วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2560

2560-03-26 สถานธรรมฮุ่ยจื้อ จ.บุรีรัมย์



西元二〇一七年嵗次丁酉二月二十九日          仙佛慈悲訓
วันอาทิตย์ที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๐                สถานธรรมฮุ่ยจื้อ  จ.บุรีรัมย์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  เป็นคนดีแต่นิสัยไม่น่ารัก               ก็ยากจักเป็นคนดีแท้จริงได้
ดูนิ่งนิ่งเรียบร้อยไม่มีอะไร                แต่อย่าเผลออารมณ์ใส่ไม่น่าดู
           เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยจื้อ แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                    ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม
  สติดีแต่ทำตัวไม่ค่อยดี                  อะไรดีไม่รู้รู้แต่ขี้เกียจหลาย
ขนาดยอมทำเป็นคนใช้ไม่ได้             เหมือนกรรมใกล้เกลือกินด่างเต็มประตู
ทุกทุกดีนั้นเมตตาเป็นแสงส่อง           เพียงแต่ต่างคนประคองคนร่วมหมู่
บำเพ็ญธรรมอย่างเดียวคนฟังไม่รู้        มักต่างอยู่เข้าตัวไม่เหลือใคร
อย่าไปมัวแต่ข้างใดดีนัก                  ย้อนมองตัวเองจะพบอะไรใหม่
งานยิ่งเร่งยิ่งรัดสุขอยู่ไหน                ตระหนักได้ไม่ทำมากจนเกินตัว
ที่ฟ้าตักเตือนหมายให้ได้ดี                ถึงต่อให้ทำดีจนท่วมหัว
ยังไม่เท่าเจ้ายอมละกรรมชั่ว             สำนึกเองตัวเตือนตัวนั่นแหละดี


