคน ทำแล้ววางกิเลส ตัดกิเลสได้ ช่วยไปเถิด จริงไหม เพราะกิเลสทำให้เรามีกรรม เพราะมีกรรมจึงทำให้เกิดการเวียนว่ายไม่จบสิ้น แต่ถ้าสิ่งไหนทำให้เราสิ้นกิเลส สิ้นกรรม ทำไมไม่ทำกัน แค่ยั้งใจตัวเองให้ได้ หยุดใจตัวเองให้ได้ เสียสละให้มากๆ ลดอัตตาตัวตนให้เยอะๆ พูดแต่สิ่งที่ดี ทำแต่สิ่งที่ดี ได้ไหม
เข้มแข็งนะ ทำให้ได้นะ มุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีเพื่อคนข้างหลัง ดีสมกับที่อาจารย์ควรจะให้กำลังใจหรือยัง (ยัง)  คงต้องลาจากศิษย์แล้วนะ รักษาความเป็นคนให้มีคุณธรรมพร้อมสมบูรณ์ การบำเพ็ญธรรมก็ไม่ใช่เรื่องยาก อย่าไปผิดทางนะ ศิษย์เอยอาจารย์คงต้องไปแล้ว ทางมีให้เลือกเดินนะศิษย์ ทางที่นำพาให้พ้นทุกข์ ขอแค่เพียงศิษย์ทำดีไม่ยึดติด ความชั่วไม่ทำเลยดีที่สุด ไม่ต้องเป็นคนดีที่สุด แต่เป็นคนไม่เคยทำชั่วที่สุด นั่นแหละลูกศิษย์อาจารย์จริงไหม (จริง)  ไม่ต้องดีที่สุด ขอเพียงอะไรที่ชั่วศิษย์ก็ไม่ทำ นั่นแหละลูกศิษย์อาจารย์ ดีแค่ไหน แต่ชั่วยังละไม่ได้มันไม่มีหรอกศิษย์จริงหรือไม่ (จริง)  ความเป็นคนยังไม่สมบูรณ์แล้วศิษย์จะบำเพ็ญธรรมได้อย่างไร เมตตาก็ยังไม่มี มโนธรรมสำนึกที่รู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาปก็ยังไม่มี มีสัมมาคารวะต่อผู้อื่นก็ไม่มี แล้วเราจะเป็นคนที่ดีได้อย่างไร ฉะนั้นปฏิบัติธรรมเริ่มต้นที่ตัวเรา เมตตาคนไหม เมตตาผู้อื่นไหม รู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาปไหม เป็นคนที่พูดแล้วทำได้อย่างที่พูดได้ไหม เป็นคนที่รู้จักทำ รู้จักคิดอย่างคนที่ใช้ธรรม มีปัญญาไหม ถ้าทำได้ปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าความเป็นคนยังไม่สมบูรณ์ ศิษย์ไม่มีทางมีธรรมได้สมบูรณ์จริงหรือไม่
ศิษย์ทุกคนมีหน้าที่ อาจารย์ไม่เคยบอกว่าบำเพ็ญธรรมให้ทิ้งหน้าที่ขอให้ทำหน้าทีตัวเองได้สมบูรณ์ จะปฏิบัติธรรมมันก็ไม่น่าละอายใจจริงไหม ปฏิบัติความเป็นคนได้ดีพร้อม แล้วจะไปปฏิบัติธรรม มีหรือคนจะไม่เดินตาม ฉะนั้นถ้ามุ่งปฏิบัติธรรม จำคำอาจารย์สุดท้ายก่อนจาก “เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ประพฤติปฏิบัติต่อผู้คน สมบูรณ์ในคุณธรรม ไม่รู้สึกผิดนั่นแหละสมควรแล้วกับการเป็นผู้ปฏิบัติธรรม มีเวลาที่เหลือฉุดช่วยคนด้วยหัวใจที่มีแต่ให้” จริงไหม คงไม่ยากนะ อาจารย์คงต้องไปแล้วนะ ดูแลรักษากายใจตัวเองให้ดี อาจารย์ไม่อยากร้องไห้ เพราะมันไม่มีประโยชน์ แต่อาจารย์อยากเห็นศิษย์เข้มแข็ง กล้ารับความจริง เพราะชีวิตข้างหน้าอยู่ที่วันนี้ศิษย์เลือกทำ ฉะนั้นอะไรจะเกิดอย่าโทษคนอื่น แต่จงหันกลับมามองตัวเองว่า ใช่ไม่ใช่เพราะตัวเองทำตัวเอง ขอฟ้า ขอดิน ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่สู้ขอใจตัวเองให้ซื่อตรง ยุติธรรมจริงหรือไม่ (จริง)

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “วางได้ใจเบา”

    สิ่งใดสมบูรณ์บ้างหนา ผันเปลี่ยนทุกคราทุกสิ่ง
ครอบครองสิ่งใดได้จริง หลงวิ่งตามยึดทุกข์ใจ

    สิ่งที่หนักคือตัวตนยึดถือ ทุกข์ที่ยื้อคือความคิดติดมั่นหมาย
เพียงยอมรับความจริงทางเป็นไป ดีกว่าฝืนยื้อไว้ดั่งใจตน

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2561

วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2561

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

2561-11-17 สถานธรรมถงซิน จ.ราชบุรี




西元二〇一八年歲次戊戌十月十日                                      仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๑                   สถานธรรมถงซิน จ.ราชบุรี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
  ความสงบกับปัญญาอาศัยกัน          สงบพลันปัญญาพาแจ่มใส
ขาดสติขาดธรรมพลันวุ่นวาย            ฝึกนิ่งได้ในธรรมเถิดบังเกิดคุณ
                                เราคือ
   หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                  ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
  ตาดูหูฟังเรื่องไม่จำเป็น                 จงมองเห็นธรรมในทุกทุกสิ่ง
ไม่วิ่งตามแหละปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง      คนรู้จริงนั่นตามชะล้างใจ
มีปัญญามีสติให้เท่าทันกัน                จงอยู่ให้รู้ทันความคิดได้
มิตรบ่นเตือนสอนวางไว้ในใจ             ดีอย่างไรธรรมคอยตัวเองขัดเกลา
ไฟกองเล็กแค่นั้นดับไม่ลง                 คนไม่ปลงนั้นฉันทาคติ[1]อยู่เหย้า
อกุศลแฝงในทุกตอนทุกข์ร้อนเผา        อคติเล่ามีตัวฉันจึงหนาวใจ
คนที่ฝึกไปสุขไปไร้ประตู                  คนที่รู้ไม่ไปไปที่ไหน
การบำเพ็ญเพียงแค่ลงแรงที่ใจ           เพียงเลิกยึดติดหลงได้ไฟบรรเทา
คนดีมั่นความดีไม่ขาดดี                   ถือคติไม่มีฉันมีแต่เขา
พบปัญหาในสิ่งไหนก็โทษเขา            ระวังคิดแทนเขาในทางต่างเดิน
                                                                        ฮา ฮา หยุด


[1] ฉันทาคติ ความลำเอียงเพราะความรักใคร่ชอบใจ เป็นอคติ ๑ ใน อคติ ๔  ได้แก่
ฉันทาคติ โทสาคติ ภยาคติ และโมหาคติ. (ป. ฉนฺท + อคติ).

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

ความสงบมีค่ามีความหมายยิ่งกว่าคำพูด พูดเยอะก็ไม่สู้รู้จักนิ่ง รู้จักสงบบ้าง แล้วชีวิตนี้ เราสงบได้จริงๆ ไหม รู้สึกจะวุ่นวายมากกว่าที่จะสงบเพราะภาวะแวดล้อมมีผลต่อจิตใจเรา เขาวุ่นเราก็ (วุ่น)  แล้วถ้าเขาสงบ (เราก็สงบ)  บางครั้งสิ่งที่ขาดหายไปในชีวิต อาจจะไม่ใช่เงินทอง อาจจะไม่ใช่ความสุข แต่บางทีคือความสงบที่รู้จักพอ พอได้ก็สงบได้ แต่ถ้าทำยังไงก็ไม่พอหาเท่าไรก็ไม่สงบ ถึงแม้พบความสงบ ใจก็ไม่สงบ จริงไหม (จริง)  ชีวิตนี้ขาดความสงบหรือขาดความสุข (ทั้งสองอย่าง)  ขาดทั้งสองอย่างเลยใช่ไหม มีไหมความสุข (มี)  มีบ้างแต่น้อยเต็มทีใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วความสงบล่ะ ก็ดูน้อยเหลือเกินใช่ไหม (ใช่)
โลกนี้น่าอยู่ไหม มองดูแล้วไม่ค่อยน่าอยู่เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  โดยส่วนใหญ่ถ้าเรามองแต่เรื่องร้ายๆ เรามองไปเจอแต่เรื่องไม่ดีแล้วรู้สึกว่าชีวิตนี้อยู่ยาก เราจะรู้สึกว่าโลกใบนี้ไม่ค่อยน่าอยู่ แต่พอเราเห็นเรื่องดีๆ เรารู้สึกว่า น่าอยู่ขึ้นมาทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเราเห็นคนดีๆ เรารู้สึกว่าชีวิตนี้ก็น่าอยู่ดีนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  โลกนี้จะน่าอยู่หรือไม่ สิ่งสำคัญคือมีความดีอยู่หรือเปล่า ถ้าบ้านไม่น่าอยู่ ถ้าชีวิตไม่น่าอยู่ ถามตัวสิว่า ลืมทำดีไหม ถ้าในบริษัทในที่ทำงานไม่น่าอยู่ ถามสิว่า เรามีดีไหม เพื่อนไม่น่าคบหรือตัวเราไม่น่าคบ ถามว่าเราเคยดีไหม โลกน่าอยู่เพราะยังมีคนดี ชีวิตน่าอยู่เพราะยังมีกำลังใจ ความคิดและการกระทำที่ดี ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อสักครู่ที่บอกว่าโลกไม่น่าอยู่ ชีวิตไม่ดีนั่นแปลว่าเราขาดดี หรือเราขาดการมองเห็นสิ่งที่ดี แล้วมองแต่สิ่งที่ร้าย ฉะนั้นก่อนจะบอกว่าโลกไม่น่าอยู่ คนไม่น่ารัก ถามใจเราเองก่อนว่า เคยทำดีให้โลกน่าอยู่ เคยมีดีให้คนเขาอยากรักไหม
สังคมนี้จะน่าอยู่ได้ ชีวิตนี้จะมีค่ามีความหมายได้ เราจะต้องรู้ความหมายของคำว่าดี หากชีวิตนี้ไม่เคยทำความดี จะมีความหมายเเละคุณค่าไหม แต่ถ้าชีวิตนี้ได้ทำดีเพื่อใครสักคนหนึ่ง ได้ทำดีแล้วแบ่งปันให้ใครสักคนหนึ่ง เรารู้สึกว่าชีวิตน่าอยู่ขึ้น บางทีใจเราตอนนี้รู้สึกหดหู่ โดดเดี่ยว รู้สึกแย่ เเละเมื่อมีใครทำดีกับเราสักหนึ่งอย่าง เเล้วเรารู้สึกว่าทำไมชีวิตเราถึงได้น่าอยู่ขึ้นมาทันที เหมือนกับว่าความดีของเขาได้ยกให้โลกนั้นสูงขึ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วทำไมเราถึงไม่ช่วยกันยก เเล้วทำไมเราไม่ทำดี ในเมื่อโลกน่าอยู่เพราะความดี คนมีค่า มีความหมายเพราะมีสิ่งดี
มนุษย์มักพูดว่าคนเราอยู่ได้ด้วยเงินทอง ถ้ามีเงินก็อยู่ได้ ใช่ไหม (ใช่) เเต่มีเงินไม่มีความสุขอยู่ได้ไหม มีเงินมีความสุขเเต่ไม่มีความดีเพื่อใคร อยู่ได้ไหม (ไม่ได้)  เรามีเงินเเล้วใช้แค่ตัวเอง เรามีสุขเเล้วยิ้มเเค่ตัวเอง ไม่ยิ้มให้ใครจะเหงาไหม (เหงา)  รอยยิ้มจะยิ่งมีความสุขได้เมื่อเรายิ้มแล้วคนอื่นยิ้มด้วย ความสุขจะยิ่งใหญ่เเละเป็นความสุขที่มีค่ามีความหมายเมื่อความสุขนั้นได้แบ่งปัน เงินคือสิ่งที่มีค่า แต่มีค่าที่สุดไหม (ไม่)  มีค่าเเละมีความหมายก็ต่อเมื่อเลี้ยงดูเราเเล้วยังรู้จักให้ผู้อื่น ความสุขนั้นจะมีค่ามีความหมายต่อชีวิต เเต่ถ้าความสุขนั้นเก็บไว้คนเดียว อยู่กับตัวเองคนเดียว หัวเราะก็คนเดียวแต่ถ้าเมื่อไรเราหัวเราะแล้วคนอื่นหัวเราะตามได้ ยิ้มแล้วคนอื่นยิ้มได้ สุขไหม มีความหมายมีค่าไหม จริงๆ แล้วชีวิตของเราอยู่ได้ด้วยความดี ความสุข คุณค่าและมีความหมาย ถ้าวันนี้ไม่อยากอยู่เป็นเพราะขาดความดี ขาดความสุข ขาดคุณค่า หรือขาดความหมาย มีสุขแต่ไม่มีค่า มีค่าแค่เพื่อตัวเอง แต่ไม่เคยมีค่าเพื่อใครก็ไม่มีความหมาย มีความหมายเพื่อตัวเอง แต่ไม่เคยมีความหมายเพื่อผู้อื่นก็ดูไร้คุณค่า ชีวิตอยู่ได้ด้วยอะไร (ความดี)
อย่าเพิ่งตั้งแง่รังเกียจเรา อย่ามัวยึดติดกับวิธีการรูปแบบ แล้วสงสัยจนลืมรักษาจิตใจอันบริสุทธิ์ อย่ามัวยึดติดกับรูปแบบหรือพิธีการว่าทำไมเป็นแบบนั้นเป็นแบบนี้จนทำให้จิตขุ่นมัว บางทีเรายึดติดกับรูปแบบว่าทำไมต้องเป็นแบบนั้นไม่เป็นแบบนี้ จนกลายเป็นว่าใจเราไม่สะอาด ไม่บริสุทธิ์ เพราะยึดติดกับความคิดว่า ทำไมธรรมะเป็นแบบนั้น ทำไมไม่เป็นแบบนี้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งสำคัญในการศึกษาเรียนรู้ธรรม ไม่ใช่อยู่ที่ภายนอก แต่อยู่ที่ภายในใจมากกว่า อะไรจะเกิดก็ช่าง แต่สิ่งสำคัญเราต้องรักษาใจให้บริสุทธิ์ ใจสะอาดความคิดก็สะอาด ชีวิตก็ปลอดโปร่ง แต่ถ้าจิตไม่สะอาด ความคิดสกปรก ความคิดมีแต่อคติติดลบ ชีวิตก็ขุ่นมัว ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้นักเรียนไม่เยอะแต่ก็อบอุ่นใช่หรือไม่ (ใช่)  มีคนดูแลล้อมหน้าล้อมหลัง นานๆ ทีจะได้เป็นคนสำคัญในคนหมู่มาก ดีใจไหม (ดีใจ)  แล้วเรารักษาความดีนั้นไว้หรือไม่ ทำตัวให้เขารักหรือทำตัวให้เขาชังหนอ
เราจะดีหรือร้ายแค่ไหน จงจำไว้เสมอว่าเราดีได้ไม่ใช่เพียงเพราะเราคนเดียว แต่ต้องมีคนอื่นเราจึงจะดี ฉะนั้นคนที่เรารักคนที่เรารู้จักก็สามารถร้ายได้ ไม่ใช่เขาคนเดียวที่ร้าย แต่อาจจะเป็นเพราะเรา ถ้าคิดอย่างนี้เราจะไม่เคืองโกรธคนที่ร้ายใส่เรา ถ้าคิดเช่นนี้เราจะไม่โกรธคนที่ไม่ดีกับเรา เพราะคนหนึ่งดีได้ต้องมีคนอื่นช่วยให้ดี ถ้าคนที่เรารู้จักเขาร้ายเราก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาร้าย อย่าเอาแต่มองด้านเดียว กลับมาถามตัวเองว่าเคยดีกับเขาอย่างสุดจิตสุดใจหรือยัง ว่าเขาร้ายตัวเราไม่เคยร้ายกับเขาหรือ ธรรมะไม่ได้สอนให้เราดีแล้วเกลียดร้าย ดีแล้วประณามคนร้าย แต่ธรรมะสอนให้เราดีก็อยู่กับคนดีได้ ร้ายเราก็สามารถดำรงตนและเปลี่ยนแปลงคนไม่ดีอย่างเข้าใจและไม่รังเกียจเขา
บอกว่าตัวเราเป็นคนดี เเต่เอาเเต่เเช่งชักหักกระดูกคนไม่ดี แบบนี้เรียกว่าคนดีไหม (ไม่ดี)  คนดีจริงๆ ไม่เคยกล่าวร้ายใคร เพราะรู้ว่าตัวเองก็อาจเป็นส่วนที่ทำให้เขาไม่ดีก็ได้ คนที่ชอบด่า ขี้โมโห ขี้น้อยใจ เอาแต่ใจดีไหม (ไม่ดี)  ตัวท่านเองยังบอกว่าถึงฉันจะขี้บ่น ขี้โมโห ขี้น้อยใจ แต่ฉันก็มีดีบ้าง ฉะนั้นที่ไปว่าคนอื่นไปนินทา เขาเองก็คิดว่าเขาก็มีดีบ้าง ใครในโลกไม่ดีมีไหม (ไม่มี)  ถ้าคิดได้อย่างนี้คนเราก็คงไม่ต้องโกรธใคร
ชีวิตมนุษย์ถูกสร้างขึ้นด้วยใจ ถูกกำหนดด้วยความคิด เเละถูกสร้างสรรค์ด้วยการดำรงตน ชีวิตถูกสร้างขึ้นด้วยใจเเละดำเนินไปตามความคิดเเละการกระทำของตน ฉะนั้นถ้าอยากรู้จักชีวิตก็ต้องหันมามองใจเเละความคิดตัวเราเอง อยากรู้จักตัวเราไม่จำเป็นต้องไปแบมือให้หมอดู ไม่ต้องไปดูไพ่ ไม่ต้องเอาตัวเลขมาวัดดู เเต่ให้ดูที่ความคิดเเละใจ เพราะเราเชื่ออย่างไรเราก็คิดอย่างนั้น เราคิดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น เราคิดดีหรือไม่ดีก็ดูที่เราคิด การกระทำจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับวันนี้เราได้ทำสิ่งไหน อยากรู้อนาคตก็ถามว่าปัจจุบันคิดและทำอะไร คิดดีก็เป็นดังคำที่พูดว่า จิตบริสุทธิ์ความคิดก็แจ่มใส ชีวิตก็โปร่งสบายเบาใจ แต่ถ้าจิตขุ่นมัว ความคิดก็ขุ่นมัวชีวิตก็มืดมน แล้วปัจจุบันนี้ชีวิตแจ่มใส ความคิดแจ่มใส หรือชีวิตขุ่นมัว ความคิดมืดมน ถ้าตอนนี้รู้สึกว่าใจมันไม่โล่ง ใจมันไม่สบาย เกิดจากความคิดหรือไม่ ฉะนั้นอยากเปลี่ยนชะตาอยากเปลี่ยนชีวิตก็ต้องเปลี่ยนที่ (ความคิด) และ (จิตใจ) ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใช่ไปเปลี่ยนชะตาชีวิตที่วัดไหม (ไม่)
เมื่อสักครู่เราคุยค้างไว้เรื่องหนึ่ง ถ้าเราอยากเข้าใจชีวิต อยากรู้จักชีวิต ก็ให้มองที่ความคิดกับมองที่ใจ เพราะความคิดเป็นตัวกำหนดชีวิต ฉะนั้นมีสองเรื่องวันนี้ที่เราอยากคุยกับท่านเพื่อเรียนรู้เข้าใจตัวเอง หนึ่งคือความคิด สองคือหัวใจ ชีวิตนี้เราใช้อยู่สองอย่าง ใช้ใจหรือใช้ความคิด เรามาดูความคิด ส่วนใหญ่เรามักจะคิดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น เชื่ออย่างไรก็ทำอย่างนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามักคิดว่าความคิดของเราถูก เรามักจะคิดว่าเรารู้ชัด แล้วก็รู้จริง ถ้าเรามั่นใจในความคิดว่าเราคิดแล้วมันต้องใช่ แต่ในโลกของความจริง สิ่งที่คิดก็อาจไม่เป็นดังที่คิด และสิ่งที่เราคิดว่าเรารู้ก็อาจจะไม่ใช่เรารู้จริงก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าชีวิตของท่านเอาแต่เชื่อว่าตัวเองคิดแล้วใช่ คิดแล้วจริง ผิดได้ไหม (ได้)  พลาดได้ไหม (ได้)  ทุกข์ได้ไหม (ได้) เจ็บได้ไหม (ได้)  แต่เมื่อถึงเวลาแล้วทำใจได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะคิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิดนั้นถูกและดีแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
เหมือนเราถามท่าน ตอนนี้ดอกไม้สวย ท่านมั่นใจว่าสวยตลอดไหม (ไม่) ถ้ามีตาเห็นก็สวยได้ตลอด แต่ถ้าไร้ดวงตาก็มีวันอับเฉา อยู่ที่ความคิดเรา สมมติว่าเราไปเจอคนหนึ่งกำลังตีเด็ก แล้วก็ทำหน้าโกรธ ตอนนั้นเรารู้สึกว่าคนนี้เป็นอย่างไร (ใจร้าย) รู้สึกสงสารเด็ก รู้สึกว่าผู้ใหญ่คนนี้ใจร้ายจัง แต่ถ้าเกิดเราย้อนไปมองเหตุการณ์เมื่อสองสามชั่วโมงที่แล้ว เราเห็นว่าเด็กคนนี้เกือบจะตกน้ำแล้ว แต่แม่ไปช่วยทัน พอช่วยมาได้แล้ว ใจตอนนั้นทั้งรักมากและโกรธมากก็เลยตีลูกไม่ยั้งเลย คนเป็นแม่น่าจะรู้ดี ที่ตีไม่ยั้งเพราะอะไร โมโหว่าถ้าอีกนิดเดียวถ้าแม่มาช่วยไม่ทัน ลูกจะเป็นอย่างไร แล้วความคิดตอนนั้นมันยังอยู่ในใจ ว่าลูกต้องตายแน่ ถ้าแม่ไปช่วยไม่ทัน ก็เลยโมโหตีไม่ยั้ง แต่ลืมไปว่าตอนโมโหตีไม่ยั้งตอนนั้นลูกอาจจะตายเพราะมือแม่ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นระวังความคิด เพราะความคิดนอกจากสร้างชีวิตแล้ว ความคิดของเรายังควบคุมคนที่อยู่รอบข้างให้เป็นไปอย่างที่เราคิด อย่ามั่นใจว่าสิ่งที่คิดนั้นใช่ เหมือนที่ท่านบอกว่า คนด่าคนอื่นเป็นคนร้าย คนว่าคนอื่นเป็นคนไม่ดี แล้วถ้าเกิดว่าตอนนี้ เราอยากให้ลูกได้ดี อยากให้สามีได้ดั่งใจ อยากให้ลูกน้องได้ดี ด่าเขาไหม แล้วจริงๆ เราไม่ดีไหม (ไม่ดี)  แล้วเวลาเราเห็นคนอื่นด่าเขา เราว่าเขาไม่ดีไหม เหมือนเวลาเราด่าเขา ถ้าไม่รัก ด่าไหม ถ้าไม่ห่วง บ่นไหม แล้วจริงๆ เราไม่ดีใช่ไหมเราเป็นคนใจดีแต่แสดงออกไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่จะทำให้ชีวิตเราเป็นอย่างไร อยู่ที่ความคิดกับการแสดงออก อย่าคิดว่าสิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราเห็น ต้องเป็นอย่างนั้นเสมอไป เพราะในความเป็นจริง อาจจะไม่เป็นดั่งที่เราคิด และเป็นดั่งที่เราเห็น ฉะนั้นต่อไปเจอคนด่า อย่าเพิ่งด่ากลับแต่จงรู้จักสงบ และใช้สติใคร่ครวญไตร่ตรอง อย่าเอาแต่ใช้ความคิดปรุงแต่ง มนุษย์มีธรรมเพราะรู้จักใช้สติ   ยั้งคิด มนุษย์ประเสริฐเพราะรู้จักใช้ธรรมยับยั้งอารมณ์ ชีวิตน่าอยู่เพราะรู้จักรักษาความดี และมองเห็นความดีต่อกัน แม้เขาจะแสดงออกไม่น่ารักก็ตาม ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นต่อไปถ้าเจอคนว่า เจอคนด่า อย่าจมอยู่แต่ความคิดและความรู้สึก อย่ามองว่าการด่านั้นไม่ดี เช่นถ้าเขาทำเราเจ็บ เขาทำเราทุกข์ ดีไหม (ไม่ดี)  จริงๆ มองไปมองมา เจ็บบ้าง ทุกข์บ้าง จึงได้รู้ว่า ใครรักเราจริง มีวันที่แย่บ้าง มีวันที่ไม่ดีบ้าง จึงรู้ว่าใครเป็นมิตรแท้ และจึงรู้ว่า ชีวิตเรายังมีคนที่น่ารักๆ คอยห่วงใยเราอยู่ ไม่เจ็บบ้าง ไม่ทุกข์บ้าง จะรู้หรือว่าใจเราเข้มแข็งหรือไม่ โดนด่าบ้าง โดนว่าบ้าง จะรู้ว่าเราดีแท้หรือดีไม่จริง ทองแท้ไม่กลัวไฟหลอม คนดีจริงไม่กลัวคำติต่อว่านินทา
ฉะนั้นต้องรู้จักนิ่งสงบ ไตร่ตรองให้ดี อย่าเอาแต่คิดฟุ้งซ่านเพราะไม่เคยช่วยให้เรารอดในโลกใบนี้ มนุษย์เป็นในสิ่งที่คิดเเละต้องรับผลในสิ่งที่ตนเองกระทำ ถ้าไม่อยากโดนด่ากลับ เราก็อย่าด่าตอบ ดีไหม (ดี)  ไม่ชอบให้คนด่าเรา เราก็อย่าด่าใคร ดีไหม (ดี)  เเต่เราก็ยังด่า ในเมื่อลึกๆ เราอยากได้ความสงบ ถ้าเขาวุ่นวายแล้วทำไมเราไม่สงบ ลึกๆ แล้วเราไม่อยากวุ่นวาย เราไม่อยากมีเรื่อง เเต่เมื่อเขามีเรื่องมาเเล้วทำไมเราจึงมีเรื่องกลับ ถ้าเรารักตัวเราเองจริง เเละมองเห็นชีวิตเเละความคิดตัวเราจริง เราจะไม่ทำใครวุ่นวาย เราจะไม่ทำให้ใครทุกข์ เเละเราอยากให้ทุกคนมีความสุขเเละสงบ จริงไหม
เมื่อเรามองเห็นจุดยืนของเรา เราจะทำใครวุ่นวายและเราจะด่าทอให้ใครเจ็บปวดไหม เมื่อสักครู่นี้เราดูเรื่องความคิด ตอนนี้เรามาดูเรื่องใจ สิ่งที่ชีวิตเราเป็นไปมีอยู่สองอย่างที่ควบคุมเราคือ “ใจกับความคิด” ถ้าไม่อยากรับผลของการกระทำก็จงอย่าทำอะไรที่ไม่คิดหรือคิดอย่างไม่รอบคอบ มาดูที่ใจ ใจของมนุษย์เวลาที่จะทำอะไร เรามักจะทำตามความรู้สึก เมื่อรู้สึกดีก็ทำ รู้สึกไม่ดีก็ไม่ทำ ใครทำให้เรารู้สึกดีเราก็ทำดีตอบ แต่ถ้าใครทำให้เรารู้สึกไม่ดีเราก็ร้ายตอบ ชีวิตเรามีอยู่สองอย่าง ไม่ตามความคิดก็ตามใจตัวเองที่รู้สึก ถ้าวันไหนเรารู้สึกดีเราก็ทำได้เรื่อยๆ แต่ถ้าวันไหนเรารู้สึกไม่ดี เราก็ไม่อยากทำอะไรแล้ว ชีวิตของมนุษย์ดำเนินไปด้วยความรู้สึก แล้ววิ่งไปตามความรู้สึกเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายนั้น เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  อยากให้รู้สึกดีมากๆ เมื่อดีแล้วก็ต้องดียิ่งขึ้น อย่างน้อยถ้าไม่ดีก็อย่าร้าย จนกลายเป็นว่าเราติดความรู้สึก ชีวิตอยู่ได้ด้วยความรู้สึก ถ้าไม่รู้สึกดีก็ไม่อยากรู้สึกร้าย จึงกลายเป็นคนติดดี จะทำอะไรก็ต้อง (ดี)  ร้ายได้ไหม (ไม่ได้)  จะทำอะไรก็ต้องสุข ห้ามทุกข์ การที่เราติดความรู้สึกนี้ดีไหม (ไม่ดี)  แล้วคนที่ต้องเจ็บกับความรู้สึกนั้นคือใคร (ตัวเราเอง)
ธรรมสอนว่าทางแท้มีหนึ่งเดียวคือทางสายกลาง ตึงเกินไม่ดี หย่อนเกินไม่ดี แล้วรู้ไหมว่าตึงเกิน ทางธรรมแปลว่าอะไร เกลียดมาก โกรธมาก ไม่พอใจมาก ไม่ชอบใจมาก นั่นแหละทางที่ไม่ถูก แต่อีกทางหนึ่งที่หย่อนเกิน ไม่ใช่ทางแท้ ไม่ใช่ทางที่นำไปสู่ความสุข นั่นก็คือชอบมาก พอใจมาก ดีใจมาก อีกอันหนึ่งตึงเกิน อีกอันหนึ่งหย่อนเกิน ดีไหม (ไม่ดี)  แล้วเราลืมทางสายกลางไปไหม ดั่งที่บอกว่าดีมากขึ้นสวรรค์ ร้ายมากตกนรก แล้วธรรมะนั้นอยู่ที่ไหน ตรงกลาง ดีก็ได้ ร้ายก็ไม่เป็นไร เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นก็พอ ใช่หรือไม่
เราลืมธรรมสายกลางไปไหม แล้วตรงกลางดีไหม (ดี)  แต่ไม่ค่อยมีใครกลาง ใช่ไหม (ใช่)  พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่าตึงเกินก็ไม่ดี หย่อนเกินก็ไม่ดี สุขเกินไปก็ไม่ดี ทุกข์มากไปก็ไม่ดี เพราะสองทางนี้เป็นทางที่ไม่สงบ เป็นทางที่มีมูลเหตุมาจากความหลง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เป็นทางที่มีมูลเหตุมาจากตัณหา ความอยากได้ใคร่ดี ทำอย่างไรที่จะทำให้ใจนี้มีพลังและสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้อย่างสงบสุข ทางพุทธศาสนาจึงสอนว่า ศีลคือความปกติ สมาธิคือความสงบ ปัญญาคือความรู้แจ้งเห็นชัด ไม่ว่าเจออะไร สงบและปกติได้ นั่นก็คือคนที่เดินทางธรรม แต่ศีลเราก็ไม่ครบ ใจเราก็ไม่สงบ ปัญญาเราก็เลยไม่เกิด ฉะนั้นทำอย่างไรให้ใจเรามีพลังพอที่จะรักษาความปกติ ความสงบได้ และมีปัญญาเห็นชัด สิ่งที่จะทำให้ใจมีพลังและใจมีอำนาจเหนือทุกสิ่งได้ ควบคุมชีวิตได้ นั่นคือ “สติ” เคยได้ยินไหม “สติคือชีวิต สติคือพลัง สติคือธรรม” ธรรมจะไม่สมบูรณ์แบบถ้าขาดซึ่งสติ สติเป็นมูลเหตุให้เกิดความระลึกได้ที่เรียกว่า “สัมปชัญญะ” สติเป็นมูลเหตุให้เกิดความสงบและนำมาซึ่งปัญญาความเห็นแจ้ง แต่มนุษย์มักทำอะไรขาดสติ ใช้แต่ความคิด และความคิดก็ง่ายที่จะไหลไปตามนิสัยอารมณ์ของใจ แต่สติช่วยยั้งใจให้ระลึกได้ เราจะมีพลังของใจได้ก็ต่อเมื่อนิ่งได้ นิ่งได้สงบก็เกิด สติก็มา ปัญญาก็มี แต่ถ้าทำอะไรแล้วนิ่งไม่ได้ สงบไม่ได้ สติมาไม่ได้ เราจะไม่มีวันสงบ จริงไหม
สิ่งที่ท่านฟังเเล้วนำไปหยั่งในใจบ่อยๆ ท่านจะเกิดปัญญาเห็นแจ้งในธรรมเเละตื่นรู้ด้วยใจ เจออะไรก็นิ่งไว้ เมื่อนิ่งสติจะเกิด เเต่คนปัจจุบันนี้ไม่เคยนิ่ง ร้ายมาร้ายตอบ แรงมาแรงตอบ ด่ามาด่าตอบ เราเป็นในสิ่งที่เราคิดเเละทำ อยากเปลี่ยนแปลงชีวิตก็ต้องเปลี่ยนที่ความคิด เพราะเรามีจิตที่มีพลังเหนือสิ่งอื่นใด เเละพลังแห่งจิตนี้จะนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้ ความทุกข์เหมือนกับการตี เวลาเราเจ็บ เราไหลไปตามความคิดว่าเจ็บ เเต่ถ้าเรามีสติคิดได้ ชีวิตไม่ใช่เกิดมาเพื่อเป็น เพื่อรู้ หรือเพื่อเห็น เเต่ชีวิตเกิดมาเพื่อเข้าใจ ไม่จำเป็นต้องเป็น เเค่รู้เเค่เห็น ทุกข์ที่โดนตีเเต่ไม่ได้ทุกข์ที่ใจ เหมือนกับเขาว่าเรา เจ็บที่ใจเพราะเราเอาคำพูดเขามาใส่ใจ ใครให้ของอะไรเราก็ตาม ถ้าเราไม่รับ ของนั้นย่อมคืนผู้ให้ ถ้าเราไม่เอามาใส่ใจ คำพูดนั้นจะทำเราเจ็บไหม ทุกครั้งที่ทำให้เราเจ็บเพราะเราเอามาใส่ใจ เพราะฉะนั้นชีวิตเราเกิดมาเพื่อเป็นเเละเรียนรู้เเล้วจะได้ไม่ต้องเป็น แค่รู้แต่ไม่เป็น เจ็บแค่ที่กายแต่ไม่ลงที่ใจ ทุกข์แค่ที่สังขาร แต่ไม่ลากไปทุกข์ที่ใจ นี่เรียกว่าฝึกจิตตัวเองโดยใช้ธรรมะ มีสติรู้เท่าทัน แม้กระทั่งความเจ็บและความคิดตัวเอง เหมือนกำลังจะคิดร้าย จะคิดว่าเขาไม่ดี ถ้าเราเห็นทัน และเรารู้จักตัวเองทัน ว่าเราอยากสงบ เราจะด่าเขาไหม (ไม่)  เราอยากสุขไหม (อยาก)  เขาอยากสุขไหม (อยาก)  แล้วเราด่าเขาจะสุขไหม (ไม่สุข)  เสียตรงที่คิดไม่ทัน สติมันตามไม่ทัน มานึกได้ตอนที่ด่าไปแล้ว เราก็ต้องมารับผลของการกระทำของตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราทุกข์ในขณะที่คนอื่นยิ้ม เราก็ยังพยายามยิ้มต่อได้ แต่ถ้าเรายิ้มในขณะที่คนอื่นทุกข์ เชื่อไหมว่า ยิ้มยังไงก็ยิ้มไม่ได้ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอย่าพยายามเอาทุกข์ไปให้ใคร เพราะถึงเวลาคนที่จะต้องรับผลของการกระทำ ก็คือตัวเราเอง อย่าลืมนะในโลกนี้ ทำให้คนยิ้มนั้นง่าย แต่ทำคนทุกข์แล้วให้กลับมายิ้มนั้นยาก
คุยกันสั้นๆ ง่ายๆ ยากไหม (ไม่ยาก)  พอเข้าใจไหม (เข้าใจ)  ยอมทนนั่งฟังได้ทั้งวัน ถือว่ามีความอดทนเป็นเลิศ ถือว่ามาฝึกสิ่งที่ยาก ฝึกในตัวเราเอง วันนี้เรามาผูกบุญกับท่านสั้นๆ เพียงแค่นี้ มีโอกาสคงได้ผูกบุญกันอีกนะ ลองศึกษาให้เข้าใจความหมายแห่งธรรมที่แท้จริง ธรรมที่แท้จริงไม่มีเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ แต่เป็นเรื่องที่สูงที่สุดก็คืนสู่สามัญ ธรรมที่แท้จริงคือความเป็นจริงอันธรรมดา เมื่อปฏิบัติแล้วสามารถอยู่กับผู้อื่นได้อย่างกลมกลืนสอดคล้องและไม่เป็นทุกข์ สามารถอยู่กับความทุกข์ได้อย่างเข้าใจ เช่นนี้เรียกว่ามีธรรมใช้ธรรม แต่ไม่ใช่มีธรรมแล้วจะต้องโชคดีไม่เจ็บป่วย มาฟังธรรมแล้วจะเจอแต่เรื่องดีไม่เจอเรื่องร้ายก็ไม่ใช่ เพราะธรรมคือความจริง ความจริงไม่ว่าดีหรือร้ายก็คือธรรม มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก


วันอาทิตย์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๑               สถานธรรมถงซิน จ.ราชบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
    การมองย้อนจำเดิมคือท้อ ถัดจากท้อคือความแปลกใจ
ติดที่เดิมนานหลาย เป็นทั้งทั้งที่รู้อยู่ เจ้าลองยุ่งแต่ปรับปรุงตัว
สติเป็นรั้ว ติเป็นคำครู ย้อนมองมากเท่าไหร่ไม่รู้ ให้สายก็ยังมอง
                                เราคือ
   จี้กงอาจารย์เจ้า           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา       ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคน มุ่งมั่นตั้งใจบำเพ็ญแน่วแน่จริงไหม

  เห็นเขามีเกิดความคิดไม่อิสระ         เกิดต้องดับทุกขณะไม่ห่างเหิน
ติดวัตถุสู่ความไปเป็นทาสเงิน            ปลงคือรู้เพื่อมาเจริญจิตสัมมา
ถึงธรรมละวางธรรมจึงถึงสุข             จิตพิสุทธิ์ได้คืนสู่บ้านเดิมหนา
เกิดเป็นคนไม่บำเพ็ญก็ไร้ค่า              มีปัญญาไม่ช่วยตนน่าเสียดาย
ไม่เคยคิดปลดปลงทำใจบ้าง              เมื่อเจอปัญหาก็ต่างรับไม่ไหว
ฝึกมีธรรมใช้ธรรมย้ำเตือนใจ             โลกไม่เที่ยงทุกข์เท่าไหร่จึงรู้กัน
ทุกข์เพราะอยากทุกข์เพราะหลงยึดติดถือ       มากทุกข์คือไม่เคยวางซึ่งตัวฉัน
ยึดมั่นหมายในตัวตนเป็นสำคัญ          ที่สุดนั้นไม่มีสิ่งใดของเรา
                                                                        ฮา ฮา หยุด

    การได้คิดหลับอยู่ข้างใน ทำจังได๋จึงสื่อสารกัน การจะปลุกใจนั้นกวดขันความมีปัญญา ที่ผ่านผ่านมาเป็นอย่างไร คำถามใดล้วนธรรมดา มีแต่คำถามเรียกปัญญาที่พาให้เกิดธรรม
เรื่องแข่งขันไม่เคยเป็นสอง เก่งช่ำชองเกินใครกว่าใคร สูงสุดคืนสามัญบ้างไหมผู้บำเพ็ญอยู่ รู้ไม่ยากตระหนักเป็นไหม เมตตามัดใจชนะทั้งหมู่
มีดีมากมักไม่รู้หนทางบำเพ็ญธรรม
*ศิษย์เอ๋ยชีวิตมีอันตราย พึงลดละและปลงได้ ทบทวนจุดหมาย
ความตั้งใจทุกวันยังเพิ่ม ทุกข์แรกแรกเหมือนติดชนัก แม้ตัวพักใจวุ่นวายกว่าเดิม ความหลุดพ้นต้องตั้งใจเสริมด้วยใจนักสู้
**การมองย้อนจำเดิมคือท้อ ถัดจากท้อคือความแปลกใจ
ติดที่เดิมนานหลาย     เป็นทั้งทั้งที่รู้อยู่ เจ้าลองยุ่งแต่ปรับปรุงตัว สติเป็นรั้วติเป็นคำครู ย้อนมองมากเท่าไหร่ไม่รู้ ให้สายก็ยังมอง (ซ้ำ *,**)

ทำนองเพลง : คู่คอง
ชื่อเพลง : พลันคิดได้

หมายเหตุ สามย่อหน้าแรกเป็นเพลงพระโอวาทพระอาจารย์จี้กงเมตตา ประทานให้ที่ สถานธรรมฮุ่ยอวี้ จ.ขอนแก่น วันที่ ๒๐-๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๑
              ย่อหน้าสุดท้าย เป็นกลอนนำพระอาจารย์จี้กง เมตตาประทานให้ที่ สถานธรรมถงซิน จ.ราชบุรี วันที่ ๑๗-๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

“การมองย้อนจำเดิมคือท้อ ถัดจากท้อคือความแปลกใจ ติดที่เดิมนานหลาย เป็นทั้งทั้งที่รู้อยู่”
เคยไหมเวลาว่างๆ ไม่ทำอะไร อยู่ๆ ก็นึกเรื่องเก่าๆ แล้วก็ถอนหายใจไม่น่าเลย ทำไมชีวิตฉันเป็นแบบนี้ แล้วก็แปลกใจตัวเองว่าทำไมถึงทำอย่างนั้นไปได้ แต่พอผ่านไปกี่ปีๆ เราก็ยังพลาดเรื่องเดิมๆ ผิดในเรื่องซ้ำๆ ไม่น่าใจร้อนก็ใจร้อน ไม่น่าขี้โมโหก็ขี้โมโห ไม่น่าพูดมากก็พูดมาก ควรจะใจเย็นให้เยอะๆ ก็กลายเป็น (ใจร้อน)  ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตามมารยาทของสังคม เป็นใครมาจากไหนก็ต้องบอกก่อนว่าชื่ออะไร ถ้าอาจารย์บอกว่าไม่มีชื่อล่ะ มีชื่อแล้วทุกข์  มีชื่อแล้วเจ็บ ไม่มีชื่อดีกว่า เวลาโดนใครว่า ว่าใครไม่รู้ เพราะไม่มีชื่อ แล้วจริงๆ เรามีชื่อ ดีไหม ลองคิดให้ดีๆ อันนี้ก็ของฉัน อันนั้นก็ของฉัน ยิ่งมีของฉันมากเท่าไรมันก็ยิ่งทุกข์มากเท่านั้น ถ้าจะบอกว่าอันนั้นก็ไม่ใช่ของฉัน อันนี้ก็ไม่ใช่ของฉัน แล้วจริงๆ มันของฉันไหม ฉะนั้นไม่รู้จักชื่อกันเลยดีไหม (ไม่ดี)  จริงๆ แล้วชื่อก็เป็นแค่นามสมติ ถึงเวลาแล้ว เราก็ต้องจากไป ชื่อนั้นก็ทำอะไรเราไม่ได้แล้ว จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าศิษย์อยู่ในโลกนี้ อยู่เหมือนคนไม่อยู่ มีเหมือนคนไม่มี เป็นเหมือนคนไม่เป็น แล้วเราจะไม่ทุกข์ เราอยากอยู่แล้วให้คนเห็นค่า ใช่ไหม (ใช่) ฉันก็เป็นนะ มาว่าฉันไม่เป็น ฉันก็มีตัวมีตนนะ ไม่เห็นตัวตนฉันหรือ แล้วทุกข์ไหม ในเมื่ออยู่เหมือนไม่อยู่ก็ได้ มีเหมือนไม่มีก็ได้ เป็นเหมือนไม่เป็นก็ได้ โง่หน่อย มีน้อยหน่อย รู้น้อยหน่อย ได้น้อยหน่อย ไม่เห็นเป็นไรเลย แม้กระทั่งไม่ได้เลย ก็ยังดีนี่ ใช่ไหม (ใช่)  ขอแค่เพียงสู้ ไม่ท้อ ไม่มีก็สู้ใหม่ได้ ไม่เป็นก็เรียนรู้ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจะไปกลัวอะไรกับคำดูถูก สำคัญที่ รู้ตัวเอง ว่าเราเป็นหรือไม่เป็น ได้หรือไม่ได้ สำคัญที่สุด ใช่ไหม (ใช่) คำพูดของคนก็เป็นเพียงลมปาก พลิ้วไปเท่านั้นเอง จริงไหม (จริง)  แต่ทำไมมันพลิ้วแล้วมันจุก โอ้ย! เจ็บเหลือเกินอาจารย์ ใช่ไหม (ใช่)  ใช่หรือ น่าสงสารนะ ไหนบอกว่าคำพูดก็เป็นเพียง (ลมปาก)  แล้วทำไมกลายเป็นมีดแทงอกได้ล่ะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ลองไตร่ตรองให้ดีว่าสิ่งที่อาจารย์เย้าหรือแหย่ศิษย์นั้น มันเป็นจริงหรือไม่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เป็นคำโป้ปดหลอกลวงศิษย์ไหม เอาง่ายๆ วันนี้อาจารย์มาขอสักบาทหรือยัง มาเอาอะไรศิษย์สักบาทไหม แล้วจะมาบอกว่าอาจารย์หลอกตรงไหน
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจ้งพระนาม)
ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคน มุ่งมั่นตั้งใจบำเพ็ญแน่วแน่จริงไหม
(มุ่งมั่น)  อย่างนั้นหรือ ยังไม่เข้าใจเลยว่าบำเพ็ญคืออะไร มุ่งมั่นจริงๆ แล้วหรือ
เมื่อศิษย์ตั้งใจบำเพ็ญแล้วเหมือนบำเพ็ญตัวคนเดียว ท้อไหม (ไม่ท้อ) เหมือนทำอยู่คนเดียว ดีอยู่คนเดียว ท้อไหม ล้าไหม (ไม่ท้อ, ไม่ล้า)  จริงนะ (จริง)  เห็นแอบนั่งร้องไห้ “เหนื่อยจริงๆ เลยอาจารย์กว่าจะได้สักคนหนึ่ง เหนื่อยมาก ไม่ไหวแล้วอาจารย์” เหมือนเราพยายามเป็นคนดีในโลก บางทีเราก็ล้า บางทีเราก็ท้อ บางทีเราก็เหนื่อยใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์อยากบอกศิษย์ว่า อย่าทำดีเพื่อตัวตน แต่ทำดีเพื่อความดี เพราะถ้าทำดีเพื่อตัวตนมันมีจำกัด มีความเหนื่อย มีความท้อ แต่ทำดีเพื่อธำรงรักษาความดีไว้ให้มีอยู่ในโลก ให้โลกน่าอยู่ อย่างนั้นมีค่ากว่ากันนะ ทำเพื่อให้ ไม่ได้ย้อนกลับมาเพื่อตัวเรา ทำแล้วมีแต่ให้ออกไป เราจะไม่เหนื่อย แต่ถ้าทำแล้วต้องถอนหายใจ ทำไมจึงไม่ได้ แบบนี้จะเหนื่อย จริงไหม (จริง)  ลองทำเพื่อหวังให้คนอื่นรู้สึกดี มันเหนื่อย มันมีจำกัด มันมีระยะเวลา “ไม่ไหวแล้ว ไม่เอาแล้ว” แต่ทำเพื่อธำรงรักษาความดีให้ยั้งอยู่ในโลก เพื่อให้คนอื่นได้แลเห็น เพื่อให้รุ่นหลังได้มองเห็นว่า แม้ใครไม่ดีฉันจะดีที่สุด ใครไม่ดีฉันจะดีจนตัวตาย ใครไม่เอาฉันจะเอาดี มันไม่มีคนอย่างนี้ในโลกใช่ไหม มีสิ เรานี่ไง ใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดว่าไม่มีมันก็ไม่มี ใช่ไหม (ใช่)  คิดว่ามันมีและมันต้องเป็นไปได้ และคือเรานี่แหล่ะ ใช่ไหม (ใช่)  จะโดนใครแกล้ง จะโดนใครด่า ยังไงฉันก็จะยังดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เริ่มต้นยากไหม (ไม่ยาก)  แต่ขอดีแบบไม่หวังผลนะ ดีเพื่อให้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะได้ไม่ท้อนะ
ตอนนี้เรามาคุยกันต่อหน่อย เรามีอะไรเล่นนิดหนึ่งนะ ถ้าตอบได้อาจารย์ให้นั่ง แต่ถ้าตอบไม่ได้ก็ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ ตกลงไหม (ตกลง)  ตกลงนะ เราตกลงกันแล้วนะ ตอบได้ได้นั่ง ตอบไม่ได้ (ยืน)  คำไหนคำนั้นนะ เกิดเป็นคนอย่าโกหกนะ โกหกนั้นตายตกนรกนะ อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย ถ้าพูดถึงธรรมเรานึกถึงอะไร
(ความดี)  ความดีใช่ไหม แล้วพอพูดถึงธรรม นอกจากนึกถึงความดีแล้วเรายังนึกถึงอะไรอีก
(สติและปัญญา)  สติและปัญญาใช่หรือไม่ แม้จะไม่ค่อยมาก็ตามใช่ไหม ถ้าพูดถึงธรรมเรานึกถึงคือ (ความดี)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าใครทำดีคนนั้นมี (ธรรม)  ถ้าใครทำไม่ดีคนนั้นไม่มี (ธรรม)  เวลาเราพูดถึงธรรม เรามักจะนึกถึงความดีถูกไหม อย่างเดียวหรือ
(คำสอนที่เกี่ยวกับทำความดี)  คำสอนที่เกี่ยวกับทำความดี วันนี้ไม่ต้องไปไหน อยู่แต่ตรงดีนี้แหละนะ ถ้าพูดถึงธรรมนึกถึง
(นึกถึงตัวเรา)  พูดถึงธรรมนึกถึงตัวเรา
(Everything is nothing at same time)  ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงมันไม่เที่ยง เขาตอบได้ดีนะ
นึกถึงความซื่อตรง นึกถึงว่าเราต้องเอาสิ่งนั้นมาปฏิบัติให้เกิดความดี ให้รู้จักสำนึกคุณ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งตอบยิ่งดีนะ อาจารย์ถามนะ คนที่ตอบจะนั่งแล้วปล่อยให้คนอื่นยืน หรือปล่อยให้คนอื่นนั่งแล้วตัวเองยืน (ให้คนอื่นนั่ง)  นี่แหละธรรมอยู่ตรงนี้ ไม่ได้อยู่ที่พูด แต่ต้องอยู่ที่ทำได้ด้วย พูดดีขนาดไหน แต่ถ้าไม่ลองทำเลยก็ไม่เรียกว่าธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เอยปฏิบัติธรรมไม่ใช่เอาตัวเองรอดแล้วลืมนึกถึงคนอื่นนะ
ส่วนใหญ่พอพูดเรื่องธรรม ศิษย์ก็จะนึกถึงคนดี การปฏิบัติดี ถ้าพูดถึงปฏิบัติธรรม ศิษย์ก็จะนึกถึงทำบุญทำทาน สร้างบุญสร้างทาน สร้างโบสถ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ก็เลยนิยามว่าการปฏิบัติธรรม การมีธรรมก็คือเป็นคนดี ทำบุญสุนทาน สวดมนต์และบริจาคเงิน ศิษย์จะสรุปได้แค่นี้ ในเมื่อทำดีแล้ว บุญก็ให้แล้ว ทานก็ให้แล้ว ทำไมยังไม่ดีอีกล่ะ
ปฏิบัติก็ปฏิบัติแล้ว ทำไมไม่เห็นสิ้นทุกข์สักทีเลย ปฏิบัติธรรมต้องเป็นคนดี แต่ศิษย์ลืมไปอย่างหนึ่ง ก่อนจะเป็นคนดีพระพุทธะสอนให้เราต้องรู้จักคำว่า “เสียสละ” ดีขนาดไหนแต่ถ้าไม่ละชั่วก็ไม่ดี แล้วศิษย์เป็นแบบไหน ดีก็ทำชั่วก็ทำ แล้วจะดีตรงไหน ถูกไหม (ถูก)  ปฏิบัติธรรมคือทำบุญให้ทาน บุญคือเครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ แต่ก่อนจะทำบุญเราก็โลภ แล้วจะได้อะไรไหม บุญนั้นยังประกอบไปด้วยความโลภ ความอยาก กิเลส หลักสำคัญของการศึกษาธรรมคือละชั่วบำเพ็ญบุญ ถ้าศิษย์ยังทำดีอยู่แต่ชั่วไม่ละ ศิษย์ก็ยังไม่ได้บำเพ็ญอะไร ถ้าศิษย์ทำบุญแต่ยังเต็มไปด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง ศิษย์ก็ยังไม่ถึงบุญ แต่ทางที่ดีที่สุดคือไม่ทำชั่ว นั่นแหละดีที่สุดแล้ว แต่มนุษย์บุญก็ทำ ด่าคนก็ยังด่า แต่บุญนี้กอปรไปด้วยการโกงเขา ทุจริต เจ้าเล่ห์ ไม่ซื่อสัตย์ทำแล้วเดี๋ยวค่อยไปทำบุญชดเชย ถูกไหม (ไม่ถูก)  ในทางกลับกัน ถ้าเขาอยากได้ก็ให้เขาไป เราอยากน้อยหน่อย เราได้ทำบุญกับเขาไหม (ได้)  แต่ศิษย์จำกัดการทำบุญ ต้องทำบุญที่วัด ต้องดีกับพระ ทำไมเราไม่ทำกับทุกคน ถ้าเขาอยากได้ เรายอมละเพราะเราไม่อยาก ตำแหน่งมาช้าหน่อย แต่ช้าแล้วมั่นคง ดีกว่าตำแหน่งมาไวแต่กลับรู้สึกกลัว
เงินมาช้าหน่อย แต่ช้าแล้วได้ใจทุกคน ดีกว่าเงินมาไว แต่ฆ่าทุกคน เพื่อให้ตัวเองอยู่รอด ใช่ไหม (ไม่ใช่)
เมื่อพูดถึงปฏิบัติธรรม อาจารย์อยากจะขอเน้นย้ำว่าเพียงแค่ศิษย์ไม่ทำผิด ไม่ผิดศีล ไม่ผิดบาป นั่นก็เรียกว่าคนดีแล้ว ขอเพียงศิษย์ละความชั่วทั้งหลายเสีย ศิษย์ก็เป็นคนดี แต่มนุษย์พยายามดีแต่ไม่ละชั่ว จึงไม่อาจเรียกว่าคนดีที่แท้จริงได้ พยายามทำบุญเพื่อจะได้หมดทุกข์ แต่ทำบุญเท่าไรก็ไม่สิ้นทุกข์ เพราะในการทำบุญนั้นยังเต็มไปด้วยกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง ถูกหรือไม่ ถ้าทำบุญแล้วอยากสิ้นทุกข์ ก็จงรู้จักละกิเลส ละความโลภ ละความโกรธ ละความหลง เราก็จะได้ไม่มีทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเริ่มต้นไม่ยากถูกหรือไม่ แต่เวลาทำจริงๆ ทำไม (ยาก)  เวลาทำจริงๆ ทำได้ไหม (ได้)  ก็เพียงแค่สิ่งที่มันผิดศีลขาดธรรม เราไม่ทำ อะไรที่ทำให้เราจิตหม่นหมองขุ่นมัว เราก็อย่าทำ  ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างเช่นเวลาเขาคิดร้าย เราก็คิด (ดี)  เวลาเขาคิดดีเราก็คิด (ดี)  ศิษย์อยากถึงซึ่งความสิ้นทุกข์บ้างไหม (อยาก)  เราอยู่ในโลกเราอยากหาทางสิ้นทุกข์ดับทุกข์บ้างไหม อาจารย์ว่าไม่อยากมากก็อยากน้อยใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าอาจารย์บอกว่าอาจารย์พอมีทางที่ทำให้ศิษย์ไปถึงซึ่งความดับทุกข์ ศิษย์สนใจไหม (สนใจ)  ถ้าศิษย์อยากดับทุกข์ในใจหรือดับทุกข์ในตัวเรา สิ่งสำคัญอย่างแรกอาจารย์ขออย่างหนึ่ง อย่าแก้คนอื่นให้แก้ที่ (ตัวเรา)  อย่ามุ่งไปเปลี่ยนคนอื่น แต่มุ่งเปลี่ยน (ตัวเรา)  ได้ไหม (ได้)  เราไม่มีหน้าที่ไปเปลี่ยนแปลงใคร เราไม่มีหน้าที่ไปแก้ไขใคร สิ่งสำคัญรักษาใจตัวเองให้ดี แล้วรักษาใจตัวเองอย่างไร อาจารย์ของ่ายๆ
๑.รับผิดชอบต่อหน้าที่ด้วยความซื่อตรงจริงใจ และกอปรไปด้วยความเมตตา เช่น ขายของด้วยความเมตตาไหม ขายของด้วยความซื่อตรงไหม พูดความจริงไหม เกิดเป็นคนรับผิดชอบต่อหน้าที่ ปฏิบัติต่อผู้คนไม่ผิดศีลขาดธรรม เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน มองผู้คนไม่ละอายใจ ฉะนั้นใครจะว่าเราผิด เรากลัวอะไร ถูกไหม (ถูก)  ในเมื่อดูตัวเองแล้วหน้าที่เราทำได้ดีแล้ว เมตตา ซื่อตรง จริงใจ มีพร้อม ฉะนั้นจะตายก็ตาย จะโดนด่าก็โดนด่า อย่างน้อยเกิดมาก็ไม่อายฟ้าไม่อายดิน มองหน้าผู้คนก็ไม่รู้สึกผิด ฉะนั้นกลัวอะไร กลัวอย่างเดียวไม่เคยทำ
๒.หมั่นศึกษาธรรมเพื่อเสริมสร้างสติปัญญา
๓.ทำความคิดเห็นให้ถูกต้อง เพื่อจะได้พบความสงบและดับทุกข์ 
หมั่นฟังธรรมเรื่อยๆ เพราะว่าจิตของศิษย์ไม่ใช่บัวที่พ้นน้ำที่ฟังธรรมแล้วจะเข้าใจชัดแจ้งเลย เราต้องยอมรับตัวเองว่าเรายังเป็นบัวปริ่มน้ำหรือบัวใต้น้ำ ติดโคลนด้วย ใช่ไหม (ใช่)  เราจะฟังทีเดียวแล้วทะลุปรุโปร่ง ฟังทีเดียวแล้วดับทุกข์ มันเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นหมั่นฟังบ่อยๆ เพื่อจะได้สั่งสมสติปัญญาและความคิดเห็นที่ถูกต้อง เพื่อจะได้นำพาให้เราไปพบกับความสงบ บ่อยครั้งที่ชีวิตขึ้นอยู่กับความคิด ถ้าคิดผิด วางใจผิด มันก็ดำเนินชีวิตผิดไปตลอดทาง ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าคิดว่าเราถูก เราดี เราเก่ง ใครพูดอะไรเราก็ไม่ฟัง แม้เอาพุทธะร้อยองค์มาโปรด ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ถ้าไม่เปลี่ยนซึ่งความคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วใครจะเปลี่ยนได้ นอกจากตัวศิษย์เอง ต้องตื่นรู้ด้วยใจตัวเองว่าฉันเข้าใจผิดไปแล้วนะ เมื่อไหร่ที่ยอมรับว่าฉันผิด ศิษย์ก็พร้อมจะเปลี่ยนแปลงชีวิต ถูกไหม (ถูก)
สามอย่างยากไหม (ไม่ยาก)  ไม่แก้ข้างนอก แก้ข้างใน ไม่ผลัดให้ใครทำ เริ่มที่เราทำก่อน ทำให้ถูก ทำให้ตรง ทำให้เที่ยง ทำให้ดี ทำให้งาม ใครว่าอะไร เราก็จะไม่หวั่นไหว โลกจะทุกข์จะสุข จะดีร้ายยังไง เราก็ไม่กลัวเกรง เพราะเราทำสิ่งที่ถูกต้องเที่ยงแท้แน่นอนแล้ว จริงไหม (จริง)  แต่ตอนนี้ยังไหวเอนอยู่ เดี๋ยวก็ดีบ้าง เดี๋ยวก็ไม่ดีบ้าง ถ้าศิษย์เริ่มต้นได้อย่างนี้ ยากไหม (ไม่ยาก)  อาจารย์มีข้อไหนที่บอกว่า ให้ศิษย์มาบวช ไม่ต้องอยากอะไรเลย แบบนั้นมีไหม ศิษย์ยังกลับไปเป็นคนปกติธรรมดา แต่เป็นคนปกติที่รักษาธรรมเป็นยอด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ศิษย์ก็บอก “อาจารย์ แต่อยู่ในโลก มันก็อดที่จะอยากไม่ได้นิดๆ หน่อยๆ ก็ยังดี” ใช่ไหม (ใช่)  เห็นเขาหล่อเห็นเขาดี ยังอยากไหม ศิษย์เอย สิ่งไหนที่อยากมากก็ (ทุกข์มาก)  อยากน้อยก็ (ทุกข์น้อย)  ไม่อยากเลยก็ (ไม่ทุกข์เลย)  ศิษย์ก็รู้ทุกคนนี่ แต่อยากไหม (อยาก)  ศิษย์เคยได้ยินไหม เมื่อไรที่อยาก สิ่งใดมีคุณอนันต์สิ่งนั้นก็มีโทษมหันต์ ก็รู้นี่นา แล้วอยากไหม ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า เวลาเราอยาก ยิ่งเราได้มากเท่าไร เราก็สุขมากเท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ได้มากก็เจ็บมากทุกข์มาก จริงไหม (จริง)  หวังมากก็ผิดหวังมาก ใช่ไหม (ใช่)  แล้วยังอยากไหม อยากเพราะชีวิตมันต้องเสี่ยงมันต้องลอง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนถือผลไม้มีแอปเปิล น้อยหน่า แคนตาลูป และสละ)
ลองเล่นเกมอะไรกับอาจารย์ดูสักนิดหนึ่งดีไหม ในความเป็นจริงของมนุษย์ เคยอยากได้อย่างหนึ่งแล้วพอไหม (ไม่พอ)  อยากได้อีกใช่ไหม ศิษย์ช่วยหยิบซ้ำเหมือนกับที่อาจารย์หยิบนะ ได้อีกอย่างหนึ่งพอไหม (ไม่พอ) เอาอีกไหม เอาอีก พอหรือยัง (ยัง)  พอไหม (ไม่พอ)  เอาอีกไหม (เอา) อาจารย์ถามต่อ เอาอีกไหม (เอา)
ศิษย์เอ๋ยชีวิตเวลามันอยากได้ มันไม่เคยอยากได้อะไรง่ายๆ อะไรยิ่งยากมันยิ่งอยาก ใช่หรือไม่ ชีวิตอยากได้อะไรง่ายๆ ไหม ที่ง่ายมันอยากได้แล้ว ลองยากๆ บ้าง ใช่ไหม เจ็บก็ขอเสี่ยงดู ใช่ไหม (ใช่)  มันจะเป็นสละหรือเป็นระกำอาจารย์ก็ไม่รู้ เอาอีกไหม (เอา)  เอาเถอะอยากให้ มันถอนตัวไม่ได้แล้ว มันเดินมาถึงนี่แล้ว อย่างไรมันก็ต้องเอา จริงไหม (จริง)  ชีวิตมันเป็นอย่างนี้นะศิษย์ บางทีเราอยากได้ พอได้ขึ้นมาจริงๆ ไม่เอา มันก็ไม่ทันแล้ว ใช่หรือไม่ แล้วพอมันเอามาแล้ว เอาอีกไหม (มันเอาไม่ไหว)
ชีวิตเราเป็นแบบนี้ อยากไปเรื่อยๆ แต่พออยากเสร็จแล้วบอกว่า “อาจารย์ถอยไม่ทันแล้ว ไม่เอาได้ไหม” ไม่ได้แล้ว แต่งมาแล้วชีวิตคู่ ได้มาแล้ว ทรัพย์สมบัติตามมาด้วยหนี้สิน ได้มาแล้วสามีพร้อมกับความรักและหนี้เวรกรรม ลูกได้มาแล้วพร้อมกับความรู้สึกสุขแล้วก็ทุกข์ ฉะนั้นก่อนที่เราจะอยาก คิดให้ดีๆ ดีไหม ศิษย์มักจะบอกว่า “ในเมื่อถอยไม่ได้ ก็ต้องแบกต่อไป” แต่ศิษย์เอยทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีทางของตัวเอง ศิษย์แบกเขาไปไม่ได้ อุ้มเขาไปตลอดชีวิตไม่ได้ ง่ายที่สุดคือวาง แล้วค่อยๆ จัดสรร ว่าจะทำกับมันอย่างไร อย่าไปแบกจนเต็มที่แล้วพยายามผลักออก อย่างนั้นจะทำให้เราไม่มีสติยั้งคิดในการจัดการ ถ้ารู้ว่าเราแบกหนักลอง วางลงสักครู่ แล้วหันกลับไปดูว่าเราจะจัดการอย่างไร จัดการไม่ได้ก็ปล่อยให้เขาเป็นไปตามทางที่เขาควรเป็น อย่าคิดแบกทุกอย่างไว้กับตัว ไม่อย่างนั้นศิษย์นั่นแหละคือคนที่ต้องทุกข์ ตอนนี้ทุกข์ไหม (ทุกข์)  แล้วทำไมในโลกศิษย์ต้องไปยึด ไปอยาก ไปโลภ แล้วก็ค่อยมาทุกข์จนเจ็บช้ำใจแล้วค่อยคิดวาง ทำไมไม่มองให้ชัด เห็นให้ชัดก่อนจะอยาก แล้วไม่ต้องมาทำให้ตัวเองต้องพยายามดับทุกข์
มองดูแล้วสวย มองดูน่ากิน ถ้าตอนนี้หิว ทั้งโต๊ะหนูก็อยากกินหมด ใช่ไหม (ใช่)  แต่พอถึงเวลากินนี่ก็ท้องแตกตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นก่อนที่จะอยาก ก่อนที่จะโลภ ถ้ารู้ว่ามันทุกข์ ทำไมไม่รู้จักพอประมาณ อย่างนั้นอาจารย์ให้เป็นรางวัล ดีไหม (ดี)  รู้ว่าแบกแล้วมันทุกข์ แต่ตอนนี้อยากได้ไหม (อยาก)
ฟังที่อาจารย์พูดพอเข้าใจบ้างไหม ยากไหม (ไม่ยาก)  เรารู้ขนาดนี้เราก็ยังอยากอยู่ ใช่ไหม เมื่อเรารู้แล้วว่าความอยากเป็นทุกข์ แต่เราก็ไม่เคยสกัดกั้นห้ามใจได้ อาจารย์มันก็แค่นิดๆ หน่อยๆ นะ แล้วศิษย์ก็เลยต้องมาทุกข์ ถึงที่สุดแล้วค่อยมาดับ แต่ถ้าอาจารย์บอกศิษย์ว่า ศิษย์ไม่ต้องไปพยายามดับมันเลยโดยที่ไม่มีมัน มันง่ายกว่าไหม ถ้ามีแล้วมันทุกข์ มีให้น้อยหน่อย ดีไหม แต่อาจารย์มันมีไปหมดทุกอย่างแล้ว แล้วทำอย่างไรให้มีแล้วมันไม่ทุกข์ล่ะอาจารย์ ยากไหม (ไม่ยาก)  ไม่ยากแต่ถึงเวลาทำใจได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าสมมติว่าเรามีแล้ว แล้วทำอย่างไรที่จะทำให้เกิดความทุกข์น้อยที่สุด
(ให้ทาน)  อะไรทำให้ทุกข์ก็ให้ทานไป สามีทำให้เป็นทุกข์ก็ทำทาน แต่เรายังทุกข์กับสามีอยู่ เราก็เลยไปทำทานแทนเพื่อดับทุกข์ (ปล่อยวาง) เพราะถ้าเราทำดีที่สุดแล้วสิ่งที่เราแก้ไม่ได้ก็คือเรื่องของเราแล้ว เราต้องปล่อยวาง แล้วเราต้องทำใจให้ได้ด้วยนะ โดยส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้เราคือ เราทุกข์ในเรื่องหนึ่งแล้วเราแก้อะไรไม่ได้ เราก็เลยไปพยายามทำบุญ เพื่อจะช่วยให้เราดีขึ้น ไม่ยึดติดความคิดเราหรือว่าความคิดเขาด้วย (ไม่ยึดติดสิ่งที่เราทำให้ทุกข์)  ไม่ยึดติดความคาดหวังของเรา และไม่ยึดติดว่าเขาจะเป็นอย่างไร ทำให้ได้นะ (ไม่ยึดติด)  (สิ่งที่มีอยู่ หากเสียไปก็ไม่เสียใจ)  การได้มาก็คือการเสียไป ยิ่งได้มากเท่าใดก็ต้องยิ่งรู้จักเสียไปมากเท่านั้น ฉะนั้นถ้าไม่อยากเสียก็อย่าอยากได้ (ไม่เกิดความโลภเตรียมพร้อมสิ่งที่เรามีอยู่)  ถ้าเราหยุดโลภได้หยุดอยากได้ หยุดหลงได้ ต้นเหตุแห่งบาปทุกข์และอกุศลก็จะไม่มี นั่นเรียกว่าทำดี แต่ในความเป็นจริงของมนุษย์ มักจะอยาก โลภ โกรธ ก่อนแล้วค่อยไปดับทุกข์เลยยาก วิธีที่จะทำให้ได้ดีที่สุด คือทำอย่างไรที่เราจะเห็นชัด จนเห็นแล้วก็ไม่คิดที่จะอยากอีกเลย เห็นชัดว่าแม้มาอีกกี่ทีก็จะไม่ทำให้เราทุกข์ใจอีกเลย ศิษย์ยังแก้ไม่ตรงจุด เพราะศิษย์ทุกข์อีกเรื่องหนึ่ง ศิษย์ก็เลยไปพยายามทำบุญอีกเรื่องหนึ่ง มันแก้กันไม่ได้เพราะเราทุกข์จากใจเราที่ไม่สามารถรับความจริงนี้ได้ ฉะนั้นวิธีที่จะแก้จำไว้นะศิษย์ โลกใบนี้เป็นโลกที่กลิ้งกลอกกลับกลอกหลอกลวง ในสิ่งที่ศิษย์คิดว่าดีที่สุดก็อาจจะไม่ดี ในสิ่งที่ศิษย์คิดว่าไม่ดี ก็อาจจะดีและบางทีที่คิดว่าดีก็อาจจะไม่ดี ใช่หรือไม่
ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์ต้องจำไว้อย่างหนึ่ง เมื่อไรที่ศิษย์คิดจะเล่นกับความอยาก และจะอยู่กับความอยากเพื่อไม่ให้ตัวเองทุกข์ ศิษย์ก็จะต้องจำไว้ว่าสิ่งที่ศิษย์อยาก มันกลับกลอกได้เสมอ วันนี้มันดี พรุ่งนี้มันอาจจะ (ไม่ดี) และวันนี้มันไม่ดี พรุ่งนี้มันอาจจะ (ดี)  ไม่ดีอีกก็ได้ ฉะนั้นถ้าศิษย์มีสติและมีปัญญาหยั่งรู้ความเป็นจริงในสิ่งที่ศิษย์อยาก แม้ศิษย์จะมีเป็นร้อยเป็นพันศิษย์ก็จะไม่ทุกข์ เพราะความอยากนั้นมันไม่ทำให้ศิษย์อยากแล้วต้องยึด แต่อยากอย่างคนที่วางใจเป็น ทำใจไว้แต่เนิ่นๆ เหมือนของมีวันหมดอายุไหม (มี)  อย่างนั้นอาจารย์ถามศิษย์หน่อย ความรู้สึกคนมีวันหมดอายุไหม (มี)  ความรู้สึกคนยังมีวันหมดอายุ วันนี้เขารักฉัน พรุ่งนี้ไม่รัก วันนี้เขาอยู่กับฉัน พ้นประตูไป ไม่ใช่แล้ว จริงไหม (จริง)  เหมือนเงินมันอยู่กับเรา มันกลับกลอกไหม (กลับกลอก)  มันหลอกลวงไหม (หลอก)  แล้วมันทำเราเจ็บแสบไหม มันไม่มีใครทำเราเจ็บเท่ากับตัวเรา เงินมันอยู่กับเรา มันมีเป็นร้อยแต่มันไม่เคยทำให้เรารู้สึกว่าเคยมีสักร้อย จริงไหม มีเป็นล้านแต่ไม่เคยรู้สึกว่ามันมีล้าน มีเขาอยู่แต่ไม่เคยรู้สึกว่าเขาอยู่กับฉันจริงๆ ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากเห็นชัด จำไว้นะโลกนี้มันกลับกลอกพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา วันนี้มันอยู่กับศิษย์ พรุ่งนี้ก็ไม่แน่ วันนี้ใช่เป็นของศิษย์ แต่ต่อไปอาจจะไม่ใช่ ถ้าคิดอย่างนี้สิ่งที่มีก็เหมือน (ไม่มี)  สิ่งที่ศิษย์คิดว่าใช่มันก็เหมือน (ไม่ใช่)  แล้วเราจะเจ็บไหม (ไม่เจ็บ)  เพราะศิษย์เตรียมใจไว้แล้วว่ามันไม่แน่ ฉะนั้นอาจารย์ถามหน่อยโลกใบนี้มันมีอะไรไม่กลิ้งกลอกไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งที่ว่าเที่ยงแท้ ยังไม่เที่ยงแท้ สิ่งที่ว่าแน่นอนยังไม่แน่นอน นั่นแหละความจริง
เมื่อไรที่มนุษย์ตื่นรู้และประจักษ์ชัดในหลักความเป็นจริง มนุษย์จะเข้าถึงความบริสุทธิ์และเป็นอิสระบนโลกใบนี้ ถึงจะอยากก็ไม่ทำให้ทุกข์ ถึงจะมีก็จะไม่ทำให้เจ็บปวด ศิษย์เอ๋ย หลักธรรมที่แท้จริง โลกนี้ล้วนไม่เที่ยงแท้ และในความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และถึงที่สุดมันก็คือความว่างเปล่า เมื่อไรที่มนุษย์ประจักษ์ชัดต่อหลักสัจธรรม และตื่นรู้ต่อความเป็นจริง เมื่อนั้น มนุษย์จะเป็นอิสระ ไม่ทุกข์อีกต่อไปบนโลกใบนี้ แต่จะมีใครที่เห็นทุกสิ่ง แล้วเห็นชัดจนรู้ว่า มันไม่เคยเที่ยง มันเป็นทุกข์ มันว่างเปล่า มีก็เหมือนไม่มี และถึงที่สุด เราก็แค่ยืมเขาใช้ และถึงที่สุดก็ต้องคืนเขาไป ฉะนั้นศิษย์เกิดมาเพื่อคืนสู่ธรรม หรือศิษย์เกิดมาเพื่อก่อเวรกรรม ความเป็นจริงของทุกชีวิต ล้วนบ่งบอกให้เรารู้ว่า เราต้องกลับคืนสู่ธรรม เรามาจากธรรม เราก็คืนสู่ธรรม แต่สิ่งหนึ่ง ที่ทำให้เราไม่สามารถ กลับคืนสู่ธรรม นั้นก็คือ ความมีตัวตน ยึดมั่นตน และก็สร้างกรรมเวร เพราะถึงเวลาอยู่กับเขาอย่างมีธรรม หรืออยู่กับเขาอย่างมีกรรม อยู่กับเขาอย่างคนให้ธรรมเป็นทาน หรืออยู่กับเขาอย่างคนสร้างวิบากเวรกรรม
ถามใจศิษย์เอง แล้วอนาคตจะสิ้นกรรมสิ้นทุกข์หรือว่าเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น ฉะนั้นจะสิ้นกรรมหรือคืนสู่ธรรม (คืนสู่ธรรม) ทำอย่างไร ศิษย์เอยเอาคำด่านั้นกลับมาพิจารณาทำความเห็นให้ถูกต้องและดับซึ่งทุกข์ได้จนค้นพบธรรม ไม่มีใครในโลกไม่โดนด่า ไม่มีใครในโลกที่ได้แต่รับคำชม ไม่มีใครในโลกที่มีดีแล้วไม่ร้าย มองเห็นความเป็นธรรมดาจนค้นพบธรรม ใครเคยทำได้อย่างนี้บ้าง (ไม่ได้)  พอเขาด่ามา ขอบคุณ ฉันตื่นรู้ในความเป็นจริงแล้ว ฉันเข้าใจในความเป็นจริงแล้วว่าชีวิตมันก็อย่างนี้ ขอบคุณจริงๆ เคยแบบนี้ไหม (ไม่เคย) เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร แต่เราจองเวรทุกครั้ง เขาด่าเราก็จดจำไว้แล้วเอาไปนินทาต่อ ผูกกรรมต่อ แล้วจำไม่ลืม นั่นแหละผูกกรรมเกี่ยวกรรมจองเวรจองกรรม เจอหน้าอยากด่าอีกไหม กลับไปด่าอีกเรียกว่าจองเวรจองกรรม เราเอาไปเล่าอีกไม่จบเรียกว่าจดจำไม่ลืมผูกกรรมกันต่อไม่ว่าภพไหนชาติไหน แล้วชีวิตเราเป็นแบบนี้ไหม
สิ่งสำคัญในการฝึกฝนปฏิบัติธรรม ศิษย์อย่ารอให้คนอื่นอ้าปากว่าเรา เราต้องกล้าว่าตัวเองก่อน เราต้องมองเห็นตัวเองให้ชัดก่อน แล้วศิษย์จะไม่โดนใครว่าเลย ทุกวันหมั่นตรวจสอบใจตัวเอง ทุกวันหมั่นมองตัวเองดีที่สุดหรือยัง ซื่อตรงหรือยัง จริงใจหรือยัง เมตตาหรือยัง ย้อนมองตัวเองเข้าบ่อยๆ ศิษย์จะไม่รู้สึกว่าใครเกินเลยไปเลย มีแต่คนที่เกินเลยคือตัวเราเอง ปล่อยปละละเลยตัวเอง อาจารย์ถามนะ ถ้าในโลกนี้ทุกคนมุ่งแต่จะแก้ไขตัวเอง ไม่คิดที่จะไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงใคร ทุกคนมุ่งแต่จะสำรวจเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่คิดจะไปเปลี่ยนแปลงว่ากล่าวใคร โลกนี้จะไม่ดีขึ้นเชียวหรือ แต่ปัจจุบันนี้ทุกคนมองแต่จะแก้คนอื่น ลืมแก้ตัวเอง มองแต่จะว่าคนอื่น แต่ลืมว่าตัวเอง
หลักสำคัญในการปฏิบัติธรรมที่ศิษย์ควรจำไว้ก็คือย้อนมองส่องตน เข้มงวดตนผ่อนปรนผู้อื่น “ว่าเขาร้าย ว่าเขาลวงหลอกก็เพราะเรานั้นร้ายและลวงหลอก” ว่าเขาเลวเราก็เลวนะศิษย์ ว่าเขาโกหกเราก็โกหก เราไม่เป็นอย่างนั้นเราก็ไม่รู้ชัดหรอก ฉะนั้นมองเขาเป็นพุทธะ มองเขาเป็นคนดี ดีไหม (ดี)  แล้วทุกวันนี้เห็นเขาเป็นพุทธะหรือเห็นเขาเป็นปีศาจ
ศิษย์อย่าดูเบาตัวเองว่าไม่น่าจะทำได้ แต่ลองดูสักตั้งก็ไม่ยากอะไร ใช่ไหม (ใช่)  กลัวแต่ยึดติดความคิดของตัวเองจนกลายเป็นคนไม่กล้าทำในสิ่งที่ควรจะทำ ทุกข์ซ้ำๆ ผิดพลาดกับเรื่องเดิมๆ มากี่ครั้ง แล้วศิษย์คิดว่าชีวิตเกิดมาแค่ทุกข์แล้วทุกข์อีก หรือว่ามีดีมากกว่านั้น และเราควรไปได้ไกลกว่านั้นไหม แล้วเราอยากจะย่ำอยู่กับที่ตรงนี้และก็บอกว่าชีวิตเลือกไม่ได้แล้ว ชีวิตทำอะไรไม่ได้แล้วมันได้แค่นี้ จริงหรือศิษย์ ถ้าอยากแล้วทำให้ต้องเบียดเบียนชีวิตคน อยากแล้วทำให้เราเป็นคนไม่ซื่อตรง ขาดเมตตา
ชีวิตนี้บางทีมีเรื่องไม่คาดคิด เมื่อเราเจอเรื่องไม่คาดคิด ใจเราไม่เคยเตรียม เมื่อเราไม่เคยเตรียม เรารับไม่ไหว เมื่อรับไม่ไหว บางคนสติแตก จากปกติ กลายเป็นเหมือนไม่ปกติ นั่นเพราะเราลืมมองความจริง เหมือนเวลาเราเจอเรื่องผิดหวังแรงๆ สูญเสียแรงๆ กระชากใจเราให้เจ็บปวดแรงๆ เราทำใจไม่ได้ แต่อาจารย์ถามจริงๆ ลึกๆ แล้วความเป็นจริงบอกศิษย์ไหม ว่าโลกนี้มันเปลี่ยนนะ ธรรมคอยบอกเราอยู่ตลอด แต่เราประมาทเอง เราลืมเอง เราคิดว่าทุกอย่างต้องเป็นอย่างที่เราคิด ชีวิตมันต้องเป็นอย่างนี้ไปตลอด แต่ความเป็นจริงในชีวิต กฎข้อหนึ่งของชีวิตที่ศิษย์ต้องจำไว้เสมอ ไม่มีอะไรในโลกไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรที่ไม่มีวันไม่สูญเสีย ศิษย์ต้องเรียนรู้การสูญเสีย ศิษย์ต้องรับการเปลี่ยนแปลง และศิษย์ต้องปล่อยวางมันให้ได้ ใช่ไหม
วันนี้ศิษย์รู้แค่เพียงเสียญาติพี่น้อง เสียเพื่อนเสียมิตร เสียเงินเสียตำแหน่ง แต่วันหนึ่งศิษย์จะต้องเรียนรู้ความสูญเสียซึ่งสังขารและรักษาจิตเดิมให้ได้ เงินก็ช่วยไม่ได้ ใครก็ช่วยไม่ได้ มีแต่ตัวศิษย์เอง ศิษย์จะต้องอยู่กับตัวเองตรงนี้แล้วปลดปลงสังขารให้ได้ แล้วเอาตัวเองวางลงให้ได้เพื่อกลับไปสู่ธรรม ถ้ายังยึดมั่นถือมั่นในความเก่ง ยึดมั่นถือมั่นในความดี ศิษย์ก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ศิษย์ต้องไปแบกรับ สร้างเหตุมาก็ต้องรับผล แต่ถ้าเหตุนั้นไม่ยึดติดตัวตนจะมีผลให้เวียนวนไหม ก็ไม่มี ฉะนั้นทุกอย่างทำไปเพื่อคืนสู่ความว่าง ไม่จำเป็นต้องมีฉันก็ได้ ฉันไม่สำคัญก็ได้ ฉันอยู่เพื่อธำรงความดีให้ถูกต้องแค่นั้น เมื่อทำได้ดีแล้วส่งไม้ต่อ ส่งความดีต่อ ส่งต่อแบบที่เขาเห็นแล้วเขาอยากทำตามโดยที่ไม่ต้องอ้าปากพูด ให้ดีจนสะท้อนสะเทือนใจจนเขาอยากทำ ทำไมดีขนาดนี้ ทำไม่ได้หรือทุกข์มาเยอะแล้วไม่ใช่หรือ จริงไหม (จริง)
อยากได้แอปเปิลไหม แอปเปิลอาจารย์ยิ่งกินแล้วยิ่งทุกข์ เอาไหม (ไม่เอา)  ไม่เอาหรือ เป็นศิษย์ของอาจารย์ได้แอปเปิลยิ่งกินยิ่งพ้นทุกข์สิ ใช่หรือไม่ ธรรมสอนให้เรามีปัญญา ถึงแม้ชีวิตจะทุกข์ แต่เราจะหาทางพ้นทุกข์ด้วยตัวเราเอง เราจะหาทางพ้นทุกข์ให้ได้ใช่ไหม เกิดเป็นคนต้องมีคุณธรรมความดีงาม แล้วก็ต้องละบาปให้ได้ฉะนั้นจะต้องละชั่วให้ได้ก่อน
ศิษย์คนไหนอยากให้อาจารย์ช่วยดับทุกข์ เหมือนศิษย์เจอปัญหาแล้วศิษย์อยากให้อาจารย์ช่วยคลายทุกข์
(ป่วยแล้วก็ไปหาหมอ แล้วหมอก็หาสาเหตุไม่เจอ)  เป็นโรคต้องรักษา แต่รักษาอย่างไรถ้าขาดซึ่งกำลังใจก็อยู่ไม่ได้ ศิษย์ต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่า ก่อนที่จะไปหาหมอต้องเรียกขวัญกำลังใจตัวเองก่อน ยอมรับความจริงว่า คนมีโรคไม่มีใครไม่ตาย ทุกคนต้องตายหมด ความเจ็บเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนว่าความตายใกล้แล้วนะ พอพูดคำว่าตายก็สงสารเขาใช่ไหม อย่างนั้นเวลาบอกเขา ให้กำลังใจเขาเยอะๆ เริ่มต้นที่ศิษย์ต้องให้กำลังใจเขาก่อน แต่ก่อนจะให้กำลังใจใครตัวเองต้องให้กำลังใจตัวเองก่อน พ่อ เราจะทุกข์ไปด้วยกัน เราจะเข้มแข็งไปด้วยกัน พ่อต้องอยู่ให้ได้ ดีไหม ศิษย์เอ๋ยทุกข์ที่น่ากลัวที่สุดของการเกิดเป็นคนก็คือ แก่ เจ็บ ตาย แล้วก็พลัดพรากจากสิ่งที่รัก และต้องทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รัก ถ้าศิษย์ไม่ฝึกจิต วันหนึ่งความจริงมันเกิดขึ้นในชีวิตใครจะช่วยเรา เราต้องเข้มแข็ง เราต้องยอมรับ และวางใจให้ลงปลงให้ได้ อาจารย์อยากจะบอกว่าจริงๆ แล้ว ความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่บางครั้งความตายคือการได้พักผ่อน ปลดปลง และพ้นทุกข์ ถ้าคนนั้นเกิดมาเพื่อคืนสู่ธรรม ไม่ใช่เกิดมาเพื่อยึดมั่นถือมั่นในตัวตน การดับมันก็แค่การเปลี่ยนแปลงจากที่หนึ่งไปที่หนึ่งที่ไม่ต้องมีตัวตนให้ทุกข์อีกต่อไป ฉะนั้นกลัวอะไรกับความตาย เจ็บก็ช่าง ตายก็ช่าง ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ถ้าเงยหน้าไม่อายฟ้าก้มหน้าไม่อายดิน ปฏิบัติต่อผู้อื่นได้ถูกต้อง ตายไปแล้วต้องกลัวอะไร เราไม่ต้องเอาอะไรไป เราก็จะกลับไปสู่ธรรม กลับไปสู่ฟ้า กลับไปสู่ดิน ที่ไม่ต้องเอาอะไรและมีอะไร มาจากธรรมก็กลับสู่ธรรม ใช่ไหม (ใช่)
ลูกไม่สมานสามัคคีกัน อย่างนั้นต้องทำตัวเราให้รักเขาเท่าๆ กัน คนนี้ได้ คนนี้ก็ต้องได้ แล้วก็ต้องทำให้เขารู้ว่าแม่รักลูกเท่าๆ กัน (ตอนนี้ก็ทำอยู่แล้ว)  แต่เขาไม่รักกันใช่ไหม (ใช่)  ยิ่งถ้าแต่งงานไปแล้วด้วยมีครอบครัวไปแล้วด้วย โอกาสจะรักกันยาก ฉะนั้นศิษย์แค่ประคองใจตัวเองให้เข้มแข็งและพยายามประคับประคองลูกให้เดินถูกทาง แต่ถ้าเราไม่มีอำนาจอะไรบางทีก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ สิ่งที่ทำได้อย่างเดียวคือ วางตัวเองให้ถูกต้องและดีที่สุด เรียนรู้และยอมรับ แม้ลูกเขาจะเป็นอย่างนั้น เพราะว่าสอนไปเท่าไร ถ้าเขาไม่เอา มันยาก สิ่งที่จะช่วยได้คือ ศิษย์จำไว้นะ ถ้าพ่อแม่มุ่งปฏิบัติธรรม ลูกหลานจะได้ดีสามชั่วคน ถ้าพ่อแม่มุ่งปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง มีศรัทธาเป็นมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง ลูกหลานจะได้ดี (ทำมาตลอด)  แล้วเป็นอย่างไร ได้ดีไหม (ได้ดีเป็นคนๆ)  อย่างนั้นก็อยู่ที่ตัวเขาแล้ว อย่างแรกศิษย์ต้องปฏิบัติธรรมให้ถูก ศีลถูกไหม ปฏิบัติต่อผู้คนถูกครรลองคลองธรรมไหม เห็นแก่ตัวหรือเปล่า หรือเข้าข้างตัวเองไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ถ้าศิษย์อยากแก้ศิษย์ต้องย้อนมองตัวเอง อย่าเข้าข้างตัวเอง (ช่วยคนมาตลอด)  อย่างนั้นก็ต้องใจเย็นๆ แล้วทำไมช่วยคนตลอดลูกถึงไม่ฟังเราล่ะ (ก็เป็นคนๆ ไป)  ตกลงจะดื้อกับอาจารย์หรือจะเอาให้ได้ มันเป็นธรรมดานะศิษย์เอย ผลไม้บางอย่างยังมันยังตกลงข้างต้น แต่บางอย่างมันตกไปไกลต้น เราก็แก้อะไรไม่ได้ สิ่งที่ทำได้คือไม่ว่าลูกจะดีจะชั่วแม่ก็รัก แม่ก็ให้โอกาส ถูกไหม (ถูก)
(มีนักธรรมมาจากประเทศอเมริกาได้บอกพระอาจารย์ว่ามีความกังวลเรื่องการแพร่ธรรมในอเมริกา)
(ผมมาจากอเมริกา ที่อเมริกาธรรมะยังไม่ได้แพร่หลายเหมือนอย่างในประเทศไทย สิ่งที่ผมกลัวก็คือว่าจะไม่สามารถช่วยเผยแพร่ธรรมะได้อย่างที่ต้องการ ผมมาที่นี่มาเพื่อที่จะเรียนรู้ให้มากที่สุด แต่ก็ยังเป็นห่วงอยู่ว่าผมจะไม่สามารถทำตามที่ผมอยากจะทำได้)
จงกล้าหาญเลือกที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่กลัวไม่ว่าจะล้มเหลวหรือพ่ายแพ้ นั่นแหละคือชัยชนะที่เรียกว่า “กล้าหาญ” ต้องเริ่มจากความกล้าก่อน เพราะถ้าเรามั่นใจในสิ่งที่เราทำว่าถูกต้อง ไยต้องเกรงกลัวว่ามันจะได้หรือไม่ได้ ไม่ล้มเหลวหรือล้มเหลว เพราะสิ่งที่มีค่าและงดงามที่สุดของศิษย์นั่นคือ รอยยิ้ม แค่ศิษย์ยิ้มใครๆ ก็เปิดใจรับศิษย์เต็มที่แล้ว ใช่ไหม (ใช่)
อาจารย์เป็นหมอรักษาใจศิษย์ แต่ศิษย์บางคนเป็นหมอรักษาตัวคน ช่วยคนได้เยอะ เวลาเจ็บ เวลาทุกข์ ศิษย์จำคำอาจารย์ไว้อย่างหนึ่งนะ อย่าเอาความเจ็บเพียงเล็กน้อยฆ่าเราทั้งชีวิต เพราะเรายังมีส่วนที่ดีอีกตั้งเยอะแยะ อย่าเจ็บแค่นิดหน่อยแล้วทุกข์ทั้งตัว อย่าแค่เจ็บนิดหน่อยแล้วตายทั้งเป็น ใช่ไหม (ใช่)  คุณค่าศิษย์ยังมีตั้งหลายอย่าง อย่าเพียงแค่ทุกข์นิดหน่อยก็ทำร้ายชีวิตทั้งชีวิตและทำร้ายความดีที่สร้างสมมา ถูกหรือไม่ หายเจ็บหรือยัง
วันนี้อาจารย์คงต้องลากลับแล้วนะ ศิษย์เอ๋ยถึงอาจารย์จะพูดชี้นำทางสว่างแค่ไหน แต่ถ้าศิษย์ของอาจารย์ไม่คิดเอาไปปฏิบัติ ศิษย์ก็ยังไม่มีวันพ้นทุกข์ได้ แล้วเราจะพ้นทุกข์ได้อย่างไรนอกจากเราต้องรู้ตื่นด้วยตัวเอง โลกนี้มันไม่เที่ยง ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ แม้กระทั่งสังขารมันก็ไม่เที่ยง ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์จะทำใจได้ก็คือเข้าใจความว่าง ความไม่มี แล้วกล้าที่จะอยู่กับความว่าง ความไม่มีให้ได้ เพราะนั่นคือที่สุดแห่งสภาวธรรมในใจ เราไม่มีนะศิษย์ อย่าพยายามมี ยิ่งมีมันยิ่งทุกข์ ยิ่งมีมันยิ่งเจ็บ ธรรมะสอนเราตลอดว่าเราไม่มี เราไม่มีมาตั้งแต่แรก แล้วจะพยายามมีไปเพื่ออะไร ในเมื่อยิ่งมีมันก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งยึดมันก็ยิ่งเจ็บ แต่ธรรมสอนเราทุกวันว่าทุกสิ่งที่เกิดมันก็ดับ สิ่งที่เกิดมันก็ดับ ขวบปีของศิษย์ที่เกิดคือขวบปีของศิษย์ที่ตาย ใช่หรือไม่
เราเกิดมาก็ต้องตาย แล้วเราจะตายอย่างไรที่ไม่ต้องทุกข์อีก ก็คือทำเพื่อกลับคืนสู่ธรรม ไม่ใช่กลับไปเพื่อสู่การเวียนว่ายสร้างกรรม ฉะนั้นวางได้วาง ทำดีที่สุดแล้วปล่อยได้ปล่อย ห่วงไปศิษย์ก็ทำอะไรไม่ได้ แก้อะไรไม่ได้ คนเราต้องตายเหมือนกันไหม (ตาย)  เจ็บไหม (เจ็บ)  อย่างนั้นอย่าเสียใจ จงดีใจที่ชีวิตได้เจ็บเป็นทุกข์เป็นและพ้นทุกข์ได้ ดีกว่าไม่รู้เจ็บ ตายเลยเอาไหมศิษย์ (ไม่เอา)  อย่างน้อยขอให้ทุกข์ก่อน เจ็บก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยตายใช่ไหม แล้วทำไมตอนนี้เจ็บก็ไม่เอา พอทำอะไรไม่ได้ ตายเลย ทั้งที่บอกไม่อยากตาย ทั้งที่บอกไม่อยากตาย แต่ถึงเวลาตายเลย ฉะนั้นอย่ากลัวทุกข์ อย่ากลัวเจ็บ อย่ากลัวพลัดพราก เป็นผู้มีปัญญา ธรรมสอนให้เรามีปัญญา ธรรมไม่ได้สอนให้เราโง่งมงาย มีปัญญาที่ทำอะไรด้วยสติยั้งคิดไตร่ตรอง ถูกต้องหรือยัง ถูกต้องดีแล้วไยต้องกลัวอะไร สิ่งที่ต้องกลัวคืออย่าตกเป็นทาสของโลภโกรธหลง เพราะหนีไม่พ้นเหตุแห่งทุกข์และการสร้างวิบากกรรม แล้วจะดับอย่างไร
ศิษย์รู้ไหมทำอย่างไรไม่โลภ ทำอย่างไรไม่โกรธ ทำอย่างไรไม่หลง พุทธะสอนไว้ว่า โลภมันไม่เที่ยง เมื่อมันไม่เที่ยง เป็นทุกข์และถึงที่สุดว่างเปล่า โลภอะไร หลงอะไร ในเมื่อมันไม่เที่ยง เปลี่ยนไหม (เปลี่ยน)  สวยมีวันอัปลักษณ์ไหม (มี)  อัปลักษณ์มีวันตายไหม (มี)  มีวันแก่ไหม (มี)  มีวันร้ายไหม (มี)  รักไหม หลงไหม แต่ถึงเวลาทั้งรักทั้งหลงเลย ใช่ไหม (ใช่)  ทั้งที่จริงๆ แล้วมันเที่ยงไหม แล้วสวยไหม มันไม่สวย มันอัปลักษณ์ ใช่หรือไม่ มองอะไรมองให้สุด มองให้ลึกมองให้ไกล มันไม่เที่ยง มันทุกข์ และถึงที่สุดมันก็ว่างเปล่าหาแก่นสารอะไรไม่ได้ ลองถามสิอันไหนตัวเรา มันต้องมีทั้งตัวถึงจะเรียกว่าเรา ใช่ไหม (ใช่)  พอแยกเป็นชิ้นส่วนอันไหนคือตัวเรา (ไม่มี) แล้วเรามาจากไหน เรามาจากธรรมชาติถึงเวลาเรากลับคืนสู่ธรรมชาติ เราแค่เป็นผู้อาศัยชั่วคราวในร่างกายนี้ จิตคือธรรม ธรรมอันเป็นแก่นแท้ที่สอนว่า มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันว่างเปล่า เมื่อใดที่จิตคืนสู่ธรรมเมื่อนั้นจิตจะเป็นอิสระและพ้นทุกข์
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ธรรมในบัดดล”)
มีธรรมในขณะนี้ตอนนี้ทันทีเลย ไม่ว่าทำอะไรขอให้ทำแล้วเกิดธรรม ไม่ใช่ทำแล้วเกิดกิเลส กินแล้วก็เกิดกิเลส มานั่งฟังธรรมสองวันใจคิดอยากกินส้มตำไก่ย่าง จบวันนี้แล้วอยากไปกินปูปิ้ง ไก่ปิ้ง หมูปิ้ง แต่ละอย่างเป็นกิเลสเป็นกรรมทั้งนั้น ทำจริงๆ จะได้พ้นทุกข์จริงๆ ศิษย์บอกว่าตายแล้วจะได้กลับมาหาอาจารย์ ยังยึดอีกหรือ อาจารย์อยากจะบอกว่า บำเพ็ญถึงที่สุดแล้วกลับคืนสู่ธรรม แล้วศิษย์จะรู้ว่าชีวิตที่แท้จริง ที่เรียกว่าพ้นทุกข์มันเกิดได้ที่ตรงนี้และเดี๋ยวนี้ตอนนี้ อยู่แล้วไม่อยากอะไรในโลกแล้ว ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่โกรธ อยู่ก็ดี ตายก็ดี ถ้าคิดได้อย่างนี้สุดยอด จริงไหม (จริง)  ทำได้ไหม (ได้)  ลองอ่านดูนะ ความหมาย “ธรรมในบัดดล”
“มีตัวฉันจึงหนาวร้อนทุกข์สุขไป” อยู่ที่ไหนแล้วลืมคำว่า “ตัวฉัน” ก็จะไม่ทุกข์ แต่ถ้าเอาตัวฉันไปวางจะเกิดการแบ่งแยกดีร้าย ได้เสีย ทุกข์สุข แต่ถ้าเมื่อไรถอนตัวฉันออกมา ทุกสิ่งก็แค่นั้น เท่านั้นจบ จริงไหม (จริง)
เราทุกข์เพราะมี “ฉัน” เราก็เปรียบเทียบ คนนี้ใช้ได้ คนนี้ใช้ไม่ได้ เราจึงทุกข์สุข แต่เมื่อถอนตัวฉันออกมา ทุกสิ่งเท่ากัน ไม่มีอะไรร้าย ไม่มีอะไรดีจริงไหม (จริง)  ทุกสิ่งล้วนเป็นกลาง แต่ความมีตัวตนจึงทำให้เราไม่เคยเห็นความเป็นกลางในทุกสิ่ง
ถึงเวลาอาจารย์ก็คงต้องไปแล้วนะ มีพบก็มีพราก แต่วันนี้ทำดีที่สุดหรือยัง ยังทำอย่างคนที่ตกเป็นทาสกิเลส สะสมกิเลสในตัวตน หรือทำเพื่อเข้าถึงธรรม เป็นแบบไหน ทำให้ได้นะ เพื่อตัวเองนะศิษย์เอ๋ย จะได้ไม่ต้องทุกข์กับโลกใบนี้ และจะได้ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ทำให้ถึงที่สุดเพื่อคืนสู่ธรรม ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดรับผลของการปฏิบัติอะไรอีกแล้ว ได้หรือไม่ (ได้)  วันนี้อาจารย์ก็คงต้องจากลา รักษาคุณงามความดี รักษาจิตที่ซื่อตรง รักษาจิตที่รับผิดชอบต่อหน้าที่ รักษาหัวใจที่เมตตา ให้เป็นคนที่เงยหน้าไม่อายฟ้าก้มหน้าไม่อายดิน ปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไม่ละอายใจ อยู่เพื่อให้ มีเพื่อให้ ดูแลตัวเองกันดีๆ นะ รักษาจิตรักษาใจให้เข้มแข็ง เดินแล้วไปให้ถึงที่สุด ไม่ใช่เพื่ออาจารย์ ทำเพื่อตัวเอง

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ธรรมในบัดดล”
    เห็นตามจริงนั่นแหละธรรมในปัจจุบัน     ตามให้รู้สติให้ทันธรรมคอยสอน
วางตัวฉันลงแค่นั้นในทุกตอน                   มีตัวฉันจึงหนาวร้อนทุกข์สุขไป
ฝึกแค่รู้ไม่ไปหลงติดยึดมั่น                       ไม่มีฉันไม่มีเขาในสิ่งไหน
ในความเกิดมีความดับทุกขณะไป              มาเพื่อรู้ละวางได้คืนสู่ธรรม


พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาท งานประชุมธรรม สถานธรรม  ฮุ่ยอวี้ จ.ขอนแก่น วันที่ ๒๐-๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๑
กลอนพระโอวาทหน้า ๑
เดิม ทำเรื่องถูกได้ยืนเหมือนเรื่องผิด
แก้เป็น ทำเรื่องถูกได้ยืนเหนือเรื่องผิด
          แก้เพลงพระโอวาท หน้า ๑๕
เดิม การได้คิดหลับอยู่ข้างใน ทำจังได๋จึงสื่อสารกัน การจะปลุกใจนั้นกวดขันความมีปัญญา ที่ผ่านผ่านมานั้นเป็นอย่างไร คำถามใดล้วนธรรมดา มีแต่คำถามเรียกปัญญาที่พาให้เกิดธรรม
แก้เป็น การได้คิดหลับอยู่ข้างใน ทำจังได๋จึงสื่อสารกัน การจะปลุกใจนั้นกวดขันความมีปัญญา ที่ผ่านผ่านมาเป็นอย่างไร คำถามใดล้วนธรรมดา มีแต่คำถามเรียกปัญญาที่พาให้เกิดธรรม


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา