西元二〇一七年嵗次丁酉二月二十九日 仙佛慈悲訓
วันอาทิตย์ที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ สถานธรรมฮุ่ยจื้อ จ.บุรีรัมย์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เป็นคนดีแต่นิสัยไม่น่ารัก ก็ยากจักเป็นคนดีแท้จริงได้
ดูนิ่งนิ่งเรียบร้อยไม่มีอะไร แต่อย่าเผลออารมณ์ใส่ไม่น่าดู
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยจื้อ แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม
สติดีแต่ทำตัวไม่ค่อยดี อะไรดีไม่รู้รู้แต่ขี้เกียจหลาย
ขนาดยอมทำเป็นคนใช้ไม่ได้ เหมือนกรรมใกล้เกลือกินด่างเต็มประตู
ทุกทุกดีนั้นเมตตาเป็นแสงส่อง เพียงแต่ต่างคนประคองคนร่วมหมู่
บำเพ็ญธรรมอย่างเดียวคนฟังไม่รู้ มักต่างอยู่เข้าตัวไม่เหลือใคร
อย่าไปมัวแต่ข้างใดดีนัก ย้อนมองตัวเองจะพบอะไรใหม่
งานยิ่งเร่งยิ่งรัดสุขอยู่ไหน ตระหนักได้ไม่ทำมากจนเกินตัว
ที่ฟ้าตักเตือนหมายให้ได้ดี ถึงต่อให้ทำดีจนท่วมหัว
ยังไม่เท่าเจ้ายอมละกรรมชั่ว สำนึกเองตัวเตือนตัวนั่นแหละดี
หลงเหตุผลก็ง่ายจะหลงผิด ตามอารมณ์ก็เบือนบิดไปกันใหญ่
ไม่มักง่ายไม่เอาเปรียบไม่ตามใจ อยู่ในศีลครองธรรมไว้นั่นแหละดี
หมั่นตรวจสอบความคิดคำพูดการกระทำ หนึ่งจงจำมีเมตตาไม่กดขี่
สองถูกต้องชอบธรรมไม่ราวี สามต้องมีเคารพให้เกียรติกัน
ถือซื่อตรงทำดีไม่โลภหลง ความดีคงงดงามอยู่เช่นนั้น
รู้หน้าที่รับผิดชอบสร้างบุญทาน เรื่องผิดศีลขาดธรรมไม่คิดมี
รู้ย้อนมองเมื่อผิดไม่โทษใคร กล้าแก้ไขยอมรับไว้ไม่ราวี
อยู่บนทางสำนึกดีปฏิบัติดี ให้สมที่เป็นผู้บำเพ็ญธรรม
ฮา ฮา หยุด
“เป็นคนดีแต่นิสัยไม่น่ารัก ก็ยากจักเป็นคนดีแท้จริงได้
ดูนิ่งนิ่งเรียบร้อยไม่มีอะไร แต่อย่าเผลออารมณ์ใส่ไม่น่าดู”
เป็นอย่างนั้นไหม เป็นคนดีแต่นิสัยไม่น่ารัก เราเป็นคนดีไหม ก็ดีนะ แต่อย่ามีนิสัยมีอารมณ์เข้ามาเด็ดขาด คนดีก็พร้อมจะเปลี่ยนแปลงและกลับกลายใช่หรือไม่ ตอนนี้ที่ไม่มีอารมณ์อะไรเข้ามา ทุกคนก็ดูดีหมดเลยจริงไหม (จริง) แต่พอมีอารมณ์โกรธใส่เข้ามา เป็นอย่างไร หน้ามือเป็นหลังมือเลยใช่หรือเปล่า ที่ดูพูดเรียบร้อยๆ ก็เปลี่ยนไปเลยใช่หรือไม่
เวลาเราศึกษาหลักธรรม จงมองที่หลักธรรมอย่ามองที่ตัวบุคคล เพราะถ้าเอาตัวบุคคลไปวัดกับธรรมจะทำให้เราไปไม่ถึงฝั่ง เพราะบุคคลมีวันเปลี่ยนแปลงและกลับกลาย มีวันหน่ายมีวันเบื่อ มีวันชิงชัง ถ้าเรามองที่ตัวหลักธรรม ธรรมจะสอนแต่ความเป็นจริง และให้เรามองแต่ความเป็นจริง ฉะนั้นวันนี้ที่เรามาศึกษาคือศึกษาหลักธรรมเพื่อเอาไปใช้ในชีวิต ใช่ไหม (ใช่)
ลองเปลี่ยนบรรยากาศในการศึกษาธรรมเป็นการแลกเปลี่ยนสนทนาธรรมกันบ้างดีไหม (ดี) ฟังมาวันครึ่ง ฟังมาเกือบค่อนชีวิตแล้ว ถ้าวันนี้อาจารย์ถามอะไรคุยอะไรก็คงมีการโต้ตอบกันบ้างเล็กน้อยดีไหม (ดี) อาจจะแปลกใจระคนสงสัยเล็กน้อย แต่อย่าเพิ่งถึงขั้นรังเกียจดูถูกกันแล้วไม่มองหน้ากันเลยดีไหม (ดี) เพราะส่วนใหญ่เราอยู่ในโลกนี้ เราก็ไม่ชอบให้ใครตั้งป้อมรังเกียจตั้งแต่ยังไม่ทันทำอะไร ถูกไหม (ถูก) และโดยส่วนใหญ่เราอยู่ในโลก เราก็ไม่ชอบให้ใครดูถูกเหยียดหยามเราโดยที่ยังไม่ทำอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นไม่ชอบสิ่งใดอย่าทำสิ่งนั้นกับผู้อื่น แล้วเราเผลอทำไหม (ทำ)
อาจารย์ถามหน่อย โดยส่วนใหญ่นักเรียนในชั้นคิดว่าตัวเองเป็นคนดีไหม (ดี) ส่วนใหญ่คนดีชอบทำดีไหม (ชอบ) เป็นทั้งคนดีด้วยแล้วก็ชอบทำดีด้วย แต่ที่อาจารย์ได้ยินมา คนโดยส่วนใหญ่ชอบความดีแต่ไม่ชอบทำดี เหมือนถามว่าระหว่างคนดีกับคนไม่ดีชอบแบบไหน ชอบคนดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ระหว่างคนมีเมตตากับคนใจดำอำมหิตชอบคนแบบไหน (ชอบคนมีเมตตา) ระหว่างคนใจกว้างกับคนเห็นแก่ตัวชอบคนแบบไหน (คนใจกว้าง) แต่ถึงเวลาเราเลือกทำแบบไหน (ตรงกันข้าม) จริงไหม (จริง) เราอยากเป็นคนดี เราชอบคนดี แต่ถึงเวลาเรากลับไม่เลือกปฏิบัติดี ใช่หรือไม่ (ใช่) เอาแบบเปิดอกจับเข่าคุยกันเลยนะศิษย์ อาจารย์ถามตรงๆ ไม่ต้องอ้อมค้อม เราชอบคนดี เราหวังที่จะมีคนดีอยู่รอบข้าง หวังที่จะเจอเรื่องดีๆ ให้กับชีวิต แต่ถึงเวลาเราทำดีไหม อย่างเช่นถึงเวลามีโอกาสได้กับมีโอกาสสละ เราเอาก่อนหรือเราสละก่อน (เอาก่อน) แล้วดีตรงไหน
ถามหน่อยไปตบหัวเขามาเต็มที่ ไปเอาของเขามาเต็มที่ แล้วบอกว่า ขอโทษนะเดี๋ยวค่อยใช้ เขายอมไหม (ไม่ยอม) แล้วจะมาบอกว่าตัวเองเป็นคนดีไหม ก็ไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วรู้ขนาดนี้แล้ว เลือกที่จะทำดีไหม (ยัง) เหมือนถามว่าระหว่างทำดีกับชอบความดี ถามว่าเราเป็นอะไรมากกว่ากันเราชอบดีแต่เราไม่ค่อยทำดีใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นอาจารย์ถามต่อ ระหว่างเจอเคราะห์ดีกับเคราะห์ร้าย โอกาสที่จะเจอเคราะห์ดีก็ยาก ก็ต้องเคราะห์ร้ายมากกว่าดี เพราะเรามักไม่เลือกทำดีใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นที่เราจะเจอเรื่องภัยพิบัติก็จะเจอได้มากกว่า ถ้าคนดีไม่รักทำดีแค่ทำเฉยๆ โอกาสที่เจอภัยเจออันตรายก็อาจจะมีมากกว่า อย่ามัวแต่บ่นโทษฟ้าโทษดิน รักดี แต่ทำไม่ดี พอเจอเรื่องไม่ดีก็บอกว่า ศิษย์อุตส่าห์เป็นคนดีทั้งที ทำไมศิษย์ต้องเจอเรื่องไม่ดี จริงๆ แล้วเราดีไหม (ไม่ดี) ถามตัวเองว่าเราทำดีจริงๆ หรือเปล่า ศิษย์บอกเองว่าคนเราอยากได้สิ่งใดก็ต้องปูพื้นฐานสิ่งนั้น เพราะโลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ คนเราเกิดมาพร้อมกับกรรม แล้วกรรมในวันหน้าก็ต้องเกิดจากกรรมในวันนี้ ชะตาชีวิตในวันหน้าจะเป็นอย่างไรก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าวันนี้เราทำอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอาจารย์ถึงถามศิษย์ว่าศิษย์ชอบทำความดีไหม (ชอบ) แต่ถึงเวลาเลือกทำความดีไหม (ยัง) ต้องรอให้เป็นเคราะห์ร้ายก่อน ดวงแย่ก่อนถึงจะทำดีใช่ไหม (ใช่) อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย ถ้าเรายืนอยู่บนปากเหวแล้วก็บอกว่าศิษย์จะตายไหม ศิษย์จะรอดไหม แล้วค่อยคิดมาทำดี จะทันไหมศิษย์ (ไม่ทัน) กำลังจะทุกข์อยู่แล้วตอนนี้ค่อยมาใฝ่ดี ปฏิบัติดี ทันไหมศิษย์ (ไม่ทัน) แล้วเราเป็นแบบนี้ไหม (เป็น) ถึงเวลาศิษย์บอกว่าเดี๋ยวก่อน ทุกทีเลย เวลาใครหน้าไหนมาก็ตาม ก็บอกว่า “เธอต้องดี เธอต้องดี ทุกคนมีหน้าที่ต้องดีกับฉัน” แต่ลืมไปว่าเรามีหน้าที่ดีกับคนอื่นก่อน ฉะนั้นธรรมะไม่ได้มีเอาไว้เพื่อตรวจสอบบีบบังคับเรียกร้องใคร แต่ธรรมะมีไว้เรียกร้องให้ตัวเองปฏิบัติก่อน ถูกหรือไม่ (ถูก) เหมือนอาจารย์ถามว่าศิษย์เอ๋ย ทำดีเถอะ แต่ไม่มีแรง จะทำไปทำไม ทำแล้วก็เหนื่อย คนไม่เห็นอยากจะดีเลยอาจารย์ ทำไมหนูต้องไปยอมเขาก่อน ทำไมหนูต้องไปดีกับเขาก่อน ศิษย์เอ๋ย ศิษย์กลัวภัยไหม (กลัว) ศิษย์กลัวเคราะห์ร้ายไหม (กลัว) ศิษย์กลัวชะตาไม่ดีไหม (กลัว) ศิษย์กลัวทุกข์ไหม (กลัว) ฉะนั้นถ้าศิษย์กลัวเคราะห์ กลัวภัย กลัวทุกข์ กลัวชะตาไม่ดี อย่างนั้นศิษย์พยายามทำดี ดีไหม (ดี) เพราะการทำดี จะช่วยทำให้เราไม่ต้องเจอภัย หรือแม้เป็นภัย ก็จะกลายเป็น (ดี) ค่อยมีกำลังใจอยากทำดีขึ้นมาหน่อยใช่ไหม ศิษย์อาจบอกว่า อาจารย์แต่มันก็ยากนะ เวลาจะทำดีสักอย่างหนึ่ง อย่างนั้นอาจารย์บอกให้ อะไรที่จะทำให้เราทำดีและไปได้ตลอด ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า “ไม่มีภัยพิบัติใดน่ากลัวมากเท่ากับความอยาก ไม่รู้จักพอ” ไม่มีภัยและหายนะใด น่ากลัวเท่ากับ ความอยาก ความโลภ ไม่รู้จักพอ ใช่ไหม (ใช่) บาปไม่มีเพราะคนนั้นไม่ทำ กรรมไม่มีเพราะคนนั้นไม่ก่อ อุบัติเหตุไม่มีเพราะคนนั้นไม่ประมาท ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นที่อาจารย์กล่าวมาทั้งหมดนี้ แปลว่า ภัยเอย หายนะเอย ความทุกข์เอย บาปกรรมเอย มันจะเกิดไม่ได้ ถ้าเราไม่หลงตกเป็นทาสของอะไร ถ้าเราไม่ตกเป็นทาสของกิเลส และปล่อยให้กิเลสครอบงำจนแยกไม่ออกว่าอะไรผิดชอบชั่วดี ใช่ไหม (ใช่) ดังที่บอกว่า ถ้าไม่อยากมีทุกข์ก็จงอย่าทำบาป บาปมีต้นเหตุมาจากการตกเป็นทาสของกิเลสที่เรียกว่า โลภ โกรธ หลง ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากเป็นคนดี ก็พยายามระมัดระวังควบคุมอารมณ์และกิเลส ใช่หรือไม่ (ใช่) สมมติว่าเป็นคนสวดมนต์เก่ง ทำบุญเก่ง ไหว้พระเก่งแต่ยังขี้โมโห ขี้นินทาแล้วยังอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี) แล้วที่เคยพูดมาว่าตัวเองทำบุญก็เยอะ ไหว้พระก็เยอะ ทำไมยังไม่ได้ดี นั่นก็เพราะว่าตัวเองชอบด่าคนเยอะเหมือนกันหรือเปล่า แล้วยังเป็นคนคดโกงอยู่ไหม ฉะนั้นอย่าบอกว่าทำดีไม่ได้ดี ไม่เกี่ยวนะ ถ้าอาจารย์บอกว่าในทางกลับกัน ถ้าศิษย์พยายามไม่โลภจนเกินไป ไม่ขี้โมโหบ่อยไป ไม่หลงจนหน้ามืดตามัว อยากได้เงินทองจนผิดศีลขาดธรรมจนเกินไป อาจารย์ว่าคนที่พยายามควบคุมอย่างนั้น ดีกว่าคนสวดมนต์เก่งแต่ยังควบคุมไม่เก่งอีก จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นธรรมะจึงสอนไว้ว่า อยากจะเป็นคนดี ทำไมไม่ละชั่ว อยากเป็นคนดี ทำไมไม่ละบาป อยากเป็นคนดี ทำไมไม่ละอกุศล ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นอยากโชคดี อยากมีสุข ก็ต้องถามตัวเองว่า ตัวเองควบคุมความอยาก ความโลภ ความหลง ได้หรือยัง ถ้ายังควบคุมไม่ได้ ความอยากก็สร้างพิษภัยให้กับตัวเอง ศิษย์อาจบอกว่า อาจารย์มันคุมยากนะ ขอให้มีนิดหน่อยก็ยังดี ใช่ไหม (ใช่) โกรธ โลภแค่นิดเดียวอาจารย์ อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย อาจารย์เห็นมามากแล้ว คนที่พยายามเป็นคนใจกว้าง แต่พอโมโหขึ้นมาทีหนึ่ง คนใจกว้างก็กลายเป็นคนใจแคบ คนที่พยายามเป็นคนใจดี แต่พอมีความอยาก คนใจดีก็พร้อมจะกลายเป็นคนใจร้ายและใจดำ ฉะนั้นอย่าประมาทกับกิเลส เพราะเมื่อกิเลสครอบงำจิตใจแล้ว จากหน้ามือเป็นหลังมือ เห็นมานักต่อนักแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าโลกใบนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ ถ้าโลกใบนี้เป็นโลกแห่งเหตุปัจจัย และถ้าโลกนี้เป็นโลกของกรรม การรับผลกรรม จริงไหม (จริง) ทำดีแค่ไหนแต่ก็ทำชั่วแค่นั้น สู้ไม่ทำชั่วเลย ฉะนั้นอาจารย์ถามจริงๆ อย่าล้อเล่นกับกิเลสที่มันครอบครองใจศิษย์ เพราะมันครองใจแล้ว ศิษย์มักเอามันไม่เคยอยู่ จริงหรือไม่ (จริง) มีใครโกรธแล้วหยุดโกรธได้ มีใครอยากแล้วรู้จักพอได้แท้จริง แต่อาจารย์จะบอกให้ถ้าศิษย์ทำได้ ชะตาที่ถูกกำหนดว่าจะร้าย จะเปลี่ยนเป็นดี สิ่งที่พร่องในชีวิต อาจจะกลายเป็นเติมเต็มโดยที่ไม่ต้องพยายามเติมอะไรก็ได้ แล้วเราสามารถบอกได้ไหมว่าอนาคตจะดีหรือจะร้าย แต่ถ้าศิษย์ทำตามที่อาจารย์บอก ศิษย์จะสามารถบอกได้เลยว่าอนาคตอย่างไรมันต้องดีให้ได้ สิ่งที่ชีวิตมันบกพร่อง มันจะกลายเป็นเติมเต็มได้ด้วยตัวเอง อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะว่า ไม่อยากลองมาศึกษาดูหรือ สิ่งที่ศิษย์บอกว่าไม่เอา ทำไม่ได้ ลองเดินตามอาจารย์ดูแล้วศิษย์จะรู้ว่าชะตาชีวิตที่ศิษย์บอกว่าไม่รู้มันจะเป็นอย่างไร มันจะดีจะร้าย แต่ว่าถ้าศิษย์ทำตามที่อาจารย์บอก ศิษย์จะไม่กลัวอนาคต ศิษย์จะไม่กลัวว่าชีวิตมันจะพร่องหรือมันจะขาดหรือมันจะสูญ อะไรเกิดขึ้นมาศิษย์ก็จะสู้ได้และรับไหว
แล้วทำอย่างไรล่ะที่แม้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ร้ายมันก็แปรเป็นดี พร่องมันก็กลายเป็นเต็ม สูญเสียแต่มันไม่เสียศูนย์ ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า “โชคชะตาไม่สู้มานะคน” จริงไหม (จริง) อย่างนั้นแปลว่า ชะตาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราเป็นคนสู้ไม่ถอย ใฝ่ดีจนถึงที่สุด ขยัน ซื่อตรงไม่คดโกง มีหรือชะตามันจะเปลี่ยนไม่ได้
ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า ชะตาวาสนามันมักเดินตามคนที่ใฝ่ดีถึงที่สุด ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า โชคชะตาวาสนา มักเดินตามคนที่ผิดแล้วรู้จักแก้ไข ไม่กล่าวโทษใคร ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า โชคชะตาวาสนามันมักเดินตามคนที่มุ่งมั่นทำดีประพฤติดี ไม่ยอมแพ้จนสุดจิตสุดใจ แต่เคราะห์ร้ายมันเดินตามคนที่ชอบคดโกง เอารัดเอาเปรียบ คับแคบ กล่าวโทษคนอื่นไม่เคยย้อนมองตัวเอง อย่างนั้นอาจารย์ถามศิษย์หน่อยว่า ถ้าเป็นแบบนี้ศิษย์ยังอยากจะใฝ่ดีไหม ศิษย์ยังอยากจะตกเป็นทาสของกิเลสอีกไหม (ไม่) แล้วศิษย์รู้ไหมว่าใจที่รู้จักย้อนมอง โดนคนอื่นว่า โดนคนอื่นด่า โดนคนอื่นกล่าวโทษ โดนคนอื่นใส่ร้าย แล้วใจที่รู้จักย้อนมองส่องตน แล้วตรวจสอบว่าฉันไม่ดีจริงไหม ฉันแก้ไขได้ไหม ฉันผิดจริงไหม ใจที่ย้อนมองส่องตัวเองอยู่ตลอดเวลาเมื่อโดนว่า โดนกล่าวร้าย แล้วไม่โทษใคร เชื่อไหมว่าอับโชคจะกลายเป็นโชควาสนา ไร้บุญจะกลายเป็นบุญบารมี เพราะว่าการตรวจสอบย้อนมองตนมันคือยารักษาใจ เห็นใครไม่ดีแล้วพยายามมองเขาให้ดีให้จงได้ คือยาปรับลมปราณ ทำให้อารมณ์ร้อนกลับกลายเป็นเย็น ดีไหม (ดี) ฉะนั้นเวลาเจอใครมากระทบ ศิษย์จะโกรธ ด่าเกลียด แช่งชักหักกระดูก ปล่อยให้ปัญหาทั้งมวลรุมเร้าเข้ามาในชีวิตหรือเวลาเจอใครมากระทบ ศิษย์จะมีสติ ใจเย็น สุขุม มีเมตตา ให้อภัย วาง จบ สงบ เป็นเกราะป้องกันภัย เอาแบบไหน (แบบให้อภัย) ถ้าศิษย์บอกว่า อภัยให้ก็ได้อาจารย์ ทำใจก็ได้ ใจเย็นก็ได้ วางก็ได้ วางจริงไหมศิษย์ เย็นจริงไหมศิษย์
ฉะนั้นศิษย์เอ๋ย โลกนี้เป็นโลกแห่งปัจจัย ไม่มีเรื่องบังเอิญ เราเกิดมาพร้อมกับกรรม กรรมเก่าที่เราสร้าง แล้วตอนนี้ศิษย์จะสร้างกรรมใหม่เพิ่มอีกทำไม อาจารย์ถามหน่อย อยากได้มิตรหรือศัตรู ศิษย์ก็บอกอาจารย์ตั้งแต่ต้น อยากได้คนดีหรืออยากได้คนร้าย (คนดี) อยากได้คนดี แล้วถ้าเขาร้ายมาหน่อย ร้ายกลับเขาเลย ใช่ไหม (ไม่ใช่) แล้วไหนว่าอยากได้มิตร อย่างนั้นร้ายกลับเขาเลย ช่างหัวเขา ตอนนี้โมโหแล้ว แล้วปัญหาที่รุมเร้าตามเข้ามา ศิษย์จะแก้ไหวไหม ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า ใจกว้างคือสวรรค์ชั้นฟ้า ใจแคบคือนรกบนดิน หรือทะเลทุกข์ จริงไหม (จริง) ใจกว้างแปรร้ายกลายเป็นบุญวาสนา ใจแคบทำให้อับโชค ไม่มีวันพบเรื่องดีๆ ในชีวิต มารคือคนที่จิตใจแคบ ไม่ยอมใคร คดโกง เอาเปรียบ ชิงชัง กล่าวโทษ แต่พุทธะคือจิตใจที่เมตตา เย็น อดทน และวางลงด้วยหัวใจที่สงบ
อย่างนั้นอาจารย์ถามศิษย์หน่อย วันนี้ที่ชีวิตไม่ได้ดี เป็นเพราะเขาหรือเป็นเพราะเรา ส่วนหนึ่งคือกรรมเก่า แต่อีกส่วนหนึ่งคือกรรมใหม่ที่เรากำลังจะสร้างใช่หรือไม่ คนในโลกทั้งโลกไม่มาเจอ ทำไมต้องมาเจอคนแบบนี้ คนมีตั้งหลายล้านคน ทำไมไม่มาเจอ ทำไมต้องมาเจอคนนี้ แล้วเราจะเจอเพื่อจบกรรมหรือเราจะเจอเพื่อเกี่ยวกรรมต่อไป เราจะเจอเพื่อแปรร้ายเป็นดี หรือเราจะเจอเพื่อให้เราร้ายแล้วร้ายไม่จบสิ้น ฉะนั้นอาจารย์ถามหน่อย ชะตาชีวิตอยู่ที่ฟ้ากำหนด หรืออยู่ที่ตัวเราเอง
ฉะนั้นถ้าเป็นคนรักดีจริง เขาต้องไม่ทำชั่ว ไม่ว่าในที่ลับหรือในที่แจ้ง เพราะชื่อของความดีเป็นชื่อของความสุข ชื่อของคนที่มุ่งมั่นทำดีแล้วยังประกอบไปด้วยคุณธรรม เป็นชื่อของความสุขที่เดินอยู่บนหนทางแห่งผู้ประเสริฐ ฉะนั้นการเป็นคนดีมันก็มีเรื่องยากอย่างหนึ่ง ถ้าดีแต่ขาดเมตตา ความดีนั้นมันก็ง่ายที่จะกลายเป็น (กรรม) ฉะนั้นอาจารย์จะบอกอีกอย่างหนึ่ง ถ้าศิษย์พยายามเป็นคนดี ศิษย์ต้องระวังอย่างหนึ่ง เวลาเราเป็นคนดีมันอดไม่ได้ มันจะเรียกร้อง คนนั้นต้องดีสิ คนนี้ต้องดีสิ ในชีวิตฉันต้องเจอแต่ดีสิ ใช่ไหม (ใช่) จำไว้นะศิษย์ เรารักดีได้แต่เราหวังให้ทุกคนต้องปฏิบัติดีกับเราไม่ได้ ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม “ความดีไม่น่ายึดถือได้ แต่รักษาไว้จนถึงที่สุด เรียกว่ามีคุณค่า ความชั่วไม่น่ารังเกียจ แต่ถ้ากลับตัวกลับใจได้ เรียกว่าเป็นคนดีมีประโยชน์” ใช่หรือไม่ (ใช่)
ความชั่วไม่ได้น่ารังเกียจ ถ้ารู้แล้วกลับตัวแก้ไขก็มีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่) เห็นไหมคำพูดมันบอกตัวเอง ความดียึดไม่ได้พึ่งไม่ได้ แต่ถ้ารักษาจนถึงที่สุดก็มีคุณค่า ความชั่วเกลียดมันไม่ได้ เพราะถ้าเกลียดมันแล้วมันจะไม่แก้ไขอะไรให้ดีขึ้นและไม่มีประโยชน์ต่อผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่มนุษย์ทำตรงกันข้าม ยึดดีเกลียดชั่ว ยึดว่าฉันเป็นคนดี พอใครไม่ดีก็เกลียดมัน ถูกไหม (ไม่ถูก) เป็นคนดีแต่ขาดซึ่งคุณธรรมความเมตตา คนดีก็หาดีไม่ ฉะนั้นอย่าเป็นแค่คนดีแต่ต้องมีคุณธรรมประกอบด้วย เป็นคนดีมีเมตตาแต่ขาดซึ่งปัญญาธรรม คนดีก็พร้อมจะทำคนเสียคนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) สมมติว่าอาจารย์มั่นใจว่าตัวเองเป็นคนดี แล้วอาจารย์ก็บอกว่าพวกศิษย์ยังไม่ได้เรื่อง ต้องแก้นะ ต้องเปลี่ยนนะ ไม่อย่างนั้นไม่ได้เรื่อง ไม่ดี ไม่ชอบ อย่างนี้เขาเรียกว่า ยึดดีแล้วไร้เมตตาธรรมกับผู้อื่น กับอีกแบบหนึ่งยึดดีมีเมตตา ยิ้มอย่างเดียวอย่างนี้ถูกไหม ไม่ถูก ทำให้ศิษย์นั้นเสียคน ฉะนั้นความดียึดพึ่งไม่ได้ แต่ถ้าปฏิบัติถึงที่สุดแล้วรู้จักกอปรคุณธรรม ความดีก็มีคุณค่า ความชั่วไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ แต่ถ้ารู้จักแก้ไขเปลี่ยนแปลงความชั่วก็มีคุณค่ามีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างนั้นเรารักดีเกลียดชั่วได้ไหม (ไม่ได้) ได้แต่มันไม่ดี จริงไหม (จริง) เราไม่ใช่ปฏิบัติดีแล้วรังเกียจคนไม่ดี แต่การปฏิบัติดีเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตไปสู่หนทางที่ดีงามและถูกต้อง แล้วเราปฏิบัติดี มันเกี่ยวอะไรกับบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญธรรมก็คือการปฏิบัติดี เป็นรากฐาน และก็ก้าวไปสู่ความพ้นทุกข์ถึงที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการปฏิบัติบำเพ็ญธรรมเพื่อสิ่งที่ถูกต้องดีงาม จึงไม่ใช่สอนให้ศิษย์ไม่ต้องอยาก ไม่ต้องโลภ ไม่ต้องโกรธ ไม่ต้องหลง แต่อยากอย่างคนที่ไม่เห็นแก่ตัว อยากอย่างคนที่ไม่ทำให้จิตใจตกต่ำเลวร้าย พอเข้าใจนะ ฉะนั้นนี่แหละคือความหมายของการบำเพ็ญธรรมและปฏิบัติดีให้ถูกต้อง เพื่อนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ พอเข้าใจไหม (เข้าใจ)
บางครั้งการอยู่ในโลกมันต้องมีบ้างที่กระทบกระทั่งเจอคนดีเจอคนไม่ดี ใช่ไหม (ใช่) ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า ในโลกนี้ไม่มีใครสูงและไม่มีใครต่ำจนเกินไป ไม่มีใครดีและไม่มีใครแย่จนเกินไป ดีร้ายสูงต่ำใครกำหนด ตัวเราเองกำหนดใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราก็เอามาตรฐานตัวเราไปตีค่าตีราคาคนอื่น จำไว้นะศิษย์ การที่เราใฝ่ดีปฏิบัติดีไม่ใช่เหตุผลที่เราจะเอาไปบังคับให้ทุกคนต้องเป็นคนดี เพราะถ้าคิดแบบนั้น เรากำลังถือดีแบบผิดๆ เพราะว่าการที่เราศึกษาปฏิบัติธรรมคือยอมรับความเป็นจริงแห่งสภาวธรรม และธรรมที่แท้จริงมันเป็นกลางอยู่แล้ว จริงไหม (จริง) แต่ใจเรานั่นแหละมันไม่เป็นกลาง มันก็เลยวัดทุกสิ่งอย่างไม่เป็นธรรม อาจารย์เทียบง่ายๆ เหมือนวันนี้อาจารย์จิตใจดี อารมณ์ดี มองอะไรมันก็ (ดี) ตรงกันข้าม วันนี้อาจารย์รู้สึกแย่ เบื่อ รำคาญคน มองอย่างไรมันก็ (ไม่ดี) เห็นไหม ก็รู้หมด ฉะนั้นจริงๆ เขาไม่ดีหรือเราไม่ดี (ตัวเรา) ใช่ไหม (ใช่) ดังคำกล่าวไว้ว่า ถ้ามองเห็นทุกคนมีคุณค่า ทุกคนก็มีคุณค่าให้น่านับถือ ถ้าเหยียดคนในเรื่องเลวทราม ทุกคนหาดีได้ไม่ จริงไหม (จริง) ถ้าเราบอกนี่ก็แย่ นี่ก็ไม่ได้เรื่อง ดูมันทำท่าสิ ดูมองอาจารย์สิ แบบนี้มันหาเรื่องชัดๆ เลย อาจารย์ถามหน่อยว่าใจเรามันหาเรื่อง หรือเขาหาเรื่อง (ใจเราเอง) เหมือนศิษย์เคยได้ยินไหม ใจมันมีขี้มองเขาก็เป็นขี้ ใจมันมีพุทธะมองเขาก็เป็นพุทธะ ใจมันเป็นอันธพาลมองเขาก็เป็น (อันธพาล) ใจมันเลวร้ายมองเขามันก็ (เลวร้าย) อย่างนั้นถามหน่อยเขาไม่ดีหรือใจเรามันไม่ดี (ใจเราไม่ดี) เพราะฉะนั้นโกรธเขาหรือโกรธเรา (โกรธเรา)
ทำไมเราต้องศึกษาธรรม เพราะการศึกษาธรรมสอนให้เราเข้าใจความเป็นจริงแห่งสัจธรรม แล้วสัจธรรมนั้นมันไม่ได้อยู่ไกล มันอยู่ในตัวเรา เราจะมองอย่างคนมีธรรม หรือเราจะมองอย่างคนที่เอาแต่ใจตัวเราเป็นหลัก
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนสองท่านออกมาหน้าชั้น คนหนึ่งอายุมาก คนหนึ่งอายุน้อย)
อาจารย์มีรสนิยมชอบเล็กๆ เหี่ยวๆ อายุมากๆ แบบนี้แปลว่า ถ้าตึงๆ เด็กๆ อาจารย์จะ (ไม่ชอบ) ใช่ไหม เรื่องราวในโลกมันดีหรือร้าย มันได้หรือเสีย มันสุขหรือทุกข์ มันอยู่ที่ใจศิษย์กำหนด ถ้าใจศิษย์กำหนดยึดแบบนี้คือสุขที่สุดแล้ว คือดีที่สุดแล้ว ยึดแบบนี้ว่าคือของๆ ฉันที่ฉันชอบแล้ว แปลว่า สิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ศิษย์ยึด มันกลายเป็นไม่ดี กลายเป็นทุกข์ กลายเป็นเรื่องแย่ทันที แต่ถ้าในใจเราไม่มีอะไร ใจเราไม่ยึดอะไร อะไรแย่ อะไรดี ก็ไม่มี
ฉะนั้นศึกษาหลักธรรมเพื่อให้เราหันกลับมาเยียวยาใจและมองให้เห็นว่าใจของเราจริงๆ แล้ว อย่าไปตีกรอบ อย่าไปยึดมั่น อย่าไปกำหนด เมื่อไม่ตีกรอบ ไม่ยึดมั่น ไม่กำหนด มันจะไม่มีอะไรที่เรียกว่าสุขที่สุด และจะไม่มีอะไรที่เรียกว่าทุกข์ที่สุด จะไม่มีอะไรที่น่ารัก และจะไม่มีอะไรที่น่ารังเกียจ
ถ้าศิษย์รักษาจิตรักษาใจ โลกนี้มีอะไรหรือที่เรียกว่าดี โลกนี้มีอะไรหรือที่เรียกว่าเลวร้าย ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)
โชคชะตาชีวิตในวันหน้าจะเป็นอย่างไรไม่ได้รออยู่ที่อนาคต แต่มันอยู่ที่วันนี้เราทำใจเช่นไร ถ้าเราทำใจวาง สงบ ยอมรับความเป็นจริง อะไรมันก็ดี จริงไหม (จริง) แล้วศิษย์จะตอบคำถามที่อาจารย์พูดได้ตั้งแต่ต้นเลยว่า ไม่ว่ามันจะเหี่ยวขนาดไหน แก่ขนาดไหน มันก็ไม่เคยพร่องเพราะมันก็ดี มันจะตึงขนาดไหน มันจะบวมขนาดไหน มันจะอ้วนขนาดไหน มันก็ดี ใช่ไหมศิษย์ (ใช่) ฉะนั้นการศึกษาธรรมจึงไม่ได้ต้องการให้เรามุ่งแต่ปฏิบัติภายนอกแต่ลืมกลับมาเยียวยาใจ ใจเรามันให้ใครมาเติมเต็มไม่ได้ มันให้ใครมาทำให้เรามีสุขไม่ได้ ทุกคนเขาก็มีเวลาจำกัด แต่เราต้องรู้จักสุขด้วยตัวเอง สู้ด้วยตัวเอง เข้มแข็งด้วยตัวเอง จริงหรือไม่ (จริง)
อย่าไปผูกกรรมเกี่ยวกรรมด่าเขาไม่ได้เรื่องด่าเขาไม่ดี จะสร้างหน่อเนื้อแห่งกรรมวัฏฏะเวียนว่ายอีกทำไม สงบแปลว่าจบ จบแปลว่าไม่เวียนอีกต่อไปแล้ว แต่ถ้าศิษย์ยังไม่จบ ยังไม่สงบ เกี่ยวมันไป ด่ามันไป ผูกมันไป แล้วจะเจอกันอีกกี่ภพกี่ชาติ ก็เอาให้มันสะใจศิษย์ แล้วให้มันทุกข์จนเต็มที่ ถ้ามันทุกข์อย่างเต็มที่แล้วศิษย์จะเข้าใจว่า ธรรมะมันไม่ได้อยู่ที่ผู้อื่น มันอยู่ที่ใจเรา วางมันลงหรือยัง ปล่อยมันบ้างไหม หัวใจของการดับทุกข์ที่ดีที่สุดคือ ใดๆ ในโลกล้วนไม่น่ายึดมั่นถือมั่น เพราะทุกสิ่งเปลี่ยนแปรผัน ใครว่าสมบูรณ์สุด ใดเล่าดีสุด
ฉะนั้นเรากำลังวิ่งไปตามกิเลสเพื่อเวียนว่ายไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเมื่อไรเราจะหยุด ทุกข์ไม่เหนื่อยเหรอ ร้องไห้ไม่เจ็บปวดเหรอ แล้วใครทำเราเจ็บ (ตัวเราเอง) ใช่หรือไม่ (ใช่) เราเติมเต็มด้วยตัวเองไม่ได้เหรอ ทำไมต้องขอหน่อย รักฉันหน่อย กับการที่รักตัวเองให้เป็นและรักผู้อื่นให้เป็น อะไรดีกว่ากัน (รักตัวเอง) อะไรอยู่กับเรา ขนาดตัวเรา ใจเรามันยังเปลี่ยนเลย แล้วกับคนที่เรารักที่สุด กับสิ่งที่เราชอบที่สุดจะไม่เปลี่ยนเหรอศิษย์ ฉะนั้นถ้าไม่อยากเจ็บ อย่าเอาใจไปฝากไว้กับใคร ถ้าไม่อยากทุกข์ อย่ายกใจให้ใคร ดูแลใจตัวเองดีไหม (ดี) แล้วชะตาความบกพร่อง เราจะเติมเต็มด้วยตัวเองไม่ต้องรอใคร จริงหรือไม่ (จริง)
อาจารย์ถามง่ายๆ เป็นคนดีต้องมีคุณธรรมประกอบ ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นคุณธรรมอะไรที่จะประกอบการเป็นคนดีให้เราดีได้ตลอด
(มีเมตตา) ไม่ใช่เมตตาตัวเองแต่ไม่เมตตาคนอื่นไม่ได้นะ แล้วความเมตตาเริ่มจากอะไรรู้ไหม คำว่า “คุณธรรมแห่งความเมตตา” คือการกระทำเช่นไร คำว่า “เมตตา” คือการที่ให้โดยไม่หวังผล ให้โดยไม่เรียกร้องหวังผลตอบแทน ให้บ่อยๆ เสียสละอุทิศบ่อยๆ นั่นแหละเรียกว่าคนมีใจเมตตา เข้าใจหรือยัง ฉะนั้นอาจารย์ให้ก็แปลว่าศิษย์ต้อง (รับแล้วต้องให้ต่อ) ใช่ไหม อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์มีบุญแค่ตนเอง แต่รู้จักผูกบุญกับคนทั่วกว้าง คนที่รู้จักคิดคำนึงถึงตัวเองอย่างไม่เห็นแก่ตัวนั่นก็คือ เวลาได้ดีต้องรู้จักแบ่งปัน เมื่อเวลาเราทุกข์เราก็ไม่เดือดร้อน เพราะเราสร้างบารมีไว้เยอะแยะ เวลาได้ดีแล้วเรารู้จักแบ่งปัน ถึงเวลาเราเดือดร้อนคนเขาก็จะหันกลับมาดูแลเรา แต่ไม่ใช่เวลาเราได้ดีแล้วไปเหยียบย่ำซ้ำเติมคนอื่น
(ความกตัญญูรู้คุณ) เกิดเป็นคนสิ่งที่สำคัญที่สุดคือกตัญญู คำว่ากตัญญู เรากตัญญูแค่กับพ่อแม่ได้ไหม (ไม่ได้) ทุกๆ คนเราก็ควรจะรู้จักกตัญญู ทำไมรู้ไหม (เราต้องมีความกตัญญู ความรู้จักบุญคุณของคนที่มีบุญคุณกับเรา ตอบแทนท่าน) แล้วคนที่ด่าเรามีบุญคุณไหม (ไม่มีบุญคุณ) ศิษย์เอยคนที่เขากล้าด่าเรา กล้าว่าเรา เพราะเขารักเขาใส่ใจ ถ้าไม่ใส่ใจไม่รักเขาไม่ด่าหรอกจริงไหม (จริง) ถามสิด่าทำไมให้เมื่อยปาก ด่าทำไมให้เขาเกลียด ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจคำว่ากตัญญูรู้คุณ ตื่นเช้ามาศิษย์จะขอบคุณทุกคนที่ทำให้ศิษย์มีชีวิต ไม่ว่าฟ้ามืดฟ้าสว่างศิษย์ก็จะขอบคุณทุกอย่าง เพราะถ้าไม่มีมืดจะไม่มีวันสว่าง ถ้าไม่มีคนร้ายจะมีคนดีหรือ ใช่ไหม ถ้าไม่มีชาวนา เราจะมีข้าวไหม ถ้าไม่มีเพื่อนแย่ เราจะรู้จักเพื่อนดีไหม แปลว่า ขอบคุณผู้มีคุณทุกคน อันนี้ถึงจะเรียกว่าเข้าถึงความกตัญญูแท้จริงใช่ไหม (ใช่) เอาไหม เอาไปให้ใคร (เอาไปให้ลูก) อย่าลืมเอาไปให้พ่อแม่เราบ้างนะ รู้จักบุญคุณใช่หรือไม่ คุณธรรมมีตั้งมากมายแต่คุณธรรมที่ทำให้คนเป็นคนคืออะไรรู้ไหม (การทำความดี) มโนธรรมสำนึก คำนี้คำเดียวครอบคลุมทุกอย่าง รู้ผิดชอบชั่วดี รู้สำนึกคุณ รู้ตอบแทนคุณ รู้อะไรผิด รู้อะไรถูก รู้ชอบรู้ไม่ชอบใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราต้องหมั่นเตือนตัวเองอยู่เสมอ ถ้าขาดสติก็เหมือนขาดใจ ถ้าขาดใจ ถ้าขาดมโนธรรมสำนึกก็ขาดความเป็นคนใช่ไหม (ใช่)
(เผื่อแผ่ให้คนที่ด้อยกว่าเรา เผื่อแผ่ให้ทุกชีวิต) รู้จักมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์เอ๋ย คนเราอยู่ในโลกมนุษย์มักคิดถึงแต่ตัวเองมากกว่าคิดถึงคนอื่น แล้วเห็นแก่ตัวเองมากกว่าเห็นแก่คนอื่นใช่ไหม (ใช่) ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะสอนวิธีเห็นแก่ผู้อื่นให้ เอาไหม (เอาค่ะ เห็นแก่ตัวที่ไม่น่าเกลียด) อาจารย์จะบอกให้ มันมีเหมือนกัน ฟังดูแล้วมันดูน่าเกลียดๆ นะอาจารย์ เห็นแก่ตัวยังมีไม่น่าเกลียดด้วยหรือ แค่คำว่าเห็นแก่ตัวก็น่าเกลียดแล้ว ใช่ไหม (ใช่) ศิษย์เอย ยั้งคิดสักนิดหนึ่ง ไม่ใช่อะไรๆ ก็คว้าเอาหมดก่อน ทำอะไรต้องมีสติยั้งคิดก่อนที่จะตัดสินใจทำนะศิษย์ อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้ เอาไหม เห็นแก่ตัวอย่างไม่น่ารังเกียจ (ไม่ค่ะ กลับใจค่ะ) เอาไม่เอา (ไม่เอาค่ะ) เสียดายนะอาจารย์อยากจะบอก ไม่เอาอาจารย์ก็ไม่บอกเลยดีไหม (ไม่ดีค่ะ) ตกลงศิษย์จะเอาหรือไม่เอา ดีหรือไม่ดีกันแน่ ตกลงเอาหรือไม่เอา (เอาค่ะ) นี่แหละหนามนุษย์ เปลี่ยนไวยิ่งกว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก ศิษย์เอยอาจารย์จะบอกให้ เกิดเป็นคนหนีไม่พ้น ใครๆ ก็ต้องคิดถึงตัวเองเป็นหลัก ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำอะไรเราก็ต้องมองตัวเองก่อนสิอาจารย์ ตัวเองยังไม่รอดเลย แล้วจะไปช่วยเหลือคนอื่นอย่างไร เป็นเรื่องยาก ใช่ไหม อาจารย์จะบอกวิธีให้ คำว่าเห็นแก่ตัว จริงๆ แล้วเป็นสิ่งที่ไม่ดีและง่ายที่จะหลงผิด แต่คำว่า คิดถึงตัวเองก่อน แล้วทำให้ไม่กลายเป็นความเห็นแก่ตัวที่น่าเกลียด นั่นก็คือ ง่ายๆ นะศิษย์ ถ้าตอนที่ศิษย์ยังอายุน้อย ถ้าเราคิดว่าโตไปจะไม่เป็นภาระของสังคม โตไปจะไม่เป็นที่เดือดร้อนให้กับผู้อื่น โตไปจะเป็นที่พึ่งให้กับพ่อแม่ ถ้าตอนเด็กคิดถึงตัวเองเยอะขนาดนี้ ตอนที่เขาพยายามจะโต เขาต้องศึกษาเล่าเรียนให้เต็มที่ ถูกไหม นี่แหละที่เรียกว่าคิดถึงตัวเองแล้วไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน เข้าใจไหม เหมือนตอนเด็กเรารู้ว่าโตไปเราจะไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน โตไปหนูจะเป็นที่พึ่งให้กับคนอื่น ถ้าเราคิดถึงตัวเองขนาดนี้ เราจะขยันเรียนไหม (ขยันเรียน) เราจะเป็นคนดีไหม (เป็นคนดี) นี่แหละเขาเรียกว่า คิดถึงตัวเองแบบไม่เห็นแก่ตัว ยากไหม (ไม่ยาก) พอเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีงานมีการรับผิดชอบได้แล้ว ถ้าเราคิดถึงตัวเองอีกว่า ถ้าฉันอยู่ในโลกนี้ ฉันต้องเป็นที่รักของคนอื่น ฉันจะไม่ทำให้คนอื่นรำคาญ ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน เมื่อยามโต เราจะทำอะไรผิดต่อผู้อื่นไหม (ไม่) นี่แหละเรียกว่าคิดถึงตัวเองแล้วไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน อย่างนี้เรียกว่าเห็นแก่ตัวไหม (ไม่เห็นแก่ตัว) ฉะนั้นคิดถึงตัวเองแบบของอาจารย์นี้น่าเกลียดไหม (ไม่น่าเกลียด) เหมือนกัน ถ้าเราคิดถึงตัวเองว่าตอนที่เรามี เราจะไม่ดูถูกใคร เราจะไม่เหยียดหยามใคร เราจะไม่กดขี่ข่มเหงใคร พอเวลาที่เราไม่มี เราก็จะไม่ถูกใครกดขี่ ไม่ถูกใครเหยียดหยาม ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าเรามีชีวิตเรารู้จักคิดถึงตัวเองแบบนี้ อาจารย์ถามว่าเวลาเรามี เราจะให้ใครไหม (ให้) เวลาเรามีแล้วเจอคนแย่ เราจะดูถูกเขาไหม (ไม่) อย่างนี้การคิดถึงตัวเองของอาจารย์น่าเกลียดไหม (ไม่น่าเกลียด) เอาไหม (เอา) คิดถึงแบบนี้นะ แล้วจะไม่เห็นแก่ตัว ดีไหม (ดี) จำได้ไหม (จำได้) อันนี้เป็นคำสอนของปราชญ์โบราณเขาสอนไว้นะ ว่าถ้าตอนเด็กคิดถึงยามโต ตอนเด็กจะมานะเล่าเรียน โตไปจะไม่เป็นที่ลำบากให้กับผู้อื่น ถ้ายามโตคิดถึงว่าแก่ตัวไปแล้วจะได้ไม่ไร้ค่า ไม่ไร้ความหมาย เมื่อยามโตจึงรู้จักแบ่งปัน ช่วยเหลือคนให้เต็มที่ เมื่อยามมั่งมีแล้วกลัวว่าตอนอดจะลำบากแล้วจะถูกคนดูถูกเหยียดหยาม เมื่อยามมั่งมีจึงรู้จักแบ่งปันช่วยเหลือ นี่แหละเป็นคำสอนของคนโบราณเขาสอนไว้นะ นี่แหละการคิดถึงตัวเองแบบไม่เห็นแก่ตัว
อาจารย์พูดวิธีการปฏิบัติเป็นคนอยู่บนโลกให้ศิษย์เรียบร้อยแล้ว ต่อไปอาจารย์ขอเข้าอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่มนุษย์หนีไม่พ้น เมื่อศึกษาบำเพ็ญและปฏิบัติได้ดีแล้ว อะไรเรียกว่าปฏิบัติได้ดี “เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน มองผู้คนไม่ละอายใจ” นี่แหละปฏิบัติได้ดี
พอปฏิบัติได้ดีแล้ว ก้าวต่อไปอีกก้าวหนึ่งคือ ทำอย่างไรให้เราพ้นทุกข์ สิ้นทุกข์ อยู่ในโลกนี้ทุกข์ไหม (ทุกข์) เป็นเด็กทุกข์ โตก็ทุกข์ แก่ก็ทุกข์ แข็งแรงก็ทุกข์ เจ็บก็ทุกข์ เสียงรถไฟดังมาก็ทุกข์ มาอีกแล้วรำคาญจังเลย ใช่ไหม (ใช่) ศิษย์เอย ทุกข์ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบเลยหรือ ชีวิตนี้หาสุขไม่ได้ แค่เสียงรถไฟก็ทุกข์จังเลย ไม่ได้นะ
ทุกข์มีหลายอย่างใช่หรือไม่ (ใช่) แค่อยากก็ทุกข์แล้วนะ ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นเรามารู้จักก่อนว่า ทุกข์มันคืออะไร อาจารย์เปรียบเทียบง่ายๆ เราจะเรียนรู้และเข้าใจทุกข์ได้อย่างไร อาจารย์เปรียบเทียบง่ายๆ จะได้ฟังและเข้าใจง่ายในเรื่องเกี่ยวกับธรรมและความทุกข์ ศิษย์เคยเห็นต้นไม้ไหม เมื่อไรที่เราหย่อนเมล็ดพันธุ์แห่งความอยากลงไป ต้นไม้ก็จะเติบโตออกมาเป็นต้นไม้หนึ่ง ถูกไหม เมื่อต้นไม้หนึ่งต้นเติบโตมาหนีพ้นความเจ็บ หนีพ้นแมลงกัดกิน หนีพ้นการเหยียบย่ำและหนีพ้นจากการถูกโดนลมพัดโค่นไหม (ไม่พ้น) ฉะนั้นมันเป็นธรรมดาของต้นไม้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาต้นไม้ล้มไปเราก็เห็นว่ามันเป็นต้นไม้ต้นหนึ่ง ถูกไหม (ใช่) แต่เมื่อไรที่เราเอาตัวเข้าไปใส่ในต้นไม้ มันล้มเราก็เจ็บ มันถูกเหยียบย่ำ เราก็ทุกข์ ใช่หรือไม่ มันเปลี่ยนแปลงเราก็รับไม่ได้ แต่ถ้าเอาตัวออกล่ะ มันก็แค่ต้นไม้ ใช่ไหม ฉันใดก็ฉันนั้น ร่างกายก็ไม่ต่างอะไรกับต้นไม้ที่ต้องมีแก่ มีเจ็บ มีตาย เมื่อเราไม่เอาตัวไปยึดมั่น ความทุกข์มันดับได้ทันทีแค่เรามองเห็น มันเป็นแค่ต้นไม้ ไม่ใช่ตัวเรา
อาจารย์ถามหน่อย ถ้าไม่มีคำว่าตัวเรา อาจารย์ต่างอะไรกับต้นไม้ไหม มีเกิด (มีแก่ มีเจ็บ มีตาย) ใช่ไหม มันเป็นธรรมชาติของต้นไม้ที่เรียกว่าสัจธรรม ถูกไหม (ถูก) มันเป็นต้นไม้ ใช่ไหม (ใช่) ต้นไม้มันเป็นธรรมชาติ แล้วหนังหน้านี้ ตัวนี้ ต่างอะไรกับต้นไม้ที่มันเจ็บ เพราะเรายึดต้นไม้ว่าเป็นของเรา ที่เราทุกข์ ที่เราดิ้นทุรนทุราย เพราะเรายึดต้นไม้ว่าเป็นเรา ใช่ไหม (ใช่) อาจารย์ถามหน่อยต้นไม้มันไม่มีวันตายหรือ (มี) มันไม่มีวันเจ็บหรือ (มี) มันไม่มีวันเปลี่ยนแปลงหรือ (มี) ฉะนั้นเราไม่ยึด เราแค่รับรู้ ไม่เกาะเกี่ยว ไม่ผูกพัน จิตกับสังขารจะแยกทันที กายเจ็บ ใจไม่เจ็บ กายทุกข์ตามกระบวนการของสัจธรรม แต่ใจไม่ทุกข์ตามกระบวนการสัจธรรม จริงไหม (จริง) เราเคยแยกมันออกบ้างไหม (ไม่) เมื่อศิษย์ยังแยกไม่ออก ฉะนั้นเราจึงมีความเจ็บเป็นธรรมดา แล้วเรายังหย่อนความอยากลงไปในต้นไม้ว่าศิษย์อยากมีดอก ศิษย์อยากมีผล ศิษย์อยากสูงใหญ่ใช่ไหม (ใช่) พอพยายามจะมีดอก แต่มีดอกไม่ได้ หรือมีดอกแล้วมีปัญหาเจ็บไหม (เจ็บ) พยายามจะมีผล มีผลไม่ได้เจ็บไหม (เจ็บ) แล้วเพิ่มเจ็บกี่เจ็บ เจ็บกับดอก เจ็บกับผล แล้วเจ็บกับความเป็นตัวตนธรรมดาของต้นไม้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะเรายึดมันทุกอย่างพอยึดเสร็จแล้วเราก็อยาก อยากเป็นนั่นอยากเป็นนี่ ต้นไม้มันก็ต้องออกดอก ออกกิ่ง ออกใบ พอโดนดูถูกหน่อยศิษย์รับได้ไหม (ไม่ได้)
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมท่านหนึ่งออกมายืนถือดอกไม้ในมือในมือหนึ่ง และถือสับปะรดอีกมือหนึ่ง)
เหมือนกันชีวิตมันก็มีอยู่แค่นี้ แต่มนุษย์ไม่เคยพอ เมื่อเรายึดต้นไม้เราก็พยายามสร้างสิ่งต่างๆ ตามความอยาก เช่นอยากได้ดีก็พยายามมีผลไม้ อยากได้ดีก็พยายามมีดอกไม้ ใช่ไหม (ใช่) เราเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง จริงไหม (จริง) เรามีความทุกข์ตามความเป็นจริงของสัจธรรมคือ แก่ เจ็บ ตาย แต่เรายังไม่พอศิษย์ยังอยากอีก ทำให้ตัวเองโดดเด่น สวยเลอเลิศ แต่พอโดนคนดูถูกเหยียดหยามเจ็บไหม (เจ็บ) แต่ผู้ชายไม่แค่นั้น ต้องมียศฐา ต้องมีบรรดาศักดิ์ ต้องมีผลพวง ต้องมีผลประโยชน์ แล้วผลพวงมันเกิดปัญหา เกิดทุกข์เจ็บไหม (เจ็บ) ศิษย์เจ็บไม่พอหรือ มีเจ็บตามความเป็นจริงของสังขาร เรายังหาเรื่องเจ็บอย่างโน้นเจ็บอย่างนี้อีกใช่ไหม (ใช่) แล้วศิษย์รู้หรือไม่ว่าถ้าศิษย์ตายไปทั้งที่ศิษย์ยังไม่สามารถหยุดเหตุของความอยากได้ เมล็ดพันธุ์ของต้นไม้นี้ก็จะรอเหตุปัจจัยเพื่อเติบโตอีกในภพภูมิต่อไป แต่ถ้าเมื่อไรเราหยุด แล้วมีชีวิตอยู่ตามความเป็นจริง ได้แค่ไหนแค่นั้น ไม่อยาก เราเจ็บแค่อย่างเดียวคือตามสังขารแต่ไม่เจ็บปวดจิตใจ ไม่ยากนะ อาจารย์พยายามเทียบให้ง่ายที่สุดแล้วจริงไหม (จริง) แต่มนุษย์เคยหยุดได้บ้างไหม แล้วเรายังต้องเจ็บอีกเท่าไหร่ศิษย์ ความทุกข์มันสอนให้เราอย่าเผลอยึดมัน มันทุกข์แล้วยึดทำไม ใช่ไหม (ใช่) มีทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป ใครหลงว่าสุขมันคือสุขที่จริง ในโลกนี้ไม่มีทุกข์แท้ ไม่มีสุขจริง คนที่ติดอยู่ในสุขนั่นคือคนที่ไม่มองความจริงอย่างถึงที่สุด รู้แล้วไม่ถึงที่สุดก็เรียกว่าไม่รู้ ใช่ไหม (ใช่) รู้อย่างไม่เข้าใจก็เหมือนคนไม่รู้ไม่เข้าใจ แล้วเราจะดับทุกข์ได้อย่างไร ไม่โลภใช่ไหม (ถ้าเราไม่โลภไม่โกรธไม่หลง จะไม่ทุกข์) อาจารย์ให้ทั้งสับปะรดและดอกไม้เอาไหม (ถ้าอาจารย์เต็มใจให้ ลูกศิษย์ก็รับ) อาจารย์เห็นมานักต่อนักแล้ว ที่พูดมานี่พอถึงเวลาก็เอา ใช่ไหม ศิษย์เอย ถ้าศิษย์รู้ว่าทำถึงที่สุด ได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร นี่แหละโลภ โกรธ หลง มันก็ครอบงำใจไม่ได้ ทำให้ดีที่สุด ได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แล้วความทุกข์มันจะมาครอบงำใจศิษย์ไม่ได้เลย จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่ทุกข์มันทำให้เราจำแล้วอย่าทุกข์กับมัน เหมือนที่อาจารย์ชอบพูดว่าถ้าความทุกข์เป็นสับปะรด เอาไม่เอา (ไม่เอา) ถ้าความทุกข์เป็นดอกไม้ เอาไม่เอา (ไม่เอา) อาจารย์ให้ เอาไม่เอา (ถ้าคิดว่าเป็นทุกข์ไม่เอา) ศิษย์เอย ศิษย์เคยได้ยินไหม คนฉลาดแปรทุกข์เป็นทางพ้นทุกข์ และแปรทุกข์เป็นหนทางพบความสงบที่แท้จริง ทุกข์หรือสุขมันไม่ได้อยู่ที่คนอื่นกำหนด แต่มันอยู่ที่ตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอย่ากลัวคนอื่นแต่จงกลัวใจตัวเองว่า มีอย่างไรไม่ให้ทุกข์ จริงไหม (จริง) ในโลกนี้ไม่ใช่มีหรือไร้หรอกที่สุขหรือทุกข์ แต่มันอยู่ที่เรารู้สึกกับสิ่งที่มีและไร้อย่างไร
คนเราถ้ารู้จักดำเนินชีวิตได้ดีก็เท่ากับช่วยผู้อื่นครึ่งหนึ่ง ถ้าคนเรารู้จักมีสุข เราก็ทำให้คนอื่นมีสุข แต่ถ้าตัวเรามีทุกข์ เราก็ทำคนอื่นมีทุกข์ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นทุกข์สุขไม่น่ากลัวที่คำพูด แต่ทุกข์สุขอยู่ที่เรามีและจัดการมันอย่างไร
(พระอาจารย์เมตตาแจกผลไม้ให้นักเรียน)
แค่ต้องถือเยอะขนาดนี้ก็ทุกข์แล้วจริงไหม ฉะนั้นทางที่ดีที่สุดทำอย่างไร แก้ทุกข์ได้ทันทีเลย (วางครับ) วางไม่สู้กับทำให้ก่อเกิดบุญให้มากที่สุด ถ้ารู้ว่าสังขารมันเป็นทุกข์ ปล่อยวางมันไม่มีประโยชน์ สู้เอาสังขารที่ทุกข์นั้น ไปสร้างบุญที่เรียกว่าคุณธรรมแห่งผู้ประเสริฐ วางไว้มันไม่มีประโยชน์ ต้องทำอย่างไร (ให้คนอื่นครับ) ไปเลย จะได้ไม่ต้องถือ อาจารย์ให้ปฏิบัติทันทีเลย ใช่ไหม ถ้ารู้ว่ามันทุกข์ ทำอย่างไรล่ะ เราก็ต้องจัดการมันให้เกิดประโยชน์สูงสูด ใช่หรือไม่ แปรเปลี่ยนคุณธรรม แปรเปลี่ยนเป็นอะไรที่ทำให้เราไม่ต้องทุกข์กับมันอีกต่อไป ฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่า ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือใจที่ไม่รู้จักเข้าใจในความทุกข์ ศิษย์เป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้าใช่ไหม พระพุทธเจ้าเอาทุกข์มาทำให้กลายเป็นพระพุทธะ แล้วศิษย์ล่ะ ทำไมไม่เอาทุกข์เป็นบันไดก้าวสู่ความเป็นพุทธะเล่า จริงไหม (จริง) ทำไมเอาแต่ทุกข์แล้วก็จมในทุกข์ แล้วก็เกลียดทุกข์ ทำไมไม่แปรเปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นหนทางพ้นทุกข์ จริงไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “มโนสำนึก”)
คนจะทำดีได้ถึงที่สุด ถ้าไม่ขาดมโนธรรมสำนึก ใช่หรือไม่ (ใช่ครับ) รู้ผิดชอบชั่วดี มีจิตสำนึกแห่งความถูกต้อง ถ้ารู้ผิดชอบชั่วดีมีจิตสำนึกแห่งความถูกต้องอยู่เสมอว่าเราต้องใฝ่ดี มีมโนธรรมสำนึกรู้ผิดรู้ชอบตลอด เราต้องปฏิบัติเป็นคนดี การจะก้าวพลาดก็เป็นเรื่องยาก จริงหรือไม่ (จริง) ถ้ามีโอกาสอาจารย์คงได้มาผูกบุญกับศิษย์อีกดีไหม (ดี)
“รู้ดีแต่ไม่ยอมทำ เป็นกรรมใกล้เกลือกินด่าง
เป็นคนนั้นดีทุกอย่าง แต่ต่างคนต่างอยู่ไป
มัวแต่เข้าข้างตัวเอง ยิ่งเร่งยิ่งทำไม่ได้
ให้ฟ้าตักเตือนมากมาย ไม่เท่าเจ้าเตือนตัวเอง”
อย่ารู้ดีแต่ไม่ยอมทำนะ ไม่อย่างนั้นจะเป็นการใกล้เกลือกินด่าง ถูกไหม (ถูก) เป็นคนนั้นดีทุกอย่างแต่ต่างคนต่างอยู่มันไม่ดี บางทีเราต้องรู้จักมีน้ำใจช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ใช่ไหม (ใช่) จำคำอาจารย์ไว้นะศิษย์เอย ย้อนมองแก้ไขตัวเองเป็นยารักษาใจ พยายามมองหาความดีของผู้อื่นเป็นยาปรับอารมณ์เรา ให้ไม่โมโห ไม่ให้เกลียด ไม่ให้ก่อกรรม ฉะนั้นการฝึกฝนบำเพ็ญธรรมคือย้อนมองส่องตน ทำตัวเองให้ถูกต้องและดีงาม เพื่อจะได้นำพาชีวิตตัวเองไม่ทุกข์แล้วทุกข์อีก ดีหรือไม่ (ดี) ตัวเองปฏิบัติได้ดีก็เท่ากับได้ช่วยคนอื่น ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เมื่อตัวเองมีสุข เราก็ทำให้คนอื่นมีสุข ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเมื่อไรเรายังมีทุกข์ เราก็ทำให้คนอื่นเขาทุกข์ด้วย จริงหรือไหม (จริง)
ขอให้ศิษย์นำไปปฏิบัติ ชีวิตนี้อย่าจมอยู่กับความอยากแล้วสร้างวัฏฏะเวียนว่ายไม่จบสิ้น จงมีสติยั้งคิดก่อนจะอยาก ว่าอยากไปแล้วมันก่อให้เกิดกรรม เพิ่มทุกข์เพิ่มการเวียนว่ายไหม ถ้ามันเพิ่มทุกข์เพิ่มเวียนว่าย หยุดก่อนอยากด้วยการทำวันนี้ให้ดีที่สุด วันนี้ทำได้ดีแล้ว วันข้างหน้าไม่เป็นไร แต่มนุษย์ไม่ใช่ เพราะห่วงแต่วันข้างหน้าจนลืมทำวันนี้ดีหรือยัง ใช่ไหม (ใช่) พุทธะสอนว่ามีแค่ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ทำให้ดีที่สุด พรุ่งนี้ไม่ต้องกลัว จริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นเกิดเป็นคนนะศิษย์ มุ่งมั่นทำในสิ่งถูกต้อง มุ่งมั่นรักษาความดีงามจนตราบลมหายใจสุดท้าย อย่าเอาความโกรธ ความเกลียด ความโลภ มาเกี่ยวกรรมแล้วสร้างวัฏฏะแห่งทุกข์ไม่จบสิ้น จงเป็นผู้ที่ใจกว้าง อภัย ใจเย็น สงบ มีสติ ทำอะไรรู้จักยั้งคิด ไม่ตกเป็นทาสของบุหรี่ อบายมุข หวย ไม่เอานะศิษย์ ใช่ไหม โชคลาภมันอยู่ที่ตัวเราแปรเปลี่ยนความคิดได้ สิ่งที่เลวร้ายก็กลายเป็นโชควาสนา ใช่หรือไม่ อาจารย์บอกวิธีไปหมดแล้ว จริงไหม ตอนนี้เหลือแต่ศิษย์อย่ามัวแต่ก้มหน้า แต่เงยหน้าแล้วทำให้ดีที่สุด ใช่ไหม (ใช่)
เลือกทางสว่าง อย่าเลือกทางมืด เมื่อไหร่ที่โดนกระทบ จำไว้ว่าจะเกี่ยวกรรมหรือจบเวรจบกรรม หรือไม่มีอะไร ว่างเปล่า อาจารย์สอนศิษย์นะ ถ้าโกรธก็เกี่ยวกรรม ถ้าคิดแค่เพียงดี ละลายหนี้กรรม มันก็ยังมีตัวตนให้ต้องทุกข์ แต่สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นมีความดับ มันเกิดแล้วมันก็จบไปแล้ว แต่ที่ไม่จบคือใจที่ยึดมั่นถือมั่นแล้วบังเกิดทุกข์ ถ้าไม่จบก็เกี่ยวกรรมกันต่อไป ถ้าไม่จบมันก็กลายเป็นไฟเผาลนใจ ฉะนั้นเมื่อโดนกระทบจงจำคำพูดอาจารย์ไว้ จะเกี่ยวกรรม จะจบกรรมหรือไม่มีอะไร ไม่มีอะไรก็คือเข้าถึงความว่าง ไร้ตัวตนให้ยึดถือ นั่นแหละเรียกว่าพระนิพพาน ใช่ไหม (ใช่)
มีโอกาสอาจารย์คงได้มาผูกบุญกับศิษย์อีกนะ แต่ศิษย์จงให้โอกาสตัวเองกลับมาผูกบุญกับอาจารย์บ้างนะ ดีไหม (ดี) ธรรมะช่วยเยียวยาจิตใจ ธรรมะช่วยย้ำเตือนใจไม่ให้เราโลภ โกรธ หลงและเวียนว่ายในวัฏสงสารนี้ไม่จบสิ้น จงตื่นขึ้นแล้วมองเห็นความจริง อย่าทุกข์กับโลกใบนี้แต่จงรู้จักแปรทุกข์ให้เป็นหนทางพ้นทุกข์ ได้ไหมศิษย์เอย อาจารย์ไปแล้วนะ ไม่อยากจากแต่ก็ต้องจาก มีโอกาสกลับมาอีกนะ
เข้มแข็งนะ อะไรจะเกิดก็ขอให้สู้นะ ตั้งใจศึกษาบำเพ็ญ นำธรรมะมาเยียวยาใจให้ใจมีหนทางที่สว่างและหาทางพ้นทุกข์ด้วยตัวเอง ไม่ตกเป็นทาสของอบายมุข ไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์นะศิษย์เอย ได้ไหม (ได้) เมื่อไร้ตัวตนให้ยึดถือ ความทุกข์อยู่ที่ใด
รู้ดีแต่ไม่ยอมทำ เป็นกรรมใกล้เกลือกินด่าง
เป็นคนนั้นดีทุกอย่าง แต่ต่างคนต่างอยู่ไป
มัวแต่เข้าข้างตัวเอง ยิ่งเร่งยิ่งทำไม่ได้
ให้ฟ้าตักเตือนมากมาย ไม่เท่าเจ้าเตือนตัวเอง