  หลงเหตุผลก็ง่ายจะหลงผิด             ตามอารมณ์ก็เบือนบิดไปกันใหญ่
ไม่มักง่ายไม่เอาเปรียบไม่ตามใจ          อยู่ในศีลครองธรรมไว้นั่นแหละดี
หมั่นตรวจสอบความคิดคำพูดการกระทำ    หนึ่งจงจำมีเมตตาไม่กดขี่
สองถูกต้องชอบธรรมไม่ราวี              สามต้องมีเคารพให้เกียรติกัน
ถือซื่อตรงทำดีไม่โลภหลง                ความดีคงงดงามอยู่เช่นนั้น
รู้หน้าที่รับผิดชอบสร้างบุญทาน         เรื่องผิดศีลขาดธรรมไม่คิดมี
รู้ย้อนมองเมื่อผิดไม่โทษใคร              กล้าแก้ไขยอมรับไว้ไม่ราวี
อยู่บนทางสำนึกดีปฏิบัติดี                ให้สมที่เป็นผู้บำเพ็ญธรรม
ฮา  ฮา  หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
“เป็นคนดีแต่นิสัยไม่น่ารัก     ก็ยากจักเป็นคนดีแท้จริงได้
ดูนิ่งนิ่งเรียบร้อยไม่มีอะไร    แต่อย่าเผลออารมณ์ใส่ไม่น่าดู”
เป็นอย่างนั้นไหม เป็นคนดีแต่นิสัยไม่น่ารัก เราเป็นคนดีไหม ก็ดีนะ แต่อย่ามีนิสัยมีอารมณ์เข้ามาเด็ดขาด คนดีก็พร้อมจะเปลี่ยนแปลงและกลับกลายใช่หรือไม่ ตอนนี้ที่ไม่มีอารมณ์อะไรเข้ามา ทุกคนก็ดูดีหมดเลยจริงไหม (จริง)  แต่พอมีอารมณ์โกรธใส่เข้ามา เป็นอย่างไร หน้ามือเป็นหลังมือเลยใช่หรือเปล่า ที่ดูพูดเรียบร้อยๆ ก็เปลี่ยนไปเลยใช่หรือไม่
เวลาเราศึกษาหลักธรรม จงมองที่หลักธรรมอย่ามองที่ตัวบุคคล เพราะถ้าเอาตัวบุคคลไปวัดกับธรรมจะทำให้เราไปไม่ถึงฝั่ง เพราะบุคคลมีวันเปลี่ยนแปลงและกลับกลาย มีวันหน่ายมีวันเบื่อ มีวันชิงชัง ถ้าเรามองที่ตัวหลักธรรม ธรรมจะสอนแต่ความเป็นจริง และให้เรามองแต่ความเป็นจริง ฉะนั้นวันนี้ที่เรามาศึกษาคือศึกษาหลักธรรมเพื่อเอาไปใช้ในชีวิต ใช่ไหม (ใช่)
ลองเปลี่ยนบรรยากาศในการศึกษาธรรมเป็นการแลกเปลี่ยนสนทนาธรรมกันบ้างดีไหม (ดี)  ฟังมาวันครึ่ง ฟังมาเกือบค่อนชีวิตแล้ว ถ้าวันนี้อาจารย์ถามอะไรคุยอะไรก็คงมีการโต้ตอบกันบ้างเล็กน้อยดีไหม (ดี)  อาจจะแปลกใจระคนสงสัยเล็กน้อย แต่อย่าเพิ่งถึงขั้นรังเกียจดูถูกกันแล้วไม่มองหน้ากันเลยดีไหม (ดี)  เพราะส่วนใหญ่เราอยู่ในโลกนี้ เราก็ไม่ชอบให้ใครตั้งป้อมรังเกียจตั้งแต่ยังไม่ทันทำอะไร ถูกไหม (ถูก)  และโดยส่วนใหญ่เราอยู่ในโลก เราก็ไม่ชอบให้ใครดูถูกเหยียดหยามเราโดยที่ยังไม่ทำอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นไม่ชอบสิ่งใดอย่าทำสิ่งนั้นกับผู้อื่น แล้วเราเผลอทำไหม (ทำ)
อาจารย์ถามหน่อย โดยส่วนใหญ่นักเรียนในชั้นคิดว่าตัวเองเป็นคนดีไหม (ดี)  ส่วนใหญ่คนดีชอบทำดีไหม (ชอบ)  เป็นทั้งคนดีด้วยแล้วก็ชอบทำดีด้วย แต่ที่อาจารย์ได้ยินมา คนโดยส่วนใหญ่ชอบความดีแต่ไม่ชอบทำดี เหมือนถามว่าระหว่างคนดีกับคนไม่ดีชอบแบบไหน ชอบคนดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ระหว่างคนมีเมตตากับคนใจดำอำมหิตชอบคนแบบไหน (ชอบคนมีเมตตา)  ระหว่างคนใจกว้างกับคนเห็นแก่ตัวชอบคนแบบไหน (คนใจกว้าง)  แต่ถึงเวลาเราเลือกทำแบบไหน (ตรงกันข้าม)  จริงไหม (จริง)  เราอยากเป็นคนดี เราชอบคนดี แต่ถึงเวลาเรากลับไม่เลือกปฏิบัติดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาแบบเปิดอกจับเข่าคุยกันเลยนะศิษย์ อาจารย์ถามตรงๆ ไม่ต้องอ้อมค้อม เราชอบคนดี เราหวังที่จะมีคนดีอยู่รอบข้าง หวังที่จะเจอเรื่องดีๆ ให้กับชีวิต แต่ถึงเวลาเราทำดีไหม อย่างเช่นถึงเวลามีโอกาสได้กับมีโอกาสสละ เราเอาก่อนหรือเราสละก่อน (เอาก่อน)  แล้วดีตรงไหน
ถามหน่อยไปตบหัวเขามาเต็มที่ ไปเอาของเขามาเต็มที่ แล้วบอกว่า ขอโทษนะเดี๋ยวค่อยใช้ เขายอมไหม (ไม่ยอม)  แล้วจะมาบอกว่าตัวเองเป็นคนดีไหม ก็ไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วรู้ขนาดนี้แล้ว เลือกที่จะทำดีไหม (ยัง)  เหมือนถามว่าระหว่างทำดีกับชอบความดี ถามว่าเราเป็นอะไรมากกว่ากันเราชอบดีแต่เราไม่ค่อยทำดีใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามต่อ ระหว่างเจอเคราะห์ดีกับเคราะห์ร้าย โอกาสที่จะเจอเคราะห์ดีก็ยาก ก็ต้องเคราะห์ร้ายมากกว่าดี เพราะเรามักไม่เลือกทำดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นที่เราจะเจอเรื่องภัยพิบัติก็จะเจอได้มากกว่า ถ้าคนดีไม่รักทำดีแค่ทำเฉยๆ โอกาสที่เจอภัยเจออันตรายก็อาจจะมีมากกว่า อย่ามัวแต่บ่นโทษฟ้าโทษดิน รักดี แต่ทำไม่ดี พอเจอเรื่องไม่ดีก็บอกว่า ศิษย์อุตส่าห์เป็นคนดีทั้งที ทำไมศิษย์ต้องเจอเรื่องไม่ดี จริงๆ แล้วเราดีไหม (ไม่ดี)  ถามตัวเองว่าเราทำดีจริงๆ หรือเปล่า ศิษย์บอกเองว่าคนเราอยากได้สิ่งใดก็ต้องปูพื้นฐานสิ่งนั้น เพราะโลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ คนเราเกิดมาพร้อมกับกรรม แล้วกรรมในวันหน้าก็ต้องเกิดจากกรรมในวันนี้ ชะตาชีวิตในวันหน้าจะเป็นอย่างไรก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าวันนี้เราทำอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอาจารย์ถึงถามศิษย์ว่าศิษย์ชอบทำความดีไหม (ชอบ)  แต่ถึงเวลาเลือกทำความดีไหม (ยัง)  ต้องรอให้เป็นเคราะห์ร้ายก่อน ดวงแย่ก่อนถึงจะทำดีใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย ถ้าเรายืนอยู่บนปากเหวแล้วก็บอกว่าศิษย์จะตายไหม ศิษย์จะรอดไหม แล้วค่อยคิดมาทำดี จะทันไหมศิษย์ (ไม่ทัน)  กำลังจะทุกข์อยู่แล้วตอนนี้ค่อยมาใฝ่ดี ปฏิบัติดี ทันไหมศิษย์ (ไม่ทัน)  แล้วเราเป็นแบบนี้ไหม (เป็น)  ถึงเวลาศิษย์บอกว่าเดี๋ยวก่อน ทุกทีเลย เวลาใครหน้าไหนมาก็ตาม ก็บอกว่า “เธอต้องดี เธอต้องดี ทุกคนมีหน้าที่ต้องดีกับฉัน” แต่ลืมไปว่าเรามีหน้าที่ดีกับคนอื่นก่อน ฉะนั้นธรรมะไม่ได้มีเอาไว้เพื่อตรวจสอบบีบบังคับเรียกร้องใคร แต่ธรรมะมีไว้เรียกร้องให้ตัวเองปฏิบัติก่อน ถูกหรือไม่ (ถูก)  เหมือนอาจารย์ถามว่าศิษย์เอ๋ย ทำดีเถอะ แต่ไม่มีแรง จะทำไปทำไม ทำแล้วก็เหนื่อย คนไม่เห็นอยากจะดีเลยอาจารย์ ทำไมหนูต้องไปยอมเขาก่อน ทำไมหนูต้องไปดีกับเขาก่อน ศิษย์เอ๋ย ศิษย์กลัวภัยไหม (กลัว)  ศิษย์กลัวเคราะห์ร้ายไหม (กลัว)  ศิษย์กลัวชะตาไม่ดีไหม (กลัว)  ศิษย์กลัวทุกข์ไหม (กลัว)  ฉะนั้นถ้าศิษย์กลัวเคราะห์ กลัวภัย กลัวทุกข์ กลัวชะตาไม่ดี อย่างนั้นศิษย์พยายามทำดี ดีไหม (ดี)  เพราะการทำดี จะช่วยทำให้เราไม่ต้องเจอภัย หรือแม้เป็นภัย ก็จะกลายเป็น (ดี)  ค่อยมีกำลังใจอยากทำดีขึ้นมาหน่อยใช่ไหม ศิษย์อาจบอกว่า อาจารย์แต่มันก็ยากนะ เวลาจะทำดีสักอย่างหนึ่ง อย่างนั้นอาจารย์บอกให้ อะไรที่จะทำให้เราทำดีและไปได้ตลอด ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า “ไม่มีภัยพิบัติใดน่ากลัวมากเท่ากับความอยาก ไม่รู้จักพอ” ไม่มีภัยและหายนะใด น่ากลัวเท่ากับ ความอยาก ความโลภ ไม่รู้จักพอ ใช่ไหม (ใช่)  บาปไม่มีเพราะคนนั้นไม่ทำ กรรมไม่มีเพราะคนนั้นไม่ก่อ อุบัติเหตุไม่มีเพราะคนนั้นไม่ประมาท ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นที่อาจารย์กล่าวมาทั้งหมดนี้ แปลว่า ภัยเอย หายนะเอย ความทุกข์เอย บาปกรรมเอย มันจะเกิดไม่ได้ ถ้าเราไม่หลงตกเป็นทาสของอะไร ถ้าเราไม่ตกเป็นทาสของกิเลส และปล่อยให้กิเลสครอบงำจนแยกไม่ออกว่าอะไรผิดชอบชั่วดี ใช่ไหม (ใช่)  ดังที่บอกว่า ถ้าไม่อยากมีทุกข์ก็จงอย่าทำบาป บาปมีต้นเหตุมาจากการตกเป็นทาสของกิเลสที่เรียกว่า โลภ โกรธ หลง ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากเป็นคนดี ก็พยายามระมัดระวังควบคุมอารมณ์และกิเลส ใช่หรือไม่ (ใช่)  สมมติว่าเป็นคนสวดมนต์เก่ง ทำบุญเก่ง ไหว้พระเก่งแต่ยังขี้โมโห ขี้นินทาแล้วยังอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  แล้วที่เคยพูดมาว่าตัวเองทำบุญก็เยอะ ไหว้พระก็เยอะ ทำไมยังไม่ได้ดี นั่นก็เพราะว่าตัวเองชอบด่าคนเยอะเหมือนกันหรือเปล่า แล้วยังเป็นคนคดโกงอยู่ไหม ฉะนั้นอย่าบอกว่าทำดีไม่ได้ดี ไม่เกี่ยวนะ ถ้าอาจารย์บอกว่าในทางกลับกัน ถ้าศิษย์พยายามไม่โลภจนเกินไป ไม่ขี้โมโหบ่อยไป ไม่หลงจนหน้ามืดตามัว อยากได้เงินทองจนผิดศีลขาดธรรมจนเกินไป อาจารย์ว่าคนที่พยายามควบคุมอย่างนั้น ดีกว่าคนสวดมนต์เก่งแต่ยังควบคุมไม่เก่งอีก จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นธรรมะจึงสอนไว้ว่า อยากจะเป็นคนดี ทำไมไม่ละชั่ว อยากเป็นคนดี ทำไมไม่ละบาป อยากเป็นคนดี ทำไมไม่ละอกุศล ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นอยากโชคดี อยากมีสุข ก็ต้องถามตัวเองว่า ตัวเองควบคุมความอยาก ความโลภ ความหลง ได้หรือยัง ถ้ายังควบคุมไม่ได้ ความอยากก็สร้างพิษภัยให้กับตัวเอง ศิษย์อาจบอกว่า อาจารย์มันคุมยากนะ ขอให้มีนิดหน่อยก็ยังดี ใช่ไหม (ใช่)  โกรธ โลภแค่นิดเดียวอาจารย์ อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย อาจารย์เห็นมามากแล้ว คนที่พยายามเป็นคนใจกว้าง แต่พอโมโหขึ้นมาทีหนึ่ง คนใจกว้างก็กลายเป็นคนใจแคบ คนที่พยายามเป็นคนใจดี แต่พอมีความอยาก คนใจดีก็พร้อมจะกลายเป็นคนใจร้ายและใจดำ ฉะนั้นอย่าประมาทกับกิเลส เพราะเมื่อกิเลสครอบงำจิตใจแล้ว จากหน้ามือเป็นหลังมือ เห็นมานักต่อนักแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าโลกใบนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ ถ้าโลกใบนี้เป็นโลกแห่งเหตุปัจจัย และถ้าโลกนี้เป็นโลกของกรรม การรับผลกรรม จริงไหม (จริง)  ทำดีแค่ไหนแต่ก็ทำชั่วแค่นั้น สู้ไม่ทำชั่วเลย ฉะนั้นอาจารย์ถามจริงๆ อย่าล้อเล่นกับกิเลสที่มันครอบครองใจศิษย์ เพราะมันครองใจแล้ว ศิษย์มักเอามันไม่เคยอยู่ จริงหรือไม่ (จริง)  มีใครโกรธแล้วหยุดโกรธได้ มีใครอยากแล้วรู้จักพอได้แท้จริง แต่อาจารย์จะบอกให้ถ้าศิษย์ทำได้ ชะตาที่ถูกกำหนดว่าจะร้าย จะเปลี่ยนเป็นดี สิ่งที่พร่องในชีวิต อาจจะกลายเป็นเติมเต็มโดยที่ไม่ต้องพยายามเติมอะไรก็ได้ แล้วเราสามารถบอกได้ไหมว่าอนาคตจะดีหรือจะร้าย แต่ถ้าศิษย์ทำตามที่อาจารย์บอก ศิษย์จะสามารถบอกได้เลยว่าอนาคตอย่างไรมันต้องดีให้ได้ สิ่งที่ชีวิตมันบกพร่อง มันจะกลายเป็นเติมเต็มได้ด้วยตัวเอง อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะว่า ไม่อยากลองมาศึกษาดูหรือ สิ่งที่ศิษย์บอกว่าไม่เอา ทำไม่ได้ ลองเดินตามอาจารย์ดูแล้วศิษย์จะรู้ว่าชะตาชีวิตที่ศิษย์บอกว่าไม่รู้มันจะเป็นอย่างไร มันจะดีจะร้าย แต่ว่าถ้าศิษย์ทำตามที่อาจารย์บอก ศิษย์จะไม่กลัวอนาคต ศิษย์จะไม่กลัวว่าชีวิตมันจะพร่องหรือมันจะขาดหรือมันจะสูญ อะไรเกิดขึ้นมาศิษย์ก็จะสู้ได้และรับไหว
แล้วทำอย่างไรล่ะที่แม้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ร้ายมันก็แปรเป็นดี พร่องมันก็กลายเป็นเต็ม สูญเสียแต่มันไม่เสียศูนย์ ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า “โชคชะตาไม่สู้มานะคน” จริงไหม (จริง)  อย่างนั้นแปลว่า ชะตาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราเป็นคนสู้ไม่ถอย ใฝ่ดีจนถึงที่สุด ขยัน ซื่อตรงไม่คดโกง มีหรือชะตามันจะเปลี่ยนไม่ได้
ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า ชะตาวาสนามันมักเดินตามคนที่ใฝ่ดีถึงที่สุด ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า โชคชะตาวาสนา มักเดินตามคนที่ผิดแล้วรู้จักแก้ไข ไม่กล่าวโทษใคร ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า โชคชะตาวาสนามันมักเดินตามคนที่มุ่งมั่นทำดีประพฤติดี ไม่ยอมแพ้จนสุดจิตสุดใจ แต่เคราะห์ร้ายมันเดินตามคนที่ชอบคดโกง เอารัดเอาเปรียบ คับแคบ กล่าวโทษคนอื่นไม่เคยย้อนมองตัวเอง อย่างนั้นอาจารย์ถามศิษย์หน่อยว่า ถ้าเป็นแบบนี้ศิษย์ยังอยากจะใฝ่ดีไหม ศิษย์ยังอยากจะตกเป็นทาสของกิเลสอีกไหม (ไม่)  แล้วศิษย์รู้ไหมว่าใจที่รู้จักย้อนมอง โดนคนอื่นว่า โดนคนอื่นด่า โดนคนอื่นกล่าวโทษ โดนคนอื่นใส่ร้าย แล้วใจที่รู้จักย้อนมองส่องตน แล้วตรวจสอบว่าฉันไม่ดีจริงไหม ฉันแก้ไขได้ไหม ฉันผิดจริงไหม ใจที่ย้อนมองส่องตัวเองอยู่ตลอดเวลาเมื่อโดนว่า โดนกล่าวร้าย แล้วไม่โทษใคร เชื่อไหมว่าอับโชคจะกลายเป็นโชควาสนา ไร้บุญจะกลายเป็นบุญบารมี เพราะว่าการตรวจสอบย้อนมองตนมันคือยารักษาใจ เห็นใครไม่ดีแล้วพยายามมองเขาให้ดีให้จงได้ คือยาปรับลมปราณ ทำให้อารมณ์ร้อนกลับกลายเป็นเย็น ดีไหม (ดี)  ฉะนั้นเวลาเจอใครมากระทบ ศิษย์จะโกรธ ด่าเกลียด แช่งชักหักกระดูก ปล่อยให้ปัญหาทั้งมวลรุมเร้าเข้ามาในชีวิตหรือเวลาเจอใครมากระทบ ศิษย์จะมีสติ ใจเย็น สุขุม มีเมตตา ให้อภัย วาง จบ สงบ เป็นเกราะป้องกันภัย เอาแบบไหน (แบบให้อภัย)  ถ้าศิษย์บอกว่า อภัยให้ก็ได้อาจารย์ ทำใจก็ได้ ใจเย็นก็ได้ วางก็ได้ วางจริงไหมศิษย์ เย็นจริงไหมศิษย์
ฉะนั้นศิษย์เอ๋ย โลกนี้เป็นโลกแห่งปัจจัย ไม่มีเรื่องบังเอิญ เราเกิดมาพร้อมกับกรรม กรรมเก่าที่เราสร้าง แล้วตอนนี้ศิษย์จะสร้างกรรมใหม่เพิ่มอีกทำไม อาจารย์ถามหน่อย อยากได้มิตรหรือศัตรู ศิษย์ก็บอกอาจารย์ตั้งแต่ต้น อยากได้คนดีหรืออยากได้คนร้าย (คนดี)  อยากได้คนดี แล้วถ้าเขาร้ายมาหน่อย ร้ายกลับเขาเลย ใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วไหนว่าอยากได้มิตร อย่างนั้นร้ายกลับเขาเลย ช่างหัวเขา ตอนนี้โมโหแล้ว แล้วปัญหาที่รุมเร้าตามเข้ามา ศิษย์จะแก้ไหวไหม ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า ใจกว้างคือสวรรค์ชั้นฟ้า ใจแคบคือนรกบนดิน หรือทะเลทุกข์ จริงไหม (จริง)  ใจกว้างแปรร้ายกลายเป็นบุญวาสนา ใจแคบทำให้อับโชค ไม่มีวันพบเรื่องดีๆ ในชีวิต มารคือคนที่จิตใจแคบ ไม่ยอมใคร คดโกง เอาเปรียบ ชิงชัง กล่าวโทษ แต่พุทธะคือจิตใจที่เมตตา เย็น อดทน และวางลงด้วยหัวใจที่สงบ
อย่างนั้นอาจารย์ถามศิษย์หน่อย วันนี้ที่ชีวิตไม่ได้ดี เป็นเพราะเขาหรือเป็นเพราะเรา ส่วนหนึ่งคือกรรมเก่า แต่อีกส่วนหนึ่งคือกรรมใหม่ที่เรากำลังจะสร้างใช่หรือไม่ คนในโลกทั้งโลกไม่มาเจอ ทำไมต้องมาเจอคนแบบนี้ คนมีตั้งหลายล้านคน ทำไมไม่มาเจอ ทำไมต้องมาเจอคนนี้ แล้วเราจะเจอเพื่อจบกรรมหรือเราจะเจอเพื่อเกี่ยวกรรมต่อไป เราจะเจอเพื่อแปรร้ายเป็นดี หรือเราจะเจอเพื่อให้เราร้ายแล้วร้ายไม่จบสิ้น ฉะนั้นอาจารย์ถามหน่อย ชะตาชีวิตอยู่ที่ฟ้ากำหนด หรืออยู่ที่ตัวเราเอง
ฉะนั้นถ้าเป็นคนรักดีจริง เขาต้องไม่ทำชั่ว ไม่ว่าในที่ลับหรือในที่แจ้ง เพราะชื่อของความดีเป็นชื่อของความสุข ชื่อของคนที่มุ่งมั่นทำดีแล้วยังประกอบไปด้วยคุณธรรม เป็นชื่อของความสุขที่เดินอยู่บนหนทางแห่งผู้ประเสริฐ ฉะนั้นการเป็นคนดีมันก็มีเรื่องยากอย่างหนึ่ง ถ้าดีแต่ขาดเมตตา ความดีนั้นมันก็ง่ายที่จะกลายเป็น (กรรม)  ฉะนั้นอาจารย์จะบอกอีกอย่างหนึ่ง ถ้าศิษย์พยายามเป็นคนดี ศิษย์ต้องระวังอย่างหนึ่ง เวลาเราเป็นคนดีมันอดไม่ได้ มันจะเรียกร้อง คนนั้นต้องดีสิ คนนี้ต้องดีสิ ในชีวิตฉันต้องเจอแต่ดีสิ ใช่ไหม (ใช่)  จำไว้นะศิษย์ เรารักดีได้แต่เราหวังให้ทุกคนต้องปฏิบัติดีกับเราไม่ได้ ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม “ความดีไม่น่ายึดถือได้ แต่รักษาไว้จนถึงที่สุด เรียกว่ามีคุณค่า ความชั่วไม่น่ารังเกียจ แต่ถ้ากลับตัวกลับใจได้ เรียกว่าเป็นคนดีมีประโยชน์” ใช่หรือไม่ (ใช่)
ความชั่วไม่ได้น่ารังเกียจ ถ้ารู้แล้วกลับตัวแก้ไขก็มีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นไหมคำพูดมันบอกตัวเอง ความดียึดไม่ได้พึ่งไม่ได้ แต่ถ้ารักษาจนถึงที่สุดก็มีคุณค่า ความชั่วเกลียดมันไม่ได้ เพราะถ้าเกลียดมันแล้วมันจะไม่แก้ไขอะไรให้ดีขึ้นและไม่มีประโยชน์ต่อผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์ทำตรงกันข้าม ยึดดีเกลียดชั่ว ยึดว่าฉันเป็นคนดี พอใครไม่ดีก็เกลียดมัน ถูกไหม (ไม่ถูก)  เป็นคนดีแต่ขาดซึ่งคุณธรรมความเมตตา คนดีก็หาดีไม่ ฉะนั้นอย่าเป็นแค่คนดีแต่ต้องมีคุณธรรมประกอบด้วย เป็นคนดีมีเมตตาแต่ขาดซึ่งปัญญาธรรม คนดีก็พร้อมจะทำคนเสียคนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สมมติว่าอาจารย์มั่นใจว่าตัวเองเป็นคนดี แล้วอาจารย์ก็บอกว่าพวกศิษย์ยังไม่ได้เรื่อง ต้องแก้นะ ต้องเปลี่ยนนะ ไม่อย่างนั้นไม่ได้เรื่อง ไม่ดี ไม่ชอบ อย่างนี้เขาเรียกว่า ยึดดีแล้วไร้เมตตาธรรมกับผู้อื่น กับอีกแบบหนึ่งยึดดีมีเมตตา ยิ้มอย่างเดียวอย่างนี้ถูกไหม ไม่ถูก ทำให้ศิษย์นั้นเสียคน ฉะนั้นความดียึดพึ่งไม่ได้ แต่ถ้าปฏิบัติถึงที่สุดแล้วรู้จักกอปรคุณธรรม ความดีก็มีคุณค่า ความชั่วไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ แต่ถ้ารู้จักแก้ไขเปลี่ยนแปลงความชั่วก็มีคุณค่ามีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างนั้นเรารักดีเกลียดชั่วได้ไหม (ไม่ได้)  ได้แต่มันไม่ดี จริงไหม (จริง)  เราไม่ใช่ปฏิบัติดีแล้วรังเกียจคนไม่ดี แต่การปฏิบัติดีเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตไปสู่หนทางที่ดีงามและถูกต้อง แล้วเราปฏิบัติดี มันเกี่ยวอะไรกับบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญธรรมก็คือการปฏิบัติดี เป็นรากฐาน และก็ก้าวไปสู่ความพ้นทุกข์ถึงที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการปฏิบัติบำเพ็ญธรรมเพื่อสิ่งที่ถูกต้องดีงาม จึงไม่ใช่สอนให้ศิษย์ไม่ต้องอยาก ไม่ต้องโลภ ไม่ต้องโกรธ ไม่ต้องหลง แต่อยากอย่างคนที่ไม่เห็นแก่ตัว อยากอย่างคนที่ไม่ทำให้จิตใจตกต่ำเลวร้าย พอเข้าใจนะ ฉะนั้นนี่แหละคือความหมายของการบำเพ็ญธรรมและปฏิบัติดีให้ถูกต้อง เพื่อนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ พอเข้าใจไหม (เข้าใจ)
บางครั้งการอยู่ในโลกมันต้องมีบ้างที่กระทบกระทั่งเจอคนดีเจอคนไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า ในโลกนี้ไม่มีใครสูงและไม่มีใครต่ำจนเกินไป ไม่มีใครดีและไม่มีใครแย่จนเกินไป ดีร้ายสูงต่ำใครกำหนด ตัวเราเองกำหนดใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราก็เอามาตรฐานตัวเราไปตีค่าตีราคาคนอื่น จำไว้นะศิษย์ การที่เราใฝ่ดีปฏิบัติดีไม่ใช่เหตุผลที่เราจะเอาไปบังคับให้ทุกคนต้องเป็นคนดี เพราะถ้าคิดแบบนั้น เรากำลังถือดีแบบผิดๆ เพราะว่าการที่เราศึกษาปฏิบัติธรรมคือยอมรับความเป็นจริงแห่งสภาวธรรม และธรรมที่แท้จริงมันเป็นกลางอยู่แล้ว จริงไหม (จริง)  แต่ใจเรานั่นแหละมันไม่เป็นกลาง มันก็เลยวัดทุกสิ่งอย่างไม่เป็นธรรม อาจารย์เทียบง่ายๆ เหมือนวันนี้อาจารย์จิตใจดี อารมณ์ดี มองอะไรมันก็ (ดี)  ตรงกันข้าม วันนี้อาจารย์รู้สึกแย่ เบื่อ รำคาญคน มองอย่างไรมันก็ (ไม่ดี)  เห็นไหม ก็รู้หมด ฉะนั้นจริงๆ เขาไม่ดีหรือเราไม่ดี (ตัวเรา)  ใช่ไหม (ใช่)  ดังคำกล่าวไว้ว่า ถ้ามองเห็นทุกคนมีคุณค่า ทุกคนก็มีคุณค่าให้น่านับถือ ถ้าเหยียดคนในเรื่องเลวทราม ทุกคนหาดีได้ไม่ จริงไหม (จริง)  ถ้าเราบอกนี่ก็แย่ นี่ก็ไม่ได้เรื่อง ดูมันทำท่าสิ ดูมองอาจารย์สิ แบบนี้มันหาเรื่องชัดๆ เลย อาจารย์ถามหน่อยว่าใจเรามันหาเรื่อง หรือเขาหาเรื่อง (ใจเราเอง)  เหมือนศิษย์เคยได้ยินไหม ใจมันมีขี้มองเขาก็เป็นขี้ ใจมันมีพุทธะมองเขาก็เป็นพุทธะ ใจมันเป็นอันธพาลมองเขาก็เป็น (อันธพาล)  ใจมันเลวร้ายมองเขามันก็ (เลวร้าย)  อย่างนั้นถามหน่อยเขาไม่ดีหรือใจเรามันไม่ดี (ใจเราไม่ดี)  เพราะฉะนั้นโกรธเขาหรือโกรธเรา (โกรธเรา)
ทำไมเราต้องศึกษาธรรม เพราะการศึกษาธรรมสอนให้เราเข้าใจความเป็นจริงแห่งสัจธรรม แล้วสัจธรรมนั้นมันไม่ได้อยู่ไกล มันอยู่ในตัวเรา เราจะมองอย่างคนมีธรรม หรือเราจะมองอย่างคนที่เอาแต่ใจตัวเราเป็นหลัก
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนสองท่านออกมาหน้าชั้น คนหนึ่งอายุมาก คนหนึ่งอายุน้อย)
อาจารย์มีรสนิยมชอบเล็กๆ เหี่ยวๆ อายุมากๆ แบบนี้แปลว่า ถ้าตึงๆ เด็กๆ อาจารย์จะ (ไม่ชอบ)  ใช่ไหม เรื่องราวในโลกมันดีหรือร้าย มันได้หรือเสีย  มันสุขหรือทุกข์ มันอยู่ที่ใจศิษย์กำหนด ถ้าใจศิษย์กำหนดยึดแบบนี้คือสุขที่สุดแล้ว คือดีที่สุดแล้ว ยึดแบบนี้ว่าคือของๆ ฉันที่ฉันชอบแล้ว แปลว่า สิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ศิษย์ยึด มันกลายเป็นไม่ดี กลายเป็นทุกข์ กลายเป็นเรื่องแย่ทันที แต่ถ้าในใจเราไม่มีอะไร ใจเราไม่ยึดอะไร อะไรแย่ อะไรดี ก็ไม่มี
ฉะนั้นศึกษาหลักธรรมเพื่อให้เราหันกลับมาเยียวยาใจและมองให้เห็นว่าใจของเราจริงๆ แล้ว อย่าไปตีกรอบ อย่าไปยึดมั่น อย่าไปกำหนด เมื่อไม่ตีกรอบ ไม่ยึดมั่น ไม่กำหนด มันจะไม่มีอะไรที่เรียกว่าสุขที่สุด และจะไม่มีอะไรที่เรียกว่าทุกข์ที่สุด จะไม่มีอะไรที่น่ารัก และจะไม่มีอะไรที่น่ารังเกียจ
ถ้าศิษย์รักษาจิตรักษาใจ โลกนี้มีอะไรหรือที่เรียกว่าดี โลกนี้มีอะไรหรือที่เรียกว่าเลวร้าย ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)
โชคชะตาชีวิตในวันหน้าจะเป็นอย่างไรไม่ได้รออยู่ที่อนาคต แต่มันอยู่ที่วันนี้เราทำใจเช่นไร ถ้าเราทำใจวาง สงบ ยอมรับความเป็นจริง อะไรมันก็ดี จริงไหม (จริง)  แล้วศิษย์จะตอบคำถามที่อาจารย์พูดได้ตั้งแต่ต้นเลยว่า ไม่ว่ามันจะเหี่ยวขนาดไหน แก่ขนาดไหน มันก็ไม่เคยพร่องเพราะมันก็ดี มันจะตึงขนาดไหน มันจะบวมขนาดไหน มันจะอ้วนขนาดไหน มันก็ดี ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  ฉะนั้นการศึกษาธรรมจึงไม่ได้ต้องการให้เรามุ่งแต่ปฏิบัติภายนอกแต่ลืมกลับมาเยียวยาใจ ใจเรามันให้ใครมาเติมเต็มไม่ได้ มันให้ใครมาทำให้เรามีสุขไม่ได้ ทุกคนเขาก็มีเวลาจำกัด แต่เราต้องรู้จักสุขด้วยตัวเอง สู้ด้วยตัวเอง เข้มแข็งด้วยตัวเอง จริงหรือไม่ (จริง)
อย่าไปผูกกรรมเกี่ยวกรรมด่าเขาไม่ได้เรื่องด่าเขาไม่ดี จะสร้างหน่อเนื้อแห่งกรรมวัฏฏะเวียนว่ายอีกทำไม สงบแปลว่าจบ จบแปลว่าไม่เวียนอีกต่อไปแล้ว แต่ถ้าศิษย์ยังไม่จบ ยังไม่สงบ เกี่ยวมันไป ด่ามันไป ผูกมันไป แล้วจะเจอกันอีกกี่ภพกี่ชาติ ก็เอาให้มันสะใจศิษย์ แล้วให้มันทุกข์จนเต็มที่ ถ้ามันทุกข์อย่างเต็มที่แล้วศิษย์จะเข้าใจว่า ธรรมะมันไม่ได้อยู่ที่ผู้อื่น มันอยู่ที่ใจเรา วางมันลงหรือยัง ปล่อยมันบ้างไหม หัวใจของการดับทุกข์ที่ดีที่สุดคือ ใดๆ ในโลกล้วนไม่น่ายึดมั่นถือมั่น เพราะทุกสิ่งเปลี่ยนแปรผัน ใครว่าสมบูรณ์สุด ใดเล่าดีสุด
ฉะนั้นเรากำลังวิ่งไปตามกิเลสเพื่อเวียนว่ายไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเมื่อไรเราจะหยุด ทุกข์ไม่เหนื่อยเหรอ ร้องไห้ไม่เจ็บปวดเหรอ แล้วใครทำเราเจ็บ (ตัวเราเอง)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเติมเต็มด้วยตัวเองไม่ได้เหรอ ทำไมต้องขอหน่อย รักฉันหน่อย กับการที่รักตัวเองให้เป็นและรักผู้อื่นให้เป็น อะไรดีกว่ากัน (รักตัวเอง)  อะไรอยู่กับเรา ขนาดตัวเรา ใจเรามันยังเปลี่ยนเลย แล้วกับคนที่เรารักที่สุด กับสิ่งที่เราชอบที่สุดจะไม่เปลี่ยนเหรอศิษย์ ฉะนั้นถ้าไม่อยากเจ็บ อย่าเอาใจไปฝากไว้กับใคร ถ้าไม่อยากทุกข์ อย่ายกใจให้ใคร ดูแลใจตัวเองดีไหม (ดี)  แล้วชะตาความบกพร่อง เราจะเติมเต็มด้วยตัวเองไม่ต้องรอใคร จริงหรือไม่ (จริง)
อาจารย์ถามง่ายๆ เป็นคนดีต้องมีคุณธรรมประกอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นคุณธรรมอะไรที่จะประกอบการเป็นคนดีให้เราดีได้ตลอด
(มีเมตตา)  ไม่ใช่เมตตาตัวเองแต่ไม่เมตตาคนอื่นไม่ได้นะ แล้วความเมตตาเริ่มจากอะไรรู้ไหม คำว่า “คุณธรรมแห่งความเมตตา” คือการกระทำเช่นไร คำว่า “เมตตา” คือการที่ให้โดยไม่หวังผล ให้โดยไม่เรียกร้องหวังผลตอบแทน ให้บ่อยๆ เสียสละอุทิศบ่อยๆ นั่นแหละเรียกว่าคนมีใจเมตตา เข้าใจหรือยัง ฉะนั้นอาจารย์ให้ก็แปลว่าศิษย์ต้อง (รับแล้วต้องให้ต่อ) ใช่ไหม อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์มีบุญแค่ตนเอง แต่รู้จักผูกบุญกับคนทั่วกว้าง คนที่รู้จักคิดคำนึงถึงตัวเองอย่างไม่เห็นแก่ตัวนั่นก็คือ เวลาได้ดีต้องรู้จักแบ่งปัน เมื่อเวลาเราทุกข์เราก็ไม่เดือดร้อน เพราะเราสร้างบารมีไว้เยอะแยะ เวลาได้ดีแล้วเรารู้จักแบ่งปัน ถึงเวลาเราเดือดร้อนคนเขาก็จะหันกลับมาดูแลเรา แต่ไม่ใช่เวลาเราได้ดีแล้วไปเหยียบย่ำซ้ำเติมคนอื่น
(ความกตัญญูรู้คุณ)  เกิดเป็นคนสิ่งที่สำคัญที่สุดคือกตัญญู คำว่ากตัญญู เรากตัญญูแค่กับพ่อแม่ได้ไหม (ไม่ได้)  ทุกๆ คนเราก็ควรจะรู้จักกตัญญู ทำไมรู้ไหม (เราต้องมีความกตัญญู ความรู้จักบุญคุณของคนที่มีบุญคุณกับเรา ตอบแทนท่าน)  แล้วคนที่ด่าเรามีบุญคุณไหม (ไม่มีบุญคุณ)  ศิษย์เอยคนที่เขากล้าด่าเรา กล้าว่าเรา เพราะเขารักเขาใส่ใจ ถ้าไม่ใส่ใจไม่รักเขาไม่ด่าหรอกจริงไหม (จริง)  ถามสิด่าทำไมให้เมื่อยปาก ด่าทำไมให้เขาเกลียด ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจคำว่ากตัญญูรู้คุณ ตื่นเช้ามาศิษย์จะขอบคุณทุกคนที่ทำให้ศิษย์มีชีวิต ไม่ว่าฟ้ามืดฟ้าสว่างศิษย์ก็จะขอบคุณทุกอย่าง เพราะถ้าไม่มีมืดจะไม่มีวันสว่าง ถ้าไม่มีคนร้ายจะมีคนดีหรือ ใช่ไหม ถ้าไม่มีชาวนา เราจะมีข้าวไหม ถ้าไม่มีเพื่อนแย่ เราจะรู้จักเพื่อนดีไหม แปลว่า ขอบคุณผู้มีคุณทุกคน อันนี้ถึงจะเรียกว่าเข้าถึงความกตัญญูแท้จริงใช่ไหม (ใช่)  เอาไหม เอาไปให้ใคร (เอาไปให้ลูก)  อย่าลืมเอาไปให้พ่อแม่เราบ้างนะ  รู้จักบุญคุณใช่หรือไม่ คุณธรรมมีตั้งมากมายแต่คุณธรรมที่ทำให้คนเป็นคนคืออะไรรู้ไหม (การทำความดี)  มโนธรรมสำนึก คำนี้คำเดียวครอบคลุมทุกอย่าง รู้ผิดชอบชั่วดี รู้สำนึกคุณ รู้ตอบแทนคุณ รู้อะไรผิด รู้อะไรถูก รู้ชอบรู้ไม่ชอบใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราต้องหมั่นเตือนตัวเองอยู่เสมอ ถ้าขาดสติก็เหมือนขาดใจ ถ้าขาดใจ ถ้าขาดมโนธรรมสำนึกก็ขาดความเป็นคนใช่ไหม (ใช่)
(เผื่อแผ่ให้คนที่ด้อยกว่าเรา เผื่อแผ่ให้ทุกชีวิต)  รู้จักมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เอ๋ย คนเราอยู่ในโลกมนุษย์มักคิดถึงแต่ตัวเองมากกว่าคิดถึงคนอื่น แล้วเห็นแก่ตัวเองมากกว่าเห็นแก่คนอื่นใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะสอนวิธีเห็นแก่ผู้อื่นให้ เอาไหม (เอาค่ะ เห็นแก่ตัวที่ไม่น่าเกลียด)  อาจารย์จะบอกให้ มันมีเหมือนกัน ฟังดูแล้วมันดูน่าเกลียดๆ นะอาจารย์ เห็นแก่ตัวยังมีไม่น่าเกลียดด้วยหรือ แค่คำว่าเห็นแก่ตัวก็น่าเกลียดแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เอย ยั้งคิดสักนิดหนึ่ง ไม่ใช่อะไรๆ ก็คว้าเอาหมดก่อน ทำอะไรต้องมีสติยั้งคิดก่อนที่จะตัดสินใจทำนะศิษย์ อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้ เอาไหม เห็นแก่ตัวอย่างไม่น่ารังเกียจ (ไม่ค่ะ กลับใจค่ะ)  เอาไม่เอา (ไม่เอาค่ะ)  เสียดายนะอาจารย์อยากจะบอก ไม่เอาอาจารย์ก็ไม่บอกเลยดีไหม (ไม่ดีค่ะ)  ตกลงศิษย์จะเอาหรือไม่เอา ดีหรือไม่ดีกันแน่ ตกลงเอาหรือไม่เอา (เอาค่ะ)  นี่แหละหนามนุษย์ เปลี่ยนไวยิ่งกว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก ศิษย์เอยอาจารย์จะบอกให้ เกิดเป็นคนหนีไม่พ้น ใครๆ ก็ต้องคิดถึงตัวเองเป็นหลัก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำอะไรเราก็ต้องมองตัวเองก่อนสิอาจารย์ ตัวเองยังไม่รอดเลย แล้วจะไปช่วยเหลือคนอื่นอย่างไร เป็นเรื่องยาก ใช่ไหม อาจารย์จะบอกวิธีให้ คำว่าเห็นแก่ตัว จริงๆ แล้วเป็นสิ่งที่ไม่ดีและง่ายที่จะหลงผิด แต่คำว่า คิดถึงตัวเองก่อน แล้วทำให้ไม่กลายเป็นความเห็นแก่ตัวที่น่าเกลียด นั่นก็คือ ง่ายๆ นะศิษย์ ถ้าตอนที่ศิษย์ยังอายุน้อย ถ้าเราคิดว่าโตไปจะไม่เป็นภาระของสังคม โตไปจะไม่เป็นที่เดือดร้อนให้กับผู้อื่น โตไปจะเป็นที่พึ่งให้กับพ่อแม่ ถ้าตอนเด็กคิดถึงตัวเองเยอะขนาดนี้ ตอนที่เขาพยายามจะโต เขาต้องศึกษาเล่าเรียนให้เต็มที่ ถูกไหม นี่แหละที่เรียกว่าคิดถึงตัวเองแล้วไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน เข้าใจไหม เหมือนตอนเด็กเรารู้ว่าโตไปเราจะไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน โตไปหนูจะเป็นที่พึ่งให้กับคนอื่น ถ้าเราคิดถึงตัวเองขนาดนี้ เราจะขยันเรียนไหม (ขยันเรียน)  เราจะเป็นคนดีไหม (เป็นคนดี)  นี่แหละเขาเรียกว่า คิดถึงตัวเองแบบไม่เห็นแก่ตัว ยากไหม (ไม่ยาก)  พอเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีงานมีการรับผิดชอบได้แล้ว ถ้าเราคิดถึงตัวเองอีกว่า ถ้าฉันอยู่ในโลกนี้ ฉันต้องเป็นที่รักของคนอื่น ฉันจะไม่ทำให้คนอื่นรำคาญ ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน เมื่อยามโต เราจะทำอะไรผิดต่อผู้อื่นไหม (ไม่)  นี่แหละเรียกว่าคิดถึงตัวเองแล้วไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน อย่างนี้เรียกว่าเห็นแก่ตัวไหม (ไม่เห็นแก่ตัว)  ฉะนั้นคิดถึงตัวเองแบบของอาจารย์นี้น่าเกลียดไหม (ไม่น่าเกลียด)  เหมือนกัน ถ้าเราคิดถึงตัวเองว่าตอนที่เรามี เราจะไม่ดูถูกใคร เราจะไม่เหยียดหยามใคร เราจะไม่กดขี่ข่มเหงใคร พอเวลาที่เราไม่มี เราก็จะไม่ถูกใครกดขี่ ไม่ถูกใครเหยียดหยาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรามีชีวิตเรารู้จักคิดถึงตัวเองแบบนี้ อาจารย์ถามว่าเวลาเรามี เราจะให้ใครไหม (ให้)  เวลาเรามีแล้วเจอคนแย่ เราจะดูถูกเขาไหม (ไม่)  อย่างนี้การคิดถึงตัวเองของอาจารย์น่าเกลียดไหม (ไม่น่าเกลียด)  เอาไหม (เอา)  คิดถึงแบบนี้นะ แล้วจะไม่เห็นแก่ตัว ดีไหม (ดี)  จำได้ไหม (จำได้)  อันนี้เป็นคำสอนของปราชญ์โบราณเขาสอนไว้นะ ว่าถ้าตอนเด็กคิดถึงยามโต ตอนเด็กจะมานะเล่าเรียน โตไปจะไม่เป็นที่ลำบากให้กับผู้อื่น ถ้ายามโตคิดถึงว่าแก่ตัวไปแล้วจะได้ไม่ไร้ค่า ไม่ไร้ความหมาย เมื่อยามโตจึงรู้จักแบ่งปัน ช่วยเหลือคนให้เต็มที่ เมื่อยามมั่งมีแล้วกลัวว่าตอนอดจะลำบากแล้วจะถูกคนดูถูกเหยียดหยาม เมื่อยามมั่งมีจึงรู้จักแบ่งปันช่วยเหลือ นี่แหละเป็นคำสอนของคนโบราณเขาสอนไว้นะ นี่แหละการคิดถึงตัวเองแบบไม่เห็นแก่ตัว
อาจารย์พูดวิธีการปฏิบัติเป็นคนอยู่บนโลกให้ศิษย์เรียบร้อยแล้ว ต่อไปอาจารย์ขอเข้าอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่มนุษย์หนีไม่พ้น เมื่อศึกษาบำเพ็ญและปฏิบัติได้ดีแล้ว อะไรเรียกว่าปฏิบัติได้ดี “เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน มองผู้คนไม่ละอายใจ” นี่แหละปฏิบัติได้ดี
พอปฏิบัติได้ดีแล้ว ก้าวต่อไปอีกก้าวหนึ่งคือ ทำอย่างไรให้เราพ้นทุกข์ สิ้นทุกข์ อยู่ในโลกนี้ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เป็นเด็กทุกข์ โตก็ทุกข์ แก่ก็ทุกข์ แข็งแรงก็ทุกข์ เจ็บก็ทุกข์ เสียงรถไฟดังมาก็ทุกข์ มาอีกแล้วรำคาญจังเลย ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เอย ทุกข์ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบเลยหรือ ชีวิตนี้หาสุขไม่ได้ แค่เสียงรถไฟก็ทุกข์จังเลย ไม่ได้นะ
ทุกข์มีหลายอย่างใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่อยากก็ทุกข์แล้วนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเรามารู้จักก่อนว่า ทุกข์มันคืออะไร อาจารย์เปรียบเทียบง่ายๆ เราจะเรียนรู้และเข้าใจทุกข์ได้อย่างไร อาจารย์เปรียบเทียบง่ายๆ จะได้ฟังและเข้าใจง่ายในเรื่องเกี่ยวกับธรรมและความทุกข์ ศิษย์เคยเห็นต้นไม้ไหม เมื่อไรที่เราหย่อนเมล็ดพันธุ์แห่งความอยากลงไป ต้นไม้ก็จะเติบโตออกมาเป็นต้นไม้หนึ่ง ถูกไหม เมื่อต้นไม้หนึ่งต้นเติบโตมาหนีพ้นความเจ็บ หนีพ้นแมลงกัดกิน หนีพ้นการเหยียบย่ำและหนีพ้นจากการถูกโดนลมพัดโค่นไหม (ไม่พ้น)  ฉะนั้นมันเป็นธรรมดาของต้นไม้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาต้นไม้ล้มไปเราก็เห็นว่ามันเป็นต้นไม้ต้นหนึ่ง ถูกไหม (ใช่) แต่เมื่อไรที่เราเอาตัวเข้าไปใส่ในต้นไม้ มันล้มเราก็เจ็บ มันถูกเหยียบย่ำ เราก็ทุกข์ ใช่หรือไม่ มันเปลี่ยนแปลงเราก็รับไม่ได้ แต่ถ้าเอาตัวออกล่ะ มันก็แค่ต้นไม้ ใช่ไหม ฉันใดก็ฉันนั้น ร่างกายก็ไม่ต่างอะไรกับต้นไม้ที่ต้องมีแก่ มีเจ็บ มีตาย เมื่อเราไม่เอาตัวไปยึดมั่น ความทุกข์มันดับได้ทันทีแค่เรามองเห็น มันเป็นแค่ต้นไม้ ไม่ใช่ตัวเรา
อาจารย์ถามหน่อย ถ้าไม่มีคำว่าตัวเรา อาจารย์ต่างอะไรกับต้นไม้ไหม มีเกิด (มีแก่ มีเจ็บ มีตาย)  ใช่ไหม มันเป็นธรรมชาติของต้นไม้ที่เรียกว่าสัจธรรม ถูกไหม (ถูก) มันเป็นต้นไม้ ใช่ไหม (ใช่)  ต้นไม้มันเป็นธรรมชาติ แล้วหนังหน้านี้ ตัวนี้ ต่างอะไรกับต้นไม้ที่มันเจ็บ เพราะเรายึดต้นไม้ว่าเป็นของเรา ที่เราทุกข์ ที่เราดิ้นทุรนทุราย เพราะเรายึดต้นไม้ว่าเป็นเรา ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามหน่อยต้นไม้มันไม่มีวันตายหรือ (มี)  มันไม่มีวันเจ็บหรือ (มี)  มันไม่มีวันเปลี่ยนแปลงหรือ (มี)  ฉะนั้นเราไม่ยึด เราแค่รับรู้ ไม่เกาะเกี่ยว ไม่ผูกพัน จิตกับสังขารจะแยกทันที กายเจ็บ ใจไม่เจ็บ กายทุกข์ตามกระบวนการของสัจธรรม แต่ใจไม่ทุกข์ตามกระบวนการสัจธรรม จริงไหม (จริง)  เราเคยแยกมันออกบ้างไหม (ไม่)  เมื่อศิษย์ยังแยกไม่ออก ฉะนั้นเราจึงมีความเจ็บเป็นธรรมดา แล้วเรายังหย่อนความอยากลงไปในต้นไม้ว่าศิษย์อยากมีดอก ศิษย์อยากมีผล ศิษย์อยากสูงใหญ่ใช่ไหม (ใช่)  พอพยายามจะมีดอก แต่มีดอกไม่ได้ หรือมีดอกแล้วมีปัญหาเจ็บไหม  (เจ็บ)  พยายามจะมีผล มีผลไม่ได้เจ็บไหม (เจ็บ)  แล้วเพิ่มเจ็บกี่เจ็บ เจ็บกับดอก เจ็บกับผล แล้วเจ็บกับความเป็นตัวตนธรรมดาของต้นไม้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเรายึดมันทุกอย่างพอยึดเสร็จแล้วเราก็อยาก อยากเป็นนั่นอยากเป็นนี่ ต้นไม้มันก็ต้องออกดอก ออกกิ่ง ออกใบ พอโดนดูถูกหน่อยศิษย์รับได้ไหม (ไม่ได้)
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมท่านหนึ่งออกมายืนถือดอกไม้ในมือในมือหนึ่ง และถือสับปะรดอีกมือหนึ่ง)
เหมือนกันชีวิตมันก็มีอยู่แค่นี้ แต่มนุษย์ไม่เคยพอ เมื่อเรายึดต้นไม้เราก็พยายามสร้างสิ่งต่างๆ ตามความอยาก เช่นอยากได้ดีก็พยายามมีผลไม้ อยากได้ดีก็พยายามมีดอกไม้ ใช่ไหม (ใช่)  เราเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง จริงไหม (จริง)  เรามีความทุกข์ตามความเป็นจริงของสัจธรรมคือ แก่ เจ็บ ตาย แต่เรายังไม่พอศิษย์ยังอยากอีก ทำให้ตัวเองโดดเด่น สวยเลอเลิศ แต่พอโดนคนดูถูกเหยียดหยามเจ็บไหม (เจ็บ)  แต่ผู้ชายไม่แค่นั้น ต้องมียศฐา ต้องมีบรรดาศักดิ์ ต้องมีผลพวง ต้องมีผลประโยชน์ แล้วผลพวงมันเกิดปัญหา  เกิดทุกข์เจ็บไหม (เจ็บ)  ศิษย์เจ็บไม่พอหรือ มีเจ็บตามความเป็นจริงของสังขาร เรายังหาเรื่องเจ็บอย่างโน้นเจ็บอย่างนี้อีกใช่ไหม (ใช่)  แล้วศิษย์รู้หรือไม่ว่าถ้าศิษย์ตายไปทั้งที่ศิษย์ยังไม่สามารถหยุดเหตุของความอยากได้ เมล็ดพันธุ์ของต้นไม้นี้ก็จะรอเหตุปัจจัยเพื่อเติบโตอีกในภพภูมิต่อไป แต่ถ้าเมื่อไรเราหยุด แล้วมีชีวิตอยู่ตามความเป็นจริง ได้แค่ไหนแค่นั้น ไม่อยาก เราเจ็บแค่อย่างเดียวคือตามสังขารแต่ไม่เจ็บปวดจิตใจ ไม่ยากนะ อาจารย์พยายามเทียบให้ง่ายที่สุดแล้วจริงไหม (จริง)  แต่มนุษย์เคยหยุดได้บ้างไหม แล้วเรายังต้องเจ็บอีกเท่าไหร่ศิษย์ ความทุกข์มันสอนให้เราอย่าเผลอยึดมัน มันทุกข์แล้วยึดทำไม ใช่ไหม (ใช่)  มีทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป ใครหลงว่าสุขมันคือสุขที่จริง ในโลกนี้ไม่มีทุกข์แท้ ไม่มีสุขจริง คนที่ติดอยู่ในสุขนั่นคือคนที่ไม่มองความจริงอย่างถึงที่สุด รู้แล้วไม่ถึงที่สุดก็เรียกว่าไม่รู้ ใช่ไหม (ใช่)  รู้อย่างไม่เข้าใจก็เหมือนคนไม่รู้ไม่เข้าใจ แล้วเราจะดับทุกข์ได้อย่างไร ไม่โลภใช่ไหม (ถ้าเราไม่โลภไม่โกรธไม่หลง จะไม่ทุกข์)  อาจารย์ให้ทั้งสับปะรดและดอกไม้เอาไหม (ถ้าอาจารย์เต็มใจให้ ลูกศิษย์ก็รับ)  อาจารย์เห็นมานักต่อนักแล้ว ที่พูดมานี่พอถึงเวลาก็เอา ใช่ไหม ศิษย์เอย ถ้าศิษย์รู้ว่าทำถึงที่สุด ได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร นี่แหละโลภ โกรธ หลง มันก็ครอบงำใจไม่ได้ ทำให้ดีที่สุด ได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แล้วความทุกข์มันจะมาครอบงำใจศิษย์ไม่ได้เลย จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่ทุกข์มันทำให้เราจำแล้วอย่าทุกข์กับมัน เหมือนที่อาจารย์ชอบพูดว่าถ้าความทุกข์เป็นสับปะรด เอาไม่เอา (ไม่เอา)  ถ้าความทุกข์เป็นดอกไม้ เอาไม่เอา (ไม่เอา)  อาจารย์ให้ เอาไม่เอา (ถ้าคิดว่าเป็นทุกข์ไม่เอา)  ศิษย์เอย ศิษย์เคยได้ยินไหม คนฉลาดแปรทุกข์เป็นทางพ้นทุกข์ และแปรทุกข์เป็นหนทางพบความสงบที่แท้จริง ทุกข์หรือสุขมันไม่ได้อยู่ที่คนอื่นกำหนด แต่มันอยู่ที่ตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่ากลัวคนอื่นแต่จงกลัวใจตัวเองว่า มีอย่างไรไม่ให้ทุกข์ จริงไหม (จริง)  ในโลกนี้ไม่ใช่มีหรือไร้หรอกที่สุขหรือทุกข์ แต่มันอยู่ที่เรารู้สึกกับสิ่งที่มีและไร้อย่างไร
คนเราถ้ารู้จักดำเนินชีวิตได้ดีก็เท่ากับช่วยผู้อื่นครึ่งหนึ่ง ถ้าคนเรารู้จักมีสุข เราก็ทำให้คนอื่นมีสุข แต่ถ้าตัวเรามีทุกข์ เราก็ทำคนอื่นมีทุกข์ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นทุกข์สุขไม่น่ากลัวที่คำพูด แต่ทุกข์สุขอยู่ที่เรามีและจัดการมันอย่างไร
(พระอาจารย์เมตตาแจกผลไม้ให้นักเรียน)
แค่ต้องถือเยอะขนาดนี้ก็ทุกข์แล้วจริงไหม ฉะนั้นทางที่ดีที่สุดทำอย่างไร แก้ทุกข์ได้ทันทีเลย (วางครับ)  วางไม่สู้กับทำให้ก่อเกิดบุญให้มากที่สุด ถ้ารู้ว่าสังขารมันเป็นทุกข์ ปล่อยวางมันไม่มีประโยชน์ สู้เอาสังขารที่ทุกข์นั้น ไปสร้างบุญที่เรียกว่าคุณธรรมแห่งผู้ประเสริฐ วางไว้มันไม่มีประโยชน์ ต้องทำอย่างไร (ให้คนอื่นครับ)  ไปเลย จะได้ไม่ต้องถือ อาจารย์ให้ปฏิบัติทันทีเลย ใช่ไหม ถ้ารู้ว่ามันทุกข์ ทำอย่างไรล่ะ เราก็ต้องจัดการมันให้เกิดประโยชน์สูงสูด ใช่หรือไม่ แปรเปลี่ยนคุณธรรม แปรเปลี่ยนเป็นอะไรที่ทำให้เราไม่ต้องทุกข์กับมันอีกต่อไป ฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่า ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือใจที่ไม่รู้จักเข้าใจในความทุกข์ ศิษย์เป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้าใช่ไหม พระพุทธเจ้าเอาทุกข์มาทำให้กลายเป็นพระพุทธะ แล้วศิษย์ล่ะ ทำไมไม่เอาทุกข์เป็นบันไดก้าวสู่ความเป็นพุทธะเล่า จริงไหม (จริง)  ทำไมเอาแต่ทุกข์แล้วก็จมในทุกข์ แล้วก็เกลียดทุกข์ ทำไมไม่แปรเปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นหนทางพ้นทุกข์ จริงไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “มโนสำนึก”)
คนจะทำดีได้ถึงที่สุด ถ้าไม่ขาดมโนธรรมสำนึก ใช่หรือไม่ (ใช่ครับ)  รู้ผิดชอบชั่วดี มีจิตสำนึกแห่งความถูกต้อง ถ้ารู้ผิดชอบชั่วดีมีจิตสำนึกแห่งความถูกต้องอยู่เสมอว่าเราต้องใฝ่ดี มีมโนธรรมสำนึกรู้ผิดรู้ชอบตลอด เราต้องปฏิบัติเป็นคนดี การจะก้าวพลาดก็เป็นเรื่องยาก จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้ามีโอกาสอาจารย์คงได้มาผูกบุญกับศิษย์อีกดีไหม (ดี)
“รู้ดีแต่ไม่ยอมทำ      เป็นกรรมใกล้เกลือกินด่าง
เป็นคนนั้นดีทุกอย่าง  แต่ต่างคนต่างอยู่ไป
มัวแต่เข้าข้างตัวเอง   ยิ่งเร่งยิ่งทำไม่ได้
ให้ฟ้าตักเตือนมากมาย         ไม่เท่าเจ้าเตือนตัวเอง”
อย่ารู้ดีแต่ไม่ยอมทำนะ ไม่อย่างนั้นจะเป็นการใกล้เกลือกินด่าง ถูกไหม (ถูก)  เป็นคนนั้นดีทุกอย่างแต่ต่างคนต่างอยู่มันไม่ดี บางทีเราต้องรู้จักมีน้ำใจช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ใช่ไหม (ใช่)  จำคำอาจารย์ไว้นะศิษย์เอย ย้อนมองแก้ไขตัวเองเป็นยารักษาใจ พยายามมองหาความดีของผู้อื่นเป็นยาปรับอารมณ์เรา ให้ไม่โมโห ไม่ให้เกลียด ไม่ให้ก่อกรรม ฉะนั้นการฝึกฝนบำเพ็ญธรรมคือย้อนมองส่องตน ทำตัวเองให้ถูกต้องและดีงาม เพื่อจะได้นำพาชีวิตตัวเองไม่ทุกข์แล้วทุกข์อีก ดีหรือไม่ (ดี)  ตัวเองปฏิบัติได้ดีก็เท่ากับได้ช่วยคนอื่น ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เมื่อตัวเองมีสุข เราก็ทำให้คนอื่นมีสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเมื่อไรเรายังมีทุกข์ เราก็ทำให้คนอื่นเขาทุกข์ด้วย จริงหรือไหม (จริง)
ขอให้ศิษย์นำไปปฏิบัติ ชีวิตนี้อย่าจมอยู่กับความอยากแล้วสร้างวัฏฏะเวียนว่ายไม่จบสิ้น จงมีสติยั้งคิดก่อนจะอยาก ว่าอยากไปแล้วมันก่อให้เกิดกรรม เพิ่มทุกข์เพิ่มการเวียนว่ายไหม ถ้ามันเพิ่มทุกข์เพิ่มเวียนว่าย หยุดก่อนอยากด้วยการทำวันนี้ให้ดีที่สุด วันนี้ทำได้ดีแล้ว วันข้างหน้าไม่เป็นไร แต่มนุษย์ไม่ใช่ เพราะห่วงแต่วันข้างหน้าจนลืมทำวันนี้ดีหรือยัง ใช่ไหม (ใช่)  พุทธะสอนว่ามีแค่ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ทำให้ดีที่สุด พรุ่งนี้ไม่ต้องกลัว จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนนะศิษย์ มุ่งมั่นทำในสิ่งถูกต้อง มุ่งมั่นรักษาความดีงามจนตราบลมหายใจสุดท้าย อย่าเอาความโกรธ ความเกลียด ความโลภ มาเกี่ยวกรรมแล้วสร้างวัฏฏะแห่งทุกข์ไม่จบสิ้น จงเป็นผู้ที่ใจกว้าง อภัย ใจเย็น สงบ มีสติ ทำอะไรรู้จักยั้งคิด ไม่ตกเป็นทาสของบุหรี่ อบายมุข หวย ไม่เอานะศิษย์ ใช่ไหม โชคลาภมันอยู่ที่ตัวเราแปรเปลี่ยนความคิดได้ สิ่งที่เลวร้ายก็กลายเป็นโชควาสนา ใช่หรือไม่ อาจารย์บอกวิธีไปหมดแล้ว จริงไหม ตอนนี้เหลือแต่ศิษย์อย่ามัวแต่ก้มหน้า แต่เงยหน้าแล้วทำให้ดีที่สุด ใช่ไหม (ใช่)
เลือกทางสว่าง อย่าเลือกทางมืด เมื่อไหร่ที่โดนกระทบ จำไว้ว่าจะเกี่ยวกรรมหรือจบเวรจบกรรม หรือไม่มีอะไร ว่างเปล่า อาจารย์สอนศิษย์นะ ถ้าโกรธก็เกี่ยวกรรม ถ้าคิดแค่เพียงดี ละลายหนี้กรรม มันก็ยังมีตัวตนให้ต้องทุกข์ แต่สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นมีความดับ มันเกิดแล้วมันก็จบไปแล้ว แต่ที่ไม่จบคือใจที่ยึดมั่นถือมั่นแล้วบังเกิดทุกข์ ถ้าไม่จบก็เกี่ยวกรรมกันต่อไป ถ้าไม่จบมันก็กลายเป็นไฟเผาลนใจ ฉะนั้นเมื่อโดนกระทบจงจำคำพูดอาจารย์ไว้ จะเกี่ยวกรรม จะจบกรรมหรือไม่มีอะไร ไม่มีอะไรก็คือเข้าถึงความว่าง ไร้ตัวตนให้ยึดถือ นั่นแหละเรียกว่าพระนิพพาน ใช่ไหม (ใช่)
มีโอกาสอาจารย์คงได้มาผูกบุญกับศิษย์อีกนะ แต่ศิษย์จงให้โอกาสตัวเองกลับมาผูกบุญกับอาจารย์บ้างนะ ดีไหม (ดี)  ธรรมะช่วยเยียวยาจิตใจ ธรรมะช่วยย้ำเตือนใจไม่ให้เราโลภ โกรธ หลงและเวียนว่ายในวัฏสงสารนี้ไม่จบสิ้น จงตื่นขึ้นแล้วมองเห็นความจริง อย่าทุกข์กับโลกใบนี้แต่จงรู้จักแปรทุกข์ให้เป็นหนทางพ้นทุกข์ ได้ไหมศิษย์เอย อาจารย์ไปแล้วนะ ไม่อยากจากแต่ก็ต้องจาก มีโอกาสกลับมาอีกนะ
เข้มแข็งนะ อะไรจะเกิดก็ขอให้สู้นะ ตั้งใจศึกษาบำเพ็ญ นำธรรมะมาเยียวยาใจให้ใจมีหนทางที่สว่างและหาทางพ้นทุกข์ด้วยตัวเอง ไม่ตกเป็นทาสของอบายมุข ไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์นะศิษย์เอย ได้ไหม (ได้)  เมื่อไร้ตัวตนให้ยึดถือ ความทุกข์อยู่ที่ใด

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “มโนสำนึก”
    รู้ดีแต่ไม่ยอมทำ                               เป็นกรรมใกล้เกลือกินด่าง
เป็นคนนั้นดีทุกอย่าง                              แต่ต่างคนต่างอยู่ไป
มัวแต่เข้าข้างตัวเอง                               ยิ่งเร่งยิ่งทำไม่ได้
ให้ฟ้าตักเตือนมากมาย                            ไม่เท่าเจ้าเตือนตัวเอง

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2560

2560-03-18 สถานธรรมสิงเต๋อ จ.พะเยา

西元二〇一七年嵗次丁酉二月二十一日        仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐             สถานธรรมสิงเต๋อ จ.พะเยา
พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง 
  ความคิดผิดทำคนจมห้วงแห่งทุกข์        ความคิดถูกนำคนสุขได้ฉันนั้น
เมื่อพ้นจากความคิดทั้งสองด้าน              คือหนทางบริสุทธิ์อันแท้จริง
      
      เราคือ
  ต้าเซี่ยวฝอถง                                    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา            ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                ถามเมธีทุกท่าน หายง่วงไหม
  จิตคนตื่นไม่ใจดำทำเรื่องแย่                 ลืมตาแต่ว่าตื่นรู้ในจิตไหม
คนมีเรื่องเรื่องเอาตัวเองเป็นใหญ่            จะพูดผิดถูกก็ได้อยู่ที่เจตนา
ยอมจบไม่ไปมองจับผิดฝังจำ                 การบำเพ็ญธรรมย้อนตนแบบซึ่งซึ่งหน้า
เมื่อไม่สิ้นกรรมเวรโดนบ่นโดนว่า            ธรรมเป็นอาจิณเมื่อมีมาก็มีไป
คนกลับดินผืนแห่งจิตคืนกลับฟ้า             ข้างหน้าเหลือแต่บาปกรรมการเวียนว่าย
สติบังเกิดดั่งประกายแสงรู้ตื่นกว้างไกล    แค่รู้สำนึกไฟดับได้ในใจตน
บอกให้ปล่อยอย่าไปยึดถือยึดมั่น           คุณค่าไร้ต้องตั้งมั่นหมั่นฝึกฝน
เหมือนดั่งฝุ่นจักเป็นดินต้องเปี่ยมล้น        ทั่งหมั่นฝนคอยไม่มีโชคใดใด
                                                                                             ฮิ  ฮิ  หยุด
พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง 
       “ความคิดผิดทำคนจมห้วงแห่งทุกข์     ความคิดถูกนำคนสุขได้ฉันนั้น
        เมื่อพ้นจากความคิดทั้งสองด้าน       คือหนทางบริสุทธิ์อันแท้จริง”
มีคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวว่า “หินหนักเมื่อคิดจะแบกฉันใด ความยึดมั่นถือมั่นในความคิดที่ปล่อยวางไม่ได้ ถ้าเรายังปล่อยวางไม่ได้มันก็หนัก
ฉันนั้น” ถ้าเรายึดกับความคิดอยู่ เรานั่งตรงนี้เราก็จะหนักเราก็จะทุกข์ แต่ถ้าเราบอกว่า “อืม ช่างมันอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด”  เราฟังธรรมเพื่อเบาบาง เพื่อทำให้เกิดความสบายใจ ไม่ทุกข์ใจไม่ใช่หรือ แล้วทำไมยิ่งฟังยิ่งทุกข์ ตกลงท่านกำลังฟังธรรมหรือท่านกำลังจมกับความคิดตัวเอง (กำลังฟังธรรม)  เพื่อเบาบางใช่ไหม เพื่อโปร่งโล่งสบายใช่ไหม แต่รู้สึกว่ายิ่งฟังทำไมยิ่งหนัก

ฉะนั้นเรามาฟังธรรมเพื่อจางคลายความยึดมั่นถือมั่น เพื่อรู้จักละรู้จักปลดปลงและปล่อยวางบ้าง ใช่ไหม (ใช่)  มาฟังธรรมเพื่อศึกษาปฏิบัติธรรม ไม่ใช่มาฟังธรรมเพื่อกลับไปเป็นตัวเองเหมือนเดิมที่ไม่เคยฟังใคร ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
ธรรมะเคยสอนไว้ไม่ใช่หรือว่าให้เรารู้จักรักษาความเป็นกลาง ใช่ไหม (ใช่)  เอียงเข้าข้างตัวเองก็หลงผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอียงเข้าข้างด่าผู้อื่นก็หลงผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราต้องอยู่ตรงกลาง อะไรจะเกิดก็ดี ใช่ไหม (ใช่) 
ทุกท่านล้วนเป็นผู้ที่ใฝ่ปฏิบัติดี ประพฤติดีให้ถึงที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) และทุกท่านก็เป็นผู้หนึ่งที่สนใจในการศึกษาเรื่องหลักธรรมใช่หรือไม่ (ใช่) เช่นนั้นเรามาขอเรียนรู้ศึกษาหลักธรรมร่วมกับท่านได้หรือไม่ หลักธรรมที่ไม่ได้แบ่งแยกพุทธ คริสต์ อิสลาม เป็นธรรมอย่างเดียว หากพูดถึงธรรมแล้วเป็นกลางไม่มีการแบ่งแยก ไม่ว่าศาสนาไหน ธรรมนั้นก็สามารถเอาไปประพฤติปฏิบัติได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นสิ่งที่เรามาศึกษากันวันนี้คือหลักธรรมในการดำเนินชีวิต  ในการประพฤติปฏิบัติในการเป็นคนดีให้ถึงที่สุด ศึกษาแล้วเอาไปปฏิบัติเพื่อหาทางพ้นทุกข์โดยที่ไม่เกี่ยวกับศาสนาหรือลัทธิใด คือหลักธรรมอันเป็นกลางไม่เป็นของใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างนั้นเราขอถามสักข้อสองข้อ ว่า ธรรมะสอนให้เราหลงหรือเปล่า (ไม่)  แล้วทำไมเราถึงบอกว่า “วัดนั้นมีพระดี มีหลวงพ่อชื่อดัง ขอไปไหว้วัดนั้น  แต่วัดนี้ไม่มีชื่อ ไม่มีอะไรดัง เราไม่ไปไหว้ไม่ไปปฏิบัติธรรม” ตกลงธรรมสอนให้เราหลง ให้เรายึด หรือสอนให้เราไม่หลงยึด  (ไม่ให้หลง ไม่ให้ยึด)  เราไปไหว้พระเพื่อนำธรรมมาปฏิบัติ หรือไปไหว้เพราะ ท่านเป็นเกจิอาจารย์ชื่อดัง “ก็แหมท่านดังขนาดนี้ก็ต้องไปไหว้เป็นอาจารย์หน่อย” ใช่ไหม ใครที่ไม่ดังก็ไม่ต้องไหว้เป็นอาจารย์ ใช่ไหม (ไม่ใช่) 

ถ้าท่านเป็นคนหนึ่งที่สนใจใคร่ศึกษาปฏิบัติ ทำให้ถูกต้อง อย่างนั้นเราใคร่ขอถามหน่อยว่า ธรรมสอนให้เราหลงหรือไม่หลง (ไม่หลง)  ถ้าอย่างนั้นถ้าไปไหว้แล้วหลง  เรากำลังปฏิบัติถูกทางหรือผิดทาง (ผิดทาง)  ธรรมสอนให้เราคลายความยึดมั่นหรือหลงยึดมั่นถือมั่น เวลาที่เราไปไหว้พระ เราไหว้แล้วขอหรือไม่ (ขอ)  แล้วตกลงเราไปไหว้พระหรือปฏิบัติธรรมเพื่อคลายความยึดมั่นถือมั่น ไม่ลุ่มหลงหรือไปลุ่มหลงยึดมั่นถือมั่น ถ้าท่านคือคนหนึ่งที่สนใจในการศึกษาหลักธรรม ท่านคือคนหนึ่งที่สนใจศึกษาในการปฏิบัติธรรมให้ถึงที่สุด  ธรรมสอนให้ละหรือธรรมสอนให้ยึด  ธรรมสอนให้หลงหรือ ธรรมสอนให้เราปล่อยวางและปลดปลง (ปล่อยวาง)  อย่างนั้นตอนนี้เราหลงหรือเรายึด ใช่ไหม ท่านพูดว่า “ ที่ที่จะไปปฏิบัติ ไปไหว้ไม่เห็นมีชื่อเสียงเลย ไม่เห็นมีอะไรศักดิ์สิทธิ์เลย ไม่ไปไหว้แล้ว”  ตกลงเราศึกษาปฏิบัติดีหรือเรากำลังศึกษาปฏิบัติเพื่อหลงยึดถือ ถูกไหม อย่างนั้นเราถามหน่อยนะว่า เราเป็นคนหนึ่งที่รักการปฏิบัติธรรม รักการปฏิบัติดี เวลาเจอคนที่ปฏิบัติไม่ดี เราจะด่าเขาหรือไม่  จะแช่งหรือจะโกรธเขาหรือไม่ ไม่โกรธ ใช่ไหม อย่างนั้นเราขอถามผู้ที่ใคร่ศึกษาปฏิบัติธรรมแล้วมุ่งที่จะปฏิบัติดีหน่อย ว่า เมื่อเวลาตัวเองปฏิบัติดีแล้วเจอคนปฏิบัติไม่ดี เราจะด่าเขาหรือไม่ จะโกรธหรือจะบ่นเขาหรือไม่  ถ้าเรามุ่งปฏิบัติดี เราจะสนใจคนอื่นทำไม อย่างนั้นถามหน่อย คนที่ปฏิบัติดี เวลาโดนคนอื่นว่า ว่าไม่ดี โกรธไหม (ไม่โกรธ)  น้อยใจหรือไม่ (ไม่น้อยใจ)  เลิกทำดีไหม (ไม่เลิก)
ถ้าเช่นนั้นคนที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจะเป็นแบบนี้ไหม “ทุกคนต้องมีหน้าที่ทำดีให้กับฉัน ใครไม่ดีไม่ได้เรื่อง บอกว่าแกมันไม่ดี” ใช่ไหม  คนที่ใฝ่ดีปฏิบัติดีมักจะติดอยู่อย่างหนึ่งว่าทุกคนมีหน้าที่ต้องทำดีกับฉัน ถ้าใครทำไม่ดี คนนั้นก็ผิด คนนั้นเลว ใช่ไหม นี่คือผู้ปฏิบัติธรรมที่ใฝ่ดี ใช่ไหม (ไม่ใช่)  แต่เราเป็นอย่างนี้กันทั้งนั้น เราพูดว่าเราปฏิบัติดี เราชอบสิ่งที่ดี แต่พอเรายึดสิ่งที่ดีมากเกินไป แล้วเราไปต่อว่าคนอื่น นั่นใช่หนทางของการปฏิบัติที่ถูกต้องไหม (ไม่ถูก)  ท่านนับถือพระพุทธเจ้าไหม เวลาโดนพระเทวทัตว่ากล่าว หรือโดนคนใส่ร้ายพระพุทธเจ้าเคยย้อนด่ากลับไหม (ไม่เคย)  แล้วพระพุทธเจ้าเคยแช่งชักหักกระดูกเขาไหม (ไม่เคย)  แล้วพระพุทธเจ้าเคยเคียดแค้นชิงชังเขาไหม (ไม่เคย)  พระพุทธเจ้าเคยบอกว่า “พวกเธอต้องดีกับฉัน” ไหม (ไม่เคย)  อย่างนั้นท่านเป็นศิษย์ของพระพุทธองค์ไหม ท่านทำเหมือนกันไหม
ใครๆ ก็อยากทำดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราต้องไม่หลงทาง ท่านต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า หลักธรรมโดยทั่วไปไม่เคยสอนให้คนหลง แต่มนุษย์มักจะหลงกับการปฏิบัติธรรม ถูกหรือไม่ (ถูก)  หลักธรรมโดยทั่วไปไม่สอนให้มนุษย์ยึดติดแบ่งแยก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์ชอบแบ่งแยกและยึดติด (ถูกหรือไม่)  แปลว่าหลักธรรมสอนให้เราเข้าใจชีวิต มองตามความเป็นจริง  และเรียนรู้ที่จะนำมาศึกษาและปฏิบัติดี จุดประสงค์ใหญ่ในการที่เราศึกษาธรรม หนึ่งก็คือเพื่อไม่ตกเป็นทาสของกิเลส เพื่อจะได้ไม่ต้องทุกข์บนโลกใบนี้ เพื่อสามารถพ้นทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นที่เราทำดีก็เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำดีเราทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ถ้าทำแล้ว ตรวจสอบแล้ว ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ปฏิบัติถูกต้องต่อผู้คน ถึงเวลาผลจะเป็นอย่างไรไม่ต้องทุกข์  แต่ถ้าทำแล้วศีลก็ยังขาด ธรรมก็ยังปฏิบัติไม่ชอบ มองฟ้าก็ไม่เต็มตา มองดินก็ละอายใจ อย่างนี้แปลว่ายังปฏิบัติไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าปฏิบัติดี รับผิดชอบต่อหน้าที่ ดำรงตนแห่งความเป็นคนได้ถูกต้อง มีความซื่อตรง มีมโนธรรม มีจริยธรรม ทำได้ดีแล้วถึงที่สุดเราก็ต้องปล่อยวาง ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือเรียกว่าคลายจางไม่ยึดถือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเราทำดีแล้วต้องหวังคนชมว่าดีไหม  เมื่อเราทำดีหวังผลว่าต้องได้ดีไหม (ไม่หวัง)
การปฎิบัติธรรมคือการพ้นทุกข์ แล้วเราจะพ้นทุกข์ได้อย่างไรถ้าเรายังมีกิเลสแห่งความโลภและหลง ใช่หรือไม่ เพราะถ้าทำดีแล้วหวังผลก็แปลว่าเรายังโลภยังยึดติด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมที่แท้จริงนั้นทำแล้วต้องไม่ยึดถือเพราะถ้ายึดถือแปลว่าเราอยากจะมีตัวตนเพื่อกลับไปรับผลบุญแห่งการกระทำนั้นหรือพูดง่ายๆ ก็คือเราอยากกลับไปเวียนว่ายตายเกิดเพื่อรับผลแห่งการกระทำนั้นอีกหรือ แล้วบุญที่ทำมันพอที่จะทำให้เรากลับมารับบุญที่สมบูรณ์ไหม เราทำบุญถึงแค่ทานบารมี แล้วปัญญาเราทำถึงไหม เราทำบุญแค่ให้ทาน แต่ศีลธรรมเราครบไหม แล้วเรามั่นใจหรือว่าการทำของเราเพื่อจะกลับมารับผลบุญจะทำให้เราได้รับบุญที่ครบสมบูรณ์ ฉะนั้นท่านต้องเข้าใจหลักธรรมให้ถ่องแท้เพราะธรรมที่แท้จริงไม่ได้สอนให้คนหลง แต่คนมักหลงต่อการปฏิบัติธรรม ธรรมไม่ได้สอนให้คนยึดแต่คนมักจะยึดมั่นจนปฏิบัติธรรมผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นธรรมจึงสอนให้เราคลายจางจากความยึดถือและทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์และดีที่สุด และมองให้เห็นความเป็นจริงอันเป็นความธรรมดาที่เรียกว่าธรรม แต่เรามองไม่ค่อยเห็น
ท่านเคยได้ยินสำนวนสำนวนหนึ่งไหมว่า “เมื่อพระอาทิตย์ฉายส่อง จันทราใช่จะลาลับ” หมายความว่า เมื่อเราเห็นสิ่งหนึ่งเกิด ใช่ว่าอีกสิ่งหนึ่งจะไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนดั่งคำว่า “เมื่อมีสุขก็ต้องมีทุกข์” แยกกันเป็นสองสิ่งไหม ก็ไม่แยก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในบางครั้งก็อาจจะอยู่ที่เดียวกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกันที่มนุษย์ชอบพูดว่า เมื่อมีฟ้าก็ต้องมี (ดิน)  ฉะนั้นเมื่อมีสิ่งที่สูงก็ต้องมีสิ่งที่ (ต่ำ)  ส่วนมนุษย์นั้นอยู่ระหว่างกลางระหว่างสูงและต่ำ  ฉะนั้นถ้าเราดำรงความเป็นคนได้อย่างถูกต้อง ไม่ว่าสูงหรือต่ำ เราก็อยู่ได้  แต่มนุษย์ไม่ใช่อย่างนั้น ทำไมธรรมจึงสอนให้เราเป็นกลาง ถ้าตัวเราเป็นกลาง ทุกสิ่งก็เป็นกลาง แต่ใจเราไม่เคยกลาง ใช่ไหม (ใช่)  บอกว่าเขาไม่ดี บอกว่าเขาแย่ บอกว่าเขานิสัยเสีย บอกว่าเขาเห็นแก่ตัว บอกว่าเขาเห็นแก่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็ทุกสิ่งที่เกิดล้วนเป็นธรรมอันเป็นธรรมดา ถ้าเข้าใจธรรมก็เข้าใจธรรมชาติของชีวิต  ฉะนั้นเมื่อมีสูงก็มีต่ำ และมีสูงก็ต้องมีสูงกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราไม่ยึดติดความคิดตัวเอง เราก็จะเห็นสิ่งที่สูงกว่าและสิ่งที่ต่ำกว่าจริงไหม (จริง)  แล้วเราจะรังเกียจสิ่งที่ต่ำไหม (ไม่รังเกียจ)  เพราะถ้าไม่มีต่ำก็ไม่มีสูง ถ้าไม่มีแย่อย่างเขาแล้วจะมีดีอย่างเราไหม  ฉะนั้นการเรียนรู้หลักธรรมจึงไม่ใช่เป็นไปเพื่อยึด แต่เป็นไปเพื่อคลายจางและเข้าใจความเป็นจริงจนบังเกิดธรรม  ขอเพียงท่านเปิดใจให้กว้างและกล้ายอมรับความจริงต่อชีวิตและการกระทำของตน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ลองย้อนมองดู ไม่มีใครร้าย ไม่มีใครน่ารังเกียจและไม่มีใครน่ารักเกินไป แต่คนที่ร้ายและคนที่น่ารังเกียจ และคนที่น่ารักคือตัวเราที่หาเหาใส่หัวทั้งนั้นเลย ถ้าความคิดมันบริสุทธิ์ทุกคนก็ดีหมด  แต่ถ้าความคิดมันคอยจับผิดมองแง่ดีแง่ร้ายทุกคนก็มีข้อให้ตำหนิหมด ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราเปิดใจกว้างและกล้ายอมรับความเป็นจริงต่อชีวิตและการกระทำของตน และพร้อมจะมองตัวเองก่อนที่จะไปว่าใคร เราจะเข้าใจว่าไม่มีใครน่ารังเกียจเพราะตัวเราก็เคยน่ารังเกียจมาก่อน ไม่มีใครร้ายเพราะตัวเราก็เคยร้ายมาก่อนและไม่มีวันที่เราจะทำใครเจ็บเพราะเราเคยเจ็บมาก่อน เราเคยเจ็บต่อการดูถูกยังไง เราเคยเจ็บต่อการอกหักยังไง เราก็จะไม่หักอกใคร ใช่ไหม เราเคยเจ็บปวดต่อการที่ถูกคนข่มเหงเอาเปรียบ เอาแต่ใจ เอาแต่ได้ อย่างไรเราก็จะไม่เอาเปรียบ เอาแต่ใจ เอาแต่ได้กับใคร ใช่ไหม และถ้าเราเข้าใจอีกก้าวหนึ่งว่าการที่เราพยายามรักษาความดีของเรามากแค่ไหน ก็เป็นการที่ทำให้เรารู้ว่า คนที่ตรงข้ามกับความคิดเราคือคนเลว ใช่ไหม (ไม่ใช่) 
การที่พยายามยึดว่าเราเป็นคนดีมากแค่ไหนก็เท่ากับว่าเรากำลังสร้างคนไม่ดี มากเท่านั้น ใช่ไหม “ก็หนูอยากเป็นคนดี หนูอยากทำดี ก็หนูหวังดี” แต่เชื่อไหมว่าความดีที่ท่านมีอยู่ ยิ่งมากเท่าไรมันก็ยิ่งปรากฏให้คนอื่นกลายเป็นคนไม่ดีโดยที่ตัวท่านเป็นคนตัดสิน ในเมื่อไม่ชอบให้ใครมาตัดสินแล้วใยท่านจึงตัดสินผู้คนด้วยความคิดเข้าข้างตน  ฉะนั้นยิ่งถ้าท่านศึกษาธรรมมากเท่าไร ยิ่งถ้าท่านเข้าใจหลักธรรมมากเท่าไร ท่านเชื่อไหมว่าท่านจะสิ้นกิเลสโดยที่ไม่ต้องพยายามอะไรเลยแค่ “เข้าใจ”  แล้วท่านจะไม่ทุกข์กับใครเลยเพราะท่านเข้าใจ  เข้าใจในธรรมแห่งความเป็นจริงทั้งปวง
ยากหรือไม่ (ไม่ยาก) ไม่ยากเลย แค่เข้าใจธรรม แล้วธรรมที่เราพูดถึงนั้นอยู่ที่ไหน อยู่ในหนังสือ อยู่ในคนพูด อยู่ในพระไตรปิฏก ในคัมภีร์ หรืออยู่ที่ใจเรา (ใจเรา) แล้วใจแบบไหนที่ทำให้เราพบธรรม ต้องทำใจแบบไหนถึงจะเข้าถึงธรรม  มีใครตอบได้หรือไม่ (ทำจิตใจให้เป็นกลาง, ทำตัวเหมือนน้ำ) ทำตัวเหมือนน้ำที่ไหลไปได้ทุกที่  (ทำใจเป็นกลางไม่ยึดติดไม่หวังผลตอบแทน)  มีใครจะตอบอีกหรือไม่ (ทำใจให้ว่างเปล่า, ทำความเข้าใจแล้วปล่อยวาง) ตอบได้ดี
ใครตอบเราจะให้รางวัลเป็นซาลาเปา (เปิดใจให้กว้าง ทำใจให้เป็นธรรมชาติ)  ทำใจให้สบายๆ เปิดใจให้กว้าง บางคนเปิดได้ แต่ยากจะยอมรับความจริงใช่หรือไม่ สิ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นธรรมได้ เพราะหัวใจมนุษย์มักจะยึดติดมั่นหมาย รู้ว่าต้องทำใจเป็นกลาง แต่ใจลึกๆ ก็รู้สึกยึดติดว่าการฟังธรรมต้องฟังพระเทศน์เท่านั้น แต่เด็กคนนี้พูดดูไม่ค่อยน่าฟัง ไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไรนะ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) บางครั้งที่เราไม่สามารถมองเห็นหรือวางใจเป็นกลางได้ เพราะมนุษย์ทุกคนมีความยึดติดมั่นหมาย มีความจำได้หมายรู้ในใจ และรู้สึกว่าที่ตัวเองรู้นั้นถูกต้องและใช่เสมอ ฉะนั้นเมื่อมีใครมาพูดตรงข้ามสิ่งที่ตัวเองมั่นหมาย เราจะรู้สึกว่าไม่ใช่  แล้วธรรมจริงๆ สอนอะไร   (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนคนหนึ่งเป็นหญิงสาว ออกมายืนหน้าชั้น)  เหมือนเรามองอะไรสักอย่างหนึ่ง ท่านมองเห็นธรรมหรือไม่ (ไม่เห็น) ไม่เห็นธรรมเลยหรือ อย่างนั้นเรารบกวนท่านอีกคนหนึ่งมายืนใกล้ๆ กัน (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนที่สูงวัยอีกคนออกมายืนหน้าชั้น) ตอนแรกท่านมองคนแรกแล้วไม่เห็นธรรม แต่พอหันมามองท่านนี้ท่านเห็นธรรมหรือไม่ (เห็นธรรม) ท่านเห็นธรรมเลยใช่หรือไม่ (ใช่)
ธรรมะสอนให้เรารู้ว่าแม้อาทิตย์จะฉายแสง ก็ใช่ว่าจันทราจะลาลับหาย แต่มนุษย์มักจะไม่ค่อยเห็นธรรมหรือเห็นความเป็นจริงในชีวิตจนกว่าตัวเองจะทุกข์จนถึงที่สุด จนกว่าตัวเองจะแย่จนถึงที่สุด จนกว่าตัวเองจะเปลี่ยนแปลงและร่วงโรยจนถึงที่สุด ถ้าอย่างนั้นเราถามท่านว่า รอจนวัยชราแล้วค่อยเข้าใจธรรมถามว่าทำใจทันไหม อย่างนั้นธรรมะจึงสอนให้เรารู้ว่าการเรียนรู้หลักธรรม อย่ามองคนเป็นคน แต่จงมองคนให้เห็นซึ่งธรรมและทุกที่เราก็จะปฏิบัติธรรม แต่เรานั้นไม่ใช่ เรานั้นเห็นคนเป็นแค่คน ชีวิตก็เลยวกวนและคนไม่จบสิ้น เห็นแค่คนเป็นความชอบ ความชัง ความยึดติดในความคิดเราก็เวียนวนในอัตตาตัวตนและสร้างเมล็ดพันธุ์แห่งความอยากไม่จบสิ้น ถ้าเมื่อไรเราเห็นคนเป็นธรรม เห็นคนคือธรรมเราก็จะได้ปฏิบัติธรรมกับธรรม และเราก็จะได้พบธรรมโดยไม่ต้องรอไปวัด จริงหรือไม่
เราจะเห็นธรรมในคนได้อย่างไร เราถามท่านว่าพระอาทิตย์ฉายแสงใช่ว่าจันทราจะลาลับ ในความเต่งตึงไม่มีความเหี่ยวย่นหรือ ถ้าเราบอกว่าใครจะแต่งงานกับเขาต้องเอาคนแก่ไปด้วยอีกคนจะเอาหรือไม่  เป็นความจริงว่ามีใครที่สวยแล้วไม่สวย มีใครสวยแล้วไม่แก่  มีใครดีแล้วไม่ร้าย  มีใครน่ารักแล้วไม่น่ารังเกียจ (ไม่มี)  ฉะนั้นธรรมสอนให้เรามองเห็นความจริงที่เป็นธรรม ธรรมอันเป็นธรรมชาติที่มีอยู่ในร่างกายนี้ และอยู่ในใจนี้ ถึงเวลาเราเกลียดเขาหรือไม่ เราก็เคยทำตัวน่ารังเกียจใช่หรือไม่  ถึงเวลาเราชอบเขาหรือไม่ เพราะเราก็เคยทำตัวน่ารัก  แต่ถ้าเรามองเห็นความจริงเราก็จะไม่รักใครมาก ไม่ชอบใครมาก ไม่เกลียดจนกลายเป็นความโกรธที่ดับไฟสุมทรวงไม่ลง  ไม่รักจนกลายเป็นความหลง เพราะเรามองเห็นความจริงที่ว่ามันมีอะไรที่มากกว่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเรียนรู้ธรรมจงมองให้เห็นธรรม อย่างมองเห็นแต่ความเป็นคน เพราะเมื่อไรพบความเป็นธรรมเราก็จะมีธรรมในตัวเอง จริงหรือไม่ (จริง) แต่เรามักจะพบกิเลส ความโกรธ ความโลภ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นสิ่งที่เราพูดวันนี้ไม่ใช่เรื่องยากเลยนะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นการเรียนรู้ปฏิบัติธรรมจึงสำคัญที่การกล้ายอมรับความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้น จนบังเกิดเห็นธรรม ไม่ใช่เห็นนิสัยเห็นตัวตน การศึกษาหลักธรรมจึงไม่ใช่แค่มองออกหรือปฏิบัติเท่านั้น แต่ยังเป็นการที่จะปฏิบัติภายนอกและตรวจสอบภายในจิตใจของตัวเอง ว่าเราเข้าใจธรรมะถูกต้องเพียงใด พรุ่งนี้คงได้มาศึกษาธรรมกันต่อนะ มีโอกาสโปรดติดตามตอนต่อไปนะ ดีไหม ฟังธรรมวันเดียวไม่มีวันตื่นรู้ได้ จนกว่าที่เราจะกระแทก กระแทก จนมันทะลุเข้าไปถึงใจนะ เราจะบอกให้ท่านรู้อีกอย่างหนึ่งว่าธรรมที่แท้จริงไม่ได้อยู่ภายนอก แต่อยู่ที่การเรียนรู้และย้อนมองกลับมาสู่ภายในและมองจนเห็นว่าหัวใจเรามันไม่มีตัวตน แต่หัวใจเราคือธรรม เมื่อพบธรรมในตนก็จะพบธรรมในผู้คน เมื่อยังพบความเป็นคนก็ยังหนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด เราอยากจะพบธรรมในตนและพบธรรมในผู้คนแล้วพ้นทุกข์หรือไม่
ฉะนั้นสิ่งสุดท้ายที่เราจะบอก พุทธะจึงบอกว่าอยู่ในโลกจงมองให้ บังเกิดธรรมเพราะการมองให้บังเกิดธรรมทำให้เราคลายกิเลสสิ้นทุกข์ได้ แต่ถ้าเรายังมองแบบยึดติดในความเป็นคน คนยังมีเปลี่ยนแปลง คนยังมีพลิกผัน คนยังมีความไม่แน่นอน แต่ไม่เหมือนการพบธรรม ทำให้เราดับทุกข์ สิ้นทุกข์ สิ้นกิเลส โดยตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เข้มแข็งได้ด้วยตนไม่จำเป็นต้องยืมขาใครยืน เมื่อเราสุขได้ เราก็ทำประชาราษฎร์สุขได้ เมื่อเราพ้นทุกข์ได้เราก็ทำให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ได้ ใช่ไหม

วันอาทิตย์ที่ ๑๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐             สถานธรรมสิงเต๋อ จ.พะเยา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง 
  ทบทวนให้เป็นคุณโลกต้องการสุข        ไร้ดุลย์ญาณต้องทุกข์จนชอบฝันใฝ่
กายใจจิตสมบูรณ์จะไม่โลภอยากได้        ฟื้นสำนึกได้อะไรอะไรก็ดีขึ้นเอง
มีสำนึกดีก็ดีได้ศีลเป็นหลัก                    คิดเรื่องยากก็ต้องคิดแบบไม่เร่ง
คิดไม่เป็นง่ายคิดเข้าข้างตัวเอง               ใจจะได้คิดดีเองถ้าคิดบวก
      
      เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                                 รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา            ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคน คิดถึงกันไหม
       บางทีก็เรื่องเดิม  เหตุการณ์ก็เหมือนเดิม  อารมณ์ก็เดิมเดิม  คนเดิมไม่เคยไปไหน  ในความกลุ้มหนักหนาเหมือนไม่ได้หายใจ  ความจริงที่เข้าใจไม่ชี้ให้รอดปม
       *วังวนเรื่องนั้นนั้น   ต้องทำใจแก้ไข   ความโลภหลงรักตักตวงไปตั้งเท่าไหร่   แค่วันละหน่อย แค่วันละหน่อย  ไม่มัวแต่คอย แก้ได้แก้ไป
       **แค่รู้เท่านั้นไม่ได้ฝึกตัวเอง  บางเรื่องก็ยังปิดไว้  แค่รู้เท่านั้นไม่ได้ฝึกบำเพ็ญ  ง่ายเลยไม่เคยง่ายดาย  แค่คิดเท่านั้นไม่ได้ลงมือทำ  ศิษย์ทำให้สายไป  เรื่องบางที
ที่ใช้เพื่อบำเพ็ญ 
       ยากที่ทำไม่รู้  หยุดใจก็ไม่เป็น  ไม่เย็นก็ต้องเย็น  ถ้าตั้งใจจะดีขึ้นเอง
ทำนองเพลง   แค่รู้ว่าฉันไม่ได้อยู่คนเดียว
ชื่อเพลง   เรื่องเดิมที่ไม่เหมือนเดิม
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง 
วันนี้อาจารย์มีเรื่องคุยกันนิดหน่อยก่อนที่จะมารู้จักกัน ดีไหม (ดี)  ศิษย์เกิดเป็นคน เรายกตัวเองได้ไหม ชมตัวเองได้ไหม  อาจารย์เคยได้ยินแต่ว่าในโลกนี้เรายกใครก็ยกได้แต่ยกตัวเองไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เอย ถ้ายกตัวเองเขาเรียกว่าหลงตัวเอง ฉะนั้นไม่ต้องให้ตัวเองพูด ให้คนอื่นพูดเขาเรียกว่าสรรเสริญ แต่ถ้าตัวเองชมตัวเองเขาเรียกว่าบ้ายอ หลงตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเชื่ออาจารย์นะ เกิดเป็นคนศิษย์ไม่ต้องชมตัวเอง ให้คนอื่นเขาชมดีกว่า ให้คนอื่นเขาพูด ให้เขาเห็นคุณค่าเรา เรียกว่าสรรเสริญ
ถ้าชมตัวเองเขาเรียกว่า “ยกตนข่มท่าน” คุณค่ามันต่างกันเลยนะ จริงไหม

สมมติว่าถ้าเราเห็นคนอื่นไม่ดี เราควรว่าเขาไหม (ไม่ควร)  ควรนินทาเขาไหม (ไม่ควร)  ควรพูดถึงเขาไหม (ไม่ควร)  ถ้าตัวเราเองไม่ดีล่ะ ควรพูดออกมาไหม หรือเก็บไว้ (ควรพูด)  อาจารย์จะบอกนะว่าเรื่องคล้ายๆ กันแต่ว่าการกระทำไม่เหมือนกันจะให้คุณค่าต่างกัน ศิษย์รู้ไหมอาจารย์จะเตือนให้ฟัง เรื่องไม่ดีของตัวเอง เรากล้าพูด เรากล้าเปิดเผย เขาเรียกว่าคนๆ นั้นมีจิตสำนึกดี รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักถูกต้องชอบธรรม เพราะตัวเองยังกล้าว่าตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนเรามักจะกลับกัน ชมตัวเองแต่ไม่กล้าว่าตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเราพูดเรื่องคนอื่น เขาเรียกว่าเป็นพวกแล้งน้ำใจ มีนิสัยอันธพาลชอบจับผิด ชอบมองแง่ร้าย “กับฉันเธอยังนินทาคนอื่นให้ฉันฟังเลย แล้วเดี๋ยวไปกับคนอื่นเธอจะเอาเรื่องฉันไปนินทาให้คนอื่นฟังหรือเปล่า” ถ้าจะพูดอะไรไม่ต้องชมตัวเอง กล้าติตัวเองแล้วคนอื่นเขาจะให้เกียรติ ถูกหรือไม่ อย่าเผลอเอาความไม่ดีของคนอื่นมาพูดเพราะไม่อย่างนั้นเขาจะว่าเราใจดำ ไม่มีน้ำใจนักกีฬา เขาแพ้แล้วเขาผิดแล้วยังเหยียบย่ำซ้ำเติม ถูกไหม (ไม่ถูก) 
เมื่อทำดีแล้วต้องงำประกายไม่สำแดงเด่น เพราะถ้าอวดสำแดงเด่นสักวันจะเป็นภัย เหมือนคนอวดตัวว่าเก่ง อันตรายแน่ๆ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอย่าไปอวดตัว ไม่อวดว่าตัวเองฉลาด จะมีใครมาชี้หน้าด่าว่า “ไอ้โง่” ไม่อวดตัวว่าร่ำรวย ใครจะชี้หน้าด่าเราว่า “ไอ้ขี้เหนียว”
คนในสมัยโบราณ ไม่ค่อยทุกข์ร้อนกับการดำเนินชีวิตมากเท่าไรใช่ไหม มีแค่ไหนก็กินแค่นั้น ทำแค่ไหนก็ได้แค่นั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดูเป็นชีวิตที่สงบเงียบเรียบง่ายแล้วก็สบายไม่เร่งรีบไม่รีบร้อน ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นมีคำกล่าวคำหนึ่งของคนโบราณที่เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าเราไม่รักชีวิตมากมายเมื่อความตายมาถึงเราก็ไม่เกลียดกลัว เราก็ไม่ดิ้นทุรนทุราย” เกิดมาอย่างไรเราก็ตายไป เมื่อไม่รักมาก ถึงเวลาจะจากก็จากได้ง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่) 
คนโบราณยังกล่าวต่ออีกว่า “เมื่อไรที่เราไม่หลงชื่นชมในสังขารตัวเองมาก การอยู่ก็ไม่วุ่นวาย การจากไปก็สงบเรียบง่าย”

“คนโบราณเมื่อรู้ว่าตัวเองมาจากไหนก็ดำเนินชีวิตแบบไม่ต้องพยายามไปสิ้นสุด ที่ใด” เมื่อไม่รักชีวิตก็ไม่เกลียดกลัวการไร้ชีวิต เมื่อไม่ชื่นชมในสังขารมากมายก็ไม่วุ่นวายและสามารถสงบเมื่อจากไป เมื่อรู้ว่าตัวเองมาจากไหน ที่เดิมตัวเองคือที่ใด ก็ไม่พยายามดำรงชีวิตอยู่เพื่อค้นหาว่าตัวเองต้องไปไหน เข้าใจไหม แต่มนุษย์ไม่ใช่ แต่ศิษย์อาจารย์ไม่ใช่ รักตัวเองมากก็กลัวตายมาก ชื่นชมลุ่มหลงในสังขารตัวเองมากก็วุ่นวายและสงบได้ยาก ถามว่าตัวเองมาจากไหนและตัวเองจะไปที่ใดก็ยังไม่รู้ ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามนะ  คนที่รักตัวเองมากกลัวตัวเองตายเหลือเกิน คนที่หลงตัวเองมากแล้วก็วุ่นวายสาละวนเพื่อความหลงตัวเองนี้ ถามจริงๆ นะ รู้ไหมตัวเองมาจากไหน (ไม่รู้)  ไม่รู้เลย ศิษย์จึงพยายามไปหา “ฉันจะต้องไปสวรรค์ให้ได้ ฉันจะต้องไปนิพพานให้ได้” อาจารย์จะบอกให้ว่ามนุษย์โดยส่วนใหญ่มักจะบอกว่า ถ้าคิดดีหน่อยหนูก็มาจากฟ้าเบื้องบน ไม่เทพก็เทวดาองค์ไหน ถ้าคิดแย่หน่อย หนูก็อาจจะมาจากนรกเบื้องล่างไม่รู้ปีศาจ
ตนใดมาเข้าสิง”  อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้ไขความกระจ่าง ศิษย์เอย
ถ้าศิษย์ไม่ลืมว่าศิษย์มาจากไหน ศิษย์จะไม่ต้องพยายามดิ้นรนเพื่อไปสิ้นสุดที่ใด อาจารย์จะตอบให้ไหมว่าศิษย์มาจากไหน

เรามาจากธรรม และเราก็กำลังกลับสู่ธรรมเรามาจากธรรม เราไม่ได้มาจากฟ้า เราไม่ได้มาจากนรก แต่เรามาจากธรรม เพื่อกลับคืนสู่ธรรม  แต่มนุษย์ลืมไป คิดว่าเราไม่ได้มาจากธรรม เรายังมีตัวมีตน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ถ้าเราไม่ลืมว่าจริงๆ แล้วเรามาจากธรรม ไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องทำอะไรมาก สักวันเราก็ต้องกลับคืนสู่กระแสแห่งธรรม 
แต่ที่เรากลับคืนสู่กระแสแห่งธรรมไม่ได้ กลับสู่ความว่างเปล่าที่แท้จริงไม่ได้เพราะอะไร  เคยคิดไหม  เราคิดแต่เพียงว่าวันนี้เราจะกินอะไรแค่นั้นเอง
ใช่ไหม  สังขารศิษย์ยังห่วง แล้วถ้าศิษย์เชื่อมั่นว่าตัวเองมีจิตญาณ แล้วศิษย์ไม่ห่วงจิตญาณของตัวเองหรือ ว่าจะไปไหน และจะกลับที่ไหน  ถ้าจะกลับบ้าน แล้วบ้านอยู่ไหน หาบ้านของตัวเองเจอหรือยัง  อาจารย์จะบอกว่า
ที่แท้จริงจิตญาณมีธรรมเป็นบ้าน
มีธรรมเป็นจิต และมีธรรมเป็นตัวตนที่แท้จริง  แต่เรามักชอบเอาตัวตนมาเกาะเกี่ยวผูกพัน แล้วบอกว่าเราไม่เห็นธรรม เห็นแต่คนแบบนี้ ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้น ตัวแบบนี้ที่เอามาบังธรรมนั้นมันมีธรรมอยู่ไหม (ไม่มี)  แล้วมันมีธรรมเป็นใจเดิมแท้ไหม (ไม่มี)  ไม่ว่าเหนือใต้ตะวันออกตะวันตก ไม่ว่ารวยจน ไม่ว่าคนภาคไหน ไม่ว่าเด็ก ไม่ว่าแก่ ทุกคนล้วนมีธรรมอันเป็นใจเดิมอยู่ และธรรมอันนั้นก็อยู่ในใจของเราทุกคน แต่เราไม่เคยชะแง้แลดูถึงหัวใจแห่งธรรม และไม่เคยกุมใจแห่งธรรมนั้นไว้  เราเอาแต่กุมใจว่าเราเป็นคนอย่างนี้ เรานิสัยแบบนี้ เราชอบแบบนี้ เราจะชั่วก็ชั่วอย่างนี้ จะดีก็ดีได้แค่นี้  เราจึงไม่เคยมองเห็นธรรมที่แท้จริงที่อยู่ข้างใน ที่คอยย้ำเตือนว่า เราแก่แล้ว ทุกข์แล้ว เจ็บแล้ว ตายแล้ว แล้วเราจะรอให้ตัวเองเกี่ยวกรรมไม่จบสิ้น แล้วเราค่อยมาเข้าใจภายหลังว่า เราได้ทิ้งธรรมไปแล้วและก็ได้สร้างกรรมแห่งการเวียนว่ายและการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เอาตัวตนนี้ไปเกาะเกี่ยวกรรมไม่จบ แล้วสร้างเหตุวิบากกรรมให้เวียนว่ายไม่จบสิ้นถูกไหม (ถูก)  เรายังประมาท ยังหลงมัวเมา และยังยึดติด
ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นใช่เวลาที่เราควรมาจะสนุกสนาน หรือเราควรจะเตรียมตัวเตรียมใจที่จะหันกลับมาทำตัวเราให้พร้อมว่า ถ้าวันหนึ่งฉันต้องไป ก็จะไม่มีตัวตนให้ฉันยึดถืออีกต่อไปแล้ว แต่ถ้าศิษย์ยังยึดถือก็เท่ากับว่าศิษย์ก็ยังสร้างวัฏฏะแห่งการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ที่เรียกว่าเมื่อยังคงมีตัวตน ทำดีก็เรียกว่ากรรมดี ทำชั่วก็เรียกว่ากรรมชั่วหรือทำดีก็เรียกว่าบุญ ทำชั่วก็เรียกว่าบาป

แต่ถ้าเกิดว่าไร้ธรรมแล้วคือธรรม เป็นอย่างไร ศิษย์เคยได้ยินคำว่า ไร้ธรรมก็คือธรรมไหม อะไรเรียกว่าไร้ธรรมก็คือธรรม
(พระอาจารย์เมตตาให้หัวหน้าชั้นออกมายืนข้างหน้า เพื่อเป็นตัวอย่าง) 
ถ้าเวลาเราถูกตีเจ็บไหม (ไม่เจ็บ)  ตีอีกโกรธไหม (ตอนนี้ไม่โกรธ)  ถ้าตีสิบๆ ที (ต้องดูว่าตีเพราะอะไร ตีเพื่อแสดงไม่โกรธ)  ไม่มีเพื่ออะไร แค่อยากตีโกรธไหม (ไม่โกรธ)  ศิษย์เอยอาจารย์จะถามว่าถ้าศิษย์ถูกตีแล้วศิษย์จะเลือกเกี่ยวกรรม ละลายหนี้กรรม หรือสิ้นเวรสิ้นกรรมสิ้นทุกข์ ถ้าโกรธมันก็คือการเกาะเกี่ยวคิดร้ายสร้างบาป ถ้าไม่โกรธแล้วคิดว่า “ไม่เป็นไร ได้ละลายหนี้บาปเวรกรรม เขาตีบ้างก็ไม่เป็นไร ชาติก่อนฉันอาจจะไปตีเขามา ชาตินี้ก็เลยโดนเขาตีกลับ” นี่เรียกว่าละลายหนี้บาปเวรกรรม แต่ถ้าโดนตีแล้วยังคงมีสติ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลคือรักษาใจให้ปกติ สมาธิคือทำจิตให้สงบไม่หวั่นไหวเมื่อโดนกระทบ ปัญญาคือความเห็นแจ่มแจ้งว่า อ๋อ ก็แค่นั้น ก็เท่านั้น”  ก็จบสิ้นกรรมสิ้นทุกข์ ตั้งใจละลายหนี้อะไรใครเคยติดหนี้กรรมใครก็จบเพียงเท่านี้ ฉะนั้นเมื่อเวลาศิษย์โดนกระทบศิษย์จะเลือกเกี่ยวกรรม ละลายหนี้กรรม หรือจะเลือกอยู่ตรงกลาง วางจบสิ้นทุกข์สิ้นเวรสิ้นกรรม เพื่อจะได้สิ้นการยึดถือใดๆ อีกต่อไป แต่มนุษย์เราเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร เมื่อถูกกระทบก็ด่ากลับเขา เมื่อถูกกระทบก็แช่งกลับ กระทบทีก็ชอบเขากลับ  ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากให้ศิษย์รับรู้ว่าธรรมะมีแค่ขณะเดียว ประเสริฐอยู่แค่ขณะเดียว ถ้าในขณะเดียวนั้นศิษย์สามารถทำแล้วแจ้งรู้ แล้วตื่น พ้นทุกข์ตลอด ขณะเดียวเท่านั้นนะศิษย์ ขณะเดียวที่ศิษย์โดนกระทบ กระทบแล้วศิษย์ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต ไม่มีปัจจุบัน มีแต่แค่ตอนนี้ ไม่มีเกิดไม่มีดับ ขณะที่เกิดมันจบ ไม่มีมาไม่มีไปเพราะมันจบแล้วตรงนี้ ฉะนั้นถ้าเราเข้าถึงการบำเพ็ญ ในชั่วขณะหนึ่งที่โดนอะไรกระทบก็ว่างแล้วจบ เมื่อว่างแล้วจบ แล้วจะมีกรรมอะไรให้ยึดเกี่ยว จะมีกรรมอะไรให้ยึดถือ จะมีเวรกรรมอะไรที่เราต้องไปหมุนเวียนว่ายอีก นั่นคือการจบในทันทีเลย ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าตื่นแจ้งในชั่วขณะหนึ่ง สามกาลก็ไม่มี ไม่มีคำว่ามา ไม่มีคำว่าไปและไม่มีคำว่าเริ่มเพื่อจบที่ไหน เพราะทุกขณะคือจบ แต่เราจบหรือไม่จบ ถ้าไม่จบก็ไม่มีวันสงบ  เราฟังมาจบไหม มันคั่งค้างใจนะอาจารย์ มันทำไมพูดผิดหูอย่างนี้ ไม่จบมันก็ไม่สงบใช่ไหม ไม่จบมันก็ต้องมาเคลียร์กันหน่อยแล้วใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นถ้าทุกเรื่องศิษย์ทำให้ดีที่สุด วางแล้วจบ มีอะไรต้องใช้ มันก็แค่ต้องใช้กรรมเก่า กรรมใหม่ไม่สร้างแล้วใช่ไหม เหมือนอาจารย์ตีศิษย์ จบไม่จบ (จบ)  วางไม่วาง (วาง)  วางใคร วางอาจารย์หรือวางใจ (วางใจ)  การบำเพ็ญธรรมจึงไม่ใช่อยู่ที่การแก้ไขใคร แต่มันแก้ที่ใจตนเอง แล้วจบลงที่ใจตนเอง จริงไหม (จริง)  แม้เขาจะด่าเราอย่างไร ศิษย์ก็จะเข้าใจแล้วจะจบลงที่เรา ไม่ทำเวรให้ยืดเยื้ออีกต่อไป
อาจารย์พูดเรื่องยากไหม ยากถ้าศิษย์ไม่ยอมทำสักที ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าศิษย์ทำได้นะศิษย์เอย มันจะจบแค่ตรงนี้เลย ไม่ว่าเจอใคร มันก็จะจบกันแค่ตรงนี้ แล้วศิษย์จะไม่รู้สึกว่า “ทำไมฉันไม่ทำกับเขาให้ดีที่สุด” ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าทุกขณะศิษย์ทำให้ดีที่สุด ทำแล้วจบ ทำแล้วดีที่สุด ห่วงอะไร กลัวอะไร ใช่ไหม (ใช่)  วันนี้ทำดีที่สุดแล้วหรือยัง (ยัง)  ยังอีกหรือ อย่างนั้นจะพยายามให้ดีขึ้นดีไหม (ดี) 
แค่ชั่วขณะหนึ่งที่เวลาเราโดนกระทบ ถ้าไร้ธรรมก็คือธรรมแต่ถ้ายังทำก็ก่อเกิดเป็นกรรม ใช่ไหม ที่เรียกว่ากรรมดี กรรมชั่ว แต่ถ้าทุกขณะที่เราทำเราไม่ยึด เราไม่ถือ เราไม่เกาะเกี่ยว ทำให้ดีที่สุดถึงเวลาปล่อยวาง ก็ไม่ก่อเป็นกระแสกรรมที่เราต้องเวียนว่ายไปรับ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
 โดยส่วนใหญ่ศิษย์มักจะถามอาจารย์ว่า “อาจารย์การเข้าใจธรรม การบำเพ็ญธรรมมันเป็นสิ่งที่ดี แต่อยู่ๆ การจะเป็นคนดีก็เป็นเรื่องยากแล้วอย่างหนึ่ง แล้วดีให้ตลอดก็ยิ่งยากอย่างหนึ่ง แล้วตอนนี้อาจารย์บอกไม่ใช่แค่ให้ดีแต่ยังต้องบำเพ็ญอีก ไม่รู้จะไปได้หรือเปล่านะอาจารย์” ใช่ไหม แค่ทุกวันหากินก็ยังเอาตัวไม่รอดแล้ว แล้วตอนนี้อาจารย์ยังบอกว่า “ต้องเป็นคนดี แล้วยังต้องบำเพ็ญธรรมอีก มันยากไปหน่อยไหมอาจารย์” อย่างนั้นวันนี้เรามาคุยกัน เหมือนแบบคนคุยกันธรรมดา เริ่มต้นตั้งแต่ง่ายๆ ก่อน “ศิษย์เอย เราเกิดเป็นคนจำเป็นต้องเป็นคนดีไหม” (จำเป็น)  จำเป็นต้องเป็นคนดี ใช่ไหม แล้วทำไมชอบถามตัวเองว่า “ทำไมหนูต้องดีอะไรหนักหนาเหนื่อยแล้วนะอาจารย์” ใช่ไหม ทำไมเราต้องดี หลายครั้งศิษย์มักจะถามตัวเองว่าดีไปทำไมอาจารย์ ทำไมต้องดี อย่างนั้นการเป็นคนดีให้มิตรหรือให้ศัตรู แล้วเราชอบมิตรหรือชอบศัตรู (ชอบมิตร)  แล้วเวลาเจอเราอยากเจอโจรหรืออยากเจอบัณฑิต (บัณฑิต)  ฉะนั้นพอจะเข้าใจหรือยังว่าทำไมเราต้องเป็นคนดี เพราะโดยส่วนใหญ่คนทุกคนชอบคนดี ชอบบัณฑิต ชอบมิตร ใช่ไหม ฉะนั้นการสร้างสิ่งที่ดีก็คือการทำให้เราอยู่ร่วมกับคนได้อย่างเป็นมิตร  แล้วการทำดีมันก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง คือ ความดีมันเป็นชื่อของความสุข
 (พระอาจารย์เมตตานักเรียนชายวัยรุ่นท่านหนึ่ง)
เหมือนที่ศิษย์ถามอาจารย์ว่า ทำไมต้องดี บางทีทำดีก็เบื่อนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอาจารย์ให้ศิษย์เดินไป เจอใครก็ให้ด่าเลย กับอีกอันหนึ่งเดินไป เจอใครก็ขอบคุณเขา อะไรทำแล้วสบายใจกว่า (ขอบคุณ)  ศิษย์รู้ไหมว่า ทำไมต้องทำดี เพราะชื่อของความดี เป็นชื่อที่ทำแล้วอิ่มใจ สุขใจ ไม่หาเรื่องกับใคร และอยู่ที่ไหนก็เป็นที่รักของทุกคน  แต่ชื่อแห่งความร้าย ชื่อแห่งอารมณ์โกรธเกลียด เป็นชื่อแห่งความทุกข์ สร้างศัตรูและสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจ พอเข้าใจหรือยังว่าทำไมต้องทำดี  และอีกอย่างหนึ่งคือ ชื่อแห่งความดีเป็นชื่อที่ใครๆ ก็รัก ใครๆ ก็ชอบ เพราะเป็นหัวใจของทุกๆ คน  ลองถามสิ ถ้าให้ใฝ่ชั่วกับใฝ่ดี จะใฝ่สิ่งไหน (ใฝ่ดี)  ฉะนั้นอยากมีชื่อว่าดีหรือชั่ว (ดี)  ฉะนั้นพอเข้าใจหรือยังว่าทำไมต้องทำดี 
อาจารย์สอนทำดีง่ายๆ ก่อนกลับไปนั่ง ให้เดินไปจนสุดแล้วก็อ้อมกลับมานั่ง โดยขอบคุณให้หมดทุกคน ดีไหม (พูดขอบคุณทีเดียวได้ไหม)  ศิษย์เอย ไหนบอกว่าเป็นชื่อที่อิ่มใจ แล้วอิ่มใจทีเดียวพอหรือ ไม่อยากอิ่มหลายอิ่มหรือ  อิ่มคนนี้ก็เห็นแค่คนนี้ แต่ลองเดินไปใกล้ๆ แล้วอิ่มให้ถึงใจสิ คุณค่าต่างกันนะ จริงไหม (จริง)  ทำไหม (ทำ)
(นักเรียนท่านนี้เดินไปรอบๆ ห้อง และไหว้กล่าว “ขอบคุณ” เพื่อนนักเรียนในชั้นทุกคน)
ศิษย์เอ๋ย เมื่อมีคนสร้างบุญมาเราก็ต้องสร้างบุญต่อด้วยการทำดีต่อ ด้วยการอวยพรกลับ “ร่มเย็นเป็นสุขนะหลาน โชคดีมีชัยนะ” ทำไมเราไม่หัดทำดีต่อล่ะ ใช่ไหม (ใช่) 
เมื่อทำดีไปได้สักพักหนึ่ง ศิษย์รู้หรือไม่ ความดีนั้นจะกลายเป็นคุณธรรม ความดีจะกลายเป็นคุณธรรมได้เมื่อเวลาที่ไปไหนรู้จักให้เกียรติผู้อื่น เคารพนบนอบผู้อื่น ทำอย่างนี้บ่อยๆ เขาเรียกคนนั้นว่ามีสัมมาคารวะ มีจริยะธรรมที่ดี เหมือนเราเป็นคนชอบให้ ให้บ่อยๆ เขาเรียกคนนั้นเป็นคนมีเมตตาธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นหนทางแห่งความดีจึงเป็นหนทางแห่งผู้ประเสริฐ หนทางแห่งความดีคือหนทางแห่งการปฏิบัติคุณธรรม  แต่คนทำดีบ่อยๆ ก็ท้อ ก็ล้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามคนที่ตลอดชีวิตไม่พยายามทำดี แต่พยายามไม่ทำชั่วหน่อยนะว่า คนที่พยายามทำดีตลอดมีสัมมาคารวะ มีน้ำใจช่วยเหลือคนแต่เผลอนิสัยขี้โมโห ด่าคนอื่น จับผิดคนอื่น คนนั้นเรียกว่าดีไหม (ไม่ดี)  พยายามที่จะไม่ทำชั่ว แม้จะไม่ได้พยายามทำดีสักครั้งหนึ่ง แต่พยายามจะไม่โมโห ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่ถือทิฐิ ไม่ยโสโอหัง คนเช่นนี้ดีหรือไม่ดี (ดี)  แล้วที่ศิษย์บอกว่าศิษย์ทำดีแล้วเหนื่อย ศิษย์เป็นอย่างแรกหรือศิษย์เป็นอย่างหลัง ที่ศิษย์เป็นคนดีแล้วศิษย์เหนื่อยก็เพราะศิษย์พยายามดี แต่ศิษย์ไม่ละความชั่ว ศิษย์พยายามดีแต่ศิษย์ไม่ละบาปเวร กิเลสกรรม ศิษย์ก็เลยเป็นคนดีที่ยังเหนื่อย เพราะมันยังอดไม่ได้ “หนูดีก็จริง แต่อดไม่ได้ เดี๋ยวขอด่าก่อนแล้วค่อยกลับไปดีใหม่”  หรือไม่ก็บอกว่า “ขอด่าให้มันสะใจก่อนเดี๋ยวไปทำบุญใส่บาตรให้มัน” อาจารย์ถามว่าอย่างนี้ดีไหม (ไม่ดี)  แต่อีกคนหนึ่งแม้จะไม่พยายามดีแต่ความชั่วเขาจะไม่ทำเลยดีกว่าไหม ฉะนั้นละชั่วบำเพ็ญบุญ พุทธะก็สอนไว้แล้ว เมื่อใดละชั่วก็คือกำลังบำเพ็ญบุญ หากบำเพ็ญบุญแต่ไม่ละชั่ว แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าดีจริงได้อย่างไร  ทำบุญใส่บาตรเก่งแต่นินทาคนก็เก่ง ทำบุญตักบาตรสวดมนต์เก่ง แต่พออยู่ข้างนอกก็โลภเบียดเบียน เอาเปรียบเขาก็เก่ง พระพุทธะสอนไว้ว่าละชั่วก็คือการบำเพ็ญบุญ ศิษย์บอกว่า “อาจารย์แล้วอย่างไรที่เรียกว่าชั่ว ไม่ดี ศิษย์ก็ไม่ได้จะชั่วหนักหนา แค่โลภนิดหน่อย ด่านิดหน่อย บ่นนิดหน่อย แล้วก็โกรธมันอีกนิดหน่อย” ใช่หรือไม่ นิดหน่อย นั่นกี่ครั้งที่นิดหน่อย หยุดได้ไหม หยุดยังไม่ได้  ใช่หรือไม่ อาจารย์จึงบอกว่า แล้วอะไรเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนดีไปไม่ถึงฟากฝั่งแห่งความดี นั่นก็คือกรรมชั่ว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าบาป ทำบาปให้ผลคือความทุกข์ แล้วบาปมีมูลเหตุจากอะไร (การกระทำของเรา)  การกระทำอะไรที่กลายเป็นบาป แล้วให้ผลเป็นทุกข์ แล้วกลายเป็นคนที่ไม่สามารถเป็นคนดีได้อย่างถ่องแท้ กระทำอะไร
ต้นเหตุแห่งบาป ต้นเหตุแห่งทุกข์เกิดจากกิเลสซึ่งเรียกว่า โลภ โกรธ หลงในตัวตน หลงยึดติดดี ชอบดี แล้วว่าคนอื่นชั่วก็เป็นกิเลส ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราอยากละกิเลสและเป็นคนดีที่แท้จริงได้ เราก็ต้องเบาบางเรื่องโลภ โกรธ หลงให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  โลภ โกรธ หลง มีตัวตนไหม (ไม่มี) มีแส้คอยเฆี่ยนเราว่า “ให้โกรธเขา ด่าเขา เกลียดเขา” มีไหม (ไม่มี)  แล้วทำไมเราต้องตกเป็นทาสมันทุกที จริงหรือไม่
อาจารย์จะบอกเทคนิคนิดหน่อยว่าจริงๆ แล้วโลภ โกรธ หลง ไม่ใช่ไม่ดี แต่ไม่ดีเพราะมันมาอยู่กับศิษย์ โลภ โกรธ หลง ถ้าอยู่กับพระพุทธะ โลภ โกรธ หลงก็เป็นแค่โลภ โกรธ หลง เพราะมันทำอะไรพระพุทธะไม่ได้ แต่ที่มันทำกับศิษย์ได้ เพราะศิษย์ไม่เคยเป็นพระพุทธะสักทีใช่หรือไม่ (ใช่)  พอโลภ โกรธ หลง มาทีไรศิษย์ขอเป็นมารก่อน  วางพุทธะไว้ก่อน ตอนนี้เขาทำให้โมโห ต้องจัดการเขาก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ศิษย์เอย เป็นคนดีแล้วยังไม่พ้นทุกข์ เพราะศิษย์ยังไม่ละชั่ว ยังบำเพ็ญบุญ ยังไปไม่ถึง วิธีที่จะเป็นคนดีแล้วละชั่ว แล้วเข้าถึงการบำเพ็ญบุญแล้วกลับคืนสู่หนทางแห่งธรรมเดิมแท้ นั่นก็คือต้องบำเพ็ญเพื่อเยียวยาจิตใจ ต้องบำเพ็ญเพื่อย้อนกลับมาดูแลและรักษาใจ เพราะว่าความโกรธ โลภ หลง จริงๆ ไม่มีตัวตน แต่ชอบอาศัยคนที่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน
 โลภ โกรธ หลง มันไม่มีตัวตนนะ แต่มันชอบอาศัยคนที่ชอบยึดมั่นถือมั่นในตัวตน  แล้วคอยให้อาหารเลี้ยงมันจนเติบโต แต่ถ้าเมื่อไรมันมา ศิษย์จำง่ายๆ โลภมันเหมือนลิง โกรธมันเหมือนเสือ หลงมันเหมือนจระเข้  สมมติว่าถ้าสัตว์พวกนี้เข้ามาสู่เรา เราไม่ให้อาหารมัน เราไม่สนใจใยดีมัน เราไม่แคร์มัน เชื่อไหม มันก็เป็นธรรมชนิดหนึ่งที่มันมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วมันก็ดับไป  เมื่อไม่ให้ค่า ไม่สนใจ ไม่ใยดี มันจะบอกว่า “ฉันไปก็ได้” จริงหรือไม่ (จริง)  เหมือนตอนนี้ถ้าเขาทำให้เราโกรธ อาจารย์สมมติความโกรธมันเป็นแอปเปิล มันโยนมาแล้ว รับไม่รับ (ไม่รับ)  เมื่อไม่รับ ถ้ามันโยนมาแล้วทำเราเจ็บ จะเจ็บกี่ครั้ง (ครั้งเดียว)  จริงหรือ อาจารย์เห็นศิษย์เก็บแอปเปิลขึ้นมาแล้วมากระแทกหัวตัวเอง โมโหมัน ด่ามัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมไม่ปล่อยมันไป  ถ้าเขาตีเรา เขาด่ามา เขาทำร้ายมา เขาทิ่มแทงจิตใจเรามา เราอยากสิ้นทุกข์หรือเกี่ยวกรรมหรือละลายหนี้บาปเวรกรรม (ละลายหนี้บาปเวรกรรม)  ฉะนั้นเมื่อมันทุกข์มา มันเกิดมา มันก็จบไปแล้ว  เอาแบบน่าเกลียดไปเลย คือมันกลายเป็นขี้ไปแล้ว จะเก็บขี้ปากเขา มานั่งเล่นขี้ทำไม จะเก็บขี้ปากเขามาแล้วเอาไปเล่าให้คนอื่นฟัง “เธอขี้มันอยู่ในใจฉันเต็มไปหมดเลย เธอช่วยเอาขี้ไปหน่อย ไอ้นั่นมันโคตรไม่ดีเลยมันแย่เลย เธอแบ่งขี้ไปหน่อยนะ” เอาไหม (ไม่เอา)  แล้วทำไมชอบหูผึ่งจังเลยเวลาใครนินทา ใครให้ทำ ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  ฉะนั้นการบำเพ็ญคือการช่วยเยียวยาจิตใจ และช่วยให้เราเข้าใจความเป็นจริงได้อย่างแจ่มชัดขึ้น
อาจารย์ถามนะ ธรรมอะไรที่หมั่นพินิจพิจารณา เมื่อเจออะไรที่มากระทบจิตกระทบใจ แล้วเราจะได้ปลดปลงปล่อยวาง ไม่ข้องเกี่ยว ผูกพัน และสร้างบาปเวรกรรมอีก
(ตั้งสติให้ดี อดทน) เมื่อยังอดทนแปลว่า ลึกๆ ยังยึดมั่นถือมั่นในตัวตน มีคำว่าไม่ยอม จึงต้องพยายามอดทน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่สติยังไม่สามารถพิจารณาและละลายความทุกข์ไปจากใจได้  แต่อะไรที่จะทำให้เราพิจารณาเนื่องๆ จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งแล้วเข้าถึงธรรม
 (ทำใจ)  เห็นก็ยังทำใจไม่ได้ (มีศีล ปัญญา สติ)  ศีลคือความปกติ สมาธิคือจิตที่นิ่งไม่หวั่นไหวเมื่อโดนกระทบ ปัญญาคือเห็นแจ้งและสามารถปล่อยวางลงได้อย่างไม่ยึดติด แต่ศีลก็ยังไม่ค่อยครบ สมาธิก็ยังไม่ค่อยมี ปัญญาไม่ต้องพูดถึงเลย ใช่ไหม (อนัตตา ว่างเปล่า อนิจจัง)  อาจารย์จะดูว่า เวลาเห็นสาวจะว่างไหม เวลาเห็นเงินหนึ่งพันบาทจะว่างไหม อาจารย์ขอยืมเงินรองหัวหน้า ว่างไหม (ว่างครับ มันไม่ใช่ของเราที่แท้จริง)  การคิดว่าทุกสิ่งขาดสูญมันก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่แค่ให้พิจารณา แต่พิจารณาอย่างไรล่ะ เพราะบางคนพอคิดว่าชีวิตขาดสูญ ก็เลยทำบาปได้ “ไม่เป็นไรเดี๋ยวมันก็ว่าง” อย่างนี้ไม่ถูกต้อง ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าพิจารณาให้บังเกิดธรรมมันต้องมีอีกสองถึงสามอย่างเป็นองค์ประกอบ ใช่ไหม  มีอะไรอีก ความมีแท้จริงก็คือความว่าง ความว่างแท้จริงก็คือความมี 
(รู้จักปล่อยวาง)  แต่ก่อนจะปล่อยวางศิษย์จะต้องทำให้ดีที่สุด มนุษย์มักจะคิดว่า “ทุกข์เหลือเกิน ขอทิ้งทุกอย่างเลยได้ไหม” ธรรมะไม่สอนแบบนั้น ธรรมะสอนว่าทำจนถึงที่สุดก็ต้องวางลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นก่อนจะปล่อยวางต้องทำให้ถึงที่สุด 
อาจารย์ถามว่า ธรรมข้อไหนที่เอามาใช้เพื่อย้ำเตือนเรา ไม่ให้หลงผิด ไม่ให้คิดผิด ไม่ให้ทำผิด แล้วก่อเกิดเป็นทุกข์ เป็นวิบากกรรมแห่งการเวียนว่าย 
(อย่าลืมตนเอง) ก็ตอบได้ดีเหมือนกัน แต่บางทีคนเราก็มักจะชอบหลงตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(ละความโลภ โกรธ หลง)  ธรรมอะไรที่จะทำให้เราสามารถพึงระลึกเสมอ และไม่ตกเป็นทาสความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่สร้างบาป และไม่ติดยึดในบุญ  แล้วศิษย์ละโลภโกรธหลงได้หรือยัง (กำลังจะทำ)  ต้องรีบทำให้ได้แล้ว อายุมากแล้ว
อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้นะ แก่นแท้ของชีวิต ไม่ได้อยู่ที่ภายนอก แต่อยู่ที่ภายใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนดั่งคำว่า “ดีร้ายไม่ทำให้เราทุกข์ มากกว่าใจที่ไม่รู้พอ  ดีร้ายไม่ทำให้เราเจ็บปวด มากกว่าใจเราที่ไม่ยอมรับความจริง” ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นแก่นแท้ของความทุกข์ทั้งมวลอยู่ที่ใจ  อาจารย์ถามง่ายๆ เราดีใจที่ได้เงินหนึ่งร้อย แต่ถ้าเพื่อนได้สองร้อยเราใจเป็นอย่างไร  อย่างนั้นอาจารย์ถามใหม่ เสียเงินหนึ่งร้อยเสียใจไหม (เสียใจ)  แต่ถ้าเพื่อนเสียสองร้อย เราดีใจหรือเสียใจ (ดีใจ) 
ฉะนั้นแก่นแท้ของความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ไหน (ใจ)  แล้วใจนั้นคืออะไร ที่จะทำให้เราสามารถหยุดทุกข์ได้ และแปรทุกข์ให้กลายเป็นคำว่าพ้นทุกข์ได้ ใจนั้นอยู่ตรงไหน ในตัวเรา ใช่หรือไม่ ดังคำกล่าวว่า ถ้าพอเมื่อไร อะไรๆ ก็มีสุข แต่ถ้าไม่พอ อะไรๆ ก็ไม่สุข อาจารย์ถามว่า
พอหรือยัง (ยัง)  ฉะนั้นก็เลยยังไม่สุข เลยยังทุกข์ “แล้วทำอย่างไรให้มันพอได้ตลอด” ก็คือคนที่สามารถเข้าใจแก่นแท้ของใจที่แท้จริงได้  อาจารย์บอกว่า แค่นี้ก็ดีแล้ว แค่นี้ก็พอแล้ว แค่นี้ก็สุขแล้ว คิดว่าอะไรที่ได้มา อะไรที่เพิ่มมามันคือกำไร ถูกไหม แต่ตอนนี้ถ้าศิษย์ยังบอกว่า แค่นี้ก็ไม่พอ แค่นี้ก็ไม่ดี ฉะนั้นกว่าที่ศิษย์จะได้อะไรมามันก็คือความยากลำบาก  เมื่อเป็นดังนี้แล้ว ศิษย์อยากจะสุขตรงนี้ หรือว่ารอข้างหน้าแล้วค่อยสุข ตอนนี้พอหรือยัง
ดีหรือยัง ธรรมจึงสอนว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี เมื่อพอได้มันก็ดี เมื่อพอได้มันก็สุขดี แต่เมื่อพอไม่ได้ดีไม่ได้มันก็เลยทุกข์ทุกที ใช่หรือไม่  สมมติว่าแฟนอาจารย์เป็นคนนี้ แต่เผอิญไปเห็นอีกคนหนึ่งแล้วคิดว่า “ทำไมแฟนเราแก่มาก ไปเห็นแฟนของคนข้างบ้าน เขายังดูหนุ่มมาก” เมื่อคิดอย่างนี้ เราอยู่กับแฟนของเรา จะมีความสุขไหม มันเป็นเหมือนนรกเผาใจนะ ศิษย์ก็อาจจะคิดว่า “เบื่อพ่อแล้วล่ะ อยากหาพ่อบ้านคนใหม่แล้ว”  แต่ถ้าเราคิดอีกอย่างว่า “พ่อบ้านเราก็ดีนะ พ่อบ้านของเธอก็ดีนะ” สุขไหม แต่มนุษย์มักจะคิดว่า “พ่อมึงเมื่อไหร่จะแก้นิสัยล่ะ ขี้บ่นเหลือเกินนะ ไม่เหมือนพ่อบ้านนู้นไม่ขี้บ่นเลยนะ” อย่างนี้อยู่กันไปก็มีแต่ทุกข์ ใช่ไหม ทำให้คนยิ้มได้ ทำให้ผ่องใสเป็นบุญไหม (เป็น)  แต่ทำให้คนขุ่นมัวเป็นทุกข์เป็นบาป
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เอ๋ยเราบำเพ็ญเพื่อเยียวยาจิตใจ เพื่อทำให้คนอื่นเขามีความสุข

อะไรคือสิ่งที่แน่นอนในชีวิต เราเป็นอะไรที่แท้จริงหรือ เรารวยหรือเราจน เราดีหรือเราร้าย เราเป็นคนหรือเป็นเป็ดก็ไม่แน่ ใช่ไหม  ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นอะไรเราก็เป็นแค่ชั่วครู่หนึ่งจะไปยึดติดทำไม เต้นเป็ดแล้วทำให้คนยิ้มก็ไม่เป็นไรใช่ไหม  อย่าแย่งผ้าจากมือเพื่อนนะศิษย์ น้ำจิตน้ำใจ บำเพ็ญธรรมแล้ว เราฝึกฝนแล้ว ค่อยเป็นค่อยไป ช้าๆ เร็วๆ แล้วระวังสับปะรดจะบาดมือ ใช่หรือไม่ เมื่อสักครู่อาจารย์บอกแล้วว่าเป็นเป็ดก็ไม่เป็นไรนะ
ศิษย์เห็นแถวไหนช้าสุดไหม (ไม่เห็น,ไม่ทันได้มอง)  อาจารย์จะบอกให้นะ ศิษย์เอย  การศึกษาบำเพ็ญธรรมก็เหมือนกัน  ถ้าเรามุ่งมั่นทำสิ่งที่ตัวเองทำให้ดีที่สุด มันไม่มีใครร้าย มันไม่มีใครแย่ เพราะทุกคนต่างพยายามทำให้ดีทีสุด แล้วเราจะมีเวลามานั่งจับผิดใครไหม คนที่มีเวลามานั่งนินทาคนอื่น คนที่มีเวลาจับผิดคนอื่น แปลว่าไม่เคยดูแลตัวเอง ถ้ามัวแต่ดูแลตัวเองจะไม่มีเวลาที่จะนินทาคนอื่น ไปจับผิดคนอื่น เพราะทุกคนต่างเอาตัวให้รอดก่อน  ถ้าศิษย์ทุกคนทำตัวเองให้ดีที่สุด ไม่มีใครแย่  แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์ว่างไปดูคนอื่นแปลว่าศิษย์ยังทำตัวเองไม่ดีที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า ถ้าตอนนี้เราหาคนผิดไม่ได้ แล้วใครจะยอมเสียสละ ยอมเป็นคนผิด เมื่ออยู่ในโลกทุกคนต่างคิดว่าตัวเองถูกหมดแต่บางทีเรื่องบางเรื่องต้องมีคน กล้ารับผิดชอบ อย่างนั้นตอนนี้ทุกคนต่างชนะมีใครจะกล้าเป็นเป็ดหรือเป็นผู้แพ้ (หัวหน้ายกมือ)  ถูกแล้วศิษย์ การจะเป็นหัวหน้าคน การจะได้ใจคน เรื่องถูกต้องให้ลูกน้องไป ส่วนความผิดเราต้องกล้ารับ เรื่องดีก็โยนความดีให้ลูกน้อง เมื่อมีปัญหาหัวหน้ากล้ารับไว้ก่อน ทำได้แบบนี้ลูกน้องรักตาย จริงหรือไม่ แล้วศิษย์ที่เหลือ ให้หัวหน้าเต้นคนเดียวดีไหม (ดี)  ลูกน้องแบบนี้ก็ไม่มีใครอยากได้นะ (ช่วยกันเต้น)  ช่วยกันไหม (ดี)
(พระอาจารย์ให้นักเรียนเต้นเป็ด)
ศิษย์เอย ไม่มีสุขใดประเสริฐเท่ากับหัวใจที่ปกติ ไม่หวั่นไหวไปกับอารมณ์ที่มากระทบชั่วประเดี๋ยวประด๋าว  การสามารถรักษาใจให้ปกติ คือสุขที่ประเสริฐที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตที่ยึดมั่นถือมั่นอะไรก็ตามแต่ ล้วนทำให้คนนั้นหนีไม่พ้นความทุกข์ แต่จิตที่สามารถละคลายความยึดมั่นถือมั่น คือหัวใจของการดับทุกข์ พอเข้าใจไหม
ฉะนั้นไม่ว่าเจอเรื่องอะไร ให้รักษาใจให้ปกติ ใจที่ปกติก็คือการรักษาศีล การไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งที่มากระทบ นั่นก็คือมีสมาธิ การที่มองเห็นแจ้งถึงความเป็นจริง อันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นั่นก็คือบังเกิดปัญญา  ฉะนั้นศีล สมาธิ ปัญญา ที่ศิษย์นับถือศาสนาพุทธนั้น เกิดขึ้นได้และปฏิบัติได้ทุกขณะที่ศิษย์ถูกกระทบ  ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งที่มากระทบชั่วประเดี๋ยวประด๋าว  ฉะนั้นหลักธรรมที่เป็นหัวใจ และเป็นแก่นของธรรมที่อาจารย์อยากให้ศิษย์พิจารณาอยู่เนื่องๆ  ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมีแก่นธรรมอันเดียวกัน และแก่นธรรมนี้ทำให้ทุกคนเท่าเทียมกัน และแก่นธรรมนี้ที่ทำให้คนไม่ว่าจะหลงขนาดไหน ก็ต้องกลับคืนสู่ธรรมอันเดิมแท้นี้อย่างหลีกหนีไม่พ้น  แล้วแก่นธรรมนั้นคืออะไร ใครตอบได้บ้าง  พิจารณาเนื่องๆ จนบังเกิดธรรม  แก่นอะไรที่มีอยู่ในใจของทุกคน และทุกคนก็หนีแก่นในใจนี้ไม่ได้ และใจนี้ก็คือจิตญาณเดิมที่จะนำพาให้เรากลับคืนสู่ธรรมที่เราเป็นมา  อะไรที่เป็นแก่นของทุกสิ่ง (แก่นของความยุติธรรม)  ศิษย์เอย ความยุติธรรมของคนมันไม่เท่ากัน เพราะทุกคนต่างมีเหตุผล  มนุษย์ถ้ายังขึ้นชื่อว่าเหตุผลยังไม่มีวันพ้นทุกข์  มนุษย์ถ้ายังติดในเหตุผลก็ยังไม่มีวันพ้นเวียนว่าย  แต่ถ้ามนุษย์มองอย่างคนพิจารณาเข้าถึงแก่นธรรม เราตัดสินใครไม่ได้นะศิษย์ เพราะมนุษย์มีความลำเอียง มีความชอบชัง ที่ไม่เท่ากัน ใช่หรือไม่ ศิษย์ว่าคนนี้ถูกแล้วจริงๆ คนนี้ผิดไหม เขาก็มีเหตุผลของเขา ใช่หรือไม่  ฉะนั้นในธรรมไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด ไม่มีใครดี ไม่มีใครเลว เพราะทุกคนล้วนหนีไม่พ้นแก่นแห่งธรรมอันนี้
ฉะนั้นถ้าเราพิจารณาธรรมอันนี้เนื่องๆ เราจะกลับคืนสู่ที่เรามา คือ ธรรม  เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจารณามันเนื่องๆ มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ แล้วถึงที่สุดมันก็ว่างเปล่า ฉะนั้นเราพิจารณาอยู่เสมอ มันไม่เที่ยง วันนี้เขาชม มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์อย่าไปยึด ถึงที่สุดมันก็ว่างเปล่า ฉะนั้นพอเราคิดเนื่องๆ มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันว่างเปล่า เราจะรักอะไร เราจะโกรธอะไร เราจะเกลียดอะไร เพราะทุกสิ่งมันไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ ว่างเปล่า เหมือนที่ศิษย์เป็นทุกข์  “วันนี้เขารักหนู ทำไมพรุ่งนี้เขาไม่รักหนู” แต่ถ้าศิษย์พิจารณาเนื่องๆ มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ จะยึดไหม แล้วถึงที่สุดคนที่บอกว่ารักศิษย์ เขาก็ต้องจากเราไปหรือไม่ แล้วถ้าเขาเปลี่ยนใจ เขาทิ้งเรา รักก็เป็นทุกข์ อยู่กับสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์ ทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์ ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์ ก็ไม่รัก ไม่เกลียด ใช่ไหม ฉะนั้นธรรมที่เป็นหลักของศิษย์ ที่ศิษย์จะต้องกลับคืนให้ได้ นั่นคือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า พิจารณามันเนื่องๆ เหมือนได้เงินมาดีใจไหม แล้วมันเที่ยงไหม มีแล้วทุกข์ไหม มีเหมือนไม่มีไหมใช่หรือไม่ อาจารย์ถามคนที่เป็นสามี มีภรรยาเหมือนไม่มีไหม มีแฟนเหมือนไม่มีไหม อย่างนั้นถ้าเราพิจารณาแก่นแท้แห่งธรรมอยู่ตลอด โลภไม่มี เกลียดไม่มี หลงไม่มี เพราะมันไม่เที่ยง จะโลภอะไรอีกเพราะมันเป็นทุกข์ จะยึดอะไรให้หลง จะรักอะไรให้เป็นทุกข์เจ็บปวดหนักหนา ใช่หรือไม่ แล้วพอถึงที่สุดมันว่างเปล่า แล้วเราเห็นชัดแจ่มแจ้งแล้ว แต่มนุษย์มักตาบอด ใช่หรือไม่  พอมีแล้วเป็นทุกข์ จะปล่อยวางได้ ทำใจทัน ได้หรือไม่ ศิษย์เคยได้ยินนิทานไทยเรื่องรจนาเลือกเงาะป่า นั่นคือธรรมสอนที่ดี  มีแก่นอยู่ข้างในแต่เรามองไม่เห็นหัวใจทองคำอันนั้น เหมือนตัวเรามีธรรมอยู่ ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเมตตา ด้วยความเคารพเรียกว่าคุณธรรม ปฏิบัติต่อตนเองด้วยการฟื้นฟูธรรมกลับคืนสู่สภาวะธรรม ฉะนั้นทำไมถึงต้องปฏิบัติดี เพราะการปฏิบัติดีคือรากเหง้าของการกลับคืนสู่คุณธรรมและหัวใจแห่งธรรม  อาจารย์จบแล้วนะ หากไม่เข้าใจศิษย์ก็กลับมาศึกษาต่อนะ

อาจารย์ได้พูดตั้งแต่เรื่องง่ายถึงเรื่องยาก เรื่อยมาจนถึงตอนนี้ อาจารย์ได้บอกตั้งแต่ต้น เมื่อไม่รักการมีชีวิตก็จะไม่ทุกข์ทนกับการสิ้นชีวิต เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นกับสังขารก็จะไม่วุ่นวายและทุกข์ทนเมื่อจากไป เมื่อไม่ลืมว่าตนเองมาจากไหนก็จะไม่พยายามไปหา หรือสิ้นสุดที่ใด เพราะเราคือธรรม สังขารกลับคืนสู่ธรรมชาติแล้วจิตทำไมไม่กลับคืนสู่ธรรมที่แท้จริง ทำไมเรายังเอาจิตสร้างตัวตนเกาะเกี่ยวกรรมและสร้างภพภูมิแห่งการเวียนว่าย เพราะอะไรแค่คำเดียว ละจากความยึดมั่นถือมั่นเมื่อไร ก็สิ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง  จะปฏิบัติอย่างไร เราเกิดมาเพื่อยืมใช้ และสร้างคุณค่าแห่งสังขารนี้ให้ดีที่สุด สมกับคำว่ามนุษย์ผู้ประเสริฐ มีคุณธรรมเปี่ยมล้น
จะปฏิบัติอย่างไร ให้ปฏิบัติต่อคนด้วยคุณธรรม เมตตาธรรม จริยธรรม มโนธรรมสำนึก และรักษาใจให้ปกติ  เมื่อไรที่เราโกรธใจของเราจะเต้นแรง ใจจะวุ่นวาย นั่นคือไม่ปกติ  ฉะนั้นการรักษาศีลคือการรักษาใจให้ปกติ การมีสมาธิคือการไม่สงบไม่หวั่นไหวกับสิ่งเร้าใจภายนอก แต่หันกลับมามองว่าได้แล้ว สวยแล้ว มันก็ทุกข์ จะมากจะน้อยมันก็ทุกข์  ฉะนั้น อาจารย์จึงอยากให้ศิษย์ตื่นรู้ ไม่ใช่ตื่นรู้จากภายนอก แต่ตื่นรู้จากภายใน การบำเพ็ญธรรมคือเพื่อเยียวยาจิตใจ ให้เข้มแข็งและยอมรับความจริงแห่งธรรมในใจตน เกิดก็ไม่กลัว ตายก็ไม่กลัว เจ็บก็ไม่ว่า เพราะเราทำเต็มที่แล้ว ดั่งที่กล่าวไว้ว่า ทำดีจนถึงที่สุด ศีลธรรมไม่บกพร่อง เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน สามารถมองผู้คนได้เต็มตาว่าฉันไม่เคยทำผิดกับเธอ ฉันไม่เคยว่าร้ายเธอ ฉันไม่เคยเกลียดเธอ และฉันไม่เคยหลงรักเธอจนหัวปักหัวปำ ฉันเข้าใจธรรมแล้ว  ฉะนั้นวันนี้จะตายก็ไม่เสียดายชีวิต เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม อย่ามัวหลงแต่สังขารนี้จนทำร้ายจิตญาณตน สังขารนี้ต้องใช้กรรมตามชะตากรรมที่ศิษย์สร้างมา แต่จิตญาณไม่ได้มีหน้าที่ชดใช้กรรม ฉะนั้นอย่าผูกจิตและเอาจิตไปเกี่ยวกรรมไม่จบสิ้นเลย อาจารย์พูดชัด แต่ศิษย์จะเข้าใจชัดอย่างที่อาจารย์พูดหรือเปล่า ขอให้ศิษย์ไปพิจารณา มันเจ็บแค่สังขาร อย่าไปปลูกฝังจนเจ็บใจ
อาจารย์เคยยกตัวอย่าง พระเทวทัตกี่ภพกี่ชาติก็ต้องตามมาเกลียดพระพุทธเจ้า ตามมาทำร้ายพระพุทธเจ้าใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อไรที่พระพุทธเจ้าพ้นทุกข์ พระเทวทัตไม่มีคนให้ท่านต้องเกลียด ท่านจึงสามารถสำเร็จเป็นปัจเจกพุทธเจ้า  ถ้าศิษย์สามารถทำตัวเองพ้นทุกข์ คนที่ศิษย์เกลียดที่สุดบางทีเขาจะได้ไม่ต้องผูกกรรมกับศิษย์แล้ว ศิษย์ยังได้สร้างบุญกับคนที่ศิษย์เกลียด เมื่อเขาไม่ใฝ่ในความเกลียด ทำไมคนบางคนยังไม่ทันทำอะไรให้เจอหน้าก็ไม่ถูกชะตา รู้สึกเกลียด เขาพูดอะไรนิดหน่อยก็รำคาญเขา เคยเป็นไหม (เคย)  แล้วทำไมเป็นอย่างนั้น แล้วเราจะทำอย่างไรให้คนที่เราเกลียดเขา หรือเราเกลียดเขามันจบกัน ต้องจบที่เราใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมคือขณะนี้ที่เราโดนกระทบจะให้จบ หรือเริ่มไม่จบสิ้น ถามตัวศิษย์นะ จะให้จบ หรือเริ่มไม่จบสิ้น จะให้สิ้นทุกข์ สิ้นเวรกรรม หรือเกี่ยวกรรมกันไปไม่จบ คนที่ฝึกฝนบำเพ็ญแล้วนะศิษย์ เจ็บก็ไม่ทุกข์  อาจารย์อยากให้วิชาแบ่งแยกกายกับใจจริงๆ หมั่นพิจารณาเนื่องๆ กายเจ็บ ใจไม่เจ็บ กายมีหน้าที่ชดใช้กรรมตามชะตากรรมและสังขาร แต่ใจไม่มีหน้าที่ชดใช้กรรมตามสังขารนะศิษย์ ใช่ไหม กายมีวันเจ็บตายได้ จิตญาณไม่มีวันเจ็บตายไม่มีวันแก่
(พระอาจารย์เมตตาให้พระโอวาทซ้อนคำว่า สำนึกได้ อะไรก็ดี
สำนึกได้อะไรก็ดี         สำนึกดีอะไรก็ได้
คิดเป็นเรื่องยากก็ง่าย   คิดได้ก็ต้องคิดดี
ฉะนั้นไม่ว่าศิษย์ทำอะไรลองถามจิตสำนึกตัวเอง ถามธรรมในใจตัวเอง ทำแบบนี้มีเมตตาธรรมไหม ทำแบบนี้ถูกต้องชอบธรรมไหม ถ้าคิดแล้วจิตสำนึกมันบอกว่าอย่าทำเลยมันไม่ดีก็หยุด หยุดแล้วจะดี แต่ถ้าไม่หยุดยังฝืนตามใจมันไม่ดีหรอกนะ แล้วอะไรที่จะทำให้เรามีสำนึกเสมอ นั่นก็คืออยู่ในกรอบแห่งศีลหรืออยู่ในกรอบแห่งความเป็นคน คนทุกคนชอบคนใจดี ชอบคนมีเมตตา ชอบคนชมไม่ชอบคนด่า ชอบคนใจเย็นไม่ชอบคนขี้โมโห ชอบเป็นมิตร แล้วสิ่งที่เราทำตรงข้ามกันหมดเลย ใช่ไหม ฉะนั้นอย่าดูเบาคุณค่าตัวเอง
กลับแล้วนะ ไม่ใช่บำเพ็ญธรรมแล้วเจ็บไม่ได้ ทุกข์ไม่ได้ โชคร้ายไม่ได้ แต่บำเพ็ญธรรมแล้ว เจ็บก็เป็นเรื่องของสังขาร โชคร้ายก็เป็นเรื่องของชะตากรรมที่เราจะได้สิ้นทุกข์ สิ้นเวรสิ้นกรรม ตายก็เป็นการได้พักผ่อนอย่างเต็มที่กลับคืนสู่สภาวะธรรม แล้วอะไรล่ะที่มันไม่ดี มันดีทุกอย่างแต่มันไม่ดีเพราะใจเรามันไม่เอา จริงไหม ศิษย์รู้ได้อย่างไรว่าการมีชีวิตอยู่ไม่สู้การคืนสู่สภาวะธรรม ศิษย์บอกได้หรือว่าการมีชีวิตอยู่นั่นคือสุขที่แท้จริง  ทั้งที่จริงๆ แล้วศิษย์กำลังประมาทและมองเห็นทุกข์เป็นสุข มองเห็นสิ่งที่สวยแท้จริงมันไม่สวย เรากำลังประมาทอยู่หรือเปล่าศิษย์ ฉะนั้นมีสติมีสำนึกที่ดีและบำเพ็ญเยียวยาใจตนให้เข้มแข็ง กล้ายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยหัวใจที่กลับคืนสู่ธรรม บำเพ็ญธรรมบำเพ็ญได้ทุกที่ ที่ไหนก็บำเพ็ญได้ ปฏิบัติธรรมกับคนก็ปฏิบัติได้ทุกที่ ที่ไหนเราก็ปฏิบัติได้ อย่าเลือกบำเพ็ญธรรมปฏิบัติธรรมแค่ที่วัด แต่กลับมาบ้านทำนิสัยไม่ดีเช่นนี้ไม่ถูกต้อง แต่เราต้องปฏิบัติธรรมให้ทุกๆ ที่ เป็นคนดีทุกๆ ที่ ใช่ไหม ฉะนั้นอาจารย์อำนวยพรก่อนจาก ขอให้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนเข้มแข็งและกลับคืนสู่ธรรมที่ตัวเองมานะ ได้ไหม (ได้) ทำอะไรด้วยจิตสำนึกที่ถูกต้องนะศิษย์ เชื่อมั่นในตัวเองว่าเราก็คือธรรม กลับคืนสู่ธรรมได้ แต่จะปฏิบัติหรือยัง ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นหมั่นควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้นะ อย่าปล่อยให้อารมณ์และความยึดมั่นถือมั่นมาทำให้ชีวิตตัวเองพัง และอย่ามัวโลภหลงจนลืมสร้างคุณงามความดี
(นักเรียนและผู้ปฏิบัติงานธรรมในชั้นขอบคุณพระอาจารย์เมตตา)
อาจารย์ไม่ต้องการคำว่าขอบคุณ แต่อาจารย์ต้องการคนที่ปฏิบัติจริง ปฏิบัติธรรมเพื่อธรรม  แล้วใครจะเปลี่ยนไปอย่างไรศิษย์ก็จะไม่หวั่นไหว เพราะเราปฏิบัติธรรมเพื่อกลับคืนสู่ธรรม ฉะนั้นคนที่ปฏิบัติธรรมจะไม่หลงทาง เพราะเขามองแต่ธรรม ธรรมสอนให้เรารู้ว่ามันไม่เที่ยง มันมีทุกข์ มันว่างเปล่า ยิ้มยึดเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทำหน้าที่ตัวเองให้ดี  เสียดายนะอยู่แค่สองวันขาดอีกวันหนึ่ง  รู้แล้วเมื่อไรจะทำ ดีชั่วรู้หมดแต่อดใจไม่ไหว ไม่ได้นะศิษย์  เกิดตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัวนะ แต่การยึดมั่นถือมั่นจนปล่อยไม่ได้นั่นแหละคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด  จิตญาณเข้มแข็งกว่าสังขาร จิตญาณมีค่ายิ่งกว่าร่างกาย ขอเพียงให้เรามองให้เห็นธรรมในตนเอง เพราะธรรมนั้นประเสริฐยิ่งกว่าสังขารอันไม่เที่ยง จริงหรือไม่ (จริง)  สังขารนี้ไม่แน่นอน รักษาจิตญาณให้ดีก็พอ ใช่หรือไม่ (ใช่) ตั้งใจบำเพ็ญนะ เคาะให้ตื่นแต่เคาะหลายทีก็ไม่ตื่นนะ  ตื่นด้วยสติ  ตื่นรู้ด้วยหัวใจที่เสียสละอุทิศ  ตื่นรู้ด้วยหัวใจที่เมตตา เข้มแข็ง  ฉะนั้นถ้ามุ่งมั่นบำเพ็ญก็ต้องมีหัวใจที่เข้มแข็ง เป็นความร่มเย็นให้กับตัวเอง อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบมันทำร้ายศิษย์ อย่าปล่อยให้ความหลงผิดแต่ชั่ววูบทำให้ศิษย์กับอาจารย์จากกันจนไม่มีวันเจอ
ฉะนั้นความหลงแค่นิดเดียวทำให้มนุษย์มืดมน แต่ความตื่นและความคิดถูกทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้จักคิดรู้จักทำนะ จิตญาณเข้มแข็งกว่าสังขาร สังขารไม่เที่ยงฉะนั้นอย่าบำรุงบำเรอจนลืมจิตญาณเดิมแท้นะ ดูแลตัวเองกันดีๆ นะ ร่างกายไม่เที่ยงและไม่ประเสริฐเท่ากับจิตญาณของตัวเราที่รู้จักคิด รู้จักทำในสิ่งที่ดีงาม ตั้งใจบำเพ็ญนะ มีโอกาสมาให้ครบ ร่างกายเข้มแข็ง แข็งแรง ไม่เท่ากับจิตใจที่เข้มแข็งและเข้าใจในชีวิตที่แท้จริง ใช่หรือไม่ ไม่ร้องไห้ ลาแล้วไม่ลาลับนะ ตั้งใจบำเพ็ญนะ รู้เรื่องหรือเปล่าก็ไม่รู้ ยื่นมือแปลว่าจับ ไม่จากแล้วจากเลย ร่วมบำเพ็ญอุทิศเสียสละตัวเองนะ ได้ไหม มีโอกาสเสียสละเวลาแห่งความสุขตัวเองเพื่อคนอื่นบ้างได้ไหม (ได้)  รับปากอาจารย์แล้วนะ
ถ้าอาจารย์โอบกอดศิษย์ทุกคนได้ อาจารย์อยากโอบกอดและให้ขวัญกำลังใจ มีชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งความรักจากใคร จริงไหม ถ้าหัวใจเราเข้มแข็งพอ ถ้าหัวใจเราหนักแน่นพอ เราก็ไม่ทุกข์เพราะใคร แต่เรามีสุขได้ด้วยตัวเอง และเราก็สามารถให้คนอื่นมีสุขได้ อย่าเป็นหัวใจที่เว้าแหว่ง แต่จงเป็นหัวใจที่รู้จักพร้อมจะเติมให้คนอื่นเต็มเพื่อเรา ให้ถึงที่สุดแล้วหัวใจจะเต็มเอง แต่ถ้าหัวใจเอาแต่เว้าแหว่งและร้องขอ ไม่มีวันมีสุขหรอก จริงไหมศิษย์ คิดให้ดีนะที่อาจารย์พูด เพราะอาจารย์ทำมาแล้วอาจารย์จึงเข้าใจ ยิ่งให้ก็ยิ่งเต็ม แต่ยิ่งร้องขอมีแต่พร่องไม่จบสิ้น ให้เท่าที่ให้ได้ เพราะหัวใจของพุทธะ หรือหัวใจแห่งธรรม คือให้โดยไม่หวังผล ให้โดยไม่เรียกร้องยึดมั่นถือมั่นในตัวตน นี่คือหัวใจแห่งธรรม อาจารย์ก็อยากให้ศิษย์กลับคืนสู่ธรรม ธรรมที่เมื่อไปถึงแล้ว ไม่มีคำว่าทุกข์ ไม่มีคำว่าเจ็บ แต่มันคือความอิสระ แต่ตื่นรู้ที่แท้จริงนะศิษย์ ไปละนะ อย่าทุกข์กับเรื่องที่ไม่ควรจะทุกข์เลย ถามตัวเองทำดีหรือยัง หากทำเต็มที่แล้ว ดีแล้ว อะไรจะเกิดก็แค่ก้มหน้ายอมรับ และทำหัวใจให้เข้มแข็งต่อไป ใช่หรือไม่
    พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สำนึกได้อะไรก็ดี”
      คนตื่นตาแต่ว่าไม่ตื่นใจ                           เรื่องถูกผิดพูดไปไม่จบสิ้น
บำเพ็ญธรรมย้อนมองตนเป็นอาจิณ                   เมื่อผืนดินกลบหน้าเหลือแต่บาปกรรม
จิตสำนึกบังเกิดดั่งประกายไฟ                         อย่าปล่อยให้ดับไปไร้ค่าดั่งฝุ่น
จักต้องหมั่นคอยทวนให้เป็นคุณ                       โลกมีดุลย์ใจจิตญาณต้องสมบูรณ์
      สำนึกได้อะไรก็ดี                                 สำนึกดีอะไรก็ได้
คิดเป็นเรื่องยากก็ง่าย                                  คิดได้จะต้องคิดดี

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา