วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

2559-05-28 สถานธรรมหงหยัง อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่

西元二○一六年歲次丙申四月二十二日                                     仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๙      สถานธรรมหงหยัง อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
  อย่ารับศีลแต่กลับไม่ปฏิบัติ             คนใฝ่ดีแต่กลับทำไม่ได้
จิตสำนึกความถูกต้องเลือนหายไป       แล้วจะเหลือธรรมอะไรคอยยั้งตน
                                เราคือ
  ศิษย์พี่นาจา                         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานหงหยัง แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว            ถามศิษย์น้องทุกคนเหนื่อยไหม
  การเป็นคนมุ่งมั่นจึงทำมาก             ขอฝากอย่าได้ทำตัวลุ่มหลง
ขี่หลังเสือต้องรู้ทางลง                    เดินสายตรงบำเพ็ญด้วยปัญญาธรรม
การบำเพ็ญท่ามกลางมวลหมู่ปัญหา     แกนความศรัทธามีปัญญาชูค้ำ
ตนคนดีฟื้นฟูคุณธรรม                    ฟื้นงามในใจธรรมมาประคอง
กิริยางดงามหลั่งล้นออกไป               นิสัยดีจิตได้การยกย่อง
คำพูดงามผู้นำนักปกครอง               รักษาความถูกต้องธรรมเกรียงไกร
คนบำเพ็ญสุภาพชนไม่เล่นมุข[๑]          สัจธรรมไม่กลืนหายทุกยุคสมัย
คุมสติใช้ไปทุกเรื่องง่าย                   ประจักษ์โทษนิสัยเพราะสิ่งที่เป็น
ตามใจตนหลงตามกิเลสอัตตา            ตามนิสัยเพาะอวิชชาพาทุกข์เข็ญ
ตื่นรู้ตนมีสติธรรมร่มเย็น                 เกิดปัญญาธรรมเป็นรู้เหมาะควร

                                                                                                      ฮิ ฮิ หยุด




[๑] มุข  มีลูกเล่นตลกโปกฮา

พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา

เราเล่นเกมอะไรเอ่ยดีไหม เราถามนะ อะไรเอ่ยบางครั้งก็มี บางครั้งก็ไม่มี อะไรเอ่ยบางครั้งก็เล็กนิดเดียว บางครั้งก็ใหญ่ อะไรเอ่ยบางครั้งก็ดูดี บางครั้งก็ดูแย่ (ใจ,จิตของเรา,สตางค์)
มีสตางค์บางครั้งก็ดี บางครั้งก็แย่ใช่ไหม บางทีมันก็ใหญ่ บางทีมันก็เล็กใช่ไหม ใช่สตางค์ไหม ถูกไหม (ไม่ถูก)  อะไรที่มีเหมือนไม่มี อะไรที่บางครั้งเล็กนิดเดียว บางครั้งก็เหมือนใหญ่มากๆ และอะไรหรือที่บางครั้งก็ดูสวยแต่บางครั้งก็ดูแย่ คือใจของเรา นั่งอยู่ตรงนี้บางครั้งมันก็อยู่ บางครั้งก็ไม่อยู่ นั่งตรงนี้เดี๋ยวบางครั้งก็รู้สึกดี บางครั้งก็รู้สึกแย่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งก็เหมือนรู้สึกอยู่ บางครั้งก็เหมือน (ไม่รู้)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเชื่อหรือไม่ว่า ถ้าเราคุมใจตัวเองได้อยู่ ใจก็จะสามารถคุมทุกสิ่งทุกอย่างให้ดีหรือแย่ ให้มีหรือไร้ก็ได้ และถ้าเราคุมใจได้อยู่ รู้เท่าทันใจตัวเอง ใจดวงนี้ก็จะทำให้เรารู้สึกสวยหรือไม่สวยก็ได้ และถ้าเรารู้เท่าทันใจคุมใจได้อยู่ แม้เราอยู่ตรงนี้ บางครั้งเราก็เหมือนไม่อยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าฟังธรรมแต่กลับไม่รู้เท่าทันใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านอยากจะให้เราอยู่หรืออยากให้เรากลับ (อยู่)  การอยู่ของเราบางทีอาจจะดีแล้วก็ไม่ดีได้ แล้วการอยู่ของเราบางครั้งมีก็เหมือนไม่มีได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญในการดำเนินชีวิต สิ่งที่สำคัญในการเรียนรู้ศึกษาธรรมจึงไม่ใช่ผู้อื่นผิด ผู้อื่นไม่ดี ผู้อื่นแย่ ผู้อื่นไม่ได้เรื่อง ผู้อื่นไม่เห็นมีอะไร ต้องถามใจตัวเองก่อนว่าเราเห็นเขามีหรือไม่มี เห็นเขาดีหรือเห็นเขาแย่ เห็นเขาสวยหล่อหรือเห็นเขาไม่ได้เรื่องได้ราว แท้จริงอยู่ที่เขาหรืออยู่ที่ใจเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ศิษย์พี่นาจาเมตตาให้นักเรียนฝึกสติโดยการลุกนั่งตามคำสั่ง)
ง่ายหรือไม่ (ง่าย) แต่ชีวิตง่ายแบบนี้หรือไม่ (ไม่)  การเล่นเกมก็เหมือนการฝึกสติ  ถ้าเราช่วยตัวเองให้รอด เราจะช่วยเพื่อนให้รอดด้วย แต่ถ้าเราช่วยตัวเองไม่รอดเราก็ทำความเดือดร้อนให้เพื่อนถูกหรือไม่
ท่านรู้ไหมการเรียนรู้ศึกษาธรรมสิ่งสำคัญคือจิตสำนึกของความถูกต้อง จิตสำนึกของความเป็นคน ถ้าคนเราลืมจิตสำนึกของความถูกต้องและจิตสำนึกของความเป็นคนไม่มี ก็จะลืมไปว่าตัวเองทำหรือเป็นอะไรอยู่ เพราะจิตสำนึกแห่งความถูกต้องหรือจิตสำนึกแห่งความเป็นคนหลงลืมแล้ว เราก็ทำผิดๆ ถูกๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเราทำผิดๆ ถูกๆ แล้วถูกคนต่อว่า เรามักจะไม่ยอมรับผิด  ถ้าเขาสั่งครั้งแรกแล้วท่านฟังไม่รู้เรื่องนั้นเป็นความผิดของคนสั่ง  แต่ถ้าเขาสั่งครั้งที่หนึ่งก็แล้ว ครั้งที่สองก็แล้ว ครั้งที่สามก็แล้ว ท่านยังผิดอีก นั่นไม่ใช่ผิดที่คนสั่งแต่ผิดที่ตัวท่านแล้ว อย่างนั้นเรามาดูกันต่อว่าใครจะทำถูกหรือผิด
สิ่งที่สำคัญท่านต้องรู้จักตัวเองก็พอแล้ว เพราะถ้าท่านรู้จักตัวเองท่านก็จะไม่ทำให้ใครเดือดร้อนจริงไหม (จริง)  ถ้ามีสติรู้หน้าที่ของตัวเองแล้วก็รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองให้ดี ก็ไม่ต้องทำให้ใครเดือดร้อน ใช่ไหม (ใช่)
(ศิษย์พี่นาจาเมตตาให้ผู้ที่ทำผิดออกมาเต้นเป็ดแต่นักเรียนไม่กล้าออกมาเต้นเป็ด)  จริงๆ แล้วการเต้นเป็ดก็ไม่เห็นจะน่าอายอะไรเลย เต้นเป็ดทำให้คนมีความสุข ดีกว่าไปกินเหล้า สูบบุหรี่ มีชู้ ใช่ไหม (ใช่)
ท่านเคยได้ยินไหมว่า “ขึ้นชื่อว่ามนุษย์เป็นรากเหง้าของความเจริญ ถ้ารากเหง้าของความเจริญรู้จักอบรมให้มีศีลมีธรรม รากเหง้าของความเจริญนั้นก็จะเป็นสิ่งที่ดีงาม” ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าขึ้นชื่อว่ามนุษย์เป็นรากเหง้าของความเจริญ ขาดเรื่องศีลเรื่องธรรม รากเหง้านั้นไปอยู่ที่ใดก็พร้อมจะทำลายทำร้ายคนให้เจ็บปวด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเขาเรียกว่าเรียนทางโลกทำให้คนฉลาด แต่เรียนธรรมะทางธรรมทำให้คนดี คนขยันเรียนทางโลกจึงเป็นคนฉลาดแต่พอให้เรียนทางธรรมเขาบอกว่าขี้เกียจ ฉะนั้นจึงกลายเป็นว่าคนในโลกเป็นคนฉลาดแต่หาเป็นคนดีได้สมบูรณ์ไม่ 
ฉะนั้นถ้าเราเรียนทางโลกแล้วเรายังเรียนทางธรรมเราก็จะกลายเป็นคนที่ทั้ง ฉลาดและดี  แต่คนในโลกยังอยากเป็นแค่คนฉลาดแต่คนดียังไม่อยากเป็น คนฉลาดนั้นก็พยายามจะเรียกร้องให้คนอื่นดี แต่ตนเองนั้นลืมเป็นคนดี เราจึงเห็นคนในโลกมากมายที่ตัวเองยังไม่ค่อยดี ยังไม่ค่อยซื่อตรง ยังไม่ค่อยบริสุทธิ์ยุติธรรม แต่เรียกให้คนอื่นดี ซื่อตรง มีความยุติธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราเป็นคนแบบนั้นหรือเปล่า ถ้าเราเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ไปอยู่ที่ใดใครก็รัก จริงไหม
ถ้าเราเป็นคนมีเมตตา มีน้ำใจ ไปอยู่ที่ใดใครๆก็เคารพให้เกียรติ ถ้าเราเป็นคนซื่อตรง  ไม่คิดคด ไม่คิดฉ้อฉล ไม่คิดเอาเปรียบ ไปอยู่ที่ใดก็ไม่มีใครดูถูกเหยียดหยาม  ถ้าเราเป็นคนมีน้ำใจช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน ไม่นิ่งดูดาย ไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่คนรัก จริงหรือไม่ (จริง) แต่ในความจริงมีใครรักเราหรือไม่  มีใครจริงใจเราหรือไม่ มีใครเคารพเราหรือไม่ มีใครเหยียดหยามเราหรือไม่ (มี)  มีหมดเลย เพราะเราไม่เคยทำในสิ่งที่เราพูดไว้เลย ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นรากเหง้าของความเจริญ ถ้าไม่รู้จักอบรมศีล อบรมธรรม เรียกร้องคนอื่นไปก็เปล่าประโยชน์  เพราะตัวเองยังไม่เคยมี แต่ถ้าตัวเองมีแล้วทำได้ดี ไม่ต้องเรียกร้องเดี๋ยวเขาก็ทำเอง ฉะนั้นอยากให้เขารัก เราอ่อนน้อมถ่อมตนหรือยัง เรามีเมตตาแล้วหรือยัง ส่วนใหญ่เห็นแต่หัวแข็ง ฉันแน่ ฉันเก่ง
เราถามท่านว่าทุกข์สุขอยู่ที่ไหน (ใจ) แต่เวลาถูกคนด่าทำไมทุกข์สุขอยู่ที่ปาก  ใจมันสั่งปาก ในเมื่อทุกข์สุขอยู่ที่ใจ เราจะบอกว่าอยู่ที่การกระทำด้วย หว่านพืชเช่นใดย่อมได้รับผลเช่นนั้น ไม่อยากให้เขาด่าเราต้องทำตัวให้น่าเคารพ ไม่อยากให้เขาดูถูกเหยียดหยาม เราก็ต้องรู้จักขยัน ไม่เอาเปรียบ ไม่คดโกงใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)
อยากให้เขาไม่ทอดทิ้ง ดูแลเอาใจใส่ ฉะนั้นยามทุกข์ยามมีไข้ยามเดือดร้อนเราจะต้องเป็นห่วงเป็นใยดูแลเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงแม้ว่าเราจะไม่ทำตรงนี้ถึงแม้เราจะบอกว่าทุกข์สุขอยู่ที่ใจ แต่เวลาเขาด่าที ทุกข์สุขเราก็อยู่ที่ปากเขา ท่านบอกว่าทุกข์สุขอยู่ที่ใจแต่ถึงเวลาเขาด่าเรา เราโกรธเขาไหม (โกรธ)  ไหนท่านบอกว่าทุกข์สุขอยู่ที่ใจ เวลาเจอเรื่องร้ายๆ ทำไมท่านจึงรู้สึกแย่ ตกลงทุกข์สุขอยู่ที่เรื่องราวหรืออยู่ที่ใจเรา เห็นหรือไม่ ท่านพูดได้แต่พอถึงเวลาท่านทำไม่ได้ เพราะอะไร
อย่างที่เราบอกตั้งแต่ต้นว่า รู้ธรรมไปมากมายแต่ถ้าไม่รู้จักควบคุมใจ ธรรมนั้นก็เปล่าประโยชน์ เรียนรู้ธรรมฟังธรรมไปตั้งมากมาย แต่ถ้าไม่เท่าทันใจธรรมนั้นก็ไม่มีค่า ฉะนั้นธรรมจึงไม่ได้สอนให้เราแค่ฟังแล้วรู้ แต่รู้แล้วต้องนำมาให้เท่าทันใจ มีสติควบคุมใจได้ ถึงจะเรียกว่ามีประโยชน์ ถูกหรือไม่ (ถูก) 
เหมือนเราถามท่านว่า สมมติมีคนมาดูถูกเหยียดหยามเรา เราโกรธไหม ทุกข์ไหม ทั้งโกรธทั้งทุกข์เลย ทั้งที่ตัวเองเป็นคนพูดว่าทุกข์สุขอยู่ที่ใจ แต่ทำไมเอาใจเราไปฝากไว้กับตัวเขา เราถามท่านว่า ท่านชอบทำบุญไหม (ชอบ)  ท่านชอบให้ทานไหม (ชอบ)  ถ้าสมมติว่าแม้เขาไม่ได้เป็นภิกษุสงฆ์ แต่เขาเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา เขาด่าเรา เราให้ทานเขาไม่ได้หรือ  การให้ธรรมะเป็นทาน เป็นทานที่ประเสริฐที่สุด แต่ทำไมเราไม่ให้ธรรมะเขา เรากลับให้เวร ให้กรรม ให้ความโกรธ ความเกลียด ความเจ็บ ความแค้นล่ะ
ท่านเคยได้ยินไหมว่า “ที่ใดที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ ที่นั่นก็สามารถเป็นมรรคผลพระนิพพานได้” ถ้าตอนนี้เขากำลังด่าเรา ดูถูกเรา เราจะทำให้ตัวเองเป็นทุกข์หรือทำให้ตัวเองพ้นทุกข์ เราจะทำให้เกิดเป็นบุญ หรือเราจะทำให้เกิดเป็นบาป เราจะทำให้เกี่ยวกรรมหรือสิ้นเวรสิ้นกรรม (สิ้นเวรสิ้นกรรม)  อนุโมทนาด้วยนะ ขอทำให้ได้อย่างนี้เทอญ ใช่ไหม (ใช่) 
เราชอบคนดีหรือชอบคนชั่ว (คนดี)  ชอบมิตรหรือชอบศัตรู (มิตร)  ชอบคนก่อเวรก่อกรรมหรือชอบคนสิ้นเวรสิ้นกรรม (คนสิ้นเวรสิ้นกรรม)  เวลาเราชอบ เราควรจะมีไว้กับตัวหรือเราควรจะแค่มองเห็น  เราควรมีไว้กับตัวหรือให้คนอื่นมี ตัวเองไม่ต้องมี เราควรมีเอง ถูกไหม (ถูก)  ถ้าเขาด่ามาเราควรทำดีหรือควรทำชั่ว (ทำดี)  ฉะนั้นจำไว้นะ ชอบคนสิ้นเวรสิ้นกรรม เวลาเขาด่ามาเราไม่ควรด่ากลับ  ชอบคนไม่มีเวรมีกรรมต่อกัน หากถูกเขาเหยียดหยาม เขาดูหมิ่นเรามา เขาต่อว่าต่อขานเรามา เราควรจะให้อภัย  แต่ถึงเวลาจริงๆ แล้วเราเลือกทำหรือไม่ (ไม่ได้ทำ)
คุยกันง่ายๆ แต่ทำยากหรือไม่ เรารู้ว่าวันนี้เป็นวันแรกท่านอาจจะเพลีย อาจจะล้า ฉะนั้นเราจะพูดสั้นๆ ง่ายๆ แล้วจบเลย ดีหรือไม่ (ดี) มนุษย์ทุกคนเป็นรากฐานของความเจริญ ถ้ารู้จักอบรมศึกษาธรรมให้ดีงาม รากฐานความเจริญนั้นก็จะมีสิ่งดีเป็นส่วนประกอบด้วย ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นถามว่าให้มาอบรมธรรม มนุษย์ก็จะบอกว่ายังก่อน เดี๋ยวก่อน ทั้งที่การอบรมเรียนรู้ธรรมคือการอบรมเรียนรู้เข้าใจชีวิตของตัวเองที่เป็น รากฐานบุญ เหมือนถามท่านว่าหากไม่เรียนรู้ธรรมท่านจะรู้หรือไม่ว่าตัวเองสามารถเป็นคน ดีที่หนึ่งได้  บางครั้งการอยู่ในโลกกลับรู้สึกว่าตัวเองไม่ดี ไม่มีเมตตา คดโกง ใช่หรือไม่ (ใช่)
การอบรมธรรมเพื่อให้รู้ว่าเราเป็นคนดี มีความดีอยู่ในตัว แต่เราเลือกที่จะไม่ใช้ความดีในตัว มักจะเลือกใช้อารมณ์ กิเลส และนิสัย มากกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) และอารมณ์ กิเลส และนิสัยก็เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ การเวียนว่ายและความเจ็บปวด ฉะนั้นวิธีที่จะทำให้เราเรียนรู้และป้องกันมากที่สุดคือการมีสติ และเห็นคุณค่าธรรมในตนเอง  ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถึงเวลาเรามักจะเลือกอารมณ์ กิเลส และนิสัยมากกว่าสติ หรือธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) เราเอาแต่ว่าเขา ดูถูกเขา ถูกหรือไม่ แต่เราบอกแล้วว่าธรรมล้วนเกิดแต่ใจ  มีใจเป็นใหญ่มีใจเป็นประธาน เกิดขึ้นทั้งมวลด้วยใจ ถ้าใจของมนุษย์ผาสุก ความคิด คำพูด การกระทำ การดำเนินชีวิตก็เต็มไปด้วยสุข  ถ้าใจของมนุษย์เต็มไปด้วยทุกข์ ความแบ่งแยก ความอิจฉา ความรังเกียจ ทำให้คำพูดการกระทำก็เต็มไปด้วยทุกข์ การแบ่งแยก ควาามอิจฉาและการรังเกียจ ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นสิ่งสำคัญก็คือใจ แล้วรู้หรือไม่ว่าใจนี้หากประกอบไปด้วยธรรมที่เรียกว่าเมตตา ซื่อตรง อ่อนน้อม ใจที่ประกอบด้วยมโนธรรมสำนึก ใจที่ประกอบด้วยธรรมนี้จะไม่ทำให้เราผิดพลาด ไปก่อกรรม ก่อกิเลส ก่ออารมณ์ ถูกหรือไม่
 เข้าใจไหม (เข้าใจ)  อย่างนั้นเราถามท่านว่ากิเลสที่เป็นความโกรธ ความโลภ ความหลง ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  ตอบเหมือนกันหมดจริงๆ หรือ ไม่มีใครตอบว่าไม่ใช่เลยหรือ ใจเป็นหลัก ใจเป็นประธาน ใจเป็นใหญ่ ถ้านิ่งแล้วโลภมา โกรธมา หลงมา ใจก็ไม่ตกไปเป็นทาสความโลภ โกรธ หลง แต่ถ้าเมื่อไรยังมองเห็นโลภ โกรธ หลง ไม่ดีแปลว่าใจท่านนั่นแหละไม่ดี แล้วเมื่อกี้ท่านบอกเราเองนี่ ท่านชอบบุญ ท่านชอบไม่เกี่ยวกรรม ท่านชอบความดี ฉะนั้นเขาด่าให้เราโกรธทำไมท่านถึงโกรธ แปลว่าท่านไม่ชอบบุญ แต่ท่านชอบกิเลส เขาแช่งชักให้เราเจ็บปวดแล้วเราแช่งชักตอบแปลว่าเราไม่ชอบบุญ เราชอบการชิงชังหักหลังให้ตายกันเลย ตกลงท่านชอบอะไรกันแน่ เหมือนกันเขาโกรธเรา เขาทำเราเจ็บครั้งเดียว แต่ถ้าเรารู้จักเอาธรรมให้คืนไป ความโกรธนั้นก็จบ แต่เรากลับเอาความโกรธนั้นมาเป็นดาบคอยทิ่มใจเรา ตกลงท่านรักความโกรธ ไม่รักตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ท่านรักบาป ไม่รักบุญ ท่านเลือกจะเป็นคนชั่ว ไม่เลือกเป็นคนดี ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แล้วถึงเวลาทำไมตามกิเลส ไม่ตามธรรม ถึงเวลาท่านให้กิเลส ทำไมท่านไม่ให้ธรรม ไหนว่าเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ มนุษย์ผู้ประเสริฐต้องถือธรรมเป็นหลัก ไม่ใช่ถือกิเลสเป็นหลัก ถ้าถือกิเลสเป็นหลักเรียกว่าเป็นมาร อย่างนั้นเราถามท่านว่า ทุกชีวิตดำเนินชีวิตด้วยกิเลสหรือดำเนินชีวิตด้วยธรรม (ธรรมะสอนเรา)  ถูกไหม (ถูก)  ท่านบอกว่าศัตรูกับศัตรูทำร้ายกันยังไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่หลงผิด ใจที่คิดผิด ทำให้เราอยู่ที่ไหนก็สร้างศัตรู แต่ถ้าใจที่คิดถูก อบรมถูก มีธรรมถูก อยู่ที่ไหนก็เป็นที่ประเสริฐ ถ้าอย่างนั้นเราถามว่าท่านอยู่บนโลกมีมิตรหรือมีศัตรู (มิตร)  อยู่บนโลกท่านมีกิเลสมากหรือมีธรรมมาก  เมื่อไรเราทำอะไรมีสติรู้ตัวรู้ตนไม่เลือกกิเลสแต่เลือกธรรม ท่านจะพบความเป็นพุทธะ ธรรมะ สังฆะอยู่ในตัวเอง หรือเรียกว่า เหตุแห่งทุกข์มรรคผลนิพานจบที่ตรงนี้ทันที ด้วยความมีสติรู้ตน
ถ้าเมื่อใดท่านไม่เลือกธรรม แต่เลือกกิเลส เลือกความเกลียด เลือกการจองกรรม เลือกความไม่ยอม ท่านจะตกเป็นทาสของการเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้นและไม่มีวันสิ้นทุกข์ได้ ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนๆ แต่ถ้าท่านเลือกธรรม ท่านจะพบปัญญาอันสว่าง ธรรมอันแท้จริงและผู้บริสุทธิ์ที่อยู่ตรงนี้
ชอบคนดีใช่ไหม (ใช่)  เคารพศรัทธาพุทธะใช่ไหม (ใช่)  ชอบความสงบใช่ไหม (ใช่)  ทำไมชอบแล้วท่านเอาแต่ไหว้ข้างนอก แต่ลืมชอบปฏิบัติ และลืมกราบไหว้ตัวเอง  ทำไมถึงรอไหว้คนอื่น รอเคารพคนอื่น แล้วไหว้ตัวเองไม่ได้ 
พระพุทธะทำตัวเองสิ้นชั่ว สิ้นกิเลส เพื่อเป็นคนดีแล้วประจักษ์ให้รู้ว่า แม้สิ้นพระพุทธองค์ ไม่มีพระพุทธองค์ให้ยึดถือ พระพุทธองค์กลับสอนว่าจงถือธรรมเป็นที่พึ่ง ซึ่งธรรมนั้นไม่ใช่อยู่ในพระไตรปิฎก แต่ธรรมนั้นอยู่ในตัวทุกๆ คน  ถ้าเมื่อไรค้นพบธรรม เมื่อนั้นท่านก็คือพระพุทธะบนดินที่บริสุทธิ์และถูกต้อง ใช่ไหม (ใช่)  แล้วทำไมเอาแต่ไหว้ เอาแต่เคารพผู้อื่นว่าศักดิ์สิทธิ์จังเลย แล้วตัวเราล่ะ ทำไมไม่เคยศักดิ์สิทธิ์ ไม่เคยดี ไม่เคยน่าเคารพเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วไหนบอกว่ารักความดีไง ไหนบอกว่าชอบความดีไง ทำไมถึงไม่ทำ รักจริงก็ต้องทำจริง ไม่ใช่พูดได้แต่ทำไม่ได้ ใช่ไหมศิษย์น้อง (ใช่) 
วันนี้ศิษย์พี่มาเข้มไปหน่อย แต่เข้มแล้วอยากให้ทำเป็นนะ จริงไหม เราไหว้พระเพราะเห็นว่าท่านดี เราไปวัด เพราะสงบ แล้วทำไมตัวเรานี้สงบไม่เป็น ร่มเย็นไม่เป็น ดีไม่เป็นหรือ จึงต้องพึ่งพระข้างนอกตลอด ใช่ไหม (ใช่)  ทำไมไม่ทำตัวเองให้เป็นที่พึ่ง แล้วถ้าเราพึ่งตัวเองได้ เราก็เป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราเป็นพุทธะได้ คนรอบข้างเราก็เป็นพุทธะ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราเป็นมาร คนรอบข้างก็เป็นมาร ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเห็นเขาเป็นพระเราก็เป็น  (พระ) เห็นเขาเป็นมารเราก็เป็น (มาร)  ฉะนั้นชีวิตเริ่มมาแล้ว จะจบลงด้วยอะไร ไม่ใช่ฟ้ากำหนด ไม่ใช่คนต่อว่า ไม่ใช่คนขีดเส้น แต่เราต้องขีดเส้นและกำหนดด้วยตัวเอง จริงไหม (จริง)  อยากมีแฟนก็ยังต้องหาแฟนดีๆ อยากมีงานก็หางานดีๆ อยากมีเพื่อนก็อยากหาเพื่อนดีๆ แต่ตัวเองไม่ดี บ้าไหม (บ้า)  โง่ไหม (โง่)  ตัวเองที่โง่ ที่บ้า ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นพระพุทธองค์จึงสอนไว้ว่า เมื่อใดท่านดับขันธ์แล้ว อย่าถือตัวท่าน แต่ให้ถือธรรม ซึ่งธรรมนั้นไม่ใช่มีอยู่ในตัวพระองค์ แต่มีอยู่ในตัวเรา เราจะเลือกธรรมหรือเลือกกิเลส
สอนให้เราเมตตา อ่อนน้อม สุภาพ ซื่อตรง จริงใจ รับศีลห้ามาปฏิบัติได้ครบหรือไม่ ไม่ครบจริงไหม (จริง)  ทำไมมนุษย์ทุกคนพูดเหมือนกันหมด ชอบดี ชอบหลวงพ่อองค์นั้นดี ไปไหว้ที่โน้นดี ไปที่นั้นสงบ แต่ที่ใจไม่เห็นดีไม่เห็นสงบเลย ใช่ไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หาได้ในตัวเรา ศีล สมาธิ ปัญญา จบได้ที่ตัวเรา
สิ่งใดเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ ที่นั่นเป็นมรรคผลนิพพานได้ในตัวเรา แต่อยู่ที่ว่าเราตัวนี้ เมื่อโดนกระทบจะก่อเกิดเป็นกิเลส อารมณ์ หรือเมื่อถูกกระทบจะก่อเกิดเป็นธรรม เข้าใจธรรม แจ้งในธรรม และวางในธรรม วางในตัวเท่านั้นเองนะศิษย์น้อง ใช่ไหม (ใช่)  ที่ถูกเขาว่าแล้วโกรธก็เพราะรับไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปรับ ที่ถูกเขาดูถูกแล้วเสียใจ เจ็บใจ ก็ไม่ต้องไปเสียใจ ไม่ต้องเจ็บใจ ดูถูกดีแล้วดีกว่าดูผิด เมื่อไรยังยึดมั่นก็แสดงว่าเรายังไม่ปล่อยว่าง แต่ธรรมสอนให้เราให้ไม่ใช่หรือ ธรรมสอนให้เราให้ ให้จนไม่มีอะไรให้ยึดถือ เพราะความยึดมั่นถือมั่นเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งมวล ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ไปแล้วนะ ฉะนั้นถึงเวลาเลือกธรรมอย่าเลือกกิเลส เลือกความถูกต้อง อย่าเลือกตามใจตัวเอง ทำให้ได้นะศิษย์น้อง ไม่เช่นนั้นศิษย์น้องจะไม่ได้เป็นพุทธะแต่จะเป็นพญามาร ที่เวียนวายตายเกิดในรัก โลภ โกรธ หลง ไม่จบสิ้น ฉะนั้นคิดไตร่ตรองและพิจารณาให้ดี ไปแล้ว








วันอาทิตย์ที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๙   สถานธรรมหงหยัง อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  อย่าสั่งสมเหตุปัจจัยนานาทุกข์         ใช้สติในธรรมปลุกปัญญาตื่น
อย่าตกเป็นทาสกิเลสอารมณ์หมื่น       หลงดาษดื่นหนึ่งคนตื่นพาพ้นภัย
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา              ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                      ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม

          บนเส้นทางแสงธรรม  จะบำเพ็ญน้อมนำให้บุญเรียงราย  ดั่งพงศาธรรมฝากไว้  สันติพบภายในใจ  เยือกเย็นเหมือนธรรม 
          ใจจ้าเป็นแสงทอง  การเบียดเบียนครอบครอง  หายไปวันวาน  วนเวียนเกิดตายสังสาร[๒]  เมฆก้อนนั้นในเงาจันทร์ไม่มีหน้าตา 
*แสงแห่งธรรมปรกใจทางแห่งปรมัตถ์[๓]  ความแจ้งใดไม่ชัดไปยิ่งกว่า  มุ่งสู่ทางหลุดพ้นจะดีไหม  ใช้ชีวิตอรรถา  แสงมามืดก็พลันหายไป  พบธรรม ณ ใจ 
          ธรรมสบายสายลม  กางใบเรือล้อลมให้ลมพาไป  คุณธรรมฝากไว้  ถึงวันนี้ยากเท่าไร  ก้าวไปด้วยกัน  (ซ้ำ *)
ทำนองเพลง : สัญญากาสะลอง
ชื่อเพลง : แสงธรรมแสงทอง



[๒] สังสาร   การเวียนว่ายตายเกิด
[๓] ปรมัตถ์  ๑. ประโยชน์อย่างยิ่งคือพระนิพพาน
                   ๒. ความหมายสูงสุด, ความหมายที่แท้จริง

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

นั่งฟังธรรมแล้วสบายใจหรือไม่ ถ้านั่งแล้วสบายใจก็เรียกว่าบุญ นั่งฟังธรรมแล้วใจหม่นหมองก็เรียกบาป บุญคือ เครื่องชำระใจให้ผ่องใส ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้านั่งฟังธรรมแล้วยิ่งผ่องใสก็แปลว่านั่งแล้วได้บุญ แต่ถ้านั่งแล้วหดหู่ นั่งไปก็ได้บาป
“อย่าสั่งสมเหตุปัจจัยนานาทุกข์      ใช้สติในธรรมปลุกปัญญาตื่น
อย่าตกเป็นทาสกิเลสอารมณ์หมื่น     หลงดาษดื่นหนึ่งคนตื่นพาพ้นภัย
หลายคนบอกว่าอยู่ในโลกเรียนหนังสือก็หนักแล้ว ทำงานหาเงินในโลกก็หนักแล้ว แล้วให้มาเรียนธรรมอีก หนักจังเลย ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แล้วมีคนเคยคิดถามหรือไม่ว่า ทำไมต้องมาเรียนธรรมะ ถ้าอาจารย์ถามว่าเรียนวิชาหาเงินให้รวยๆ เอาหรือไม่ (เอา)  แต่บอกว่าเรียนธรรมเพื่อพ้นทุกข์
เอาหรือไม่ (เอา)  เรียนแล้วพ้นทุกข์หรือยัง

หลายคนบอกอาจารย์ว่า เรียนทางโลกก็ยากและหนักแล้ว ไม่ใช่จะเข้าใจง่ายๆ บางทีเรียนไปก็ไม่รู้ว่าจะได้อะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามกลับว่า ศิษย์เคยไหมเวลาที่ทำงานอยู่กับคนทางโลก บางครั้งคนบางคนทำงานเหมือนกับเรา เขาก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ แต่ทำไมเรากลับย่ำอยู่กับที่ เป็นไหม (เป็น)  คนบางคนไม่เคยถูกด่าเลย แต่ทำไมเราจึงถูกด่าเช้าด่าเย็น  เป็นไหม (เป็น) 
เคยไหมเวลาเรียนหนังสือ เพื่อนก็เรียนเหมือนกับเรา ครูก็คนเดียวกัน ทำไมเพื่อนสอบได้ที่หนึ่ง แต่เรากลับสอบได้ที่ห้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตกลงว่าเกิดจากอะไร ฟ้าเป็นผู้กำหนดใช่ไหม (ไม่ใช่)  คนเป็นผู้ที่ทำให้เราเป็นอย่างนี้ใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วใครเป็นผู้ทำ (ตัวเราเอง)  ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าชีวิตที่เราพบทุกวันนี้คือสิ่งที่เราทำ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นชีวิตต่อไปจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  โทษฟ้าได้ไหม (ไม่ได้)  โทษคนได้ไหม (ไม่ได้)  ขอฟ้าได้ไหม ขอให้โชคดี แต่ด่าเขาทุกวัน แล้วเราจะโชคดีไหม (ไม่ดี)  ฉะนั้นก่อนจะขอคนอื่น ก่อนจะโทษคนอื่น เราต้องถามตัวเราเองก่อน ถูกหรือไม่ (ถูก)  แปลว่าทุกเรื่องราวจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่าตัวเรานี้ทำอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เราเรียนอะไรมาตั้งมากมาย แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่เราไม่เคยเรียนคือธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำไมเราต้องเรียนธรรม และธรรมแปลว่าอะไร ถ้าแบบเข้าใจง่ายๆ ธรรมแปลว่าธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตัวเรามีธรรมชาติไหม (มี)  ฉะนั้นถ้าเราเรียนธรรมชาติ เข้าใจธรรมชาติ เราก็จะเข้าใจตัวเอง เพราะเราก็คือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรม เราก็จะเข้าใจตัวเอง ถ้าเราศึกษาธรรม เราก็จะได้ศึกษา ตัวเอง  แล้วเราอยากศึกษาตัวเราไหม (อยาก)  แล้วทำไมเวลาให้มาฟังธรรม ปฏิบัติธรรม เราถึงไม่เอา ทั้งที่ต่อไปนี้เราจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับตัวเราจะทำเช่นไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าอย่างนั้นถามต่ออีกว่า เรียนธรรมเพื่อเข้าใจตัวเองแล้วจะช่วยอะไรได้  ศิษย์มักจะบอกว่า ศิษย์ก็ฟังมาตั้งนาน รู้อะไรมากมาย แต่ไม่เห็นจะช่วยให้ศิษย์ได้อะไรเลย จะพ้นทุกข์สักเปราะ  บางทียังไม่ค่อยมีเลยนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ยกตัวอย่างธรรมง่ายๆ ที่อาจารย์เรียนธรรมในตัวเอง แล้วธรรมนั้นทำให้อาจารย์พ้นทุกข์ได้ด้วยตัวเอง ศิษย์อยากรู้ไหม (อยากรู้)  ธรรมนั้นง่ายๆ คือ “สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นก็มีความดับ”
ถูกหรือไม่ (ถูก)  เพราะฉะนั้นใครจะด่าเรา ใครจะว่าเราขนาดไหน คิดไว้เสมอว่า “สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นดับ” เพราะจะมีใครที่ด่าเราตั้งแต่ต้นปียันท้ายปีไม่มีวันเว้น มีบ้างไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นถ้าเราคิดเสมอว่า สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นมีความดับ เราจะทุกข์หรือไม่ (ไม่ทุกข์)  แล้วเราจะเข้าใจธรรมชาติของความเป็นคนหรือไม่ (เข้าใจ)  ฉะนั้นการเข้าใจธรรม การเข้าใจชีวิตจะช่วยให้เราพ้นทุกข์และอยู่กับคนได้อย่างเป็นสุข
(พระอาจารย์เมตตาแจ้งพระนาม นักเรียนกราบรับพระอาจารย์) 
เสียงดังแค่นี้เองหรือ (นักเรียนจึงตอบพระอาจารย์ด้วยเสียงที่ดังขึ้น)  ศิษย์เอยถ้าศิษย์มั่นใจว่าศิษย์พูดเสียงดังเต็มที่แล้ว ดีแล้วก็ไม่เห็นต้องหวั่นไหวอะไร แต่ว่าที่หวั่นไหวอยู่แปลว่าไม่มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองทำ ถูกหรือไม่ (ถูก)  พอถูกอาจารย์ทักก็คิดว่า “อ้าวเอาไงดี อย่างนี้ร้องไปแทบตายก็ไม่ถูกใจ” ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยู่ในโลกจะทำให้คนถูกใจทุกคนเป็นไปไม่ได้  เชื่อไหมถ้าศิษย์ร้องจนดังสุดเสียง แต่เขาบอกว่า “แค่นี้เองหรือ” ศิษย์ก็จะร้องจนหมดเสียง แล้วก็เริ่มตีโพยตีพายว่า “จะเอาอะไรกันนักกันหนา” ถูกหรือไม่ (ถูก) 
เมื่อสักครู่อาจารย์เริ่มต้นว่าบางครั้งมนุษย์มักจะสงสัยว่าทำไมเราต้องศึกษาธรรม แล้วสรุปว่าธรรมคือส่วนหนึ่งของชีวิต ถ้าเราเข้าใจธรรม เราก็เข้าใจชีวิตเพราะชีวิตก็คือส่วนหนึ่งของธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) การเข้าใจธรรมนั้นจะช่วยทำให้เราเข้าใจชีวิตได้อย่างไร อาจารย์ก็เปรียบเทียบง่ายๆ อย่างเช่น ถ้าเราเข้าใจว่า สิ่งใดมีความเกิดสิ่งนั้นมีความดับ ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้ก็แปลว่าถึงแม้เราจะสวย จะดี จะเก่ง จะรวยขนาดไหน แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง สวยก็มีสวยกว่า เก่งก็มีเก่งกว่า ดีก็มีดีกว่า ร้ายก็มีร้ายกว่า แล้วในคำว่าร้ายกว่าอาจจะมีวันที่เปลี่ยนแปลง จากร้ายเป็นดี และจากรวยก็อาจจะกลายเป็นจนก็ได้
ฉะนั้นถ้าวันหนึ่งศิษย์ ดำเนินชีวิตอยู่กำลังมีเงิน อยู่ๆ เงินหายไป วันนี้สามีอยู่ พรุ่งนี้สามีไม่อยู่ ศิษย์จะคิดได้ว่า “โอ้ อาจารย์จี้กงบอกแล้ว สิ่งใดมีความเกิดสิ่งนั้นมีความดับ” ถูกรือไม่ (ถูก)  ก่อนมาบ้านยังมีอยู่แต่พอกลับไป ปรากฏว่าวันนี้บ้านหาย “เออ อาจารย์จี้กงบอกแล้วว่า สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความดับ” ใช่หรือไม่ (ใช่)  เดินอยู่ มีรถขับมาชน พอตื่นมาเหลือขาข้างเดียว “เออ อาจารย์จี้กงบอกแล้วว่า สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความ (ดับ)” ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพียงแต่ดับช้าหรือดับเร็วขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย เหมือนที่อาจารย์บอกศิษย์ ถ้าเราอยากรู้ว่าอนาคตเป็นเช่นไร ก็ต้องถามปัจจุบัน หว่านพืชเช่นใด ได้รับผลเช่นนั้น ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถ้าศิษย์หว่านพืชในเรื่องดี หว่านพืชในเรื่องบุญ ศิษย์ก็ต้องได้รับบุญกุศลความดีงาม  แต่ถ้าศิษย์หว่านพืชในเรื่องบาป กรรมชั่ว อบายมุข ผลที่ได้ก็คือความทุกข์ ความเจ็บปวด และการหนีไม่พ้นการเวียนว่ายและรับผลแห่งเวรกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นการเข้าใจธรรมจะช่วยชำระล้างให้เราไม่ติดบุญแล้วก็ไม่สร้างบาป ถ้าเราเข้าใจธรรมมากๆ เราก็จะกลายเป็นคนที่ไม่ต้องเกิดมารับบุญและรับบาปกรรมอีก ดีหรือไม่ (ดี)  ถ้าออกจากสถานธรรมแล้ว ถูกรถชนแล้วตายทันทีก็คิดว่า “อาจารย์จี้กงบอกแล้ว สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความดับ” เชื่อไหมว่าขณะจิตที่หมดห่วง ไม่ยึดติด ไม่คิดบาป ไม่คิดโทษ นั่นจะทำให้เราพบทางสว่าง เพราะศิษย์เพิ่งพูดเองว่า ทางใดที่มืดมนทางนั้นเรียกว่าบาป เรียกว่ากรรมชั่ว ทางใดที่ทำให้สว่างบนสุดทางนั้นเรียกว่าบุญ เรียกว่าสวรรค์ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นอาจารย์บอกว่า ทางโลกบุญยังต้องทำ บาปก็ยังสร้าง  แต่ถ้าอีกทาง ไม่ต้องสร้างบุญ ไม่ต้องสร้างบาป แต่อยู่นิ่งๆ จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งในธรรมแล้วพ้นทุกข์ทันที นี่เขาเรียกว่าทางธรรม เพราะการสร้างบุญศิษย์ยังต้องทำถึงจะได้บุญ  ถ้าศิษย์ทำชั่วศิษย์ต้องไปทำถึงจะได้ชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทางธรรมแค่มองให้เห็นธรรมในตัวตน มองให้เห็นจนไม่ยึดถือ เมื่อไรที่เข้าถึงธรรมแล้วปล่อยวางความยึดถือนั่นแหละเรียกว่าเข้าถึงธรรม แต่เมื่อใดมองแล้วยังยึดมั่นถือมั่นนั่นเรียกว่ากรรม ยากหรือไม่ (ไม่ยาก) 
อาจารย์ถามว่า ตอนไหนที่ศิษย์อยากไปทำบุญคือตอนที่ศิษย์รู้สึกว่าบาปเยอะ รู้สึกว่าบาปหนาเหลือเกิน การไปทำบุญก็คือการสละให้ อุทิศให้ ถึงจะเรียกบุญ แต่ถ้าเกิดบาปก็คือต้องไปทำชั่ว ทำไม่ดีตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ ถึงจะได้บาป แล้วผลของบาปก็คือภูมิวิถีหก ซึ่งสิ่งที่น่ากลัวก็คือการเวียนว่ายไม่จบสิ้น แต่ยังมีอีกทางหนึ่งคือไม่ต้องทำอะไรอยู่นิ่งพิจารณาจนบังเกิดธรรมเห็นแจ้ง ปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ง่ายหรือไม่ (ง่าย)  แต่ศิษย์ก็จะบอกว่า “มันทำยากนะอาจารย์” เพราะถ้าบอกว่า “ออกไปแล้วโดนรถชนตายทันที” ทำใจได้หรือไม่ ถ้าปล่อยวางได้ก็คือธรรม แต่ถ้ายึดมั่นคือกรรม
ยังมีอะไรที่จะทำให้เราเข้าใจธรรมะได้อีก ศิษย์เคยได้ยินหรือไม่ว่า “สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี” แต่ศิษย์ก็บอกว่า “อาจารย์ถ้าเกิดออกไปแล้วโดนรถชนตายทันทีมันทำใจไม่ได้” อาจารย์อยากให้ศิษย์คิดเสมอว่า สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี เพราะการคิดดี การคิดให้ การคิดบริสุทธิ์ จะเป็นหนทางบุญ แต่ถ้าคิดว่า “ทำไมต้องเป็นเรา ทำไมเราต้องตาย” คิดแล้วหม่นหมองมันจึงกลายเป็นหนทางบาป แต่ถ้าชั่วขณะที่ศิษย์โดนแล้วศิษย์บอกว่า “ดีแล้ว ขอบคุณแล้ว หมดทุกข์แล้ว สิ้นทุกข์แล้ว”  ดีหรือไม่ (ดี) 
ฉะนั้นถ้าโดนตบก็คิดว่าดีแล้ว ขอบคุณแล้ว หมดทุกข์แล้ว ได้หรือไม่ (ได้)
ภรรยาหนีไปแล้ว “ก็ดีแล้ว ขอบคุณแล้ว หมดทุกข์แล้ว” ได้หรือไม่ (ได้) 
ถูกคนเอาเงินไปแล้วไม่คืน “ดีแล้ว ขอบคุณแล้ว” ได้หรือไม่ (ได้)  ยากไหม (ยาก, ไม่ยาก)  ถ้าศิษย์บอกว่ายาก ศิษย์ก็หนีไม่พ้นกรรม  แต่ถ้าศิษย์บอกว่าไม่ยาก ศิษย์จะต้องไปให้ถึงฟากฝั่งแห่งธรรม และพบธรรมให้ได้ ธรรมนั้นคือการคลาย จาง และวาง นั่นแหละศิษย์จะพ้นกรรมทั้งหลายในโลกนี้ เกิดมาชาตินี้เพื่อสิ้นกรรมแล้ว ไม่เอาหรือ
หากว่าธรรมสองข้อนี้ ยังไม่ทำให้ศิษย์พ้นทุกข์และเข้าถึงธรรมได้ ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์แบบ ฉะนั้นเป็นไปได้หรือไม่ ที่คนเราเกิดมาไม่เคยเจ็บ เป็นไปได้ไหมที่คนเราเกิดมาไม่เคยโดนด่า มีไหมที่คนเราเกิดมาจะไม่ตาย (ไม่มี)  มีไหมที่คนเราเกิดมาไม่ถูกสามีทิ้ง
ไม่ถูกภรรยาทิ้ง (ไม่มี)  มีไหมที่อยู่บนโลกนี้ ถูกคนยืมเงินแล้วไม่ใช้ (มี)  ฉะนั้นถ้าเรายังทำใจไม่ได้ว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี อย่างนั้นศิษย์ก็จำต่อไปว่า ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ และในโลกนี้ไม่มีชีวิตใครที่สมบูรณ์
ทุกอย่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีได้ก็มีเสีย มีชมก็มี (ด่า)  มีรักก็มี (เกลียด)
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าวันหนึ่งโดนคนเกลียดก็คิดว่า “อาจารย์จี้กงบอกแล้ว” ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะได้ไม่ต้องไปสร้างกรรม  
อาจารย์จะมาบอกวิธีที่อยู่อย่างไรให้สิ้นกรรม เพราะอยู่ในโลกเราหนีไม่พ้นเดี๋ยวสร้างกรรมกับคนนั้น เดี๋ยวก่อเวรกับคนนี้ เดี๋ยวด่าคนนั้น แช่งคนนี้ ใช่ไหม (ใช่) แล้วเวรกรรมนี้หนีไม่พ้น ใครรับ (ตัวเรา)  แล้วก็มาร้องไห้ อาจารย์ช่วยหนูที ถามว่าใครเป็นคนทำ (ตัวเรา)  ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นถ้าอาจารย์จะแก้ ควรแก้ตั้งแต่ต้นเลย คือไม่ให้ศิษย์สร้างเหตุ ดีที่สุดใช่ไหม (ใช่)  มีอีกข้อหนึ่ง เมื่อไม่สมบูรณ์แบบ ศิษย์จำไว้ว่า ชีวิตเรามีอยู่ขณะเดียว คือ ขณะนี้ บางครั้งที่เรารับไม่ได้เพราะ มันไม่เหมือนเมื่อก่อน ทำไมถึงเปลี่ยนแปลง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นธรรมอีกอันหนึ่งที่ศิษย์ต้องย้ำเตือนก็คือมีแต่ขณะนี้ พอถึงพรุ่งนี้ก็เป็นขณะนี้ของพรุ่งนี้ ใช่ไหม (ใช่) เรามัวหลงกับอดีตไหม (ไม่) ขอให้เป็นอย่างนั้นนะ แล้วเมื่อเราเข้าใจธรรมทั้งหมดนี้ เราก็จะรู้ว่า ใดๆ ในโลกที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเช่นนั้นเอง
เมื่อใดเข้าใจความเป็นเช่นนั้นเองเมื่อนั้นเข้าใจคำว่าธรรมในตัวตน พบธรรมในตัวตน ไม่ก่อกรรมอีกต่อไป ดีหรือเปล่า (ดี)  ฉะนั้นถ้าเดินออกไปแล้ว สามีบอกว่า “ทำไมกลับมาดึกขนาดนี้ ฟังธรรมภาษาอะไร” เราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  ให้มองเสียว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี ให้เกิดธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถูกสามีว่าก็ (ดี)  เพราะถึงเขาว่า ถ้าเราเฉยๆ ไว้ ถึงเวลาเขาก็จบเอง ฉะนั้นเราจะได้ไม่ต้องมาก่อบาปกรรม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ศิษย์รู้ถึงขนาดนี้พอถึงเวลาศิษย์มีปัญญาคิดได้ตลอดไหม ปัญญาเกิดได้ด้วยการพินิจพิจารณา ด้วยการเพ่งพิจารณาจนบังเกิดธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เข้าใจธรรมแล้วเกิดปัญญาแล้ว มันดีตรงนี้ อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า ถ้าถูกคนเขาตบหน้า
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมท่านหนึ่งออกมา)
การเข้าใจธรรมแล้วเกิดปัญญาจะดีตรงไหน อาจารย์จะบอกง่ายๆ สมมติว่าอาจารย์ตบหน้าเขา แล้วศิษย์ก็คิดในใจว่า สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดับ ทุกข์สิ่งล้วนเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ถูกตบบ้างก็ไม่เป็นไร ถามว่ามันล้างหมดใจไหม (ไม่)  เพราะเรายังคิดจึงยังไม่หมดใจ ถ้าทำตามคำสอนของอาจารย์เราไม่คิด เกิดแล้วดับไป แล้วเราไม่คิด มันก็จะ (ไม่มี)  แล้วทำได้อย่างนั้นไหม แล้วศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ทำไมคนเราถึงต้องมีปัญญารู้ไหม เพราะว่าการแค่ถูกตบแล้วบอกว่า “ไม่เป็นไร ให้อภัยเขา” ความคิดที่ว่าไม่เป็นไรอดทนไว้ มันล้างไม่หมดใจ คำว่าอดทน คำว่าอภัย คำว่าใจเย็นๆ เข้าไว้ มันยังไปไม่ถึงที่สุดแห่งธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ที่สุดแห่งธรรมก็คือ มนุษย์บริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา ปัญญาจะช่วยล้างจนหมดใจ ไม่ใช่ล้างเพราะว่าอภัย ไม่ใช่ล้างเพราะว่าอดทน ไม่ใช่ล้างเพราะใจเย็น แต่ล้างเพราะเข้าใจความเป็นธรรมของคน  ฉะนั้นศึกษาแล้วไม่ใช่แค่เข้าใจธรรมแต่ต้องนำธรรมมาพิจารณาจนเกิดปัญญา แล้วล้างกิเลสจนสิ้น ไม่เหลืออะไรค้างคาในใจเลย  ฉะนั้นถ้าถูกตบต้องจบตั้งแต่ถูกตบ แต่คนเราไม่ใช่ พอถูกตบแล้วเราจำ จำแล้วก็ด่า ด่าแล้วก็แค้น ก็เลยกลายเป็นบาปกรรมจองเวรจองกรรม แล้วกรรมนั้นก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่เราต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด
ฉะนั้นอาจารย์ถึงอยากให้ศิษย์ศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจชีวิต แล้วความเข้าใจชีวิตจะก่อเกิดปัญญาชำระล้างใจให้เรากลับคืนสู่ธรรมอันเดิมแท้ ที่ไม่มีคำว่าอดทนข่มใจ แต่มันจะโล่งโปร่งและจบในทันทีที่ถูกตบ แล้วเราทำได้อย่างนั้นไหม
พระพุทธะจึงสอนต่ออีกว่านอกจากจะเข้าใจธรรมแล้ว ที่ขาดไม่ได้คือทำอย่างไรให้จิตมีกำลังที่จะทำให้เราสามารถต่อสู้แล้วเข้าใจ ธรรม แล้วฟันฝ่าจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ นั่นก็คือต้องมีสติรู้ ความรู้จะก่อเกิดปัญญา ความรู้จะก่อเกิดการเห็นแจ้งในจิตของตนและมองเห็นแม้กระทั่งความคิด สติทำให้พลังของใจเราแข็งแรงพอ เห็นแล้วตามอารมณ์หรือไม่ เห็นแล้วมีโกรธหรือไม่ เห็นแล้วมีเกลียด เห็นแล้วมีโมโห เห็นแล้วมีชิงชังหรือไม่ ถ้าเห็นแล้วมีโกรธ มีเกลียด มีโมโหเราจะทำอย่างไร (ปล่อย วาง, อดทน มีสติ คิดก่อน ตอนที่ถูกกระทำ ถ้ามีสติแล้วเราก็ยับยั้งได้ คิดได้ เราก็ทำใจได้  เหตุการณ์ก็เบาลง)  เขาบอกให้มีสติแล้ว ระมัดระวังความคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าศิษย์ยังไม่เคยฝึก ถ้าถูกกระทบ  ความคิดง่ายที่จะปรุงแต่ง ฟุ้งซ่าน และง่ายที่จะตกเป็นทาสกิเลสอารมณ์ ฉะนั้นการมีสติเพื่อรู้เท่าทันใจ รู้แล้วไม่ปรุง รู้แล้วไม่วิ่งตาม รู้แล้วไม่ตกเป็นทาสกิเลสตัณหา ก็แค่รู้ก็แค่นั้น เดี๋ยวเกิดเดี๋ยวก็ดับ แค่รู้อย่าเผลอไปโกรธ (มีสติรู้ทัน)  เมื่อถูกตบอาจารย์ถามว่าระหว่างเป็นทุกข์กับรู้ทุกข์ อย่างไหนเจ็บกว่า (เป็นทุกข์)  ระหว่างถูกตีกับรู้ว่าโดนตีอย่างไหนเจ็บกว่า (ถูกตี) 
เวลาเราถูกทำร้ายเราควรแค่รู้ว่าถูกทำร้าย มนุษย์ส่วนใหญ่ชอบวิ่งวนอยู่กับความคิด และความคิดก็ง่ายที่จะฟุ้งซ่านเข้าข้างตัวเองตามเหตุผลของตัวเอง ฉะนั้นถ้ามีสติแล้วยิ่งไปตามความคิด ความคิดก็จะไหลง่ายที่จะปรุงแต่ง
เมื่อมีสติแล้วเราไม่ควรไหลไปตามความคิด ไม่วิ่งไปตามความคิด (มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ตัวเอง)  ถ้าอาจารย์ให้ศิษย์เดินไปหลังห้อง แล้วเดินกลับมา อาจารย์ถามว่า “ข้างหลังมีผู้ชายกี่คน” ศิษย์จะตอบได้หรือไม่ การมีสติสิ่งสำคัญก็คือเวลาเราพบเรื่องราวอะไรเราอย่าปล่อยให้มันผ่านไป แล้วก็ไม่ทันมีสติ แต่เราต้องรู้จักนิ่งด้วย บางอย่างเราต้องรู้จักนิ่งก่อน ก่อนที่จะปล่อยมันผ่านไป นิ่งแล้วไตร่ตรองจะได้ไม่ตกไปเป็นตะกอนสั่งสมก่อเกิดเป็นกิเลสอารมณ์ เคยหรือไม่ ถ้าเดินผ่านไปแล้ว เดินกลับมา เราจำได้เลยว่า คนนี้ทำหน้าน่าเกลียดใส่เรา เป็นเพราะเรามีสติ หรือเพราะมองไม่เห็น หรือเพราะไม่นิ่ง
(ถ้าเราถูกตบก็ต้องปล่อยวาง เพราะถูกตบเพราะมีเวรมีกรรมต่อกัน)  ที่พยายามปล่อยวางเพราะศิษย์ไปยึดเขาจนมากไปหรือไม่ ศิษย์คาดหวังเขาจนมากเกินไปหรือไม่ ถ้าจะปล่อยต้องปล่อยให้ถูก ไม่ใช่ปล่อยเขา แต่ต้องปล่อยจากใจเรา เพราะทุกสิ่งล้วนเกิดดับอยู่แล้ว
(เพราะเราทำผิดต่อเขา เขาจึงทำเราได้ เราต้องปล่อยวาง ไม่โกรธแค้น)  บางคนคิดเท่าไรก็คิดไม่ออกว่าเราเคยไปทำอะไรเขา เขาถึงมาทำกับเราแบบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราคิดแบบนี้ตลอด บางทีก็ไม่สามารถที่จะดับทุกข์ได้ ใช่หรือไม่
(ดับทุกข์ได้ โดยการมีสติ)  เมื่อเวลาเรามีทุกข์ให้เรานี้ มีสติ และมีปัญญา เห็นแจ้งในธรรม ถ้าเรามีปัญญาเห็นแจ้งในธรรมนี้ จำไว้นะศิษย์ ท่องไว้เป็นมนต์เลยก็ได้ สำหรับใช้ชีวิตเลยรับรองศิษย์จะไม่เกี่ยวกรรมกับใคร
สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นมีความดับ 
สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี
ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ
มีแต่ขณะนี้
ใดๆในโลกล้วนเป็นเช่นนั้นเอง
ถ้าเราเข้าใจธรรมตรงนี้เราจะสามารถปลดเปลื้อง การเกี่ยวกรรมได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ศิษย์ก็พยายามท่องนะ  แต่ถึงเวลาศิษย์ก็ยังทำไม่ค่อยได้ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะเวลาเขามากระทบทีไร ศิษย์ก็โกรธทุกที เวลามากระทบทีไร ศิษย์ก็ด่าทุกที ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เราจะเอาชนะกิเลส ตัณหา และความอยากในโลกได้อย่างไร ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า สิ่งใดที่มนุษย์พยายามเข้าไปยึดถือ  ไม่มีอะไรที่ไม่ให้ทุกข์ ไม่ให้โทษ พยายามยึดเท่าไรก็มีทุกข์เท่านั้น โทษก็เท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นเมื่ออาจารย์บอกว่าอยู่ในโลกไม่ต้องอยากอะไรเลยได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่ได้เพราะไม่อยากอยู่คนเดียว อยากหาใครสักคนหนึ่งมาเป็นคู่ใจ ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อเกิดความอยากมาก ทุกข์ก็หนีไม่พ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อตัณหาไม่มีวันขจัดสิ้น ทุกข์ก็ไม่มีวันหมดสิ้นไปจากชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าไปผูกสัมพันธ์กับคนๆ หนึ่งแล้วจะไม่มีทุกข์ไม่มีโทษนั้น เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  อยู่ด้วยกันกับเขามีปัญหาหรือไม่ (มี)  ทะเลาะกันหรือไม่ (ทะเลาะ)  มีทุกข์หรือไม่ (มี)  มีสุขหรือไม่ (มี)  อย่างนั้นไม่เอาเลยดีไหม (ไม่ดี)
บางทีเรารู้อยู่เต็มอกนะว่าทุกข์ แต่ก็ยังทุกข์ไม่พอเราก็ยังเพิ่มทุกข์อีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราพอไหม (ไม่พอ)  อยากได้อีก ใช่หรือไม่ แล้วทุกข์ จากทุกข์หนึ่งก็เป็น (สอง)  จากทุกข์สองก็เป็น (สาม)  แล้วทุกข์สามพอหรือไม่ (ไม่พอ)  เอาอีกไหม (ไม่เอา)  
ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากถามศิษย์ว่า ศิษย์เอ๋ย ศิษย์เกิดความอยากมาเต็มที่ แล้วค่อยมาพยายามเข้าใจทุกข์ แล้วพยายามขจัดทุกข์ จะไหวหรือไม่ (ไม่ไหว)  ถ้าอย่างนั้นควรยึดไหม (ไม่ยึด)  ควรอยากไหม (ไม่อยาก)  แล้วตอนนี้ทั้งยึดทั้งอยากหรือไม่ (ทั้งยึดทั้งอยาก) 
(ปลดปล่อยความทุกข์ทุกอย่าง ไม่ต้องเอาแล้ว ทิ้งความทุกข์เลย ไม่ผูกมัด ) ลูกก็ส่วนลูก สามีก็ส่วนสามี ทิ้งไปเลย อย่าไปเพิ่มสิ่งใหม่ ใช่ไหม (ใช่)  มีแค่นี้พอแล้ว แต่ทิ้งนี่คือทิ้งเขาเลยหรือ (ไม่เอามาผูกมัด อะไรทุกข์ก็ไม่เอา)  ไม่เอามาผูกมัด ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ถ้าเขาทำให้ทุกข์ก็ปล่อยวางเพราะเป็นธรรมดาอยู่ด้วยกันมีชมก็มีติใช่ไหม มีถูกใจก็มีไม่ถูกใจ ใช่ไหม (ใช่) 
วิธีที่อาจารย์จะบอกอีกอันหนึ่งคือเมื่อเราต้องทนอยู่กับสภาพที่เราหนีไม่พ้น เราจะทำอย่างไรที่เราจะไม่ก่อเกิดกรรม และไม่ก่อเกิดทุกข์เพิ่ม ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ในโลกนี้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนคือธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในธรรมนี้ก็มีความไม่เที่ยงและในความไม่เที่ยงก็มีความทุกข์เป็นธรรมดา แล้วในความทุกข์อันเป็นธรรมดาก็มีความเปลี่ยนแปลงจนหาที่สุดไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าร่างกายนี้คือธรรมชาติที่ต้องเปลี่ยนแปลง ในความเปลี่ยนแปลงนั้นเรียกอีกอย่างว่าทุกข์ ไม่เที่ยง  เมื่อเรารู้ขนาดนี้แล้วเราจะยึดร่างกายนี้ไหม (ไม่ยึด)   ฉะนั้นเจ็บก็ไม่ (ทุกข์)  ตายก็ไม่ (ทุกข์)  พูดได้ทำให้ได้นะ  พระพุทธะจึงสอนว่าให้เรารู้แต่ไม่ได้ให้เราเป็น ให้เราเห็นแต่ไม่ได้ให้เราเอา  เพราะตัวนี้เป็นธรรมชาติถึงที่สุดธรรมชาตินี้ก็ต้องคืนกลับสู่ดิน น้ำ ลม ไฟ เราห้ามตาย ห้ามแก่ ห้ามเจ็บได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อห้ามไม่ได้เราควรจะเป็นทุกข์หรือแค่รู้ทุกข์ (รู้ทุกข์)  เราควรแค่รู้เจ็บหรือเราควรจะเจ็บ (รู้เจ็บ) 
ฉะนั้นเราจึงต้องมองให้ออกว่าไม่มีใครสามารถเป็นเจ้าของธรรมชาตินี้ได้ เพราะตัวเรานี้เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ นี่ก็ธรรมชาติ โน่นก็ธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราเผลอทึกทักนำธรรมชาติมาเป็นเรา เมื่อมาเป็นเราแล้วเวลามันทุกข์เราก็เจ็บไหม เมื่อตายเราก็เจ็บไหม เมื่อถูกด่าเราก็เจ็บไหม  แต่ธรรมชาติสอนให้เรารู้อีกว่าถ้าเมื่อไรเราเข้าใจธรรมชาติ ธรรมชาตินั้นไม่ได้มีไว้ให้เรายึดแต่มีไว้เพื่อให้เราเรียนรู้ช่วงใช้และปล่อยวาง เพราะเมื่อไรที่เรายึดจะไม่มีทุกข์ ไม่มีโทษ เป็นไปไม่ได้ อย่างนั้นเราทำได้ไหม (ได้)  เวลาเราพบอะไรก็แค่รู้แต่อย่าเผลอเป็น แค่เห็นแต่อย่าเผลอเอา  ตอบได้เก่งมากเลยนะศิษย์ แต่พอถึงเวลาทำได้อย่างนี้ไหม (ได้)  ศิษย์จำไว้นะตัวเรานี้แขวนชื่อว่าอะไร มีชื่อมากมายเต็มไปหมดเลย จริงๆ ใช่ของเราไหม (ไม่ใช่)  แต่มันคือส่วนหนึ่งของธรรมชาติและธรรมชาติก็สอนให้เรารู้ว่าธรรมชาติไม่อยู่ในอำนาจของใคร ถ้ามันเป็นของศิษย์จริง ศิษย์สั่งให้มันไม่เจ็บ ไม่แก่ได้ไหม ฉะนั้นถ้ามันเป็นธรรมชาติจริงก็คือไม่สามารถอยู่ในอำนาจใครได้ ใครก็บังคับธรรมชาตินี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ถึงขึ้นไปสูงได้ก็สูงได้แค่ชั่วคราว แต่สูงได้ตลอดไหม (ไม่ได้)  และในธรรมชาตินี้ศิษย์จะต้องรู้ไว้อีกก็คือมันเป็นของเราไหม ใช่ของเราไหม
ฉะนั้นถ้าเราถูกใครตีเรา ก็บอกว่า “อ๋อ เขาตีธรรมชาติ ไม่ได้ตีเรา” เวลาเราโดนใครด่า “อ๋อ เขาด่าธรรมชาติ ไม่ได้ด่าเรา” เพราะถ้าร่างกายนี้เป็นของเราจริงๆ เราสั่งอะไรมันก็ต้องฟัง  แต่พอถึงเวลาร่างกายนี้กลับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ หาตัวเราที่แท้ได้ไหม  เมื่อมันไม่ใช่ของเรา เวลาเราบอกว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ มันก็ไม่เป็นตามความต้องการ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นพอธรรมชาติจะแก่ ธรรมชาติจะเจ็บ เราก็บอกว่า “อ๋อ ธรรมชาติมันเจ็บ มันแก่” แต่เรามักจะเป็นอย่างไร (ฉันเจ็บ ฉันแก่)  เราก็ทึกทักเอาธรรมชาติมาเป็นของเราเอง คนนี้ก็ของเรา คนนั้นก็ของเรา แล้วเป็นอย่างไร (ทุกข์) 
(พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อสถานธรรม อ.ลี้ จ.ลำพูน 菩緣ผู่เอวี๋ยน”)
เอวี๋ยน บุญสัมพันธ์ เพราะว่าเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกคนร่วมกัน บอกเขาด้วย งานธรรมสิ่งสำคัญคือใจสู้ไม่ถอย ใช่หรือไม่ ลำบากไม่ท้อ แล้วบุญสัมพันธ์ ที่ร่วมกันมาก็จะได้เดินไปพร้อมๆ กันได้ ใช่หรือไม่
(วงคำที่มีความหมายดีๆ)  ศิษย์เอ๋ย คำมงคลไม่สู้การปฏิบัติด้วยมงคล มีศีล มีธรรม อยู่ที่ไหนก็มงคล ใช่หรือเปล่า (ใช่)
บำเพ็ญธรรมต้องใช้ปัญญา อย่ามัวแต่ใช้ความคิดกับอารมณ์ เพราะความคิดกับอารมณ์มันทำให้เราหลงผิดได้
(พระอาจารย์เมตตาแจกแอปเปิลให้คนที่ตอบคำถาม)  ตอบแล้วได้รางวัลแล้วเอาไปทำอะไรต่อ (เอาไปรับประทาน)  ไม่เอาไปบอกบุญต่อหรือ (เอาไปบอกบุญต่อ)  เอาไปให้ใคร (ให้แฟน)  ศิษย์เอย เอาไปแบ่งบุญก็ได้นะ เอาไปเสริมบุญก็ได้ ใช่หรือไม่ ด้วยการรู้จักเอาไปให้คนอื่นบ้าง ไม่ใช่เก็บไว้กับตัวเพียงอย่างเดียว ถูกหรือเปล่า (ถูก) 
สิ่งที่อาจารย์พูดมานี้คือการเข้าใจธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเข้าใจแล้วเอาไปปฏิบัติได้ก็ดี ถูกหรือไม่ (ถูก)  บางคนบอกว่าสิ่งที่อาจารย์บอกให้เอาไปปฏิบัติบางทีก็ยาก ถ้าให้จำสิ่งที่อาจารย์บอกบางทีก็ลืม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ให้มีสติบางทีสติก็หาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  พระพุทธองค์มักจะสอนให้เรารู้จักให้ทาน หรือเรียกว่าเดินสายบุญ การเดินสายบุญจะช่วยให้เราได้ปฏิบัติธรรมอย่างไร การทำทานช่วยให้เราปฏิบัติธรรมได้ไหม (ได้)  อย่างเช่นได้แอปเปิลมาแล้วรู้จักให้คนอื่นต่อ อย่างนี้เรียกว่าทำทานใช่ไหม (ใช่)  ได้บุญไหม (ได้) 
บุญคือสิ่งที่ชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าการมีแอปเปิลแล้วทำให้ตระหนี่ถี่เหนียว สู้ให้แอปเปิลคนอื่นแล้วกลายเป็นคนใจกว้างดีกว่าไหม (ดี)  ถ้ามีแอปเปิลแล้วเป็นคนคับแคบ สู้ให้แอปเปิลแล้วใจกว้างยิ่งขึ้น จะให้ไหม (ให้)  อาจารย์ถามว่า ถ้าเขาได้แอปเปิลมาแล้วอยากจะส่งต่อให้กับคนอื่น เพื่อจะได้ไม่ยึดติดตัวเอง เพราะการมีบางทีทำให้เราหลง เรายึด ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอมีแล้วหลง ยึด ก็ไม่เป็นบุญ ก็กลายเป็นบาป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าให้แล้วทำให้เราสบายใจ มีความสุขใจ เราก็ให้ดีกว่ามีไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเขาให้เราแล้ว เราจะทำอย่างไรให้บุญต่อบุญ ให้บุญยิ่งเกิดบุญ  สมมติเขาให้ผลไม้ศิษย์ ศิษย์ทำอย่างไร (แบ่งต่อ)  เวลาเขาให้อะไรเรามา เราก็สาธุ ศิษย์เป็นนักบุญนักเดินสายบุญ ใครทำอะไรดี ใครทำอะไรถูก ใครทำอะไรงดงาม แค่เราอนุโมทนาสาธุเราก็ได้บุญ  แล้วถ้าเราได้แอปเปิลมาแล้วเรายังส่งให้คนอื่นต่อเราก็ได้บุญ เป็นการปฏิบัติธรรมด้วยการเดินสายบุญง่ายไหม วิธีง่ายๆ ที่จะทำให้เราเดินสายบุญได้ง่ายยิ่งขึ้นมีอะไรรู้ไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนที่อายุน้อยเดินออกมาหน้าชั้น)
ศิษย์อยากเดินสายบุญไหม ถ้าคิดว่าอยู่ในโลกนี้การปฏิบัติธรรมมันยาก อย่างนั้นอาจารย์จะสอนวิธีปฏิบัติธรรมที่ง่ายและไม่ต้องทำอะไรเลย แล้วได้บุญด้วยดีกว่าได้บาป วิธีที่ง่ายที่สุดถ้าศิษย์ทำได้ตลอดชีวิตไปอยู่ที่ไหนศิษย์ก็ได้บุญ ทำได้โดยการเดินจากนี่ไปถึงโน่นแล้วก็ยกมือไหว้ทุกๆ คน บุญที่ทำให้เรารู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน คือบุญอย่างหนึ่ง แล้วทำไม่ยาก พบใครก็ไหว้ คนที่ถูกไหว้ เมื่อเขาไหว้เราเสร็จเราทำอย่างไร (ไหว้ตอบ)  แล้วทำอย่างไรอีก (สาธุ)  สาธุแล้วก็ยินดีในบุญเขาด้วย นี่แหละคือบุญต่อบุญ ฉะนั้นเขาเดินผ่านใครไปเราก็ (สาธุ)  บุญคือสิ่งที่ชำระล้างจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ถ้าเราทำด้วยความจริงใจเต็มใจอ่อนน้อมไปที่ไหนใครก็รัก
ศิษย์เดินไปแล้วไหว้และพูดด้วยว่า “สวัสดีครับ สบายดีไหมครับ” เขาทำแบบนี้น่ารักไหม (น่ารัก)  หันไปไหว้ผู้ใหญ่อายุมากๆ น่ารักดีออก  ง่ายไหมปฏิบัติธรรม ศิษย์พูดว่า “ขอบคุณทุกๆ คนที่ทำให้เราได้สร้างบุญ”  เมื่อสักครู่เขาให้เราได้ทำบุญยิ่งใหญ่ ทำบุญทั่วกว้าง  ฉะนั้นเกิดเป็นคนบุญทำไม่ยาก ขอแค่เพียงอ่อนน้อมถ่อมตน มีศีล มีธรรม มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ บุญก็ไม่ไปไหน ใช่หรือไม่  ส่วนบาปตรงกันข้าม ทำบาปยากใช่ไหม ไม่ควรทำใช่หรือไม่  ฉะนั้นต่อไปเปลี่ยนจากทำบาปเป็นทำบุญดีไหม
อาจารย์ถามว่า การปฏิบัติธรรมนอกจากรู้จักให้ทาน ให้ทานก็คือเป็นคนมีศีล เป็นคนมีน้ำใจ เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน แล้วในทาน ศีล ความอ่อนน้อมถ่อมตน เวลาศิษย์มาฟังธรรมศิษย์ได้บุญ แล้วถ้าศิษย์ได้บุญแล้วศิษย์ยังเกิดจิตใจเมตตา กรุณา ซื่อตรง เที่ยงตรง เป็นการทำบุญแล้วยังรักษาชีวิตให้ประเสริฐอีกถูกหรือไม่ (ถูก) ได้บุญ ทำชีวิตให้ประเสริฐแล้วยังสามารถเอาธรรมที่เราเข้าใจ มาประจักษ์แจ้งจนเกิดปัญญาสิ้นทุกข์ด้วยดีไหม (ดี) อาจารย์ถามหน่อยเกิดเป็นคนทั้งทีจะเอาแค่บุญ หรือแค่เป็นคนประเสริฐ หรือจะสิ้นทุกข์ มีความประเสริฐด้วยแล้วก็ได้บุญด้วย 
วิธีปฏิบัติธรรมของอาจารย์จึงไม่ยาก เราสามารถปฏิบัติธรรมและทำบุญทุกๆ ที่ได้ และทำทุกๆ ที่ให้มีคุณธรรมเป็นคนประเสริฐได้ และทำทุกๆ ที่ให้มีปัญญาเห็นแจ้งได้ ขอเพียงศิษย์รู้จักเลือกทางเดินของตัวเอง ถ้าทางนั้นเป็นกรรม เป็นกิเลส เป็นทุกข์ เป็นการจองเวร ศิษย์อย่าทำ ดีหรือไม่ (ดี)  ถ้าทำแล้วทำให้จิตผ่องใสเกิดจิตเมตตา เกิดความซื่อตรง เกิดความไม่ฉ้อฉลไม่เอาเปรียบใคร ทำให้ใจเราคิดได้ ทำให้ใจเรามีธรรม ศิษย์เลือกทำทางนั้นดีกว่าไหม แล้วชีวิตของศิษย์ชีวิตนี้จะได้เป็นการชดใช้กรรมเก่าไม่สร้างกรรมใหม่อีกต่อ ไป ดีหรือไม่ (ดี)  ศิษย์รู้ไหมว่าคนที่มีสติรู้อยู่ทุกขณะ ไม่ว่าทำ ไม่ว่าพูด อะไรมากระทบก็รักษาจิตปกติไว้ ไม่ก่อเกิดเป็นกิเลส อารมณ์ จิตยิ่งปกติมากเท่าไรนั่นก็คือเข้าถึงศีลมากเท่านั้น เมื่อพบอะไรมากระทบจิต แล้วเรายังเป็นปกติได้ ยังสงบนิ่งไม่โกรธ ไม่ต้องใช้คำว่าอดทนแต่เข้าใจ ศีลจึงกลายเป็นสมาธิ แล้วเมื่อสงบนิ่งปกติแล้วยังประจักษ์แจ้งในธรรม  จนปล่อยวางได้แล้ว ศีล สมาธิ ปัญญาก็อยู่ในขณะนี้เอง
ฉะนั้นเราดำเนินชีวิตเพื่อเกี่ยวกรรมหรือเราจะดำเนินชีวิตเพื่อจบสิ้นเวรกรรม (จบสิ้นเวรกรรม)  แต่ศิษย์ของอาจารย์จบสิ้นได้ไหม (ได้)  ขอเพียงไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ใช่มัวแต่สงสารตัวเองจนไม่เห็นใจใครแล้วเหยียบย่ำชีวิตจิตใจคนอื่น เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง การปฏิบัติธรรมที่อาจารย์บอกยากไหม (ไม่ยาก)  ทำได้ทุกที่เลย ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ถ้าหากศิษย์เป็นคนโกรธนิดหน่อย เป็นบาปใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์มีความโกรธ เกลียด โลภ หลง มันไม่ดีตรงไหน ทำไมอาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์มีเลย  อาจารย์ถามว่าเวลาโกรธมากๆ เหมือนคนบ้า ใช่หรือเปล่า  อาจารย์ว่าเหมือนคนจุดไฟนรกในใจตัวเอง โกรธเหมือนเผาใจตัวเองไหม (เหมือน)  แล้วคิดขึ้นมาทีไร ก็เหมือนจุดไฟมาเผาตัวเองซ้ำๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นโกรธบ่อยๆ จึงเรียกว่านรก ใครตายไปแล้วยังตัดความโกรธไม่ได้ ก็ยังหนีไม่พ้นนรก ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วโลภมากๆ ดีไหม (ไม่ดี)  ไม่ดีแล้วต่อไปนี้จะโลภอีกไหม (ไม่โลภ)  ให้จริงนะ ปกติอาจารย์เห็นศิษย์ว่าก็ต้องมีโลภบ้างนิดๆ หน่อยๆ ขอมีสักนิด ขอมีสักหน่อย ใช่หรือไม่ กิเลส อารมณ์ มีได้แต่มีแล้วต้องไม่ผิดศีล ผิดธรรม ถ้ามีแล้วผิดศีล ผิดธรรม เบียดเบียน เบียดบังชีวิตคนอื่น ก็ไม่ควรมี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์รู้หรือไม่ว่า สัตว์นรกอะไรที่กินไม่มีวันอิ่ม โลภไม่มีวันพอ (เปรต)  ฉะนั้นศิษย์จะกำหนดชีวิตตัวเองวันนี้ เพื่อวันพรุ่งนี้จะไปเป็นเปรต ใช่ไหม แล้วหลงมากๆ เป็นอะไรรู้ไหม (เดรัจฉาน)  ใช่ เดรัจฉาน
ฉะนั้น โลภ โกรธ หลง คือ ผีนรก เปรต เดรัจฉาน ซึ่งหาเป็นมนุษย์ไม่ แต่ถ้ามีศีลครบ มีธรรมครบ สามารถกลับมาเป็นมนุษย์ได้ แต่ถ้าเป็นมนุษย์แล้วขาดปัญญาธรรม ทำอะไรก็ไม่ขึ้น ขาดบุญบารมีทำอะไรก็ไม่มีใครรัก ไม่มีใครเห็นด้วย เกิดมาก็น่าสงสาร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นศิษย์คิดว่า ทำบุญแล้วขอให้ชาติหน้ากลับมาเกิด แล้วจะกลับมาเกิดเป็นคนที่สมบูรณ์แบบนี้อีกหรือ ถ้าไม่มั่นใจ สู้ทำวันนี้ให้สิ้นทุกข์ สิ้นกรรม ไม่เกี่ยวกรรมอีกต่อไป ไม่ดีกว่าหรือศิษย์ ดีไหม (ดี)  การสิ้นกรรม ไม่ใช่ห้ามคนอื่น     แต่ห้ามใจตัวเอง ไม่ใช่ไปหยุดคนอื่น แต่เป็นการหยุดใจตัวเอง คุมใจตัวเองให้ได้แค่นั้นเอง ยากไหม (ไม่ยาก)  ด้วยการเข้าใจธรรมที่เรียกว่าธรรมชาติของคน  ใช่หรือไม่ (ใช่) ธรรมชาติของคนมีอะไร มีเกิดก็มีตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี  ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจหลักธรรมนี้ จะช่วยให้ศิษย์สามารถอยู่บนโลก และเข้าใจความเป็นคน เข้าใจธรรมชาตินี้ว่าไม่มีสิ่งใดสักสิ่งหนึ่งเป็นของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นธรรมะจึงสอนไว้ว่า เราเกิดมาเพื่อหาทางพ้นทุกข์ ยืมร่างกายนี้ใช้ และเอาแต่จิตเดิมแท้กลับคืนฟ้าเบื้องบน เพราะกายมีวันแตกดับได้ แต่จิตเดิมแท้ไม่มีวันแตกดับ และจิตเดิมแท้จะกลับคืนความสว่างได้อย่างไร ถ้าใจของมนุษย์ยังยึดติด เต็มไปด้วยกิเลสตัณหาและอารมณ์ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเราจะต้องเบาบางกิเลสตัณหา อารมณ์ เพื่อฟื้นฟูจิตเดิมแท้กลับคืนสู่บ้านเดิมให้จงได้ ได้ไหม (ได้) เข้าใจไหม (เข้าใจ)  อาจารย์ไม่ค่อยแน่ใจเลย เพราะมนุษย์ง่ายต่อการหวั่นไหวไปตามอากาศ อากาศร้อนแล้วก็หงุดหงิด หงุดหงิดแล้วก็เบื่อ เบื่อแล้วก็ไม่รู้เรื่อง ใช่ไหม (ใช่)  ทำไมศิษย์ถึงปล่อยใจไปตามสังขาร ในเมื่อใจหรือจิตของเรามีอำนาจเหนือกว่าสังขาร ถูกไหม (ถูก) 
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ผู้ใฝ่ดี”)
การใฝ่ดีเป็นการเริ่มต้นของทุกๆ สิ่งเลยถูกไหม (ถูก) ถ้าเราไม่ใฝ่ดีเราจะปฏิบัติธรรมไหม (ไม่)  ถ้าเราไม่ใฝ่ดีเราจะพ้นทุกข์ไหม (ไม่)  ถ้าเราไม่ใฝ่ดีเราจะทำดีไหม (ไม่)  แต่สิ่งสำคัญคือศิษย์ศรัทธาในความดีในใจตัวเองไหม (ถูก)  ถ้าเราไม่ศรัทธาความดีในใจตัวเอง เอาแต่พึ่งผู้อื่น ก็ไม่มีวันมั่นคง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราศรัทธาในความดีของตัวเอง เราเชื่อมั่นว่าเราก็มีดี เราก็มีคุณธรรมที่ประเสริฐได้ เราจะทำตัวเองให้ไปรอดใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะคนอื่นไม่เกี่ยวกับเรา ตัวเราต้องดีด้วยตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจึงมีคำว่า “มีศรัทธาความดีงามในใจตน ฟื้นฟูธรรมงดงามหลั่งล้นออกมาได้”  ฉะนั้นถ้าเราไม่ศรัทธาความดีงามในใจตนมากพอ จะออกมาจากใจได้ไหม เราจะปฏิบัติได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนในใจศิษย์ถ้าศิษย์คิดว่าเราไม่ดี เรามันคนชั่ว จะทำดีได้ไหม (ไม่ได้)  แต่ถ้าเราเชื่อมั่นว่าฉันก็เป็นคนดีคนหนึ่งได้ ฉันก็ปฏิบัติดีได้ ฉะนั้นจะออกมาได้ไหมเมื่อออกมาได้ ความถูกต้องเราก็ออกมาใช้ได้ ใช่หรือไม่ แต่ถ้าไม่ศรัทธาจะออกมาได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือเราจะดีได้ ศิษย์ต้องศรัทธาในความดี และถ้าศิษย์ศรัทธาศิษย์ก็จะสามารถเจริญความดีงามนั้นได้มั่นคง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ถ้าเราศรัทธาความดีงามในใจตัวเอง บอกอาจารย์สิว่า ศิษย์มีอะไรดีอยู่ในใจ
(จิตเดิมแท้คือพุทธะ) จิตเดิมแท้ที่เรียกว่าจิตพุทธะ แต่หม่นหมองไปเพราะความหลงตัวเอง 
(คุณงามความดี) ศรัทธาในความดีงามในใจตนใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์เอยมีคนหลายคนเวลาเขาทำบุญอะไรก็ตามเขามักจะอนุโมทนาตั้งจิตอธิษฐานเสมอว่า “ไม่ว่าภพใดชาติใดขอให้ได้เป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชูธรรมะตลอดทุกภพทุกชาติ” ตั้งจิตอธิษฐานอย่างนี้ก็ดีนะ เพราะไม่ว่าจะกี่ชาติๆ เขาก็จะมีจิตใจดีและส่งเสริมความดีในใจของตัวเองอยู่ตลอดเวลา ดีหรือไม่ (ดี)  ฉะนั้นเปลี่ยนจากขอให้รวย ขอให้มีความสุขเปลี่ยนเป็นขอให้จิตใฝ่ดีทุกชาติ ดีหรือไม่ (ดี) 
(จิตใจที่มีเมตตา)  คนที่มีเมตตาจะนินทาใครหรือไม่ จะขโมยของใครหรือไม่ จะโกหกใครหรือไม่ จะใจร้ายกับแม่ตัวเองหรือไม่ อย่าใจร้ายนะ (รู้จักให้อภัยคนอื่นมองโลกในแง่ดี)  มองโลกให้เป็นกลางดีกว่า เพราะโลกนี้มีดีก็มีร้ายแต่การวางใจเป็นกลางและยอมรับในร้ายและดีให้ได้ประเสริฐกว่า
(พูดในสิ่งที่ดีๆ กับทุกคน)  ฉะนั้นทำอะไรขอให้พูดในสิ่งที่ดี แต่ศิษย์จำไว้อย่างหนึ่งว่าบางเรื่องบางราวไม่พูดดีกว่า บางทีเราพูดดีแต่บางคนเขาไม่รู้สึก ฉะนั้นเรื่องบางเรื่องพูดน้อยๆ ดีที่สุด
มีใครจะตอบอาจารย์อีก อาจารย์ยังพอมีเวลา อาจารย์อยากแจกแอปเปิล แล้วศิษย์ก็รู้จักเอาไปผูกบุญต่อดีไหม (ฝากเพื่อน, แบ่งกันกิน, เป็นคนมีน้ำใจชอบช่วยเหลือผู้อื่น มีเมตตากับคนอื่น มีความซื่อตรง)  ทำให้ได้นะ ความซื่อตรงทำได้ยากแต่ถ้าซื่อตรงได้ก็ศักดิ์สิทธิ์ได้ ถ้าซื่อตรงไม่ได้พูดคำไหนไม่มีใครเชื่ออีก ใช่หรือไม่  (คิดดี กระทำในสิ่งดีๆ ได้มาจะไม่กิน จะเอาไปเยี่ยมคนป่วย)  ทำบุญไม่หวังผล เป็นบุญที่ประเสริฐนะ (จริงใจ ซื่อสัตย์ต่อผู้อื่น)  จริงใจและซื่อสัตย์ต่อผู้อื่น แม้คนอื่นจะไม่จริงใจหรือซื่อสัตย์ต่อ ก็จงมั่นคง (ช่วยเหลือผู้อื่น)  มีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่น ทำให้ได้และทำให้ดีนะ (กตัญญูรู้คุณ)  ตอบได้ดีนะ จิตที่รู้คุณคน จิตที่สำนึกคุณคนเป็นสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  (รู้จักแบ่งปัน)   ตอบได้ดี
ศิษย์เอย เห็นใครได้ดีเราก็ยินดีในความดีนั้นด้วย ก็เป็นสิ่งที่งดงามได้ ใช่ไหม (ใช่) 
ถ้าเราจะศรัทธาในความดี เราต้องหาให้เจอว่าเรามีดีอะไร และเอาสิ่งดีนั้นมาปฏิบัติใช้ร่วมกับทุกคน
(เห็นทุกคนเป็นคนดีที่เสียสละ และสังคมช่วยบ้าง สังคมก็จะมีศรัทธา เสียสละ และก็มีความดี) ศรัทธาในความดี ความดีก็คือการประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องในศีลในธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศีลคืออะไร ธรรมคืออะไร ถ้าปฏิบัติได้นั้นเรียกว่าศรัทธาความดี อย่าแค่ศรัทธา อย่าแค่รับศีล แต่ถึงเวลาศีลสักข้อก็หามีไม่ เปล่าประโยชน์นะ ใช่หรือไม่
(ทำความดีกับคนอื่น)  อาจารย์ว่าสิ่งที่ดีที่สุดคือทำตัวเองให้งดงาม ทำตัวเองให้ดี รับผิดชอบต่อหน้าที่ ไม่ทำให้ใครเดือนร้อน นั้นคืองามที่สุดแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  รู้จักให้คนอื่นแต่ตัวเองยังทำไม่รอด รู้จักดีกับคนอื่นแต่ในบ้านยังทำไม่ได้เรื่อง อย่างนี้ไม่มีประโยชน์ ใช่ไหม (ใช่) 
(ช่วยสร้างสถานธรรมเหยินเต๋อให้เสร็จ)  จิตมุ่งมั่นที่อยากช่วยเหลือเป็นสิ่งที่ดี แต่อาจารย์อยากบอกอย่างหนึ่งนะ ถ้าเหยินเต๋อสร้างเสร็จแล้วก็แปลว่าศิษย์หมดความมุ่งมั่นแล้วหรือ (ไม่)  ฉะนั้นจิตมุ่งมั่นที่ดีไม่ใช่กำหนดที่สิ่งของ แต่มุ่งมั่นที่ดีต้องเกิดจากใจที่ศรัทธาตั้งมั่นความดี ไม่ใช่อยู่ที่ของหรืออยู่ที่คน เข้าใจนะ
(มุ่งมั่นกตัญญูต่อบรรพชน) อาจารย์จะบอกให้นะศิษย์เอ๋ย คนทุกคนก็เป็นคนมีคุณค่า ไม่มีเขาก็ไม่มีเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่มีชาวนาก็ไม่มีข้าว เราสามารถมีจิตสำนึกคุณทุกๆ คน และสามารถตอบแทนทุกๆ คนได้ ไม่มีใครที่น่ารังเกียจ แม้กระทั่งคนเก็บขยะ หรือแม้กระทั่งเพื่อนที่ด่าเรา ถ้าเขาไม่ด่าเราจะรู้หรือไม่ว่าใครรักเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นแผ่ขยายจิตสำนึกคุณออกไป อย่าแค่พ่อแม่ ใช่หรือเปล่า
(สำนึกที่ดี)  มีจิตสำนึกผิดชอบชั่วดี พ่อจะได้ชื่นใจ จิตสำนึกที่ดีเป็นสิ่งที่ดีนะศิษย์ คนสมัยนี้ให้ทำดีแค่ไหน แต่ถ้าขาดจิตสำนึกเขาก็ดีไม่รอด 
(ให้ใจเอื้อเฟื้อต่อเพื่อนมนุษย์ สัตว์ ไม่ว่าคนดี หรือไม่ดี จิตใจเอื้อเฟื้อตลอดไป)  ฉะนั้นยุงกัด (ตบบ้าง)  ไหนบอกอาจารย์เองให้มีใจเอื้อเฟื้อมนุษย์และสัตว์ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าพลั้งเผลอตบยุงบ้าง แล้วกับคนศิษย์จะไม่พลั้งเผลอตบคนหรือ (ให้อาจารย์ตบได้) ให้อาจารย์ตบได้ ศิษย์ไปตบคนอื่นได้ไหม  (ไม่ได้ ต้องทำดีกับเขา) แล้วยุงกัดตบไหม (ก็คงไม่ตบแล้วครับ)
ศิษย์เอยเขาขอเลือดเราแค่นิดเดียว ศิษย์ยังตบเขาจนตาย แล้วคนที่เราไปทำเขาจนตายเขาไม่ทำเรากลับบ้างหรือ (ทำกลับ)  ฉะนั้นอย่าเผลอ เพราะเผลอเมื่อไรกรรมก็ตามมาเมื่อนั้น
(ไม่เอาเปรียบผู้อื่น)  การไม่เอาเปรียบผู้อื่นก็ต้องเริ่มต้นด้วยการรู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเอง ซื่อตรงต่อหน้าที่ และทำหน้าที่ตัวเองให้สมบูรณ์จริงไหม (จริง)
(มีความตั้งใจจริงที่จะเลื่อมใสศรัทธาในสิ่งดี เมื่อมีสิ่งดีแล้วทุกอย่างก็จะตามมา มีคุณธรรม มีเมตตาจิตต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน จะเชื่อมั่นศรัทธาในความดีจนกว่าจะบรรลุธรรมเหมือนนักธรรมที่บรรลุธรรม แล้ว)  พูดได้ดีนะ แต่ถึงเวลาทำให้ได้อย่างที่ว่านะศิษย์ เพราะการเข้าถึงธรรมไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องรู้จักมีสติปัญญา และหมั่นศึกษาเรียนรู้ ไม่ใช่เรียนรู้ผู้อื่นแต่เรียนรู้ใจตัวเอง ไม่ใช่แก้ไขผู้อื่นแต่ให้แก้ไขที่ใจตัวเอง สิ่งใดที่เป็นบาป เป็นความผิดให้หยุดลดละ สิ่งใดที่เป็นสิ่งดีเป็นกุศลหมั่นประกอบให้สม่ำเสมอ
(ความมุ่งมั่นตั้งใจ แม้ว่าจะยากก็จะทำให้ได้)  คนที่รู้จักพออยู่ทุกขณะ ความโลภ โกรธ หลง ก็ครอบงำได้ยาก แต่คนที่ไม่รู้จักพอ ความโลภโกรธหลงก็เข้าครอบงำได้ง่าย
(มีศีลธรรมในใจและมีเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลก)  ทำให้ได้นะ ถึงเวลาโดนใครว่า โดนใครด่า อย่าท้อแท้นะ (มีธรรมะ มีความกตัญญู)  มีธรรมะคือสิ่งที่ดีงามที่อยู่ในใจศิษย์นะ ความกตัญญูก็คือรู้บุญคุณคน ไม่ใช่กตัญญูต่อพ่อแม่ ทุกคนล้วนมีคุณต่อเรา ไม่มีเขาก็ไม่มีเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(ธรรมะดี)  ไปทำความดี เอาธรรมะไปบอกคนอื่นๆ ถ้าอย่างนั้นจงรักษาความดีเหมือนดั่งเกลือรักษาความเค็มนะ ตอบอีกไหม ที่จริงแล้วศิษย์มีดี แต่มักไม่ค่อยเลือกทำดี ชอบเอาแต่ใจตัวเอง ชอบเอาแต่นิสัยตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากให้ศิษย์พยายามดึงสิ่งที่ดีออกมา อย่าเห็นแต่ใจตัวเองจนลืมเห็นใจคนรอบข้าง อย่ามัวแต่ห่วงความรู้สึกตนเอง จนลืมห่วงคนที่อยู่รอบข้าง ที่เขารักศิษย์นะ ทำให้ได้นะ ฝึกจิตเมตตา จิตมีน้ำใจ จิตเสียสละ จิตอ่อนน้อมไม่ใช่เรื่องยาก อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ทำได้ แต่ไม่ค่อยทำ ใช่ไหม 
(จริงใจซื่อตรง)  แม้คนไม่รักก็ต้องจริงใจซื่อตรง เพราะจะได้เปลี่ยนแปลงคนไม่รักให้กลายเป็นรัก ใช่หรือไม่ อย่าลำเอียงก็พอ
(การให้ทาน และการเสียสละ)  แต่ถ้าเสียสละแล้วยึดติดในผล ยึดติดในการหวังวอนขอ การให้ทานนั้นก็ไม่บริสุทธิ์ ใช่ไหม (ใช่)  (การให้ทานโดยจิตใจบริสุทธิ์ไม่หวังผลตอบแทน)  การให้ทานจะยิ่งประเสริฐยิ่งขึ้นก็คือแม้ตัวตนก็ให้ได้ ความเป็นตัวตนก็ให้ได้ นั่นแหละเรียกว่าให้นิพพาน ให้ความสงบเย็น เคยให้สิ่งนี้กับคนอื่นบ้างไหม (บางครั้งเราอาจจะไม่ได้ให้ทรัพย์ แต่เราให้ความรู้การปฏิบัติธรรม ให้คนรู้จักมีสติขึ้น)  แต่อีกสิ่งหนึ่งที่อาจารย์อยากให้คือก่อนจะให้คนอื่น ศิษย์ต้องให้ตัวเองก่อน สงบได้หรือยัง เย็นบ้างได้หรือยัง ถ้าศิษย์เข้าถึงความสงบได้ เข้าถึงความเย็นได้ บางครั้งไม่ต้องพูด แต่การปฏิบัติตัวของเราจะทำให้รอบข้างเห็น มันต้องหลั่งล้นออกมาจากตัวนะ ความรู้แน่นแต่ปฏิบัติยังไม่แน่น ใช่ไหม (ใช่) 
(คืนกำไร)  คืนกำไร แล้วเรามีกำไรให้เขาหรือยัง แล้วทำได้หรือยัง (เกือบจะทำได้)  แล้วเมื่อไหร่จะทำ  (รักพ่อรักแม่ มีน้ำใจต่อเพื่อนบ้าน,รู้จักแบ่งปัน,มีความอดทน,ทำกรรมดี,ขอให้ลูกหลานเป็นคนดี)  เผื่อว่าสิ่งที่ตัวเองทำดีขึ้นจะทำให้ลูกหลานดีขึ้น ศิษย์รู้ไหมพ่อแม่มุ่งมั่นปฏิบัติธรรมจนตราบลมหายใจสุดท้ายลูกหลานจะเป็นคนดีสามชั่วคน  แต่ถ้าพ่อแม่ปฏิบัติธรรมไม่ถึงที่สุดลูกหลานไม่ได้ดีหรอกนะ
(อยากให้คนทุกคนมีเมตตา อยากให้คนทั่วประเทศมาฟังธรรมอย่างนักเรียนในวันนี้)  อาจารย์ถามว่าศิษย์ศรัทธาอะไรในความดี แต่ศิษย์อยากให้คนทั่วโลกมีคุณธรรมปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ใช่หรือไม่
(มีจิตเมตตา อยากให้ผู้อื่นมาฟังธรรม)  ศิษย์หลายคนตอบอาจารย์ว่า อยากให้ทุกคนมีจิตเมตตา มีน้ำใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อาจารย์ก็บอกไว้เสมอๆ นะศิษย์ ถ้าศิษย์ไม่ปฏิบัติอย่างสุดจิต สุดใจ ใครจะปฏิบัติกับศิษย์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าศิษย์เอาแต่เรียกร้องคนอื่น แต่ตัวเองไม่เคยมี แล้วใครจะทำให้ศิษย์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นเราต้องทำก่อน เราต้องเริ่มก่อนทำให้เขาเห็น ประจักษ์ให้เขาดูว่า ใครไม่ดีไม่เป็นไร ฉันนี่แหละจะดี ใครไม่ทำไม่เป็นไร ฉันนี่แหละจะทำให้เขาเห็น ทำให้เขารู้ว่ายังมีความดีในโลก และความดีในโลกจะคุ้มครองคนดีเอง โดยไม่ต้องขอ ไม่ต้องเรียกร้อง ดีหรือไม่ (ดี) อาจารย์ขอให้ศิษย์เป็นหน่อเนื้อธรรมแห่งความดี บ่มเพาะความดีในใจตัวเองนะ ได้หรือไม่ (ได้) เริ่มต้นด้วยบุญ และมีคุณธรรม และก็ตามด้วยการประจักษ์แจ้งในธรรมแห่งตน ทำได้ไหม (ได้)  แต่จำไม่ได้แล้วใช่ไหม จำได้ไหม (ได้)
ศิษย์เอ๋ยแม้กระทั่งพระพุทธองค์ท่านยังกล่าวไว้ว่า ทำดีแม้ต้องฝืนทำ แม้ต้องทำด้วยน้ำตานองหน้า ท่านก็ให้เลือกทำดีเพราะความดีจะคุ้มครองคนดี อย่าเผลอไปทำชั่ว เพราะเมื่อความชั่วตกผล แม้ศิษย์จะมีกี่ภพกี่ชาติ ความชั่วก็จะติดตามไปทุกภพทุกชาติ ให้ศิษย์แก่ เจ็บ ตาย ไม่จบสิ้น ฉะนั้นเริ่มต้นง่ายๆ พบใครให้อ่อนน้อมถ่อมตน มีเมตตา ซื่อสัตย์ ซื่อตรง รู้จักให้เกียรติ เคารพ ดีไหม (ดี)  เมื่อเราปฏิบัติได้ถูกต้องคราวนี้ก็ไม่ต้องกลัว คนอื่นมาปฏิบัติต่อเรา ไม่เป็นไร เขาจะด่าเรา เขาจะทำร้ายเรา เขาจะแช่งชักหักกระดูกเรา เราก็ขอให้เป็นการจบเวรจบกรรม คิดว่า สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี
สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นทั้งดับและดี  ถ้าทุกขณะที่เขาจะด่าเรา ก็เป็นทุกขณะที่กำลังจะดับและเรากำลังจะได้ดี  ฉะนั้นเขาด่าอย่างไรเราจะต้องเอาดีให้ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ใช่เขาด่าเรา เราเอาชั่ว เอาไหม (ไม่เอา)  แล้วเมื่อเอาดี อย่าเอาแค่ดี แต่ต้องดีให้ถึงธรรม ธรรมที่ทำให้เราปล่อยวางตัวตน ไม่ก่อเกี่ยวกรรม ดีหรือไม่ (ดี) 
ฉะนั้น เขาไม่ได้ว่าเรา แต่เขากำลังว่าธรรม คนที่กำลังว่าเรา แต่เขาก็คือธรรม ฉะนั้นเห็นธรรมในเขา เห็นธรรมในตัวเรา เราก็เข้าถึงธรรมที่แท้จริง ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราจะได้สิ้นเกิดสิ้นตายในชาตินี้ชาติสุดท้ายนะศิษย์เอย ดีไหม (ดี)  อยากเกิดอีกไหม (ไม่อยาก)  ถ้าไม่อยากเกิดก็อย่าเกี่ยวกรรม แต่ถ้าอยากเกิดก็เกี่ยวไปเลย โกรธไปเลย ด่ากลับไปเลย แต่อาจารย์บอกไว้ก่อนนะ นรกน่ากลัวกว่าที่ศิษย์คิด เจ็บปวดยิ่งกว่าอะไรในโลกนี้เลย ศิษย์ร้องยังมีวันสุดเสียง แต่ร้องเจ็บปวดในนรกไม่มีวันสุดเสียง และเขาจะปลุกให้ศิษย์ฟื้นขึ้นมาแล้วก็รับกรรมอีก ฉะนั้นอาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์ตกนรก อาจารย์อยากเห็นศิษย์พ้นกรรม ไม่ใช่ขอฟ้าแต่ขอตัวเอง ไม่ใช่ห้ามคนอื่นแต่ห้ามตัวเอง ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นคิดให้ดีๆ ว่าชาตินี้จะเป็นคนเพื่อพ้นทุกข์ หรือจะเป็นคนที่เวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้นก็อยู่ที่ศิษย์นะ ไม่ได้อยู่ที่อาจารย์ อาจารย์แค่ชี้ทางแต่ศิษย์จะเดินหรือไม่เดินอยู่ที่ตัวศิษย์เอง อาจารย์ไม่เคยล้อเล่นกับชีวิต แล้วอาจารย์ไม่เคยประมาทกับการดำรงชีวิต ศิษย์จะดำรงชีวิตแล้วไปเกี่ยวกรรมหรือสิ้นกรรม คิดให้ดีๆ นะศิษย์

(ถ้าเราลืมไตรรัตน์ เราจะเข้าประตูสวรรค์ได้ไหม)  ศิษย์เอย หากลืมไตรรัตน์ แต่ถ้าจิตถึงแจ้งในธรรมก็เข้าได้ แต่สวรรค์นั้นเป็นสวรรค์ที่ยังต้องกลับมาเกิดอีก เพราะกลายเป็นบุญแทน ไม่ใช่การพ้นทุกข์ (ถ้าจะพ้นทุกข์ได้ก็ต้องจำได้ ใช่ไหมครับ)  ไม่ใช่แค่จำได้อย่างเดียว ถ้าจะพ้นทุกข์ต้องเข้าถึงสภาวธรรมอันเดิมแท้ในตัวเอง ซึ่งสภาวธรรมนั้นก็มีอยู่บนฟ้าเบื้องบน และมีอยู่ในตัวเรา ฉะนั้นถ้าเราจะกลับคืนฟ้าเบื้องบนที่ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก ก็จะต้องสิ้นตัวตนให้ได้ตั้งแต่ชาตินี้ แต่ถ้าใจศิษย์ยังยึดติดในตัวตนว่ามีตัวตนเป็นแบบนั้นแบบนี้ ศิษย์ก็หนีไม่พ้นบุญบาป ใช่หรือไม่  ฉะนั้นลองมองให้เห็นว่า เรามีสภาวธรรมอยู่และธรรมนั้นเรากลับคืนได้ไหม ถ้ากลับคืนไม่ได้ก็ยังหนีไม่พ้นบ่วงกรรม ใช่หรือไม่ แต่อย่างดีที่สุดก็แค่ไปฟังธรรมต่อ แต่ถ้าฟังธรรมต่อแล้วศิษย์ยังไม่เข้าถึงก็ยังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก อยู่ที่บุญกรรมศิษย์ ไม่ได้อยู่ที่ตัวอาจารย์แล้ว (ก็แสดงว่าต้องจำไตรรัตน์ให้ได้ แล้วต้องเข้าถึงด้วย)  ศิษย์เอย แล้วการจำยากนักหรือ สิ่งที่ไม่ดีจำได้เยอะ แต่เรื่องดีๆ ทำไมจำไม่ได้ล่ะ ใช่หรือไม่  สิ่งที่ควรจำเรากลับไม่จำ สิ่งที่ควรลืมแต่เรากลับจำ นั่นเป็นสิ่งที่น่ากลัวกว่านะ
ศิษย์เอย ตั้งใจบำเพ็ญให้ดีนะ เลือกที่จะบำเพ็ญบ้างเถอะ เลือกที่จะเป็นคนดีบ้างเถอะ แล้วเลือกที่จะเดินตามที่อาจารย์บอกบ้างนะ ศิษย์เอย
มีโอกาสกลับมาอีกนะ มัวแต่กอดอกแล้วเข้าใจในธรรมะที่อาจารย์พูดบ้างไหม เข้าใจและไปปฏิบัติควบคุมอารมณ์ให้ได้ การงานจะได้ดีขึ้น อย่าดื้อนะ รู้จักมีศีลมีธรรม ใจเย็นๆ อย่าขี้บ่น เลือกที่จะเดินตามที่อาจารย์บอกบ้างนะศิษย์เอย
มีโอกาสมาช่วยงานอาจารย์นะ ตั้งใจทำในสิ่งที่ถูกต้องอย่ายอมแพ้ มุ่งมั่นอดทนให้ถึงที่สุดไม่ว่าเจอเรื่องอะไร เข้มแข็งนะ ไม่ว่ามีเรื่องอะไรปัดเป่ากิเลสออกจากใจด้วยหลักธรรมที่ถูกต้อง ปัดเป่าความทุกข์ออกจากใจด้วยหัวใจแห่งธรรมนะศิษย์  มีโอกาสกลับมาอีกนะ    

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ผู้ใฝ่ดี”
      มีศรัทธาความดีงามในใจตน                   ฟื้นฟูธรรมงดงามหลั่งล้นออกมาได้
จิตดีงามความถูกต้องธรรมนำใช้                     ไม่กลืนหายไปเพราะนิสัยโทษทุกทุกสิ่ง

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

2559-05-21 สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์

西元二○一六年 歲次丙申四月十五日                   仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๙    สถานธรรมเซิ่งเต๋อ  จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง
  โลภโกรธหลงตัดไม่ขาดปราบไม่สิ้น    แม้ใฝ่ดีติดเคยชินยากลดละ
รู้ธรรมแต่ไม่ปฏิบัติยากสละ              ก็ยากจะบำเพ็ญได้กลับคืน
           เราคือ
  เสี่ยวเซี่ยวฝอถง (小笑佛童)       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                     ถามเมธีทุกท่านยินดีร่วมศึกษาธรรมกับเราไหมหนอ
  คลื่นใต้น้ำรอวันจะปะทุ                ชะตาดุขาดคุณธรรมไปไม่รอด
จิตสำนึกขาดไปใจมืดบอด                กัดฟันกรอดใช้สติตัวเอง
จิตมุ่งมั่นดุจดั่งง้างธนู                     ปัญญารู้รอบเก่งตรงเป้าเผง
ทันหรือไม่หยุดมหันตภัยตัวเอง           ใจสู้เก่งเท่าใดหนาพิจารณา
เมื่อไม่สู้ภัยจากใจอ่อนแอ                รู้จักใจผ่านมองแผลยากรักษา
มีได้ยากดวงตาแห่งปัญญา               ผู้รู้จริงภาพลวงตาอันตรธาน
ธรรมบาล[๑]เป็นได้ด้วยฝึกฝน             ว่าไร้ตนจึงแท้ทุกสถาน
ใดวางใจรู้จริงธรรมญาณ[๒]                กอปรธรรมเป็นโลกบาล[๓]สำราญใจ
เป็นคนปราณงานบุญไม่บกพร่อง        ยิ่งจะต้องสามัคคีสู่ฟ้าใหม่
รู้ทันกันเป็นอุปสรรคปัญหาใจ           คนยอมละทิฐิได้เรียกบำเพ็ญ
ฮิ  ฮิ  หยุด



[๑] ธรรมบาล               ผู้รักษาธรรม
[๒] ธรรมญาณ             จิตเดิมแท้ เป็นรากฐานเดิมตามธรรมชาติแท้ของจิต
[๓] ธรรมเป็นโลกบาล    ธรรมคุ้มครองโลก

พระโอวาทท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง

อยู่ในโลกนี้การพยายามจะมี บางทีก็ทำให้เราทุกข์ บางครั้งการพยายามจะเป็นก็ทำให้เราเจ็บปวด อยากเป็นคนเก่งบางครั้งก็ต้องเจ็บ
ก็ต้องทุกข์
ถ้าเราบอกว่าการมาอยู่ในโลกนี้โดยไม่ต้องมีอะไรเลย และไม่ต้องเป็นอะไรเลยดีไหม (ไม่ดี)  การพยายามจะมีเงินก็หนีไม่พ้นคำว่า “ทุกข์” เพราะว่าพอไม่มีก็ทุกข์ เมื่อมีแล้วไม่ได้ดั่งใจก็ทุกข์ การพยายามจะเป็น
คนเก่งยิ่งพยายามก็ยิ่งเจ็บก็ยิ่งทุกข์ ฉะนั้นถ้ามาอยู่กับเราแล้วไม่ต้องมีและไม่ต้องเป็นจะดีไหม (ไม่ดี)  เอาไหม (ไม่เอา)  บอกว่ายิ่งมีก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งเป็น
ก็ยิ่งทุกข์ เมื่อพยายามอยากจะเป็นอย่างนั้นให้ได้ พอเป็นไม่ได้ก็ทุกข์ พยายามอยากจะมีอย่างคนนั้นให้ได้ พอไม่มีก็เจ็บ มนุษย์พยายามวิ่งหาความมี ความเป็น ผลสุดท้ายก็หนีไม่พ้น นึกว่ามีแล้วเป็นแล้วจะได้ไม่ทุกข์ไม่เจ็บ แต่ทำไมยิ่งมีก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งเป็นก็ยิ่งทุกข์ ถ้าไม่ต้องมีอะไรเลย และ
ไม่ต้องเป็นอะไรเลยดีไหม (ไม่ดี)  ยังมีห่วงหรือ ห่วงที่พยายามจะมี แต่พอถึงที่สุดแล้วก็เหมือนไม่มี เพราะแม้จะพยายามอย่างไร เขาก็ไม่อยากให้เราห่วง ทำไมห่วงมากๆ เขากลับรำคาญ ฉะนั้นเรามีหรือเราเป็นอะไรจริงๆ หรือเปล่า เราถามท่านง่ายๆ แต่จริงๆ เป็นหลักใหญ่ของการศึกษาธรรมเลย เพราะมนุษย์ทุกคนพยายามที่จะมีจะเป็น แต่ยิ่งพยายามมีเท่าไร เรานึกว่าเรามีแล้วจะทำให้เราไม่ทุกข์ ไม่เจ็บ ไม่ปวด แต่กลายเป็นยิ่งมียิ่งเป็น ก็ยิ่งทุกข์ยิ่งเจ็บ
ฉะนั้นเราจึงบอกท่านว่า อยู่ในโลกนี้ ไม่ต้องมีอะไรเลย และไม่ต้องเป็นอะไรเลยดีไหม (ไม่ดี)  หลายคนบอกว่าไม่ดี อย่างนั้นเราถามจริงๆ
ว่าตัวท่านที่นั่งอยู่ที่นี้ มีอะไรเป็นของท่านจริง (ไม่มี)  บอกว่ามีเงิน เงินเป็นของเรา แล้วใช่ของเราไหม (ไม่ใช่)  บอกว่าสังขารนี้เป็นของฉัน แล้วใช่ของฉันไหม (ไม่ใช่)  บอกว่าสิ่งนี้เป็นของฉัน แล้วถึงเวลาจะเป็นของฉันไหม
(ไม่เป็น)  อย่างนั้นถามต่อว่า ที่บอกว่ามนุษย์พยายามอยากจะเป็น
แต่แท้จริงแล้วเราเป็นอะไรจริงๆ ไหม (ไม่เป็น)  วันนี้เราเป็นแม่ แต่เมื่อไปอยู่กับเพื่อนแล้วเราเป็น (เพื่อน)  วันนี้เราเป็นคุณครู แต่เมื่อไปอยู่กับอาจารย์ เราก็กลายเป็น (ลูกศิษย์)  วันนี้เราอยู่กับแฟน เราก็เป็นคนรัก
แต่เมื่อเราไปอยู่กับคนอื่น เรากลายเป็น (เพื่อน, คนอื่น)  แท้จริงแล้วเราเป็นอะไร เมื่อเราอยู่กับเขาเราบอกว่าเราเป็นมิตร แต่เมื่อไปอยู่กับอีกคนหนึ่ง ทำไมเขาว่าเราเป็นศัตรู ถึงแม้เราพยายามจะเป็นมิตรใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยู่กับเขา เราเป็นพ่อ แต่เมื่อเราไปอยู่กับอีกคนหนึ่ง เรากลายเป็นเพื่อน ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นแท้จริงแล้วเราเป็นอะไรกันแน่ เมื่ออยู่กับเรา ท่านเป็นผู้ใหญ่ เราเป็นเด็ก แต่เมื่อไปอยู่กับอีกคนหนึ่ง ทำไมเราเป็นผู้ใหญ่ แล้วเขากลายเป็นเด็ก ตอนนี้เราบอกว่า ท่านเป็นผู้ใหญ่ แต่ผ่านไปอีกยี่สิบปี ผู้ใหญ่จะเป็นอะไร แล้วเราจะเป็นอะไร เหมือนตอนนี้เราอยู่กับท่าน เราดูเตี้ย
แต่ถ้าเราไปอยู่กับคนที่เตี้ยกว่า เราก็กลายเป็นคนสูง ถ้าเราไปอยู่กับคนผอมมากๆ เราก็กลายเป็นคนอ้วน แล้วถ้าเราไปอยู่กับคนอ้วน เราก็กลายเป็นผอม แล้วเราเป็นอะไร แล้วเมื่อถึงที่สุด เรามีอะไร (ไม่มี)  แล้วที่เราบอกว่า เราเป็นอาจารย์ เรามีความเป็นอาจารย์อยู่ แต่เมื่อเราไปพบอาจารย์ เราก็ต้องเป็น (ลูกศิษย์)  ใช่ไหม (ใช่)
ดังนั้นถ้าเราหลงยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตัวเองเป็น บางครั้งเราก็จะ
ตกหลุมอากาศของตัวเองที่เผลอคิดไปว่า ฉันเป็นอาจารย์ และคอยจะสอนคนอื่นอยู่ตลอดเวลา หรือบางครั้งเราคิดว่าตัวเองสวย แต่เมื่อไปอยู่กับ
คนอื่น เราคิดว่าเราจะสวยจริงไหม หรือบางทีเราคิดว่าเราเก่ง เราแน่ แต่ถึงเวลา พอเราอ้าปากแล้วเราจึงรู้ว่า จริงๆ แล้วเราอาจจะไม่เก่ง ไม่แน่เลย
ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นไม่ต้องเป็นอะไร ไม่ต้องมีอะไรเลย ก็อาจไม่ต้องทุกข์ก็ได้ แต่การพยายามจะมีจะเป็น แล้วก็ตีกรอบให้ตัวเองว่าฉันต้องมี ฉันต้องเป็นให้ได้ แล้วผลสุดท้าย คนที่ทำให้ตัวเองต้องทุกข์ก็คือตัวเราเอง เหมือนฉันจะดีจะมีความสุขได้ ฉันจะมีจิตที่เข้าถึงธรรมะได้ ฉันก็คิดว่าต้องสงบ แล้ว
ผลสุดท้าย ใครหรือที่กั้นตัวเองออกจากความสงบที่แท้จริง (ตัวเราเอง)
ขอถามท่านนะ เรามีอะไรหรือ แล้วเรากำลังเป็นอะไรหรือ เราไม่มีอะไร เราไม่เคยได้เป็นอะไรจริงๆ สักอย่าง ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเมื่อถึงเวลาที่เราถูกโดนว่า แล้วเราก็ไม่เป็นอะไรเลยเราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)
เพราะอะไร ก็เราไม่มีอะไรจริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ สักอย่างเลย ฉะนั้นโดนว่าโง่ก็ไม่โกรธ โดนว่าว่าแก่ก็ไม่โกรธ เพราะเดี๋ยวก็ต้องแก่แล้วก็ต้องตายจริงๆ และถึงที่สุดก็ไม่รู้จะแก่อีกเท่าไรด้วย ถ้าเกิดว่าวันหนึ่งเราจะไม่มีใครรัก เราก็ไม่โกรธ เพราะไม่มีอะไรเป็นของเราจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าไม่มีอะไรให้รัก แล้วเราจะโกรธอะไร แล้วถ้าไม่มีอะไรให้เป็น
เราจะทุกข์อะไร แล้วตอนนี้กำลังทุกข์อะไร ไม่เข้าใจเหมือนกันนะ ในเมื่อทุกสิ่งเปลี่ยนแปรผัน ฉะนั้นคนที่หลงคิดว่าตัวเองมี ตัวเองเป็น คนที่หลงตัวเอง คนที่คิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองแน่นั่นก็คือคนที่ไม่มองความจริงอย่าง
ถึงที่สุด แล้วเราเป็นไหม ถามจริงๆ เราเป็นอะไร แล้วเรามีอะไรหรือ (ไม่มี)  เราบอกว่าเรามี ถ้าไปเทียบกับคนที่มีมากกว่าเราก็เหมือนไม่มี เราบอกว่าเราไม่มี แต่ไปเทียบกับคนไม่มีจริงๆ เรากลับมี แล้วอย่างนั้นเรากำลังทุกข์กับอะไร แปลว่าเรากำลังทุกข์กับความหลงอันไม่มีที่แท้จริง และไม่เคยเป็นอะไรที่จริงแท้หรือเปล่า ใช่ไหม (ใช่)
ถ้าเราเข้าใจตรงนี้แล้ว เราจะมีความโลภอยากได้อะไรของใครไหม (ไม่อยาก)  เราจะเกลียดใครไหม (ไม่เกลียด)  และเราจะหลงตัวเองไหม
(ไม่หลง)  เมื่อความโลภ โกรธ หลง ไม่มี หนทางแห่งทุกข์ หนทางแห่ง
บาปเวรก็หมดสิ้น เมื่อหมดสิ้นก็ไม่ต้องคุยอะไรต่อแล้ว ที่เราพูดกับท่าน
ง่ายไหม (ง่าย)  แต่ถ้าท่านเข้าใจ สิ่งที่ง่ายๆ นี้ก็จะสามารถทำให้ท่านตัดความโลภ โกรธ หลง ได้ทันที ถูกไหม เพราะเราไม่มีอะไรที่แท้จริงสักอย่างเลย เหมือนบางครั้งพยายามจะมีเงิน แต่ทำไมกลับยิ่งต้องเสียเงินก่อน
ถ้าอย่างนั้นที่เรากำลังได้มาหรือว่าเรากำลังจะเสียไป สิ่งที่ท่านเรียกว่า เกียรติยศ หน้าตา ชื่อเสียง แท้จริงก็คือ (หัวโขน)  ทุกท่านเรียกว่าหัวโขน อย่างนั้นก็ถอดหัวโขนออกมาบ้าง ก็เหมือนเรา อันนี้คือหน้าตาเราจริงๆ ไหม (ไม่ใช่)  เพราะหากถอยเวลาไปห้าปี หน้าจะเป็นอย่างนี้ไหม หรือหากเดินหน้าไปอีกห้าปี หน้าจะเป็นแบบนี้ไหม (ไม่)  แล้วไหนหน้าของเรา ฉะนั้นถ้ามีคนด่าเราว่าหน้าด้าน เราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  ทำไมไม่โกรธ
(ก็เพราะไม่ใช่หน้าเรา)  ตอนนี้คิดได้นะว่าไม่ใช่หน้าของเรา
ท่านนับถือพระพุทธองค์ แล้วท่านก็เป็นศิษย์พระพุทธองค์ ถ้าท่านโดนด่า ๗ วัน ๗ คืน ทนไหวไหม (ไม่ไหว)  หนีไหม (หนี)  ไม่ต้องถึง ๗ วัน แค่วันเดียวก็หนีแล้ว แต่ทำไมพระพุทธองค์โดนด่า ๗ วัน ๗ คืนแล้วไม่หนี ไม่สู้ ไม่ด่า แต่ท่านเฉย ถ้าเกิดเราโดนใส่ความว่าเราเป็นคนผิดทั้งที่เราไม่ผิด เราหนีไหม (หนี)  สู้ไหม (สู้)  แต่พระพุทธองค์ไม่สู้ ไม่หนี แต่ท่านทำอะไร พระพุทธองค์ท่านเคยโดนคนปองร้าย เคยโดนคนจะเอาถึงชีวิตไหม (เคย)  ท่านหนีไหม (ไม่หนี)  ท่านสู้ไหม (ไม่สู้)  ท่านว่าไหม (ไม่ว่า)  ท่านผูกใจเจ็บไหม (ไม่)  ท่านเคืองแค้นไหม (ไม่)  ท่านก่อเวรกรรมไหม (ไม่)  ไหนว่าเราเป็นศิษย์พระพุทธองค์ ถูกเขาว่านิดเดียวเราเอากลับไหม เขาทำนิดเดียวเราต่อยกลับไหม แล้วพระพุทธองค์ท่านสอนอะไร ท่านสอนให้เราไม่สู้ ไม่หนี แต่ท่าน (ปล่อยวาง)  ท่านเคยได้ยินไหมว่า “ที่ใดเป็นที่แห่งต้นเหตุของทุกข์ ที่นั้นเป็นมรรคผลพระนิพพาน ที่ใดเป็นกิเลส ที่นั้นเป็นที่ที่ทำให้เราเป็นพุทธะ” ทำได้แบบนั้นบ้างไหม ก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ ที่ใดเป็นที่มีกิเลสที่นั้นก็จะเป็นที่ที่บังเกิดกิเลสให้ยิ่งๆ ขึ้นไปใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์ถ้ามีทางเลือกทางหนึ่งคือทางสว่าง อีกทางคือทางมืดบอด ทำไมเราไม่ศรัทธาความสว่าง แต่เราเลือกที่จะเดินไปสู่ความมืดบอด หรือเป็นเพราะว่าเราเคารพความมืดบอดมากกว่าความศรัทธาดีงามในตัวเอง ใครร้ายมาเราร้ายตอบ ใครว่ามาเราว่าตอบ ใครเตะมาเราเตะตอบ
อย่างนั้นหรือ
มีใครไม่อยากสนทนาธรรมกับเราบ้างไหม (ไม่มี)  เราไม่ฝืนใจท่าน ไม่อยากทำให้ท่านทุกข์ ไม่อยากให้การมาของเราครั้งนี้ทำให้ท่านทุกข์ แล้วก็ก่อกิเลสก่อบาปก่อกรรม แต่เป็นธรรมดา มีคนดีใจก็มีคนไม่ชอบใจใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราไม่ยึดติดความมี ความเป็นอะไรของเรา ใครพูดอะไรเราก็คง
ไม่ทุกข์และเดือดร้อนจริงไหม แต่ถ้าเรายึดความมีความเป็นของตัวเรา บางครั้งแค่เราส่งสายตา เราก็เจ็บปวดโดยที่เขาไม่ต้องพูดอะไรเลยก็ได้
จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นมนุษย์สามารถก่อกรรมได้ทุกขณะเลยนะ
ฉะนั้นต้องระวังความคิด เพราะความคิดของมนุษย์เป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด แม้ตาและตัวจะอยู่ตรงนี้ แต่ความคิดนั้นน่ากลัวยิ่งนัก จริงๆ แล้วมนุษย์นั้นยิ่งใหญ่ และสามารถจะอดทนได้มากเท่าที่จะทำได้ ถ้าเราไม่
ตีกรอบใจของตัวเองจนเกินไป ถ้าเราบอกว่าไม่ไหว ยืนแค่นิดเดียวก็ไม่ไหว แต่ถ้าเราบอกว่าไม่เป็นไร ยืนแค่นิดเดียวก็ไม่เป็นไร ทุกข์หรือไม่ทุกข์
ต้องถามตัวเองว่า เขาทำให้เราทุกข์หรือเราตีกรอบใจของตัวเราเองให้
คับแคบจนทุกข์ง่ายเกินไป เราพูดง่ายๆ ว่า เราทุกข์หรือไม่ทุกข์ ใช่อยู่ที่เขาเป็นคนทำหรือเปล่า (ไม่ใช่)  ถ้าเราไม่ตีกรอบให้ตัวเอง หรือหัวใจของเรา
คับแคบ ถามว่าเขาจะทำให้เราทุกข์ได้ง่ายๆ ไหม เหมือนเมื่อสักครู่ ถ้าเราบอกให้ท่านยืนต่อไป ท่านบอกว่าไม่เป็นไร แต่ถ้าท่านคิดในใจว่าไม่ไหว
แค่ ๕ นาทีก็ไม่ไหวแล้ว จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าท่านบอกว่าไม่เห็นเป็นไรเลย ฉะนั้นจะทุกข์หรือจะสุขอยู่ที่เราตีกรอบใจเรา ถ้าเราตีกรอบแบบไม่มีกรอบ ใครจะทำเราเจ็บ ไม่มีคำจำกัดความว่าเราจะเป็นอย่างไร แล้วเราจะทุกข์
ที่ตรงไหน
แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่ ก็ตัวเราเป็นแบบนี้ ชอบแบบนี้ ทำอย่างนี้ทำได้แค่นี้ จะเอาอะไรกับเราหนักหนา แล้วผลสุดท้ายเป็นอย่างไร ทุกข์ง่าย
ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราคิดว่าเราเป็นคนที่ปรารถนาในความ
ทุกข์ยาก แต่ในความสุขง่าย เราจะเป็นคนที่ทุกข์ง่ายหรือสุขง่าย (สุขง่าย)  แต่มนุษย์มักปรารถนาในความทุกข์ง่ายสุขยาก ตอนนี้เรากลายเป็นคนที่ทุกข์ง่ายหรือสุขง่าย (ทุกข์ง่าย)  มนุษย์ที่นั่งอยู่ในที่นี้เป็นคนชอบให้หรือเป็นคนชอบขอ เราอยู่ในโลกนี้จริงๆ แล้วเราเป็นนักให้หรือเป็นนักขอตัวยง ทำอะไรก็ตามขอให้สำเร็จหรือขอให้ล้มเหลว ทำอะไรก็ตามขอให้ได้หรือขอให้ไม่ได้อะไรเลย วันนี้มาฟังธรรมะเราขอหรือไม่ขอ (ขอ)  ไม่ขอแต่ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา อย่างนั้นจะต่างกันตรงไหน แล้วเคยได้ยินไหม เวลาคนจะมาเกิดสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะให้พร ๒ ประการคือ ให้เป็นนักให้กับให้เป็นนักขอ ท่านจะเลือกอะไร แล้วคนที่เป็นนักขอเป็นอะไรรู้ไหม เป็นขอทาน แล้วคนที่เป็นนักให้ เป็นอะไรรู้ไหม (เศรษฐี)  เราถามต่อว่า ระหว่างนักขอกับนักให้ จริงๆ แล้ว ตัวท่านเป็นนักขอหรือนักให้ แล้วถ้าคนที่เป็นนักให้เป็นคนที่มีหรือคนที่จน (มี)  อย่างนั้นมีเท่านี้ก็ไม่ต้องอะไรมากแล้ว ไม่ต้องขออะไรแล้ว แค่นี้ก็มีพอแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  แต่ทำไมยังขออีก
วันนี้เรามาฟังธรรม เราได้บุญไหม (ได้)  ส่วนใหญ่จะคิดว่าวันนี้มาทำบุญ แต่ไม่ได้ทำบุญ เพราะส่วนใหญ่เรามักจะคิดว่า บุญคือการให้
อย่างนั้นวันนี้เรามาที่นี่ได้ทำบุญไหม (ได้, ไม่ได้)  ถ้าไม่ได้ก็แปลว่า เราไม่ได้มาให้ แต่เรามาขอ ถูกไหม (ถูก)  วันนี้ท่านกำลังได้บุญนะ เพราะท่านมาให้เวลากับตัวเอง เพื่อมีธรรม ฉะนั้นบุญไม่ได้แปลว่าการยื่นออกไปให้ แต่บุญคือ การฟังธรรมก็เกิดบุญ มีศีลมีธรรมก็เกิดบุญ การช่วยเหลือไม่นิ่ง
ดูดายผู้อื่นในยามที่เขาเดือดร้อน นั่นก็คือการให้บุญสร้างบุญ
 การฟังแล้วรู้สึกดี แล้วเราอุทิศต่อให้สัมภเวสี เจ้ากรรมนายเวร ให้เพื่อน ให้ผู้อื่น นั่นก็คือการให้บุญ การฟังเขาแล้วเขาพูดดี แล้วเราก็อนุโมทนาสาธุ นั่นท่านก็กำลัง
สร้างบุญ ให้บุญ การฟังแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงใจให้เป็นความคิดที่ถูกต้อง ไม่หลงผิด ไม่คิดร้าย ไม่ทำร้าย นั่นก็คือการให้บุญ แต่ไม่ได้ให้กับผู้อื่น แต่เราให้กับตัวเอง แต่คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า บุญต้องให้ผู้อื่น แท้จริงแล้วเราลืมให้บุญกับตนเองหรือไม่ เราลืมให้ธรรมกับตัวเองหรือไม่
พระพุทธองค์สอนไว้ว่า ให้อะไรก็ไม่ประเสริฐเท่ากับการให้ธรรม แล้วเราเคยให้ธรรมกับตนเองไหม ส่วนใหญ่เราให้แต่กิเลส นิสัย อารมณ์ ความเคยชิน การเอาแต่ใจ จริงไหม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นทางแห่งทุกข์ บาปกรรม และการเวียนว่าย ให้ธรรมล้วนเป็นหนทางสู่ความสงบเย็น
พระนิพพาน แล้ววันนี้เราให้ธรรมหรือว่าให้กิเลส (ให้ธรรม)  แปลว่าที่นั่งฟังมาสงบ ไม่บ่น ไม่ว่า ไม่ด่า ใช่ไหม (ใช่)  แต่เราไปไม่ถึงใช่หรือเปล่า ไปถึงได้แค่พลิกความคิดชีวิตก็เปลี่ยน
เหมือนเราถามว่า เราเคยคุยกับอาจารย์พุงใหญ่ “อาจารย์พุงโต
ทำอย่างไรมนุษย์จึงจะไม่ต้องร้องไห้และหัวเราะสลับกันไปแบบนี้” อาจารย์พุงโตถามว่า “อะไรนะ” เราก็บอกว่า “ทำไมมนุษย์เดี๋ยวต้องร้องไห้ และเดี๋ยวสักพักก็หัวเราะ เมื่อหัวเราะสักพักก็ต้องกลับไปร้องไห้อีก เราต้อง
วิ่งวนระหว่างหัวเราะกับร้องไห้ไปถึงเมื่อไร” อาจารย์พุงโตก็เลยหัวเราะ “เมื่อไรที่เด็กน้อยมีอาจารย์พุงโตอยู่ในใจ เมื่อนั้นแหละเด็กก็จะไม่ต้องหัวเราะและร้องไห้อีกต่อไป” เข้าใจไหม ท้องใหญ่ใจกว้างรองรับได้ทุกสิ่ง แต่มนุษย์ท้องแคบจิตใจเล็กนิดเดียว พอเจออะไรก็รับไม่ไหว ฉะนั้นทุกข์
จึงเป็นเรื่องที่ทำให้ท่านทุกข์อยู่ร่ำไป ใช่ไหม
เมื่อสักครู่เราคุยกันว่า มนุษย์ชอบที่จะเป็นช่างขอ และถามว่าให้
เราให้ไหม (ให้)  แต่บางทีเราก็แอบขอ ฉะนั้นมือหนึ่งให้ อีกมือหนึ่งก็ขอ
แล้วท่านเป็นพวกค้ากำไรเกินควรไหม ให้หนึ่งร้อยแต่ขอหนึ่งพัน หรือบางทียังไม่ทันให้ก็ขอแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นการทำบุญควรค้ากำไร หรือมีกิเลสอิงแอบไหม (ไม่ควร)  ถ้าเราบอกว่าเราอยากจะเป็นผู้ให้ได้ตลอดต้อง
ทำอย่างไร ไม่ยากเลย เราแค่บอกท่านง่ายๆ ว่าถ้าเกิดเราตื่นเช้ามาแล้วเราบอกว่า “เฮ้อเราขาด เฮ้อเราไม่มี เราไม่เห็นได้อะไรเลย” คนที่มีชีวิตเช่นนี้คือคนที่เอาแต่หวังขอใช่ไหม แต่กลับกัน ถ้าบอกว่าขอบคุณ ดีแล้ว สุขแล้ว ท่านว่าคนแบบไหนมีความสุขมากกว่ากัน (แบบที่สอง)  แบบแรกอยากได้อันโน้น อยากได้อันนี้ ถ้ามีอันนั้นหน่อยคงจะดีมากกว่านี้ ถ้ามีคนนั้นหน่อยคงจะสุขมากกว่านี้ แต่อีกแบบหนึ่ง ดีแล้ว พอแล้ว ขอบคุณแล้ว เราเป็นแบบไหน
ท่านรู้ไหมคนที่จนที่สุดคือคนที่มีเท่าไรก็บอกว่าไม่มี บางครั้งถ้าการมีทำให้เราทุกข์ ก็ให้เราคิดเสมอว่าบางทีเราไม่มีไม่เป็นก็ดี จะได้ไม่ทุกข์
แต่ถ้าการไม่มีไม่เป็นทำให้เราทุกข์มาก บางครั้งเรามีบ้างก็ได้ไม่เห็นเป็นไร เพราะการมีนั้นไม่ใช่มีจริงๆ แต่ถ้าเรามี เราเป็นได้อย่างแท้จริง การมีการเป็นก็จะไม่ทุกข์ แต่มนุษย์มักจะติดว่าถ้ามีก็ต้องมีไปตลอด ไม่มีก็หาว่าตัวเองจะไม่มีไปตลอด แต่หนทางพุทธธรรมมีได้ก็มีไม่ได้ ไม่มีได้บางครั้งก็
มีได้ เหมือนท่านบางครั้งใจก็เหลือนิดเดียว แต่บางครั้งใจก็ยิ่งใหญ่ บางครั้งเรื่องหนักๆ ก็แบกรับไหว แต่บางครั้งเรื่องนิดเดียวก็รับไม่ไหว ทำไมคุมใจคนอื่นเป็น แต่ทำไมไม่รู้ใจตัวเอง เราบอกท่านตั้งแต่แรกแล้วว่าเริ่มต้นง่ายๆ อยู่ที่เรารู้พอหรือยัง ถ้าเรารู้พอได้ เราจะให้ได้ แต่ถ้าเรารู้พอไม่ได้ เราจะให้ไม่ได้และจะสุขไม่เป็น แม้ว่าเราเกิดมาตัวแค่นี้ เรียนก็ไม่เก่ง ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ แต่เราก็บอกว่าขอบคุณแล้ว ดีแล้ว ความสุขเราอยู่ตรงนี้หรืออยู่ข้างหน้า (อยู่ตรงนี้)  แล้วความสุขของท่านอยู่ตรงนี้หรืออยู่ข้างหน้า ไม่เคยอยู่ตรงนี้เลย หวังว่าจะมีสุขต้องมีข้างหน้า แล้วท่านก็ไม่เคยศรัทธาในสิ่งที่ตัวเองมีเลย ท่านศรัทธาผู้อื่น แต่ลืมศรัทธาความดีในตัวเอง ท่านชอบความดีของผู้อื่น แต่ท่านลืมชอบความดีในใจของตัวเอง ท่านเรียกร้องให้ผู้อื่น
มีความดี แต่ตัวท่านเองไม่เคยมีความดีที่แท้จริงในใจเลย ท่านให้ผู้อื่นจริงใจในการทำดี แต่ตัวท่านเองไม่เคยจริงใจและศรัทธา เชื่อในความดีของ
ตัวเองเลย ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นก่อนจะเรียกร้องผู้อื่น ต้องถามตัวเองก่อนเสมอ ถ้าตัวเองยัง
ไม่มีที่แท้จริง การให้ของเราก็เป็นการให้ที่ไม่เคยบริสุทธิ์ แต่เป็นการให้ที่
หวังผล แต่ถ้าเราอิ่มแล้ว เราสุขแล้ว ใครจะว่าอย่างไร เราก็ให้ธรรมได้
ใครจะทำอย่างไรกับเรา เราก็สามารถให้ความสงบได้ เพราะเราสงบจากใจของเราแล้ว เราศรัทธาในความสงบและความพอของเราแล้ว แต่ความจริง เราไม่ใช่แบบนี้ เราเต็มไปด้วยความโลภ ความเกลียด ความอยาก ความ
ขาดแคลน เมื่อในใจเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้แล้ว เราจะสามารถให้ธรรมแก่ใครได้หรือ ในเมื่อทุกขณะที่เราพูดออกมา เราก็คิดว่า เขาจะรักหนูไหม เขาจะให้หนูหรือเปล่า เขาจะยิ้มให้เราหรือเปล่า แต่ถ้าในใจของเราเต็มแล้ว
สุขแล้ว สงบแล้ว ทุกสิ่งที่เราทำ ทุกคำที่เราพูด ก็จะมีแต่เต็ม สงบ สุข ไม่มีคำว่าเรียกร้อง ไม่มีคำว่าคาดหวัง ไม่มีคำว่ายึดถือ จะมีแต่คำว่าให้จริงๆ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ถึงไหม (ถึง)  ถ้าเข้าใจก็จะถึงเลย แต่ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่ถึง
เหมือนที่บอกว่า มนุษย์มักพูดว่า ทำอย่างไรให้คนหิว ทุกคนทำเป็น ไม่ต้องสอนทุกคนก็เป็นอยู่แล้ว แต่ทำอย่างไรให้ทุกคนอิ่ม ทุกคนทำเป็นไหม (ไม่เป็น, เป็น)  เราเคยอิ่มจริงๆ ไหม (ไม่เคย)  ท้องเราอิ่ม แต่ใจยังอยากอยู่ เหมือนกินอิ่มแล้ว ถามว่ากินอิ่มไหม ตอบว่าอิ่ม แต่เมื่อเห็นขนม ก็คิดว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะกินขนมให้มากกว่านี้หน่อย ฉะนั้นเมื่อตัวเรายังขาด
ตัวเรายังไม่อิ่ม เรายังไม่สุข เวลาเราไปอยู่กับใคร เราจะทำให้ผู้อื่นอิ่ม
และสุข รู้สึกไม่ขาด ได้ไหม (ไม่ได้)
ธรรมะจึงสอนว่า ก่อนจะไปเรียกร้องใคร ก่อนจะไปว่าใคร ที่ทำให้เราทุกข์และทำให้เราโกรธ ถามหน่อยว่าเราแอบเพาะเชื้อความโกรธและความขาดแคลนไว้ในใจหรือไม่ เพราะถ้าไม่มีใครทำให้เราโกรธ นอกจากเราจะมีเชื้อโกรธนี้อยู่ข้างใน ถ้าเราไม่มีความอยาก ใครจะทำให้เราโลภได้
ถ้าเราไม่มีความอยากอยู่ข้างใน ต้องกลับมาสู่หนึ่งเหมือนเดิมคือ ขอบคุณและพอหรือยัง ถ้าไม่ขอบคุณไม่รู้จักพอ อยู่กับใครท่านก็ทำให้คนอื่นทุกข์ได้
ไม่ว่าเขาจะให้เท่าไร ท่านก็จะบอกว่าเอาอีกๆ แม้ว่าตอนนี้เขากำลังจะ
ให้เรา มือเรากำลังจะรับ แต่ในใจก็คิดว่าได้อีกหน่อยก็ดี เรากำลังให้
เรากำลังรับ หรือเรากำลังขอไม่จบสิ้น (ขอไม่จบสิ้น)
พระพุทธะบอกว่า ก่อนที่จะไปแก้คนอื่น เราควรแก้ที่ตัวเองก่อน ก่อนที่จะไปโทษคนอื่นว่าเขาทำให้เราเจ็บปวด เราควรถามตัวเองก่อน
ว่าเราไม่ชอบเขาหรือว่าเขาทำให้เราไม่ชอบ ท้องใหญ่ใจกว้างรองรับได้
ทุกสิ่ง ท้องแคบใจเหลือนิดหนึ่งอะไรก็รับไม่ไหว แล้วเราท้องใหญ่หรือ
ท้องเล็ก (ท้องใหญ่)  พระพุทธองค์จึงสอนไว้ว่า “ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่สามารถรักษาศีลธรรมได้มั่นคง มนุษย์ก็จะไม่มีปัญญาเข้าถึงความ
แจ่มแจ้งแห่งธรรมได้”
 เมื่อไม่สามารถเห็นความแจ่มแจ้งและสัจธรรมความจริงในโลกได้ มนุษย์ก็เลยไม่สามารถพ้นทุกข์สิ้นกิเลสได้ นั่งอยู่ที่ไหน
ก็ทุกข์ แม้ออกไปจากที่นี่ก็ยังทุกข์ แม้นั่งอยู่ตรงนี้ก็เป็นทุกข์ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ใคร แต่ปัญหาอยู่ที่ตัวเรา เราไม่ตีกรอบหัวใจ เราไม่ยึดมั่นกับความคิดอะไรๆ ที่ทำให้เราเข้าถึงธรรมได้ ก็น่าจะไปได้
ถามท่านว่าหากจะไปเมืองหลวง ไปได้กี่ทาง (หลายทาง)  ถ้าจะไปให้ถึงธรรมไปได้กี่ทาง (หลายทาง)  แล้วทำไมชอบตีกรอบว่าต้องทำแบบนี้ ไม่ใช่แบบนั้นด้วย ถ้าเข้าถึงธรรมแล้ว อะไรก็เรียกว่าถึงได้เหมือนกัน
เราเริ่มต้นง่ายๆ ถ้าเราเกิดมาพร้อมกับคำว่าขอบคุณ และไม่เคยพอ ความหมายชีวิตจะต่างกันหรือไม่ ถ้าเกิดมาขอบคุณ ดีแล้ว ความสุขก็จะอยู่ตรงนี้ทันทีที่ได้พูด ที่ได้คิด แต่ถ้าเกิดบอกว่า ไม่พอๆ ความสุขก็จะกระเด็นออกไปไกลทันทีเลย
ฉะนั้นเราอยากสุขตอนนี้หรือเราอยากสุขวันข้างหน้า (ตอนนี้)
แล้วตอนนี้ดีหรือยัง (ดีแล้ว)  พอหรือยัง (พอแล้ว)  ตอบเหมือนโดนฝืนใจ เราถามท่านนะ ถ้าตอนนี้ท่านไม่พอ ท่านไม่ดี ท่านก็จะต้องคิดว่าขออีก
นิดหนึ่งก็ดี แล้วช่วงที่กำลังไปขออีกนิดหนึ่ง เกิดไม่ได้ ท่านจะทุกข์ไหม (ทุกข์)  เขาบอกว่าขอใหม่ ขอข้างนอกไม่สู้ขอข้างใน ดั่งที่พระพุทธะสอนไว้ พึ่งคนอื่นเขายังมีวันเปลี่ยนแปลงไป แต่พึ่งใจตัวเอง ศรัทธาในความดีของตัวเอง และเชื่อมั่นว่าตัวเองต้องทำให้ได้ และต้องสุขให้ได้ นั่นไม่ดีกว่าหรือ แปลกนะ มนุษย์เราไหว้คนอื่นได้ แต่ไหว้ตัวเองไม่ลง รักที่คนอื่นดีแล้วเรียกร้องให้คนอื่นดี แต่ตัวเองกลับดีไม่เป็น ดีไม่ลง นั่นแปลว่าท่านศรัทธาในความดีของคนอื่นมากกว่าศรัทธาในความดีของตัวเอง ท่านเชื่อมั่นว่าเขาดีมากกว่าที่จะเชื่อมั่นในตัวเอง มากกว่าที่จะต้องเป็นคนดีให้ได้ด้วยตัวเอง ทำไมเราต้องรอไปพึ่งคนอื่น เพราะเมื่อไรที่ท่านไม่พอ ท่านก็เริ่มเรียกร้องคนโน้นคนนี้ พอเขาไม่ให้เราก็ทุกข์ แต่ถ้าตอนนี้เรารู้สึกว่ามีแล้วพอแล้ว
ใครจะให้ไม่ให้ก็ไม่เป็นไร เราก็ขอบคุณ เราจะโกรธเกลียดหรือว่าเขาไหม (ไม่)  ที่ไหนเป็นทุกข์ที่นั่นเป็นมรรคผลนิพพาน จบเลยไม่ต้องไปเกี่ยวกรรมด้วย ฉะนั้นถ้าใจของท่านพร่องเป็นนิจแล้วหวังให้คนอื่นมาเติมให้เต็ม จะมีใครมาเติมให้ท่านเต็มได้ถ้าท่านไม่เติมให้เต็มด้วยตัวเอง
ถ้ามีคนๆ หนึ่งรักท่านจริงๆ ท่านอยากขนาดไหนเขาก็เติมให้ ถึงที่สุดท่านจะอิ่มไหม (ไม่อิ่ม)  พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า “สอนคนหิวง่าย แต่สอนให้คนอิ่มยาก”  แล้วท่านรู้ไหมว่า ธรรมะสอนให้เราอิ่มได้ง่ายทันที แค่เรา
บอกว่าขอบคุณ ดีแล้ว พอแล้ว ง่ายไหม (ง่าย)  แล้วทำไมเราไม่ทำ ทำไมถึงบอกว่าขออีกนิด พอขออีกนิดแล้วไม่ได้กลับมาเราเป็นอย่างไร (ทุกข์)
พอทุกข์แล้วแก้ไขไหม (ไม่)  แล้วใครช่วยเยียวยา คนที่เราไปขอเขาช่วยเยียวยาไหม (ไม่)  พ่อแม่เยียวยาได้ไหม (ไม่ได้)  พระพุทธะจึงบอกว่า
สอนให้คนหิวง่าย แต่สอนให้คนอิ่มยาก สอนให้คนคิดอยากง่าย แต่สอนให้คนหยุดอยากยาก แต่มีวิชาหนึ่งสอนให้คนอิ่มได้ทันที และหยุดอยากได้ทันที นั่นคือ “วิชาธรรม”  ทำให้เราคิดเป็นและทำให้เราหยุดเป็น
ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้ามีคนมาบอกรักท่านดีใจไหม (ดีใจ)  ทุกคนดีใจหมด ถ้าในใจเราเผลอคิดว่าพรุ่งนี้เขาจะรักไหม ทุกข์ทันที ได้เงินดีใจไหม (ดีใจ)  ถ้าในใจคิดว่าพรุ่งนี้จะเสียเงินไหม ตกลงจะดีใจหรือจะเสียใจ
วิชาธรรมคือวิชาที่จะสอนให้เรารู้จักควบคุมใจของตัวเอง แต่กลับเป็นวิชาที่ไม่มีใครสนใจ ทั้งที่วิชาธรรมเป็นแก่นแท้ของชีวิตทุกชีวิตด้วยซ้ำไป เราจะทำอย่างไรดีที่จะทำให้เราดับเหตุแห่งทุกข์ จริงๆ เราแก้ให้ท่านไป
ทีละเปลาะแล้ว ถ้าเรารู้จักพอ เราจะอยากอีกไหม (ไม่อยาก)  ความโลภ โกรธ หลง เกลียดก็จะไม่มี แล้วท่านรู้ไหมว่ามนุษย์เมื่อใดที่ไม่ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ เมื่อนั้นมนุษย์จะพ้นทุกข์ พ้นบาป พ้นเวรกรรมและการเวียนว่ายได้ในทันที แต่ถ้าเมื่อใดมนุษย์ยังไม่สามารถพ้นความโลภ โกรธ หลง มนุษย์ก็ยังหนีไม่พ้นทุกข์บาปเวรกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดไม่มีที่สิ้นสุดจริงไหม (จริง)  ถ้าการมีความสุขของเราเป็นการเบียดเบียนชีวิตคนอื่น เป็นการยืนอยู่บนความทุกข์ของคนอื่น หรือเป็นการแลกมาด้วยชีวิตของคนอื่น ท่านคือคนที่กำลังสร้างเวรสร้างกรรม ถ้าความสุขของเรายืนอยู่บนการสูญเสียชีวิตของคนอื่น การต้องเบียดเบียนชีวิตของคนอื่น การมีชีวิตของเราคือการมีชีวิตเพื่อสร้างเวรกรรม เราจะหนีเวรกรรม หนีทุกข์ก็ด้วยการที่ใดเป็นเหตุแห่งทุกข์ ที่นั้นก็เป็นที่ดับทุกข์ มนุษย์หว่านพืชเช่นใด
ก็ได้รับผลเช่นนั้น ถ้าทุกอย่างที่เรากระทำ ไม่เป็นการก่อเกิดกิเลส ก่อเกิดกรรม มีชีวิตอยู่ก็เพื่อชดใช้กรรมเก่า ไม่สร้างกรรมใหม่ แต่ทุกวันนี้กรรมเก่าก็ยังไม่หมด กรรมใหม่ก็เพียรสร้างมาได้ทุกวัน เป็นเรื่องของกิเลส แค่คิดก็ตกเป็นทาสของความอยาก ความหลงแล้ว ฉะนั้นทุกขณะที่เรามีชีวิต
จึงเป็นทุกขณะที่เราเพาะเชื้อแห่งกิเลสและกรรม แต่ถ้าทุกขณะที่เรามีชีวิต เราคิดว่าไม่เป็นไร ขอบคุณแล้ว แค่นี้ก็ดีแล้ว ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองให้เหมาะสมที่สุด ไม่ผิดต่อคุณธรรม รักษาจิต
ที่บริสุทธิ์ดีงาม แม้ตายไปก็ไม่เสียดายเลย แต่ทุกขณะจิต จิตของเราบริสุทธิ์ไหม (ไม่)  จิตที่บริสุทธิ์ จึงพ้นภพภูมิ อบายภูมิที่เลวร้าย แต่จิตที่เต็มไปด้วยกิเลส ตัณหา และความอยาก ย่อมหนีไม่พ้นอบายภูมิทั้งสี่ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ส่วนใหญ่จะรู้มากมายแต่ไม่ค่อยปฏิบัติเท่าที่รู้ จริงไหม (จริง)  ปฏิบัติบ้างดีหรือไม่ (ดี)  ยิ่งคนที่คิดว่าจะมาแค่วันเดียว ยิ่งแล้วใหญ่เลย
ฟังเข้าไปแล้วจำให้ได้เยอะๆ  แปลกนะเรื่องใครว่า เรื่องใครด่า คิดเอาๆ
คิดแล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  เขาว่าจบแล้ว แต่เราไม่เคยจบสักที แต่ทำไมเรื่องแบบนี้น่าจะเอามาพิจารณาไตร่ตรองให้บังเกิดธรรม แต่ทำไมไม่เห็นมีใครเอามาคิดบ้างเลย
ฉะนั้นปัญญาธรรมเป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝนและเรียนรู้ ไม่ใช่จะเกิดกันได้ง่ายๆ ยิ่งถ้ามนุษย์ได้ฟังธรรมแล้วก่อเกิดปัญญา และนำปัญญานั้นมาไตร่ตรองพิจารณาจนบังเกิดธรรม ยิ่งเป็นสิ่งที่ดีที่จะช่วยกางกั้นที่จะทำให้เราไม่ประพฤติผิด ไม่ทำร้าย แต่เรากลับไม่ค่อยทำ คิดในเรื่องไม่ควรคิด
ไปแล้วนะ ดีไหม (ไม่ดี)  ดีเถิด ถึงเวลามาก็ต้องมีเวลาไป จำไว้นะ อย่าพยายามมี และอย่าพยายามเป็นอะไรเลย ถ้าการพยายามมีและเป็นทำให้เราทุกข์และเจ็บ ก็สู้ยอมรับว่าจริงๆ แล้วมนุษย์ทุกคนไม่เคยมีอะไร และไม่เคยเป็นอะไรได้อย่างแท้จริง สู้รู้จักขอบคุณ พอแล้ว บุญที่ประเสริฐเกิดจากการที่เรามีศรัทธาที่เราเชื่อมั่นในความดีของเรา
ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งใคร พึ่งที่ความดีในใจของเรา ทำให้ได้
 ทำไมจึงต้องรู้จักให้ธรรมกับคนอื่น แล้วทำไมเราไม่รู้จักให้ธรรมกับใจเราเอง ให้ความสงบ ให้ความเข้าใจ เราเคยมีเวลาให้กับใจตัวเองไหม แล้วเราเคยดูแลใจตัวเองไหม ทำไมต้องรอให้คนอื่นมาให้ เราให้เองไม่ได้หรือ แล้วเมื่อเราให้ใจตัวเองได้แล้ว เรายืนอย่างเข้มแข็งมั่นคง เราก็จะเป็นที่พึ่งให้คนอื่นได้ ทำไมต้องไปรอคนอื่น เอาที่ตัวเราเอง ศรัทธาในความดีของตัวเองดีกว่าศรัทธาในองค์พุทธะ แต่ไม่ปฏิบัติความเป็นพุทธะ ศรัทธาในความดีของตัวเองนะ ไม่ต้องศรัทธาเรา เชื่อมั่นในความดีของตัวเองนะ ไม่ต้องเชื่อเราก็ได้


วันอาทิตย์ที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๙      สถานธรรมเซิ่งเต๋อ  จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  นกหลงฟ้าปลาหลงน้ำคนหลงโลก      อุปโภคบริโภคจนมากล้น
เลือกแต่สิ่งดีมาปรนเปรอตน             ท้ายส่งผลหาภัยเข้าใส่ตัว
ทองต้องหลอมเหล็กต้องตีอิฐต้องเผา        อย่าดูเบาการใฝ่ธรรมดีละชั่ว
คนจะดีได้เพราะการรู้ตัว                            จะมัววัวหายล้อมคอกอยู่ทำไม
        เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา      ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม
  เพราะใจไม่ชอบลำเค็ญ                            ทำเท่าที่เห็นเพราะสิ้นความดี
เพราะคนมุ่งมั่นหายไปทุกที                       เหลือแค่คนดีไม่มีฝัน
เพราะคนมีแค่ลืมตา                      ไม่ศึกไม่ษาสักคืนสักวัน
เพราะใจแย่แย่จึงทรมาน                 ถึงได้ซมซานอยู่เรื่อยมา
รู้เหมือนไม่รู้เรื่อยไป                      เหมือนไม่ได้อะไร เจ้าชอบแค่มีหน้าตา
ห่วงสบายก็คือปัญหา                     ทำให้ใจยับย่น (คับแคบ)
เปลี่ยนแปลงใจอย่ามีปัญหา              วันหน้าดีทุกคน
เพราะทางมีแค่ตรงไป                    กี่แยกกี่สายก็ไปตรงตรง
เพราะคนดีไม่เข้าใจและปลง             เลยต้องพะวงอยู่ในใจ
ทำนองเพลง : เรือรักล่ม
ชื่อเพลง : โลกประกอบสอบกันเอง

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ดีใจที่ได้เจอกันไหม (ดีใจ)  แล้วกินกันอิ่มไหม (อิ่ม)  เมื่ออิ่มแล้วก็น่าจะพอมีแรงคุยกับอาจารย์ต่อได้ การกินที่ปราศจากเนื้อสัตว์ ปราศจากการเบียดเบียนชีวิตเขาเป็นอย่างไร (ดี)  กินยากไหม (ไม่ยาก)  แล้วทำต่อไปเลยได้ไหม (ได้)  มีทั้งตอบว่าได้และไม่ตอบดีกว่า เมื่อวานเซียนน้อยได้มาบอกไว้แล้วไม่ใช่หรือว่า การมีความสุขโดยการเบียดเบียนชีวิตคนอื่นเป็นการก่อเวรก่อกรรม เราอยากอยู่บนโลกนี้แบบมีเวรกรรมไหม เราอยากอยู่บนโลกนี้อย่างคนที่จองเวรจองกรรมต่อกันไหม (ไม่อยาก)  แล้วอยากอยู่บนโลกนี้แบบมีภัยมีความทุกข์ไหม ในเมื่อศิษย์ของอาจารย์ก็พูดพร้อมกันทุกคนว่าไม่อยาก แต่ศิษย์เคยได้ยินคำหนึ่งไหมว่า “มนุษย์เกิดมาพร้อมกับบุญและกรรม” ซึ่งเราไม่สามารถแก้อดีตที่เราทำได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงการกระทำ ซึ่งขึ้นอยู่กับตัวเรา เราเคยได้ยินเรื่องของบุญและบาปมาบ้างแล้ว ซึ่งบุญบาปนี่เองที่ส่งผลทำให้เราแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน บางคนเกิดมาโชคดี บางคนเกิดมาโชคไม่ดี บางคนเกิดมาในบ้านที่มีฐานะดี บางคนเกิดมาในบ้านที่มีฐานะไม่ดี ซึ่งแล้วแต่บุญกรรมที่เราเคยทำมาจากอดีต แล้วต่อไปจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับปัจจุบัน เราอยากให้อนาคตมีแต่กรรมมีแต่บาป หรือเราอยากมีอนาคตที่มีแต่บุญแล้วสิ้นกรรม หรือมีแต่บาปแล้วมีการเกี่ยวจองเวรจองกรรมกัน (มีแต่บุญและสิ้นกรรม)
ฉะนั้นการกระทำอะไรก็ตามล้วนแล้วแต่ก่อเกิดกรรมดีกับกรรมชั่ว กรรมดีก็เรียกว่าบุญ กรรมชั่วก็เรียกว่าบาป ถ้าสมมติมีคนมาว่าศิษย์ ศิษย์จะทำอย่างไร จำไว้นะศิษย์ อนาคตขึ้นอยู่กับปัจจุบัน เราจะแปรร้ายเป็นดี หรือแปรบาปให้เป็นบุญ หรือจะแปรกรรมให้เป็นการจองเวรจองกรรม หรือแปรกรรมให้เป็นสิ้นกรรม ถ้ามีคนมาว่าศิษย์ ศิษย์จะทำอย่างไร (ไม่ว่าตอบ, ต้องมีปากเสียงกันบ้าง) แต่เมื่อสักครู่ใครบอกอาจารย์ว่า อยากอยู่อย่างไม่มีเวรไม่มีกรรม อย่างไม่มีภัย ไม่มีบาป ก็ยังเป็นคนอยู่นี่นะ ศิษย์จะยอมกันง่ายๆ ได้หรือ นี่คือวิสัยของคนที่แพ้ไม่เป็น ยอมไม่ได้ เสียไม่มี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเรื่องของเวรกรรมเดี๋ยวค่อยว่ากันทีหลังก็ได้อาจารย์ อย่างนั้นศิษย์ลองบอกอาจารย์หน่อยว่า ลึกๆ ศิษย์อยากได้คนรัก หรืออยากได้คนเกลียด ลึกๆ ศิษย์อยากมีศัตรูเต็มบ้าน หรือมีมิตรทั่วบ้าน (มีมิตรทั่วบ้าน)  แล้วถ้าเขาด่ามา อยากได้มิตร หรืออยากได้ศัตรู (อยากได้มิตร)  แล้วทำไมจึงปากอย่างใจอย่างกัน ไม่มีภัยใดน่ากลัวเท่ากับลมปากแล้วนะศิษย์ คนที่หนักแน่นมั่นคงขนาดไหน อยากจะเป็นคนดีขนาดไหน เมื่อเจอลมปากของคนเข้าไป ก็อารมณ์ขึ้นเปลี่ยนไปทุกราย จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นถ้าเขาด่ามา เราอยากจบเวรจบกรรม หรือเราอยากจองเวรจองกรรม (จบเวรจบกรรม)  แล้วต้องทำอย่างไร (ยิ้มไว้)  แต่ศิษย์เคย
เห็นไหม ยิ่งด่าก็ยิ่งยิ้ม เขายิ่งโมโห ถูกไหม (ถูก)  โดนด่าแล้วยังยิ้มได้อีก เดี๋ยวต้องด่าต่ออีกชุด ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะ คนเขาโกรธมา
อย่ายิ้ม แต่เราต้องขอโทษ ไม่ใช่ทำเฉยๆ นะศิษย์ จะผิดหรือไม่ผิด แต่เรารีบบอกขอโทษ
อาจารย์ถามศิษย์นะว่า ตอนนี้กำลังโมโห ยิ่งยิ้ม ก็ยิ่งโมโหมากขึ้นอีก ยิ่งทำหน้าเฉยๆ เหมือนไม่รู้สึกอะไรเลย ก็ยิ่งโมโห ก็ยิ่งแค้น ยิ่งโกรธ แล้ว
ไม่รู้เขาโกรธอะไรเรา พูดมาสิบประโยค แต่จำได้ประโยคเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่)  พูดดีมาสิบ ทำดีมาสิบ แต่เขามาแค้นเราอยู่เรื่องเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทางที่ดีที่สุด เวลามีคนด่า ก็ยอมรับ ขอโทษ
เมื่อวานเซียนน้อยก็บอกแล้วว่า อยากทำให้คนอื่นมีสุข เราต้องสร้างสันติสุขจากใจ อยากให้คนอื่นเขารัก เราก็ต้องรักเขาจากใจ อยากให้คนอื่นเขาเคารพ เราก็ต้องเคารพเขาจากใจ ไม่อยากให้เขามาดูหมิ่นดูแคลนน้ำใจเรา เราก็อย่าเผลอไปพูดอะไรดูหมิ่นดูแคลนน้ำใจเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งศิษย์ของอาจารย์เป็นคนที่ก่อนจะพูดอะไรคิดน้อยใช่ไหม แถมเป็นคนที่บางทีพูดแล้วไม่ค่อยคิด ฉะนั้นโอกาสที่จะทำให้คนอื่นเจ็บใจเป็นไปได้ไหม และถึงแม้เราจะพูดจริงแล้วทำให้เขาเจ็บปวดจะเป็นไปได้ไหม (เป็นไปได้)  แม้เขาพูดจริงแต่เราเจ็บใช่ไหม ฉะนั้นทางแก้ที่ดีที่สุด ถ้าเราอยากสิ้นทุกข์สิ้นกรรมและอนาคตไม่ต้องมีกรรมเกี่ยวกันอีก ไม่ต้องสร้างศัตรูเพิ่มบนโลกนี้ ไม่ว่าเจอใครมากระทำอะไรกับศิษย์ ศิษย์จงดีใจเพราะวันนั้นจะเป็นวันที่ศิษย์ได้ชดใช้กรรม และจงขอบคุณเขาที่ทำให้เราได้หมดสิ้นกรรมและเราจะไม่เกี่ยวกรรมกันอีกดีไหม (ดี)  ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะ แล้วบอกอาจารย์ว่าหนูให้อภัยแล้ว แต่สมองพอเห็นหน้าปุ๊บความจำก็รีเพลย์เข้ามาเลย พอเห็นหน้าปุ๊บจำได้เลย ถ้าศิษย์ยังจำได้อยู่ แปลว่ายังจองเวร และถ้ายังอดเห็นหน้าแล้วคันปากยิบๆ แล้วด่าในใจไม่ได้ แล้วแอบเผลอพูดไม่ได้ เขาเรียกว่าจองกรรม อย่าบอกว่าปากให้อภัยแต่ใจมันยังล้างไม่หมดถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นธรรมะจึงสอนไว้ว่า แค่ศีลธรรมยังไม่ทำให้สิ้นทุกข์ ยังไม่ทำให้บริสุทธิ์ เท่ากับมนุษย์ประเสริฐบริสุทธิ์ด้วยปัญญาธรรมจริงไหม (จริง)  ให้อภัยแล้วมันล้างหมดใจไหม ยังไม่หมดใช่ไหม แล้วจะทำอย่างไรล่ะ เราถึงจะล้างใจให้สะอาด ไม่ใช่ใจที่เต็มไปด้วยคนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ คนนั้นอย่างนี้คนนี้อย่างนั้น ใจเราเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้ที่อยู่ในใจ เก็บมากๆ เหม็นไหม (เหม็น)  เน่าไหม (เน่า)  แล้วเวลาเจอหน้าก็ร้องอี๋ อย่างนั้นต่อไปควรเปลี่ยนแปลงดีไหม ใครว่าเราเป็นอย่างไร (ขอโทษ) ขอโทษได้ไหม จิตสำนึกจากใจจะช่วยชะล้างบาปกรรมให้หมดสิ้น จิตสำนึกขอขมาด้วยใจช่วยชำระกรรมใดใดที่ศิษย์ทำ ให้ละลายเบาบางจางลงได้นะ
เราจะดีไม่ดีไม่ใช่อยู่ที่ใครชี้หน้า แต่เราต้องรู้จักตัวเราเอง ถ้าเกิดรอให้ชีวิตนี้ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่ที่คนชี้หน้า เราไม่ตายแหงหรือ ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  ดีหรือชั่วเรารู้อยู่ที่ใจ ถ้าเขาว่าผิดเราก็ยอมรับแล้วรีบแก้ไข แต่ถ้าเขาว่าเราแล้วมันไม่ใช่ก็ไม่เป็นไร ขอบคุณที่ทำให้เรารู้ว่า ใจเรายังไม่เข้มแข็งพอ
อาจารย์ขอบอกไว้ก่อนนะว่าอาจารย์ไม่ให้หวย อย่ามาขอหวยอาจารย์นะ อาจารย์มาให้ปัญญาศิษย์จะได้ไม่มีวันจนดีไหม พอพูดอันนี้ชอบขึ้นมาทันทีเลย มีเงินก็เท่านั้นแต่ถ้าไม่มีปัญญาไม่รู้จักใช้เงิน เงินก็มีวันหมดได้ ไม่มีเงินก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีปัญญาก็สู้ไม่ถอย ขยันไม่ยอมแพ้ เงินก็มีได้ ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากอยู่ในโลก แล้วไม่อยากโดนคนหลอกลวง ศิษย์ก็ต้องอย่าลวงตัวเอง ก็ต้องยืนอยู่บนความเป็นจริง ถ้าอาจารย์มีผลไม้ลูกหนึ่งกินแล้วไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เอาไหม (เอา)  กับอีกลูกหนึ่งกินแล้วยิ่งแก่ ยิ่งเจ็บ และก็ตาย เอาไหม (ไม่เอา)  จะเอาลูกไหน ใครอยากได้ลูกไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ยกมือขึ้น ใครอยากได้ลูกที่กินแล้วยิ่งแก่ ยิ่งเจ็บและตาย ก็ยกมือขึ้น ใครไม่อยากได้เลยสักลูกยกมือขึ้น อาจารย์อยากให้คนที่ตอบว่าไม่อยากได้เลย เพราะชีวิตมีทางเลือก แต่คนมักจะคิดว่ามีสองก็เลือกแค่สอง แต่จริงๆ เรามีทางเลือกมากกว่าสอง เมื่อสักครู่อาจารย์ก็บอกแล้วว่า ถ้าไม่อยากโดนใครหลอกอย่าหลอกตัวเอง เพราะโลกใบนี้ก็ต้องมีแก่ เจ็บ ตาย มีผลไม้ไหนบ้างที่กินแล้วไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ถ้าศิษย์ไม่อยากโดนหลอก อย่าหลอกและโกหกตัวเอง ใครเลือกผลไม้ลูกนี้ก็คือโง่ โง่ก็ยอมรับมา โง่หน่อยจะเป็นอะไร ดีกว่าทำเป็นฉลาด แต่จริงๆ โง่
ใครที่กินแล้วยิ่งแก่ยิ่งเจ็บยิ่งตาย ใครเลือก คนที่เลือกโง่หรือไม่ (โง่)  แปลกนะ มนุษย์รู้ทั้งรู้ว่ามีแล้ว ก็มีแต่จะเพิ่มทุกข์ มีแล้วจะเพิ่มความเจ็บ มีแล้วจะเพิ่มความตาย แต่ถามว่ามีไหมเอาไหม (ไม่เอา)  แต่เมื่อสักครู่เอากันเป็นแถวเลย ศิษย์ไม่กินมันก็แก่ กินเพิ่มอีกมันก็แก่ แต่พออาจารย์ถามว่าให้กินแล้วเพิ่มเจ็บเพิ่มแก่เอาไหม ศิษย์บอกเอา ตกลงศิษย์ของอาจารย์โง่หรือฉลาด (โง่)  คนที่ไม่เลือกทั้งสองทางก็คือ คนที่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีไม่คิดจะเพิ่มอะไรแล้วใช่ไหม (ใช่)  เพราะสิ่งที่เพิ่มนั่นก็จะยิ่งเพิ่มความแก่ความเจ็บความตาย เพราะอะไรหรือ
อาจารย์ถามง่ายๆ มีใดๆ ในโลกที่ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายบ้าง เพิ่มคนรักหนึ่งคนก็เพิ่มความแก่ ความเจ็บ ความตาย เพิ่มของหนึ่งอย่างก็เพิ่มความรู้สึกแก่ เจ็บ ตาย มีได้ก็มีเสีย กว่าจะได้มาก็ต้องแย่งชิงเขามา มีทุกข์กับเขามา ศิษย์ที่ยกมือเมื่อสักครู่แปลว่าออกไปข้างนอกจะได้หรือไม่ได้ ศิษย์ก็ไม่แสวงหาแล้วใช่ไหม (ใช่)  ขึ้นชื่อว่าธรรมชาติแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนคือธรรมชาติ แล้วธรรมชาติใดบ้างที่ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แค่ตัวเองคนเดียวก็ต้องรับความแก่ความเจ็บความตาย หนักไหม (หนัก)  แล้วทำไมยังอยากเพิ่มความแก่เพิ่มความเจ็บเพิ่มความตายอีก หรือรู้สึกว่ามีไว้เผื่อจะได้สบายใจ ยึดมั่นแล้วจะได้มีความสุข แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไร ทุกข์ไหม (ทุกข์)  หวังให้เขาไปซ้ายแต่เขาไปขวาทุกข์ไหม (ทุกข์)  หวังให้เขาได้ดีแต่พอไม่ได้แล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  ฉะนั้นทุกสิ่งล้วนคือธรรมชาติ ถ้าเมื่อใดศิษย์รักของอาจารย์เผลอหลงยึดติดกับธรรมชาติ เมื่อธรรมชาติมีแก่ มีเจ็บ มีตาย ศิษย์ก็ต้องทุกข์กับความแก่ เจ็บ ตายไม่จบสิ้น แต่อาจารย์มีวิธีหนึ่งที่มีแล้วไม่ทุกข์ นั่นคือ (ธรรมะ)  ธรรมะทำให้เรา (ปล่อยวาง)  หรือมาเก็บไว้ก่อน มีใครอยากตอบอาจารย์อีก (สายกลาง)  สายกลาง ออกมาเร็ว มายืนเป็นเพื่อนอาจารย์ก่อน (ทำให้เราเข้าใจธรรมชาติ)  สิ่งที่อาจารย์พูดทำให้ศิษย์เข้าใจธรรมชาติใช่ไหม แต่อาจารย์บอกว่าแล้วเราจะใช้อะไรเป็นหลักในการที่เราจะสามารถไปอยู่ร่วมกับธรรมชาติทั้งหลาย แล้วเราจะเข้าใจธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นแบบนั้นเอง แก่เป็นปกติ ไม่นานก็ตายเป็นปกติ แล้วเราจะทำอย่างไร เข้าใจสิ่งที่เป็นอยู่ตามธรรมชาติ ต้องพยายามเข้าใจใช่ไหม (การมีปัญญา)  การมีปัญญาจะทำให้เราเข้าใจธรรมชาติและความเป็นจริงของโลกใบนี้ (ให้เรามีสติและพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่)  ให้เรามีสติและรู้จักพอในสิ่งที่มีอยู่ ก็ตอบได้ดี (การมีคุณธรรมในใจ, ได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ยึดติด)  ได้ก็ดีไม่ได้ก็ดี ไม่ยึดติด ได้ไหม (ได้)  แต่พอถึงเวลาแล้วไม่ได้อย่าร้องไห้นะ (อนุตตรธรรม)  ตอบว่าอนุตตรธรรมแล้วแปลว่าอะไรหรือ อนุตตรธรรม (แปลว่าหลักธรรมที่บริสุทธิ์)  แปลว่าหลักธรรมแห่งความเป็นจริงอันเป็นต้นรากเดิมแท้ของสรรพชีวิตทั้งมวล ใช่หรือไม่
อย่างนั้นอาจารย์ถามคนที่ตอบได้นะ ตอนนี้อยู่ระหว่างจะได้ยืนหรือจะได้นั่ง อาจารย์ถามว่าศิษย์ที่ตอบจะทำให้ตัวเองและเพื่อนพ้นทุกข์ได้ด้วยการ (ฉุดช่วยตัวเอง)  ถ้าตอนนี้ทุกคนยืนและศิษย์ออกมาตอบ โดยส่วนใหญ่คนที่ตอบจะได้รางวัลและจะได้นั่ง ส่วนคนที่ไม่ตอบยืนต่อไป ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นจะเอาธรรมที่ศิษย์รู้มาช่วยเขาได้อย่างไร ที่จะนำพาให้เราก็พ้นทุกข์ เขาก็พ้นทุกข์ มนุษย์พูดได้ แต่ถึงเวลาทำจริงๆ ไม่ค่อยได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์บอกให้ใช้สายกลาง แล้วสายกลางตอนนี้ศิษย์จะได้นั่ง แต่เขาต้องยืน ศิษย์บอกให้ใช้ธรรม แล้วธรรมอะไรล่ะที่จะทำให้เขาได้นั่งด้วย ได้พ้นทุกข์ด้วยและเราก็พ้นทุกข์ด้วย
(มีธรรมะอยู่ในใจ)  ธรรมอะไรหรือที่จะทำให้เพื่อนได้นั่ง แล้วเราก็ได้นั่งเช่นกัน (เพื่อนไม่ได้นั่ง เราก็ไม่ต้องนั่ง)  ศิษย์จำไว้นะ ธรรมเรารู้ เราเข้าใจ เราพูดได้ดีหมด แต่เมื่อถึงเวลา เราจะสละได้จริงๆ อย่างที่เราพูดไหม ฉะนั้นสละธรรมให้ธรรมเขาได้ไหม สละธรรมในตัวเองเพื่ออุทิศธรรมให้เขาได้ไหม (เสียสละให้ทุกคนนั่ง แม้ตัวเองต้องยืน)  ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อมีคนกล้าเสียสละ และให้ธรรมดีๆ กับเรา เราจึงต้องรู้จักเสียสละ และให้ธรรมดีกับเขา ฉะนั้นอย่าเพียงแค่รู้ พูดได้ แต่ทำไม่ได้ อย่าเป็นเพียงแค่พูดได้ดี แต่ทำได้ไม่ดี อย่างนี้เปล่าประโยชน์ เมื่อสักครู่ อาจารย์ก็บอกแล้วว่า ถ้ามีเพิ่มแก่ เพิ่มทุกข์ เอาหรือไม่ ศิษย์ก็ไม่เอา แล้วเราจะทำอย่างไร ที่เราจะมีธรรมแล้วไม่ทำให้เราต้องทุกข์อีก ไม่แก่อีก ไม่เจ็บอีก นั่นก็คือ ธรรมที่กล้าเสียสละให้ธรรม ในท่ามกลางความแก่ ความเจ็บ ความตาย ถูกหรือไม่ (ถูก)
ศิษย์เอ๋ย ต้องคิดให้ได้มากกว่า มนุษย์มีปัญญาที่ยิ่งใหญ่ มนุษย์มีปัญญาที่กว้างไกล “อาจารย์ถ้าเขาไม่นั่ง หนูก็จะไม่นั่ง” แต่ถ้าเมื่อไรเขานั่ง หนูก็นั่ง ทำไมไม่คิดแบบนี้ ฉะนั้นนั่งไหม หนูจะนั่งก็ต่อเมื่อเขาจะได้นั่ง ใช่ไหม (ใช่)  นั่งพร้อมกันแล้วเอาแอปเปิลเพิ่มความแก่ ความเจ็บ ความตายไปเอาไหม ศิษย์เอ๋ยทุกสิ่งอย่างไรก็ต้องเจ็บ ต้องแก่ ต้องตาย แต่ผู้มีปัญญาเอาไปแล้วรู้จักเปลี่ยนบาปให้เป็นบุญ เปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี เอาแล้วไปสร้างบุญและไปบอกบุญต่อทำไมไม่เอา ทำไมต้องรออาจารย์บอก ก็สายไปแล้ว อดได้แล้ว กาลเวลาเปลี่ยนแปลงจากแอปเปิลใหญ่ๆ ก็กลายเป็นองุ่นลูกเล็กๆ ช้าไปตามกาลเวลา เพราะโลกนี้สามารถเปลี่ยนได้ ตอนแรกอาจารย์ก็อยากให้ใหญ่ๆ นะ แต่เขาคิดช้าเกินไปเลยเหลือแค่นี้ ไม่เอาอาจจะไม่เหลือเลย มีโอกาสคว้าได้ก็ให้รีบคว้า แต่จงแปรร้ายให้กลายเป็นดี แปรบาปให้เป็นบุญ และแปรบุญให้หนุนบุญขึ้นไปดีไหมศิษย์ ในเมื่อศิษย์เองเป็นคนบอกอาจารย์ว่าอยากอยู่บนโลก อยากมีอนาคตที่ไม่มีภัย ไม่เวรกรรม ฉะนั้นการกระทำอะไรที่กระทำแล้วเป็นภัย เป็นเวรกรรม แล้วเป็นทำไม แต่เมื่อทำอะไรที่ได้บุญได้กุศล แล้วทำไมไม่ทำ เอาไหม (เอา)  แค่นี้ก็เอาใช่ไหม เดี๋ยวต้องแอบว่าอาจารย์จี้กงแน่เลยว่า อาจารย์จี้กงขี้เหนียว เอาไปให้คนอื่นต่อได้ไหม
อยากได้ไหม ขนาดอาจารย์ไม่อยากได้สิ่งที่ถืออยู่จากไม่หนักมันก็หนัก จากที่ไม่ทุกข์มันก็ทุกข์ อย่างนั้นอาจารย์ปล่อยเลยดีไหม เมื่ออาจารย์ปล่อยแล้วมีใครอยากรับต่อไหม ศิษย์เอ๋ยในโลกนี้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นธรรมชาติ และในธรรมชาติเราก็หนีไม่พ้นว่าต้องมีดีและมีร้าย ถ้าเราเผลอไปยึดติดธรรมชาติ พอธรรมชาติดีศิษย์ก็หัวเราะ พอธรรมชาติร้ายศิษย์ก็ร้องไห้ ฉะนั้นธรรมชาติเป็นจริงแต่คนที่เผลอยึดไม่ควรไปยึด เพราะมันไม่จริง ธรรมชาติมีการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดา และในความธรรมดานั้น ถ้าเราเข้าใจเราก็จะพ้นทุกข์ได้ แต่ถ้าเราไม่เข้าใจและไปเผลอยึดมั่นถือมั่น เราก็คือคนที่กำลังแบกทุกข์ อาจารย์ถามหน่อย ในโลกใบนี้เราทุกข์เพราะอะไร (เพราะตัวเอง)  สิ่งที่ควรคิดไม่คิด สิ่งที่ควรทำไม่ทำ สิ่งที่เป็นบุญไม่สร้าง สิ่งที่เป็นบาปก็ขยันสร้าง ฉะนั้นอนาคตขึ้นอยู่กับปัจจุบัน คิดดีคิดบุญคิดกุศลก็ได้บุญได้ดีได้กุศล ที่เหลือก็แค่ชดใช้กรรม แต่ถ้าคิดร้ายสร้างบาปสร้างกรรม ข้างหน้าก็คือผลแห่งบาปกรรมที่ศิษย์สร้าง ฉะนั้นคิดให้ดีๆ ก่อนที่จะทำอะไร ถ้าทำแล้วมันหนักเกินตัวและเราต้องแบกและรับไม่ไหว อย่างนั้นเรามาเลือกที่สิ่งเบาและไม่เอาเปรียบใครดีไหม
(ยึดติดกับวัตถุและสิ่งของ)  บางทีเราก็ยึดติดกับวัตถุสิ่งของจนทำให้เราทุกข์จนเกินไป ทั้งที่จริงๆ แล้ว การมีก็ทุกข์ ไม่มีก็ทุกข์ แต่เราจะหยุดทุกข์ได้ก็ต่อเมื่อมีแล้วไม่เปรียบเทียบ ศิษย์เคยไหม อาจารย์จะยกตัวอย่าง ศิษย์ว่าถูกลอตเตอรี่ดีไหม (ไม่ดี,ดี)  ถูกลอตเตอรี่สองตัวดีไหม แต่จะเสียใจก็ต่อเมื่อ ทำไมซื้อน้อยไป ถูกไหม (ถูก)  ตอนถูกนี่รู้สึกเสียดายจริงๆ เลยอาจารย์ รู้อย่างนี้ซื้อห้าร้อย ซื้อหนึ่งพัน ซื้อทั้งบนทั้งล่าง ซื้อทั้งใต้ดินซื้อทั้งบนดินเลย ฉะนั้นที่ควรจะสุขแต่กลับไม่สุข เพราะมัวทุกข์กังวลว่าไม่น่าเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นทุกข์ไม่ใช่แค่ยึดติดอย่างเดียว แต่ทุกข์เกิดจากเราไม่เคยพอใจในสิ่งที่มี ถ้าพอใจได้ทุกข์ก็ทำร้ายเราไม่ได้ ถูกไหม (ถูก)  ก็คนในโลกเป็นอย่างนี้นะศิษย์ ได้หนึ่งเคยพอไหม ไม่นะอาจารย์ ต้องเอาอีก เอาอีกแล้วพอไหม ไม่ ต้องเอาอีก แล้วหนักไหม แล้วแบกไหม จงพอดี จงรู้พอ ถึงเวลาเอาไหม เอา ศิษย์คนไหนอยากถืออยากแบกก็แบกไป ศิษย์จะได้รู้
(ยืนในหลักความเป็นจริง)  ยึดถือในหลักตามความเป็นจริง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากไม่ทุกข์จงยืนอยู่บนความเป็นจริง อย่าจมอยู่กับอดีต ถ้าอาจารย์ตบโกรธไหม ทุกข์ไหม (ไม่โกรธ, ปล่อยวาง)  ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมองตามความเป็นจริง เพราะสิ่งที่อาจารย์ตบมันเกิดแล้วจบไปแล้ว ธรรมะสอนให้เราอยู่กับปัจจุบัน ถ้าเรามัวแต่จมกับอดีต เราเป็นทุกข์ เราก็สร้างกรรม ฉะนั้นถึงอาจารย์จะตบ จบยัง (จบแล้ว)  ถ้าศิษย์ไม่จบก็จะมีกรรมไม่จบสิ้น ถ้าศิษย์อยากไม่ทุกข์ ขอให้ศิษย์จำไว้นะ เรื่องบางเรื่องมันจบไปนานแล้ว แต่เราต่างหากเป็นคนที่ไม่ยอมจบ เลยทำให้เราทุกข์ไม่จบสิ้น ฉะนั้นธรรมะจึงสอนให้เราอยู่กับปัจจุบันขณะนี้
(ความคิด)  ความคิดของเราทำให้เป็นทุกข์ คิดสูงไม่เป็นชอบคิดต่ำ คิดดีไม่เป็นชอบคิดร้าย คิดยอมไม่เป็น ชอบคิดเอาเรื่องเอาราว ฉะนั้นเราจะหยุดความคิดได้ก็ต้องรู้จักมีสติ ให้เรารู้จักช่วยยั้งคิด และสติรู้จักควบคุมใจไม่ให้เราทำชั่วคิดร้าย สตินั้นมีได้ก็ต่อเมื่อนิ่ง นิ่งให้ได้นะอย่าฟุ้งซ่านกับความคิดและปล่อยไปตามความคิด เพราะความคิดง่ายที่จะฟุ้งซ่าน สติจะดึงจิตเราให้เข้าสู่ธรรม ด้วยการมีปัญญา คนเราอยู่ในโลกนี้การจะเป็นที่รักของคนอื่นไปอยู่ที่ไหนก็มีคนรัก เพราะเรารู้จักสร้างบุญบารมีด้วยการให้ ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์เป็นที่รักของทุกคนด้วยการที่ได้แล้วรู้จักให้
(การเปรียบเทียบความทุกข์กับผลไม้ ว่าหนักหรือไม่หนัก คนเราต้องมีทุกข์อยู่แล้วต่อให้หนักหรือเบา แต่ทุกข์นั้นย่อมหายไปได้ตามเวลา คือ เราจะทำอย่างไรให้ผลไม้นั้นไม่หนัก ยิ่งลูกใหญ่เราอาจจะกินไม่หมด ก็แบ่งเพื่อน แต่ถ้าเรากินหมดอย่างเช่นองุ่นลูกเล็กๆ เราก็กินเข้าไป มันก็ไม่หนัก ทุกข์นั้นก็หายไป) แต่บางคนที่กินองุ่นก็อาจจะทุกข์ได้ ถ้าองุ่นนั้นเปรี้ยวและมีหนอนอยู่ข้างใน ฉะนั้นขอให้เรามีสติแบบนี้ได้ตลอดเวลานะศิษย์ แต่อาจารย์จะบอกว่าจริงๆ แล้วผลไม้ทุกอย่าง หรือความทุกข์ทุกอย่างนั้น ไม่สามารถทำให้เราทุกข์ได้จนกว่าเราจะไปเผลอยึดมั่นถือมั่น จริงๆ เรามีเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องปกติธรรมดา สิ่งนี้จะไม่ทำให้เราทุกข์ก็ต่อเมื่อเราไม่คิดว่าเป็นของเรา ถึงแม้จะเจ็บจะแก่จะทุกข์เราก็ไม่เป็นไร แต่เราจะเจ็บจะแก่จะทุกข์ก็ต่อเมื่อ ทำไมฉันต้องแก่ ทำไมฉันต้องเจ็บ ทำไมฉันต้องตาย นั้นห้ามได้ไหม ฉะนั้นสู้เราแค่รู้ แต่อย่าเผลอไปเป็น แค่รู้ทุกข์ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์
(โรคภัยไข้เจ็บทำให้เป็นทุกข์)  อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้ไว้ว่า โรคภัยไข้เจ็บ อย่างแรกคือเกิดจากกรรมที่เราสร้าง และอนาคตกรรมนี้จะหมดสิ้น ก็ต่อเมื่อเรามีจิตสำนึกขอขมาและยินดีชดใช้ ฉะนั้นต่อไปจะทำอะไร ก็จงระมัดระวัง อย่าเผลอให้คำพูดของเราสร้างกรรม แล้วทำให้เราต้องเจ็บปวดไม่จบสิ้น จงมีเพียงแค่ทุกข์กาย แต่อย่าทุกข์ใจ
(จิตใจฟุ้งซ่าน ไม่มีสติ ควบคุมอารมณ์ความรู้สึกในใจของตัวเองไม่ได้ แล้วนำกลับมาคิดซ้ำไปซ้ำมา จนชีวิตหาความสุขไม่ได้)  แล้วตอนนี้อยากแก้ไหม (อยาก)  ศิษย์เคยได้ยินคำนี้ไหม พระพุทธองค์ท่านสอนไว้ว่า แค่รู้
ก็พ้นทุกข์
 เราพยายามหาคำว่า รู้อะไรหนอ ที่จะพ้นทุกข์ ไม่ใช่เพียงแค่รู้ว่าเขาไม่ดีกับเราอย่างไร ไม่ใช่รู้จักเพียงแค่เขาว่าเราอย่างไร แต่พระพุทธองค์ท่านสอนไว้ว่า ให้รู้จักใจของตัวเอง อย่าพยายามไปแก้ไขเขา
อย่าพยายามไปเปลี่ยนเขา แต่ให้เปลี่ยนที่ใจของตัวเอง ด้วยการรู้เท่าทันความคิด การรู้เท่าทันความคิดจะทำให้เราเกิดปัญญา มองเห็นจิต มองเห็นความคิด
 และเมื่อมองเห็นความคิด เราก็อย่าไปปรุงแต่งความคิด แต่เพียงแค่รู้เท่านั้น แล้วสิ่งนั้นก็จะหายไปตามกาลเวลาของธรรมชาติ ดังที่พระพุทธองค์ท่านสอนไว้ว่า สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความดับ แต่ที่เราไม่ดับ เพราะเราไม่รู้เท่าทันใจ
(การไม่ปล่อยวาง)  เพราะว่าสิ่งทั่วไปที่เรียกว่า สรรพสิ่งในธรรมชาตินั้น ต้องเกิด ต้องดับ เป็นธรรมดา ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเมื่อเราเผลอไปยึด เราก็จะต้องเป็นทุกข์ ดังนั้นจึงสอนให้รู้ว่า แค่ยืมใช้ แต่อย่าไปหลงยึดว่าเป็นของเรา
(ความอิจฉาริษยา)  ความอิจฉาริษยา เห็นใครได้ดีก็อดคิดไม่ได้ว่าจริงไหมหนอ อาจารย์จะสอนวิธีแก้เหตุแห่งทุกข์ให้ศิษย์ เอาไหม (เอา)  คนชอบเดินทางสายบุญ วิธีแก้นะศิษย์ เมื่อเห็นใครได้ดีก็อนุโมทนาสาธุยินดีด้วย แปรความอิจฉา แปรร้ายให้เป็นบุญ อาจารย์ขอถามศิษย์ว่าศิษย์ชอบไหมถ้าศิษย์ได้ดีแล้วคนนินทาศิษย์ให้ได้ยิน ให้ได้เห็นเลย ศิษย์รับได้ไหม (รับไม่ได้)  ถ้าใครได้ดีศิษย์อย่าเผลอสร้างเหตุปัจจัย ไม่อย่างนั้นศิษย์จะต้องรับผลที่ศิษย์ทำ เราอิจฉาเขา ต่อไปเมื่อเราได้ดี เขาอิจฉาเราเป็นเรื่องธรรมดา อย่าอิจฉาเขา เห็นใครได้ดี ให้เปลี่ยนร้ายให้เป็นสาธุ ถ้าหากใครไม่ดี (สาธุ) ศิษย์เอ๋ยถ้าใครไม่ได้ดี ศิษย์บอกว่า สาธุ ก็เท่ากับศิษย์ยิ่งแช่งให้เขาไม่ได้ดีนะ ถ้าเขาไม่ได้ดีหรือเขาได้รับผลของการไม่ได้ดี เราจะกดไลค์เขียนด่าเขาเลยได้ไหม เท่ากับเราเกี่ยวกรรมกับเขาเลย พอเรากดไลค์เขียนด่า มีคนกดไลค์ชอบ ภูมิใจไหม อย่าภูมิใจนะเพราะนั่นเท่ากับกำลังสร้างบาป เรามีสาวกมากดไลค์ก็เท่ากับมาเพิ่มบาปของเราให้มากขึ้นด้วย เวลาใครไม่ดีแล้วได้รับผลไม่ดี ศิษย์จงเปลี่ยนเป็น “ให้ผลบุญที่ข้าพเจ้ามีจงแปรเปลี่ยนจิตใจเขาให้คิดได้เถิด สาธุ” ดีกว่าไหม (ดีกว่า)  เพราะศิษย์อย่าลืมคนไม่ดีคนหนึ่ง เขาสามารถทำคนทั้งโลกให้ตายโหงได้นะ เวลาเราเจอคนไม่ดีอย่าไปแช่ง อย่าไปด่า เพราะยิ่งแช่ง ยิ่งด่า ก็เท่ากับส่งเสริมให้เขาชั่ว เปลี่ยนร้ายให้เป็นดีด้วยการแผ่เมตตาจิต
วันนี้ถึงแม้จะฟังไม่รู้เรื่อง แต่ศิษย์ได้ทำบุญหนึ่งอย่างแล้วรู้ไหม การมาฟังธรรมก็ได้บุญ การเดินผ่านคนแล้วรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ก็เท่ากับสร้างบุญแล้วรู้หรือเปล่า (รู้)  รู้ใช่ไหม อย่างนั้นอาจารย์จะให้ศิษย์เดินสายบุญ เราอยู่ในโลกนะศิษย์ เราอย่าไปเดินสายบาป อย่าเดินสายกรรมเลย วิธีเดินสายบุญของอาจารย์ง่ายๆ ทำอะไรก็รู้จักให้ แล้วการให้ความอ่อนน้อมถ่อมตน ให้ความเคารพผู้อื่น เป็นการเดินทางบุญที่ยิ่งใหญ่และง่ายที่สุด
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายท่านหนึ่งเดินสายบุญด้วยการ เดินไปเจอใครก็ยกมือไหว้ เดินไปไหว้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไหว้มาถึงพระอาจารย์)
อยู่ตรงหน้าศิษย์แล้วทำเลย ศิษย์เอ๋ย จิตที่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน
ไปอยู่ที่ไหนใครก็รัก แต่จิตที่เย่อหยิ่งทะนงตน อวดดีอวดรู้ ไปอยู่ที่ไหนใครก็เกลียด ฉะนั้นอาจารย์ให้ศิษย์ได้เดินสายบุญไม่ดีหรือ หรืออยากเดินสายบาปก็ได้ เดินไปก็ด่าไป เอาอะไรดี (สายบุญ)  ฉะนั้นเดินไปนะ เจอใครก็ไหว้ ออกนอกประตูกลับมาใหม่ก็ไหว้ ดีไหม (ดี)  อาจารย์อยากให้ศิษย์ทำอันนี้นะ เพราะบุญอันนี้เป็นบุญที่ทำง่ายที่สุด แต่คนส่วนใหญ่ไม่ทำ
ศิษย์ไม่อยากให้ใครดูถูก ศิษย์ก็จงอย่าดูถูกตัวเอง ถ้าศิษย์อยากให้ใครเคารพ ศิษย์ก็ต้องรู้จักเคารพตัวเอง และศิษย์อยากให้ใครรัก ศิษย์ก็ต้อง (รักตัวเอง)  แล้วรักคนอื่นไหม (รัก)  เขาเดินสายบุญ เรารับบุญแล้วเราทำอย่างไรต่อ สาธุ (สาธุ)  ดีมากศิษย์ ไม่เสียที ฉะนั้นเราต้องต่อยอดบุญ ต่อยอดบุญเสร็จ เขาเดินกลับไปแล้วยังแอบชมลับหลัง โอ้โห เก่งจริงๆ ดีจริงๆ ให้กำลังใจคนทำบุญ เอาแบบออกมาจากใจ ไหว้ออกมาจากใจ สวัสดีครับ สบายดีไหมครับ โชคดีนะครับ ดีใจด้วยนะครับเดี๋ยวเราได้กลับบ้านแล้วนะครับ ดีไหม ดีนะ
ศิษย์เดินสายบุญ เดินช้าๆ เดี๋ยวบุญจะขาด เคารพด้วยท่าทีที่
นอบน้อม มองอย่างไรก็น่ารัก ศิษย์เอ๋ย จากมืดๆ ก็สว่างทันทีเลย เอาช้าๆ แล้วเราได้บุญต่อ ให้อายุมั่นขวัญยืน พอเราเดินสายบุญ ผู้ใหญ่บางคนพอเราไหว้เขาก็อวยพรเราต่อ ขอให้อายุมั่นขวัญยืนนะหลาน ยากไหมสายบุญของอาจารย์ (ไม่ยาก)  อย่างนั้นพร้อมใจขอบคุณกันอีกที (ขอบคุณ)  ทำดีไม่ยาก ขอแค่อ่อนน้อมแล้วทำจากใจจริง งดงามแถมได้คำอวยพรกลับมาให้ชื่นใจอีก การทำบุญมีแต่ได้ดี
ศิษย์รู้ไหมพระพุทธองค์ท่านบอกว่า กรรมหรือแรงใดๆ ในโลกไม่น่ากลัวเท่ากับแรงบาป เพราะแรงบาปเมื่อตกผลแล้วอะไรก็ยั้งไม่อยู่ เกิดเป็นคนจงสร้างบุญอย่างสร้างบาป แม้แต่พระพุทธองค์ท่านเคยกล่าวไว้ประโยคหนึ่งศิษย์เคยได้ยินไหมว่า แม้มีน้ำตานองหน้า และต้องอดทนฝืนทำ
ความดีก็จงเลือกที่จะทำดี อย่าทำชั่วเด็ดขาด
 เพราะเมื่อชั่วให้ผลกรรมแล้ว ตอนนั้นศิษย์อยากจะแก้ก็แก้ไม่ได้แล้ว จะขอโทษเขาก็ไม่ให้อภัยแล้ว เพราะคนชอบจำไม่ลืม ถูกไหมศิษย์ ศิษย์ทำดีเป็นสิบ พอศิษย์ทำชั่วกับเขานิดเดียวเขาจำไหม (จำ)  พอเราขอโทษเขาหายไหม ที่อาจารย์เห็นไม่เคยหายเลย เอาคืนยิ่งกว่าเดิมอีก อาจารย์รักศิษย์นะจึงอยากบอกกับศิษย์ว่า เลือกสายบุญอย่าเลือกสายบาป เพราะการทำดีนั้นง่าย ก็แค่อ่อนน้อมถ่อมตน มีจิตใจที่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน เคารพผู้อื่น ได้ไหม (ได้) 
เมื่อเขารู้จักเดินสายบุญแล้วเราเดินสายบุญหรือสายบาป (สายบุญ)  คนที่มีสายบุญและถือคุณธรรมเป็นชีวิตจิตใจ เดินสายบุญแล้วยังได้เป็นคนที่ประเสริฐด้วย แต่ถ้าเกิดคนที่เดินสายบุญและมีคุณธรรมประจำใจดำเนินชีวิต เดินสายบุญและเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐแล้วยังเติมปัญญาธรรมเข้าไปด้วย ก็เป็นผู้ที่เดินสายบุญที่มีชีวิตประเสริฐ และเดินไปสู่หนทางพ้นทุกข์ด้วย อย่างนั้นเราจะเอาสายไหน สายบุญอย่างเดียวหรือ แล้วสายบุญของอาจารย์แปลว่าอย่างไร เมื่อสักครู่อาจารย์เริ่มต้นไว้แล้วศิษย์ อยู่ในโลกจะทำอย่างไรให้เรามีชีวิตต่อไปไม่เป็นการสร้างกรรม แต่เป็นการสร้างบุญและกรรมที่เหลือก็จะเป็นการชดใช้หนี้เก่า ดีกว่าไหม (ดีกว่า)
ฉะนั้นการกระทำอะไรก็ตามที่กอปรไปด้วยบุญ และกอปรไปด้วยคุณธรรมที่เรียกว่ามนุษย์ประเสริฐ เราจงเลือกทำ เหมือนเมื่อสักครู่ที่อาจารย์บอก ถ้าศิษย์ไปทำงานเจอใครก็สวัสดี พูดอะไรทำงานอะไรก็ถือความซื่อตรงเป็นหลัก ไม่โกหก ไม่เอาเปรียบ ไม่กินแรง มีคุณธรรมประจำใจคือ เมตตาจิต ไม่นินทาใคร อย่างนี้เรียกว่าเดินสายบุญ และกอปรไปด้วยคุณธรรมแห่งมนุษย์ประเสริฐดีไหม แล้วเราทำแบบนี้ไหม (ทำ)  ศีลไม่ค่อยครบ คุณธรรมไม่ค่อยมี ปัญญาหาไม่เคยได้ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นวิธีปฏิบัติของอาจารย์ก็คือ ไม่ว่าเราจะทำงานอะไร หนึ่งคือความอ่อนน้อม สองคือภายในใจต้องมีศีลธรรม มีเบญจศีลและมีเบญจธรรม แล้วรู้ไหมว่า
เบญจศีลเบญจธรรมคืออะไร (เบญจศีลก็คือข้อห้าม เบญจธรรมก็คือสิ่งที่ควรกระทำ)  อาจารย์ให้ลูกอมแล้วกันนะดีไหม (ดี)  ลูกอมหนึ่งลูกเท่ากับชวนคนมารับธรรมหนึ่งคนนะเอาไหม (เอา) ให้หมดเลยนะ (เอาไปแบ่งเพื่อน)  ให้เพื่อนไปชวนต่อใช่ไหม อาจารย์ให้นะ วันนี้อาจารย์ใจดีแจกศิษย์ แน่ใจนะเอาหมด (เดี๋ยวแบ่งเพื่อนที่ออฟฟิศ)  ใครขอก็ให้นะดีไหม (ดี)
เบญจศีลก็คือคุณธรรมห้า การรู้จักมีศีลก็คือการสร้างบุญ การรู้จักมีธรรมก็คือการสร้างบุญ การรู้จักฟังธรรมก็คือการสร้างบุญ การรู้จักเคารพและให้เกียรติผู้อื่นก็คือการสร้างบุญ การมีน้ำใจเอื้อเฟื้อก็คือการสร้างบุญใช่หรือไม่ การมีน้ำใจช่วยเหลือคน เช่นแค่ถามว่า ร้อนไหม เช็ดเหงื่อให้ นั่นก็คือการสร้างบุญแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบุญสอนให้เรารู้จักให้โดยไม่เห็นแก่ตัว รู้จักให้โดยไม่เรียกร้องขอผลตอบแทน ถ้าศิษย์ทำได้ ทุกขณะที่ศิษย์มีชีวิตศิษย์ก็สร้างบุญได้ทุกที่ แต่ศิษย์ของอาจารย์ไม่ใช่ ชอบสร้างบุญแค่เฉพาะที่วัด กับคนอื่นไม่ยอมทำบุญใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม (ไม่เป็น) เป็นคนดีเฉพาะในวัด ถ้าพ้นเขตวัดหรือถ้ายังไม่พ้นเขตวัดก็แอบนินทาคนแล้วถูกไหม
ฉะนั้นบุญจะงดงามขณะให้ ให้ไปแล้ว ให้สิ้นแล้ว ไม่เรียกร้องอะไร บุญนั้นจะเป็นบุญที่บริสุทธิ์ เริ่มต้นที่ศีลก่อน ศิษย์บอกว่า ศีล ศิษย์ก็ยังถือไม่ครบเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นการมีศีลครบ มันช่วยทำให้อะไรรู้ไหมศิษย์ เคยคิดไหม บางคนเกิดมาแข็งแรง บางคนเกิดมาอ่อนแอ เพราะเรามีชีวิตอยู่ ข้อแรกที่เรามักทำกันไม่ได้ ก็คือ เรามักจะเบียดเบียนชีวิตของคนอื่น เพื่อสนองความอยากของตนเอง เรามักเบียดเบียนคนอื่น โดยการว่าเขาทางสายตา แอบด่าเขาทางใจ ฉะนั้นใครที่มีชีวิตอยู่ แล้วตอนนี้มักเจ็บไข้ได้ป่วย ก็แปลว่ามักจะเบียดเบียนและทำร้ายชีวิตของคนอื่นเพื่อความสุขของตัวเอง ดังนั้นอยากมีร่างกายที่แข็งแรง ก็จงมีเมตตาจิต อยากได้คนซื่อตรง ก็จงรู้จักซื่อตรงก่อน อยากได้คนจริงใจไม่โกหกมดเท็จ เราก็จงอย่าโกหกมดเท็จใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)
- ศีล ทำให้เรารู้จักประพฤติได้ถูกต้อง
- คุณธรรม คือสอนให้เราเป็นคนประเสริฐ
- การรู้จักทำบุญ คือทำให้เราสามารถสร้างกรรมที่ไม่ต้องเกี่ยวกรรมต่ออีก
ยากไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นเมื่อออกไปจากห้อง (สวัสดี)  แม้แต่เมื่อจบชั้นเรียนเราก็ (ขอบคุณ)  ยากไหม (ไม่ยาก)
เมื่อเราเดินสายบุญแล้ว ต่อไปเราต้องเดินสายธรรม ศิษย์เอ่ย ขึ้นชื่อว่าชีวิต มันต้องยืดหยุ่นได้ดี ถ้ายืดหยุ่นไม่ดี ชีวิตก็คือความตายแล้วนะ อย่าเพิ่งยอมแพ้ ยืดหยุ่นไว้ก่อน ถ้าเส้นยึดเมื่อไร แปลว่าใกล้จะตายแล้วนะ
ชีวิต คือสิ่งที่ต้องยืดหยุ่นได้ จึงเรียกว่าชีวิต สิ่งใดที่ตายนิ่ง ไม่ยืดหยุ่นนั้นแปลว่า สิ่งนั้นไม่ใช่ชีวิตแล้ว
ฉะนั้นเกิดเป็นคนก็ต้องรู้จักยืดได้หดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เรามาเข้าถึงธรรมบ้างดีไหม (ดี)  ไหวไหม (ไหว)  คนในโลกเท่ากันไหม (ไม่เท่า)  มีสูงก็มีต่ำ มีดีก็มีดีน้อย ถูกไหม (ถูก)  แล้วมีพวกฉลาดก็มีพวกที่รู้ช้า ฉะนั้นเกิดเป็นคนทำไมเราต้องเข้าใจธรรม ก็เพราะการเข้าใจธรรมจะสามารถทำให้เราไม่เกี่ยวกรรม ไม่สร้างบาปได้ บางทีศิษย์เคยไหม พูดกับเขาครั้งที่หนึ่ง เขาก็บอกว่า “ว่าไงนะครับ พูดใหม่อีกทีสิ” พูดกับเขาครั้งที่สอง “อีกทีได้ไหมครับ ผมฟังไม่ทัน” พูดกับเขาครั้งที่สาม “อะไรหรือครับ” โกรธไหม (โกรธ)  อุตส่าห์ให้เดินสายบุญแล้วโกรธอีก ต้องไม่โกรธ ศิษย์ต้องเข้าใจ คนบางคนพูดหนึ่ง ไม่ใช่รู้หนึ่ง แต่บางทีสอง สามก็แล้ว ยังไม่รู้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  เพราะมันเป็นความจริงของโลกใบนี้
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนคนหนึ่งยืนขึ้น)
เหมือนศิษย์บอกว่า อาจารย์ศิษย์ก็พยายามเลือกแล้วนะ หาดีที่สุดแล้วนะ มันได้แค่นี้ โกรธใคร โกรธเขาหรือโกรธเรา (โกรธเรา)  โกรธเราทำไม (เพราะเราอยากหาเอง)  เราอยากหาเอง มีดีตั้งเยอะไม่เลือก เลือกแบบนี้ ใช่ไหม (ใช่)  “อาจารย์พูดแบบนี้หยาม ศิษย์ไม่ดีตรงไหน ถึงศิษย์จะรู้น้อย ศิษย์ก็รู้ตามหลังได้ ถึงศิษย์จะไม่ขาวแต่ศิษย์ก็ดำแบบสะอาด”
ใช่ไหม (ใช่)  พยายามหาดีเต็มที่ ฉะนั้นการรู้ธรรมก็คือทำให้เรามองเห็นความเป็นจริงว่า คนในโลกมันไม่เท่ากัน มีตั้งเยอะแยะไม่เจอ มาเจอเขา
มีตั้งเยอะแยะไม่เลือก ดันเลือกเขา ฉะนั้นอย่าพยายามหาความสมบูรณ์แบบในโลก เพราะโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แม้กระทั่งตัวเราเอง
ถ้าเลือกมาแล้วอย่ามัวแต่กล่าวโทษ แต่ให้อยู่แบบถ้อยทีถ้อยอาศัยและพยายามปรับความเข้าใจ ดีไหม (ดี)  ศิษย์เอ๋ยอยู่ในโลกเราต้องเข้าใจธรรมอย่างหนึ่ง คนเราแม้พยายามจะหาดีที่สุดขนาดไหน ก็ไม่มีใครดีที่สุดดั่งใจเราได้ จงยอมรับความเป็นจริง เพราะโลกที่สมบูรณ์ที่สุด ก็มีสิ่งที่บกพร่องที่สุด แม้จะมีสิ่งที่เลวร้ายที่สุด ก็ยังมีสิ่งที่ดีที่สุดเหมือนกัน
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนฝ่ายชายอีกท่านหนึ่งออกมายืนนอกแถวที่นั่ง)  เพราะความเป็นจริงแห่งธรรมชาติ ต้องยอมรับอย่างหนึ่ง
วันหนึ่งสิ่งที่เป็นธรรมชาติของอาจารย์เปลี่ยนจากนี้เป็นแบบนี้ อาจารย์ตอนอยู่ด้วยกันก็ผอมนะ สักพักหนึ่งทำไมเป็นอย่างนี้อาจารย์ อาจารย์ตอนแรกอยู่ด้วยกันก็ดี แต่พอผ่านไปทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะอาจารย์ จำไว้นะศิษย์
โลกใบนี้เป็นโลกแห่งมายา สิ่งที่เรียกว่าธรรมล้วนเปลี่ยนแปลงทุกขณะ ถ้าเราอยากเข้าใจหลักธรรมแล้วไม่ทุกข์กับสิ่งที่เรามี สิ่งที่เราได้ เราจงยอมรับหลักสัจธรรมอย่างหนึ่งว่า ในมายาล้วนมีรูปลักษณ์ที่แปรเปลี่ยน
หารูปลักษณ์ที่แท้จริงได้ไม่
 ถ้าเราเข้าใจความไม่สมบูรณ์ ความไม่เที่ยงของโลกใบนี้ เราก็จะอยู่กับเขาอย่างมีความสุข ไม่ว่าเขาจะเปลี่ยนแปลง
ขนาดไหน ศิษย์ก็จะมีความสุข แต่ถ้าศิษย์บอกว่าไม่ได้ต้องหล่อกว่านี้ ต้องดีกว่านี้ ต้องขาว ต้องผอมกว่านี้ ถึงแม้ศิษย์จะพยายามเดินสายบุญ แต่ถ้าศิษย์ไม่เข้าใจสายธรรม ศิษย์ก็จะมีทุกข์และก็อยู่กันอย่างเมื่อไรจะหมดเวรหมดกรรมกันสักที แทนที่จะบอกว่า บุญอะไรหนุนหนำมาให้เราเจอกัน นานๆ ไปก็บอกว่า กรรมหนอกรรม แต่จะทำให้เราเข้าใจธรรมทันทีเลยว่า ไม่ว่าสิ่งที่เรามีจะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน เราก็จะมองเห็นสัจธรรมว่า
โลกไม่มีอะไรเที่ยง คนเราเปลี่ยนแปลงได้ ตัวเราเปลี่ยนแปลงได้ เราก็จะกล้ายอมรับและเป็นสุข ด้วยหัวใจที่เข้าใจหลักธรรม อาจารย์ตลกแต่อาจารย์มีธรรมะ อย่าลืมเอาธรรมะของอาจารย์ไปด้วย
ศิษย์จงเข้าใจ อยู่ในโลกแม้อะไรจะเปลี่ยนแปลงไป นั่นก็คือความเป็นจริงแห่งธรรมที่เรียกว่า ธรรมชาติ ฉะนั้นจะเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็คือธรรมชาติ แต่คนที่มีธรรมและเข้าใจธรรมแล้ว จะแค่รู้แค่เห็น แต่ไม่ยอมเป็นทุกข์กับมันเด็ดขาด แต่จะรู้จักช่วงใช้และอยู่ร่วมกันอย่างก่อบุญก่อกุศล ไม่ก่อบาปก่อกรรม
(พระอาจารย์เมตตาพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ผู้ใฝ่รู้”)
เก่งรอบรู้ไม่สู้เก่งเท่าทันใจ     ภัยใดไม่สู้ภัยจากใจหนา
มองผ่านใจยากรู้จริงภาพลวงตา  วางใจตนจึงรู้ว่าใดแท้จริง
อาจารย์อ่านจนจบแล้วศิษย์ก็ยังไม่เข้าใจคำว่า “รู้” มีประโยชน์อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เรารู้เรื่องภายนอกมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ไม่เคยรู้คือ “รู้เท่าทันใจตน” ทุกอย่างเกิดจากเหตุที่เรียกว่า “ตัวเรา”  และในตัวเราที่เผลอหลงไปยึดธรรมชาติ ฉะนั้นถ้าเราประมาทไม่มีสติรู้เท่าทันใจ รู้ความเป็นจริงแห่งสัจธรรม ความไม่รู้นี่แหละที่จะทำให้เราเผลอไปหลงยึด เราบอกว่าเราแก่ ทำไมถึงแก่ แต่ถ้าเราเข้าใจและรู้ชัดว่า
ทุกคนมีแก่ มีเจ็บ และมีตายเป็นธรรมดา ทุกชีวิตหนีไม่พ้น แต่เราพ้นการเกิดได้ ไม่ธรรมดา มนุษย์กลัวตายแต่พุทธะกลัวเกิด ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์รู้ไหมว่ามนุษย์เราอยู่ในโลก ไปแสวงบาป ไปแสวงกรรม ไปทำชั่วเพราะสาเหตุใด รู้ไหม (ไม่รู้) ไม่รู้จริงๆ หรือ ไม่รู้เลยหรือว่าตัวเองไปทำชั่วทำบาปเพราะอะไร รู้ไหม (รู้)  เพราะความอยาก พระพุทธะเรียกว่าตัณหา ตัณหา อนุสัยเกิดเมื่อไรทุกข์เกิดไม่จบสิ้น ฉะนั้นตัณหาคือต้นเหตุแห่งทุกข์และการเกิดที่เวียนว่ายภพน้อยภพใหญ่ไม่จบสิ้น ฉะนั้นถ้าเมื่อใดมนุษย์หยุดตัณหาได้ มนุษย์ก็หยุดการเกิดได้ แต่เราเคยหยุดตัณหาไหม เราเคยหยุดอยากไหม (ไม่)  มีตัณหาพอไหมยังตามไปด้วยกามราคะหรือกามตัณหา แล้วศิษย์รู้ไหมว่ากามราคะ มันรสอร่อยแต่มันให้ทุกข์ถนัด และไม่มีทุกข์ใดเสมอทุกข์ด้วยกามราคะและกามตัณหา ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าหลงอยากมีแล้ว ไม่รู้ว่าอะไรเรียกว่าคุณธรรมศีลธรรม ไม่มีจิตสำนึก กามตัณหานั้นแหละจะทำให้เราก่อเกิดภพเกิดชาติเวียนว่ายไม่จบสิ้น พระพุทธะเคยบอกไว้ว่า ความเจ็บและความตายเป็นสิ่งน่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  แต่ถ้าถามว่ายังกลัวไหม ก็ยังกลัวกัน แต่อาจารย์ว่าความเจ็บความตายน่ากลัว
ขนาดไหน ก็ไม่สู้เท่ากับแรงบาปกรรมที่ศิษย์ทำอะไรไม่มีจิตสำนึกของความถูกต้อง เพราะแรงบาปกรรมมันจะทำให้ศิษย์ต้องกลับมาเจ็บตายอีกหลายๆ ครั้ง
 มองหน้าอาจารย์ไม่มียอมรับบ้างเลย ไม่มีหดหู่บ้างเลย
ใช่ไหม ไม่ต้องกลัวอาจารย์ กลัวใจตัวเองดีกว่า เพราะถ้าศิษย์ทำบาปก็ต้องรับบาปเองใช่หรือไม่
พุทธะจึงกล่าวไว้ว่า ต่อให้หนีไปสุดล่าฟ้าเขียว ก็ไม่มีใครหนีบาป
ที่ตัวเองทำไว้ได้ และบาปนั้น ไม่น่ากลัวเท่ากับใจของเราที่ไม่รู้จัก
ผิดชอบชั่วดี
ยกตัวอย่างง่ายๆ ศิษย์ฆ่าเขา หนึ่งคนหนึ่งชีวิต ศิษย์จะต้องกลับมาเกิดชดใช้เพื่อให้เขาฆ่าศิษย์กลับ แล้วถ้าศิษย์ยังจองเวรจองกรรมไม่จบสิ้น ศิษย์ก็ต้องเวียนว่ายกลับมาเกิด เจ็บ ตาย ให้ฆ่ากันไปฆ่ากันมา แล้วเราจะจบกรรมกันได้อย่างไรหรือศิษย์ ถ้าเราเปลี่ยนแปลงแก้ไขการดำเนินชีวิตของเรา เขาทำเรา เรายังอโหสิกรรมจบกรรมได้ แต่เราทำเขา เขาจะให้อภัยศิษย์ไหม ศิษย์บอกว่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวศิษย์ไปสวดมนต์แผ่ส่วนกุศลให้เขา แล้วเขาอภัยศิษย์ไหม (ไม่ให้)  เวลาเขาจะล้างแค้น เขาจะเอาคืนอย่างไร เขาเอาคืนกับศิษย์ไม่เจ็บ เขาก็จะเอาคืนจากคนที่ศิษย์รัก เอาของที่ศิษย์ชอบ เอาให้วอดวายจนไม่เหลืออะไรเลย ตอนนั้นศิษย์จะมีน้ำตานองหน้าขนาดไหนก็ตาม อาจารย์ก็ยืนยันว่า จงทำดีต่อไป อย่ายอมแพ้ แล้วขอให้ชาตินี้ชดใช้กรรม จะไม่สร้างกรรมอีกต่อไป นี่คือสิ่งที่ประเสริฐที่สุด
นะศิษย์
 ดีไหม (ดี)  ไม่ต้องรอให้ใครบอก แต่รู้ได้ด้วยตัวเอง เพราะจิตที่รู้
จะทำให้เราเกิดปัญญามองเห็นจิต มองเห็นความคิด จิตที่รู้ มีสติรู้เท่าทัน ไม่ว่าอะไรมันจะเกิด มันมากระทบกาย กระทบใจ เราก็จะ ดีแล้ว ขอบคุณแล้ว ได้ชดใช้แล้ว ดีไหม (ดี)  อย่าก่อกรรมต่อไปเลย อย่าเพียงเพราะ
ความอยาก ฆ่ามันให้ตาย เอามันให้ไม่เหลือ หมูย่างหมูกระทะกินให้มันเต็มที่ เวลามันซัดกลับเข้ามาเต็มที่ แล้วศิษย์อย่ามาร้องเรียกอาจารย์จี้กง ทำไมคนบางคนเดินทางปลอดภัยไม่เป็นอะไร แล้วทำไมคนบางคนเป็นโรคมากมาย ทั้งหมดนี้มันคือกรรมทั้งนั้นนะศิษย์
ฉะนั้นรู้แล้ว แล้วอย่ามาบอกว่าไม่รู้ ไม่ได้นะ รู้แล้วยังทำอีก ยังผิดอีก หนักเป็นเท่าตัว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจะทำอะไรคิดให้ดีๆ หนทางของการดำเนินชีวิต นับจากวันนี้เป็นหนทางบุญที่กอปรไปด้วยคุณธรรม
อันประเสริฐและเข้าใจในธรรมแห่งความเป็นจริง จะได้นำพาให้ศิษย์
พ้นทุกข์ ไม่เกี่ยวกรรมอีกต่อไป
 ดีไหม
ไปให้ถึงนะ อ่อนน้อมเข้าไว้ จริงใจเข้าไว้ อุทิศเสียสละเข้าไว้ อภัยเมตตาไม่เคืองโกรธเข้าไว้ ทุกอย่างล้วนเป็นการกระทำที่มีแต่ให้ ให้เงินให้ทองก็ไม่สู้ให้ธรรม อยากได้ลูกหลานดี ทำไมไม่สอนธรรมให้ลูกหลานดี อยากได้ลูกหลานกตัญญู ทำไมไม่ทำตัวเองให้กตัญญูให้ลูกหลานเห็น อยากได้เพื่อนซื่อตรง ทำไมไม่ซื่อตรงให้เพื่อนเห็น อยากได้คนจริงใจ ทำไม
ไม่จริงใจออกจากใจให้เขาเห็น ไม่ต้องรอไปพึ่งใคร พึ่งตัวเอง เพราะตัวเองจึงได้ดีที่สุด คนอื่นยังมีวันเปลี่ยนแปลง แต่การพึ่งและศรัทธาในความดีของเราจะไม่เปลี่ยนแปลง จะทำให้เราเป็นทั้งร่มโพธิ์ร่มเย็นให้กับคนอื่นและตัวเองได้ จริงไหม (จริง)  เลือกเดินสายที่ถูกต้อง ไม่เกี่ยวกรรมอีกต่อไปแล้วนะศิษย์เอ๋ย ศิษย์จะได้ไม่ต้องมีน้ำตานองหน้าจะได้ไม่ต้องทำดีอย่างพยายาม แต่ทำด้วยความเข้าใจ ยินดีทำ ยินดีสละให้ ถ้าการให้นั้นทำให้หมดตัวตนไม่ต้องทุกข์ ให้ไปเถอะศิษย์ บุญบารมีมันเกิดจากชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้า ทำเดี๋ยวนี้ จบเดี๋ยวนี้เลย จะไปรอจบกันทำไมชาติหน้า เพราะชาติหน้าจะเป็นอะไรก็ไม่รู้ ถูกไหม (ถูก)  รักตัวเองหน่อยนะศิษย์ รักตัวเองก็ต้องเลือกทางถูก เลือกทำสิ่งที่ดี อย่าทำร้ายตัวเองด้วยหนทางผิด หนทางบาปเลย คนตกนรกมีเยอะแล้ว อาจารย์อยากได้คนบุญ คนบุญที่พ้นทุกข์ พ้นธรรมจริงๆ นะ
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะศิษย์ ดีไหม (ดี)  ตั้งใจบำเพ็ญ
เดินบนสายบุญ สายแห่งความดีงาม มุ่งมั่นไม่ยอมแพ้นะ ตั้งใจทำให้ได้
จับมืออาจารย์แล้ว เป็นศิษย์อาจารย์กันแล้ว ทำให้ได้นะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จงเลือกสายแห่งความดีงาม เลือกสายแห่งความถูกต้อง อย่าเอาแต่ใจ อย่าเอาแต่อารมณ์ คิดถูกทำถูกก็บุญของศิษย์ คิดผิดทำร้ายก็
น่าสงสารยิ่งนัก รักษาสิ่งที่ดีงาม อย่ามัวแต่เล่นโทรศัพท์ ตั้งใจเรียน
มีโอกาสกลับมาผูกบุญกับอาจารย์อีกนะ อาจารย์ให้ขวัญกำลังใจ อาจารย์ให้มงคลบุญรักษาศิษย์ ฉะนั้นศิษย์ต้องตั้งใจทำสิ่งที่ดีงามและถูกต้อง
บุญอยู่ที่เราสร้าง บารมีอยู่ที่เราทำ ร่ำรวยไม่สู้ร่ำรวยปัญญาหรอก สิ่งดีและสิ่งมงคลจะเกิดได้ก็ด้วยจิตของเรา ถ้าเราทำสิ่งที่ถูกต้องสิ่งที่ดี ความเป็นมงคลก็มาสู่ใจ แต่ถ้าเราไม่มีศีลธรรม มงคลก็ออกจากใจ ทำได้ดีแล้วก็ต้องรักษาความดีต่อไป สังขารไม่เที่ยงนะศิษย์ จงรักษาจิตแห่งฟ้า สังขารสักวันก็ต้องกลับคืนสู่ดิน จงรักษาใจแห่งฟ้า ใจที่ดีงาม รู้จักคิดรู้จักทำ ตั้งใจบำเพ็ญและทำสิ่งที่ถูกต้อง
ตั้งใจบำเพ็ญต่อนะ ศิษย์เป็นศิษย์ที่ดี ศิษย์เป็นศิษย์ที่น่ารัก แต่บางครั้งก็ต้องระมัดระวังความคิดและอารมณ์ ควบคุมให้ดี อย่าปล่อยให้อารมณ์พุ่งพล่านและทำให้เราเจ็บปวด อาจารย์ห่วงศิษย์และรักศิษย์ทุกคน แต่ศิษย์ต้องรู้จักรักตัวเองและเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าหลงเดินทางผิด ตั้งใจต่อไปอย่ายอมแพ้ เรียนรู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมด้วยความเข้าใจ
ด้วยหัวใจที่เมตตา
เข้มแข็งนะ สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดีแล้ว ศิษย์ของอาจารย์เข้มแข็งจนทำให้อาจารย์หายห่วงได้หรือยัง เด็กดื้อของอาจารย์ ตั้งใจบำเพ็ญถึงที่สุดหรือยัง เข้มแข็งไม่หวั่นไหวหรือไม่ มุ่งมั่นบำเพ็ญเพียรมีจิตหนึ่งใจเดียวไม่ท้อแท้หรือไม่ หัวใจที่อุทิศเสียสละเพื่อมวลชนนี้คือหัวใจที่ประเสริฐ อาจารย์อยากให้ศิษย์มีใจและรักษาใจนั้นตลอดไป ไม่ว่าเราจะเป็นอะไร ใจที่อุทิศเพื่อช่วยคน ใจที่อุทิศเมตตาผองชน ใจที่ทำไม่เหนื่อยท้อ ไม่อ่อนล้า ทำให้ได้นะ ตั้งใจบำเพ็ญได้ไหม ทำให้ดีก็ไปให้ถึงที่สุด บำเพ็ญมีรอยยิ้มอย่างนี้ให้ตลอด ทุกครั้งที่มีชีวิตยิ้มสู้นะศิษย์เอ๋ย รักษาศีลรักษาธรรม รู้จักควบคุมตนเองด้วยสติปัญญา ทำอะไรคิดไตร่ตรองให้ดีอย่าใช้อารมณ์ชั่ววูบ จับมือไหม จับแล้วต้องมาบำเพ็ญนะ อาจารย์ขอลาเขานิดหนึ่ง เพราะอาจารย์ไม่รู้ว่าจะได้เจอเขาอีกไหม ไม่รู้ว่าศิษย์จะรู้จักดูแลตัวเองให้ดีไหม ฉะนั้นศรัทธาความดี
ไม่ศรัทธาอาจารย์ไม่เป็นไร ทำสิ่งที่ถูกต้อง อย่าใช้อารมณ์เท่านั้นก็พอ
มีโอกาสมาฟังให้ครบนะศิษย์ รักตัวเองไม่ทำร้ายตัวเอง
ตั้งใจบำเพ็ญธรรมให้ดีต่อไป เราเป็นศิษย์อาจารย์กันแล้ว การบำเพ็ญคือการรู้จักควบคุมตัวเอง อย่าปล่อยให้อารมณ์ทำร้ายให้ตัวเองทุกข์ ไม่ไปว่าคนอื่นตรวจสอบใจตัวเอง ไม่โทษคนอื่นแต่รู้จักโทษตัวเองนั่นเรียกว่า “บำเพ็ญ”  บุญอยู่ที่เรารักษา บารมีอยู่ที่เราสร้าง คุณงามความดีอยู่ที่เรากระทำ มาแล้วเดินต่อให้ถึงที่สุดนะศิษย์ อาจารย์ไม่เคยหลอกศิษย์ อายุมากแล้วจงยิ้มจงสู้ทุกเรื่องราวไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทำด้วยสติทำด้วยปัญญาแต่อย่าหลงผิดแค่นั้นพอ หายห่วงหรือยัง ทำได้ดีหรือยัง ทำสิ่งที่อาจารย์บอกได้บ้างหรือยัง ได้บ้างไม่ได้บ้างแล้วเมื่อไรจะทำ เดี๋ยวกรรม
ตกผลอาจารย์ช่วยไม่ได้แล้วนะ อาจารย์ไปแล้วนะ เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องนะศิษย์ เพื่อตัวศิษย์เอง อาจารย์เชื่อมั่นในตัวศิษย์ ศิษย์ก็ต้องเชื่อมั่น
ในความดีของตัวเอง เลือกทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อบุญบารมีของตัวเอง อย่า
สร้างบาปอีกเลยอาจารย์ขอ


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ผู้ใฝ่รู้”
เก่งรอบรู้ไม่สู้เก่งเท่าทันใจ                       ภัยใดไม่สู้ภัยจากใจหนา
มองผ่านใจยากรู้จริงภาพลวงตา                 วางใจตนจึงรู้ว่าใดแท้จริง

พระอาจารย์เมตตาแก้ไขเพลงพระโอวาท สถานธรรมหมิงเอิน
วันที่ ๑๔-๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๙
เพลงหน้า ๑๔ วรรคที่ ๒
เดิม         เกิดมาเป็นคนทั้งที อย่าทำตัวเองหลงไป ไม่มองไปไหนไกล ชาติอื่นอื่นใดไม่เป็นของตัว
แก้ไขเป็น   เกิดมาเป็นคนทั้งที ต้องไม่ทำตัวหลงไป อย่ามองไปไหนไกล ชาติอื่นอื่นใดไม่เป็นของตัว

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา