วันเสาร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

2560-05-13 สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์

西元二○一七年歲次丁酉四月十八日                                 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐         สถานธรรมเซิ่งเต๋อ  จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

  อย่ายึดดีจนกลายรังเกียจทุกข์         อย่ายึดสุขจนกลายกลัวทุกข์ยิ่ง
ศึกษาธรรมมีสติรู้ทำตามจริง             มัวปรุงแต่งกิเลสอารมณ์ยิ่งทุกข์ไม่วาย
                                เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                      ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

  พูดเร่งเร่งไม่น่าฟังไม่ไพเราะ            รีบรีบขอต้องไม่ทะเลาะอย่างไรได้
ละเลยใจชีวิตตัวเองตามกันไป            เจ้าของทางบ่นเก่งไม่บังเกิดคุณ
ชวนโลกหมุนไปตามจิตบำเพ็ญแล้ว      ขัดเกลาตนเพริศแพร้วใต้แสงอุ่น
บำเพ็ญจิตความคิดก็กลายเป็นทุน       ไม่พึ่งโชคดวงต้องลุ้นเหมือนประจำ
ประลองใจฝึกฝนฝึกแข่งกับตัว           เก่งไม่กลัวกลัวไม่มีคุณธรรม
ปัญหาออมหม่นหมองให้ตนสร้างกรรม  ทำผิดให้ตนย้ำไม่นำพา
รู้ตนดีทำตัวไม่น่าช่วย                    พูดคิดด้วยสติเป็นสิ่งมีค่า
อย่าร้อนตัวต่อสติใครพูดมา              เสวนาพูดก็พูดด้วยติเพื่อก่อ
ยอมให้เขาติคำที่ขัดหู                     กระทบดูจิตเราสติทันไหมหนอ
โกรธดันผลักแรงเป็นเกมส์ตัวต่อ         หรือว่าพอจะยกมาพัฒนาใจ
                                            ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

“อย่ายึดดีจนกลายรังเกียจทุกข์  อย่ายึดสุขจนกลายกลัวทุกข์ยิ่ง
ศึกษาธรรมมีสติรู้ทำตามจริง     มัวปรุงแต่งกิเลสอารมณ์ยิ่งทุกข์ไม่วาย”
เป็นอย่างนี้ไหม ยึดดีจนกลายเป็นรังเกียจทุกข์ ยึดสุขจนกลายเป็นยิ่งกลัวทุกข์ไปใหญ่ เป็นอย่างนี้ไหม ทุกวันนี้ ถ้าเรายึดดีเราก็เกลียดทุกข์
ยึดสุขเราก็ยิ่งกลายเป็นกลัวทุกข์ใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งที่ความทุกข์จริงๆ แล้วน่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  แต่เวลามีความทุกข์ทำไมต้องหนี
โดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนปรารถนาความสงบสุข แต่ผลสุดท้ายเราก็วิ่งวุ่นไปหาความอยากที่ไม่รู้จักพอ ถึงที่สุดเราก็กลายเป็นวุ่นวาย แต่ใจลึกๆ อยากมีความสงบ แล้วรู้ไหมว่าต้นเหตุของความไม่สงบสุขก็คือ ความอยากที่ไม่รู้จักพอ จึงทำให้เราวุ่นวาย ลึกๆ แล้วเราปรารถนาความสันติสุข แต่ในใจของเราก็คิดตรงกันข้าม เราปรารถนาที่จะอยู่กับคนอย่างสันติ อย่างมีมิตรภาพ แต่ในใจลึกๆ เรามักมองคนอย่างคิดร้ายมากกว่าคิดดี จ้องจับผิดมากกว่าจะมองเห็นว่าเขาถูก แล้วใจอยากหาความสันติไหม (อยาก) แต่ทำไมใจลึกๆ ถึงชอบจับผิดมากกว่า มนุษย์ทุกคนอยากมีมิตรมากกว่าอยากมีศัตรู อยากมีสันติสุขมากกว่าอยากมีเรื่องวุ่นวาย แล้วทำไมในเมื่อใจอยากอย่างหนึ่ง แต่การปฏิบัติกลับเป็นอีกอย่างหนึ่ง เหมือนกับเรารักที่จะมีเพื่อน ไม่อยากมีศัตรู แต่ทำไมกับเพื่อนเราเอง เราจึงคิดร้ายมากกว่าคิดดี จากคนที่อยู่กันดีๆ แต่เรากลับชอบที่จะจับผิดมากกว่าที่จะมองเขาในแง่ดี ฉะนั้นใช่หรือที่เขาหาความวุ่นวาย ใช่หรือที่เขาหาเรื่อง หรือใจเราเองต่างหากที่อยากอย่างหนึ่ง แต่กลับทำอีกอย่างหนึ่ง เหมือนเราชอบความดี ชอบคนดี แต่พอมีเรื่องของใครไม่ดี เราเหยียบย่ำซ้ำเติมไหม (ไม่)  ให้โอกาสเขาไหม (ให้)  มนุษย์ปรารถนาความดี แต่พอมีใครทำผิด คนดีทำผิดเราให้โอกาสเขาแก้ตัวไหม (ให้)  ถ้าต่อว่าจนสะใจแล้ว อย่างนั้นจะเรียกว่าให้โอกาสไหม (ไม่ให้)
ฉะนั้นถามว่ามนุษย์ก็รู้อยู่เต็มอกว่าทุกข์หรือสุขล้วนเกิดจากใจของเรา และในทุกข์หรือสุขนี้ บางทีก็เปลี่ยนแปลงวัดค่าไม่ได้ แล้วทำไมเราจึงชอบถามตัวเองว่า ทำไมคนนั้นไม่ดี ถ้าคนนั้นดีฉันถึงจะดี คนนั้นดีฉันถึงจะสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วไหนบอกว่า ไม่ว่าทุกข์หรือสุขล้วนเกิดจากใจ ตกลงว่าอยู่ที่ใจเราหรืออยู่ที่เขา (ใจเรา)  ถ้าใจเราไม่กำหนดว่าเมื่อไรเขายิ้มเราก็ยิ้ม ถ้าเราไม่กำหนดว่าเมื่อไรเขาบึ้งเราก็ยิ้ม ตกลงว่าเขากำหนดหรือเรากำหนด (เรากำหนด)  อย่างนั้นทำไมเวลามีปัญหาจึงโทษเขาไม่โทษเรา ฉะนั้นปรารถนาความสงบ แต่ใจทุกๆ วันกลับหาแต่ความวุ่นวาย ปรารถนาสันติและมิตรภาพที่ดีงาม แต่ทำไมใจเราเอาแต่จ้องจับผิดและคิดร้าย ปรารถนาความสุข แต่ใจทำไมจึงเหยียบย่ำซ้ำเติมคนที่ก้าวผิดพลั้งพลาดให้เจ็บปวดทุรนทุราย แล้วถึงที่สุด ทุกข์หรือสุขอยู่ที่เขาหรืออยู่ที่เรา (อยู่ที่เรา)  แล้วทำไมจึงเพียรเอาแต่โทษเขาไม่มองใจเรา ใช่ไหม (ใช่)  ไม่กำหนดว่ารอยยิ้มเขาคือความสุขเรา เขายิ้มเราจะทุกข์หรือสุขไหม ถ้าเราไม่กำหนดว่าหน้าตาบึ้งตึงของเขาคือความทุกข์ของเรา เขาบึ้งตึงแล้วเราไม่ใส่ใจ จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ฉะนั้นความทุกข์ ความสุข ใครเป็นผู้กำหนด (ตัวเราเอง)  ท่านรู้แต่ก็ทำตรงกันข้ามทุกที ต้องการค้นหาความสุข ต้องเริ่มถามใจตัวเราเองก่อนว่า กล้ายอมรับความจริงของโลกใบนี้ไหม ถ้ากล้ายอมรับความจริง
ไม่ต้องกำหนดอะไรก็สุข แล้วความสุขจะเกิดขึ้นง่าย แต่ถ้าเรากำหนดความสุขจะเกิดขึ้นยาก ตอนนี้ยังกำหนดความสุขกันไหม (ไม่)  ฉะนั้นถ้ากลับบ้านไปเจอภรรยาหรือสามีทำหน้าบึ้ง ท่านสุขหรือทุกข์ (สุข)  สุขหรือ คิดว่าน่าจะสุกๆ ดิบๆ นะ โลกพลิกได้ตามความต้องการของใจ คิดให้ดีก็มีสุข คิดให้ร้ายก็อมทุกข์ เหมือนวันนี้จะนั่งอย่างดีมีสุขหรือนั่งอย่างอมทุกข์ (นั่งอย่างดีมีสุข)
โดยส่วนใหญ่เรามองดีหรือมองร้ายมากกว่า เวลาเรามองสิ่งใด เมื่อมองแล้วในใจคิดดีมากกว่า หรือคิดร้ายมากกว่า (คิดร้าย)  ส่วนใหญ่เราชอบมองกันในแง่ร้าย แล้วชอบที่จะจ้องจับผิดกันมากกว่าที่จะมองเห็นเขาถูก เป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์คิดอย่างนี้ แต่การคิดอย่างนี้ท่านว่าดีไหม (ไม่ดี)  แล้วเลิกคิดไหม ไม่เคยเลิกคิด เหมือนมองไปทางไหนเจอแต่คนไม่ดี เจอแต่เรื่องราวไม่ดี เราถามท่านนะ เวลาเราเจอคนไม่ดี หรือถ้าเราเจอเรื่องราวไม่ดี ใจเรารู้สึกดีหรือรู้สึกแย่ (รู้สึกแย่)  เวลาที่รู้สึกแย่ เราอดที่จะเกลียด อดที่จะด่าได้ไหม (ไม่ได้)  เราก็อยากที่จะด่า อยากวิพากษ์วิจารณ์ แล้วพอเราเห็นไม่ดีมากๆ ใจเราขึ้นหรือลง (ลง)  เมื่อใจเราลง ก็ง่ายที่จะไหลลง เพราะเจอแต่คนไม่ดี ถูกหรือไม่ แล้วเมื่อเราเจอคนไม่ดีมากมาย ถามหน่อยคนดีจะมีกำลังใจทำความดีไหม (ไม่มี)  พอเห็นคนนั้นก็ไม่ดี คนนี้ก็ไม่ดี เราก็อดว่าไม่ได้หนึ่ง ใจแย่อีกเป็นสอง อันที่สามหมดศรัทธาต่อความดีเลย
ใช่ไหม (ใช่)  อันที่สี่กลับคิดไปอีกว่า จะทำความดีไปเพื่อใคร เพราะมองไปที่ไหนก็ไม่มีคนดี การคิดแบบนี้ดีไหม (ไม่ดี)  แล้วก็พาลนิสัยเสีย คิดว่าทำไมเธอไม่ดี ฉะนั้นฉันก็ไม่อยากดีหรอก ในเมื่อใครๆ ในโลกก็ไม่ดี แล้วฉันจะดีไปทำไม เพราะตัวเองคิดไม่ดีแล้วยังหาแพะรับบาปให้อีก แล้วยังไปโทษคนอื่นอีกว่า เพราะเขาเราเลยไม่ดี อย่างนั้นอยู่ในโลกเราควรมองคนไม่ดีตลอดไปดีไหม (ไม่ดี)  อย่างนั้นเราควรคิดอย่างไรถึงจะดี (คิดดี, ทำดี)  คิดดี ทำดี แต่พูดไม่ดี เขาเรียกว่า “พวกปากร้ายใจดี” พูดดี ทำดี แต่คิดร้ายเขาเรียกว่า “ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ” ตกลงท่านพูดดี คิดดี และทำดี บริสุทธิ์พร้อมทั้งสามหรือไม่
เราถามท่านนะ คนที่ท่านมองว่าเขาร้าย มองว่าเขาไม่ดี เราเคยเป็นอย่างเขาไหม (เคย)  เขาโกรธจนทำร้ายคน เราเคยโกรธจนตบตีสามีไหม (ไม่เคย)  เราเคยโกรธจนทำร้ายภรรยาและลูกไหม ฉะนั้นวิธีที่จะแก้เมื่อเรามองเจอแต่คนไม่ดี ให้ถามตัวเองก่อน ที่เรากล้าว่าคนอื่นไม่ดี เพราะในใจลึกๆ เราคิดว่าฉันดีกว่าคนอื่น ใช่ไหม (ใช่)  จริงๆ ถ้าคิดย้อนกลับไปแล้ว เราก็ไม่ได้ต่างจากเขา ถ้าเวลาเราเจอคนไม่ดี พุทธะจึงสอนไว้เสมอว่า “เรากับเขาไม่ต่างกัน เรากับเขาล้วนเคยผิดพลาดเหมือนกัน เรากับเขาล้วนก็เคย
ไม่ดีได้เหมือนกัน” คิดแบบนี้จากที่เกลียดจะกลายเป็นให้อภัย จากด่าทอตำหนิใส่ไคร้ ก็จะกลายเป็นเห็นอกเห็นใจ แล้วจากคนที่จะหมดศรัทธาในความดี เรากลับยิ่งศรัทธาในความดี เรายิ่งต้องดีให้ได้ เพราะเราเคยเป็นแบบเขามาก่อน และมีแต่คนประณามดูถูกเหยียดหยาม เราก็เคยเป็น แต่เราจะไม่ดูถูกเหยียดหยามใคร จะทำตัวให้ดียิ่งขึ้น ฉะนั้นเราจึงอยากบอกท่านว่า เมื่อไรที่เจอคนไม่ดี ให้หันกลับมาเห็นใจ หันกลับมาบอกว่าเรากับเขาไม่เคยต่างกันเลย และความคิดแบบนี้จะแปรเปลี่ยนบาปให้กลายเป็นบุญ แปรเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี แล้วเชื่อไหมว่าจะสามารถแปรเปลี่ยนความมืดมนให้กลายเป็นแสงสว่างที่นำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ และนำพาให้คนที่กำลังทุกข์พ้นทุกข์ได้ ทำไมเราจึงพูดเช่นนี้ เหมือนวันนี้เราเห็นเขาผิดมีแต่คนว่า แต่เราเข้าใจ วันหนึ่งเราจะตั้งใจไว้ว่า “ถ้ามีโอกาสฉันจะพูดให้เขากลับคืนให้ยืนขึ้นมาใหม่ เพราะฉันเคยผ่านภาวะนั้นมาแล้ว”
เมื่อไรที่เราพบความมืด เราสามารถสะท้อนความมืดในใจ แล้วเปลี่ยนความมืดนั้นเป็นแสงสว่าง เราจะสามารถยังความสว่างให้กับตน และสามารถยังความสว่างให้กับผู้คนที่หลงผิดได้ เหมือนที่พระพุทธะ
กล่าวไว้ว่า “เมื่อเจอคนผิดเอาปากถากถางให้เขาเจ็บปวด หรือเปลี่ยนจากเอาปากถากถางเป็นวาจาที่นำแสงสว่างให้เขาพ้นทุกข์” (เอาปากเป็นวาจานำแสงสว่างให้เขาพ้นทุกข์)  ต่อไปเมื่อเจอใครผิดคงไม่เกลียดเขาแล้วนะ เราเคยไหมที่โมโหแล้วทำร้ายคน เราเคยไหมด่าคนจนลืมยั้งคิด เราเคยไหมเอาเปรียบจนไม่มีเมตตาธรรม เราเคยไหมแอบโกงแล้วขาดความซื่อตรง ฉะนั้นเปลี่ยนจากความคิดร้าย เป็นความคิดเข้าใจ แล้วแปรแสงมืดมน เป็นแสงสว่างนำชัยให้กับตัวเอง และนำทางสว่างให้กับผู้อื่นไม่ดีกว่าหรือ
ท่านรู้ไหมพระพุทธะยังกล่าวไว้ว่า “คนที่ดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง จะไม่มีวันเห็นใครผิด คนที่ดำเนินชีวิตถูกต้อง จะไม่มีวันเห็นใครผิด ใครร้าย เพราะเมื่อไรที่เห็นใครผิด เท่ากับใจท่านก็ผิด เพราะเมื่อไรที่เห็นเขาร้าย
ใจท่านก็ร้าย” เหมือนที่มนุษย์บอกว่า “ผีเห็นผี” เราเห็นเขาแย่ เราก็แย่ เราเห็นเขาเลว เราก็เลว ในความเป็นจริง เมื่อไรที่มนุษย์สามารถสลัดการ
จ้องจับผิดคิดร้ายผู้อื่นได้ มนุษย์จะสามารถตัดทางมาแห่งกิเลสและบาป
ทั้งมวลได้ เรากล่าวว่า “เมื่อใดมนุษย์สามารถสลัดความคิดจับผิดมองผู้อื่นในแง่ร้ายได้ มนุษย์จะสามารถตัดทางบาปและกิเลสทั้งมวลได้”
ท่านอาจจะบอกว่าจริงหรือ เมื่อเห็นเขาร้าย ใจก็คิดแยก เมื่อใจ
คิดแยกก็ง่ายที่จะตกเป็นทาสของกิเลส ความโกรธ ความโลภและหนีไม่พ้นหนทางแห่งบาปเวรกรรมและทุกข์ ฉะนั้นถ้าเมื่อไรเราอยู่ในโลก เราสามารถสลัดทิ้งซึ่งทางมาแห่งการคิดแยก คิดร้ายได้ เราก็สามารถตัดทางมาแห่งกิเลสและบาปทั้งมวลให้สิ้นได้ จริงหรือไม่ ฉะนั้นพระพุทธองค์กล่าวไว้ว่า “เมื่อใดชอบชังไม่กล้ำกลายใจ อยู่ที่ใดก็เป็นสุข เมื่อใดชอบชังไม่มีผล
กล้ำกลายใจ อยู่ที่ไหนเราก็ไม่ทำบาป” จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ถ้าเมื่อไร
มีชอบก็จะมีชัง มีชอบก็หนีไม่พ้นความโลภ มีชังก็หนีไม่พ้นตกเป็นทาสของโทสะ โมหะ ความหลง ฉะนั้นถ้าเกิดเราสามารถประคองจิต ไม่ชอบ ไม่ชัง ไม่คอยจับผิด คิดร้าย บาปจะเกิดได้ที่ใด (ไม่เกิด)  แล้วเราควบคุมได้ไหม (ได้)
มนุษย์ส่วนใหญ่มักจะเห็นคนไม่ดีมากกว่าดี แต่ถึงเวลาก็หลงใหล
ได้ปลื้มคนที่ไม่ดีนั่นแหละ แล้วก็ตกเป็นทุกข์กับคนที่ตัวเองคิดว่าดี ถามว่าถ้าในร้อยมีดีแค่หนึ่ง กับในร้อยมีเสียแค่หนึ่ง อะไรดีกว่ากัน ในร้อยมีดีแค่หนึ่งหรือในหนึ่งมีเสียเป็นร้อยก็ล้วนดี ล้วนอยู่ที่ใจท่านว่าจะมองอย่างไร เหมือนถามในใจท่าน เมื่อก่อนเวลาท่านจะเลือกอะไร ต้องเลือกให้ดีที่สุด แต่ตอนนี้สามีเราในร้อยมีดีอยู่แค่หนึ่ง เราก็ยังต้องทนให้ได้จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นไม่ว่าเรื่องอะไร เราก็ทำใจได้ เราก็เข้าใจ เราจะไม่ทุกข์ เราจะไม่โกรธ เราจะไม่เกลียดจริงหรือไม่ (จริง)  เหมือนที่ธรรมะสอนให้เรารู้ว่า จงมีสติรู้เท่าทันใจ ไม่ใช่มีสติไปรู้ใครต่อใคร เหมือนที่ท่านพูดบอกว่า รู้คนอื่นตั้งมากมาย แต่ไม่รู้ใจตัวเองจะมีประโยชน์อะไร ห้ามคนอื่นได้เก่งมากมาย แต่ห้ามใจตัวเองไม่ได้ จะมีประโยชน์อะไร ใช่ไหม (ใช่)  ก็รู้หมดแต่ก็อดใจไม่ได้
เหมือนที่เราพูดไว้ว่า “ถ้าเมื่อไรโดนคนเขาพูดว่า เธอนี่ปากร้ายใจดีนั่นแปลว่า ความคิดเราดี การกระทำเราดี แต่คำพูดเรายังไม่ดี แต่ถ้าเมื่อไรโดนว่า “ปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ” แปลว่า ปากดี แต่เรายังคิดไม่ดี แล้วก็ยังทำไม่ค่อยดี ฉะนั้นถ้าเราเรียนรู้ที่จะอยู่ในโลก สิ่งที่สำคัญคือการประพฤติปฏิบัติตน ผลของผู้คนที่สะท้อนให้เรา ล้วนบ่งบอกว่าเราทำเช่นไรกับเขา ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วอย่างนั้นเมื่อฟังขนาดนี้แล้ว อะไรเรียกว่าปฏิบัติธรรม ธรรมะสอนให้ละ หรือสอนให้ยึด (สอนให้ละ)  แล้วความดี
ให้ละหรือยึด (ให้ละ)  การปฏิบัติธรรมคือเน้นให้เราละวางมากกว่ายึดถือ เพราะการยึดถือเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ เมื่อเราทำความดีเรียบร้อยแล้ว เราควรจะละวางหรือยึดมั่นถือมั่น (เราควรละวาง)  แต่เดี๋ยวนี้เราทำความดีแล้วเรายึดถือ การปฏิบัติธรรม ท่านต้องไม่หลงทาง ธรรมะสอนให้เราละวาง ไม่ยึดถือ เพราะการยึดถือเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวล เราไม่ต้องทำอะไรเลยหรือ ละวางทุกอย่างไหม (ไม่ใช่)  ก็ท่านบอกว่า ทำดีปฏิบัติดี ให้ละวาง ไม่ยึด เราจะบอกให้ว่า การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือ ทำให้ดีที่สุด ถึงเวลากล้าละวาง ยอมรับความจริงด้วยสติระลึกรู้ตัวตลอดเวลา แต่มนุษย์กลับไม่ใช่ เพราะเมื่อทำอะไรไปก็ยึด แล้วพอยิ่งยึดก็ชอบยึดให้เป็นดั่งใจ พอเป็นดั่งใจก็ตกเป็นทาสของกิเลส เมื่อตกเป็นทาสของกิเลสก็บดบังปัญญา พอบดบังปัญญาเป็นทาสของกิเลสแล้ว ก็กลายเป็นคนขี้หวาดกลัว ไม่กล้ายอมรับความจริง ที่แล้วมาเราปฏิบัติต่อธรรมถูกไหม (ไม่ถูก)
การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่ผิดศีลไม่ขาดธรรม ถึงเวลาละวางและกล้ายอมรับความจริง แม้ผลที่ทำนั้นจะดีหรือไม่ดีก็ตาม เราถามท่านนะ พระพุทธองค์ทำดี ท่านยังเคยโดนต่อว่าไหม (เคย)  มีคนใส่ร้ายไหม (มี)  มีคนรังเกียจไหม (มี)  แล้วท่านเลิกทำดีไหม(ไม่เลิก)  แล้วตัวท่านเป็นศิษย์พระพุทธองค์ไหม (เป็น)  แล้วทำไมจึงเลิกทำดี เพียงเพราะโดนต่อว่า โดนเข้าใจผิด โดนดูถูกเหยียดหยาม
ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติให้ถูก ถึงที่สุดแล้วต้องละวาง ไม่ใช่เพื่อยึดถือ เพราะถ้ายังยึดถือก็ยังหนีไม่พ้นทุกข์ เราต้องเข้าใจหนทางนี้ให้ดี การจะปฏิบัติธรรมให้ถูกต้อง ทำให้ถูกต้องด้วย แต่หลายท่านก็มักจะพูดว่า “ทำไมเราต้องเป็นคนดี” เป็นคนดีเหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  ท้อไหม (ไม่ท้อ)  เบื่อการเป็นคนดีไหม (ไม่เบื่อ)  แน่ใจหรือ เห็นนั่งเหมือนคนหมดสภาพแล้ว ถ้าเขาบอกว่าการมาฟังธรรมะเป็นสิ่งที่ดี แต่ทำไมถึงหมดแรงกันแล้ว บางทีอาจจะอดถามไม่ได้ว่า “เป็นคนดีไปเพื่ออะไร” เพราะเวลาทำดีแล้วจะรู้สึกเหนื่อยท้อ ถ้าทำแล้วละวาง จะไม่มีวันเหนื่อย ไม่มีวันท้อ แต่ถ้าทำแล้วยึดมั่นถือมั่น ความดีก็มีวันท้อมีวันเหนื่อย เราจะบอกให้ว่าทำไมเราถึงต้องเป็นคนดี เพราะการทำดีช่วยสกัดกั้นใจ ทำให้เราไม่ไหลลงที่ต่ำ มนุษย์โดยส่วนใหญ่เกิดมาไม่อยากมีทุกข์ ไม่อยากมีบาปติดตัว ไม่อยากมีเวรกรรมติดตัว แล้ว
รู้ไหมว่าทำไมต้องทำดี เพราะทำดีช่วยให้ท่านไม่ต้องทุกข์ ไม่มีบาป ไม่มีกรรมติดตัว ถ้าทำแล้วรู้จักละวาง พอเข้าใจหรือยังว่าทำไมต้องเป็นคนดี แต่หลายๆ คนอาจจะพูดว่า พอทำดีไม่เห็นได้ดีเลย ทำดีแล้วก็เหนื่อยเหมือนเดิม นี่คือทำอย่างคนที่ยังยึดติดอยู่  ถ้าอย่างนั้นทำดีอย่างไร จึงจะบอกว่าทำดีแล้วได้ดีจริงๆ คนทำดี ทำบุญเก่งไหม สวดมนต์เก่งไหม (เก่ง)  บวชชีพราหมณ์เป็นไหม (เป็น)  อะไรที่เป็นสิ่งที่ดีทำได้ทั้งหมด ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าคนดีไม่ละชั่ว แล้วจะเรียกว่าคนดีไหม (ไม่)  ถ้าคนดียังทำบุญ สวดมนต์เก่ง แต่ปากยังนินทาเก่ง แล้วอย่างนี้ยังเรียกว่าดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าคนทำบุญเก่ง ทำทานเก่ง แต่นิสัย
ยังแอบชอบคดโกงคนอื่น แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าดีไหม (ไม่ดี)  อย่างนี้เราก็เป็นประเภทความดีก็ทำ แต่ความชั่วก็ไม่ละ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าดีได้เช่นไร เหมือนอย่างเช่น เราเป็นคนชอบดอกไม้ พบใครปลูกดอกไม้ เราก็แอบเด็ด แต่เราไม่ได้ให้ตัวเอง เราเอาไปให้คนอื่น อย่างนี้ดีไหม (ไม่ดี)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม (ไม่เป็น)  ไปว่าเขาให้เจ็บปวดแล้วค่อยไปทำบุญ ไปเบียดเบียนเขามาเต็มที่ แล้วค่อยไปทำทาน ทำดีในวัด แต่อยู่นอกวัดทำชั่วตลอด อย่างนี้ดีไหม (ไม่ดี)
การที่เราเป็นคนดี เราคือคนที่คอยคิดอยู่เสมอว่า เราเป็นคนดีแล้ว เราทำดีแล้ว ดังนั้นทุกคนต้องมีหน้าที่ดีกับเราทุกคน อย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วทำไมคนดีมักจะคิดว่า ทุกคนต้องดีกับฉัน ไม่ควรคิดอย่างนั้น เพราะ
สิ่งที่เขาทำกับเรา เราบอกไม่ดี แต่เขาอาจจะบอกว่าดีที่สุดแล้ว จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นการเป็นคนดี ไม่ใช่การเอาความดีไปให้คนอื่น แล้วไปบังคับคนอื่นว่า เธอต้องดีกับฉัน อย่างนี้ไม่ใช่ แต่เราดีเพื่อยับยั้งกิเลส เพื่อหยุดทุกข์ เพื่อไม่สร้างบาปกรรมติดตัว ไม่เกี่ยวอะไรกับใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำอย่างนี้ จะทำดีได้ตลอดอย่างไร พบคนทำหน้าบึ้ง คนโกง คนเอาเปรียบ คนเลื่อยขา บางทีเราก็อดไม่ได้ จริงไหม (จริง)
พระพุทธะสอนให้ละบาปบำเพ็ญบุญ หากเขาทำไม่ดีกับเรา เราจะสร้างบาปละบุญ หรือจะละบาปบำเพ็ญบุญ (ละบาปบำเพ็ญบุญ)  อย่างนั้นถ้าเขาไม่ดี เราต้องละบาปบำเพ็ญบุญ แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่ พอเขาร้ายมา เราก็ร้ายกลับ การกระทำของเราจึงกลายเป็นตรงกันข้ามกับที่ปฏิบัติธรรมคือ ละบุญสร้างบาป ถ้าท่านคือผู้ที่เข้าใจหลักธรรม การละบาปบำเพ็ญบุญ ไม่ใช่เกิดจากเรากระทำต่อเขาอย่างเดียว แต่เรายังสามารถแปรเปลี่ยนสิ่งที่เขากระทำกับเรา ให้กลายเป็นชำระหนี้บาปในตัวเรา และเราได้สร้างบุญโดยที่เขาต่อว่า โดยที่เขาเบียดเบียนและคดโกง แต่เราจะทำให้กลายเป็นละบาปบำเพ็ญบุญ แต่ถ้าเมื่อไรที่เขาด่ามา แล้วเราโกรธตอบ ความโกรธคือมูลเหตุแห่งความชั่ว คือต้นทางแห่งบาปและกรรมทั้งมวล เขาโกงมาเราจะเกลียดและร้ายตอบก็ได้ แต่ท่านจะละบาปบำเพ็ญบุญ หรือละบุญสร้างบาป (ละบาปบำเพ็ญบุญ)  ถ้าร้ายมาร้ายตอบดีไหม (ไม่ดี)  ตอนนี้เราบำเพ็ญธรรม ปฏิบัติธรรม เราควรละบาปบำเพ็ญบุญ ใช่ไหม (ใช่)
แล้วบุญกับบาปต่างกันอย่างไร สิ่งใดก็ตามที่สามารถทำแล้วชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ นั่นเรียกว่า “บุญ” สิ่งใดที่ทำแล้ว ทำให้หม่นหมองเป็นทุกข์ และเวียนไม่จบในความทุกข์และวิบากแห่งกรรม นั่นเรียกว่า “บาป” และกระแสแห่งการเวียนว่ายวัฏสงสาร เหมือนตอนนี้สิ่งที่อยู่ในใจของเราเป็นบุญหรือบาป ความไม่ดีของคนอื่นสิ่งนั้นหรือเรียกว่าบุญ (ไม่ใช่)
ถ้าเป็นบุญ ก็มีแต่สิ่งที่ให้เราโล่งปลอดโปร่งโล่งใจ สบายใจ ไม่มีตัวตน แต่ตอนนี้สิ่งที่อยู่ในใจ มีแต่หนักใจ เกลียด เบื่อและรำคาญเขา ฉะนั้นใจเรามีบุญหรือมีบาป (บาป)  เมื่อสักครู่กับตอนนี้ทำไมต่างกัน ฟังธรรมจากเรา
ไม่ยากใช่ไหม (ใช่)
การปฏิบัติธรรมสามารถทำได้ทุกที่ สามารถประพฤติปฏิบัติสร้างบุญกุศลได้กับทุกคน เหมือนแค่เราเดินผ่านคน ถ้าเราเด็กกว่า ใจเราอ่อนน้อมและก็เดินโค้งตัวผ่าน ลดอัตตาตัวตนได้ ทำด้วยใจที่เคารพนบนอบ นั่นก็คือบุญ แต่ถ้าเราเดินเชิดหน้า อย่างนี้บุญหรือบาป
ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมจึงไม่จำเป็นว่าจะต้องทำแค่ที่วัด เราทำได้ทุกที่ มนุษย์มักพูดเสมอว่า “ไม่มีทานใดประเสริฐเท่ากับการให้ธรรมะเป็นทาน” ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าทุกขณะที่เราดำเนินชีวิต ทุกขณะที่เราทำงาน เราสามารถให้ธรรมะเขาได้ ให้ความอ่อนน้อม ให้ความเมตตา ให้จิตที่ดีงาม เราไม่ใช่กำลังทั้งทำบุญและให้ทานหรือ แต่ปัจจุบันนี้มนุษย์เป็นอย่างนั้นหรือไม่ (ไม่)  ให้แต่กิเลสความเกลียด และวิ่งไปตามใจตัวเอง
ฉะนั้นการเรียนรู้ฝึกฝนปฏิบัติธรรม ท่านจึงสอนให้เรารู้เท่าทันใจตน รู้เท่าทันยับยั้งกิเลสของตน เพื่อไม่ก่อให้เกิดเป็นทุกข์ให้กับตัวเอง มนุษย์ทุกคนล้วนมีความอยาก แต่ถ้าไม่สามารถควบคุมความอยากได้แล้ว ความอยากนั้นจะทำให้เราทุกข์ และเจ็บปวดไม่สิ้นสุด  ทุกคนมีความดี แต่ถ้าความดีนั้น เราไม่รู้จักควบคุมกิเลสอารมณ์ตน คนดีๆ ก็พร้อมที่จะเป็นคนที่ร้ายและน่ากลัวที่สุดได้
วันนี้เรามาผูกบุญกับท่าน เพียงสั้นๆ แค่นี้ ก็คงจะได้อะไรไปบ้างไม่มากก็น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อาจจะไม่ได้อะไรเลย ถ้าไม่มีสติยั้งคิด จริงหรือเปล่า (จริง)  จำไว้นะ การปฏิบัติธรรมคือละบาปบำเพ็ญบุญ สิ่งใดที่ทำให้หม่นหมอง สิ่งใดที่คิดแล้วทำให้เราทุกข์และเจ็บปวด นั่นถือว่าเป็นบาปแต่ถ้าสิ่งใดที่ทำแล้ว ทำให้สบายใจ ทำให้ไม่ยึดติดในความเป็นตัวตน นั่นเรียกว่า บุญ เรียกว่า กุศล
วันนี้นั่งแล้วบังเกิดบุญหรือบังเกิดบาป (บังเกิดบุญ)  ใจโล่งสบายหรือใจขุ่นมัว (โล่งสบาย)  นั่นก็คงเป็นบุญ ใช่ไหม (ใช่)  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก อย่าลืมละบาปบำเพ็ญบุญ อย่าเผลอละบุญสร้างบาป เพียงเพราะพูดไม่คิด หรือทำโดยไม่ไตร่ตรอง ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราอยากอยู่อย่างมีสุขก็จงอย่าสร้างบาป เพียงแค่คิดร้ายก็เกิดเป็นบาปแล้ว ใช่ไหม (ใช่)


วันอาทิตย์ที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐      สถานธรรมเซิ่งเต๋อ  จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ใจที่มีอารมณ์นิสัยความคิดวุ่น          พาลโลกหมุนไปตามความเป็นเท็จ
แบบที่ศิษย์รับแย่มาโลกอาเพศ           ผู้รู้มีแต่ย่ำกิเลสปราบกมล
ช่างอดสูย้อนดูเรื่องในหัว                 เราเองตัวคิดความชอบประโยชน์ผล
รู้จักโลกดีคิดแต่ไม่ค้น                     ไร้หลักรองรักตนดลเคราะห์ภัย
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                     ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม

  เพียงแค่หัดยอมรับความเป็นจริง       ชีวิตนั้นจะยิ่งมีความสุข
ปัญหาเป็นส่วนหนึ่งของความทุกข์       ความทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
อย่าเอาแต่คิดว่าทำไม่ได้                 พอทำได้อาจไม่เป็นอย่างที่คิด
ธรรมะนั้นไม่มีถูกไม่มีผิด                  เพียงฝึกจิตว่างให้ธรรมไหลสู่ใจ
โลกคือธรรมที่ยังคงหมุนเปลี่ยนผัน       แต่คนนั้นสร้างกรรมยึดถือไว้
หลงไม่รู้ตามกิเลสอารมณ์ไป              กลายเป็นทุกข์บาปกรรมไซร้ติดตรึงตา
                                            ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ดีใจไหม (ดีใจ)  ดีใจที่จะได้กลับบ้านใช่ไหม (ไม่ใช่)  อย่างนั้นดีใจเรื่องอะไร (ดีใจที่ได้พบอาจารย์)  จริงหรือ
ชีวิตนี้ถ้าเรื่องราวบางเรื่องเป็นแบบนี้ก็ดีนะ แต่บางทีก็มักจะมีอะไรค้างคาจิตใจอยู่เสมอ อาจารย์แค่กำลังจะบอกว่า ถ้าในชีวิตของความเป็นคน เรื่องราวบางเรื่องแค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ก็คงจะดีใช่ไหม (ใช่)  แต่บางทีไม่ใช่แบบนั้น เมื่อผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่กลับคาอยู่ในใจ บางทีเรื่องบางเรื่องจบไปแล้ว แต่อะไรมันคาอยู่ในใจ ความไม่ชอบ ความคิดที่รับไม่ได้ ฉะนั้นทำให้ทุกเรื่องราวที่บางทีมันควรจะผ่านไปแล้ว มันเลยยังไม่จบ และกลับกลายเป็นเรื่องวุ่นวาย กลายเป็นความทุกข์ที่ยังไม่ยอมจบ เหมือน
บางเรื่องผ่านไปแล้วก็ผ่านมาอีก เพราะอะไร เพราะใจเรายังติดค้างยังชอบอยู่ ฉะนั้นถ้าเรื่องราวในโลกนี้มันผ่านไปแล้ว และจบไปก็คงไม่วุ่นวาย แต่ที่ยังวุ่นวาย เพราะบางเรื่องยังคาใจเราอยู่ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม
ฉะนั้นถ้าเราทำใจว่างๆ ชีวิตจะวุ่นวายไหม (ไม่วุ่นวาย)  แต่เราก็มักจะค้างคาใจ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วในใจของเรามีอะไรค้างคาอยู่หรือมนุษย์มักพูดว่า “จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะเราไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะมีอยู่หรือไม่” ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าวันนี้ทำดีแล้ว ทำถูกต้อง ถูกทำนองคลองธรรมไม่ผิดศีลธรรมแล้ว แม้วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ไยเราต้องกังวล แต่ถ้าวันนี้ยังทำไม่ดี ศิษย์ก็ต้องแก้ไขให้ดียิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราเป็นคนที่ดีหรือยัง (ยัง)  คนที่รู้ตัวว่ายังไม่ดี ยังพอเรียกว่ามีดีบ้าง จริงไหม (จริง)  แต่คนที่คิดว่าตัวเองดีแล้ว นั่นแปลว่า ใครก็ว่าไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้อาจารย์จะพูดอะไรผิดหูไม่ได้เลยใช่ไหม (ไม่ใช่)
เรามารู้จักกันก่อนดีไหม (ดี)  รู้จักกันแล้วค่อยคุยกันต่อ แต่ก่อนจะคุยกันต่อเราต้องมีความคิดเห็นที่ไปทางเดียวกันก่อน อย่างแรกที่สุดที่ต้องรับรู้ไว้อย่างหนึ่งคือวันนี้เรามาศึกษาหลักธรรม อาจารย์ไม่ได้สอนให้ศิษย์เปลี่ยนศาสนา เรายังมีธรรมอันเดียวกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมทำให้เป็นกลาง แต่ถ้าเรายึดติดธรรมอย่างคนแบ่งแยก นั่นแปลว่าเรายังไม่เข้าใจธรรม  ธรรมสอนให้เราเข้าใจความเป็นจริงและยอมรับทุกสิ่งด้วยหัวใจที่เป็นกลาง ฉะนั้นถ้าศิษย์มีธรรมแล้วแบ่งแยก นั่นก็แปลว่าศิษย์ยังไม่เข้าถึงธรรม เหมือนศิษย์แบ่งแยกอาจารย์ก็อาจารย์ ศิษย์ก็ศิษย์ อย่างนี้เรียกว่าแบ่งแยก ใช่ไหม (ใช่)  แล้วศิษย์แบ่งแยกไหม (ไม่) ถ้าอย่างนั้นเราก็เป็นพวกเดียวกัน มีอะไรก็จับเข่าคุยกันได้ มีอะไรก็พูดคุยกันตรงๆ ได้สินะ
อาจารย์ขอถามศิษย์ว่าเราอยู่ในโลก ถ้าเราเป็นคนดีมากๆ ใครๆ ก็บอกว่า เกิดเป็นคนอยู่ในโลกให้รู้จักให้มากกว่ารับ เรียกว่าคนดีใช่ไหม (ใช่)  มีโอกาสให้เราให้มากกว่ารับ แต่พอทำจริงๆ เราไม่เอาเลย เรามีแต่ให้คนอื่นเลยว่าเราบ้า ฉะนั้นเป็นศิษย์อาจารย์มีแต่ให้ไม่ค่อยจะเอา บ้าแบบนี้เอาไหม (เอา)  ดีกว่าไปเอาของเขามา กลับจะมีแต่คนรังเกียจ คนก็จะว่าเราเห็นแก่ตัว อย่างนั้นสู้ให้มากหน่อยเอาน้อยหน่อยดีไหม (ดี) อาจารย์พูดตามหลักเหตุผล ถามว่าทำอย่างไรเป็นคนดี ก็ให้มากหน่อยแล้วเอาน้อยหน่อยก็จะเรียกว่าคนดี แต่พอเราทำจริงๆ ก็มาว่าแกบ้าหรือเปล่าไม่เอาเลยหรือ  ให้เขาหมดเลยหรือ แค่นี้ก็สบายใจแล้วจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าจะเป็นศิษย์อาจารย์ ศิษย์พร้อมจะบ้าที่มีแต่ให้ไม่หวังผลได้ไหม เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ต้องบ้าในโลกนี้ให้ได้ และบ้าให้ดีด้วย จะได้มีสุข คนในโลกชอบโกหกพกลม คดในข้องอในกระดูก
ฉะนั้นถ้าเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ต้องซื่อตรง ไม่โกงเขา ไม่เอาเปรียบเขา เขาสวยไหม เขาหล่อไหม เรากล้าพูดตรงๆ ไหม (ไม่กล้า)  ฉะนั้นการพูดตรงๆ การรักษาความจริงเป็นสิ่งที่ดี แต่พอรักษาความจริงมากเขาก็ว่าเรา “ไอ้บ้า” แล้วเราจะยอมเป็น ”ไอ้บ้า” ไหม (ยอม)  ถ้าเพื่อนถามเราว่าเขาหล่อไหม ถ้าพูดตรงๆ แล้วจะเป็นการทำร้ายน้ำใจก็บอกว่า “เอาหลังไมค์ได้ไหม ถ้าหน้าไมค์เดี๋ยวแกไม่มีหน้านะ” ฉะนั้นจำเป็นไหมที่จะต้องโกหก (ไม่จำเป็น)  ถ้าบางเรื่องจำเป็นจะต้องโกหก อาจารย์ว่าไม่ควรจะพูดเลยดีกว่า แต่จะพูดอย่างไรให้อ้อมแล้วเขาเข้าใจเองก็ได้ มนุษย์เกิดมามีสิ่งหนึ่งที่ประเสริฐนั่นเรียกว่า สติปัญญาและความดีงามในหัวใจ ที่ทำให้เราเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐแล้วรู้จักคิด รู้จักพูด เรารักความถูกต้อง เรารักความดี แต่เราก็อย่าลืมว่าการมีเมตตา การถนอมน้ำใจก็เป็นสิ่งที่เราต้องควรมีไว้ด้วยจริงไหม (จริง)
อะไรๆ ถ้ารับไหวมันก็สบาย แต่ถ้าอะไรอะไรรับไม่ไหวมันก็ทุกข์  อยู่กับอาจารย์ อาจารย์อยากช่วยให้ศิษย์ไม่ทุกข์ ศิษย์อยากได้อะไร อาจารย์ก็ต้องตามใจ ศิษย์จะได้ไม่ทุกข์ใช่ไหม (ไม่ใช่)  แปลว่าการตามใจ บางทีก็ทำให้เราทุกข์ได้เหมือนกัน ถูกไหม (ถูก)  อย่างนั้นแปลว่า ถ้าอาจารย์ไม่ตามใจ ศิษย์ก็ไม่ทุกข์ใช่ไหม (ใช่, ไม่ใช่)  ตกลงเอาอย่างไร การตามใจบางทีก็ทำให้เราสุข แต่บางทีการตามใจมากเกินไปก็ทำให้เราทุกข์ ฉะนั้นอาจารย์ทั้งตามใจและไม่ตามใจแบบนี้ดีไหม (ดี)  อย่างนั้นอาจารย์บอกให้นั่งก็นั่ง บอกให้ยืนก็ยืน ตกลงไหม (ตกลง)  ศิษย์บางคนบอกว่า เกิดเป็นคน การศึกษาปฏิบัติธรรมบางทีก็ไม่จำเป็น ศิษย์ก็มีชีวิตรอดไปวันๆ ก็ทุกข์บ้าง สุขบ้าง ก็เป็นเรื่องปกตินะอาจารย์ แล้วจะศึกษาปฏิบัติธรรมไปทำไม ใช่ไหม (ไม่ใช่)
วันนี้เรามาศึกษาธรรม เพื่อนำไปปฏิบัติธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อก่อนเราก็ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้ปฏิบัติ เราก็ยังมีชีวิตรอดได้ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอยากจะทำอะไรก็ทำไป ไม่ต้องสนใจใคร ไม่ต้องไปแคร์ใคร ใช่ไหม (ไม่)  ทำไมหรือ ก็เห็นคนส่วนใหญ่ก็เป็นกันเช่นนี้ทั้งนั้น ไม่เห็นต้องศึกษาธรรม ก็ยังอยู่รอดได้ ทุกข์เป็นปกติแล้วเดี๋ยวก็สุขเอง ฉะนั้นจึงทำตามใจตนเอง ไม่ต้องสนใจเรื่องธรรมะ จริงไหม (ไม่จริง)  มีใครคิดเช่นนี้บ้าง (ไม่มี)  จริงหรือ (จริง)  อาจารย์ว่าไม่จริงหรอก มีคนแอบคิดอยู่แต่ไม่กล้าพูดออกมา
สมมติว่าอาจารย์ไม่ค่อยสนใจธรรมะ อาจารย์อยากจะทำอะไรอาจารย์ก็ทำ อย่างเช่นพอใจเสียอย่าง จะทำไม ดีไหม (ไม่ดี)  ทำไมล่ะ ตั้งแต่เกิดมามีชีวิตอยู่ เราก็ตามใจตัวเอง อยากทำอะไรเราก็ทำ จะสนใจทำไมใช่ไหม (ไม่ใช่) ได้ไหม (ไม่ได้)  ทำไมไม่ได้ ก็ในเมื่อจะทำ อาจารย์ขอถามหน่อย ลึกๆ ในใจศิษย์ถ้ามีคนมาทำกับศิษย์อย่างนี้ แล้วบอกว่าหยวนๆ นะ เรายอมไหม (ไม่ยอม)  ทำไมล่ะ ในเมื่อเราก็เป็นคนแบบนี้ อยากทำอะไรก็จะทำ ฉันไม่สนใจใคร ทำไมฉันต้องสนใจ ทำไมฉันต้องมีธรรมะ ทำไมฉันต้องห่วงความดีความชั่ว ในเมื่อคนส่วนใหญ่คิดอย่างนี้ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นนี่แหล่ะที่อาจารย์จะบอกว่าทำไมคนเราต้องมีธรรมะ เพราะลึกๆ ในใจศิษย์ไม่ชอบคนดูถูก ลึกๆ ในใจศิษย์ไม่ชอบคนเอาเปรียบเห็นแก่ตัว และลึกๆ ในใจศิษย์ไม่ชอบให้คนชั่วคนไม่ดีมาอยู่ใกล้  ฉะนั้นอย่าถามอาจารย์นะว่า เกิดเป็นคนทำไมต้องมีธรรมะ ศิษย์ลองคิดง่ายๆ ถ้าศิษย์มีธรรมะไปอยู่ในบ้าน ในหมู่คน ในสังคม ทุกคนต่างปฏิบัติต่อกันอย่างไม่ตามใจตัวเอง แต่ปฏิบัติต่อกันอย่างคนมีธรรม ศิษย์ว่าสังคมจะวุ่นวายไหม (ไม่)  คนจะทำร้ายกันไหม (ไม่)  คนจะเห็นแก่ตัวเอาแต่ได้จนไม่นึกถึงผู้อื่นไหม (ไม่)  ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรม การศึกษาปฏิบัติธรรม เพื่อเอาธรรมะนั้นมาปฏิบัติต่อตัวเอง และเอาไปใช้กับผู้อื่น โดยถามว่ารากฐานลึกๆ เรามีธรรมอะไรที่เราพร้อมปฏิบัติกับผู้คนได้ และทำให้คนมีความสุข ไม่เกลียดเรา ไม่ด่าเรา และไม่กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว นั่นก็คือความเมตตา ในโลกนี้ไม่ต้องการคนเห็นแก่ตัว แต่ต้องการคนมีเมตตา ถามจริงๆ ถ้าศิษย์มีเมตตาในหัวใจ ศิษย์จะด่า เบียดเบียน ดูถูก หรือจะโกงใครไหม (ไม่)  อย่างนั้นที่ไปโกง ไปด่า ไปดูถูก ไปเบียดเบียน นี่คือลืมเมตตาในใจไหม
ก่อนศิษย์จะถามอาจารย์ ศิษย์ถามใจตัวเองก่อน ทำไมคนเราจึงต้องประพฤติปฏิบัติต่อกันด้วยคุณธรรม เพราะคุณธรรมทำให้อยู่ร่วมกันแล้วอบอุ่น เพราะคุณธรรมเมื่อปฏิบัติต่อกัน เมื่ออยู่ร่วมกันจะรู้สึกร่มเย็นและสบายใจ แต่ศิษย์ลองปฏิบัติแบบเอาแต่ใจตัวเอง คือ มองอย่างนี้จะเอาอย่างไร มองดีๆ ไม่ได้หรือ จะคอยคิดเข้าข้างตัวเองและคิดไหลลงต่ำว่าคนนี้หาเรื่องหรือเปล่า คนนี้มาดีกับเราเพื่อหวังผลประโยชน์ไหม แต่ถ้าเราปฏิบัติต่อกันด้วยคุณธรรม ศิษย์จะทำร้ายใครไหม เหมือนพระพุทธะท่านสอนไว้อย่างหนึ่งว่า “เมื่อเราอยู่ร่วมกัน คุณธรรมง่ายๆ ที่ดียิ่งๆ ขึ้น และดีสุดจิตสุดใจ ดีจนกลายเป็นพุทธะเดินดิน นั่นคือเมตตาธรรม” อะไรที่เรียกว่าดี  ก็ให้ถามตัวเองก่อนว่า เมตตาหรือยัง คิดถึงหัวอกคนอื่นหรือเปล่า ก่อนที่จะพูดอะไร มนุษย์รู้แต่เพียงว่า พูดดี ทำดี คิดดี ก็เลยจมอยู่แค่สามอย่างนี้ แต่ถ้าเมตตาในความคิด เมตตาในคำพูด เมตตาในการกระทำ ดียิ่งกว่าดี
ดีมากกว่าดี ดีมากถึงที่สุดจนไม่เห็นแก่ตนเลย ดีไหม (ดี)  ลองทำดูไหม (ลอง)  ไม่ใช่ลองกับอาจารย์นะ แต่ให้เอากลับไปลองใช้ที่บ้าน อาจารย์จึงบอกว่า การศึกษาเรียนรู้ธรรม ไม่ใช่แค่ปฏิบัติอยู่แค่ที่วัด แต่ต้องปฏิบัติได้ในทุกๆ ที่ เราสามารถทำบุญได้กับทุกๆ คน แล้วเราก็สามารถให้ทานได้กับทุกๆ คน สมมติอาจารย์บอกว่า แค่เมตตาธรรมอย่างเดียว ทำให้เราอยู่ในสังคมได้อย่างสันติสุขไหม (สันติสุข)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนออกมาหน้าชั้น)
อาจารย์มีเมตตาในเพื่อนและบอกเพื่อนว่า ฉันเห็นแอปเปิลสวยๆ จะเอาสักลูกไหม (ไม่เอา)  ทำไมไม่เอา ฉันยังกินไม่อิ่มเลย เธอไม่เห็นใจฉันเลย คิดถึงแต่ตัวเองได้อย่างไร ไปหยิบมาให้หน่อย ไม่มีใครเห็นหรอก เธอไม่เอา แต่ฉันเอานะ หยิบให้หน่อย ไม่หยิบให้ เธอไม่เห็นใจฉันเลย ฉันหิวนะ อาจารย์มีวิธีที่จะไปเอาแอปเปิล มีคนเห็นไหม (เห็น)  ถึงแม้ว่าเรามีเมตตาในจิตใจ แต่เราทำโดยไม่ซื่อตรง ดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าอาจารย์โดนจับได้แล้วบอกว่า ผมไม่ผิด คนนี้เป็นคนยุผม มีเพื่อนแบบนี้เอาไหม
ฉะนั้นเมื่อมีเมตตาแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องมีก็คือ ความซื่อตรงจริงใจ รักเขาเหมือนรักตัวเอง ห่วงเขาก็เหมือนห่วงตัวเองด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ยากไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นเมื่อเราปฏิบัติได้ จะไปอยู่ที่ไหนเราก็จะมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุขจริงไหม (จริง)
คนเราต้องรู้จักบุญคุณคน มีทุกข์ร่วมทุกข์ มีสุขร่วมสุข ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญในการอยู่ร่วมกันในสังคม นอกจากมีเมตตา ความซื่อตรง และที่ต้องมีอีกอย่างหนึ่งคือ ความเคารพจริงใจให้เกียรติกัน ถ้าเราอยู่ในสังคมอย่างเป็นสุขและเป็นคนดีในหัวใจของทุกๆ คน ถามใจของศิษย์ว่า ศิษย์กอปรด้วยธรรมะไหม ถ้าทุกขณะที่ศิษย์มีชีวิต แล้วกอปรด้วยคุณธรรมความดีในหัวใจ มีหรือที่จะไม่เป็นคนดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีเมตตาในใจ ซื่อตรงจริงใจ เคารพให้เกียรติ ทำยากไหม (ไม่ยาก)  ไม่อยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตนเอง ไม่ยากใช่หรือเปล่า เพราะถ้าทำได้ ศิษย์ก็จะไม่ผิดศีลไม่ขาดธรรม และไม่ตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาจริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าเรารู้จักพอบ้างใช่ไหม (ใช่)  พอเรามุ่งมั่นกระทำในสิ่งที่ดี แต่บางทีก็มีเรื่องยากๆ ทำให้เราทุกข์ ทำให้เราท้อ เหมือนที่ศิษย์ถามอาจารย์ตั้งแต่ต้นว่า ทำไมจึงต้องศึกษาธรรม แต่พอเราเข้าใจว่าทำไมเราจึงต้องศึกษาปฏิบัติธรรมแล้ว ศิษย์ก็อดจะถามต่อไม่ได้ว่า ศึกษาปฏิบัติธรรมแล้ว ทำไมจึงต้องพยายามเข้าใจธรรมด้วย ศึกษาธรรมก็มีแล้ว พยายามมีเมตตา มีความซื่อตรง มีความจริงใจ มีความเคารพให้เกียรติ เราก็ทำหมดแล้ว แล้วทำไมยังต้องพยายามที่จะมาศึกษาธรรมให้เข้าใจเพิ่มอีก มันเยอะไปหน่อยไหม (ไม่เยอะ)  ให้มาฟังธรรมบ่อยๆ เอาไหม (เอา)  จริงหรือ ตอนจะมาเห็นเกี่ยงแล้วเกี่ยงอีก อาจารย์จะบอกศิษย์ให้รู้ว่า การเข้าใจธรรมนั้นดีตรงไหน มนุษย์มีสิ่งประเสริฐอยู่ในตัวเรานั่นก็คือ “ปัญญา” ปัญญาเท่านั้นที่จะทำให้เราเรียนรู้และเข้าใจโลกใบนี้ บางครั้งที่เราเรียนรู้โลกภายนอก แต่บางทีเราก็ไม่เข้าใจชีวิต ฉะนั้นการเข้าใจธรรมจะช่วยเยียวยาใจเราได้ การที่เราศึกษาธรรมะจนสามารถเข้าใจแล้ว ธรรมะก็จะช่วยเยียวยาใจเราได้
อาจารย์ถามหน่อยนะ อยู่ในโลกศิษย์เคยรู้สึกชอบใครบางคนไหม (เคย)  คนในโลกมีตั้งมากมาย แต่ก็แปลกทำไมบางคนเรากลับถูกชะตา บางคนเราชอบ บางคนเราไม่ชอบ บางคนเราเห็นแล้วรำคาญใจ บางทีเราก็หาคำตอบไม่ได้ ถ้าอาจารย์จะบอกว่า ความเข้าใจธรรมจะช่วยให้เราเยียวยาใจเราได้อย่างไร
ศิษย์เชื่อไหมว่า การเข้าใจธรรม ธรรมจะช่วยเยียวยาใจอย่างหนึ่งคือ คนเราเกิดมาล้วนมีกรรมต่อกันมาก่อน กับคนมากมายไม่โดน แต่มามีกรรมกับคนๆ นี้ ตอนแรกชอบๆ ก็บอกเป็นคู่บุญวาสนา บุญอะไรชักให้มาเจอกัน แต่พออยู่กันไปสักสิบปี ยี่สิบปี คู่บุญทำไมกลายเป็นคู่เวรคู่กรรม ตอนนี้ศิษย์กำลังจะบอกว่า อาจารย์หนูทุกข์เหลือเกิน ทำไมเขาถึงทำกับหนูแบบนี้ เมื่อก่อนเขาไม่เคยทำกับหนูแบบนี้ ตอนนี้ทำไมจึงเป็นแบบนี้หรืออาจารย์ ฉะนั้นความเข้าใจในธรรม จะช่วยเยียวยาใจของเราได้อย่างไร ศิษย์จำไว้นะ โลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ ถ้าไม่มีกรรมและบุญร่วมกันมา ไม่มีทางมาเจอกันได้ ถ้าไม่มีบุญต่อกันมา ก็จะไม่มารักกันหรอก ธรรมก็สอนไว้ว่า ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ อยากมีรักก็อย่าเกลียดทุกข์ ที่ไหนมีบุญที่นั่นก็มีกรรม ถ้าเราเข้าใจธรรม ธรรมจะช่วยเยียวยาใจว่า อย่างน้อยใช้บุญมาหมดแล้ว ตอนนี้ก็ใช้กรรม
อาจารย์ขอถามต่อ ถ้าเราเจอกับคนที่ตอนแรกเราคิดว่าดี แต่ตอนนี้หน้ามือกลับเป็นหลังมือ ศิษย์อยากจะจองเวรจองกรรม หรือศิษย์อยากจะจบเวรจบกรรม (จบเวรจบกรรม)  ถ้าทุกวันเขาทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ เราจะด่าเขา โกรธเขา เกลียดเขา เมื่อวานเพิ่งได้รู้จากท่านหลันไฉ่เหอต้าเซียนไม่ใช่หรือ คำว่า “ละบาปบำเพ็ญบุญ”  ฉะนั้นอยากมีบุญต่อไหม ก็สร้างบุญต่อกัน
ดีไหม (ดี)  เพื่อบุญนั้นจะได้มาเจอกันอีก ต้องคิดให้ดีๆ นะศิษย์ อยากจบกันแค่นี้ หรืออยากจะเกี่ยวกรรมกันต่อไป ด่ากันแล้วไม่เผาผีกันเลย เอาไหม (ไม่เอา)  แค่ยอมรับแล้วอยู่อย่างมีความสุขให้ได้ ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่รักอีกต่อไป แต่ก็ไม่โทษกันอีกแล้ว ให้คิดว่าเราจบกันแค่นี้นะ ไม่ใช่ว่าแม่ไม่รักพ่อแล้ว แม่ไม่อยากผูกบุญกับพ่อแล้วนะ ความเข้าใจธรรมจะช่วยเยียวยาใจ จำไว้นะศิษย์ โลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญที่ต้องมาเจอกัน ดีออกที่เราได้ใช้กรรม
ที่ต้องเกลียดกัน ก็คิดว่าดีออกที่ฉันได้ใช้กรรมแล้ว พ่อเกลียดแม่ไม่เป็นไร แต่แม่ไม่เคยเกลียดพ่อ แม่เข้าใจพ่อ ฉะนั้นความเข้าใจธรรม ทำให้เราวางเฉยและละวางด้วยหัวใจที่เป็นสุข ไม่ต้องรัก ไม่ต้องเกลียด แต่ขอแค่นี้พอ อยากมีบุญต่อ ก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อไรบุญหมด กรรมก็มาเมื่อนั้นนะศิษย์จำไว้ เราอยากเกิดมาเพื่อเกี่ยวกรรม หรือจบเวรจบกรรม หรือไม่ต้องมีกรรม
ต่อกัน ใครร้ายมาเราร้ายตอบดีไหม ใครด่ามา เราด่าตอบเอาไหม (ไม่เอา)  ใครขโมยมา เราขโมยตอบเลยไหม (ไม่ใช่)  เขาแย่งสามีเรามา เราไปแย่งสามีเขาต่อเอาไหม (ไม่เอา)
ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะ ความเข้าใจธรรมสอนให้เรารู้ว่า โลกนี้ไม่มีความบังเอิญ ทุกคนเกิดมาเพื่อใช้กรรม เราเป็นหน่อเนื้อแห่งกรรมและเราจะไม่สร้างกรรมต่ออีกแล้ว เราขอชดใช้กรรมในอดีต แต่กรรมในอนาคตเราขอไม่สร้างอีกแล้ว ฉะนั้นการศึกษาธรรมทำให้เราเข้าใจธรรม และธรรมนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น ธรรมนั้นมันก็คือชีวิต ชีวิตล้วนคือธรรม ฉะนั้นเรียนรู้ศึกษาธรรมทำให้เราเข้าใจใช่ไหม (ใช่)  แต่ศิษย์ก็ต้องจำไว้อีกอย่างหนึ่งว่า
การเข้าใจธรรมจะฟังแค่อย่างเดียวแล้วจะทะลุทะลวงทุกเรื่องแล้วทำให้เราเข้าใจโลก เข้าใจธรรมทุกอย่างเป็นไปไม่ได้ เพราะใจลึกๆ ของศิษย์ยังมีความอยากอยู่
โดยส่วนใหญ่เวลาที่ศิษย์เจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ศิษย์เจอพระ ศิษย์ปรารถนาอยากได้อะไร อยากได้สุขใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้เขียนบนกระดานดำ)
สิ่งที่ศิษย์อยากได้คือ อยากได้สุข, อยากได้ครอบครัวร่มเย็น, อยากได้สุขภาพแข็งแรง, อยากได้ ไม่อยากเสีย, การงานมั่นคง
(พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียน)
เอาไหมสองตัว ถ้าไม่อยากมีชีวิตที่วุ่นวายอาจารย์จะให้สองตัว เมื่อเอาแล้วไปทำให้ได้นะ “พอดี” ถ้าไม่พอมันก็จะไม่ดี พอเมื่อไรก็จะดีเมื่อนั้น
มนุษย์อยู่ในโลกพยายามหาสิ่งที่ทำให้ตัวเองมั่นคง เมื่อมั่งคงแล้วจะอยู่บนโลกได้อย่างไม่ทุกข์ไม่เดือดร้อน และสิ่งที่เราอยากหาและทำให้เรามั่นคงก็มีความสุข ครอบครัวร่มเย็น สุขภาพแข็งแรง การงานมั่นคง แต่อาจารย์ถามหน่อยว่าบนโลกใบนี้มีไหม ขอแค่เพียงวันฟ้าสว่าง ไม่เอาวัน
ฟ้ามืดได้ไหม (ไม่ได้)  เวลาใครมาหาศิษย์ต้องพบแต่ด้านหน้า ห้ามเอาด้านหลังมาให้ดูได้ไหม (ไม่ได้)  มีแต่หน้ามือไม่มีหลังมือได้ไหม (ไม่ได้)  มีแต่มือไม่มีเท้าได้ไหม (ไม่ได้)  มีแต่เท้าไม่มีหัวได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะเป็นสิ่งคู่กันใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า ถ้าอยากได้สิ่งนี้ แล้วจะเป็นไปได้หรือไม่ที่ได้มาแล้วไม่เสีย (ไม่ได้)  มีความสุขแล้วจะไม่ทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้)  แข็งแรงแล้วจะไม่อ่อนแอได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วถ้าอยากได้อย่างนี้แต่ไม่เอาอย่างนั้น บ้าหรือไม่ (บ้า)  แล้วก็พยายามขอทุกวัน สาธุขอให้มีแต่ด้านหน้า ขอให้มีแต่สุขๆ ได้ๆ อย่าเสียเลย อย่างนี้บ้าหรือไม่บ้า (บ้า)  โง่หรือไม่โง่ (โง่)  แล้วขอหรือไม่ขอ (ขอ)
โลกนี้เป็นโลกแห่งความเป็นจริง มีใครไหมที่จะมีเฉพาะด้านหน้า (ไม่มี)  แล้วมีใครในโลกนี้ ที่มีแต่ความสุขแล้วไม่มีความทุกข์เลย (ไม่มี)  มีใครบ้างที่แข็งแรงแล้วไม่อ่อนแอ (ไม่มี)  แล้วจะเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าอยากจะขอ ก็ขอให้เข้มแข็ง รับทั้งหน้าและหลังให้ได้ อย่างนี้ดีไหม (ดี)  แล้ววันหนึ่งแม้จะอ่อนแอก็จะกลับมาเข้มแข็ง  แล้ววันหนึ่งแม้จะเข้มแข็งก็พร้อมจะอ่อนแอแต่ไม่ปวกเปียก ได้ไหม (ได้)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความเป็นจริง แล้วเราจะโกหกตัวเองไหมว่า สาธุขอให้มีแต่ความสุข อย่างนี้ขอไหม (ไม่ขอ)  แต่ควรจะขอตัวเอง สาธุขอให้มีสติ จะสุขหรือจะทุกข์ก็ขอให้เข้มแข็ง ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นศิษย์ต้องยอมรับอยู่อย่างหนึ่งว่า ในโลกใบนี้ดูเหมือนว่าจะมีความมั่นคง ดูเหมือนว่าจะมีความแข็งแรง ดูเหมือนว่าจะสู้ไหว แต่จริงๆ ในความมั่นคง ในความแข็งแรง ล้วนมีความดับอยู่ตลอดเวลา มีความอ่อนแออยู่ทุกขณะ และพร้อมจะเจ็บป่วยและสูญสลายได้ตลอดเวลา อาจารย์ถามศิษย์ว่า แล้วเราจะยึดไว้ หรือเราแค่รู้เห็นแล้วทำใจตนเอง (รู้เห็นแล้วทำใจ)  ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ยึดดีกว่า สู้ทำใจและยอมรับ เพราะมนุษย์เกิดมาพร้อมกับสติปัญญาที่มีค่าและยิ่งใหญ่มากกว่าการยึดติดในสังขารว่า เราต้องแข็งแรง ต้องได้ ต้องสุข อย่างนี้คือความโง่
ถ้าศิษย์ไม่ดูเบาปัญญาของตนเอง คนเราหากถือปัญญาเป็นหลัก
แม้อ่อนแอก็สามารถเข้มแข็งขึ้นมาได้ แต่ต้องไม่ดูเบาคุณค่าและปัญญาในสติปัญญาของตนเอง ฉะนั้นอะไรก็เสียได้ แต่อย่างเสียปัญญาที่ถูกต้องและดีงาม มีสติระลึกพร้อมเสมอ เพราะแม้เราจะสูญเสีย ปัญญาก็ทำให้เรากลับมาเข้มแข็งแล้วยืนขึ้นใหม่ได้ จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นถามหน่อยนะ แล้วถ้าเป็นศิษย์ การเข้าใจธรรมขนาดนี้จะทำให้เยียวยาใจ และทำให้เราพ้นทุกข์ได้ไหม แล้วศิษย์จะทุกข์กับเรื่องโง่ๆ อีกไหม ฉะนั้นถ้าเกิดต่อไปต้องโดนด่าอีกศิษย์จะทุกข์อีกไหม (ไม่)  ถ้าวันหนึ่งศิษย์สูญเสีย อกหัก โดนโกง ศิษย์จะทุกข์ไหม (ทุกข์)  อาจารย์ถามหน่อยในโลกนี้มีใครบ้างไม่สูญเสีย มีใครบ้างไม่โดนด่า มีใครบ้างที่ได้รับแต่คำชม
(ไม่มี)  มันเป็นเรื่องธรรมดา ฉะนั้นถ้าเรามองเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เราจะทุกข์กับมันไหม (ไม่)  ถ้าเราไม่ดูเบาปัญญาตัวเองใช่ไหม (ใช่)
สมมติอาจารย์มีลูกศิษย์อยู่สองคนในโลกแห่งความเป็นจริง ใครบ้างจะไม่รักไม่ลำเอียง ใครบ้างจะยุติธรรมบริสุทธิ์ และอาจารย์ก็ชมลูกศิษย์  คนนี้ว่าดีและก็รัก แต่อีกคนอาจารย์ชอบตำหนิว่าไม่ดี ไม่ชอบ ถ้าศิษย์เป็นคนที่อาจารย์ไม่ชอบ ศิษย์จะทุกข์ไหม (ทุกข์)  ถามใจศิษย์รักคนในโลกเท่ากันไหม (ไม่เท่า)  ฉะนั้นถ้าเราโดนแบบนี้บ้าง ว่าเขาไม่ได้เพราะว่าเรายังไม่ยุติธรรมเลย และเราหวังให้ทุกคนในโลกนี้เป็นคนที่ยุติธรรมจะเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) อาจารย์จะบอกว่าในโลกของความเป็นจริงไม่มีใครสมบรูณ์แบบ และไม่มีเรื่องอะไรในโลกของความเป็นจริง ดีพร้อมจนไม่มีข้อบกพร่อง ในโลกแห่งความเป็นจริง ถ้าศิษย์เรียนรู้ศึกษาธรรมจงจำไว้ว่าไม่มีสิ่งใดสมบรูณ์พร้อม ไม่มีสิ่งใดไม่มีข้อบกพร่อง และไม่มีใครดีจนหาที่ติไม่ได้ ถ้าอาจารย์เป็นแบบนี้โกรธไหม (ไม่โกรธ)  นับประสาอะไรกับเรา  เรายังมีคนรักมากเกลียดมากเลยจริงไหม แต่จำไว้อย่างหนึ่ง เขาทำกับเราได้ แต่เราอย่าเผลอไปทำกับคนอื่น เพราะศิษย์บอกอาจารย์ไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า “จะเกิดมาเพื่อจบกรรม ไม่อยากจองเวรจองกรรมอีก” ฉะนั้นถ้าเจออะไรมาจะจบที่เรา หรือจะไปลงกับคนอื่น (จบที่เรา)
อย่างนั้นอาจารย์ถามนะ ทำไมเมื่อเรามีโอกาสใช้งานคน เราใช้งานคนที่อ่อนด้อยกว่า หรือใช้งานคนที่เก่งกว่า (ใช้คนที่ด้อยกว่า)  เวลาเราจะบ่นเราบ่นคนที่อ่อนด้อยกว่า หรือบ่นคนที่เก่งกว่า (บ่นคนที่อ่อนด้อยกว่า)  ฉะนั้นอย่าบอกนะว่าคนดีถูกรังแก เพราะตัวศิษย์เองก็ยังชอบรังแกคนที่อ่อนด้อยกว่าเลย คนเก่งกว่าดีกว่ารังแกเขาไหม (ไม่)  ฉะนั้นอย่าคิดว่าตัวเองสมบูรณ์แบบ อย่าเอาแต่มองและเพ่งโทษคนอื่น จนลืมมองเพ่งโทษตัวเอง เพราะถึงเวลามีเวลากดได้ มีเวลาเอาเปรียบได้ เราก็เอาเปรียบคนที่เราเอาเปรียบได้จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอย่าว่าคนอื่นถ้าตัวเองยังเป็นอยู่ การศึกษาธรรมทำให้เรารู้ว่า โลกใบนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์พร้อม ไม่มีอะไรดีที่สุด บางทีศิษย์ว่าศิษย์หาสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว แต่ถึงที่สุดมันก็ยังมีข้อตำหนิอยู่ดี ฉะนั้นบางครั้งสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุด แน่ใจหรือว่ามันดีที่สุด ฉะนั้นการเรียนรู้หลักธรรมจึงสอนให้เรารู้ว่า สิ่งที่ดีที่สุดอาจจะกลายเป็นสิ่งที่พร่องที่สุด และสิ่งที่พร่องที่สุดมันอาจจะดีที่สุดก็ได้ ถ้าเราเข้าใจ ฉะนั้นอย่าโกรธเกลียดความเป็นจริง แต่ยิ่งเรียนรู้ปฏิบัติธรรมยิ่งกล้าสู้ความจริง ด้วยสติปัญญาที่ไม่ยอมแพ้  ความเป็นจริงสอนให้เรารู้ว่า ในโลกที่มีทวิภาวะ มีดีมีร้าย มีได้มีเสีย จงรักษาความเป็นกลางไว้ แล้วเราจะได้ไม่ทุกข์ไม่เจ็บปวด เหมือนที่พระพุทธองค์สอนไว้ว่า “ทำอะไรจงรักษาทางสายกลาง” แต่มนุษย์เราอดไม่ได้ที่จะรักลำเอียง ถ้าไม่อยากให้ลำเอียงก็จงรู้จักที่จะย้ำเตือนเสมอว่า  สิ่งที่ดีที่สุดก็ยังมีดีกว่า ศิษย์ว่าศิษย์สวยที่สุด แต่ก็ยังมีคนที่สวยกว่า ศิษย์ว่าศิษย์แย่ที่สุด แต่ก็ยังมีคนที่ (แย่กว่า)  ศิษย์ว่าตัวเองเก่งที่สุด แต่ก็ยังมีคนที่ (เก่งกว่า)  เราควรหรือที่จะหลงตัวเอง เราควรหรือที่จะไม่หลงใคร เพราะสิ่งที่ดีที่สุดบางทีก็ยังมีสิ่งที่ (ดีกว่า)  เหมือนกันฉันใดก็ฉันนั้น วันนี้ศิษย์เจอเรื่องราวที่ทำให้ศิษย์ทุกข์ เจอเรื่องราวที่ทำให้รู้สึกแย่ แต่ถ้าศิษย์เปิดใจให้กว้าง ศิษย์จะรู้ว่า ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ วันนี้ที่ว่าแย่ วันหน้าอาจจะ
ไม่แย่ วันนี้ที่ว่าสูญเสีย วันหน้าเราอาจจะไม่สูญเสีย หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มนุษย์ที่เข้าใจหลักสัจธรรม เราเกิดมาพร้อมกับคำว่า “ว่างเปล่า” ถึงที่สุดเราก็ต้องกลับคืนสู่ความว่างเปล่า เราจะยึดมั่นเพื่อเกี่ยวกรรม
จองเวรจองกรรม หรือเราจะไม่เกี่ยวกรรม (ไม่เกี่ยวกรรม)  ทำได้ไหม ยากนะ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย ทำอย่างไรที่จะไม่ยึดถือความเป็นตัวตน (ปล่อยวาง)  ปล่อยวางได้จริงๆ หรือ พอเจอของที่ชอบกิน ความเป็นตัวตน
ก็ออกมาแล้ว พอเจอคนดูถูกหน่อย ความเป็นตัวตนก็ออกมาแล้ว พอเจอลูก
เจอสามี ความเป็นตัวตน เป็นเจ้าของก็ออกมาแล้ว เราจะปล่อยวางอย่างไร
(ลดละ ความโลภ ความโกรธ ความหลง)  ลดได้หรือ (ค่อยๆ ลดไป)  แปลว่าจะลดละความโลภ ความอยาก ความโกรธ ความหลง ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นแปลว่า ถ้าอาจารย์ให้แอปเปิล ศิษย์จะไม่รับ เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นโลภ อยากและหลง ใช่ไหม หรือว่าตอนนี้อย่าพึ่งลด รับไปก่อน อย่างนั้นรับไปแล้วรู้จักให้ต่อ อย่างนี้ก็ไม่กลายเป็นความอยากที่กลายเป็นโลภและหลง ใช่ไหม (ใช่)
(ไม่ยึดติดสิ่งต่างๆ มาเป็นของตนเอง)  ยากไหม มองกระจกแล้วชื่นชมตนเองว่าสวยไหม
(เข้ามาสถานธรรม แล้วฟังธรรมะ)  มาให้ได้จริงนะ  (มีความเมตตาและให้อภัยซึ่งกันและกัน)  อย่างนี้แปลว่าไปเกลียดเขาเต็มที่แล้วค่อยให้อภัยเขาใช่ไหม (มีเมตตา)  ทำให้ได้จริงๆ นะ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่เมตตาเฉพาะคนในบ้าน แต่ต้องเมตตาทุกๆ คน ใช่ไหม (ใช้สติ มีความคิด และมีปัญญา) แล้วรู้ไหมว่าความหลงตน ความไม่ยอมคน เป็นสิ่งที่บดบังปัญญาอย่างหนึ่ง (รู้เห็นตามความเป็นจริง)  ตอบได้ดี แค่รู้แค่เห็นแค่นั้น แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่ แค่เห็นก็ปรุงแต่ง แล้วก็อยาก แล้วก็เกิดเป็นชอบชัง แล้วก็กลายเป็นบุญบาป จึงกลายเป็นกรงขังตนเอง ฉะนั้นแค่เห็น แค่รู้ แค่นั้น
(ละเลิกหลง รู้จักใช้สติปัญญา)  แล้วถ้าอาจารย์บอกว่า กินแอปเปิลนี้แล้วจะหายโรคหายภัย ศิษย์จะกินไหม (กิน)  ไหนศิษย์บอกว่าละเลิกหลง ใช้สติปัญญา (กินเป็นยา)  กินเป็นยาหายตอนนี้ แต่ถ้าศิษย์ไปหาเรื่องกินอะไรที่ไม่ระมัดระวัง ศิษย์ก็จะกลับมาเป็นโรคอีกนะ ใช่ไหม (ใช่)
(มีสติ และคิดพิจารณาทบทวน) แล้วก็มองให้เห็นความจริง (เมตตาธรรม พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ปล่อยวาง, รู้เท่าทันจิตของตนเอง)  ตอบได้ดี หลักของธรรมะ ไม่ได้สอนให้เรารู้เพียงภายนอก แต่สอนให้เรารู้ทันจิต
รู้ทันใจ ใช่ไหม (ใช่) (พระอาจารย์ใช้พัดตีหัวนักเรียนชายในชั้น) เจ็บไหม
(ไม่เจ็บ)  ศิษย์เอย จิตเป็นสิ่งที่กระทบได้ กระเพื่อมได้ สงบได้ ถ้าไร้ตัวตน แต่ถ้าเรานำตัวตนไปครอบงำจิตใจ กระทบแล้วเราไม่สงบ เราไม่ยอมจบ
เราจะวุ่นวายแล้วตามด้วยกิเลส โลภ โกรธ หลง แล้วตามด้วยอาฆาต
จองเวรจองกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้ทันจิตเกิดที่ไหนก็จบที่นั่นไม่ต้องไปทำอะไร แต่ถ้าใจเราไม่ยอมมันเกิดที่ไหนมันก็จะไม่จบที่นั่น
(สะกดจิตสะกดใจตัวเองให้ปล่อยวาง)  ศิษย์รู้จักยับยั้งชั่งใจดีกว่าสะกดจิตตัวเองนะ (มองให้เป็นเรื่องปกติ)  สิ่งที่คนอื่นทำผิดเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้น แต่เราจะไม่ทำสิ่งนั้นกับคนอื่น (ปล่อยว่างให้มีธรรมอยู่ในใจ)  แต่ตามันยังมองอยู่แล้วจะทำอย่างไรดี หูมันยังฟังอยู่ทำอย่างไรดี ให้เปลี่ยนจากความปล่อยวางเป็นเข้าใจ คนมีดีได้ มีร้ายได้ มีชมได้ มีด่าได้ ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงเราก็จะไม่โกรธคน เหมือนตัวเราเราก็ร้ายได้ใช่ไหม (ใช่)  (เข้ามาศึกษาปฏิบัติธรรม)  ธรรมอยู่ในตัวเรา ค้นหาความเป็นจริงในตัวเรา สัจธรรมมีอยู่ในตัวเราแต่เราเคยมีเวลาว่างมองตัวเราไหม เอาแต่หนีตัวเราแล้วไปหาพระข้างนอก พึ่งตัวเองดีกว่านะ ดีกว่าไปพึ่งคนอื่นตลอดเวลา
(มีสติยอมรับและเข้าใจ)  ศิษย์เคยได้ยินไหม เข้าใจความเป็นคนของตัวเอง แล้วจะเข้าใจความเป็นคนของผู้อื่น เห็นความเป็นคนในตัวเองชัด ก็จะเห็นความเป็นคนในผู้อื่นชัด เราทุกคนต่างก็รักความสุข เกลียดความทุกข์ เราทุกคนต่างก็รักคนที่พูดจาดี ไม่ชอบคนที่พูดร้าย ถ้าคิดได้อย่างนี้ เราจะทำร้ายใครไหม (ไม่ทำ)  ถึงเวลาเราทำไหม ถ้าเอาแต่ใจ เอาแต่อารมณ์ เราก็เผลอที่จะทำผิด สิ่งที่ดีที่สุดเราก็ต้องควบคุมใจตัวเองให้ได้ อย่ารักที่จะตามใจ แต่จงรักที่จะตามธรรมบ้าง ดีไหม (ดี)  (มีสติยึดมั่นในความดี)  ทำดีแล้วต้องละวางอย่ายึดมั่น ถ้ายึดมั่นเราจะหวังผล (อดีตแก้ไม่ได้ ให้อยู่กับปัจจุบันด้วยสติปัญญา)   อาจารย์อยากจะบอกว่า ปัจจุบันก็ไม่มี มีแต่ตอนนี้ขณะนี้เท่านั้น ถ้าตอนนี้โมโหเอาแต่ใจ ปัจจุบันก็อาจจะไม่มี ชีวิตมีแค่ตอนนี้ ปัจจุบันทำให้ดีที่สุด ตัดสินใจให้ถูก อย่าเอาแต่อารมณ์ (ตั้งสติแล้วปล่อยวางกับปัญหาที่เจอ)  อาจารย์จะบอกให้ คนเวลาที่มีทุกข์เหมือนกับตอนที่ไฟดับ หน้ามืด เราขยับตัวทันที ก็เหมือนจะเป็นลมแล้วล้มฟาดได้ ฉะนั้นตอนที่เราเจอทุกข์ก็เหมือนตอนไฟดับ หลับตาสักนิดหนึ่ง นิ่งก่อนแล้วค่อยหันกลับไปมองใหม่ แล้วเราก็จะเจอความสว่างได้ในความมืด ก่อนที่จะมุ่งไปทำอะไร นิ่งสักนิด คิดสักหน่อย โกรธแล้วได้อะไร ด่าแล้วมีประโยชน์ไหม ชิงชังหักล้างกันไป มีแต่จะเจ็บปวดกัน หลับตาสักนิดก่อนแล้วศิษย์จะมองเห็นความสว่าง (ใครว่าอะไรไม่ต้องเก็บมาคิด)  ตอบได้ดี ใครด่าอะไรไม่คิดจะจำ แต่พอถึงเวลา เขาด่าเรานี่ ปล่อยก็ปล่อยให้ถึงที่สุด ไม่ใช่ปล่อยแต่บอกว่า เขาด่าเรานี่ ไม่ได้นะ
(คิดดีทำดีมีใจในธรรมะ)  ถ้าคิดดีทำดีแต่ไม่ละชั่วก็ยังไม่ดี อบายมุขถ้ายังไม่เลิกก็ยังใช้ไม่ได้ (ทำใจ)  เจอเรื่องอะไรก็ฝึกทำใจ การทำใจที่ดีที่สุดคือเปิดใจให้กว้าง เพราะถ้าเรามองแคบๆ เราก็เห็นแคบๆ ศิษย์เคยได้ยินไหม สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งเห็นดาวพร่างพราย แต่อีกคนเห็นโคลนตม ฉะนั้นเราจะมองให้กว้าง หรือมองแค่เท่านี้ (หัดยอมรับความเป็นจริง)  ทำให้ได้นะ พูดง่ายแต่ถึงเวลาทำจริงมันยาก เพราะเวลาเราเจอคน คนมีหลากหลายรูปแบบ วันนี้อาจารย์พูดแค่ทำให้ศิษย์ได้ตื่น ไม่ได้ตั้งใจจะว่าให้เจ็บปวด ฉะนั้นถ้าเราไม่คิดมากเราก็ไม่เจ็บ (มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน)  แต่ถ้าพูดแล้วไม่เข้าใจกันเลย เราทนได้ไหม (ได้)  ทนให้ได้นะ เพราะความอดทนเป็นคุณสมบัติของความเป็นคนดี ถ้าเกิดเป็นคนแล้วอดทนไม่ได้ เรื่องราวภัยพิบัติจะเข้ามาสู่ศิษย์ จำคำอาจารย์ให้ดีนะ ถ้าอดทนไม่ได้กรรมจะมาหาศิษย์ แต่ถ้าศิษย์อดทนได้ยอมได้กรรมหนักจะเป็นเบา อย่ากลัวขอให้มีสติ
ฉะนั้นไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น จำไว้เลยนะศิษย์ เปิดใจ ยอมรับ ยิ้มรับ สิ่งที่เกิดขึ้น  ทำได้อย่างนี้มีความสุขนะศิษย์ ทำให้ดีที่สุดถึงเวลาก็ปล่อยวางไม่ตอบโต้เมื่อเวลาเขาด่าทอมา ศิษย์เอ๋ยในโลกนี้มันเป็นไปได้หรือที่จะมีแต่คนชมไม่มีคนเกลียด มันไม่มี ฉะนั้นถ้าเรายอมรับด้วยหัวใจอันเป็นธรรม คิดเสียว่ามันเป็นธรรมดา เป็นเรื่องปกติ เราจะไม่โกรธเราจะไม่อยากตอบโต้ เราจะไม่จองเวรจองกรรมอีก อาจารย์จะบอกศิษย์โลกใบนี้สิ่งใดมีความเกิดสิ่งนั้นมีความดับ แต่การที่พยายามจะต้องปล่อยแปลว่าเรายึดมันอยู่ แต่ถ้าเรายอมรับว่าโลกใบนี้มีความเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปทุกขณะ เราไม่ยึดมั่นถือมั่นเดี๋ยวมันก็ดับไปเอง เราไม่ใส่ใจ สนใจ เดี๋ยวมันก็หายไป แต่ถ้าเราใส่ใจ สนใจมันตลอด เราเลยต้องพยายามดับมัน มีคนตอบถูกใจอาจารย์อยู่เรื่องหนึ่งคือ ไม่มีอะไรได้ดั่งใจเราทุกเรื่อง บอกให้มันอยู่มันจะไป บอกให้มันรักเรา  มันดันเกลียดเรา ไม่ใช่กับคน แม้แต่สังขาร บอกให้สังขารอยู่ แต่สังขารก็เสื่อมถอย บอกให้ไม่ตาย แต่สังขารก็กำลังเดินไปสู่ความตาย ไม่ใช่แค่คนที่ไม่ได้ดั่งใจ สังขารก็ไม่ได้ดั่งใจ แม้แต่ใจ บอกให้สุข ก็ยังเพียรไปทุกข์ บอกให้ใจเย็น ก็เพียรใจร้อน บอกว่าอย่าด่า ก็เพียรที่จะด่า ถ้าเรารู้เท่าทันใจ อาจารย์จะสอนวิธีรู้เท่าทันใจให้ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของผู้รู้ ไม่ใช่รู้แต่ข้างนอก แต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่สอนให้รู้เท่าทันใจตน และยั้งตนด้วยสติปัญญา เมื่อมาแค่รู้ แค่เห็น แค่นั้น ไม่ต้องใส่ใจ เดี๋ยวก็จบไปเอง ความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็เหมือนกับคน สนใจ เกลียดและด่าหน่อยสิ แต่ศิษย์บอกว่าไม่เอาๆ เดี๋ยวทุกอย่างก็หายไปตามกาลเวลา แต่ถ้าศิษย์บอกว่า เดี๋ยวฉันจะเกลียด จะด่า จะโมโห โดยเราปรุงแต่ง และมีอารมณ์ร่วม เราก็จะตกเป็นทาสของอารมณ์ทันที รู้คนอื่นไม่เท่ารู้เท่าทันตัวเอง พระพุทธองค์จึงสอนไว้ว่า ทุกอย่างสำคัญแค่หนึ่ง รักษาหนึ่งใจให้ได้ตลอด โดยใจไม่แตกเป็นสอง สาม สี่ นั่นแหละเรียกว่า พุทธะ เรียกว่า สงบ แต่เราไม่ใช่ พอโดนกระทบ ก็ด่าทันที ใจแบ่งเป็นสองทันที ใช่ไหม แต่ถ้าเรามองว่า เขากับเราไม่ต่างกัน จะด่ากันไหม (ไม่ด่า)  เขาก็เคยโมโห เราก็เคยโมโห รักษาความเป็นหนึ่งได้ทุกขณะ เราจะไม่โกรธ ไม่เกลียดใคร เพราะทุกคนล้วนเหมือนกัน เขาโมโหเป็น เราก็โมโหเป็น พอเขาโวยวาย เราจะโวยวายไปทำไม เราเกิดมาเพื่อมาจองเวรจองกรรม หรือเราจะจบเวรจบกรรม รักษาหนึ่ง
ให้ได้ (ทำอะไรขอให้รู้จักใช้สติแก้ปัญหา)  อย่ามัวเอาแต่คิด แล้วไม่ใช้สติ
อาจารย์จะพูดเรื่องยากอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าศิษย์ทำได้จะเป็นสิ่งที่ดีมากๆ ในตัวเรานั้น เราไม่เคยมองเห็นตัวเราชัดเจนเลยใช่ไหม เห็นแต่เปลือกนอก ที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “สังขาร” เรารู้ว่าสังขารมาจากไหน สังขารเกิดมาจากพ่อแม่ แต่เวลาตายไปจะกลับคืนสู่ธรรม แล้วในชีวิตของเราที่เรียกว่า “อัตตาตัวตน” สังขารใช่ของเราไหม (ไม่ใช่)  แล้วอะไรเป็นของเรา
(จิตญาณ)  โดยส่วนใหญ่มนุษย์มักจะพูดว่า ในตัวเราที่ขยับเขยื้อนได้
มีความรู้สึกมีอารมณ์ได้ เพราะมีจิตอยู่ข้างใน แต่ทำไมพระพุทธะบอกว่า “จิตนั้นประภัสสรอยู่ตลอดเวลา แต่หมองมัวไปเพราะกิเลสจรมา” ทำไมตัวเราถึงไม่เคยประภัสสร ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า จิตของเราอยู่ดีๆ แต่ความคิดมันคิดร้าย จิตก็เลยร้าย จิตของเราอยู่ดีๆ แต่ความคิดมันคิดแย่ จิตเราเลยรู้สึกย่ำแย่ ฉะนั้นอยู่ที่จิตหรืออยู่ที่ความคิด ศิษย์ฟังใหม่นะ
ในกายเรามีสังขาร ในสังขารมีความไม่เที่ยงคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกชีวิตล้วนบ่ายหน้าไปสู่ความตาย และทุกชีวิตในความตายนั้นมีความไม่เที่ยง และเป็นทุกข์อยู่ทุกขณะ เปลี่ยนจากสิ่งหนึ่งและกำลังมีทุกข์ และกำลังเปลี่ยนจากสิ่งหนึ่งและกำลังกลับไปสู่ความว่างเปล่า ฉะนั้นตัวตนนี้เรายึดไม่ได้เลย ถ้าเผลอยึดแปลว่าเราอยากมีทุกข์ ถ้าเราไม่ยึดเราก็จะไม่ทุกข์กับตัวตน พอไม่ยึดกับตัวตนก็มีปัญหาต่อมาอีกว่า ในตัวเรามีจิตหรือบางคนเรียกว่าใจ ศิษย์เคยได้ยินพระพุทธะกล่าวไว้ว่า “จิตแต่เดิมนั้นประภัสสร แปลว่า สว่างไสว แต่หม่นหมองไปเพราะกิเลสจรมา” แปลว่าถ้าหมดกิเลสจิตเราก็สว่างไสว
อาจารย์ถามนะ จิตนั้นอยู่ดีๆ แต่ความคิดนั้นคิดแต่สิ่งร้าย จึงกระทำในสิ่งร้ายใช่ไหม (ใช่)  จิตนั้นอยู่ของจิตดีๆ แต่เมื่อเรามีความคิดแย่ จิตจึงย่ำแย่ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นปัญหาอยู่ที่ความคิดหรืออยู่ที่จิต (ความคิด)  ฉะนั้นตัวตนที่แท้จริงของศิษย์นั้นไม่มี แต่มีเพราะเหตุปัจจัยแห่งกิเลสอารมณ์ เมื่อมีกิเลสอารมณ์ เจ้ากิเลสตัวนั้นจึงเป็นนายสั่งจิตและบังคับกายให้เคลื่อนไปตามความอยาก ความโลภ ความหลง แต่จิตก็ยังอยู่อย่างเดิม จิตเดิมแท้จริงๆ ไม่ต้องการเจ้าของ ไม่ต้องการที่อยู่ เป็นสิ่งไม่มี เป็นสิ่ง
ว่างเปล่า แต่มนุษย์มักอยู่ไม่ได้ ถ้าจิตไม่มีอะไรเราก็พยายามหาแล้วทำให้จิตต้องมี แต่เมื่อพยายามมีมากไปเท่าไร ก็ลืมความจริงไม่ได้ว่า ต้องกลับไปสู่ความไม่มี เหมือนศิษย์หาเท่าไรก็ไม่มี เพราะจิตอยากจะบอกว่า สิ่งนั้นไม่มี แต่ศิษย์พยายามที่จะมี ฉะนั้นเมื่อจิตพยายามจะมี จิตก็จะก่อเกิดเป็นบุญ บาป ดี ชั่ว กรรมดี กรรมชั่ว แล้วก็หนีไม่พ้นกรงขังแห่งตัวตน ที่ตนขังตนแล้วก็ลืมจิตเดิมแท้ แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์เข้าใจแล้วว่า จริงๆ แล้วเป็นสิ่งไม่มี แล้วเรากำลังทุกข์อยู่กับอะไร ที่เราทุกข์เพราะพยายามยึดว่าต้องมี แล้วเมื่อมี ก็หนีไม่พ้นสัจธรรมที่ว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง ว่างเปล่า รับไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  พอเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พูดไหม
ถ้าเราพยายาม พบอะไรที่มากระทบ จำไว้ว่า ถ้าสิ่งนั้นกลายเป็นกรรมดี ก็เรียกว่า บุญ ถ้าเรายังยึดติดก็จะกลายเป็นกรรมชั่วที่เรียกว่า บาป แล้วก็เป็นวัฏฏะวิบากกรรมที่เรียกว่า วัฏสงสาร แต่ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์กระทำอะไรแล้วจบเพียงเท่านี้ หมดแค่นี้ สิ้นแค่นี้ ดีที่สุด กรรมจะไม่มี จงทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทำด้วยความไม่ยึดมั่น ทำด้วยความปล่อยวาง ทำด้วยความสละวางซึ่งตัวตน สิ่งนี้จะเป็นบุญ เป็นกุศล แล้วเมื่อเราเข้าใจธรรมมากจนถึงที่สุด ใดๆ ในโลกเราก็ไม่เอากับสิ่งนั้นๆ แล้ว ศิษย์จะเข้าใจว่า จะให้อะไรเราก็ไม่เอาอีกแล้ว เพราะยิ่งมีก็ยิ่งทุกข์  เพราะสิ่งใดมีแล้วมันไม่เปลี่ยนแปลงก็ไม่มี เปลี่ยนแล้วมันก็ไม่ทุกข์ก็ไม่มี ยึดแล้วมันไม่เจ็บก็ไม่มี ฉะนั้นการเข้าถึงธรรมคือ กลับคืนสู่ความ
เป็นจริงอันเดิมแท้ที่เรียกว่า จิตคือสัจธรรม สัจธรรมคือจิต ฉะนั้นอาจารย์จะบอกว่าศึกษาบำเพ็ญธรรมไม่ได้กลับนิพพาน ไม่ได้กลับฟ้า แต่กลับคืนสู่ธรรม ธรรมที่ไม่ต้องมีตัวมีตนอีกต่อไป
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า
“โลกหมุนตามจิต”)
มีคำกล่าวว่าจิต หรือคำว่าตัวตน เกิดจากความปรุงแต่ง ตัวตนที่แท้จริงไม่มี แต่มีเพราะความคิดปรุงแต่ง พอปรุงแต่งมันก็ก่อเกิดเป็นความรู้สึก รู้สึกกลายเป็นนิสัย นิสัยกลายเป็นสันดาน สันดานกลายเป็นชะตากรรม ฉะนั้นตัวตนเกิดจากความคิดไปเอง ทั้งที่จริงแล้วตัวตนมันไม่มี ฉะนั้นศิษย์จะพยายามมีตัวตนเพื่อเจ็บปวด เพื่อทุกข์หรือว่ายอมรับตัวตนเพื่อจะได้ไม่เจ็บปวดไม่ทุกข์
ฉะนั้นความคิดสร้างตัวเราขึ้นมาทับซ้อนจิตอันเดิมแท้ ทำให้เรามองไม่เห็นสัจธรรมความจริง ที่มนุษย์บอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนต้องเข้าใจ คำว่า “ใจ” นั้นแหล่ะที่ทำให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกันคือสัจธรรม ทุกคนมีใจแห่งสัจธรรมอยู่ และใจแห่งสัจธรรมนี้ถ้าเราเข้าใจเราจะไม่ทุกข์กับมัน มันเปลี่ยนตลอดเวลา เราจะโลภไหม เราจะเกลียดไหม เราจะหลงไหม นั้นแหล่ะที่อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้าใจ ใจที่เป็นสัจธรรม
ลองเอาไปอ่านแล้วศึกษาข้างใน ชีวิตต้องเข้มแข็ง ยังไม่หายคิดถึงกัน แต่เวลาอาจารย์มาก็ยังแอบหลับกันนะ รู้จักมีสติปัญญา ทำอะไรด้วยศีลด้วยธรรมที่พร้อมสมบูรณ์ ระมัดระวังอารมณ์และนิสัย คิดอะไรและไตร่ตรองให้ดี เพราะชีวิตเรา เราไม่รู้ว่าวันใดจะจบ ก่อนที่จบจงรู้จักยั้งคิด หมั่นมีธรรมเสมอ ธรรมจะทำให้ศิษย์กับอาจารย์อยู่ใกล้กัน แม้ไม่เห็นอาจารย์ แต่จงรักษาธรรมในใจไว้ ศิษย์ก็จะอยู่ในใจอาจารย์ตลอดเวลา ดูแลใจและกายตัวเองให้ดี ด้วยสติปัญญาที่เข้มแข็ง ไม่ใช่เอาแต่ใจ เอาแต่อารมณ์นะเด็กดื้อ มีโอกาสต้องขาวทั้งข้างนอกข้างใน ไม่ใช่ขาวแต่ข้างนอก ข้างในไม่ขาวนะ รับปากอาจารย์แล้ว ต้องเข้มแข็งและอย่ายอมแพ้ ขอให้ธรรมรักษาจิต บุญความดีงามจะนำพาจิตไปสู่หนทางที่ดี
ชีวิตไม่แน่นอนนะ มีพบก็ต้องมีพราก มีเจอก็ต้องมีจาก มีโอกาสขอให้กลับมาอีก ทำอะไรขอให้คิดให้ดีๆ อย่าปล่อยให้อารมณ์ทำร้ายตัวเอง ไปล่ะนะ จับมือแปลว่าจะกลับมาเจออาจารย์อีกนะ รักษาตัวเองด้วยความถูกต้องและดีงาม ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ รู้จักทำในสิ่งที่ถูกต้อง รักษาตัวรักษาใจให้ดี มีปัญญามีสติยั้งคิดนำพาชีวิตให้ถูกทาง จำคำที่อาจารย์พูดไว้ให้ดี
จงรู้จักอดทนอดกลั้น เข้มแข็ง ให้ธรรมะนำทางสว่างให้กับชีวิต ศิษย์เคยมีปณิธานที่ดีที่จะช่วยอาจารย์ อย่าลืมนะ รักษาโอกาสนำพาชีวิตตัวเองให้ ถูกทางนะศิษย์ หลงโลกมากแค่ไหน แต่ก็กลับคืนได้ด้วยหัวใจที่มีมโนธรรมสำนึก  หัวหน้าทำได้ดีพยายามทำต่อไปนะ ตั้งใจศึกษาบำเพ็ญ ก้าวหน้าให้ถึงที่สุด โดนอะไรก็ต้องรักษาใจให้สงบ ไม่หวั่นไหว จิตที่สามารถรักษาความปกติได้คือจิตที่มีธรรม จิตที่สามารถเข้มแข็งและมองเห็นความจริงได้ คือจิตที่เข้าใจธรรม เข้มแข็งนะศิษย์ บำเพ็ญให้ถึงที่สุด ตราบลมหายใจสุดท้าย และเราจะได้กลับคืนสู่ธรรมที่แท้จริง


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “โลกหมุนตามจิต”
    โลกหมุนไปตามความคิด                เป็นโลกที่ศิษย์รับรู้
มีแต่ย่ำแย่อดสู                              ย้อนดูความคิดตัวเอง
คิดดีโลกจักน่ารัก                           รองหลักไม่ต้องรีบเร่ง
ขอใจชีวิตตัวเอง                            เลยเก่งบนทางของตน
โลกหมุนไปตามดวงจิต                     ความคิดก็ต้องฝึกฝน
ฝึกใจไม่ให้หมองหม่น                       ออมตัวทำตนให้ดี
คิดด้วยสติเป็นต่อ                           พูดก็พูดด้วยสติ
ใครติเราให้เขาติ    คำติเป็นแรงผลักดัน



พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาทงานประชุมธรรม
สถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี  วันที่ ๖ - ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๐

หน้า ๑ บรรทัดที่ ๒ จากด้านล่าง
เดิม       หนึ่งตั้งขึ้นเกิดทางรับไม่ไหว
แก้เป็น    หนึ่งตั้งขึ้นเกิดทางนับไม่ไหว

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

2560-05-06 สถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี

西元二○一七年歲次丁酉四月十一日                                 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐                        สถานธรรมหมิงฮุย  จ.ลพบุรี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่
  ยามชีวิตสุขสบายอย่าลืมคิด              ยามชีวิตพลาดล้มผิดรับไม่ไหว
ลืมความจริงอันไม่เที่ยงผันเปลี่ยนไป     ลืมยั้งใจยามมีทุกข์ค่อยหาธรรม
                                เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลี่เถียไกว่        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานหมิงฮุย แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา         ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
  ดวงตะวันลาแล้วไม่เคยลาลับ          โปรดอย่าท้อใจกับอย่าถอดใจ
เลิกฟูมฟายตามอย่างความสิ้นหวังไป    อยู่อย่างไรชีวิตในทุกข์คิดดีดี
เป็นทองแท้ท้ออย่าไร้จิตสร้างสรรค์      พรสวรรค์อย่าลับหายในคำติ
พลิกสถานการณ์หมดหวังล้มจมความดี  สุขในทุกข์ลุกเพื่อที่ชนะตน
เพียงเราดียิ่งขึ้นยืนบนฝั่ง                 ขุมของพลังแรงปลุกจากฝึกฝน
จะไม่เพียงยังศรัทธาไว้แค่ตน             แต่ยังยลสู่ในใจชาวประชา
ออกแรงดึงตนคุณค่าจากทางตัน         ธรรมเรียกขวัญเรียกสติใครสุขหนา
ที่จริงกำลังใจไม่มีสมบูรณ์นา             คนสุขหนาทุกข์ได้ใจไม่ตาย
มีแล้วเสื่อมโลกธรรมย้ำตนเป็นเพื่อน     เหตุการณ์เตือนโลกธรรมดาสัจธรรมดลให้
เมื่อรับรู้ตื่นจิตจากภายใน                อย่ายึดมั่นในสิ่งใดให้ลำเค็ญ
หนึ่งตั้งขึ้นเกิดทางรับนับไม่ไหว              จะอยู่อยู่ดับไปยากมองเห็น
อยากหลุดพ้นวนเวียนว่ายต้องบำเพ็ญ   นิ่งภายในอยู่หมุนเกณฑ์ธรรมจักรวาล
ธรรมพิสุทธิ์สงบว่างความเป็นหนึ่งเดียว  ชีวิตเทียวบรรจบสว่างกระจ่างธรรมเดี๋ยวนั้น
อย่าได้ให้โชคชะตามาปิดกั้น                      ลมพัดผ่านทุกข์มาดับทุกข์ไป
                                                                                                    ฮา ฮา หยุด
หมายเหตุ  พระโอวาทวรรคที่ขีดเส้นใต้  พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานให้ 
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่

เมื่อยามมีสุขเราก็ไม่เคยคิดว่ายามมีทุกข์แล้วมันจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน จนกระทั่งพอมีทุกข์แล้ว ตอนนั้นเราถึงได้คิดว่า ธรรมะอยู่ที่ใด ช่วยเราที ใช่ไหม ยามเรามีสุข เราเคยคิดถึงธรรมะไหม น้อยคนที่จะคิดถึงธรรมะ คิดถึงธรรมะตอนมีสุขวันเกิด ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเราเรียนรู้จริงๆ แล้วทุกวันคือวันที่เราดับสิ้น เราฉลองวันเกิดหรือเราฉลองวันตาย (วันตาย)  ฉะนั้นยามมีทุกข์เราค่อยคิดถึงธรรม หรือเราควรจะพิจารณาถึงธรรมอยู่เนืองๆ เพื่อทำให้เราเข้าใจในทุกข์ เพื่อจะได้รับมือกับความทุกข์ได้ (พิจารณาธรรมเนืองๆ)  ฉะนั้นผู้ใดที่พิจารณาธรรมอยู่เนืองๆ ความทุกข์นั้นจะมากัดกร่อนกินใจได้หรือไม่ (ไม่ได้)
ความทุกข์เป็นเรื่องของใจ ในเรื่องของการจัดการใจเมื่อยามมีทุกข์หรือเมื่อยามที่เราทำอะไร เราควรใช้ความคิดหรือใช้สติ (สติ)  แต่ส่วนใหญ่ใช้สติหรือใช้ความคิด (ความคิด)  มีคำกล่าวว่า จงมีสติรู้ทันยั้งคิด ถ้าเรื่องของใจเป็นเรื่องเกี่ยวกับความทุกข์ การเอาแต่คิดก็อาจทำให้เรายิ่งสับสนวุ่นวาย การเอาแต่คิดก็อาจทำให้เรายิ่งหลงตัวเอง หาทางออกไม่เจอ อย่างนั้นเเปลว่าไม่ต้องคิด ใช่หรือไม่  อย่างนั้นเราจะบอกความเเตกต่างให้ระหว่างการทำอะไรโดยใช้สติกับการทำอะไรโดยใช้แค่ความคิด ลองพิจารณาตามดูว่าสิ่งที่เราพูดเป็นจริงอย่างที่ใจท่านเป็นไหม เรื่องของใจเป็นเรื่องที่ต้องใช้สติอย่าใช้ความคิด จงอย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น เเละจงอย่าคิดว่าตัวเองคิดเเล้วเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองเห็น เพราะเวลาเราใช้ความคิด ความคิดของเรามักจะง่ายในการไหลไปตามใจตัวเอง ตามความรู้ความเข้าใจของตัวเอง เรามักเอาความคิดเราไปเป็นบรรทัดฐานวัดคนอื่น ซึ่งบางทีทำให้เรามองผิดพลาด ฉะนั้นถ้าทำอะไรด้วยหัวใจอย่าเอาเเต่ใช้ความคิด เพราะความคิดจะง่ายที่ทำให้เราไหลเเละหลงเข้าข้างตัวเองเเละง่ายที่จะฟุ้งซ่าน ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งเเค้น ยิ่งคิดก็ยิ่งวุ่นวาย เราจึงบอกว่าทำอะไรจงใช้สติ
สติต่างจากความคิดตรงไหน เรามักจะได้ยินว่า สติสอนให้เรารู้ทัน ยั้งคิด แปลว่าสติสอนให้เรารู้แต่ไม่หลงไปกับความคิด สติสอนให้เราเห็นความคิดในใจตน และไม่ปรุงแต่งไปตามอารมณ์ ฉะนั้นเกิดเป็นคนควรใช้สติยั้งคิดหรือเอาแต่คิดแล้วไร้สติ (ใช้สติยั้งคิด)  เรามีสติหรือเรามีแต่ความคิด หรือเอาแต่คิด ลืมสติ ถ้าเรามีสติรู้ทันยั้งคิด ก็ต้องหยุดความคิดได้ แต่ทำไมยิ่งนั่งอยู่ตรงนี้ยิ่งคิดไม่จบ ทำอะไรด้วยสติจะทำให้เรารู้ทันยั้งคิดและยับยั้งอารมณ์ได้ แต่ถ้าทำอะไรเอาแต่วนกับความคิด เราจะไม่สามารถรู้ตัวเองและกำลังตกเป็นทาสอารมณ์ และกำลังคิดหลงตัวเองและเอาความคิดตัวเองเป็นบรรทัดฐาน เอาไปวัดผู้คน ใช่หรือไม่ เหมือนนั่งตรงนี้เอาสิ่งที่จำได้หมายรู้วัดคนนั้นพูดดี คนนี้พูดไม่ดี ไม่ได้ใช้สติ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราเรียนรู้ธรรม ธรรมสอนให้วางอัตตาตัวตน และธรรมที่แท้จริงไม่มีตัวตนให้ยึดถือ จะบอกว่าใจเราคือแก้วก็คงไม่ใช่ แต่ใจเราคือธรรม และธรรมที่เป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ถ้าเมื่อไรยังแบ่งแยกยึดถือ นั่นแปลว่าเรายังหลงยึดติดตัวตนที่หนีไม่พ้นทุกข์ จริงไหม (จริง)
โลกใบนี้จริงๆ แล้วมันทุกข์และวุ่นวาย ใช่ไหม (ใช่)  ใช้สติยั้งคิด อย่าเอาความคิดไปวัดโลกวัดผู้คน โลกนี้วุ่นวาย โลกนี้มีแต่ทุกข์จริงไหม โลกนี้มีแต่สิ่งที่เรียกว่าดีร้ายได้เสียจริงไหม โลกนี้มีทุกข์สุขจริงไหม โลกนี้วุ่นวายจริงไหม (จริง, ไม่จริง)  เราจะบอกให้ ลองถอนความเป็นตัวเองออกจากโลก แล้วหันกลับไปมองโลกอย่างไม่มีตัวตน โลกนี้วุ่นวายจริงๆ หรือใจเรามันวุ่น (ใจเรามันวุ่น)  ถ้าไม่มีเรา โลกยังหมุนไปไหม (หมุน)  โลกยังวุ่นวายอย่างนี้ไหม (ไม่)  เพราะมีตัวเราจึงทำให้มันวุ่นหรือเปล่า แล้วโลกนี้มีทุกข์จริงไหม มีดีร้ายจริงไหม มีได้เสียจริงไหม ลองถอนตัวเราออกแล้วหันกลับไปมอง แล้วจะรู้ว่าจริงๆ แล้วโลกนี้ไม่มีทุกข์ ไม่มีดีไม่มีร้าย ลองถามตัวเองสิใครดีที่สุดในโลก ใครร้ายที่สุดในโลก อะไรคือสุขที่แท้จริง อะไรคือทุกข์ที่เที่ยงแท้ มันไม่มี แต่เรามักจะยึดติดกับปรากฏการณ์ ยึดติดกับความคิด ยึดติดกับความคาดหวัง ยึดติดกับรูปนามที่เรายึดถือ ว่ามีอย่างนี้เรียกว่า “มี” อย่างนี้เรียกว่า “ไร้” แต่ลองไปมองคนที่ต่ำกว่า สิ่งที่เราบอกว่าไร้ เขาบอกว่าเรามีสิ่งที่เรามี ไปเจอคนสูงกว่าเขาบอกเรา (ไม่มี)  ตกลงเรามีหรือไม่มี เราหาแทบตายทำไมยิ่งหาเหมือนไม่มี (ไม่พอ)  เราพยายามหาความสุขเเต่ทำไมยิ่งหากลับไม่สุข แปลว่าลึกๆ ในใจของเรามีอะไรที่กำลังบอกให้เราค้นให้เจอหาให้พบเเล้วเราลืมไป ความจริงเเห่งสัจธรรมที่ถึงที่สุด คือ มีก็เหมือน (ไม่มี)  ได้ก็เหมือน (ไม่ได้)  เหมือนสุขเเต่จริงๆ ก็มีทุกข์ เหมือนวุ่นวายเเต่จริงๆ ไม่ได้วุ่นวาย ถ้าใจเราเข้มเเข็งใจเรามั่นคง ใจเราเห็นแจ่มชัด อุปสรรคความทุกข์ การสูญเสียไม่สามารถเปลี่ยนเเปลงใจของเราได้ เเต่มนุษย์มักใช้ใจคนไม่ใช้ใจธรรม เห็นเเต่ความเป็นใจคนเเต่ไม่เคยเห็นเเก่นแท้ของใจธรรมที่อยู่ในตัวเราทุกคน
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาเเจ้งพระนาม)
เราคือคนที่อัปลักษณ์ที่สุดในแปดเซียนทั้งหลาย เเต่ก็เป็นเพียงเเค่รูปลักษณ์ รูปลักษณ์หนีไม่พ้นการหมุนเวียนเปลี่ยนผัน เเต่ใจที่เข้าถึงธรรมไม่หมุนเปลี่ยนเวียนผัน ถึงเเล้วก็ถึงเลย ทุกข์คือสิ่งที่ทนได้ยาก เมื่อยังมีตัวตนให้ยึดถือก็แปลว่า ยังมีทุกข์ให้เจ็บปวดให้ยึดมั่น แต่เมื่อไร้ตัวตนให้ยึดถือ ทุกข์ก็ไม่มี ทุกข์หรือสุขล้วนเกิดจากตัวตน ฉะนั้นสิ่งที่เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ก็คือการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน และสิ่งที่ทำให้เราไม่สามารถดับทุกข์และสิ้นทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิงก็คือ การที่ไม่เข้าใจว่าจริงแท้ตัวตนของเราคืออะไรกันแน่
มนุษย์ชอบกล่าวว่าตายไปแล้วก็กลับคืนฟ้า แต่เราอยากบอกท่านว่า ตายไปแล้วก็กลับคืนสู่ธรรม ถ้ายังหวังกลับคืนฟ้า คืนสวรรค์ คืนนิพพาน ก็แปลว่ายังมีตัวตนที่ยึดถือ มีดีร้าย แต่ถ้ากลับคืนสู่ธรรม ธรรมคือสภาวะกลาง ที่ไม่มีดีไม่มีร้าย และไร้ตัวตนที่จะไปเวียนว่ายวนในวัฏสงสาร ฉะนั้นจะคืนสู่นิพพาน หรือคืนสู่ธรรม (ธรรม)  นิพพานแปลว่าสงบเย็น เมื่อไรที่สงบเย็นก็มีนิพพานชั่วขณะ แต่ในความเป็นคนไม่เคยมีนิพพานตลอดเวลา เมื่อมีตัวตน ความอยากก็วิ่งวุ่นไม่จบสิ้น อยากเพื่ออะไร อยากให้ใคร เมื่อธรรมมีแต่ความว่างเปล่า และไร้ตัวตนที่ยึดถือ จริงไหม เมื่อใจเรายึดติดชอบจึงเกิดคำว่าสุข เมื่อใจเรายึดติดชังจึงเกิดคำว่าทุกข์ เเต่ถ้าเรามองเห็นความเป็นกลางในทุกสรรพสิ่ง ชอบชังก็ไม่สามารถทำให้เราทุกข์สุขได้
จริงๆ แล้วมนุษย์มีความเป็นกลางอยู่ ลองยืนเฉยๆ ถามว่ามีคนที่สูงกว่า มีคนที่เตี้ยกว่า มีคนที่ดีกว่า มีคนที่ร้ายกว่า มีคนที่สุขกว่า มีคนที่ทุกข์กว่าท่านไหม (มี)  ถ้าตอนนั้นหัวใจท่านไม่ยึดติดแบ่งแยกก็ว่างทันที ใช่ไหม เเล้วใครดีใครร้าย เเล้วตัวเราแย่ไหม เมื่อตัวเราเเย่ เรามองดีกว่าหรือมองต่ำกว่า เรามองเเย่กว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเอาเเต่จมกับความคิดที่มองกับเหตุการณ์ที่แย่กว่า แต่จริงๆ เเล้วความเป็นกลางในตัวท่านมีอยู่ตลอดเวลา เเต่อยู่ที่เราเปิดกว้างอย่างคนที่มองเห็นชัด หรือเอาเเต่คิดตามใจตน เราจะเปิดกว้างอย่างคนที่มองตามจริงหรือมองตามใจ เเล้วทุกข์คือสิ่งที่น่ากลัวไหม (ไม่)  เเต่สิ่งที่เราควรกลัวคือใคร (ตัวเราเอง)  ใจเราที่ไม่เข้าใจความเป็นจริง ใจที่เราไม่เปิดรับสิ่งที่เรียกว่าโลกเเห่งความเป็นจริง เอาเเต่ยึดติดในสิ่งที่ตัวเองคาดหวังมุ่งหวังยึดถือ จริงหรือไม่
เมื่อกราบพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มนุษย์มักจะขอให้มีสุข ขอให้ร่มเย็น ขอให้โชคดี ใช่ไหม (ใช่)  เจ็ดส่วนมนุษย์กำหนด สามส่วนฟ้ากำหนดให้เป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ตนสร้างมา ฉะนั้นโชคดีโชคร้ายขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือขอใจตัวเอง (ขอใจตัวเอง)  โชคดีแต่คิดร้ายจะได้ผลดีหรือร้าย ได้ดีแต่ปากร้าย ได้สิ่งที่ดีแต่ชอบมองต่ำ ร้ายหรือดีกันเล่า ฉะนั้นควรขอฟ้าหรือขอใจตน (ขอใจตน)  ถ้าอยากกราบขอพระ ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จงขอให้จิตใจเข้มแข็งกล้ารับความจริง เพราะมนุษย์ทุกคนมีความกลัวลึกๆ อยู่ในใจ มีใครกลัวหมดตัวบ้าง กลัวหรือ เราว่านะไม่ต้องกลัวหมดตัว แต่กลัวใจขี้เกียจแล้วหมดใจมากกว่านะ จริงไหม (จริง)  ของหมดเรายังหาใหม่ได้ ของสูญเสียขอเพียงอย่าไร้หัวใจที่สู้ ไร้หัวใจที่กล้ายอมรับความจริง ล้มแล้วก็ลุกขึ้นใหม่ได้ จริงไหม (จริง)  ยังกลัวอดอีกไหม ใครกลัวโดดเดี่ยวบ้าง กลัวไหม (ไม่กลัว)  ถ้าเราจะบอกว่าโดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนมีความกลัวอยู่ลึกๆ กลัวสูญเสีย กลัวโดดเดี่ยว และก็กลัวชีวิตไม่มั่นคง พยายามหาสิ่งที่ทำให้เรามี มั่นคงและไม่เหงาโดดเดี่ยว ใช่ไหม ทุกครั้งที่หาได้มา ทำไมลึกๆ ในใจบอกว่าเหมือนไม่เคยมี ทุกครั้งที่มีเพื่อนอยู่ใกล้ๆ เเต่ทำไมลึกๆ เราจึงรู้สึกโดดเดี่ยว เราพยายามหาสิ่งที่ทำให้เรามีชีวิตมั่นคง เเต่ทำไมลึกๆ เรากลับรู้ในใจว่าไม่มีอะไรมั่นคง เราจะไขปริศนานี้ให้ท่านรู้ เพราะใจของทุกคนล้วนต้องกลับสู่ความเป็นธรรม ธรรมที่สอนว่ามาเดี่ยวก็ต้องกลับเดี่ยว มามือเปล่าก็ต้องกลับมือเปล่า เเละสิ่งที่คิดว่ามั่นคงที่สุดในชีวิตก็คือสิ่งที่ไม่มั่นคง ยึดอะไรไม่ได้  ธรรมสอนใจเราอยู่ทุกขณะ เเต่เราไม่เคยฟังใจที่พยายามพร่ำบอกว่าถึงที่สุดเธอก็ไม่มี ถึงที่สุดเธอก็ต้องไปคนเดียว ถึงที่สุดก็ไม่มีอะไรที่จะทำให้เธอมั่นคงนอกจากความว่างเปล่าเเละหัวใจที่กลับคืนสู่กระเเสเเห่งธรรม
ฉะนั้นจะยึดมั่นตัวตนให้ทุกข์ไม่จบสิ้นทำไม อย่ากลัวความไม่มี เพราะความไม่มีคือสภาวะเดิมเเท้เเห่งสัจธรรม อย่ากลัวความโดดเดี่ยวเพราะความโดดเดี่ยวคือสิ่งที่จริงเเท้เเห่งธรรมที่สอนให้เรารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน เราไม่ได้ตายคนเดียวทุกคนก็ต้องตายเหมือนกัน เราไม่ได้กลับไปมือเปล่าคนเดียว ทุกคนก็กลับไปมือเปล่าเหมือนกัน แล้วเราจะยึดเเล้วจะพยายามปล่อย หรือเราจะพยายามเข้าใจก่อนที่จะไปยึดถือเเล้วต้องทุกข์ทรมานเพื่อพยายามปล่อย อย่ากลัวความเปลี่ยนเเปลง ความเปลี่ยนเเปลงสอนให้เรารู้ว่าไม่มีอะไรในโลกที่เป็นของเราเเม้กระทั่งความทุกข์ อย่ากลัวความเจ็บปวด ความสูญเสีย ความพลัดพรากเเละความดับสิ้น เพราะความสูญเสียพลัดพรากดับสิ้นกลับทำให้เราได้ปลดปลงปล่อยวางกลับคืนสู่ธรรมที่เเท้จริง เเต่สิ่งที่ท่านควรกลัวคือความหลงยึดมั่นในตัวตนที่ยังยึดติดดีและร้ายและหนีไม่พ้นกระแสวิบากกรรมแห่งวัฏฏะเวียนว่ายทำดีก็ต้องไปดี ทำชั่วก็ต้องไปชดใช้ชั่ว
เราศึกษาธรรมเพื่อหลงหรือเพื่อละ (หลง, ละ)  ไม่ต้องทุกข์แล้วนะ ควรยิ้มสู้ชีวิตที่มันเป็นไป และไม่ควรตัดพ้อโทษฟ้าโทษดิน แต่ควรถามใจตัวเองว่าทำสิ่งที่ถูกต้องหรือกำลังหลงเดินผิดทาง เหมือนที่พระพุทธองค์กล่าวว่าอยู่แค่ยืมใช้ ร่างกายนี้เหมือนเรือนที่กำลังถูกไหม้ไฟ แล้วเราจะหนีออกจากเรือนที่กำลังจะถูกไหม้ไฟ และกำลังมีทุกข์อยู่ทุกขณะด้วยการทำอย่างไร ก็แค่หันกลับมาเข้าใจธรรมแห่งความเป็นจริงว่ามันไม่มีอะไรเป็นของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมาจากบุญกรรม และเราอยากจะหยุดบุญกรรมเพื่อไปต่อหรือจบเวรจบกรรม
ฉะนั้นเรื่องที่อยู่ในใจแล้วยังไม่ลืมควรจะจบได้แล้วนะ เพราะว่าจิตเป็นเหมือนเนื้อนาบุญ เป็นเหมือนผืนแปลง อย่าเผลอปลูกอะไรลงไปในจิต เพราะถ้ามันเติบโตขึ้นมาแล้ว เราจะรับไม่ไหวกับกรรมที่เราก่อ ฉะนั้นมนุษย์เมื่อทุกข์มากๆ จึงพยายามทำดี เผื่อว่าความดีนั้นจะนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไมทำดีแล้วไม่ทำให้พ้นทุกข์เพราะอะไรหรือ (ตัวตัณหา)  ตัวตัณหาทำให้ทุกข์ ถ้าทำบุญเเล้วยังมีตัณหาก็หนีไม่พ้นทุกข์ ถ้าทำดีเเล้วยังโลภหลงในบุญก็เรียกว่า “ตัณหา” ไม่ได้เรียกว่า “บุญ”
(ใจเราปรุงเเต่งในเรื่องที่ทำให้เราทุกข์ ต้องรู้จักปล่อยวาง ใช้สติหยุดความคิด)  จริงๆ ถ้าท่านเข้าใจธรรม ท่านจะรู้ว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นมีความดับอยู่ทุกขณะ เเต่เพราะมุนษย์มักไม่ค่อยยอม ใจที่ไม่ยอมจบ เรื่องราวที่เราไม่ชอบจบไปแล้วหรือไม่ (จบแล้ว)  เเต่ทำไมยังฝังอยู่ในใจ ทำไมยังฝังอยู่ในความคิด จิตยึดติดหรือจิตไม่ยอมรับที่จะชดใช้เขา ถ้าท่านยังจำไม่ลืมเเปลว่าท่านยังอยากผูกเวรเกี่ยวกรรม ถ้าเจอแล้วยังอดไม่ได้เเปลว่ายังอยากจองเวรจองกรรม คิดให้ดีๆ ว่าควรจบได้หรือยัง ควรจบเมื่อยังมีกายให้รู้จักมีสติปัญญา พระพุทธะจึงสอนไว้ว่าจะเอาทุกข์มาก่อให้เกิดปัญญาหรือจะเอาทุกข์มาเป็นกงเกวียนกำเกวียน (เกิดปัญญา)  อย่างนั้นควรจะจำไหม (ไม่ควรจำ)  เหมือนที่เราบอกแต่ต้น ที่เราเกลียดเขาว่าเขาไม่ชอบเขา เพราะเราเอาบรรทัดฐานเราไปวัดเขา เเต่เราไม่เคยมองเขาที่เป็นเขาจริงไหม (จริง)  ถ้าเรามองเขาที่เป็นเขาจะไม่มีคำว่าดีเเย่ เเต่มีคำว่าเข้าใจหรือไม่เข้าใจเท่านั้น
ทำไมทำดีจึงไม่ได้ดี ถ้าการทำดีนั้นยังหลงยึดมั่นถือมั่นนั่นก็ไม่อาจเรียกว่า “ธรรม” เพราะธรรมสอนให้เราละความหลง เเต่ถ้าทำดีเเล้วยังหลงยึดถือนั่นก็ไม่อาจเรียกว่าธรรม ธรรมสอนให้เรายอมรับความเป็นจริงด้วยหัวใจปกติ ไร้กิเลสอารมณ์ที่ยึดถือเกี่ยวพัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ดีก็ไม่ยึดชั่วก็ไม่ทำ จึงเรียกว่าหัวใจธรรม 
วันนี้เราพูดยากไปไหม (ไม่ยาก) ไกลตัวไหม (ไม่ไกล)  เป็นสิ่งใกล้ตัวที่ท่านมองไม่เคยเห็น ทั้งที่มันคือความจริง เหมือนที่เราบอก ถ้าเราเข้าถึงใจแห่งธรรม ใจแห่งธรรมไม่ใช่ใจที่เป็นแก้ว แต่ใจแห่งธรรมคือใจที่เป็นธรรม ถ้ายังเป็นแก้วแปลว่าเรายังต้องมียึดถือ มีรองรับ มีรังเกียจ มีเอา มีไม่เอา แต่ใจธรรมคือ เมื่ออะไรๆ ก็เป็นธรรมแล้วเราจะเกลียดไหม (ไม่เกลียด)  ทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  แต่เสียอย่างเดียว เรายังไปไม่ถึงธรรม ค่อยๆ ฝึกนะมนุษย์ทุกคนล้วนมีสภาวะธรรมเดียวกัน ถึงจะรวยจะมีจะจนเเต่เราหนีไม่พ้นธรรมที่เป็นหนึ่งเดียวกัน อย่าคิดว่าตัวเองโดดเดี่ยว ถ้าเข้มเเข็งพอ เข้าใจธรรมจริง จะรู้ว่าเราไม่เคยโดดเดี่ยว พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า เมื่อไหร่ที่เราเข้าใจธรรม จงเอาธรรมนั้นไปประพฤติปฏิบัติต่อผู้คน ถ้าปฏิบัติได้ดีถูกต้องเรียกว่าผู้มีคุณธรรม ถ้าปฏิบัติเเล้วสามารถนำพาให้คนพ้นทุกข์เรียกว่าเข้าถึงธรรม
อย่ากลัวความไม่มี ถ้าหัวใจสู้ไม่ถอย อย่ากลัวความโดดเดี่ยวถ้ารู้จักประพฤติปฏิบัติดีเเละถูกต้อง อย่ากลัวความเปลี่ยนเเปลงเพราะความเปลี่ยนเเปลงสอนให้เรารู้ให้เข้าใจความเป็นจริงบนโลกใบนี้ เเละอย่ากลัวความดับสิ้น เพราะความดับสิ้นเเละความเจ็บปวดสอนให้เราปลดปลงในสิ่งที่เรากำลังยึดมั่นจนเป็นทุกข์ เเต่สิ่งที่ควรกลัวคือความหลง การตกเป็นทาสเเห่งตัวตน เเละกิเลสอารมณ์ที่ทำให้เราประพฤติผิดประพฤติชั่วร้ายเเละก่อเกิดเป็นกระเเสวิบากกรรมที่เรียกว่าความทุกข์ทน ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรม ไม่กลัวใคร ไม่ด่าใคร ไม่เกลียดใคร และไม่กล้ารักใคร ทำไมถึงบอกว่าไม่กล้ารัก ถ้าเข้าใจตัวเองจะรักคนเป็น แต่ถ้ายังไม่เข้าใจตัวเอง รักใครก็ต้องทุกข์ ทุกข์เพราะเขาหรือเพราะเรากันแน่หนอ เพราะเรา ใช่ไหม (ใช่)
วันนี้เราคงมีโอกาสผูกบุญกับท่านสั้นๆ เพียงแค่นี้ ถึงเวลาเราก็คงต้องไปแล้ว ฉะนั้นเราถึงบอกท่าน อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง อย่ากลัวความสูญสิ้น เพราะความเปลี่ยนแปลงและความสูญสิ้น ไม่ได้ทำให้เราทุกข์ แต่ทำให้เราเข้าใจสัจจะความเป็นจริง ว่าไม่มีอะไรเป็นของเราเลย จริงไหม (จริง)  การรู้จักเข้าใจและปลดปลงปล่อยวางได้ก่อนที่จะทุกข์เป็นหนทางที่ประเสริฐที่สุด อย่าเอาแต่ทำดีแล้วไม่ละชั่ว แต่จงละชั่วประพฤติดีมีคุณธรรม คือหนทางแห่งการเข้าถึงธรรม ทำดีอย่าลืมละชั่ว เพราะถ้าเป็นคนดีแต่ความชั่วยังไม่ละก็ไม่อาจเรียกว่าคนดี รู้แล้วเข้าใจทุกอย่างแล้วละได้หรือยัง ยังละชั่วไม่ได้ ก็ยังหนีไม่พ้นวิบากกรรมแห่งความทุกข์ทน โลภมากๆ ก็เป็นเปรต โกรธมากๆ ก็หนีไม่พ้นไฟนรกแผดเผาใจ หลงมากๆ ก็เหมือนคนที่มีตาแต่ใช้ได้ข้างเดียว มีหูแต่ถูกปิดไปข้างหนึ่ง ฉะนั้นเราควรดำเนินชีวิตอย่างคนมีสติ แล้วมองให้เห็นธรรม มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ
วันอาทิตย์ที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐                     สถานธรรมหมิงฮุย  จ.ลพบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  ทำบุญเพื่อลดละโลภยึดถือ             ทำดีคือยั้งใจไหลลงต่ำ
บำเพ็ญเพื่อย้อนมองตนหยุดสร้างกรรม  ศึกษาธรรมเพื่อตื่นรู้ในความจริง
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                    ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม
    *ตบเท้าเรียงหน้าทำดี สมชื่อนักธรรม บางครั้งขึ้นก้าวถอยก้าว เป็นด้วยเหตุอะไร หวังว่าข้อคิดเข็มทิศหนุนจิตใจฟ้า ฝึกหัดดั่งนักศึกษางัดข้อแก้ไข หลักธรรมเป็นมิตรคู่คิดชุบจิตใจฟ้า บำเพ็ญอย่างไร้ปัญญา มักสลดในใจ
บำเพ็ญคล้ายการทำดี ต่างที่ระวัง เป็นเพียงเส้นใยบางบาง ที่ควรสนใจบำเพ็ญหรือเพียงทำดี บอกได้หรือยัง หนทางไม่มีสายเส้นกลาง ก็เลยวุ่นวาย
**บำเพ็ญธรรมจ้องมอง เจ้าไม่มองจ้องธรรม จึงช้ำคำคน บำเพ็ญต้องทนก็เลยทนเหลือเกิน ยังไม่รู้ใจ คนตั้งใจจริงจริง แล้วไม่ชิงพูดจา เฝ้าทบทวนตน เรื่องในคน คน คน แล้วแต่ใครรู้ตัว ให้ธรรมสอนใจ (*,**)

ทำนองเพลง: กินอะไรถึงสวย

ชื่อเพลง :บำเพ็ญต้องทำดีแต่ทำดีอาจไม่ใช่การบำเพ็ญ



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ยังต้องการกำลังใจจากอาจารย์อีกหรือ จิตใจที่เข้มแข็งต้องมาจากหัวใจที่แข็งแกร่ง ใช่ไหม
ถ้าศิษย์บอกว่า ศิษย์เป็นพุทธเอาแต่พุทธไม่เอาธรรม คนศึกษาธรรมต้องมองให้เป็นกลาง ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วมาศึกษาธรรมเขาก็บอกอีกว่า วันนี้เราต้องมาบำเพ็ญธรรม ใช่ไหม (ใช่)  โดยส่วนใหญ่ศิษย์ก็จะบอกว่า เป็นคนดีก็ลำบากแล้ว แล้วมาให้บำเพ็ญธรรมอีก ใช่ไหม (ใช่)  คนในโลกนี้ใครถูกต่อว่าได้บ้าง (ไม่ได้,ได้)  คนในโลกนี้ส่วนใหญ่ว่าไม่ค่อยได้ แล้วสอนก็ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  การบำเพ็ญธรรมต่างจากการทำความดีตรงที่ทำความดีทำไปเป็นสิ่งที่ดี แต่การบำเพ็ญธรรมคือ ทำดีแล้วรู้จักย้อนมองส่องตนเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด ไม่ต้องรอให้ใครมาชี้หน้า เรารู้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องรอให้ทุกข์มาบีบบังคับแล้วเราค่อยคิดเปลี่ยนแปลง การศึกษาธรรมคือ ย้อนมองส่องตน แก้ไขตน ไม่แก้ไขเปลี่ยนแปลงใคร เพราะโลกทั้งใบเกิดขึ้นจากความคิดของเราเป็นหลัก และคนจะดีจะร้ายก็อยู่ที่ความคิดเราเป็นหลัก ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการศึกษาบำเพ็ญธรรมคือเป็นคนดีแล้วรู้จักย้อนมองแก้ไขตน คนดีแค่ไหนไม่เคยคิดแก้ไขตนก็ไม่อาจเรียกว่าดีแท้จริงได้ เป็นคนดีแค่ไหนแต่ถ้าชั่วยังไม่ละ ก็ยังไม่เรียกว่าคนที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  การศึกษาบำเพ็ญคือ ทำดีแล้วรู้จักละชั่วแล้วย้อนมองส่องตน ยากไหม (ไม่ยาก)  ก่อนที่เราจะไปว่าเขาต้องเริ่มที่ตัวเรา ก่อนจะไปเปลี่ยนเขาต้องเปลี่ยนที่ตัวเรา ถูกหรือไม่ (ถูก)  อาจารย์ทำความคิดเห็นให้ตรงกันแล้วนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
การศึกษาบำเพ็ญธรรมจึงไม่ใช่แค่เรียกให้ศิษย์เป็นคนดี แต่ศึกษาบำเพ็ญธรรมคือ คนดีพร้อมจะแก้ไขสิ่งที่ไม่ดีของตัวเองให้ดียิ่งขึ้น มนุษย์ไม่ชอบคนชี้หน้าด่า ไม่ชอบคนว่า ฉะนั้นจะรอให้เขาด่าแล้วค่อยสำนึกตัว หรือสำนึกตัวก่อนจะถูกด่า (สำนึกตัวก่อนจะถูกด่า)  ฉะนั้นรีบแก้ไขเปลี่ยนแปลง ดีหรือไม่ (ดี)  เกิดเป็นคนก้าวก็ต้องก้าวให้ไกล ไปก็ต้องไปให้ถึง ถ้าศิษย์มาฟังธรรมะก้าวก็ต้องก้าวให้ไกล ไปก็ต้องไปให้ถึง มาแค่แตะๆเสียเวลาเปล่าๆ ใช่ไหม (ใช่)  สมมติว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้อยู่ที่เราคิด เราก็สามารถดลบันดาลให้คนที่เราคิดเป็นนางฟ้า เป็นเทพ หรือเป็นพญามารปีศาจได้ ใช่ไหม (ใช่)  และถ้าศิษย์โดนคนด่า ศิษย์จะทำอย่างไรหลักธรรมสามารถที่จะฉุดช่วยใจเราได้และสามารถฉุดช่วยใจผู้คนได้ แต่สิ่งสำคัญคือเรายอมแปรเปลี่ยนใจคนให้เป็นใจธรรมได้หรือยัง
อาจารย์ถามนะ ถ้าตอนนี้มีคนเดินเข้ามาด่าศิษย์ว่าบ้า ด่าว่าโง่ ศิษย์จะทำอย่างไร (เคียดแค้น โกรธ)  แล้วศิษย์จำที่อาจารย์บอกตอนแรกได้ไหม โลกนี้เป็นไปตามความคิด แล้วเราจะสร้างสรรค์โลกนี้ให้เป็นสวรรค์บนดินหรือนรกบนดิน (สวรรค์บนดิน)  แต่พอถึงเวลาทำไมไม่เห็นเหมือนอย่างที่ตอบเลยนะ อย่างนั้นอาจารย์ถามนะว่าถ้ามีคนมาด่าศิษย์ว่าบ้า ว่าโง่ ศิษย์จะมองเขาสวยหรูไหม (ไม่)  ศิษย์อยากทำให้เป็นสวรรค์บนดินหรือนรกบนดินอยู่ที่จิตใจ ถ้าเราอยากทำให้เป็นสวรรค์บนดิน เราควรมองเขาเป็น (เทวดา)  ก็เมื่อสักครู่อาจารย์บอกแล้วว่าถ้ามาศึกษาธรรม ก้าวแล้วต้องก้าวให้ไกล ไปแล้วต้องไปให้ถึง เรามาศึกษาเพื่อเรียนรู้เข้าใจหลักธรรม นำธรรมนั้นไปประพฤติปฏิบัติ ธรรมที่ทำให้เราได้เป็นพุทธะหรือทำให้เรากลับคืนความเป็นพุทธะ หรือธรรมที่ทำให้เรากลับคืนความเป็นธรรม ถ้าโดนเขาว่า ศิษย์จะเอาเวรกรรมหรือศิษย์จะเอาบุญกุศล (เอาบุญกุศล)  ศิษย์จำไว้นะ ถ้าโดนเขาว่าแล้ว สามารถชะล้างใจให้บริสุทธิ์นั่นเรียกว่าบุญ ถ้าโดนเขาด่าแล้วสามารถขัดเกลาความเป็นตัวตนให้ทิ้งลงได้นั่นเรียกว่ากุศล แต่ถ้าโดนเขาด่าแล้วแค้น โกรธ นั่นคือการยึดมั่นถือมั่นตัวตนแล้วหนีไม่พ้นวิบากกรรม แล้วศิษย์ก็เลยแก้ด้วยความพยายามที่จะอภัย ด้วยการด่าเขาไปก่อนแล้วค่อยอภัยเขาทีหลัง
เราอยู่ในโลก เราอยากมีทุกข์ไหม อยากมีกรรม อยากมีบาปติดตัวไหม (ไม่อยาก)  ถ้าเขาด่ามา เราเคียดแค้น เราจองเวร เราผูกใจเจ็บ นั่นคือบาปหรือบุญ (บาป)  ทุกข์หรือสุข (ทุกข์)  แล้วอยู่ที่ฟ้ากำหนดหรือเรากำหนดชีวิต (เรา)  เราจะรอไปทำบุญแค่ที่วัดหรือเราจะทำบุญได้ทุกๆ ที่ (ทุกๆ ที่)  ฉะนั้นใครด่ามา (เงียบ)  ก้าวก็ต้องก้าวให้ไกล ไปก็ต้องไปให้ถึง อย่ารอวันพรุ่งนี้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ถ้าวันนี้ไม่มีกรรม พรุ่งนี้ก็ไม่มีกรรม แต่ถ้าวันนี้อยากมีกรรม พรุ่งนี้ก็ต้องเกี่ยวกรรมต่อไป จริงไหม (จริง)  ถ้าเขาด่ามาให้ขอบคุณ เราได้ชำระล้างใจจะได้บริสุทธิ์ ไม่ยึดมั่นถือมั่น แค่คิดว่าเขาด่าเรา ตัวตนก็เกิด เขาว่าเรา ก็คือยึดมั่นถือมั่นตัวตน ตัวตนเกิดเมื่อไร ที่ใดมีความเกิดที่นั่นมีความทุกข์ จริงไหม (จริง)
มนุษย์บอกว่า ร่างกายคือตัวตน ไม่ใช่ร่างกายนี้เรียกสังขาร ตัวตนเกิดเมื่อมีความยึด แล้วเป็นอารมณ์แล้วไหลไปตามโลภโกรธหลง และยึดติดว่าตัวเราเป็นแบบนี้ เราชอบแบบนี้ เราคิดได้เท่านี้ ถ้าเป็นแบบนี้เรียกว่า  ยึดตัวตน สร้างเหตุให้ทุกข์มีที่อยู่และกิเลสเกาะกินใจ จริงไหม (จริง)  ถ้าโดนด่ามา คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วลงนรก ถ้าเกิดเข้าสู่สภาวธรรมเป็นกลาง ไม่มีอะไรให้ยึดถือ จริงไหม (จริง)  ความเป็นกลางมีอยู่ในตัว แต่เราจะเกิดมาเพื่อเวียนว่ายสร้างกรรมหรือเราจะจบเวรจบกรรม (จบเวรจบกรรม)
ตอนนี้อาจารย์ถามว่าจะนั่งหรือไม่นั่ง (นั่ง)  ถ้าพูดอย่างนี้แสดงว่า ยึดถือตัวตนมากๆ เลย เกิดกี่ทีก็ทุกข์ทุกที ถ้าอาจารย์บอกว่าไม่ได้นั่งจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  อาจารย์มักพูดกับศิษย์เสมอว่า นั่งก็ดี ไม่นั่งก็ดี ทำให้เราไม่ยึดติดความเป็นตัวตน ไม่ยึดติดความคาดหวังมุ่งหวังให้ทุกข์ทน ฉะนั้นนั่งก็ (ดี)  ไม่นั่งก็ (ดี)  ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ก็ (ดี)  ถ้าทำอะไรศิษย์บอกเดี๋ยวก่อนๆ ศิษย์ก็กำลังสร้างตัวเองให้อยู่ในกรงขังแห่งอดีต ปัจจุบัน อนาคต แต่ถ้าทำวันนี้ให้ดีที่สุด กลัวอะไรกับอนาคต กลุ้มกังวลอะไรกับอดีต เพราะทุกวันคือวันที่ดีที่สุด ใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์ว่าในโลกนี้ สิ่งใดร้ายและน่ากลัวที่สุด (ความคิด)  ในโลกนี้ใครร้ายที่สุด (ตัวเรา)  ตัวเราและความคิดเราร้ายที่สุด แต่ความคิดก็มีทั้งดีและร้ายใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวเราตรงไหนที่มันทำให้เราร้าย (ใจ)  ใจหรือ อยากจะแก้ที่สาเหตุต้องหาเหตุให้เจอ ใจตรงไหน จิตหรือ (จิตใฝ่ต่ำ มันห้ามยาก อยากเล่นไพ่)  จิตมันง่ายที่จะไหลลงต่ำมากกว่าขึ้นสูง ใช่ไหม (ใช่) แต่ใจมันไหลลงต่ำ ตกลงว่าใจมันใฝ่ดีหรือใจมันใฝ่ร้าย (ดีแล้วเดี๋ยวมันก็ร้าย)  มันอยู่ทั้งสองอัน ตัวไหนที่ร้าย (ตัวที่เราห้ามไม่ได้ที่จะไปที่ต่ำ)  ตัวไหนที่ร้าย (กิเลส)  อาจารย์อยากรู้คำตอบของศิษย์แต่ละคนว่าคิดเห็นอย่างไร แตกต่างกันแค่ไหน ส่วนใหญ่จะบอกว่ามนุษย์คือตัวที่ร้ายที่สุด อย่างที่มนุษย์ชอบพูดว่า เวลาดี (ดีใจหาย)  เวลาร้าย (ร้ายสุดๆ)  รักแรงเกลียดก็แรง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครดีมา (ดีตอบ)  ใครร้ายมา (ร้ายตอบ)  ใช่ไหม (ใช่)
จริงๆ แล้วมนุษย์ทุกคนเป็นคนดี แต่สิ่งที่ทำให้คนดีกลายเป็นคนร้ายที่สุดนั่นก็คือ เราไม่เคยคิดควบคุมหรือยับยั้งสิ่งที่เรียกว่าร้ายในตัวเองเลย อารมณ์ดีก็ (ดี)  อารมณ์ร้ายก็ (ร้าย)  แล้วก็บอกว่า ก็หนูเป็นอย่างนี้ จะเอาอะไรกับหนูนักหนา คิดแบบนี้ก็คือการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ศิษย์กำลังสร้างทุกข์มาทับซ้อนในสังขารที่หนีไม่พ้นสัจธรรม แล้วยังสร้างทุกข์มาซ้อนเพื่อให้ทุกข์ซ้ำเติมใจตัวเองอีก อย่างนั้นจะทำอย่างไรละ เหมือนที่อาจารย์บอก มนุษย์เราร้ายเพราะเราไม่เคยยั้งคิด ยั้งอารมณ์ ยั้งกิเลส เพราะกิเลสเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าบอกว่าคนเราก็ต้องมีอารมณ์บ้าง นิดเดียวเอง แค่คิดว่านิดเดียวเองก็ยึดติดในกิเลส อารมณ์ที่ตัวเองมีแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
กิเลสอารมณ์มีตัวตนไหม (ไม่มี)  แต่ถ้าเมื่อไรเราเปิดใจรับกิเลสอารมณ์ก็ยึดเกาะใจเราทันที แต่ถ้าเราบอกว่าไม่ต้องการ กิเลสจะสามารถมายึดเกาะใจเราได้ไหม (ไม่ได้)  แต่ทุกครั้งเวลาโกรธ ศิษย์เป็นอย่างไร (เปิดรับ)  สนองตามอารมณ์โกรธทันที ฉะนั้นธรรมะจึงสอนให้เรารู้จักมีสติยั้งคิด ถ้าเรารู้จักยั้งคิดเราก็จะไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง ศิษย์รู้ไหมว่ามูลเหตุของความชั่วทั้งหลายในโลกนี้ ล้วนมีรากฐานมาจากโลภ โกรธ หลง แล้วเมื่อโลภ โกรธ หลงให้ผลเป็นกรรม ศิษย์ก็หนีวิบากกรรมที่ศิษย์สร้างไม่มีวันพ้น ฉะนั้นถ้าอยากอยู่บนโลกแล้วไม่ทุกข์ ไม่มีบาปติดตัว ไม่มีกรรมที่ก่อให้เกิดวิบากกรรมแห่งวัฏฏะการเวียนว่าย ศิษย์จะต้องรู้จักควบคุมโลภ โกรธ หลง ให้ได้ เพราะถ้าควบคุมไม่ได้ สิ่งนั้นจะชักนำให้เราทุกข์ไม่จบสิ้น มีบาปติดตัวและมีกรรมที่เป็นต้นเหตุให้เราต้องกลับมาเวียนว่าย เหมือนที่มนุษย์บอกว่าเกิดมาใช้กรรม เราหยุดโลภ โกรธ หลง ได้ไหม (ได้)
ถ้าอาจารย์บอกว่ามีมะม่วงหนึ่งผล ทานแล้วมีแต่สุขกับมะม่วงอีกผลทานแล้วมีแต่ทุกข์ ศิษย์จะรับมะม่วงผลไหน
(พระอาจารย์เมตตายื่นมะม่วงที่ทานแล้วมีแต่สุขสลับไปมากับมะม่วงที่ทานแล้วมีแต่ทุกข์ ให้นักเรียนในชั้นเลือก)
แล้วถ้าลูกนี้กินแล้วไม่สุข ไม่ทุกข์ รับไหม (รับ)  ตกลงเอาสุขหรือเอาทุกข์ (ไม่เอา)  มนุษย์มักมองไม่เห็นความจริง มัวแต่ติดรสชาติที่อร่อย ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยว่า จะเอาหรือไม่เอา (ไม่เอา)  ศิษย์รู้ไหมแค่ชั่วขณะจิตคิดอยากได้ คิดไม่อยากได้ มันทำให้มนุษย์สูญเสียความเป็นกลางและมองไม่เห็นความจริง ฉะนั้นอะไรก็เฉยๆ จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะถ้าไม่เอาก็ยังยึดติดคำว่าไม่ชอบ เอาก็ยังยึดติดคำว่าชอบ แล้วไม่ชอบมันก็ง่ายที่จะไหลหลงไปกับคำว่าโกรธ เกลียด แค้น ส่วนชอบมันก็ง่ายที่จะไหลหลงไปสู่ความ โลภ หลง และยึดติด แล้วก็รังเกียจและก็แค้นได้เช่นกัน ถ้าชั่วขณะจิตที่ศิษย์บอกว่าเอาหรือไม่เอา มันก็คือความหลงเหมือนกัน แต่ถ้าชั่วขณะจิตศิษย์บอกว่าเฉยๆ ศิษย์ทำได้ไหม (ได้)  มันยากนะอาจารย์ เห็นแล้วมันก็ยังอยาก ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยว่า ในลูกที่สุกมากๆ เป็นไปได้หรือไม่ที่กินแล้วจะไม่มีทุกข์ (ไม่)  เมื่อเป็นไปไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้นในลูกที่ทุกข์มากๆ มันเป็นไปได้หรือไม่ที่จะไม่มีสุข (ได้)  ฉะนั้นไม่ได้อยู่ที่สิ่งของแต่อยู่ที่ใจเราจัดการกับสิ่งที่เราเห็นอย่างไร คิดให้เป็นบุญ คิดให้เป็นบาป หรือคิดให้เป็นกุศล ชะล้างความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าศิษย์รู้ศิษย์จะคิดได้เลยว่า จะทุกข์หรือสุขมันไม่น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวและระวังไม่ใช่อยู่ที่ตัวผลไม้ แต่อยู่ที่หัวใจเราประพฤติปฏิบัติอย่างไร เมื่อเจอเรื่องราวที่มากระทบใจ
ในโลกนี้เมื่อคิดจะเอาก็ต้องยอมรับการยึดถือที่หนักหน่วง มีอะไรบ้างในโลกที่ยึด แบกแล้วไม่ทุกข์ ไม่มีเลยนะ แต่ถามว่ายังอยากไหม เราก็ยังอยากอยู่ดี ใช่ไหม (ใช่)  รับผลไม้ไหม (รับ ผลไม้สามารถแก้ไขสันดานได้ไหม)  อาจารย์บอกว่าไม่รับแก้ได้นะ แต่ถ้ารับบางทีแก้ไม่ได้ เพราะใดๆ ในโลกถ้าเรามั่นหมายยึดถือตลอดเวลา มันก็มีที่ให้ทุกข์อยู่เสมอๆ มีสิ่งใดบ้างที่มีแล้วไม่ทุกข์ ฉะนั้นไม่รับเลยจะดีกว่า ก็หยุดทุกข์ไปได้หลายอย่าง จริงไหม (จริง)
อยู่ในโลกนี้ เป็นไปได้ไหม เวลาเราเลือกอะไรมาสิ่งหนึ่งแล้วจะต้องมีดีไม่มีร้าย (เป็นไปไม่ได้)  มีได้ไม่มีเสียได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นถ้าเราอยากจะได้อะไรมาเราก็ต้องยอมรับว่าการได้มา ทำให้เราต้องรู้จัก (เสียไป)  ฉะนั้นวิธีหนึ่งที่อาจารย์จะช่วยให้ศิษย์ไม่โลภไม่โกรธไม่หลง นั่นคือทำอย่างไร ปล่อยวางใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์อยากได้รางวัลจากอาจารย์ไหม (อยากได้)  ก็ศิษย์บอกเอง ถ้าอยากไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ก็ต้องปล่อยวาง เมื่อสละแล้วยังเอาอีกหรือ ก็ปล่อยวางเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สละ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ถึงเวลามันจะเป็นของเรา อย่างไรก็เป็นของเรา ถึงเวลามันไม่ใช่ของเรา มันก็ไม่ใช่ของเรา ขอแค่เราไม่ทุกข์ และไม่ยึดมั่นจนเจ็บปวด ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร นี่ถึงจะเรียกว่า สละและละวางอย่างคนที่ทำถึงที่สุดแล้วเข้าใจ
(ถ้าเราไม่อยากโลภ โกรธ หลง ถ้าเรามีสติ เราน่าจะแก้ไขปัญหาอะไรได้ดี เราต้องตั้งสติให้ได้ก่อน)  สติทำให้เรารู้จักยั้งคิดใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์รู้ไหมศาสนาพุทธเป็นศาสนาของ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ฉะนั้นศาสนาของผู้รู้ไม่ใช่เป็นผู้ที่รู้แล้วไปยึด แต่แค่รู้ สติสอนให้เราแค่รู้ แต่ไม่ไปเป็น แค่เห็นแต่ไม่หลงยึดมั่นถือมั่น สติสอนให้เรารู้จักแค่ยืมใช้ ถึงเวลาคืนเขาไป เพราะทุกสิ่งล้วนเป็นธรรมชาติ และศิษย์ของอาจารย์ก็ชอบตู่เอาธรรมชาติมาก่อเกิดเป็นกิเลส โลภ โกรธ หลง และยึดมั่นถือมั่น ทั้งที่จริงๆ แล้ว ทุกสิ่งล้วนคือธรรมชาติ จริงไหม (จริง)  ร่างกายเราก็คือธรรมชาติ เงิน ทรัพย์สิน บ้าน ชื่อเสียง ที่อยู่ ล้วนเป็นของ (ธรรมชาติ)  แล้วเราคือนักตู่ตัวยงที่เอาธรรมชาติมาเป็นของตัวเอง ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่เคยมีใครครอบครองธรรมชาติได้ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเมื่อรู้จักใช้ก็ต้องรู้จักสละ
เมื่อรู้จักมีก็ต้องรู้จักให้ พระพุทธะก็เลยสอนให้รู้จักการให้ ให้อย่างคนมีศีล ให้อย่างคนฉลาดมีปัญญา อย่าให้อย่างคนที่ตามใจคนจนเคยตัว แต่การที่จะทำให้เราไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง มันเป็นเรื่องยากนะ แล้วจะทำอย่างไรล่ะ
อาจารย์ถามหน่อยนะว่า เวลาเราอยากได้อะไรขึ้นมา มันเคยเติมเต็มในใจเราได้ไหม เคยไหมที่หามากเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอและสมอยากสักที ยิ่งหายิ่งเป็นหนี้ ยิ่งหายิ่งไม่พอ
อาจารย์มีวิธีหาที่ทำให้ไม่โลภ หาแล้วทำให้เราไม่โกรธ ไม่หลง กลายเป็นยิ่งเพิ่ม
ศิษย์มีเงินเท่านี้ แต่ความอยากใช้เงินมีมากกว่า ฉะนั้นเงินกับความอยากมันเลยไม่เคยสมดุลกัน แต่ถ้าตอนนี้เงินมีเท่านี้แต่ความอยากเราไม่มี แล้วเราจะโลภไหม ยิ่งความอยากน้อยเท่าไหร่ เงินก็กลายเป็นมีมากขึ้น
เหมือนวันนี้เราไม่หยุดหาเงิน แล้วจะได้มานั่งฟังอาจารย์พูดไหม แล้วศิษย์จะรอหยุดตอนไหน ทำๆ สุดท้ายตายแล้วทันไหม ตอนนั้นเราก็ไปพร้อมกับกรรมที่เราสร้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทำไมเราไม่รู้จักหยุดให้เป็นก่อนที่มันจะทำให้เราทุกข์ หยุดให้เป็นก่อนที่มันจะก่อบาปก่อกรรมและตามติดตัวไปไม่จบสิ้น จริงหรือไม่ (จริง)
แล้วศิษย์หวังจะมีแต่ดีไม่มีร้าย มันเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อเป็นไปไม่ได้แล้วเราควรจะยึดมันไหม (ไม่ยึด)  แล้วเราเคยเห็นความจริงของสิ่งที่เราโลภหลงชัดสักครั้งไหม เรามองว่ามันดี มีเงินแล้วดี มีแฟนแล้วดี มีทรัพย์สินแล้วดี มีเกียรติยศแล้วดี แต่อาจารย์ถามว่า ในดีนั้นมีร้ายไหม (มี) แล้วเรายังอยากจะโลภอีกไหม ที่เราโลภเพราะเรามองเห็นอันนี้ แล้วลืมความจริงข้างหลังใช่ไหม ที่เราหลงเพราะเราเห็นแค่นี้ แต่ไม่เคยมองให้ถึงที่สุดใช่ไหม
ถามจริงๆ ว่า ในโลกที่ศิษย์อยาก ที่ศิษย์หลง ที่ศิษย์ยึด มีอะไรบ้างที่ไม่มีอะไรแอบแฝงซ่อนอยู่ มีอะไรบ้างที่สวยสดไม่มีวันแห้งเหี่ยว รังเกียจสิ่งนี้แต่สิ่งนี้มันก็ต้องตามสิ่งนั้น รักสุข ทุกข์ก็ตามติด รักดี ร้ายก็ไม่ได้เลวร้าย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอะไรที่จะช่วยยับยั้งให้เราไม่โลภไม่โกรธไม่หลง นั่นคือดวงตาที่มองเห็นความเป็นจริงอย่างแจ่มชัด ไม่ใช่เห็นแค่สิ่งที่เราอยากเห็น ไม่ได้เห็นเพราะเราโลภหลง แต่เห็นเพราะเราเห็นแจ้งจริง
ฉะนั้นศึกษาธรรมบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ให้เราแค่เห็นในสิ่งที่อยากเห็น แต่เห็นอย่างคนที่มีสติปัญญา เพราะธรรมสอนให้เราฉลาดไม่โง่ ธรรมสอนให้เรารักษาความเป็นปรกติ และรับความจริงที่เปลี่ยนแปลงให้จงได้ด้วยหัวใจที่สงบแล้วบังเกิดปัญญา
ในตัวเรามีสิ่งที่อ่อนสิ่งที่แข็ง สิ่งที่สวยงาม และสิ่งที่เป็นเส้นเลือดหนังกำพร้าขี้ไคลขี้หูขี้ตา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าศิษย์บอกว่ามันน่ารัก แสดงว่าศิษย์ยังมองไม่เห็นความจริง ฉะนั้นการเรียนรู้หลักธรรมเพื่อให้เราตื่นรู้แล้วเห็นความจริงอย่างไม่ลุ่มหลง แต่เกิดปัญญาเห็นแจ้งชัดในความเป็นธรรม ถ้ายังหลง ยังโลภ หมายความว่ายังมองไม่เห็นความจริง อย่างที่อาจารย์บอกว่าศึกษาธรรมแล้วอะไรๆ ก็ดี เพราะเราไม่สามารถรู้ชะตาชีวิตได้ ถ้าศิษย์ยังไม่สามารถควบคุมโลภ โกรธ หลง สิ่งเหล่านี้ก็จะชักนำให้ศิษย์ต้องรับกรรมและหนีไม่พ้นบาปที่ติดตัวและนำพาให้ศิษย์ทุกข์ไม่จบสิ้น คิดให้ดีๆ ยังอยากโลภ โกรธ หลงไหม (ไม่อยาก)
คนนี้เป็นแบบนี้เขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรและเป็นแบบคนนี้ก็ไม่ได้แย่อะไร จริงไหม (จริง)  ถ้าเลือกแบบนี้ ไม่เลือกแบบนั้น รับรองศิษย์อายุสั้น จริงไหม (จริง)
ถ้าเรามองเห็นความเป็นจริงในโลก ความโลภ โกรธ หลงทำอะไรเราไม่ได้หรอก อะไรๆ ก็ทำให้เรามีสุขได้ ใช่ไหม (ใช่)
เมื่อไหร่ที่ศิษย์โดนกระทบแล้วก่อเกิดเป็นความรู้สึกชอบ ชัง และไหลหลงไปตามอารมณ์ที่ตนยึดถือ ก็หนีไม่พ้นกรรมและบาป เหมือนที่เวลาเราโดนกระทบแล้วรู้สึกดี ก็เป็นกรรมดี กระทบแล้วรู้สึกชั่ว ก็เป็นกรรมชั่ว แต่ถ้ากระทบแล้วไม่รู้สึก วางเฉย แปลว่าเราอกรรมหรือสิ้นกรรม แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่ โดนกระทบแล้ว คิดแค่ว่าตีฉันทำไม ก็แปลว่าเรายึดถือตัวตน แปลว่าเรามีตัวตนให้ทุกข์ แต่ถ้าเราโดนกระทบแล้ว รู้สึกเฉยๆ เหมือนที่อาจารย์บอกไปตั้งแต่ต้นว่า กระทบแล้วจะจองเวรจองกรรม จะเกี่ยวกรรมหรือจบกรรม เราเกิดมาเพื่อสร้างกรรมไม่จบสิ้น หรือเราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมแล้วไม่สร้างกรรมอีกต่อไป เพราะต้นเหตุของกรรมมาจากความโลภ หลง ที่ยึดถือในตัวตน แต่ถ้าเรามองเห็นชัดว่าตัวตนที่แท้จริงนั้นไม่มี แต่ที่มีตัวตนเพราะว่าเราชอบสิ่งนั้น เราชอบสิ่งนี้ เราเกลียดแบบนั้น เราเกลียดแบบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่เพียงเรารู้สึกชอบ มันก็ก่อเกิดเป็น โลภ โกรธ หลง ที่หนีไม่พ้นทุกข์ บาป เวรกรรม แต่ถ้าโดนกระทบแล้วจบกัน ศีล สมาธิ ปัญญา มันหยุดที่ตรงนั้นเลย ศีลคือความปกติ สมาธิคือใจที่สงบไม่หวั่นไหวเมื่อถูกกระทบ ปัญญาคือดวงตาเห็นแจ้งในความจริง
อยากเป็นบาปเป็นกรรมเป็นทุกข์ หรือเป็นศีล สมาธิ ปัญญา และเกิดความเป็นพุทธะตื่นรู้ ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง : บำเพ็ญต้องดีแต่ทำดีอาจไม่ใช่การบำเพ็ญ ทำนองเพลง : กินอะไรถึงสวย)
ถ้ามีใครชมศิษย์ว่าสวย ศิษย์ดีใจไหม (ดีใจ)  นั่นแหละเรียกว่าหลงยึดถือ หนีไม่พ้นทุกข์ เพราะจริงๆ แล้วสวยไหม (ไม่สวย)  ถ้ามีใครว่าศิษย์ขี้เหร่ทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)
อาจารย์ให้เพลง เพื่อนำเพลงนั้นมาย้ำเตือนสติ ไม่ใช่ให้เพลงแล้วหลงในความเพลิดเพลิน ฟังไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้อะไร อย่างนั้นเปล่าประโยชน์นะ
ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริง มีบางคนที่ต้องยืนและมีบางคนที่ต้องได้นั่ง ใช่ไหม (ใช่)  เราโกรธคนที่ยืนหรือเราเกลียดคนที่นั่ง (เฉยๆ)  ให้เฉยๆ ไปแบบนี้ตลอดนะ อย่างที่อาจารย์บอกตั้งแต่ต้น โลภโกรธหลงหนีไม่พ้นทุกข์และหนีไม่พ้นบาปกรรมที่ตามติดให้เราต้องทุกข์ทน ถ้าเราไม่อยากโลภ โกรธ หลง เวลาเจอเรื่องใดที่มากระทบจิตกระทบใจขอให้คิดให้ดีด้วยสติ ว่าควรจะวางเฉยหรือโกรธเกลียด หรือได้ชำระล้างบาป หรือได้สร้างกุศล หรืออยากจะยึดถือตัวตนเพื่อเป็นต้นเหตุให้ทุกข์ต่อไป คิดให้ดีนะ การเรียนรู้ศึกษาธรรมจริงไม่ใช่เพื่อยึดมั่นถือมั่น แต่การเรียนรู้ศึกษาธรรมเพื่อละวางแล้วมองเห็นความจริงด้วยปัญญา ว่าสิ่งที่เราเห็นแท้จริงยังมีสิ่งที่เรามองไม่เห็น สิ่งที่เราบอกว่าสุขแท้จริงมันมีทุกข์ และสิ่งที่เราเห็นว่ามันทุกข์แท้จริงมันอาจจะไม่ทุกข์ อยู่ที่ความคิดเรา ความคิดสร้างโลภและสร้างตัวตนให้ยึดถือ ถ้าเราเปลี่ยนจากความคิดเป็นสติแล้วมองด้วยปัญญาธรรม เราจะเห็นว่าโลกนี้ไม่มีอะไรที่เราควรยึดถือแล้วก่อให้เกิดบาปกรรมทุกข์ติดตัวเลย จริงไหม (จริง)
แล้วจะทำอย่างไรที่เรียกว่าปฏิบัติธรรม แล้วยิ่งปฏิบัติแล้วละโลภโกรธหลงได้ดีที่สุด ใครตอบอาจารย์ได้
(ปล่อยวาง เดินสายกลาง)  ปล่อยวางแปลว่า ไม่ต้องทำอะไรเลยใช่ไหม (ประมาณกลาง มีก็ได้ ไม่มีก็ได้)  ทำให้ดีที่สุด ถึงเวลายอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าสิ่งนั้นที่เกิดขึ้นจะร้ายหรือไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
(มองให้เข้าใจความเป็นธรรมชาติ)  มองให้เข้าใจความเป็นจริง ไม่ยึดติดดีร้าย ได้เสีย (คิดดี ทำดี พูดดี)  แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องระมัดระวังก็คือมนุษย์ทุกคนในโลกนี้คิดดี ทำดี พูดดี แต่ไม่ละชั่ว
(ตั้งใจปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม พอประมาณกับตัวเรา ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป)  อาจารย์จะแนะนำง่ายๆ นะ การปฏิบัติธรรมก็คือเมื่ออยู่กับผู้คนรู้จักมีคุณธรรม เมื่ออยู่กับตัวตนรู้จักมีศีลธรรมและดำเนินอยู่ในครรลองครองธรรม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นปรบมือเป็นกำลังใจให้กับนักเรียนท่านหนึ่งที่เอาแต่ก้มหน้าตลอดเวลาฟังธรรม แต่ก็กล้าหาญลุกขึ้นตอบคำถามของพระอาจารย์)
อย่างไรเรียกว่าปฏิบัติธรรม (นั่งฟังธรรม)  ศิษย์รู้ไหม การทำความคิดให้กระจ่าง การฟังธรรมด้วยจิตน้อมนำเป็นกุศล เป็นบุญ เรียกว่าปฏิบัติธรรม แต่จริงๆ แล้วในการปฏิบัติธรรมถ้าจิตรู้สึกขอบคุณ อ่อนน้อมถ่อมตน การปฏิบัติธรรมนั้นสามารถสร้างบุญ สร้างกุศลในทุกขณะ ขอบคุณที่เขาพูดธรรมะทำให้เราเข้าใจ ขอให้สิ่งดีนั้นแผ่ไปยังทุกคน นี่คือทุกขณะที่ฟังเราได้บุญ ได้กุศลและยังแผ่บุญ แผ่กุศล ใช่หรือไม่
แล้วคิดแบบนี้บ้างไหม เพิ่งคิดตอนที่อาจารย์พูดใช่ไหม ศิษย์เอ๋ย โอกาสไม่ได้มีบ่อยๆ นะ ทำอะไรต้องคิดให้ดีๆ คิดด้วยสติ
(มีจิตใจเมตตาและกรุณา)  ไม่ใช่เมตตาแค่ตัวเองแต่ลืมเมตตาต่อผู้อื่นนะ รักษาความถูกต้องในตน รักษาความเมตตากรุณาในผู้คน ถ้าทำได้อย่างนี้ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมที่ดีนะ
(รู้เท่าทันความคิดของตัวเองและความคิดของผู้อื่น)  เวลาใครเขาด่าเรา เขาทำไม่ดีกับเรา ไม่ใช่เป็นปัญหาที่เราจะต้องไปรู้ทันเขามาก เพราะรู้ทันมากเราก็เจ็บมาก รู้ทันคนแล้วทำให้อยู่กับคนไม่มีความสุข บางครั้งเราก็ต้องโง่บ้าง ปิดตาบ้าง ยอมบ้าง ก่อนจะไปจัดการใคร เราควรจัดการตัวเอง รักษาใจให้ปกติ ยอมได้ก็ยอม เพราะถ้ายอมแล้วทำให้เราได้ฝึกจิต สร้างบุญ สร้างกุศล ไม่สร้างกรรม ก็ยอมไปเถอะ
(คิดดี ทำดี) โดยส่วนใหญ่ศิษย์มักจะพูดกับอาจารย์ว่าเกิดเป็นคนจะต้องคิดดี ทำดี แต่นิสัยแย่ๆ ไม่เคยแก้ก็ไม่ดีนะ คิดดี ทำดีแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ควรจะมีไว้ก็คือ อะไรที่ไม่ดี ลด ละ เลิก แก้ไขนะ ใช่ไหม (ใช่) 
(นั่งสมาธิทำจิตใจให้สงบ บริสุทธิ์)  นั่งสมาธิหลับตาไม่รับรู้อะไร ใช่ไหม อาจารย์จะบอกให้นะว่า การปฏิบัติธรรมคือการสอนให้เรามีสติ รับรู้หรือรู้เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า เพราะถ้ามัวแต่หลับตา มัวแต่หลีกหนี มัวแต่มองไม่เห็น แต่พอลืมตากลับมาเห็นแล้วรับไม่ได้อีกก็เปล่าประโยชน์ ใช่หรือไม่
ศิษย์ต้องตีความหมายในพุทธศาสนาให้ดีว่า ศีลคือความปกติ สมาธิคือสงบไม่หวั่นไหวเมื่อโดนกระทบ ปัญญาคือเห็นแจ้งชัดจนไม่ตกเป็นธาตุของกิเลสอารมณ์
ถึงศิษย์จะทำตรงนี้ให้บริสุทธิ์แต่ถ้าศิษย์ลืมตาแล้วศิษย์ยังอดใจไม่ไหว มันก็ยังไม่ได้ แล้วอาจารย์ก็บอกหลายครั้งแล้วว่า ปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติตอนที่เราเห็น เมื่อโดนกระทบแล้วเราสามารถวาง เข้าใจ อย่าไปรอด่าให้สะใจแล้วค่อยไปทำบุญชดเชย ล้างกันไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  สู้ทำบุญตั้งแต่ตอนนี้ ตรงนี้แล้วก็ตรงนั้น ไม่ดีกว่าหรือ แค่จิตเราสงบ ปกติ ก็บริสุทธิ์แล้ว แต่ถ้าเมื่อไรที่โดนกระทบ เกลียดเขา ด่าเขา นั่นคือความสกปรกเป็นมลทิน แต่ถ้าโดนกระทบแล้วอย่างที่อาจารย์จี้กงบอกช่างมันเถอะ ใช่ไหม (ใช่)  โลกเป็นดั่งใจศิษย์คิด อยากให้เป็นนรกหรือให้เป็นสวรรค์หรือให้เป็นอะไร มันอยู่ที่เราจัดการ จริงไหม (จริง)
(การทำดี)  ทำดีมันยังไม่พ้นทุกข์ ถ้ายังไม่ละชั่ว ยังไม่ละโลภ โกรธ หลง ฉะนั้นอาจารย์บอกศิษย์ให้ทุกวันละชั่วนั่นคือคนดีนะศิษย์ (คือการมองโลกให้เห็นไปตามความเป็นจริงของชีวิต)
(ใช้หลักศีลห้าในการดำรงชีวิต)  ศีลแปลว่าความปกติ นั่นคือถ้าศิษย์ต้องใช้หลักแห่งศีลแปลว่าโดยปกติศิษย์ผิดปกติมาตลอดชีวิต จริงไหม (จริง) ปกติเราเบียดเบียนคนไหม ปกติเราอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตัวเราเสมอไหม และปกติเราผิดลูกผิดเมียคนอื่นไหม จริงๆ แล้ว ถ้าเราไม่มีกิเลสครอบงำ มนุษย์เรามีศีลอยู่แล้วแต่เพราะกิเลสมากระทบครอบงำเราเลยผิดศีล ผิดธรรมเพราะขาดการยั้งคิดและมีธรรมไว้ครองใจ ใช่ไหม
(ทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวาน)  ปรบมือให้ท่านนี้หน่อยนะ เพราะเวลาไม่เหลือเยอะแล้วนะ ใช่ไหม (ใช่)
(คนเห็นแก่ตัวเอาเปรียบ)  โลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ คนเราต้องมีกรรมเวรมาเกี่ยวกันจึงเจอกัน จึงต้องชดใช้กัน ถ้าศิษย์ยอมก็จบในชาตินี้ แต่ถ้าศิษย์ไม่ยอม ผูกใจเจ็บศิษย์ก็ยังต้องเกี่ยวกรรมไม่จบสิ้น ฉะนั้นยอมดีหรือไม่ยอมดี (ยอม)  ยอมด้วยหัวใจที่เข้าใจ ยอมด้วยหัวใจที่ได้ชะล้างกลับคืนสู่บุญกุศล ไม่กลายเป็นกรรมวิบากกรรม ดีไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ดับทุกข์ที่ทุกข์”)
ทุกข์เกิดเพราะความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนว่าเราเป็นคนแบบนี้ เราไม่ชอบแบบนี้ แสดงว่าศิษย์กำลังสร้างพื้นที่ให้ทุกข์อยู่ สร้างพื้นที่ให้กิเลสยึดเกาะ แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์ไม่มีแบบนี้ ไม่มีแบบนั้น ทุกสิ่งทุกอย่าง กลับคืนสู่ธรรม แล้วทุกข์อยู่ที่ไหน ถ้ามีทุกข์ก็คงเป็นทุกข์ของความเป็นจริงแห่งสังขารที่เรียกว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราไม่เกิดทุกข์ที่ทำให้ทุกข์เวียนว่ายอีกต่อไป จริงหรือไม่ (จริง)
เมื่อถึงที่สุดแล้ว ศิษย์ก็จะรู้ว่าแท้จริงแล้ว ไม่มีความแตกต่างระหว่างเราหรือเขา ทุกสิ่งล้วนต้องเกื้อหนุนกัน จริงหรือไม่ (จริง)  สกปกรกที่สุดจึงเกิดความสะอาดที่สุด ทุกข์จึงรู้จักคำว่าพ้นทุกข์ ร้ายจึงรู้จักดี อะไรในโลกที่เราควรเกลียด อะไรในโลกที่เราควรยึดลุ่มหลง ทุกสิ่งล้วนมีเหตุและในเหตุก็มีความดับอยู่ในทุกสิ่ง แล้วเรากำลังจะพยายามดับอะไร สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความดับ ตอนนี้เรากำลังดับอะไร ถ้าเราต้องดับก็แปลว่าเรายังมีตัวตนให้ยึดถือ แต่ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริง เรามีชีวิตหมุนเวียนไปตามความเป็นจริงแห่งสัจธรรม ทำหน้าที่ตัวเองให้ถูกต้อง ดีพร้อมสมบูรณ์ต่อผู้คน ไม่ขาดคุณธรรมความเป็นคน ต่อตัวตนไม่ขาดศีลธรรมบกพร่อง ทำให้ถึงที่สุด อะไรจะเกิดก็กล้ารับเพราะเป็นเพียงแค่ความหมุนเวียนแห่งสัจธรรม โลกยังมีความสว่างยังมีความมืด เรื่องราวในชีวิตมีร้ายมีดีเป็นปกติ ฉะนั้นเมื่อถูกชมก็ธรรมดา เมื่อถูกด่าก็ธรรมดา มีได้ก็ธรรมดาถึงเวลาเสียก็ธรรมดา เมื่อถึงเวลาเจ็บป่วยก็ธรรมดา ความสูญเสียเป็นเรื่องกรรมของสังขาร แต่หาใช่กรรมของจิตเดิมแท้ไม่ ฉะนั้นผู้ที่เข้าใจเรื่องจิตเดิมแท้จึงชดใช้กรรมเพียงสังขาร จิตไม่ได้ชดใช้กรรมแต่จิตมาเพื่อตื่นรู้ เห็นความเป็นจริงในโลกและกลับคืนสู่ธรรมเท่านั้นเอง
ธรรมะไม่ได้ตื่นรู้เพียงแค่การฟัง แต่ต้องลงมือปฏิบัติ วันนี้อาจารย์มาก็คงต้องกลับแล้ว ขอให้ศิษย์บำเพ็ญตนในหนทางที่ถูกต้อง ทำอะไรมีสติยั้งคิด ทำอะไรรู้จักดำรงอยู่ในศีลธรรมความถูกต้อง อย่ามีแต่นิสัยอารมณ์แล้วตกเป็นทาสของความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนนะศิษย์ ถ้าไม่อยากทุกข์อย่าตกเป็นทาสของกิเลส ถ้าไม่อยากมีบาปกรรมติดตัวก็อย่าตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลงให้ตัวเองต้องเจ็บช้ำแล้วก็เป็นทุกข์ใจเลยศิษย์ตั้งใจทำสิ่งที่ดีนะ
(พระอาจารย์เมตตาจับมือกับนักเรียนในชั้น)
จับมือกับอาจารย์ไหม (จับ)  กลับมาศึกษาอีกนะ มีโอกาสลองมาศึกษาและตั้งใจ เสียสละตัวเอง ช่วยผู้อื่นบ้างนะ เข้าใจบ้างไหม
เวลาแห่งชีวิตเหลือไม่มากแล้วนะ รู้จักไปเรียนรู้สิ่งที่ถูกต้องดีงามด้วยสติ อย่าให้อดีตที่เป็นบทเรียนแล้วกลับมาทำร้ายตัวเอง รู้จักคิด รู้จักทำ อย่าใช้แต่อารมณ์ เรื่องราวบางเรื่องผ่านไปแล้ว จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด ธรรมะรู้เยอะแต่ถ้าเกิดปฏิบัติไม่ได้ก็เปล่าประโยชน์นะศิษย์ ยิ่งให้ยิ่งได้ธรรม
ตั้งใจศึกษาบำเพ็ญนะ มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีก เรียนรู้เข้าใจด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ ดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง อย่าผิดพลาดเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ อย่ามัวแต่ทุกข์กับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่จงมองความเป็นจริง สังขารไม่เที่ยง ใช่ไหม อาจารย์ก็ดลใจช่วยอยู่นะ แต่ใจศิษย์นั้นต้องเข้มแข็งกว่าสังขารอีก อย่างนั้นไม่ต้องกลัวนะ
มีโอกาสกลับมาศึกษาร่วมกันอีก มีโอกาสกลับมาร่วมบุญกับอาจารย์อีก เข้มแข็งนะ รักษาหัวใจแห่งนักสู้ด้วยจิตใจที่อุทิศเสียสละ รักษาจิตใจแห่งพุทธะด้วยการรู้คิด รู้ทำด้วยสตินะศิษย์
โลกนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวนอกจากใจที่ไม่รู้จักควบคุมให้ดี เรื่องเลวร้ายในโลกเพียงมาทดสอบให้เราได้ชดใช้กรรม จะกลัวอะไรถ้าเข้าใจความจริง จะกลัวอะไรกับความทุกข์เพราะความทุกข์บางครั้งก็ทำให้เราปลดปลงและปล่อยวาง กลับคืนสู่ที่เดิมที่เราเคยมา เข้มแข็งและมีปัญญาที่แท้จริง ธรรมสอนให้ศิษย์ฉลาด ธรรมสอนให้ศิษย์รู้จักคิด ไม่ใช่เอาแต่ใจ ความบริสุทธิ์และความดีงามมีอยู่ในใจของศิษย์ทุกคน แต่บางทีอารมณ์ชั่ววูบทำให้เราหลงผิด สังขารไม่น่าทุกข์เท่ากับใจที่ไม่สู้
ตั้งใจศึกษาบำเพ็ญให้ถูกทาง เรียนรู้เข้าใจหลักธรรมด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ เดินหน้าปฏิบัติธรรมเริ่มต้นที่ใจ อย่ากลัวชะตากรรม เราเปลี่ยนแปลงได้ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง ถ้าหัวใจอ่อนแออะไรก็สู้ไม่ได้ แต่ถ้าหัวใจรู้จักคิดไม่ยึดมั่นถือมั่น เปิดใจได้กว้าง อะไรๆ ก็คือธรรมที่ทำให้เราเห็นธรรม หัวใจแรกเริ่มหายไปไหน หลงทางหรือไม่ อย่ายอมแพ้ มุ่งมั่นให้ถึงที่สุด รักษาความดีด้วยหัวใจที่รู้จักคิดรู้จักทำ อย่าปล่อยให้เรื่องราวภายนอกทำให้คิดไม่เป็น คิดไม่ออก แต่จงใช้สติปัญญาแห่งธรรม มองอย่างคนมีธรรม เข้าใจธรรม และเห็นธรรม
อาจารย์คงต้องจากศิษย์แล้วนะ เข้มแข็ง เข้าใจความจริงในโลกด้วยหัวใจแห่งพุทธะด้วยหัวใจที่มีแต่ธรรมไม่มีตัวตน ไม่ยึดถือ มีแต่ธรรมที่คงไว้ ธรรมที่เป็นกลาง อะไรๆ ก็ดี ใช่ไหม (ใช่)  อย่าตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลงแล้วทำให้ตัวเองเวียนวนในวัฏสงสารเลยนะศิษย์


  พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ดับทุกข์ที่ทุกข์”
 
     อย่าท้อใจกับความทุกข์ในชีวิต                อย่าสิ้นคิดอย่าท้อแท้อย่าหมดหวัง
ล้มเพื่อลุกทุกข์ยิ่งปลุกแรงพลัง                    ขอเพียงยังศรัทธาในคุณค่าตน
ดึงสติเรียกขวัญกำลังใจ                             ไม่มีใครสุขสมบูรณ์ได้ทุกหน
โลกธรรมธรรมดาโลกเตือนใจตน                  สัจธรรมดลจิตตื่นรู้ในทาง
     เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป                              เวียนหมุนอยู่ในความว่าง
สงบบรรจบสว่าง                                     กระจ่างธรรมเป็นหนึ่งเดียว



  (พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานธรรมก่อนไปเมตตานักเรียน)

อาจารย์ฝากบอกไปอย่างหนึ่ง ช่วงนี้มีหลายคนที่เจ็บป่วย ไม่ว่าจะทางสายนี้หรือทางสายไหนก็ตาม อาจารย์มักพูดอยู่อย่างหนึ่งที่พูดซ้ำๆ บ่อยๆ อาจารย์ขอให้เอาสิ่งที่อาจารย์พูดซ้ำบ่อยๆ ไปเป็นกำลังใจเรียกให้เขามีสติ
เรามีกรรมเพียงสังขาร แต่หน้าที่ของจิตญาณคือความเข้าใจแท้จริงแห่งสภาวธรรม
กรรมของสังขาร มีเพื่อสอนให้เรารู้จักปลดปลงแต่หน้าที่ของจิตญาณเดิมแท้คือตื่นรู้ในความเป็นจริงและกลับคืนสู่ธรรม
เรามีกรรมเพียงสังขาร อย่าให้มันลากจิตทำให้เราเกิดความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน
เรามีกรรมเพียงสังขาร แต่หน้าที่ของจิตคือตื่นรู้ กลับคืนสู่สภาวธรรมและปลดปลงในการยึดถือตัวตน
ฝากไปให้กำลังใจพร้อมกับคำความหมายที่เรียกสติเขากลับมา ว่าอย่าไปยึดในสังขาร เพราะสังขารมีทุกข์เป็นธรรมดาแต่จิตเดิมแท้เราไม่เคยมีตัวตนให้ทุกข์นะ แต่การยึดมั่นและหลงผิดก่อเกิดให้เรายึดถือและหนีไม่พ้นความทุกข์ แต่เราเรียนรู้ธรรมเพื่อกลับคืนสู่สภาวธรรม ฉะนั้นจะต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ฝากไปให้กำลังใจ อาจารย์ไม่ให้ผลไม้นะ อาจารย์ขอเป็นคำพูดเตือนสติเรียกกำลังใจกลับคืนมา ใจเราเข้มแข็งได้ก็อ่อนแอได้ แต่จริงๆ แล้วใจเดิมแท้เข้มแข็งและอ่อนแอมันก็คือใจแห่งธรรม ฉะนั้นตื่นรู้นะ อย่ารอให้ทุกข์จนถึงที่สุดแล้วค่อยปลดปลงปล่อยวาง แต่เราต้องรู้ก่อน รู้และเข้าใจธรรมว่าเป็นธรรมชาติของสังขาร ไม่ใช่ธรรมชาติของจิตเดิมแท้ของเรา จริงไหม (จริง)  ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตามสภาวธรรมมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ห้ามไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำได้คือยอมรับความจริง


(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานธรรมรอบ 2 หลังจากเสด็จกลับไปแล้ว )

( พระอาจารย์เมตตาอธิบายความหมายเพลงธรรมที่เมตตาประทานให้ )  

 " ที่ควรสนใจบำเพ็ญหรือเพียงทำดี บอกได้หรือยัง  หนทางไม่มีสายกลาง ก็เลยวุ่นวาย" 

  ศิษย์ต้องแยกให้ออกระหว่างการทำดี กับการบำเพ็ญ ฉะนั้นเราบำเพ็ญหรือเราแค่ทำดี ตอบได้หรือยัง ถ้าแค่ทำดี เราก็ไม่ได้ขัดเกลาตัวเอง การบำเพ็ญคือการทำดีด้วยแล้วต้องขัดเกลาตัวเองด้วย อาจารย์ก็เลยถามว่า บำเพ็ญหรือเพียงแค่ทำดี  บอกตัวเองได้หรือยัง ว่าสิ่งที่เราทำมันมีทางสายกลางไหม ถ้าไม่มีทางสายกลาง ไม่ได้แก้ไขตัวเอง ทำแต่สิ่งที่ดี มันไม่พ้นวุ่นวาย

เนื้อเพลง "บำเพ็ญต้องทน ก็เลยทนเหลือเกิน"   ให้เว้นวรรค  "บำเพ็ญ...ต้องทน ก็เลยทนเหลือเกิน"
ถ้าศิษย์ใช้คำว่า ต้องทน แปลว่า ศิษย์ก็ยังไม่รู้ใจตัวเอง เพราะว่าเราฝึกฝนบำเพ็ญคือ เราขัดเกลาตัวตนจนไม่เหลือตัวตนให้นึกถึง มันเป็นการที่เราไม่ต้องใช้คำว่า ต้องทน ถ้าศิษย์บอกว่า “บำเพ็ญต้องทน” เขาจะเข้าใจว่า การบำเพ็ญธรรมต้องทน    มันไม่ได้  ให้เว้นจังหวะเวลาร้อง

    " คนตั้งใจจริงจริง แล้วไม่ชิงพูดจา  "
  เข้าใจสิ่งที่อาจารย์บอกไหม  เวลามีเรื่องอะไร บางทีเราชอบเสนอ เราชอบออกความคิดเห็น จนทำให้เราไม่มีโอกาสเปิดกว้างในการที่จะรับรู้เรื่องราว  เหมือนเวลาเขามีเรื่องพูดอะไรขึ้นมา มีไหมที่เราจะอดใจรับฟังคนอื่นได้  ส่วนใหญ่เราจะพ้อว่า ทำไมเธอไม่ทำอย่างนี้อย่างนั้น  ทำไมไม่ทำแบบนั้น  ฉะนั้นถ้าคนเราตั้งใจจริงๆ เราจะไม่ชิงพูดจา เราจะรู้จักนิ่งก่อน แล้วฟังเรื่องราวให้ชัดๆ แต่มนุษย์ไม่ใช่ เวลาตั้งใจ  เวลามีอะไรขึ้นมา ฉันคิดอย่างนี้ ทำไมเธอไม่เป็นแบบนี้ นี่แหละความหมาย
  แต่บางครั้งที่อาจารย์ไม่อยากอธิบายกลอนหรือเพลง เพราะว่า กลัวว่า ถ้าอาจารย์อธิบาย แล้วมันจะกลายเป็นการตีกรอบ แล้วศิษย์ก็จะมองได้แค่กรอบ ที่ศิษย์คิดว่าอาจารย์ตีให้ ฉะนั้นอาจารย์ถึงอยากให้ศิษย์ลองไปคิด พิจารณาจนให้เข้าใจ มองตามเรื่องราวที่เวลาเราเป็นแบบนี้  เวลาเราตั้งใจจะทำอะไรจริงๆ  เราควรจะรับฟังเรื่องราวมากกว่าที่จะเอาแต่พูด เสนอความคิดเห็น ใช่ไหม
        อย่างที่อาจารย์บอกนะ  ฝากไปด้วย แล้วก็ฝากไปให้กับทุกๆ คนที่ป่วย แม้แต่ตัวเราเองนะ เวลาเจ็บป่วย เรื่องความเจ็บป่วย เรื่องความไม่เที่ยงของสังขาร ไม่ได้ให้เรายึดเพื่อทุกข์ แต่เพื่อให้เราปลดปลงเข้าถึงความจริง ว่าทุกสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน ทุกคนล้วนต้องเกิดแก่เจ็บตาย แต่เราเกิดแก่เจ็บตายเหมือนที่อาจารย์บอก ก้าวมันต้องก้าวให้ถึง ไปแล้วไปให้ถึงที่สุด เราจะแค่ทุกข์ หรือว่าเราจะก้าวจนมองเห็นความเป็นจริงแห่งสัจธรรม มองเห็นสภาวธรรมที่มันเกิดดับเกิดดับ แล้วมีแค่เราที่เป็นแค่ตัวรู้ แต่ไม่ใช่เราที่เป็นตัวตนแห่งความยึดมั่นถือมั่น ฉะนั้นทำไมอาจารย์ถึงย้ำแล้วย้ำอีกในการศึกษาธรรมว่า  เราจะต้องลงแรงรู้ ยั้งคิด  เหมือนเวลามีอะไรเกิดขึ้น เราควรหรือที่จะเกิดมาเพื่อเจ็บแล้วตายแค่นั้น  หรือเราควรที่จะเกิดมาเพื่อเรียนรู้ความเจ็บตาย จนเข้าถึงสัจธรรม ศิษย์จะเอาอันไหน แล้วจริงๆ แล้ว ชีวิตเราเพื่อให้เข้าไปสู่อันไหน เพื่อแค่ทุกข์แล้วเวียนในทุกข์ หรือว่าเพื่อเราเห็นแจ้งในความจริง  ใช่ไหม แล้วอาจารย์ควรให้ศิษย์เกิดมาเพื่อทุกข์แค่นั้นเหรอ ไม่ใช่ แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้าถึงความทุกข์ที่แท้ที่เรียกว่า ธรรม  ที่มันไม่เคยมีอะไรจริงแท้  
        (ตอนนี้มันยังทำไม่ได้)   นี่แหละที่คิดว่า "ตอนนี้ " ก็คือยึดติด   ถ้ายังบอกว่าไม่ได้ นั่นก็คือยึดติด ยึดติดความเป็นตนทั้งนั้นเลย มันยากอาจารย์ พอพูดว่า "มันยาก " แปลว่า เรามีตัวตนแล้ว  พอบอกว่า "ไม่ได้ อาจารย์ ไม่ได้"  แปลว่า เรายึดติดตัวตนแล้ว แต่ธรรมไม่มีคำว่า "ได้ "  หรือ "ไม่ได้ " แต่มันแค่รู้ แค่เห็น แล้วก็แค่นั้น  คือความเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีตัวเราเข้าไป “ได้”  ไม่มีตัวเราเข้าไป “ใช่ หรือ ไม่ใช่”     อาจารย์ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง เข้าใจไหม





** แก้ไขพระโอวาทงานประชุมธรรมสถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก วันที่ ๒๙ เมษายน – ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐   
แก้ไขกลอนพระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ
หน้า ๑ บรรทัดที่ ๑๕
เดิม     ละชั่วชอบผิดซ้ำที่เดิมประจำ  แก้เป็น  รักชั่วชอบผิดซ้ำที่เดิมประจำ
หน้า ๑ บรรทัดที่ ๑๙
เดิม แรงทิฐิอย่าเป็นไฟไหม้หลายเที่ยว                         พ่วงทุคติประเดี๋ยวเดียวดั่งตลอดกาล
แก้เป็น แรงทิฐิยามเป็นไฟไหม้หลายเที่ยว        ห้วงทุคติประเดี๋ยวเดียวดั่งตลอดกาล
แก้ไขเพลงพระโอวาท
หน้า ๑๖  บรรทัดที่ ๒
เดิม     ล้มไปแต่โทษธรรมะ        แก้เป็น   ล้มไปโทษแต่ธรรมะ
หน้า ๑๖  บรรทัดที่ ๕
เดิม  อะไรเป็นอะไรดูดายกับความเฉย
แก้เป็น  อะไรเป็นอะไรดูดายกับวางเฉย
แก้ไขกลอนพระโอวาทซ้อนพระโอวาท  บรรทัดที่ ๔
เดิม     อย่าเป็นคนหากมีจิตทุคติ           แก้เป็น ยามเป็นคนอย่ามีจิตทุคติ
แก้ไขกลอนแยกพระโอวาทซ้อน
เดิม     ละชั่วชอบผิดซ้ำที่เดิมประจำ  แก้ไข  “ละ” เป็น “รัก”
เดิม     แรงทิฐิอย่าเป็นไฟไหม้หลายเที่ยว  แก้ไข  “อย่า” เป็น  “ยาม”
เดิม     พ่วงทุคติประเดี๋ยวเดียวดั่งตลอดกาล  แก้ไข  “พ่วง” เป็น “ห้วง”
** แก้ไขพระโอวาทงานประชุมธรรมสถานธรรมหมิงเอิน จ.เพชรบูรณ์ วันที่ ๑-๒ เมษายน ๒๕๖๐  
แก้ไขกลอนหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ  หน้า ๑ บรรทัดที่ ๑๖ 
เดิม     วัฏฏะไม่มีเลยที่ไม่ยอมจบ  แก้เป็น วัฏฏะไม่มีเลยที่จะยอมจบ
แก้ไขกลอนพระอาจารย์จี้กง  หน้า ๑๓  กลอนวรรคสุดท้าย
เดิม     ฝึกสู้จะละหวั่นหรือดีให้รีบบำเพ็ญ
แก้เป็น          ฝืนสู้จะละหวั่นหรือดีให้ฝึกบำเพ็ญ
แก้ไขกลอนแยกพระโอวาทซ้อน
เดิม     ฝึกสู้จะละหวั่นหรือดีให้รีบบำเพ็ญ
แก้ไข  “ฝึก” แก้เป็น “ฝืน” และ “รีบ” แก้เป็น “ฝึก”
เดิม     วัฏฏะไม่มีเลยที่ไม่ยอมจบ แก้ไข  “ไม่” แก้เป็น “จะ” 

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา